[เรื่องเบาๆ]Stair.ขยับรัก ข้ามขั้น : จบ P22 6/07/2554(รุ่นพ่อ?vsรุ่นลูก?)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องเบาๆ]Stair.ขยับรัก ข้ามขั้น : จบ P22 6/07/2554(รุ่นพ่อ?vsรุ่นลูก?)  (อ่าน 384714 ครั้ง)

kenshinkenchu

  • บุคคลทั่วไป
แวะมาดันแอนด์คอนเฟิร์ม เรื่องนี้สนุกทุกตอนเลย :)

ออฟไลน์ ณยฎา

  • ขอเพียงมีเธออยู่คู่ฉัน แม้นหลับก็มิฝันถึงสิ่งใด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-3
+1 จ้าาา

ติดเรื่องนี้มาก ตามอ่านทุกวัน

ออฟไลน์ lucifel

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
กำลังไปได้สวย
เหมือนตัดฉับกลับไปซดน้ำมาม่า

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
กดบวกให้คนเขียน

ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนมันค่อยๆเปลี่ยนไป
ให้หอมแก้มอย่างนี้ ให้จับมือนอนอย่างนี้ เห็นมีนอนหนุนตักด้วย
ปากว่าไม่ แต่การกระทำมันขัดกันนะจ๊ะคุณไพฑูรย์

ออฟไลน์ namngern

  • Flowers need to bloom
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-2
Re: [เรื่องยาว]Stair.ขยั$
«ตอบ #184 เมื่อ07-06-2011 22:30:26 »


ชอบบบบบบ คะ พยายามตามอ่านเรื่องนี้ให้ทัน
สุดยอด น่ารักมาก ชอบแนวนี้จัง ดูกุ๊กกิ๊กๆกันดี
ไม่หวานเลี่ยนเกิน (ฮา)

ห่างกันไกลแล้วละคราวนี้ คุณไพรฑูรย์จะทนไหวไหมน้อ
เหตุเกิดจากความเหงาที่ทำให้รู้ว่ารักเธอเท่าไหร่
ความห่างไกลมันทำให้ฉันคิดถึงเธอ ~


รออ่านตอนต่อไปอยู่จ้า
+1 ให้ค้าบบบ จุ๊บๆ .

ออฟไลน์ skidK

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +230/-1

อย่าไปนานนะกลัวคุณเค้าจะเหงา

LadyOneStar

  • บุคคลทั่วไป
ไปแล้ว...อย่าไปลับ
ปล่อยให้เหงาจนไม่เชื่อใจใครอีกเลยนะ
คุนนพ  :sad4:

pattybluet

  • บุคคลทั่วไป
คุณไพฑูรย์น่ารักตลอดๆ ปลื้มใจแทนน้องนพ
แต่ตอนท้ายๆแอบซึมๆหวั่นๆ(อีกแระ)
เอาใจช่วยทั้งคู่เลยจ้าาา :L2:

ออฟไลน์ Tifa

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +417/-2
ห่างกันสักพัก ห่างกันสักพัก

เอาให้คุณลง เหงาจับจิตไปเลย

จะได้ตกลงกับน้องบ่าวซะที ฮิ้วๆ

lastlover

  • บุคคลทั่วไป
คุณไพฑูรย์เป็นคนที่ไม่ค่อยรู้ใจตัวเองเท่าไหร่ หรือไม่ก็กลัวการเจ็บปวด แต่ก็นั่นแหละคงเป้นเพราะวัยที่ห่างกันมากไปทำให้นายเอกของเราไม่สบายใจ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ dukdikdukdik

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2520
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-3
รีบกลับนะคุณนพ อย่าทิ้งให้คุณไพอยู่คนเดียวนาน ๆ ละ เดี่ยวแกจะรู้ตัวซะก่อนว่าคิดถึง 555+ o18

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
กำลังไปด้วยดีแท้ ๆ เลย

 :monkeysad: :monkeysad:

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
เหอๆๆๆ คราวนี้แหละ ลุงแกน่าจะรู้สึกอะไรบ้างแล้วนะ แต่นพอย่าไปนานนะ คิดถึงท่ายิ้มกระมิดกระเมี้ยน  :o12:

ออฟไลน์ Piaanie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-2
ตอนอยู่ใกล้กันทุกวันก็สร้างกำแพงไว้กัน แล้วทีนี้เจ้าตัวดีเค้าไม่อยู่แล้วทีนี้ละจะได้รู้ใจตัวเองซักที

ออฟไลน์ JJHJJH

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +293/-2
กรี๊ดดด เพิ่งมาตามอ่านรวดเดียวจนทัน ชอบๆๆๆๆ เด็กแมวนพ 55+ รีบไปรีบมานะ คุณลุงใจหาย
บวกให้ค่า

ออฟไลน์ love2y

  • (′~‵)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2059
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-11
คุณไพฑูรย์เริ่มรู้ใจตัวเองบ้างรึยังคะเนี่ย เค้าเป็นห่วงนะ

ออฟไลน์ aorpp

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1274
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +250/-3
เพิ่งเห็นว่ามาลงบอร์ดนี้ด้วย
มา +1  :กอด1: ให้ค่ะ

ออฟไลน์ MimicClub

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 323
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-3

bellity

  • บุคคลทั่วไป
T^T

ทั้งที่คุณไพฑูลย์อ่อนลงแล้วแท้ๆ นะ นพมีการหอมแก้มด้วย

ขอให้พี่สาวนพอย่าเป็นอะไรไปเลยนะ

เฮ้อ รักต่างวัย มีอุปสรรคมากมายจริงๆ ถ้าเป็นผู้หญิงเค้าก็มองว่าเด็กหลอก หรือไม่ก็ตัณหากลับ ทั้งชาย/หญิงนั่นแล

แต่นี่เป็นชายๆ เหมือนกันด้วย งืมๆ จะไปยังไงก็นะคู่นี้

ปอลิง 42 มีหงอกแล้ว แสดงว่าเครียดเกินไปแล้วเน้อ คุณไพฑูลย์ก็ลดๆ ความเครียดลงหน่อยเนอะ เด๋วความดันถามหา

ปอลิง 2 นพ สู้ๆ

ปอลิง 3 คุณไพฑูลย์แอบแรงแหะ มีจะถีบกันด้วย ถนอมๆ พระเอกเราหน่อย 55+

ปอลิง 4 (ยาวจังวุ๊ย) ขออภัยที่ไม่ได้เม้นหลายตอนครับ พอดีอ่านจากมือถือไม่สะดวกที่จะเม้น T^T

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13
อย่าปล่อย"หัวใจ"ไปอีกเลยนะ  :monkeysad:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






fOnfOn :D

  • บุคคลทั่วไป
จากกันคราวนี้ขออย่าได้มีอะไรเลยนะ


กำลังไปได้ด้วยดีอ่ะ

ออฟไลน์ badcow

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-10
มาม่าใช่มัียๆๆๆๆๆๆๆๆ
ไม่อาวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ milky way

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
คุณไพทูรย์ ใจเริ่มอ่อนลงแล้วแหละ
แต่นพก็ต้องเดินทางไกล
ขอให้เวลาที่ห่างกัน คุณไพทูรย์รู้ใจตัวเองทีเถอะ
 :L2:

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
 :sad11:

ตอนนี้หล่ะคุณไพได้รู้ใจตัวเองซักที


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บันไดขั้นที่9
   เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นมาด้วยอาการตื้อๆ ในหัว ท่าทางจะดูโทรทัศน์ดึกไปหน่อย ผมเงยมองนาฬิกา มันบอกเวลาแปดโมงครึ่งแล้ว เอาล่ะ วันนี้ผมตื่นสายกว่าปกติ แต่คงไม่เป็นอะไรเพราะหยุดงาน ผมอาบน้ำแต่งตัว แล้วลงมาด้านล่าง ถุงข้าวของยังคงกองระเกะระกะอยู่ข้างโซฟาเปล่าๆ ผมนึกถึงนพรัตน์ ช่วงหลังๆ นี้ลงมาทีไรก็เห็นหน้าเขานั่งยิ้มอยู่บนโซฟาตัวนั้นทุกที
   ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
   เขาเป็นเด็กน่ารักมากจริงๆ เมื่อคืนตอนที่เขารู้ข่าวพี่สาว ผมเห็นความห่วงหาอาทรเต็มเปี่ยมอยู่ในตัวเขา ผมยังไม่ได้ซักประวัติเขาละเอียด แต่เขามีพี่น้องสี่คน ตัวเองเป็นคนสุดท้อง และเป็นลูกหลง ดังนั้น พี่สาวพี่ชายก็คงเหมือนพ่อเหมือนแม่เขานั่นแหละ เห็นเขาห่วงใยพี่น้องขนาดนั้น ผมก็รู้สึกดีที่รับเขามาเป็นลูกน้อง เขาเป็นเด็กดี เป็นคนดี สมควรที่จะได้รับความรักจากคนรอบข้าง
   เขารีบไปเยี่ยมอาการของพี่สาวแทนที่จะขลุกอยู่กับผม เขาทำถูกต้องแล้วล่ะ
   ถึงเขาไม่ใช่ญาติไม่มีสายเลือดร่วมกับผม ผมก็รู้สึกภูมิใจในตัวเขา ภูมิใจที่มีเขาอยู่ข้างๆ
   ไว้ถ้าเขากลับมาเมื่อไหร่ผมจะชมเขาสักที จะบอกเขาว่าดีใจที่ได้เขามาเป็นลูกน้อง ดีใจที่ได้เจอเด็กดีๆ อย่างเขา
   ผมเดินเข้าครัว หุงข้าวทิ้งเอาไว้ จากนั้นก็เดินมารื้อเสื้อผ้าที่ซื้อเมื่อวาน ผมไม่ชอบกลิ่นเสื้อใหม่ และไม่กล้าใส่โดยที่ยังไม่ซักด้วย เพราะไม่รู้ว่าตอนทำผ่านอะไรต่อมิอะไรมาบ้าง ดังนั้น พอได้เสื้อมาใหม่ ผมจะเอาไปแช่น้ำ ขยำๆ ให้อะไรที่ติดมาหลุดออก ตากให้แห้ง ส่งร้านรีด แล้วค่อยใส่ อย่างนี้ถึงค่อยสบายใจ
   ปกติผมใส่แต่เสื้อสีพื้นๆ ไม่ฉูดฉาด สีเทากับสีขาวเป็นสีที่มีเยอะที่สุดในตู้เสื้อผ้าของผม รองลงมาก็สีกรมท่า สีฟ้าหม่น สีครีม สีน้ำตาลอ่อน คราวนี้ดันมีสีชมพูอ่อนเส้นขาวเพิ่มขึ้นมาอีกสีหนึ่ง ใส่ไปทำงานคงจะดูแปลกพิลึก เอาไว้ใส่ตอนไปรับเจ้านพรัตน์ก็แล้วกัน
   ผมแยกเสื้อออกเป็นสีๆ เอาใส่กะละมังแช่น้ำทิ้งไว้ แล้วเดินออกมายืดเส้นยืดสายหน้าบ้าน หน้าบ้านผมมีสนามหญ้าเล็กๆ แล้วก็มีมะม่วงอยู่ต้นหนึ่ง ปลูกเอาไว้ตั้งแต่ซื้อบ้านใหม่ๆ คงสักสิบกว่าปีได้แล้วมั้ง ผมไม่ค่อยได้ดูแล แค่จ้างคนมาตัดหญ้าเดือนละสองครั้ง น้ำก็รดบ้างไม่รดบ้าง ถึงอย่างนั้นมันก็ออกลูกให้ผมทานแทบทุกปี หวานอร่อยเสียด้วย รู้สึกว่าจะเป็นพันธุ์อกร่องล่ะมั้ง ผมเห็นมันออกดอกเต็มต้น เรียกพวกตัวแตนตัวต่อมาให้หึ่งไปหมด ปีนี้มันคงลูกดกอีกเช่นเคย ก็ดี ผมจะเก็บไว้ให้นายนพรัตน์ ไม่รู้ว่าจะชอบทานมะม่วงด้วยรึเปล่า
   เก็บไว้ให้ก่อนก็แล้วกัน
   ยืนยืดเส้นยืดสาย ดูตัวต่อตอมดอกมะม่วงอยู่ได้พักหนึ่ง คุณน้าข้างบ้านก็เดินมาทักผม เราคุยกันเรื่องดินฟ้าอากาศว่าปีนี้ท่าทางหน้าหนาวจะมาช้า ซึ่งทั้งผมทั้งแกก็เห็นว่าดีกันทั้งคู่ เพราะหน้าหนาวทีไร มันลำบากเวลาอาบน้ำทุกที ยิ่งแกเป็นเก๊ายิ่งทรมานเข้าไปใหญ่ ดีนะที่ผมยังไม่มีปัญหาเรื่องพวกนี้ แต่ใครจะไปรู้ อนาคตอาจจะเป็นก็ได้ เพราะอย่างนั้นผมเลยพยายามรักษาสุขภาพเต็มที เพราะเวลาป่วย มันไม่มีใครมาป่วยแทนเราน่ะสิ
   เราคุยกันเรื่องหยูกเรื่องยาอยู่พักหนึ่ง ก็มาออกกันที่ต้นมะม่วงหน้าบ้านผม แกบอกว่าหลานอยากได้พันธุ์ไปปลูกที่ที่ดินที่กาญจนบุรี สุดท้ายผมเลยบอกแกว่า รอมันออกลูกก่อน เดี๋ยวผมจะตอนไว้ให้ เพราะตอนตอนนี้กลัวจะเสียลูก แกก็ว่าเดี๋ยวถึงตอนนั้นค่อยบอกแกอีกทีแล้วกัน จากนั้นลูกแกก็เดินมาตามแกไปทานข้าว ผมเลยเข้าบ้านมาทานข้าว ก่อนที่จะกลายเป็นเพื่อนต้นมะม่วง ยืนตากแดดสังเคราะห์แสงกันอยู่ตรงนั้น
   ผมเปิดตู้เย็นพลางนึกขอบใจเจ้านพรัตน์ที่ซื้อของมาตุนเอาไว้เสียมากมาย ตั้งใจว่าวันไหนที่อยู่บ้านจะทำกับข้าวทานกันให้เต็มอิ่ม แต่สุดท้ายก็มีแต่ผมที่ต้องทำเองทานเอง เอาเถอะ อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องออกไปซื้อกับข้าวอีกหลายวันล่ะ
   ทานข้าวเสร็จ ผมก็เอาเสื้อที่แช่น้ำเอาไว้ไปตาก แขวนรวมกันบนราว ไอ้ตัวสีชมพูนั่นก็เด่นกว่าเพื่อน ผมนึกขำตัวเอง ไม่รู้ว่าใส่เข้าไปแล้วจะตลกขนาดไหน เกิดมาผมยังไม่เคยใส่สีพวกนี้เลย
   จู่ๆ ผมก็นึกถึงหน้านายนพรัตน์ที่ชอบทำท่าเขินๆ ใส่ผม ตอนเขาทำผมไม่เคยยิ้มหรอกนะ ตีหน้าตายตลอดด้วยซ้ำ แต่พอมานึกถึงตอนนี้ ผมก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
   เขาเขย่าหัวใจผมได้รุนแรงจริงๆ นั่นแหละ
   กวาดบ้านถูพื้นเสร็จ ผมก็มานอนดูโทรทัศน์ที่โซฟา เพราะแดดแผดร้อนเสียจนไม่อยากจะออกไปไหน นี่คือข้อเสียและจุดเด่นของหน้าหนาว เป็นหน้าที่ไร้เมฆ ดวงอาทิตย์เลยแผดแสงร้อนแรงตั้งแต่เช้ายันเย็น แถมยังส่องมาทางหน้าบ้านผมอีกแน่ะ พอเที่ยงๆ บ่ายๆ ก็เริ่มร้อนน่าดู ดีว่าพอมีต้นมะม่วงบังอยู่ พัดลมที่มีอยู่สองตัวเลยยังไม่ต้องซื้อเพิ่ม
   ที่ผมเปิดดูเป็นช่องสารคดี เปิดมาก็เจองูเงี้ยวเขี้ยวขอมากันให้เต็มจอไปหมด ดูไปได้พักหนึ่งชักง่วงๆ เลยเปลี่ยนช่อง พอดีกับเจอรายการเพลงเก่า เลยเปิดแช่ไว้แบบนั้น แล้วเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ แถมหลับฝันดีอย่างกับตัวเองเป็นพระเอกมิวสิกเพลงลูกทุ่ง นอนหนุนตักเจ้านพรัตน์ตรงกองฟางที่ไหนสักแห่ง ดูดู๋ ผมยังกล้าฝันไปได้
   ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการกระดากตัวเองพอควร แก่จนจะเป็นพ่อเขาได้อยู่แล้วยังมาฝันอะไรแบบนี้อีก ใครรู้เข้ามีหวังไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ไหน มองนาฬิกาก็เห็นว่าสี่โมงเย็นเข้าไปแล้ว ป่านนี้เจ้านพรัตน์จะถึงแคนนาดารึยังหนอ แล้วพี่สาวจะอาการดีขึ้นไหมนะ
   ถ้าพี่เขาเป็นอะไรไป ผมว่าเขาต้องเศร้ามากแน่ๆ
   ผมอยากเห็นเขายิ้ม อยากเห็นเขาหัวเราะโชว์ฟันเขี้ยวอีก
   เพราะอย่างนั้น ขอให้พี่สาวเขาปลอดภัยด้วยเถอะ
--------------------------------------------------
   คืนนั้นผมเข้านอนแต่หัวค่ำ เพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ ก่อนนอนยังอุตส่าห์ไปขยับเจ้าตุ๊กตาแมวบนหัวเตียงใหม่ กะมุมว่าเดินเข้ามาจะต้องเห็นว่าหันมามองผมอยู่ ทั้งๆ ที่แต่ก่อนไม่ได้สนใจอะไรกับมันเท่าไหร่เลย ผมก็นี่ก็แปลกคนเหมือนกัน
   เตียงนอนก็นอนมาเป็นสิบปีแล้ว เปลี่ยนเบาะไปหนหนึ่งตอนห้าปีที่แล้วเท่านั้นเอง ผ้าปูที่นอนก็ลายเดิม นอนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรไม่เคยคิดว่ามันกว้าง ทำไมตอนนี้พอมองไปถึงได้รู้สึกกว้างนักไม่รู้ ผมไม่เคยกลัวว่าจะมีสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้มานอนข้างๆ หรอกนะ อยู่มาตั้งเป็นสิบปี แต่คืนนี้ผมต้องไปรื้อหมอนจากตู้มาวางไว้ข้างๆ เพราะจะได้รู้สึกว่าเตียงมันแคบลงบ้าง นอนแล้วจะได้ไม่เหงา
   นอนไปแล้วก็ยังไม่วายนึกถึงมือของเจ้านพรัตน์ที่จับไว้หลวมๆ คืนนั้น นี่ผมเป็นอะไรไปแล้วนะ นั่งคิดนอนคิดถึงเรื่องเขาอยู่ได้ทั้งวัน ท่าทางสิ่งที่เขาพยายามทำมันจะส่งผลกับผมแล้วล่ะ
   ถึงคืนนี้ไม่มีเขานอนข้าง แต่ผมก็ยังรู้สึกอุ่นใจอยู่ลึกๆ
------------------------------------------
   ผมใช้ชีวิตประจำวันเหมือนเดิมทุกอย่าง ตื่นเช้ามาออกกำลังกาย ทำกับข้าว อ้อ ช่วงนี้คงต้องงดออกไปทานข้าวนอกบ้าน เพราะกับข้าวในตู้เย็นมันมีเยอะจนกลัวจะเสีย ก็มันเผื่อไว้สำหรับสองคนนี่นา นายนพรัตน์ทานน้อยเสียเมื่อไหร่ พอเขาไม่อยู่ ความเหงามันก็ชัดเจนขึ้นทันทีในความรู้สึกผม เขาเคยนั่งมองผม ยิ้มให้ผมตอนผมนั่งทานข้าว ไม่รู้ว่าชอบดูอะไรนักเวลาคนทานข้าว ชอบถามคำถามที่ทำให้ผมคันปากยิบๆ แต่ก็ตอบโต้อะไรไม่ได้ บางทีผมก็รู้สึกว่ายังมีเขาอยู่ใกล้ๆ มาแอบยืนมองผม แอบยิ้มเขินๆ อยู่คนเดียว หลายเดือนที่ผ่านมา เขาประสบความสำเร็จในการทำให้ผมชินกับการมีอยู่ของเขาแล้วล่ะ
   พอเขาหายไป ผมเลยต้องมานั่งสู้กับความเหงาในบ้านตัวเองคนเดียวตอนอายุสี่สิบสอง ไม่รู้ว่าควรจะไปโทษใครดี
   ผมเริ่มหาวิธีบำรุงดูแลต้นมะม่วง ไม่กล้ามั่วเองเพราะคุณน้าที่มาคุยวันก่อนบอกว่าตอนมีดอก มะม่วงไม่ต้องการน้ำ วันนี้ผมเลยออกไปร้านหนังสือ หาคู่มือดูแลต้นมะม่วง แล้วยืนอ่านมันตรงนั้นเลย ไม่ใช่ว่าผมงกเงินหรืออะไรหรอกนะ แต่บ้านผมมีต้นมะม่วงแค่ต้นเดียว ไม่ได้มีเป็นสวนๆ ไม่รู้จะซื้อตำรามาทำไม อ่านแค่พอรู้ว่าควรทำอะไรบ้างแบบคร่าวๆ ก็พอแล้ว อ่านไปหลายเล่ม สุดท้ายก็สรุปได้ว่าผมคงไม่ต้องทำอะไรเลย ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาตินั่นแหละ เพราะปีก่อนๆ มันก็ลูกดก หวานอร่อยมาทุกปี แต่ปีนี้ผมว่าจะปีนขึ้นไปห่อมันสักหน่อย ลูกจะได้สวยๆ ให้ใครแล้วไม่น่าเกลียด
   เข้าร้านไปแล้วคนระดับผมยืนอ่านอย่างเดียวก็น่าเกลียด ขากลับผมเลยซื้อหนังสือนำเที่ยวกรุงเทพฯมาหนึ่งเล่ม คนขายคงงง ผมเข้าไปอ่านคู่มือการเกษตร แต่ดันซื้อคู่มือนำเที่ยวกลับมาเสียอย่างนั้น ผมขี้เกียจผจญกับที่เที่ยววัยรุ่นที่นายนพรัตน์นึกน่ะสิ สวนสนุกบ้างล่ะ ลานไอซ์สเกตบ้างล่ะ แต่ละที่ ขืนให้ผมไปก็ได้แต่ยืนเฉยๆ น่ะสิ
   หนังสือเล่มนี้ละเอียดใช้ได้ หลากหลายดีด้วย มีทั้งที่กินที่เที่ยว วัยรุ่นไปได้ ผู้ใหญ่ไปดี ผมเห็นแก่ความเพียรพยายามของนายนพรัตน์ที่นึกสถานที่เที่ยวแบบพยายามเอาใจผมเป็นพิเศษ เอาล่ะ ถึงผมจะไปลานไอซ์สเกต หรือสวนสนุกกับเขาไม่ได้ แต่ผมจะพยายามหาที่เที่ยวที่ทั้งเขาและผมสนุกไปด้วยกันได้
   ถึงผมจะปรับอายุเข้าหาเขาไม่ได้ แต่ผมจะพยายามปรับตัวเองก็แล้วกัน ทั้งหมดนี่เพราะเขาไต่บันไดมาได้สูงเกินความคาดหมายของผมแท้ๆ เชียว
--------------------------------------------------------
   นพรัตน์ไปแคนนาดาได้เกือบสัปดาห์แล้ว เขาเงียบไปจนผมนึกเป็นห่วง ตอนผมไปสัมมนา เขายังคอยเมสเสจหาผม เอาเข้าจริงๆ แล้วเหมือนผมกับเขาจะตัวติดกันแทบตลอดเวลา พอจบจากที่ทำงาน เขาก็มาส่งผมที่บ้าน นั่งคุยอะไรกันเล็กๆ น้อยๆ ทุกวัน เสาร์อาทิตย์ก็มาค้างที่บ้าน เขาไม่เคยขาดการติดต่อกับผม พอเขาหายไปแบบนี้ผมเลยนึกเป็นห่วง
   ก็รู้อยู่หรอกว่าค่าโทรศัพท์ที่ต่างประเทศแพง แถมเขาไปเพราะอาการป่วยของพี่สาว อาจจะไม่มีเวลาโทรหาผมก็ได้ ผมเปิดโทรทัศน์ดูข่าวทุกวัน ไม่เห็นข่าวอุบัติเหตุทางเครื่องบินผมก็สบายใจ เขาคงไปถึงแคนนาดาได้อย่างปลอดภัยนั่นแหละ
   ผมรู้ว่าเขาคงมีเหตุไม่สะดวกหลายอย่างให้ติดต่อกลับมาไม่ได้ แต่ผมไม่ได้ยินเสียงเขามาจะสัปดาห์แล้ว คงไม่น่าเกลียดหรอกมั้ง ถ้าผมจะโทรไปหาเขาก่อน ให้แน่ใจว่าลูกน้องผมถึงที่หมายอย่างปลอดภัยจริงๆ แล้วจะได้ถามอาการของพี่สาวเขาด้วย
   บ่ายวันนั้นผมฝ่าแดดร้อนออกไปศูนย์ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ เพื่อเปิดเบอร์ให้โทรออกต่างประเทศได้ หลังจากกรอกข้อมูลและนั่งรอคิวได้พักหนึ่ง เบอร์โทรศัพท์ของผมก็ได้รับการอนุมัติ ผมรีบกลับมาที่บ้าน ไม่กล้าโทรในที่สาธารณะ เพราะเสียงดังโหวกเหวก แถมไม่รู้ว่าโทรแล้วถ้าผมเกิดยืนยิ้มคนเดียว คนอื่นจะหาว่าผมประสาทน่ะสิ
   คนวัยผมมายืนโทรศัพท์หาเด็กรุ่นลูก ใครรู้เข้าอายไปถึงไหนต่อไหน เพราะฉะนั้น กลับมาโทรที่บ้านนี่แหละ ไม่มีใครรู้ใครเห็นแน่
   ผมกลับมาถึงบ้านแล้วก็ยังไม่ได้โทรทันที เพราะไม่รู้ว่าเวลาที่แคนนาดากับเมืองไทยห่างกันกี่ชั่วโมง เกิดโทรไปปลุกเขาเข้ามันจะไม่สวยเอาน่ะสิ ดังนั้นผมเลยโทรไปถามเพื่อนที่เคยไปแคนนาดาก่อน ไอ้เพื่อนผมมันคงนึกงงๆ อยู่เหมือนกันนั่นแหละว่าจู่ๆ ทำไมผมโทรมาถามเรื่องนี้ ผมเลยเนียนไปว่ามีหลานไปเรียนต่อที่นั่น มันเลยถามผมว่าเมืองอะไร เท่านั้นแหละ ผมก็อึ้งกิน นายนพรัตน์ไม่ได้บอกผมด้วยสิว่าเมืองอะไร พอเห็นผมอ้ำๆ อึ้งๆ เพื่อนมันก็หัวเราะแล้วบอกให้ผมถามหลานมาด้วย เพราะแคนนาดามันกว้าง บางเมืองก็ห่างมากบางเมืองก็ห่างน้อย ผมขี้เกียจฟังมันกระแนะกระแหนความซื่อบื้อของผม ก็เลยถามไปตรงๆ ว่าตกลงมันเฉลี่ยที่เท่าไหร่ สุดท้ายเลยได้ความกลับมาว่าประมาณสิบสองถึงสิบห้าชั่วโมง จากนั้นก็เหน็บผมต่อว่าลองย้ายไปอยู่สิ จะได้เด็กลงตั้งครึ่งวัน โถ... มันก็อายุพอๆ กับผมนั่นแหละ ทำมาเหน็บคนรุ่นเดียวกันไปได้
   และถึงผมย้ายไป ก็ใช่จะเด็กลงทันเจ้านพรัตน์เสียหน่อย ผมอยู่ของผมแบบนี้แหละดีแล้ว
   พอรู้ว่าเวลาห่างกันขนาดนั้นผมก็มองนาฬิกาอย่างอึ้งๆ หกโมงเย็นแล้ว เพิ่งเลยเวลาเอาธงลงจากเสาไปสักสิบห้านาทีเห็นจะได้ ถ้านายนพรัตน์อยู่มอนทรีอัลหรือโตรอนโต้ ที่นั่นก็คงประมาณหกโมงเช้านี่แหละ เขาคงยังไม่ตื่นหรอก หรือถ้าตื่นก็คงง่วนอยู่กับการจัดการตัวเอง โทรไปก็คงไม่เหมาะ รอสักทุ่มสองทุ่มน่าจะดีกว่า
   แต่ถ้านายนพรัตน์เกิดอยู่แถวแวนคูเวอร์ ที่นั่นคงเก้าโมงเช้าเข้าไปแล้ว เอาน่ะ เผื่อไปอีกสองชั่วโมงก็เที่ยง ยังโทรได้ไม่น่าเกลียด ดีกว่าโทรไปปลุกตอนเช้าล่ะ
   ผมเลยไปหาอะไรทานรองท้อง พักนี้ผมเริ่มงดมื้อเย็นแล้ว เพราะกลัวหุ่นจะเพิ่ม พออายุมากอะไรๆ มันก็ขึ้นง่าย น้ำหนักกับชั้นไขมันนี่ตัวดี สมัยก่อนหนุ่มๆ กินไปเถอะ เท่าไหร่ก็หายหมด พออายุเยอะ กินอะไรมันก็ออกมา เรียกว่าไม่มีหาย เข้าไปเท่าไหร่ก็แสดงออกมาเท่านั้น ผมไม่อยากตามเพื่อนรุ่นเดียวกัน เลยพยายามดูแลรักษาทั้งสุขภาพและรูปร่างอย่างเต็มที่
   สุดท้ายผมรื้อเจอฝรั่งในตู้เย็น ก็ของนายนพรัตน์อีกนั่นแหละ ผมเลยผ่าเป็นซีกๆ แล้วเอามานั่งทานหน้าโทรทัศน์ รอเวลาจะได้โทรไปหาเขา นั่งๆ ไปผมชักรู้สึกว่าตัวเองดูนาฬิกามากกว่ามองโทรทัศน์เสียอีก พอรู้สึกตัวก็นึกขำตัวเอง ผมทำตัวอย่างกับกำลังจีบผู้หญิงแล้วต้องแอบโทรหาเพราะกลัวพ่อแม่เขาจับได้ เกิดมาสี่สิบกว่าปี ผมเพิ่งเคยทำแบบนี้นี่แหละ
   เพราะเจ้านพรัตน์แท้ๆ เชียว
   ผมเตรียมแว่นไว้พร้อม ไล่กดหาเบอร์เจ้านพรัตน์ พอสองทุ่มสิบห้าก็โทรออกทันที หวังว่าผมคงไม่โทรไปปลุกเขาหรอกนะ ผมเอาโทรศัพท์แนบหู รู้สึกใจเต้นตึกตั่ก คิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อย เงียบอยู่สักอึดใจ ก็มีเสียงตอบรับ
   “หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”
   ผมกะพริบตาปริบๆ เกือบจะกลืนน้ำลายไม่ลง เอ่อ... มันคงมีอะไรผิดพลาดสักอย่างแหละ โทรไปต่างประเทศอาจจะติดยาก ก็มันไกลกันนี่นา คลื่นมันอาจจะหายระหว่างทางก็ได้
   ผมลองกดโทรออกใหม่ ด้วยความหวังว่าคราวนี้มันจะติด เงียบไปอีกสักพัก
   “หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”
   “...............” ผมชักฉุน ลองโทรอีกที ก็ยังไม่ติด เลยโทรไปโวยวายกับคอลเซ็นเตอร์ที่ให้บริการโทรศัพท์ ว่าผมเปิดเบอร์โทรออกต่างประเทศแล้วทำไมโทรไม่ได้ เขาให้ผมรอสายบอกว่าจะเช็กให้ ผมนั่งฟังเพลงด้วยความหงุดหงิด สักพักเจ้าหน้าที่ก็กลับมารับสาย แจ้งกับผมว่าเครื่องผมให้รับอนุญาตให้โทรออกนอกประเทศได้ตั้งแต่ไปแจ้งไว้เมื่อช่วงกลางวันแล้ว ผมเลยแจ้งกับเขาว่าผมลองโทรตั้งหลายหนแล้วก็โทรไม่ติด เขาเลยแจ้งว่าเบอร์คู่สายอาจจะปิดเครื่องอยู่
   ปิดเครื่อง?
   ผมไม่รู้ว่าพนักงานพูดเพื่อตัวรอดไปที หรือว่านพรัตน์ปิดเครื่องจริงๆ หรือว่าเครือข่ายมีปัญหา แต่ผมไม่สามารถโทรเช็กกับคนอี่นได้ เพราะไม่มีเพื่อนสนิทอยู่ต่างประเทศเลยสักคน หรือมีก็ไม่มีเบอร์โทร ผมลองอีกสองสามครั้ง ก็ยังเหมือนเดิม สุดท้ายเลยมานึกกับตัวเองว่านพรัตน์อาจจะต้องเฝ้าพี่สาวในห้องไอซียู คงจะเปิดโทรศัพท์มือถือไม่ได้ พอคิดได้แบบนี้แล้วผมก็นึกสะเทือนใจขึ้นมา เขาคงพยายามให้กำลังใจพี่สาวอยู่ นิสัยอย่างเขาคงพยายามจะทำอะไรตลกๆ เพื่อให้ทางนั้นรู้สึกดีขึ้น
   ในที่สุดผมก็ล้มเลิกความตั้งใจจะโทรศัพท์หานายนพรัตน์ เพราะคิดว่าเขาคงกำลังอยู่ในช่วงวิกฤตของชีวิต ต้องใช้เวลาทุกวินาทีไปกับพี่สาวคนสำคัญของเขาให้เต็มที่ ชีวิตคนเรามันสั้น เขาเป็นเด็กดี ต้องทำได้ดีที่สุดแน่ๆ
--------------------------------------------------
   ใกล้วันสิ้นปี แถวบ้านผมเงียบกริบ ทุกคนออกจากบ้านไปเที่ยวปีใหม่กันหมด เหลือผมนั่งเฝ้าต้นมะม่วงอยู่บ้านคนเดียว ปกติปีใหม่จะอัตคัดเรื่องของกินเป็นที่สุด เพราะร้านรวงจะปิดกันหมด แต่ปีนี้ท่าทางผมจะไม่มีปัญหา ยังมีของเหลืออีกเพียบในตู้เย็น พอสำหรับคนคนเดียวจะหมกตัวอยู่บ้านได้สักครึ่งเดือน
   เช้าวันนี้นอกจากเสียงนก ก็มีเสียงถอยรถของคนข้างบ้านนี่แหละที่ดังมาเข้าหูผม เป็นครอบครัวพ่อแม่ลูกสามคน คงเตรียมไปเที่ยวทะเลกันมั้ง เห็นมีห่วงยางมีอะไรใส่ไปด้วย พวกเขาแวะทักผมที่เดินยืดเส้นยืดสายอยู่หน้าบ้าน ท่าจะอยากได้คำอวยพรจากผู้ใหญ่ ผมเลยบอกให้เขาขับรถระวังๆ เดินทางปลอดภัย เที่ยวให้สนุก
   พอตกสาย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมสะดุ้งเฮือก นึกขึ้นมาทันทีว่าอาจจะเป็นสายของนายนพรัตน์ เลยรีบรับโดยไม่ทันได้หาแว่นมามองชื่อ
   “น้องไพ”
   ผมงี้แทบปาโทรศัพท์ทิ้ง เรียกแบบนี้ไม่ต้องเดาเลยว่าใคร มีแต่ไอ้พี่จิระภัทร์คนเดียวเท่านั้นแหละที่บ้ากล้าหาญเรียกมาได้จะยี่สิบปี ไม่เปลี่ยนสักที ผมเคยต่อยปากเขาไปทีหนึ่งด้วยนะตอนสมัยหนุ่มๆ แต่เหมือนเขาจะไม่สะดุ้งสะเทือนอะไร ยังเรียกแบบนี้มาตลอด
   ไอ้คุณพี่จิระภัทร์พยายามตื้อผมตั้งแต่สมัยเรียน ยันเรียนจบก็พยายามจะหาทางติดต่อกับผม ผมก็พยายามหนีเขาตลอด ทั้งด่าทั้งไล่ แต่เขาก็ไม่เลิกไม่รา จองเวรจองกรรมผมไม่จบไม่สิ้นสักที เรื่องโทรศัพท์นี่ก็เหมือนกัน ผมบล็อกเบอร์เขาทิ้งไปนานแล้ว เขาก็ใช้เบอร์อื่นโทรมา แรกๆ โทรโคตรถี่ หลังๆ สงสัยต้องเอาเวลาไปจัดการปัญหาธุรกิจ เลยโทรมาหลอกหลอนผมน้อยลง แต่ผมถือคติระวังตัวเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว เห็นเบอร์แปลกๆ โทรมา ผมจะไม่รับ วันนี้ดันพลาด รับสายเขาพอดี
   “น้องไพจ๋า น้องรับโทรศัพท์พี่ พี่ดีใจจัง”
   โอ๊ย ผมขี้เกียจทนฟังต่อ เลยวางสายใส่ ให้ตายสิ จะปีใหม่แล้วแท้ๆ หัดมองหาคนใหม่บ้างก็ได้ เงินก็มี หัวล้านหุ่นหมีคนเดี๋ยวนี้ไม่เกี่ยงกันแล้วล่ะ จะมาจองเวรจองกรรมอะไรผมนักหนา
   เพื่อกันความผิดพลาด คราวนี้ผมเลยเอาแว่นมาวางไว้ใกล้ๆ โทรศัพท์ ใครโทรมาจะได้ดูชื่อก่อนกดรับ
   สักพัก มีสายเข้ามาอีก ผมใส่แว่นกะว่าไม่มีพลาดแน่นอน พอเห็นว่าเป็นสายของพงษ์โพยม เลยกดรับ
   “ไพฑูรย์ ปีใหม่ไปเที่ยวที่ไหนรึเปล่า?”
   “เปล่าครับ” ผมตอบไป เสียงเขาดูสดชื่นและอบอุ่นดีจริงๆ
   “พี่อยู่อเมริกาแล้ว จะฝากซื้ออะไรไหม? พวกเสื้อผ้าอะไรพวกนี้”
   ผมหัวเราะ พงษ์โพยมบอกผมตั้งแต่ก่อนหยุดงานแล้วล่ะ ว่าปีใหม่เขาจะไปเยี่ยมพรายโพยมน้องชายที่อเมริกา เลยชวนผมไปด้วย แต่ผมปฏิเสธ เพราะไม่รู้ว่าจะไปทำไม อีกอย่างตอนนั้นผมกำลังมึนๆ เพราะเรื่องโบนัส ไม่มีกะใจจะไปเมืองนอกหรอก
   “เสื้อไซต์ฝรั่งผมใส่ไม่ได้หรอก พี่ไม่ต้องซื้ออะไรมาฝากนะครับ ถ่ายรูปมาก็พอ” ผมว่า พงษ์โพยมหัวเราะ “คุยกับพรายมั้ย? มันยืนรอทำหน้าอยากจะคุยกับเธออยู่ข้างพี่นี่แหละ”
   ผมตอบตกลงออกไป สักพัก เสียงพรายโพยมก็ดังลอดหูโทรศัพท์ออกมา “พี่ไพฑูรย์ สบายดีรึเปล่าครับ”
   “อือ อเมริกาเป็นไงบ้างล่ะ”
   “อเมริกาก็งั้นๆ แหละพี่ ช่วงนี้เริ่มจะเข้าหน้าหนาวแล้ว พี่พงษ์มาถึงก็บ่นใหญ่ ออกไปนอกบ้านทีใส่เสื้ออย่างกับอยู่ขั้วโลกเหนือ”
   ผมหัวเราะ “แหม..ก็เมืองไทยมันร้อนนี่”
   พรายโพยมหัวเราะตอบ “พี่ไพฑูรย์ ผมมีข่าวดีจะบอกพี่ล่ะ ผมจะมีหลานให้พี่แล้วนะ”
   “โอ้โห..” ผมร้องใส่หูโทรศัพท์อย่างไม่เกรงใจคนฟัง “สามสิบเก้ายังฟิตปั๋ง งี้พี่ก็เป็นลุงแล้วสิ” พรายโพยมแต่งงานไปได้สองสามเดือนแล้ว ถ้าไม่ท้องก่อนแต่งเขาก็มีลูกเร็วเหมือนกันนะเนี่ย
   “กี่เดือนแล้ว” ผมว่า ทางนั้นหัวเราะเขินๆ “เพิ่งตรวจเจอ ได้เดือนกว่าๆ เองพี่ แต่ผมตื่นเต้นมากเลย ต้องรีบบอกพี่ก่อน พี่จะได้อึ้งว่าเด็กกะโปโลแบบผมจะเป็นพ่อคนแล้ว”
   ผมหัวเราะ “ระวังอย่าเลี้ยงลูกให้กะโปโลเหมือนตัวเองแล้วกัน”
   พรายโพยมหัวเราะชอบใจ “พี่ไพฑูรย์ พี่จะแวะมาดูหน้าหลานรึเปล่า”
   “โห...เพิ่งติด กำหนดคลอดเมื่อไหร่ยังไม่รู้เลย” ผมว่า และพูดต่อ “เอางี้ ไว้ใกล้ๆ ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน”
   “เดี๋ยวผมให้พี่พงษ์ปิดบริษัทเลย พี่จะได้มาดูหน้าหลาน”
   ผมได้ยินเสียงพงษ์โพยมโวยวายอยู่ด้านหลัง เราคุยสัพเพเหระกันอยู่อีกพักหนึ่ง จากนั้นเขาก็วางสายไป
   ผมกลับมาเผชิญหน้ากับความเงียบของบ้านอีกครั้ง ในเมื่อไม่มีนายนพรัตน์คอยส่งเสียง ผมก็จัดการเปิดโทรทัศน์แล้วลงมือจัดนั่นจัดนี่ตามประสาคนไม่มีอะไรทำ เริ่มจากตู้โชว์ข้างโทรทัศน์ก่อน ซึ่งความจริงมันก็ไม่ได้รกอะไร ผมขยับของพวกนั้น เปลี่ยนที่ตั้งนิดหน่อย แล้วก็นึกไปว่าได้มาจากไหน หรือใครเป็นคนให้บ้าง สรุปว่าผมใช้เวลาไปกับการระลึกถึงความหลังจากของที่ระลึกพวกนั้น โดยที่แทบไม่ได้จัดอะไรใหม่เลย นั่งดูนั่งจัดไปได้สักเที่ยงกว่าๆ ถึงเลิกแล้วไปทานข้าว
   ล้างจานเสร็จ ผมย่อยอาหารด้วยการกลับไปนั่งจัดตู้โชว์ต่อ จัดไปได้สองตู้ หรือจะพูดให้ถูกคือระลึกความหลังจบไปได้สองตู้ พอเปิดตู้ต่อมาก็เจอหนังสือนิยายสมัยยังวัยรุ่นกองซ้อนกันอยู่ ผมเพิ่งนึกได้เหมือนกันว่าเอามาใส่ไว้ในนี้ โอ้โห กลิ่นกระดาษเก่าหึ่งไปหมด ผมหยิบออกมา และกะว่าจะเอาไปใส่ตู้หนังสือข้างบน แต่ไหนๆ ก็ไม่ได้อ่านมันตั้งนานแล้ว เปิดดูสักหน่อยแล้วกันว่าเนื้อหาเป็นอย่างไรบ้าง ไม่อ่านนาน ชักจะลืมไปหมดแล้ว
   สุดท้ายผมก็อ่านนิยายพวกนั้นจนฟ้ามืด ถึงได้รู้สึกตัวแล้วเดินไปเปิดไฟ ขณะที่เดินกลับมาจะอ่านนิยายต่อ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นทันที ผมนึกแว้บถึงไอ้พี่จิระภัทร์เป็นคนแรก แต่ใส่แว่นอยู่แบบนี้ผมไม่พลาดดูชื่อคนโทรหรอก
   ปรากฏว่าเบอร์ที่โทรมาเป็นเบอร์ที่ผมไม่รู้จัก แต่ก็ไม่ใช่เบอร์ที่จิระภัทร์โทรมาเมื่อเช้า ผมจึงลังๆ เลๆ ที่จะรับ ปล่อยให้มันดังอยู่อีกพักใหญ่ ในที่สุดก็กลั้นใจกดรับไป เอาว่ะ ถ้าเป็นเบอร์ไอ้พี่จิระภัทร์อีก ผมจะได้ไปแจ้งให้เขาบล็อกทั้งสองเบอร์เลย
   “คุณไพฑูรย์”
   ผมอุ่นวาบไปทั้งตัว ได้ยินเสียงตัวเองเรียกชื่อเขาไปอย่างตื่นเต้น “คุณนพ?!”
   “ครับ คุณเป็นไงบ้าง ผมโทรมารบกวนรึเปล่า?”
   “เปล่า ผมสบายดี” ผมตอบเขาไป เสียงของเขาดูเหนื่อยๆ ผมมองนาฬิกา แล้วถามเขาต่อ “ที่นั่นกี่โมงล่ะคุณนพ”
   “เจ็ดโมงเช้าครับ ของคุณสักทุ่มหนึ่งแล้วใช่ไหม?”
   “อือ”
   “คุณไพฑูรย์ ผมทำโทรศัพท์หายตอนถึงสนามบิน เลยต้องขอยืมพี่ชายมาโทรก่อน ขอโทษนะครับที่ไม่ได้ติดต่อไปเลย”
   “ไม่เป็นไรหรอก ผมรู้ว่าคุณยุ่ง” ผมว่า และเข้าใจเสียทีว่าทำไมผมถึงโทรหาเขาไม่ติด “แล้วพี่สาวอาการเป็นไงบ้างล่ะ”
   “ทรงๆ ครับ แต่ไม่ค่อยดีเลย ต้องรอผ่าตัดอีกรอบ” เขาพูด เสียงดูพร่าๆ แล้วเงียบไปพักหนึ่ง ผมว่าเขาคงสะเทือนใจพอสมควร
   “แล้วจะผ่าเมื่อไหร่ล่ะ?”
   “มะรืนนี้ครับ”
   ผมดูปฏิทินตั้งโต๊ะที่วางอยู่บนชั้น แล้วพูดตอบ “ปีใหม่พอดี?”
   “ครับ เป็นเคสด่วนน่ะครับ”
   “งั้นไม่เป็นไรหรอก ผมเชื่อว่าพี่สาวคุณจะต้องหายแน่ๆ “
   เขาเงียบไปอีก ผมเลยพยายามคิดหาคำพูดปลอบ ในฐานะผู้ใหญ่กว่า “โบราณเขาว่าปีเก่าไปปีใหม่มา สิ่งร้ายๆ อะไรเดี๋ยวมันก็ผ่านพ้นไป แล้วเริ่มต้นกันใหม่ในปีหน้า พี่สาวคุณได้คิวผ่าตัดวันสิ้นปีพอดี เชื่อผมสิ เธอหายแน่ๆ รับรองเลย”
   นพรัตน์นิ่งไปอีกพักหนึ่ง แล้วหัวเราะออกมา “ขอบคุณนะครับ”
   ผมถอนหายใจ “เข้มแข็งไว้นะคุณนพ โอกาสน่ะมีเสมอแหละ ตราบเท่าที่เรายังไม่ยอมแพ้”
   “ครับ” เขาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “ผมต้องวางสายแล้ว สวัสดีปีใหม่นะครับ”
   “อือ สวัสดีปีใหม่”
   ผมวางโทรศัพท์ บ้านทั้งบ้านเงียบสนิท มีแต่เสียงกระดิ่งลมดังมาให้ได้ยินแว่วๆ เหมือนความสะเทือนใจของนพรัตน์ส่งผ่านสายโทรศัพท์มาถึงผม สมัยก่อนเวลาเขาคุยกับผม เขาทั้งยิ้มทั้งหัวเราะ หาเรื่องมาแหย่ผมก็บ่อย คุยกับเขาทีไรไม่เคยขาดเสียงหัวเราะสักที
   ผมเหมือนเห็นความเหนื่อยล้าในตัวเขาผ่านเสียงที่คุยกับผม เขากำลังอยู่ในช่วงวิกฤตของชีวิต คนที่เขารักเป็นตายยังไม่รู้ มันเป็นเรื่องที่ทำใจยากสำหรับเด็กอายุเท่านั้น ความเป็นห่วงเป็นใยที่เขามีให้พี่สาวมากจนผมประทับใจ แต่ถึงเขาจะอยู่ในช่วงเวลาลำบาก เขาก็ยังนึกถึงผม
   ถ้าเขากลับมาเมื่อไหร่ ผมจะกอดเขาสักที แล้วถ้านึกคำพูดอะไรได้ตอนนั้นผมจะบอกเขา นพรัตน์สมควรจะได้รับรางวัล สมควรได้รับอย่างที่สุด
--------------------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   คืนนั้นผมขี้เกียจอ่านนิยายต่อ เลยเข้านอนหลังจากนั้นสักพัก พอหลับกำลังได้ที่ ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงมา ทำเอาผมสะดุ้งตื่น จากนั้นฝนที่ไม่มีแววจะตั้งเค้าเลยในช่วงกลางวันก็เทกระหน่ำลงมาอย่างกับฟ้ารั่ว ผมตาลีตาเหลือกวิ่งไปปิดหน้าต่าง ก่อนที่ฝนจะสาดเข้ามา ผมเห็นต้นมะม่วงถูกลมพัดเอนจนลู่ โถ...ดอกกำลังบานก็มาถูกฝนตีเสียแล้ว ไม่รู้จะเหลือติดเป็นลูกสักเท่าไหร่ ผมปิดหน้าต่างแล้วก็ต้องไปหยิบผ้ามาเช็ดพื้นที่เปียกเพราะฝนสาด ฝนยังคงตกอย่างหนัก ฟ้าร้องฟ้าแลบให้แสบหูไปหมด
   ผมถูกพื้นยังไม่ทันเสร็จไฟก็ดับวูบ ซึ่งก็สมควรอยู่หรอก เพราะร้อนมาหลายวัน จู่ๆ ฝนก็ตก แถมตกหนักขนาดนี้ ไม่เสาไฟฟ้าหักก็หม้อแปลงระเบิดอย่างไม่ต้องสงสัย ผมเอาผ้าไปเก็บในห้องน้ำ แล้วคลำทางมา อาศัยแสงฟ้าแลบด้านนอกช่วยเอาจนถึงเตียง
   ผมพยายามข่มตานอนท่ามกลางเสียงฟ้าร้องที่ดังกึกก้องอยู่ด้านนอก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเจอฝนตกหนักขนาดนี้ แล้วก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมนอนคนเดียวตอนไฟดับ สี่สิบสองปี ผมผ่านเรื่องพวกนี้มาด้วยตัวคนเดียวตลอด ผมไม่เคยหวั่นไหว แต่คืนนี้ ผมกลับอยากให้มีใครมาคอยอยู่ข้างๆ นอนเบียดกันในผ้าห่ม จับมือผมไว้ แล้วพูดว่าไม่เป็นไร
------------------------------------------------------
   ผมตื่นสายพอสมควรในเช้าวันรุ่งขึ้น ฟ้าใสสว่างจ้า ไม่เหลือเค้าพายุเมื่อคืนเลย แต่แอ่งน้ำที่ขังอยู่บนพื้นสนามและน้ำที่ยังหยดอยู่ตามชายคายืนยันแน่ชัดว่าเมื่อคืนฝนตกหนักจริงๆ
   กิ่งมะม่วงถูกลมพัดหักอย่างที่ผมกลัว พออาบน้ำแปรงฟันเสร็จ ผมเลยต้องหยิบเลื่อยตัดกิ่งไปเลื่อยมันออก น่าเสียดาย กำลังออกดอกอยู่แท้ๆ ก็มาโดนพายุ แถมกิ่งยังหักอีก ไม่รู้ปีหน้าจะเหลือให้ทานสักกี่ลูก
   ผมเลื่อยกิ่งมะม่วงที่หักออกแล้วก็ถือโอกาสตัดแต่งกิ่งที่ไม่มีดอกออกไปด้วยในตัว เอาเถอะ ที่เสียไปแล้วก็เสียไป ที่ยังเหลืออยู่ผมก็จะบำรุงให้ดีที่สุด มันอยู่กับผมมาหลายปี ออกลูกให้ทานมาตลอด ผมควรต้องดูแลมันบ้าง
   ไม่แน่ว่าปีนี้ ลูกของมันอาจจะอร่อยกว่าปีที่แล้วก็ได้
   วันนี้วันสิ้นปี เงียบสนิทจริงๆ ทั้งซอยเหลือบ้านผมบ้านเดียวที่ยังมีคนอยู่ เช้านี้เลยมีแต่ยามที่ปั่นจักรยานผ่านหน้าบ้านผม ผมเห็นว่าฝรั่งที่ยังเหลืออยู่อีกเป็นกิโลฯในตู้เย็นไม่ค่อยดีแล้ว เก็บไว้ก็ทานไม่ทัน เลยแบ่งใส่ถุงมาให้เขาถุงหนึ่ง เจ้ายามรับไปอย่างงงๆ ระคนดีใจ คงเพราะปกติผมชอบตีหน้าบึ้งไปบ่นนั่นบ่นนี่ที่สำนักงานยามตลอดเลยล่ะมั้ง
   เนื่องจากเป็นวันสิ้นปี ผมเลยถือคติเอาสิ่งไม่ดีออกจากบ้าน โดยการล้างบ้านขนานใหญ่ ปลดผ้าม่านลงมาซัก ถอดมุ้งลวดออกมาล้าง ยกเครื่องดูดฝุ่นลงมาดูดโซฟาและพรมที่วางอยู่ใต้โต๊ะรับแขก ซักผ้าปูที่นอน ขนหมอนไปตาก พอตกเย็น บ้านผมก็สะอาดเอี่ยมอ่อง พร้อมต้อนรับปีหน้าที่กำลังจะมาถึง
   ฝนตกหนักเมื่อคืนนำพาเอาอากาศหนาวมาด้วย ผมรู้สึกแล้วล่ะว่ามันเริ่มมีลมเย็นๆ มาตั้งแต่เมื่อเช้า แต่เพราะออกไปเลื่อยกิ่งมะม่วง เลยยังไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ พอตกเย็น พระอาทิตย์ลับฟ้า ความหนาวมันก็เริ่มแสดงตัวออกมาให้เห็นเด่นชัด ท่าทางมันจะกลัวคนกรุงเทพฯต้องไปเคาน์ดาวน์เบียดกันในบรรยากาศร้อนอบอ้าว เลยหนาวเอาวันสิ้นปี ทันเวลาพอดี
   ผมไม่เคยไปเคาน์ดาวน์ ไม่เห็นด้วยกับการอดตาหลับขับตานอนรอเลข00.00ซึ่งก็ไม่รู้ว่าได้สาระอะไรขึ้นมาบ้าง ผมไม่เห็นพวกที่ไปเคาน์ดาวน์กลับมาแล้วทำงานดีขึ้นเลยสักคน ดังนั้น ถึงจะเป็นวันสิ้นปี ผมก็เข้านอนเหมือนกับทุกวัน มันก็แค่วันวันหนึ่งเท่านั้นแหละ ก่อนนอนผมวางโทรศัพท์เอาไว้ด้านล่าง เพราะขี้เกียจได้ยินเสียงเมสเสจ สิ้นปีทีไร มีเมสเสจเข้าจนเต็มเครื่องทุกที เหมือนเจ้าพนักงานที่ลาออกไปบางคนใช้บริการส่งเมสเสจแบบเหมาจ่าย ก็เลยพลอยส่งมาถึงผมด้วย
   ถึงคืนนั้นผมไม่ต้องทนกับเสียงฟ้าร้อง ไม่ต้องทนกับเสียงเมสเสจ แต่ดันต้องทนกับเสียงพลุแทน นี่กะจะจุดให้กันฟ้าทะลุหรือไงนะ
   อยากหนีไปนอนที่แคนนาดาเสียจริงๆ แต่ไม่รู้จะจุดพลุกันแบบนี้ด้วยรึเปล่า
-------------------------------------------
   ผมต้อนรับปีใหม่ด้วยการทนอ่านเมสเสจตัวเล็กๆ ที่กระหนำส่งกันเข้ามาเหมือนทุกปี ยาวบ้างสั้นบ้าง ส่งแบบโหลๆ บ้าง ตั้งใจส่งบ้างก็มี ไอ้แบบตั้งใจส่งนี่มีน้อยคนอยู่หรอก คนแรกหนีไม่พ้นแน่นอน
   ไอ้คุณพี่จิระภัทร์ เปลี่ยนเบอร์แต่พฤติกรรมไม่เคยเปลี่ยน ผมจะยกตัวอย่างข้อความของเขาปีที่แล้ว เป็นการเปรียบเทียบพฤติกรรมคร่าวๆ ให้ฟัง
   “ปีใหม่เปลี่ยนไป แต่ใจพี่ไม่เปลี่ยนตาม ยังถามถึงน้องไพเสมอนะจ้ะ”
   โห.... อย่าไปบอกใครเลยนะว่าพี่แกอายุสี่สิบห้าเข้าไปแล้ว ผมว่าไม่มีใครเชื่อแน่ๆ คิดแล้วยังอายแทน ส่วนของปีนี้......
   “ปีใหม่หัวใจเปลี่ยน แต่ใจพี่ไม่เปลี่ยนไปไหน ยังรอน้องไพคนเดียว”
   ผมอ่านไปมือสั่นกึกๆ ไม่ได้อยากอ่านหรอกนะ แต่มันต้องไล่อ่าน เผื่อมีผู้ใหญ่ที่ไหนส่งมาจะได้ส่งกลับ อ่านไปอยากจะโทรไปด่าเขาจริงๆ แต่อย่าหวังเลยว่าเขาจะสำนึก ดีไม่ดีจะคิดว่าผมให้ท่าอีกต่างหาก
   ดังนั้นผมจึงต้องกล้ำกลืนอ่านแล้วรีบๆ ลบทิ้ง นั่งสาปนั่งแช่งตัวเองว่าไม่ต้องความจำดีขนาดนึกเมสเสจปีที่แล้วของเขาออกทุกปีก็ได้
   จากนั้นก็เมสเสจของพงษ์โพยม อวยพรให้ผมสุขภาพดีอีกเช่นเคย มีของพรายโพยมส่งมาด้วย นี่คงเป็นปีแรกล่ะมั้งที่ผมได้เมสเสจจากเขา เขียนมาว่า
   “ขอให้พี่ไพฑูรย์อายุมั่นขวัญยืน เป็นที่รักของหลานๆ นะครับ” นั่น ใช้คำว่าหลานๆ เสียด้วย แปลว่าตั้งใจจะมีหลายคนน่ะสิ ผมไม่รู้หรอกนะว่าพอลูกเขาเห็นผมแล้วจะรักผมรึเปล่า ไม่ใช่เห็นแล้วร้องไห้จ้า แบบพวกพนักงานที่บริษัทหรอกนะ ผมว่าพวกเขาอยากร้องไห้ตอนเห็นหน้าผมทุกทีนั่นแหละ
   แล้วก็เมสเสจจากนายพชร ปกติทุกปีมาแบบใช้ระบบอัตโนมัติ ส่งทีเดียวไปทั่วถึงทั้งสมุดโทรศัพท์ ปีนี้มาแปลก
   “ลุง ปีใหม่แล้วเลิกโหดบ้างเหอะ ดูแลเจ้าเปี๊ยกดีๆ ด้วยนะ”
   เออ ลาออกไปแล้วก็ไปให้พ้นๆ เลยไป ไม่ต้องมาทำหวังดีแบบนี้หรอก
   ผมนั่งอ่านนั่งตอบเมสเสจพวกนั้นอย่างเงอะๆ งะๆ ตามประสาคนตาไม่ดี นี่ถือเป็นกิจกรรมรับปีใหม่อย่างหนึ่งของผมมาได้หลายปีแล้ว
   มีทั้งเมสเสจของคนที่รู้จักกันบ้าง ลืมไปแล้วบ้าง จากรุ่นพี่ รุ่นน้อง แต่ผมยังไม่เห็นเมสเสจของนพรัตน์เลย พี่ของเขากำลังเตรียมจะผ่าตัด เขาคงไม่มีกะใจจะมานั่งส่งเมสเสจปีใหม่หรอก ผมดูนาฬิกา เห็นว่าสิบโมงกว่าเข้าไปแล้ว ไม่รู้พี่สาวเขาเข้าห้องผ่าตัดหรือยัง หรืออกมาแล้ว หรือผ่าตัดเสร็จแล้วนะ เพราะเวลาที่นั่นห่างจากที่ประเทศไทยสิบสองชั่วโมง นับแล้วเขากำลังจะฉลองปีใหม่ ส่วนผมเข้าสู่ปีใหม่มาได้หลายชั่วโมงแล้ว
   แน่ะ เจ้านพรัตน์ อายุน้อยอยู่แล้วยังไปลดอายุหนีผมอีก
   ผมมาคิดว่าผมควรส่งกำลังใจให้ครอบครัวของเขาบ้าง อย่างน้อยก็ในฐานะผู้ใหญ่ที่ทำงานด้วยกัน ดังนั้นจึงส่งเมสเสจไปทางเบอร์ของพี่ชายเขา ใจความว่าขอให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่น จากนั้นอีกสักพักก็มีเมสเสจตอบกลับมาว่า “ขอบคุณครับ”
   ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนเขียน อาจจะเป็นพี่ชายของเขาก็ได้ แต่เอาเถอะ ให้เขารู้แล้วกันว่าผมเอาใจช่วยอยู่ ผมหวังว่าพี่สาวเขาจะหาย หวังว่านพรัตน์คงจะกลับมาสดชื่นให้เหมือนก่อน หวังว่าเขาจะกลับมาทำงานกับผมได้ในเร็ววัน
   ก็ผมนั่งรถเขาชินจนไม่อยากกลับไปนั่งแท็กซี่แล้ว
------------------------------------------------
   แต่สุดท้ายเช้าวันทำงานวันแรกผมก็ต้องกลับมานั่งแท็กซี่เหมือนเดิม อาจารีย์ทำหน้าแปลกใจเมื่อเห็นผมมาถึงห้องทำงานคนเดียว
   “คุณนพล่ะคะ?” เธอถาม ผมเลยเล่าเรื่องที่เขาต้องไปแคนนาดากะทันหันให้เธอฟัง พอฟังจบเธอก็ทำหน้าตกใจ
   “น่าสงสารจัง หวังว่าพี่สาวของเขาจะปลอดภัยนะ เขายังไม่ได้ลาออกใช่ไหมคะ?”
   ผมอึ้งไปพักหนึ่ง ผมนึกถึงคำว่าลาออกของเขามานานแล้ว เอาเข้าจริงคือผมไม่เคยคิดอยากให้เขาลาออกเลยต่างหาก พอมาเจอทำถามนี้ ผมถึงนึกขึ้นมาได้
   ถ้าเขาต้องอยู่ดูแลพี่สาวที่โน่น หรือถ้าเขาต้องอยู่ยาวล่ะ?
   “คุณไพฑูรย์คะ?” อาจารีย์ถามเมื่อเห็นผมเงียบไปนาน ผมเลยสั่นศีรษะ “ยังหรอก เขายังไม่แจ้งผม”
   เธอยิ้มออกมา “อย่าให้คุณนพลาออกเลยค่ะ เขาทำงานดี ช่วยคุณได้ตั้งหลายอย่าง”
   “อืม...” ผมส่งเสียงในลำคออย่างไร้ความหมาย ก่อนจะเดินเข้าห้องไป
   ถ้าเขาจะลาออก ผมก็ไม่มีสิทธิ์อะไรจะไปห้ามเขาหรอก

   พงษ์โพยมมาหาผมที่ห้องตอนสาย พร้อมกับของฝากจากอเมริกา เป็นเครื่องดื่มไฟเบอร์กึ่งสำเร็จรูป ซื้อมาเพราะเห็นว่าผมชอบดูแลสุขภาพ น่าจะชอบทานอะไรแบบนี้ ผมบอกขอบคุณเขาและขอโทษขอโพยที่ไม่มีอะไรมาฝากเลย เขาก็ไม่ว่าอะไร บอกว่าปีหน้าผมควรไปเที่ยวไหนเสียบ้าง ผมได้แต่หัวเราะ จากนั้นเขาก็กลับห้องทำงาน
   ผมทำงานไปสักพักก็มีโทรศัพท์เข้า พอดูชื่อก็พบว่าเป็นชื่อของพี่ชายนายนพรัตน์เลยกดรับสาย
   “คุณไพฑูรย์ใช่ไหมครับ”
   ถึงจะคล้ายกัน แต่ผมรู้ว่านี่ไม่ใช่เสียงของนายนพรัตน์ ผมส่งเสียงตอบรับออกไป เขาจงพูดต่อ
   “ผมนพคุณนะครับ ผมโทรมาลางานให้น้องชาย พอดีว่าพี่สาวผมอาการทรุดอีก ต้องรอผ่าตัดช่วงกลางเดือน”
   ผมอึ้งๆ ก่อนจะส่งเสียงตอบกลับไป “อืม แล้ว..คุณนพรัตน์เป็นไงบ้าง”
   “เขาอยู่เฝ้าพี่สาวมาหลายวันแล้วครับ ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอนเลย”
   ผมพยักหน้า สมกับเป็นเขาแล้วล่ะ เขาเป็นคนที่ทุ่มเทให้กับคนที่รักมากมายจริงๆ
   “ผมขอโทษด้วยนะครับที่ต้องโทรมาลางานแทนเขา แต่ผมกลัวเขาจะพูดกับคุณไม่รู้เรื่อง สภาพเขาดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ เขายังเด็ก” ผมตอบ รู้สึกตื้อๆ ในคอ “ยังไงก็ขอให้พี่สาวคุณปลอดภัยนะครับ”
   “ขอบคุณครับ.. เอ่อ... คุณไพฑูรย์ครับ”
   “ครับ?”
   “คือผมไม่อยากให้คุณลำบากใจน่ะครับ เพราะไม่รู้ว่าน้องชายผมจะกลับไปทำงานได้เมื่อไหร่ ถ้าคุณจะรับผู้ช่วยใหม่ก็ตามสบายเลยนะครับ ทางผมไม่ติดใจอะไร”
   “อ้อ..” ผมคราง รู้สึกตีบในลำคอมากไปทุกที “เรื่องนั้นไว้ค่อยพูดเถอะครับ”
   “ครับ ขอบคุณนะครับ” เขากล่าว และวางสายไป
   ผมวางโทรศัพท์ รู้สึกตื้อๆ ในหัว นพรัตน์ยังเด็ก แต่เด็กขนาดนี้เขาก็ยังรู้จักแยกแยะความรัก เขาไล่ตื้อผมมาหลายเดือน แต่พอพี่สาวป่วย เขาก็รีบไปเฝ้า ไปดูแลไม่ห่าง ทุ่มเทยิ่งกว่าใครๆ เขาเป็นเด็กดี เป็นเด็กดีมากจริงๆ
   ผมรู้ว่าเขาทำถูก เขาทุ่มเทให้เรื่องที่ควรทุ่มเท ไม่มีอะไรที่ผมจะตำหนิเขาได้เลย แต่ทำไมหัวใจของผมถึงเจ็บจี๊ดๆ ขึ้นมาก็ไม่รู้
--------------------------------------------------
   ถึงอย่างนั้นผมก็ยังมีความสุขทุกครั้งที่มองข้าวของที่เขาซื้อมาสุมไว้บนโต๊ะผม มองเลยน้ำตกเทียมกับต้นกระบองเพชรนั้นไปยังเหมือนเห็นเขานั่งจัดเอกสารอยู่ที่โต๊ะ นึกถึงสีหน้าของเขาเวลาทำท่าเขินอาย หรือหันมายิ้มโชว์เขี้ยวให้ผม
   เดือนกว่าแล้วที่ผมกลับมาใช้บริการรถแท็กซี่ และทำงานโดยไม่มีผู้ช่วย หลังจากวันนั้น ทางฝ่ายนพรัตน์ไม่เคยติดต่อผมกลับมาอีก ผมเข้าใจว่าเขาคงยุ่ง บางทีอาจจะกำลังอยู่ในช่วงเวลาโศกเศร้าสุดๆ ผมที่เป็นคนนอกก็ควรจะให้เกียรติพวกเขา ให้เวลาเขาได้พัก ได้ทำใจ
   พงษ์โพยมเริ่มถามผมเรื่องผู้ช่วยคนใหม่ แต่คราวนี้ผมปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ผมจะไม่รับผู้ช่วยอีกแล้วไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม เพราะขี้เกียจปวดหัวมานั่งฝึกใหม่ แถมไม่รู้ว่าจะทำงานได้ดีรึเปล่า ผมเคยทำงานนี้คนเดียวมาก่อนตั้งเป็นสิบปี ต่อไปนี้ก็จะทำคนเดียวต่อไป หวังว่าผมคงได้ปลดเกษียณตามกำหนด ไม่น่าจะถึงขั้นเกษียณก่อนวัยอันควร
   ถึงอย่างนั้น โต๊ะทำงานอีกตัวในห้องผมก็ยังวางอยู่ที่เดิม เช็ดสะอาดทุกวันเหมือนรอให้เจ้าของเดิมกลับมานั่ง ทั้งๆ ที่แม้แต่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะกลับมาเมื่อไหร่ กลับมารึเปล่า
   ถึงอย่างนั้นผมก็ยังให้ตั้งเอาไว้ เพราะหวังอยู่ลึกๆ ว่าสักวันเขาจะกลับมา เขาก็แค่ติดธุระเรื่องครอบครัวนานสักหน่อยเท่านั้นเอง
-------------------------------------------------
   มะม่วงหน้าบ้านผมเริ่มติดลูกแล้ว ผมลงทุนไปซื้อถุงแบบพิเศษมาห่อ เพื่อให้มันขาวอวบน่าทาน กำลังปีนบันไดห่ออยู่ดีๆ ก็มีคนนั้นคนนี้มาจองไว้เสียแล้ว ไม่ล่ะ ผมมีคนที่อยากจะให้อยู่ ไว้เขาไม่มารับหรือไม่อยากได้ ค่อยแจกให้แล้วกัน
   ผมไม่คิดถึงนายนพรัตน์ทั้งวันทั้งคืนอย่างตอนที่เขาจากไปแรกๆ อีกแล้ว นานๆ ก็มีนึกถึงบ้าง เวลาเห็นเสื้อผ้าเขาในตู้ เห็นตุ๊กตาที่วางอยู่บนหัวเตียง หรือเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์แล้วเห็นแมวพวกนั้น แต่ผมเข้าใจว่าชีวิตคนเรามีความจำเป็นต่างกัน ตอนนี้เขามีความจำเป็นของเขาอยู่ สักวัน หากเขายังนึกถึงผม เขาคงกลับมาเอง
   ผมกลับมาใช้ชีวิตคนเดียวได้พักใหญ่ๆ แล้ว พอมองย้อนกลับไปก็นึกแปลกใจดีเหมือนกัน นพรัตน์เข้ามาในชีวิตผมเหมือนความฝัน จู่ๆ เขาก็มาสมัครงาน แล้วผมก็ให้เขาเข้ามาทำงานในวันรุ่งขึ้น เขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผมอย่างรวดเร็ว ทำให้ผมหัวเราะ ทำให้ผมโมโห ทำให้ชีวิตผมมีสีสัน ทำให้ผมจำไม่ลืมกับรอยยิ้มและท่าทีกระมิดกระเมี้ยนชวนให้อยากยกเท้าถีบของเขา
   เขาน่ารัก เหมือนลูกแมว เข้ามาคลอเคลีย เข้ามาอ้อนผม แล้ววันหนึ่ง เขาก็จากไป
   หายไปจากชีวิตผมแบบกะทันหัน พอๆ กับตอนที่เขามา
   บางทีผมก็นึกสงสัยว่า ผมคงฝันดีนานไปหน่อย พอตื่นขึ้นมารู้ว่าต้องไปทำงานเลยงงๆ อยู่บ้าง แต่ผมอยู่ของผมแบบนี้มาสี่สิบสองใกล้ครบสี่สิบสามปีแล้ว แค่เวลาไม่กี่เดือนไม่ทำให้คนอย่างผมสะดุ้งสะเทือนหรอก ผมยังจะต้องอยู่อีกยาว คอยเขย่าขวัญพวกพนักงานในบริษัทให้ขยันทำงานกันขึ้นมาบ้าง
   แต่แล้ววันหนึ่ง ช่วงประมาณเก้าโมงเช้า ตอนที่ผมกำลังนั่งจิบกาแฟและอ่านหนังสือพิมพ์ตามปกติ โทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น ผมก้มดูเบอร์ พอเห็นว่าเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก กลัวว่าเป็นโทรศัพท์ของพี่จิระภัทร์ เลยไม่กล้าเสี่ยงรับ เลยปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้น เพราะโดยส่วนใหญ่ ถ้าเป็นพี่จิระภัทร์ โทรแล้วผมไม่รับสาย เขาจะโทรอีกหน ถ้าไม่รับอีกเขาละหยุดใช้เบอร์นั้นโทร แต่ผมนึกสงสัยว่าเขาจะโทรหาผมทำไมวันนี้ ไม่ใช่วันพิเศษอะไรเสียหน่อย ถ้าเป็นวาเลนไทน์ล่ะว่าไปเรื่องหนึ่ง
   โทรศัพท์ดังขึ้นอีกหน และอีกหน
   คราวนี้ผมชักนึกหลัวว่าจะเป็นสายจากลูกค้าหรือใครที่มีธุระสำคัญ พอครั้งที่สามผมเลยรีบกดรับ
   “คุณไพฑูรย์!”
   หัวใจของผมที่คิดว่าแห้งกร้านไปแล้วกลับชุ่มชื่นขึ้นมาราวกับต้นไม้ถูกฝนสาด แค่ได้ยินเสียงของเขาเท่านั้นแหละ ผมไม่ได้ยินเสียงของเขามาเป็นเดือนๆ แล้ว ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าพอได้ยินอีกที จะเล่นเอาผมพูดไม่ออก คอมันตีบไปหมดเลย
   “คุณไพฑูรย์?” เขาเรียกผมอีกรอบ สงสัยจะคิดว่าโทรผิดหรือโทรไม่ติด ผม....ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาผมคิดว่าผมชินกับการไม่มีอยู่ของเขาแล้ว แต่พอได้ยินเสียง ผม....
   “คุณนพ” ผมได้ยินเสียงตัวเองเรียกออกไป แล้วทางนั้นก็ตอบกลับมาทันที “คุณไพฑูรย์”
   เรียกกันไปเรียกกันมามันสนุกตรงไหนนะ แต่ผมจับความดีใจในน้ำเสียงของเขาได้ ผมเองก็ดีใจไม่แพ้เขาหรอก
   ไม่คิดเลยว่าเขายังนึกถึงผมอยู่
   “ผมขอโทษนะที่ไม่ได้โทรหาคุณเลย ผมคิดถึงคุณสุดๆ คุณยังสบายดีใช่ไหมครับ ยังไม่ได้รับผู้ช่วยใหม่ใช่ไหม?”
   ผมอ้าปากค้าง ไม่ได้คุยกับเขามาหลายเดือน พอได้คุย ผมกลับพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
   “คุณไพฑูรย์”
   “พี่สาวคุณเป็นไงบ้างน่ะ” ในที่สุดผมก็พูดออกไปจนได้ เขาตอบผมมารวดเร็วทันใจ “ดีขึ้นมากแล้วล่ะ เพราะคำอธิฐานของคุณแน่ๆ เลย“
   “อ้อ...ผมยินดีด้วยนะ ผ่าครั้งที่สองสำเร็จได้ด้วยดีสินะ”
   “อื้อ ตอนปีใหม่น่ะเล่นเอาผมใจเสียเลยล่ะ คิดว่าพี่จะตายแล้ว ผมกินไม่ได้นอนไม่หลับ ผมอยากโทรหาคุณนะ แต่ผมกลัวจะร้องไห้ใส่คุณ ผมเลยให้พี่ชายโทรหาแทน”
   “อ้อ” เด็กหนอเด็ก ผมจะตำหนิเขาตรงไหนได้บ้างล่ะนี่
   “ขอโทษนะครับ ผมรู้ว่าผมหายไปเลย ผมกลัวคุณจะคิดว่าผมเป็นเหมือนรุ่นน้องคนนั้นของคุณ ผมไม่ลืมคุณนะ ผมจำได้ว่าพูดอะไรไปบ้าง แต่ผมไม่สะดวกจะโทรหาคุณจริงๆ “
   “ไม่เป็นไร ผมรู้ว่าคุณต้องอยู่ดูแลพี่สาว เธอดีขึ้นผมก็ดีใจแล้วล่ะ”
   “คุณไพฑูรย์ โต๊ะผมยังไม่มีใครไปนั่งแทนใช่ไหม?”
   “อืม ยังหรอก”
   “คุณรอผมกลับไปอยู่ใช่ไหม?”
   “...........”
   “คุณไพฑูรย์....”
   “จะกลับมาเมื่อไหร่น่ะ?”
   “อีกสองสัปดาห์ครับ ถ้าไม่รบกวน...ไปรับผมได้มั้ย ผมอยากเจอคุณ เดี๋ยวผมจะโทรหาอีกทีนะ”
   “อืม...” ผมตอบงึมงำในลำคอ
   “คุณไพฑูรย์...” ไปตั้งหลายเดือนแล้วแท้ๆ ยังติดนิสัยชอบเรียกเฉยๆ แบบนี้อยู่อีก มีเรื่องอะไรก็พูดออกมาเลยสิ ค่าโทรศัพท์ไม่ใช่ถูกๆ นะ
   “ไว้เจอกันนะครับ”
   “อืม...” ผมวางสายโทรศัพท์ เอนตัวลงกับพนักพิงเก้าอี้ มองดูน้ำตกเทียม ผ่านไปถึงโต๊ะทำงานของเขา
   จากนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองยิ้มออกมา
------------------------------------------
   คราวนี้ผมเปลี่ยนจากมองนาฬิกามามองปฏิทินแทน ตอนจะโทรหาเขาครั้งแรกผมมองแต่นาฬิกา แต่ช่วงนี้ พอรู้ว่าอีกสองสัปดาห์เขาจะกลับ ตาผมก็จ้องอยู่แต่ตัวเลขบนปฏิทิน รอว่าเมื่อไหร่จะถึงกำหนดกลับของเขาเสียที พอใกล้ถึงกำหนด เขาก็โทรมาบอกเที่ยวบินกับผม
   “คุณไพฑูรย์ ผมไปถึงคงห้าทุ่ม เอางี้แล้วกัน เดี๋ยวผมไปหาคุณที่บ้าน... ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยววันรุ่งขึ้นผมไปรับคุณที่บ้านเหมือนเดิม แล้วไปทำงานด้วยกันเลย คุณจะได้ไม่ต้องนอนดึก”
   เขาพูดเร็วเป็นต่อยหอยด้วยความตื่นเต้น ผมเลยต้องบอกให้เขาใจเย็นๆ
   “คุณไม่ต้องมารับผมตอนเช้าหรอก คุณมาถึงนี่ก็คืนวันศุกร์แล้ว วันเสาร์ผมไม่ทำงานหรอกนะ”
   เขาหัวเราะเขินๆ “ขอโทษครับ งั้น..เช้าผมไปหาคุณนะ”
   “เดี๋ยวผมไปรับคุณก็ได้”
   “แต่มันดึกนะครับ”
   “ไม่เป็นไรหรอก”
   “คุณไพฑูรย์”
   “หืม?”
   “ขอบคุณนะครับ ผมจะได้กลับไปแล้ว คิดถึงคุณสุดๆ เลย”
   เขาว่าและวางสายไป หลังจากนั้นผมก็แทบนับชั่วโมงรอเขา
   ผมนี่ก็เป็นเอามากใช่ย่อยเหมือนกันนะเนี่ย
----------------------------------------------
   ผมออกจากบ้านตอนสามทุ่ม นึกๆ อยู่ว่าจะใส่เสื้อตัวไหนไปรับเขาดี ก็เห็นเสื้อสีชมพูที่เขาซื้อไว้ให้พอดี เอาล่ะ ไหนๆ เขาเป็นคนซื้อ ไหนๆ มันก็มืดแล้ว คงไม่มีใครสังเกต อีกอย่างสนามบินก็คนเยอะแยะ ไม่มีใครจำผมได้หรอก ผมใส่ไปรับเขาให้ชื่นใจสักหนก็ได้
   สรุปแล้วผมก็ใส่เสื้อตัวนั้นกับกางเกงขายาวสีขาวมาที่สนามบิน พอมาถึงก็ล้วงหาแว่นอย่างไม่กลัวอายคนเพื่อดูว่าเครื่องที่เขานั่งมาจะลงจอดตอนกี่โมง แหม คนเดินออกเยอะแยะ ใครมันคงไม่สังเกตหน้าผมหรอก
   ผมกลัวพลาดไม่ได้เจอหน้าเขาตอนลงจากเครื่อง มากกว่ากลัวคนจะหาว่าแก่เสียอีก
   จากนั้นผมก็เดินไปรอที่หน้าทางออก โอ๊ย ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าตัวเองจะมีวันแบบนี้ ผมกำลังรอเด็กรุ่นลูกให้เดินออกมาอย่างใจจดใจจ่อ อย่าให้ใครรู้เชียวนะว่าผมเป็นเอาหนัก รู้ถึงไหนอายถึงนั่น เอาหน้าซุกบาดาลท่าทางจะยังไม่หายอาย
   แล้วเจ้านพรัตน์ก็เดินออกมา เขาดูหนากว่าเดิมนิดหน่อย ที่เหลือก็ไม่ต่างอะไรกับตอนไป แถมใส่เสื้อที่ผมซื้อให้มาอีกแนะ ใจตรงกันเสียไม่มี ผมเตรียมสีหน้าไว้หลายแบบ ว่าจะทำหน้าแบบไหนใส่เขา ที่แน่ๆ ผมจะไม่กอดกับเขากลางที่สาธารณะแบบนี้เด็ดขาด เจ้านพรัตน์พอเห็นผมก็ยิ้มจนเห็นฟันเขี้ยวเหมือนเคย น่ารักจริงๆ เลยนะ
   ความจริงผมเตรียมสีหน้าไว้หลายแบบ ผมมันจอมวางมาด เวลาไหนผมต้องดูดีเสมอ ไม่เว้นตอนที่มารับเด็กรุ่นลูกแบบนี้ แต่ผมไม่ได้เตรียมสีหน้าสำหรับสิ่งที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้มาก่อน
   นพรัตน์เดินมาหาผม ท่าทางดีใจจริงๆ แต่ข้างตัวเขามีเด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลอีกคน อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เดินเกาะแขนกันมาอย่างกับคู่รัก
   ผมรู้สึกตาพร่าขึ้นมาตอนนั้นเอง
   “คุณไพฑูรย์” นพรัตน์ยังคงยิ้มกว้าง ไม่ได้รู้สึกเลยว่าผมไม่ยิ้มกับเขาแล้ว เออ ใช่ ลืมไป ปกติผมก็ไม่ค่อยจะยิ้มให้เขาอยู่แล้ว ผมได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงคนนั้นทักผมเป็นภาษาอังกฤษ แต่หูผมอื้อเต็มทน เสียงอะไรก็ดูจะดังวิ้งๆ ไปหมด
   ผมมันคนจิตแข็ง ผมเจอมาแล้วทุกอย่าง น้อยเรื่องที่จะทำให้ผมหวั่นไหวได้ ผมรู้แล้วเขายังเด็ก ผมรู้แล้วเขาจริงใจ แต่ผมเพิ่งรู้เหมือนกันว่าเขาเปลี่ยนใจได้เร็วเหลือเชื่อ และที่สำคัญ ผมเพิ่งรู้อีกเหมือนกันว่าเข้าใจผิดไปเองเต็มๆ
   เขาไมได้คิดอะไรกับผมเลยใช่ไหม เขาถึงได้ทำแบบนี้ เขาคิดว่าผมเป็นแค่เจ้านายในที่ทำงาน เป็นคุณอาใจดีที่ไปเที่ยวเป็นเพื่อนเขา เขาถึงพาผู้หญิงมาพบผมได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ราวกับว่าอยากอวดให้ผมเห็น แล้วอย่างนั้น...แล้วอย่างนั้น วันนั้นเขาจูบผมเพื่ออะไร?
   ผมอยากเห็นหน้าเขา ผมอยากเจอตัวเขามาตลอดหลายเดือน คิดถึงเขาแทบตาย แต่ว่าตอนนี้....
   “คุณไพฑูรย์?!”
   ผมไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากได้ยินเสียงของเขาแล้ว
   ผมไม่อยากรับรู้อะไรเกี่ยวกับเขาอีกแล้ว
---------------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-06-2011 15:14:01 โดย juon »

ออฟไลน์ love2y

  • (′~‵)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2059
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-11
กรี๊ดดดดดดดดดดด อ่านตั้งแต่ช่วงต้่นถึงช่วงกลางของขั้นที่ 9 ก็รู้สึกว่าวันนี้คุณไพฑูรย์เพ้อมากมายอ่ะ
พอมาเริ่มอ่านช่วงท้ายตอนต้นๆ แอบใจหาย แอบสงสาร คุณไพฑูรย์ T^T
พอมาช่วงท้ายจริงๆ แอบดีใจ คุณไพฑูรย์ ดูสดใสดูมีความสุขขึ้นแล้ว
แต่ทำไมจบตอนแบบนี้อ่ะ เกิดไรขึ้นเนี่ย? มันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆเลย T^T

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
อ่านตอนท้ายแล้วน้ำตาจะไหล
ถึงจะเข้าใจผิดแต่ตอนเห็นใครจะทำใจได้
T____T

ออฟไลน์ badcow

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-10
คิดเองเออเอง
.
เมื่อไหร่จะได้กันซักที???

ออฟไลน์ หมวยลำเค็ญ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 863
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-1
ง่ะ ชะนีน้อย ใครคะ
อุส่าห์ลุ้นแทบตาย กว่าคุณไพจะใจอ่อน  :เฮ้อ:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด