[ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ท่านผู้อ่านชอบตัวละครใดมากที่สุด ในเรื่อง"คนข้างห้องผมเป็นสายลับ" (อนุญาตให้เลือกได้แ

หนูฟ่ง : แน่นอนอะ กระรอกน้อยช่างน่ารัก และน่าเหยียบ ในเวลาเดียวกันo_O
รูฟัส : สุดๆ อะ พระเอกอะไรไม่รู้ว มันน่ารัก น่าหยิกแก้มจริงๆ นะเนี่ย (ทั้งกะล่อน ตอแหล หื่น รวมอยู่ในคนคนเดียว!!)
เว่ยเฟิงปิง : เอะอะสะบัดบ๊อบตลอดค่ะ (ไม่มีก็ไว้ซะนะคะ เฟิงขา)
จางซื่อเยี่ยน : ถึงจืดถึงจาง.. ถึงจะซื่อจะบื้อ... แต่ก็รักนะ รักหน่อยเหอะน้า~
อิทธิเดช : หนุ่มหน้าสวย บทไม่มาก (เพราะคนเขียนไม่อวย<<อ้าว) แอบโรคจิตนิดๆ แต่ก็น่าถนอม
วรุต : หนุ่มน้อยหน้ามน โรคจิตไม่แพ้กัน (จับคู่กับอิทธิเดชเลยได้คู่จิตป่วนแห่งปีไป) เอาน่า น้องวรุตก็มีส่วนน่ารักน่าเอ็นดูนะ!!
เว่ยจินหยิน : อวย!! อันนี้คนเขียนอวยค่ะ ฮ่าๆ ไม่รู้จะจิ้มใคร จิ้มให้คุณชายจิ้งจอกสุดที่Loveของดั้นสิฮ้า (โดนคนอ่านถีบ)
เถียนซาน : ผู้ชายแสนอบอุ่น... (คนนี้ไม่ได้อวย แต่เป็นคนอวยคนด้านบนอีกทีนึง..... เอวัง)

ผู้เขียน หัวข้อ: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55  (อ่าน 247487 ครั้ง)

jelatin99

  • บุคคลทั่วไป
เชียร์คู่เฟิงปิงกับซื่อเยี่ยนฮะ ว่าแต่รอลุ้นว่าจินหยินกับอาซานจะลงเอยกันยังไง
ปล.รอตอนต่อไปของทุกคู่ฮะ โดยเฉพาะคู่ของลอว์

ออฟไลน์ harumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +156/-33
รูฟัสนี่นิดหน่อยก็ยอมนะ
ขอให้ได้แทะเล็มฟ่ง :haun5:

curiousfuse

  • บุคคลทั่วไป
อ่านจบแล้ว สนุกมากกกกกกกกกกกก
แต่เราแอบชอบคู่คระกูลเว่ยมากกว่าฟ่งรูฟัส ติ๊ดนึง คริๆ
แต่แบบรูฟัสแพ้ทางฟ่งทุกกรณีจ้า แบบนี้อ่ะป่าวที่เรียกกว่ากลัว เอ้ย เกรงใจเมีย

ิbenejeng

  • บุคคลทั่วไป
เป็นคนที่เม้นไม่เก่งนะคะ แต่ชอบเรื่องนี้มาก ครั้งแรกที่อ่านเพราะเห็นว่ามีแค่สิบหน้า คิดว่าแป๊บเดียวก็จบ

แต่สิบหน้าดันเท่าร้อยหน้าของบางเรื่องเลย  ใช้เวลาอ่านสี่วันกว่าจะตามทัน แล้วตอนนี้ก็กำลังรอ รอตอนจบ

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
วุ้ย รูฟัสมีเนียนเบียดฟ่งอีกนะ

yuuki

  • บุคคลทั่วไป
ยังตามอ่านอยู่คะ ทุกเรื่องที่คุณ juon แต่งเลย~

โดยเฉพาะเรื่องนี้ ชอบมากม๊าก!!

ที่จริงเราชอบทุกคู่เลยนะ มันมีเสน่และปมที่แตกต่างกันไป แต่ที่ชอบสุดคงหนีไม่พ้นคู่หลัก รูฟัสกับฟ่งล่ะ

ตามอ่านอยู่คะ และถ้าเป็นไปได้อยากให้ลงทุกวันเลย ฮ่าๆ อ่านอย่างบ้าพลัง


ออฟไลน์ Mookkun

  • magKapleVE
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 637
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
    • Consensual free relationships
โฮ่ววววว มาติดตามเรื่องสุดระทึกกก!!!!!  แบบว่าลุ้น(แมร่ง)ทุกตอนน ตัดฉับได้น่าติดตาม(ค้าง)สุดๆ!!!!!
แต่ตอนเริ่มอ่านคนเขียนโพสต์หลายสิบตอนแล้วว

แต่ด้วยความติด(มาก)ก็จัดเต็มกันไปข้างสองข้างจนตาแทบถลน *เว่อร์*

เอ๊ยยแต่(โคตรรรร!!)สนุกจริงๆนะคะคนเขียนน~~
มันสวดยอดดดด ลุ้นสุดๆ เป็นนิยายสายลับมี่มันมากๆอ่ะะะะ
เอาโล่ป๊ายยยยยย~~

ส่วนเคะเมะยอดนิยมหรอออ,,,
อื้มมมตอนนี้เคะ ชอบจินจินที่สุดนะ(เพราะเยส มาสเตอร์แท้ๆ)

ส่วนเมะ,,,เฉยยๆเเฮะะะะ
รอโหวตๆ ห้าๆ

ชอบเรื่องนี้มวาาาก เหอๆ
ขอบคุณคนเขียนมากกกกนะคร้าบบบบบ

เป็นเม้นท์ที่ยาวมาก(และใช้ค.อดทนในการจิ้มมือตื๋อแบบสวดๆ)
ก็เห็นคนเขียนอยากอ่านเม้นท์เลย(พยายาม)จัดให้,,

รักคนเขียนนะก๊าบบบบบบ!!!!!!้

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
** ก่อนอื่นเลย ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ที่พยายามจะคอมเม้นต์ให้กำลังใจอิฉันค่ะ :กอด1:

อันที่จริงพอมานึกแล้ว เราก็ทำให้คนอ่านลำบากเหมือนกันนะเนี่ย เพราะคนอ่านต้องจิ้มทีละตัวกันเป็นส่วนใหญ่ใช่ไหมล่ะคะ คงน้อยคนที่จะพิมพ์สัมผัสได้ล่ะนะ... (ยิ่งคุณmookที่อุตส่าห์พิมพ์ผ่านมือถือมาให้นี่ ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ)

แล้วพอมาคิดว่า จริงๆ อินิยายเรื่องนี้มันก็ชวนใ้ห้พูดถึงลำบาก (อันที่จริงเหมือนจะทุกเรื่อง ฮ่าๆ)

แต่ก็อยากชวนคุยอ่ะค่ะ.. แฮ่~ แบบว่าอิฉันเริ่มเก็บกดแล้ว เดือนกว่านอกจากพ่อกับแม่ กับคนงานที่บ้าน ยังไม่ได้เจอหน้าเพื่อนฝูงเลยค่ะ เลยมาชวนท่านนักอ่านคุยแทน...

แหะๆ ฝอยมาก ลงตอนต่อเลยดีกว่านะคะ (ที่จริงสามารถเอามาลงให้อ่านได้ทุกวันค่ะ ถ้าไ่ม่ลืมนะคะ)

---------------------------------------------

บทที่65 Let’s go together.

สีแดง…เลือด….
          ตอนนี้สีแดงที่ว่ากำลังแผ่กระจายไปทั่วเสื้อเชิ้ตสีอ่อน รูจากกระสุนปืนนั้นเล็กมาก เล็กเสียจนไม่น่าเชื่อว่ารูแค่นี้จะพรากชีวิตคนได้ แต่ถึงกระนั้น วรุตรู้ดีอยู่เต็มอกว่ารูเล็กๆ นี้แหละที่ฆ่าคนมานับไม่ถ้วน
          อิทธิเดชยังคงมีลมหายใจอยู่ นั่นเป็นเรื่องที่น่ายินดี จะเพราะมือของวรุตที่ยื่นออกไปดึงแขนของผู้ชายผมสีบล็อนด์คนนั้น หรือเพราะโชคช่วยก็ตาม ถึงอย่างนั้นสิ่งที่น่ากังวลคือรอยขยายกว้างของเลือดที่เริ่มแผ่กระจายอย่างรวดเร็วนี้ ถ้าหากไม่รีบ ผู้ชายคนนี้อาจจะเสียเลือดจนถึงแก่ชีวิต
          “ทำใจดีๆ ไว้นะ ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล” วรุตเอ่ยพลางกุมมือข้างหนึ่งของฝ่ายที่ได้รับบาดเจ็บเอาไว้ สีหน้าของอิทธิเดชซีดอย่างน่าตกใจ เด็กหนุ่มพยายามรักษาสติ คิดหาวิธีแก้ปัญหาในสถานการณ์เฉพาะหน้า ชายผมสีบล็อนด์คนนั้นจากไปแล้ว เมื่อเหลียวมองรอบๆ ยิ่งรู้สึกว่าอิทธิเดชนั้นช่างโชคดีเหลือเชื่อจริงๆ เพราะคนอื่นๆ ที่ถูกราฟาแอลยิงนั้น แน่นิ่งไม่ไหวติงเลยสักคนเดียว วรุตจำต้องกดข่มอาการคลื่นเหียนที่เกิดขึ้นจากกองเลือดและภาพที่สะเทือนใจเบื้องหน้า ของจริงนั้นแย่ยิ่งกว่าในหนังที่เคยดูเสียอีก เขาก้มลงมองร่างโชคเลือดของอิทธิเดชอีกครั้ง และตัดสินใจว่าจะแบกผู้ชายคนนี้ขึ้นหลัง เพราะวรุตนึกได้ว่าตอนที่อยู่เยอรมันนี เวลาซ้อมป้องกันภัย เจ้าหน้าที่จะแบกคนเจ็บขึ้นหลัง
          ร่างกายของอิทธิเดชนั้นจะว่าไปแล้วก็ไม่ได้เบาอย่างที่ดูจากภายนอกเลย ถึงอย่างนั้นในเวลาแบบนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่น วรุตจำต้องทำหน้าที่นี้ด้วยตัวเอง เด็กหนุ่มกึ่งเดินกึ่งวิ่งโดยมีร่างที่ยังไม่แน่ว่ายังมีสติอยู่อีกรึเปล่าอยู่บนหลัง ความเปียกชื้นกันเกิดจากของเหลวสีแดงในร่างกายของอีกฝ่ายที่ลามขึ้นมาบนแผ่นหลังยิ่งทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มหล่นวูบ วรุตเม้มปากแน่น
          ขออย่าให้ผู้ชายคนนี้เป็นอะไรเลย
 ————————————–
          อิทธิเดชรู้สึกสติเลือนรางเต็มที ความเจ็บปวดนั้นช่างเหมือนห่างไกลเสียเหลือเกิน ที่เกิดขึ้นกับเขาน่าจะเป็นอาการช็อค เขาได้ยินเสียงวรุตเรียกชื่อ แต่มันเหมือนดังมาจากอีกโลกหนึ่ง อยากจะอ้าปากพูดหรือขยับร่างกาย แต่เหมือนมันได้ตัดขาดกับวิญญาณของเขาเสียแล้ว อิทธิเดชยังรู้สึกแปลกใจในตอนที่วรุตแบกเขาขึ้นหลัง ทำไมเด็กคนนี้ถึงต้องทำขนาดนี้ด้วย ทิ้งเขาเอาไว้แล้วกลับขึ้นไปคนเดียวก็ได้นี่นา คนเราทุกคนควรเป็นห่วงตัวเองก่อนที่จะห่วงคนอื่น แล้วทำไมเด็กคนนี้ถึงได้ทำแบบนี้
          “ว…วรุต”
          อิทธิเดชเอ่ยชื่อนั้นออกไปด้วยน้ำเสียงเบาหวิว เขาอยากจะพูดประโยคต่อไปว่าทิ้งฉันเอาไว้ที่นี่เถอะ แต่น้ำเสียงอ่อนโยนที่ตอบกลับมาทำให้เขาต้องกล้ำกลืนคำพูดนั้นไว้
          “พี่เดช..แข็งใจไว้นะ ผมจะพาคุณไปหาหมอ คุณจะต้องไม่ตาย”
          คำพูดนั้นทำให้น้ำตาของเขาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว อิทธิเดชซบหน้าลงกับแผ่นหลังกว้างนั้น และพยายามประสานมือเอาไว้
          วรุต…..
 ——————————————–
          รูฟัสกอดฟ่งเอาไว้แน่นในตอนที่มาถึงห้องสุดท้าย แม้จะไม่ปะทะโดยตรงกับพวกกองกำลังที่ยังคงติดค้างอยู่ในห้องอื่น แต่ถ้าออกไปจากที่นี่แล้วไม่มีอะไรประกันว่าพวกเขาจะไม่เจอกระสุนปืนระหว่างทาง รูฟัสนั้นแน่ใจว่าเขาสามารถรับมือเรื่องพวกนั้นได้ แต่คนที่อยู่ในอ้อมกอดเขาล่ะ  หนุ่มตาสองสีหวั่นใจจริงๆ ว่าฟ่งจะสติแตก ครั้งก่อนที่เขาแทงลูกน้องคนหนึ่งของเว่ยเฟิงปิง ผู้ชายคนนี้ถึงกับเป็นลม รูฟัสพอจะเข้าใจว่าฟ่งไม่คุ้นชินกับเรื่องแบบนี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของคนที่มีชีวิตธรรมดาๆ แบบนั้น เขากำลังนึกเป็นห่วงว่าจะทำอย่างไรหากฟ่งเกิดเป็นลมเป็นแล้งไปอีก และที่ไม่อยากคิดไปไกลกว่านั้น ถ้าหากว่าฟ่งรับสิ่งที่เขาทำไม่ได้
          “ฟ่งครับ?”
          ร่างบางช้อนตาขึ้นมองตามเสียงเรียก คราวแรกเขาโมโหผู้ชายคนนี้ที่บังคับให้เขาเปลื้องเสื้อผ้า ต่อมาก็หมั่นไส้ตอนที่รูฟัสพยายามจะลวนลามเขา เจ้าหมอนี่ไม่เคยรู้จักสถานการเลยหรือไง แต่ตอนนี้ฟ่งเริ่มรู้สึกว่ารูฟัสกำลังหวั่นใจอะไรบางอย่าง ร่างแกร่งนั้นกอดเขาอยู่นานและไม่ยอมพูดอะไรเลย
          “สัญญากับผมได้ไหมว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นให้รีบวิ่งหนีออกไปให้เร็วที่สุด คุณรู้ทางออกของที่นี่ดีใช่ไหมครับ?”
          “ผมจะออกไปกับคุณ” ฟ่งตอบ รูฟัสลูบศีรษะเขาอย่างเอ็นดู
          “ผมออกไปแน่ครับ แต่อาจจะออกไปหลังคุณ มาถึงนี่ผมไม่คิดจะติดอยู่ที่นี่หรอก สัญญาสิครับ”
          “ก็ได้” ฟ่งตอบ รูฟัสพยายามคิดว่าฟ่งจริงจังกับคำสัญญานั้น ไม่ใช่ตอบไปพอเป็นพิธี เขาผละออกจากร่างบางนั้น ในตอนที่ประตูกำลังเปิด
          “อยู่ชิดผนังเอาไว้นะครับ จนกว่าผมจะให้สัญญาณ” ผู้มีนัยน์ตาสองสีกล่าว และเกือบจะกลั้นหายใจตอนที่ประตูเปิดออก เขากลัวว่าจะมีใครดักยิงอยู่ด้านหน้า แต่ดูเหมือนจะไม่มีเรื่องอะไรแบบนั้น บางทีอาจเพราะพวกที่รออยู่ด้านนอกยังไม่ได้รับการประสานงานจากพวกที่หลุดเข้าไปด้านใน จึงยังไม่รู้ว่าห้องไหนจะเป็นทางออก รูฟัสเหลือบตามองออกไป เขาเห็นชายฉกรรจ์ในชุดสีขาวพร้อมอาวุธครบมือสองสามคนกำลังวิ่งตรงเข้ามา ดูท่าจะมาสำรวจว่าผู้ที่โดยสารมาให้ห้องเป็นใครกันแน่
          “Close your eyes” รูฟัสกระซิบเบาๆ และล้วงมีดเล่มเล็กๆ ออกมาจากสายคาดบริเวณต้นขา และซัดมันออกไป ถ้านับกันแล้วฝีมือขว้างมีดของรูฟัสไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าฝีมือยิงปืนของราฟาแอลเลย ผิดแต่เรื่องความเร็วเท่านั้น คงไม่มีใครปามีดด้วยความเร็วเท่าลูกปืนได้ แต่ถ้านับในเรื่องมีดด้วยกัน รูฟัสก็ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง
          มีดเล่มแรกปักเข้าที่คอของชายคนหนึ่งอย่างถนัดถนี่ ก่อนที่ร่างนั้นจะล้มลง ก่อนที่พวกที่เหลือจะทันได้ตั้งสติ มีดอีกสองเล่มก็พุ่งเข้าเสียบบริเวณลำคอและหัวใจของพวกเขาแล้ว รูฟัสกวาดตามองรอบๆ เพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ก่อนจะฉวยมือร่างที่ยืนหลับตาปี๋อยู่
          “Let’s go”
          ฟ่งวิ่งตามรูฟัสออกไป เขาคิดว่าผู้ชายคนนั้นจะยิงปืนในตอนแรก แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบร่างสามร่างที่นอนอยู่บนพื้น ทั้งหมดถูกอะไรบางอยากปักอยู่บนร่างกาย ฟ่งเกือบจะอ้าปากถามออกไปแล้วว่ารูฟัสฆ่าคนพวกนี้หรือเปล่า แต่ก็นึกขึ้นได้ว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาถามเรื่องแบบนี้ เขาอยู่ในโลกที่ต่างออกไปจากปกติ และรูฟัสเป็นคนที่เข้าใจมันมากที่สุด ฟ่งตัดสินใจสงบปากสงบคำเอาไว้ ยังไงเขาจะต้องออกไปกับผู้ชายคนนี้ตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้แต่แรก แม้ว่าจะมีอะไรที่ไม่น่าจดจำหลายอย่างเกิดขึ้นก็ตาม
          ชายฉกรรจ์ในชุดสีขาวพร้อมอาวุธครบมือจำนวนมากกำลังวิ่งตรงลงมา ต่อให้ไม่ถูกถ่ายทอดสด ราฟาแอลก็ดูจะทำความลับแตกแต่แรกอยู่แล้ว ความจริงแล้วรูฟัสน่าจะคิดได้แต่แรกว่าแคลร์ร่วมขบวนการนี้ด้วย ตั้งแต่เขาเห็นเงาของผู้หญิงในตรอกนั่น อา.. ใครมันจะไปคิดล่ะว่าแม่สาวผมบล็อนด์อดีตหวานใจคู่หูของเขาจะกระโดดจากงานส่งยามาร่วมโปรเจคนี้ด้วย และไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าเจ้าหล่อนคงไม่ละเลยที่จะแจ้งให้นายจ้างทราบถึงจำนวนและสถานการณ์ของพวกเขา รูฟัสเข้าใจว่าราฟาแอลคงทำอะไรไม่ได้มาก หมอนั่นไม่ลงไม้ลงมือกับผู้หญิง และต่อให้สลับเป็นเขาไปแทน สถานการณ์อาจจะแย่ยิ่งกว่า แคลร์อาจจะยังมีเยื่อใยที่ดีให้กับราฟาแอล แต่กับเขา แม่สาวนั่นคงจ้วงมีดใส่ไม่ยั้งมือแน่ๆ และเขาเองก็ไม่อยากจะทำร้ายผู้หญิงนักหรอก
          รูฟัสสูดหายใจลึก เขาพาฟ่งหลบเข้าไปในซอกทางเดินซอกหนึ่ง ในตอนที่คนพวกนั้นวิ่งเข้ามา ชายหนุ่มไม่ปรารถนาการปะทะโดยตรง เขาคิดว่าคนที่ชอบทำเรื่องแบบนั้นควรจะมีแค่คู่หูผมบล็อนด์ของเขาคนเดียวก็พอแล้ว และเขาไม่อยากเสี่ยงทำแบบนั้นตอนที่ยังมีฟ่งอยู่ด้วย
          “รูฟัส” ฟ่งกระซิบเขาๆ รูฟัสพยักหน้า แต่ก็ไม่ได้หันกลับไป อีกฝ่ายกระซิบต่อ “ไปกับผม ด้านหลังนี้มีทางลับอยู่”
          คราวนี้ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีหันกลับไปมองทันที ฟ่งดึงมือของรูฟัส ตรงลึกเข้าไปในซอกระหว่างห้องนั้น
          “ทำไมคุณไม่บอกผมถึงเรื่องทางลับพวกนี้” รูฟัสเอ่ยด้วยความสงสัย ขณะปีนตามฟ่งขึ้นไปด้านบน เขาจำได้ว่าฟ่งไม่ได้อธิบายเกี่ยวกับทางประหลาดๆ ที่ดูไม่น่าจะผ่านไปได้แบบนี้มาก่อน ร่างบางตอบเขาเสียงอู้อี้
          “ผมไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะสร้าง เพราะผมไม่ได้เขียนอธิบายอะไรเอาไว้ บางทีเขาอาจจะคิดว่ามันไม่จำเป็น”
          “แล้วคุณเขียนลงไปทำไม?”
          “อืม…ผมแค่อยากให้ห้องนี้มีความลับบ้าง อย่างพวกบ้านผีสิงในอังกฤษที่สร้างห้องลับบันไดเวียนหลอกผีอะไรแบบนั้นไง” ฟ่งกล่าว ทำเอาคิ้วของรูฟัสขมวดยุ่ง เป็นอีกครั้งที่เขานึกสงสัยว่าฟ่งเป็นคนยังไงกันแน่
          “เรากำลังจะไปไหนกันครับ?” รูฟัสเอ่ยถามเมื่อพบว่าฟ่งพาเขามาโผล่ระหว่างซอกห้องในชั้นใดชั้นหนึ่ง ฟ่งหันกลับมาถามเขา
          “คุณนัดกับพวกคุณราฟาแอลไว้ที่ไหนล่ะ?”
          “ทางออกฉุกเฉินที่พวกผมเข้ามานั่นแหละครับ”
          คราวนี้ฟ่งขมวดคิ้วบ้าง “ทางนั่นจะไม่เปิดให้ใช้งาน จนกว่าจะเกิดสถานการฉุกเฉินอย่างไฟไหม้หรืออะไรพวกนั้นนะ” ร่างบางเอ่ย และรู้สึกชาไปทั้งร่างทันทีเมื่อเห็นแววตาที่หลุบต่ำลงไปของรูฟัส
          “พะ..พวกคุณคิดจะทำลายที่นี่เหรอ?” ฟ่งกล่าวเสียงตะกุกตะกัก รูฟัสสั่นศีรษะ หันกลับมาตอบด้วยน้ำเสียงปลอบประโลมเต็มที่
          “ไม่ถึงขั้นทำลายล้างอะไรขนาดนั้นหรอกครับ พวกผมแค่จะทำให้มันเกิดภาวะวิกฤติแบบที่คุณว่าเท่านั้นเอง”
          “คุณ… คุณจะระเบิดมันใช่ไหม?” ฟ่งกล่าวออกมาในที่สุด เมื่อนึกถึงภาพแสงระเบิดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ร่างบางเกิดอาการสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ทันที
          “คุณจะฆ่าคนที่นี่ให้หมดเลยเหรอ?”
          “ผมไม่คิดว่าจะมีใครตายเพราะมันมากนักหรอกครับ ฟ่ง คุณจะออกไปกับผมหรือเปล่า?” ประโยคสุดท้ายรูฟัสเอ่ยเหมือนการตัดบทสนทนา ซึ่งความจริงเขาเองก็ไม่อยากจะพูดเรื่องนี้กับฟ่งมากนัก เขาไม่แน่ใจว่าทางนั้นจะลังเลหรือเกิดการเปลี่ยนใจอะไรหรือเปล่า ถ้าหากฟ่งเกิดเปลี่ยนใจ เขาคงต้องจัดการให้สลบแล้วลากออกไปทั้งอย่างนี้แหละ จะโกรธหรือจะอะไรค่อยไปว่ากันอีกทีหลังจากนั้นแล้วกัน
          ฟ่งนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง เขารู้สึกรับไม่ได้หากจะต้องสังเวยชีวิตคนจำนวนมากเพื่อที่จะให้ตัวเองหนีรอด แต่ก็ไม่ใช่คนดีหรือเสียสละมากพอจะทิ้งชีวิตของตัวเองไว้ที่นี่ ร่างบางกัดฟันกรอด ถามตัวเองอย่างหวั่นใจว่าเขาสำนึกเสียใจหรือเปล่าที่เลือกรูฟัส ฟ่งถอนหายใจเฮือก เขาบีบมือตัวเองแน่น ก่อนจะเอ่ยออกไป “ผมจะออกไปกับคุณ”
          รูฟัสยิ้มออกมา “งั้นรีบไปกันเถอะครับ”
 ———————————————
          “ราฟี่ นายจะรอรูฟัสมั้ย?” รัสเลอร์เอ่ยขึ้นหลังจากถูกช่วยออกมาจากลานขยะแล้ว ราฟาแอลไม่ได้ตอบคำถาม เขาตรงไปยังจุดนัดพบและก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ
          “ยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อย” หนุ่มผมสีบลอนด์กล่าว รัสเลอร์พยักหน้าอย่างมีความหวัง
          “นายจะรอรูฟัสใช่ไหม?”
          “อาจจะ” คนถูกถามตอบเลี่ยงๆ ราฟาแอลค่อนข้างจะแน่ใจว่าตอนนี้รูฟัสน่าจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ปัญหาคือใครจะเข้าไปเจอหมอนั่นก่อน ด้วยความสามารถระดับรูฟัส ถ้าหากไม่ใช่หน่วยชำนาญอาวุธบุกเข้าไป หรือระเบิดห้องทิ้ง หมอนั่นก็อาจจะหาทางรอดออกมาได้หรอก ราฟาแอลตัดสินใจทำเรื่องที่เขาไม่ทำบ่อยนัก ปกติเขาจะไม่รอใครที่มาสายเกินกว่าเวลากำหนด และอนาคตริบหรี่แบบนี้
          แต่รูฟัสทำงานกับเขามานานจนเขาคงจะต้องฝืนนิสัยข้อนี้ของตัวเองบ้าง
          ถ้าไม่พารูฟัสกลับไปแบบมีชีวิต คลาวเดียคงโกรธเขาไปนานเลยทีเดียว
———————————————–
          รูฟัสก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ เขาติดต่อกับราฟาแอลผ่านวิทยุสื่อสารไม่ได้ ทางนั้นคงไปสมทบกับรัสเลอร์และเก็บฐานบัญชาการชั่วคราวนั่นไปแล้ว รูฟัสหวังว่าการที่ราฟาแอลลงมือปฏิบัติการขั้นสุดท้ายช้าไปกว่าเวลานั้นเพราะกำลังรอเขา มากกว่าที่จะพลาดท่าเสียทีให้กับฝ่ายตรงข้าม ฟ่งเกือบจะพาเขาไปถึงจุดนัดหมายอย่างไม่ต้องปะทะกับใครอยู่แล้ว ถ้าไม่มีคนพวกนั้นออกมาเสียก่อน
          ตั้งแต่เข้ามาที่นี่ รูฟัสเห็นเครื่องแบบสีขาวจนชินตา แทบจะระบุลงไปได้เลยว่า ทวีศักดิ์ผู้เป็นเจ้าของโครงการนี้คงจะชอบสีขาวมากเสียจนยอมเสียค่าน้ำยาฟอกขาวซักแม้กระทั่งชุดคนงาน อย่างไรก็ดี กลุ่มคนราวๆ ห้าหกคนที่ปรากฏตัวขึ้นกลับอยู่ในชุดฟอร์มทีผิดแผกจากสีขาวไปอย่างสิ้นเชิง คนพวกนั้นปรากฏตัวขึ้นในชุดฟอร์มสีดำสนิท พร้อมด้วยอาวุธครบมือ รูฟัสเกิดลางสังหรณ์อัปมงคลขึ้นมาทันที เขาหันไปกระซิบกับฟ่ง
          “ฟ่งครับ ไม่มีทางอื่นที่จะไปที่นั่นแล้วหรือ?”
          อีกฝ่ายสั่นศีรษะ เขาเห็นความหวั่นไหวในสายตาสองสีคู่นั้น ดูเหมือนรูฟัสจะมีปัญหาเกี่ยวกับชายชุดดำพวกนั้น ฟ่งเม้มปาก
          “รอให้พวกเขาผ่านไปก่อนไหม?” ร่างบางเอ่ยด้วยความรู้สึกว่าเขาคงพยายามที่จะปลอบใจทั้งรูฟัสและตัวเองมากกว่าเสนอทางเลือก เพราะหากออกไปช้าเกินไป ราฟาแอลอาจจะระเบิดที่นี่ทิ้ง แม้รูฟัสจะบอกว่ามันไม่ได้สร้างความเสียหายมากอย่างที่คิด แต่รูฟัสอาจจะพูดเพื่อให้เขาสบายใจก็ได้ มีระเบิดแบบไหนที่ไม่สร้างความเสียหายมากมายกันล่ะ รูฟัสนิ่งคิดอย่างชั่งใจ ดูจากท่าทางของคนพวกนั้นแล้ว เป็นประเภทที่ถูกฝึกมาอย่างดี ต่างจากพวกที่วิ่งไปวิ่งมาอยู่ก่อนหน้านี้ลิบลับ นี่คงเป็นพวกที่ทวีศักดิ์จ้างมาเป็นพิเศษเพื่อใช้จัดการกับปัญหาระดับใหญ่ๆ โดยเฉพาะ จุดที่พวกนั้นกำลังมุ่งหน้าไปคือบริเวณลานขยะ ซึ่งรัสเลอร์ใช้ตั้งฐานบัญชาการ รูฟัสเข้าใจทันทีว่าคนพวกนี้จะต้องได้รับคำสั่งให้ไปล่าคนที่กำลังเจาะเข้าระบบแน่ๆ เขาได้แต่ภาวนาว่าราฟาแอลจะพาเจ้าบ้านั่นออกไปแล้ว
          รูฟัสก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ เวลาล่วงเลยจากกำหนดนัดมาเกือบสิบนาทีแล้ว ถ้าราฟาแอลอยู่ที่จุดนัดหมาย และยอมรอเขานานขนาดนี้ รูฟัสคาดว่าราฟาแอลจะเหลือความอดทนในการรอเขาอีกไม่มาก ถ้าหากยังไม่รีบออกไปตอนนี้ล่ะก็ แม้แต่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าระเบิดที่วางเอาไว้ จะสร้างความเสียหายมากมายในระดับไหน แต่ที่แน่ใจคือ ราฟาแอลคงไม่วางระเบิดเอาไว้แค่แบบหลอกเด็กหรอก ถึงจะไม่ถึงขั้นถล่มที่นี่ แต่คงหวังในระดับที่สามารถหยุดการระดมกำลังทุกชนิดได้ ซึ่งแค่นั้นก็น่ากลัวมากพอสำหรับคนที่ยังติดอยู่ด้านใน เมื่อฟ่งยืนยันว่าไม่มีทางอื่น รูฟัสจำต้องเลือกว่าจะทำอย่างไร เขาจำเป็นต้องผ่านทางเดินไปห้องขยะนี้เพื่อตรงไปยังจุดนัดหมาย
          รูฟัสกลั้นหายใจเมื่อเห็นคนพวกนั้นกลับออกมาโดยไม่มีเสียงปืนดังขึ้น แปลว่าพวกราฟาแอลออกไปแล้ว เขารู้สึกดีใจ แต่ก็รู้สึกได้แค่แวบหนึ่ง เมื่อกลุ่มคนพวกนั้นตรงไปยังจุดที่พวกเขานัดหมายกันไว้
          แบบนี้มีแต่เร่งให้ราฟาแอลกดระเบิดเร็วขึ้น
          รูฟัสตัดสินใจว่าเขาจะต้องเสียง หนุ่มตาสองสีหันกลับมาหาคนที่ก้มหมอบอยู่ด้านหลัง
          “ฟ่งครับ สัญญานะครับว่าต่อให้มีอะไรเกิดขึ้น คุณจะทำตามคำที่ผมบอกทุกอย่าง สัญญานะครับ”
          ฟ่งพยักหน้า ด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
 ————————————————–
          ทวีศักดิ์ได้ข่าวลูกชายของเขาในตอนที่กำลังคุยอยู่กับนายตำรวจคนหนึ่ง เขารู้สึกดีใจที่วรุตปลอดภัย แต่ก็รู้สึกหนักใจขึ้นมาทันทีเมื่อรัตน์ที่ติดต่อมาแจ้งว่า ลูกชายของเขาต้องการจะกลับขึ้นไปเพื่อพาอิทธิเดชไปรักษา เขาหันกลับไปมองหน้าตำรวจนายนั้นอย่างชั่งใจ
          “พวกคุณทำให้ผมเสียเวลา ผมต้องตามรถพยาบาล ลูกชายผมกำลังแย่” ทวีศักดิ์กล่าว ตำรวจนายนั้นยิ้มออกมา
          “ลูกชายคุณเป็นอะไรหรือครับ ถูกยิง?”
          “เป็นโรคประจำตัว” ผู้เป็นพ่อตอบเลี่ยงๆ เขาไม่ต้องการเปิดเผยให้ตำรวจรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ด้านล่าง ดูเหมือนตำรวจพวกนี้จะมาเพื่อจับผิดเขา เวลาพอเหมาะจนน่าสงสัยว่าทั้งสายลับที่ดอดเข้ามาและเจ้าหน้าที่ทางการพวกนี้จะร่วมมือกันหาเรื่องเอาผิดเขา ทวีศักดิ์เอ่ยอย่างใจเย็นท่ามกลางความรู้สึกที่ร้อนรุ่ม
          “ผมให้คุณค้นที่นี่จนทั่วแล้ว พวกคุณควรจะรีบกลับไปเสีย ผมต้องการเวลาอยู่กับลูกชาย”
          ตำรวจนายนั้นยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา
          “ผมต้องไปคุยกับหัวหน้าก่อน”
 ——————————————
          ดูเหมือนว่าเว่ยจินหยินจะจงใจใช้ทางที่ใกล้ที่สุดตามที่ฟ่งเคยบอก ท่าทางผู้ชายคนนี้นอกจากจะเจ้าเล่ห์อำมหิตแล้ว ยังความจำดีอย่างเหลือเชื่อ อย่างช่วยไม่ได้ เว่ยจินหยินจึงต้องเดินในแถวหน้าเพื่อทำทางกลับขึ้นไปด้านบน โดยมีเถียนซานและพวกที่เหลือเดินตามกระหนาบข้างอย่างระมัดระวัง เว่ยเฟิงปิงคิดว่าเมื่อกลับไปถึงฮ่องกงแล้วพ่อคงต้องพอใจในตัวลูกชายคนรองคนนี้มากแน่ๆ ดูท่าทางการแข่งขันระหว่างเขากับเว่ยจินหยินจะยิ่งห่างชั้นกันเข้าไปทุกที แต่ที่ไม่เข้าใจ ทำไมถึงต้องส่งเขาและจินหยินให้มาด้วยกัน ถ้าไม่อยากให้ลูกชายคนรองเสี่ยงมากก็น่าจะส่งเขามาคนเดียว หรือถ้าอยากให้เว่ยจินหยินสร้างผลงานก็น่าจะส่งหน่วยดำเข้ามาเพิ่มมากกว่าจะเป็นเขา หรือผู้เป็นพ่อคิดจะตอกหน้าเขาเทียบกับพี่ชายคนนี้
          เว่ยเฟิงปิงแค่นยิ้ม กับเรื่องแค่นี้เขาไม่ยี่หระหรอก ใช่ว่าเพิ่งเคยโดนดูถูกครั้งแรกเสียหน่อย ตั้งแต่เกิดมา สายตาดูถูกและคำพูดถากถางเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของเขาไปแล้ว ถ้าอยากจะโทษ ก็ต้องโทษผู้เป็นพ่อนั้นแหละ ที่ไม่เคยดูดำดูดีกับเขาเลย แต่ตอนนี้เว่ยเฟิงปิงไม่อยากจะรำเลิกความทรงจำเก่าๆ แค่ให้เขาดำรงอยู่อย่างที่เป็นนี้ได้ ก็เพียงพอแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดอยากจะทำลายล้างสิ่งที่เว่ยชิงสร้างเสียให้หมดสิ้น แต่พอได้มาร่วมงานกับเว่ยจินหยิน ก็ต้องยอมรับตรงๆ ว่าไอ้ความคิดแบบนั้นถ้าหากเขายังฆ่าเว่ยจินหยินไม่ได้ ก็คงจะกลายเป็นตัวเองนี่แหละที่ถูกฆ่าแทน
เว่ยเฟิงปิงรู้สึกว่าพี่ชายของเขาคนนี้อำมหิตและทรงอำนาจเกินกว่าที่จะตอแยด้วยตอนนี้ และที่สำคัญเขารู้สึกขอบคุณอยู่ลึกๆ ถึงเว่ยจินหยินจะไม่ได้คิดอะไรเลย แต่ฝ่ายนั้นก็คล้ายผู้ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ ถ้าเว่ยจินหยินไม่ยอมร่วมมือ ถ้าเว่ยจินหยินคิดจะฆ่าเขาในคราวนี้ เขาคงไม่รอด
          เรื่องนี้เขารู้สึกขอบคุณเว่ยจินหยินจากใจจริง แต่คงจะให้พูดออกไปไม่ได้ เพราะเจ้าตัวคงทำสีหน้าชักชวนให้อยากฆ่าขึ้นมาอีก เขาคงได้แต่เก็บความรู้สึกนี้เอาไว้เงียบๆ และปล่อยให้กาลเวลาเลือนมันไปสักวันหนึ่ง ก่อนจะถึงวันนั้น เขาจะไม่ทำตัวเป็นภาระเกะกะเว่ยจินหยินเป็นการตอบแทนแล้วกัน                 
—————————————–
          เว่ยจินหยินก้าวเท้าอย่างมั่นคงเป็นจังหวะ งานนี้เขาจับปลาเป็นได้จำนวนมาก แถมยังเป็นปลาใหญ่ พวกริเวิลคงอยู่ไม่สุขแน่ๆ ถ้าหากเขากลับไปเหยียบฮ่องกงได้สำเร็จ ซึ่งเว่ยจินหยินแทบจะมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นว่าเขาจะทำได้ แม้ลูกน้องข้างบนจะรายงานว่ามีตำรวจไทยจำนวนหนึ่งล้อมอยู่ แต่การเจรจากับตำรวจไม่ใช่ปัญหา
เว่ยจินหยินรู้ดีอยู่แล้วว่าพวกสายลับต้องทำงานให้กับคนบางกลุ่ม ถ้าหากจะเกี่ยวกับตำรวจด้วยก็คงไม่แปลก เพราะงานนี้ไม่ได้สะอาดบริสุทธิ์นัก แต่ถ้าหากต้องการควบคุมตัวพวกเขาเอาไว้ คงต้องหาข้อหาที่ฟังขึ้นมาชี้แจง และคงต้องวุ่นวายถึงการต่างประเทศ ซึ่งไม่มีตำรวจประเทศไหนอยากวุ่นวายกับคนนอกประเทศนัก ดังนั้นจึงไม่น่ามีเรื่องใดต้องเป็นกังวลอีก พรุ่งนี้เขาจะกลับไปเหยียบฮ่องกง กลับไปพร้อมเหยื่อตัวใหญ่และแผนการขั้นสุดท้าย
          เพื่อให้ผู้เป็นพ่อยอมรับในตัวเขาเสียที
——————————————     
          เถียนซานเดินตามเว่ยจินหยินมาอย่างเงียบๆ เขามองแผ่นหลังไม่กว้างไม่แคบของบุรุษตรงหน้าอย่างชื้นใจ อย่างน้อยครั้งนี้เว่ยจินหยินก็ยังไม่ได้รับอันตรายอะไร และแผนการกลับไปเหยียบฮ่องกงก็ดูจะรัดกุมเรียบร้อย คงจะไม่มีอะไรให้ห่วงอีก ขอแค่กลับไปได้…
          เสียงดังกึกก้องของอะไรบางอย่างที่สะท้อนมาตามกระแสอากาศทำให้นัยน์ตาสีดำราวหินน้ำตกไหววูบ เสี้ยววินาทีที่ประสาทสัมผัสบางอย่างบอกเขาว่ากำลังจะมีเรื่องอันตรายเกิดขึ้นตรงหน้า เขาคว้าตัวของเว่ยจินหยินเอาไว้ด้วยสัญชาติญาณ ก่อนที่แรงอัดมหาศาลของบางสิ่งบางอย่างจะกระแทกเข้ากับตัวอย่างจัง
——————————————

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
          เว่ยจินหยินหูอื้อไปหมด ต้องใช้เวลาหลายวินาทีกว่าที่เขาจะดึงสติตัวเองกลับมาได้  ชายหนุ่มยกมือปัดแว่นที่เลื่อนหลุดให้เข้าที่ ภาพที่เห็นคือกลุ่มควันหนา และเสียงอื้อที่ดังอยู่ในหู ก่อนหน้านี้ไม่กี่วินาที ขณะที่กำลังเดินอยู่ เถียนซานดึงเขาเข้ามากอดอย่างไม่มีสาเหตุ และเสี้ยววินาทีนั้นเอง เสียงระเบิดดังสนั่น เว่ยจินหยินตัวชาไปถึงปลายเท้า หูของเขายังอื้ออยู่ แต่ที่ทับอยู่บนตัวของเขา….
          “อาซาน!” คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยตะโกนเรียบลูกน้องคนสนิท ที่ยังคงนอนนิ่งอยู่ตรงหน้า เขาขยับร่างกาย และประคองร่างที่นอนคว่ำหน้าขึ้นมา ก่อนจะชาวูบอีกครั้ง นัยน์ตาพร่าไปหมด ด้านหลังของเถียนซานเป็นแผลเหวอะหวะ ชายหนุ่มอ้าปากค้าง ไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงตรงหน้า เมื่อครู่พวกเขายัง….
          “คุณชายเป็นอะไรรึเปล่าครับ?”
          เสียงตะโกนของเหล่าบรรดาผู้ติดตามที่ตั้งสติได้ดังขึ้นมา หลายคนกรูเข้ามายังตำแหน่งที่เขานั่งอยู่ แต่เว่ยจินหยินเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว เขาจ้องมองแผ่นหลังของบุคคลที่ล้มอยู่ตรงหน้าอย่างตะลึงงัน
          เถียนซาน!
————————————–
          เว่ยเฟิงปิงไม่ถูกสะเก็ดระเบิด เพราะเขาอยู่ห่างออกไปพอสมควร และระเบิดไม่ได้กินรัศมีกว้างนัก ดูเหมือนวางเอาไว้ก่อกวนมากกว่า ถึงอย่างนั้นพวกที่เดินตามหลังเว่ยจินหยินก็ยังบาดเจ็บอีกหลายคน แต่ถ้าไม่เพราะเถียนซานดึงตัวของเว่ยจินหยินเข้ามาแล้วกระแทกพวกที่เดินตามหลังทั้งหมดออก คนที่ได้รับบาดเจ็บอาจจะมากกว่านี้ก็ได้ ขณะที่กำลังลำดับความคิดอยู่ เขาก็ได้ยินเสียงของผู้เป็นพี่ชาย
          “อาซาน!” เว่ยจินหยินเรียกชื่อนั้นด้วยใบหน้าซีดเผือดราวกระดาษ มือไม้สั่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จริงอยู่ที่เถียนซานช่วยชีวิตเขาเอาไว้หลายครั้ง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เจ้าตัวหมดสติไปแบบนี้เลย เว่ยจินหยินพลิกใบหน้าที่คุ้นเคยขึ้นมา มันซีดราวกับว่าเลือดที่มีอยู่ทั้งหมดไหลไปกับบาดแผลเหวอะหวะด้านหลัง
          “อาซาน!!”
          หัวสมองของเว่ยจินหยินหมุนติ้ว เหมือนสูญเสียการควบคุมไปกะทันหัน เขานึกอะไรไม่ออก นึกเพียงต้องการให้เถียนซานลืมตาตื่นขึ้นมา แล้วพูดกับเขาสักคำหนึ่ง ให้เขารู้ว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก
          “อาซาน!! อาซาน!!”
          เสียงเรียกชื่อซ้ำๆ ราวกับคนเสียสติ กับสภาพของเว่ยจินหยินในตอนนี้ทำให้น้องชายที่เพิ่งเดินเข้ามาผงะไปครู่หนึ่ง ไม่เหลือเค้าของผู้ชายที่มีใบหน้าเรียบร้อยราวเทวดานั้นอีก สีหน้าปกติวางเฉยที่เว่ยจินหยินแสดงออกเป็นประจำไม่มีอีกแล้ว ไม่หลงเหลือเค้าของจอมวางแผนหรือดวงตาที่ฉายแววอำมหิต เหมือนลูกนกที่กำลังเสียขวัญ ผมเฝ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าซีดเผือด นัยน์ตาตื่นตระหนก ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นคนคนเดียวกันกับเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน  เหมือนตัวตนทั้งหมดที่เว่ยจินหยินมีพังทลายไปพร้อมกับร่างที่ล้มคว่ำตรงหน้า
          “อาซาน!!” เว่ยจินหยินเขย่าร่างหนาตรงหน้าอย่างรักษาสติไม่ได้ น้ำตาไหลพราก พร่ำเรียกชื่อลูกน้องคนสนิทซ้ำๆ ด้วยหวังเพียงจะได้ยินเสียงตอบ และไม่ว่าใครพยายามจะเข้าไปใกล้เพื่อช่วยเหลือก็จะถูกปัดมือออกทุกครั้ง ราวกับว่าไม่ต้องการให้ใครมาแตะตัวผู้ชายที่ล้มอยู่คนนั้นเด็ดขาด เว่ยเฟิงปิงเห็นท่าไม่ดีแน่ๆ แม้เขาจะไม่เคยพบเองจริงๆ แต่นี่คงจะเรียกว่าอาการช็อคล่ะมั้ง ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ ต่อให้ไม่มีระเบิดใกล้ๆ แต่เถียนซานคงได้เสียเลือดตายจริงๆ แน่ เขาก้าวปราดๆ เข้าไปหาผู้เป็นพี่ชายที่ไม่เหลืออะไรอยู่อีกนอกจากเสียงตะโกนอย่างไร้สติและมือที่ปัดป่ายอย่างคุ้มคลั่ง
          เพี๊ยะ!!
          เสียงตบนั้นดังพอจะแสดงความแรงของมันให้ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นได้รับทราบ แว่นตากรอบทองของเว่ยจินหยินเลื่อนออกจากหน้าจนแทบจะหลุด ขณะที่บนใบหน้าขาวซีดปรากฏรอยนิ้วมือขึ้นมาเป็นปื้น เว่ยเฟิงปิงหอบหายใจ เขาเพิ่งผ่านการยื้อยุดฉุดกระชากกับคนที่เพิ่งเสียสติหมาดๆ เรี่ยวแรงน้อยๆ ซะที่ไหน
          “ตั้งสติหน่อยสิ พี่ทำแบบนี้มีแต่เถียนซานจะเสียเลือดตายเอานะ”
          ร่างกายของเว่ยจินหยินเหมือนถูกแช่แข็งอยู่อย่างนั้นพักหนึ่ง ก่อนที่มือสั่นเทาจะเลื่อนขึ้นจับแว่นให้เข้าที่ และพยักหน้าหน่อยๆ
          “นั่นสินะ…” เว่ยจินหยินกล่าว เหมือนจะได้สติขึ้นมาบ้าง แต่น้ำตายังคงไหลอยู่อย่างห้ามไม่ได้ เขาขยับตัว พยายามประคองร่างที่ทั้งสูงทั้งหนักกว่าตัวเองขึ้น โดยมีลูกน้องตามมาช่วยอีกหลายคน เว่ยเฟิงปิงยืนมองด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่าง ครั้งหนึ่งเขาเคยขาดสติและทำอะไรบ้าๆ ทำนองนี้ลงไปเหมือนกัน
          ในตอนที่เห็นว่าจางซื่อเยี่ยนกำลังจะฆ่ารูฟัส
          เว่ยเฟิงปิงเข้าใจอารมณ์ขาดสตินั้นเป็นอย่างดี แต่กรณีของเว่ยจินหยิน ดูจะหนักข้อกว่าเขาเสียอีก ไม่คิดเลยว่าพี่ชายคนนี้จะผูกพันกับอดีตลูกน้องที่เติบโตมาด้วยกันในวัยเด็กมากมายขนาดนี้ ถึงขนาดไม่สามารถควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้ ที่ว่าเว่ยจินหยินอำมหิตก็คงจะไม่จริงนัก อย่างน้อยพี่ชายของเขาก็ดูจะมีหัวใจอยู่บ้าง และหัวใจที่ว่านั้นอาจจะอยู่กับลูกน้องคนสนิทที่ชื่อเถียนซานคนนั้นก็ได้
          มือใหญ่อบอุ่นเลื่อนเข้ามาจับมือของเขาไว้อย่างเงียบเชียบ พร้อมร่างของจางซื่อเยี่ยนที่เดินเบียดเข้ามา
          “ไม่เป็นไรนะครับ?”
          เว่ยเฟิงปิงพยักหน้า และยิ้มออกมา จะว่าไปเมื่อครู่จางซื่อเยี่ยนก็เอาตัวมาบังเขาเอาไว้เหมือนกัน ร่างบางกระซิบเบาๆ
          “ขอบใจนะ”
——————————————
          เว่ยจินหยินกุมมือสากหนาของเถียนซานแน่น มือที่เคยมีไออุ่นก่อนหน้านี้ไม่นานตอนนี้กลับเย็นเฉียบ เขายังจำสัมผัสสุดท้ายในตอนที่เถียนซานกอดเขาได้ ไม่มีคำพูดอะไรใดๆ ทั้งสิ้น เป็นสัญชาติญาณที่ต้องการปกป้องโดยเฉพาะ ไม่มีเสียงร้อง ไม่มีคำเตือนใดๆ มีแต่ร่างสูงใหญ่ที่พยายามจะปกป้องเขาเอาไว้จากอันตรายที่เกิดขึ้น
          หยาดน้ำตาไหลรินออกมาอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้ ในสมองของเว่ยจินหยินไม่คิดจะรักษาภาพพจน์ของตัวเองอีกแล้ว หัวใจของเขาคล้ายดั่งจะแตกสลายเมื่อเห็นร่างนั้นแน่นิ่งตรงหน้า สติของเขาขาดผึงลงทันใด ในหัวมีเพียงเสียงคร่ำครวญด้วยความเสียใจอย่างที่สุด
          อาซาน
          น้ำตาระอุอุ่นไหลอาบร่องแก้ม เปียกชุ่มคอเสื้อ มันยังไหลไม่หยุดเลยตั้งแต่ตอนนั้นจนกระทั่งมาถึงรถพยาบาลแล้ว น้ำตาก็ยังคงเอ่อท้นอยู่ เว่ยจินหยินแนบหน้าลงไปบนหลังมือเย็นของอีกฝ่าย หวังเพียงอยากถ่ายทอดความอบอุ่นที่ตัวเองมีให้ ในหัวใจอัดแน่นไปหมด เขาอยากจะเอ่ยเรียกชื่อนี้สักร้อยล้านครั้ง เรียกไปเผื่อว่าคนที่กำลังใส่เครื่องช่วยหายใจตรงหน้าเขานี้จะฟื้นขึ้นมาและยิ้มให้เหมือนทุกครั้ง แค่เรียกชื่อคนคนนี้หัวใจชืดชาของเขาก็อบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด มีเพียงเวลาที่ได้อยู่กับผู้ชายคนนี้เท่านั้นที่เว่ยจินหยินรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่ง มีชีวิตมีจิตใจ เปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างได้ เถียนซานคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองยังมีความเป็นคนอยู่
          ถ้าหากต้องสูญเสียผู้ชายคนนี้ไป….
          ตลอดสามสิบปีที่ผ่านมาเว่ยจินหยินไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้อย่างจริงจังเลย เขาเชื่อมาโดยตลอดอย่างที่เคยเชื่อว่าเถียนซานจะไม่เป็นอะไร ถึงยังไงก็จะอยู่เคียงข้างเขา แม้แต่การย้ายออกไปก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกลำบากใจ เว่ยจินหยินรู้ดีว่าเถียนซานไม่มีวันทอดทิ้งเขาไปไหนเด็ดขาด ขอเพียงแค่มีผู้ชายคนนี้คอยเคียงข้างเขา ต่อให้ต้องเหยียบย่ำไปบนซากศพของใครต่อใคร ต่อให้ถูกประณามหยามว่าเป็นคนโหดเหี้ยมไร้หัวใจ เว่ยจินหยินไม่เคยหวั่นไหวหวั่นเกรง แต่ว่าตอนนี้….
          เปลือกนอกทุกอย่างของเว่ยจินหยินพังทลายลง เขาไม่สนใจอีกแล้วว่าใครจะเป็นยังไง หรือตัวเองจะมีสภาพแบบ ความรู้สึกเจ็บปวดอย่างสุดซึ้งที่ประดังประเดเข้ามาแทบทำให้เขาเสียสติ หัวใจของเขาปวดแปลบ แทบจะกระอักออกมาเป็นเลือด ยามได้เห็นชายผู้ที่มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้เขาแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงหน้า ผู้ชายที่ทำทุกอย่างมาเพื่อเขาตลอดสามสิบปี กับมือสากหยาบนี้ กับการกระทำคำพูด ทุกสิ่งทุกอย่าง  ผู้ชายที่รักเขาที่สุด รักมาตลอดสามสิบปี ทุ่มเทความรักและชีวิตให้เขาโดยไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดเลย
          อาซาน
          เว่ยจินหยินขบริมฝีปากตัวเองจนแตก เลือดสีแดงไหลซึมออกมา เขาอยากจะเรียกชื่อนี้เจียนคลั่ง แต่ต่อให้เรียกจนไม่มีเสียง เถียนซานก็คงไม่อาจฟื้นขึ้นมาตอบเขาได้ เว่ยจินหยินไม่เคยสำนึกเสียใจกับสิ่งที่ตัดสินใจลงไปแล้ว ตอนนี้เขาเพียงเสียใจ เสียใจที่ไม่อาจหักห้ามความเสียใจของตนเองเอาไว้ได้
          เขาไม่อาจยืนหยัดเข้มแข็งได้เองโดยปราศจากผู้ชายคนนี้
          แม้จะรู้ว่าเป็นกับดักของพ่อ แต่เขาก็ยังกระโดดเข้ามา ด้วยคิดเพียงว่าหากทำสำเร็จในครั้งนี้ คงพอจะสร้างความชอบใจให้กับชายชราที่เย็นชากับเขามาตลอดสามสิบปีคนนั้นได้บ้าง ด้วยความเอาแต่ใจ แม้จะรู้ว่าเถียนซานมีงานยุ่ง เขาก็ยังอุตส่าห์ไปตามตัวมาเพื่องานนี้ เพราะนอกจากเถียนซานแล้วคงไม่มีใครสามารถทำหน้าที่ที่เขาจะมอบหมายได้อีก ขอให้มีผู้ชายคนนี้มาด้วย แผนของเขาจะต้องสำเร็จ ทุกอย่างที่วางเอาไว้จะต้องเรียบร้อย ขอแค่มีเถียนซานอยู่ ไม่ว่าเรื่องอะไรเว่ยจินหยินมั่นใจว่าสามารถทำให้สำเร็จลุล่วงไปได้ เพราะเว่ยจินหยินเชื่อใจผู้ชายคนนี้มากที่สุด กระทั่งแม้ลมหายใจเขาก็ฝากกับเถียนซานได้
          น้ำตาไหลอาบมือที่ยังไม่ตอบสนองใดๆ สิ่งเดียวที่ทำให้เว่ยจินหยินยังไม่เสียสติไปตอนนี้ คือลมหายใจแผ่วอ่อนที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกายแข็งแกร่งนั้น
          หากลมหายใจนี้สิ้นไป เขาคงไม่อาจทนอยู่บนโลกนี้ได้อีก
          เว่ยจินหยินเพิ่งตระหนักชัด สำหรับเขาแล้ว เถียนซานไม่ใช่เพียงแต่เพื่อนในวัยเด็ก ไม่ใช่เพียงแค่พี่เลี้ยง ไม่ใช่เพียงแค่คนสนิทที่รับใช้กันมาเนิ่นนาน ไม่ใช่เพียงคนที่รักเขา ไม่ใช่เพียงคนที่เขารัก แต่…คนคนนี้คือชีวิตของเขา
          หากต้องสูญเสียไป แล้วเขาอยู่ได้อย่างไร….
 ——————————————-
          ฟ่งเดินกระโผลกกระเผลกออกมาจากมุมหนึ่งของทางเดิน ด้วยเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยเลือด สีแดงของมันตัดกับสีขาวของเนื้อผ้าอย่างเห็นได้ชัด เขาร้องขอความช่วยเหลือเสียงพร่า
          “ช่วยผมด้วย!!”
          หนึ่งในชายชุดดำหันมาทางเขาและประทับปืนเข้ากับบ่า เตรียมพร้อมจะจัดการทันทีที่มีสิ่งผิดปกติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือร่างเปื้อนเลือดนั้นกระตุกเหมือนถูกอะไรบางอย่างจากด้านหลัง และล้มฟาดลงไป
          ชายในชุดดำทั้งหกคนมองหน้ากัน สองในหกตัดสินใจเดินเข้ามาสำรวจในบริเวณที่บุคลลแปลกหน้าในชุดฟอร์มของที่นี่เพิ่งล้มลงไป บางทีคนที่พวกเขาตามหาอาจจะอยู่ใกล้ๆ
          รูฟัสแทบจะหยุดหายใจ ในตอนที่พวกนั้นเดินไปสำรวจร่างของฟ่ง เขากลัวว่าฟ่งจะทำอะไรให้ผิดสังเกต มันเป็นวิธีที่เสี่ยงมาก สำหรับคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์กับเรื่องพรรณนี้ แต่ดูเหมือนว่าฟ่งจะแสดงละครได้ดีเกินคาด อย่างน้อยก็ไม่มีใครสังเกตว่าเลือดที่เปื้อนอยู่นั้นไม่ได้ไหลออกมาจากร่างกายที่นอนอยู่ ดูเหมือนคนพวกนั้นจะสงสัยว่าอะไรกันแน่ที่ฆ่าผู้ชายคนนี้ รูฟัสหยิบเศษอะไรสักอย่างที่เขาเก็บได้ระหว่างทางขึ้นมา และโยนมันไปในอีกทางหนึ่ง เป้าหมายคือเบนความสนใจจากบริเวณที่ฟ่งนอนอยู่ เขาจำต้องล่อพวกนั้นขึ้นมาให้หมด เพราะถ้าเกิดจัดการแค่สองคนนี้ พวกที่เหลืออาจจะรู้ตัวทันทีว่านี่เป็นแผนลวง และอาจจะถล่มยิงเข้ามาเลยก็ได้ ซึ่งหากเป็นแบบนั้น ฟ่งที่นอนอยู่อาจจะได้รับอันตราย
          เสียงเหมือนวัตถุแข็งกระทบพื้นทำให้สองคนหันไปมองทันที ก่อนจะหันไปสบตากับเพื่อนที่เหลือ ในที่สุดคนทั้งหมดก็ตกลงแยกย้ายกันสำรวจรอบๆ แม้จะผิดความคาดหมายในตอนแรกไปบ้าง แต่การแยกกันแบบนี้ ก็ถือว่ายังอยู่ในแผนที่จะกระทำการบางอย่างได้
          รูฟัสล้วงมีดขว้างอีกเล่มออกมา ใบสีเงินคมกริบของมันเป็นประกายวาววับในความมืด ข้อดีที่เด่นชัดของมีดคือมันเงียบกว่าปืนที่ติดเครื่องเก็บเสียงหลายเท่า หนุ่มตาสองสีหรี่นัยน์ตาแปลกประหลาดคู่นั้นลง และขว้างมีดเล่มนั้นออกไป มันปักเข้าตรงขมับของชายชุดดำคนหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปจากจุดที่เขายืนอยู่ราวๆ สิบเมตร ชายคนนั้นล้มลงก่อนจะทันได้พูดจาอะไรเสียอีก
เสียงร่างและสรรพาวุธที่คล้องสะพายอยู่กระแทกพื้นนั้นดังพอที่จะดึงความสนใจของอีกห้าคนที่เหลือ
รูฟัสพาตัวเองกระโจนตามทางลับขึ้นไปบนระเบียงชั้นบน เขาจำต้องสร้างภาพว่าสิ่งที่ทำให้ร่างนั้นล้มลงไม่ได้มาจากบริเวณที่ฟ่งนอนอยู่ รูฟัสขว้างมีดออกไปอีกเล่ม มันปักลงบนท้ายทอยของอีกคนหนึ่งซึ่งหันกลับไปมองร่างของเพื่อนที่ล้มลงไป  คราวนี้สี่คนที่เหลือเคลื่อนไหวอย่างระวังตัวมากขึ้น พวกเขารู้แล้วว่ากำลังถูกจ้องเล่นงาน รูฟัสหมอบและคลานอย่างช้าๆ เสื้อผ้าที่มีระบบพรางตาทำให้คนพวกนั้นยังไม่สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในมุมมืดของระเบียงด้านบน เมื่อมาถึงบริเวณที่สามารถกำบังลูกกระสุนได้  เขาจึงขว้างมีดออกไปอีกเล่ม มันปักลงกลางหน้าผากของชายคนหนึ่งซึ่งหันหน้ามาพอดี
“มันอยู่ด้านบน!”
เสียงกระซิบกระซาบที่ดังพอจะได้ยินในความเงียบเช่นนี้ดังขึ้นระหว่างคนที่เหลือทั้งสาม และเสียงสาดกระสุนก็ตามมาระรอกใหญ่ ต้องขอบคุณไอ้วัสดุบางๆ ที่สร้างจากนวัตกรรมระดับนาโนพวกนี้ ที่มันสามารถต้านทานกระสุนพวกนั้นเอาไว้ได้ รูฟัสนึกหงุดหงิดใจที่เขาไม่ได้เก็บมีดกลับมาตอนที่พาฟ่งออกมาจากห้องนั่น มันเลยเหลือจำนวนไม่พอกับคนที่ยังรอดอยู่ รอจนเสียงปืนเงียบลง ชายหนุ่มกระโดดจากจุดที่เขาซ่อนตัวอยู่ลงไปยังระเบียงที่อยู่ต่ำลงไปอีกราวๆ ครึ่งเมตร เสียงรองเท้ากระแทกกับพื้นผิวสังเคราะห์นั่นดังพอจะให้ฝ่ายตรงข้ามทราบตำแหน่งของเขา แต่ระหว่างที่กระโดด รูฟัสได้ขว้างอะไรบางอย่างออกไปด้วย
กลุ่มควันสีขาวเริ่มฟุ้งกระจายออกมาจากกระบอกสีเงินที่ถูกเขวี้ยงลงไป อาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังตกใจ รูฟัสเก็บไปได้อีกหนึ่ง ก่อนที่ควันสีขาวนั้นจะปกคลุมจนทั่วบริเวณ ชายหนุ่มกระโดดลงจากระเบียงที่ซ่อนลงไปในกลุ่มควันหนาทึบนั้น เขากลิ้งตัวทันทีที่สัมผัสพื้นเบื้องล่าง แทบจะพร้อมกับห่ากระสุนที่สาดเข้ามา รูฟัสชักมีดสงครามขนาดพิเศษที่ราฟาแอลซื้อมาฝากเขาออกมาจากปลอก ควันพวกนี้จะกระจายตัวได้หนาขนาดพอจะให้เขาอาศัยซ่อนตัวได้ไม่น่าจะเกินห้านาทีในสภาพอับลมเช่นนี้ ห้านาทีนี้ขอให้เขาจัดการพวกนี้ได้หมดก่อนที่ราฟาแอลจะหมดความอดทนด้วยเถอะ
ฟ่งแทบจะไม่กล้าขยับตัวหรือลืมตาขึ้นมาเลย รูฟัสเสนอแผนกลลวงนี้ให้เขา และเขาก็เพิ่มความน่าสนใจให้มันด้วยการยอมกรีดแขนข้างหนึ่งของตัวเองเพื่อย้อมเสื้อ ซึ่งดูรูฟัสจะตกใจกับเรื่องนี้มาก ฟ่งเองก็รู้สึกหวั่นๆ อยู่เหมือนกันว่าเขาจะเล่นละครตบตานี้ได้ดีขนาดไหน ในเมื่อมันเป็นละครที่เกี่ยวพันถึงชีวิต ชายหนุ่มตัดสินใจว่าเขาจะทุ่มเต็มที่ ผลคือตอนนี้เขาเจ็บหน้าผากอย่างมาก เหตุจากการที่พาตัวเองล้มฟาดลงกับพื้นนั่นแหละ
เสียงปืนห่าใหญ่นั้นทำให้ฟ่งใจหายวาบ เขาภาวนาให้รูฟัสปลอดภัย พยายามบอกตัวเองให้เชื่อถือผู้ชายคนนั้น รูฟัสผ่านเรื่องแบบนี้มามากกว่าเขา ผู้ชายคนนั้นคงจะเอาตัวรอดได้
รูฟัสหมอบต่ำอยู่ในกลุ่มควัน เขารู้ว่าคนที่ฝึกมาอย่างชำนาญการแล้วจะไม่ทำอะไรเสี่ยงๆ ในสถานการณ์แบบนี้ สองคนที่เหลือคงอยู่ในที่กำบังหรืออยู่ในท่าตั้งรับที่รอบคอบและปลอดภัยที่สุด แต่การตั้งรับก็คือการตั้งรับ ในสถานการณ์แบบนี้มันคือการเปิดช่องให้กับฝ่ายที่ต้องการโจมตี
ชายหนุ่มหรี่นัยน์ตาลง นับจากห่ากระสุนแรกที่ลั่นใส่เขาเมื่อครู่ หนึ่งในนั้นคงอยู่เยื้องจากเขาไปทางซ้าย รูฟัสไม่แน่ใจว่าคู่อยู่ด้วยกันหรือแยกกัน เพื่อความปลอดภัย เขาจำต้องเข้าถึงตัวของคนพวกนั้นให้เงียบมากที่สุด และอย่างที่เขากลัว สองคนนั่นยืนหันหลังเข้าหากัน มันเป็นท่าตั้งรับที่ค่อนข้างจะพื้นฐานและสมบูรณ์แบบในการรับการลอบโจมตีแบบนี้ รูฟัสกลั้นหายใจ ดูท่าเขาจะต้องเสี่ยงอีกครั้ง ก่อนที่กลุ่มควันจะสลายไป
มีดสงครามเล่มใหญ่พุ่งเข้าเสียบสีข้างของชายผู้ซึ่งกำลังหันปืนไปในทิศทางอื่น เมื่อรู้ถึงความผิดปกตของผู้ที่ยืนหลังพิงกันอยู่ ชายอีกคนหันกลับมาและรัวปืนใส่ทันที  รูฟัสพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว กระแทกร่างทั้งสองและอาศัยจังหวะนั้นดึงมีดออกมา เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น ขณะที่รูฟัสจ้วงมีดเข้าใส่อีกคนหนึ่ง เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นเมื่อใบมีดยาวกระแทกเข้ากับตัวปืนกลแบบพกพานั่น ชายหนุ่มไม่ยอมเสียจังหวะ เขาเตะตัดขาอีกฝ่ายทันที แทบจะพร้อมกันกับกระบอกปืนพกที่พุ่งตรงเข้ามา
ปังๆ!
กระสุนปืนเฉี่ยวหนังหัวของเขาไปนิดเดียว รูฟัสกลิ้งหลบไปอีกทาง เป็นไม่กี่ครั้งที่มีคนรับมีดของเขาได้ แถมยังสวนกลับมาด้วยปืนพกอีก เจ้าหมอนี่คงใจเย็นพอๆ กับเพื่อนร่วมงานของเขาเลยทีเดียว
อีกฝ่ายไม่ปล่อยเวลาให้เขาคิดมากนัก กระสุนถูกลั่นออกมาอีก รูฟัสกลิ้งตัวหลบ ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ร่างนั้นอีกรอบ เพราะกลุ่มควันที่ยังไม่จางทำให้อีกฝ่ายเล็งระยะได้ลำบาก คมมีดเย็นเยียบจึงพุ่งเข้าถึงคอหอยของเขาได้ก่อนที่เขาจะทันได้เล็งปืนเข้าสู่จุดตายของคู่ต่อสู้ รูฟัสส่งคู่มือของเขาลงไปนอนกับพื้นก่อนที่จะจัดการให้อีกคนที่ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดเงียบเสียงลง
ฟ่งยังคงนอนนิ่งในตอนที่ได้ยินเสียงฝีเท้า รอจนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกชื่อนั่นแหละถึงได้เงยหน้าขึ้นมา
“คุณบาดเจ็บ?” ร่างบางร้องอย่างตกใจและพยายามจะยันตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล รูฟัสยิ้มพลางเช็ดเลือดออกจากใบหน้า
“เปล่า นี่ไม่ใช่เลือดผมหรอก” เขาว่า ฟ่งเพิ่งสังเกตว่าเสื้อผ้าของรูฟัสด่างเป็นหย่อมๆ เขากลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงไป ไม่อยากจะจินตนาการว่าผู้ชายคนนี้เพิ่งทำอะไรมา
“รีบไปกันเถอะครับ” รูฟัสเอ่ย และคว้ามือของฟ่งขึ้นมา เขารู้สึกสงสารเมื่อเห็นว่าหน้าผากของฟ่งปูดออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าเสียงระเบิดที่ดังขึ้นทำให้เขาต้องรีบพาผู้ชายคนนี้ออกไปจากสถานที่นี้ให้ไวที่สุด
ดูเหมือนราฟาแอลจะหมดความอดทนในการรอคอยแล้ว
—————————————————

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
          วรุตสะดุ้งสุดตัวในตอนที่เสียงระเบิดดังขึ้น เขากำลังกุมมือของอิทธิเดชอย่างวิตกกังวล ลำพังแค่รอการติดต่อกลับจากผู้เป็นพ่อก็ทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มร้อนรุ่มพออยู่แล้ว ยังมีเสียงระเบิดพวกนี้อีก และคราวนี้มันไม่ใช่แค่การระเบิดตูมเดียวเหมือนหนแรก มันดังติดกันหลายรอบจนถึงจะไม่อยากเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อแล้วว่าคนพวกนั้นตั้งใจจะระเบิดสถานที่นี้จริงๆ ในที่สุดความอดทนก็สิ้นสุดลง เด็กหนุ่มวิ่งไปคว้าโทรศัพท์จากมือของผู้ที่เขาเรียกว่าอารัตน์ และติดต่อขึ้นไปหาบิดาของเขาทันที
          “พ่อ!!”
          ทวีศักดิ์รู้สึกดีใจมากตอนที่ได้ยินเสียงลูกชาย ก่อนหน้านี้วรุตปฏิเสธที่จะคุยกับเขา และตัวเขาเองก็ยังคงวุ่นวายอยู่กับการเจรจากับตำรวจ ดูเหมือนพวกนั้นรู้ว่าเขากำลังซ่อนอะไรเอาไว้ แต่ยังหาเหตุผลจะเข้าไปค้นไม่ได้ ประโยคต่อมาของวรุตทำให้ผู้เป็นพ่อถึงกับตัวชา
          “ด้านล่างมีระเบิด พ่อต้องให้พวกผมกลับขึ้นไป เราต้องการหมอ พี่เดชกำลังจะตาย”
          “ลูกพูดว่าอะไรนะ ระเบิด?” คำหลังทวีศักดิ์ถึงกับต้องยกมือขึ้นป้องปากของตัวเอง เขาไม่อยากให้นายตำรวจที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยินบทสนทนานี้ วรุตกรอกเสียงกลับมา
          “พ่อฟังดูสิ”
          ทวีศักดิ์หลับตาลงอย่างสยดสยอง เสียงนั่นดังพอที่จะได้ยินผ่านหูโทรศัพท์ เขากัดฟันกรอด นึกสาปแช่งทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทั้งไอ้สายลับพวกนั้น และตำรวจพวกนี้ด้วย ชายวัยห้าสิบเศษหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับนายตำรวจที่ยืนอยู่
          “พวกคุณต้องกลับไปเดี๋ยวนี้!!” เขาเอ่ยเสียงเครียด แต่ตำรวจนายเดิมกลับมีสีหน้านิ่งเฉย
          “หัวหน้าแจ้งกับผมให้จับตาดูคุณเอาไว้ เราจะยังไม่ไปไหนในตอนนี้ จนกว่าจะได้หลักฐานที่สายรายงานมา”
          “อยากได้หลักฐานอะไรอีก ก็เห็นแล้วว่าผมไม่ได้มีอะไรอย่างที่คุณว่า” ทวีศักดิ์เอ่ยอย่างร้อนรน เขาเป็นห่วงวรุตมากกว่าที่จะห่วงผู้ชายที่ชื่ออิทธิเดช แต่ปัญหาคือดูเหมือนวรุตจะห่วงผู้ชายคนนั้นมากกว่าตัวเอง
          “ผมว่าคุณมีแน่ๆ เอาล่ะครับ คุณทวีศักดิ์ ผมว่าเราควรจะทำอะไรๆ ให้มันง่ายขึ้น”
          นายตำรวจผู้ซึ่งเดินเข้ามาสมทบเอ่ยปากขึ้น ทวีศักดิ์เงยหน้ามองเขาและขมวดคิ้ว พร้อมกับพึมพำอะไรบางอย่าง ตำรวจนายนั้นยิ้มบางๆ
          “เราจะกันตัวลูกชายคุณไว้ในฐานะพยาน คุณต้องการรถพยาบาลไม่ใช่หรือครับ?”
 ——————————————————–
          “เฮ้ ใจเย็นๆ สิ ราฟี่ รูฟัสยังไม่มาเลย” รัสเลอร์พูดอย่างร้อนรน เมื่อได้ยินเสียงระเบิดติดกันหลายระลอก เขารู้ว่าราฟาแอลไม่รอแล้ว และหมอนี่เพิ่งกดสวิตช์ระเบิดไปเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้วนี่เอง
          “เราเกินเวลามาเยอะแล้ว รัสเลอร์ ฉันคงต้องยอมให้คลาวเดียด่า ทำงานของนายได้แล้ว”
          รัสเลอร์เองอยากจะรีรอเพื่อถ่วงเวลาอีกพักหนึ่ง แต่พอเห็นนัยน์ตาสีเขียววาวโรจน์ที่มองมาแล้วก็ต้องรีบแจ้นไปเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา เสียบต่อเข้ากับแผงวงจรหน้าลิฟท์รูปไข่แบบเดียวกับที่พวกเขาอาศัยเข้ามาในตอนแรก ซึ่งคราวนี้มันคงไม่ถล่มอีก ราฟาแอลฟังเสียงระเบิดที่ดังกึกก้องขึ้นด้วยความรู้สึกเงียบงันอย่างบอกไม่ถูก
          คงถึงเวลาที่เขาจะต้องหาคู่หูคนใหม่แล้ว
          นัยน์ตาสีเขียวคู่นั้นเหม่อมองออกไป ให้ตายสิ กะอีแค่ขาดไอ้ตัวกวนประสาทนั่นไปคนเดียวคงไม่ทำให้ชีวิตเขาขาดสีสันมากมายนักหรอก ถึงอย่างนั้น ไอ้เวลาที่ทำงานกันมาตั้งสิบสองปีนี่มันช่างสร้างความทรมานที่บรรยายไม่ถูกจริงๆ เมื่อจะต้องคิดว่าคงไม่มีหมอนั่นอีกแล้ว
          “Dam!! Fucking Rufus” ราฟาแอลพึมพำออกมาในขณะที่รัสเลอร์ปลดระบบล็อก แรงระเบิดทำให้ระบบกลางตัดเข้าสู่ภาวะฉุกเฉิน กลไกประตูของห้องรูปไข่เปิดอ้าออก รัสเลอร์ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด ถ้าราฟาแอลเป็นห่วงรูฟัสขนาดนั้นแล้วทำไมไม่รอต่ออีกสักหน่อย แต่ป่วยการจะพูดกับผู้ชายอารมณ์ร้อนคนนี้ หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มก้าวเข้าไปในลิฟท์ เพื่อนร่วมงานที่ยังเหลืออยู่คนเดียวของเขาก้าวตามเข้ามา ห้องเริ่มเคลื่อนที่ขึ้น ทันใดนั้นเองเสียงตะโกนคุ้นหูก็ดังขึ้น
          “Hey!! Who you call Fucking! Let’s us go with you, Raphy”
          รัสเลอร์อ้าปากค้างด้วยความตกใจระคนดีใจ เสียงกวนประสาทแบบนี้ต้องเป็นหมอนั่นไม่ผิดแน่ ขณะที่หนุ่มสติเฟื่องกำลังตกอยู่ในอารามดีใจจนทำอะไรไม่ถูก ราฟาแอลได้สติเร็วกว่านั้นมาก เขาเอื้อมมือลงไปคว้าเพื่อคว้ามือของคู่หูไว้
          “Спасиơо!” รูฟัสเอ่ย แต่ผู้ที่ราฟาแอลคว้ามือเอาไว้กลับไม่ใช่คู่หูของเขา แต่เป็นใครอีกคนหนึ่งที่รูฟัสผลักเข้ามาแทน
          “God dam! You again?” ราฟาแอลเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่บอกไม่ได้ว่าพอใจหรือโมโหกันแน่ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ดึงตัวฟ่งขึ้นมา ฟ่งไถลตามแรงกระชากที่มหาศาลจนน่าตกใจไปตามพื้นลิฟท์ และชนเข้ากับรัสเลอร์ซึ่งยังยืนเก้ๆ กังๆ อยู่
          “Wow! I get a gift!” รัสเลอร์อุทานและคว้าตัวของฟ่งเอาไว้ ฉวยโอกาสที่ยังชุนละมุนอยู่ ดึงร่างบางเข้ามากอด ฟ่งเผลอกอดตอบด้วยความตกใจ ขณะที่ราฟาแอลขว้างอะไรบางอย่างลงไป
          “Quickly! I bet I will kick your ass after this!!”
          รูฟัสคว้าเชือกที่ราฟาแอลเขวี้ยงลงมาให้ขณะที่ลิฟท์เคลื่อนสูงขึ้นเรื่อยๆ
          “Ok! I will let’s you do that later” หนุ่มนัยน์ตาสองสีกล่าวและยึดเชือกเพื่อดึงตัวขึ้นไปบนลิฟท์ ราฟาแอลคว้าแขนของเขาเอาไว้ทันทีที่อยู่ในระยะ และดึงขึ้นไป
          “Большое спасиσо!” รูฟัสเอ่ยทันทีที่ขึ้นมาได้แล้ว
          “Ладно” ราฟาแอลกล่าวเหมือนไม่ใส่ใจ แต่กลับยกเท้าถีบรูฟัสโครมใหญ่ ก่อนจะพูดอย่างขุ่นเคืองเต็มที่ “Dam! How dare you let’s me waiting!!”
          รูฟัสหัวเราะออกมา “You talk like a woman, Well I’m back now.”
          “Fucking Rufus!” ราฟาแอลว่า ก่อนที่ทั้งคู่จะรัดวงแขนเข้าหากันด้วยความรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก
          “Thank god to make you waiting for me” รูฟัสเอ่ย เขารู้สึกขอบคุณจริงๆ ที่ราฟาแอลไม่ออกไปเสียก่อน ราฟาแอลทุบหลังเขาอย่างแรง ก่อนจะผละออก
          “Tell me who I must thank about this, Who save you, God or… him?”
          ประโยคสุดท้ายทั้งคู่หันไปมองฟ่ง ซึ่งยังคงถูกรัสเลอร์กอดด้วยความยินดี รูฟัสถึงกับขมวดคิ้วยิ้ม
          “Hi! Rusler. How dare do you that!!”
          “Ouch! Fucking you Rufus, you wanna kill me?” รัสเลอร์โวยวายออกมาหลังจากที่หลบเท้าของรูฟัสที่ถีบเข้ามาได้อย่างฉิวเฉียด เขาปล่อยฟ่ง และหันมาเอ็ดอีกฝ่ายต่อ “ฉันอุตส่าห์ดีใจที่ได้เจอนายอีกรอบ แต่นายดันตอบแทนแบบนี้เนี่ยนะ”
          “อืม…สำหรับคนฉวยโอกาสแบบนาย ฉันว่ามันก็สมควรแล้ว” รูฟัสตอบ รัสเลอร์นึกสาปแช่งว่าทำไมหมอนี่ไม่ติดอยู่ในห้องนั้นตลอดไปเสียเลย ฟ่งหัวเราะขึ้นมา
          “ดีจริงๆ ที่ทุกคนปลอดภัย” ร่างบางกล่าว ทันใดนั้นสติของเขาก็ดับวูบลง
——————————————— 
**จบตอนนี้...

ทุกคนต้องใจหายกับคู่เถียนซานและเว่ยจินหยินแน่เลย... อาซาน!!

แต่โดยส่วนตัวคนเขียน เรากลับชอบแก๊งสามช่าที่มีรูฟัส ราฟาแอล และรัสเลอร์เป็นการส่วนตัวในตอนนี้ล่ะ รู้สึกว่าราฟาแอลนี่ซึนจริงๆ เลยน๊า (โดนเอาลูกปืนยัดปาก)

ราฟาแอลเป็นคาแรคเตอร์ที่น้องคนหนึ่งซึ่งช่วยดูเรื่องนี้ตั้งแต่เริ่มๆ ให้ชื่อมาค่ะ และเราก็ชอบหมอนี่เป็นการส่วนตัวอยู่พอสมควร (แม้คนอ่านจะประนามว่าเป็นตัวสร้างความแตกแยกและเป็นผู้ชายเส็งเคร็งอย่างที่สุด)

ที่จริงพยายามจะเขียนอดีตของหมอนี่เพื่อลงในเล่มพิเศษอยู่ แต่ก็ไปไม่ถึงไหนสักที เพราะเลือกไม่ได้ว่าจะเล่าเรื่องไงดี... :a5:

แต่คงไม่ให้วายอะไรกับรูฟัสหรอกนะคะ (เพราะเกินจะรับประทานกล้ามคู่ได้ เดี๋ยวติดคอ ฮ่าๆ)

อยากชวนคุยเรื่องตัวละครในเรื่องนี้จังเลยค่ะ เพราะมันเป็นเรื่องที่มีตัวละครมาก แล้วก็เป็นเรื่องแรกที่เราเขียนค่ะ เรารักตัวละครในเรื่องนี้ทุกตัวเลยค่ะ^^

ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ

****โพสติดกันสามช่วงอีกแล้ว=[]=

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ิbenejeng

  • บุคคลทั่วไป
ท่าทางจินหยินจะช็อคมากเลยนะ

ออฟไลน์ Mookkun

  • magKapleVE
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 637
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
    • Consensual free relationships
อาซานนนนน!! ซาน ซาน ซาน,,, *echo*

เย๊ยยยยยยยยยยยยย ระเบิดดด!!!
ถึงกับช็อกเลยหรอจินจิน !~ *ปลอบ*

รอดออกมาได้ซะทีนะฟ่ง~

ทอล์ค : .ก็ยังลุ้นระทึกได้สม่ำเสมออออ

มา! ไหนๆคนเขียน ก็อยู่บ้านไม่มีใครพูดด้วยเรามาทอล์คเรื่องตัวละครกัน(เค้าไม่ได้รอกเรื่องน้ะพี่โมดุที่เคารพรัก)

*ตั้งโต๊ะทอล์ก*

ส่วนตัวเราชอบจินจินมากเลยย (แต่น้อยกว่าคงฉ่วย นะ ฮ่าๆ)

จินจินมีปมที่น่าสนใจมากเลย บวกกับความร้ายกาจและอ่อนไหวแล้วเนี่ยย ช่างน่ารักน่าเอ็นดู(?) ที่สุดด!! *หยิกแก้ม*

และอีกคนคือฟ่ง เป็นตัวที่ถ่ายทอดฟีล ลังเลไม่มั่นคง ออกมาได้เจ๋งมากอ่ะ! ความไม่แน่ใจ,สับสน อะไรเทิอกนั้นน แต่สุดท้ายก็แพ้ทางคุณรูฟัสจนได้อ่ะะะะะ หวังว่าคงจะรักกันดีในเร็ววัน(?)

คนเขียนต้องเอามาลงทุกวันนะ ละถ้าาลืมอามาลงนะฮึ่มมมม!!!
เขาก็จะรออออ  // ตาวิ้ง

*โดนถีบ*

ยาวอีกละ จิ้มมือถือมาตามสเตป

ขอบคุณคนเขียนมากนะเฮิ๊ฟฟฟ!!~~



ออฟไลน์ @BUA@

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +427/-8

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
ใจหายใจคว่ำอะ อาซานจะเป็นอะไรมั้ยเนี้ย ไม่อยากให้พี่เดชเป็นอะไรเลย

killermoonlit

  • บุคคลทั่วไป
ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง

ไอคนแต่งเรื่องนี้เขาเป็นโรคจิตระยะสุดท้ายหรือไงกันนนนนนนนนน

yuuki

  • บุคคลทั่วไป
ยาวสะใจมากคะ >__<~

และแล้วฟ่งๆแอนด์เดอะแก๊งก็กำลังจะออกมาได้แล้ว ปลาบปลื้ม~~


แต่อิทธิเดชกะอาซานนี่สิที่น่าเป็นห่วง

ชอบตอนที่เฟิงปิงเดินไปตบเรียกสติจินหยิน ให้ความรู้สึก เค้าก็ยังมีความห่วงใยกับพี่น้องบ้าง(แม้จะน้อยเต็มที!!)

เอาละคะ ยังไงก้รอตอนต่อไปอยู่นะคะ อย่างใจจดใจจ่อ ~

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**เกือบลืมอัพอีกแล้วค่ะ ฮ่าๆๆ แบบว่ามันลืมอ๊ะ :-[ ( :z6:)

--------------------------------------

บทที่66 เพราะเวลาคนเราไม่เท่ากัน

   ฟ่งรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาและได้กลิ่นแปลกๆ ชายหนุ่มหรี่ตาเพื่อปรับให้คุ้นกับแสดงสว่าง ดูเหมือนเขาจะอยู่ในห้องที่ไหนสักแห่ง กลิ่นแบบนี้ดูคุ้นอย่างประหลาด เหมือนว่าเคยได้กลิ่นที่ไหนมาก่อน แต่ว่าสภาพห้องนั้นไม่คุ้นตาเลย
ร่างบางคว้ามือเปะปะไปตามหมอนหนุนเพื่อหาแว่นของเขา และตอนนั้นเองที่เขาพบว่ามีสายบางอย่างถูกโยงไว้กับมือข้างหนึ่งของเขา ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองตามสายที่พาดลงมานั้นและเข้าใจเรื่องทั้งหมดทันที เขากำลังอยู่ในโรงพยาบาลที่ไหนสักแห่ง มิน่าเล่ากลิ่นถึงได้คุ้นนัก กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเพื่อทำความสะอาดที่ไม่ว่าโรงพยาบาลไหนๆ ก็จะมีกลิ่นแบบเดียวกันหมด
ฟ่งเอื้อมมือไปคว้าแว่นที่วางอยู่บนโต๊ะข้างตัว เขาคงวูบไปตอนที่กำลังคุยอยู่กับรูฟัส ชายหนุ่มหันมองรอบๆ ตัว ด้านนอกสว่างจ้า คงจะเป็นเช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว ชายหนุ่มหันไปมองหานาฬิกาที่น่าจะอยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งของห้อง แล้วประตูห้องก็เปิดออก
   “You wake up, finally” เสียงทักทายเป็นภาษาอังกฤษแบบสบายๆ ดังขึ้น ฟ่งขมวดคิ้ว เสียงเดิมหัวเราะอย่างเริงร่า
   “ผิดหวังหรือครับ รูฟัสยังคุยกับตำรวจอยู่เลย ผมเลยแวะมาหาคุณก่อน” รัสเลอร์เอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง เขาเดินเข้ามาในห้องและลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง ฟ่งผุดลุกขึ้น
   “ตำรวจ? เขาโดนตำรวจจับหรือ”
   ผู้ถูกถามหัวเราะออกมา “ถ้าหมอนั่นถูกจับผมก็โชคดีน่ะสิ จะได้มาตื้อขอหัวใจคุณโดยไม่มีใครคอยตามกระทืบอีก แต่สบายใจเถอะครับ รูฟัสไม่ได้ถูกจับหรอก เขาเป็นส่วนหนึ่งในแผนการครั้งนี้น่ะ”
   “พวกคุณทำงานให้ตำรวจเหรอ?” ร่างบางเอ่ยถามอย่างแปลกใจ เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่ารูฟัสจะทำงานให้ตำรวจ ดูช่างขัดกันอย่างไม่น่าเชื่อ  รัสเลอร์สั่นศีรษะ เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดสีน้ำตาลหลวมๆ สวมกางเกงลูกฟูกสีครีมอ่อน
   “เปล่า ตำรวจของประเทศคุณทำงานร่วมกับเบื้องบนของผมอีกที”
   ผู้ที่นั่งอยู่บนเตียงขมวดคิ้วด้วยความสงสัยอีกครั้ง “เบื้องบนของคุณนี่คือใครกันแน่น่ะ?”
   รัสเลอร์ยิ้มอย่างมีเลสนัยน์ และยกนิ้วขึ้นโบกไปมา ”ไม่ใช่เรื่องที่คุณสมควรจะรู้ตอนนี้หรอกครับ เอาไว้ถ้าคุณอยากจะทำงานกับผมเมื่อไหร่ ผมจะบอกคุณแล้วกัน”
   คราวนี้ฟ่งขมวดคิ้วยุ่ง และหันหน้าหนีไปทางอื่น เขาไม่ชอบเวลาใครมาทำกับเขาเหมือนเป็นเด็กๆ ไม่รู้เดียงสาแบบนี้ หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มหัวเราะชอบใจ
   “หันมาคุยกันก่อนสิครับ บอกผมได้หรือเปล่าว่าคุณเข้าไปที่นั่นได้ยังไง?”
   ฟ่งคิดว่ารูฟัสควรจะเป็นคนแรกที่เข้ามาถามคำถามนี้ แต่กลับกลายเป็นเจ้าหมอนี่เสียได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังหันกลับมาตอบ
   “ผมให้วินพาเข้าไป เอ้อ จริงสิ เขาเป็นยังไงบ้าง?”
   “หมายถึงลูกชายของทวีศักดิ์น่ะหรือ?” รัสเลอร์ทวนคำ แล้วพูดต่อ “คุณตอบคำถามผมให้หมดก่อนแล้วกัน เดี๋ยวผมจะพาไปพบพวกเขา”
   “คุณนี่พูดอย่างกับพวกตำรวจ” ฟ่งตั้งข้อสังเกต เขาไม่ยักรู้สึกมาก่อนว่าผู้ชายที่ชื่อรัสเลอร์คนนี้สามารถจะพูดอะไรเป็นการเป็นงานได้ อีกฝ่ายหัวเราะ
   “คุณบอกให้วรุตพาคุณเข้าไปที่นั่น เพื่ออะไรหรือครับ?”
   “ผมอยากเข้าไปช่วยรูฟัส” ฟ่งตอบตามความจริง คราวนี้รัสเลอร์ขมวดคิ้วบ้าง “คุณพูดจริงๆ รึ?”
   “ผมจะโกหกทำไมล่ะ” ฟ่งตอบอย่างไม่ค่อยพอใจนัก รัสเลอร์รีบโบกมือทันที “ก็ผมเห็นว่าคุณไม่ค่อยสนใจรูฟัสเท่าไหร่ อืม..คุณดูไม่น่าจะเป็นห่วงเขาถึงขนาดนั้น”
   “นี่เขาจ้างให้คุณมาหลอกให้ผมพูดอะไรรึเปล่า?” ฟ่งถามอย่างกังขา รัสเลอร์รีบสั่นศีรษะ
   “เปล่า นี่ผมตั้งใจจะถามคุณเอง คุณอยากจะช่วยเขาขนาดเสี่ยงเข้าไปในที่แบบนั้นเลยเหรอ คุณไม่รู้เหรอว่ามันอันตรายมาก”
   “ผมไม่คิดว่ามันอันตรายมากมายอะไรหรอก ถ้าพวกคุณไม่วางระเบิดหรือยิงกันน่ะ” ฟ่งแย้งทันที หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มยกมือขึ้นเกาศีรษะ
   “คุณคิดตื้นไปหรือเปล่าครับ คุณรู้ได้ไงว่ารูฟัสต้องการให้คุณช่วย แล้วรู้ได้ยังไงว่าจะช่วยเขาออกมาได้”
   “ผมรู้แล้วกัน!!” ฟ่งตอบเสียงห้วน แล้วพูดต่อ “นี่คุณมาหาเรื่องผมหรือเปล่าเนี่ย?”
   “ผมเปล่า” รัสเลอร์รีบปฏิเสธทันที และเปลี่ยนคำถาม “แล้ว อืม... คุณทำงานให้กับคุณทวีศักดิ์มานานหรือยัง นอกจากเรื่องเขียนแปลนแล้ว คุณรู้เรื่องอย่างอื่นที่เขาทำด้วยหรือเปล่า?”
   “คุณถามอย่างกับเป็นตำรวจ” ฟ่งตั้งข้อสังเกตอีกครั้ง แต่ก็ยอมตอบคำถาม   “ผมแค่เขียนแบบให้เขา เรื่องอื่นผมไม่รู้หรอก เอาจริงๆ ผมน่าจะถูกเขาเก็บด้วยซ้ำ”
   รัสเลอร์พยักหน้าหงึกๆ แต่ก็ยังถามเพิ่มเติม “แล้ววรุตล่ะ คุณรู้จักเด็กคนนั้นดีขนาดไหน เขามีส่วนอะไรกับงานของพ่อเขารึเปล่า?”
   “ผมไม่รู้” ฟ่งตอบ รู้สึกขึ้นมาอย่างจริงๆ จังๆ ว่าเจ้าหมอนี่อาจจะเป็นรัสเลอร์คนละคนกับที่เขารู้จักก็ได้ หรือพอไม่มีพวกรูฟัสอยู่ด้วยแล้ว เจ้าหมอนี่เลยมีท่าทีเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา
   “ผมไม่ได้รู้จักเขามาก่อนหรอก เขาเพิ่งมาหาผมวันเดียวกับที่คุณมาที่นี่แหละ ไม่เชื่อคุณลองไปถามเขาดูก็ได้”
   “ครับๆ” รัสเลอร์รับปาก และก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ
   “เอาล่ะ ผมขอถามคำถามสุดท้าย คุณไม่ได้เล่าเรื่องพวกผมให้ใครฟังเลยใช่ไหม?”
   คนถูกถามสั่นศีรษะ “ผมไม่ได้พูดกับใครหรอก ถึงพูดไปก็คงมีมีใครเชื่อ”
   รัสเลอร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ ฟ่งเอ่ยถามขึ้นบ้าง “บอกผมได้หรือยังว่าวินกับพ่อเขาเป็นไงบ้าง”
   “ขอผมถามอีกสักอย่าง” รัสเลอร์ยังคงตื้อจะถามต่อ ฟ่งขมวดคิ้ว แต่ก็ยอมเงียบเพื่อฟังคำถาม
   “คุณสนใจจะมาทำงานกับผมหรือเปล่า  เอ้อ มันไม่ใช่งานอันตรายแบบที่พวกรูฟัสทำหรอก ผมรับรองว่าคุณจะปลอดภัย รับรองว่าจะดูแลคุณเป็นอย่างดีเลยล่ะ”
   ฟ่งขมวดคิ้ว เริ่มสงสัยว่าเจ้าหมอนี่ตั้งใจจะล่อลวงเขาไปทำอะไรซักอย่าง
   “งานอะไรของคุณน่ะ คุณรัสเลอร์ ผมยังไม่รู้เลยว่าคุณทำงานอะไรกันแน่”
   “ไม่บอกเขาไปเลยล่ะว่านายเป็นซีไอเอ” เสียงของราฟาแอลดังขึ้น หนุ่มผมสีบล็อนด์ก้าวเข้ามาในห้อง เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว และหาวหวอดออกมาอย่างน่าเกลียดตอนที่เดินมาหยุดที่ข้างเตียง ฟ่งทวนคำอย่างตกใจ “ซีไอเอ?”
   รัสเลอร์รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นการใหญ่ ขณะที่ราฟาแอลพูดต่อ “อืม... ตกใจใช่ไหมล่ะ พอคิดว่าไอ้บ้าบ๊องตื้นปัญญาอ่อนชอบทำอะไรพิลึกๆ นี่เป็นเจ้าหน้าที่ซีไอเอ อย่าว่าแต่นาย ขนาดฉันเองยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลย”
   “ฉันไม่ได้ต้องการคำรับรองแบบนั้นจากนายเลยนะ ราฟี่” รัสเลอร์หันไปเอ็ด ราฟาแอลยักไหล่อย่างไม่แยแส
   “นายควรจะรีบขอบคุณฉันที่แวะมาบอกนายว่า รูฟัสกำลังจะมาแล้ว และถ้าหมอนั่นรู้ว่านายพยายามจะสอบปากคำอะไรเด็กคนนี้ล่ะก็ ฉันรับรองว่าศพนายไม่สวยแน่ๆ”
   “บ้าน่ะ ฉันเพิ่งหลอกหมอนั่นให้ไปเอาของที่ห้องตะกี้นี่เอง” รัสเลอร์ว่า อีกฝ่ายสั่นศีรษะอย่างหน่ายๆ
   “ถ้ารูฟัสโง่ขนาดถูกนายหลอกง่ายๆ แบบนั้นคงไม่เป็นคู่หูกับฉันมานานขนาดนี้หรอก นี่ฉันช่วยหลอกถ่วงเวลาให้นายหรอกนะ ไม่งั้นเจ้าหมอนั่นคงมาถึงนี่ก่อนฉันแล้ว ว่าไง หรือนายอยากจะอยู่พิสูจน์?”
   “ไม่ล่ะ ขอบใจ” รัสเลอร์ว่า และผุดลุกขึ้น
   “ไปก่อนนะครับฟ่ง ถ้ามีโอกาสคงได้เจอกันอีก แล้วก็อย่าไปเชื่อราฟี่เชียวนะ ผมไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ซีไอเอหรอก” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มพูดเร็วปรือ และเดินลิ่วออกไปราวกับกลัวรูฟัสจะมาเจอเข้าจริงๆ ราฟาแอลทรุดตัวลงนั่งบ้าง ฟ่งเงยหน้าขึ้นถามด้วยความสงสัย
   “รัสเลอร์เป็นซีไอเอจริงๆ หรือครับ?”
   “ถ้าถามฉัน ฉันคิดว่าหมอนั่นเป็นไอ้บ้าตัวหนึ่ง” ราฟาแอลตอบ นัยน์ตาสีเขียวหันมาจับจ้องคู่สนทนา ฟ่งรู้สึกได้ทันทีถึงความกดดันจากนัยน์ตาคู่นั้น
   “เรื่องของพวกฉันเป็นความลับ เธอเข้าใจใช่ไหม?”
   ฟ่งพยักหน้า ราฟาแอลพูดต่อ “ฉันไม่รู้ว่าเธอเข้าไปที่นั่นด้วยจุดประสงค์อะไรกันแน่ แต่ก็ขอบใจที่ช่วยเจ้ารูฟัสออกมา”
   ถึงตรงนี้ฟ่งยิ้มออกมาบ้าง ดูเหมือนผู้ชายที่ชื่อราฟาแอลคนนี้จะไม่ใช่คนแล้งน้ำใจไปเสียทีเดียว
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมอยากช่วยเขาอยู่แล้ว”
   อีกฝ่ายพยักหน้า และพูดต่อ “แต่เธอทำคุณเมี่ยงปวดหัวมาก ฉันไม่ค่อยชอบหรอกนะ เวลาเห็นผู้ชายที่ไหนทำให้ผู้หญิงลำบากใจเนี่ย”
   “ผมขอโทษครับ แล้วคุณเมี่ยงเป็นยังไงบ้าง?”
   “ก็สบายดี เธอฝากมาบอกว่า วันหน้าวันหลังอย่าคิดทำอะไรบ้าๆ แบบนี้อีก”
   “ครับ ผมขอโทษจริงๆ” ฟ่งพูดอย่างสำนึกผิด เขาเริ่มคิดว่าควรจะไปกราบขอโทษผู้หญิงคนนั้นสักที ราฟาแอลยักไหล่
   “ถามจริงเหอะ เธอคิดจะอยู่กับรูฟัสจริงๆ รึ?”
   ฟ่งนิ่งไปพักหนึ่ง และพยักหน้าในที่สุด ราฟาแอลถามต่อ “แล้วเธอจะอยู่ยังไง เธอก็รู้แล้วนี่ว่ารูฟัสทำงานแบบนี้”
   “ผมรู้  ผมอยากให้เขาเลิก” ฟ่งโพล่งออกมา แล้วระลึกได้ทันทีว่าที่เขาพูดออกไปนั้น คงไม่สบอารมณ์ฝ่ายตรงข้ามอย่างแรง ก็รูฟัสกับราฟาแอลเป็นคู่หูกันนี่
   “เธอคิดว่าอาชีพนี้มันคิดจะเลิกได้ง่ายๆ หรือไง รู้หรือเปล่าว่ามีใครบ้างที่อยากได้ตัวหมอนั่น”
   ฟ่งสั่นศีรษะ เขาไม่รู้ว่าคนอยากได้ตัวรูฟัสมีมากขนาดไหน แต่เขาคิดว่าคงรู้จักอยู่คนหนึ่ง คนที่จับเขาไปที่ฮ่องกง ราฟาแอลกล่าวต่อ
   “ไม่ได้มีแต่เว่ยเฟิงปิงหรอกนะที่คิดจะเอาตัวเธอไปเป็นข้อต่อรองกับหมอนั่น เธอควรจะคิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะพูดอะไรที่จะกลายเป็นสิ่งผูกมัดรูฟัสเอาไว้ ถึงหมอนั่นจะจริงจังกับเธอ แต่ถ้าเธอยืนยันจะปฏิเสธล่ะก็ ฉันยืนยันว่าสุดท้ายเขาจะเลิกไปเอง”
   “อืม...ผมคิดว่าคุณจะเลิกพูดเรื่องนี่กับฟ่งแล้วเสียอีก” เสียงของรูฟัสดังขึ้น เขาสวมเสื้อเชิ้ตลำลองสีน้ำเงิน ในมือมีช่อดอกไม้ช่อใหญ่ สีหน้าดูบอกบุญไม่รับนัก ราฟาแอลผุดลุกขึ้นทันที “ซื้อดอกไม้เร็วจังนะ”
   “ต้องขอบคุณที่คุณเป็นคนออกไอเดีย ผมเพิ่งเห็นว่ามีร้านที่ใกล้ๆ อยู่ เอาล่ะ ราฟี่ ย้ายก้นของคุณออกไปได้แล้ว ผมไม่คิดจะมาทะเลาะกับคุณที่นี่หรอก”
   “ฉันก็ไม่คิดจะตีกับนายที่นี่เหมือนกัน”
   หนุ่มผมสีบลอนด์พูด เขาเหลือบมองฟ่งแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินออกไปเงียบๆ รูฟัสเดินเข้ามา และถอนหายใจเฮือกใหญ่
   “อย่าไปฟังคำพูดของเขามากเลยครับ... ผมให้คุณ”
   ฟ่งรับดอกไม้จากรูฟัสมาอย่างงงๆ และพูดขึ้น “ขอบคุณนะ แต่ผมไม่ได้บาดเจ็บอะไรนี่”
   “ดอกไม้ไม่ได้มีไว้ให้เฉพาะคนบาดเจ็บนี่ครับ” รูฟัสว่า และยกมือลูบศีรษะฟ่งที่ปูดออกมาอย่างเห็นได้ชัดด้วยสายตาเจ็บปวดลึกๆ ตรงแขนยังมีผ้าพันแผลพันเอาไว้ นี่ยังจะพูดอีกหรือว่าไมได้บาดเจ็บ ถึงแม้ว่าจะเป็นการทำตัวเองก็เถอะ
   “คุณล้มพับไปตอนที่กำลังคุยกันอยู่ คุณนี่ทำให้ผมตกใจได้ตลอดเลย ผมคิดว่าคุณได้รับบาดเจ็บตรงไหนเสียอีก โชคดีที่คุณแค่เพลีย กับตกใจมากไปหน่อย”
   “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ” ฟ่งกล่าว และนึกแปลกใจเหมือนกันว่าเขารักษาสติรอดมาได้ยังไงจนถึงตอนนั้น ความจริงเขาควรจะสลบไปตั้งแต่ตอนที่กำลังจะถูกอิทธิเดชยิงด้วยซ้ำ
   “จริงสิ วินเป็นยังไงบ้าง?” หนุ่มสวมแว่นรีบถามในสิ่งที่เขาถามคนอื่นมาตั้งแต่แรก รูฟัสขมวดคิ้วหน่อยหนึ่ง และพูดอย่างน้อยใจ “ทำไมคุณถามถึงคนอื่นกับผมอีกแล้ว?”
   “ก็ผมอยากรู้นี่ วินเป็นคนพาผมเข้าไปที่นั่น” ฟ่งตอบ ดูจะยังไม่รู้สึกตัวว่ารูฟัสกำลังขอความสงสารอยู่ หนุ่มตาสองสีพยักหน้าอย่างเหนื่อยใจ
   “ผมรู้ล่ะครับ คุณให้เขาพาคุณเข้าไปเพื่อช่วยผมไม่ใช่หรือ?”
   ฟ่งพยักหน้า รูฟัสนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ในที่สุดก็พูดขึ้นมา “นี่คุณไม่คิดจะพูดอะไรต่อเลยหรือ?”
   ผู้ถูกถามมองอย่างแปลกใจ “คุณจะให้ผมพูดอะไรล่ะ? ผมอยากเจอวิน เขาเป็นอะไรรึเปล่า? ถูกระเบิดมั้ย?”
   รูฟัสถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นี่ตกลงฟ่งเป็นห่วงเขาจริงๆ หรือว่าทำไปเพราะเหตุผลอื่นกันแน่ ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะถามออกไป “นี่คุณเข้าไปที่นั่นแค่เพราะอยากจะช่วยผมจริงๆ หรือ?”
   “จริงสิ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณผมจะลำบากเสี่ยงเข้าไปทำไม มาคิดดูอีกทีแล้วผมยังรู้สึกโมโหอยู่เลยที่คุณทำกับผมแบบนั้น คุณใช้ให้ผมถอดเสื้อแล้วยังล้วงก้นผมอีก ผมน่าจะเตะคุณอีกหลายที”
   “อา...” รูฟัสครางออกมา แทบจะยกมือกุมศีรษะ เขาแค่อยากได้ยินฟ่งพูดอะไรให้ชื่นใจบ้าง แต่กลับกลายเป็นถูกเอ็ดไปเสียได้ ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่อง
   “มีใครมาถามอะไรคุณก่อนที่ผมจะมารึเปล่าครับ นอกจากราฟี่น่ะ”
   “รัสเลอร์” ฟ่งตอบออกไปทันที รูฟัสขมวดคิ้ว “เขาถามอะไรคุณบ้าง?”
   “ก็ไม่ได้ถามมากหรอก” ฟ่งตอบเลี่ยงๆ ดูเหมือนรูฟัสจะไม่อยากให้รัสเลอร์สอบถามอะไรเขา หนุ่มตาสองสีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
   “ไม่ได้ถามอะไรแปลกๆ นะครับ วันหลังถ้าเขาถามอะไรคุณอีก ให้บอกว่าจะเรียกทนาย ไม่ก็บอกว่าถามมากฉันจะกระทืบแก”
   ฟ่งหัวเราะขืนๆ พลางคิดว่าคงไม่มีคนมารยาทดีที่ไหนเขาพูดอย่างที่รูฟัสแนะนำหรอก
   “จริงสิ รัสเลอร์เป็นซีไอเอเหรอ?” ฟ่งถามออกไปอย่างใคร่รู้ เขาคิดว่ารูฟัสน่าจะตอบเขาได้ชัดเจนกว่าราฟาแอลผู้ซึ่งเป็นคนเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน แต่ดันเลี่ยงที่จะตอบเมื่อถูกถาม คราวนี้รูฟัสทำหน้าพิกล
   “ไม่มีซีไอเอคนไหนงี่เง่าบ้าบอแบบนั้นหรอก”
   “นั่นสินะ” ฟ่งพยักหน้า และหัวเราะฝืนๆ ดูสองคนนี่จะไม่ต้องการให้เขารู้ว่ารัสเลอร์เป็นใครจริงๆ ช่างเถอะ ถึงจะเป็นใครก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเสียหน่อย อีกไม่นานเขาคงจะได้หลุดพ้นจากเรื่องวุ่นๆ พวกนี้เสียที
   “นี่ รูฟัส งานของคุณน่ะ เสร็จแล้วใช่ไหม?”
   รูฟัสนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “จริงๆ ก็เหลือที่ต้องทำอีกไม่มากหรอกครับ แค่ให้ปากคำเฉยๆ คุณจะให้ผมย้ายของไปห้องคุณเลยไหม?”
   “ผมยังไม่ได้พูดเลยว่าจะให้คุณย้ายเข้ามา” ฟ่งพูดทันที รูฟัสถือวิสาสะดึงมือคู่นั้นขึ้นมาจูบ
   “ก็คุณพูดว่าอยากจะอยู่กับผมนี่ครับ อย่าบอกนะว่าคุณลืม ผมว่าเรารีบออกจากโรงพยาบาลแล้วไปที่ห้องกันเถอะ ผมอยากกอดคุณใจจะขาด”
   ฟ่งรีบดึงมือออก หน้าแดงด้วยความขวยเขิน
“ผม..ผมอยากเจอคนอื่นก่อน” ร่างบางกล่าว แม้จะรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก แต่รูฟัสก็ยอมตกลง
“คุณอยากเจอใครล่ะครับ ผมจะพาไปหา”
--------------------------------------------
อิทธิเดชได้ยินเหมือนเสียงใครสักคนเรียกชื่อเขาจากที่ไกลแสนไกล ชายหนุ่มพยายามฝ่ามองออกไปเบื้องหน้า สิ่งที่เขาเห็นคือความว่างเปล่าที่เหมือนแสงสว่างห่อหุ้มตัวเขาไว้ และเสียงเหมือนเครื่องมือโลหะกระทบกันเบาๆ ชายหนุ่มพยายามลืมตาขึ้น แล้วความรู้สึกของเขาก็ขาดไปอีก
เสียงปิ๊บ ปิ๊บ ของเครื่องมือบางอย่างทำให้สติของอิทธิเดชกลับมาอีกครั้ง ชายหนุ่มเปิดเปลือกตา และพบว่ามีอะไรบางอย่างครอบอยู่เหนือปากและจมูกของเขา รู้สึกปวดศีรษะ และกระหายน้ำ ร่างบางพยายามยันตัวขึ้น และทรุดฮวบลงไปเมื่อความเจ็บปวดแบบแสนสาหัสแล่นแปลบขึ้นมาจากสีข้างของเขา เสียงพึมพำอย่างตกใจดังขึ้นทันที
“คุณฟื้นแล้ว!!” วรุตโพล่งขึ้น ความจริงเขาควรจะรู้สึกดีใจกว่านี้ ถ้าไม่พบว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามลุกขึ้นในตอนที่เขาผล็อยหลับ ชายหนุ่มยกมือจับร่างที่ทรุดลงไปนั้นอย่างเป็นห่วง
“เจ็บมากหรือเปล่า ผมจะเรียกพยาบาล เผื่อว่าแผลคุณฉีก”
อิทธิเดชคว้ามือข้างที่กำลังจะเอื้อมไปกดปุ่มเรียกพยาบาลของวรุตเอาไว้ และพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “น้ำ ฉันหิวน้ำ”
วรุตมีสีหน้าเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก เขาตัดสินใจกดปุ่มเรียกพยาบาล ไม่นานนักพยาบาลสาวนางหนึ่งก็เดินเข้ามา และจัดการแสดงวิธีการให้น้ำแก่ผู้ป่วยที่สวมเครื่องช่วยหายใจให้วรุตได้เห็น
“ขอโทษที คุณใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ ผมไม่รู้ว่าควรจะให้น้ำคุณยังไง” วรุตกล่าวขึ้นหลังจากที่นางพยาบาลออกไปแล้ว อิทธิเดชผงกศีรษะ เสียงของเด็กคนนี้เองที่เรียกเขาในความฝัน ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าเขาจะถูกผู้ชายชาวต่างชาติที่บุกรุกเข้ามายิงใส่ แล้ววรุตก็เข้ามาขวางเอาไว้ หนุ่มหน้าสวยหันกลับไปหาลูกชายของผู้เป็นเจ้านาย
“เธอ..บาดเจ็บรึเปล่า?”
   วรุตเดินกลับมานั่งข้างๆ และยิ้มอย่างอ่อนโยน “ผมไม่เป็นไรหรอก ห่วงตัวเองเถอะ โชคดีที่ลูกกระสุนไม่ฝังเข้าไปในปอด หมอบอกว่ามันพุ่งผ่านกล้ามเนื้อส่วนที่ไม่สำคัญของคุณไปอย่างน่าเหลือเชื่อ ตอนนั้นผมคิดว่าคุณจะตายแล้วเสียอีก เลือดคุณออกเยอะมากเลย”
   คนบาดเจ็บเงียบไปอีกพักหนึ่ง นัยน์ตาหวานฉ่ำจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกสับสนปนเป ท้ายที่สุดจึงเอ่ยถ้อยคำออกมา “ฉันอาจจะตายจริงๆ ก็ได้ ถ้าเธอไม่ขวางเอาไว้”
   “ผมไม่ได้ทำอะไรเลย…” เด็กหนุ่มคราง ก่อนจะถอนหายใจยาว ดึงมือของอิทธิเดชข้างที่อยู่ใกล้ที่สุดเข้ามา และจูบลงไปอย่างรักใคร่ “ผมดีใจที่คุณฟื้นขึ้นมาคุยกับผมได้”
   อิทธิเดชมองดูวรุตอีกครั้งด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่าง เด็กคนนี้เข้ามาวุ่นวายในชีวิตของเขา ข่มขืน เหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ด้วยการแบล็กเมล์ ต่อมาก็พยายามจะหนีไปจากเขา แถมยังพาตัวเองไปสู่อันตรายที่ไม่มีใครคาดคิด แต่ว่าถ้าวรุตไม่ดึงมือของผู้ชายคนนั้น เขาอาจจะตายจริงๆ อิทธิเดชไม่เคยเห็นแววตาของใครน่ากลัวขนาดนั้นเลย แววตาสีเขียวที่เหมือนดวงตาของสัตว์นักล่า
   “ท่านประธานล่ะ?” หนุ่มหน้าสวยเอ่ยถามขึ้นมา เขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากที่เขาถูกยิง การประชุมนั้นล้มเหลวรึเปล่า แล้วมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นอีกไหม เหมือนว่าจะมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้
   “พ่อ....” วรุตพูดค้างเอาไว้แบบนั้น นั่นทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงลางสังหรณ์อัปมงคลทันที หนุ่มหน้าสวยโพล่งขึ้นอย่างตระหนก “เกิดอะไรขึ้นกับท่านประธาน? เขา..เขาบาดเจ็บหรือ?”
   วรุตรีบกดร่างของอิทธิเดชลงไปบนเตียง ด้วยกลัวว่าหากปล่อยให้อีกฝ่ายพยายามจะลุกขึ้นบาดแผลอาจจะฉีกขาด เขาสั่นศีรษะ
   “เปล่า พ่อไม่เป็นอะไรหรอก คุณสบายใจได้ เขาปลอดภัยดี”
   “แล้วทำไมเธอถึงพูดด้วยน้ำเสียงแบบนั้น” หนุ่มหน้าสวยไม่วายตั้งข้อสังเกต เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
   “พ่อถูกจับ”
   “ถูกจับ?!” อิทธิเดชทวนคำอย่างตกใจ เขามองหน้าวรุตอย่างไม่เชื่อ
   “ท่านประธานน่ะหรือ เขาถูกจับได้ยังไง? ตำรวจรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?!”
   “ผมไม่รู้” เด็กหนุ่มกล่าว สิ่งที่เขาทราบตอนนี้คือ ผู้เป็นพ่อยอมถูกตำรวจควบคุมตัว หลังจากเกิดระเบิดต่อเนื่องกันหลายระลอก ด้วยความเป็นห่วงสวัสดิภาพของเขา เด็กหนุ่มเองก็คาดไม่ถึงว่าคนพวกนั้นตั้งใจจะทำลายล้างกันถึงขนาดนี้ ดีที่อานุภาพของระเบิดที่เกิดขึ้นไม่รุนแรงถึงขั้นทำให้อุโมงค์ถล่ม ถึงอย่างนั้นมันก็รุนแรงพอที่จะทำให้ตำรวจรู้ถึงการมีอยู่ของห้องลับได้
   “ตำรวจมีหมายค้น มีหลักฐานด้วยว่าพ่อผมทำผิดกฎหมาย คุณก็รู้ใช่ไหมว่าเขาไม่ได้ทำเรื่องถูกต้องไปเสียหมด”   วรุตตัดสินใจสรุปใจความสำคัญ เขายังไม่ทราบแน่ชัดว่าพวกราฟาแอลร่วมมือกับตำรวจหรือเปล่า แต่ดูจากรูปการแล้วก็คงไม่ผิดไปจากนี้นัก ประเด็นคือ ทำไมตำรวจถึงต้องส่งสายลับพวกนี้เข้ามา
อิทธิเดชเลี่ยงที่จะตอบคำถาม เขาหันไปทางอื่น วรุตเองก็นิ่งเงียบไป
   “แล้ว..เธอจะทำยังไงต่อ?” ในที่สุดหนุ่มหน้าสวยก็เป็นฝ่ายกล่าวขึ้นอีกรอบ เด็กหนุ่มหันหน้ากลับมา และก้มศีรษะลง “ผมคงต้องต่อสู้คดีให้เขา ถึงเขาจะทำเรื่องไม่ดี แต่เขาก็เป็นพ่อผม”
   ใบหน้าของอิทธิเดชปรากฏรอยยิ้มที่ไม่ค่อยจะมีบ่อยนัก โดยเฉพาะกับเด็กหนุ่มที่ชื่อวรุต “ฉันดีใจที่ได้ยินเธอพูดแบบนั้น”
   วรุตเงยหน้าขึ้นมองทันที “ผมไม่ได้ทรพีถึงขนาดปล่อยให้พ่อตัวเองติดคุกไปเฉยๆ หรอกน่า” เด็กหนุ่มกล่าว พลางถอนหายใจอีกรอบ เขาหวังว่าผู้เป็นพ่อจะสำนึกได้จากเหตุการณ์ในคราวนี้ วรุตไม่ต้องการให้พ่อของเขาทำเรื่องเลวร้ายอีก
   “นี่ เดช ถ้าคุณหายดีแล้ว มาช่วยงานผมได้ไหม” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปนาน ผู้ถูกถามขมวดคิ้วอย่างสงสัย อีกฝ่ายพูดต่อ “พ่อผมถูกฝากขัง ผมยังไม่แน่ใจว่าศาลจะให้ประกันตัวหรือเปล่า ผมคงไม่ได้ไปเรียนต่อ อารัตน์บอกให้ผมอยู่ดูแลกิจการไปก่อน”

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   “อา...” หนุ่มหน้าสวยครางเสียงยาว จนถึงตอนนี้เขายังไม่อยากจะเชื่อว่าทวีศักดิ์ถูกจับ ไม่อยากเชื่อเลยว่าเรื่องทั้งหมดจะลงเอยแบบนี้
   “คุณรัตน์ให้คำแนะนำเธอได้ดีกว่าฉัน ฉันไม่ได้รู้อะไรมากมาย” อิทธิเดชเอ่ยตอบ วรุตหันไปมองหน้าเขาทันที
   “แต่ผมต้องการคุณ อิทธิเดช ผมอยากให้คุณอยู่ข้างๆ ผม ถ้าคุณไม่พอใจ ผมสัญญาว่าจะไม่แตะต้องร่างกายคุณอีก แค่อยู่ใกล้ๆ ผมก็พอ”
   คนเจ็บบนเตียงถึงกับอึ้งไปอีกพักใหญ่ นัยน์ตาหวานฉ่ำจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง ปะปนกับความงุนงง และความสนเท่ห์ใจ เนิ่นนานจึงเอ่ยคำพูดออกมา
   “ทำไมถึงต้องเป็นฉัน?” ร่างบางถามเสียงพร่า และแทบจะกลั้นใจเมื่อได้ยินคำตอบ
   “เพราะผมชอบคุณ ผมรักคุณ ผมอยากอยู่ใกล้ๆ คุณ และผมคิดว่าผมคงมีความสุขถ้าหากคุณจะยอมมาอยู่ใกล้ๆ”
   “ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ยอมให้เธอทำอะไรอย่างนั้นหรือ?” อิทธิเดชถามกลับ เขาไม่อยากจะคิดไปเองนัก เพราะก่อนหน้านี้ดูท่าวรุตจะต้องการเพียงร่างกายของเขามากกว่า คนถูกถามพยักหน้าอย่างหนักแน่น
   “ได้ ผมยอม ถ้าคุณไม่พอใจผมก็จะไม่ทำอะไร แค่คุณยอมอยู่ใกล้ๆ ผมก็พอ ผมสัญญาว่าจะไม่ทำอย่างที่ผ่านๆ มากับคุณอีก”
   “ฉันจะลองคิดดู” อิทธิเดชเอ่ย และหันหน้าไปทางอื่น เขาไม่อยากให้วรุตเห็นรอยยิ้มของเขา ชายหนุ่มยังไม่แน่ใจว่าเขารู้สึกยังไง แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้เขารู้สึกดีใจที่ทางนั้นแสดงความต้องการเขาอย่างจริงๆ จังๆ  อิทธิเดชคิดว่าเขาอาจจะคิดเรื่องที่ไม่ค่อยเหมาะสมนัก เขาไม่ควรเป็นตัวถ่วงอนาคตของวรุต แต่คำพูดและสีหน้าของวรุตที่แสดงออกมาทำให้เขารู้สึกมีความสุข จะเป็นอะไรไหมถ้าเขาจะตอบรับข้อเสนอนี้
   วรุตกุมมือของอิทธิเดช จากท่าทีที่ไม่ได้แสดงว่าปฏิเสธไปเสียทีเดียวทำให้เขารู้สึกมีความหวัง วรุตไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรกับเขาบ้าง อาจจะโกรธ เกลียดเขาอยู่ลึกๆ ก็ได้ แต่พอเห็นใบหูที่แดงก่ำไปด้วยเลือดฝาดนั้นแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดเข้าข้างตัวเอง บางทีอิทธิเดชอาจจะพอมีเยื่อใยให้เขาอยู่บ้าง เด็กหนุ่มตัดสินใจลองรุกต่ออีกสักหน่อย
   “มาอยู่กับผมเถอะนะ” วรุตกล่าว และดึงมือข้างนั้นขึ้นมาจูบ อิทธิเดชหน้าแดงขึ้นมาจริงๆ เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดออกไปว่าอะไร แล้วเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นก็ช่วยยืดเวลาเอาไว้
   ฟ่งโพล่เข้ามาด้วยสีหน้าเคอะเขิน เมื่อเห็นว่าสองคนที่อยู่ในห้องกำลังกุมมือกันอยู่ ชายหนุ่มยกมือขึ้นเกาศีรษะ “โทษที ผมไม่ได้ตั้งใจจะมารบกวน”
   “ไม่เป็นไรหรอก” วรุตกล่าว พลางหันไปมองหน้าผู้มาเยือน
   “ได้ยินว่าคุณสลบไปเฉยๆ?”
   “อา..ครับ” ฟ่งกล่าว และเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่ม ก่อนจะมองไปยังร่างที่นอนอยู่บนเตียง
   “คุณ...เป็นยังไงบ้าง” อิทธิเดชคิดว่าฟ่งตั้งใจจะถามเขา แต่คงนึกประโยคที่ดีกว่านี้ไม่ออก หนุ่มหน้าสวยสั่นศีรษะ
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก” วรุตช่วยตอบแทนให้ “กระสุนไม่ถูกจุดสำคัญ”
   “ดีจัง ผมไม่อยากให้ใครตาย”
   “คุณควรจะห่วงตัวเองนะ” อิทธิเดชพูดขึ้นในที่สุด ทั้งสองหันกลับไปมอง หนุ่มหน้าสวยนิ่งไปพักหนึ่ง
   “คุณใจดีเกินไปแล้ว คุณอภิวัฒน์” ร่างที่นอนอยู่เอ่ย เขาไม่คิดว่าคนที่เคยถูกเขาจ่อยิง จะมาถามไถ่ถึงอาการบาดเจ็บของเขาแบบนี้ ฟ่งยิ้มออกมา
   “อย่าคิดมากเลย ผมไม่ได้โกรธเคืองอะไรคุณหรอก แต่ไม่ใช่ว่าผมชอบที่ถูกทำแบบนั้นนะ”
   อิทธิเดชเบือนหน้าไปทางอื่น วรุตมองดูทั้งคู่อย่างงุนงง “พวกคุณมีเรื่องอะไรกันหรือไง?”
   ฟ่งรีบสั่นศีรษะ “ไม่มีอะไรหรอก อืม..ผมเสียใจเรื่องพ่อคุณด้วยนะ”   เขาหันมาพูดกับวรุต เด็กหนุ่มโบกมือ
   “พ่อผมแค่ถูกจับ ไม่ได้ตายเสียหน่อย ผมเองก็เคยคิดอยู่หลายหนว่าสักวันเขาคงโดนจับ คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ผมหาทางช่วยเขาแน่ ยังไงเขาก็เป็นพ่อผม”
   ฟ่งพยักหน้า “ผมรู้ นายเป็นคนดี อืม...ผม.....ผมขอโทษ”
   วรุตขมวดคิ้วอย่างแปลกใจกับคำพูดของฟ่ง เขาเกือบจะอ้าปากถามออกไปแล้วว่าทางนั้นขอโทษเรื่องอะไร โชคดีที่นึกขึ้นมาได้ก่อน ฟ่งคงหมายถึงเรื่องของพวกราฟาแอล
   “ไม่ต้องขอโทษผมหรอก ผมตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่าจะหยุดพ่อ แล้วคุณก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย”
   ฟ่งนิ่งเงียบไปอีกพักหนึ่ง ถึงแม้วรุตจะพูดแบบนั้น แต่เขาก็รู้สึกผิดในหลายๆ อย่าง เขาเป็นคนชักนำให้เด็กหนุ่มเข้ามาเสี่ยงอันตราย และยังมีส่วนทำให้พ่อของเขาถูกจับ ฟ่งรู้สึกไม่สบายใจอย่างมากกับเรื่องนี้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงอยากพบวรุตนัก
   วรุตมองหน้าฟ่งและถอนหายใจ ท่าทางหนุ่มสวมแว่นคนนี้จะรู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อด้วยซ้ำ วรุตคิดว่าถ้าฟ่งอยากจะขอโทษเขาล่ะก็ ฟ่งควรจะขอโทษเรื่องที่พยายามข่มขู่เขาให้พาเข้าไปมากกว่า แต่พอมาคิดดูอีกที หากฟ่งไม่เข้าไปที่นั่นล่ะก็ บางทีเขากับอิทธิเดชคงไม่ได้พูดคุยกันเช่นเมื่อครู่ อิทธิเดชบาดเจ็บเพราะต้องการช่วยเขาก็จริง แต่ถ้าเขาไม่ได้เข้าไปที่นั่นก็ไม่ได้ประกันว่าผู้ชายคนนี้จะไม่บาดเจ็บ แล้วก็ไม่มีอะไรประกันอีกว่าจะมีใครช่วยเหลือเขาได้ทัน คิดถึงตรงนี้วรุตเริ่มเข้าใจความคิดของฟ่งขึ้นมาบ้าง ฟ่งเองก็คงกลัวว่าคู่รักของเขาจะเป็นอะไรไปด้วยเหมือนกัน นั่นทำให้เด็กหนุ่มอมยิ้มออกมา
   “ฟ่ง คุณเจอแฟนคุณหรือยัง?”
   หนุ่มสวมแว่นเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ เขาไม่คิดว่าวรุตจะถามออกมาแบบนี้
   “มะ..หมายถึงรูฟัสเหรอ? ผมเจอเขาแล้วล่ะ” ฟ่งตอบ วรุตพยักหน้า เขาเจอรูฟัสตอนมาถึงโรงพยาบาลโดยบังเอิญ ดูเหมือนทางนั้นจะขุ่นเคืองเขาอยู่พอสมควร ท่าทางจะเป็นเรื่องที่เขาพาฟ่งเข้าไปในห้องลับนั่นแน่ๆ ถึงไม่พูดออกมาวรุตก็พอจะเดาได้จากสายตาสองสีคู่นั้น เด็กหนุ่มพอจะเข้าใจความรู้สึกของรูฟัส คงไม่มีใครอยากให้คนรักของตัวเองเข้าไปเสี่ยงแบบนั้นหรอก
   “ท่าทางเขาจะโกรธผม เรื่องที่พาคุณเข้าไป” เด็กหนุ่มเอ่ย ฟ่งทำหน้าแปลก
   “นายคุยกับเขาล่ะรึ? ความจริงแล้วเขาควรจะโกรธผม  ถ้าเขายังนึกโกรธนายผมจะไปอธิบายให้เขาฟังอีกที”
   วรุตรีบโบกมือ “ไม่ต้องหรอก ผมแค่จะพูดว่า เขาห่วงคุณมาก คุณไม่ควรทำอะไรแบบนี้อีก
   ฟ่งพยักหน้า “ผมไม่ทำอีกหรอก ตราบเท่าที่เขาไม่ทำอะไรเสี่ยงๆ”
   วรุตมองหน้าหนุ่มสวมแว่น ผู้ที่ดูจะทำให้อะไรๆ วุ่นวายขึ้น และก็ดูจะเป็นคนที่ทำให้เรื่องจบลงด้วยความลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
------------------------------------
   รูฟัสยืนรออยู่นอกห้อง เขาไม่รู้ว่าจะเข้าไปกับฟ่งเพื่ออะไร เพราะถึงเข้าไปนอกจากไม่มีอะไรจะพูดแล้ว อาจจะเผลอแสดงอาการไม่พอใจออกไปด้วยก็ได้ หนุ่มตาสองสีจึงตัดสินใจยืนรออยู่เฉยๆ เขาไม่รู้ว่าฟ่งจะเป็นห่วงอะไรคนอื่นนักหนา ขณะที่กำลังนึกหงุดหงิด เสียงทักทายเป็นภาษาจีนที่แสนจะคุ้นแก้วหูก็ดังขึ้น
   “ไง รูฟัส นายกำลังยืนรอใครอยู่ รอฟ่งหรือ? แต่นั่นมันห้องคนอื่นนี่นา” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตเรียบร้อย โดยมีจางซื่อเยี่ยนเดินตามมาด้านหลัง รูฟัสขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ธุระของเธอหรอกนะ”
   จางซื่อเยี่ยนมีสีหน้าไม่พอใจทันที ขณะที่ผู้เป็นเจ้านายหัวเราะร่วน “สนุกจริงๆ ที่ได้เห็นนายมีสีหน้าแบบนี้น่ะ อา.... ฉันคงต้องขอบคุณฟ่งอีกหลายรอบ หมอนั่นทำให้นายหัวปั่นได้จริงๆ สินะ”
   “รีบหุบปากแล้วไสหัวไปได้แล้ว” รูฟัสเอ่ยอย่างรำคาญ จางซื่อเยี่ยนเกือบจะเดินเข้าไปต่อยปากคนพูดแล้ว ดีที่เว่ยเฟิงปิงยกมือห้ามไว้ ไม่งั้นคงมีการวางมวยขึ้นกลางโรงพยาบาลแน่ๆ
   “ไม่เอาน่า ฉันไม่ได้มาจับตัวแฟนนายสักหน่อย แค่จะแวะมาทักทาย อ้าว ว่าไง ฟ่ง” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริงในตอนที่ฟ่งเปิดประตูออกมาจากห้องพอดี ฟ่งหันไปยิ้มแห้งๆ
   “สวัสดีครับ โชคดีจังที่พวกคุณปลอดภัย”
   “อืม..โชคดีที่ฉันกับซื่อเยี่ยนไม่เป็นอะไรมาก” เว่ยเฟิงปิงกล่าว พลางนึกถึงแผลที่แขน มันดูเล็กน้อยจริงๆ เมื่อเทียบกับฟากของพี่ชายของเขา นั่นทำให้คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยเงียบไปพักหนึ่ง
   “ฉันคงต้องขอตัวล่ะนะ นายเองก็อย่ามัวแต่เป็นห่วงคนอื่นมาก เดี๋ยวคนด้านหลังนั่นจะโกรธเอา” คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยกล่าว และเดินจากไป โดยมีจางซื่อเยี่ยนที่มีสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก เดินตามไปติดๆ ฟ่งหันกลับไปมองรูฟัสซึ่งดูจะมีสีหน้าปั้นปึงพอสมควร
   “คุณโกรธผม?”
   คนถูกถามรีบสั่นศีรษะทันที แต่ในใจก็หวังอยู่ลึกๆ ว่าฟ่งควรจะรู้ตัวบ้าง หนุ่มสวมแว่นกะพริบตาปริบๆ
   “ผมอยากคุยกับคุณหน่อย”
------------------------------------------------
   “ทำไมคุณไม่บอกเขาไปล่ะครับ ว่าคุณดีใจที่เขาไม่เป็นอะไร” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยขึ้นหลังจากที่ทั้งคู่แยกออกมาจากพวกรูฟัสได้พักหนึ่งแล้ว เว่ยเฟิงปิงหันมามองอย่างแปลกใจ
   “นายหมายถึง รูฟัสหรือ?” อีกฝ่ายพยักหน้า ร่างบางหยุดเดิน หันกลับมามองผู้เป็นลูกน้องอย่างจริงๆ จังๆ
   “นายไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า ทำไมอยากจะให้ฉันพูดแบบนั้น?”
   “ก็คุณดูจะห่วงเขามากนี่ครับ” จางซื่อเยี่ยนกล่าว เขานึกถึงสีหน้าของเว่ยเฟิงปิงตอนที่เห็นว่ารูฟัสถูกจับได้ แม้จะรู้สึกน้อยใจ แต่ก็ต้องทำใจยอมรับว่าเจ้านายของเขายังคงฝังใจกับผู้ชายคนนี้อยู่ ที่น่าโมโหคือ เจ้าหมอนั่นดูจะไม่ใยดีด้วยซ้ำ มันน่าต่อยปากนัก
   เว่ยเฟิงปิงเบิ่งนัยน์ตาสีฟ้าของเขามองจางซื่อเยี่ยนอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็พูดออกมา “นายหึงเหรอ?”
   “ผมเปล่า” ชายหนุ่มปฏิเสธออกไปทันที แล้วก็ถูกผู้เป็นเจ้านายต่อยเบาๆ ที่หน้าอก
   “งั้นก็หุบปากซะ!” ร่างบางกล่าวเสียงห้วน ก่อนจะก้าวพรวดๆ ไปด้านหน้าอย่างไม่ใยดี จางซื่อเยี่ยนรีบก้าวตามออกไป
-------------------------------------
   ฟ่งเดินกลับมายังห้องพักในโรงพยาบาลพร้อมกับรูฟัส เขาได้คุยกับวรุตแล้ว และได้ทราบคร่าวๆ กับสิ่งที่พวกของรูฟัสทำลงไป ชายหนุ่มเริ่มตั้งคำถามที่เขาเคยถามตัวเองเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้
   เขาคิดยังไงกันแน่กับผู้ชายที่เรียกตัวเองว่ารูฟัส
   ร่างบางเดินผ่านเตียงนอนตรงไปยังระเบียง เขายังไม่อยากประจันหน้ากับผู้ชายตาสองสีคนนั้น ฟ่งต้องการเวลาลำดับความคิดของตัวเองสักหน่อย มันดูเป็นเรื่องน่าอายและชวนให้หงุดหงิด เมื่อทุกครั้งที่เขาหันกลับไปมองผู้ชายคนนั้น หัวใจก็พลันหวั่นไหวและอ่อนยวบไปเสียทุกที ยิ่งได้เห็นสายตาออดอ้อนและได้ยินถ้อยคำหวานหูพวกนั้นแล้ว ฟ่งคิดว่าเขาควรจะทำใจให้หนักแน่นกว่านี้ ก่อนที่จะตัดสินใจทำหรือพูดอะไรลงไป
   ไม่อย่างนั้นมันคงจะเกิดปัญหาดังเช่นที่ผ่านๆ มา
   อากาศตรงระเบียงแม้จะร้อนอบอ้าวไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกแสบจมูกเหมือนเวลาที่เปิดเครื่องปรับอากาศ ฟ่งค้ำมือลงกับราวสแตนเลส สิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจคือ ความรู้สึกพิเศษที่เขามีให้กับรูฟัส ผู้ชายต่างชาติตาสองสีที่ยังไม่ทราบประวัติความเป็นมาแน่ชัดคนนั้นกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเขา ในห้วงอารมณ์หลายๆ แบบ ทั้งอบอุ่น อ่อนโยน ห่างเหิน น่าหวาดหวั่น และบางครั้งก็กลายเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจเข้าใจได้
ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกผูกพันกับผู้ชายที่ชื่อรูฟัสคนนี้ มันเป็นเยื่อใยที่หาที่มาไม่ได้ เสียงเรียกร้องของหัวใจที่ไม่ฟังซึ่งเหตุผลทุกอย่าง บางคราวมันรุนแรงเสียจนฟ่งเองยังหวาดหวั่น หวาดหวั่นว่าเมื่อมันเงียบลงแล้ว เขาจะถูกทิ้งให้อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่ตัวเองไม่อาจยอมรับได้ ดังนั้นเขาจึงต้องการเวลา เวลาในการคิดทบทวนเรื่องราวโดยปราศจากเสียงยุยงของหัวใจปรารถนานั้น

   รูฟัสยืนอยู่ตรงประตูระหว่างระเบียง เขาตัดสินใจไม่ตามฟ่งออกไป ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าวรุตพูดคุยอะไรกับฟ่งบ้าง การเอ่ยปากขอพูดด้วยแต่พอเอาเข้าจริงกลับเดินออกไปคนเดียวโดยไม่พูดอะไรแบบนี้ทำให้รูฟัสรู้สึกไม่ดีนัก เขาเกือบจะแน่ใจว่าฟ่งคงไม่พูดอะไรให้เขาชื่นใจแน่ๆ บางทีทางนั้นอาจมีเรื่องขุ่นเคืองอะไรอีก แต่ก็ดีที่แสดงทีท่าว่าอยากจะพูด รูฟัสอยากให้ฟ่งพูดกับเขาไม่ว่าเรื่องที่พูดจะดีหรือร้าย มากกว่าที่ทางนั้นจะเงียบและหนีจากเขาไปเหมือนที่เคยผ่านมา ชายหนุ่มคิดว่านี่คงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ในการใช้ชีวิตคู่ของเขา ถ้าหากฟ่งเป็นฝ่ายแสดงความคิดเห็นหรือความต้องการออกมาก่อนบ้าง ดังนั้นรูฟัสจึงยืนรอ รอฟังในสิ่งที่คนที่เขารักที่สุดต้องการจะพูด

   บางคนกล่าวว่าเวลานั้นผ่านไปเร็วเสียจนตั้งตัวไม่ติด แต่บางครั้งคนเรากลับรู้สึกว่าเวลานั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้าเสียเหลือเกิน ตอนนี้ฟ่งกำลังรู้สึกถึงคำพูดทั้งสองอย่างนั้นในเวลาเดียวกัน เขากำลังนึกทบทวนเรื่องราวตั้งแต่ครั้งที่ได้พบกับรูฟัสคราวแรก ผู้ชายชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ห้องข้างๆ เดินเข้ามาเพื่อช่วยขนของด้วยความมีน้ำใจ ความสัมพันแบบปกติที่พลันพบจุดเปลี่ยนเมื่อได้พบกันอย่างไม่ได้คาดหมายในคลับของผู้หญิงที่ชื่อว่าเมี่ยง ฟ่งนึกสงสัยว่าเขาเริ่มเกิดความรู้สึกมากกว่าคนข้างห้องกับรูฟัสเมื่อไหร่ ความรู้สึกนั่นไม่เหมือนเมื่อครั้งเขาตกหลุมรักดา อดีตแฟนสาวของเขา ครั้งนั้นฟ่งรู้สึเหมือนโลกทั้งโลกเป็นสีชมพู มองไปทางไหนก็เห็นแต่ดวงตากลมโต และได้ยินแต่เสียงพูดน่ารักๆ ของดา
แต่สำหรับรูฟัส เขาไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้นเลย มันคล้ายอะไรบางอย่างที่ได้พบได้เห็นจนเคยชิน แล้ววันหนึ่งก็กลับกลายเป็นแปลกแยกออกไปจากเดิม มันเป็นความรู้สึกที่เริ่มต้นจากความผูกพันในช่วงเวลาอ่อนไหวของความรู้สึก การที่รูฟัสมาอยู่เป็นเพื่อนเขาในช่วงเวลานั้นทำให้หัวใจของเขาพลั้งเผลอไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ความรู้สึกนั้นถูกกระตุ้นให้แสดงออกมาอย่างเด่นชัดเมื่อเขาพบว่ารูฟัสสนิทกับคนอื่นด้วย ในตอนนั้นฟ่งพยายามหาเหตุผลเพื่อบอกตัวเองว่ารูฟัสก็ทำไปตามมารยาทหรือสิ่งที่ควรทำ เขาจะสนิทกับเมี่ยงหรือชอบพอกับคนไหนก็เป็นเรื่องส่วนตัว  ถึงอย่างนั้นความรู้สึกริษยาและน้อยอกน้อยใจก็ผุดขึ้นมาอย่างไม่อาจยับยั้งได้
   ความอ่อนโยนที่รูฟัสมีให้เขาโดยไม่ได้คิดอะไรนั้นกลับทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ ดังนั้นเมื่อพบว่าอีกฝ่ายอ่อนโยนกับคนอื่นด้วย จึงทำให้หัวใจมีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมา
   คิดถึงจุดนี้ฟ่งรู้สึกละอายใจอย่างมากจริงๆ เขาเรียกร้องจากรูฟัสมาโดยตลอด ฟ่งเชื่อว่าก่อนหน้าที่จะพบกันในคืนนั้นรูฟัสไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับเขาเลย และเขาเองก็ยังไม่รู้ตัวว่าคิดกับผู้ชายคนนั้นมากเกินปกติ หากไม่มีการพบกันในวันนั้น รูฟัสก็คงทำงานไปตามปกติ ตัวเขาเองก็คงจะกลายเป็นเพื่อนกับผู้ชายคนนั้น และเมื่อต้องจากกัน ก็คงทำใจยอมรับได้ ความรู้สึกพิเศษที่ผิดธรรมชาตินั้นคงไม่ลุกลามขยายใหญ่เช่นนี้เลย หากว่ารูฟัสไม่มาหาเขาในวันรุ่งขึ้น
   วินาทีที่ได้รู้ว่าผู้ชายตาสองสีคนนั้นคิดเกินกว่าคำว่าเพื่อน ในหัวของเขาสับสนไปหมด ทั้งตื่นเต้น ทั้งดีใจ ทั้งเสียใจ ทั้งปริวิตก นี่ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบปกติเลย มันไม่ควรจะเกิดขึ้น กับคนที่ไม่ได้รู้จักลึกซึ้งกันมาก่อน กับคนที่ไม่รู้ที่มา กับคนที่เป็นเพศเดียวกัน ในตอนนั้นฟ่งไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นความสัมพันธ์เพียงชั่วครู่ หรือความสัมพันธ์ในระยะยาว เขาแทบไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากรู้สึกดีไปกับสัมผัสของผู้ชายคนนั้น รู้สึกดีไปกับความอบอุ่นที่ได้รับนั้น และเมื่อได้สติ เขาก็ไล่ผู้ชายคนนั้นออกไป
   ความลังเลและหวั่นไหวนั่นทำให้เขาปฏิบัติต่อรูฟัสโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของฝ่ายนั้น เขาเฝ้าคิดถึงความรู้สึกของตัวเองมาโดยตลอด โดยไม่พยายามจะทำความเข้าใจ แต่กลับปิดกั้นเอาไว้ ฟ่งไม่คิดว่ารูฟัสจะเจ็บปวดอะไรกับเรื่องนี้มากนัก เพราะผู้ชายคนนั้นดูช่ำชองและเจนโลกจนไม่น่าจะมีความรู้สึกหวั่นไหวใดๆ ได้อีก แต่วันที่เขาได้เห็นสายตาเจ็บปวดที่มองมา สีหน้าที่เหนื่อยล้าของผู้ชายคนนั้น กับคำถามซึ่งเขาไม่เคยอยากจะตอบ
   รักผมบ้างรึเปล่า?
   คำถามที่ผู้ถามนั้นตอบเองครั้งแล้วครั้งเล่า คำรักที่รูฟัสเอ่ยให้เขานั้นมากมายจนนับครั้งไม่ถ้วน มากจนบางครั้งทำให้เขาหงุดหงิด เพราะดูเหมือนรูฟัสจะใช้คำตอบนั้นอธิบายการกระทำทุกอย่าง ผู้ชายคนนั้นดูจะไม่เดือดร้อนอะไรเลยกับการพูดคำแบบนั้น ฟ่งเคยคิดว่ารูฟัสไม่มีอะไรจะต้องเสียในการพูดคำว่ารัก แต่เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว รูฟัสได้แสดงให้เขาเห็นอย่างไม่ตั้งใจว่าคำว่ารักที่เอ่ยออกมานั้นแลกกับอะไรไปบ้าง  ที่น่าปวดใจคือคำรักนั้นไม่เคยได้รับการตอบสนองอย่างจริงจังเลย ถึงอย่างนั้นผู้ชายคนนั้นก็ยังคงไม่ยอมแพ้ แต่ฟ่งกลัวเหลือเกิน กลัวว่าสักวันหนึ่ง เมื่อความอดทนและความพยายามนั้นสิ้นสุดลง เมื่อรูฟัสเหนื่อยล้าเกินกว่าจะเอ่ยคำนั้นเพื่อเขาอีก
   หากเขายังไม่ยอมยืนยันความรู้สึกของตัวเอง วันนั้นก็คงจะมาถึง
   นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการหรือ?
   ร่างบางเม้มริมฝีปาก เขาไม่ต้องการให้รูฟัสจากเขาไป เขาไม่ต้องการให้ผู้ชายคนนั้นหมดรักเขา แต่ว่าอีกด้านหนึ่ง ฟ่งรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องยากที่เขาจะทำใจยอมรับกับสิ่งที่รูฟัสเป็น และที่ยากกว่านั้น คือการให้คนอื่นยอมรับในสิ่งที่เขากำลังจะตัดสินใจ
   คำพูดจากใจที่แทบจะแลกด้วยทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขา
   ฟ่งจับราวระเบียงแน่น ขาทั้งสองข้างสั่นไหว เขาจะตัดสินใจเรื่องนี้ได้ด้วยตัวคนเดียวจริงๆ หรือ เขาจะเข้มแข็งได้อย่างที่ตัวเองคิดแน่หรือ แม้จะผ่านเรื่องเลวร้ายมาแล้ว แต่ความมั่นใจกับความรู้สึกนั้นจะเพียงพอหรือ
   “รูฟัส...” ร่างบางเอ่ยเสียงแผ่ว และค่อยๆ หันกลับมา ความสับสนที่เขากำลังเผชิญอยู่นั้นน่าหวาดหวั่นเสียเหลือเกิน จะเป็นอะไรมากไหมหากจะขอผัดผ่อนออกไปอีกสักหน่อย ขอพักหัวใจโดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆ กับผู้ชายคนนั้นอีกสักช่วง
   นัยน์ตาสีน้ำตาลเหม่อมองออกไปยังบานประตูที่ไร้เงาผู้คน ไม่มีใครอยู่ในห้องอีก รูฟัสคงออกไปในระหว่างที่เขากำลังคิดอะไรอยู่
   ฟ่งยิ้มเยาะให้กับตัวเอง คงถึงคราวที่เขาจะต้องเข้มแข็งอย่างที่ต้องการจริงๆ สักทีแล้ว
   เพราะเวลาของคนเราไม่เท่ากัน
--------------------------------------------------------
** ตอนนี้เหมือนจะคลายความตึงเครียดไปได้เปลาะหนึ่งนะคะ ฮาๆ

ในที่สุดรูฟัสกับฟ่งก็เหมือนจะได้มาอยู่ด้วยกันแล้ว เอ๊ะ แต่จะได้อยู่ด้วยกันจริงๆ รึเปล่านะ

ฟ่งนี่เป็นเคะหนึ่งเดียวที่อภิมหาโลเลกับชีวิตอย่างถึงที่สุดเลยล่ะค่ะ (ช่างแตกต่างกับหงคงฉ่วยอย่างสิ้นเชิง)

ขณะที่รูฟัสนี่ก็เป็นเมะที่ทุ่มเทและมุ่งมั่นตั้งใจซะเหลือเกิน (ที่สำคัญ ยังตอแหลได้เก่งอย่างที่สุด :laugh:)

ส่วนเว่ยเฟิงปิงกับจางซื่อเยี่ยน หลายคนชอบคู่นี้นะ แต่คนเขียนเฉยๆ ล่ะ (ดังนั้น... บทมันจะเริ่มหล่นหายไปอย่างรวดเร็ว<<โดนคนอ่านกระทืบ :z6:)

ท่านนักอ่านใจร้าย.... อิฉันไม่ได้เป็นโรคจิตขั้นสุดท้ายนะคะ เพียงแต่เรื่องนี้เป็นนิยายที่เขียนสมัยวัยรุ่น (เอ๊ะ ตอนนี้ก็วัยรุ่นนี่) เนื้อหามันเลยซัดหนัก และค้าง (ค่ะ.. ไม่รู้จะจบไงให้ไม่ค้างนะคะ เพราะขนาดค้างมันยังยาวเป็นสิบๆ หน้าเลยค่ะ=[]=)

ปล. ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ที่พยายามจะคอมเม้นต์กันจริงๆ ค่ะ ดิฉันชอบค่ะ ฮ่ะๆๆ (เราจริงใจ บอกกันตามตรงเลยค่ะ<<แกซาดิสม์เร้ออออ) :o8:

Mio

  • บุคคลทั่วไป
สามคำให้เรื่องที่ไม่ว่าจะอ่านกี่ตอนก็
ยาว มาก มาก  :laugh:

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
ฟ่งจะได้อยู่กะรูฟัสมั้ยอะเนี้ย มันจะเป็นยังงัยต่อ ไม่อยากให้จากกันเลยอะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






killermoonlit

  • บุคคลทั่วไป
ค้างอีกแว้วววววววววววววววววววววววววววววววววววว

yuuki

  • บุคคลทั่วไป
 :z3: :z3:

เมื่อไหร่เค้าจะได้รักกันแบบจริงจังซะที ฟ่งเอ๊ยยยยยยยยยย

เชียร์ต่อไปทุกคนค่ะ แต่คู่เฟิงปิงคงหมดห่วงแล้วล่ะมั้ง(รึป่าว ฮ่าๆ)



 :L2: :L2: ส่งดอกไม้ให้คนแต่ง

killermoonlit

  • บุคคลทั่วไป
อย่าบอกนะว่าจบแล้วอ้าาาาาาาาาาาาาาาา

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**มาต่อกันเถอะค่ะ (เมื่อวานลืม ไปข้างนอกมาค่ะ)

------------------------------------------------
บทที่67 ด้วยรักและภักดี
   เว่ยจินหยินนั่งอยู่ตรงเก้าอี้หน้าห้องผ่าตัด ด้วยสีหน้าอิดโรยและอ่อนล้า ยังสวมเสื้อผ้าชุดเดิมที่เปรอะไปด้วยเลือด แม้ผู้เป็นลูกน้องจะนำชุดใหม่มาเพื่อให้เปลี่ยน แต่เว่ยจินหยินไม่นำพา เขาไม่ต้องการจะสนใจอะไรอีกแล้วนอกจากความเป็นความตายของคนที่อยู่ในห้องผ่าตัด แต่ละนาทียาวนานราวนับปี เมื่อไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปข้างใน จึงทำได้เพียงแต่รอ
   “น้ำมั้ย?” เสียงใครคนหนึ่งกล่าวอย่างไม่ดังไม่เบานัก เว่ยเฟิงปิงเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบได้ เขายื่นแก้วใส่น้ำเปล่าใบหนึ่งในผู้เป็นพี่ชาย และถือเอาไว้อีกใบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเว่ยจินหยินเพียงเงยหน้าขึ้นมอง แต่ยังไม่ยื่นมือขึ้นมารับ จึงพูดต่อ “ผมไม่ใส่ยาพิษเอาไว้หรอก ดื่มหน่อยเถอะ พี่นั่งอยู่แบบนี้มาสามชั่วโมงแล้วนะ”
   เว่ยจินหยินยังเงยมองเว่ยเฟิงปิงอยู่อีกพักใหญ่ เหมือนกับพยายามทำความเข้าใจคำพูดของผู้เป็นน้องชาย ก่อนจะยื่นมือสั่นเทาออกมารับแก้วน้ำ เว่ยเฟิงปิงมองดูพี่ชายที่กำลังยกแก้วน้ำดื่มด้วยความรู้สึกสะทกสะท้อน เพียงเวลาไม่ถึงค่อนคืน ผู้ชายอายุสามสิบกว่าคนหนึ่ง คล้ายกลายเป็นคนอายุห้าสิบหกสิบเสียแล้ว ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าความสะเทือนใจจะมีผลต่อร่างกายคนเรามากมายถึงเพียงนี้
   สีหน้าของเว่ยจินหยินอ่อนระโหย ดวงตาสีดำที่เคยเป็นประกายเย็นเยียบบัดนี้หม่นหมองไร้ประกายใดๆ สีหน้าที่เคยปั้นแต่งได้ง่ายๆ กลับห่อเหี่ยวไร้จิตใจ ร่างกายที่เคยดำรงอยู่อย่างสง่างามงองุ้มราวกับเศษใบไม้แห้งๆ เว่ยเฟิงปิงทรุดกายลงนั่งข้างผู้เป็นพี่ชายโดยไม่พูดอะไรอีก
   เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ในที่สุดเว่ยจินหยินที่นั่งเหม่ออยู่ก็เอ่ยปาก “เฟิงปิง...ขอบใจนะ”
   ผู้ถูกเอ่ยถึงหันหน้ามามองอย่างงุนงง ผู้เป็นพี่ชายถอนหายใจยาว ในมือยังถือแก้วน้ำเอาไว้ “ขอบใจที่ช่วยห้ามพี่”
   หากเว่ยเฟิงปิงไม่ตบเขาในตอนนั้น ไม่รู้ว่าเถียนซานจะได้มาถึงห้องผ่าตัดในตอนนี้รึเปล่า ตอนนั้นเว่ยจินหยินรักษาสติไม่ได้จริงๆ เขาลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมไปเลยว่าควรจะช่วยชีวิตลูกน้องคนนี้ของเขายังไง ถ้าหากไม่ได้น้องชายคนนี้เรียกสติกลับมาล่ะก็...
   “ไม่เป็นไรหรอก”
   ต้องใช้เวลานึกอยู่ครู่หนึ่งถึงพอเข้าใจว่าเว่ยจินหยินขอบใจเขาเรื่องอะไร ความจริงเว่ยเฟิงปิงเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าเว่ยจินหยินจะควบคุมตัวเองไม่ได้ขนาดนั้น เขาอยากจะอ้าปากถามอยู่หรอกว่าลูกน้องชื่อเถียนซานสำคัญมากขนาดนั้นเชียวหรือ แต่ถามออกไปในตอนนี้คงยิ่งกระทบกระเทือนอารมณ์ของเว่ยจินหยินหนักเข้าไปอีก ก่อนถึงฮ่องกง เขาไม่อยากให้พี่ชายเสียสติไปก่อน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครรับประกันชีวิตพวกเขาได้ เพราะเว่ยจินหยินเป็นคนวางแผนทั้งหมด หากคนวางแผนเกิดสติแตกเสียเอง แล้วพวกเขาจะทำอย่างไรล่ะ
   เว่ยจินหยินถอนหายใจยาว ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ท่ามกลางสงครามชิงอำนาจและความรักจากบิดา เขาจมปลักอยู่กับความเคียดแค้นชิงชัง จมดิ่งลงในความดำมืดทะมึนที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจ จมอยู่กับแผนการชั่วร้ายสารพัดที่เขาคิดสรรค์มาเพื่อการแย่งชิงโดยเฉพาะ จนแทบจะลืมไปแล้วว่าอะไรคือความรู้สึกที่แท้จริงกันแน่ จิตใจของเว่ยจินหยินชาด้าน ไม่รู้สึกรู้สมกับความเป็นความตายไม่ว่าจะของใครก็ตาม ขอแค่ให้บรรลุเป้าหมาย จะต้องสังเวยอะไรเท่าไหร่เขาไม่เคยเสียใจ ไม่เคยเสียดายเลย แม้กระทั่งเถียนซาน เขาเองก็เคยคิดเช่นนั้น แต่พอเอาเข้าจริง เว่ยจินหยินไม่อาจหักใจได้ เพิ่งรู้สึกตัวว่าหัวใจของเขายังเต้นเหมือนคนธรรมดาอยู่ ยังไม่ชืดชาตายด้าน ยังคงมีความรักให้กับคนคนนี้อย่างเต็มหัวใจ อัดแน่นอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปรมาตลอดสามสิบปี
   เขารักเถียนซานมากที่สุด เพราะเถียนซานรักเขามากที่สุด
   ชายหนุ่มวัยสามสิบเศษที่สภาพแทบดูไม่ได้เพราะถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจขั้นรุนแรงเบือนหน้าหันมามองน้องชายเป็นครั้งแรก เขาไม่เคยคิดอยากดูน้ำหน้าน้องชายคนนี้ชัดๆ เลย ไม่สิ เขาไม่เคยคิดอยากดูน้ำหน้าน้องชายคนไหนของเขามาก่อน ไม่ว่าคนไหนก็เกะกะเขาทั้งนั้น ไม่ว่าคนไหน พ่อก็คิดว่าดีกว่าเขาทั้งนั้น กับคนที่ใช้แซ่เดียวกันแต่แทบไม่เคยเจอกันเลยพวกนั้น เขาไม่รู้สึกว่าอยู่ร่วมโลกเดียวกันเลยด้วยซ้ำ
แม้แต่น้องชายที่ถูกสังหารโหดสองคนที่ทุกคนสงสัยว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้อง เขาเองยังลืมชื่อไปแล้ว กับเว่ยเฟิงปิงเองก่อนหน้านี้เขาไม่อยากจะใส่ใจมองด้วยซ้ำ และยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับเขาอย่างเด่นชัดยิ่งรู้สึกรกหูรกตา แต่เว่ยจินหยินแน่ใจว่ากับกรณีของเว่ยเฟิงปิง เว่ยชิงบิดาของเขาไม่มีทางปล่อยอำนาจให้เด็ดขาด จึงคร้านจะกำจัดให้เปลืองมือเท้า อย่างน้อยเฟิงปิงก็เป็นคนใช้งานได้ ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่วายยุแหย่ให้พ่อรู้สึกไม่พอใจลูกชายคนนี้เกี่ยวกับเรื่องความรักร่วมเพศที่เว่ยเฟิงปิงเป็นอยู่ แต่ครั้นเห็นว่าเว่ยชิงดูไม่เดือดร้อนอะไรนัก แถมดูท่าจะพอใจที่เรื่องเป็นอย่างนั้น เขาเลยพลอยเซ็งไปด้วย คร้านที่จะสนใจน้องชายคนนี้อีก ไว้มีเวลาว่างหรือมีโอกาสเหมาะสมค่อยหาทางกำจัดยังไม่สาย ความจริงเขาวางแผนจะลบเว่ยเฟิงปิงออกไปจากโลกหลังกลับถึงฮ่องกงด้วยซ้ำ เพราะหลังจบงานนี้ น้องชายคนนี้ของเขาก็แทบไม่มีความจำเป็นอะไรอีก
   แต่ตอนนี้เว่ยจินหยินคล้ายคนเพิ่งถูกปลุกให้ตื่น เขาจงใจปล่อยให้เฟิงปิงกลับขึ้นไปก่อน ดูว่าเจ้าตัวจะทำอย่างไรหากไม่พบเขา หากเฟิงปิงทิ้งเขาเอาไว้ เว่ยจินหยินตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าเขาจะกำจัดน้องชายคนนี้ทันที แต่เฟิงปิงยังโชคดีที่เลือกลงมาตามหาเขา ระหว่างเสียสติ ก็เป็นน้องชายคนนี้อีกนี่แหละที่ดึงเขากลับมา ถ้าไม่มีเว่ยเฟิงปิง นึกไม่ออกเหมือนกันว่าใครจะกล้าหาญทำแบบนั้นกับเขาบ้าง ชั่วชีวิตนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาถูกตบ ไม่นับตอนที่แสดงละครหลอกมิคาเอล ลอว์ออกมาเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นรู้สึกจะโดนยิ่งกว่าตบ แต่ช่างเถอะ เว่ยจินหยินชักรู้สึกว่าตัวเองมีความเป็นมนุษย์น้อยลงทุกที กับน้องชายร่วมสายเลือดที่นั่งอยู่ข้างๆ นี้ เขาสมควรรู้สึกตอบยังไงกันแน่
   “เฟิงปิง...” เว่ยจินหยินเรียกชื่อน้องชายอีกครั้ง คล้ายทวนความจำว่าตัวเองยังจำได้อยู่ เว่ยเฟิงปิงมองพี่ชายของเขาด้วยความรู้สึกแปลกใจ นี่เว่ยจินหยินกำลังคิดอะไรอยู่นะ คงไม่ใช่อาการเพี้ยนหลังช็อคหนัก นัยน์ตาสีดำกระพริบมองเขาอยู่หลายครั้งจนเว่ยเฟิงปิงขยับตัวอย่างอึดอัด ปกติเว่ยจินหยินไม่แม้แต่จะชายตาขึ้นมองด้วยซ้ำนี่นา
   “เอ้อ....” เว่ยจินหยินครางอย่างนึกไม่ออกว่าควรจะพูดอะไรต่อ มันเหมือนจะมีคำพูดหลายๆ อย่าง แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี กับความรู้สึกระหว่างพี่น้อง เขาไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลย ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง
   “น้องเจ็ด....”
   นัยน์ตาสีฟ้าของเว่ยเฟิงปิงเบิ่งค้าง จริงอยู่ตามธรรมเนียมปฏิบัติพี่น้องในตระกูลจะเรียกกันตามลำดับอาวุโส แต่สำหรับเขา เหมือนเป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำนี้ออกจากปากพี่ชายคนรอง ตั้งแต่มาเหยียบฮ่องกง เว่ยจินหยินเรียกชื่อจริงเขามาโดยตลอด คล้ายกับว่าเจ้าตัวคร้านจะนับรวมเขาเป็นพี่น้องด้วย เพราะอย่างนั้นเว่ยเฟิงปิงจึงเรียกชื่อจริงของเว่ยจินหยินเป็นการตอบแทนมาโดยตลอดเช่นกัน ไม่นึกไม่ฝันว่าวันหนึ่งเจ้าตัวจะเรียกลำดับของเขาออกมา ไม่คิดว่าเว่ยจินหยินจะจำได้ว่าเขาเป็นน้องคนที่เท่าไหร่
   “พี่รอง...”
   ทำง่ายๆ ที่พอพูดออกไปแล้วรู้สึกจั๊กจี๋หัวใจพิลึก อย่างกับคนเพิ่งพบญาติใหม่ๆ งั้นแหละ จู่ๆ เว่ยจินหยินก็หัวเราะออกมา “อืม...พี่... ไม่เคยรู้สึกว่าเธอเป็นน้องชายมาก่อนเลย”
   คิ้วของเว่ยเฟิงปิงขมวดเข้าหากัน นี่เว่ยจินหยินจะพูดอะไรให้มันเข้าหูสักหน่อยไม่เป็นหรือไง สรุปว่าไอ้นิสัยพูดแดกดันกวนประสาทของพี่ชายคนนี้ น่าจะไหลเวียนอยู่ในตัวมากกว่าถูกสร้างเป็นภาพขึ้นมาเสียแล้ว เว่ยเฟิงปิงตอบกลับ “ผมก็ไม่เคยคิดว่าพี่เป็นพี่ชายผมเหมือนกัน”
   เว่ยจินหยินหัวเราะอีก คล้ายไม่นำพาอารมณ์ที่แฝงมากับคำพูดนั้น เขาพูดต่อ “แต่เราเป็นพี่น้องกันจริงๆ ใช่ไหม?”
   คำถามนี้ทำเอาอีกฝ่ายงงไปนานเลยทีเดียว หรือว่าจู่ๆ เว่ยจินหยินคิดอยากจะพิสูจน์ดีเอ็นเอกับเขา นี่จะหาเรื่องไล่เขาออกจากตระกูลอีกหรือไง ให้ตายสิ นี่ขนาดสภาพดูไม่ได้ยังมีกะใจจะคิดเรื่องนี้อีก เว่ยเฟิงปิงแค่นเสียงอย่างไม่พอใจทันที
   “ถ้าพี่อยากจะพิสูจน์สายเลือดกับผมล่ะก็เชิญตามสบายเลย ผมไม่คิดว่าคุณพ่อจะหิ้วเด็กไม่รู้หัวนอนปลายตีนมาทำลูกหรอก”
   “อ้อ... อืม....นี่พี่ทำให้เธอโกรธสินะ ขอโทษที” เว่ยจินหยินกล่าวขึ้นมาเหมือนนึกได้ และรีบพูดต่อ “พี่แค่คิดว่าน่าจะแสดงออกกับเธอเหมือนพี่น้องปกติดู”
   “?” คราวนี้นัยน์ตาสีฟ้าหันมาจับจ้องพี่ชายคนรองของเขาอย่างจริงๆ จังๆ บ้างแล้ว พี่น้องเหรอ? กับเว่ยจินหยินแล้วก่อนหน้านี้เขามีแค่คำว่าเหม็นขี้หน้าและอยากฟาดปากเท่านั้นเอง เผลอๆ บางทีก็รู้สึกอยากฆ่าทิ้ง เว่ยเฟิงปิงมองดูใบหน้าของพี่ชาย คนคนนี้น่ะหรือเป็นพี่ชายของเขา เอาเถอะ ถ้าเว่ยจินหยินรู้สึกเป็นพี่น้องกับเขาจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ลองมีพี่ชายที่มีปากชวนให้อยากฆ่าสักคนคงน่าสนุกดีเหมือนกัน
   “นี่ น้องเจ็ด...กลับไปคราวนี้ถ้าพี่ไม่รอด...เธอช่วยพาคุณพ่อมางานศพพี่ได้มั้ย?” จู่ๆ เว่ยจินหยินที่เงียบไปอยู่พักหนึ่งก็พูดประโยคนี้ขึ้น เล่นเอาทำให้เว่ยเฟิงปิงรู้สึกแปลกใจเอามากๆ มากยิ่งว่าที่เว่ยจินหยินนับพี่น้องกับเขาอีก ถึงกับถามสวนออกไปอย่างลืมตัว
   “พี่พูดอย่างกับว่าคุณพ่อจะไม่ดูดำดูดีพี่งั้นแหละ”
   เว่ยจินหยินไม่ว่าอะไร ได้แต่ยิ้ม ก่อนจะพูดต่อ “สัญญาสิ สัญญาว่าจะทำยังไงก็ได้ให้คุณพ่อมางานศพพี่”
   เว่ยเฟิงปิงมองหน้าพี่ชาย รู้สึกตกใจอยู่มากจริงๆ “พี่ไม่ตายหรอกน่า..ใช่มั้ย?”
   นัยน์ตาสีดำของเว่ยจินหยินหลับลง ก่อนจะลืมขึ้น และหันไปมองยังประตูห้องผ่าตัด เขาตัดสินใจแล้ว หากเถียนซานไม่ได้ตามเขากลับไปฮ่องกงด้วย หากว่าไม่มีผู้ชายคนนั้นบนโลกอีก หลังจบเรื่องนี้แล้ว เขาก็จะขอตามไปเหมือนกัน
   เว่ยเฟิงปิงมองดูสายตาพี่ชายของเขา เหมือนเดาใจได้ รีบโพล่งออกมา
   “เถียนซานไม่ตายหรอก!”
   ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเว่ยจินหยินจะตีโพยตีพายตัวเองขนาดนี้ นี่ขนาดยังผ่าตัดไม่สำเร็จ ทางนั้นก็ไม่คิดอยากอยู่ดูโลกเสียแล้ว ให้ตายสิ ไม่นึกเลยว่าจะยึดติดกับอดีตลูกน้องมากขนาดนี้ ขนาดเขาที่เคยรักรูฟัสแทบเป็นแทบตาย ยังไม่เคยคิดอยากตายตามเลย ที่ว่าเว่ยจหยินอำมหิตไร้หัวใจ ตอนนี้เว่ยเฟิงปิงเป็นคนหนึ่งที่ขอค้าน ดูยังไงผู้ชายคนนี้ก็ยังมีหัวใจอยู่ แถมยังอ่อนไหวมากๆ เสียด้วย
   ยังไม่ทันที่เว่ยจินหยินจะพูดอะไรตอบ ประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออก แพทย์เจ้าของไข้เดินออกมา แทบจะพร้อมๆ กับที่พี่ชายของเขาลุกพร่วดพราดขึ้น เว่ยเฟิงปิงยังนึกขำ ตอนที่เว่ยจินหยินเอ่ยถามเป็นภาษาจีนออกไป จนแพทย์คนนั้นทำหน้าแปลกๆ และตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษ “ไม่เป็นไรครับ อาการปลอดภัยแล้วล่ะ”
   ถ้าหากความสะเทือนใจทำให้คนดูแก่ลงได้ในชั่วข้ามคืนล่ะก็ ความดีใจก็คงส่งผลที่ตรงกันข้าม เว่ยจินหยินเหมือนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ใบหน้าซูบซีดห่อเหี่ยวดูมีสีเลือดฝาดขึ้นมาทันที รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เคยหม่นหมอง เขาปราดเข้าไปยังเตียงที่บุรุษพยาบาลเข็นออกมา ฉวยมือข้างหนึ่งของร่างสูงใหญ่ที่นอนอยู่พร้อมกับเครื่องช่วยหายใจ พูดทั้งๆ ที่ยังน้ำตาไหลด้วยความปิติ
   “อาซาน...”
------------------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนขยับตัวทันทีที่เห็นบุรุษพยาบาลเข็นเตียงออกมาเช่นเดียวกับพวกลูกน้องคนอื่นๆ เว่ยจินหยินกุมมือเถียนซานอยู่ข้างๆ อย่างที่คิดเอาไว้ ดูจากสีหน้าดีใจแบบไม่เสแสร้งนั้นแล้ว ก็เบาใจได้ว่าลูกพี่ของเขาคงปลอดภัยแล้ว เถียนซานนั้นเป็นที่เคารพรักของทุกคน แม้จะดีใจที่ปลอดภัย แต่ไม่กล้ามีใครเข้าไปใกล้มากนัก ทุกคนไม่อยากรบกวนช่วงเวลาดีใจของเว่ยจินหยิน จึงปล่อยให้เจ้านายเดินตามเตียงเข็นเข้าไปในห้องพักโดยที่พวกตนยืนเฝ้าไข้กันหน้าประตู เว่ยเฟิงปิงเดินตามออกมาหลังจากนั้น สีหน้าบอกไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไรกันแน่ แต่คงไม่ได้หงุดหงิดสักเท่าไหร่ อาจจะโล่งใจอยู่ลึกๆ
ความจริงเว่ยเฟิงปิงอารมณ์ดีพอสมควร การได้พูดคุยกับเว่ยจินหยิน ได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างทำให้เขารู้สึกเต็มตื้นอยู่บ้าง เขาเริ่มคิดว่าเขาควรจะแสดงออกเพื่อให้จางซื่อเยี่ยนได้รับรู้ความรู้สึกส่วนลึกที่เขามี แต่พอออกมาเห็นสีหน้าไร้ความรู้สึกของคนที่อยู่ในห้วงความคิดซึ่งกำลังเดินมาหากลับพาลทำให้เกิดหงุดหงิดขึ้นมาอีก พอย้อนกลับไปนึกถึงตอนก่อนจะเดินมาที่ห้องผ่าตัดแล้ว ความไม่พอใจของเว่ยเฟิงปิงก็หวนกลับมาและยิ่งทวีคูณเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว นี่เขากำลังทำบ้าอะไรอยู่ เขาหวังอะไรจากเจ้ามนุษย์หุ่นยนต์นี่
   เจ้าหมอนี่มีความรู้สึกจริงๆ รึเปล่า?
   นึกถึงตอนที่เขาเดินลงไปพบจางซื่อเยี่ยนกำลังทำท่าเหมือนไว้อาลัยศัตรูคนนั้นแล้ว เว่ยเฟิงปิงแอบนึกอิจฉาขึ้นมาอยู่นิดๆ เหมือนกัน ดูเหมือนเจ้าหมอนี่จะแสดงความรู้สึกกับคนอื่นได้ ยกเว้นเขา มันเพราะอะไรกันล่ะ เพราะว่าเป็นเจ้านายลูกน้องกันหรือ? เพราะเป็นเจ้านายถึงได้แสดงความรู้สึกออกมาให้เห็นเด่นชัดไม่ได้งั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นแล้วดันมาชอบเขาทำไมกัน
   “โอ๊ย!” จางซื่อเยี่ยนร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อจู่ๆ เว่ยเฟิงปิงก็หยุดเดินและหันมาเตะเข้าที่หน้าแข้งของเขาเต็มแรง ผู้เป็นเจ้านายถลึงตามองอย่างเอาเรื่อง
   “ไอ้บ้า!” เว่ยเฟิงปิงว่าและนึกอยากจะเตะซ้ำอีก แต่พอเห็นสีหน้างุนงงของอีกฝ่ายก็พอจะทำให้เกิดความปราณีขึ้นมาได้บ้าง อีกทั้งคนที่อยู่บริเวณนั้นเริ่มหันมามองอย่างงุนงง เว่ยเฟิงปิงแค่นเสียงออกทางจมูก ให้รู้ว่าเขากำลังไม่พอใจกับการจ้องมองนี้ ก่อนจะสะบัดหน้า ออกเดินหนีไปอีก จางซื่อเยี่ยนอ้าปากค้าง แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลนัก แต่ก็รีบเดินตามเจ้านายออกไปทั้งๆ ที่ยังเจ็บหน้าแข้งนั่นแหละ
   “คุณชาย!” จางซื่อเยี่ยนโพล่งออกมาในที่สุด เมื่อเห็นท่าว่าเว่ยเฟิงปิงโกรธเขาอยู่เป็นแน่ ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็ไม่น่าจะทำอะไรผิด ผู้เป็นเจ้านายหันกลับมาทันที
   “มีอะไร!?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยถามเสียงห้วน ทำเอาผู้เป็นลูกน้องปั้นหน้าไม่ถูก จางซื่อเยี่ยนอ้าปากอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่เป็นครึ่งค่อนวัน จนนัยน์ตาสีฟ้านั้นหรี่ลงอย่างรำคาญและทำท่าจะหันหน้าหนีไปอีก ถึงได้พูดออก “คุณโกรธผมเรื่องอะไร?”
   “นายดูออกด้วยหรือว่าฉันโกรธนาย?” ผู้เป็นเจ้านายย้อนถาม จางซื่อเยี่ยนแทบจะร้องออกมา “ก็จู่ๆ คุณก็มาเตะผม ไม่โกรธผมแล้วจะเตะผมทำไมกันล่ะ?”
   “ฉันอาจจะโกรธคนอื่นแล้วมาลงกับนายก็ได้” เว่ยเฟิงปิงว่า จางซื่อเยี่ยนอ้าปากค้าง รู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ
“คุณเห็นผมเป็นกระสอบทรายหรือไงครับ” เขาครวญอย่างที่ไม่ค่อยจะทำนัก เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงเฮอะในลำคอและหันหน้า เดินหนีอีก คราวนี้จางซื่อเยี่ยนคว้ามือเจ้านายของเขาไว้ อีกฝ่ายหันหน้ากลับมามองอีก
   “ไปหาที่เงียบๆ คุยกันดีกว่าครับ” ผู้เป็นลูกน้องกล่าว และกึ่งเดินกึ่งดันเจ้านายออกไป
------------------------------------------------
   สิ่งที่เถียนซานรู้สึกในวินาทีสุดท้ายคือแรงอัดมหาศาลที่กระแทกเข้ามา กับร่างของเว่ยจินหยินที่อยู่ในอ้อมกอด ก่อนเสี้ยววินาทีนั้นเขาทำได้เพียงคว้าร่างของเจ้านายไว้และดันตัวพร้อมกับก้มหลบ อย่างๆ น้อยๆ พวกที่ตามมาด้านหลังจะได้ไม่โดนลูกหลง ปฏิกิริยานี้เป็นไปโดยอัตโนมัติก่อนที่สมองจะทำความเข้าใจเสียอีก หลังจากนั้นสิ่งที่เถียนซานเห็นคือความมืด ความมืดที่มีจุดสว่างสีขาวคล้ายดวงดาวแตกซ่าน ฉับพลันแปรเปลี่ยนเป็นขาวโพลน นิ่งสงบ ภาพที่คล้ายลืมเลือนไปแล้วในอดีต ค่อยๆ ผุดขึ้นเหมือนกำลังดูหนังฉายซ้ำ นี่ไม่ใช่ประสบการณ์เฉียดตายครั้งแรกของเขา
   เถียนซานผ่านเรื่องพวกนี้มาหลายครั้ง จนเรียกได้ว่าแทบจะชินชาไปแล้ว ประสบการณ์เฉี่ยวตายที่ไม่อยากจะนับครั้งทำให้ในความรู้สึกของเขา เสี้ยววินาทีนั้นมีความยาวราวหลายวินาที ตอนนี้บุรุษวัยกลางคนรู้ตัวแน่ชัด เขาตกลงมาอยู่ในห้วงความเป็นความตายอีกหนหนึ่งแล้ว
   ในห้องทรงสี่เหลี่ยมที่ไม่แคบไม่กว้าง เขาเดินตามหลังผู้มีศักดิ์เป็นลุงห่างๆ เว่ยชิงซึ่งครั้งนั้นยังอยู่ในวัยฉกรรจ์นั่งลงตรงเก้าอี้นวมที่ตั้งอยู่เกือบจะกึ่งกลางห้อง จ้องมองไปยังประตูบานน้อยซึ่งเปิดแง้มออกมา เถียนซานไม่เคยเห็นว่าผู้ชายคนนี้มีสายตาอย่างไรในตอนนั้น ที่ผ่านประตูเข้ามาเป็นเด็กผู้ชายอายุราวๆ สามสี่ขวบ ที่ถูกอุ้มอยู่ในอ้อมกอดของหญิงสาวพี่เลี้ยง ทันทีที่เห็นผู้เป็นบิดา นัยน์ตาสีดำราวลูกกวางเป็นประกายด้วยความยินดี เมื่อขาน้อยๆ แตะสู่พื้น เด็กน้อยก็วิ่งตรงเข้าหาผู้เป็นบิดา ระหว่างนั้นดวงตาสีดำราวลูกกวางน้อยช้อนตาขึ้นมองเขาแว้บหนึ่งอย่างไม่สนใจนัก และหันไปคุยกับผู้เป็นบิดาต่อ แต่คุยกันได้เพียงครู่ก็ถูกผลักไสออก นัยน์ตาสีดำช้อนมองผู้เป็นบิดาอย่างไม่เข้าใจ แววตาสั่นระริก ถึงอย่างนั้นก็ยอมถอยออกโดยมิได้ปริปาก หลังจากนั้นเถียนซานจึงได้สบกับดวงตาสีดำนั้นอีกหน
   นัยน์ตาสีดำที่ไร้เดียงสา ซื่อบริสุทธิ์ และสั่นระริกคล้ายอัดอั้นบางสิ่งบางอย่างเอาไว้
   นัยน์ตาของเด็กสี่ขวบที่พยายามอย่างยิ่งที่จะสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองไม่ให้ร้องไห้ออกไป ประทับเข้าไปในหัวใจของเถียนซานแทบจะในทันที วินาทีนั้นเขาอุทิศทุกอย่างในชีวิตให้กับเว่ยจินหยิน
   เจ้านายน้อยๆ ที่แสนเข้มแข็ง
   หากมีคนกล่าวว่าความรักทำให้คนอ่อนแอ สำหรับเถียนซานแล้วเรื่องนี้ดูเหมือนจะให้ผลตรงกันข้าม สำหรับเขายิ่งมีความรักให้เว่ยจินหยินมากเท่าไหร่ ตัวเขาเองยิ่งต้องเข้มแข็งมากเท่านั้น เข้มแข็งพอจะปกป้องเจ้านายคนนี้จากเรื่องร้ายๆ เข้มแข็งพอจะยืนหยัดอยู่เคียงข้างเจ้านายน้อยๆ คนนี้
   ขอแค่เพียงเว่ยจินหยินพอใจ ไม่ว่าเรื่องใด เขาพร้อมกระทำให้ทั้งสิ้น
   ความรักที่เถียนซานทุ่มให้กับเจ้านายของเขานั้น มากมายเสียจนไม่อาจบรรยายออกมาได้หมด ทุกเรื่องทุกอย่างของเว่ยจินหยินแทบจะเป็นลมหายใจของเขา เรียกได้ว่าแค่เว่ยจินหยินปรายสายตา เถียนซานก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร เขาตามใจเว่ยจินหยินมาโดยตลอด ทำหน้าที่คอยเคียงข้างอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทำทุกอย่าง กระทั่งเรื่องที่ไม่สมควรจะทำทั้งหลายก็กระทำไปแล้ว ด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียว
   เพื่อให้เจ้านายคนนี้มีความสุข
   หากจะถามเขาว่าสิ่งใดที่เขาต้องการจากการรักผู้ชายคนนี้ เถียนซานตอบได้อย่างเต็มปาก มันเป็นสิ่งง่ายๆ สิ่งง่ายๆ ที่เขาคิดมาตลอดสามสิบปีเต็ม สิ่งนั้นคือรอยยิ้มและสีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างแท้จริงของเว่ยจินหยิน นอกจากนี้เขาไม่ต้องการสิ่งใดอีก แต่ถึงกระนั้นเว่ยจินหยินก็ได้มอบสิ่งตอบแทนสูงค่าให้เขา สิ่งตอบแทนที่เขาแทบไม่มีปัญญาจะรับเอาไว้ได้ แต่ก็ไม่อาจตัดใจละทิ้ง สิ่งที่เขามอบคุณค่าให้อย่างสูงสุด
   หัวใจ....
   สามสิบปีที่เขาทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง หัวใจของเว่ยจินหยินอัดแน่นไปด้วยความรัก กับตัวเขาที่ทำงานรับใช้มาเนิ่นนาน มีหรือจะมองสิ่งนี้ในหัวใจเจ้านายไม่ออก แต่เขาหยุดหัวใจของเว่ยจินหยินไม่ได้ เพราะต้นเหตุแห่งความรักฝังใจทั้งมวลที่เว่ยจินหยินมีให้เข้า คือตัวเขาเอง
   ความรักที่เขาให้คือชนวนความรักฝังใจที่เว่ยจินหยินมีให้เขา และเขาก็ไม่อาจหยุดทุ่มเทความรักของตนให้อีกฝ่ายได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว
   เพราะเขารักเว่ยจินหยินอย่างที่ไม่อาจอธิบายให้ใครเข้าใจได้ และเว่ยจินหยินก็รักเขาอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้เช่นกัน
   มีเพียงอีกฝ่ายที่ได้รับความรักเท่านั้นที่เข้าใจถึงหัวใจเปี่ยมรักของอีกฝ่าย
   ฉะนั้นต่อให้ต้องตะเกียกตะกายหนีตายจากขุมนรก เถียนซานก็จะทำ ชีวิตเขาให้เว่ยจินหยิน เว่ยจินหยินอุทิศหัวใจให้เขา แม้ความตายจะเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั้งโลกไม่อาจปฏิเสธได้ แต่เขาจะต่อสู้กับมันจนถึงวินาทีสุดท้าย ต่อสู้กับมันจนถึงที่สุด เพื่อรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้
   ไม่ว่าเว่ยจินหยินจะอยู่ที่ไหน เขาจะอยู่ด้วยเสมอ จะไม่จากไปไหนเด็ดขาด
   เถียนซานรักษาสัญญานี้มาตลอดสามสิบปี และต้องการจะรักษามันไว้ตลอดไป จวบจนกระทั่งเจ้านายคนนี้ไม่ต้องการให้เขารักษามันอีก
   จวบจนห้วงลมหายใจของคนสองคนสิ้นสูญ
   ลมหายใจของคนสองคน ที่แทบจะมีชีวิตเป็นหนึ่งเดียว
------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-11-2011 09:03:36 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   จางซื่อเยี่ยนพาผู้เป็นเจ้านายมาจนถึงระเบียงทางเดินด้านนอกซึ่งไม่ค่อยมีผู้คนเดินผ่านนัก ก่อนจะยอมปล่อยมือ เว่ยเฟิงปิงสะบัดตัวออกอย่างแง่งอน และหันมาค้อนใส่
   “นายมีอะไรอยากพูดหรือไง?”
   “มีครับ”   ผู้ถูกถามเอ่ยออกมา สีหน้าบ่งบอกถึงความอึดอัดเต็มที่ ทำไมเว่ยเฟิงปิงถึงชอบเป็นแบบนี้กับเขาอยู่เรื่อยเลยนะ เหมือนกับว่าพอได้รู้ความในใจของเขาแล้วจะยิ่งทำร้ายจิตใจของเขายิ่งกว่าเดิม อดีตหน่วยดำเอ่ยคำพูดต่อ “ทำไมคุณไม่เคยพูดจาดีๆ กับผมเลย?”
   “ฉันพูดไม่ดีกับนายตอนไหน?” เว่ยเฟิงปิงย้อนถาม จางซื่อเยี่ยนอ้าปากค้าง จำได้ลางๆ ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้เขาเหมือนจะถูกเว่ยเฟิงปิงตอกด้วยคำถามแบบนี้เหมือนกัน ชายหนุ่มอ้าปากพะงาบๆ เหมือนหุ่นที่ถูกเชิดโดยไร้เสียงพากย์ สักพักใหญ่จึงมีคำพูดหลุดออกมา
   “คุณเกลียดผมมากหรือครับ?”
   “.....................”   เว่ยเฟิงปิงเงียบไปพักใหญ่ สองมือกำแน่น เขาอยากจะตบจางซื่อเยี่ยนสักฉาก แต่พอเห็นดวงตาสีอีกาที่มองมาอย่างเจ็บปวดนั่นแล้วก็ต้องหยุดมือไว้ ผู้ชายคนนี้เองก็มีความรู้สึก
   “ฉันไม่ได้พูดว่าเกลียดนาย” ผู้เป็นเจ้านายเอ่ยและเบือนหน้าไปทางอื่นเสีย ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะไม่ค่อยชอบผู้ชายคนนี้ แต่ว่าความรู้สึกตอนนี้ต่างออกไปแล้ว ในวันที่ไปทานอาหารด้วยกันเขาก็เอ่ยปากบอกความรู้สึกกับเจ้าหมอนี่ไปแล้ว แต่ทำไมกันนะ ทำไมความสัมพันถึงได้ไม่คืบหน้าไปไหนเสียที
   “ทำไมนายถึงเย็นชากับฉันนัก ซื่อเยี่ยน” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยพลางหันหน้ากลับมา นัยน์ตาสีฟ้าสั่นระริก “ฉันบอกกับนายแล้ว บนรถนั่น คืนนั้น ฉันไม่ได้ต้องการการเคารพจากนาย ฉันอยากได้ความรัก ซื่อเยี่ยน ฉันต้องการความรัก ความรักของนาย”
   “คุณชาย!” จางซื่อเยี่ยนโพล่งขึ้น เขามองดูดวงตาสีฟ้าที่มีหยาดน้ำตาเอ่อล้นออกมาอย่างตระหนก ร่างแกร่งตรงเข้าไปประคองเจ้านายของเขาไว้
   “ยากนักหรือ ซื่อเยี่ยน การจะแสดงความรักกับฉัน สำหรับนายแล้ว มันยากนักหรือไง?”
   เว่ยเฟิงปิงคร่ำครวญ จางซื่อเยี่ยนมองดูเจ้านายของเขา ขบริมฝีปากอย่างใช้ความคิด กับคำถามนั่น คำตอบนั้นช่างยากลำบาก
   “คุณไม่เข้าใจ” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยขึ้น พลางมองดูผู้เป็นนายในอ้อมกอด ถึงแม้เข้าจะเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ แต่กับผู้ชายคนนี้ เขายิ่งต้องเก็บอารมณ์มากเข้าไปอีก นั่นเพราะฐานะที่ต่างกัน ถึงแม้เว่ยเฟิงปิงจะไม่แคร์ และเขาอาจจะไม่สนใจ แต่คนอื่นๆ เล่า เขาจะปล่อยให้ตัวเองเป็นสาเหตุให้เจ้านายถูกซุบซิบนินทาได้อย่างไรกัน ไม่มีลูกน้องคนไหนต้องการให้เจ้านายตัวเองตกเป็นขี้ปากชาวบ้านหรอก
   “ฉัน..ไม่เข้าใจตรงไหน?” เว่ยเฟิงปิงย้อนถาม โดยไม่อยากเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ชายหนุ่มพอจะเดาได้ว่าจางซื่อเยี่ยนจะอ้างเหตุผลอะไร คงไม่พ้นเรื่องเดิมๆ ที่เป็นสาเหตุให้เขาหงุดหงิดอยู่เป็นแน่
   “ผมรักคุณอย่างเปิดเผยไม่ได้หรอกครับ คุณชาย” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยออกมา คงป่วยการจะอธิบายเหตุผลให้คนอย่างเว่ยเฟิงปิงฟัง เพราะเจ้านายคนนี้ดูจะไม่ยอมฟังอะไรอยู่แล้ว เขากล่าวต่อ “แต่ได้โปรดเชื่อเถอะครับว่าผมรักคุณจริงๆ ผมรักคุณมากที่สุด”
   “จะให้ฉันเชื่อนายได้ยังไง?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ย และเงยหน้าขึ้นมามอง นัยน์ตาสีฟ้าช้อนขึ้นมาอย่างสงสัย
   “นายจะพูดให้ฉันรู้สึกดีสักนิดก็ไม่ได้เชียวหรือ จะพูดว่าหึงฉันสักคำก็ไม่ได้หรือ ฉันไม่โกรธเลยถ้านายจะหึงฉัน... ถ้านายจะหวงฉัน... ถ้านายจะต้องการฉันแบบนั้น”
   “ถ้าผมหึง แล้วคุณจะตัดใจจากเขาหรือครับ?” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยถามขึ้น พอนึกถึงสายตาที่เว่ยเฟิงปิงมองรูฟัสแล้ว เขารู้สึกท้อแท้อยู่ทุกที ไม่ว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่ จะแสดงออกขนาดไหน แววตานั่นไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
   จะเมื่อไหร่เว่ยเฟิงปิงก็ยังมีหัวใจให้ผู้ชายคนนั้นอยู่
   “นายหมายถึงรูฟัสหรือ?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยออกมา นัยน์ตาสีฟ้ากลอกมองหน้าอีกฝ่ายและยิ้ม
   “ฉันรักรูฟัส ฉันรู้ตัวดีว่าฉันรักเขา แต่ฉันไม่ต้องการเขาแล้วซื่อเยี่ยน ฉันไม่ต้องการผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว ฉันต้องการนาย ต้องการความรักจากนาย”
   “เพื่อเป็นตัวแทนเขาหรือครับ?” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยออกมา เว่ยเฟิงปิงจะรู้ไหม คำรักที่พูดถึงรูฟัสนั้น เสมือนลิ่มหนาหนักที่ตอกย้ำลงไปบนหัวใจของเขา ความรักต่อผู้ชายคนนั้น ยังมีอยู่ในหัวใจของเว่ยเฟิงปิงอย่างเต็มเปี่ยม
   “รักผมไม่ได้หรือครับ รักผมที่เป็นผม”
   เว่ยเฟิงปิงยกนิ้วเรียวแตะริมฝีปากของอีกฝ่าย และกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มๆ
   “ซื่อเยี่ยน นายน่ะไม่คล้ายรูฟัสสักนิด ทั้งซื่อบื้อ ทั้งทื่อ ทั้งเย็นชา นายเป็นตัวแทนรูฟัสไม่ได้หรอก แต่ฉันก็ยังพูดว่าต้องการนาย ไม่เข้าใจอีกหรือ?”
   นัยน์ตาสีฟ้าใสพลันมีน้ำตาเอ่อล้นออกมาอีกรอบ เว่ยเฟิงปิงกล่าวเสียงเครือ “ไม่เข้าใจเลยหรือ ฉันต้องการความรักจากคนเย็นชาอย่างนาย เข้ามาเพื่อเติมเต็มช่องว่างในหัวใจฉัน ช่องว่างหัวใจของฉันที่ครั้งหนึ่งผู้ชายคนนั้นเคยขโมยมันไปด้วยความอบอุ่น ฉันต้องการความอบอุ่นจากคนเย็นชาอย่างนาย เพราะอะไรไม่รู้เลยหรือ? เพราะฉันเชื่อว่าสักวันหนึ่ง ฉันจะรักนายได้อย่างสนิทใจ ฉันจะรักนาย นายที่จะไม่ทรยศฉัน สักวันที่ฉันจะรักนายได้อย่างเต็มหัวใจ”
   จางซื่อเยี่ยนยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลออกจากดวงตาสีฟ้าใสนั้น อยากจะเอ่ยคำขอโทษราวร้อยล้านครั้ง ด้วยไม่คิดเลยว่าเว่ยเฟิงปิงจะมีใจให้กับเขามากมายเพียงนี้ เขาสำคัญตัวเองผิดไป เขาอาจจะแข่งกับรูฟัสไม่ได้ แต่เขาสามารถรักเว่ยเฟิงปิงอย่างที่เขาสามารถรักได้ และเว่ยเฟิงปิงเองก็ต้องการเช่นนั้น
   “คุณชาย..” ผู้เป็นลูกน้องกระซิบเอ่ยเรียกผู้เป็นนายเบาๆ ก้มลงจูบหน้าผากนั้นอย่างอ่อนโยน และรั้งร่างแบบบางมากอดไว้แนบแน่น
   “ผมจะรักคุณให้ดีที่สุด”
   เว่ยเฟิงปิงโอบวงแขนกอดรัดแผ่นหลังกว้างของผู้เป็นลูกน้องเอาไว้ ไม่ว่าผู้ชายคนนี้จะทื่อ จะซื่อบื้อ จะเย็นชาเพียงใด แต่อ้อมกอดนี้อบอุ่นเพียงพอที่จะทำให้เขาวางใจเอาไว้ได้ว่า เขาจะสามารถรักผู้ชายคนนี้ได้ในที่สุด
   ผู้ชายที่เต็มใจจะเติมเต็มความรักให้กับหัวใจว่างเปล่าของเขา
-----------------------------------------------
   เถียนซานตะกายขึ้นมาจากขุมนรกแล้ว ตะกายหนีออกมาจากอุ้งมือพญามัจจุราชได้อีกครั้ง
   ทุกครั้งที่ผ่านประสบการณ์แห่งความเป็นความตายเช่นนี้ ยามเมื่อลืมตาขึ้น เขามักรู้สึกว่าตัวเองหลับลืมโลกไปนาน รู้สึกเหมือนอายุเพิ่มขึ้นอีกเป็นสิบๆ ปี แต่ความรู้สึกนี้ไม่ได้ทำให้เขาท้อแห้ห่อเหี่ยว ไม่ได้ทำให้จิตใจของเขาแก่ชรา ตรงข้าม เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วจิตใจของเถียนซานยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น คล้ายห้วงความเป็นตายมอบพลังแห่งการมีชีวิตให้เขาเพื่อตอบแทนพลังใจที่ทุ่มเทอย่างถึงขีดสุด นัยน์ตาสีดำราวหินน้ำตกกระพริบอย่างเชื่องช้า สมองที่คล้ายหลับใหลมาเนิ่นนานค่อยๆ ทำงานของมัน เวลานี้เขาคงอยู่ในโรงพยาบาลที่ไหนสักแห่ง
   อณูความรู้สึกวิ่งแล่นแผ่ขยายออกไปทุกทั่วปลายประสาท สิ่งต่อมาที่เขาสัมผัสได้คือความอบอุ่นในมือข้างหนึ่ง ฝ่ามือสากหนาขยับและกำความอบอุ่นนั้นเอาไว้อย่างอัตโนมัติ ไม่ต้องใช้สมองคิดก็เข้าใจว่าความอบอุ่นนั้นคืออะไร จะเป็นอะไรไปอีกไม่ได้นอกเสียจากเจ้าชีวิตคนนั้น เจ้าชีวิตที่มอบชีวิตให้กับเขา
   เว่ยจินหยินอ่อนล้ามากจริงๆ หลังจากผ่านเหตุการณ์ไม่คาดคิด ร่างกายของเขาคล้ายรองรับอะไรไม่ไหวอีก หากเป็นในยามปกติ ชายหนุ่มคงต้องเอนกายลงบนเตียงสี่เสาตัวโปรด เอนตัวหลับพักไปบนฟูกนอนนุ่ม ผ่อนคลายทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้หัวสมองแจ่มใสต้อนรับสิ่งที่จะเผชิญในเช้าวันใหม่ แต่ในตอนนี้จิตใจของเขาไม่อาจผ่อนคลายได้เช่นนั้น แม้จะรู้ว่าอาการปลอดภัย หากเถียนซานไม่ลืมตาตื่นขึ้นมามองดูเขา เว่ยจินหยินไม่วางใจสิ่งใดทั้งสิ้น ดังนั้นเขาจึงเฝ้ารอ เฝ้ารออย่างใจจดจ่ออยู่ข้างเตียงนอน เฝ้ามองร่างสูงใหญ่ที่คอยอยู่เคียงข้างเขามาตลอดสามสิบปี ลูบไล้ฝ่ามือสากหยาบที่อัดแน่นไปด้วยความรักจนแทบทำให้ตัวเขาปริฉีก กับความรักที่เถียนซานมอบให้ เว่ยจินหยินไม่มีปัญญาหาสิ่งใดมาตอบแทน นอกจากความรัก...
   แรงกระทำเบาบางที่ขยับอยู่ในอุ้งมือของเขาแรงพอที่จะทำให้เว่ยจินหยินรู้สึกตัวตื่น ความตื้นตันแล่นเข้าสู่หัวใจของเขาเหมือนน้ำที่ไหลทะลักเข้าสู่ภาชนะ ร่างบางชันตัวลุกขึ้น ลืมเลือนความเหนื่อยล้าทุกอย่าง ที่ปรากฏต่อสายตาของเขาคือนัยน์ตาสีดำราวหินน้ำตกที่มองมาอย่างอบอุ่น
   “อาซาน!” เสียงเรียกชื่อแผ่วเบาที่หลุดออกมาจากปาก สำหรับเว่ยจินหยินนั้นดังราวเสียงฟ้าคำราม เขาหูอื้อด้วยความยินดีที่เอ่อล้นอยู่ในหัวใจ เกาะกุมมือสากหนาข้างนั้นแนบแน่น สัมผัสไออุ่นแห่งชีวิตที่เขาเคยได้รับมาตลอดสามสิบปี หยาดน้ำตารินไหลออกมาอย่างไม่อาจหักห้ามเอาไว้ได้ เถียนซานกุมมือตอบเจ้านายของเขา บีบมือเรียวอุ่นนิ่มนั้นอย่างปลอบโยน เขาไม่อาจกล่าวถ้อยคำใด และไม่มีถ้อยคำใดจะกล่าว สิ่งที่เขารับรู้คือ เว่ยจินหยินปลอดภัย เพียงแค่นี้เถียนซานก็รู้สึกเต็มตื้นอย่างบอกไม่ถูก ของรางวัลที่ได้รับจากการเผชิญหน้ากับความตาย เพียงเท่านี้ก็ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว
   ฝ่ามืออบอุ่นที่สัมผัสซึ่งกันและกัน ถ่ายทอดความรักที่ต่างมีให้อย่างไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยสิ่งใดอีก
   เพราะความรักนี้ ไม่มีใครในโลกสามารถอธิบายมันออกมาเป็นคำพูดได้
   ความรักที่อยู่เหนือคำบรรยายใดๆ
-------------------------------------------
   รูฟัสนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องรับรองพิเศษที่ถูกดัดแปลงจากห้องพักแพทย์ในโรงพยาบาลตำรวจ เขาเพิ่งเสร็จจากการให้ปากคำเพิ่มเติม ราฟาแอลโผล่ไปตามเขาออกมาระหว่างที่เขาเองกำลังรอให้ฟ่งพูดอะไรบ้าง รูฟัสจึงตัดสินใจจากมาเงียบๆ เขาอยากให้ฟ่งคิดอะไรให้ลึกซึ้งก่อนที่จะตัดสินใจอะไรลงไป ชายหนุ่มเชื่อว่าอีกฝ่ายคงกำลังต้องการจะตัดสินใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเขา ซึ่งคงจะชี้ชะตาอนาคตาชีวิตคู่ว่าจะดำเนินต่อหรือจะยุติ ตอนนี้ผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขาจึงเป็นคู่หูและเพื่อนร่วมงานซึ่งรู้จักกันมาเกือบจะครึ่งค่อนชีวิต
   “นี่ ราฟี่ คุณจะว่าอะไรไหมถ้าจบงานนี้แล้วผมจะเลิกเป็นคู่หูกับคุณ” รูฟัสเอ่ยขึ้น และพบว่าราฟาแอลขมวดคิ้วทันที ผู้ถูกถามเอ่ยตอบ
   “ว่าแน่... ว่าแต่แกแน่ใจแล้วเหรอว่าจะไปอยู่กับเด็กคนนั้นจริงๆ หมายถึง แกแน่ใจนะว่าเขาอยากอยู่กับแก?”
   “ผมคิดว่าเขาอยากอยู่กับผมนะ” รูฟัสกล่าว และรีบพูดต่อ ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะหาว่าเขาคิดไปเองคนเดียวอีก
   “คราวนี้เขาบอกผมเองว่าเขาอยากอยู่ด้วย”
   “อืม... ฉันรู้ล่ะ” ราฟาแอลโบกมืออย่างรำคาญ ก็จริงอยู่ที่เขาไม่อยากเสียคู่หูไป แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่ออีกฝ่ายตัดสินใจแล้วแบบนี้ เขารู้จักรูฟัสมานานพอที่จะรู้ว่าลองเจ้าเด็กนี่ตัดสินใจจะทำอะไรแล้ว คงห้ามไม่ได้ง่ายๆ
   “ตามใจแกแล้วกัน ฉันจะหาคำแก้ตัวไปบอกคลาวเดียเอง”
   “ผมว่าผมบอกคลาวเดียแล้วนะว่าผมจะมาอยู่กับฟ่ง คุณนั่นแหละต้องหัดอยู่บ้านไว้บ้าง คุณไม่สงสารคลาวเดียหรือไง?”
   “หึ! คลาวเดียไม่ใช่คนงองแงอยากมีเพื่อนอยู่ข้างๆ ตลอดหรอกนะ” ราฟาแอลตอบ รูฟัสทำหน้ามุ่ย
   “ถ้าคลาวเดียเลิกกับคุณผมจะไม่แปลกใจเลย”
   “ฉันจะถือว่านายพูดเล่นแล้วกัน” ราฟาแอลพูด พลางมองมาอย่างขุ่นเคือง รูฟัสพยักหน้าส่งเดช เขารู้อยู่หรอกว่าราฟาแอลรักคลาวเดียมาก แต่พฤติกรรมบางทีก็สุดจะทนอยู่เหมือนกัน ไม่เข้าใจเลยว่าคลาวเดียทนเข้าไปได้ยังไง เอาเถอะ นั่นเป็นเรื่องของสองคนนี่ ไม่เกี่ยวกับเขาเสียหน่อย
   “ราฟี่ ผมจะไม่กลับไปฮังการีกับคุณนะ ผมจะอยู่ที่นี่”
   “อืม...” ราฟาแอลส่งเสียงอย่างรำคาญ และกล่าวขึ้นบ้าง “ฉันรู้แล้วน่าว่านายจะไม่กลับไป จะปักหลักอยู่ที่นี่ก็ตามใจนายเถอะ แต่ว่างๆ ก็ไปเยี่ยมคลาวเดียบ้างแล้วกัน”
   “ผมรู้ว่าคุณก็คิดถึงผมน่า” รูฟัสเอ่ยต่อ ราฟาแอลทำหน้าเบี้ยว เหมือนคนถูกเข็มเม่นทิ่มลงบนหน้า
   “ใครจะคิดถึงเด็กเวรตะไลอย่างแก ไม่อยู่สิดี ฉันจะได้ไม่มีคนคอยกวนใจ”
   คนถูกค่อนแคะหัวเราะ เขามองหน้าราฟาแอลอยู่นาน จึงได้พูดต่อ “ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมรู้จักกับคุณมาสิบสามปีแล้ว”
   ราฟาแอลรีบโบกมือทันใด “เฮ้ย ไม่ต้องมาระลึกความหลังตอนนี้เลยนะ จะไปก็รีบไป ฉันไม่อยากนึกถึงความหลังน่าคลื่นไส้กับแกหรอก”
   รูฟัสถอนหายใจออกมา เขามองราฟาแอล รู้สึกขอบคุณผู้ชายคนนี้ในหลายๆ เรื่อง เขารู้ว่าราฟาแอลไม่ใช่คนแสดงออกตรงๆ หนุ่มผมบล็อนด์คนนี้เก็บความรู้สึกหลายอย่างเอาไว้ และก็ไม่ชอบให้ใครมาสะกิดเสียด้วย ดังนั้นรูฟัสจึงได้แต่พยักหน้า
   “อืม งั้นผมขอลาตรงนี้เลยแล้วกัน ขอบคุณนะราฟี่ ฝากความคิดถึงถึงคลาวเดียด้วย บอกว่าถ้ามีเวลาผมจะแวะไป”
   “ขอให้ไปจริงๆ เถอะ” ราฟาแอลว่า พลางโบกมือ รูฟัสยิ้มให้คู่หูของเขา ก่อนจะเดินออกมาจากห้อง ชายหนุ่มมองตรงไปยังทางเดินด้านหน้า  หวังว่าคงจะยังคงรอเขาอยู่ในห้องนั้นนะ
----------------------------------------
   หลังจากตรวจอาการของเถียนซาน แพทย์เจ้าของไข้ให้ความเห็นอย่างรู้สึกแปลกใจไม่น้อยว่าผู้ป่วยคนนี้คงไม่ต้องพึ่งเครื่องช่วยหายใจอีก ดังนั้นคนทั้งสองจึงได้มีโอกาสสนทนากันเป็นครั้งแรก นับจากวินาทีแห่งความเป็นความตายนั้น
   “ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?” นั่นคือคำถามแรกที่เถียนซานพูดออกมา คำพูดแรกที่ดังขึ้นต่อจากห้วงเวลาอันน่าใจหาย คำพูดที่เขาคิดจะพูดหลังจากช่วยเว่ยจินหยินเอาไว้แล้ว น่าตลกดีที่ได้พูดในเวลาหลังจากนั้นเนิ่นนานทีเดียว ดูเหมือนเขาจะอยู่ในโรงพยาบาลมาเกือบจะค่อนคืนแล้ว คำตอบที่ได้กลับมาคือใบหน้าเปื้อนน้ำตาพร้อมกับสั่นศีรษะ
   เว่ยจินหยินอาบน้ำสะอาดเรียบร้อย เปลี่ยนผลัดเสื้อผ้าใหม่หลังจากที่รู้ว่าอดีตลูกน้องคนนี้พ้นขีดอันตราย เขาจำต้องแน่ใจว่าเถียนซานจะไม่ตื่นขึ้นมาเจอเจ้านายของตนในสภาพดูไม่เป็นผู้เป็นคน กับคนที่เพิ่งผ่านความเป็นความตายเพื่อช่วยเหลือใครคนหนึ่ง เวลาฟื้นขึ้นมาก็ต้องอยากเห็นผู้ที่ตนช่วยเหลืออยู่ในสภาพสมบูรณ์แข็งแรงทุกอย่าง ยิ่งร่าเริงได้ยิ่งดี แต่ตอนนี้สิ่งที่เว่ยจินหยินทำได้ดีที่สุด คือการยิ้มทั้งที่น้ำตายังรินไหลอยู่ เขาอับจนคำพูดไปชั่วครู่ คำพูดที่เขาสมควรจะชิงถาม เถียนซานก็ได้ถามมันออกมาก่อนอีกแล้ว ทำไมเขาถึงไม่เคยอ้าปากได้ทันความคิดของผู้ชายคนนี้เลย เหมือนกันว่าแค่เขาเริ่มคิด อีกฝ่ายก็เดาทุกอย่างได้จนจบแล้ว นิ่งอยู่เป็นค่อนวัน อีกฝ่ายจึงได้พูดต่อ
   “ผมไม่เป็นไรหรอกครับ คุณไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ผมอยากให้คุณพักผ่อนบ้าง”
   ฝ่ามือสากหนายกขึ้นลูบไล้ใบหน้าเรียวได้รูปที่ถึงแม้จะฝืนทำให้ดูดีเท่าไหร่ แต่ร่องรอยแห่งความเหนื่อยล้าและความสะเทือนใจยังปรากฏชัด นิ้วมือหนาสัมผัสหยาดน้ำตาที่รินไหลออกมาและเช็ดมันออกอย่างเบามือ เว่ยจินหยินได้แต่พยักหน้า พยายามอยู่อีกนานเพื่อจะเค้นคำพูดออกมา
   “อาซาน...”
   คำพูดชะงักค้างกลางอากาศ เขาไม่มีแม้คำปลอบประโลมใดให้อีกฝ่ายหลังจากตื่นขึ้นมาแล้ว และคำพูดที่เขาจะพูดต่อไปเป็นอะไรที่จริงๆ แล้วไม่สมควรจะพูดออกไปในเวลานี้เลย แต่เว่ยจินหยินจำต้องพูด เพราะนี่เป็นสิ่งที่เขาตัดสินใจไปแล้ว
   “บ่ายนี้ฉันจะบินกลับฮ่องกงตามกำหนดเดิม... ฉันจะทิ้งคนเอาไว้ดูแลนายส่วนหนึ่ง...”
   คำพูดที่ฟังผิวเผินคล้ายดูชืดชาไร้น้ำใจ กับคนที่เพิ่งเสี่ยงชีวิตช่วยตัวเองเอาไว้ พอตื่นขึ้นมา คำพูดที่ได้รับประโยคแรกคือการจากลาและทอดทิ้ง แต่สามสิบปีที่ดูแลรับใช้เว่ยจินหยิน นี่คือสิ่งที่เถียนซานภาคภูมิใจมากที่สุด เขารู้ดีว่าเว่ยจินหยินเข้มแข็งและฝืนตัวเองแค่ไหนที่จะกล่าวคำพูดนี้ออกมา แม้ฝ่ามือจะเย็นเฉียบและสั่นระริกอยู่ในตอนที่พูด แต่นัยน์ตาสีดำนั้นเป็นประกายแน่วแน่ จะอย่างไรเสียแผนการที่วางเอาไว้แล้วจะต้องดำเนินการต่ออย่างไม่สะดุด ไม่อย่างนั้นที่เขาทุ่มเททำลงไปทั้งหมดจะสูญเสียเปล่า
   เถียนซานไม่ได้เสี่ยงชีวิตเพื่อให้เว่ยจินหยินกลับมาฟูมฟายใส่เขาโดยไม่เป็นอันทำอะไร และเจ้านายของเขาก็ทราบเรื่องนี้ดีที่สุด ดังนั้นแม้จะต้องฝืนความรู้สึกมากมายสักแค่ไหน จะต้องกล้ำกลืนความเจ็บปวดสักเท่าไร จะต้องทนแบกรับคำว่าอำมหิตอีกสักกี่รอบ เว่ยจินหยินจะไม่หวั่นไหว ไม่ว่าคนภายนอกจะมองอย่างไร เขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้ซึ้งถึงความในใจของผู้ชายคนนี้ดีที่สุด และเถียนซานก็รู้ซึ้งถึงความรู้สึกของเว่ยจินหยินดีที่สุด จึงพยักหน้าและยิ้มอย่างอ่อนโยน
   “ไปเถอะครับ ผมอยู่ข้างคุณเสมอ”
   สัญญาสามสิบปี เถียนซานรักษามันได้ดีมาโดยตลอด ไม่ว่าเวลาไหนที่เว่ยจินหยินต้องการ เขาจะอยู่ข้างๆ เสมอ โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากเรียก และครั้งนี้ก็เช่นกัน
-------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   เพื่อขจัดปัญหาความวุ่นวาย เว่ยจินหยินซื้อเหมาเครื่องบินยกลำ เพื่อนำพาบรรดาลูกน้องและเชลยที่จับได้กลับสู่ฮ่องกง ลูกน้องคนสนิทที่ชื่อไมเคิลวิ่งวุ่น และเมื่อไม่มีคู่หูที่ชื่อโจซึ่งถูกมอบหมายให้ดูแลงานอยู่ที่ฮ่องกงมาช่วยรองมือรองเท้ารับใช้ความต้องการที่จู้จี้จุกจิกของเจ้านาย คนที่ถูกลากไปจึงเป็นเว่ยเฟิงปิงและจางซื่อเยี่ยนแทน ตอนนี้ทั้งสามคนแทบจะกลายเป็นคนรับใช้ของเว่ยจินหยินอยู่แล้ว แม้แต่เว่ยเฟิงปิงที่คิดจะยอมพี่ชายคนนี้สักครั้ง ก็ยังรู้สึกอยากแว้งกัดขึ้นมา
   พอมีโอกาส เว่ยจินหยินใช้คนได้อย่างคุ้มค่าเสมอ เว่ยเฟิงปิงเพิ่งระลึกถึงข้อนี้หลังจากหัวปั่นกับรายการคำสั่งจุกจิกจู้จี้ที่เขาต้องอธิบายกับคนของทางสายการบินว่าพี่ชายของเขาต้องการเครื่องบินแบบไหนและสิ่งอำนวยความสะดวกใดบ้าง ถึงเว่ยจินหยินจะออกเงินเองก็เถอะ แต่ให้ทำแบบนี้ก็เท่ากับเขากลายเป็นเลขาส่วนตัวไปแล้วน่ะสิ!
เพราะจางซื่อเยี่ยนและไมเคิลต้องคอยควบคุมดูแลบรรดาลูกน้องที่เหลือและเชลยที่จับได้ ดังนั้นหน้าที่เลขาจึงตกเป็นของเว่ยเฟิงปิงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ขณะที่นึกขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ที่สนามบินเพื่อรอการมาถึงของพี่ชายคนรองอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน คนที่เขารอคอยก็ปรากฏ
   เว่ยจินหยินเดินมาท่ามกลางบรรดาผู้อารักขาหนาแน่นเช่นเคย แม้จะลดจำนวนผู้ติดตามลงแล้ว แต่สภาพก็ยังเป็นขบวนใหญ่อยู่ดี เว่ยเฟิงปิงรู้ว่าพี่ชายคนนี้มีคนจ้องจะกำจัดอยู่มาก แค่มองดูจำนวนบอดีการ์ดพวกนี้ เขาก็รู้สึกละเหี่ยใจแทน โชคดีที่ดูเว่ยจินหยินเคยชินกับเรื่องดังกล่าวจนเหมือนชืดชา เขายังคงสภาพดูดีอย่างที่เคยเป็นในทุกๆ ครั้ง ใช่ล่ะ คนคนนี้กลับมารักษาภาพพจน์และดวงตาแวววาวราวสุนัขจิ้งจอกนั่นได้ในชั่วข้ามคืนจริงๆ ทั้งๆ ทีก่อนหน้านั้นฟูมฟายแทบตายจนเกือบจะจินตนาการสารรูปเดิมไม่ออก
เว่ยเฟิงปิงไม่รู้ว่าหัวใจของเว่ยจินหยินทำจากอะไรกันแน่ บางทีดูชืดชาอำมหิต บางทีก็ดูอ่อนแออ่อนไหว แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้เขาอยากชักสีหน้าใส่เว่ยจินหยินสักหน่อย กระแทกคำพูดใส่สักนิด พอให้ได้ระบายความอัดอั้นที่ถูกจิกหัวใช้ในยามเผลอนี้ รอจนได้ระยะ เว่ยเฟิงปิงอ้าปาก แต่ดูเหมือนจะช้ากว่ารอยยิ้มพิมพ์ใจนั่นอยู่หลายวินาที คล้ายว่าพี่ชายคนนี้เดาได้ว่าเขาจะพูดอะไร ลิ้นของเว่ยจินหยินตวัดราวจงใจตัดหน้าคำพูดเขาอย่างมีมารยาท
   “ขอบใจมากนะน้องเจ็ด ถ้าไม่ได้เธอพี่คงแย่”
   เว่ยเฟิงปิงอ้าปากค้าง ถึงกับเกือบจะพะงาบๆ ลมออกมา เขาเพิ่งเข้าใจจางซื่อเยี่ยนตอนนี้เองว่า ไอ้ที่พูดไม่ออกนั้นเป็นยังไง ไม่เพียงแค่พูดตัดหน้า มือเรียวของเว่ยจินหยินยังตบมาที่บ่าของเขาเบาๆ เว่ยเฟิงปิงสะดุ้งเฮือก เขายังจำได้ดีว่าครั้งสุดท้ายที่ถูกมือที่สวมแหวนเงินเกลี้ยงๆ นั้นตบเป็นอย่างไร ดูเหมือนเว่ยจินหยินจะมองเห็นอาการนี้ และแทนที่จะรู้สึกอย่างที่คนปกติควรจะรู้สึกหลังจากเคยทำอะไรแบบนั้นกับน้องชายไปแล้ว เจ้าตัวดันกลับหัวเราะชอบใจออกมา ก่อนจะกระซิบเบาๆ “พี่ไม่วางยาเธอตอนนี้หรอก”
   เว่ยเฟิงปิงไม่คิดว่านี่เป็นคำปลอบใจเลยสักนิด เขาเปลี่ยนใจไม่อยากพูดกระแนะกระแหนแล้ว แต่อยากชักมีดออกมาแทงพี่ชายคนนี้ให้รู้แล้วรู้รอด คนอะไร อ้าปากแต่ละทีชวนให้อยากฆ่าทิ้งดีชะมัด แต่คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยมีสติดีพอว่านี่คงเป็นได้แค่เพียงความคิด เขายังไม่ปัญญาอ่อนขนาดจะฆ่าเว่ยจินหยินจริงๆ ก็แค่หมั่นไส้
   ให้ตายสิรู้งี้ปล่อยให้ฟูมฟายอยู่แบบนั้นไปเรื่อยๆ ก็ดีหรอก
   จะว่าไปเหมือนเว่ยจินหยินจะตัดใจทิ้งเถียนซานเอาไว้ที่โรงพยาบาล หลังจากเห็นอาการฟูมฟายแทบเป็นแทบตายก่อนหน้านี้ เขาเกือบไม่เชื่อเลยว่าพี่ชายคนนี้จะหักใจทิ้งคนสำคัญคนนั้นได้ง่ายๆ ได้ยินว่าเว่ยจินหยินอยู่เฝ้าทั้งคืน คอยดูแลเช็ดตัว เป็นธุระตามทั้งหมอ ตามทั้งพยาบาล ในขณะที่ตัวเองใช้งานคนอื่นเป็นขี้ข้า คิดไปไม่รู้ว่าสมควรจะอิจฉาเถียนซานดีรึเปล่า ที่มีคนแบบเว่ยจินหยินคอยเป็นห่วงเป็นใยเสียขนาดนั้น และเถียนซานก็อึดอดทนเหลือเชื่อเหมือนกัน ที่แค่ผ่านไปไม่ถึงวันก็ถอดเครื่องช่วยหายใจออกได้แล้ว ทั้งๆ ที่บาดเจ็บสาหัสเจียนตาย ดูท่าคำว่าปิศาจคงไม่ห่างไกลจากผู้ชายตัวใหญ่คนนี้เท่าไหร่ ไม่รู้เอาพลังใจมาจากไหนนักหนา
   ขณะที่กำลังคิดต่างๆ นานา เสียงล้อรถเข็นก็ทำใจเว่ยเฟิงปิงเข้าใจอย่างกระจ่าง ทำไมเว่ยจินหยินจึงได้สั่งเรื่องเครื่องบินจู้จี้จุกจิกนัก สั่งทั้งแอร์โฮสเตทที่มีความรู้เรื่องการพยาบาล สั่งทั้งชุดดูแลผู้ป่วย ตอนแรกเขาคิดว่าไว้สำหรับเผื่อพวกเชลยเกิดแข็งข้อขึ้นในเครื่องกับพวกลูกน้องที่บาดเจ็บประปรายจากสะเก็ดระเบิด หรือไม่ก็สำหรับฟารุคซึ่งถูกเถียนซานทำอะไรซักอย่างจนกระดูกซี่โครงแตก แถมยังถูกเว่ยจินหยินใช้ยาเลี้ยงชีวิตเอาไว้เพื่อเอาไปเค้นคอต่อที่ฮ่องกง จะว่าไปสองคนนี่ดูจะเข้าคู่กันได้ดีอย่างน่าสยดสยอง และคำตอบของความจู้จี้จุกจิกนั้นคือชายร่างใหญ่ที่นอนอยู่บนเตียงเข็น
   เว่ยจินหยินถึงกับพาลูกน้องที่เพิ่งพ้นความตายออกจากโรงพยาบาลทั้งที่ยังไม่ทันครบยี่สิบสี่ชั่วโมงดีด้วยซ้ำ กับเรื่องแบบนี้เว่ยเฟิงปิงได้แต่อ้าปากค้างไปอีกรอบหนึ่งแล้ว
   ดูเหมือนเถียนซานกำลังหลับ หลับด้วยสีหน้าปกติเรียบร้อยเหมือนคนแข็งแรงดีทุกอย่าง ไม่เหมือนคนที่ฟื้นไข้เลยสักนิด ถึงอย่างนั้นไอ้แผลฉกรรจ์ข้างหลังนั่น ต่อให้ดูแลดีขนาดไหน กับการเคลื่อนย้ายในระยะไกลๆ แบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำเลย เว่ยเฟิงปิงไม่เข้าใจเว่ยจินหยิน ไม่เข้าใจกับการยึดติดนี้ ไม่รู้ว่านี่เรียกว่าความอ่อนไหว หรือความเอาแต่ใจจนอำมหิตกันแน่
   แม้จะเจ็บเจียนตาย แต่เว่ยจินหยินก็ยังไม่ยอมปล่อยให้ผู้ชายคนนี้ห่างจากตัว
   “รบกวนคุณชายเจ็ดแล้วนะครับ” เสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูอบอุ่นอย่างน่าประหลาดดังขึ้น เว่ยเฟิงปิงสะดุ้ง เขากำลังเดินตามขบวนของเว่ยจินหยิน และด้วยความคิดที่ชะงักค้าง ทำให้เขาเดินอยู่ข้างๆ เตียงเข็นของเถียนซานอย่างลืมตัว โดยมีจางซื่อเยี่ยนยืนอยู่ไม่ห่างไปนัก ผู้นอนอยู่บนเตียงลืมตาอยู่ คล้ายดั่งมองเขามาแต่แรก เว่ยเฟิงปิงรู้สึกขึ้นมาทันที ผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดาเลย แววตาสดชื่นแจ่มใสที่มองมา ยังเจือความอบอุ่นที่ไม่น่าจะเห็นได้จากดวงตาของคนที่อาศัยคลุกคลีอยู่ในวงการสายมืดที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเช่นนี้
   “เพราะผมดึงดันจะตามมา เลยพลอยทำให้คุณต้องเป็นธุระเดือดร้อนไปด้วย” เถียนซานเอ่ยต่อ ราวกับเดาความในใจของเขาออก เว่ยเฟิงปิงอ้าปากค้าง ตกลงแล้วคนที่ตะเกียกตะกายพาสังขารร่อแร่ออกมา คือหมอนี่เองล่ะหรือ นัยน์ตาสีฟ้ากวาดตามองร่างสูงใหญ่บนเตียงเข็นนั่นอีกครั้ง พอสบเข้ากับสายตาอ่อนโยนนั้น ก็อับจนคำพูดจะกล่าวตอบ
นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เขามีโอกาสได้สนทนากับผู้ชายที่คล้ายตำนานคนนี้ เว่ยเฟิงปิงไม่แปลกใจแล้วว่า ทำไมจึงมีคนให้ความเคารพนับถือเถียนซานนัก แม้กระทั้งลูกน้องของเขาเองที่เคยได้สัมผัส ยังเกรงใจผู้ชายคนนี้อยู่มาก เผลอๆ จะมากกว่าที่เกรงใจเขาเสียอีก บางทีอาจจะรวมถึงจางซื่อเยี่ยนด้วย พอคิดได้สายตาก็หันกลับไปมองลูกน้องคนสนิททันที
   จางซื่อเยี่ยนยืนอยู่ข้างๆ กำลังยิ้มอย่างเบิกบาน เสียแต่ว่าไม่ได้ยิ้มให้เขา แต่ยิ้มให้กับผู้ที่นอนอยู่บนเตียงเข็นต่างหาก
   “ผมดีใจที่พี่ปลอดภัย ไว้ผ่านเรื่องนี้เมื่อไหร่ ผมจะไปล้างจานงานเลี้ยงฉลองที่บ้านพี่”
   เถียนซานหัวเราะให้กับคำพูดของอดีตลูกน้อง จางซื่อเยี่ยนเคยทำงานกับเขา เคยไปนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ที่บ้านเขาบ่อยครั้ง แม้ระยะหลังๆ จะไม่ค่อยได้เจอกันเพราะทำงานแยกออกไป แต่ความรู้สึกเดิมๆ ยังคงอยู่ ขณะที่จางซื่อเยี่ยนกำลังรู้สึกดีใจเรื่องลูกพี่ของเขา นัยน์ตาสีฟ้าที่ถลึงใส่ก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกถึงความผิดปกติทันที
   เวยเฟิงปิงก้าวฉับๆ อย่างแสดงออกเด่นชัดว่าไม่พอใจการกระทำตรงหน้านี้ จางซื่อเยี่ยนอ้าปากค้าง หันมามองหน้าลูกพี่เขาอย่างอ้อนวอนและไม่เข้าใจ เหมือนกำลังจะถามว่า เขาทำอะไรผิดไปกันแน่ เถียนซานได้แต่ถอนหายใจ และโบกมือไล่ส่ง
   กับเรื่องแบบนี้ มีแต่จางซื่อเยี่ยนต้องพยายามทำความเข้าใจเอาเอง
--------------------------------------
   เพราะเว่ยจินหยินยืนกรานยืนยันแน่ชัดว่าจะนั่งข้างๆ เตียงของเถียนซานซึ่งถูกจัดให้อยู่ในพื้นที่พิเศษท้ายเครื่อง คนที่นั่งอยู่ในที่นั่งด้านหน้าจึงกลายเป็นเว่ยเฟิงปิงและจางซื่อเยี่ยนแทน จนกระทั่งเครื่องบินบินถึงเพดานบินแล้ว เว่ยเฟิงปิงก็ยังไม่พูดกับเขาเลยสักคำ ขนาดหน้าก็ยังไม่หันกลับมามองด้วย สภาพแบบนี้จางซื่อเยี่ยนแทบจะอดรนทนไม่ไหวแล้ว
   เขาไม่เข้าใจเว่ยเฟิงปิงสักนิดว่าต้องการอะไรกันแน่
   ครั้นจะเอ่ยถามก็คงได้รับคำตอบแบบเดิมๆ เผลอๆ จะไม่ได้รับอะไรเลยนอกจากสายตาเกรี้ยวกราดที่จิกเข้าใส่อย่างดุร้าย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นมาแล้ว บอกกับเขาเองว่าไม่ได้เกลียด แล้วไหงไปๆ มาๆ ก็กลับมาเป็นแบบนี้อีก จางซื่อเยี่ยนไม่เข้าใจเลยจริงๆ
   เมื่ออยู่ต่อหน้าอารมณ์แปรปรวนของเว่ยเฟิงปิง ต่อให้ไม่อยากยอมรับว่าตัวเองโง่ สุดท้ายก็ต้องรู้สึกว่าโง่อยู่ดี ที่สำคัญจางซื่อเยี่ยนไม่เคยคิดว่าตัวเองฉลาดอยู่แล้ว
   เขาไม่ได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจอารมณ์คนอื่นเหมือนอย่างที่เถียนซานสามารถทำได้ สำหรับจางซื่อเยี่ยน คงไม่มีใครในโลกรู้ใจกันได้ทะลุปรุโปร่งเท่าลูกพี่ของเขากับคุณชายรองคนนั้นอีกแล้ว บางทีเขาเองยังนึกสงสัย สองคนนี่น่าจะเกิดมาเป็นพี่น้องกันมากกว่า ไม่ว่าเว่ยจินหยินจะกระดิกตัวไปทางไหน จะทำอะไร ดูเหมือนเถียนซานจะรู้ล่วงหน้าได้หมด แล้วเขาล่ะ?
   อย่าว่าแต่กระดิกตัว ขนาดเอ่ยปากถามโต้งๆ แล้ว ตัวเขาเองยังไม่เข้าใจเลยว่าเว่ยเฟิงปิงคิดอะไรกันแน่
   ในเมื่อไม่ได้ฉลาด แล้วก็ไม่ได้รู้ใจกันเป็นพิเศษ จางซื่อเยี่ยนเลือกจะใช้วิธีแก้ปัญหาแบบที่คนโง่ๆ อย่างเขานึกออก
   เขาฉวยมือของเว่ยเฟิงปิงมากุมไว้
   ปฏิกิริยาที่ได้รับคือ เจ้านายของเขาชักมือออกอย่างแง่งอนทันที จางซื่อเยี่ยนสูดหายใจอีกครั้ง ถ้าหากเป็นเรื่องความอดทน เขาไม่แพ้เว่ยเฟิงปิงแน่ ขออย่างเดียว อย่าให้ต้องอ้าปากแข่งด้วยก็พอ
มืออันเปี่ยมไปด้วยพละกำลังยื่นคว้ามือนุ่มนิ่มที่เพิ่งหนหนีไปเอาไว้ต่ออย่างรวดเร็ว และเกาะกุมไว้อย่างแน่นหนา ไม่เปิดโอกาสให้หดหนีได้อีก ในที่สุดเว่ยเฟิงปิงก็หันมา หันมาพร้อมนัยน์ตาสีฟ้าใสที่ถลึงใส่อย่างเอาเรื่อง ก่อนที่จะต้องพ่ายแพ้ให้กับถ้อยคำก่นด่าเสียดแทงจิตใจที่อีกฝ่ายเตรียมจะสาธยายออก จางซื่อเยี่ยนชิงตัดหน้าก่อน เท่าที่สมองโง่ๆ เขานึกได้ ชิงจัดการคู่ต่อสู้ก่อนตัวเองก็ไม่ตายแล้ว ถ้าชิงสยบการเคลื่อนไหวฝ่ายตรงข้ามก่อน ตัวเองต้องมีเปรียบแน่นอน  ว่าแต่เขาจะเอาอะไรหยุดริมฝีปากของเว่ยเฟิงปิงกันเล่า?
   ถ้าหากอยากเอาชนะปากก็คงต้องใช้ปาก
   แต่จางซื่อเยี่ยนเถียงแข่งกับใครไม่เป็น อย่าว่าแต่เถียงแข่งกับเว่ยเฟิงปิง ขนาดเถียงแข่งกับเด็กขายก๋วยเตี๋ยวในตลาดโต้รุ่ง เขายังพ่ายแพ้มาแล้ว นับประสาอะไรกับเจ้านายฝีปากกล้าคนนี้ เพราะฉะนั้นจางซื่อเยี่ยนเลือกที่จะไม่อ้าปากเถียง
   เขาเลือกที่จะเอาปากตัวเองปิดปากเจ้านายไว้
   ขออย่าให้เว่ยเฟิงปิงได้อ้าปากเอ่ยคำพูด เรื่องอย่างอื่นชายหนุ่มมั่นใจ เขาไม่น่าจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ
   นัยน์ตาสีฟ้าของเว่ยเฟิงปิงเบิ่งค้างอยู่เป็นครู่ใหญ่ สมองเกือบจะลืมเลือนความขุ่นข้องหมองใจที่อมพะนำเอาไว้ก่อนหน้านี้แทบหมดสิ้น ถึงกับลืมไปชั่วครู่เลยว่าวินาทีก่อนหน้านี้ยังอยากที่จะอ้าปากด่าจางซื่อเยี่ยนอีกสักหลายสิบประโยค ถึงกับลืมรูปประโยคเจ็บแสบที่ร่างแบบเอาไว้ในหัวสมอง มีเพียงความแปลกใจผุดขึ้นมาแทน
   ที่แท้เจ้าหุ่นยนต์นี่ก็ไม่ได้โง่สักเท่าไหร่....
   ความจริงจางซื่อเยี่ยนโง่ อย่างน้อยก็ยังรู้สึกว่าตัวเองโง่เมื่ออยู่ต่อหน้าสายตาจิกกัดและคำพูดทารุณจิตใจของเว่ยเฟิงปิง พอไม่ถูกคำพูดจิกกัดนั้นก่อกวน ก็รู้สึกตัวเองฉลาดขึ้นมาหน่อย ปลายลิ้นร้อนตวัดม้วนสำรวจภายในช่องปากอุ่นๆ ของผู้เป็นเจ้านายทันที
   คราวนี้เว่ยเฟิงปิงรู้สึกตัวเองโง่ขึ้นมาบ้างแล้ว!
---------------------------------------
   รูฟัสเดินกลับมาที่ห้องพิเศษที่ฟ่งพักรักษาตัวอยู่ด้วยความรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ถึงจะเคยคิดว่าการต้องพรากจากกันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต กับเขาและราฟาแอลที่ทำงานเสี่ยงอันตราย ต้องมีวันใดวันหนึ่งไม่ได้กลับไปด้วยกันอีก ถึงคราวนี้จะเป็นการแยกจากแบบเห็นตัวกันเป็นๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆ มันก็รู้สึกโหวงเหวงในจิตใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนว่าวที่โดนตัดสายป่าน รูฟัสยกมือขึ้นทาบลงบนประตูห้องพิเศษ ออกแรงนิดเดียวก็จะผลักประตูเข้าไปได้ วินาทีนั้นชายหนุ่มนึกหวั่นใจ  หากสายป่านของเขาคราวนี้ขาดลงโดยไม่มีใครมาเชื่อมประสานต่อล่ะ?
   หากว่าฟ่งไม่ยอมเชื่อมประสานกับเขา แล้วเขามิกลายเป็นคนไร้บ้านไปจริงๆ หรือนี่?
   ถึงกับออกปากลาเพื่อนเก่าไปขนาดนั้นแล้ว หากฟ่งเกิดไม่ยอมให้เขาไปอยู่ด้วยอย่างที่หวังจริงๆ รูฟัสก็ไม่หน้าหนาพอจะแบกหน้ากลับไปขอพึ่งใบบุญความอบอุ่นในบ้านหลังน้อยที่ราฟาแอลปลูกให้แฟนสาวที่เมืองทะเลสาบนั่นได้อีก คราวนี้เขาคงได้เป็นคนไร้บ้านจริงๆ แน่
ความหวาดกลัวเล็กๆ วิ่งเข้าเกาะกุมหัวใจของชายหนุ่มทันที ฉับพลันเหมือนมีเกล็ดน้ำแข็งปกคลุมไปทั่วร่าง ทำให้ยืนค้างอยู่อย่างนั้นนานหลายวินาที กระทั่งประตูเปิดออกจากด้านใน
   แพทย์เจ้าของไข้ดูจะมีสีหน้าตกใจที่เห็นผู้ชายคนหนึ่ง ยืนยกมือค้างอยู่หน้าประตูโดยไม่ยอมเปิดเข้ามา แต่ก็พอจะตั้งสติพูดได้อยู่
   “คุณคงเป็นญาติคนไข้ หมออนุญาตให้คุณอภิวัฒน์กลับบ้านได้แล้วล่ะ”
   ฟ่งนั่งรออยู่บนเตียงนอน ยังคงอยู่ในชุดของโรงพยายาบ เขายิ้มให้รูฟัสในตอนที่เห็นอีกฝ่ายเดินสวนกับแพทย์เจ้าของไข้เข้ามาในห้อง
   “ไปไหนมาหรือครับ?” ร่างบอบบางในชุดของโรงพยาบาลสอบถาม รูฟัสยิ้ม เขามองดูฟ่งด้วยความเอ็นดูระคนรักใคร่ ก่อนจะตอบคำถามออกไป
   “ไปคุยกับราฟาแอลมาน่ะครับ แต่คุณวางใจเถอะ เราไม่ได้ทะเลาะกันหรอก”
   ฟ่งพยักหน้า เงยมองรูฟัสอีกรอบ “มีเสื้อผ้าให้ผมเปลี่ยนรึเปล่าครับ เราจะได้กลับบ้านกัน”
   รูฟัสยิ้ม เป็นยิ้มที่จริงใจครั้งที่สุดครั้งหนึ่งที่เขาเคยยิ้ม ชายหนุ่มฉวยมือที่วางอยู่ขึ้นมากุมเอาไว้ โชคดีที่เขาไม่ใช่ว่าว ว่าวที่ขาดไปคงไม่อาจผูกกับแกนใหม่ได้เอง แต่เขาเป็นคน ไม่ว่าอย่างไร เขาจะต้องผูกยึดผู้ชายที่เป็นเสมือนบ้านพักทางใจของเขาคนนี้เอาไว้ให้ได้
   “เดี๋ยวผมไปหยิบมาให้นะครับ แล้วเราจะได้กลับบ้าน”
   บ้าน....
   บ้านของเรา....
--------------------------------------

killermoonlit

  • บุคคลทั่วไป
อยากอ่านภาคสองจ้างงงงงงงงงงงงงงง
ไม่เคยอ่านเรื่องใหนจบเลยมีเรื่องนี้เหละที่จบนะ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
อยากอ่านภาคสองจ้างงงงงงงงงงงงงงง
ไม่เคยอ่านเรื่องใหนจบเลยมีเรื่องนี้เหละที่จบนะ
ยังไม่จบนะคะ เรื่องนี้มี88ตอนจบค่ะ

ออฟไลน์ harumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +156/-33
อยากจะกลับบ้านด้วยจัง :haun5: :haun5: :haun5: :haun5: :haun5: :haun5:

ออฟไลน์ @BUA@

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +427/-8

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด