[ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ท่านผู้อ่านชอบตัวละครใดมากที่สุด ในเรื่อง"คนข้างห้องผมเป็นสายลับ" (อนุญาตให้เลือกได้แ

หนูฟ่ง : แน่นอนอะ กระรอกน้อยช่างน่ารัก และน่าเหยียบ ในเวลาเดียวกันo_O
รูฟัส : สุดๆ อะ พระเอกอะไรไม่รู้ว มันน่ารัก น่าหยิกแก้มจริงๆ นะเนี่ย (ทั้งกะล่อน ตอแหล หื่น รวมอยู่ในคนคนเดียว!!)
เว่ยเฟิงปิง : เอะอะสะบัดบ๊อบตลอดค่ะ (ไม่มีก็ไว้ซะนะคะ เฟิงขา)
จางซื่อเยี่ยน : ถึงจืดถึงจาง.. ถึงจะซื่อจะบื้อ... แต่ก็รักนะ รักหน่อยเหอะน้า~
อิทธิเดช : หนุ่มหน้าสวย บทไม่มาก (เพราะคนเขียนไม่อวย<<อ้าว) แอบโรคจิตนิดๆ แต่ก็น่าถนอม
วรุต : หนุ่มน้อยหน้ามน โรคจิตไม่แพ้กัน (จับคู่กับอิทธิเดชเลยได้คู่จิตป่วนแห่งปีไป) เอาน่า น้องวรุตก็มีส่วนน่ารักน่าเอ็นดูนะ!!
เว่ยจินหยิน : อวย!! อันนี้คนเขียนอวยค่ะ ฮ่าๆ ไม่รู้จะจิ้มใคร จิ้มให้คุณชายจิ้งจอกสุดที่Loveของดั้นสิฮ้า (โดนคนอ่านถีบ)
เถียนซาน : ผู้ชายแสนอบอุ่น... (คนนี้ไม่ได้อวย แต่เป็นคนอวยคนด้านบนอีกทีนึง..... เอวัง)

ผู้เขียน หัวข้อ: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55  (อ่าน 247400 ครั้ง)

ออฟไลน์ chancha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
ยาวได้ใจจริงๆ เรื่องนี้
แต่ก็มีเนื้อเรื่องให้น่าติดตามอ่า
อ่านได้ไม่เบื่อเลย

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**นั่งอ่านเรื่องStairเพลินๆ เกือบลืมอัพ (แล้วเรื่องอื่นล่ะยะ เขียนหรือยัง!!)

ตอนนี้เป็นตอนต่อ เรียกว่าAfter story นะคะ(แต่ไม่ใช่ตอนพิเศษเน้อ เป็นตอนของเรื่องหลักนี่แหละค่ะ)
----------------------------------------
บทที่77 หมอนข้าง

   รูฟัสเกือบจะพูดได้อย่างเต็มปากแล้วว่าตอนนี้เขาเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก เขาได้นอนกอดฟ่งอย่างแนบชิดสนิทใจ และได้ตื่นมาคลอเคลียอย่างที่เคยอยากทำในทุกเช้า อะไรๆ ดูเหมือนจะดีไปหมด ยกเว้นแต่.....
   ฟ่งยังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าน้อยๆ ยามไม่สวมแว่นก็ดูน่ารักไปอีกแบบ เขาใช้ชีวิตคู่กับผู้ชายคนนี้มาได้เกือบสองสัปดาห์แล้ว หลังจากวันนั้น รูฟัสไม่ได้ทำอะไรหักโหมกับฟ่งอีกเลย แต่พอมีอะไรกันอีกสองวัน ฟ่งก็เริ่มพูดกับเขาอย่างจริงๆ จังๆ เรื่องการมีเซ็กซ์ ชัดเจนว่าทางนั้นไม่ค่อยรู้สึกพอใจนักหากต้องมีอะไรกับเขาทุกวัน รูฟัสจำต้องทำใจเรื่องข้อเสนอของฟ่งที่ว่าจะยอมให้มีอะไรด้วยแค่สัปดาห์ละสองครั้ง นับแล้วก็ราวๆ สามวันหนนั่นแหละ คงไม่หนักหนาสาหัสอะไร แต่ปัญหาคือฟ่งนับย้อนหลังที่เขาทำไปก่อนหน้านี่ด้วยนี่แหละ สรุปแล้วคือหลังจากสามวันแรก รูฟัสยังไม่ได้แนบชิดฟ่งแบบนั้นอีกเลย เอาเถอะ เขาอดทนกับฟ่งมามากแล้ว นับประสาอะไรกับเรื่องแค่นี้ ถึงไม่ได้มีอะไรด้วย แค่นอนกอดก็ยังดี
   ฟ่งยังคงหลับอยู่ ลมหายใจสม่ำเสมอ และดวงตาหลับพริ้มดูมีความสุขน่าเอ็นดู แต่รูฟัสกลับต้องกะพริบตาปริบๆ เขานอนกอดฟ่งเฉยๆ มาได้เกือบสัปดาห์แล้ว เรื่องมีอะไรกันสัปดาห์ละสองครั้งและนับย้อนหลังนั่นเขาทนได้ แต่สิ่งที่ดูจะกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายขึ้นมาคือไอ้หมอนข้างที่ฟ่งนอนกอดอยู่นี่แหละ
   ก็รู้อยู่หรอกว่าฟ่งคงติดหมอนข้าง เพราะเตียงนอนที่นอนแค่คนเดียวแต่มีหมอนข้างอยู่ถึงสามใบ คนปกติธรรมดาที่ไหนเขาจะนอนกับหมอนข้างเยอะขนาดนี้ รูฟัสคิดว่าฟ่งคงเหงาเลยต้องมีอะไรวางไว้ข้างๆ เยอะแยะเวลานอน ตอนนี้มีเขานอนข้างทุกวันก็น่าจะเอาเจ้าพวกหมอนข้างนี่ออกไปได้แล้ว รูฟัสจัดแจงย้ายของพวกนี้ออกจากเตียงของฟ่งในวันที่สอง ด้วยเหตุผลว่ามันเกะกะ แต่สุดท้ายฟ่งก็ไปรื้อมันออกมา โยนกองเอาไว้บนเตียง ด้วยเหตุผลว่า ติดหมอนข้าง แค่ใบเดียวยังพอทำเนา แต่สามใบที่กองเต็มเตียงจนคนนอนข้างแทบไม่มีที่ทำให้รูฟัสอดคิดไม่ได้ว่าฟ่งกลัวเขาจะทำอะไรเลยเอาหมอนข้างมาขวาง หรือว่ารักหมอนข้างมากกว่าเขากันแน่
   นี่ตัวเขาแย่กว่าหมอนข้างอีกรึ?!
   รูฟัสพยายามทำใจกว้าง เอาเถอะ มันก็แค่หมอนข้าง ฟ่งกอดหมอนข้าง เขากอดฟ่งต่ออีกทีก็ได้ แต่เห็นอีกฝ่ายกอดหมอนข้างแน่นไม่ปล่อยแบบนี้ แล้วจะไม่ให้เขาคิดน้อยใจได้อย่างไร
   นัยน์ตาสีน้ำตาลหรี่ปรือขึ้นมาอย่างง่วงงุ่น พอปรับโฟกัสได้ก็ยิ้มบางๆ ให้เขาหน่อยหนึ่ง รอยยิ้มแว้บเดียวของฟ่งทำเอารูฟัสลืมเรื่องหมอนข้างไปหมด เขาคว้าร่างผอมบางเข้ามากอด หอมแก้มเบาๆ และจูบอรุณสวัสดิ์อย่างที่ทำอยู่ทุกวัน
   “อืม...” ฟ่งส่งเสียงในคออย่างพอใจ และยิ้มหวานให้เขาอีกรอบ รูฟัสเลยจูบซ้ำลงไปอีก เพียงแต่คราวนี้ไม่ใช่จูบอรุณสวัสดิ์ แต่เป็นจูบที่บ่งบอกเจตนาคนจูบอย่างเห็นได้ชัด เรียวลิ้นที่ฟ่งตอบกลับมาทำให้รูฟัสยิ่งเคลิ้ม เขารั้งร่างบางแนบเข้ามามากขึ้นและเริ่มล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อของอีกฝ่าย แต่สิ่งที่เขาพบคือหมอนข้างทั้งลูกที่ขวางอยู่ อารมณ์ของรูฟัสพลันกระตุกกึกทันที แทบจะพร้อมๆ กับที่ฟ่งผลักเขาออกเบาๆ
   “ผมไปอาบน้ำดีกว่า” ร่างบางกล่าว ยิ้มให้เขาอีกครั้ง หันไปหยิบแว่นมาสวมและไถลตัวเดินไปยังห้องน้ำ รูฟัสมองดูแผ่นหลังบอบบางที่หายเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนจะหันมามองหมอนข้างสามใบบนเตียง
---------------------------------------------
   ฟ่งเดินเข้ามาในห้องนอนด้วยความรู้สึกฉงนสนเท่ห์ใจ ปกติรูฟัสจะพยายามจะกอดเขานอนให้ได้ทุกคืน ความจริงฟ่งก็ไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรมากนักหรอก แต่ถ้าจะให้ผู้ชายตัวแข็งๆ นอนกอดไปทุกวันก็ใช่ที่ แถมตัวของรูฟัสเองก็ใช่ว่าจะเล็กๆ เสียเมื่อไหร่ จะให้เขานอนกอดแทนหมอนข้างก็ดูจะให้ความรู้สึกห่างไกลกันลิบลับ กระนั้นสิ่งที่ทำให้ฟ่งต้องขมวดคิ้วใต้แว่นตาหนาคือภาพของรูฟัสที่วันนี้ไม่ได้นอนรอเขาอยู่บนเตียงด้วยรอยยิ้มเหมือนเช่นทุกวัน แต่ร่างสูงใหญ่กำลังพยายามนอนกอดหมอนข้างของเขาอยู่ ถ้ากอดเพียงใบเดียวฟ่งคงไม่รู้สึกแปลกใจอะไรมากนัก แต่นี่รูฟัสกอดมันอยู่ถึงสามใบ!
   ฟ่งเดินไปที่เตียง ระหว่างที่นั่งลงรูฟัสยิ้มให้เขาหน่อยหนึ่งผ่านกองหมอนข้าง ฟ่งกะพริบตาปริบๆ ด้วยไม่รู้ว่าจะพูดหรือจะทำยังไงดีกับพฤติกรรมแปลกประหลาดนี้ ในที่สุดเขาก็ปิดไฟหัวเตียงและล้มตัวนอนข้างๆ รูฟัส โดยมีกองหมอนข้างสามลูกขวางอยู่.....
   ฟ่งยอมรับว่าตัวเองติดหมอนข้าง อาจจะขนาดหนัก วันไหนไม่ได้กอดจะถึงขั้นนอนหลับไม่สนิท ดังนั้นพอรูฟัสย้ายมันออก เขาก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาทันที สุดท้ายก็ทนไม่ได้ต้องไปรื้อมันออกมาวางกองเอาไว้ ฟ่งรู้สึกว่ากอดหมอนข้างแล้วหลับสบายกว่ากอดผู้ชายที่ทั้งตัวแข็ง ตัวใหญ่ แถมวันดีคืนดีก็ชอบเล่นซนกับร่างกายของเขา แต่วันนี้ดูเหมือนผู้ชายที่ว่าจะคว้าเอาหมอนข้างสุดรักของเขาไปครอบครองไว้จนหมด ทำให้ฟ่งต้องนอนอ้างว้างอยู่บนเตียงอีกข้างหนึ่ง
   ร่างบางได้แต่กะพริบตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
   ฟ่งไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับรูฟัส จะบอกให้คืนหมอนข้างก็ใช่ที่ ดูเหมือนรูฟัสอยากจะกอดมันมาก เพราะไม่แค่เอามือกอด ยังตะกายขาใหญ่โตขึ้นมาทับไว้อีกด้วย เห็นแบบนี้ก็ทำให้เจ้าของถึงกับพูดอะไรไม่ออก ฟ่งนอนนิ่งๆ จ้องมองกองหมอนข้างตรงหน้า เขาอยากรู้ว่ารูฟัสหลับแล้วหรือยัง และกำลังทำหน้าแบบไหน แต่กองหมอนข้างเจ้ากรรมขวางเอาไว้หมด ปกติระหว่างเกือบสองสัปดาห์มานี้ แม้ฟ่งจะนอนกอดหมอนข้าง แต่เขาก็นอนหันหน้าหารูฟัสทุกคืน เขายอมให้รูฟัสกอด ขอกอดแค่หมอนข้างเอาไว้เท่านั้นเอง ก็ใครบ้ามันจะนอนกอดผู้ชายตัวแข็งๆ ด้วยกันไปได้ตลอดกันล่ะ?
   ร่างบางเผชิญหน้ากับกองหมอนข้างตัวเองอยู่พักใหญ่ พลางคิดไปต่างๆ นาๆ หรือว่ารูฟัสจะโกรธเขา หรือว่าทางนั้นอาจจะติดหมอนข้างเหมือนกัน เพียงแต่อยากจะก่ายกอดเขาไปตามเรื่อง วันดีคืนดีก็นึกเบื่อเลยหันไปกอดหมอนข้างเสียอย่างนั้น ฟ่งนึกถึงตรงนี้ก็รู้สึกวูบขึ้นมาทันที นี่เขาน่าเบื่อขนาดนั้นเลย? จะว่าไปแล้วเขาก็ไม่ได้มีเสน่ห์อะไรมาก แค่รูฟัสอยากอยู่ด้วยก็แปลกมากแล้ว แต่แค่เกือบสองอาทิตย์รูฟัสก็เบื่อเขาจนหันไปกอดหมอนข้างแทนล่ะหรือ?
   ฟ่งทนนอนเผชิญหน้ากองหมอนข้างไม่ไหวอีก เขาพลิกตัว หันหลังให้ และพยายามข่มตาให้หลับ โดยไร้ซึ่งสิ่งใดในอ้อมกอดเว้นเสียแต่ผ้าห่มเท่านั้น
-----------------------------------------------
   รูฟัสตื่นเช้าขึ้นมาด้วยอารมณ์ไม่ใคร่จะแจ่มใสเท่าไหร่นัก ปกติเขาไม่ใช่คนติดหมอนข้าง อย่างเดียวที่เขาจะนอนกอดเวลาอยู่บนเตียงคือคนเป็นๆ ด้วยกัน และตอนนี้คนที่เขาอยากกอดก็นอนอยู่ข้างๆ แต่เขาดันต้องกอดหมอนข้างเอาไว้ถึงสามใบ ถึงมันจะมีกลิ่นฟ่งติดอยู่ก็เถอะ ใช่ว่าทดแทนกันได้เสียเมื่อไหร่
ที่ชายหนุ่มทนกอดหมอนข้างนิ่งๆ เอาไว้ถึงสามลูกด้วยหวังเพียงว่าฟ่งจะเอ่ยทักเขาแล้วเขาจะได้พูดถึงสาเหตุที่มาของมันเสียที เพราะครั้นจะให้เอ่ยปากเองอาจจะถูกอีกฝ่ายนึกระแวงในใจว่าเขาอยากทำนั่นทำนี่ก็ได้ แต่ดันกลายเป็นว่าฟ่งไม่พูดอะไร และยอมนอนเงียบๆ ไปอย่างนั้น ทั้งๆ ที่รูฟัสแทบจะแน่ใจว่าพฤติกรรมที่เขาทำอยู่แปลกจนแม้แต่คนที่ไม่ได้นอนด้วยกันยังควรจะเอ่ยปากถามแท้ๆ
   ถึงจะหงุดหงิด แต่รูฟัสยังไม่ยอมแพ้ เขายังคงกอดหมอนข้างไว้แน่น เผื่อว่าฟ่งตื่นมาอาจจะมีอารมณ์อยากถามก็ได้
---------------------------------------------
   ฟงตื่นมาด้วยความรู้สึกเหมือนคนนอนผิดที่ และพอหันหลังกลับก็พบว่ารูฟัสกอดกองหมอนข้างเอาไว้ไม่ยอมปล่อยและแทบจะอยู่ในท่าเดิมเป๊ะๆ เจอแบบนี้เขาเลยไม่รู้จะทำอย่างไร จึงจำต้องลุกขึ้น เดินไปเข้าห้องน้ำ
---------------------------------------------
   รูฟัสเกือบจะร้องไห้ เขารอให้ฟ่งพูดอะไรซักคำระหว่างที่ต้องทนอยู่กับกองหมอนข้างพวกนั้น ฟ่งหายเข้าไปในห้องน้ำพักใหญ่และออกมาด้วยสภาพที่เหมือนจะล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว คำแรกที่ฟ่งพูดกับเขาคือ
   “วันนี้เราออกไปหาซื้อหมอนข้างเพิ่มกันไหม?”
   ถ้าความคิดของเขามีเสียงป่านนี้เสียงนั้นคงดังทะลุไปอีกหลายห้อง แต่ไหนๆ เขาก็อุตส่าห์สู้ทนกอดหมอนข้างมาได้ตั้งหนึ่งคืนแล้ว และฟ่งก็เริ่มมีแก่ใจจะถามแล้ว รูฟัสตัดสินใจว่าเขาจะดำเนินแผนการสู้รบกับหมอนข้างพวกนี้ต่อ
   ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเกิดมาจะต้องมาทะเลาะกับหมอนข้าง
   “ทำไมหรือครับ?” ชายหนุ่มถามพลางปั้นหน้าสงสัย และแสดงอาการกอดก่ายหมอนข้างเอาไว้อย่างสุดรักสุดหวง ฟ่งได้แต่กะพริบตาปริบๆ อยู่หลายที ถึงจะพูดออกมาได้
   “ก็...ผมไม่รู้มาก่อนว่าคุณติดหมอนข้าง..”
   ความจริงฟ่งไม่ได้อยากออกไปซื้อหมอนข้างใหม่ เขาแค่อยากจะให้รูฟัสพูดว่า อืม ไม่เป็นไรผมแบ่งใช้กับคุณก็ได้ แต่คำตอบของรูฟัสคือการกอดกองหมอนนั้นแน่นเข้าไปอีก แถมถูไถมันอย่างรักใคร่จริงๆ เจอแบบนี้เข้าไปฟ่งถึงกับพูดต่อไม่ออก
   “ผมไม่ได้ติดหมอนข้างหรอกครับ” รูฟัสตอบในที่สุด พอเห็นฟ่งทำหน้าสงสัย เขาจึงฉวยโอกาสพูดต่อทันที
   “ผมเห็นคุณนอนกอดทุกวัน เลยสงสัยว่าหมอนข้างพวกนี้มันมีอะไรดีกันแน่”
   “อ้อ” ฟ่งร้อง พยักหน้าพลางยิ้ม “ผมว่ามันนิ่มดี”
   ถ้าเอาหัวโขกหมอนข้างได้รูฟัสคงทำไปแล้ว ฟ่งให้คำตอบที่ทำให้เขาแทบอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ ร่างผอมบางพูดต่อด้วยสีหน้ายินดี
   “ถ้าคุณชอบ เราไปซื้อมาเพิ่มก็ได้” ฟ่งไม่คิดมาก่อนว่ารูฟัสจะติดใจหมอนข้างทีเดียวสามใบ เขายอมยกหมอนข้างพวกนั้นให้รูฟัสก็ได้ แต่เขาจำเป็นต้องมีอะไรซักอย่างกอดในตอนนอน
   รูฟัสคิดว่าเขาอดทนได้ดีมาโดยตลอด ไม่ว่าเรื่องอะไร แต่ดูเหมือนวันนี้ความอดทนนั้นดูจะสะบั้นลง เพราะไอ้หมอนข้างสามใบนี้แหละ
   “ผมไม่ได้ชอบหมอนข้าง” สุดท้าย ชายหนุ่มก็ยังต้องสารภาพออกมาก่อน ดูท่าวิธีหว่านล้อมอ้อมค้อมจะใช้กับฟ่งไม่ได้ผล เพราะนอกจากจะไม่รู้ตัวแล้ว ยังตอกย้ำให้เขารู้สึกว่า ฟ่งเห็นหมอนข้างดีกว่าตัวเขาเป็นไหนๆ คิดถึงตรงนี้รูฟัสอดน้อยอกน้อยใจไม่ได้จริงๆ
   สรุปแล้วคุณค่าของเขายังเทียบกับหมอนข้างไม่ได้หรือนี่?
   “อ้าว..” ฟ่งทำเสียงแปลกใจ ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรอีก รูฟัสก็ผุดลุกขึ้นจากเตียง เดินไปเข้าห้องน้ำทั้งอย่างนั้น บรรยากาศอึมครึมเกิดขึ้นในห้องทันที  ฟ่งยกมือขึ้นเกาศีรษะ มองดูหมอนข้างสามใบบนเตียง
-------------------------------
   ดูเหมือนรูฟัสจะงอนอย่างจริงๆ จังๆ เพราะโดยปกติชายหนุ่มตื่นขึ้นมาแล้ว ต้องกอดจูบเขาก่อนสักพัก ถึงจะยอมลุกไปอาบน้ำทำกับข้าว ไม่ก็วนเวียนหอมแก้มเขาเมื่อมีโอกาส แต่วันนี้พฤติกรรมเหล่านั้นดูจะวับไปเหมือนถูกเช็ด ชายหนุ่มอาบน้ำแต่งตัวอย่างเงียบๆ ยังดีที่ยังไม่งอนถึงขนาดไม่ยอมทำกับข้าวให้กิน แต่ไอ้การทนนั่งกินข้าวโดยที่อีกฝ่ายไม่ยอมมองหน้าหรือพูดคุยด้วยทำให้ฟ่งรู้สึกอึดอัด
   เขาไม่เข้าใจว่ารูฟัสงอนเรื่องอะไรกันแน่
   ฟ่งไม่ชอบคนขี้งอน สมัยคบอยู่กับดา ดายังไม่เคยงอนเขานานๆ มาก่อน ในกรณีที่เขารู้สึกว่าผิด ฟ่งจะยอมทนง้อสักครั้งหรือสองครั้ง แต่ในตอนนี้ฟ่งยังนึกไม่ออกสักนิดเดียวว่าเขาผิดตรงไหน ดังนั้นตอนนี้เขาเลยตีสีหน้าปั้นปึงใส่อีกฝ่ายที่ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาจากจานอาหาร แต่ขนาดเขาตีหน้าบึ้งอย่างนี้ รูฟัสยังไม่มีแก่ใจจะถามอะไรเขาซักคำ แค่รอยยิ้มปลอบใจบนริมฝีปากก็ดูจะไม่ผุดออกมาด้วยซ้ำ ชายหนุ่มรอจนเขากินข้าวเสร็จก็เก็บจานไปล้างเงียบๆ เรียกได้ว่าเมินเขาเต็มรูปแบบ
   เจอเข้าแบบนี้ หน้าที่บูดบึ้งเป็นปกติของฟ่งยิ่งบูดหนักเข้าไปอีก ชายหนุ่มผุดลุกขึ้น และเดินออกไปจากห้องทันที
-------------------------------------
   รูฟัสบอกตัวเองว่าเขาควรจะสำนึกได้ก่อนหน้านี้ว่าฟ่งเป็นคนที่ไม่ควรจะงอนใส่ เพราะนอกจากเจ้าตัวจะไม่ยอมง้อเขาแล้ว ยังทำประชดใส่อย่างไม่เกรงใจอีกด้วย แต่กระนั้นดูจะสายไปสักหน่อย เมื่อฟ่งกลับเข้ามาพร้อมกับหมอนข้างที่เพิ่งซื้อมาใหม่อีกสามใบ!
   ตอนนี้บนเตียงเลยมีหมอนข้างหกใบ อย่าว่าแต่นอนสองคน แค่คนเดียวยังหาที่นอนลำบาก ผ่านไปยังไม่ถึงสองอาทิตย์ แค่หมอนข้างอย่างเดียวก็ดูจะทำให้ชีวิตคู่ของเขามีปัญหาเสียแล้ว
   คืนนั้นฟ่งหนีไปนอนท่ามกลางกองหมอนข้าง ทอดทิ้งให้รูฟัสต้องอพยพไปนอนบนโซฟาคนเดียว
---------------------------------------
   ฟ่งชอบนอนกลางกองหมอนก็จริง แต่เขายังไม่เคยนอนท่ามกลางหมอนข้างถึงหกใบ เรียกได้ว่าพลิกตัวไปทางไหนก็มีที่ทางให้ขยับน้อยมากเหลือเกิน ชายหนุ่มชักเริ่มคิดว่าเขาทำตัวงี่เง่าแบบนี้ไปเพื่ออะไร ฟ่งโยนหมอนข้างทิ้งไปสองสามลูก และพบว่านอกจากหมอนข้างแล้ว บนเตียงไม่มีใครอีก รูฟัสคงจะออกไปนอนด้านนอก ถึงตอนนี้ฟ่งเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาทันที
   รูฟัสคงงอนเขาเรื่องหมอนข้างแน่ๆ
   ถึงเขาจะไม่อยากกอดผู้ชายตัวแข็งๆ นอน แต่เกือบสองอาทิตย์ที่ผ่านมา รูฟัสกอดเขามาโดยตลอด จากที่นอนไม่ค่อยหลับในวันแรกๆ ก็กลายเป็นความเคยชิน พอไม่มีอ้อมกอดนั้น ก็เหมือนขาดอะไรไปซักอย่าง ฟ่งมองดูเหล่าหมอนข้าง
   นี่เขาจะต้องเลือกแล้วล่ะรึ? ระหว่างหมอนข้าง กับรูฟัส
-------------------------------------------
   รูฟัสเป็นคนไม่เคยคิดมากมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยนึกน้อยใจ และไม่เคยงอนใคร แต่เหมือนทุกอย่างที่เขาไม่เคยเป็น กลับกลายมาเป็นตัวเขาทั้งหมดในตอนนี้ ชายหนุ่มพยายามบอกตัวเองไม่ให้คิดมาก มันก็แค่หมอนข้าง ฟ่งก็แค่..แค่ชอบกอดหมอนข้าง เอาเถอะ คนเราคงมีความชอบต่างกัน เขาคงผิดเองที่คิดมากแล้วงอนใส่ฟ่งแบบนั้น คิดแล้วก็น่าอนาถตัวเอง กับอีแค่เรื่องหมอนข้างเขาก็เก็บมาคิดมากขนาดนี้ รูฟัสไม่เข้าใจหัวใจตัวเองเลยจริงๆ เขาคงต้องพยายามทำใจกว้าง มันก็แค่หมอนข้างหกใบ ไม่ใช่ชายชู้หกคนเสียหน่อย
   ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น นี่เขาเอาเรื่องหมอนข้างไปโยงกับเรื่องชายชู้ได้ยังไง ถ้าจะคิดหาเรื่องปลอบใจตัวเองก็ควรจะคิดเรื่องที่ดีกว่านี้สิ ในที่สุดหลังจากตรวจพบว่ายิ่งคิดคงยิ่งจะเพ้อเจ้อจนไม่เป็นอันหลับอันนอน รูฟัสก็ตัดสินใจเลิกคิดทุกอย่าง หลับตาลงเสีย เอาไว้ตื่นมาพรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที
   มันก็แค่หมอนข้างหกใบเท่านั้นล่ะน่ะ...
---------------------------------------------------
   ฟ่งแง้มประตูห้องนอนออกมา แม้จะไม่ได้เปิดไฟ แต่ชายหนุ่มสวมแว่นเรียบร้อย เขาทนนอนท่ามกลางกองหมอนข้างโดยไม่มีไออุ่นของผู้ชายตัวใหญ่คนนั้นไม่ไหวจริงๆ แต่ครั้นจะออกไปง้อก็ไม่รู้ว่าควรจะง้อแบบไหน ปกติเขาไม่ใช่คนที่ง้อใครเป็นเสียด้วย เพียงแต่คราวนี้เกิดรู้สึกสำนึกผิดขึ้นมาเท่านั้นเอง รูฟัสนอนทอดร่างอยู่บนโซฟา พอเห็นว่าอีกฝ่ายดูจะหลับไปแล้ว ฟ่งก็ยิ่งรู้สึกละล้าละลังหนักเข้าไปอีก เขายังหวังว่ารูฟัสอาจจะตื่นอยู่ และพอเห็นเขาโผล่หน้าออกมาจะยอมเดินเข้ามาหา ดันกลายเป็นว่าฝ่ายนั้นหลับไปแล้ว หลับไปบนโซฟาอย่างสบายอารมณ์ทั้งๆ ที่เขานอนไม่หลับเนี่ยนะ
   อารมณ์อยากง้อของฟ่งพลันกลายเป็นอารมณ์ขุ่นเคืองอีกครั้ง ขณะที่กำลังจะปิดประตูห้อง ร่างสูงใหญ่ก็ขยับตัว เสียงคุ้นเคยเอ่ยเรียกเบาๆ
   “ฟ่ง?”
   ความขุ่นเคืองที่เกิดขึ้นพลันสลายหายไปตอนไหนก็ไม่รู้ ฟ่งแง้มประตูค้างเอาไว้  ขณะที่รูฟัสยันตัวลุกขึ้น สองคนจ้องตากันในความเงียบพักใหญ่ ท้ายที่สุดฟ่งก็เปิดประตูกว้างขึ้น ขณะที่รูฟัสเดินเข้ามาหา ทันทีที่เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าของอีกฝ่าย ฟ่งก็ยื่นแขนออกไปโดยไม่รู้ตัว
   รู้แล้วว่าควรจะเลือกอะไรดี
------------------------------------------
   รูฟัสตื่นเช้าขึ้นมาท่ามกลางกองหมอนข้าง แต่ตอนนี้เขาไม่รู้สึกหงุดหงิดกับพวกมันอีกต่อไป เพราะในอ้อมกอดเขามีเจ้าของหมอนข้างพวกนี้อยู่ เมื่อคืนฟ่งกอดเขาแน่น ราวกับคิดว่าเขาเป็นหมอนข้างไปแล้ว ชายหนุ่มได้แต่นึกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ในใจ
   ในที่สุดเขาเอาชนะใจฟ่งไปได้อีกเรื่องหนึ่งแล้ว
--------------------------------------------

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
ชายชู้คือหมอนข้าง :z1:

แต่ตอนหลังก็เข้าใจกัน  :mc4:

ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
อืม  อ่านตอนนี้แล้วนิยามไม่ถูกจริง
รู้สึกแค่ว่า  ทำไมพวกแกติ๊งต๋องแบบนี้ :angry2:  ศึกแย่งชิงความเป็นหนึ่งระหว่างหมอนข้างกับคนรึไง :z3:
ถึงมันจะดูน่ารักดี แต่มันก็ดูประหลาดๆหละนะ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
อืม  อ่านตอนนี้แล้วนิยามไม่ถูกจริง
รู้สึกแค่ว่า  ทำไมพวกแกติ๊งต๋องแบบนี้ :angry2:  ศึกแย่งชิงความเป็นหนึ่งระหว่างหมอนข้างกับคนรึไง :z3:
ถึงมันจะดูน่ารักดี แต่มันก็ดูประหลาดๆหละนะ


รูฟัสยังมีฉากติงต๊องกว่านี้อีกเยอะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (หัวเราะสะใจ... ที่จริงแล้วตอนafterเป็นตอนทำลายมาดพระเอกต่างหากล่ะ!!!)

ออฟไลน์ Anonymus

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 295
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-1
ชีวิตคู่...คือการปรับตัวเข้าหากัน  มองผิวเผินกะอีแค่หมอนข้าง จะอะไรกันนักหนา
เหมือนที่สามีภรรยา หลายๆคู่มีปัญหา กะอีแค่เข้าห้องน้ำไม่ยกฝาชักโครก  กะอีแค่บีบยาสีฟันกลางหลอด กะอีแค่ถอดเสื้อผ้าแล้วทิ้งเรี่ยราดไม่ใส่ตะกร้า ฯลฯ   
ปัญหาเล็กๆน้อยๆก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้  ถ้าไม่คุยกันให้เคลียร์ สุดท้ายก็ต้องทะเลาะกันด้วยเรื่อง “แค่หมอนข้าง” นี่แหละ 
ดีแล้วที่ต่างคนต่างลดทิฐิ เพราะมีเจ้านี้เมื่อไหร่ ชีวิตคู่ก็หายนะ เมื่อนั้น ...

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ชีวิตคู่...คือการปรับตัวเข้าหากัน  มองผิวเผินกะอีแค่หมอนข้าง จะอะไรกันนักหนา
เหมือนที่สามีภรรยา หลายๆคู่มีปัญหา กะอีแค่เข้าห้องน้ำไม่ยกฝาชักโครก  กะอีแค่บีบยาสีฟันกลางหลอด กะอีแค่ถอดเสื้อผ้าแล้วทิ้งเรี่ยราดไม่ใส่ตะกร้า ฯลฯ   
ปัญหาเล็กๆน้อยๆก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้  ถ้าไม่คุยกันให้เคลียร์ สุดท้ายก็ต้องทะเลาะกันด้วยเรื่อง “แค่หมอนข้าง” นี่แหละ 
ดีแล้วที่ต่างคนต่างลดทิฐิ เพราะมีเจ้านี้เมื่อไหร่ ชีวิตคู่ก็หายนะ เมื่อนั้น ...


จริงค่ะ นี่เรื่องจริงนะคะเนี่ย (ไม่ประสบกับตัวไม่รู้เลยทีเดียว)

ปล.ถอดเสื้อผ้าเรี่ยราดรับไม่ได้จริงๆ บ้านไม่กวาดก็รับไม่ได้ กับข้าวไม่ทำก็รับไม่ได้ (เอ๊ะ เราอยู่ฝ่ายไหนหว่า?!!)

Pizeiro

  • บุคคลทั่วไป
ยังอ่านไม่ถึงตอนล่าสุดเลย

อ่านข้ามวันข้ามคืนจนตาแฉะเลยแฮะเรื่องนี้ =.,=

jelatin99

  • บุคคลทั่วไป
หมอนข้างคือมารชีวิตคู่(!?)

nightsza

  • บุคคลทั่วไป
โถ่ๆๆๆ น่าสงสารหมอนข้างเนอะ ดูจิ มาให้เค้ากอดมะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ิbenejeng

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**ลืมอัพค่ะ (ชัดเจน<<พอดีไม่มีกระทู้ขึ้น ถึงกับลืมเลยจริงๆ ฮ่ะๆ)

-------------------------------------------------
บทที่78 เข้าครัว

   กลิ่นเนื้อย่างหอมฉุยลอยมายั่วน้ำลายแต่เช้า ฟ่งปรือตาอย่างง่วงงุ่นแต่ก็ยอมลุกขึ้นมาอาบน้ำแปรงฟันหลังจากได้กลิ่นดังกล่าว รูฟัสตื่นเช้าเสมอ หลังจากคลอเคลียกับเขาจนพอใจแล้วเจ้าตัวมักจะลุกขึ้นมาทำอาหารเตรียมไว้ให้ ระหว่างที่เขายังต้องพักฟื้นร่างกายต่ออีกหน่อยหลังจากผ่านบทรักหนักหน่วงมาแทบทั้งคืน
   สุดท้ายนอกจากฟ่งจะยอมเอาหมอนข้างทั้งหกใบไปเก็บในตู้แล้ว เขายังยอมให้รูฟัสมีอะไรตามความพอใจของเจ้าตัวอีกด้วย
   ก็พอไม่มีอะไรขวางแล้ว รูฟัสยอมนอนกอดเขาเฉยๆ เสียที่ไหน ยังโชคดีที่เจ้าตัวไม่ได้ต้องการแทบทุกคืน ไม่อย่างนั้นฟ่งคงได้ตายคาเตียงสักวันแน่ๆ เวลารูฟัสเริ่มต้นทำอะไรแบบนั้นใช่ว่าเขาจะปฏิเสธได้เสียเมื่อไหร่ พอทำแล้วก็ใช่ว่าจะหยุดได้ง่ายๆ อีกด้วย ดูเหมือนเจ้าตัวจะชดเชยเรื่องดังกล่าวด้วยการเตรียมอาหาร เก็บกวาดห้อง จัดข้าวของที่วางระเกะระกะให้เข้าที่ ฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองได้ภรรยาที่เพียบพร้อมมาคนหนึ่ง
   หนุ่มสวมแว่นเดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวครึ่งตัว เขาหันไปมองชายหนุ่มร่างสูงที่อาศัยอยู่ร่วมกันซึ่งกำลังคลี่ยิ้มพิมพ์ใจให้เขาในขณะที่มือถือกระทะและตะหลิวอยู่
   “อรุณสวัสดิ์ครับ” รูฟัสเอ่ยคำนี้ขึ้นเป็นรอบที่สอง เขาเอ่ยมันแล้วในตอนเช้ายามที่ฟ่งปรือตาขึ้นมาพร้อมกับจูบรับอรุณ รูฟัสทำอย่างนี้เป็นประจำทุกวันแม้แต่ในวันที่ไม่ได้มีอะไรกัน จนฟ่งรู้สึกเคยชินเสียแล้ว วันไหนไม่ได้ยินหรือไม่ได้เห็นและสัมผัสริมฝีปากและรอยยิ้มแบบนี้ เขาคงคิดว่าตัวเองยังไม่ตื่น
   กลิ่นหอมของอาหารในกระทะช่างยั่วยวนชวนให้นึกอยากชิมขึ้นมาทันใด ฟ่งจึงเดินเข้าไปหารูฟัสทั้งๆ ที่ยังนุ่งผ้าเช็ดตัวอยู่อย่างนั้น และชะโงกหน้าไปดูว่าในกระทะมีอะไรอยู่กันแน่ รูฟัสก้มลงหอมแก้มเขาทีหนึ่ง
   “คุณชอบแบบดิบหรือแบบสุก หรือกึ่งดิบกึ่งสุกครับ?” ชายหนุ่มเอ่ยถาม เขากำลังทอดสเต๊กอยู่ ฟ่งเหมือนจะเห็นแล้วว่ารูฟัสหมักเนื้อพวกนี้เอาไว้เมื่อคืนวาน กลิ่นหอมของมันทำให้ร่างบางน้ำลายสอ เขาเกยคางเข้ากับหัวไหล่กว้าง ก่อนจะสูดหายใจเฮือก
   “เอาแบบสุกดีกว่า หอมจัง”
   รูฟัสพยักหน้า ก่อนจะหันมาจูบพวงแก้มบนใบหน้าที่วางเกยอยู่ ก่อนจะเลยไปเคล้าริมฝีปากอ่อนอย่างรักใคร่ ขณะที่สองมือยังทำอาหารอยู่นั่นแหละ ฟ่งกลัวว่าเขาจะได้กินสเต๊กแบบไหม้ แทนที่จะแค่สุก ร่างบางจึงรีบผละออกไปอย่างรวดเร็ว ถึงอย่างนั้นก็ยังมิวายหน้าแดงเมื่อเห็นรูฟัสยิ้มกริ่มพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปาก
   พอเปลี่ยนเสื้อออกมา ฟ่งก็พบว่ารูฟัสจัดจานสเต๊กเรียบร้อยแล้ว กลิ่นหอมของมันทำให้ฟ่งอดอมยิ้มไม่ได้ และพอแตะลิ้น รสชาตินุ่มละมุนก็ซึมซาบเข้าสู่ประสาทรับรสทันที รูฟัสเป็นคนที่ทำอาหารอร่อยมากจริงๆ ฟ่งกลืนลงไปคำหนึ่งก็อดไม่ได้ต้องเอ่ยปากถามคนนั่งตรงหน้า
   “อร่อยจัง คุณเคยเป็นพ่อครัวมาก่อนหรือ?”
   คนถูกถามกึ่งยิ้มกึ่งหัวเราะ ก่อนจะตอบ “ก็..ทำนองนั้นแหละครับ มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเคยต้องปลอมเป็นพ่อครัว”
   “อ้อ...” ฟ่งร้องเสียงยาว เขาย้อนนึกถึงอาชีพของรูฟัสทันที นั่นสินะ รูฟัสทำงานเป็นสายลับนี่ คงจะเคยผ่านอะไรมาเยอะแน่ๆ ฟ่งยังจำได้ถึงตอนที่รูฟัสคุยเรื่องเล่นหุ้นกับพี่สาวของเขาราวกับเป็นมืออาชีพ ร่างบางเงยหน้ามองคนตรงหน้าอีกครั้ง พลางคิดว่าถ้ารูฟัสอยากจะหลอกเขา เขาคงจะไม่รู้ตัวหรอก
   “ทำเป็นหลายอย่างจัง คุณใช้เวลาเรียนเรื่องพวกนี้นานรึเปล่า?” ฟ่งถาม แม้จะรู้สึกกลัวอยู่ลึกๆ แต่ก็พอแน่ใจว่ารูฟัสคงจะไม่ได้หลอกเขาอยู่แน่นอน ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ
   “ก็แล้วแต่บางอย่างน่ะครับ ส่วนใหญ่ก็สักสองสามเดือน อย่างภาษาไทยผมก็เรียนแค่สามเดือนเอง”
   “โห...” คนถามทำตาโต รูฟัสมองดูใบหน้าของฟ่งแล้วต้องยิ้มออกมาอีกรอบ มองยังไงฟ่งก็น่ารักไม่เปลี่ยน ยิ่งทำตาโตมองเขาแบบนี้ ยิ่งดูน่ารักจนอยากจับมากอดเอาไว้แน่นๆ
   “แค่สามเดือนคุณพูดได้ขนาดนี้ผมว่าเก่งมากเลยนะ แม่คุณเป็นคนไทยจริงหรือ?”
   “อืม..อันนี้ผมยืนยันแน่นอนเลยล่ะ” รูฟัสพูดอย่างแข็งขัน ฟ่งพยักหน้า จิ้มสเต๊กเข้าปากอีกรอบ รูฟัสมักจะออกไปจ่ายตลาดในตอนเช้า ในตอนที่เขายังหลับอยู่ ฟ่งกินไปพลางมองหน้ารูฟัสไปพลาง ในที่สุดก็พูดขึ้นอีก
   “รูฟัส เย็นนี้ไปซื้อของกันเถอะ ผมทำอาหารให้คุณกินบ้างดีกว่า”
   รูฟัสมองหน้าฟ่งอย่างไม่เชื่อหู “เอาจริงหรือครับ?”
   คนถูกถามพยักหน้า “ผมอยากทำอาหารไทยให้คุณกินบ้าง คุณทำเป็นแต่อาหารฝรั่งไม่ใช่หรือ?”
   รูฟัสพยักหน้ายอมรับ ก็เขาเคยเป็นพ่อครัวในฝรั่งเศส ไม่ใช่เมืองไทยนี่นา
----------------------------------
   เย็นวันนั้นฟ่งออกไปจ่ายตลาด รูฟัสได้เห็นเครื่องปรุงแปลกๆ หลายๆ อย่าง ฟ่งบอกเขาว่าจะทำแกงส้มให้กิน จะว่าไปตั้งแต่มาอยู่เมืองไทย รูฟัสยังไม่ได้ทดลองกินอาหารประจำชาติอย่างจริงๆ จังๆ เลย ที่สำคัญ นี่เป็นครั้งแรกที่ฟ่งนึกจะทำอาหารให้เขา
   แค่คิดก็ดีใจจนแทบจะหุบยิ้มไม่ลงแล้ว
   ฟ่งกลับมาถึงห้องและลงมือทำครัวด้วยโทรศัพท์ รูฟัสคิดว่าตัวเองเข้าใจไม่ผิด ฟ่งทำครัวด้วยโทรศัพท์จริงๆ ตอนออกไปจ่ายตลาดเขาก็ต้องถือโทรศัพท์ติดตัวเอาไว้ เพื่อโทรถามพี่สาวว่าจะต้องซื้ออะไรบ้าง และพอมาถึงห้องก็ถามวิธีการทำต่อ
   เอาเถอะ พี่สาวกับแม่ของฟ่งเป็นคนทำอาหารเก่ง ลูกชายก็คงได้เชื้อมาบ้างแหละ
   ฟ่งทำครัวด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ อย่างที่สุด เหมือนคนไม่เคยเข้าครัวเลย จะจับมีดทีนึงก็ดูหวาดเสียวน่ากลัวจนรูฟัสต้องออกปากช่วย แต่ฟ่งยืนกรานจะทำเองทั้งหมด ตอนนี้เขาเลยได้แต่นั่งดูฟ่งปอกหอมแดงไปน้ำตาไหลไป
   จะว่าไปแบบนี้ก็ดูเพลิดเพลินบวกตื่นเต้นดีเหมือนกัน
   หลังจากฝ่าวิกฤติเครื่องแกงมาได้อย่างทุลักทุเล ฟ่งยังต้องมาเผชิญกับวิกฤติปลาสดต่อ เขาเพิ่งพบว่าร้านไม่ได้ดึงเครื่องในออกให้ หลังจากหน้ามืดหน้ามึนอยู่กับปลาได้พักหนึ่ง ฟ่งก็ต้องยอมให้รูฟัสเข้ามาช่วย ไม่งั้นคืนนี้คงไม่ได้กินอะไรแน่ๆ พอมีรูฟัสเข้ามา อะไรๆ ก็เหมือนจะเร็วขึ้น ชายหนุ่มร่างสูงดูจะคล่องแคล่วไปเสียทุกอย่าง แค่บอกให้ทำอะไรทางนั้นก็จะทำเตรียมเอาไว้ให้อย่างรวดเร็ว จนฟ่งนึกสงสัยว่าใครกันแน่ที่ทำอาหารมื้อนี้
   กว่าแกงส้มจะเสร็จก็กินเวลาไปเกือบสองชั่วโมง ไม่รู้ว่ารูฟัสหิวแล้วหรือยัง แต่ตอนนี้ท้องของฟ่งร้องโครกคราก ร่ำๆ จะกินหม้อกินจานลงไปให้รู้แล้วรู้รอด ร่างผอมบางล้างมือ และระลึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองลืมหุงข้าว ขณะที่กำลังจะอ้าปากบอกรูฟัสว่าต้องลงไปซื้อข้าวเปล่า สายตาก็เหลือบไปเห็นหม้อหุงข้าวที่บ่งบอกสถานะว่าสุกแล้ว รูฟัสหันมายิ้มให้เขา
   “ผมหุงข้าวไว้ให้แล้วล่ะ”
   ฟ่งมีสีหน้าแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด เขาหันมองรูฟัส โดยไม่รอให้ถาม หนุ่มตาสองสีพูดต่อ
   “ผมเคยหุงนะครับ สมัยที่ไปเรียนภาษา”
   “อ้อ” ฟ่งส่งเสียงและพยักหน้ารับรู้ รูฟัสจัดแจงยกหม้อข้าวไปไว้ที่โต๊ะ ฟ่งเลยหันไปตักแกงส้มใส่ถ้วยและนำไปวางคู่กัน
   แม้ท่าทางจะทุลักทุเลจนไม่รู้ว่าจะเสร็จหรือจะกินได้หรือเปล่า แต่รสชาดของแกงส้มก็ดูจะไม่เลวนัก อย่างน้อยๆ มันก็ทำให้คนทำแปลกใจ
   “อืม... พอกินได้เหมือนกันนะเนี่ย” ฟ่งว่าหลังจากตักแกงมาใส่ในจานข้าว รูฟัสมองดูร่างผอมตรงหน้าแล้วยิ้มไม่หุบ
   ฟ่งอุตส่าห์ทำอาหารให้ แบบนี้เขาต้องกินให้หมด
   “มันเผ็ดนะ!” ฟ่งเอ่ยเตือน เมื่อเห็นคนนั่งตรงข้ามตักแกงส้มใส่จานช้อนใหญ่ แต่ดูเหมือนจะสายไปหน่อย รูฟัสตักแกงส้มเข้าปาก ความเผ็ดร้อนพุ่งปรี๊ดขึ้นแทบจะในทันที
   ไม่ใช่ว่าไม่เคยกินอาหารไทยมาก่อน แต่อาหารเผ็ดแบบนี้รูฟัสเพิ่งเคยลองเป็นครั้งแรก
   ก่อนหน้านี้เขารู้ว่าอาหารที่ใส่พริกเยอะๆ ในประเทศไทยเป็นสิ่งที่ชาวต่างชาติแบบเขาควรหลีกเลี่ยง และเขาก็เห็นอยู่ว่าฟ่งใส่พริกลงไปในเครื่องแกงหลายดอก แต่ไม่คาดคิดว่ามันจะเผ็ดขนาดนี้
   “รูฟัส ถ้าเผ็ดมากไม่ต้องกินก็ได้นะ” ฟ่งพูดอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย อาการเผ็ดทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มกลายเป็นสีแดงจัด กระนั้นก็ยังทนฝืนกินอาหารจานนั้นเข้าไปต่อ เพราะฟ่งอุตส่าห์ลุกขึ้นมาทำให้ ถึงจะกินยากกินเย็นยังไงเขาก็ต้องกินให้หมด
   ฟ่งมองดูรูฟัสอย่างเป็นห่วง ระลึกขึ้นมาได้ทันทีว่าไม่ควรทำอาหารรสจัดแบบนี้ให้ทางนั้นทานเลย ร่างบางลุกขึ้นจากโต๊ะ หยิบหม้อใบเล็กๆ ขึ้นมาต้มน้ำ
   “พอแล้วล่ะ” ฟ่งพูดในที่สุด เมื่อเห็นว่ารูฟัสดูจะใช้ความอดทนมากเกินไปแล้วในการกินอาหารของเขา รูฟัสกินไปได้ครึ่งจาน ฟ่งก็ดึงจานออก แล้วหยิบจานมาตักข้าวให้ใหม่
   “เดี๋ยวผมทำไข่เจียวให้คุณกินดีกว่า” ร่างบางว่า และวางแก้วน้ำแก้วหนึ่งลงบนโต๊ะ
   “กินน้ำอุ่นสักหน่อยนะ มันช่วยแก้เผ็ดได้” ชายหนุ่มสวมแว่นว่า ขณะผละกลับไปที่ครัว รูฟัสมองดูแก้วน้ำตรงหน้า ด้วยอารามความเผ็ด เขารีบยกขึ้นมาดื่มทันที
   พอน้ำกระทบเข้ากับโพรงปาก ดีกรีความเผ็ดเหมือนจะยิ่งสูงขึ้น รูฟัสเกือบจะสำลักน้ำ เกิดมายังไม่เคยกินอะไรที่ทรมานขนาดนี้มาก่อน ไอ้ที่ว่าเผ็ดจนควันออกหูอาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้
   ท้ายที่สุดรูฟัสก็ลงเอยกับข้าวไข่เจียว โชคยังดีที่ความเผ็ดดังกล่าวไม่ลามไปปลุกโรคเก่าของเขาขึ้นมาด้วย
   “ขอโทษนะ ผมลืมไปเลยว่าคุณกินอาหารเผ็ดๆ ไม่ได้” ฟ่งพูดด้วยสีหน้าสำนึกผิด ขณะมองรูฟัสที่ใบหน้าเริ่มคืนมาสู่สภาพปกติบ้างแล้ว คนนั่งตรงข้ามคลี่ยิ้มให้
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่คุณทำให้ผม ผมก็รู้สึกดีแล้วล่ะ”
   “วันหลังผมจะทำอะไรที่รสชาติมันไม่เผ็ดแบบนี้แล้วกัน” ฟ่งพูดต่อ รูฟัสยิ้มกว้าง แม้ก่อนหน้านี้ความเผ็ดจะเป็นเรื่องทรมานสำหรับเขา แต่ตอนนี้รูฟัสรู้สึกว่าในความเผ็ดก็มีความสุขอยู่เหมือนกัน สุขที่ได้เห็นอีกฝ่ายดูเป็นห่วงเป็นใยเขานี่แหละ ระหว่างยกจานไปล้าง ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหอมแก้มคนรัก
   ฟ่งหน้าแดงด้วยความเขินอายเช่นเคย ทั้งคู่ช่วยกันเก็บกวาดครัว และนั่งดูโทรทัศน์ต่ออีกพักหนึ่งก่อนจะลุกไปอาบน้ำ
   รูฟัสคิดว่าหลังจากทานอาหาร จนถึงตอนเข้านอน รวมเวลาก็เกินสามชั่วโมงแล้ว แต่ทำไมเขายังรู้สึกร้อนๆ เหมือนมีไฟมาสุมอยู่ในร่างกาย ร่างสูงใหญ่พลิกตัวไปมา จนคนนอนข้างต้องเอ่ยทัก
   “นอนไม่หลับหรือ?”
   “อืม...ผมร้อนน่ะ”
   ฟ่งจัดแจงลุกขึ้นจากเตียงนอนไปปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้ต่ำลง ปกติเขาไม่ใช่คนที่ชอบอากาศเย็นสักเท่าไร อุณหภูมิแค่ยี่สิบห้าก็ถือว่าหนาวแล้ว แต่รูฟัสเป็นคนที่เกิดเมืองหนาว แถมยังกินอะไรเผ็ดๆ เข้าไปอีก คงไม่แปลกอะไรที่จะรู้สึกร้อน
   ร่างผอมบางเดินกลับมาที่เตียงและเตรียมตัวจะซุกร่างเข้าไปในผ้าห่ม แต่ยังไม่ทันจะห่มผ้าให้ดี วงแขนแกร่งก็ขยับมารวบร่างของเขาเอาไว้ ก่อนจะซุกใบหน้าไปตามซอกคอของเขาอย่างไม่เกรงใจ
   ฟ่งขยับตัวด้วยความตกใจเช่นเคย พอเงยหน้าขึ้นไปก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังหน้าแดงจัด นัยน์ตาสองสีฉ่ำวาวเป็นประกาย เจอแบบนี้ร่างผอมบางก็อดจะรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาบ้างไม่ได้
   รูฟัสแน่ใจว่าตัวเองกินจนอิ่มแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกหิว แต่ไม่ใช่หิวในสิ่งที่เรียกว่าอาหาร เรียกว่ากระหายคนนอนข้างน่าจะถูกกว่า จริงอยู่ว่าเขาเพิ่งมีอะไรกับฟ่งไปเมื่อคืน และทางนั้นก็ดูจะไม่ได้ชอบมีอะไรติดๆ กัน ส่วนตัวเขาเองแม้จะมีความต้องการอยู่เกือบตลอด แต่ก็ไม่ถึงกับระงับไม่ได้ กระนั้นในคืนนี้กลับดูต่างออกไป เหมือนอาหารที่ทานลงไปในตอนหัวค่ำปลุกเร้าร่างกายของเขาให้ร้อนรุ่ม ต่อให้อากาศเย็นสักเท่าไหร่ก็ใช่ว่าจะสลายความร้อนรุ่มแบบนี้ไปได้ง่ายๆ
   รูฟัสถอดเสื้อผ้าของร่างผอมบางออก เสียงครางเบาๆ ยิ่งทำให้จิตใจวาบหวาม เขาก้มลงดูดดึงยอดอกสีอ่อน นี่คงเป็นอย่างเดียวที่จะลดระดับความร้อนรุ่มที่สุมร่างกายเขาอยู่ได้
   ไม่รู้ว่าฟ่งตั้งใจรึเปล่า แต่รูฟัสรู้สึกดีที่ได้ทานทั้งอาหารที่คนนอนข้างอุตส่าห์ทำให้ และยังได้ทานคนทำต่ออีกหลังจากนั้น
------------------------------------------
   ฟ่งสาบานกับตัวเองว่าเขาจะไม่ทำอะไรเผ็ดๆ ให้รูฟัสกินอีก คืนก่อนหน้าว่าหนักแล้ว แต่เมื่อคืนบทรักของรูฟัสยิ่งหนักหน่วงกว่า กว่าที่ทางนั้นจะหมดแรงก็แทบจะรุ่งสาง ไม่ต้องพูดถึงตัวเขาที่เกือบจะสลบไปในอ้อมแขนร้อนผ่าวหลายต่อหลายหน
   ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาในตอนบ่ายแก่ๆ และพบกับดวงหน้าหล่อเหลาที่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเช่นเคย อาหารถูกเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว รูฟัสพยุงเขาที่แทบจะไม่มีแรงเดินไปเข้าห้องน้ำ
   หลังจากอาบน้ำเสร็จ ฟ่งมานั่งมองอาหารในจานตรงหน้า วันนี้รูฟัสทำบางสิ่งบางอย่างที่เรียกกว่ากราแตง กลิ่นของมันหอมหวนยั่วน้ำลายเหมือนทุกวัน ชายหนุ่มมองดูอาหารในจานที่ถูกจัดไว้อย่างสวยงามพักใหญ่ ก่อนจะเงยหน้ามองคนนั่งตรงข้ามที่ยังคงยิ้มละไม
   หน้าที่ทำอาหารยกให้เป็นของรูฟัสอย่างเดิมนั่นแหละดีแล้ว
--------------------------------------------------------

ออฟไลน์ Mookkun

  • magKapleVE
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 637
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
    • Consensual free relationships
เค้าสอบเสดแล้วววว!!!
กลับมาอ่านละเน้อออว์

รูฟัส...หื่นอ่ะ! 555.
คิดถึงคนเขียนด้วย *กระโดดกอด*

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
แกงส้มมีฤทธิ์อย่างนั้นด้วยหรอ :laugh: เพิ่งรู้อ้ะ

ออฟไลน์ @BUA@

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +427/-8
นั่งนึกส่วนผสมแกงส้ม มันมีอะไรที่ทำให้คึกได้บ้างหว่า
รึคุณสายลับเค้าหื่นอยู่แล้ว พอเจออาหารเผ็ดๆ ร้อนๆ นิดหน่อย
เลยกลายเป็นซุปเปอร์หื่นขึ้นมา  :laugh:

area71

  • บุคคลทั่วไป
มันยาวมากๆ จะเริ่มอ่านแล้วนะคราฟ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
นั่งนึกส่วนผสมแกงส้ม มันมีอะไรที่ทำให้คึกได้บ้างหว่า
รึคุณสายลับเค้าหื่นอยู่แล้ว พอเจออาหารเผ็ดๆ ร้อนๆ นิดหน่อย
เลยกลายเป็นซุปเปอร์หื่นขึ้นมา  :laugh:

555+ รูฟัสเป็นพระเอกที่หื่น(มาก)อยู่แล้วค่ะ ไม่มีเหตุก็หาได้ตลอดเวลาน่ะ (จริงๆ เลยนะ พ่อคู๊ณ)

ออฟไลน์ jesus_fin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ถูกต้องที่สุดค่า
อาหารให้รูฟัสทำ
เพราะไม่งั้นหนูฟ่งน่วมแน่

5555++
 o13

ออฟไลน์ love AJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ปิดจองแล้วนะคะ

แจ้งเลื่อนส่ง เป็นวันที่5 มี.ค. นะคะ

ส่วนเรื่องโอน เปิดให้โอนเลทได้ถึงวันที่26ค่ะ ขออภัยในความล่าช้าด้วยนะคะTTATT

----------------------------------

ขออัพเรื่องเปิดจองหนังสือชุดนี้ก่อนนะคะ เพราะว่าจะออกเล่มสุดท้ายแล้ว

**เปิดจอง**

 My neighbor is a spy. เล่ม1-8+0(พิเศษ) พร้อมกล่องBox setสำหรับสะสม





ฺBox set



ราคาชุดละ 2000บ. + ค่าจัดส่ง(แบบพัสดุ) 50บ. ใส่กล่อง+เพิ่มอีก20บ. หากต้องการให้ส่งเป็นEMS.ติดต่อผ่านทางอีเมลค่ะ

รายละเอียดราคาต่อเล่มดังนี้

1-7 ราคาเล่มละ220บ. เล่ม8 ราคาเล่มละ240บ. เล่ม0(พิเศษ) ราคาเล่มละ220บ.

และเปิดรีปริ๊น

Yes!Master. ซึ่งเป็นเรื่องราวต่างหากของเว่ยจินหยิน (ซึ่งเคยออกไปก่อนหน้าี้นี้แล้ว)



ราคาเล่มละ220บ.

รายละเอียดการสั่งจองและโอนเงิน



ตั้งแต่วันที่3 มกราคม - 19 กุมภาพันธ์ 2555 (หนังสือจะจัดส่งหลังปิดจองประมาณ1สัปดาห์ค่ะ<<ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงจะแจ้งให้ทราบ)

ตรวจสอบและเช็กรายชื่อผู้จองได้ที่

http://juon.exteen.com/my-neighbor-is-spy-1-54
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-02-2012 14:08:52 โดย juon »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บทที่79 Look at!
   รูฟัสเป็นผู้ชายที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง แน่นอนว่าเขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี รูปร่างก็เรียกได้ว่าเพอร์เฟกซ์ ไปที่ไหนต่อให้แต่งตัวธรรมดายังไงก็ยังต้องมีคนหันมองอย่างชื่นชม รูฟัสรู้ข้อดีของตัวเองทุกอย่าง และใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ทุกเมื่อ เขาเคยชินกับการถูกสายตาปรารถนาจ้องมอง และรู้ดีกว่าจะใช้ประโยชน์จากสายตาพวกนั้นยังไง แต่ตอนนี้ความมั่นใจเหล่านั้นกลับถูกสั่นคลอนเนื่องเพราะนัยน์ตาสีน้ำตาลหลังแว่นของคนร่วมห้อง
   ไม่ใช่ว่าเพราะฟ่งมองเขาถึงเสียความมั่นใจ ปัญหาคือฟ่งไม่ยอมมองต่างหาก!
   รูฟัสเพิ่งมารู้สึกตัว ตั้งแต่พบกันมาฟ่งไม่เคยมองเขาด้วยสายตาแสดงความปรารถนาอย่างที่คนอื่นๆ ทำเลย ส่วนใหญ่ออกไปในทางหลบสายตาด้วยซ้ำ หนักเข้าก็เบือนหน้าหนี ทั้งๆ ที่รูฟัสแน่ใจว่ารูปร่างหน้าตาแบบเขา เป็นใครใครก็ต้องอยากมองแน่ๆ แต่ไหงฟ่งถึงเมินเขาเสียได้
   “ไปว่ายน้ำกันไหมครับ?” รูฟัสเอ่ยปากชวนในเช้าวันหนึ่ง เพราะไม่ได้มีอะไรกันในคืนที่ผ่านมา ฟ่งจึงตื่นเช้ากว่าปกติ หนุ่มสวมแว่นหันมามองเขาอย่างงงๆ
   ความจริงรูฟัสไปออกกำลังกายสม่ำเสมออยู่แล้ว เขาออกกำลังกายจนเคยชิน แม้จะเลิกอาชีพเดิมไปแล้วแต่กิจวัตรประจำวันใช่จะเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ ต่างเสียแต่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยชวนฟ่งลงไปด้วยเลย นั่นเพราะอีกฝ่ายมักจะยังไม่ตื่นนอน และฟ่งก็ไม่เคยแสดงทีท่าว่าอยากจะตามลงไป
   “ไปสิ” ฟ่งตอบตกลงหลังจากนิ่งคิดไปพักหนึ่ง ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็น หลังจากก้มๆ เงยๆ อยู่พักหนึ่ง ทางนั้นหยิบถุงที่ใส่กางเกงว่ายน้ำออกมา
   “ผมไม่ค่อยได้ใช้ เลยเก็บไว้ในตู้เย็น กลัวยางมันจะเสียน่ะ” ร่างผอมอธิบายหลังจากเห็นสีหน้าแสดงความแปลกใจอย่างเห็นได้ชัดของคนร่วมห้อง รูฟัสพยักหน้า หันไปเตรียมของตัวเองบ้าง
------------------------------------
   ที่รูฟัสชวนฟ่งลงมาว่ายน้ำ เพราะต้องการให้คนร่วมห้องได้มองรูปร่างของเขาชัดๆ จริงอยู่ที่รูฟัสมักจะเดินแก้ผ้าโทงๆ หลังอาบน้ำเสร็จ แต่ฟ่งก็มักจะไล่ให้เขาไปใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยอยู่เสมอ และเหมือนไม่เคยจะชายตามองเลยสักครั้ง หรือว่าฟ่งอาย?
   รูฟัสคิดว่าสระว่ายน้ำนี่แหละเหมาะสมที่จะเป็นสถานที่ที่เขาจะได้อวดร่างกายที่น่าภูมิใจให้ฟ่งได้เห็น ไม่ว่าอย่างไรฟ่งจะต้องหันมามองบ้างแน่ๆ
   ชายหนุ่มก้าวออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ร่างกายของเขาไม่ว่าจะดูมุมไหนก็สมบูรณ์เพียบพร้อม ยิ่งอยู่ในชุดโชว์เรือนร่างแบบนี้ ถ้าฟ่งไม่ยอมมองเลยก็แปลกล่ะ
   รูฟัสยืนรอฟ่งหน้าห้องเปลี่ยนเสื้ออย่างใจจดใจจ่อ ด้วยอยากเห็นสีหน้าของคนร่วมห้องยามได้ยลเรือนร่างของเขาเต็มตา ฟ่งออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อในที่สุด แต่แทนที่จะเป็นฝ่ายมอง ดันกลับเป็นฝ่ายถูกมองแทน
   รูฟัสจ้องฟ่งเขม็ง
   เขาเห็นฟ่งตอนนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวออกจากห้องน้ำบ่อย เปลือยเปล่าไปทั้งร่างเลยก็มี แต่ฟ่งในชุดว่ายน้ำเป็นอะไรที่เขาเคยเห็นเป็นครั้งแรก กางเกงว่ายน้ำของฟ่งก็ธรรมดา ไม่ถึงขั้นโชว์สัดส่วนชวนสยิว ร่างกายผอมบาง ไม่ได้มีกล้ามเนื้ออะไรไว้ให้อวด แต่นี่คือสิ่งที่ทำให้เขาคลั่งแทบทุกคืน รอยจ้ำจางๆ ยังมีให้เห็นอยู่ตามแผงอกและซอกคอ รูฟัสพลันหวนนึกถึงยามที่ฟ่งอ้าแขนกอดเขา บิดร่างเปลือยเปล่าอยู่ในอ้อมอก ส่งเสียงครางหวานหูให้ได้ยิน
   “รูฟัส?”
   เสียงเรียกของฟ่งทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งจากภวังค์ หนุ่มสวมแว่นเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างงุนงง ฟ่งยังคงน่ารักเช่นเคย และดูน่ารักเข้าไปอีกเมื่อสวมแค่กางเกงว่ายน้ำตัวเดียวแบบนี้ ปัญหาคือไอ้ส่วนที่อยู่ในกางเกงของเขาเองมันดันตื่นขึ้นมาจนได้น่ะสิ โชคดีที่ฟ่งดูจะยังไม่ทันสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ รูฟัสจึงรีบเดินเข้าห้องน้ำทันที
   ไม่เคยนึกฝันว่าจะมีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง
   เดิมทีรูฟัสเป็นคนเก็บอารมณ์ได้ดีเสมอมา เรื่องความต้องการก็ใช่ว่าจะมากกว่าคนปกติ เขาก็ต้องการอย่างที่ผู้ชายปกติต้องการนั่นแหละ ไม่ได้ถึงขั้นหื่นหน้ามืดอยู่ตลอดเวลาเสียหน่อย และยังไม่เคยมีใครคนไหนทำให้เขาเป็นแบบนี้มาก่อน
   ฟ่งดูจะทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไปมากจริงๆ
   ระหว่างที่รูฟัสยังนึกไม่ตกว่าทำยังไงถึงจะให้ไอ้ส่วนที่กำลังตื่นเต้นสงบลง เสียงของฟ่งก็ดังขึ้น
   “รูฟัส คุณเป็นอะไรรึเปล่า?”
   น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยทำให้รูฟัสรู้สึกชื้นใจ แต่ชายหนุ่มกลับนึกคำตอบไม่ออก จะตอบว่าไม่เป็นไรก็ใช่ที่ ครั้นจะบอกว่าเป็นอะไรก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าบอกนัก เขานิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดตอบไป
   “ผมเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่งครับ คุณไปว่ายน้ำก่อนก็ได้”
   “อ้อ...อืม” ฟ่งรับคำ และเงียบไป คงจะออกไปแล้ว ถึงตอนนี้รูฟัสค่อยหายใจได้คล่องคอหน่อย ชายหนุ่มใช้เวลาพักใหญ่ ถึงจะพอทำให้ตรงนั้นสงบลง ตอนแรกเขานึกไปถึงขั้นช่วยตัวเองแก้ขัดสักครั้ง แต่ก็นึกได้ว่ามันคงเป็นเรื่องน่าเศร้าพิลึกในเมื่อคนที่อยากกอดอยู่ใกล้มือแท้ๆ ดันต้องมาช่วยตัวเองอีก ในที่สุดชายหนุ่มจึงกัดฟัน ระงับยั้งความรู้สึกจนสงบลงได้
   รูฟัสเดินออกมายังสระว่ายน้ำ โดยยังไม่ลืมความตั้งใจเดิม ฟ่งเกาะอยู่ริมขอบสระ เพราะไม่ได้สวมแว่น ร่างบางหรี่ตามองอยู่พักหนึ่ง พอเข้าใจว่าคงไม่ผิดคน จึงยกมือโบกทักทาย รูฟัสแทบจะกระโดดพุ่งเข้าไปหา สำหรับเขาไม่ว่าฟ่งจะทำอะไรก็ดูน่ารักไปหมด ท่าทางที่ฟ่งโบกมือเรียกเขาก็ดูน่าวิ่งเข้าใส่ รูฟัสแข็งใจเดินอย่างมาดมั่นไปริมขอบสระ เขาอยากจะกระโดดลงไปแล้วคว้าตัวฟ่งมากอดจูบเสียให้หนำ ติดว่านี่เป็นสระว่ายน้ำที่ค่อนข้างจะสาธารณะ และตอนนี้ก็ไม่ได้มีแต่พวกเขา ถึงรูฟัสจะหน้ามืด หื่น หรืออะไรก็สุดจะกล่าว แต่ยังรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะทำอะไร ดังนั้นเขาจึงหันไปยิ้มให้กับฟ่งทีหนึ่ง ก่อนจะกระโดดลงไปในสระ
   เขาตั้งใจจะให้ฟ่งได้เห็นท่วงท่าและเรือนร่างในยามว่ายน้ำให้เต็มตาสักครั้ง ชายหนุ่มวาดวงแขนอวดลีลาของตนอย่างเต็มที่ จนกลับมาแตะขอบสระอีกครั้งจึงเงยหน้าขึ้นมอง ด้วยหวังจะเห็นใบหน้าชื่นชมของอีกฝ่าย แต่ฟ่งไม่ได้อยู่ตรงขอบสระเสียแล้ว
   รูฟัสเหลียวหลังกลับมามอง จึงเห็นใครคนหนึ่งว่ายน้ำเข้ามา
   “คุณว่ายน้ำเก่งจัง” ฟ่งพูดขึ้นหลังจากหอบหายใจอยู่พักหนึ่ง รูฟัสนึกไม่ถึงว่าเจ้าตัวจะว่ายน้ำตามเขาไปด้วย ฟ่งตอนตัวเปียกมีหยดน้ำเกาะยิ่งดูน่ารักเซ็กซี่ท่ามกลางแสดงแดดอ่อนๆ ในตอนสาย หนุ่มตาสองสีมองแล้วนึกไม่ออกว่าควรจะรู้สึกแบบไหนดี ฟ่งชมเขาเรื่องว่ายน้ำ ออกจะดูไม่ตรงจุดประสงค์ไปสักหน่อย แต่อย่างน้อยฟ่งก็ชมเขาล่ะ
   รูฟัสคลี่ยิ้มออกมาในที่สุด หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ว่ายน้ำแข่งกัน ฟ่งมีทักษะว่ายน้ำไม่เลวเลยทีเดียว จนรูฟัสนึกอยากจะขึ้นไปนั่งมองอยู่บนขอบสระ คงเพลิดเพลินเจริญใจดีไม่น้อย แต่ว่านี่มันผิดจุดประสงค์นี่นา
   เมื่อแสงแดดแผดกล้าขึ้นเรื่อยๆ ฟ่งจึงชวนเขาขึ้นจากสระ ร่างผอมบางเหนื่อยจนตัวแดง ขณะที่อีกฝ่ายยังรู้สึกไม่เต็มอิ่ม ปกติรูฟัสออกกำลังกายนานกว่านี้ จะว่ายน้ำทีก็ต้องสองชั่วโมงขึ้นไป แถมเขายังมองขาขาวๆ ของฟ่งยามแหวกว่ายอยู่ในน้ำไม่เต็มอิ่ม พอต้องขึ้นจากน้ำเลยเกิดอาการอารมณ์ค้าง
   ฟ่งไม่ได้ออกกำลังกายมานานมากแล้ว เขาเป็นพวกขี้เกียจออกแรงมาแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นการว่ายน้ำในวันนี้จึงเรียกได้ว่าหักโหมอย่างสาหัส ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังรู้สึกสนุกสนานจากการได้แข่งว่ายน้ำแม้ว่าจะแพ้ตลอดก็ตาม
   ฟ่งเช็ดตัวและหยิบแว่นขึ้นมาสวม ก่อนหันไปมองรูฟัสกำลังสวมเสื้อคลุมอาบน้ำ หนุ่มสวมแว่นเอียงคอมองคนร่วมห้องอย่างพินิจพิเคราะห์
   “หุ่นคุณดีจัง” ฟ่งพูด รูฟัสชะงักมือกึกทันที เขาเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะยิ้มกว้าง
   “จริงหรือครับ?” หนุ่มตาสองสีถาม รู้สึกภูมิอกภูมิใจว่าในที่สุดฟ่งก็เห็นความดีงามของเขาเสียที หนุ่มสวมแว่นพยักหน้า พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
   “ผมฟิตหุ่นอย่างคุณบ้างดีกว่า สาวๆ เห็นจะได้หันมองบ้าง”
   “?!” รูฟัสยิ้มค้าง นัยน์ตาสองสีมองสวนกลับไปอย่างไม่เชื่อ “คุณว่าอะไรนะครับ?”
   ฟ่งยังคงไม่รู้ตัว หัวเราะและพูดต่อ “ผมว่า ผมหันมาฟิตหุ่นอย่างคุณบ้างดีกว่า เผื่อจะมีสาวๆ หันมองบ้าง ใครๆ ก็มองแต่คุณนี่”
    “...........................”
   “มีอะไรหรือ?” ฟ่งถามเมื่อเห็นว่ารูฟัสเงียบไป ชายหนุ่มรีบตอบ “เปล่าหรอกครับ เรากลับห้องกันเถอะ”
   ฟ่งมองหน้ารูฟัสอย่างงงๆ แต่ก็ยอมเดินตามกลับห้องไปแต่โดยดี
-------------------------------------------------
   กลับมาถึงห้อง ยังไม่ทันที่ฟ่งจะเปิดฝักบัวล้างตัว รูฟัสก็เปิดประตูห้องน้ำเข้ามา พร้อมกับถอดเสื้อคลุมอาบน้ำออก
   “ผมอาบน้ำด้วยนะ”
   เจอแบบนี้ฟ่งมีแต่จะต้องพยักหน้า เพราะนึกไม่ออกว่าจะห้ามรูฟัสไม่ให้อาบด้วยทำไม แม้จะรู้สึกหวาดเสียวอยู่ว่าจะไม่จบแค่อาบน้ำเฉยๆ ก็เถอะ
   รูฟัสก้าวเท้าเข้ามาในอ่างอาบน้ำ เหมือนจงใจ ร่างสูงขยับเข้าหาฝักบัว โดยโอบตัวคนอาบก่อนเข้าไปด้วย ฟ่งจึงรีบดึงฝักบัวออก ยื่นให้ทันที
   “แล้วผมจะถูสบู่ยังไงล่ะครับ?” หนุ่มตาสองสีเอ่ยเมื่อเห็นอีกฝ่ายยื่นฝักบัวมาให้ ฟ่งหัวเราะแหะๆ ยกฝักบัวไปเสียบไว้ที่เดิม พอหันกลับมาอีกทีก็เกือบจะชนเข้ากับหน้าอกของอีกฝ่าย ฟ่งไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมรูฟัสถึงต้องยืนเบียดขนาดนี้ เพราะอยู่ใกล้กันมาก สายตาของเขาจึงถูกบังคับให้มองแผงอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
   รูฟัสร่ำๆ จะจับฟ่งปล้ำให้รู้แล้วรู้รอด ที่สระว่ายน้ำ แทนที่ฟ่งจะเป็นฝ่ายมองเขา เขาดันกลายเป็นฝ่ายมองไปเสียได้ แถมยังมองอย่างเอาเป็นเอาตายเสียด้วย พอขึ้นมาฟ่งก็เหมือนจะมองเห็นความดีความงามของเขา แต่ก็เปล่า เจ้าตัวกลับมองไปในมุมอื่น รูฟัสไม่รู้ว่าฟ่งตั้งใจจะแกล้งเขาหรือพูดมาจากใจจริงกันแน่ แต่ไม่ว่าจะข้อไหนก็กระทบกระเทือนจิตใจเขาทั้งนั้น รูฟัสอยากให้ฟ่งมองเขา ไม่ใช่ให้คนอื่นหันมามองฟ่ง เมื่อแผนว่ายน้ำใช้ไม่ได้ผล ก็คงต้องบังคับให้ดูกันในห้องน้ำนี้ล่ะ
   ตั้งแต่รู้จักกันมา ฟ่งไม่เคยมองร่างกายของรูฟัสชัดๆ เลย แหงล่ะ ก็เขาเป็นผู้ชายปกติไม่ใช่ผู้หญิงหรือเกย์สักหน่อย จะบ้ามานั่งมองร่างกายผู้ชายด้วยกันทำไม แค่มองเห็นป้ายโฆษณาที่เป็นผู้ชายเปลือย ฟ่งก็แทบสำลักแล้ว อะไรมันจะกล้ามโตข่มขวัญกันขนาดนั้น ยิ่งพอมาเทียบกับหุ่นตัวเองแล้วยิ่งแสลงใจ นี่เองสินะที่สาวๆ ไม่ค่อยนิยมหันมามองแล้วยิ้มให้เขาสักเท่าไร แต่ก็ช่างสิ ก็มันเป็นตัวตนของเขานี่นา
   กระนั้น เมื่อต้องมาเดินหรือทำอะไรคู่กับรูฟัส ไอ้เรื่องนี้ก็เหมือนกลายเป็นหนามยอกอก ไอ้ข้อด้อยที่เคยพยายามมองผ่านของตัวเองก็ดูจะกลายเป็นข้อเปรียบเทียบขึ้นมาทันที ครั้นจะไปโทษรูฟัสก็ใช่ที่ ต้องโทษตัวเขาเองนี่แหละที่ขี้เกียจ
   ฟ่งมองดูกล้ามเนื้อบนร่างกายรูฟัสแล้วนึกอยากมีขึ้นมาบ้าง ไหนๆ รูฟัสก็อยู่กับเขาแล้ว แบบนี้ก็คงเหมือนมีเทรนเนอร์ส่วนตัว ร่างผอมบางกวาดสายตามองตั้งแต่หน้าอก ต่ำลงไปถึงหน้าท้อง และรีบเงยขึ้นมามองใบหน้าของเจ้าของ ก่อนจะเลยพ้นไปมองเห็นไอ้จุดที่ไม่อยากมอง หารู้ไม่ว่าสายตาที่ไม่คิดอะไรเลยนี้กลับทำให้คนถูกมองวูบวาบ
   รูฟัสพอรู้ว่าการมองก็กระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ ปกติเขามักเป็นฝ่ายมองเสมอ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกมองแล้วเกิดอารมณ์ ชายหนุ่มนึกกระหยิ่มอยู่ในใจ ในที่สุดฟ่งก็หลงเสน่ของเขาแล้ว
   “อืม....รูฟัส พรุ่งนี้พาผมไปว่ายน้ำอีกสิ ผมอยากมีกล้ามเหมือนคุณบ้าง” ฟ่งพูดออกมาหลังจากพิศมองร่างกายของคนร่วมห้อง ถ้าเขามีร่างกายกำยำได้สักครึ่งของรูฟัส คงจะพอสู้หน้ายามเดินคู่กันได้บ้างแหละ
   “!!” รูฟัสเกือบจะแหกปากร้องออกมา ไอ้ความวูบวาบเมื่อครู่ปลิวไปเหมือนถูกพายุพัด ชายหนุ่มยกมือขึ้นเกาศีรษะ
   “โธ่ ผมหวังจะได้ยินคุณชมผมบ้างแท้ๆ” หนุ่มตาสองสีถึงกับต้องสารภาพออกมา ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องอกแตกตายแน่ๆ ฟ่งดูจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามจะสื่อเลย หนุ่มสวมแว่นทำหน้างุนงง
   “ผมก็ชมคุณอยู่นี่ไง”
   “...........................” รูฟัสพูดต่อไม่ออก จะร้องไห้ก็ไม่ได้ ไม่รู้จะทำยังไงเลยได้แต่พยักหน้า “ตกลงครับ ผมจะช่วยคุณออกกำลังกาย”
   ฟ่งยังไม่ทันเอะใจในความผิดปกติของรูปประโยค มือใหญ่ของรูฟัสก็ตะปบเข้ามา รั้งตัวเขาเข้าไปแนบชิด ร่างบางร้องเหวอ เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างลืมตัว แล้วก็ถูกริมฝีปากหน้าบดลงมาจนต้องเบือนหน้า รูฟัสขยับมืออีกข้างขึ้นช้อนท้ายทอยเอาไว้ บังคับบดเบียดริมฝีปากแน่นขึ้นอีก ฟ่งสะดุ้งอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อเรียวลิ้นถูกเกี่ยวเข้าไปขบกัด การจู่โจมอย่างคาดไม่ถึงนี้ นอกจากจะทำให้ตกใจแล้ว ยังทำให้ความไม่พอใจพุ่งสูงขึ้นมาทันที พอริมฝีปากเป็นอิสระ ฟ่งจึงร้องโวยวายขึ้น
   “ทำอะไรของคุณ!!”
   “ก็ช่วยคุณออกกำลังกายไงครับ” รูฟัสตอบด้วยสีหน้าพาซื่อ ฟ่งถลึงตาใส่ทันที “นี่มันออกกำลังกายตรงไหน?!”
   “ตรง...” รูฟัสพูดไม่จบ เขาก้มลงไซ้ไปตามซอกคอ ฟ่งผงะหน้าหนี จะอ้าปากด่าอีก สายน้ำจากฝักบัวก็สาดเข้าหน้าพอดี ทำเอาชายหนุ่มเกือบสำลักน้ำ ฟ่งคว้ามือเปะปะพยายามจะปิดฝักบัว ขณะที่อีกฝ่ายยังลวนลามไม่หยุด ทั้งปากทั้งมือขยันลูบขยันจูบ กว่าจะปิดฝักบัวได้ รูฟัสก็ขย้ำจูบเขาจนเป็นรอยแดงไปทั่วตัวแล้ว ฟ่งอ้าปากหอบ หันมาพยายามผลักร่างสูงออกอีกรอบ
   “นี่มันออกกำลังกายตรงไหนเนี่ย!?” ร่างผอมบางโวยวาย และสะดุ้งเฮือกเมื่อมือแกร่งขย้ำขยี้ตะโพกเขาราวกับจะจับปั้น ปลายลิ้นของรูฟัสล้วงเข้ามาในโพรงปากอีกรอบ ตวัดกวาดสำรวจและเริ่มบุกรุกอย่างแสดงเจตนา
   ฟ่งดิ้นขลุกขลัก รูฟัสขยับมือทั้งลูบทั้งขยำไปทั่วเรือนร่างของเขา สองคนยืนอยู่ในอ่างน้ำ ในสภาพเปียกแฉะ แม้ฝักบัวจะถูกปิดไปแล้วก็ตาม ผิวเนื้อที่เบียดเสียดกันทำให้ความร้อนเริ่มแผ่ออก ฟ่งที่เพิ่งเสร็จจากออกกำลังกายมีความร้อนอยู่ในตัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอเจอการรุกเร้าแบบนี้ เลือดฝาดเลยยิ่งถูกขับออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ไม่นานร่างก็กลายเป็นสีชมพูระเรื่อ
   รูฟัสเม้มริมฝีปาก ฝากรอยรักไว้บนซอกคอในจุดเดิมซ้ำๆ จนเป็นปื้นแดงจัด จึงยอมเปลี่ยนที่ ไม่มีเสียงโวยวายจากร่างผอมบางอีกต่อไป มีเพียงเสียงครางต่ำๆ ในลำคอ ที่ดูจะปลุกเร้าอารมณ์วาบหวามของร่างสูงใหญ่ให้โหมกระพือมากขึ้น
   เรียวลิ้นร้อนลากผ่านซอกคอต่ำลงมาจนถึงแผงอก ดูดดึงยอดถันอุ่นอ่อนกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ร่างกายของฟ่งแดงจัดขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างการเล้าโลม รูฟัสลูบฝ่ามือหนักๆ ลงบนแผ่นหลังผอมบางหลายรอบ บดเบียดส่วนกลางของลำตัวเข้ากับส่วนอ่อนไหวที่แข็งขึงของอีกฝ่าย หลังประโลมจูบหอมหวาน มือแกร่งก็เลื่อนลงไปกำรอบอวัยวะที่กำลังแข็งตัวซึ่งเบียดชิดกันอยู่ รวบมันเข้าด้วยกันและดึงรูด
เสียงครางของฟ่งถี่กระชั้น ลมหายใจเริ่มผิดจังหวะ มือที่เคยปัดป่ายกลับเกาะเกี่ยวไหล่กว้างเอาไว้แนบแน่น ขยับเอวขึ้นตอบสนองจังหวะการรุกเร้า ดูยั่วยวนจนแทบทนไม่ไหว รูฟัสลิ้มชิมริมฝีปากบูดบึ้งนั้นอีกครั้ง ระหว่างใช้มือตอบสนองอารมณ์ความต้องการของกันและกัน ฟ่งจิกเล็บแน่น หัวคิ้วขมวดมุ่น จิกปลายเท้าลงบนพื้นอ่างเย็นเยียบจนชาไปหมด ท่อนเอวเขม็งเกร็งและกระตุกอย่างแรง ขณะของเหลวสีขาวขุ่นไหลทะลักออกมา ร่างบางครางเสียงพร่า เขาถึงจุดสูงสุดของอารมณ์แล้ว แต่อุ้งมือนั้นกลับไม่ยอมหยุด
   รูฟัสกัดฟันอย่างข่มใจ ลืมไปเลยว่าฟ่งอาจจะถึงก่อน ครั้นจะดึงดันทำต่อเพื่อให้ตัวเองถึงตามก็เห็นทีว่าทางนั้นอาจจะทนไม่ไหว สังเกตจากเสียงร้องที่ดังขึ้นเรื่อยๆ จะให้หยุดทันทีก็ทรมานกันจนเกินไป รูฟัสจึงขยับมือต่ออีกพักหนึ่ง ก่อนจะกระซิบข้างใบหูแดงจัด
   “เหนื่อยจนเหงื่อออกแล้วนะครับ”
   ฟ่งขมวดคิ้วมุ่น อยากจะอ้าปากด่ารูฟัสจริงๆ ปกติรูฟัสมักไม่ค่อยพูดเวลาทำอะไรกันแบบนี้ คราวนี้พอนึกจะพูดขึ้นมา ก็ดันพูดอะไรที่น่าหงุดหงิด ร่างบางอ้าปาก แต่แทนที่จะได้เค้นเสียงด่า กลับกลายเป็นถูกอีกฝ่ายบดจูบลงมาแทน เจอแบบนี้ คำต่อว่าก็ถูกดันหายลงไปในลำคออีกรอบ
   แม้จะยืนอยู่ในอ่างอาบน้ำ แต่บนร่างกายของทั้งคู่กลับปรากฏหยาดเหงื่อผุดพรายออกมา ร่างของฟ่งร้อนราวกับถูกไฟสุม ยิ่งเบียดเสียดกับกลางลำตัวที่ร้อนระอุของรูฟัสยิ่งเหมือนทวีความร้อนให้เพิ่มมากขึ้น
   รูฟัสลิ้มรสริมฝีปากอ่อนอยู่พักหนึ่งจึงเอื้อมไปหยิบสบู่ สัมผัสเปียกลื่นบนหนั่นสะโพกทำให้ฟ่งสะท้านกายเฮือก ร่างสูงไล้ปลายนิ้วไปตามร่องลึกด้านหลัง ล้วงเข้าไปในจุดซ่อนเร้น ฟ่งสะดุ้งอีกครั้ง ริมฝีปากหนาขยับเข้ามาประกบจูบอีกรอบ ขณะนิ้วมือสอดลึกเข้าไปเรื่อยๆ
   ฟ่งอ้าปากด้วยความตกใจ ตอนที่รูฟัสถอดนิ้วมืออก และยกขาข้างหนึ่งของเขาขึ้น ร่างบางเซถลาเข้าหาผนัง และต้องใช้มือเกาะฝาผนังเอาไว้ ในจังหวะที่ส่วนร้อนระอุถูกดุนดันเข้ามา
ขยับสักพัก ผิวหน้าท้องแข็งแรงก็สัมผัสกับเรียวขาอ่อนที่ถูกยกสูง ฟ่งครางเสียงหนัก รูฟัสกระทั้นกายเข้าออกเป็นจังหวะช้าๆ ก่อนจะเร่งเร้าขึ้นเรื่อยๆ เสียงครางสั่นพร่า ขณะที่ฟ่งพยายามจะยกมือดันผนังห้องน้ำเพื่อไม่ให้ศีรษะกระแทก รูฟัสจับขาข้างที่ยกอยู่พาดบ่า และใช้มือจับท่อนเอวของฟ่งและออกแรงกระแทกหนักเข้าไปอีก เจอแบบนี้เข้าไปฟ่งแทบล้มพับ ตอนขึ้นมาจากสระก็เหนื่อยอยู่แล้ว ยังมาโดนทำด้วยท่าทรมานแบบนี้อีก ไม่ทรุดลงไปก็ใกล้เต็มที
   ก่อนที่จะล้มฮวบ รูฟัสก็ยกขาเขาออก ประคองร่างสั่นเทาให้คว่ำหน้าลง ตรึงไว้กับผนัง และเริ่มสาวกายเข้าออกอีกรอบ ฟ่งร้องครางอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ แทบจะขาดใจตายเสียให้ได้ กว่าที่อารมณ์รูฟัสจะขึ้นถึงขีดสุด เขาก็แทบจะหมดสติแล้ว
   ร่างบางตัวอ่อนปวกเปียก ของเหลวอุ่นร้อนยังคงไหลอ้อยอิ่งอยู่ในร่าง รูฟัสอุ้มเขาขึ้นมากอดจูบอยู่พักหนึ่ง จึงดึงส่วนที่เชื่อมประสานกันอยู่ออก ฟ่งสะดุ้ง และรู้สึกถึงสายน้ำอุ่นๆ ที่ไหลกระทบร่างกาย รูฟัสเปิดฝักบัวล้างคราบเหงื่อไคลบนร่างกาย และยังช่วยทำความสะอาดหยาดอารมณ์ที่ตกค้างอยู่ภายในด้วย
   ฟ่งนั่งพิงผนังอย่างสะลึมสะลือปล่อยให้รูฟัสทำความสะอาด แต่แล้วความโอฬารชนิดที่ต้องลืมตาขึ้นด้วยความตกใจก็เบียดเข้ามาอีกรอบ ริมฝีปากที่เผยออย่างตระหนกถูกปิดด้วยจูบวาบหวาม ท้ายที่สุด หลังจากรูฟัสปลดปล่อยความต้องการจนพอใจแล้ว เขาก็จัดการอาบน้ำและทำความสะอาดส่วนนั้นให้ฟ่งอีกครั้ง ก่อนจะอุ้มร่างอ่อนปวกเปียกออกมาจากห้องน้ำ เช็ดตัวจนแห้ง แล้วพาไปที่เตียง
   ฟ่งคิดว่าถ้ารู้สึกดีจนเห็นสวรรค์รำไร เขาในตอนนี้คงรู้สึกดีจนใกล้ได้เห็นสวรรค์จริงรอมร่อ รูฟัสไม่ยั้งความต้องการเอาบ้างเลย ถ้ายังมีรอบสาม ฟ่งคงได้ขาดใจตายจริงๆ ชายหนุ่มเห็นแสงแดดที่แผดแรงลอดเข้ามาในห้อง แต่หนังตาและร่างกายหนักอึ้งเหมือนถูกถ่วงด้วยตะกั่ว หัวถึงหมอนยังไม่ทันเท่าไร สติสัมปชัญญะก็เลือนหายไปพร้อมกับความอ่อนล้า
-------------------------------------------
   รูฟัสยกมือขึ้นเกาศีรษะ เขาเห็นแล้วว่าฟ่งคงเหนื่อยมากจริงๆ ถึงขนาดหลับข้ามคืนมาตื่นเอาอีกวันหนึ่ง ชายหนุ่มยอมรับว่าตัวเองอาจจะทำเกินไปบ้าง แต่ที่ฟ่งทำกับเขาเมื่อวานก็ดูจะเกินไปหน่อย เขาแค่อยากให้ฟ่งสนใจบ้างแท้ๆ แต่เจ้าตัวดันทำเหมือนไม่รู้เรื่องจนเขาอดหมั่นเขี้ยวขึ้นมาไม่ได้ ถ้าไม่ฟัดให้หนักก็คงนอนไม่หลับกันพอดี
   ปัญหาคือ ฟ่งตื่นขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าบูดบึ้ง
   ฟ่งนิ่วหน้า ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาเขายังไม่คลายคิ้วที่ขมวดกันออกเลย จะไม่ให้หน้าบูดหน้าบึ้งได้อย่างไร ในเมื่อร่างกายของเขาเจ็บไปหมด เพราะไม่ได้ออกกำลังกายนานมาก กล้ามเนื้อที่ไม่ค่อยได้ใช้งานมาถูกใช้งานกะทันหันย่อมต้องแสดงอาการประท้วงเป็นธรรมดา แต่รูฟัสก็ดันทำเขาด้วยท่าทรมานแบบนั้นอีก แถมยังทำเสียหนัก ดังนั้นตอนนี้ แค่ขยับตัวนิดหน่อยความเจ็บแปลบก็แล่นไปทั่วทั้งร่าง ต่อให้ไม่อยากนิ่วหน้าก็คงต้องนิ่วหน้านั่นแหละ
   “เป็นอะไรมากรึเปล่าครับ?” รูฟัสถามอย่างเป็นห่วง ฟ่งตวัดสายตาขึ้นมองคนถามด้วยความรู้สึกตำหนิอย่างไม่เก็บงำ “เจ็บ”
   หนุ่มตาสองสีได้แต่ยิ้มแห้งๆ จริงอยู่ว่าระยะหลังนี้ฟ่งให้เขาร่วมรักบ่อยขึ้นโดยไม่มีการอิดออด แต่เห็นทีคราวนี้คงไม่เป็นแบบนั้น ร่างผอมบางขมวดคิ้วมุ่น แค่ยันตัวขึ้นมานั่งก็เจ็บระบมไปทั้งตัว อย่างว่าแต่จะไปอาบน้ำ แค่ยกขาก็เจ็บแทบตายแล้ว
   “เจ็บ!” ฟ่งพูดซ้ำ หน้าตาหงุดหงิดมากกว่าเดิม
“คุณทำไมชอบทำอะไรไม่นึกถึงร่างกายผมทุกที” ร่างบางต่อว่า รูฟัสหน้าแห้ง จะให้เขาตอบว่าอะไรดีล่ะ
“ขอโทษนะครับ” วลีที่เหมือนจะเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจไปแล้วถูกเอ่ยออกมา กระนั้นฟ่งยังหน้าบูดหน้าบึ้งเหมือนเดิม รูฟัสเคยเจออาการแบบนี้มาแล้ว แต่จะมานึกเสียใจเอาตอนนี้คงสายไปเสียหน่อย แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าจะเสียใจเรื่องอะไร
“ขอโทษนะครับ ผมแค่อยากให้คุณหันมามองผมบ้าง” หนุ่มตาสองสีตัดสินใจสารภาพความจริง ฟ่งหันมามองเขาอย่างงุนงง “ผมก็มองคุณอยู่แล้วไง”
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ” รูฟัสพูด และอธิบายต่อ “คือ ผมอยากให้คุณมองผมแบบคนรักกัน ยังไงดีล่ะ ก็แค่อยากให้คุณต้องการผมบ้าง”
ฟ่งทำหน้าย่น “ผมไม่รักคุณไม่มาอยู่กับคุณหรอก”
รูฟัสตาเป็นประกาย รีบพูดต่อ “งั้นมองผมหน่อยสิครับ”
ร่างผอมบางหรี่ตา เบือนหน้าไปทางอื่น ได้ยินเสียงอีกฝ่ายพูดหงอยๆ “ฟ่ง...”
“ผมหาแว่น” ฟ่งพูด ทันใดนั้นแว่นตาก็ถูกสวมลงมาบนดั้งของเขา ร่างบางยกมือขึ้นจับและขยับอย่างเคยชิน ตอนนี้ภาพใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มที่อยู่ร่วมห้องเดียวกันปรากฏให้เห็นชัดเจนตรงหน้า รูฟัสคลี่ยิ้ม ฟ่งมองอยู่พักหนึ่งแล้วก็ก้มหน้าลง หนุ่มตาสองสีขยับตัวลงนั่งข้างเตียง ฉวยมือของอีกฝ่ายขึ้นมาจับ
“มองผมหน่อยสิครับ บอกผมหน่อยสิครับว่าชอบผม รักผม”
ฟ่งเหลือบตาขึ้นมองอีกแวบหนึ่ง พอสบกับนัยน์ตาสองสีหวานเยิ้มก็หลุบลงไปอีก
“มองผมสักนิดไม่ได้หรือครับ กระซิบบอกผมก็ได้ครับ” รูฟัสยังคงรุกต่อ ขยับตัวเข้ามาใกล้อีก ฟ่งเม้มปาก ร้อนวูบไปทั่วใบหน้า
“นะครับ” รูฟัสกระซิบเสียงอ้อน ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนแทบจะชน ฟ่งหน้าแดงขึ้นมาทันที
“คะ... คุณหันไปก่อน แล้ว...แล้วผมจะบอก”
รูฟัสจ้องใบหน้าที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่ออยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันหน้าออกไปตามคำขอ ได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบา
“ผมรักคุณนะ”
ไออุ่นจากลมหายใจแผ่วสัมผัสหลังใบหู รูฟัสอุ่นวาบไปทั้งตัว ความดีใจเอ่อล้นขึ้นมาในหัวใจ ยังไม่ทันจะตอบอะไร ริมฝีปากนิ่มก็แนบเข้ามาที่แก้มของเขาเบาๆ แล้วผละออก อย่างกับฝัน หนุ่มตาสองสีอดไม่ได้ต้องหันกลับไปมอง และพบว่าคนนั่งอยู่บนเตียงแก้มแดงแจ๋ ฟ่งถลึงตาใส่เขาและพูดเสียงหนัก
“ห้ามทำอะไรผมแล้วนะ!”
“ครับๆ” รูฟัสรับปากและยิ้มกว้าง กระนั้นยังไม่วายฉวยมือฟ่งขึ้นมาจูบ และโน้มใบหน้าลงเคล้าพวงแก้มแดงเรื่อนั้นอีกพักใหญ่
   “หิวรึเปล่าครับ?” ร่างสูงถามต่อ ขณะจัดหมอนให้ฟ่งเอนหลัง ร่างผอมบางพยักหน้า รูฟัสจึงเดินออกจากห้องไป และกลับมาพร้อมถ้วยซุปที่มีควันลอยกรุ่น
   ฟ่งมองถ้วยซุปในมืออีกฝ่าย รูฟัสตักมันขึ้นมาและเป่าให้เขา ไอควันลอยห้อมลอมใบหน้าคมสันของชายหนุ่ม ความอ่อนโยนของรูฟัสทำให้ฟ่งรู้สึกอบอุ่น เขาอ้าปากทานซุปที่อีกฝ่ายตักป้อน ป้อนกันไปได้พักหนึ่ง รูฟัสจึงเอ่ยถามขึ้น “อร่อยรึเปล่าครับ?”
    คนถูกถามพยักหน้า มองมือที่ตักซุปอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา “มือคุณสวยดี”
   “จริงหรือครับ” หนุ่มตาสองสีทำหน้าดีใจ ฟ่งพยักหน้า ยอมรับว่ามือของรูฟัสสวยจริงๆ ทั้งยาวทั้งเรียว ดูไม่เหมือนมือคนผ่านอะไรหนักๆ นอกเสียจากความสากหยาบบนมือที่ดูจะมีมากกว่าเขานิดหน่อย
   “พรุ่งนี้จะไปว่ายน้ำอีกรึเปล่าครับ?” หนุ่มตาสองสีเอ่ยถามหลังจากเก็บชามซุปแล้ว ฟ่งสั่นศีรษะทันที
   “มะรืนนี้ล่ะครับ?”
   “..............”
   “น่า...ผมสัญญา จะไม่ทำอะไรแบบนี้อีกแล้วครับ”
   “ไม่เอาดีกว่า” ฟ่งว่า และนึกว่าคำสัญญาของรูฟัสเคยเชื่อได้ที่ไหน หนุ่มตาสองสีคลี่ยิ้มบางๆ อ้อนเขาต่อ
   “ไปดูก็ได้ครับ ผมอยากให้คุณไปนั่งดู”
   “ไม่ล่ะ”
   “ทำไมล่ะครับ?”
   “ก็ผมไม่ได้ชอบกล้ามผู้ชายนี่” ฟ่งว่า ได้ยินเสียงอีกฝ่ายคราง “โธ่ แล้วกัน ผมอยากให้คุณดูผมนะเนี่ย”
   “จะบ้าเรอะ! ผมไม่พิศวาสกล้ามคุณหรอกนะ” ร่างบางโวย ก่อนจะได้ยินเสียงอีกฝ่ายเค้นลอดออกมาจากไรฟัน “พูดจริงๆ หรือครับ?”
   “อย่า...เดี๋ยว!! รูฟัส ผมเจ็บ โอ๊ย!!!”
   ฟ่งดิ้นขลุกขลักเมื่อรูฟัสกระโดดขึ้นมากดเขาไว้บนเตียง หนุ่มตาสองสียิ้มพลางพูดต่อ “ไม่ต้องตกใจนะครับ ผมแค่อยากให้คุณดูร่างกายผมชัดๆ”
   “อยากให้ดูคุณถอดให้ผมดูข้างเตียงก็ได้ จะขึ้นมาบนนี้ทำไม!” ฟ่งโวยต่อ รูฟัสยิ้มกริ่ม
   “ก็ผมอยากถอดคุณด้วยนี่”
   ฟ่งถลึงตาใส่รูฟัส มองดูชายหนุ่มค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเอง ปลดไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็หันมาปลดของเขาบ้าง ก่อนจะกระซิบที่ข้างหู
   “ถึงคุณไม่ชอบดูผม แต่ผมชอบดูคุณนะ”
   ใบหน้าของฟ่งกลายเป็นสีแดงจัด
   “ไอ้บ้า ไอ้คนลามก!!!”
---------------------------------------------

ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
อ๊าย  กรี๊ดกร๊าด
รูฟัสหื่นมากๆ  ชักสงสารฟงแล้วสิ :impress2:

ิbenejeng

  • บุคคลทั่วไป
อยากได้อ่ะ   แต่ตอนนี้ตังงค์ไม่มี    จะมีเปิดจองอีกรอบมั๊ยค่ะ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
อยากได้อ่ะ   แต่ตอนนี้ตังงค์ไม่มี    จะมีเปิดจองอีกรอบมั๊ยค่ะ

ขึ้นอยู่กับยอดการสอบถามค่ะ (แต่คิดว่าจบรอบนี้คงอีกนาน เพราะไม่น่ามีใครถาม!!) ถ้าไงลองไปสอยที่that's yดูนะคะ ที่นั่นขายแยกค่ะ แต่ราคาจะสูงว่าสั่งตรงประมาณเล่มละ50บาท

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**เรื่องนี้เปิดจองรวมเล่มครบชุดแล้วนะคะ พลาดแล้วพลาดเลย!! (แน่นอน เพราะเรามั่นใจว่าอาจจะไม่ได้รีปริ๊นอีกยาว เนื่องจากยอดมันก็................อย่างว่านั่นแหละ ฮ่ะๆ... :o8:<<<แล้วใครใช้ให้หล่อนเขียนยาวเป็นหางว่าวแบบนี้ล่าห์!!! :angry2:)

--------------------------------------------------------
บทที่80 Добро пожаловать в Россию
   ฟ่งนั่งดูโทรทัศน์อยู่ ในตอนที่รูฟัสเปิดประตูห้องเข้ามา หนุ่มสวมแว่นให้มายิ้มให้กับคนร่วมห้องที่เพิ่งกลับมาจากการออกกำลังกายในตอนเช้า หนุ่มตาสองสียิ้มตอบพลางวางถุงพลาสติกใส่กล่องอาหารซึ่งเขาแวะลงไปซื้อหลังจากออกกำลังกายเสร็จ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ
   สายน้ำจากฝักบัวไหลรดร่างกำยำ รูฟัสปีบแชมพูลงในมือ มันดูน่าเหลือเชื่อ เขาใช้ชีวิตแบบคนปกติมาได้เดือนเศษแล้ว ชีวิตที่มีความสุขเหมือนขึ้นสวรรค์ ชายหนุ่มมีลางสังหรณ์ว่า ความสงบสุขแบบนี้จะดำรงอยู่ได้อีกไม่นาน
   ชายหนุ่มขยี้แชมพูลงไปบนศีรษะ ที่อยู่ตอนนี้ของเขาไม่ปลอดภัย เว่ยเฟิงปิงรู้ว่าฟ่งอยู่ที่นี่ ราฟาแอลก็รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ แค่นี้ก็ดูแปลกพอแล้วที่เขาสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเหมือนคนธรรมดามาได้เป็นเดือน
   รูฟัสคิดว่าเขาจำเป็นต้องย้ายที่อยู่ใหม่
   แชมพูถูกล้างออกจากศีรษะ ขณะผู้เป็นเจ้าของร่างหยิบสบู่ขึ้นมาไล้ถูไปตามเรือนร่างกำยำ จะอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีอะไรประกันได้ว่าพวกไม่พึงประสงค์จะตามมาเจอ รูฟัสรู้ว่าเขามีศัตรูมาก ที่สามารถพักอยู่ในบ้านหลังน้อยของราฟาแอลที่บาลาตอนฟูเรสได้นั้นเพราะมีการช่วยเหลือจากหลายฝ่าย ที่พวกเขาเคยทำงานให้ แต่ตอนนี้ เขาแยกกับราฟาแอลแล้ว และเครือข่ายในประเทศไทยก็ดูไม่แข็งแรงพอจะช่วยในเรื่องนี้ ซ้ำที่อยู่ของเขาในตอนนี้ก็คงรู้กันไปทั่ว ที่ใช้ชีวิตสงบสุขมาได้ขนาดนนี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากจริงๆ
   รูฟัสหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมาเช็ดศีรษะ เขาคงต้องคุยเรื่องนี้กับฟ่ง แต่จะคุยอย่างไรให้อีกฝ่ายไม่รู้สึกตระหนกนัก รูฟัสรู้ว่าถ้าเขาเอ่ยปากพูดเรื่องนี้ออกไปตรงๆ คงไม่เป็นการดี มันเหมือนกับประกาศข้อเสียยิ่งใหญ่ของตัวเองให้ฟ่งรู้ อาจจะตอกย้ำให้เห็นว่าการใช้ชีวิตร่วมกับเขาลำบากและไม่ปลอดภัยแค่ไหน
   แต่ยังไงเสียพวกเขาจำเป็นต้องย้ายที่อยู่ รูฟัสเช็ดตัวพลางครุ่นคิดถึงคำพูดที่จะหลอกล่อให้ฟ่งเห็นด้วยกับการย้ายที่อยู่โดยไม่รู้สึกว่าเขาเป็นต้นเหตุ
   รูฟัสเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ พอหันหน้าไปก็มองเห็นใบหน้าใต้แว่นตาหันมายิ้มให้เขาอย่างน่ารัก ชายหนุ่มยิ้มตอบพลางนึกสะท้อนใจ เขาจะทำลายรอยยิ้มแบบนี้ของฟ่งลงด้วยความจริงพวกนั้นได้อย่างไร รูฟัสคิดว่าต้องมีวิธีการดีๆ ที่จะทำให้ฟ่งเห็นด้วยกับการย้ายที่อยู่โดยไม่เพ่งเล็งว่าการอยู่กับเขานั้นไม่ปลอดภัย
   “รูฟัส คุณมาดูนี่เร็ว นี่ไง โดมรูปหัวหอมที่ผมอยากไปดู” ฟ่งพูดและกวักมือเรียก รูฟัสเดินเข้าไปและพบว่าคนร่วมห้องของเขากำลังดูสารคดีเกี่ยวกับประเทศรัสเซียอยู่
   “อ้อ...นี่มันที่красная площадъ นี่” รูฟัสพูด ก่อนจะนึกขึ้นได้ “อืม..ภาษาไทยเรียกว่าอะไรนะ..อ้อ จัตตุรัสแดง”
   “นั่นแหละ” ฟ่งว่า และนึกขอบคุณที่รูฟัสนึกคำแปลภาษาไทยออก ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องงงอีกนานว่าทางนั้นพูดถึงอะไร
   “ผมคิดว่าคุณอยากไปดูเซนต์เจอเจียสที่เซอกีเยฟ โปซัสซะอีก” รูฟัสว่า ฟ่งทำหน้างง “อะไรนะครับ?”
   “อ๋อ” รูฟัสพูด มองดูคนร่วมห้องที่นั่งอยู่บนโซฟาและยิ้มอย่างเอ็นดู “เป็นโบสถ์ที่คนรัสเซียให้ความนับถือกันมากนะครับ คล้ายๆ วัดที่นี่นั่นแหละ อืม...ที่คุณชี้ให้ผมดูนี่คือเซนต์เบซิล เป็นโบถส์เด่นของมอสโคว์วเลยครับ”
   ฟ่งฟังและพยักหน้าหงึกหงัก “โบสถ์ที่คุณว่าอีกที่สวยรึเปล่าครับ?”
   “สวยสิครับ” รูฟัสว่า เขามองหน้าฟ่งอีกครั้งและฉุกคิดบางอย่างได้ทันที
   “ไปดูกันไหมล่ะครับ”
   “หา?” หนุ่มสวมแว่นอุทานอย่างงุนงง “คุณพูดอย่างกับอยู่ใกล้ๆ งั้นแหละ”
   “ไม่ใกล้หรอกครับ แต่ผมจะพาคุณไปดูถึงที่ ไปเที่ยวรัสเซียกันไหมล่ะครับ?”
   ฟ่งหันมามองหน้าเขาทันที นัยน์ตาสีน้ำตาลหลังแว่นที่มีท่าทีแปลกใจนั้นดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก ร่างผอมบางนิ่งไปพักหนึ่งจึงถามออกมา
   “ค่าเดินทางเท่าไหร่หรือ ผมจะได้ดูเงินเก็บ”
   คนถูกถามรีบโบกมือทันที “ไม่ต้องดูหรอกครับ ไปกับผม คุณเอาแต่ตัวกับหัวใจไปก็พอ”
   ฟ่งทำหน้าเบ้ “ไม่ได้หรอก ก็ผมอยากจะไปเที่ยวเอง ผมก็ต้องจ่ายสิ”
   รูฟัสมองหน้าคู่สนทนาครู่หนึ่ง และยิ้มออกมา
   “ครับ งั้นคุณจ่ายให้ผมคืนนี้ก็ได้”
   “อืม..เท่าไหร่ล่ะ?” ฟ่งถามพลางระลึกยอดเงินในบัญชีของตัวเอง ตั้งแต่จบเรื่องร้ายๆ เกือบเดือนแล้วเขายังไม่มีงานใหม่ ไม่รู้ว่าทวีศักดิ์โอนเงินเข้าบัญชีแล้วหรือยัง เห็นว่าทางนั้นถูกจับ หรือว่างานนี้เขาจะเหนื่อยฟรี
   ฟ่งคิดไปต่างๆ นาๆ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อรูฟัสขยับลงนั่งข้างๆ ร่างกำยำมองหน้าเขาและยิ้มกริ่ม
   “เท่านี้ก็พอครับ” รูฟัสพูดพลางดึงตัวฟ่งเข้าไปกอด ทำเอาคนถูกกอดอย่างไม่ทันตั้งตัวหน้าแดงทันที ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร รูฟัสก็ก้มลงหอมแก้มเขาฟอดใหญ่ แถมยังจูบปลายจมูกอย่างรักใคร่ แม้เกือบเดือนที่ผ่านมาจะถูกจู่โจมแบบนี้นับครั้งไม่ถ้วน แต่ฟ่งก็อดหน้าแดงออกไปไม่ได้อยู่ดี
   รูฟัสก้มลงจูบพวงแก้มสีชมพูนั้นอีกรอบ และพูดต่อ
   “ไปเที่ยวรัสเซียกับผมนะ”
-------------------------------------------
   หลังจากนั้นอีกสองวัน รูฟัสก็พาฟ่งออกจากห้องได้สำเร็จ แม้จะยังไม่ใช่การย้ายที่อยู่ถาวร แต่ก็ทำให้ชายหนุ่มโล่งใจไปเปราะหนึ่ง ออกมาแบบนี้ คงไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน ช่วงเวลาแห่งความสงบสุขของเขาดูจะยาวขึ้นอีกหน่อย รูฟัสไม่ได้ซื้อตั๋วขากลับ เขาให้เหตุผลกับฟ่งว่าไหนๆ ก็ไปแล้ว ฟ่งควรจะได้เที่ยวจนพอใจแล้วถึงค่อยกลับ พอทางนั้นพูดเรื่องค่าใช้จ่าย เขาก็ถือโอกาสหากำไรจากร่างบางๆ นั้นทันที พอโดนบ่อยๆ เข้าฟ่งจึงเลิกถามไปในที่สุด
   รูฟัสมองดูร่างผอมบางที่พริ้มตาหลับอยู่บนที่นั่งข้างๆ เมื่อคืนเหมือนฟ่งจะตื่นเต้นจนนอนไม่ค่อยหลับ พอขึ้นเครื่องและคุยกับเขาได้ไม่นานก็ผล็อยหลับไปทันที ชายหนุ่มค่อยๆ เอื้อมมือไปดึงแว่นตาออก และพับเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ จัดผ้าห่มที่ทางนั้นห่มอยู่ให้เข้าที่ โดยไม่ลืมจะคลุมมือที่กุมกันเอาไว้
หนุ่มตาสองสีอดยิ้มอย่างมีความสุขไม่ได้เมื่อนึกถึงไออุ่นที่ฝ่ามือ เขาลองขอฟ่งจับมือในตอนที่เครื่องออกใหม่ๆ ทางนั้นดูอิดออดนิดหน่อย แต่พอมีผ้าห่มมาคลุมก็ตอบตกลง และปล่อยให้เขากุมอยู่แบบนั้นจนกระทั่งหลับ รูฟัสอยากจะหอมแก้มฟ่งสักที แต่คงไม่เหมาะนักที่จะทำในเครื่องบิน ช่างเถอะ เวลาแค่เก้าชั่วโมงกว่าๆ ของเขาในการบินครั้งนี้คงเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขอีกช่วงหนึ่ง
--------------------------------------------------
   รูฟัสไม่เคยกลับมาเหยียบรัสเซียอีกเลยตั้งแต่อเล็กเซซึ่งเป็นอาจารย์ของเขาตายลง และราฟาแอลมารับไปอยู่ด้วย นี่เป็นการกลับมาเหยียบประเทศบ้านเกิดเป็นครั้งแรกในรอบสิบสามปีของเขา
   ประเทศที่เต็มไปด้วยความหลังอันแสนปวดร้าว
   ชายหนุ่มทิ้งอดีตอันขมขื่นเอาไว้เบื้องหลัง ก้าวออกไปสู่โลกอันตรายโดยไม่แยแสต่อสิ่งใด เขาไม่เคยต้องการหวนกลับมาที่นี่อีกเลย
   ที่ที่ความรักของเขาถูกพรากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
   แต่ตอนนี้ ตัวเขาที่เคยทิ้งคำว่ารักไปแล้ว กลับถูกคนข้างห้องที่แสนจะธรรมดาๆ ขุดค้นความอ่อนไหวที่ซ่อนลึกเอาไว้ออกมาเปิดเผย เขารักผู้ชายคนนี้หมดหัวใจ รักและอยากจะอยู่เคียงข้างตลอดไป และฟ่งก็ยอมจะอยู่เคียงข้างเขา
   รูฟัสบีบมือที่กุมอยู่เบาๆ อีกไม่นานเขาก็จะได้ไปเหยียบประเทศที่ฝังความหลังเอาไว้ ความหลังที่เขาไม่อยากหวนนึกถึง เขาพร้อมที่จะเผชิญกับมันแล้ว เนื่องเพราะมีคนคนนี้อยู่ข้างๆ
   คนที่เขารักที่สุดและจะรักตลอดไป
-------------------------------------------
   เก้าชั่วโมงเศษผ่านไป ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงสนามบินมอสโคว์ เป็นโชคดีที่ประเทศไทยมีความสัมพันธ์ทางการทูตที่ดีกับประเทศรัสเซียมาตั้งแต่สมัยร.5 เพื่อเป็นการฉลองความสัมพันธ์อันยาวนาน ทำให้การเข้าประเทศในระยะสั้นๆ สำหรับคนไทยไม่ต้องใช้วีซ่า แต่ก็ยังเสียเวลารอกระเป๋าอยู่พักใหญ่ ถึงกระนั้นฟ่งก็ดูจะให้ความสนใจกับการถามคำแปลและคำอธิบายของป้ายต่างๆ ในบริเวณสนามบิน
   สองหนุ่มนั่งรถของสนามบินออกมาจนถึงถนนด้านหน้า ฟ่งลงจากรถและได้สัมผัสอากาศหนาวยะเยือกของรัสเซียเป็นครั้งแรก รูฟัสบอกว่านี่เป็นฤดูใบไม้ร่วง อากาศกำลังสบาย แต่ที่ฟ่งรู้สึกคือ เขากำลังหนาวแทบตาย
   ชายหนุ่มกระชับเสื้อสเวทเตอร์ที่รูฟัสซื้อให้ตอนที่ไปฮังการีเข้ากับตัว แต่กระนั้นความหนาวดูจะแทรกเข้ามาตามรูห่างของเนื้อผ้าก็ไม่ปาน รูฟัสโบกมือเรียกรถแท็กซี่ และอมยิ้มเมื่อเห็นว่าฟ่งหนาวจนฟันกระทบกันดังกึกๆ
   “เดี๋ยวเอาของไปเก็บที่โรงแรมแล้วผมจะพาไปซื้อเสื้อกันหนาวนะครับ” รูฟัสพูดขณะที่ฟ่งก้าวขึ้นรถ หนุ่มสวมแว่นพยักหน้าหงึกหงัก เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่ารูฟัสใส่คอนแทกต์เลนต์สี คงไม่อยากให้ใครสังเกตเห็นสีตาที่แปลกประหลาดล่ะมั้ง
   ในรถเปิดฮีตเตอร์ ฟ่งจึงรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย เขาเริ่มชะเง้อมองดูทัศนียภาพรอบด้าน และพบว่าที่รัสเซียก็มีรถติด
   รูฟัสอธิบายว่านี่เป็นปัญหาปกติของมอสโคว์ เนื่องจากคนรัสเซียมีฐานะต่างกัน คนมีรถก็ชอบเอารถออกมาวิ่ง ฟ่งพยักหน้าเข้าใจในทันที มันก็คงเป็นปัญหาเหมือนในประเทศไทยนั่นแหละ แต่รถติดที่มอสโคว์ดูจะทำให้หนุ่มสวมแว่นตื่นเต้นอยู่มาก เมื่อเขาพบเห็นทั้งรถที่เก่าบุโรทั่งราวกับใช้มาตั้งแต่สมัยสงครามโลก ไปจนถึงรถแบบแปลกๆ ที่ไม่เคยเห็น
   “โห...ผมเพิ่งเคยเห็นลีมูซีนตอนยาวของจริงเป็นครั้งแรกนะเนี่ย” ฟ่งพูดออกมาหลังรถเพิ่งผ่านสี่แยกไฟแดงมาได้แยกหนึ่ง รถลีมูซีนสีดำคันยาวแล่นแซงหน้ารถแท็กซี่ของพวกเขาไป
   “อยากนั่งรึเปล่าล่ะครับ?” รูฟัสถามยิ้มๆ ฟ่งสั่นศีรษะ “ไม่เอาล่ะ ผมไม่อยากเป็นมาเฟีย”
   “รู้ได้ไงล่ะครับว่ามาเฟียนั่งรถแบบนั้น”
   “ไม่มีชาวบ้านตาดำๆ คนไหนมีเงินซื้อรถแบบนั้นหรอกครับ นอกจากมาเฟีย” ฟ่งสรุปเหตุผล รูฟัสพยักหน้ายิ้มๆ ฟ่งช้อนตาขึ้นมองเขา “หรือว่าผมเข้าใจผิด”
   “เข้าใจไม่ผิดหรอกครับ” ชายหนุ่มตอบ หลังจากนั้นฟ่งก็ได้เห็นรถแปลกๆ อีกหลายอย่าง ดูเหมือนคนขับจะชวนรูฟัสคุยระหว่างนั้น กว่าจะผ่านพ้นดงรถติดมา ฟ่งก็แทบจะพูดภาษารัสเซียได้ รูฟัสคุยกับคนขับรถราวกับคนรู้จักกันมานาน หลังลงจากรถ คนขับจึงเหน็บนามบัตรแถมมาให้เขาด้วย
--------------------------------------------------
   “ระ....เราจะพักที่นี่เหรอ?” ฟ่งถามอย่างไม่แน่ใจเมื่อลงมายืนอยู่ตรงหน้าอาคารสูงห้าชั้นที่ก่อสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมของศตวรรษที่สิบเก้า ดูภายนอกหรูหราราวกับพระราชวัง
   “ครับ ที่นี่แหละ” รูฟัสตอบยิ้มๆ ฟ่งตะลึงมองตัวอาคารที่ก่อสร้างตามลักษณะแบบเก่าจนลืมเรื่องอากาศหนาวไปเสียสนิท แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดทาบเข้ากับตัวอากาศเป็นอณูสีแดง ขับเน้นให้สถาปัตยกรรมดูน่ามองเข้าไปอีก กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่รูฟัสเรียกนั่นแหละ
   “เข้าไปข้างในเถอะครับ คุณหนาวไม่ใช่หรือ?”
   หนุ่มตาสองสีถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูน่าซีดๆ ฟ่งผงะอย่างนึกขึ้นได้ ก่อนจะถูมือเข้ากับใบหน้าและจมูก และพบว่าเย็นจัดทั้งคู่ นอกจากนั้นเขายังเริ่มรู้สึกชาที่มืออีกด้วย หนุ่มสวมแว่นหัวเราะเขินๆ แต่ไม่ได้ช่วยให้สภาพน่าเป็นห่วงน้อยลงนัก รูฟัสจึงจัดแจงพาตัวเขาเข้าไปด้านในของอาคาร
   ล็อบบีด้านในตกแต่งหรูหราไม่แพ้ด้านนอก แค่ความกว้างของมันก็ทำเอาฟ่งนึกไม่ออกแล้วว่าจะมองไปทางไหนดี รูฟัสให้พนักงานนำกระเป๋าเดินทางใส่รถเข็น และปล่อยให้ฟ่งยืนชมสถานที่ไปพลางๆ ระหว่างที่เขาไปเช็กอินที่เคาน์เตอร์
   ฟ่งไม่เคยเยือนรัสเซียมาก่อน ชีวิตนี้เขาเพิ่งจะได้เคยเดินทางไปต่างประเทศเป็นครั้งแรกก็ตอนอายุยี่สิบห้านี่แหละ แถมยังเป็นการเดินทางแบบพิสดารอีกด้วย จะว่าไปการมารัสเซียคราวนี้อาจจะเป็นการเดินทางที่ธรรมดาที่สุดแล้วก็ได้ หากตัดข้อสงสัยว่ารูฟัสใช้พาสปอร์ตอะไรผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมา
   สถาปัตยกรรมของรัสเซียนั้นค่อนข้างจะแปลกไปจากประเทศในกลุ่มยุโรปด้วยกัน เพราะรัสเซียถูกมองโกละครอบครองระหว่างเกิดการปฏิวัติวงการศิลปะ ในช่วงยุคเรอเนสซองส์ พอหลุดจากมองโกลมาได้ พระเจ้าซาร์จึงสั่งเดินหน้าปฏิรูปศิลปะให้ทันกับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ เพราะตกขบวนรถไฟขบวนนี้แหละ ศิลปะและสถาปัตยกรรมในรัสเซียจึงแปลกออกไป
   ฟ่งเดินชมล็อบบีและหันไปเห็นร้านขายของที่ระลึก เขาเห็นตุ๊กตาที่เรียกกันว่าตุ๊กตาแม่ลูกดก ขณะที่กลังจะเดินเข้าไปดู รูฟัสก็กลับมาพอดี
   “ไปที่ห้องกันเถอะครับ”
   ฟ่งจึงจำเป็นต้องละสายตาจากตุ๊กตาที่มีชื่อเสียงนั้นไปก่อน และเดินตามรูฟัสไป
------------------------------------------------
   “มีอะไรหรือครับ?” รูฟัสถามเมื่อเห็นว่าฟ่งยืนนิ่งหลังจากก้าวเข้ามาในห้องพัก เขาลากกระเป๋าเดินทางมาวางไว้หน้าห้องนอน และหันกลับไปมองคนมาด้วยกันอย่างสงสัย
   ฟ่งกะพริบตาปริบๆ เขากำลังมองสำรวจห้องพักที่กว้างขนาดเอาคณะทัวร์มานอนเบียดกันได้สบายๆ ตั้งแต่เกิดมาเขารู้จักแต่โรงแรมที่มีแต่เตียงนอนกับห้องน้ำ เพิ่งเคยเห็นแบบที่แบ่งเป็นห้องๆ เป็นครั้งแรก แถมตกแต่งอย่างหรูหราราวกับอยู่ในคฤหาสน์ก็ไม่ปาน
   “ห้องใหญ่จัง...ฮือ...” ฟ่งพูดและครางออกมาอย่างระงับความรู้สึกไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะดีใจหรืออะไรดี แค่ลองจินตนาการถึงราคาค่าห้องพัก ชายหนุ่มก็แทบเกิดอาการเข่าอ่อน นี่รูฟัสไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะเนี่ย
   “ไม่ชอบหรือครับ?” หนุ่มตาสองสีถามด้วยสีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด เขาตั้งใจเลือกโรงแรมแห่งนี้ เพราะเป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงที่สุดในมอสโคว์ และมีสถาปัตยกรรมแบบเก่าซึ่งสถาปนิกแบบฟ่งน่าจะชอบ แถมยังเลือกจองห้องที่ดูสวยที่สุดด้วยหวังจะได้เห็นสีหน้าดีอกดีใจของคนร่วมทาง แต่กลายเป็นว่าฟ่งทำหน้าเหมือนจะเป็นลมแทน
   “ก็ชอบนะ... แต่แบบนี้มันไม่แพงหรือ? ผมว่าเราพักสักคืนแล้วเปลี่ยนห้องก็ได้” ฟ่งพูดอย่างนึกประหม่าชอบกล รูฟัสยิ้มกว้างออกมาทันที
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าคุณชอบ ถือว่าครั้งหนึ่งในชีวิตแล้วกันครับ หรือว่าคุณอยากจะลองนอนห้องแบบอื่นด้วย จริงๆ ที่นี่มีห้องหลายแบบนะครับ แต่คิดว่าคุณน่าจะชอบสไตล์นี้”
   “แบบนี้ก็สวยแล้วล่ะครับ” ฟ่งพูด แม้จะนึกอยากเห็นห้องสไตล์อื่น แต่พอมาคิดดูว่าต้องเปลี่ยนห้องทุกวันก็คงดูตลกพิลึก และคงจะรบกวนรูฟัสมากเข้าไปอีก หนุ่มตาสองสีเดินยิ้มๆ เข้ามา โค้งตัวและผายมือออก
“Добро пожаловать в Россию ยินดีต้อนรับสู่รัสเซียครับ”
--------------------------------------------
   เพราะในห้องพักมีฮีตเตอร์ ฟ่งจึงรู้สึกดีขึ้นมาก เขากำลังเดินสำรวจไปรอบๆ ห้อง ท้ายที่สุดจึงเดินมานั่งปุตรงโซฟา มองตรงไปยังเปียโนที่วางเยื้องออกไปจากโต๊ะทานอาหารซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามด้วยความสงสัย
   “รูฟัส เปียโนนี่ของจริงหรือตั้งไว้ประดับเฉยๆ น่ะ?” หนุ่มสวมแว่นเอ่ยถามคนร่วมห้องซึ่งเพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ รูฟัสหันไปมองเปียโนแล้วหันมาพูดกับเขา
   “ของจริงสิครับ คุณอยากให้ผมเล่นให้ฟังไหม?”
   ฟ่งทำหน้าแปลกใจทันที “คุณเล่นเปียโนเป็นด้วยเหรอ?”
   “เป็นสิครับ” คนถูกถามตอบ และเดินตรงไปยังเปียโนหลังนั้นทันที
   “อยากฟังเพลงของใครล่ะครับ?” รูฟัสเอ่ยถามหลังจากจัดการเปิดฝาด้านหลังเปียโนออกแล้ว เขาเลื่อนโคมไฟมาตั้งตรงส่วนหน้าแทน และนั่งลงบนเก้าอี้ ฟ่งเดินมานั่งตรงเก้าอี้ที่วางอยู่ในช่องเฉลียงติดหน้าต่างซึ่งอยู่ห่างจากตัวเปียโนไม่มากนัก
   “ไม่รู้สิ ผมไม่ค่อยรู้จักเพลงคลาสสิกเท่าไหร่ คุณเล่นให้ผมฟังเลยดีกว่า”
   รูฟัสผงกศีรษะและเริ่มไล่นิ้วลงบนแป้นตัวโน๊ต เสียงกังวานของสายโลหะขึงเส้นบางดังสะท้อนขึ้น
   เพลงที่รูฟัสเล่นเริ่มต้นด้วยทำนองเชื่องช้าเป็นจังหวะเหมือนคนกำลังเดินเท้า ก่อนจะทอดทำนองอบอุ่นเหมือนรุ่งอรุณที่มีแสงแดดอ่อนๆ เร่งจังหวะขึ้นเล็กน้อยหลังจากนั้น ฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินชมทัศนียภาพของธรรมชาติในยามเช้า ที่มีผีเสื้อบินว่อนไปทั่ว เขามองนิ้วเรียวยาวของรูฟัสที่ไล่ไปตามคีย์เปียโนอย่างเพลิดเพลิน จังหวะทอดช้าลง จนมือเรียวหยุดนิ่ง ชั่วอึดใจ นิ้วมือสวยงามก็ขยับอย่างรวดเร็ว ท่วงทำนองสนุกสนานเหมือนกำลังออกวิ่งก็ดังขึ้น
ฟ่งรู้สึกเหมือนกำลังวิ่งอยู่จริงๆ เขามองมือของรูฟัสเกือบไม่ทัน และเกือบลืมหายใจในตอนที่จังหวะถูกยื้อให้ช้าลงอย่างกะทันหัน ฟ่งรู้สึกอยากจะหอบหายใจออกมาจริงๆ ท่วงน้ำนองอ่อนหวานเหมือนกำลังเดินเล่นถูกบรรเลงขึ้นอีกครั้ง ทำนองคล้ายตอนเริ่ม แต่เหมือนหลังจากผ่านช่วงกลางที่ถูกเร่งให้เร็วขึ้นมากะทันหัน ความอบอุ่นที่ถ่ายทอดออกมาก็ดูจะมีมากขึ้นกว่าเดิม คงเหมือนช่วงเวลาที่เขาได้พบกับผู้ชายคนนี้
   ตอนที่รูฟัสเคาะนิ้วลงบนตัวโน๊ตสุดท้าย ฟ่งรู้สึกตื้นตันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เสมือนภาพเหตุการณ์ตั้งแต่ที่รูฟัสเดินมายกของให้เขาในวันนั้น เรื่องราวต่างๆ ที่ได้เผชิญหลังจากนั้น ความสุข ความเศร้า ความเสียใจ ความทุกข์ใจ และความอบอุ่น ถูกถ่ายทอดผ่านบทเพลงนั้นก็ไม่ปาน
   “เพลงเพราะจัง” ฟ่งว่า และพยายามสอดนิ้วเข้าไปใต้แว่นเพื่อเช็ดน้ำตาที่ไหลซึมออกมาโดยไม่ให้ผิดสังเกต แต่ก็ยังโดนทักเข้าจนได้
   “ร้องไห้หรือครับ?” รูฟัสเอ่ยถาม เขาไม่ได้เล่นเปียโนนานมากแล้ว คงสักห้าหกปีเห็นจะได้
   “เปล่า ผมแสบตาเฉยๆ” ฟ่งเฉไปทางอื่น
   “แหม...ผมคิดว่าคุณกำลังซึ้งกับเพลงที่ผมเล่นเสียอีก” รูฟัสพูดเย้า แต่ก็ต้องเบิ่งตาอย่างแปลกใจเมื่อฟ่งพยักหน้า
   “อืม....เพลงของใครหรือ?” ฟ่งถามต่อ พยายามกลบเกลื่อนคำเฉไฉเมื่อครู่ของเก่า
   รูฟัสตัดสินใจว่าเขาจะไม่แกล้งเย้าฟ่งต่อ เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าฟ่งเป็นคนอารมณ์อ่อนไหว ถึงกับน้ำตาไหลเพราะเพลงที่เขาเล่น แบบนี้รูฟัสก็อดดีใจไม่ได้
   “ของไซโคฟสกีน่ะครับ เป็นนักดนตรีรัสเซีย เพลงที่ผมเล่นเป็นท่อนนึงของConcero for piano and orchestra no1 น่ะครับ ไม่รู้ทำเหมือนกันนะครับ พอมองหน้าคุณแล้ว ผมก็อยากจะเล่นเพลงนี้ขึ้นมา”
   “อืม...” ฟ่งพูดต่อไม่ออก รูฟัสเล่นเพลงนี้ออกมาเพราะนึกถึงเรื่องราวระหว่างพวกเขาอยู่ด้วยรึเปล่า? ฟ่งไม่รู้ว่าดนตรีสามารถสื่อหัวใจกันได้จริงไหม แต่ที่แน่ๆ ช่วงเวลาไม่กี่นาทีที่รูฟัสเล่นเพลงนั้น หัวใจของเขาล้นทะลักไปด้วยความรู้สึก
!
   รูฟัสโอบร่างที่โผเข้ามาด้วยหัวใจที่เต้นแรง ฟ่งกอดเขาแน่น แนบหน้าลงบนหัวไหล่กว้าง เหมือนความรู้สึกที่อยู่ในหัวใจของฝ่ายนั้นไหลท่วมเข้ามาในใจเขาด้วย รูฟัสลูบศีรษะยุ่งๆ นั้นอย่างอ่อนโยน
   ไม่มีคำพูดอะไรที่ดีพอจะสื่อความรู้สึกนั้นให้อีกฝ่ายได้รับรู้ได้ แต่ก็เหมือนอ้อมกอดแนบแน่นนั้นได้ถ่ายทอดถ้อยคำที่ไม่อาจบรรยายให้แล้ว
--------------------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   รูฟัสพาฟ่งมาทานอาหารเย็นที่ห้องอาหารของโรงแรม เนื่องจากฟ่งยืนกรานว่าอยากจะดูโรงแรมในหลายๆ ส่วน หนุ่มตาสองสีรู้สึกเสียดายบรรยากาศหวานๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นในห้อง เขาอยากจะอยู่กับความอ่อนหวานของฟ่งอีกสักหน่อย แต่เหมือนทางนั้นจะรู้สึกตัวและพยายามจะหลีกเลี่ยง เอาเถอะ ยังมีเวลาอีกตั้งหลายวัน เขาจะขัดใจฟ่งไปทำไมให้เสียเรื่องเปล่าๆ
   ฟ่งกลัวขึ้นมาจริงๆ ว่ารูฟัสจะเผลอฉวยโอกาสที่บรรยากาศเป็นใจจัดการทำให้เขาลุกไม่ขึ้นจนถึงรุ่งเช้า ดังนั้นพอรู้สึกตัวจึงรีบหาทางหลบออกจากสถานการณ์ดังกล่าวทันที
   ที่ห้องอาหาร ฟ่งได้เห็นคาร์เวียของจริงเป็นครั้งแรก ยังคงเป็นรูฟัสที่อธิบายความเป็นมาเป็นไปให้ฟังอีกเช่นเคย
   “คาเวียร์แปลว่าไข่ปลาน่ะครับ ปกติจะใช้ไข่ของปลาสเตอร์เจียน”
   ฟ่งพยักหน้าหงึกหงัก พยายามนึกว่าปลาสเตอร์เจียนรูปร่างหน้าตายังไง
   “แต่ของปลอมจะใช้ไข่ปลาแซลมอนทำ อืมในโรงแรมนี่คงเป็นของจริงล่ะครับ” หนุ่มตาสองสีพูดต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้ว ฟ่งเปิดเมนูอาหารอยู่ และค้างเอาไว้ตรงคาร์เวียพอดี
   “แล้วสีดำกับสีแดงต่างกันยังไงน่ะ” หนุ่มสวมแว่นถามต่อ เขาได้ยินว่าคาร์เวียเป็นอาหารราคาแพงมาก แต่ไม่รู้มาก่อนว่ามีสีดำด้วย รูฟัสยิ้มเล็กๆ
   “สีดำนี่ถือเป็นคาเวียร์ชั้นดีเลยล่ะครับ ทำจากไข่ปลาเบลูก้า อืม...ไว้เดี๋ยวผมเห็นรูปแล้วจะชี้ให้คุณดู” หนุ่มตาสองสีว่า ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ
   “แล้วมัน คาวรึเปล่า?”
   “ลองดูไหมล่ะครับ?” รูฟัสว่า ฟ่งสั่นศีรษะทันที เขาเห็นราคาด้านหลังแล้วอดสยองไม่ได้ รูฟัสจ่ายให้เขาเยอะแล้ว กับเรื่องของกิน ฟ่งคิดว่าเขาไม่ควรจะรบกวนทางนั้นอีก ก็แค่อยากรู้ว่ามันต่างกันยังไงเท่านั้นเอง
   “ไม่อยากลองชิมจริงๆ หรือครับ?” รูฟัสยังคงแหย่ต่อ ฟ่งสั่นศีรษะอย่างจริงจัง
   “ไม่ล่ะ ผมว่ามันคงกินไม่อิ่ม เดี๋ยวเราจะออกไปข้างนอกกันอีกนี่ กินอะไรที่มันอิ่มท้องดีกว่า” ชายหนุ่มหาเหตุผลมาอ้าง ทางหนึ่งคือหยุดยั้งไม่ได้รูฟัสจ่ายเงินเกินเหตุ อีกทางก็ปลอบใจตัวเองด้วยว่ามันก็แค่ไข่ปลาที่กินไม่อิ่มเท่านั้นเอง
   “ก็ได้ครับ” รูฟัสยอมง่ายๆ สองคนจึงพลิกเมนูอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่รูฟัสจะเรียกบริกรมาสั่งอาหาร
-------------------------------------------
   อาหารเย็นมือแรกในรัสเซียไม่ถึงกับเลวร้ายมากนัก แม้จะรสชาติแปลกลิ้นไปบ้าง แต่ก็ถือว่าอร่อยทีเดียว สิ่งที่ฟ่งสั่งไปรูฟัสมาอธิบายตอนหลังว่ามันคือ Vareniki อธิบายเป็นภาษาไทยก็คล้ายๆ กับเกี๊ยวที่ใส้ในทำจากมันฝรั่งและกระหล่ำปลีเป็นส่วนผสมหลัก อาจจะมีผลไม้ผสมบ้างนิดหน่อย
   ฟ่งเดินออกจากโรงแรมอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะชะงักกึกเมื่อเจอกับสายลมหนาวเหน็บยามพลบค่ำ จากที่ตกลงกับรูฟัสว่าจะเดินไป เพราะรูฟัสบอกว่าห้างอยู่ไม่ไกลนี้เอง ก็ต้องเปลี่ยนเป็นเรียกแท๊กซี่ไปแทน
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองอาคารทรงยุโรปลักษณะคล้ายปราสาทสูงสามชั้นที่ตัวอาคารทอดยาวออกไปสองด้านด้วยความรู้สึกตื่นตาตื่นใจ จากที่รูฟัสบอก ดูเหมือนนี่จะเรียกว่ากุม(GUM) เป็นห้างสรรพสินค้าที่หรูหราที่สุดในประเทศรัสเซีย หนุ่มสวมแว่นยืนมองตัวอาคารอยู่ได้ไม่นานก็ต้องรีบแจ้นเข้าไปด้านในเพราะลมหนาวที่พัดวูบเข้ามา
   ทันทีที่เข้าไปในตัวห้าง ฟ่งก็ต้องยืนอ้าปากค้างอีกรอบ ห้างที่นี่ต่างหากห้างที่เขาเคยเดินในเมืองไทยอย่างสิ้นเชิง ด้านในเหมือนเป็นเมืองขนาดย่อมๆ มีหลังคากระจกใสบุด้านบน เลยเหมือนกับอยู่กลางแจ้งอย่างไงอย่างนั้น แถมยังมีน้ำพุอยู่ตรงจัตุรัสทางเดินอีก
   ฟ่งลืมเรื่องหนาวไปสนิท เขารีบยกกล้องมาถ่ายภาพเอาไว้เป็นการใหญ่ ถ้าไม่เห็นบันไดเลื่อนคงไม่เชื่อว่านี่คือห้างจริงๆ
   “โอ้โห....อลังการสุดๆ เลย” หนุ่มสวมแว่นอุทานพลางถ่ายรูปไว้อีกหลายมุม รูฟัสยิ้มแต้ด้วยความภาคภูมิใจราวกับเขาเป็นคนสร้างที่นี่ก็ไม่ปาน
   “สมัยก่อนที่นี่เป็นตลาดในร่มน่ะครับ พอถึงยุคคอมมิวนิสก็ถูกปิดไปช่วงนึง กลับมาเปิดอีกทีก็กลายเป็นห้างหรูไปแล้ว” รูฟัสอธิบาย ฟ่งพยักหน้าหงึกหงัก มองไปก็คงพอจะเทียบได้กับสำเพ็งล่ะมั้ง รูฟัสพาเขาเข้าไปในร้านขายเสื้อขนสัตว์ร้านหนึ่ง หลังจากวุ่นวายกับป้ายราคาและขนานของเสื้อที่ดูจะหายาก สุดท้ายฟ่งก็ลงเอยที่ชุดกันหนาวสำหรับเด็กวัยรุ่นสีน้ำตาลอ่อนที่มีขนกระต่ายอยู่ตรงคอพอน่ารัก ที่พอหยิบมาปุ๊บ รูฟัสคะยั้นคะยอให้ลองใส่ทันที
   “ชอบรึเปล่าครับ?” หนุ่มตาสองสีถาม หลังฟ่งยืนมองตัวเองหน้ากระจก ไอ้ชอบก็ชอบอยู่หรอก อยู่เมืองร้อนมาตั้งยี่สิบกว่าปี เพิ่งเคยลองใส่เสื้อกันหนาวขนสัตว์จริงๆ จังๆ ครั้งแรกนี่แหละ แต่ราคาก็พาลจะฆ่าให้ตายเหมือนกัน ฟ่งคิดว่าขืนเขาทำท่าอะไรออกไปรูฟัสต้องรีบจ่ายเงินให้แน่ๆ ครั้นจะหาตัวอื่น ราคาก็ไม่ต่างกันมากนัก ขณะที่กำลังยืนคิดอยู่ หมวกใบหนึ่งก็ถูกยื่นมาให้เขา
   “นิ่มจัง” ฟ่งพูด ขณะรับหมวกมาจากมือของรูฟัส ขนกระต่ายที่คอก็ว่านุ่มแล้ว พอมาเป็นหมวกทั้งใบ ก็ชวนให้อยากเอาหน้าถูไถ
   หมวกที่รูฟัสเลือกมาให้เข้าคู่กันพอดีกับเสื้อที่ฟ่งสวมอยู่ ฟ่งเอียงคอดูตัวเองหน้ากระจก รู้สึกขบขันนิดหน่อย หน้าแบบเขาพอมาอยู่ในชุดกันหนาวแบบนี้แล้วดูแปลกตาจริงๆ
   พนักงานขายเดินมาพูดอะไรบางอย่างที่ฟ่งฟังไม่ออก
“เขาบอกว่า คุณใส่แล้วน่ารักดีครับ ทำให้นึกถึงน้องชายที่บ้าน”
   ฟ่งหัวเราะแหะๆ และพูดขอบคุณเป็นภาษาอังกฤษออกไป รูฟัสจึงบอกให้เขาลองพูดเป็นภาษารัสเซียดู
   “Благодарю”
   แค่ฟังรูฟัสออกเสียง ฟ่งก็รู้สึกสยองตัวเองขึ้นมาทันที เขาลองพูดตามออกไป พนักงานสาวหัวเราะชอบใจและหันมาพูดอะไรกับรูฟัสอีกสองสามประโยค หนุ่มตาสองสีตอบยิ้มๆ
   “เขาบอกว่าคุณน่ารักจัง ผมเลยบอกเขาว่าคุณเป็นลูกพี่ลูกน้องของผม ผมมีญาติน่ารักๆ น่าภูมิใจนะครับเนี่ย”
   ฟ่งยิ้มเขินๆ ไม่รู้ว่ารูฟัสตั้งใจแปลเอาใจเขารึเปล่า แต่เขารู้สึกดีที่ทางนั้นไม่ได้บอกความสัมพันธ์จริงๆ ออกไป เป็นลูกพี่ลูกน้องก็ดูจะดีเหมือนกัน
   “งั้นคุณก็เป็นพี่ชายผมน่ะสิ ผมเรียกคุณว่าอะไรดี พี่รูฟัส” ฟ่งพูดและหัวเราะออกมา รูฟัสยิ้มค้างไปพักหนึ่ง
   นานแล้วที่ไม่ได้ยินใครเรียกว่าพี่
   “ผมแต่งตัวแบบนี้ไม่ผิดปกตินะ?” ฟ่งถามอย่างกังวล เพราะตอนเดินเข้ามาในห้างเหมือนจะไม่ค่อยเห็นใครใส่เสื้อโค้ทขนสัตว์แบบนี้สักเท่าไร รูฟัสสั่นศีรษะ
   “ไม่หรอกครับ ก็คุณหนาวนี่นา เดี๋ยวผมซื้อไปด้วยสักตัวดีกว่า เห็นว่าหิมะอาจจะตก”
   รูฟัสเลือกเสื้อโค้ทได้ในเวลาอันรวดเร็ว เขาไม่มีปัญหากับขนาดเสื้อผ้า และเหมือนจะใส่ชุดอะไรก็ดูดีทั้งนั้น ชุดที่รูฟัสเลือกเป็นชุดโค้ทยาวสำหรับผู้ใหญ่สีเทา มีเข็มขัดคาดปิดแทนกระดุม ท่าทางจะจงใจเลือกที่มีขนสัตว์ที่คอเพื่อให้เข้าชุดกัน
   “สีเทานี่ขนอะไรน่ะ?” ฟ่งถามอย่างสงสัย หลังจากทั้งคู่เดินออกมานอกร้านแล้ว สุดท้ายฟ่งก็จำต้องปล่อยให้รูฟัสจ่ายเงินซื้อตามสบาย เพราะพอทำท่าจะอ้าปาก ทางนั้นก็หันมายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ฟ่งกลัวรูฟัสจะให้เขาจ่ายด้วยอย่างอื่นอีก ดังนั้นจึงตัดสินใจเงียบเอาไว้ดีกว่า
   “ขนหมาป่าน่ะครับ” รูฟัสตอบ ฟ่งทำตาโต “ขอจับหน่อยได้ไหม?”
   คนถูกขอพยักหน้า ฟ่งเลยเอื้อมมือไปลูบๆ ขนสัตว์สีเทาที่แพลมออกมาจากปกเสื้อ ก่อนจะกะพริบตาปริบๆ
   “นิ่มเหมือนกันแหะ แต่ผมชอบขนกระต่ายมากกว่า” หนุ่มสวมแว่นว่าและยกมือขึ้นลูบหมวกขนกระต่ายที่ซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อ รูฟัสยิ้มแต้
   “ขนกระต่ายเหมาะกับคุณแล้วล่ะครับ”
   ฟ่งพยักหน้าอย่างพาซื่อ รูฟัสหันมองร่างผอมบางที่ตอนนี้อยู่ในเสื้อโค้ทที่มีปกเสื้อปุกปุยแล้วอดจะอมยิ้มไม่ได้ ฟ่งดูน่ารักมากจริงๆ ชายหนุ่มพาคนร่วมห้องเดินไปตามระเบียงทางเดินก่อนจะหยุดหน้าคาเฟ่แห่งหนึ่ง
   “ทานเครื่องดื่มกันดีไหมครับ?” หนุ่มตาสองสีเอ่ยปากชวน “ที่นี่มีเครื่องดื่มแปลกๆ ที่เมืองไทยไม่มีด้วยนะครับ”
   “ถ้าวอดก้าผมไม่กินนะ” ฟ่งว่า รูฟัสหัวเราะ “ผมไม่ชวนคุณกินวอดก้าตอนนี้หรอกครับ ผมอยากให้คุณลองชิมКифирดูน่ะ”
   พอเห็นฟ่งทำหน้าสงสัย รูฟัสก็ถือโอกาสจูงเจ้าตัวเข้าไปทันที ชายหนุ่มเลือกนั่งโต๊ะที่อยู่ริมระเบียง เพื่อให้ฟ่งมองเห็นด้านล่างได้ชัดๆ พอเปิดเมนู หนุ่มสวมแว่นก็ดูจะมีความกระตือรือร้นขึ้นมาทันที
   “ไอ้สีดำๆ นี่เรียกว่าอะไรน่ะ?” เขาถาม พลางชี้มือลงไปในเมนู
   “อ๋อ Квас ครับ มันเปรี้ยวๆ นิดหน่อย จะสั่งมาลองไหมล่ะครับ?”
   “แล้วที่คุณบอกผมเมื่อตะกี้ล่ะ?” ฟ่งถามต่อ รูฟัสจึงชี้มือลงไปบนรูปอีกรูปหนึ่งในเมนู ฟ่งพยักหน้า ได้ยินเสียงคนนั่งตรงข้ามพูดต่อ
   “สั่งกันคนละอย่างแล้วกันครับ คุณจะได้ลองกินทั้งสองอย่าง”
   ไม่นานนักฟ่งก็ได้ลองชิมเครื่องดื่มชื่อประหลาดทั้งสองอย่าง อย่างหนึ่งคล้ายนมบูด อีกอย่างรสชาติอธิบายไม่ถูก เอาว่าพิสดารพอๆ กับชื่อนั่นแหละ พอเห็นคนลองทำหน้าเหยเก รูฟัสจึงเรียกบริกรมาสั่งบางอย่างเพิ่ม
   “เปรี้ยวแบบนี้ไม่เอาแล้วนะครับ” ฟ่งพูดและทำหน้าน่าสงสาร รูฟัสหัวเราะเบาๆ
   “ผมสั่งขนมมาเพิ่มน่ะ กินกับพวกนี้เข้ากันดี”
   ที่รูฟัสสั่งเพิ่มมาเป็นขนมคล้ายๆ แพนเค๊กซ้อนกันเป็นชั้นๆ ราดด้วยน้ำผึ้งดูน่ากิน พอได้ของหวานเข้าไป ฟ่งเริ่มรู้สึกว่าเครื่องดื่มพวกนั้นอร่อยขึ้นมาทันที ระหว่างที่ฟ่งเพลิดเพลินกับขนมและเครื่องดื่มต่างถิ่น รูฟัสก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ จริงๆ ฟ่งอยากไปเข้าด้วย แต่ยังจัดการขนมตรงหน้าไม่หมด และก็ยังไม่ปวดมาก ดังนั้นจึงปล่อยให้รูฟัสไปเข้าห้องน้ำคนเดียว ส่วนตัวเองตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับอาหารต่อ
   แต่รูฟัสหายไปเข้าห้องน้ำนานมากจริงๆ จนฟ่งกินเกลี้ยงแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะกลับมา หนุ่มสวมแว่นเริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมาบ้าง แต่นึกอีกทีรูฟัสอาจจะท้องเสียก็ได้ ก็เครื่องดื่มมันเปรี้ยวเสียขนาดนี้ ไม่สิ ถ้าใครจะท้องเสียก็ควรจะเป็นเขามากกว่า ขณะที่เริ่มคิดไปต่างๆ นาๆ คนที่อยู่ในห้วงภวังค์ก็กลับมาพอดี
   “ขอโทษทีครับ พอดีห้องน้ำคนเยอะมากเลย สงสัยจะเป็นวันห้องน้ำแห่งชาติ” รูฟัสอธิบายเหตุผลที่มาสาย ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ และนึกเห็นด้วยว่าคงเป็นวันห้องน้ำแห่งชาติจริงๆ นานๆ ทีจะเห็นว่าห้องน้ำชายคิวยาวขนาดนี้
   “อืม..อร่อยมั้ยครับ” รูฟัสเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าของที่สั่งมาถูกจัดการเรียบไปแล้ว ฟ่งพยักหน้า และรีบพูด “จริงๆ ตอนแรกผมว่าจะแบ่งไว้ให้คุณนะ แต่เห็นคุณหายไปนานมาก ผมเลย...เผลอกินจนหมด”
   ประโยคสุดท้ายอดจะกระดากความตะกละของตัวเองไม่ได้ รูฟัสยิ้มร่าเริง
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณอร่อย ผมก็อิ่มล่ะ ออกไปเดินย่อยขนมกันหน่อยดีไหมครับ”
-----------------------------------------
ทั้งคู่เดินออกจากห้างมาที่ถนนใหญ่ซึ่งเปิดไฟสว่างไสว หนุ่มตาสองสีก็ชี้มือไปยังอะไรบางอย่าง พอฟ่งหันไปก็เห็นโดมรูปหัวหอมที่มีไฟสป็อตไลท์ส่งไปยังยอด
   “นั่นคือโบสถ์เซนต์เบซิลครับ คนที่นี่เรียกว่าซาโบร์ วาซิเลีย บลาเชนนาวา”
   ฟ่งพยักหน้าหงึกหงัก และคิดว่าเขาเรียกเซนต์เบซิลอย่างเดิมแหละดีแล้ว ภาษารัสเซียนี่ออกเสียงประหลาดจริงๆ
   ยอดโดมนั้นตั้งห่างออกไปโดยมีสวนสาธารณะกั้นกลาง รูฟัสบอกว่านี่คือพื้นที่ของจัตุรัสแดง แต่เนื่องจากเป็นเวลาดึกแล้ว รูฟัสจึงพาฟ่งเดินกลับออกไปอีกทาง ผ่านพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของรัสเซีย รูฟัสอธิบายเพิ่มเติมว่าทั้งโบสถ์เซนต์เบซิล และพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เรียกว่าจัตุรัสแดง และบนจัตุรัสแดงนี่ยังมีพิพิธภัณฑ์เลนินตั้งอยู่ ถัดออกไปคือพระราชวังเคลมลิน ระหว่างเดินรูฟัสชี้ให้ดูยอดโดมที่ถูกไฟส่องอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไป เขาบอกว่านั่นคือวิหารเคลมลิน ฟ่งพยักหน้าหงึกหงักและหมายมั่นปั้นมือว่าพรุ่งนี้จะต้องตระเวนดูสถานที่พวกนั้นให้สมอยาก
   อากาศในช่วงใกล้ดึกเริ่มหนาวจัด หนุ่มสวมแว่นถึงกับต้องหยิบหมวกขนสัตว์ขึ้นมาใส่ และพบว่ามันทำให้อุ่นขึ้นมากจริงๆ ฟ่งดึงหมวกให้เข้าที่แล้วหันไปมองคนเดินข้าง แก้มและจมูกของรูฟัสเริ่มกลายเป็นสีชมพูระเรื่อเพราะความหนาว แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้สึกอะไรนัก ฟ่งคิดว่ารูฟัสดูดีในชุดเสื้อโค้ทขนสัตว์แบบนี้จริงๆ อืม.. จะว่าไปเขายังไม่เคยเห็นว่ารูฟัสใส่อะไรแล้วดูไม่ดีเลย
ถึงตรงนี้ฟ่งอดอิจฉาปนอนาถตัวเองไม่ได้ เขาอยากจะเดินข้างกับรูฟัสอย่างภาคภูมิใจบ้าง ไม่ใช่ใครเห็นใครก็ทักว่าดูผอมไปบ้างล่ะ ดูแก่ไปบ้างล่ะ ฟ่งคิดว่าเขาต้องเปลี่ยนตัวเองใหม่ แต่คงต้องตัดเรื่องที่จะให้รูฟัสเป็นพี่เลี้ยงในการออกกำลังกาย เรื่องคราวที่แล้วยังฝังใจเขาไม่หาย หรือรูฟัสอยากให้เขาดูแย่แบบนี้ไปเรื่อยๆ?
   “นี่รูฟัส ผมเปลี่ยนไปใส่คอนแทกต์เลนส์ดีมั้ย?” ฟ่งเอ่ยถามขณะเดินผ่านสวนเลี้ยวเข้าสู่ถนนที่จะมุ่งหน้ากลับไปยังโรงแรม รูฟัสหันมาทำหน้าสงสัย “ทำไมล่ะครับ?”
   “อืม... เผื่อจะดูดีขึ้น” ฟ่งพูด และนึกว่าตั้งแต่ใส่แว่นมาเขายังไม่เคยอยากจะลองไปใส่คอนแทกต์เลนส์เลยสักหน นี่คงเป็นหนแรก
   “ผมว่าคุณใส่แว่นก็ดูดีอยู่แล้วนะครับ แต่ถ้าคุณคิดว่ามันลำบาก จะเปลี่ยนไปใส่คอนแทกต์เลนส์ก็ได้”
   “จริงๆ ผมชอบใส่แว่นมากกว่า แต่ผมอยากดูดีเหมือนคุณบ้างนี่” ฟ่งว่า รูฟัสก้าวเลยหน้าเขามาหน่อยหนึ่ง แล้วหันกลับมาพูด
   “โธ่ แค่นี้คุณก็ดูดีดูน่ารักสุดๆ แล้วล่ะครับ ผมชอบที่คุณเป็นแบบนี้”
   “แต่คนอื่นเขาไม่มองแบบคุณนี่” ฟ่งแย้ง และพูดต่อ “ผมอยากให้คุณภูมิใจบ้าง แบบว่าถ้าต้องมาเดินคู่กับคนโทรมๆ อย่างผม มันก็ไม่ดีใช่ไหมล่ะ?”
   “ใครบอกคุณว่าไม่ดีล่ะครับ” รูฟัสพูดสวนขึ้นบ้าง “คุณจะไปสนใจคำพูดคนอื่นทำไม ผมชอบคุณที่คุณเป็นแบบนี้ แค่นี้ก็พอแล้วนี่ครับ แล้วก็ไม่มีใครเห็นว่าคุณโทรมสักหน่อย ขนาดพนักงานขายเสื้อผ้ายังบอกว่าคุณน่ารักเลย”
   “คนอย่างผมน่ารักตรงไหน” ฟ่งทำหน้าบู้บี้ รูฟัสอยากจะพูดเสียจริงๆ ว่า”ก็ตรงที่ทำอยู่นี่ไงล่ะ” สำหรับเขาแล้วไม่ว่าฟ่งจะทำอะไรก็ดูน่ารักน่ากอดทั้งนั้น ไม่รู้ว่าเป็นอยู่คนเดียวรึเปล่า รูฟัสภาวนาให้เขามีอาการแบบนี้เพียงคนเดียวในโลก จะได้ไม่มีไอ้บ้าตัวไหนมาแย่งฟ่งไปจากเขา
   “ฟ่งครับ คุณไม่รู้จริงๆ หรือครับว่าตัวเองน่ารัก” รูฟัสพูดต่อ ฟ่งทำหน้าแสลงใจ “ผมไม่น่ารักหรอก”
   “ก็คุณคิดแบบนั้นของคุณเองนี่ครับ คุณคิดว่าตัวเองไม่น่ารัก ผมบอกว่าคุณน่ารัก คุณก็ไม่เชื่อ แล้วคุณคิดว่าแบบไหนถึงจะน่ารักล่ะ”
   “......”
   “เห็นไหมล่ะครับ พอเอาเข้าจริงคุณก็ไม่รู้ว่าน่ารักคืออะไร”
   “อืม....ผมว่า...ถ้าผมเด็กกว่านี้อีกสักหน่อย หรือไม่ก็....” ฟ่งนึกต่อไม่ออก เขาไม่รู้จริงๆ ว่าน่ารักสำหรับผู้ชายด้วยกันคืออะไร เพราะเขาไม่เคยนึกชอบผู้ชายมาก่อน และครั้นจะมองหาความน่ารักในตัวรูฟัส ก็ไม่รู้จะกำหนดยังไง เขาแค่รู้สึกว่ารูฟัสเป็นผู้ชายที่ดูดีมากเท่านั้นเอง
   “คุณอยากดูดีเพราะผมรึเปล่าล่ะครับ?” หนุ่มตาสองสีถามต่อ ฟ่งพยักหน้ายอมรับ รูฟัสคลี่ยิ้มอ่อนโยน
   “อยากทำอะไรเพื่อผม ให้ผมภูมิใจในตัวคุณใช่ไหมครับ?”
   “อืม...” แม้อากาศจะหนาว แต่ไม่รู้ทำไมฟ่งถึงรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาที่ใบหน้า เขาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างลืมตัว และต้องหน้าแดงกว่าเดิม เมื่อนัยน์ตาสุกใสคู่นั้นมองตรงมา
   “คุณรักผมมากจนอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองใช่ไหมครับ?”
   “อื้ม..” ฟ่งเค้นเสียงสูง รู้สึกร้อนผ่าว่ขึ้นมาทั้งใบหน้าจริงๆ เขาไม่กล้ามองสบตารูฟัสอีกแล้ว ร่างบางเบือนหน้าไปทางอื่น
   ถ้าไม่ติดว่านี่เป็นถนนสาธารณะ รูฟัสคงกอดฟ่งแล้วจูบลงไปเสียตอนนี้ นานๆ ทีฟ่งจะยอมรับต่อหน้าว่าคิดยังไงกับเขา แค่นี้เขาก็มีความสุขมากแล้ว ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอีกครั้ง
   “ถ้าคุณรักผม อยากทำให้ผมภูมิใจล่ะก็... ขยับมาใกล้ๆ อีกสิครับ”
   ฟ่งร้อนผ่าวไปทั้งตัว ก้าวเท้าทั้งๆ ที่ยังก้มหน้า ไปยังตำแหน่งที่เท้าของรูฟัสยืนอยู่ ก่อนจะกลั้นใจเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย
   ใบหน้าหล่อเหล่าคลี่ยิ้มละมุนละไม
   “ถ้าคุณอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองล่ะก็ เปลี่ยนมารักผมให้มากๆ สิครับ มองแต่ผม คิดถึงแต่ผมก็พอ ผมอยากให้คุณมองแค่ผม เพราะผมมองแค่คุณ อย่าพยายามให้ใครมองคุณอีกเลยนะครับ เพราะผมอยากมองคุณคนเดียว อย่าสร้างคู่แข่งให้ผมอีกเลยนะ”
   ฟ่งร้อนวูบวาบไปทั่วทั้งตัว ขณะที่รูฟัสยื่นมือมากุมมือเขาไว้
   “รู้ไหมครับ คุณน่ารักจะตาย ไม่น่ารักไอ้รัสเลอร์มันจะขโมยจูบคุณทำไมล่ะครับ รู้รึเปล่าว่าคุณทำให้เจ้าสติเฟื่องนั่นถึงกับเสนอตัวเองมาเป็นคู่แข่งกับผม ไม่เคยสังเกตเลยหรือครับว่าคนรอบตัวเขารู้สึกกับคุณยังไง กี่คนที่ขโมยจูบคุณล่ะครับ? อย่าโปรยเสน่ห์ให้ผมคลั่งไปมากกว่านี้เลยครับ แค่นี้ผมก็แทบจะแอบคุณเอาไว้ไม่ให้ใครเห็นอยู่แล้ว”
   ฟ่งตัวร้อนทนคิดว่าใกล้จะเดือดเต็มที เลยรีบพูดตะกุกตะกัก “รูฟัส..คะ..คุณกำลังจะทำให้ผมหลงตัวเองนะ”
   “ก็ดีสิครับ ผมไม่อยากให้คุณเศร้าเวลาต้องเดินคู่กับผม คุณน่ารัก ผมภูมิใจที่มีคนรักน่ารักๆ แบบคุณ ภูมิใจในตัวเองหน่อยสิครับ นะครับ ผมรักคุณนะ”
   “อืม...” เกิดมาฟ่งยังไม่เคยเขินจนรู้สึกตัวร้อนจัดขนาดนี้มาก่อนเลย คงเป็นพราะอากาศหนาวนี่ด้วยล่ะมั้ง เขาช้อนตาขึ้นมองคนตรงหน้าอีกครั้ง
   “รูฟัส...” ฟ่งพูดค้าง มองดูดวงหน้าคมเข้มนั้นด้วยความรู้สึกหลายอย่าง เขาเพิ่งรู้ตัวว่ารักผู้ชายคนนี้มากเหลือเกิน รักจนอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างที่ไม่เคยอยากจะทำมาก่อนตลอดชีวิต แต่ผู้ชายคนนี้ก็ชอบที่เขาเป็นเขาแบบนี้
   “กลับห้องกันเถอะครับ ผมหนาวจะแย่แล้ว” หนุ่มตาสองสีพูดขึ้น ฟ่งพยักหน้า และออกเดินคู่กันไปอีกครั้ง ฝีเท้าของคนทั้งคู่ประสานเป็นจังหวะเดียวกันอย่างไม่ตั้งใจ รูฟัสก้มลงกระซิบข้างหูฟ่งตอนก่อนจะถึงหน้าประตูโรงแรม
   “ขึ้นไปแล้วช่วยทำให้ผมอุ่นทีสิครับ นะครับ คนน่ารักของผม”
   ใบหน้าของฟ่งกลายเป็นสีแดงจัด เขาอดไม่ได้ต้องทุบรูฟัสไปทีหนึ่ง
   ไม่รู้ว่าตัวเองน่ารักรึเปล่า แต่ฟ่งรู้ว่าตอนนี้รูฟัสน่าทุบที่สุดเลย
--------------------------------------------
**ช่วงAfter storyนี่เป็นอะไรที่เวิ่นเว้อแบบสุดๆ ขนาดเขียนเองกลับมาอ่านเองยังขนลุกกับความติงต๊องและน้ำเน่าของคู่นี้... เอาน่า.... คนมีความรักมันก็งี้แหละ (แก้ตัวไปวันๆ จริงๆ :o8:)

เรื่องน่าตกใจคือเราสามารถเวิ่นเิ้ว้อมันจนจบได้ที่88ตอน (เยี่ยมเลยรูฟัส!!)

เหลืออีกแค่8ตอนเรื่องนี้จะจบสักที (ส่วนที่เหลือไปเก็บตกเอาในตอนพิเศษและในรวมเล่มฉบับพิเศษนะจ้ะ<<ใครจะเก็บกับหล่อนย้า!!! :angry2:)

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ^^ :กอด1:

ออฟไลน์ love AJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
ลง 8 ตอนรวดเลยไม่ได้หรอค่ะ


ฟงน่ารักเกิน  :bye2:

ออฟไลน์ pandorads

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
สวีตกันจนคนอ่านอิจฉาตาเนี่ยลุกเป็นไฟแล้วว!!
ทำไมชีวิตเราไม่มีอย่างงี้บ้างอ่ะ TT^TT

* pandorads --> วิ่งไปที่หน้าผา : ผู้ชายดีๆ อย่างรูฟัสมันหายไปไหนหมดค้าา !!

ออฟไลน์ entirom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1010
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-2
เจอฮ่องกงน้ำตาไหล
กลับมาไทยเล่นหวานซ่า
บินไปรัสเซีย อูยยยยยยยยย

อิจฉาโว๊ยยยยยยยยยยย

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**เปิดโหวตตัวละครแล้วนะค้า ชอบใครรักใครโหวตกันได้ แต่ไม่มีรางวัลอะไรนะเออ ฮ่าๆ**

ตอบคอมเม้นต์ก่อน

ลง 8 ตอนรวดเลยไม่ได้หรอค่ะ


ฟงน่ารักเกิน  :bye2:

ลง20ตอนเคยทำมาแล้วค่ะ ปรากฏว่าคนอ่านอ่านกันไม่ทัน แหะๆ อัพมันวันละตอนนี่ล่ะค่ะ อีกไม่กี่วันก็จบแล้ว^^

สวีตกันจนคนอ่านอิจฉาตาเนี่ยลุกเป็นไฟแล้วว!!
ทำไมชีวิตเราไม่มีอย่างงี้บ้างอ่ะ TT^TT

* pandorads --> วิ่งไปที่หน้าผา : ผู้ชายดีๆ อย่างรูฟัสมันหายไปไหนหมดค้าา !!

"ผู้ชายดีๆ อย่างรูฟัส"<<แอบช็อก!!! ไอ้นี่มันผู้ชายกะล่อน ตอแหล หื่น หน้าด้าน หน้าทน มีดีอย่างเดียว รักจริงหวังแต่ง รักแท้หวังฟัน (โห... นี่คือสิ่งที่เราคิดกับพระเอกเรื่องนี้นะเนี่ย ฮ่าๆ)

แต่เราก็รักนะคะ อิอิ

-----------------------------------------------------
ต่อตอน81เลยค่ะ
-----------------------------------------------------

บทที่81 เหตุผลโง่ๆ ของฮีโร่จำเป็น
แม้เมื่อคืนทั้งคู่จะมาถึงห้องด้วยบรรยากาศหวานหวิว แต่จนแล้วจนรอดฟ่งก็ยังยืนกรานจะขอนอนเฉยๆ เพราะกลัวจะตื่นไปดูอะไรต่อมิอะไรพรุ่งนี้ไม่ไหว พอเห็นดวงตาสีน้ำตาลมองอย่างจริงจังตั้งใจแบบนั้น ถึงจะอยากทำมากกว่ากอด รูฟัสก็ต้องห้ามใจเอาไว้ ด้วยไม่อยากให้ฟ่งอารมณ์เสียในวันรุ่งขึ้น
สองคนนอนอิงแอบกันอยู่บนเตียงอ่อนนุ่มท่ามกลางสายลมหนาวยะเยือกที่พัดวูบอยู่นอกหน้าต่าง
ฟ่งเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าการนอนกอดคนเป็นๆ ด้วยกัน อุ่นกว่ากอดหมอนข้างเป็นไหนๆ เพราะมาจากประเทศในเขตร้อนชื้น แม้จะปรับฮีตเตอร์แล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกหนาวอยู่ดี ร่างผอมบางซุกตัวเข้าไปอิงอาศัยไออุ่นจากร่างกำยำที่นอนเคียงข้างจึงรู้สึกค่อยยังชั่ว ฟ่งนอนอิงอยู่อย่างนั้นจนผล็อยหลับไป กระทั่งถึงรุ่งเช้าก็ยังไม่อยากผละออก
อ้อมกอดของรูฟัสอบอุ่นอ่อนโยนจริงๆ
รูฟัสลูบศีรษะร่างผอมบางที่นอนแนบชิด ก้มลงจุมพิตเรือนผมสีน้ำตาลยุ่งๆ นั้น คงต้องขอบคุณความหนาวเหน็บแห่งรัสเซีย ที่ทำให้ฟ่งกระแซะตัวเข้ามาใกล้ชิดเขาขนาดนี้ ตอนอยู่เมืองไทย กอดได้ไม่เท่าไร ฟ่งก็มักจะตะกายออกไปในตอนหลับทุกที คงรู้สึกว่าร้อนล่ะมั้ง แต่ถ้าอากาศหนาวแบบนี้ ฟ่งคงต้องซุกเขาไปตลอด นี่ขนาดยังไม่ใช่หน้าหนาว รูฟัสชักอยากจะอยู่ให้ถึงหน้าหนาว บางทีฟ่งอาจจะยอมให้เขากอดทั้งวันเลยก็ได้ แค่คิดก็รู้สึกวูบวาบในหัวใจแล้ว หรือจะขอให้ฟ่งย้ายมาอยู่ที่นี่เลยดีนะ...
ขณะที่กำลังคิดไปต่างๆ นาๆ ร่างบางในอ้อมกอดก็ปรือตาขึ้น ก่อนจะเอ่ยปากถามเสียงงัวเงีย “กี่โมงแล้ว?”
รูฟัสก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ “เจ็ดโมงเช้าครับ”
ฟ่งทะลึ่งตัวลุกพรวดขึ้นทันที  จนรูฟัสต้องรีบคว้าตัวไว้ “เดี๋ยวก็หน้ามืดหรอก”
ฟ่งถูกดึงจนต้องกลับมานั่งปุอยู่บนเตียง ก่อนจะหันซ้ายหันขวา “แว่น แว่นผมล่ะ?” เขาเรียกหาสิ่งเดิมๆ ที่เรียกหาอยู่ทุกเช้า รูฟัสหยิบแว่นที่วางอยู่ตรงหัวเตียงขึ้นมา สวมให้อย่างเบามือ ร่างบางกะพริบตาปริบๆ “ผมต้องอาบน้ำ”
“หนาวขนาดนี้ไม่ต้องอาบหรอกครับ” รูฟัสว่า และคลี่ยิ้ม ฟ่งทำหน้างงๆ “อ่อ...อืม..งั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปกันเถอะ”
กล่าวจบทำท่าจะผุดลุกขึ้นอีก รูฟัสจึงดึงร่างนั้นเข้ามากอด และหอมแก้มฟอดหนึ่ง ดูท่าทางฟ่งจะตื่นเต้นอยากออกไปเที่ยวมากจริงๆ ร่างกำยำยกมือขึ้นลูบศีรษะยุ่งๆ นั้นอย่างเอ็นดู
“โบสถ์เปิดสิบโมงครับ คุณนอนต่ออีกสักหน่อยก็ได้
“อ่ะ...อ่อ...อืม...” ฟ่งพยักหน้าพลางทำหน้าเขินๆ เขาผลักรูฟัสออกนิดหนึ่ง “ขอโทษที แบบว่าผมกลัวคนเยอะน่ะ”
“คนไม่เยอะมากหรอกครับ ก็เหมือนสถานที่สาธารณะทั่วไปนั่นแหละ” รูฟัสตอบและยิ้มกริ่ม “ที่นั่นคู่แต่งงานชอบไปถ่ายรูปด้วยนะครับ”
“เป็นพวกสตูดิโอหรือ?” ฟ่งถาม รู้สึกว่าถ้าเจอกองคาราวานถ่ายภาพที่มีทั้งรีเฟลกทั้งขาตั้งแฟลตยั้วเยี้ยเต็มหน้าโบสถ์เขาคงปวดหัวตาย คนถูกถามสั่นศีรษะ “ถ่ายกันธรรมดานี่แหละครับ”
ร่างบางพยักหน้า และล้มตัวลงซุกเข้ามาในผ้าห่มต่อ “งั้นเดี๋ยวผมค่อยลุกแล้วกัน”
รูฟัสคลี่ยิ้มอ่อนโยนอีกรอบ และก้มลงจูบหน้าผากฟ่งเบาๆ “Добрыѝ утро อรุณสวัสดิ์ครับ”
------------------------------------------------------
หลังอาหารเช้า ทั้งคู่ตกลงจะเดินเท้าไปยังโบสถ์เนื่องจากใช้เวลาไม่นานนัก และฟ่งจะได้เห็นทัศนียภาพของมอสโคว์ในยามสายๆ ด้วย ฟ่งเห็นรูฟัสหยิบแว่นตากันแดดสีชาขึ้นมาสวมตอนก่อนจะออกจากห้อง คงอยากจะพรางนัยน์ตาสีแปลกนั้นกระมัง หนุ่มตาสองสีหันมายิ้มแผล่พอรู้ว่าเขามองอยู่ ฟ่งรู้สึกว่ารูฟัสดูแปลกตาไปมากจริงๆ เมื่อสวมแว่นตากันแดดแบบนี้ ดูเจ้าเล่ห์ยังไงพิกล
ในตอนที่เดินออกมาด้านหน้าของโรงแรม รูฟัสชี้ให้ฟ่งดูโรงละครบอลชอย
“บอลชอยจริงๆ แปลว่าใหญ่นะครับ แต่เหมือนคนจะเรียกจนกลายเป็นชื่อไปแล้ว”
“อ่าว แล้วชื่อจริงๆ ชื่ออะไรล่ะ?” ฟ่งถามพลางเขม่นมองอาคารสีขาวในสถาปัตยกรรมแบบยุโรปยุคในสมัยคริสต์ศตวรรษที่สิบแปด
“อืม...” รูฟัสพยายามนึก “เหมือนจะชื่อแกรนด์ อิมพีเรียลมั้งครับ ผมไม่แน่ใจแล้วเหมือนกัน เย็นนี้คุณจะแวะเข้าไปดูบัลเล่มั้ยครับ?”
ฟ่งทำตาโต “ผมไม่เคยดูบัลเล่ อืม...ผมคิดว่ามีละครสัตว์ด้วยเสียอีก”
รูฟัสยิ้ม “ละครสัตว์ก็มีนะครับ ไว้ผมจะหาซื้อตั๋วเอาไว้ จะได้ไปดูกัน ละครสัตว์ที่นี่สนุกมากเลย”
สองคนเดินคุยกันไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นทั้งที่อากาศหนาวแทบตาย รูฟัสยังมีแก่ใจจะแวะซื้อไอศกรีม
“เอาด้วยไหมครับ?” หนุ่มตาสองสีหันมาถาม ร่างบางสั่นศีรษะ มองดูคนร่วมทางเดินเข้าไปซื้อไอศกรีม เหมือนคนที่นี่จะไม่สนใจอากาศ ฟ่งเห็นว่ามีหลายคนยืนรอคิวอยู่ สักพักชายหนุ่มก็เดินออกมาพร้อมกับโคนใส่ไอศกรีมรสช็อกโกแลต
“คุณไม่หนาวหรือนี่?” ฟ่งว่า มองดูรูฟัสกินไอศกรีมเหมือนไม่รู้สึกว่าอากาศด้านนอกเป็นอย่างไร หนุ่มตาสองสีซึ่งสวมแว่นตาสีชาหันมายิ้ม “ก็นิดหน่อยครับ เห็นแล้วมันอยากจะซื้อมาทานน่ะ คุณลองชิมมั้ย?”
ฟ่งไม่อยากให้เสียน้ำใจเลยเอาลิ้นแตะดูสักทีหนึ่ง รสชาติขมกว่าที่เมืองไทยนิดหน่อย
“อร่อยดี” หนุ่มสวมแว่นว่า รูฟัสจึงอาสาจะไปซื้อก้อนใหม่มาให้ แต่ฟ่งรีบห้ามเอาไว้ เขาคงหนาวตายแน่ๆ ถ้ากินของเย็นๆ แบบนี้เข้าไป
ทั้งคู่เดินมาถึงโบสถ์เซนต์เบซิลราวๆ สิบโมงกว่าๆ แสงแดดยามสายทำให้ทัศนียภาพแตกต่างออกไปจากตอนกลางคืนโดยสิ้นเชิง ฟ่งนัยน์ตาเป็นประกาย
“โอ้โห....สวยอย่างกับไม่ใช่ของจริงแน่ะ” หนุ่มสวมแว่นอุทาน ตะลึงมองดูโบสถ์รูปโดมหัวหอมหลากสีซึ่งเป็นสัญลักษณ์ขึ้นชื่อของประเทศนี้ ผนังด้านนอกโบสถ์ก่อด้วยอิฐสีแดง ปิดด้วยกระเบื้องสีสันต่างๆ บนยอดโดมที่เป็นเอกลักษณ์ก็ประดับด้วยสารพัดทรงกระเบื้อง แถมสีสันก็ฉูดฉาดบาดตา ไม่ซ้ำกันเลยสักหัว เป็นความหลากหลายที่ดูลงตัว กลายเป็นความสวยงามที่น่าประทับใจ
“คนสร้างที่นี่เก่งจัง” ฟ่งเปรยออกมาหลังจากยืนตะลึงอยู่พักใหย่ๆ รูฟัสซึ่งเพิ่งทานไอศกรีมเสร็จยิ้มเผล่ “ได้ยินว่าสถาปนิกที่สร้างที่นี่พอสร้างเสร็จปุ๊บ ก็โดนเอาตัวไปตัดมือปั๊บเลยนะครับ เพราะซาร์ไม่อยากให้ไปสร้างอะไรที่สวยกว่านี้อีก”
ฟ่งทำหน้าสยดสยอง นึกถึงเรื่องปราสาทหินที่เคยได้ยินเหมือนกันว่าคนสร้างพอสร้างเสร็จก็ทุบมือทิ้ง
“คุณเองก็ระวังไว้นะครับ ยิ่งชอบสร้างอะไรแปลกๆ อยู่” รูฟัสแหย่ ฟ่งทำหน้าบูดใส่เขาทันที “พูดงี้แปลว่าคุณจะไม่ช่วยผมแล้วสิ”
“โถ....ผมไม่ช่วยคุณแล้วจะไปช่วยใครล่ะครับ”
“งั้นผมไม่ระวังดีกว่า จะได้ให้คุณไปช่วย” ฟ่งแหย่กลับ รูฟัสคราง “โธ่..แล้วกัน”
หนุ่มสวมแว่นไม่ต่อปากต่อคำอีก เขาเดินจ้ำเข้าไปถ่ายภาพโบสถ์ในระยะใกล้ รูฟัสเดินตามไปห่างๆ อดจะยกมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทไม่ได้
เมื่อวานตอนที่ฟ่งนั่งทานขนมอยู่ รูฟัสไม่ได้แวะไปห้องน้ำ เขาแวะไปซื้อบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อยากให้ฟ่งรู้ ชายหนุ่มหยิบกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินใบเล็กออกมา แง้มฝาดูด้านในอย่างอดใจไม่ได้ แหวนพลาสตินั่มสีเงินสองวงนอนสงบนิ่งอยู่ในนั้น
อาจจะฟังดูตลก แต่เขาอยากจะขอฟ่งแต่งงาน
ชายหนุ่มหยิบแหวนวงหนึ่งขึ้นมาสวมเอาไว้ที่นิ้วนางข้างซ้าย หวังว่าอีกวงคงจะพอดีกับนิ้วฟ่ง เขาอยากเห็นฟ่งสวมมันไวๆ อยากจะเห็นสีหน้าดีใจตอนที่เขาสวมแหวนให้
อยากจะสาบานรักกับคนคนนั้น แม้ว่าพระเจ้าจะไม่เห็นด้วยก็ตาม
ก็ช่างพระเจ้าสิ เขาจะรักเสียอย่าง
รูฟัสอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ เขาเก็บกล่องกำมะหยี่เข้ากระเป๋าเสื้อโค้ท คงมีจังหวะเหมาะๆ ที่เขาจะได้สวมมันบนนิ้วมือของฟ่งในบรรยากาศแสนโรแมนติกแบบนี้
ฟ่งดูจะชอบอกชอบใจโบสถ์เซนต์เบซิลมาก วิ่งไปถ่ายรูปมุมนั้นมุมนี้ พออยู่ในชุดโค้ทที่มีขนปุยแบบนั้นแล้วก็เหมือนกระรอกกระต่ายที่วิ่งไปวิ่งมาอยู่ในสวนหลังบ้าน รูฟัสยืนมองอย่างอิ่มอกอิ่มใจ เขาเห็นคู่แต่งงานหลายคู่มาถ่ายรูปกันด้านหน้าโบสถ์ มีคู่หนึ่งมาขอร้องให้เขาถ่ายภาพให้ ยิ่งทำให้รูฟัสอยากจะสวมแหวนลงไปบนนิ้วของฟ่งไวๆ หลังจากคืนกล้องให้ผู้ที่มาของช่วยแล้ว ขณะที่ชายหนุ่มกำลังนึกหาจังหวะ ฟ่งก็ตะโกนเรียกเขา
“รูฟัส!”
หนุ่มตาสองสีเดินเข้าไปหาทันที ฟ่งที่ทั้งวิ่งทั้งเดินเพื่อถ่ายรูป ใบหน้าเลยกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ ยิ่งดูน่ารักน่ากอด รูฟัสร่ำๆ จะหยิบแหวนออกมาสวมให้ตอนนี้เลย แต่หนุ่มสวมแว่นชิงพูดขึ้นก่อน
“ตรงนั้นประตูอะไรน่ะ?”
ฟ่งชี้มือไปยังซุ้มประตูอิฐสีแดงที่ปิดประตูสนิทซึ่งด้านบนเป็นหอนาฬิกาก่อจากอิฐมียอดสีเขียวสูงขึ้นไปมีดาวสีแดงประดับอยู่ที่ตั้งติดอยู่กับกำแพงอิฐซึ่งอยู่ห่างจากโบสถ์ไปไม่มาก
“อ้อ...สปัสสกาย โวโรตา” รูฟัสว่า และรีบเปลี่ยนมาพูดอะไรที่ฟังง่ายกว่านั้น “ประตูสปัสสกีน่ะครับ เป็นประตูที่ว่ากันว่าถ้าสวมหมวกเดินเข้าไปจะโชคร้ายนะ”
ฟ่งยกมือขึ้นจับหมวกบนหัวตัวเอง ทำหน้าแปลกๆ “ไม่เป็นไรหรอกมั้ง ก็มันปิดนี่ แล้วด้านในเป็นอะไรล่ะ?”
“พระราชวังเครมลินไงครับ” รูฟัสตอบยิ้มๆ “จะเข้าไปไหมล่ะครับ ประตูเข้าอยู่อีกฝั่งหนึ่ง เดี๋ยวผมพาเดินไป”
ฟ่งจึงถ่ายรูปอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะเดินตามรูฟัสไปตามถนนเส้นใหญ่ และเลี้ยวซ้ายเดินผ่านสวนAleksandrovsky ซึ่งต้นไม้กำลังผลัดไปเป็นสีทองอร่ามตา แล้วรูฟัสก็ชี้มือให้เขาถูทิวกำแพงยาวที่ทอดเข้าสู่พระราชวังเครมลิน
“ประตูตรงนี้เรียกว่าหอคอยตรีเอกภาพน่ะครับ เป็นทางเข้าหลัก เดี๋ยวเราต้องไปซื้อตั๋วกันก่อน” เขาว่าและพาฟ่งเดินต่อไปเรื่อยๆ ผ่านซุ้มประตูด้านหน้ากำแพงยาว ตัดเข้าไปในสวนอีกรอบ จึงเจออาคารจำหน่ายบัตรเข้าชม
หลังจากซื้อตั๋วเรียบร้อยแล้ว รูฟัสจึงพาฟ่งเดินผ่านซู้มประตูอิฐใหญ่ ผ่านทางเดินยาวเข้ามาสู่บริเวณที่เรียกกันว่าพระราชวังเครมลิน
ความกว้างของบริเวณด้านในและสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ทำให้ฟ่งอ้าปากค้าง แค่นึกว่าต้องเดินไปดูนั่นดูนี่ ขาก็ดูจะปวดรอท่าเสียแล้ว
รูฟัสชี้ให้ฟ่งดูยอดหลังหาทรงหัวหอมสีทองอร่ามที่อยู่ด้านหลังอาคารทรงยุโรป เยื้องออกไปด้านหน้าทางขวามือ
“อื้อหือ ดงหัวหอมสีทอง” หนุ่มสวมแว่นอุทาน และยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปอีก รูฟัสจึงพาเขาเดินผ่านลานกว้าง ไปยังกลุ่มอาคารสีขาวที่มียอดหลังคาเป็นโดมสีทองอร่าม
“ตรงนั้นเรียกว่าวิหารเครมลินน่ะครับ” หนุ่มตาสองสีที่ทำหน้าที่ไกด์จำเป็นไปแล้วอธิบายต่อ ฟ่งเบิ่งนัยน์ตาสีน้ำตาลขึ้นมองยอดหอมสีทองที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าด้วยความชื่นชม
“เพื่อนผมต้องไม่เชื่อแน่ๆ ของจริงมันสวยมากเลย” หนุ่มสวมแว่นกล่าวอย่างลิงโลด รูฟัสยิ้มกว้าง
“เอากล้องมาสิครับ เดี๋ยวผมถ่ายรูปคุณให้”
“ถ่ายด้วยกันสิ” ฟ่งว่า รูฟัสยิ้มเจื่อน “เอาแค่คุณดีกว่า เพื่อความปลอดภัย” เขาพยายามจะพูดให้ติดตลก หนุ่มสวมแว่นมองหน้าเขา ก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ “ผมเข้าใจล่ะ”
รูฟัสเลยถ่ายรูปฟ่งคู่กับวิหารเครมลินไปภาพสองภาพ ก่อนส่งกล้องคืนให้ “ผมยังไม่ได้ถ่ายรูปกับโบสถ์ตะกี้เลย”
“เอาไว้ขากลับก็ได้ครับ” รูฟัสรีบบอก เขาคิดว่าควรจะใช้ช่วงเวลานั้นสวมแหวนให้ฟ่งด้วย
พระราชวังเครมลินนั้นใหญ่โตอลังการ ประกอบกลุ่มอาคารมากมาย ทั้งอาคารคลังแสง และโบสถ์ต่างๆ ที่เด่นสะดุดตานอกจากวิหารเครมลินที่เป็นโบสถ์ทรงโดมรูปหัวหอมสีทองแล้ว ก็คงจะเป็นหอระฆังของซาร์อีวานมหาราช ซึ่งตั้งสูงเด่นเป็นสง่าและมีโดมรูปหัวหอมสีทองเช่นเดียวกัน ด้านล่างของหอระฆังยังมีตั้งเอาไว้ให้ชมอีกด้วย
เนื่องจากอาณาเขตของพระราชวังนั้นกว้างขวางมาก แม้มีนักท่องเที่ยวมากก็ยังดูไม่แออัดหนาแน่น หลังจากอธิบายความเป็นมาของอาคารหลังต่างๆ อย่างคร่าวๆ แล้ว รูฟัสก็นัดแนะว่าถ้าเกิดหลงทางให้กลับมายืนรอที่หอระฆัง เพราะเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ชัดที่สุด ก่อนจะปล่อยให้ฟ่งได้ถ่ายภาพตามสบาย โดยที่ตัวเองเดินตามห่างๆ เนื่องจากสังคมรัสเซียยังไม่ค่อยยอมรับพวกรักร่วมเพศ และที่นี่เป็นสถานที่เปิด ชายหนุ่มเกรงว่าถ้าแสดงท่าทางใกล้ชิดกันจนเกินไปจะกลายเป็นเป้าสายตาของคนบางกลุ่มได้
ฟ่งเดินชมอาคารที่ก่อสร้างด้วยหินอ่อนและอิฐเหล่านั้นอย่างตื่นตาตื่นใจ สมัยเรียนที่มหาวิทยาลัย เขามีโอกาสได้เรียนเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมแบบยุโรป แต่ยังไม่เคยเห็นของจริงเลยสักครั้ง และที่รัสเซียเองก็ถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมยุโรปที่มีเอกลักษณ์แตกต่างจากประเทศในแถบยุโรปอื่น
“พี่ชายต้องการไกด์รึเปล่าฮ่ะ?” เสียงหนึ่งเอ่ยถามขึ้นเป็นภาษาอังกฤษขณะที่ฟ่งกำลังเงยหน้าขึ้นมองอาคารที่สร้างจากเหล็กและกระจกซึ่งดูจะขัดกับลักษณะอาคารโดยรอบ พอก้มหน้าลงไปก็พบเด็กผู้ชายอายุราวๆ เจ็ดแปดขวบ ผมสีบลอนด์น้ำตาลยืนยิ้มอยู่
“ผมเป็นไกด์ยุวชนของที่นี่ฮะ” เด็กน้อยพูดพลางยกบัตรที่เขียนด้วยภาษารัสเซียและภาษาอังกฤษให้เขาดู ส่วนใหญ่เป็นทับศัพท์มาจากภาษารัสเซียซึ่งฟ่งอ่านไม่ค่อยออก พอจะตีความได้ว่าคงมาจากโรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่งแถวนี้
ฟ่งไม่ได้ตอบทันที เขามัวแต่มองหน้าหนูน้อยด้วยความแปลกใจ เด็กน้อยพูดต่อ “พี่มาคนเดียวหรือฮะ พูดภาษาอังกฤษได้มั้ย?”
“ดะ ได้” ฟ่งตอบออกมาในที่สุด เด็กน้อยยิ้มกว้าง และแนะนำตัวเอง
“ผมชื่อเกรเกอรีฮะ ตึกนี้เรียกว่าดราเสียส สเยซโดฟ หรือว่าวังคองเกรซ สร้างในปี1916 เป็นอาคารในยุคที่เรายังเป็นสหภาพโซเวียตอยู่นะฮ่ะ เลยดูแปลกไปจากอาคารหลังอื่น”
หนูน้อยในชุดสเวตเตอร์ผ้าร่มสีฟ้าอ่อนอธิบายปร๋อและยิ้มร่าอย่างภาคภูมิใจ ฟ่งอดไม่ได้ต้องพยักหน้าและยิ้มตอบ
“พี่อยากไปดูอาคารคลังแสงมั้ยฮะ ตรงนั้นมีปืนใหญ่ตั้งอยู่ด้วยนะฮะ” เด็กน้อยเกรเกอรีเอ่ยถามต่อ ฟ่งมองหน้าหนูน้อย และยิ้มบางๆ
“เดี๋ยวนะ พี่ต้องบอกเพื่อนก่อน”
“พี่มีเพื่อนมาด้วยหรือฮะ” เกรเกอรีถาม ฟ่งเลยชี้มือไปทางรูฟัสและพบว่าทางนั้นกำลัง
นั่งคุกเข่าคุยอยู่กับเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งวัยไล่ๆ กับเกรเกอรี่ เหมือนว่ากำลังร้องไห้อยู่ด้วย
“อ้าว นั่นมันเอ็ดการ์ดนี่นา สงสัยจะเดินหกล้มอีกแล้ว” เกรเกอรี่ว่า ฟ่งหันมาถาม “นั่นเพื่อนเธอหรือ”
“ครับ” เด็กน้อยตอบ และพูดต่อ “เขามาเป็นเพื่อนผมน่ะ เห็นว่าจะไปซื้อไอศกรีมมาให้ ดันไปยืนร้องไห้ซะแล้ว นั่นเพื่อนพี่หรือฮะ”
“อ้อ ใช่” ฟ่งว่า และกำลังนึกว่าจะบอกรูฟัสอย่างไรดี ท่าทางเด็กคนนี้ตั้งใจจะนำเที่ยวอย่างจริงๆ จังๆ จะบอกปัดก็กลัวจะเสียความตั้งใจ จังหวะนั้นรูฟัสเงยหน้าขึ้นมาพอดี
“ฟ่ง ผมเปล่าตั้งใจแกล้งเด็กนะครับ พอดีผมมัวแต่ดูคุณเลยชนเจ้าหนูนี่เข้า”
ฟ่งยกมือเกาศีรษะ เมื่อไรรูฟัสจะเลิกเอาเขามาอ้างซักทีนะ
“อืม..รูฟัส เด็กคนนี้เขาบอกผมว่าจะพาทัวร์น่ะ คุณว่าไง?”
ดูรูฟัสจะลำบากใจเรื่องเจ้าหนูน้อยที่ยังร้องไห้ไม่หยุด จนคนเดินผ่านไปผ่านมาเริ่มหันมามอง เขาไม่อยากให้ฟ่งเสียเวลาอยู่กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เลยตะโกนกลับไป
“คุณไปกับเขาก็ได้ครับ เขามีบัตรไกด์ใช่ไหมล่ะ? เดี๋ยวผมจะตามไปแล้วกันนะ”
พูดภาษาไทยจบก็พูดอีกภาษาสำทับไป “เฮ้ย ไอ้หนู อย่าพาเขาไปที่แปลกๆ ล่ะ”
เกรเกอรีมีสีหน้าแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด เขาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันมาพูดกับฟ่ง “เพื่อนพี่เป็นคนที่นี่นี่ฮะ”
“อ้อ..ใช่ แต่ไม่เป็นไรหรอก” ฟ่งว่า และพูดต่อ “เดี๋ยวเขาจะตามมา เธอจะไปดูเพื่อนก่อนรึเปล่าล่ะ”
เด็กน้อยสั่นศีรษะ “ไม่หรอกฮะ ปล่อยไว้เดียวก็คงหยุดร้องไปเองแหละ ขืนผมเดินเข้าไปอีกหมอนั่นจะยิ่งร้องไห้น่ะสิ”
ฟ่งไม่รู้จะพูดอะไรต่อ จึงได้แต่ยิ้ม เกรเกอรี่ดึงแขนเสื้อของเขาและชี้ไปที่อาคารทรงยุโรปแถวยาวที่อยู่ติดกับซุ้มประตูใหญ่อีกประตูหนึ่ง “นั่นไงฮะ อาคารคลังแสง ติดกับประตูที่พี่เดินเข้ามาไงล่ะ”
“ซุ้มประตูที่พี่เดินเข้ามาเรียกว่าตรอยต์สกายา บาชเนียฮะ สมัยก่อนเป็นทางที่ซาร์กับเชื้อพระวงศ์ใช้เสด็จเข้า ส่วนประตูที่อยู่ตรงโน้น”
เด็กน้อยชี้มือไปยังยอดสีเขียวติดดาวแดงที่ฟ่งเพิ่งเอ่ยปากถามรูฟัสไปก่อนหน้านี้
“ตรงนั้นเรียกสปัสสกายา โวโรตา ตอนที่นโปเลียนเอากองทัพฝรั่งเศสมาบุกเรา ดันไปเข้าประตูนั้นฮะ เห็นว่าตอนเข้าประตูหมวกที่ใส่อยู่ประจำดันหลุดหรืออะไรซักอย่าง แล้วหลังจากนั้นนโปเลียนก็แพ้สงคราม เลยเชื่อกันว่าถ้าใส่หมวกเข้ามาทางประตูนั้นแล้วจะโชคร้ายน่ะฮะ แต่ตอนนี้ประตูปิดไปซะแล้ว”
ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ  เกรเกอรีอธิบายได้สมกับเป็นไกด์จริงๆ เด็กหนุ่มนำเขามาที่แท่นวางปืนใหญ่ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากอาคารคลังแสงนัก เพื่อให้ถ่ายรูป
“อาคารคลังแสงนี่สร้างในสมัยซาร์ปีเตอร์มหาราชฮะ รู้สึกจะประมาณปี1736มั้งฮะ อ้อ พี่ฮะ ผมลืมพูดเรื่องดาวแดง ที่ติดอยู่ด้านบนยอดหอคอยตามกำแพงนั่นไม่ได้มีมาแต่แรกนะฮะ มันเป็นสัญลักษณ์ของพรรคคอมมิวนิสน่ะฮะ พิ่งมาติดหลังสมัยปฏิวัติการปกครอง”
ภาษาอังกฤษของเกรเกอรีดีมากจริงๆ ฟ่งฟังไปเพลิดเพลินกับเนื้อหา เด็กน้อยอธิบายหันมาอธิบายเสียงจ้อจนไม่ทันมองด้านหน้า ผลคือชนกับชายคนหนึ่งอย่างจัง ดีว่าฟ่งคว้าตัวไว้ทัน
“Простите пожалуйста!” เกรเกอรี่กล่าวอย่างตกใจ แต่คนชนเดินผ่านไปเสียแล้ว เด็กหนุ่มเลยหันมาบอกขอบคุณคนช่วยจับไว้แทน
“ขอบคุณฮะ”
“ไม่เป็นไรหรอก” ฟ่งว่า มองหน้าเด็กน้อย แล้วจึงพูดต่อ “เธอไปยืนตรงฐานปืนใหญ่นั่นหน่อยสิ พี่จะถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก”
“ได้สิฮะ” หนูน้อยเกรเกอรียิ้มร่า และเดินไปที่ฐานปืนใหญ่อย่างว่าง่าย ฟ่งถ่ายรูปหนูน้อยสองสามรูป แล้วจึงชวนกันเดินต่อ
“ตรงนั้นเป็นอาคารอะไรน่ะ” ฟ่งชี้ไปยังด้านขวามือซึ่งมีกลุ่มอาคารที่มีหลังคาทรงโดมอยู่ด้านใน
“อ๋อ ตรงนั้นเป็นอาคารวุฒิสภาน่ะฮะ เรียกว่าอาคารเซนัต เลนินเคยอยู่ที่นี่ด้วยล่ะฮะ พี่ไปพิพิธภัณฑ์เลนินแล้วยังฮะ?”
ฟ่งสั่นศีรษะ หนูน้อยเลยพูดต่อ “เดี๋ยวผมพาไปก็ได้ฮะ พี่ไม่ต้องจ่ายค่าตั๋วให้ผมหรอก เพราะผมมีบัตรผ่านได้ทุกประตู” เกรเกอรีว่า และยกมือขึ้นแตะบัตร แต่ปรากฏว่าบัตรไม่อยู่บนคอของเขาเสียแล้ว เด็กน้อยหน้าเสียทันใด เขาพึมพำอะไรซักอย่างในภาษาที่ฟ่งไม่เข้าใจ ก่อนจะหันมาพูดด้วย
“ผมคงทำบัตรหล่นหาย ต้องไปหาก่อนนะฮะ พี่รอตรงนี้ก่อน..”
“ไม่ๆ พี่ไปด้วยดีกว่า ช่วยหาไง” ฟ่งว่า เด็กน้อยมีสีหน้าเกรงอกเกรงใจ “ผมทำพี่เสียเวลารึเปล่าฮะ”
“ไม่หรอก รีบไปเดินหากันเถอะ” หนุ่มสวมแว่นตอบและยิ้มอย่างใจดี เกรเกอรีพลอยยิ้มออกมาบ้าง
ทั้งคู่จึงเดินย้อนกลับมาทางเดิม และช่วยกันมองหาบนพื้นลานกว้าง ขณะที่ฟ่งกำลังก้มมองพื้นเพื่อหาของ เท้าของใครคนหนึ่งก็มาหยุดตรงหน้าเขา ดูจากสภาพของเท้าเก่าเขรอะแบบนี้คงไม่ใช่ของรูฟัสแน่ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปมอง
ชายชาวยุโรปรูปร่างสูงใหญ่ไว้หนวดที่ใต้จมูกกำลังเขม่นมองเขาเขม็ง เหมือนกับว่าไปเหยียบเท้าเข้านั่นแหละ ฟ่งถึงกับผงะถอยหลังกับสายตาคุกคาม ยังไม่ทันจะพูดอะไร แผ่นหลังก็กระแทกเข้ากับอะไรสักอย่าง ฟ่งหันกลับไปด้วยความตกใจและพบว่ามีชายอีกคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลัง รอยยิ้มไม่น่าไว้ใจปรากฏขึ้นบนมุมปากที่ซ่อนอยู่ใต้เคราสีทองอ่อน ขณะที่กำลังจะถอยหลัง มือสากหยาบข้างหนึ่งก็กดไหล่เขาเอาไว้ ขณะที่ชายตรงหน้าขยับเข้ามาพร้อมกับมีดพกปลายแหลมซึ่งขยับมาจ่อที่ท้อง
“อยู่เงียบๆ ไว้นะ” ภาษาอังกฤษสำเนียงเพี้ยนแปร่งถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากที่กระตุกนั้น ฟ่งตัวแข็งทื่อ รู้สึกถึงปลายแหลมของมีดที่ดันเสื้อโค้ทเข้ามา “อยู่เงียบๆ อย่างนี้แหละ”
ฟ่งกลืนน้ำลาย เขาอาจจะโดนจี้ เหงื่อเย็นยะเยียบซึมออกมาตามฝ่ามือ เขาเงยหน้าขึ้นมองชายที่จี้เขาอยู่ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนดูเจ้าเล่ห์และกลิ้งกลอกอย่างบอกไม่ถูก ไม่เหมือนกับเว่ยเฟิงปิง นัยน์ตาสีน้ำตาลนี้ดูจะบ้าคลั่งกว่านั้นมาก ราวกับว่าถ้ามีอะไรสะกิดสักเล็กน้อย มีดปลายแหลมที่จี้อยู่คงพร้อมจะทะลวงเข้ามาในท้องของเขาได้ทุกเมื่อ
ฟ่งนึกถึงเด็กที่มากับเขา ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอีกรอบก่อนจะค่อยๆ เบือนหน้าไปมองข้างๆ และพบกว่าเกรเกอรีกำลังถูกชายอีกคนหนึ่งที่สวมเสื้อสเวตเตอร์สีน้ำตาลดำจูงออกไป นัยน์ตาของเด็กน้อยมองมายังเขาอย่างอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ชายหนุ่มกัดฟันแน่น มองดูเด็กน้อยถูกจูงออกไปโดยที่ไม่กล้าแม้แต่จะขยับปาก เขาได้แต่ยืนนิ่งๆ มองดูเกรเกอรีถูกจูงออกไป
ฟ่งมองไล่ตามชายคนนั้นไปจนสุดสายตา ชายคนนั้นไปทางประตูที่เขาเพิ่งเดินเข้ามา โดยสภาพไม่เร่งร้อน ฟ่งคิดว่าเกรเกอรีคงโดนผู้ชายคนนั้นใช้มีดหรืออะไรซักอย่างบังคับเหมือนที่เขากำลังโดนอยู่ ชายหนุ่มชักเริ่มกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่ออีก แต่พอชายคนนั้นเดินหายลับออกไปในฝูงชน ชายสองคนที่ขนาบเขาอยู่ก็ผละออก และเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฟ่งยืนงงอยู่เกือบหนึ่งนาที ก่อนจะได้สติ
เขาต้องรีบไปบอกรูฟัส
--------------------------------------------------

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด