บันไดขั้นขั้นสุดท้าย
ชีวิตนี้ผมช็อกครั้งแรก ตอนที่รู้ว่าพรายโพยมรักผม แล้วผมเป็นฝ่ายปล่อยเขาไปเอง ผมช็อกเพราะคิดว่าเขาลืมผมแล้วมาโดยตลอด
คราวนั้นผมแค่น้ำตาร่วง แต่คราวนี้.....
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงงๆ สิ่งแรกที่เห็นคือหลอดไฟนีออนในรางสเตนเลส จากนั้นจมูกก็ได้กลิ่นอะไรสักอย่าง จำได้ว่าเคยได้กลิ่นนี้ตอนช่วงหลังหมดสัปดาห์จ่ายโบนัสปีก่อนโน้น หลังจากนั้นอีกสักสองสามวินาที ผมถึงรู้ว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาล พอหันหน้าไปข้างเตียงก็เห็นเจ้านพรัตน์นั่งตาแป๋วอยู่ อย่างกับแมวปั้นบนหัวเตียงที่ผมมองมาตั้งหลายเดือนแน่ะ แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะมองหน้าเขาหรอก เลยหันหน้าหนีไปอีกทาง
“คุณไพฑูรย์....”
เหอะ เรียกอยู่ได้ น่ารำคาญจริงๆ ผมหันหน้ามาอีกทาง จะได้ไม่ต้องเจอหน้านายนพรัตน์ แต่ก็ดันเจอสาวฝรั่งผมสีน้ำตาลคนนั้นนั่งอยู่แทน ตาแป๋วเป็นแมวเหมือนกันไม่มีผิด โดนจ้องจากสองข้างแบบนี้ สุดท้ายผมเลยหันหน้าไปมองเพดาน สบตากับไฟนีออนให้รู้แล้วรู้รอด
“คุณไพฑูรย์....นอนจ้องไฟไม่ดีต่อสายตานะครับ”
อย่ามายุ่งน่ะ คนมันอยากจ้องก็ปล่อยให้จ้องไปสิ นายสองคนนั่นแหละมานั่งหน้าสลอนทำอะไรกัน หวังขอคำอวยพรแต่งงานจากผู้ใหญ่อย่างผมหรือไง?!
“ออกไปได้แล้ว ผมจะได้พักผ่อน” ผมเอ่ยปากไล่เมื่อเห็นสองคนยังคงนั่งนิ่ง นพรัตน์ขยับตัวยุกยิกขณะที่อีกคนดูจะฟังไม่เข้าใจ
“แต่คุณเพิ่งตื่นนะครับ” เขาว่า ผมล่ะเบื่อพวกช่างสังเกตเหลือเกิน
“เออ ผมตื่นได้ก็นอนต่อได้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะนั่งเงียบๆ “
“ผมไม่ชอบให้ใครมาจ้องตอนนอน”
“เปล่าจ้องนะครับ”
“งั้นก็ออกไปสิ”
“.............”
“ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง อย่าให้ผมต้องออกปากไล่นะ”
“ฟังรู้เรื่องครับ แต่คุณฟังผมก่อนได้รึเปล่า?”
“......” แน่ะ กลับมาปุ๊บก็ตั้งหน้าตั้งตาต่อรองกับผมปั้บ เอาล่ะ ผมมันเป็นผู้ใหญ่ ใจกว้างพออยู่แล้ว ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว... ให้ตายสิ ผมไม่อยากนึกเลยว่าตัวเองมานอนโรงพยาบาลเพราะอะไร ตอนนั้นผมเห็นเขาเดินควงมากับเด็กสาวคนนี้ แล้วผมก็โมโห...แล้วผมก็....
“คุณไพฑูรย์ คุณเป็นลมไปนะ จำได้รึเปล่าครับ”
“เออ” จำได้สิ เด็กบ้า จะพูดออกมาทำให้ให้อายคนอีกเล่า
“หมอบอกว่าคุณช็อก เพราะตกใจมาก”
“..........”
“คุณตกใจที่เห็นผมควงผู้หญิงมาใช่ไหม?”
โอ๊ย ผมล่ะอยากจะลุกขึ้นแล้วหันไปบีบคอเขาเสียจริงๆ รู้อยู่แก่ใจยังจะมาถาม
“คุณนพ ออกไปได้แล้ว ผมจะได้นอน” ผมไล่ ขี้เกียจจะฟังเขาพูดต่อ แต่เขาไม่ไปง่ายๆ กลับมาจากแคนนาดานอกจากจะหน้าด้านขึ้น ยังทำหูทวนลมได้เก่งขึ้นด้วย ไม่ไปไม่พอ ยังจับมือผมอีก ผมทนไม่ไหวจริงๆ ต้องหันมาอ้าปากเตรียมจะด่าเขา
“หึงผมใช่ไหมครับ คุณหึงผมจนเป็นลมเลยใช่ไหม?”
ผมอ้าปากค้าง ถ้าผมเป็นลมไปอีกรอบหนึ่งนะ ผมให้หมอเอาผิดเจ้าหมอนี่ได้เลย ผมจะเป็นลมเพราะเขานี่แหละ ไอ้เด็กบ้านี่
“ผมดีใจจัง” พูดไปหน้าแดงอีก โอ๊ย หยุดพูดเองเออเองสักทีได้แล้ว คนเป็นลมยังจะมาดีใจอีก ไอ้เด็กเวรนี่
“คุณนพ หยุดแกล้งผมได้แล้ว คุณพาผู้หญิงมาให้ผมดูทำไม บอกมาตรงๆ เลยดีกว่า” ผมพยายามรักษาสติ ไม่ได้ด่าเขาออกไป แต่มาถึงตอนนี้คงต้องถามกันตรงๆ แล้ว นพรัตน์มองหน้าผม ยิ้มกระมิดกระเมี้ยนอีก โอ๊ยยย ผมล่ะอยากถีบเขาให้ตกหน้าต่างโรงพยาบาลไปตอนนี้เลย ผมไม่ชอบยิ้มเขาแล้ว ไม่น่ารักสักนิด
“เธอขอตามมาด้วยน่ะ ผมไม่ได้ตั้งใจจะพามานะ”
โอ้โห แก้ตัวได้ฟังขึ้นเสียไม่มี ผมแค่นเสียงดังเหอะ “มีผู้หญิงตามมายังจะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจอีก คุณนพ ถ้าคุณไม่คิดอะไรกับผมก็เลิกยุ่งกับผมดีกว่า”
“คุณอยากให้ผมคิดอะไรกับคุณล่ะครับ?”
ผมล่ะอยากเอาหัวโขกเขาจริงๆ แต่ก็ระลึกได้ว่า ผมแก่กว่าเขาตั้งเกือบยี่สิบปี จะไปทำแบบนั้นมันก็ไม่เหมาะ “คุณนพ ออกไปเถอะ ก่อนที่ผมจะโมโหไปมากกว่านี้”
“ไม่ไปครับ”
“ผมบอกให้ไป”
“ก็ผมไม่ไป ผมจะอยู่กับคุณ”
ผมอดไม่ได้ต้องหันมาถลึงตาใส่เขาอีกรอบ “จะอยู่กับผมทำไม คุณมีผู้หญิงอยู่ด้วยแล้วนี่ ผมไม่ให้คุณใช้บ้านผมเป็นรังรักหรอกนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ใช้บ้านผมก็ได้”
ผมพยักหน้า เออในที่สุดก็คิดได้กับเขาบ้างนะ แต่รออยู่จนเริ่มเมื่อยเขาก็ไม่ปล่อยมือสักที แถมไม่มีท่าทีว่าจะลุกอีก ผมอดไม่ได้ ต้องส่งเสียงต่อ “อ้าว ไปบ้านคุณก็ไปสิ นั่งหน้าสลอนกันอยู่ทำไม”
“ผมรอคุณลุกอยู่ไงครับ จะได้ไปด้วยกัน”
“นี่คุณนพ บ้านคุณคุณก็ไปกันเองสิ ผมไม่มีรถไปรับไปส่งคุณหรอกนะ”
“ผมจะให้คุณไปด้วยนี่ครับ”
“ให้ผมไปทำไม?”
“ไปสร้างรังรักกับผม ทำรังกันแค่สองคนก็พอ”
ผมว่าพี่จิระภัทร์หน้าด้านแล้วนะ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่านายนพรัตน์หน้าด้านกว่าอีก อายุแค่ยี่สิบต้นๆ ไปเอาความหน้าด้านมาจากไหนกันเนี่ย
“คุณนพ คุณมีผู้หญิงอยู่แล้ว คุณจะพาผมไปทำไมอีก”
นพรัตน์มองหน้าผมยิ้มๆ จากนั้นก็ดึงมือผมเข้าไปจูบ
อย่ามาเล่นมุขนี้นะ เล่นไปผมก็ไม่ใจอ่อนหรอก
ผมโกรธจนตัวสั่น คราวนี้เขาเลยหยุดยิ้ม แล้วทำหน้าจริงจังขึ้นมา คงกลัวผมเป็นลมเป็นแล้งไปอีก เออ ถ้าผมเป็นอะไรไปนะ เขาจะได้โดนข้อหาจงใจฆาตกรรมผมแน่ๆ
“คุณไพฑูรย์ ผู้หญิงที่คุณว่าน่ะ เป็นหลานแท้ๆ ของผมน่ะครับ”
“?”
“เธอเป็นลูกพี่สาวผมที่อยู่แคนนาดาน่ะ พอผมจะกลับเลยขอตามมาเที่ยวด้วย”
“?!”
“จริงๆ นะครับ ไม่เชื่อถามเธอดูสิ”
ผมรู้สึกหน้าชา นี่ผมเป็นลมเพราะเข้าใจผิด ไม่ แต่ผมไม่เชื่ออะไรง่ายๆ หรอก มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาอาจจะพูดแก้ตัวไปก็ได้
“Hey, do you want to speak with me?” เสียงน่ารักดีนะ ถึงผมไม่ชอบผู้หญิง แต่ผมไม่เสียมารยาทต่อหน้าผู้หญิงหรอก พอหันกลับไปก็เห็นเธอยิ้ม แนะ ยังจะมีฟันเขี้ยวเหมือนกันอีก อยากจะให้ผมเชื่อจริงๆ ใช่ไหม?
“I know you are my little uncle’s sweet heart, you’re so very cute than I thought.”
ผมเกือบสำลักน้ำลายตัวเอง เจ้านพรัตน์ให้ผมถาม แต่ผมไม่รู้จะถามอะไรแล้ว หันกลับมาเอาเรื่องกับเขาท่าทางจะง่ายกว่า
“คุณนพ นี่มันอะไร?”
“หลานผมไงครับ ชื่อเจสซิก้า”
“ไม่ใช่ คุณไปเล่าอะไรให้เธอฟัง”
“อ๋อ” เขาร้อง หน้าแดง เม้มปากแล้วบิดไปบิดมา ไอ้เด็กบ้า ทำตัวเป็นเด็กสิบขวบแบบนี้จะมีปัญญาดูหลานโตขนาดนี้ได้ไง เชื่อก็บ้าแล้ว
“ผมเล่าให้เธอฟังว่าผมมีแฟนอยู่ที่เมืองไทย อายุเยอะกว่าแต่น่ารักสุดๆ “
ผมตัวสั่นกึกๆ อยากด่าเขา อยากถีบเขาตอนนี้เลย เขาไปเล่าเรื่องบ้าๆ อย่างนี้ให้เด็กผู้หญิงฟังได้ยังไง
“Um… Uncle, I think I will go out side now. Leave you and him alone.” เจสซิก้าพูดแทรกขึ้นมา ไม่พูดเปล่า พูดจบดันก้มลงหอมแก้มผมดังฟอด ไม่ใช่ญาติไม่ใช่โยมกันเสียหน่อย ผมไม่ใช่ฝรั่งนะ จะมาจูบแก้มกันทำไม
“Good luck”
ก่อนไปยังทิ้งท้ายอีกแน่ะ ผมเห็นนพรัตน์สำทับตามไปว่าอย่าออกไปเดินเล่นไกลๆ นะ แหม.. ทำตัวสมเป็นน้าเสียไม่มี แต่..เอ่อ....คราวนี้ก็เหลือแค่ผมกับเขาแล้วสิ?
“คุณไพฑูรย์” เขาเรียกชื่อผม แล้วยื่นหน้าเข้ามา ผมรู้สึกตัวเองตกที่นั่งลำบากสุดๆ เหมือนเผลอกระโดดลงหลุมที่เขาขุดดักไว้ทั้งตัว ผมจะหนียังไงดีเนี่ย
เป็นลมเพราะเห็นเขาควงหลานมา ผมควรจะแก้ตัวยังไง ควรจะเอาหน้าไปซุกไว้ไหน? ฝากกับDHLให้ไปส่งไกลๆ เขาจะไปส่งให้ผมไหมนี่
“ผมกลับมาแล้วนะ มารับส่วนที่เหลือจากมัดจำคราวที่แล้ว”
มัดจำอะไร อย่ามาทำโมเมนะ ผมก็อยากจะเถียงเขาแบบนี้อยู่หรอก แต่ขากรรไกรดันค้างอีกแล้ว บ้าจริง ทำไมผมต้องใบ้กินเวลาแบบนี้ทุกทีเลย ตายๆ แย่แน่ๆ
นพรัตน์ขยับตัว กดมือผมลงไปบนเตียง ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ โอ๊ย ขอทีเถอะ สงสารคนแก่อย่างผมบ้าง อย่าเอาหน้าเข้ามาใกล้ๆ แบบนี้ หัวใจผมเต้นแรงไปหมดแล้ว
จากนั้นเขาก็ขย้ำริมฝีปากลงไปบนต้นคอผม เล่นเอาขนลุกเกรียวไปหมด
“คุณนพ นี่โรงพยาบาลนะ” ผมโวยทันที เพราะขืนเงียบต่อไปมีหวังไม่รอดแน่ นพรัตน์เงยหน้าขึ้นมอง ตาเขาดำสนิท เชื่องเหมือนแมวอย่างเดิมนั่นแหละ แต่คราวนี้ผมเห็นแววอย่างอื่นปนอยู่ด้วย
เออ เขาเพิ่งอายุยี่สิบสาม ไม่รู้สึกเรื่องพวกนี้เลยก็บ้าแล้ว
นพรัตน์ขบริมฝีปาก ก้มลงกระซิบข้างหูผม “ครับ โรงพยาบาล แต่ผมไม่สนหรอก”
เขาก้มลงอีกครั้ง ขย้ำริมฝีปากลงบนต้นคอผมอีกรอบ ก่อนจะขบติ่งหูของผมเบาๆ โอ๊ย แอร์นะเปิดอยู่หรอก แต่ผมร้อนวูบไปทั้งตัวเลย
“คุณนพ ทำที่นี่ไม่ได้!”
นพรัตน์เงยหน้าขึ้นมามองผมอีกรอบ จากนั้นก็ยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยว หน้าแดงอย่างกับมะเขือเทศ แต่ผมว่าผมควรอายมากกว่าเขาอีก
“งั้น กลับบ้านกันนะครับ”
ผมนอนอึ้ง... เอ่อ...ที่ผมพูดออกไปน่ะเขาเข้าใจว่าไงน่ะ....
“งั้น... ผมทำต่อนะ” เขาว่า คราวนี้กดมือผมติดเบาะเตียงแน่นเลย โอ๊ย อย่าเอาเปรียบกันได้มั้ยเล่า ผมรุ่นนี้แล้ว จะสู้แรงเขาไหวได้ยังไง
“เอาล่ะ กลับบ้านก็กลับ” ผมรีบตกลง เพราะขืนมัวแต่อิดออดจะไม่รอดไปถึงพรุ่งนี้ ถึงบ้านค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้เอาตัวรอดจากสถานการณ์เฉพาะหน้าก่อน
นพรัตน์ยิ้มแก้มปริเช่นเคย “งั้นผมเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นะ” เขาว่าและปลดกระดุมเสื้อผมออก ผมเลยดึงเสื้อกลับ แล้วขยับหนีไปอีกทาง
“ไม่ต้อง ผมเปลี่ยนเอง”
“คุณไพฑูรย์”
เรียกไปผมก็ไม่ใจอ่อนกับเรื่องแบบนี้หรอกนะ “คุณอยากถอด ก็ถอดของตัวเองสิ” ผมว่า แล้วหันหน้ามาถลึงตาใส่เขาเพื่อให้รู้ว่าผมไม่พอใจ แต่ผมคิดผิดขนาดหนัก เพราะพอหันไป เขาก็ยิ้มอย่างเขินสุดๆ
“อือ เดี๋ยวถึงบ้านแล้วผมจะถอด”
ผมรีบจ้ำอ้าวเข้าห้องน้ำไปทันทีราวกับคนปวดท้องหนัก
----------------------------------------------------
สุดท้ายผมก็กลับมากับนายนพรัตน์ พร้อมด้วยหลานของเขาที่ชื่อว่าเจสซิก้า ผมไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้ว เพราะน้าหลานคู่นี้พอยิ้มหน้าราวกับถอดมาจากพิมพ์เดียวกัน จะต่างก็แต่เจสซิก้าหน้าติดฝรั่ง แต่วิธียิ้มน่ะเหมือนกันเด๊ะเลย เจ้านพรัตน์ให้ผมมานั่งข้างหน้า เพราะกลัวผมถูกหลานตัวเองขืนใจ ยัยหนูเจสซิก้าเห็นผมแล้วต้องพุ่งเข้าใส่ ไม่รู้เป็นอะไร อายุก็ไม่น้อยแล้วแท้ๆ เห็นเจ้านพรัตน์บอกว่าจะสิบแปดแล้ว น้าหลานอายุห่างกันแค่นี้ ผมชักสงสัยว่าพี่สาวของเจ้านพรัตน์คนนี้อายุเท่าไหร่กันแน่
“เขาเป็นพี่คุณหลายปีเลยล่ะ” นพรัตน์ตอบผม ผมทำหน้าเหวอ เออ ผมเดาไม่ผิด พี่สาวกับพี่ชายเหมือนพ่อกับแม่เขาจริงๆ ดีแล้วที่คนนี้เป็นพี่สาวคนโต ถ้ายังมีแก่กว่านี้ผมไม่อยากนึกว่าเขาเกิดตอนแม่อายุเท่าไหร่ ไม่ปัญญาอ่อนก็นับว่าบุญ เอาเถอะ นอกจากเขาไม่เฉียดเข้าใกล้คำว่าปัญญาอ่อนแล้ว ยังเกิดมาหน้าตาหล่อเหลา แถมฉลาดเสียไม่มี คงเป็นบุญของคนเป็นพ่อเป็นแม่ แต่คงเป็นเวรกรรมของผม ที่ตกหลุมพรางเขาเข้าเต็มเปา
นพรัตน์เล่าระหว่างขับรถว่าพี่สาวของเขาคนนี้ดีทุกอย่าง เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเลี้ยงดูพี่น้องที่เหลืออีกสามคนตั้งแต่ยังสาวๆ พอเขาได้สองขวบก็ย้ายไปอยู่แคนนาดา แต่ก็ยังส่งขนมส่งเสื้อผ้า ของใช้ ของเล่นมาให้ตลอด เรียกว่าตัวไม่อยู่แต่ใจนึกถึงน้องเสมอ แต่สองอย่างที่เธอไม่ชอบเอามากๆ คือเรื่องที่เขาเป็นเกย์ กับเรื่องที่ชอบคนอายุเยอะกว่ามากๆ
ผมนึกเห็นด้วย ถ้าผมเป็นพี่เขา ผมคงไม่ปลื้มเหมือนกันแหละ อย่างน้อยก็ไอ้เรื่องชอบคนอายุเยอะกว่าเนี่ย
“พี่ชายผมต้องกลับมาทำงานด้วยแหละ ผมเลยต้องอยู่เฝ้าพี่สาว ผมอยากโทรหาคุณนะ แต่ก็ห่วงว่าพี่จะกังวล กลัวเขาจะเอาไปคิดว่าผมคบคนแก่กว่าหรือเป็นผู้ชายอีกรึเปล่า”
“ดีแล้วล่ะที่คุณไม่โทร” ผมว่า เพราะเรื่องที่พี่สาวไม่ชอบเขาทำครบสูตรเลย นพรัตน์ยิ้มแห้งๆ
“ผมก็กลัวคุณทิ้งผมเหมือนกันนะ คุณยิ่งไม่ค่อยเชื่อใจผมอยู่ เห็นว่าผมเป็นเด็กอยู่เรื่อย”
“ก็คุณยังเด็กจริงๆ นี่” ผมว่า เขาทำหน้ามุ่ย ได้ยินเสียงเจสซิก้าโวยวายว่าคุยอะไรแปลให้ฟังบ้ง เจ้านพรัตน์เลยหันไปดุ แหม... ตัวแค่นี้จะไปดุใครเขาได้ หลานเขาเลยทำหน้ามุ่ยบ้าง แล้วหันมาอ้อนผมแทน
เออ พอกันเลย น้าหลานคู่นี้
----------------------------------------------
ผมรู้สึกเหมือนถูกแมวสองตัวรุม ดีว่าแมวอีกตัวขับรถอยู่ เลยอาละวาดได้ไม่มาก ปล่อยแมวสาวผมสีน้ำตาลเอาคางเกยเบาะนั่งแล้วถามนั่นถามนี่ให้ผมตอบจนหูอื้อไปหมด กว่ารถจะหยุด ผมก็ตาลายเต็มทน
แต่พอเงยมองออกไปนอกกระจกก็เพิ่งรู้ว่านี่ไม่ใช่บ้านผม บ้านหลังไม่ใหญ่ไม่เล็ก เก่าแต่ดูดี พอรู้ว่ามีคนทำความสะอาดอยู่เรื่อยๆ ผมหันกลับมามองนพรัตน์ เขาเลยยิ้ม แล้วตอบคำถามทางสายตาของผม
“บ้านผมเอง นานแล้วล่ะ ตั้งแต่สมัยพ่อแม่ยังอยู่” ผมมองตัวบ้าน และพยักหน้า เก่าแล้วจริงๆ บ้านที่เคยอยู่กันหลายคน พอมาเหลือยู่คนเดียว มันก็เหงาอยู่เหมือนกันนะ สักพักผมก็ได้ยินเขาพูดอีก
“Hey, Jessy go home.”
ผมหันมามองเขาทันที ขณะที่เจสซิก้าโวยวาย
“No, I want to go with you too.”
“I don’t want you go with us, understand?”
ผมเพิ่งรู้ว่านายนพรัตน์ก็โหดกลับหลานเหมือนกัน แต่จะปล่อยให้เด็กผู้หญิงแถมเพิ่งมาจากต่างประเทศอยู่บ้านคนเดียวได้ไง
“คุณนพ คุณจะทิ้งเธออยู่บ้านคนเดียวเหรอ?”
“เดี๋ยวค่ำๆ พี่ชายผมก็แวะมาดูน่ะ”
ผมมองหน้าเขา “ปล่อยเอาไว้คนเดียวจะดีเหรอ ผมว่าให้ไปด้วยกันก็ได้”
“แล้วผมล่ะ” นพรัตน์ทำหน้าน่าสงสาร “ก็ไปด้วยกันน่ะสิ” ผมตอบ เขาทำหน้ายู่ สักพักก็พยักหน้า “ก็ได้ครับ แต่ห้ามเอาเจสมาอ้างนะครับ”
“เออ” ผมตอบไปงั้นๆ เพราะไม่รู้ว่าจะเอาเธอไปอ้างเรื่องอะไร
ท้ายที่สุด บ้านผมก็มีลูกแมวตัวใหญ่เพิ่มมาอีกสองตัว ตัวหนึ่งซนจริงๆ มาถึงก็ชี้ต้นมะม่วง ชี้ถุงที่ห่ออยู่ ถามนั่นถามนี่เสียงแจ้วๆ ไปหมด อีกตัวก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง แต่ขอบเข้ามากระแซะผมอยู่เรื่อย ไปร้องเมี้ยวๆ ไกลๆ เลยไป ไม่ต้องมาทำเป็นคลอ
เย็นนั้นผมที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาล ก็ต้องมาทำอาหารให้ลูกแมวสองตัวนี้ทาน เอาล่ะ อย่าให้ใครรู้ว่าผมเข้าโรงพยาบาลน่ะดีแล้ว เพราะเกิดถูกถามว่าเข้าเพราะโรคอะไร ผมคงต้องเอาหน้ามุดดินแทนที่จะตอบ
ใครมันจะไปบอกว่าช็อกเพราะเห็นเจ้านพรัตน์ควงหลานมาอวดกันล่ะ คนอื่นรู้เข้ามีหวังหัวเราะฟันร่วง แล้วผมคงต้องลาไปผูกคอกับยอดหญ้าตาย
อะไรมันจะขายหน้ากว่านี้อีกไหม
แมวสองตัวปากดีพอกัน ทานไปชมไป สงสัยกลัวถูกจ่ายค่ากับข้าว แหม ผมใจป้ำอยู่แล้ว เลี้ยงลูกแมวแค่นี้ไม่คิดค่าอาหารหรอก ขออย่างเดียว อย่ามาคลอผมบ่อยๆ ก็พอ โดยเฉพาะไอ้แมวตัวน้า กลับมาแล้ว ทำผมช็อกเรียบร้อยแล้ว ยังพัฒนาทักษะการคลอเคลีย เล่นเอาผมใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
ไม่กลัวผมเป็นโรคหัวใจบ้างหรือไงนะ
แมวสองตัวทานข้าวเสร็จก็ไปช่วยกันล้างจาน ดีมากทั้งน้าทั้งหลาน เพราะถ้ายังให้ผมล้างอีก ผมจะถีบส่งออกนอกบ้านทั้งคู่ จากนั้นเราก็ออกไปเดินย่อยอาหารกันในหมู่บ้าน ผมกับนพรัตน์ต้องช่วยกันตอบคำถามของเจสซิก้ากันจนเหนื่อย เห็นนกก็ถาม เห็นกระรอกก็ถาม ที่แคนนาดาไม่มีให้ดูหรือไงนะ
พอหนึ่งทุ่มเราก็กลับเข้าบ้าน อาบน้ำอาบท่าเปิดโทรทัศน์ดูตามปกติ คราวนี้ปัญหามาอยู่ที่โซฟา ตอนแรกนายนพรัตน์นั่งกลาง เบียดผมให้ไปนั่งริม แล้วให้เจสซิก้านั่งอีกฝั่ง แต่ยัยหนูเจสซิก้าเป็นอะไรก็ไม่รู้ ร่ำๆ จะมานั่งข้างผมให้จงได้ นายนพรัตน์ก็ไม่รู้จะหวงอะไรหลานตัวเอง ไม่ยอมให้นั่ง สุดท้ายแม่หนูเลยมานั่งทับตักผมเสียเลย ตัวก็ไม่ใช่เบาๆ เล่นเอาผมหน้านิ่ว นพรัตน์เลยรีบดึงตัวหลานออก แล้วรวบตัวผมไปกอด
เอาล่ะ รู้ว่าเป็นห่วงผม... แต่กอดไปไม่ช่วยให้ผมหายเจ็บ แล้วก็ช่วยหัดอายหลานหน่อยสิพ่อคุณ เด็กมันนั่งตาดำๆ อยู่เนี่ย
ท่าทางน้าหลานคู่นี้เห็นผมเป็นเชือกชักเย่อ พอน้ากอด หลานเอามั่ง แต่คนละฝั่งกันนะ ผมทนไม่ไหวเลยตะเพิดทั้งคู่ แล้วไปลากเก้าอี้ทานข้าวมานั่งแทน อยากจะกัดกันก็กัดกันไปให้พอเลย
นายนพรัตน์นั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่บนโซฟา ขณะที่เจสซิก้าดูมีความสุขเป็นพิเศษ อ้าปากถามนั่นถามนี่ผม ราวกับอยากแย่งความเอ็นดูแข่งกับน้าชาย ผมก็เอ็นดูเด็ก หลานเขาน่ารัก ตาแป๋วเป็นแมว เสียงแจ้วๆ ฟังแล้วก็เพลินหูดี ผมเลยตอบจนเมื่อย พอสี่ทุ่มนายนพรัตน์ก็เป็นมนุษย์อนามัย ชวนผมเข้านอนทันที
“นอนได้แล้วครับ สี่ทุ่มแล้ว”
อืม... ก่อนเขาไปแคนนาดาจำได้ว่าห้าทุ่มบางทียังนั่งขำเกมโชว์กันอยู่เลย กลับมาแล้วทำมาอนามัย เจ้าหนูเจสซิก้าเห็นกัดกันแง่งๆ กับน้าชายมาทั้งวัน พอเขาบอกให้ไปนอน ก็ว่าง่าย อ้าปากขอหมอนขอผ้าห่มเรียบร้อย ผมมองๆ ว่าโซฟาตัวเดียวจะนอนพอสองคนได้ยังไง เจ้านพรัตน์เลยช่วยแก้ปัญหาให้
“เดี๋ยวผมขึ้นไปนอนกับคุณไง”
เอาล่ะ หมดปัญหาเรื่องโซฟาแคบ แต่ผมสิ ท่าจะมีปัญหาแทน
นายนพรัตน์เป็นธุระเดินไปเอาหมอนเอาผ้าห่มมาบริการให้หลานตัวเองเรียบร้อยโดยไม่ต้องรอให้ผมขยับตัว แน่นอน เพราะผมขยับตัวไม่ออกอยู่นานแล้ว ก่อนหน้านี้ผมเคยให้เขานอนด้วยก็จริง แต่ตอนนั้นผมรู้ว่าเขาจะไม่ทำอะไร แต่ตอนนี้...
ผมก็รู้อีกนั่นแหละว่าเขาจะทำอะไร....
เพราะผมรู้ ผมเลยยืนตัวแข็งอยู่นี่ไงล่ะ
“คุณไพฑูรย์ครับ ไปนอนเถอะครับ” นพรัตน์พูด หลังกล่าวราตรีสวัสดิ์กับหลานสาวและปิดไฟแล้ว พอผมยังยืนนิ่งก็ทำเนียนมาโอบเอว แค่นี้ผมไม่เคลิ้มหรอกนะ ผมยังคงยืนดื้อแพ่งอยู่หน้าบันไดเหมือนเดิม
“คุณไพฑูรย์ อย่าดื้อนะครับ ไม่งั้นผมอุ้มขึ้นไปนะ”
ผมแค่นเสียง แต่ยังไม่ทันพูดสักคำว่าจะขึ้นหรือไม่ขึ้น เขาก็ยกตัวผมจนลอย ผมไม่ตกใจก็บ้าแล้ว คว้าไหล่เขาได้ก็กอดแน่น ใจเต้นแรงจนน่ากลัว
ผมกลัวตกลงไปน่ะ กลัวเขาทำร่วง
แต่นายนพรัตน์ก็แรงดี จำได้เหมือนกันว่าตอนเข้ามาทำงานใหม่ๆ เขาเคยอุ้มผมจากชั้นสองขึ้นมาที่ห้องทำงานหนหนึ่งแล้ว และเหมือนกับว่าเคยอุ้มผมจากชั้นล่างขึ้นไปนอนที่เตียงชั้นบนด้วย แต่ตอนนั้นกับตอนนี้มัน....
“คุณนพ ปล่อยผมได้แล้ว ผมเดินเองได้” ผมว่า ตอนที่ถึงหน้าประตูห้องแล้ว เจ้านพรัตน์เลยยอมปล่อยผม ผมขยับตัวปรับความดันอยู่พักหนึ่งก็เอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู กะว่าเดี๋ยวเปิดปุ๊บ จะรีบปิดปั้บ รับรองเขาตามเข้ามาไม่ทันแน่ บ้านผมบ้านเดี่ยว ปิดประตูดังไม่มีใครโวยวายหรอก แต่เหมือนเขารู้ทัน พอผมจับลูกบิดปั้บเขาก็จับมือผมอีกที อย่างกับว่ากลัวผมจะบิดลูกบิดไม่ออก
ยังมีอะไรแย่กว่านี้อีกไหม
ผมยืนนิ่ง แข่งวัดแรงมือกับเขา เรายืนกำลูกบิดกันอยู่พักหนึ่ง สงสัยเขาจะเริ่มเมื่อย เลยเอามืออีกข้างมาพักแถวเอวผม แต่มือที่จับลูกบิดนะมือขวานะ มันเกี่ยวอะไรกับมือซ้ายของเขาไม่ทราบ!?
“คุณไพฑูรย์ ไม่เปิดประตูสักทีล่ะครับ” เขากระซิบข้างหูผม ฝันไปเถอะ แค่กระซิบกับหายใจเป่าหูเป็นคนโบราณผมไม่หลงกลง่ายๆ หรอก ผมยืนนิ่งไม่มีถอย เขาเลยดูจะเมื่อยมือซ้ายหนักขึ้น เริ่มลูบหน้าท้องผม ลูบๆ ไปก็ต่ำลงเรื่อยๆ ผมสะดุ้ง