[เรื่องเบาๆ]Stair.ขยับรัก ข้ามขั้น : จบ P22 6/07/2554(รุ่นพ่อ?vsรุ่นลูก?)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องเบาๆ]Stair.ขยับรัก ข้ามขั้น : จบ P22 6/07/2554(รุ่นพ่อ?vsรุ่นลูก?)  (อ่าน 384318 ครั้ง)

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
ยาวดีแท้
สะใจสุดๆ ขอบคุณมากสำหรับคุณลุงโมเอะค่ะ



เอ่อ เราก็โอจิค่อนเอามากๆเหมือนกัน
ยิ่งเป็นหนุ่มแว่น(สายตายาว) ยิ่งกริ๊ด

ออฟไลน์ หมวยลำเค็ญ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 863
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-1
แหม๋  พี่ไพยังทำเนียนไม่รู้ตัวว่าโดนเค้าจีบอยู่อีกนะ
น้องนพเค้าเปิดสุดตัวแล้วนั่น น่ารักจริง :o8:

ออฟไลน์ kazhiki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +140/-2
ถูกใจใช่เลยมากๆๆๆๆๆ o13 เจ้านพสู้เค้าล่ะ
คุณไพฑูรณ์ที่ออกแนวซึนเหมือนกันนะคะเนี่ย อิอิ น่ารักจัง
โซฟาไม่ต้องซื้อใหม่หรอกค่า แค่ให้นพไปนอนด้วยที่เตียงก็พอแล้ว
ขอบคุณนักเขียนมาก มาลงสม่ำเสมอและจุใจตลอดเลยค่ะ :pig4:

ออฟไลน์ ทิวลิปสีส้ม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 867
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-0
   “ถ้าไม่ชอบก็ไม่รับเลยสินะครับ”
   “อืม...”
   “..............”
   “................” แน่ะ.. เอาอีกล่ะ ยิ้มอีกแล้ว เจ้าหมอนี่ก็แปลกคนจริงๆ เพิ่งโดนบ่นแท้ๆ ยังมาทำยิ้มกระมิดกระเมี้ยนเป็นผู้หญิงถูกจีบได้อีก เชื่อเขาเลย

 :laugh: ขำคุณไพฑูรย์ท่าทางจะยังไม่รู้ความหมายที่เจ้าตัวเขาสื่อมาสินะ คุณไพฑูรย์เนี่ยจะว่าดุก็ดุ โหดก็โหด แถมยังใจแข็งออกปานนั้นแต่ว่า น่ารักๆ จริงๆ เลยให้ตายเหอะ  :-[
นพสู้ๆ
ขอบคุณคนเขียนคะ  :L2:

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
   “ถ้าไม่ชอบก็ไม่รับเลยสินะครับ”
   “อืม...”
   “..............”
   “................” แน่ะ.. เอาอีกล่ะ ยิ้มอีกแล้ว เจ้าหมอนี่ก็แปลกคนจริงๆ เพิ่งโดนบ่นแท้ๆ ยังมาทำยิ้มกระมิดกระเมี้ยนเป็นผู้หญิงถูกจีบได้อีก เชื่อเขาเลย
juon

 :laugh: ขำคุณไพฑูรย์ท่าทางจะยังไม่รู้ความหมายที่เจ้าตัวเขาสื่อมาสินะ คุณไพฑูรย์เนี่ยจะว่าดุก็ดุ โหดก็โหด แถมยังใจแข็งออกปานนั้นแต่ว่า น่ารักๆ จริงๆ เลยให้ตายเหอะ  :-[
นพสู้ๆ
ขอบคุณคนเขียนคะ  :L2:
ดิฉันคิดว่าคุณไพฑูรย์แกพอรู้ๆนะนะคะคุณทิวลิปสีส้ม (ดิฉันคิดว่าตัวเองเข้าใจส.ว.นะคะ) ว่าตานพส่งสารใดออกมา
ทั้งโดยวัจนภาษาและอวัจนภาษาน่ะค่ะ (แหมปูนนี้แล้ว อิ อิ) แต่ด้วยวัย ด้วยฐานะหน้าที่การงาน บทบาทหน้าที่ของแก และ...
บุคลิกที่แกเคยเป็นมา แกเลยต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้มากกว่า ความจริงแกเขินนะ(ทุกครั้งที่นพสื่อความรู้สึกออกไปแหละ) เป็นความเขินที่ปนความพึงพอใจด้วยแหละ อิ อิ ก็คนเคยเนี้ยบ และวางตัวไว้ในกรอบตลอดเวลาไง เลยไม่ค่อยกล้าปล่อยตัวเองไปตามอารมณ์
งานนี้ตานพคงต้องทั้งอดทน ใจเย็น และขยันหยอดแหละ และต้องหยอดให้เป็น หยอดให้มีศิลปะด้วยน้า
       และขอลงท้ายด้วยการชมคุณ juon อย่างจริงใจค่ะ ไม่ทราบว่าคุณอายุประมาณไหน
แต่ขอบอกว่า คุณช่างเข้าอกเข้าใจคนวัยสี่สิบอัพจริงๆค่ะ เหมือนเข้าไปนั่งๆ นอนๆ วิ่งเล่นในใจคนวัยนี้เชียวแหละ

ออฟไลน์ Piaanie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-2
นั่นแน่ะ มีการพาไปโชว์ตัวกับเพื่อนด้วย เข้าใจคิดนะนี่

ออฟไลน์ dukdikdukdik

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-3
ยาวมาก ๆ ได้ใจมาก ๆ นพเริ่มรุกหนักแล้วชิมิ พี่ไพแกรู้ตัวแล้วใช่ปะเนี้ย
แต่เนียน ๆ ไม่สนใจเรอะ คริ ๆ น่ารักอะ

ออฟไลน์ Tifa

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +417/-2
เชื่อเลยจ้า พ่อคุณ ว่าชอบคนสูงวัย

เล่นมีเพื่อนอายุมากกว่า

ไหนจะเพลง สมัย นู้นนนนนน

เเฟนพันธ์เเท้ล่ะค้า งานนี้ เจ้านายจอมโหด ไม่รอดเเน่

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
   “ถ้าไม่ชอบก็ไม่รับเลยสินะครับ”
   “อืม...”
   “..............”
   “................” แน่ะ.. เอาอีกล่ะ ยิ้มอีกแล้ว เจ้าหมอนี่ก็แปลกคนจริงๆ เพิ่งโดนบ่นแท้ๆ ยังมาทำยิ้มกระมิดกระเมี้ยนเป็นผู้หญิงถูกจีบได้อีก เชื่อเขาเลย
juon

 :laugh: ขำคุณไพฑูรย์ท่าทางจะยังไม่รู้ความหมายที่เจ้าตัวเขาสื่อมาสินะ คุณไพฑูรย์เนี่ยจะว่าดุก็ดุ โหดก็โหด แถมยังใจแข็งออกปานนั้นแต่ว่า น่ารักๆ จริงๆ เลยให้ตายเหอะ  :-[
นพสู้ๆ
ขอบคุณคนเขียนคะ  :L2:
ดิฉันคิดว่าคุณไพฑูรย์แกพอรู้ๆนะนะคะคุณทิวลิปสีส้ม (ดิฉันคิดว่าตัวเองเข้าใจส.ว.นะคะ) ว่าตานพส่งสารใดออกมา
ทั้งโดยวัจนภาษาและอวัจนภาษาน่ะค่ะ (แหมปูนนี้แล้ว อิ อิ) แต่ด้วยวัย ด้วยฐานะหน้าที่การงาน บทบาทหน้าที่ของแก และ...
บุคลิกที่แกเคยเป็นมา แกเลยต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้มากกว่า ความจริงแกเขินนะ(ทุกครั้งที่นพสื่อความรู้สึกออกไปแหละ) เป็นความเขินที่ปนความพึงพอใจด้วยแหละ อิ อิ ก็คนเคยเนี้ยบ และวางตัวไว้ในกรอบตลอดเวลาไง เลยไม่ค่อยกล้าปล่อยตัวเองไปตามอารมณ์
งานนี้ตานพคงต้องทั้งอดทน ใจเย็น และขยันหยอดแหละ และต้องหยอดให้เป็น หยอดให้มีศิลปะด้วยน้า
       และขอลงท้ายด้วยการชมคุณ juon อย่างจริงใจค่ะ ไม่ทราบว่าคุณอายุประมาณไหน
แต่ขอบอกว่า คุณช่างเข้าอกเข้าใจคนวัยสี่สิบอัพจริงๆค่ะ เหมือนเข้าไปนั่งๆ นอนๆ วิ่งเล่นในใจคนวัยนี้เชียวแหละ



เห็นด้วยกับเม้นท์นี้ค่ะ  สงสัยเราวัยเดียวกัน
ขอบคุณคุณ Juon มากๆ เลยค่ะ ลงแต่ละตอนยาวมาก อ่านไปยิ้มไปหัวเราะกิ๊กกั๊กอยู่คนเดียว

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
อยากอ่านพาสน้องนพบ้าง

 :กอด1: :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ares_jum

  • บุคคลทั่วไป
น่ารักอ่ะ (สำเนียงโก๊ะตี๋) >////////<   

 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

อยากให้มาต่อทุกวันเลยอ่ะค่ะ

เป็นไปได้มั้ยเนี่ย  555+

 :laugh:

ออฟไลน์ Forever_Love

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-2
ชอบอ่ะ ไม่ค่อยเจอแนวนี้เท่าไหร่ มาต่อไว ๆ นะคะ :L2:

Narutear

  • บุคคลทั่วไป
อิๆๆ น่ารักจริงๆ คุณลุง เมื่อไหร่ถึงจะรู้ตัวแล้วยอมรับเด็กซะทีน้า? ^ ^

pattybluet

  • บุคคลทั่วไป
แหม๊... น้องเหมียว เอ้ย น้องนพ พยายามแทรกซึมตลอด ฮ่าๆๆ
คุณไพฑูรย์จะทำไม่รู้ไม่ชี้ได้นานแค่ไหนน๊าาา
จัดบวกเป็นกำลังใจให้ค่ะ :L2:

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
 :-[

เขินๆๆๆพ่อนพรัตน์นี่ชอบเล่นของสูงจิงๆ

ออฟไลน์ skidK

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +230/-1

ชอบผู้มีอาวุโส ทำเนียนไม่รับไม่รู้เรื่องราวได้น่ารักจัง

ออฟไลน์ วิหคท่องนภา

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 367
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
 :-[อ่านแล้วมันกุ๊กกิ๊กดีจัง  มีความสุข :man1:

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3593
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
นายนพของลุงน่ารักโครตเลยอ่ะ
โดนรุกเริ่มหนักแล้วน่ะลุง
คิดได้แล้วน่ะ
อิอิ

dog

  • บุคคลทั่วไป
หูย ลุงจะทนใจแข็งไปได้อีกนานเหรอเนี่ย
เด็กมันจัดหนัก จัดเต็มทุกตอนเลยนะเนี่ย

ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
5555+ ขนาดนี้แล้ว ลุงยังทำเฉยได้อีกก็ให้มันรู้ไป~ เนอะ นพ เนอะ  :laugh3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






LadyOneStar

  • บุคคลทั่วไป
เฮ้อ ได้อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกดี
เหมือนกำลังอ่านไดอารี่ของนพเลย
มันเหมือนว่า...นพกำลังรอคอยที่จะสมหวังอะไรประมานเนี้ย ^^

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3960
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
ลุ้นแทนนพมากมาย คุณไพ (แอบเรียก 555) ใจแข็งมั่กๆ

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13
ดูท่าอีตานพ รุกหนักวุ้ย
๕๕ ไอ้เรารึก็อยากดู
ฉาก พรากผู้เฒ่าแระ :laugh:

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บันไดขั้นที่7
   หลังจากไปเล่นบาสฯและร้องคาราโอเกะกันวันนั้น ผมถึงเพิ่งรู้ว่าเจ้านพรัตน์คบเพื่อนแก่เกินวัยจริงๆ แถมดูแต่ละคนจะรู้จักเขาเป็นอย่างดี เหมือนเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ ผมจึงถือโอกาสถามเขาในเช้าวันหนึ่ง
   “คุณนพ ที่ไปเล่นบาสฯกันวันนั้นน่ะ เพื่อนคุณทั้งหมดเลยเหรอ?”
   นพรัตน์ที่กำลังจัดเอกสารอยู่ที่โต๊ะหันมามองผมอย่างงงๆ และพยักหน้า “ครับ ทำไมหรือ?”
   “ผมว่าดูไงก็ไม่น่าจะเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน เป็นเพื่อนที่ทำงาน?”
   “อ๋อเปล่า” เขาว่า และยิ้ม “เป็นเพื่อนของพี่ชายด้วยน่ะครับ”
   “อ้อ..” ถึงคราวผมทำหน้างงบ้าง เขาเลยอธิบายต่อ “คือผมเป็นลูกคนสุดท้องน่ะ หลงมาด้วยมั้ง อายุเลยห่างจากพี่ๆ หลายปีอยู่ พอจำความ เริ่มเดินเริ่มจะเล่นได้ ก็เล่นกับพวกเพื่อนๆ ของพี่ชายพี่สาวแล้วล่ะครับ ไปๆ มาๆ ก็เลยเป็นเพื่อนสนิทกันไปเลย”
   มิน่า ตัวโตขนาดนี้ เพื่อนยังเรียกว่าเจ้าเปี๊ยก
   ผมพยักหน้า และถามต่อ “แล้วเพื่อนวัยเดียวกันล่ะ ไม่มีเลยหรือ?”
   “มีครับ แต่ไม่ค่อยสนิท เหมือนผมเข้ากับคนอายุเยอะได้ดีกว่าน่ะ”
   “อ้อ...” ผมนึกเห็นด้วย จะเข้ากับเพื่อนวัยเดียวกันได้ดีรึเปล่าไม่รู้หรอกนะ แต่คนแก่กว่าหมอนี่เข้าถึงได้ดีจริงๆ ผับผ่าสิ
   “วันหลังถ้าเพื่อนโทรมาชวนไปเที่ยว ชวนไปเล่นกีฬาก็ไปเถอะ ไม่ต้องเกรงใจผมหรอก” ผมว่า นพรัตน์ทำหน้างงอีก ก่อนจะยิ้มออกมา “ผมเปล่าเกรงใจนะครับ แต่ผมอยากอยู่กับคุณมากกว่า”
   ผมกะพริบตาปริบๆ ขี้เกียจมองหน้าเขาแล้ว เลยหันหน้าไปทางอื่น “หัดคบเพื่อนคบฝูงเสียบ้าง เดี๋ยวเพื่อนเลิกคบแล้วจะเสียใจทีหลังนะ”
   “ไม่หรอกครับ เขารู้ว่าช่วงนี้ผมต้องใช้เวลา”
   “อ้อ...” ผมลากเสียงยาว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำเสียงแบบนี้ทำไม คงเป็นความเคยชินล่ะมั้ง นพรัตน์มีสีหน้ากระมิดกระเมี้ยนขึ้นมาอีก ผมล่ะคันหน้ายิบๆ เวลาเขาทำท่าแบบนี้ทุกที
   “ผมน่ะ ชอบแต่คนอายุเยอะกว่ามาตลอดเลยนะ แต่จีบไม่เคยติดสักที”
   ผมอดปากไม่ได้ต้องสวนไป “ถ้าติดสิผมว่าแปลก”
   “ทำไมล่ะครับ?”
   ผมได้ทีตั้งตาลปัตรเตรียมเทศนาสั่งสอนเขาให้รู้จักคิดเสียบ้าง “คุณลองนึกดูนะ ตอนนี้คุณอายุยี่สิบสาม แล้วมีเด็กอายุสิบห้ามาจีบคุณ คุณจะรู้สึกยังไง”
   “ผมก็ไม่เอาสิครับ ผมไม่ชอบเด็กนี่”
   “ก็เหมือนกันนั่นแหละ เด็กกว่ามากๆ ไม่มีผู้ใหญ่ที่ไหนเขาชอบหรอก”
   “จริงเหรอ?”
   “อืม...”
   “เพราะอะไรล่ะ?”
   ผมตอบเขาอย่างรำคาญๆ “แล้วทำไมคุณถึงไม่ชอบเด็กอายุสิบห้าล่ะ”
   “ก็ยังเด็กนี่ น่ารำคาญจะตาย”
   “ก็เหมือนกันนั่นแหละ”
   “แต่ผมอายุยี่สิบสามแล้วนะครับ”
   “.............”
   “ผมน่ารำคาญเหรอ?”
   ผมรู้สึกว่ากาแฟในแก้วมันขมกว่าทุกวัน เลยยกแก้วขึ้นมา “คุณนพ ไปชงกาแฟใหม่ให้ผมหน่อย ผมว่ามันขมไป”
   นพรัตน์ไม่เถียงอะไรเช่นเคย เดินมารับแก้วกาแฟในมือผม พร้อมกับยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยว
   ผมอยากไล่ให้เขาไปล้างหม้อกาแฟด้วยเลยจริงๆ
------------------------------------------------
   ตอนบ่ายมีเพื่อนรุ่นน้องสมัยเรียนคนหนึ่งเอาบัตรชมการแสดงหุ่นละครเล็กมาให้ผม เขาทำงานเป็นผู้จัดการอยู่แผนกการตลาดของบริษัทที่เป็นนายหน้าขายบัตรชมการแสดง
   “เห็นพี่เคยบ่นว่าอยากดู เรื่องที่เขาจะเล่นรอบนี้ผมว่าเยี่ยมเลยล่ะ พอเห็นว่าจะจัดหน้าพี่ก็ลอยมาเลย ผมเลยแวะเอามาฝากสองใบ เผื่อชวนใครไปดูด้วย”
   ผมมัวแต่ดีใจที่ยังมีคนนึกถึงเลยลืมเสียสนิทว่าของแบบนี้คงชวนใครไปดูเป็นเพื่อนได้ยาก จนเขากลับแล้วนั่นแหละถึงมานั่งปวดหัวกับบัตรสองใบในมือ จะทิ้งก็เสียดาย แต่นึกไม่ออกว่าใครอยากจะไปดูกับผมบ้าง
   ขณะที่กำลังนึกรายชื่อเพื่อนที่น่าจะชอบดู นพรัตน์ที่ถูกผมส่งออกไปตามงานก็กลับเข้ามาในห้องพอดี
   ผมสองจิตสองใจว่าจะชวนดีไหม เพราะถ้าออกปากชวนตรงๆ หมอนี่ไปแน่ ไม่ว่าจะอยากดูหรือไม่อยากดูก็ตาม แต่ผมไม่อยากให้เขาต้องทนแบบนั้น ผมนั่งคิดไปคิดมาจนเขาเอางานมาส่งแล้วกลับไปนั่งโต๊ะนั่นแหละ ถึงพอจะนึกคำพูดออกมาได้
   “คุณนพ คุณเคยดูหุ่นละครเล็กรึเปล่า?”
   นพรัตน์หันมามองผม ก่อนจะพยักหน้า “สมัยก่อนพี่สาวพาไปดูบ่อยๆ ครับ ทำไมเหรอ?”
   “ชอบรึเปล่า?”
   “ชอบสิครับ คนกับหุ่นทำท่าเหมือนกัน ขยับเหมือนกัน ผมประทับใจมากเลยนะ แต่พอโตชวนใครก็ไม่มีใครไปดู บางทีก็ต้องไปดูคนเดียว”
   คำตอบทำให้ผมรู้สึกผิดคาด ชักนึกสงสัยว่าเจ้านพรัตน์อายุเท่าไหร่กันแน่
   “ไปดูบ่อยรึ?”
   “ก็เกือบทุกรอบที่มีเรื่องใหม่นะครับ แต่ว่าเขาย้ายจากสวนลุมฯไปพัทยาแล้ว จะขับรถไปก็ขี้เกียจ แถมไปคนเดียว ไม่รู้จะไปทำไม”
   ไม่รู้งานนี้เข้าทางใครกันแน่ ผมมองดูบัตรในมือ และเงยหน้ามองนพรัตน์ เอาล่ะ ไหนๆ ก็ไม่เป็นการบังคับขืนใจ แถมถ้าไปกับเขาผมก็ได้คนขับรถที่เชื่อใจได้ รอบที่เล่นก็เป็นรอบค่ำ เพราะฉะนั้นลืมเรื่องไปเช้าเย็นกลับได้เลย เพราะคงต้องค้าง หมอนี่มาค้างบ้านผมสุดสัปดาห์เป็นประจำอยู่แล้ว ถ้าชวนไปค้างนอกสถานที่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ดีกว่าต้องนั่งนึกรายชื่อคนอื่นที่ไม่รู้จะตรงตามเงื่อนไขที่ผมตั้งไว้รึเปล่า
   “คุณนพ ผมได้บัตรดูหุ่นละครเล็กมาสองใบ..”
   “ครับ?”
   “จะไปดูมั้ย...”
   “ไปสิครับ” เขาพูด และยิ้มแก้มแทบปริเช่นเคย นี่ถ้าเจ้านพรัตน์รู้จักกับรุ่นน้องผมคนนั้นนะ ผมคงเชื่อว่าสองคนนี่เตี้ยมกันแล้วล่ะ พอได้ยินว่าเริ่มตอนทุ่มหนึ่ง เจ้าหมอนี่ก็รีบกุลีกุจอจะติดต่อหาโรงแรมพักทันที ผมเลยต้องรีบเบรกเขาก่อนจะได้ทันกดโทรศัพท์
   “ไม่ต้อง เดี๋ยวผมจองเอง”
   “เอ๋? ไม่เป็นไรหรอกครับคุณไพฑูรย์ โรงแรมที่ผมจะจองไม่ใช่โรงแรมกระจอกนะครับ เป็นญาติห่างๆ ผมด้วย รับรองปลอดภัย”
   ผมหรี่ตามองเขา ก่อนจะพูดเรียบๆ “ผมกลัวคุณโทรไปจองแล้วมาบอกผมว่าไม่มีเตียงเดี่ยว มีแต่เตียงคู่ ผมขี้เกียจนอนเบียดกับคุณ”
   เจ้านพรัตน์มองผมอึ้งๆ แล้วหน้าแดงขึ้นมา นั่นไงล่ะ อย่าคิดนะว่าผมรู้ไม่ทัน ผมอยู่มาปูนนี้แล้ว อุบายตื้นๆ อย่าหวังมาใช้กับผมเลย
   ท้ายที่สุดผมเลยโทรจองโรงแรมเอง แล้วหันมาบอกเขายิ้มๆ “เตียงแยกนะ เจ้าของเขาเป็นรุ่นน้องผม รับรองเชื่อถือได้”
   นานๆ ผมจะเห็นเจ้านพรัตน์ทำหน้ามุ่ย หันไปก้มหน้าก้มตาจัดการเอกสารต่อ ผมนึกกระหยิ่มใจ เด็กก็เด็กนั่นแหละ คิดจะนอนเตียงเดียวกับผม ยังเร็วไปอีกร้อยปี
   คราวก่อนนะเผลอ แต่คราวนี้ไม่มีเสียหรอก
-------------------------------------------
   ผมไม่ได้ไปดูหุ่นละครเล็กนานแล้ว พอทำงานก็ไม่ค่อยมีเวลา แถมเล่นค่ำ เลิกก็ดึกพอสมควร เรียกแท็กซี่กลับมาบางทีก็กลัวไม่ปลอดภัย คราวนี้พอมีโอกาสได้ไปดูเลยอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เจ้านพรัตน์เสนอแผนเพิ่มเติมว่าไหนๆ ก็ออกไปถึงพัทยา น่าจะแวะเที่ยวข้างทางด้วยเสียเลย ผมก็ลงชื่อเห็นด้วยในทันที
   ดังนั้นวันเสาร์เราจึงออกจากบ้านแต่เช้า ประเดิมเที่ยวตลาดนัดคลองสวนเป็นที่แรก ไปเดินแล้วรู้สึกเหมือนกลับไปช่วงวัยรุ่นไม่มีผิด ที่สำคัญ มันไม่ใช่ตลาดที่อนุรักษ์ความเก่าเอาไว้เพื่อให้คนมาเที่ยวเฉยๆ มันเป็นตลาดที่ยังมีคนในชุมชนละแวกนั้นใช้บริการอยู่จริงๆ เลยยิ่งได้บรรยากาศเข้าไปใหญ่
   เจ้านพรัตน์ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวเต็มที่ สะพายกล้องเก็บภาพผมเดินดูนั่นดูนี่ไปตลอดทาง สงสัยจะเห็นว่าผมดูเข้ากับบรรยากาศล่ะมั้ง ไม่แก่บ้างให้มันรู้ไป สุดท้ายผมทนไม่ไหวเลยเรียกหมอนั่นเข้ามาแล้วให้คนแถวนั้นถ่ายรูปให้ เอาไว้เป็นที่ระลึกสักใบว่าเจ้านี่เคยพาคนแก่มาเที่ยวตลาดเก่า
   ดูเจ้านพรัตน์จะติดใจอยากได้รูปคู่อีก พยายามคะยั้นคะยอจะให้ผมยืนเอาหน้าแนบใกล้ๆ แล้วยกกล้องถ่ายเองแบบที่วัยรุ่นทั่วไปทำกัน แต่ผมไม่เอาด้วยหรอก น่าเกลียดจะตายชัก หน้าหายบ้างหัวแหว่งบ้าง เอารูปดีๆ ไปสักรูปก็พอ
   เราแวะทานก๋วยเตี๋ยวในตลาด แล้วก็เดินดูของกันไปเรื่อยๆ ผมนึกสนุกซื้อลูกข่างสีฟ้าให้เจ้านพรัตน์ลูกหนึ่ง แล้วตีหน้าขรึมพูดว่า “เอาไว้เล่นเวลาผมไม่อยู่แล้วกัน แก้เหงา แต่ผมไม่สอนวิธีเล่นให้คุณหรอกนะ ไปหัดเอาเอง”
   เจ้านพรัตน์รับไปแล้วตอบผมยิ้มๆ “ผมเล่นเก่งนะ ไม่เชื่อคุณซื้ออีกลูกแล้วไปเล่นกับผมตรงลานดินด้านหน้าสิ”
   ผมถลึงตามองเขา โม้ไม่โม้ไม่รู้ แต่ให้คนอายุปูนนี้ไปเล่นลูกข่างหน้าตลาดผมไม่เอาด้วยหรอก ถ้าย้อนเวลากลับไปอีกสักสามสิบปี แล้วผมจะตกลงเล่นกับเขา ดูซิว่าใครมันขี้โม้กว่ากัน
   ผมแวะซื้อแม่เหล็กติดตู้เย็นฝากอาจารีย์ แล้วซื้อขนมที่เคยนึกอยากทานแต่หาทานในเมืองไม่ได้ สุดท้ายก็กลายเป็นทัวร์บริโภค เดินไปทานไปตลอดทาง กว่าจะออกมาจากตลาดก็เกือบเที่ยง อิ่มขนมจนเลิกมองหาข้าวเที่ยงไปเลย
   จากนั้นเราก็ตีรถยาวไปพัทยา มีแวะซื้อของทานเล่นเพิ่มเติมข้างทางบ้างถ้าน่าสนใจ เจ้านพรัตน์ดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ขับรถไปฮัมเพลงไป ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าเขาร้องเพลงอะไร เพราะไม่ค่อยได้ฟังเพลงวัยรุ่นสมัยนี้ด้วย ขับไปเรื่อยๆ ถึงจะอิ่มขนม แต่เรายังไม่ได้ทานข้าวเที่ยง ของกินก็เต็มรถ ผมเลยใจบุญ คอยป้อนขนมเจ้านพรัตน์ที่ขับรถอยู่ หกบ้างเลอะบ้างว่ากันไป
   เพราะทัวร์บริโภคกันมาตลอดทาง กว่าจะถึงพัทยาก็เกือบหกโมงเข้าไปแล้ว ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนแผน เพราะยังไงโรงแรมจองห้องไว้แล้ว ห้องไม่หนีไปไหนแน่นอน แต่ถ้าไปไม่ทันรอบการแสดงสิจะมีปัญหา เรามาถึงโรงละครตอนเกือบทุ่ม เรียกได้ว่าฉิวเฉียดเส้นยาแดงผ่าแปดไปหน่อยเดียว
   ผมเพิ่งรู้เหมือนกันว่าเขาพัฒนาไปขนาดนี้ โรงละครใหม่ที่ย้ายมาพัทยาเป็นอาคารสูงสามชั้น ตกแต่งเสียวิจิตอลังการราวกับหลุดเข้าไปในป่าหิมพานต์ก็ไม่ปาน    ผมยืนอึ้งอยู่กับรูปปั้นกินรีตัวสวยที่ขยับได้ ก่อนจะถูกนพรัตน์ลากมือเข้าไปด้านใน
   ตั๋วรอบนี้เป็นรอบดินเนอร์ คือจะมีอาหารบริการระหว่างชมการแสดงไปด้วย ผมกับเจ้านพรัตน์ที่ทานแต่ขนมกันมาทั้งวัน เริ่มจะท้องกิ่วกันแล้ว เรียกว่าถึงมาได้เฉียดฉิวแต่ก็ยังไม่ต้องทนหิวไส้กิ่วดูการแสดงล่ะ
   การแสดงก็พัฒนาไปมาก จากแต่เดิมมีแค่การแสดงหุ่น พอย้ายมาที่นี่มีแสงสีเสียง มีชุดการแสดงที่เป็นคนแสดงประกอบ เรียกว่าอลังการสุดๆ ผมดูแล้วขนลุกซู่ ต้องสะกิดให้เจ้านพรัตน์ถ่ายรูปเก็บไว้ สวยๆ ทั้งนั้น นึกแล้วต้องขอบคุณรุ่นน้องคนนั้น รู้ใจจริงๆ
   กว่าการแสดงจะจบ ก็กินเวลาค่อนข้างดึกพอสมควร ผมทั้งอิ่มใจอิ่มท้อง เดินออกมาแล้วยังออกปากชมกับเจ้านพรัตน์ไม่ขาดปาก เจ้านพรัตน์ก็เออออต่อยอด คุยกันยาวไปจนถึงรถ จนถึงโรงแรม
   โรงแรมที่ผมจองไว้เป็นโรงแรมเล็ก เล็กแต่ขนาด การบริการนั้นติดระดับห้าดาว ทั้งห้องพัก ห้องน้ำ ผมเคยถูกรุ่นน้องที่เป็นเจ้าของเชิญให้มาพักหนหนึ่งแล้วติดใจ จึงแนะนำให้คนอื่นมาใช้บริการต่อ
   เช็กอินเสร็จ ผมก็กะว่าจะอาบน้ำล้างตัว แล้วนอนหลับให้สบายใจเสียที หลังจากตะลอนนั่งรถจนเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว แต่พอเปิดประตูเท่านั้นแหละ หน้าผมก็แข็งเหมือนถูกหล่อด้วยปูนปลาสเตอร์ เจ้านพรัตน์ที่เดินตามหลังมาพร้อมกับพนักงานขนกระเป๋าเอ่ยถามอย่างสงสัย ท่าทางจะคิดว่าผมเจอศพอยู่ในห้องล่ะมั้ง
   “มีอะไรหรือครับ?” เขาเอ่ยถาม ผมหันกลับมาทำตาเขียวใส่พนักงานขนกระเป๋าที่เดินตามมา “ผมจะกลับลงไปชั้นล่าง”
   น่าสงสารเด็กยกกระเป๋าอยู่หรอกที่เจอผมทำตาแบบนั้นใส่ แต่ผมทนไม่ไหวจริงๆ ผมจองห้องเตียงแยกนะไม่ใช่เตียงคู่ ไหงมันกลายเป็นห้องเตียงคู่ได้ล่ะ ผมลงมาโวยวายถึงล็อบบีด้านล่าง โดยมีเจ้านพรัตน์เดินตามมาติดๆ นี่ถ้าไม่คิดว่าจองโรงแรมเอง ผมต้องแว๊ดเขาไปด้วยแล้วแน่ๆ
   สุดท้ายรุ่นน้องของผมก็ต้องลงมารับหน้าด้วยตนเอง ถามไปถามมา สรุปได้ว่าเกิดความเข้าใจผิดตอนระบุห้อง ผมงี้แทบลมจับ จะหาห้องมาเปลี่ยน ห้องก็เต็มหมดแล้ว นึกแค้นใจหรอกนะ แต่ไม่รู้จะแค้นใคร โทษฟ้าโทษดินก็คงช่วยอะไรไม่ได้ ผมเลยเดินหน้าตึงกลับขึ้นมาบนห้อง โดยมีรุ่นน้องคนนั้นเดินตามมาขอโทษขอโพยติดๆ
   ผมสงสารเขา เพราะจะความผิดเขาก็ไม่ใช่ อีกอย่าง เขาก็เฉ่งพนักงานที่จัดห้องแทนผมไปเรียบร้อยแล้ว ท้ายที่สุดผมเลยต้องปั้นหน้าอโหสิ บอกเขาไปว่าไม่เป็นไร ทั้งๆ ที่ยังฉุนอยู่
   ผมน่ะโมโหแทบตาย แต่เจ้านพรัตน์ดูจะดีอกดีใจจนออกนอกหน้า เห็นเขาพยายามกลั้นยิ้มแล้วผมล่ะอยากจะถีบออกหน้าต่างไปจริงๆ
   ผมปิดประตูเสียงดังพอสมควรเพราะดึกแล้ว เกรงใจห้องข้างๆ แต่ก็อยากให้เขารู้ตัวว่าผมไม่พอใจ นพรัตน์หันมา พยายามทำหน้าจริงจัง ซึ่งทำยังไงผมก็ยังอยากจะถีบเขาอยู่ดีนั่นแหละ ก่อนจะอ้าปากพูดขึ้น
   “เตียงคู่ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ กว้างขนาดนี้ นอนไม่เบียดหรอก”
   “หึ” ผมส่งเสียงขึ้นจมูก แล้วเขม่นมองเขา นพรัตน์มองผมแล้วในที่สุดก็ยิ้มเขินๆ ออกมา
   “ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก อย่ากังวลเลยครับ ถ้าผมอยากทำน่ะ ผมทำตั้งนานแล้ว”
   ผมเห็นดวงตาสีดำเหมือนลูกแมวมองตรงมา แล้วได้ยินเสียงเขาพูดต่อ “ผมรู้ว่าคุณนอนไม่ล็อกประตูห้อง”
   ผมไม่ล็อกเพราะเผื่อว่าเกิดเหตุอะไร ตำรวจหรือปอเต๊กตึ้งจะได้ไม่ต้องเสียเวลางัดประตูเข้ามาต่างหากเล่า อีกอย่าง ประตูบ้านผมก็ล็อกมิดชิดดี
   ผมขี้เกียจเสียเวลาเถียงกับเขาตอนดึก เลยเดินเข้าห้องน้ำไปทั้งอย่างนั้น แน่นอนว่าผมไม่ลืมล็อกประตูห้องน้ำ ถึงขั้นนี้แล้ว ยังไงผมต้องระวังตัวเต็มที่แล้วล่ะ
   ฟ้ากลั่นสวรรค์แกล้งขนาดนี้ ผมไม่ระวังตัวก็บ้าแล้ว
   นพรัตน์ยืนถือเสื้อผ้ารออยู่ตอนผมออกมาจากห้องน้ำ ผมนึกกับตัวเองว่า เออดี อาบน้ำนานๆ เลยนะ ผมจะได้ชิงหลับไปก่อน พอเขาปิดประตูห้องน้ำแล้ว ผมก็รีบสอดตัวเองเข้าไปในผ้าห่ม กะว่ามิดชิดติดขอบเตียง มีอะไรรับรองหนีทันแน่นอน จากนั้นก็บอกตัวเองให้รีบหลับๆ จะได้ไม่คิดอะไรฟุ้งซ่าน แต่หูดันได้ยินเสียงน้ำไหลในห้องอาบน้ำจนทำเอานอนไม่หลับนี่แหละ
   ทำไมไม่เปิดน้ำลงอ่างไปเลยนะ จะได้ไม่ต้องนอนฟังเสียงฝักบัว
   ผมพยายามนึกถึงคำพระ หายใจเข้าหายใจออก ยุบหนอพองหนอ หลับๆ ไปสักทีซี่ ขณะที่กำลังหน้าดำคร่ำเครียดเพื่อจะพยายามบอกตัวเองให้หลับ เสียงประตูห้องน้ำก็ดังมาให้ได้ยิน
   ผมไม่อยากจะหูดีก็ตอนนี้แหละ
   ผมตอนตัวแข็งทื่อ ตอนที่รู้สึกว่าเตียงยุบลง พยายามบอกว่าเองว่าจงหลับๆ แล้วเจ้านพรัตน์ก็ส่งเสียงขึ้นมาเบาๆ “เวลานอนอย่าขมวดคิ้วสิครับ คุณไพฑูรย์”
   ผมก็อยากจะลืมตาแล้วพูดออกไปเหมือนกันนะ ว่าอย่ามาเที่ยวจ้องหน้าคนอื่นเวลานอนได้มั้ย แต่เดี๋ยวจะเสียแผน ผมเลยนอนนิ่งๆ ทำเป็นว่าหลับแล้ว ได้ยินเขาพูดราตรีสวัสดิ์เบาๆ แล้วก็ได้ยินเสียงปิดสวิชต์ไฟหัวเตียง
   คราวนี้ไม่มีเสียงอะไรมากวนใจผมแล้ว เรียกว่าเงียบสนิทเลยจริงๆ
   แต่มันเงียบจนผมดันได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นนี่สิ
   เจ้านพรัตน์สอดตัวเข้ามาในผ้าห่ม ขยับเข้ามาใกล้ผม โอ๊ย เตียงมีตั้งกว้างจะขยับมาเบียดผมทำไม แต่ในฐานะคนหลับไปแล้ว ผมลุกขึ้นโวยวายไม่ได้ รอเขาเบียดจนผมจะตกเตียงก่อนแล้วกัน ค่อยลุกขึ้นมาโวยวาย
   โชคดีที่เจ้านพรัตน์หยุดขยับเข้ามาเบียดก่อนที่ไหล่จะชนกับผม ผมล่ะแทบจะถอนหายใจออกมา แต่สักพัก มือของเขาก็ค่อยๆ ยื่นเข้ามา
   ไอ้เด็กนี่!!
   ผมเตรียมอาละวาดเต็มที่ กะว่าถ้าแหยมเข้ามาเกินเลยอีกนิดเดียว หมอนี่ได้กระเด็นตกเตียงแน่ นพรัตน์ขยับมือเข้ามาเรื่อยๆ จนแตะเข้ามานิ้วก้อยของผม แล้วเขาก็ค่อยๆ กำมันเอาไว้หลวมๆ
   แค่นั้น........
   ผมนอนหูอื้อ เพราะเสียงเต้นของหัวใจตัวเอง ดึกก็ดึกแล้ว ไอ้คนข้างๆ ก็นอนนิ่งๆ จริงๆ จับนิ้วผมไปกำแล้วก็นิ่งไปเลย หลับแล้วแน่ๆ แล้วทำไมถึงมีแต่ผมที่ยังตื่นอยู่อีกล่ะ
   ทำไมหัวใจผมถึงเต้นแรงขนาดนี้
   ผมจะเป็นโรคหัวใจรึเปล่านะ.....
-------------------------------------------------
   “คุณไพฑูรย์” ผมลืมตาขึ้นมามองคนเรียก และพบว่าหน้าของนายนพรัตน์แทบจะชนกับหน้าผม ผมพยายามขยับหนี แต่เขาก็เอามือมาจับหน้าผมไว้ จากนั้นผมก็รู้สึกเหมือนเห็นเงาไอ้คุณพี่จิระภัทร์ซ้อนทับหน้าเขา
   “ที่ผมบอกไม่อยากจะทำอะไรคุณน่ะ ผมเปลี่ยนใจแล้ว”
   แล้วหลังจากนั้นก็ล้วงมือเข้ามาในอกเสื้อผม ให้ตายเถอะ ไม่ว่าจะเป็นไอ้คุณพี่จิระภัทร์หรือนายนพรัตน์ ทำแบบนี้กับผมรับรองไม่ตายดีแน่ ผมถีบเขาไปเต็มแรง
   !!
   “คุณไพฑูรย์ ทำอะไรน่ะครับ” เจ้านพรัตน์ที่นอนอยู่ข้างๆ สะดุ้งลุกพรวดขึ้นมา ทันทีที่ผ้าห่มปลิวกระเด็นออกไปเพราะแรงถีบ ผมนั่งอึ้ง เอ่อ... ตะกี้ผมฝันหรอกหรือ....
   ผมกะพริบตาปริบๆ ขณะที่นพรัตน์เปิดไฟหัวเตียง “เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”
   ผมสั่นศีรษะ ไม่กล้าหันไปมองหน้าเขา
   “ละเมออีกแล้วเหรอ?”
   รู้แล้วยังจะถามอีก แล้วหันลืมๆ เรื่องเก่าๆ ไปบ้างได้มั้ย อย่ามาใช้คำว่า ‘อีกแล้ว’ นะ   ผมเตรียมจะหันไปใช้สายตาดุเขา แต่ยังไม่ทันได้หัน นพรัตน์ก็ดึงตัวผมเข้าไปกอด แน่ะ คิดว่าผมเป็นเด็กๆ หรือไง ฝันร้ายต้องกอดปลอบเนี่ย
   “ไม่เป็นไรแล้วนะครับ ผมอยู่ข้างๆ คุณตลอดนะ ไม่เป็นไรแล้ว”
   โอ๋เสียอย่างกับผมเป็นเด็ก เอาเถอะ เห็นแก่ที่มีเจตนาดี ผมยอมให้กอดอีกครั้งก็ได้ มือของเขาที่ลูบมาด้านหลังก็อุ่นดีหรอก ทำเอานึกถึงคืนวันฝนตกนั่นจนได้ เอาเถอะ เขาก็แค่เจตนาดี เจตนาดีก็ควรจะรับเอาไว้
   เพราะเขาเป็นแบบนี้แหละ ผมเลยไม่ล็อกประตูห้องนอน
-----------------------------------------   

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   ผมตื่นมาอีกทีเพราะความอึดอัด แล้วก็พบว่าเจ้านพรัตน์นอนกอดผมอยู่ มองหน้าเห็นไม่ชัดหรอกนะ เพราะอยู่ใกล้แค่ปลายจมูกนี่เอง แต่พอเดาได้อยู่หรอกว่าหลับสบายเชียว
   ผมถือคติโบราณ ไม่ปลุกคนหลับเพราะมันบาป เลยทำบุญทำทาน ให้นายนพรัตน์กอดต่อ ถือว่าเด็กมันขาดความอบอุ่น แอร์มันคงเย็นเกินไป เอาน่า กอดเฉยๆ ไม่สึกไม่หรออะไรหรอก
   นอนนิ่งๆ ไปนานๆ มันชักเคลิ้มๆ ผมเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ คราวนี้หลับสนิท อย่าว่าแต่ฝัน โดนกอดอยู่ยังไม่รู้ตัวเลย ตื่นมาอีกทีก็เห็นว่าสว่างจ้าแล้ว แถมใครบางคนนอนยิ้มอยู่ข้างๆ
   มองคนนอนหลับมันสนุกนักหรือไงนะ
   “อรุณสวัสดิ์ครับ” เจ้านพรัตน์พูด เออ ตื่นมาตอนเช้ามีคนพูดอรุณสวัสดิ์ก็ดี ปกติเวลาหมอนี่มาค้างที่บ้าน พอผมลงมาก็พูดอย่างนี้อยู่แล้ว ตอนนี้แค่ย้ายมาพูดข้างๆ มันก็แค่เปลี่ยนสถานที่เท่านั้นล่ะน่า....
   อย่าไปใจเต้นแรงนักสิ....
   ผมขยับตัวลุกขึ้น ถามหาเวลากับเขา เพราะไม่ได้ใส่แว่น เรื่องจะดูนาฬิกาข้อมือลืมไปได้เลย นพรัตน์ตอบทันอกทันใจอีกเช่นเคย “สิบโมงแล้วครับ”
   ส่ายโด่ง ผมหันไปมองนายนพรัตน์ว่าทำไมไม่ปลุก แต่ก็นึกได้ว่าตัวเองนอนหลับๆ ตื่นๆ แล้วก็เลยมาหลับยาวเอาตอนรุ่งสาง นอนไม่หลับเอง ไม่รู้จะโทษใคร ถึงจะอยากโทษเจ้าเด็กตาใสนี่ก็เถอะ
   ผมเลยลุกขึ้นไปอาบน้ำ เพราะขืนนั่งแช่นานๆ สายตามันพาลจะหันไปเอาโทษนายนพรัตน์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเสียทุกที พอผมลุก หมอนั่นก็ฉวยมือผมไว้ จะถามอะไรเรียกเอาก็ได้ ผมไม่ได้หูหนวก ไม่ต้องดึงเอาไว้อย่างกับเด็กขอผ้าอ้อมงี้หรอก
   “มีอะไร?” ผมหันกลับมาถาม เขามองหน้าผม อ้ำๆ อึ้งๆ สงสัยเห็นสีหน้าอารมณ์บูดเต็มที่ของผมล่ะมั้ง สักพักเขาก็ยอมปล่อย ผมเลยเดินไปเข้าห้องน้ำ
   พอทำธุระส่วนตัว และอาบน้ำเสร็จ ผมเลยอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง เดินออกมาเลยยิ้มให้เจ้านพรัตน์เสียหน่อย ค่าที่ตะกี้ตื่นมาทำหน้าบึ้งใส่ เจ้านพรัตน์ยังนั่งอยู่บนเตียง พอเห็นผมยิ้มให้ก็หน้าบาน ยิ้มจนแก้มแทบปริอีกแล้ว
   ยิ้มง่ายยิ้มเก่งจริงๆ เลยนะ เด็กคนนี้
   เขาทำท่าลังเลเหมือนอยากจะพูดอะไรกับผม แต่แล้วก็เปลี่ยนไปเข้าห้องน้ำแทน ผมเลยนั่งลงตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ดูหน้าดูตาตัวเองซิว่าโกนหนวดเกลี้ยงดีหรือยัง ผมชอบหน้าเกลี้ยงๆ ลูบแล้วไม่มีอะไรระคายมือแบบนี้สิดี บ้านผมเลยมีใบมีดโกนสต็อกอยู่เป็นกุลุด กะว่าโกนไปทั้งปีไม่มีขาดตอน สามร้อยหกสิบห้าวันรับรองไม่เคยมีใครได้เห็นไรหนวดของผม
   นอกจากหนวดตัวเองแล้ว ผมยังไม่ชอบเห็นคนอื่นไว้หนวด ผมว่าสกปรก
   แต่เอาล่ะ คนเราไว้หนวดมีเหตุผลต่างกันไป บางคนไว้เพราะความเชื่อ บางคนไว้เพราะแฟชั่น ผมเคารพสิทธิคนอื่นนะ แต่...ถ้าไว้หนวดอย่าได้เอาหน้ายื่นมาใกล้ผมเด็ดขาด ไอ้พี่จิระภัทร์รู้ดีที่สุด มาทีไรหน้าเกลี้ยงกว่าหัวทุกที นายนพรัตน์ท่าจะรู้ดีรองลงมา เห็นโกนซะเกลี้ยงทุกวันเหมือนกัน แต่ผมยังไม่เคยลองจับเลยว่ามีแพลมออกมาบ้างรึเปล่า
   เอาเถอะ มันหน้าคนอื่นนี่ ผมจะไปจับทำไมกัน
   นายนพรัตน์อายุยืนจริงๆ กำลังนึกถึงอยู่ก็เปิดประตูห้องน้ำออกมาล่ะ ผมหันกลับไปมองด้วยความเคยชิน....
   “คางโดนอะไรน่ะ?”
   “มีดโกนบาดครับ มีปลาสเตอร์มั้ย?”
   โห... อายุตั้งยี่สิบสามแล้วยังทำมีดโกนบาดหน้าอีก เชื่อเลย เด็กสมัยนี่มัวแต่พึ่งเครื่องโกนหนวดไฟฟ้าหรือไงนะ ผมพยักหน้า แล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา เห็นเจ้านพรัตน์ทำตาโต นึกไม่ถึงล่ะสิว่าผมจะพกกระทั่งปลาสเตอร์ไว้ในกระเป๋าสตางค์ คนอย่างผมรอบคอบเสมอ
   “อยู่นิ่งๆ เลย” ผมเอ็ดเมื่อเขาทำท่าจะเอาไปติดเอง กระจกก็ไม่มี โกนหนวดยังพลาด จะเอาอะไรกับติดปลาสเตอร์
   “ขอบคุณครับ” เขาพูด หลังจากผมติดปลาสเตอร์ให้เรียบร้อยแล้ว ผมนึกหมั่นเขี้ยวกล้ามหน้าท้องแน่นๆ ของเขา เพราะเจ้าตัวนุ่งแต่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวออกมา เลยยกนิ้วดีดเสียงดังเพี้ยะ เจ้านพรัตน์ทำหน้าตกใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหัวเราะ
   “ชอบหรือครับ?”
   เออ ยังกล้าพูดแบบนี้นะคนเรา ผมลอยหน้าลอยตาพูดตอบไป “เปล่า แค่เห็นว่าน่าจะทนมือทนไม้ดี”
   “โห.. ผมไม่ใช่กระสอบทรายนะครับ แต่ถ้าคุณชอบ ผมยอมก็ได้”
   “ผมไม่ใช่คนป่าเถื่อนแบบนั้นหรอกนะ ไปใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยไป” ผมไล่ เจ้าหมอนั่นเลยเดินไปกลับเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา เออ แบบนี้ค่อยดูเป็นผู้เป็นคนหน่อย
   “เดี๋ยวทานข้าวที่โรงแรมก่อนกลับก็ได้ จะได้ไม่ต้องแวะข้างทาง” ผมว่า เพราะตื่นสายโด่ง ถ้าแวะนั่นแวะนี่แบบขามา มีหวังกลับถึงบ้านไม่ทันไปทำงานพรุ่งนี้แน่
   นพรัตน์พยักหน้า ผมเลยเดินไปเก็บกระเป๋า “งั้นเดี๋ยวขนกระเป๋าลงไปเลย ทานเสร็จแล้วจะได้ออก”
   “คุณไพฑูรย์..”
   อะไรอีกล่ะ เรียกอีกแล้ว ผมหันหน้ากลับมา แล้วเห็นหมอนี้ทำท่าอ้ำๆ อึ้งๆ หน้าเริ่มแดงขึ้นมาอีก
   ผมเพิ่งเห็นคนที่หน้าแดงไม่เลือกสถานที่และสถานการณ์ก็หมอนี่นี่แหละ
   “ไปเก็บกระเป๋าไป เดี๋ยวก็กลับดึกหรอก” ผมไล่ เมื่อเห็นเขายืนบิดๆ ไม่ยอมพูดอะไรสักที นพรัตน์ยังยืนเก้ๆ กังๆ อยู่อีกพักหนึ่ง ในที่สุดก็เดินเข้ามา จับมือผมไว้ ผมเลยต้องหยุดเก็บกระเป๋า แล้วหันไปมองเขาแทน
   “ผมคิดว่ามีเรื่องจะต้องพูดกับคุณ”
   อ๋อ... ในที่สุดก็ยอมเผยไต๋มาแล้วสินะ ดี ผมจะได้จัดการให้มันเสร็จๆ ผมตั้งท่าเต็มที่ กะว่าเขาพูดเมื่อไหร่จะตอกให้หน้าหงาย นพรัตน์ยืนอ้ำๆ อึ้งๆ หน้าเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ ผมคิดว่าอีกเดี๋ยวเขาคงจะม้วน แล้วเขาก็ม้วน ม้วนมือของผมไปจูบดังจุ๊บ
   เขาจูบมือผมนะ แต่กรามผมค้างสนิทเลย
   “ผมว่าผมมีหวังนิดๆ แล้วล่ะ”
   “.....................”
   “เรื่องหาแฟนน่ะ”
   เรื่องนี้อีกแล้ว ถ้าแก่กว่าน่ะหยุดหวังไปได้เลย ผมเองก็อยากจะพูดออกไปเหมือนทุกทีหรอกนะ แต่กรามมันอ้าไม่ออกเสียดื้อๆ สงสัยกลับไปต้องไปหาหมอฟัน ท่าทางเส้นเอ็นจะมีปัญหา
   “ผมจริงจังนะครับ”
   เออ รู้แล้ว จริงจังจริงๆ ถามไม่เลิกไม่ราสักที แต่เมื่อไหร่กรามผมจะหายค้างนะ จะได้เลิกเถียงหมอนี่ในใจสักที
   “ผมรู้คุณใจแข็ง ใจแข็งมากด้วย”
   เออ รู้ก็ดีแล้ว รู้แล้วยังจะทำมาถามอีกแน่ะ
   “แต่ผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก เพราะคุณใจแข็งนี่แหละ”
   ตรรกะอะไรของหมอนี่นะ ฟังแล้วไม่เห็นจะไปกันได้เลย
   “ผมรู้ว่าคุณเข้าใจผมแน่ แต่คุณไม่รู้ว่าจะตอบผมยังไง ไม่เป็นไร ผมรอได้”
   เหอะ เป็นเด็กเป็นเล็กจะหัดมารู้ความในใจคนอายุรุ่นพ่อแบบผมได้ยังไง เชิญรอไปเถอะ ดูสิจะรอไปได้สักกี่น้ำ
   “แต่ผมขอมัดจำไว้ก่อนแล้วกัน คุณจะได้ไม่เบี้ยวผม”
   “?”
   ผมคิดว่าเจ้านพรัตน์พอเห็นแล้วว่าผมมีปัญหาอ้าปากไม่ออก ไม่งั้นคงฉะใส่หน้าเขาไปแล้ว ถึงได้ใจบุญจะช่วยง้างกรามให้ผม แต่ปกติเขาจะง้างกรามกันมันต้องเอามือกดไม่ใช่หรือไง แต่หมอนี่ดัน...ดันเอาปากกด แถมกรามผมที่ค้างๆ อยู่ก็ดันอ้าออกง่ายๆ อีกต่างหาก
   อืม...พูดให้เข้าใจง่าย เขาจูบผมนั่นแหละ
   ในโลกนี้มีมนุษย์สองคนที่เคยจูบผม
   คนแรกคือพรายโพยม
   คนที่สองคือไอ้เจ้านพรัตน์นี่แหละ กล้าหาญชาญชัยเสียไม่มี ไม่คิดหน้าคิดหลังบ้างเลยหรือไงนะว่าจูบผมแล้วจะเป็นยังไงต่อ
   ผมจะเล่าชะตากรรมคนที่เคยจูบผมให้ฟัง คนแรก... โอ๊ย นายนพรัตน์จูบแรงเกินไปแล้ว
ใครเขาเอาลิ้นล้วงกันลึกขนาดนี้เล่า ผมขอหยุดบรรยายเรื่องในอดีตไว้เพียงเท่านี้ ขอไปจัดการกับเจ้าเด็กเวรนี่ก่อน
   เออ ลืมไปเลยว่าตัวเจ้านพรัตน์แข็งโป๊ก มีแต่กล้ามทั้งนั้น หยิกยังไม่เข้า เอาเล็บจิกจะรู้สึกไหมล่ะ ผมเลยเริ่มทุบ แต่ก็ไม่ได้ผลอีกเหมือนกัน ในเมื่อเขากล้าคุกคามผมด้วยปาก ผมก็จะสู้กับเขาด้วยปากนี่แหละ
   ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ปากต่อปาก เสมอภาคเสียไม่มี ซะที่ไหนเล่า ผมว่านะ ไอ้เจ้านพรัตน์เก่งเรื่องไม่ควรเก่งเกินไปแล้ว แลกลิ้นกันอยู่พักหนึ่ง ผมก็เริ่มหน้ามืด กะจะไม่ให้หายใจหายคอกันเลยหรือไงเนี่ย
ในที่สุดนพรัตน์ยอมถอนจูบออก ก่อนที่ผมจะเข้าใจว่าหมอนี่จงใจจะฆาตกรรมผมโดยจูบให้ขาดอากาศตาย เขาขยับตัวออกมามองผมพักหนึ่ง แล้วดึงผมเข้าไปกอดอีก หายใจรดหูผมแล้วจูบซอกคอเบาๆ ผมที่ยังไม่ทันหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดดีมีอันต้องความดันขึ้นต่อ
   เฮ้ย จะมากไปแล้วนะ ตะกี้จูบปาก แล้วนี่จะ.....
   “คุณไพฑูรย์” เขาชิงพูดขึ้นมาก่อนที่ผมจะอ้าปากด่า ผมเลยให้เขาพูดก่อน เพราะยังต้องการเวลาหอบหายใจอีกสักพัก ก่อนจะหน้ามืดไปจริงๆ เขาขยับตัวออกมา ประจันหน้ากับผมเต็มที่ มองผมด้วยแววตาเหมือนแมวไม่มีผิด
   “ผมมัดจำแล้วนะ ห้ามให้ใครจูบอีกนะครับ นานเท่าไหร่ผมรอได้ แต่ผมไม่ยอมให้คนอื่นเด็ดขาด”
   ผมล่ะอยากจะพูดออกไปจริงๆ ว่าไม่มีใครอยากได้ผมนักหรอก นอกจากคนประหลาดบางคนตรงหน้าผมนี่แหละ นพรัตน์ขบริมฝีปากที่ยังเปียกๆ อยู่ พูดทั้งๆ ที่หน้ายังไม่หายแดงดี
   “ผมจะรอจนกว่าคุณจะพูด คราวนี้ผมจะไม่ยอมถูกหักอกอีกแล้วล่ะ”
   ผมคันปากยิบๆ อยากจะด่าออกไป แต่นึกไม่ออกว่าจะด่าอย่างไร หมอนี่จะรอให้ผมพูดอะไรกัน คิดว่ารอแล้วจะมีหวังหรือไง เชิญรอไปเถอะ
   จะรอได้สักกี่น้ำเชียว
   นพรัตน์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ทั้งๆ ที่ผมว่าผมตีหน้าถมึงทึงเต็มที่ ขณะที่ผมกำลังนึกหาถ้อยคำเผ็ดร้อนที่พอจะตอบโต้สิ่งที่เขาเพิ่งทำกับผมได้บ้าง เขาก็ยื่นหน้าเข้ามา แล้วหอมแก้มผมเบาๆ
   “เดี๋ยวผมช่วยยกกระเป๋าลงไปนะครับ”
   ผมยืนอึ้งอยู่เป็นนานสองนาน พอนึกขึ้นได้ก็ยกขาถีบเขาดังพลัก นายนพรัตน์ถอยหลังไปหน่อยหนึ่ง จากนั้นก็หน้าแดงวาบ แล้วหัวเราะออกมา
   ผมล่ะอ่อนอกอ่อนใจกับเขาจริงๆ เชียว
----------------------------------------
   เรากลับมาถึงบ้านประมาณสี่ทุ่มกว่า เพราะตีรถยาวมาตั้งแต่เที่ยง ไม่ได้แวะข้างทางเหมือนขาไป พอถึงบ้านต่างคนต่างก็หิวแบบไม่ต้องมองตาก็รู้กัน ผมเลยชงข้าวโอ๊ตให้เขากับตัวเองคนละแก้ว เราสองคนนั่งจิบข้าวโอ๊ตกันเงียบๆ มีเสียงรายการโทรทัศน์ยามดึกเป็นแบกกราวด์
   หลังทานข้าวโอ๊ตเสร็จ เขาก็ขอตัวกลับ แน่นอนว่าผมไม่ปล่อยให้เขามีโอกาสได้หอมแก้มหรือจุ๊บปากอีกหรอก ปล่อยให้รุกเข้ามามากๆ เดี๋ยวผมจะเสียท่าก่อนเวลาอันควร นพรัตน์ก็พอรู้เส้นผมอยู่ พอผมไม่ยอมก็ไม่ยื้อต่อ กลับไปพร้อมกับคำราตรีสวัสดิ์ ผมกลับมานั่งที่โต๊ะ แก้วเขาน่ะเขาล้างแล้วล่ะ บนโต๊ะเลยมีแค่แก้วผม โทรทัศน์ก็เปิดอยู่เหมือนเดิม
   แต่ทำไมผมถึงรู้สึกเงียบนักก็ไม่รู้
----------------------------------------
   เพื่อให้เขารู้ว่าคนอย่างผมไม่มีทางสะดุ้งสะเทือนแค่เพราะถูกจูบหรือถูกหอมแก้ม หรือต้องนอนเตียงเดียวกันในโรงแรมเพราะความผิดพลาดของพนักงาน วันจันทร์ผมเลยนั่งรอท่าให้เขามารับเหมือนเดิม แล้วก็บ่นนั่นบ่นนี่ตลอดทางเหมือนเดิม
   สรุปว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิดเดียว
   ถึงแม้ผมจะคิดว่าหัวใจตัวเองเต้นแรงหน่อยๆ เวลามองหน้าเขาก็เถอะนะ
   เปิดมาวันจันทร์ผมก็ต้องรับศึกหนัก เมื่อเจอขบวนการปล่อยข่าวในบริษัท กว่าจะจัดการได้ก็วันพุธเข้าไปแล้ว
   พอเข้าวันพฤหัสฯ ผมเลยงดโปรแกรมเดินตรวจ เพราะพนักงานยังไม่หายประสาทเสีย และผมเองก็อยากจะพัก ไอ้เรื่อปล่อยข่าวทำเอาผมมึนไปหลายตลบ ไม่นึกว่าจะทำกับซับซ้อนขนาดนี้ ถ้ารู้ช้าไปอีกไม่กี่อาทิตย์มีหวังได้เสียหายหนัก
   ผมจิบกาแฟ อ่านหนังสือพิมพ์ แล้วก็มองน้ำตกเทียมที่อยู่ข้างโต๊ะ เพื่อช่วยผ่อนคลายเส้นประสาทที่กระตุกอย่างหนักในสามวันที่ผ่านมา มองเลยไปอีกนิด ก็เห็นนายนพรัตน์ง่วนอยู่กับการแยกหนังสือร้องเรียนที่ผมโยนไปให้ เพราะเห็นแล้วว่างี่เง่าไม่ได้เรื่องทั้งนั้น ให้เขาเอาไปลับฝีมือ เผื่ออนาคตจะได้ส่งไปทำงานเป็นบก.นิตยาสารน้ำเน่ารายสัปดาห์
   ตอนผมกำลังจะสั่งให้เจ้านพรัตน์เอาถ้วยกาแฟไปเก็บ เสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้น ตามด้วยชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานอายุราวๆ สักสามสิบปลายๆ ในชุดสูทสากลเรียบร้อยที่เปิดประตูเข้ามา ได้ยินเสียงเจ้านพรัตน์เอ่ยทักไปก่อนที่ผมจะพูดอะไรเสียอีก   
   “พี่นพ?!”
ผมรู้แล้วล่ะว่านพรัตน์มีพี่ชายชื่อนพคุณ ที่สำคัญทำงานแบบเดียวกับที่ผมทำอยู่เสียด้วย แต่เขามาหาผมในเวลางานแบบนี้ทำไมนะ บริษัทเขากับบริษัทผมก็ไม่ได้ทำงานด้านเดียวกัน แถมไม่เคยมีปัญหาเรื่องแย่งตัวพนักงานกันด้วย
   นพคุณยกมือไหว้ทักทายผม เออ ท่าเดินท่าไหว้ก็รู้แล้วว่าเขาเป็นคนเรียบร้อย หน้าตาก็ดูน่าคบหา ของแบบนี้มันเป็นมาทางสายเลือดและการเลี้ยงดูสินะ เขาทักผมแล้วถึงหันไปมองน้องชายที่ทำหน้าตื่นๆ มองแล้วทำหน้านิ่งๆ ไม่พูดอะไร จากนั้นก็หันมามองผม
   ไอ้พี่น้องคู่นี้สื่อสารกันทางโทรจิตหรือไง
   ผมมองหน้านพคุณ หน้าตาอย่างกับพ่อลูกมากกว่าพี่น้อง ได้ยินจากเจ้านพรัตน์แล้วเหมือนกันว่าตัวเขาเป็นลูกคนเล็ก แถมหลงมา เลยอายุห่างจากพี่ๆ มาก แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าพี่ชายจะดูมีอายุขนาดนี้ คือนพคุณไม่ได้ดูไม่ดีหรือแก่ หรือหน้าเหี่ยวอะไรหรอกนะ เขาแค่ดูภูมิฐานกว่าอายุจริงหลายเท่าเลย ผมอดรู้สึกนับถือไม่ได้ เพราะท่าทางอย่างนี้นี่เอง เลยทำงานแบบเดียวกับผมได้ ป้อๆ แป้ๆ ไปวันๆ อย่างนายนพรัตน์คนอื่นเขาจะเกรงใจไหมล่ะ
   “เชิญนั่งครับ” ผมบอกเขาเมื่อเห็นเขายังยืนอยู่ นพคุณลากเก้าอี้มา แล้วนั่งลงตรงหน้าผม ก่อนจะยิ้มออกมา ยิ้มนิ่มๆ ดูสุขุมสมกับท่าทางจริงๆ
   “ผมได้ยินชื่อคุณมานานแล้ว เพิ่งมีโอกาสได้เจอตัวจริงก็วันนี้เอง เป็นเกียรติมากครับ คุณไพฑูรย์”
   ผมยิ้ม พลางนึกว่าเขาได้ยินชื่อผมในรูปแบบไหน และจากใครกันแน่
   “ผมชื่อนพคุณ ทำงานอยู่บริษัทM น้องชายผมอาจจะเคยเล่าให้คุณฟังบ้างแล้ว”
   ผมพยักหน้า แต่ขี้เกียจบอกว่าผมถามเอาตอนสมัครงานต่างหาก เขาพูดต่อ “แต่ผมไม่ได้มาในนามบริษัทหรอกนะครับ ผมมาในนามส่วนตัว เกี่ยวกับเรื่องน้องชายผม”
   เอาล่ะสิ จะมาขอตัวคืนหรือไง ผมยังให้ไม่ได้หรอกนะ เพราะผมเริ่มนิสัยเสีย ขาดผู้ช่วยไม่ได้แล้วล่ะ
   “น้องชายผมจริงๆ เป็นเด็กดีครับ แต่เขามีนิสัยแปลกๆ อยู่สักหน่อย อาจจะทำตัวรุ่มร่ามกับคุณไปบ้าง”
   เจ้านพรัตน์อ้าปากพะงาบๆ เหมือนจะเถียง แต่เถียงไม่ออก ได้แต่สั่นศีรษะแล้วหันมาทางผม เหมือนจะขอร้องให้ช่วย
   เจอแบบนี้ ผมไม่ช่วยก็ไม่ได้
   “ไม่หรอกครับ เขาไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นกับผม” ผมตอบ แต่ก็ไม่วายนึกถึงเรื่องที่พัทยาขึ้นมาจนได้ เอาน่า มันก็แค่การกระทำของเด็ก จะเก็บมาคิดทำไม นพคุณยิ้มออกมาอีก แล้วพูดต่อ
   “คุณโอเคกับการทำงานของเขารึเปล่าครับ”
   นี่เขามาตรวจสอบการทำงานของน้องชายหรือไงนะ ผมพยักหน้า และพูดตอบไป “ก็โอเคดีครับ ถ้าไม่ติดว่าอายุน้อยไปหน่อย”
   นพรัตน์ทำหน้าน่าสงสารเต็มที่ ได้ยินพี่ชายของเขาถามต่อ “แล้วเป็นอุปสรรค์กับคุณมากรึเปล่าครับ”
   “ก็ไม่เท่าไหร่นะ” ผมตอบ และชักนึกเอะใจว่าเขากำลังถามด้วยจุดประสงค์อะไรกันแน่ นพคุณยิ้มอีก เออ ไอ้พี่น้องคู่นี้มันเหมือนกันตรงยิ้มบ่อยนี่แหละ ชาติที่แล้วไปประกวดนางสาวไทยกันทั้งบ้านเลยหรือไง
   “งั้นผมขอฝากน้องชายเอาไว้ด้วยนะครับ”
   “อืม” ผมส่งเสียงงึมงำตามเรื่อง จะมาฝากมาฝังอะไรตอนนี้ หมอนี่ทำงานกับผมมาจะครึ่งปีแล้ว ไม่ต้องฝากแล้วล่ะ เขาขยับตัว แล้วหยิบถุงกระดาษขึ้นมาใบหนึ่ง
   “ผมรู้ว่าคุณไม่ค่อยรับของฝาก แต่ช่วยรับนี่ไว้หน่อยเถอะครับ”
   “เงินทองน่ะผมไม่รับหรอกนะ” ผมตอบทันที นพคุณสั่นศีรษะ “เปิดดูก่อนก็ได้ครับ”
   ผมเลยรับถุงมาดู อยากรู้เหมือนกันว่าพี่ชายนายนพรัตน์จะซื้ออะไรมาฝากผม พอเปิดดูเสร็จ ผมก็เงยหน้าขึ้นมองเขา เห็นเขายิ้มอีก
   เออ พี่น้องพอกันเลย
   “เปี๊ยกบอกว่าคุณชอบทาน ผมเลยซื้อมาฝาก เป็นของญาติที่รู้จักกันนะครับ ทำสะอาด เชื่อถือได้”
   ผมพยักหน้า แล้วเหลือบไปมองนายนพรัตน์ทีหนึ่ง เขานั่งหน้าเจี๋ยมเจี้ยม เหลือบตามองมาทางผมอย่างของความเห็นใจเต็มที่
   ผมล่ะอยากถอนหายใจออกมาจริงๆ
   “ผมขอตัวก่อนนะครับ ขอบคุณที่ช่วยดูแลน้องชายนะครับ” เขายกมือไหว้ลาผม แล้วเดินกลับออกไปเงียบๆ เหมือนตอนเข้ามา ผมมองเขาปิดประตู มองขนมตะโก้ในถุงตรงหน้า แล้วมองนายนพรัตน์ ซึ่งก็นั่งขบริมฝีปาก หน้าแดงเป็นลูกตำลึงอีกแล้ว
   ทำก็ไม่ได้ทำ ซื้อก็ไม่ได้ซื้อ จะมาหน้าแดงหาพระแสงอะไรนะ
   ผมจะรับฝากเจ้าหมอนี่ไว้สักพักแล้วกัน จะได้ไม่ต้องไปเที่ยวทำตัวเป็นเด็กสิบขวบต่อหน้าใครต่อใครคนอื่นอีก
   แต่ก็ไม่รู้จะฝากไว้ได้นานเท่าไหร่หรอกนะ ไม่รู้ว่าเขาจะหนีกลับบ้านไปหาพี่ชายก่อนผมจะเลิกรับฝากรึเปล่า....
----------------------------------------------
   “คุณนพ ผมว่าคุณทำตัวแบบนี้พี่ชายเป็นห่วงนะ” ผมพูดกับเขาในตอนนั่งรถกลับบ้าน นพรัตน์หันมามองผมอย่างงงๆ ก่อนจะหันกลับไปมองทางต่อ
   “ผมไม่ได้ทำตัวเสียหายอะไรนี่ครับ แค่ขับรถมาส่งคุณเอง”
   “ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องขับรถ” ผมว่า และรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมา “ผมหมายถึง คุณชอบไล่จีบคนอายุเยอะกว่า พี่ชายเขาเลยเป็นห่วง”
   “อ๋อ” เจ้านพรัตน์ร้องออกมา และพูดตอบ “พี่เขาเป็นห่วงจริงๆ แหละครับ ผมยอมรับ ตอนนี้มรดกส่วนของผมเลยต้องให้เขาดูแลไปก่อน เพราะเขากลัวผมไปโดนผู้ใหญ่หลอก”
   “เออ นั่นแหละ เปลี่ยนๆ ตัวเองบ้าง อย่าทำให้พี่ชายเป็นห่วงมากนัก”
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่มาพบคุณแล้วนี่ ผมว่าพอเขาเห็นคุณ เขาคงเบาใจไปเยอะเลยล่ะ”
   “....................”
   “คุณไพฑูรย์....”
   ผมล่ะลุ้นว่าเมื่อไหร่ไฟตรงแยกจะกลายเป็นสีเขียวสักที ไอ้ป้ายนับถอยหลังจะติดไปให้เปลืองงบประมาณทำไมกันถ้าไม่ใช้
   “รับฝากผมหน่อยนะ”
   “อือ....” ไฟรีบๆ เขียวหน่อยสิ จะติดไปถึงไหนกันนะ
   “ผมฝากยาวเลยนะ ไม่ไปไหนแล้ว”
   โอ๊ย จะแดงอะไรนานๆ รถก็ไม่เยอะสักหน่อย ไฟเสียล่ะมั้งนี่
   “ตกลงรับฝากผมนะครับ”
   ผมว่าผมควรจะโทรศัพท์ไปร้องเรียนว่าไฟแดงที่แยกนี้เสียแล้วล่ะ แต่ก่อนที่ผมจะทันกดโทรศัพท์ ไฟก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวเสียก่อน เออดี พนักงานคอลเซ็นเตอร์จะได้ไม่ต้องปวดหัวกับผม
   ไฟน่ะเขียวแล้วล่ะ แต่หน้าเจ้านพรัตน์ตอนนี้น่ะแดงแจ๋เลย
   ผมควรจะไปแจ้งซ่อมที่ไหนดี ยังมีที่ไหนรับซ่อมรึเปล่านะ....
-------------------------------------------------
   ผมกลับถึงบ้านตามเวลาเดิมถึงแม้ไฟแดงที่แยกจะเสีย นพรัตน์เดินมาส่งผมถึงประตูบ้านตามเคย ทำหน้าที่ดีเกินเหตุจนน่าประทับใจเสียไม่มี
   เขาเป็นเด็กดี ทำตัวน่ารัก รู้จักเคารพผู้ใหญ่ ที่ทำให้ผมทั้งหมดก็เพราะความซื่อล้วนๆ
เขาสมควรได้รับอะไรตอบแทนบ้าง แต่ผมไม่รู้ว่าควรจะให้อะไรดี
   คนอย่างผมไม่ถนัดกับเรื่องพวกนี้เสียด้วยสิ
   ผมมันอายุสี่สิบกว่าเข้าไปแล้ว ข้าวของเงินทองผมให้ได้ แต่อย่างอื่น ผมไม่รู้ว่าควรจะให้อย่างไร ให้ดีไหม
   เจ้านพรัตน์ยังเด็ก เขาเหมือนคนที่เพิ่งเริ่มก้าวเดินในบันไดชีวิต บันไดเขาทั้งกว้าง ทั้งมีสารพัดทางแยก เดินไปต่อให้หลงก็ยังถอยหลังกลับมาได้ แต่ผมเดินขึ้นบันไดมานานแล้ว บันไดของผมทั้งสูงทั้งแคบ ไม่เหลือทางแยก ไม่เหลือทางให้ถอยกลับ
   ก้าวพลาดก็มีแต่ร่วงสถานเดียว
   ถึงตอนนี้เขาจะพยายามไต่บันไดทางเดียวกับผม พยายามไล่ตามผม แต่เขายังห่างไกลจากผมอีกหลายขั้น ยังไม่เจอทางแยกทางเลี้ยว
   พอถึงจุดหนึ่ง เขาจะเลิกเดินตามผม หันไปเดินบันไดของตัวเอง
   ผมผ่านจุดที่เขาเดินมาแล้ว ทำไมผมจะไม่รู้ แต่เขาคงยังไม่รู้ว่าจุดที่ผมยืนอยู่มันสูงมันแคบขนาดไหน
   ผมกับเขามันคนละขั้น คนละชั้น เขาไม่มีวันตามทันผมหรอก
   แต่บางทีผมก็รู้สึกว่า เขาปีนบันไดเร็วเสียเหลือเกิน อย่างกับใช้ทางลัด บางทีก็เหมือนมาโผล่อยู่ด้านหลังผมแล้ว
   แต่ผมยังใจไม่แข็งพอจะให้ใครมายืนเบียดที่ เพราะผมไม่รู้ว่าพอเบียดกันแล้ว ใครจะร่วงลงไปก่อน
   แต่ขาผมล้าเต็มทีแล้ว ถ้าร่วงลงไปคราวนี้ ผมคงไต่กลับขึ้นมาไม่ไหว
   ผมเลยวัยที่จะเสี่ยงโชคเสี่ยงดวงไปแล้ว
   ผมยืนมองหน้านายนพรัตน์อยู่ตรงหน้าประตูบ้าน เขาเองคงงงเหมือนกันที่วันนี้ทำไมผมถึงไม่รีบเข้าบ้านสักที
   เขาอายุยังน้อย อายุแค่นี้ก็พยายามปีนบันไดชันๆ ที่ตัวเองไม่น่าจะปีน บางทีผมก็กลัวเขาจะร่วง บางทีผมก็กลัวเขาจะพลั้ง แต่ผมเอื้อมมือไปฉุดเขาขึ้นมาไม่ได้ เพราะจุดที่ผมยืนอยู่ก็แคบเต็มที
   เขายังผิดได้ พลั้งได้ แต่ผมผิดไม่ได้ พลาดไม่ได้อีกแล้ว
   “คุณไพฑูรย์....”
   นพรัตน์ยังเด็ก แววตาและท่าทางของเขาซื่อจนผมสะท้อนใจ ผมยกมือขึ้นจับหน้าเขา เขาสะดุ้ง ดูจะงงกับท่าทีของผม ผมยิ้ม
   “ผมไม่ชอบคนมีไรหนวด ดีแล้วล่ะที่คุณโกนเกลี้ยงทุกวัน”
   นพรัตน์มองหน้าผมอึ้งๆ แล้วก็ยิ้มออกมา
   ผมไม่รู้ว่าเขาปีนบันไดขึ้นมาทันผมจริงๆ หรือเป็นแค่ภาพหลอนที่มาหลอกล่อผมกันแน่ แต่ถ้าผมเอื้อมมือไปคว้า ผมคงร่วง
   ผมใจแข็งก็จริง แต่ผมทนเริ่มต้นใหม่ไม่ไหวอีกแล้ว
   ผมเลยยืนนิ่งๆ รอดูว่าเขาจะปีนขึ้นมาได้อีกกี่ขั้น จะร่วงลงไปตอนไหน จะมาได้ใกล้เท่าไหร่
   แต่ผมคงยืนนิ่งได้ไม่นาน คนเราอาจจะก้าวเร็วในขั้นแรกๆ และช้าลงในขั้นหลังๆ เพราะมันเริ่มชันและแคบไปทุกที จะช้ายังไง แต่ผมก็ต้องก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดชีวิตที่มองไม่เห็นว่าขั้นสุดท้ายอยู่ตรงไหน
   เขาเองก็ต้องก้าวต่อ ไม่ว่าเขาจะพลาด จะพลั้ง หรือจะก้าวตามหลังผมมาได้ สุดท้าย เขาจะต้องแยกบันไดกับผม
   เพราะบันไดของเขาก็คือบันไดของเขา บันไดของผมก็คือบันไดของผม
   ไม่มีใครเดินบนบันไดชีวิตของคนอื่นได้
   “คุณนพ... ราตรีสวัสดิ์นะ ขับรถกลับดีๆ ล่ะ” ผมพูดออกมา หลังจากที่เห็นว่าฝูงยุงยังคงออกหากินอยู่ ทั้งๆ ที่ออกจะดึกแล้วแท้ๆ นพรัตน์มองหน้าผมงงๆ แล้วก็ยิ้มตอบอีกหน “ครับ ราตรีสวัสดิ์นะครับ พรุ่งนี้เจอกัน”
   เราลากันด้วยคำพูดเดิมๆ เวลาเดิมๆ รอยยิ้มเดิมๆ เขาเดินไปที่รถ และขับหายออกไป
   ผมรู้ว่าเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ไม่มีใครหยุดเวลาได้ ผมรู้ว่าเขาปีนขึ้นมา ผมรู้ว่าผมต้องเดินต่อไป
   แต่บางที ผมก็อยากหยุดเฉยๆ หยุดเขาไว้ที่รอยยิ้มแบบนี้ เสียงหัวเราะแบบนี้
   คงเพราะบันไดที่ผมยืนทั้งสูงทั้งแคบเต็มทีแล้ว
------------------------------------------------------

ออฟไลน์ badcow

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-10

ออฟไลน์ love2y

  • (′~‵)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2059
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-11
อย่างว่าเนอะ อายุห่างกันเยอะมาก
จะไม่ให้คุณไพฑูรย์กลัวเลยก็เป็นไม่ได้อ่ะ เข้าใจคุณไพฑูรย์นะเรื่องนี้อ่ะ
นพคงต้องอดทนและพยายามต่อไปนั่นแหล่ะ

ปล. ขอบคุณ คุณ juon มากมาย อัพต่อเนื่องและแต่ละตอนก็ยาวจนหน่ำใจคนอ่านเลยค่ะ ^^

pattybluet

  • บุคคลทั่วไป
อ่านๆยิ้มๆอยู่ดีๆ มาจ๋อยตอนช่วงสุดท้ายนี่แหละค่ะ :m17:
เข้าใจคุณไพฑูรย์นะ แต่ก้อไม่อยากให้ลุงแกเสียใจเหมือนในอดีตอีก
เพราะงั้นสู้ต่อไป น้องแมว(ผู้ซึ่งหลงใหลคนอายุมากกว่าอย่างจริงจัง) :a9:
ขอบคุณสำหรับตอนนี้ค่ะ :L2:

ออฟไลน์ หมวยลำเค็ญ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 863
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-1
คุณไพน่ารักอ่ะ บางทีทำเหมือนไม่อยากให้ความหวังอะไร แต่ก็ชอบทำโดยไม่รู้ตัวเน๊อะ

ออฟไลน์ dukdikdukdik

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-3
เรื่องนี้น่ารักสุด ๆ ของสุด ๆ ไปเลย เราแอบอ่านตอนทำงานละ 555+
อดใจอ่านไม่ไหว ตอนจูจุ๊บเราแทบกริ้ดแหนะ คริ ๆ
ตอนท้าย ๆ มาม่านิดนึงอะค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด