วันจันทร์ นพรัตน์ทำหน้าที่สารถีคุ้มค่าแรงที่จ่าย ไปรับผมแต่เช้าแถมมาเป็นช่างประกอบน้ำตกเทียมที่ซื้อมาวันเสาร์ให้เสร็จสรรพ
ผมนั่งมองกระถางกระบองเพชรที่มีแมวนอนอยู่สองตัว แล้วทำไมต้องนอนอิงกันแบบนั้น ผมไม่เข้าใจเจ้านพรัตน์ที่เป็นคนวางเลยจริงๆ แต่อาจจะเพราะที่แคบก็ได้มั้ง หลังจากนั้นก็นั่งจ้องน้ำตกเทียมที่ซื้อมาแบบเตรียมจับผิดเต็มที่ อย่าให้ผมเห็นน้ำกระเซ็นออกมาสักหยดนะ วันเสาร์เจ้าของร้านนั่นได้จ่ายเงินคืนผมแน่
จ้องสักพัก พอไม่เห็นน้ำกระเซ็น ผมถึงพอโล่งใจ ค่อยไล่มองส่วนอื่นของน้ำตก
อืม... ดูแล้วสบายตาจริงๆ โดยเฉพาะแมวสองตัวนั่นน่ะ... แต่ดูจะไม่เกี่ยวอะไรกับน้ำตกเลยสักนิดนี่นา
ผมเพิ่งเห็น หลังน้ำตกเทียมกับต้นกระบองเพชร ตรงกับโต๊ะเจ้านพรัตน์พอดี หมอนี่ตั้งใจจัดให้ตรงรึเปล่าผมไม่รู้ แต่พอเห็นผมมองไป เขาก็หันมายิ้ม ผมเลยเสไปมองทางอื่น และนึกกับตัวเองว่า ต่อให้ย้ายมาอีกมุม มันก็ดูไม่เข้ากับโต๊ะอยู่ดี เพราะฉะนั้น วางไว้ตรงนี้แหละดีแล้ว ผมจะได้มองอย่างอื่น นอนกจากกองหนังสือร้องเรียนกับหน้าเครียดๆ ของคนที่เข้ามาติดต่อบ้าง
อาจารีย์เป็นคนแรกที่เข้ามาเห็นสิ่งแปลกใหม่บนโต๊ะผม เธอยิ้มกว้าง ทำหน้าประทับใจสุดๆ “น่ารักจังเลยค่ะ คุณไพฑูรย์ นึกไงซื้อมาคะเนี่ย”
ผมพยักเพยิดไปทางเจ้านพรัตน์ ซึ่งนั่งอมยิ้มอยู่ข้างๆ อาจารีย์พยักหน้าอย่างเข้าใจ “ก็ว่า ปกติคุณไพฑูรย์ไม่น่าซื้อของแบบนี้มาตั้งไว้ที่โต๊ะ”
ผมขมวดคิ้วทันที หล่อนเลยรีบพูดต่อ “แหม ก็คุณดูคร่ำเคร่งอยู่ตลอดเวลานี่คะ อ้อ จริงสิคะ ดิฉันจะมาเรียนว่า คุณพงษ์โพยมเรียกประชุมผู้บริหารช่วงสิบโมงน่ะค่ะ”
ผมพยักหน้า “อืม เดี๋ยวผมไปแล้วกัน”
อาจารีย์พยักหน้า ก่อนเดินออกไปยังไม่วายทิ้งท้าย “แมวน่ารักนะคะ”
“อือ” ผมตอบ และพยักหน้า
ก็มันน่ารักจริงๆ นั่นแหละ
--------------------------------------------
หลังประชุมเสร็จ ผมเลยออกไปทานอาหารเที่ยงกับคณะผู้บริหาร ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นรุ่นพี่ไม่ก็รุ่นเดียวกันนี่แหละ ขากลับผมผ่านร้านเบเกอรี เลยซื้อคุกกี้ถุงเล็กๆ ติดไม้ติดมือกลับไปฝากนพรัตน์ ค่าที่ไม่ได้อยู่ทานข้าวเที่ยงด้วย
แต่พอผมเปิดประตูเข้าไปในห้อง ก็พบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งคุยกับเจ้านพรัตน์อยู่ เธอหันมาทำหน้าตื่นๆ ตอนที่ผมเปิดประตูเข้าไป แล้วรีบขอตัวกลับทันที ผมจำได้ว่าเธอเป็นพนักงานในแผนกการตลาด แต่จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร ผมกวาดตามองนายนพรัตน์ที่นั่งอยู่ และเห็นคุกกี้ถุงใหญ่บนโต๊ะเขา จึงถามขึ้น
“คุกกี้ใครน่ะ”
“คุณจันทนาทำมาฝากครับ จะทานด้วยกันไหมครับ?”
“ฝากคุณ?” ผมถาม เขาพยักหน้า ผมเลยสั่นศีรษะ “ไม่ล่ะ ผมไม่ทานคุกกี้”
“อ้าว แล้วในมือคุณ...” เขาถามต่อ แหม ตาดีช่างสังเกตจริงๆ ความจริงผมเป็นคนชอบของที่ทำเองกับมือมาแต่ไหนแต่ไร รู้สึกว่ามันจริงใจและตั้งใจให้ดี เห็นคุกกี้ถุงใหญ่บนโต๊ะเจ้านพรัตน์แล้วผมเลยไม่กล้าเอาอันในมือให้ จริงๆ เหมือนเจ้าหมอนี่จะเนื้อหอมอยู่แล้ว แต่สงสัยมีผมอยู่เลยไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ผมไม่อยู่เลยรีบฉวยโอกาสกันใหญ่เลยสินะ
“อันนี้ผมซื้อมาฝากคุณอาจารีย์” ผมตอบ แต่คงเป็นความซวย อาจารีย์เดินเข้ามาได้ยินพอดี เลยพูดเสียแบบไม่ไว้หน้าผม “อ้าว เห็นว่าซื้อมาฝากคุณนพรัตน์ไม่ใช่เหรอคะ”
เธอทักผมตอนอยู่หน้าห้อง ผมเลยตอบไปว่างั้น แต่ตอนนี้ผมไม่อยากให้แล้วนี่ ผมกะพริบตาปริบๆ รีบพูดตอบไป “ฟังผิดมั้ง ผมว่าจะให้คุณนะ”
“ถ้าให้คุณอาจารีย์ทำไมไม่ให้เสียแต่หน้าห้องล่ะครับ” เจ้านพรัตน์ได้ทีช่วยย้ำ ผมล่ะไม่รู้จะโกรธใครดี เลยได้แต่ยืนตีหน้าถมึงทึงจนอาจารีย์รีบเดินหลบออกไป หลังจากนั้นเจ้านพรัตน์เลยเดินเข้ามาหาผม
“ขอผมได้ไหมครับ ผมชอบคุกกี้ร้านนี้”
“บนโต๊ะมีอยู่ตั้งห่อใหญ่แล้ว”
“ก็ผมอยากทานที่คุณซื้อมานี่”
“........”
“อย่าโกรธเลยนะครับ ต่อไปนี้ผมจะไม่รับของจากใครแล้ว”
“ผมไม่ได้โกรธ”
“งั้น คุกกี้ซื้อมาให้ใครครับ?”
“............”
“คุณไพฑูรย์”
“อยากทานก็เอาไปเถอะ” ผมพูดและยัดคุกกี้ใส่มือเขา นพรัตน์รับไปแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ขอบคุณนะครับ”
“อืม” ผมส่งเสียงในคออย่างไร้ความหมายแล้วเตรียมจะเดินไปนั่งที่โต๊ะ นพรัตน์ฉวยข้อมือผมไว้ ผมเลยหันกลับมามองเขา เจ้าหมอนั่นมองผมเหมือนอยากจะพูดอะไรซักอย่าง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้พูดออกมา
“คุณนพ?”
แล้วผมก็เห็นเขาเม้มริมฝีปาก หน้าแดงเรื่อขึ้นมา เชื่อเลย ยืนเฉยๆ ก็หน้าแดงได้ สมองเจ้าหมอนี่จิตนาการอะไรบ้าๆ บอๆ อยู่รึเปล่านะ ผมรีบชักมือกลับ แล้วเดินฉับๆ ไปนั่งที่โต๊ะ
----------------------------------------------
ไม่รู้ทำไมผมถึงได้คาใจกับคุกกี้ถุงใหญ่นั่นนัก สงสัยเพราะนึกสงสารคนที่อุตส่าห์ทำมาให้ พอเห็นเจ้านพรัตน์ไม่แตะไม่ต้องแต่ดันเล่นกินคุกกี้ที่ผมซื้อมาอย่างกับคนหิวจัดผมเลยต้องทักอีก
“คุณนพ คุกกี้อีกถุง ไม่ทานหรือไง?”
คนถูกถามสั่นศีรษะทันที ทำให้ผมต้องถามต่อ “อ่าว ไม่ทานแล้วรับมาทำไมล่ะ?”
“ก็เขาเอามาให้” เจ้าตัวตอบ ผมขมวดคิ้ว ได้ทีเทศนาสั่งสอนเขาตามเรื่องอย่างคนมีวัยสูงกว่า
“คุณนพ วันหลังถ้าคุณไม่ชอบ ไม่อยากได้ ไม่ทาน คุณก็อย่ารับของที่ใครเขาให้เลยนะ โดยเฉพาะของทำด้วยมือแบบนี้น่ะ คนให้เขาใช้ใจทำมานะ ถ้าคุณไม่คิดอะไร ก็อย่าไปให้ความหวังเขาเลย”
“ผมไม่รู้จะปฏิเสธยังไงนี่ครับ เขาอุตส่าห์ทำมาให้ด้วย ผมเลยว่าจะแจกคนอื่น”
ผมมุ่นคิ้วยุ่ง “ยังไงคราวหลังคุณก็ต้องปฏิเสธให้เด็ดขาด นึกดูสิ ถ้าเขาเห็นคุณเอาไปให้คนอื่น เขาจะรู้สึกยังไง อุตส่าห์ทำมานะ ถ้าไม่รับแต่แรกก็สิ้นเรื่อง ผมน่ะ ถ้าไม่ชอบล่ะก็ ให้อะไรผมก็ไม่รับหรอก ผมไม่อยากให้ความหวัง”
“ครับ” นพรัตน์พยักหน้า ผมว่าหมอนี่ต้องเรียนรู้วิธีปฏิเสธความหวังดีของคนอื่นอีกเยอะเหมือนกัน ขืนทำตัวแบบนี้บ่อยๆ มีหวังได้มีคนนั้นคนนี้มายุ่งให้ปวดหัวแน่ๆ แถมทำงานแบบนี้ มันต้องรู้จักปฏิเสธกันเสียแต่เนิ่นๆ สิ
“ถ้าไม่ชอบก็ไม่รับเลยสินะครับ”
“อืม...”
“..............”
“................” แน่ะ.. เอาอีกล่ะ ยิ้มอีกแล้ว เจ้าหมอนี่ก็แปลกคนจริงๆ เพิ่งโดนบ่นแท้ๆ ยังมาทำยิ้มกระมิดกระเมี้ยนเป็นผู้หญิงถูกจีบได้อีก เชื่อเขาเลย
“คุณไพฑูรย์”
“อะไร?”
“ชอบทานขนมอะไรครับ”
“ตะโก้” ผมตอบทันควัน และรีบสำทับ “ทำไม่เป็นไม่ต้องทะลึ่งทำมานะ ผมกลัวท้องเสีย ฝีมือทำอาหารคุณยิ่งไม่เอาไหนอยู่”
“อือ...”
ไอ้ ‘อือ’ นี่หมายความว่าไงกัน แล้วหยุดยิ้มเป็นนางสาวไทยได้แล้ว ผมอยากย้ายหมอนี่ไปอยู่ฝ่ายการตลาดจริงๆ เวลาเจอลูกค้าโหดๆ ช่างติช่างบ่นแบบผมจะได้คอยยิ้มเบรก ผมว่าน่าจะได้ผลเหมือนกันนะ ดูอย่างผมสิ เริ่มจะเถียงเขาไม่ออกบ่อยขึ้นแล้ว ไม่ได้การ ผมต้องหาวิธีตอบโต้ให้ได้ในเร็ววัน ไม่อย่างนั้นเดียวจะเสียเชื่อไพฑูรย์หมด
--------------------------------------------------------
เจ้านพรัตน์ขับรถไปรับไปส่งผมเช้าเย็น แถมเสาร์อาทิตย์ยังแวะไปนอนค้างที่บ้านผม ผมเองชักนึกสงสัยว่าก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี่ทำอะไรช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือช่วงเย็นของวันทำงานกันแน่ วันหนึ่งตอนที่รถติดแหงกอยู่บนถนนเพราะฝนตกผมเลยได้โอกาสถาม
“คุณนพ ปกติก่อนคุณมาทำงานกับผม ช่วงเย็นหลังเลิกงานคุณทำอะไรน่ะ?”
“ก็ไปเตะบอลกับเพื่อนที่ทำงานบ้าง เล่นบาสฯบ้าง ไม่ก็ไปช่วยร้านอาหารเพื่อนน่ะครับ”
“อ้อ” ผมร้อง เออ หมอนี่ก็ใช้ชีวิตแบบเด็กวัยรุ่นธรรมดานี่นา “แล้วเสาร์อาทิตย์ล่ะ?”
“ก็ไปดูหนัง บางทีก็ไปผับน่ะครับ”
“อ้อ... แล้วช่วงนี้หายไป เพื่อนฝูงไม่เลิกคบหมดแล้วเหรอ?”
“ไม่หรอกครับ เขารู้ว่ามันความสุขผม”
ขับรถไปรับไปส่ง ไปไหนมาไหนกับคนแก่เนี่ยนะ ความสุข... คนเรานี่มันก็เข้าใจยากดี ถ้าผมเป็นเพื่อนหมอนี่ผมไม่เข้าใจแน่ๆ
“ผมว่าคุณออกไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงวัยเดียวกันบ้างก็ดีนะ” ผมเสนอ เขานิ่งนึกอยู่พักหนึ่งแล้วพยักหน้า
“เสาร์นี้เพื่อนผมโทรมาชวนไปเล่นบาสฯ คุณไปด้วยกันสิครับ”
เอาอีกล่ะ ทำไมต้องพาผมไปอีกแล้วเนี่ย ผมหัวเราะขึ้นมา “คนรุ่นผมจะสู้แรงคนรุ่นหนุ่มแบบคุณได้ยังไงล่ะ”
“คุณยังแข็งแรงดีอยู่เลยนะครับ เพื่อนผมก็อายุน้อยกว่าคุณไม่เยอะหรอก ไม่ห่างกันเท่าไหร่”
“?!” ผมชักเกิดอยากรู้ขึ้นมาจริงๆ เขามาทำงานกับผมหลายเดือนแล้ว แถมดูจะชอบเอาอกเอาใจคนแก่แบบเป็นนิสัย เจ้าเด็กนี่โตมาในสภาพแวดล้อมแบบไหนกันนะ บางทีถ้าไปเห็นเพื่อนฝูงเขา ผมอาจจะเข้าใจอาการชอบคนอายุเยอะกว่าของเขาขึ้นมาบ้างก็ได้ เผื่อจะช่วยรักษาได้
“ไปนะครับ” นั่น... มาอีกแล้ว ไอ้คำพูดแบบมัดมือชกให้ผมปฏิเสธไม่ออกนี่ เอาเถอะ ถือว่าผมไปศึกษาชีวิตส่วนตัวเขาแล้วกัน เผื่อจะได้รู้เขารู้เรามากขึ้น จะได้เถียงหมอนี่ออกเสียที
“อืม” ผมตอบตกลงออกไป นพรัตน์ยิ้มกว้าง วันหลังจะรับสมัครผู้ช่วยคนใหม่ ผมคงต้องถามก่อนว่ายิ้มเก่งรึเปล่า ถ้ายิ้มเก่งจะได้ไล่ไปแผนกประชาสัมพันธ์ ไม่ก็การตลาดไปเลย
แต่ผมคงไม่รับผู้ช่วยใหม่แล้วล่ะ
----------------------------------------
แล้ววันเสาร์หลังไปเลือกซื้อโซฟากันเรียบร้อย ผมก็ได้มาอยู่ที่สนามบาสฯในร่มของสนามกีฬาสาธารณะแห่งหนึ่ง เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเขาให้คนนอกเข้ามาขอเล่นได้ เจ้านพรัตน์คะยั้นคะยอว่าผมต้องมาโชว์ฝีมือให้เพื่อนเขาเห็นสักครั้ง ความจริงผมไม่อยากไปเล่นกับพวกเด็กๆ เดี๋ยวจะหาว่ารังแก แต่พอถูกรบเร้าหนักเข้าเลยจำใจต้องไปรื้อชุดกีฬาขาสั้นกับรองเท้าในตู้ออกมา ใส่มาเล่นกับเด็กพวกนี้ดูสักครั้ง
เจ้านพรัตน์เตรียมพร้อมเสมอเช่นเคย หุ่นแบบเขาใส่ชุดอะไรก็ดูดีอยู่แล้ว เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นก็ไม่เลว ตอนเรามาถึงมีเพื่อนของเรารออยู่แล้วสองสามคน ดูแล้วอายุสักยี่สิบห้ายี่สิบหก ก็ยังไม่ห่างกับเขาเท่าไหร่ จากนั้นก็ค่อยๆ ทยอยมาเรื่อยๆ ยี่สิบเก้า สามสิบ สามสิบห้า เออ หลังๆ ชักเป็นรุ่นน้องผมไม่กี่ปีแล้วเหมือนกัน เจ้าหมอนี่คบแต่เพื่อนอายุเยอะกว่าหรือไงนะ
“อ้าว ลุงมาจริงๆ เหรอเนี่ย” ที่บริษัทมีนายพัชระเรียก พอมาเล่นบาสฯ ยังเจอนายพชรอดีตลูกน้องเก่าอีก เออ ไอ้สองตัวนี่มันช่างเข้าขากันจริงๆ ผับผ่าสิ
“อืม” ผมส่งเสียงในคออย่างไว้เชิงอีกเช่นเคย แล้วกวาดตามองเขา ได้ยินเจ้าตัวโวย “โหยลุง นอกสถานที่แล้ว เลิกทำตัวเป็นผู้ตรวจการทีเท้ออออ”
“ผมกำลังจะบอกว่าคุณดูเหมือนเดิมเลย ไม่ได้จับผิดอะไรเสียหน่อย” ผมว่า นายพชรทำหน้าสยดสยอง “แต่สายตาลุงมันชวนให้คนถูกมองขนลุกนี่ครับ ไอ้เปี๊ยกทนไปได้ไงน่ะ”
เพื่อนนายนพรัตน์ที่มีคราวนี้มีทั้งหมดสิบคน รวมผมกับเขาด้วยก็เป็นสิบสอง แบ่งกันได้ทีมละหกพอดี เจ้าเด็กพวกนั้นเรียงหน้าเข้ามาไหว้ทำความเคารพผมอย่างกับได้เจอครูใหญ่ ผมรับไหว้ไปตามเรื่อง พอกวาดตามองแล้วก็รู้ว่านายนพรัตน์คบเพื่อนอายุเยอะกว่าตัวเองมากจริงๆ มิน่า ถึงได้....
เพื่อนเจ้านพรัตน์ดูอิดๆ ออดๆ ท่าทางไม่อยากได้ผมเข้าไปร่วมทีม แต่คงเกรงใจไม่กล้าพูด ผมเองก็ไม่อยากจะร่วมทีมกับพวกนี้นักหรอก เพราะไม่รู้จะเล่นเอาอ่าวขนาดไหน แต่กับนายนพรัตน์ดูจะมีคนต้องการตัวมากอยู่ นายพชรที่ไม่เคยเห็นหัวผมมาแต่ไหนแต่ไรเลยเสนอขึ้น
“เอางี้ จับฉลากกัน ใครได้ไอ้เปี๊ยกก็เอาลุงไปด้วย เพราะขืนให้อยู่คนละทีมกัน มีหวังไอ้เปี๊ยกเล่นไม่ออก”
สุดท้ายผมเลยกลายเป็นของแถมพ่วงไปกับเจ้านพรัตน์โดยปริยาย ช่างเถอะ เจ้าเด็กพวกนี้ยังไม่เคยเห็นฝีมือผม ตอนนี้เชิญประเมิณคนด้วยอายุกันให้สบายใจไปก่อนแล้วกัน รอลงสนามก่อนเถอะ.....
นายพชรทำหน้าเหมือนเห็นจานบิน ตอนที่รู้ว่าผมอยู่ทีมเดียวกับเขา หมอนั่นครางอย่างกับถูกรถไฟชน “โอย... ลุงทำไมจองเวรผมนัก”
ใครไปจองเวรนายมิทราบ ก็ดันอยากจับฉลากได้มาเองนี่นา ผมมองเขา ไม่พูดอะไร สุดท้ายนายพชรเลยบ่นอุบๆ อิบๆ แล้วเดินเข้าสนามไป เป็นไปได้ผมอยากเลือกอยู่ทีมตรงข้ามเหมือนกัน จะได้แอบถีบนายพชรเอาคืนเรื่องที่ปากเสียบ้าง
ผมว่าอายุเฉลี่ยของผู้เล่นทั้งสองทีมน่าจะพอๆ กัน เพราะฝั่งผมมีนายนพรัตน์มาช่วยหาร เริ่มเล่นไปได้สักพัก ผมก็รู้สึกว่าเด็กพวกนี้เล่นบาสฯใช้ได้ อย่างน้อยก็ทำให้ผมรู้สึกตึงมือได้บ้าง ไม่ใช่เอาแต่วิ่งไล่ลูกอย่างเดียว ถึงจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ผมก็เคยเป็นตัวจริงของทีมคณะเลยนะ เด็กพวกนี้ไม่ได้กินผมหรอก
อายุเยอะกว่าแล้วไงล่ะ
กว่าจะครบสิบห้านาทีต่างฝ่ายต่างก็หอบแฮ่ก ต่างคนต่างเดินมาทานน้ำเช็ดเหงื่อ หายใจเอาอากาศเข้าไปให้ฉ่ำปอด ผมยังไม่ถึงกับเหนื่อยมาก แต่ก็เหงื่อออกชุ่มตัวแล้วเหมือนกัน ดูจะมีแต่นายนพรัตน์นี่แหละที่ยังเครื่องดีอยู่ เออ ก็ทั้งสิบสองคน หมอนี่เด็กสุดนี่นา
“ลุงเล่นบาสฯเก่งเหมือนกันนะเนี่ย ตอนเรียนเป็นนักบาสฯเก่าหรือครับ?” นายพชรที่ตอนแรกโคตรจะอิดออดที่มีผมไปร่วมทีมเดินมาชม เพราะผลแต้มท้ายเกมที่ทำเอาเขายิ้มหน้าบานเป็นจานกระด้งนั่นแหละ ผมส่งเสียงงืมงำในคอไปตามเรื่อง แล้วพยักหน้า เพื่อนอีกคนที่อยู่อีกทีมเดินเข้ามาคุยบ้าง
“เล่นเข้าคู่กับเปี๊ยกอย่างกับเคยเล่นกันมาก่อนแน่ะ”
“ผมยังไม่เคยเล่นบาสฯกับเขาเลยนะ” ผมปฏิเสธ แต่นายนพรัตน์ก็รู้เส้นผมจริงน่ะแหละ จะไปทางไหนยังไง หมอนั่นมองตาผมก็ไปตามได้หมด ท่าทางจะเพราะทำงานมาด้วยกันล่ะมั้ง
เจ้านพรัตน์ยิ้มเขินๆ อีกเช่นเคย เลยโดนเพื่อนอีกคนฟาดหลังดังป้าบ ผมล่ะแอบสะใจจริงๆ
“เฮ้ย ตัวโตเป็นควายแล้ว ยังจะมาทำเขินอยู่อีก” เพื่อนเขาว่า จากนั้นทุกคนก็หัวเราะชอบใจ พอมีเพื่อนขำ ผมเลยพลอยได้แอบขำตามไปด้วย เจ้านพรัตน์หน้าแดงเป็นลูกตำลึง เดินอายม้วนมาหยิบขวดน้ำข้างๆ ผม
จะเขินอะไรกันนักกันหนา
พอพักกันจนหายร้อน เหงื่อแห้งดีแล้ว พวกเราก็ทยอยกันไปอาบน้ำ ใครบ้ามันจะกลับบ้านทั้งอย่างนี้กันล่ะ เหม็นตายพอดี
ห้องอาบน้ำเป็นห้องรวม ฝักบัวเป็นรางยาว มีคอกกั้นข้างๆ พอกันอุจจาด เพราะสนามก็เก่าแล้ว นพรัตน์เบียดผมให้ไปอาบมุมในสุด แล้วตัวเองก็ยืนอาบข้างๆ กลัวใครมองคนแก่แบบผมนักหรือไง ผมอายุปูนนี้แล้ว เลิกกังวลเรื่องไซต์เรื่องขนาดแล้วล่ะ
ผมอาบน้ำเสร็จแล้วก็หยิบเสื้อผ้าเข้าไปเปลี่ยนในห้องเปลี่ยนเสื้อ พอเดินออกมาก็เห็นเจ้านพรัตน์ยืนรออยู่แล้ว ขนาดอาบน้ำแล้วแก้มหมอนี่ยังเป็นสีชมพูอยู่เลย เป็นคนหนุ่มสุขภาพดีนี่มันดีจริงๆ นะ ผมเห็นหัวเขายังเปียกๆ อยู่ เลยถือวิสาสะหยิบผ้าขนหนูที่พาดอยู่เช็ดให้ พลางบ่น “โตๆ แล้วก็หัดเช็ดหัวให้แห้งหน่อยสิ”
เจ้านพรัตน์ยืนนิ่งให้ผมเช็ดผมให้ หน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศอีกแล้ว เพื่อนฝูงก็ไม่ได้อยู่มองสักหน่อย จะอายอะไรนักหนา
------------------------------------------
เย็นนั้นผมเลยได้ทำบุญใหญ่ เลี้ยงอาหารเจ้าลูกลิงทั้งสิบเอ็ดคนที่ยอมให้ผมเล่นบาสฯด้วย แต่ละคนอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว แต่พอมาอยู่รวมกันก็ส่งเสียงเจี้ยวจ๊าวเหมือนนกกระจอกแตกรังไม่มีผิด พวกนี้คุยกันได้ตั้งแต่เรื่องงาน ยันเรื่องรองเท้ากัด ถึงจะอายุลดหลั่นกันไป ทำงานกันคนละที่ แต่ก็คุยกันอย่างออกรสจนพลอยทำให้ผมอดขำไม่ได้ เจ้านพรัตน์ดูจะพูดน้อยสุด นานๆ ทีจะเสริมอะไรขึ้นมาบ้าง เหมือนจะกลัวโดนแซวกลับ แหม..ที่กับผมล่ะจ้อเอาๆ
ทานข้าวเสร็จก็ไปร้องคาราโอเกะกันต่อ ความจริงผมไม่ชอบที่แบบนั้นหรอก แต่ถ้าผมกลับ เจ้านพรัตน์ก็คงกลับด้วย ผมเห็นหมอนี่เอาแต่ถามผมต้อยๆ มาหลายเดือนแล้ว ควรจะมีเวลาสังสรรค์กับเพื่อนฝูงบ้าง
ดังนั้นตอนนี้ผมเลยต้องนั่งเบียดอยู่กับเจ้าทโมนพวกนี้ในห้องคาราโอเกะแคบๆ นพรัตน์อัญเชิญผมนั่งริมสุดอีกเช่นเคย สงสัยกลัวผมถูกเด็กๆ พวกนี้เบียดตาย นายพชรรีบทำหน้าเห็นด้วย
“ให้ลุงแกไปนั่งมุมเลย แกจะได้ไม่กัดใคร”
ลาออกไปนานแล้ว ปากยังเสียเหมือนเดิมไม่มีผิด แต่ผมขี้เกียจจะอารมณ์เสียตอนนี้ เจ้าพวกลูกลิงแย่งกันเลือกเพลง มีตั้งแต่สมัยวงไมโครยังดัง ยันเพลงพี่เบิร์ดที่เพิ่งออกใหม่ ผมนั่งจิบน้ำมะนาวไปฟังพวกนั้นร้องเพลงไป เพราะบ้างไม่เพราะบ้างตามประสาคนธรรมดา ไม่ใช่นักร้อง นายนพรัตน์นั่งข้างผม คอยร้องเพลงเป็นลูกคู่ แต่ยังไม่เห็นจะจับไมค์ร้องเองกับเขาสักที มีคนชวนผมร้องด้วย แต่ผมปฏิเสธ มนุษย์อย่างผมถึงจะดูดีไปทุกเรื่อง แต่เรื่องร้องเพลงขอที ผมมั่นใจในตัวเองทุกอย่างแหละ ยกเว้นเรื่องนี้ ไม่ใช่เสียงผมไม่ดีนะ แต่ผมตามไม่ทันคีย์เพลงเอาเสียเลย ดังนั้น ผมจึงปฏิเสธเสียงแข็งว่าจะไม่ร้อง ต่อให้ถูกแซวว่าเสียงไม่เพราะก็ตาม ดีกว่าร้องหลงคีย์ออกมาให้เด็กรุ่นลูกรุ่นหลานได้ยินล่ะน่า
เจ้านพรัตน์ทำหน้าที่ปกป้องคนแก่อย่างผมดีอีกเช่นเคย พอเห็นผมไม่ร้อง ก็ช่วยปฏิเสธให้ด้วย เลยโดนแซวพอหอมปากหอมคอ ไม่ถึงกับทำให้ผมพลอยหงุดหงิด ไอ้พวกเพื่อนก็คงพอรู้เส้นผมเหมือนกันแหละ ไม่ก็นายพชรเตือนเอาไว้ก่อนแล้ว
ร้องเพลงกันไปได้สักพัก ทุกคนก็พร้อมใจกันส่งไมค์ให้เจ้านพรัตน์ เจ้านพรัตน์มองไมค์สองตัวที่เพื่อนส่งมา แล้วหยิบตัวหนึ่งส่งให้ผม ผมนึกงง ตะกี้เพิ่งช่วยปกป้องผมอยู่แหม็บๆ แต่ดันส่งไมค์มาให้ผม ไอ้เจ้าพชรที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยส่งเสียงขึ้นอีกเช่นเคย
“เฮ้ย ลุง รับรองเพลงนี้ลุงร้องได้แน่ รุ่นเดียวกัน”
ผมงี้อยากขว้างไมค์ใส่หน้าคนพูดเสียจริงๆ ติดแต่คงไม่เหมาะกับกาลเทศะเท่าไหร่ ผมเลยเอาไมค์มาถือไว้พอเป็นพิธี ขณะที่เจ้านพรัตน์ลุกขึ้น อื้อหือ...ร้องเป็นลูกคู่เขามานาน พอจับไมค์เองยืนเป็นนักร้องใหญ่เชียว ผมนึกสงสัยว่าเขาจะร้องเพลงอะไรกันแน่ แต่พอทำนองขึ้นเท่านั้นแหละ ผมถึงกับขนลุก เออ ทันรุ่นผมอย่างที่เจ้าพชรว่าจริงๆ
“If I had to live my life without you near me
The days would all be empty
The nights would seem so long
With you I see forever oh so clearly
I might have been in love before
But it never felt this strong
Our dreams are young and we both know
They'll take us where we want to go
Hold me now
Touch me now
I don't want to live without you
Nothing's gonna change my love for you
You ought to know by now how much I love you
One thing you can be sure of
I'll never ask for more than your love
Nothing's gonna change my love for you
You ought to know by now how much I love you
If the road ahead is not so easy
Our love will lead the way for us
Like a guiding star
I'll be there for you if you should need me
You don't have to change a thing
I love you just the way you are
So come with me and share the view
I'll help you see forever too
Hold me now
Touch me now
I don't want to live without you”
เพลงยาวแค่สี่นาทีกว่าๆ แต่ผมรู้สึกเหมือนนานเป็นชั่วโมงๆ เสียงเจ้านพรัตน์ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ ถึงจะออกแนววัยรุ่นแต่ก็ไม่ขัดกับทำนองเพลง เพื่อนๆ นั่งฟังกันเงียบกริบ ผมก็พลอยเงียบไปด้วย ไม่ใช่อึ้งกับพลังเสียงของเขานะ แต่แบบ...ปกติคนร้องคาราโอเกะเขาต้องมองจอดูเนื้อเพลงไม่ใช่เหรอ แต่เจ้านพรัตน์ดันหันมามองหน้าผมอย่างกับมีเนื้อเพลงอยู่บนหน้างั้นแหละ เจอแบบนี้ผมไม่นั่งเงียบก็ไม่รู้จะทำไงแล้วล่ะ ร้องจบนายพชรก็เดินเข้ามากอดเหมือนได้เจอนักร้องตัวจริง เจ้านพรัตน์เขินจนหน้าแดง แอบหันมามองผมด้วยแนะ คงหวังให้ผมหน้าแดงเป็นเพื่อนล่ะสิ ฝันไปเถอะ ผมไม่ไม่ใช่วัยรุ่นแล้ว เรื่องเขินเรื่องอายมันพ้นวัยมานานแล้ว
พวกนั้นร้องเพลงกันจนสามทุ่ม ถึงได้เลิก ขากลับผมก็กลับมาพร้อมกับนายนพรัตน์อีกเช่นเคย เขามาส่งผมที่บ้าน เข้ามาดื่มน้ำดื่มท่า แล้วก็ขอตัวกลับเหมือนทุกวัน
แต่ไม่รู้ทำไม คืนนั้นผมนอนไม่ค่อยหลับอีกแล้ว
-----------------------------------------------------
แถมลิ้งเพลง Notting gonna change my love for you เอาไปประกอบการอ่านเพื่อให้ได้อรรถรสนะคะ หุๆ
http://www.youtube.com/watch?v=Tr97MQiqW38