[ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ท่านผู้อ่านชอบตัวละครใดมากที่สุด ในเรื่อง"คนข้างห้องผมเป็นสายลับ" (อนุญาตให้เลือกได้แ

หนูฟ่ง : แน่นอนอะ กระรอกน้อยช่างน่ารัก และน่าเหยียบ ในเวลาเดียวกันo_O
รูฟัส : สุดๆ อะ พระเอกอะไรไม่รู้ว มันน่ารัก น่าหยิกแก้มจริงๆ นะเนี่ย (ทั้งกะล่อน ตอแหล หื่น รวมอยู่ในคนคนเดียว!!)
เว่ยเฟิงปิง : เอะอะสะบัดบ๊อบตลอดค่ะ (ไม่มีก็ไว้ซะนะคะ เฟิงขา)
จางซื่อเยี่ยน : ถึงจืดถึงจาง.. ถึงจะซื่อจะบื้อ... แต่ก็รักนะ รักหน่อยเหอะน้า~
อิทธิเดช : หนุ่มหน้าสวย บทไม่มาก (เพราะคนเขียนไม่อวย<<อ้าว) แอบโรคจิตนิดๆ แต่ก็น่าถนอม
วรุต : หนุ่มน้อยหน้ามน โรคจิตไม่แพ้กัน (จับคู่กับอิทธิเดชเลยได้คู่จิตป่วนแห่งปีไป) เอาน่า น้องวรุตก็มีส่วนน่ารักน่าเอ็นดูนะ!!
เว่ยจินหยิน : อวย!! อันนี้คนเขียนอวยค่ะ ฮ่าๆ ไม่รู้จะจิ้มใคร จิ้มให้คุณชายจิ้งจอกสุดที่Loveของดั้นสิฮ้า (โดนคนอ่านถีบ)
เถียนซาน : ผู้ชายแสนอบอุ่น... (คนนี้ไม่ได้อวย แต่เป็นคนอวยคนด้านบนอีกทีนึง..... เอวัง)

ผู้เขียน หัวข้อ: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55  (อ่าน 247454 ครั้ง)

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
แอบน้ำตาซึมช่วงของ เว่ยจินหยินกับเถียนซาน :monkeysad:

เพื่อเธอตลอดไปจริงๆ

yuuki

  • บุคคลทั่วไป
กรี๊ดดดดด บ้านของเรา....

ดูเหมือนทุกคู่จะเริ่มคลี่คลาย...รักกันได้แล้ว  :กอด1:

รอลุ้น ๆ จะลงเอยกันยังไง

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**ตอนที่แล้วพักให้หายใจหายคอกันหนึ่งตอนค่ะ (และทำให้เกือบลืม ฮ่าๆ)

มาต่อแล้วค่ะ
----------------------------------

บทที่68 ความฝันข้ามคืน
   1127…….
   ฟ่งหยุดยืนหน้าห้องพักซึ่งมีตัวเลขที่สลักจากไม้สี่ตัวเรียงกันเอาไว้ เขาเพิ่งเดินทางกลับมาถึงคอนโดที่พัก และกำลังหยุดยืนอยู่หน้าห้องพักซึ่งเขาย้ายเข้ามาเมื่อราวๆ เกือบครึ่งปีก่อน
   ครึ่งปีที่ให้ความรู้สึกเหมือนนานนับปี
   ถัดไม่อีกไม่ถึงสองเมตร บานประตูไม้หนาแบบเดียวกับที่เขากำลังยืนมองอยู่ยังคงปิดสนิท ไม้สลักตัวเลขที่ถูกติดเอาไว้บนประตูบานนั้นเรียงกันเป็นเลขสี่ตัวที่มีเพียงเลขท้ายเท่านั้นที่ต่างกัน
   1129.........
   หมายเลขห้องพักซึ่งเจ้าของห้องเป็นชายชาวต่างชาติคนหนึ่ง ชายชาวต่างชาติที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน ชายผู้มีนัยน์ตาสองสีที่อาสามาช่วยเขาขนของในคืนวันที่เขาย้ายเข้ามาอยู่ที่ห้องนี้เป็นวันแรก
   ชายที่แนะนำตัวเองว่าชื่อรูฟัส
   ริมฝีปากของฟ่งกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย จนถึงตอนนี้เขาเองก็ยังไม่อยากเชื่อเลยว่าสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นความจริง เกือบหกเดือนที่แล้วเขาย้ายเข้ามาในห้องนี้ พบเจอกับเพื่อนต่างชาติที่มีนัยน์ตาสองสีคนนั้น ถูกจ้างให้ออกแบบห้องลับที่ใช้ในการประชุมเกี่ยวกับยาเสพย์ติดตัวใหม่ ถูกตามล่า ถูกจับตัวไปฮ่องกง ไปพเนจรอยู่ในฮังการี และกลับมาเสี่ยงชีวิตในห้องพิสดารที่ตัวเขาเองเป็นคนเขียนขึ้น และตอนนี้ เขากลับมายืนอยู่หน้าห้องนี้ ห้องที่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ในสภาพราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกเสียจากรอยกรีดบริเวณท้องแขนที่มีผ้าพันแผลปิดเอาไว้ รอยถลอกและอาการปูดบวมบนหน้าผากอีกอีกสักสองสามวันคงจะยุบหายไปเอง
   ฟ่งถอนหายใจยืดยาว ยังคงยืนอยู่หน้าห้อง ความทรงจำเมื่อครั้งวันวานไหลย้อนกลับเข้ามาในสมอง ความทรงจำเกี่ยวกับผู้ชายนัยน์ตาสองสีคนนั้น
   ผู้ชายที่เขากำลังจะตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ด้วย
   ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ฟ่งไม่เคยคิดเลยว่าตัวเขาผิดปกติ เขาไม่เคยมีอารมณ์กับผู้ชายหน้าไหนมาก่อน แม้จะคบเพื่อนเป็นกระเทยก็เถอะ แต่นั่นก็คงไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เขาโอนอ่อนจนถึงขั้นตกลงปลงใจกับผู้ชายที่ชื่อรูฟัสคนนี้ บางทีอาจเพราะผู้ชายคนนี้ก้าวเข้ามาในช่วงเวลาที่เขาอ่อนไหวอย่างที่สุด
   รอยยิ้มและความอ่อนโยนนั้น ชักนำหัวใจของเขาเข้าสู่เส้นทางความใคร่อันบิดเบี้ยวอย่างไม่รู้ตัว
   เสียงถอนหายใจยืดยาวดังขึ้นอีกครั้ง นัยน์ตาสีน้ำตาลยังคงเหม่อมองหมายเลขห้องพักอันเป็นจุดเริ่มของทุกสิ่ง ผู้ชายคนนั้นจารึกรอยประทับอันยากจะลืมเลือนให้กับเขาเป็นครั้งแรกในห้องพักของตัวเขาเอง
   ความสัมพันธ์ทางร่างกายของผู้ชายกับผู้ชายด้วยกัน
   น่าแปลกที่ตอนนั้นเขารู้สึกโกรธรูฟัสน้อยกว่าที่ควรจะเป็น นั่นไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบปกติ ไม่น่าจะเป็นความสัมพันธ์ของคนข้างห้องสองคนเลยด้วยซ้ำ กับคำรักที่รูฟัสเอ่ยออกมาคืนนั้น คำรักที่สร้างความรู้สึกผิดปะปนกับความพึงพอใจอยู่ลึกๆ
   ฟ่งไม่ต้องการให้ใครมารักเขา เพราะหัวใจของเขาสับสนเกินกว่าที่จะตอบสนองความรักของใครคนอื่นได้ แต่ถึงอย่างนั้นคงไม่มีใครในโลกไม่รู้สึกดีหากมีคนมารัก
   โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อ่อนโยนและมีเสน่ห์ชวนให้หลงใหลอย่างรูฟัส
   แม้จะน่าละอายและตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดอยากจะยอมรับ แต่ทุกครั้งที่ได้ยินคำบอกรัก ทุกครั้งที่ผู้ชายคนนั้นทำทุกอย่างให้เขา ฟ่งรู้สึกพอใจอยู่เงียบๆ รู้สึกมีความสุขอยู่ลึกๆ และรู้สึกทุกข์ไปพร้อมๆ กัน เพราะรู้อยู่เต็มอกว่า เขาไม่มีวันจะตอบแทนความรักที่ได้มานี้ได้ดีสมกับที่อีกฝ่ายต้องการอย่างเด็ดขาด
   ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเกาะเกี่ยวความรักของรูฟัสเอาไว้อย่างเห็นแก่ตัวที่สุด
   ต่อให้พยายามพร่ำบอกตัวเองถึงข้อเสียทุกอย่างของผู้ชายคนนั้น แต่สุดท้ายเขาก็ยังคิดถึงรูฟัสอยู่ทุกที ทั้งๆ ที่ผู้ชายคนนั้นเคยโกหกเขา เคยทำร้ายจิตใจเขา ผู้ชายที่ไม่ได้ทำอาชีพสุจริต ผู้ชายที่ขโมยของและฆ่าคนเป็นอาชีพ ผู้ชายที่เขาสมควรจะหวาดกลัวมากกว่าคิดถึงแท้ๆ
   อา...รูฟัส.......
   เสียงเปิดประตูทำเอาร่างบางสะดุ้ง เขาหันไปยังประตูห้อง1129ที่ถูกเปิดออก ใบหน้าคุ้นเคยกับนัยน์ตาสีประหลาดนั่นมองมาทางเขาอย่างสงสัย
   “ยังไม่เข้าห้องหรือครับ? มีอะไรหรือ?” รูฟัสเอ่ยถามอย่างสงสัย เขาแวะเข้าห้องตัวเองก่อนเพื่อเตรียมข้าวของ แม้ฟ่งจะไม่พูดออกมาเต็มปากว่าจะให้เขาย้ายมาอยู่ด้วย แต่เตรียมตัวเอาไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย จนถึงตอนนี้รูฟัสยังไม่กล้าแน่ใจจริงๆ ว่าฟ่งตกลงจะอยู่ร่วมกับเขาแน่รึเปล่า ยิ่งพอเห็นเจ้าตัวยังยืนเหม่ออยู่หน้าห้องแบบนี้ยิ่งรู้สึกหวั่นไหวมากเข้าไปอีก
   ถ้าฟ่งเกิดลังเลขึ้นมาอีกล่ะ?
   ความลังเลของฟ่งทำให้เขาเจ็บปวดมาหลายต่อหลายหนแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาฟ่งไม่เคยแสดงความแน่ใจในความรู้สึกให้เขาเห็นอย่างจริงๆ จังๆ เลย แต่ถ้าจะให้คิดเข้าข้างตัวเองอีกรอบ ที่พยายามจะตามเข้าไปถึงในห้องลับนั่น เพราะจริงจังกับเขาใช่รึเปล่า? รูฟัสไม่กล้าระบุ เขาไม่กล้าระบุอะไรกับผู้ชายสวมแว่นคนนี้อีกแล้ว ถ้าฟ่งไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ เขาก็ไม่อยากเสี่ยงตีความไปเองอีก
   เขาไม่อยากจะเจ็บปวดหัวใจแบบเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
   แต่ถึงอย่างนั้น รูฟัสยังแอบหวังลึกๆ หวังว่าในเร็ววันนี้ฟ่งจะเปิดหัวใจให้กับเขา หลังจากผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มาแล้ว ฟ่งดูไม่ได้รังเกียจรังงอนเขานัก อย่างน้อยก็ดูจะเข้าใจเขามากขึ้นกว่าช่วงที่ได้รับรู้ถึงเบื้องหลังของเขาใหม่ๆ หากฟ่งรับเขาได้ หากฟ่งยอมตกลงปลงใจกับเขาล่ะก็
   บนริมฝีปากของรูฟัสปรากฏรอยยิ้มชนิดที่ฟ่งยังต้องเอ่ยทัก
   “คุณเป็นอะไรรึเปล่า?”
   “ผมเปล่า” รูฟัสปฏิเสธ แต่ไม่อาจจะหยุดรอยยิ้มบนใบหน้าได้ แค่คิดเขาก็รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ถ้าหากฟ่งเปิดใจให้เขาบ้าง ถ้าหากนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นจะมองมาทางเขาด้วยความรักบ้าง
   หากฟ่งรักเขา เขาคงกลายเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก
   ฟ่งรู้สึกสงสัยระคนตกใจกับท่าทางที่เกิดขึ้นกับคนข้างห้องของเขา ผู้ชายคนนี้ขอตัวไปเก็บข้าวของ ถึงจะไม่พูดออกมาตรงๆ แต่รูฟัสคงหวังจะย้ายมาอยู่ด้วยจริงๆ แล้วพอเปิดประตูออกมาก็ยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยแบบนี้อีก คงต้องคิดอะไรไม่น่าดูอยู่แน่ๆ ถึงตอนนี้ใบหน้าของฟ่งร้อนวูบวาบ ที่รูฟัสกำลังคิดอยู่จนต้องยิ้มออกมาแบบนั้น เกี่ยวกับตัวเขาใช่รึเปล่า
   “เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” รูฟัสถามออกมาบ้าง เมื่อเห็นฟ่งยืนก้มหน้านิ่ง ใบหูเริ่มกลายเป็นสีแดงเรื่อ นี่ฟ่งกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ดูจะเขินเสียขนาดนั้น อ่า...หูแดงขนาดนี้แก้มที่พยายามก้มลงหลบสายตานั่นก็คงแดงปลั่งน่าดู กำลังคิดถึงเรื่องเขารึเปล่า?
   “อ๊ะ!” ฟ่งสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือของรูฟัสแตะเข้าที่บ่าของเขา เมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็พบเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนกับนัยน์ตาสองสีที่กำลังมองมานั้นอีกครั้ง
   “คิดถึงผมอยู่หรือครับ?” หนุ่มรัสเซียถามออกมา ฟ่งนั้นน่ารักมากจริงๆ ยิ่งพอตอนที่เขินจนแก้มแดงแบบนี้ยิ่งน่ารักมากเข้าไปอีก รูฟัสไม่ได้หวังคำตอบอะไรมากกับสิ่งที่เขาถาม ก็คงไม่พ้นที่อีกฝ่ายจะตอบปฏิเสธออกมาอย่างที่เคยๆ นั่นแหละ เขาแค่อยากจะเห็นแก้มแดงๆ นั่นแดงยิ่งขึ้นตอนที่ตอบปฏิเสธเลี่ยงไปแบบนั้น
   ถึงฟ่งจะปากไม่ค่อยตรงกับใจนัก แต่การแสดงออกทางสีหน้าคงปกปิดกันไม่มิดหรอก
   ฟ่งอยากจะเอาเข็มมาเย็บปากรูฟัสจริงๆ ในเมื่อรู้อยู่แล้วจะมาถามเขาทำไมอีก ร่างบางเกือบจะสะบัดหน้าหนีอยู่แล้ว แต่ก็มาคิดได้ว่าหากทำแบบนี้ก็คงกลับไปเป็นเหมือนเดิม ทำไมเขาถึงต้องปฏิเสธเรื่องเล็กๆ แบบนี้ด้วย ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่เขาคิดอยู่จริงๆ
   “อืม..” ร่างบางส่งเสียงอ้อมแอ้มเป็นเชิงยอมรับในลำคอ แต่ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับโพล่งออกมา
   “Really?” รูฟัสเผลอหลุดประโยคนั้นออกไปแล้วจึงเพิ่งมานึกขึ้นได้ว่าเขาไม่น่าพูดออกไปเลย แก้มของฟ่งแดงขึ้นกว่าเดิมก็จริงหรอก แต่นัยน์ตาสีน้ำตาลนั่นดันถลึงใส่เขาอย่างไม่พอใจด้วยนี่สิ ฟ่งล้วงคีย์การ์ดออกมาจากกระเป๋ากางเกง สอดมันเข้ากับประตูห้อง และผลักเข้าไปอย่างรวดเร็ว รูฟัสรีบตามเข้าไป
   “ผมขอโทษ” ร่างสูงเอ่ยขึ้น เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ฟ่งโกรธ แค่คิดไม่ถึงว่าฝ่ายนั้นจะยอมรับออกมาตรงๆ ฟ่งยืนนิ่ง ใบหูทั้งสองกลายเป็นสีแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเขินมากหรือกำลังโกรธมากกันแน่ รูฟัสพยายามจะพูดแก้ตัวอีกรอบ “ผมไม่ได้ตั้งใจ อย่าโกรธผมเลยนะ”
   ฟ่งยืนกำมือแน่น เขาไม่ได้โกรธอะไรรูฟัสนักหนาหรอก ก็แค่เคืองนิดหน่อยที่ฝ่ายนั้นโพล่งออกมา ไม่เชื่อเลยหรือว่าเขาคิดถึงอยู่ เห็นเขาเป็นขนาดนี้แล้วยังดูไม่ออกอีกหรือ
   “คุณตาบอดหรือไง?” ร่างบางกล่าวเสียงขุ่น เขาตัดสินใจพาลใส่อีกฝ่ายแทน แม้จะรู้สึกว่าไม่สมควรจะทำนัก แต่รูฟัสทำให้เขาเขินมากนี่ เขินขนาดนี้จะให้เขาทำยังไงล่ะ
   รูฟัสทำหน้าเหวอ เขาไม่รู้ว่าฟ่งอยู่ในอารมณ์ไหนแน่ คงเขินจนโกรธ เขาผิดเองที่ดันโพล่งอะไรแบบนั้นออกไป ทั้งๆ ที่ฟ่งเป็นฝ่ายยอมรับออกมาเองแท้ๆ
   “ผมขอโทษ” ชายหนุ่มนัยน์ตาสองสีเอ่ยวลีซ้ำซากที่เขาพูดอยู่ทุกครั้งเวลาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ฟ่งกัดฟันอย่างขุ่นเคือง อยากที่จะเตะใส่รูฟัสอีกสักที ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้ถนัดทำให้เขาเป็นแบบนี้นัก ไม่รู้หรือไงว่าเขาอายขนาดไหน
   ร่างบางสะดุ้งเฮือกอีกครั้งเมื่อถูกโอบกอดจากด้านหลัง ร้อนวูบไปทั่วร่างกายขณะได้ยินเสียงกระซิบข้างใบหู “อย่าโกรธผมเลยนะครับ”
   ลมหายใจอุ่นๆ กระทบกับใบหู ยิ่งทำให้มันแดงหนักเข้าไปอีก ฟ่งเขินจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี นี่รูฟัสอยากจะแกล้งเขาจนถึงที่สุดเลยหรือไง
   “คุณทำผมอาย!” ฟ่งโพล่งออกมา พยายามดิ้นหนีจากอ้อมกอดนั้น แต่กลับถูกรัดแน่นเข้าไปอีก รูฟัสดึงร่างนั้นเข้ามาแนบอก จูบเบาๆ ลงบนพวงแก้มแดงปลั่ง มันอุ่นมากจนเขายังรู้สึกตกใจ
   “รูฟัส!” ฟ่งโพล่งชื่อของอีกฝ่ายออกมา และตีแขนของรูฟัส ผู้ชายคนนี้กำลังทำให้เขาเขินจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว และฟ่งก็ต้องตกใจยิ่งกว่านั้น เมื่อรูฟัสดึงใบหน้าของเขาเข้าไปจูบ และผลักเข้าเข้าหาผนัง เบียดร่างเข้ามาอย่างจงใจจะแสดงให้เห็นว่ามีอารมณ์ขึ้นมาแล้ว
   ร่างบางพยายามจะผลักไสอีกฝ่ายออก ร่างกายยิ่งรู้สึกร้อนวูบวาบ เมื่อต้นขาถูกเบียดด้วยอวัยวะที่กำลังสำแดงว่าตื่นเต้นเต็มที่ ริมฝีปากที่พยายามจะเปล่งเสียงร้องห้ามถูกเรียวลิ้นชำนาญการรุกไล่เบียดกระชั้น ริมฝีปากร้อนผ่าวของรูฟัสดูดดึงริมฝีปากอุ่นอ่อนนั้นอย่างหิวกระหาย มือแกร่งคว้ามือที่พยายามต่อต้านกดลงกับผนังห้อง
   “ฮ๊า!!” ฟ่งอ้าปาก สูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ เขาคิดว่าตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจตายในตอนที่รูฟัสยอมถอนริมฝีปากออก หนุ่มนัยน์ตาสองสีหอบหายใจอย่างหนักหน่วง มองดูร่างบอบบางที่ถูกดันจนชิดผนัง พวงแก้มแดงปลั่งกับริมฝีปากที่ถูกดูดดึงจนกลายเป็นสีแดง นัยน์ตาสีน้ำตาลที่มองมาอย่างอ้อนวอนนั้นยิ่งทำให้เขากระหายใคร่ได้เรือนร่างนี้มากขึ้น ร่างแกร่งโน้มใบหน้าลง ซุกไซร้ปลายจมูกไปตามซอกคอของอีกฝ่ายด้วยความปรารถนา เม้มริมฝีปากลงบนเนินไหล่ขาว ประทับรอยรักฝังลงบนผิวเรียบนั้นอีกครา ฟ่งอ้าปากพยายามจะพูดห้ามออกไป
   “อย่า!”
   รูฟัสชะงักร่างทันที หากเป็นก่อนหน้านี้เขาคงทำเป็นไม่ได้ยินเสียงร้องห้ามนี้ แม้กระทั้งตอนนี้เขาก็ยังอยากจะบอกว่าไม่ได้ยินอยู่ แต่รูฟัสเคยมีประสบการณ์มาแล้ว เขาไม่เคยฟังเสียงห้าม และฟ่งไม่เคยตื่นมาและยิ้มให้เขาเลยสักครั้ง ชายหนุ่มพลันนึกถึงคำพูดของเพื่อนต่างวัยเจ้าของร้านเหล้าที่เขาเคยไปปรึกษา
   “ไอ้ทนไม่ได้นี่แหละ คือปัญหา  แกต้องแยกระหว่างเซ็กซ์กับความรัก  ฉันเข้าใจว่าตอนนี้สำหรับแกแล้วสองอย่างนี่แทบจะเป็นอย่างเดียวกัน แต่ว่าทางโน้นเขาไม่ได้คิดแบบแก  ถ้ามีเซ็กซ์กันโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ถือเป็นความรัก ก็ไม่ต่างอะไรจากการไปข่มขืนเขาหรอก  ถ้าแกไม่รู้จักอดทน  รอให้เขาพร้อม รับรองว่าแกได้ล่ามเขาไว้กับเสาเตียงแน่ๆ และก็คงไม่มีปัญญาจะได้ยินคำบอกรักไปตลอดชาติ”
   หนุ่มตาสองสีเสียวสันหลังวาบ เขาอยากได้ยินคำนั้นจากปากของฟ่ง และเกือบไปแล้วที่จะทำเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา มือแกร่งที่กดข้อมือของอีกฝ่ายแนบผนังค่อยๆ คลายออก พร้อมด้วยลมหายใจหนักหน่วงที่ถูกระบายออก
   “ผมขอโทษ” รูฟัสพูดเสียงอ่อน รู้สึกผิดมากจริงๆ ที่ทำอะไรแบบนี้ลงไป เขาเกือบจะไม่ฟังเสียงทัดทานของอีกฝ่าย เกือบจะระบายความใคร่ของตัวเองลงไปเพียงฝ่ายเดียวอีกแล้ว ฟ่งมองรูฟัสอย่างตกตะลึง เขาไม่คิดว่ารูฟัสจะหยุดง่ายๆ แบบนี้ ปกติทุกครั้งที่ผ่านมา รูฟัสแทบไม่เคยฟังเสียงห้ามของเขาเลย
   “คุณหยุดเพราะผมหรือ?” ฟ่งเอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจนัก รูฟัสเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายและพยักหน้ายอมรับ “ผมขอโทษ ผมเกือบจะฝืนใจคุณแล้ว”
   “อา...” ฟ่งคราง และยิ้มออกมาหน่อยๆ “ในที่สุดคุณก็ฟังผม”
   ผู้มีนัยน์ตาสองสีพยักหน้าอีกครั้ง มองดูร่างบางที่ขยับตัวอย่างเขินอายตรงหน้า พลางคิดว่าฟ่งจะมีอารมณ์ตอบเขาบ้างไหม ที่พูดห้ามออกมานี่คือห้ามแค่ชั่วคราว หรือว่าให้หยุดทำไปเลย ถ้าเป็นอย่างหลังรูฟัสชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า เขาจะดีใจหรือเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปดี
   “ฟ่ง...”
   ผู้ถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย ร่างแกร่งกลืนน้ำลาย ภาวนาว่าฟ่งคงไม่โกรธเขามากนักกับประโยคคำถามที่เขากำลังจะถาม
   “คุณไม่ชอบเวลามีอะไรกับผมเหรอ?”
   นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิ่งค้างอย่างตกใจ ทำเอารูฟัสใจฝ่อ นี่จะทำให้ฟ่งให้ยิ่งขุ่นเคืองเข้าไปอีกรึเปล่า แต่สักพักก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ
   “ขอโทษนะครับ แต่ว่าผมขำหน้าคุณ” ฟ่งพูดออกมาในที่สุด รูฟัสอ้าปากค้าง
   “คือคุณทำหน้าเหมือน...เหมือนตกใจมาก..อืม...จริงๆ ก็ไม่ใช่ผมไม่ชอบหรอก แต่...” ร่างบางกล่าวพลางหลบสายตาไปทางอื่นเสีย นี่เขากำลังจะพูดเรื่องน่าอายอีกแล้ว แต่ดูจะใจร้ายไปหน่อยถ้าไม่พูดอะไรออกไปเลย ก็รูฟัสดูจะหวังเอาไว้มากนี่ ถึงกับทำหน้าแบบนั้นออกมา หน้าอย่างกับจะร้องไห้อย่างนั้นแหละ
   “ผมตกใจ แล้วมันก็เจ็บมากนะ เวลาที่คุณฝืนทำผมแบบนั้น ถ้าคุณจะค่อยๆ...”
   “อา..” รูฟัสคราง มองดูแก้มแดงๆ ที่ก้มหลบสายตาของฟ่งอีกครั้งด้วยความรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเป็นกอง ฟ่งไม่ได้เกลียดที่จะทำเรื่องนี้ แค่ตกใจเท่านั้นเอง
   “ผมจะค่อยๆ ทำ ไม่ให้คุณตกใจแล้วกัน โอเคนะครับ?”
   “อ่ะ!!” ฟ่งเงยหน้าขึ้นมาอย่างตระหนก ก่อนจะหลบสายตาอีกครั้ง พวงแก้มสองข้างยิ่งแดงปลั่ง ไอ้เขินน่ะมันเขินอยู่หรอก ก็รูฟัสเล่นพูดออกมาแบบนี้ แต่ไอ้ครั้นจะพูดปฏิเสธออกไปก็ใช่ที่ เขาเองก็ไม่ได้อยากจะหยุดอยู่แค่นี้เสียหน่อย
   รูฟัสคลี่ยิ้มบางๆ ใช้มือเชยคางของอีกฝ่ายขึ้นมา โน้มใบหน้าลงต่ำ ทอดตามองลงไปในดวงตาสีน้ำตาลสั่นระริกคู่นั้น ฟ่งเผยอปากทำท่าเหมือนจะพูดอะไร แต่แล้วนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นก็ค่อยๆ ปิดลง พร้อมกับใบหน้าที่แหงนขึ้นน้อยๆ อย่างตั้งใจและเชิญชวนอยู่ในที
   ริมฝีปากได้รูปแตะเข้ากับริมฝีปากที่รอคอยอยู่ คราวนี้รูฟัสรู้สึกต่างออกไปจากจูบก่อนหน้า มันไม่ได้ร้อนรนทุรนทุรายอย่างทุกครั้ง ไม่เร่าร้อน ไม่วูบวาบ แต่กลับอบอุ่น นี่น่ะหรือคือรสชาติของจูบที่เกิดจากความรัก นี่น่ะหรือคือรสชาติของความรัก
   ฟ่งขยับสองแขนขึ้นโอบกอดร่างแกร่งตรงหน้า พยายามสลัดความเขินอายและปล่อยใจไปตามห้วงอารมณ์อ่อนไหวที่ก่อตัวอยู่ในหัวใจของเขา เขาควรจะต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองบ้าง เพื่อไม่ให้ทำร้ายน้ำใจของอีกฝ่ายมากเกินไปนัก คงจะไม่เป็นอะไรมาก หากเขาจะลองเปิดหัวใจของตัวเองดูอีกครั้ง
   สองแขนโอบรั้งร่างนั้นแน่นขึ้น และรู้สึกถึงวงแขนแกร่งที่โอบมาเช่นกัน ความอบอุ่นแผ่นซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย นานแล้วที่ฟ่งไม่รู้สึกวาบหวามแบบนี้ ความรู้สึกเต็มอิ่มและตื้นตันนี้ เพราะความรักของรูฟัสหรือเพราะหัวใจของเขาเปิดรับความรักนี้แล้วกันแน่ หรือบางทีอาจจะเป็นทั้งสองอย่าง
   เขาคงจะสามารถรักผู้ชายคนนี้ได้
   รูฟัสดึงรั้งร่างของฟ่งเข้ามาแนบชิด ไล้มือต่ำลงไปยังปั้นเอว และเลื่อนสูงมาจนถึงคอเสื้อด้านหน้า ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่อีกฝ่ายสวมอยู่ออก นิ้วเรียวขยับผ่านแผงอกกว้างที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อผ้า เสียงครางอืมในลำคอกับใบหน้าที่ขยับเข้ามาซุกหัวไหล่อย่างออดอ้อนนั้นยิ่งทำให้ใจสั่น ฟ่งไม่เคยแสดงท่าทีเช่นนี้กับเขาเลย นี่ถือเป็นครั้งแรก
   ยั่วยวนเสียจนแทบจะอดทนรอไม่ไหว
   มืออุ่นล้วงลึกเข้าไปในอกเสื้อ บีบดึงยอดอกที่ซุกซ่อนอยู่อย่างเบามือ ก่อนจะล้วงต่ำลงจนถึงขอบกางเกง รูฟัสเลื่อนริมฝีปากต่ำลงมาจรดยอดอกสีชมพูที่ตั้งชันท้าทายการสัมผัส ดึงทึ้งเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออก เล็มเลียตลอดแผงอกนั้น ขบกัดจุดสวาทสีชมพูเบาๆ มืออีกข้างเลื่อนต่ำผ่านขอบกางเกงลงไปถึงบริเวณหว่างขา ฟ่งแอ่นร่างอย่างอย่างเสียวสะท้าน คล้ายพยายามหลบเลี่ยงมือที่ขยับอย่างซุกซนตรงหว่างขาอย่างเอียงอาย แต่กลับกลายเป็นเสนอยอดอกสีชมพูชูชันนั้นให้แทน รูฟัสขบกัดยอดอกนั้นอย่างหยอกเย้า ขยับมืออีกข้างหนึ่งคลึงเค้นยอดอกนูนอีกด้าน เพิ่มความเสียวซ่านให้กับร่างที่แอ่นรับการเล้าโลมอยู่
   ฟ่งจิกนิ้วลงบนหัวไหล่กว้างนั้นแนบแน่น ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีอารมณ์ร่วมตามมากมายขนาดนี้ ริมฝีปากได้รูปเม้มแน่น เกรงกลัวจะส่งเสียงร้องน่าเกลียดออกไป สัมผัสของเรียวลิ้นเปียกชื้นและร้อนที่โลมเล่นอยู่บนยอดสวาทนั้น กระตุ้นความกระสันที่อัดแน่นอยู่ภายในอกจนแทบระเบิดออก จะน่าอายมากไหม หากแสดงให้อีกฝ่ายรู้ว่า เขาเองก็ต้องการมากเช่นกัน
   รูฟัสถึงกับสะดุ้ง เมื่อมือเรียวของอีกฝ่ายขยับลงมาลูบตรงหว่างขาของเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เขาละริมฝีปากจากยอดอกนั้น เงยหน้าขึ้นมอง พวงแก้มแดงซานและดวงตาสีน้ำตาลนั้นมองลงมาอย่างเขินอาย พลางหดมือกลับอย่างขัดเขิน ร่างแกร่งยิ้มละไม ฟ่งกำลังแสดงให้เห็นว่าต้องการเขา รูฟัสดึงมือข้างที่หดกลับไปนั้นขึ้นมาจูบ ก่อนจะไล่ริมฝีปากไปตามท้องน้อยของอีกฝ่าย ดึงทั้งกางเกงและชั้นในที่ยังปกปิดอวัยวะสำคัญตรงหว่างขาของฟ่งออก
   ฟ่งบีบมือลงบนแผงไหล่กว้างที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเขา กระแทกศีรษะเข้ากับผนังห้องด้วยความวาบหวามที่เกิดขึ้นจากกระทำของอีกฝ่าย ช่องปากของรูฟัสร้อนผ่าว เรียวลิ้นเปียกชื้นดูดดึงส่วนนั้นของเขา บางคราตวัดโลมยอดปลายสีชมพูนั้นอย่างยั่วเย้า คล้ายดั่งต้องการเร่งเร้าให้ปลดปล่อย บางคราเนิบนานเนิ่นช้า คล้ายดั่งต้องการลิ้มชิมรสของมันให้เต็มอิ่ม ไม่ว่าจะอย่างไรก็ทำให้เขารู้สึกดีทั้งนั้น
   สองมือเลื่อนขึ้นจับศีรษะของอีกฝ่ายอย่างลืมตัว เรียวนิ้วสอดประสานเข้าไปในไรผมสีดำของร่างที่คุกเข่าอยู่ ออกแรงเล็กน้อยก็ขยับอีกฝ่ายได้ดั่งใจหวัง
   เสียงลมหายใจถี่กระชั้น รูฟัสโลมเล้าอวัยวะนั้นอย่างชำนาญ เขาอยากให้ฟ่งปลดปล่อยออกมาสักหนหนึ่งก่อน เพื่อไม่ให้ร่างกายเขม็งเกรงกับการร่วมรักที่กำลังจะเกิดขึ้นมากนัก
   ริมฝีปากและเรียวลิ้นร้อนขยับอย่างรุนแรงมากขึ้น ฟ่งตระหนักได้ทันที นี่ไม่ใช่เพราะแรงมือของเขาอีกแล้ว รูฟัสกำลังเร่ง เร่งเร้าให้เขาปลดปล่อยออกมา ร่างบางกระแทกลำตัวกับผนังห้องอีกรอบ แม้สองมือยังสัมผัสอยู่บนศีรษะของผู้ที่คุกเข่าอยู่ แต่ก็ไม่มีปัญญาจะลดทอนหรือผ่อนผันปลายลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดและริมฝีปากที่ดูดดึงโดยแรงนั้นได้ ในลมหายใจที่เริ่มขาดห้วง ฟ่งพยายามส่งเสียงออกไป
   “จะเสร็จแล้ว...” ถ้อยคำนั้นเอ่ยเพียงต้องการให้อีกฝ่ายรู้ตัว ฟ่งไม่อยากทำให้รูฟัสเปรอะเปื้อนด้วยของเหลวที่น่าอับอายนั่น แต่คล้ายอีกฝ่ายเข้าใจไปคนละอย่าง
   “ยะ..หยุด” แม้จะส่งเสียงห้ามอีก แต่ดูเหมือนรูฟัสจะไม่ฟังดั่งครั้งแรกเสียแล้ว ริมฝีปากร้อนผ่าวดูดเน้นบริเวณนั้นรุนแรงขึ้น ลิ้นร้อนลูบเร้ายอดสวาทที่เริ่มเขม็งเกร็งอย่างต่อเนื่อง ฟ่งกระแทกตัวเข้ากับผนังอีก ลมหายใจติดขัด คิ้วน้อยๆ ขมวดมุ่น หากรูฟัสไม่ยอมหยุดในตอนนี้ เขาคง...
   ของเหลวอุ่นร้อนทะลักออกจากยอดที่เขม็งเกร็งถึงขีดสุด พร้อมกับเสียงหอบหายใจเหนื่อยอ่อน
   “ขะ...ขอโทษ” ฟ่งเอ่ยวลีออกมาอย่างรู้สึกผิด เขาไม่อยากทำแบบนี้เลย แต่อีกฝ่ายเร่งเร้าเสียจนไม่อาจหักห้ามได้ รูฟัสไม่พูดอะไร เขาถอนริมฝีปากออก แทบไม่อยากเชื่อ ฟ่งเห็นว่ารูฟัสกลืนสิ่งน่าอายของตนลงไป
   “Wanna test?” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบนริมฝีปากที่ยังเห็นรอยเปื้อน รูฟัสยันตัวขึ้นและจ้องมองใบหน้าเรียวที่มีเม็ดเหงื่อผุดพรายออกมา ลมหายใจของฟ่งยังคงปั่นป่วน เมื่อไม่ได้แสดงท่าทีปฏิเสธ รูฟัสจึงแนบริมฝีปากของตัวเองเข้ากับริมฝีปากซึ่งถูกดูดดึงจนกลายเป็นสีแดงเรื่อก่อนหน้า ฟ่งหลับตา เขาไม่เคยจินตนาการเลยว่าของเหลวนั้นรสชาติเป็นอย่างไร จนกระทั่ง.....
   เรียวลิ้นอุ่นร้อนที่เคลือบด้วยเมือกลื่นเล็มเลื้อยลึกเข้ามาในช่องปาก คล้ายดั่งต้องการป้อนของเหลวที่ว่าให้ถึงที่ ฟ่งขยับลิ้นสัมผัสเมือกลื่นนั้นอย่างหวั่นใจ ก่อนจะหลับตาลงอย่างโล่งอก รสชาตินั้นดูไม่แย่มากนัก
   รูฟัสดูดดื่มริมฝีปากซึ่งเคยแง่งอนใส่เขาอยู่บ่อยครั้ง น้ำหนักที่ฟ่งโถมลงมาบนตัวเขาคล้ายบ่งบอกกลายๆ ว่าไม่มีเรี่ยวแรงเหลือพอจะทรงตัวได้ดีอีก รูฟัสเลื่อนมือโอบเอวน้อย ก่อนดึงร่างนั้นขึ้นจากพื้นห้อง วงแขนผอมบางเกี่ยวกระหวัดโอบรัดหัวไหล่กว้างของผู้โอบอุ้มด้วยความตกใจ ก่อนซุกหน้าอิงแอบในอกอุ่นอย่างเขินอาย เมื่อครู่เขากำลังรู้สึกดีกับรสชาติที่รูฟัสมอบให้
   ร่างไร้เรี่ยวแรงถูกวางลงบนเตียงกว้าง ก่อนที่อีกฝ่ายจะดึงกางเกงที่หลุดกองอยู่ตรงข้อเท้าของเขาออก ขณะที่รูฟัสกำลังปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตัวเอง ร่างที่เพิ่งผ่านห้วงเวลาซ่านกระสันก็ยันตัวลุกขึ้น อย่างไม่เคยคิด ฟ่งลูบมือลงไปบนเป้ากางเกงของอีกฝ่าย พลางช้อนตาขึ้นมอง
   รูฟัสกลืนน้ำลาย ชะงักไปพักใหญ่ เขาไม่ใช่คนที่ไม่เคยผ่านเรื่องแบบนี้มาก่อน ไม่โง่ขนาดดูไม่ออกว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไร เพียงแต่ไม่เคยคิดว่าหนุ่มสวมแว่นที่กำลังช้อนตามองเขาอยู่นี้ จะต้องการทำแบบนี้ด้วย
   ร่างแกร่งปลดตะขอกางเกงออก ดึงชั้นในลง เผยให้เห็นอวัยวะสำคัญที่กำลังขยายตัวอย่างตื่นเต้น เขาหวังว่าจะไม่ตีเจตนาของสายตานั้นผิด แม้จะรู้สึกเหลือเชื่อและคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ วินาทีต่อมาฟ่งก็ตอกย้ำถึงสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิด
   ริมฝีปากอ่อนเผยออ้า ปลายลิ้นน้อยขยับออกอย่างกล้าๆ กลัวๆ สัมผัสส่วนนั้นอย่างแผ่วเบา คล้ายดั่งต้องการทดลองรสชาติก่อน ฟ่งขยับตัวเข้ามาใกล้อีก ดูมุ่งมั่นจะทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง ริมฝีปากนั้นอ้ากว้างขึ้น ก่อนรับเอาอวัยวะที่แข็งตัวอยู่เข้าไป และขยับศีรษะช้าๆ
   รูฟัสรู้ทันทีว่าฟ่งเป็นมือใหม่จากฟันซี่น้อยที่เริ่มขูดส่วนนั้นของเขา แต่ถึงกระนั้นมันก็ทำให้เขารู้สึกดีใจ ดีใจที่ฟ่งพยายามจะกระทำเรื่องแบบนี้ให้เขา ดูท่าทางจะอยากมอบความสุขตอบแทนให้เขาเช่นกัน
   ฟ่งรู้สึกตกใจอยู่พอสมควร เขาไม่เคยมองส่วนนี้ของรูฟัสอย่างตั้งใจมาก่อน ตอนที่ปรากฏกับสายตาครั้งแรก เขาเองคิดไว้แล้วว่าขนาดของมันคงไม่เล็กน้อย จากสัมผัสในยามร่วมรักที่ผ่านมาทุกครั้ง แต่ก็ไม่คาดคิดว่ามันจะขยายจนคับปาก ร่างบางรู้สึกหวั่นใจอยู่ลึกๆ หากว่านี่ยังไม่ใช่จุดตื่นตัวที่สุดล่ะก็..... เขาจะขยับริมฝีปากต่อไปได้อีกไหม
   แม้จะไม่ได้เก่งกาจชำนาญการอย่างไรเลย ออกจะอ่อนด้อยและน่าหงุดหงิดด้วยซ้ำ แต่รูฟัสกลับรู้สึกดีมากกับสิ่งที่ฟ่งกระทำอยู่ คงเป็นเพราะความรู้สึกตื้นตันที่คนที่มักเขินอายและปกปิดความรู้สึกอยู่ตลอดทุกครั้ง พยายามแสดงออกมาว่าตั้งใจจะให้ความสุขเขาเพียงไหน ถึงอย่างนั้นเขาคงปล่อยให้ฟ่งใช้ฟันขูดตรงนั้นนานๆ ไม่ได้

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   “Enough….” ร่างสูงเอ่ยแผ่วเบา พลางดึงศีรษะของอีกฝ่ายออก ฟ่งช้อนตาสีน้ำตาลขึ้นมองอย่างรู้สึกผิด ริมฝีปากที่ยังเปรอะของเหลวใสเอ่ยเสียงเบา “ไม่ดีหรือ?”
   รูฟัสยิ้ม และก้มลงจูบริมฝีปากนั้น ก่อนกระซิบข้างหู “ดีครับ แต่ผมอยากเสร็จในตัวคุณมากกว่า”
   คำตอบนั้นทำให้ใบหน้าของฟ่งกลับมาแดงปลั่งอีกครั้ง เรียวลิ้นร้อนของรูฟัสรุกไล่เข้ามาในช่องปาก พร้อมทั้งกดร่างลงไปบนเตียงนอน จูบเร่าร้อนชำนิชำนาญคล้ายดูดเอาเรี่ยวแรงของฟ่งไปจนหมด ร่างบางครางในลำคอ รู้สึกเหมือนกับจะขาดอากาศ สองมือบีบรัดไหล่กว้างแนบแน่น กว่าที่รูฟัสจะยอมถอนริมฝีปากออก เขาก็แทบจะหมดสติ
   แว่นตาบนใบหน้าถูกถอดออกแล้ว พร้อมกับร่างที่ยังสั่นน้อยๆ ด้วยอาการหอบเหนื่อยจากรสจูบเร่าร้อนเมื่อครู่ รูฟัสมองดูเรือนร่างที่นอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียงด้วยความรู้สึกสุขอย่างบอกไม่ถูก แม้เขาเคยผ่านประสบการพวกนี้มามาก ผ่านทั้งหญิงและชาย ผ่านคนมาหลายรูปแบบ แต่ไม่มีคนไหนเลยที่เขาจะรู้สึกอุบอุ่นเต็มอิ่มไปมากกว่าคนคนนี้ เพราะสำหรับฟ่ง มันมิใช่แค่การระบายความใคร่ที่เกิดขึ้นจากภาวะร่างกายตามธรรมชาติเท่านั้น แต่มันคือการแสดงความรัก ความรักที่เขาไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน  ความอ่อนไหวที่เขาเกือบจะหลงลืมมันไปแล้ว จนได้ประสบกับสายตาสีน้ำตาลหม่นหมองคู่นี้
   รูฟัสเหม่อมองนัยน์ตาสีน้ำตาลหรี่ปรือนั้นอยู่นาน ก่อนจะก้มลงจูบด้วยความรักใคร่ คนคนนี้ทำให้เขาเพ้อคลั่ง ทำให้เขาหลงใหล ทำให้เขาคิดถึง และทำให้เขาเจ็บปวด ถึงอย่างนั้นในหัวใจของเขาก็ยังมีคำว่ารักให้กับผู้ชายคนนี้มากมายเหลือเกิน บางครั้งก็อัดอั้นจนแทบระเบิด หากฟ่งจะตอบสนองความรักของเขาบ้าง.....
   ใบหน้าน้อยขยับขึ้นมาตอบสนองจูบนั้นราวกับต้องการจะยั่ว รูฟัสประสานมือเข้ากับมือเรียวที่วางแผ่อยู่ ไล้ผ่านกลุ่มผ้าพันแผล กดแนบลงไปบนฟูกนุ่ม ประโลมจูบหอมหวานลงไปอีกครา คิ้วสีน้ำตาลใต้เรือนผมยุ่งขมวดมุ่น ร่างแกร่งเลื่อนริมฝีปากออก ปล่อยให้อีกฝ่ายได้พักหายใจ ขณะพรมจูบลงไปบนพวงแก้มแดงซ่าน เน้นขบซอกคออย่างเคยชิน แม้ฟ่งจะเคยพูดว่าให้หยุดทำรอยตรงนี้ แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้ว รูฟัสก็หักห้ามใจไม่ได้เสียที เขาอยากแสดงความเป็นเจ้าของเรือนร่างนี้ อยากประทับรอยรักให้จารึกฝังลงในร่างกายบอบบางที่สั่นสะท้านอยู่ราวกับจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ อยากแสดงให้ทุกคนเห็นว่าผู้ชายคนนี้เป็นของเขา เป็นสิ่งที่เขารักและหวงแหน ไม่ต้องการให้ผู้ใดเข้าใกล้หรือสัมผัสแตะต้อง
   ฟ่งขยับร่างสั่นไหว จากสัมผัสที่รูฟัสมอบให้ เขารู้ดีว่าทางนั้นคงตั้งใจประทับรอยรักลงบนร่างกายของเขาอีก แต่ตอนนี้ฟ่งไม่มีอารมณ์อยากจะห้ามปราม เขาปล่อยใจล่องลอยไปกับสัมผัสนั้น ปล่อยความรู้สึกของตัวเองให้จมลงสู่อารมณ์รักบิดเบี้ยวที่เขาเคยหวาดหวั่นมาตลอด เพราะไม่อยากหักหาญน้ำใจนั้นอีก และไม่ต้องการสูญเสียบุคคลคนนี้ไป แม้ยากยอมรับ แต่ฟ่งรู้ตัวแล้วว่า เขาต้องการรูฟัสอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้
   ลิ้นร้อนขยับซุกซนผ่านซอกคออุ่น จูบขบหัวไหล่ขาว ก่อนเลยลงมาจนถึงเนินอกแบนราบที่ไหวกระเพื่อมตามจังหวะหายใจเหนื่อยหอบ เลือดฝาดสูบฉีดรุนแรงตลอดร่างที่นอนราบอยู่จนกลายเป็นสีชมพูอ่อนๆ ยิ่งกระตุ้นความรู้สึกต้องการให้พุ่งสูงขึ้น รูฟัสพรมริมฝีปากไปบนยอดปลายสีชมพูบนเนินอกที่แข็งขืนท้าทายสัมผัสของปลายลิ้น ร่างที่หอบเหนื่อยเกร็งขึงขึ้นมาทันทีเมื่อถูกขบกัดอย่างหยอกเย้า ริมฝีปากอุ่นดูดดึงยอดถัน ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งล่วงล้ำผ่านท้องน้อยลงไปยังส่วนน่าอายเบื้องล่าง ฟ่งรู้สึกถึงไอร้อนจากมือข้างนั้นขณะสัมผัสและรูดดึงอวัยวะของเขา มือน้อยเลื่อนขึ้นมาจับข้อมือหนานั้นไว้อย่างลืมตัว ขณะมืออีกข้างหนึ่งสัมผัสอยู่ในไรผมเรียบลื่นของอีกฝ่ายอย่างเคลิบเคลิ้ม ลมหายใจเริ่มขาดห้วงอีกครา
   แทบจะสิ้นเรี่ยวแรง เมื่อรูฟัสกระตุ้นเขาจนหลั่งออกมาอีกเป็นครั้งที่สอง ร่างผอมบางหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ไม่เหลือแรงพอจะผงกศีรษะขึ้นมองด้วยซ้ำ นัยน์ตาสีน้ำตาลหรี่ปรืออย่างเลื่อนลอย สติสัมปชัญญะคล้ายจะหลุดออกจากร่าง
   สัมผัสร้อนของนิ้วมือเรียวที่สอดลึกเข้ามาในร่างทำให้สติกลับมาแจ่มใสอีกครั้ง ผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลขยับตัว แบะอ้าช่วงขาออก พยายามจะอำนวยความสะดวกให้อีกฝ่ายอย่างเต็มที่ รูฟัสก้มลงจูบบนช่วงขาขาวเนียน ตอนที่ฟ่งนิ่งไปนั้น เขาเกิดหวั่นว่าอีกฝ่ายจะหมดสติไปกลางทาง แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบสนองนี้ก็พอให้รู้สึกอุ่นใจอยู่บ้าง
   การเล้าโลมในครั้งนี้ของรูฟัสเชื่องช้าอ้อยอิ่ง ราวกับพยายามจะทำให้นุ่มนวลมากที่สุด นิ้วมือที่ชุ่มของเหลวลื่นค่อยๆ สอดคว้านขยายส่วนนั้นออกช้าๆ อย่างเนิบนาบ อุ้งมืออุ่นอีกข้างคอยประคองอารมณ์ร่วมของอีกฝ่ายมิให้จืดจางไปเสียก่อน ฟ่งหลับตาพริ้ม ส่งเสียงครางอืมในลำคออย่างผ่อนคลาย บอกตัวเองให้พร้อมกับการร่วมรักที่ใกล้จะเกิดขึ้น
   อย่างช้าๆ รูฟัสเบียดส่วนร้อนระอุนั้นเข้ามา ค่อยๆ ดันมันครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยกำลังเพียงน้อย ตั้งใจทำให้เบามืออย่างที่พูดเอาไว้จริงๆ ฟ่งขยับตะโพก พยายามตอบรับคำของเข้ามานั้นอย่างเต็มที่ แต่กระนั้นก็ดูจะเชื่องช้าเกินทน รูฟัสจึงเพิ่มน้ำหนักเข้ามาอีก ยอดปลายร้อนชำแรกเข้ามาในร่างกาย พร้อมกับคิ้วสีน้ำตาลที่ขมวดเข้ากันกันจนมุ่น ฟ่งขบกรามแน่น บอกตัวเองให้เคยชินกับความเจ็บปวดนี้ รูฟัสพยายามดันตัวเข้ามาอย่างยับยั้ง แม้นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของฟ่ง แต่ก็ใช่ว่าจะมีความเชี่ยวชาญ แม้จะแสดงความยินยอมพร้อมใจอย่างเต็มที่ แต่ส่วนที่ไม่ค่อยได้ถูกสัมผัสเช่นนี้บ่อยๆ ก็ใช่ว่าจะยอมเปิดรับออกโดยง่าย และรูฟัสต้องยอมรับ คราวนี้เขารู้สึกตื่นเต้นมากจนกระทั่งส่วนนั้นขยายใหญ่กว่าปกติ การสอดใส่จึงยากลำบากมากขึ้น
   ฟ่งไม่แน่ใจว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่ส่วนที่แทรกลึกเข้ามานั้นคล้ายขยายมากกว่าครั้งที่ผ่านๆ มา ความเจ็บปวดจึงเพิ่มตามไปด้วย นิ้วมือเรียวจิกลงไปบนผ้าปูเตียงอย่างมิอาจอดรน ริมฝีปากแดงสะกดกั้นเสียงร้องเอาไว้ หัวคิ้วขมวดหากันจนมุ่น รูฟัสหอบหายใจ ฟ่งเริ่มเกร็งกับการร่วมรักในครั้งนี้ แต่เขายังไม่อยากหยุด
   “Please…relax. You can cry for help this.”
   ฟ่งไม่ค่อยเข้าใจกับคำพูดนั้นนัก จวบจนกระทั้งรูฟัสสอดนิ้วมือเข้ามาในปาก พลางเสือกส่วนนั้นลึกเข้ามาอีก ครั้งนี้เสียงร้องครางหลุดลอดออกมาทันที หยาดน้ำตาที่ไหลซึมอยู่แล้วเอ่อทะลักออกมา
   “Please cry.” รูฟัสยังคงย้ำถ้อยคำ และก้มลงจูบใบหน้าเปื้อนคราบน้ำใส นัยน์ตาสีน้ำตาลหรี่ปรือขึ้นมอง ก่อนจะพริ้มนัยน์ตาลงอีกครั้ง คล้ายพยักหน้าน้อยๆ ร่างแกร่งจึงดันตัวลึกเข้ามาอีก ร่างบางสั่นสะท้านอย่างเจ็บปวด เขาเพิ่งรู้ว่าการร้องออกไปนั้นช่วยผ่อนคลายร่างกายได้ดีขึ้น เสียงร้องครางดังขึ้นอีกครั้ง แผ่วเบา แต่ยาวนาน
   ชายหนุ่มลดความรุนแรงในการขยับลง พยายามออกแรงแต่เพียงน้อย สลับกับหยุดเพื่อให้อีกฝ่ายเคยชินกับความเจ็บปวด เขารู้ดีว่าช่วงนี้เป็นช่วงยากลำบากที่สุดสำหรับฟ่ง การต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บปวดนี้ไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์เลย แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะรู้สึกดีขึ้น
   ฟ่งหอบหายใจหนัก สลับกับร้องครางเป็นระยะ ความเจ็บปวดนี้สำหรับเขาแล้วไม่ว่าเมื่อไรก็ยากจะรู้สึกคุ้นชิน ถึงอย่างนั้นส่วนลึกของร่างกายกลับรู้ดีว่าหลังความเจ็บปวดนี้ ความหฤหรรษ์ที่อยากจะบรรยายจะตามสมทบเข้ามา และนั่นคือสิ่งที่หัวใจเขาปรารถนา
   รูฟัสขยับร่างอย่างเชื่องช้าตั้งใจให้ฟ่งได้รับการกระทบกระเทือนน้อยที่สุด กลายเป็นว่าตอนนี้เขาเป็นฝ่ายเกร็งกับการร่วมรักเสียเอง ขณะพยายามยับยั้งชั่งใจ ความรู้สึกตื่นเต้นเริ่มหดหายไปด้วย แม้กลัวจะหมดอารมณ์กลางคัน แต่การขืนดึงดันจะร่วมรักทั้งๆ ที่ทางนั้นยังไม่พร้อมดีก็คงไม่ใช่สิ่งสมควรเหมือนกัน
   ร่างบางรู้สึกแปลกใจ ที่อีกฝ่ายเหมือนจะเชื่องช้าไปดื้อๆ เขานึกสงสัยว่าเพราะเสียงร้องของตัวเองหรือเปล่า? รูฟัสอาจเข้าใจผิดว่าเขาไม่ค่อยจะมีความสุขนัก ฟ่งไม่ต้องการให้เพลงรักครั้งนี้สิ้นสุดลงเพราะความหวั่นเกรง แม้จะดีที่รูฟัสนึกถึงความรู้สึกเขา แต่หากต้องหยุดไปเพราะความเกรงใจ เขาเองคงไม่รู้สึกเป็นสุขเท่าไหร่ ร่างบางผ่อนลมหายใจอย่างพยายามผ่อนคลาย ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “แรงอีก”
เหมือนรอประโยคนี้อยู่นาน ทันทีที่คำพูดหลุดจากปาก เรี่ยวแรงมหาศาลก็โหมกระแทกเข้าสู่ตะโพกอย่างไม่ยั้ง ฟ่งเผลอร้องออกมาเสียงลั่น ความเจ็บปวดแบบที่คาดเอาไว้แล้วแต่ไม่ค่อยจะพึงปรารถนานักแล่นเข้าสู่ร่างกาย ผ่านช่องเปิดที่ส่วนร้อนนั้นเคลื่อนเข้าออกอย่างรุนแรง ร่างบางดึงรั้งผ้าปูเตียงจนแทบจะฉีกขาด เสียงหอบหายใจราวสัตว์ป่าที่กำลังบ้าคลั่งตอบเขาได้อย่างดีว่าแม้เอ่ยปากยับยั้งตอนนี้ อีกฝ่ายคงไม่เหลือสติจะหยุดตัวเองเอาไว้อีกแล้ว
   คำขอของฟ่งแทบจะพร้อมกับความอดทนที่สิ้นสุดลง เหมือนลืมตัวไปชั่วขณะ รูฟัสกระแทกร่างเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างไร้สติ ก้มลงกัดปลายคางและลำคอที่ส่งเสียงร้องครางอย่างน่าสงสารด้วยอารมณ์เสียวกระสันที่บดบังทุกสิ่งทุกอย่าง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เห็นน้ำตาของฟ่งไหลรินลงมาเป็นสาย ขณะมีสติคิดจะยับยั้งตัวเอง วงแขนไร้เรี่ยวแรงก็โอบกอดเข้ามา พร้อมกับริมฝีปากร้อนผ่าวที่แนบมาอย่างเร่งเร้า
   น่าอายจนไม่อยากเอ่ยปาก ในความรู้สึกเจ็บปวดนี้ ฟ่งรู้สึกมีความสุขอย่างแปลกๆ ยามถูกกระแทกอย่างรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยกำลังของผู้ชายคนนี้ แม้เจ็บปวดจนบรรยายออกมาไม่ได้ แต่ความสุขก็ถูกเติมลงมาด้วยเช่นกัน ฟ่งตะกายกอดรัดร่างหนาอย่างหิวกระหาย คร่ำครวญเสียงร้องและหอบหายใจถี่หนัก ในความรุนแรงนั้นเขาได้ยินเสียงครางต่ำๆ ของอีกฝ่าย สองร่างกอดกระหวัดกันแนบแน่น ลืมเลือนทุกสิ่ง ในห้วงอารมณ์รักที่บ้าคลั่ง รูฟัสกระแทกตะโพกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปลดปล่อยความรู้สึกอัดอั้นของตนลงไปอย่างเต็มที่ ขณะที่ฟ่งเปิดรับความรู้สึกนั้นอย่างสุขสมและทรมาน สองมือขูดจิกลงบนแผ่นหลังกว้างจนกลายเป็นทางยาว  พายุแห่งความปรารถนาที่เกิดจากห้วงอามรณ์ลึกซึ้งที่ต่างฝ่ายต่างเปิดออกให้กัน ดึงดูดสติสัมปชัญญะของทั้งคู่ลงสู่ความหฤหรรษ์ในความใคร่ที่บิดเบี้ยวผิดธรรมชาติ ท่ามกลางเสียงร้องครวญครางราวกับจะขาดใจ ทำนบความสุขที่ปิดกั้นเอาไว้ได้ปริแตกออก
   รูฟัสก้มลงจูบร่างบอบบางที่แทบจะสิ้นสติกับความสุขสมในอ้อมแขน รับรู้รสละมุนของเรียวลิ้นนุ่มที่ตอบกลับมาอย่างอ่อนหวาน
ห้วงลมรักเฉื่อยฉิวหลังพายุแรงนั้นช่างอบอุ่นเสียเหลือเกิน
---------------------------------------------------
   ความปวดร้าวแล่นไปทั่วทุกปลายประสาทสัมผัส ขณะที่ฟ่งลืมตาตื่น แสงสีทองของรุ่งอรุณสาดผ่านร่องม่านกันเป็นแนวอยู่ตรงมุมห้องนอน เขาพลิกตัวเพื่อหยิบแว่นตา รับรู้ถึงอาการปวดจากการถูกหักโหมใช้งานอย่างหนักตรงตะโพก มองเห็นผ้าปูเตียงยับย่น และผ้าห่มที่ถูกดึงมาปิดเรือนร่างเปลือยเปล่าเอาไว้ และเหนือจากนั้น ท่อนแขนแข็งแรงที่โอบกอดเขาไว้อย่างหลวมๆ
   ฟ่งรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ปกติรูฟัสรู้สึกตัวไวเสมอ และมักตื่นอยู่แล้วตอนเขาลืมตาขึ้นมา แต่ครั้งนี้ ใบหน้าได้รูปที่มีดวงตาสองสียังคงหลับสนิท แผ่นอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อซึ่งเปลือยออกมานอกผ้าห่มขยับเป็นจังหวะคงที่ คิ้วสีดำได้รูปปล่อยสบายๆ ฟ่งยกมือขึ้นปัดปอยผมที่ร่วงลงมาปรกใบหน้านั้นออกอย่างเบามือ ด้วยเกรงจะทำให้อีกฝ่ายตื่น เขาไม่เคยเห็นรูฟัสหลับสนิทแบบนี้มาก่อนเลย ดูท่าทางจะเหนื่อยอ่อนจากเรื่องที่เกิดขึ้น
   จะว่าไปแล้วรูฟัสออกไปก่อนหน้าเขาสองสามวัน และคงไม่ได้มีเวลานอนมากสักเท่าไหร่ ถึงอย่างนั้นเมื่อคืนก็ยังอุตส่าห์ฝืนมอบความรักให้เขาอย่างยาวนานต่อเนื่อง หากจะรู้สึกอ่อนล้าบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะรูฟัสเองก็เป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่แค่ใช้ชีวิตแปลกจากคนทั่วไปอยู่สักหน่อย
   นัยน์ตาสีน้ำตาลเหม่อมองใบหน้าได้รูป ไม่ว่ามองเมื่อไหร่รูฟัสก็ดูดีเสมอ ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีมากเสียจนดูยังไงๆ ก็ไม่น่าจะมาชอบคนที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นอย่างเขา ฟ่งเชื่อว่ารูฟัสสามารถเลือกได้ดีกว่านี้ แต่ก็ยังเลือกเขา แม้รู้สึกหวั่นไหวว่าอนาคตหัวใจของรูฟัสอาจเปลี่ยนแปลง แต่ฟ่งก็รู้สึกดีอยู่ลึกๆ อย่างน้อยสิ่งที่รูฟัสทุ่มเทให้เขาก่อนหน้านี้ แม้จะมีเรื่องโกหกสารพัด แต่หลายๆ อย่างรูฟัสตั้งใจทำเพื่อเขาจริงๆ และแม้เขาจะสับสน ทำร้ายจิตใจออกไปโดยไม่รู้ตัวหลายหน ก็ยังไม่ยอมแพ้ ฟ่งยิ้มออกมาบางๆ พิศดูใบหน้านั้นอีกรอบ วันนี้แหละเขาจะพูดคำในใจคำนั้นให้รูฟัสได้ยิน ให้รูฟัสได้แน่ใจเสียทีว่าเขาคิดอย่างไร
   เสียงเคาะประตูทำให้ฟ่งสะดุ้งตื่นจากภวังค์ความคิด สิ่งแรกที่รู้สึกคือใครกันหนอที่มาเคาะประตูป่านนี้ อาจจะเป็นราฟาแอลหรือรัสเลอร์ก็ได้ ร่างบางขยับอย่างระวังที่สุด เพื่อไม่ให้บุรุษร่างสูงที่นอนหลับสนิทอยู่ตื่น ก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า คุ้ยหาชุดนอนออกมาได้ชุดหนึ่ง เนื่องจากเมื่อวานรูฟัสและเขาหมดสติไปโดยยังไม่ได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า และฟ่งไม่อยากจะสวมชุดเดิมซึ่งตอนนี้หล่นอยู่ปลายเตียง ย้ำให้คิดถึงรสรักที่ได้รับเมื่อคืน
   เสียงเคาะประตูเร่งร้อนทำให้ฟ่งติดกระดุมเสื้อไม่ครบเม็ด ท่าทางคนมาเคาะจะรีบร้อนเอาการอยู่ ร่างบางกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปเปิดประตู ก่อนจะผงะ
   “นอนหลับอยู่เหรอ?” น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นฟ่งคุ้นเคยเป็นอย่างดี เป็นน้ำเสียงที่เขาได้ยินมาตั้งแต่ยังเล็ก
   “เจ๊ผิง!” ฟ่งเอ่ยเรียกชื่อผู้เป็นพี่สาว หล่อนยิ้มให้เขา และพูดต่อ “เจ๊มาปลุกใช่ไหมล่ะ?”
   ฟ่งยิ้มแห้งๆ และเปิดประตูให้พี่สาวเข้ามา ก่อนจะได้ยินเสียงพูดต่อ “บอกแล้ว เฮียฟ่งยังไม่ตื่นหรอก”
   ผู้พูดเป็นเด็กหนุ่มอายุราวๆ สิบแปดสิบเก้า ใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกันอย่างเห็นได้ชัด จะผิดกันตรงทรงผมตัดสั้น และไม่ได้สวมแว่นเท่านั้นเอง ฟ่งเอ่ยทักอย่างแปลกใจ “อ้าว เล้ง?”
   แม้จะมีใบหน้าละม้ายกัน แต่เล้งนั้นดูตัวใหญ่กว่าฟ่ง แถมยังดูจะแข็งแรงกว่า เด็กหนุ่มยิ้มให้ผู้เป็นพี่ชาย
   “เฮียนึกไม่ถึงล่ะสิว่าผมจะมา” กล่าวจบก็เดินเข้ามาในห้อง ผิงหันมามองน้องชายทั้งสอง
   “เจ๊เห็นหายไปหลายวัน มือถือก็ไม่ยอมซื้อใหม่ เลยแวะมาดู เป็นห่วงน่ะ  พักนี้ฟ่งหลบใครรึเปล่า?”
   ผู้ถูกถามสั่นศีรษะ ก่อนจะเชื้อเชิญให้ผู้เป็นพี่สาวนั่งลงตรงโซฟา นึกดีใจที่ไม่ได้เปิดประตูห้องนอนทิ้งเอาไว้
   “งั้นก็รีบซื้อมือถือใหม่เร็วๆ แล้วกัน แล้วนั่นแขนไปโดนอะไรมา?” ผู้เป็นพี่สาวถามต่อ เมื่อเห็นผ้าพันแผลที่แขน ฟ่งพยายามนึกข้อแก้ตัวในเวลาอันจำกัด เขาไม่คิดว่าจะได้เจอพี่สาวในวันนี้
   “อืม.. ผมวางมีดไม่ค่อยดี ก็เลยบาด”
   ข้อแก้ตัวดูฟังไม่ค่อยขึ้นนัก ถึงอย่างนั้นโดยนิสัยของฟ่ง การวางของระเกะระกะชนิดคาดไม่ถึงกับเรื่องประเภทนี้ก็ดูจะเป็นไปได้เหมือนกัน
   “วางยังไงของเธอน้า….” ผิงครางออกมา มองสำรวจน้องชาย นอกจากผ้าพันแผลที่แขนแล้ว หัวยังมีรอยปูด แถมตรงคอยังมีรอยจ้ำสีแดงอีก เจ้าน้องชายคนนี้ไปทำอะไรมากันแน่ แต่นั่นอาจจะเป็นเรื่องส่วนตัวที่เธอไม่ควรถาม ดังนั้นผู้เป็นพี่สาวจึงหันไปพูดถึงธุระที่ทำให้เธอแวะมาที่นี่
   “งานยุ่งอยู่รึเปล่า ช่วงนี้?”
คนถูกถามสั่นศีรษะอีก ก่อนถามตอบ “ทำไมเหรอเจ๊?”
   “ก็ว่าจะฝากเล้งมาอยู่ด้วยสักพัก ติดต่อเธอไม่ได้ เจ๊เลยยังไม่ได้บอก เล้งมันสอบติดมหาลัยแถวนี้ล่ะ”
   “จริงเหรอเนี่ย?” ฟ่งโพล่งออกไปอย่างไม่เชื่อ ผู้เป็นน้องชายที่เดินสำรวจห้องอยู่จึงเอ่ยปาก “เฮียฟ่งไมทำเสียงงั้นอ่ะ ไม่เชื่อว่าผมสอบติดอ่ะดิ?”
   ฟ่งทำหน้าแปลกๆ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างดีใจ “จริงๆ ก็กลัวว่าจะไม่ติดอยู่หรอก เฮียว่าเล้งไม่โง่ แต่เกเรเกตุงไปหน่อย”
   “แหม..วัยต่อต้านก็ต้องมีบ้าง” น้องชายตอบคำ พลางก้มลงมองเครื่องเกมใต้ทีวีที่ฝุ่นจับเขรอะ
   “เจ๊ผิง ผมว่านะ ถ้ามาอยู่กับเฮียฟ่งผมได้กลายเป็นแม่บ้านแหงเลย ดูห้องดิ โคตรรก”
   ฟ่งทำหน้าหงิก ขณะที่ผู้เป็นพี่สาวหัวเราะ
   “ว่าไงฟ่ง ให้เล้งมาอยู่ด้วย ประหยัดค่าใช้จ่ายดี เธอก็ใช้มันทำความสะอาดห้องไปแล้วกัน”
   ฟ่งยิ้มแบบกึ่งรับกึ่งสู้ จริงๆ เขาก็ดีใจอยู่หรอกที่น้องชายจะย้ายมาอยู่ด้วย ถ้าเกิดว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ได้รู้จักกับรูฟัส และเผชิญอะไรแบบนั้นมา ชายหนุ่มพยายามหาเหตุผล
   “อืม.. จริงๆ ผมคิดว่าจะย้ายออกอยู่”
   ร่างบางตอบออกมา ทำเอาพี่สาวขมวดคิ้ว “ย้ายอีก? นี่ฟ่งหนีใครอยู่ใช่ไหม?”
   ฟ่งรีบสั่นศีรษะ ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูด เขาเหลือบไปเห็นน้องชายกำลังจะเปิดประตูห้องนอน
   “เฮ้ย เล้ง อย่าเปิดนะ” ผู้เป็นพี่ชายส่งเสียงห้าม เล้งหันมาและหัวเราะ
   “อายอะไรเฮียฟ่ง ผมไม่ว่าเฮียหรอก ถ้าห้องนอนเฮียจะรกมากกว่าด้านนอกน่ะ”
   “ไม่ได้ เดี๋ยว!!” ฟ่งร้องห้ามและลุกพร่วดขึ้น แต่ดูจะสายไปสักหน่อย เมื่อน้องชายได้เปิดประตูเข้าไปแล้ว
------------------------------------------------
   รูฟัสได้ยินเสียงเหมือนใครพูดอะไรกันแว่วๆ สำหรับเขานั้นเหมือนเพิ่งผ่านความฝันยาวนาน ที่บทสรุปสุดท้ายช่างหอมหวานจนไม่อยากตื่น ร่างแกร่งปรือนัยน์ตาสีแปลกขึ้นอย่างเกียจคร้าน นานจนแทบจำไม่ได้แล้วที่เขาไม่ได้หลับสนิทอย่างนี้ รอยผ้าปูเตียงยับย่นที่ปรากฏกับสายตาตอกย้ำความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอย่างแจ่มชัด
ร่างสูงขยับแขนเพื่อคว้าร่างที่เพิ่งมอบความสุขกับเขาเมื่อวานมากอดอย่างไม่ค่อยได้สตินัก ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น เมื่อคว้าพบความว่างเปล่า งั้นฟ่งคงตื่นนอนก่อนและลุกไปแล้ว ร่างแกร่งยันตัวขึ้น พยายามเรียกสติของตัวเองกลับมาจากวังวนรักหวานซึ้ง รู้สึกเสียดายที่พลาดการคลอเคลียกับฟ่งบนเตียงนอน แต่ช่างเถอะ หากฟ่งยอมเปิดใจและอยู่ร่วมกับเขา เวลาแห่งความสุขแบบนี้ก็คงจะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก ร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจ ขณะกำลังจะลงจากเตียง ประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมด้วยเสียงใครสักคนตะโกนแว่วๆ
   นัยน์ตาสองสีของรูฟัสจ้องเขม็งไปยังผู้ที่ก้าวเข้ามา แวบแรกที่ประตูเปิดออก เขานึกว่าเป็นฟ่งเพราะเสียงที่ได้ยิน แต่วินาทีต่อมาก็รู้สึกตัวว่าคิดผิด ร่างนั้นสูงกว่าฟ่งพอสมควร แม้มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันบ้าง แต่ผมสีดำตัดสั้น และแว่นตาที่หายไปนั้น ตอบเขาได้เป็นอย่างดีว่านี่ไม่ใช่ฟ่ง ถ้าอย่างนั้นเสียงที่ได้ยินเมื่อกี้ล่ะ?

   เล้งยืนตัวแข็งค้าง เขาคาดว่าจะได้พบอภิมหาความรกในห้องนอนของผู้เป็นพี่ชาย ดั่งที่เคยพบมาแล้วที่บ้าน แต่ตอนนี้เขารู้สึกตกใจยิ่งกว่านั้น เพราะนอกจากกองเสื้อผ้าที่ถูกถอดระเกะระกะในห้องแล้ว ยังมีผู้ชายชาวต่างชาติที่เกือบจะเปลือยนั่งอยู่บนเตียงนอน สภาพเหมือนเพิ่งตื่น ดูจะมองมาทางเขาอย่างแปลกใจไม่แพ้กัน เด็กหนุ่มพูดไม่ออก หันกลับมามองพี่ชายซึ่งหน้าถอดสีอย่างเห็นได้ชัด
   “เฮียฟ่ง...นี่.....?”
------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ Mookkun

  • magKapleVE
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 637
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
    • Consensual free relationships
อั๊ยยะะะะ!!!

ฟ่งงงง!~~~~~

เอามีดมาจ้วงกันเถอะคนเขียนนน~~
กำลังจะเปิดใจรับอยู่แล้วเชียววววววววววววววว


 :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: คนเขียนนนน!!!!!  แง่งงงงงงงง


jelatin99

  • บุคคลทั่วไป
ฟ่ง!!เดินหน้าต่อไปเพื่อรูฟัส อ้ากกกกอาเล้งอ่า ลื้อมาทำม๊าย~รอตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อฮะ

ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
เย้ๆ :mc4:  ในที่สุดหลังจากอดทนอ่าน 4 วันรวดก็ตามทันแล้ว
เป็นเรื่องที่ยาวมากจริงๆ  อ่านกันตาแฉะ
ชอบความน่ารักของฟ่งมาก  อยากอ่านแต่ฉากของฟ่งกันเลยทีเดียว :-[
แต่ฉากของตระกูลเว่ยก็สนุก น่าติดตาม  และทำให้รู้ว่าไม่ควรอ่านเรื่องนี้ขณะเครียด :z3:
ปมแต่ละอย่างช่างซับซ้อนโดยเฉพาะคุณชายรอง  ท่านคิดอะไรอยู่คนอ่านไม่เคยตามทัน
ตอนล่าสุด ชอบน้องเล้งมาก  พูดให้คิด  ให้อยากอ่านต่อมากที่สุด
นี้ก็เรื่องที่ 3 แล้วที่ติดตามผลงานของท่านพี่ juon และยังคงจะติดตามต่อไปอีก
+1  เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
มาถึงก็เจอชอตเด็ดเลย :laugh:

yuuki

  • บุคคลทั่วไป
โอ๊ะ!!

แย่แล้วรูฟัสตื่นเร๊วววววว


ออฟไลน์ cocoaharry

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
    • cocoaharry_Demmy Chan_Otaku Y Girl
พี่จู ค้างอะ
ลงด่วนๆ
ปล.เอ๊ะ นี่เม้นท์ครั้งแรกรึเปล่า ฮาาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
พี่จู ค้างอะ
ลงด่วนๆ
ปล.เอ๊ะ นี่เม้นท์ครั้งแรกรึเปล่า ฮาาา

ใครเนี่ย ฮ่าๆ กรุณาแนะนำตัวด่วน

มาลงต่อแล้วจ้า (ทำท่าว่าจะลืมอีกแล้ว)

ความดราม่าเรื่องนี้มันยังไม่หมดไปง่ายๆ!!
----------------------------------

บทที่69 มิติของความรักและนิยามของความปวดร้าว
   แม้ระยะเวลาจากกรุงเทพถึงฮ่องกงนั้นจะกินเวลาไม่มาก แต่เว่ยจินหยินก็เผลอหลับสนิท กลับไปบนเก้าอี้พิเศษที่จัดไว้ข้างๆ เตียงผู้ป่วยท้ายเครื่องบิน หลับไปพร้อมกับกุมมือสากหยาบนั้นเอาไว้ หลับไปทั้งๆ ที่ยังสวมแว่นอยู่
   หากเถียนซานไม่ขอตามมาด้วยเขาคงไม่หลับสนิทขนาดนี้
   สำหรับเว่ยจินหยิน นอกจากจะพึ่งพาลูกน้องคนนี้จัดการงานอย่างที่คนอื่นไม่ทำกันแล้ว เถียนซานยังเปรียบเสมือนที่พึ่งทางใจของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บอย่างหนักเขาคงไม่ยอมให้ผู้ชายคนนี้อยู่ห่างจากตัวในช่วงเวลาสำคัญที่สุดนี้ กระนั้นเถียนซานก็ดูจะตระหนักในข้อนี้ดี ถึงแม้เขาจะออกปากไปแล้วว่าจะกลับไปก่อน แต่ท้ายที่สุดเจ้าตัวก็ขอตามมาด้วย เว่ยจินหยินไม่รู้จะบอกขอบคุณผู้ชายคนนี้อย่างไรดี สิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดคือการก้าวไปตามแผนการที่วางเอาไว้ ก้าวไปให้ถึงจุดหมายที่วางเอาไว้แต่แรก เพื่อให้สิ่งที่เถียนซานทุ่มเทไปไม่เสียเปล่า
   เพื่อผู้ชายที่มอบความรักให้เขามากที่สุด
   เพื่อคนที่เขารักมากที่สุด
---------------------------------------------
   สองชั่วโมงสำหรับเว่ยเฟิงปิงตอนนี้นั้น เหมือนยาวนานเสียเต็มประดา จางซื่อเยี่ยนที่จู่ๆ ก็จู่โจมเข้ามาอย่างไม่คาดคิด ทิ้งรอยจูบลึกล้ำเอาไว้ในความรู้สึก บัดนี้กำลังนั่งอ่านหนังสือที่เขาหยิบยื่นให้ราวกับไม่มีความทรงจำกับการกระทำก่อนหน้า แค่คิดก็รู้สึกหงุดหงิดเต็มทนแล้ว เสียแต่เขายังมีสติพอจะระลึกได้ว่าการอาละวาดให้ลูกน้องทึ่มคนนี้บนเครื่องบินไม่ใช่เรื่องน่าดูนัก ไว้ให้กลับถึงฮ่องกงก่อนคงได้เห็นดีกันแน่
---------------------------------------------
   สำหรับจางซื่อเยี่ยน ไม่บอกก็รู้ว่าเว่ยเฟิงปิงต้องกำลังไม่พอใจแน่ๆ ดูจากนัยน์ตาสีฟ้าใสที่จ้องมาอย่างคุกคามนั้นแล้วคงไม่มีปัญญาตีความไปเป็นแบบอื่นได้ แต่จนใจที่ตอนนี้อยู่บนเครื่องบิน จะทำอะไรลงไปใช่ว่าจะสะดวกง่ายดายอย่างใจต้องการ อีกอย่าง ไอ้ที่จูบลงไปเมื่อครู่ก็กระตุ้นให้เขาตื่นเต้นเสียแล้ว จางซื่อเยี่ยนไม่รู้จะแก้ปัญหานี้อย่างไร จึงได้แต่เอ่ยปากขอหนังสือจากผู้เป็นเจ้านายมาอ่านแก้ขัดแทน หวังว่าสองชั่วโมงบนเครื่องบินคงทำให้อารมณ์คุกรุ่นของเว่ยเฟิงปิงทุเลาลงไปได้บ้าง
---------------------------------------------
   เถียนซานไม่ได้หลับ เขากุมมือของเว่ยจินหยินเอาไว้และหลับตาลงเฉยๆ หัวหน้าหน่วยล่าสังหารของตระกูลเว่ยทราบดีว่าบาดแผลจากระเบิดที่อยู่บนหลังรุนแรงสาหัสขนาดไหน โชคยังดีที่ไม่กระเทือนอวัยวะภายในมากนัก แต่บาดแผลฉกรรจ์พวกนี้กินเวลานานกว่าจะหายขาด เขาคงจะขยับไปไหนมาไหนไม่ได้อีกสักพัก มันเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดเมื่อตัวเขาเองรู้ว่าแผนการต่อไปของอดีตเจ้านายเป็นอย่างไร ถึงแม้ไม่อาจเป็นมือเป็นเท้าได้ แต่เขายังสามารถเป็นหลักหนุนสภาวะจิตใจของเจ้านายในภาวะวิกฤติเช่นนี้ได้
   สภาพของเว่ยจินหยินที่หลับสนิท ทำให้ชายวัยกลางคนผู้นี้รู้สึกเบาใจอยู่บ้าง เถียนซานแน่ใจว่าต่อจากนี้เว่ยจินหยินจะไม่ได้นอนหลับดี การกลับไปในครั้งนี้ ถึงแม้ยังเดาใจไม่ออกว่าเว่ยชิงผู้เป็นหัวหน้าตระกูลจะรู้สึกยินดีกับผลงานนี้ของลูกชายคนรองหรือไม่ แต่ทางริเวิลคงไม่ยอมอยู่เฉยๆ แน่ การที่เว่ยจินหยินทำเรื่องขนาดนี้ ถ้าไม่รีบเด็ดหัวในเร็ววัน รังแต่จะคุกคามความมั่นคงของกลุ่มไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าอดีตเจ้านายของเขาทราบเรื่องนี้ดี จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงรีบกลับฮ่องกงนัก
   การชิงลงมือก่อนได้เปรียบเสมอ
----------------------------------------------
   ผลัวะ!!
   เสียงกำปั้นกระแทกเข้ากับใบหน้ามนุษย์ดังพอที่จะทำให้รูฟัสซึ่งกำลังงุนงง กระเด้งตัวขึ้นจากเตียงโดยเกือบจะลืมหาอะไรมาปิดส่วนน่าอับอายของตนเองเอาไว้ สิ่งที่เขาเห็นคือใครคนหนึ่งซึ่งมีใบหน้าคล้ายคลึงกับฟ่งซึ่งแน่ใจว่าไม่เคยเห็นมาก่อน ประเคนกำปั้นใส่บุคคลที่เขารู้จักเป็นอย่างดี
   “ฟ่ง!!” รูฟัสโพล่ง และพยายามจะฉวยอะไรซักอย่างแถวนั้นมานุ่งเพื่อปิดท่อนล่างที่เปลือยอยู่ ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงเรียก ฟ่งก็ยกกำปั้นสวนกลับไปทันที ได้ยินเสียงผู้หญิงอีกคนร้องขึ้นมา
   “ฟ่ง!! เล้ง!!”
   เสียงกำปั้นกระแทกกับร่างกายดังชัดเจน โดยไม่รอให้ใครได้ตั้งตัว ต่างฝ่ายต่างประเคนกำปั้นเข้าใส่กันราวกับว่าแค้นเคืองกันมานับแรมปี รูฟัสเคยเห็นการชกต่อยมามาก แต่เขาไม่คิดว่าคนอย่างฟ่งเวลาเลือดขึ้นหน้าจะดุเดือดได้ขนาดนี้ กระนั้นอีกฝ่ายก็ดูจะดุเดือดไม่แพ้กัน และนี่ไม่ใช่เวลาจะมาดูมวย หนุ่มตาสองสีคว้าผ้าห่มมานุ่งเอาไว้ลวกๆ และถลันเข้าไปห้ามศึกซึ่งเขาเองก็ยังงงๆ กับมันอยู่
   คู่วางมวยที่หน้าตาคล้ายคลึงกันดูท่าจะไม่ยอมลดราวาศอกกันง่ายๆ รูฟัสถึงกับต้องออกแรงไม่น้อยในการแยกทั้งคู่ออกจากกัน แม้จะดูรุนแรงไปบ้าง แต่ขืนไม่ทำให้เด็ดขาดจะกลายเป็นตัวเขาอยู่ท่ามกลางห่ากำปั้นแทน
   ฟ่งหอบหายใจถี่หนัก ใบหน้าแดงก่ำด้วยพิษโทสะ มุมปากมีรอยเลือดไหลซิบ ขณะที่ถูกรูฟัสดึงตัวออกมา ในขณะที่เด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งถูกผลักกระเด็นออกไปจนแทบชนกับตู้เสื้อผ้า และแล้วสาวนางหนึ่งก็ปราดเข้ามาคว้าตัวหนุ่มน้อยเอาไว้ ก่อนจะหันกลับมามองด้วยสายตาตกตะลึง
   หลังจากนั้นอีกหลายวินาที รูฟัสถึงพอจะเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
----------------------------------------
   ถ้าหากจะใช้คำว่า ดูไม่จืด กับสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ภายในห้อง1127ก็คงให้ความหมายได้ไม่ผิดนัก ไม่กี่ครั้งในชีวิตที่รูฟัสต้องลุกพรวดพราดขึ้นมาจากเตียงหลังจากเพิ่งมีสัมพันธ์รักกับใครคนใดคนหนึ่ง ครั้งก่อนจำได้ว่าเขาเกือบตายเพราะแรงมือของโจวยี่ แต่ครั้งนี้ชายหนุ่มมั่นใจว่าสถานการณ์อาจจะเลวร้ายกว่านั้น ดูจากสภาพใบหน้า หนุ่มสาวสองคนตรงหน้าเขาต้องเป็นญาติส่วนใดส่วนหนึ่งของฟ่งแน่ จะว่าไปแล้วผู้หญิงก็ดูจะคุ้นๆ เหมือนเคยเจอหน้ากันมาก่อน แต่ที่แย่กว่านั้น ตัวเขาเองก็อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถแก้ตัวอะไรได้ การนอนเปลือยอยู่บนเตียงในห้องคนอื่น คงมีความหมายให้ตีความได้ไม่มากนัก
   ในสภาวะที่ต่างฝ่ายต่างยังอึ้งๆ กันอยู่ หนุ่มตาสองสีถือโอกาสสะสางปัญหาส่วนตัวของตัวเองก่อน เขาพูดขึ้นมาเร็วปรื๋อ
   “ออกไปข้างนอกก่อนดีกว่าครับ”
   ไม่รอให้อีกฝ่ายมีปฏิกิริยาโต้ตอบ หนุ่มตาสองสีเดินปราดเข้าไปดันตัวหนึ่งหนุ่มหนึ่งสาวออกไปนอกห้องนอนทันที ก่อนจะรีบปิดประตูล็อคกลอน และหันมาเผชิญหน้ากับหนุ่มสวมแว่นที่ตอนนี้แว่นตาดูเหมือนจะกระเด็นไปที่ไหนสักแห่ง
   “หาแว่นให้ผมที คงตกอยู่แถวๆ ที่คุณยืนนั่นแหละ” ฟ่งเอ่ยออกมาในที่สุด การมองเห็นของเขาย่ำแย่ลงมากหากไม่ได้ใส่เจ้าอุปกรณ์ช่วยมองนี้ และถ้ามันหลุดกระเด็นไป การขอร้องให้คนอื่นช่วยหาให้นั้นดูจะเร็วกว่าการที่เขาพยายามจะมองหาเอง รูฟัสหันซ้ายหันขวา ไม่กี่วินาทีต่อมา แว่นตาก็กลับมาสถิตอยู่บนหน้าเจ้าของ โชคดีที่มันไม่เสียหาย ฟ่งกระพริบตาถี่ๆ มองหน้ารูฟัส
   “น้องชายผม” นั่นคือวลีแรกที่ฟ่งพูดขึ้น รูฟัสพยักหน้า เขากำลังสวมเสื้อผ้า นึกปวดหัวที่ต้องให้คนอื่นมาเห็นสภาพไม่น่าดูของตัวเอง ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าจะมีวันที่เขาต้องนุ่งผ้าห่มแทนกางเกง นี่ถ้าราฟาแอลรู้คงหัวเราะจนขาดใจตายแน่ๆ
   รูฟัสทำหน้าเหยเกทันทีที่นึกถึงคู่หู ซึ่งตอนนี้คงจะกลายเป็นอดีตไปแล้ว หวังว่าราฟาแอลจะเป็นอดีตคู่หูเขานานๆ สักหน่อย ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้เขาต้องซมซานกลับไปขอพึ่งหลังคาบ้านของคลาวเดียที่บาลาตอนฟูเรสอีก เพราะถูกเครือญาติของฟ่งไล่ตะเพิด เผลอๆ บางทีอาจจะถูกฟ่งไล่ตะเพิดเสียเอง ความคิดนี้ทำให้รูฟัสเสียวสันหลังวาบทันที
ตะกี้ฟ่งบอกว่าน้องชาย งั้นผู้หญิงอีกคนก็คงเป็นพี่สาว ก็ว่าทำไมคุ้นๆ หน้า รูฟัสแทบจะเอามือกุมศีรษะ นี่ตกลงเขาเกือบจะแก้ผ้าต่อหน้าพี่สาวกับน้องชายของฟ่งหรือนี่ ทำไมชีวิตมันถึงได้มีอุปสรรค์นัก
   “คุณโกรธเหรอ?” ฟ่งเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล เขาเห็นรูฟัสทำหน้าแปลกๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ก็น่าอยู่หรอก กำลังหลับอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็ถูกปลุกขึ้นมา แถมยังต้องลุกขึ้นมาห้ามมวย ทั้งๆ ที่นุ่งแค่ผ้าห่มผืนเดียวอีก ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาคงไม่มีสติเหลือพอจะจัดการเอาคนอื่นออกไปก่อนเพื่อสวมเสื้อผ้าแน่ๆ
รูฟัสสั่นศีรษะ หันมามองฟ่งอย่างแปลกใจ “ผมไม่โกรธหรอก ผมคิดว่าคุณกำลังโกรธเสียอีก”
   ฟ่งเลิกคิ้ว ก่อนจะสั่นศีรษะบ้าง “อืม..ผมไม่คิดว่าพี่สาวจะมาวันนี้”
   หนุ่มตาสองสีฝืนยิ้ม ไม่มีใครเขาอยากให้เป็นแบบนี้หรอก ที่น่าเป็นห่วงคือ แล้วฟ่งจะเอายังไงต่อไปต่างหาก หนุ่มสวมแว่นถอนหายใจ ยกมือขึ้นจับปากที่เริ่มบวมปูดขึ้นมา
   “ผมคงต้องจัดการให้จบๆ”
------------------------------------------
   สภาพของสองพี่น้องดูไม่จืดจริงๆ ฟ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนเล้งนั่งอยู่บนโซฟา เกือบจะหันหน้าเข้าหากัน แต่ละคนใบหน้าบวมปูดด้วยกันทั้งคู่ ดูไม่ออกเลยว่าใครแย่กว่าใคร ที่นั่งข้างๆ เล้งคือผิง ซึ่งมีสีหน้าประหนึ่งได้เห็นเยติบุกห้องน้องชาย รูฟัสนั่งเก้าอี้อยู่ข้างฟ่ง รู้สึกดีใจที่ในที่สุดตัวเองก็ได้ใส่เสื้อผ้าเป็นผู้เป็นคนกับเขาสักที หลังจากที่นุ่งผ้าห่มในตอนแรก
   ทั้งห้องไม่มีเสียงอะไรอีก นอกจากเสียงเครื่องปรับอากาศ ดูเหมือนต่างคนต่างรอให้อีกฝ่ายพูดก่อน รูฟัสรู้สึกเหมือนหูอื้อ เขาเหลือบตามองสองพี่น้อง ซึ่งดูจะจดจ้องฟ่งมากกว่าตัวเขา ชายหนุ่มนึกโล่งใจระคนหวั่นใจนิดๆ หรือว่าสองคนนี่ตั้งใจจะมองผ่านเขา ผู้มีนัยน์ตาสองสีหันกลับมามองผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ
   ฟ่งนั่งก้มหน้า รู้ตัวดีว่าต้องพูดอะไรออกไปบ้าง แต่พยายามเค้นสมองอยู่นานก็ไม่รู้ว่าสมควรจะเริ่มอย่างไร กับเรื่องนี้ แม้เขาจะเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ไม่คาดคิดมาก่อนว่ามันจะกะทันหันและโจ่งแจ้งชัดเจนจนแทบจะตั้งตัวไม่ติด
   “เจ๊ผิง...”
   เมื่อนึกไม่ออกว่าควรจะพูดอะไร ฟ่งจึงได้แต่เรียกชื่อผู้เป็นพี่สาว ด้วยหวังว่าทางนั้นจะยิงคำถามอะไรออกมาเพื่อช่วยเปิดประเด็นได้บ้าง ได้ยินเสียงถอนหายใจ
   “อธิบายมา ฟ่ง นี่มันยังไงกันแน่ ทำไมคนข้างห้องถึงได้มาอยู่ในห้องนอนของลื้อ?”
   ผิงตัดประโยคขยายเกี่ยวกับสภาพเปลือยของรูฟัส เพื่อที่ตัวเธอจะได้ไม่ต้องเป็นฝ่ายตอบคำถามของตัวเอง ฟ่งคอตก
   “คือผม....” หนุ่มสวมแว่นยังคงอ้ำๆ อึ้งๆ ด้วยไม่รู้จะพูดอธิบายไปว่าอย่างไรดี จะให้พูดว่าเพราะเขานอนกับรูฟัสเมื่อคืน ผู้ชายคนนี้ถึงได้อยู่ในห้องนอนของเขา พูดออกไปก็รังแต่จะทำให้เสียเรื่องเปล่าๆ ฟ่งคิดว่าเขาน่าจะคิดคำพูดอธิบายได้ดีกว่านี้
   เล้งดูจะใช้ความอดทนมากที่สุด ในการรอฟังคำตอบจากปากผู้เป็นพี่ชาย เด็กหนุ่มบีบมืออย่างหงุดหงิด ราวกับว่าอีกไม่นานถ้าฟ่งยังไม่ยอมพูด เขาจะลุกขึ้นมาง้างปากผู้เป็นพี่ชายออกเอง รูฟัสหวั่นๆ ว่าจะเกิดมวยคู่พี่น้องเป็นรอบที่สอง จึงพยายามนั่งในท่าเตรียมป้องกันอย่างเต็มที่ ถึงจะเป็นน้องชายฟ่งก็เถอะ ถ้าขืนยังพรวดพราดเข้ามา เขาคงต้องยันออกไปเหมือนกัน หลังจากนั้นถึงจะโดนฟ่งด่าก็ค่อยไปว่ากันอีกที
   ก็เขาไม่อยากให้ใครทำร้ายฟ่งนี่...
   โชคดีที่ฟ่งเอ่ยปากขึ้นก่อนที่ใครจะหมดความอดทน
   “จะอธิบายยังไงดี อืม...”
   ชายหนุ่มเงียบไปอีก แต่พอเจอกับสายตากดดันทั้งสามคู่แล้วก็หลับตาอย่างจนใจ พยักหน้าหงึกหงักและเค้นคำพูดออกมา
   “ผมกับเขา...อืม... เรากำลังคบกันอยู่” ฟ่งว่าพลางพยักพเยิดมาทางรูฟัส เล้งลุกพรวดขึ้นทันที “ไอ้ฟ่ง!!”
   เด็กหนุ่มทำท่าจะปราดเข้ามาวางมวยอีก เดือดร้อนถึงผู้เป็นพี่สาวที่คุมสติได้ดีกว่าต้องรีบฉุดมือเอาไว้ และกระชากให้นั่งลง
   “ใจเย็นๆ ซิเล้ง!” ผิงเอ็ด ก่อนจะหันมามองฟ่งอย่างจริงๆ จังๆ
   “ฟ่ง.... ฟ่งกำลังจะบอกเจ๊ว่า ฟ่งคบกับผู้ชายเหรอ?”
   คนถูกถามพยักหน้าอย่างอับจนคำพูด ผิงถามต่อ “นานรึยัง? ที่เลิกกับน้องดาเพราะเรื่องนี้หรือเปล่า?”
   ฟ่งอ้าปาก ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เปลี่ยนใจกลืนมันลงไป ความจริงเขาไม่ได้เลิกกับดาเพราะรูฟัส แต่ถึงปฏิเสธไปก็ใช่ว่าเรื่องจะง่ายขึ้น สู้ยอมรับไปเลยดีกว่า ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว
   “อืม...”
   คำตอบสั้นๆ นั้น สำหรับผิงเสมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมากลางอก หล่อนมองดูน้องชายอีกครั้ง ฟ่งที่หล่อนรู้จักมาตั้งแต่เกิด ดูยังไงก็ไม่มีทางจะเป็นพวกวิปริตไปได้ ถึงร่างกายจะดูบอบบางไปหน่อยก็เถอะ แต่ฟ่งก็ไม่เคยออกท่าทางตุ้งติ้ง หรืออะไรทำนองเบี่ยงเบนเลย น้องชายคนนี้ใช้ชีวิตสมชายชาตรีมาโดยตลอด กระทั่งเรื่องชกต่อยก็ไม่ค่อยจะแพ้ใคร แล้วทำไมถึงได้.....
   “ฟ่ง....ฟ่งพูดจริงๆ ?” ผิงพูดตะกุกตะกัก ยังไงหล่อนก็ยังทำใจเชื่อลงไปไม่ได้ว่าน้องชายที่เลี้ยงมากับมือจะกลายเป็นพวกไม้ป่าเดียวกันไปได้ ฟ่งรู้สึกปวดแปลบในหัวใจ เขารู้เรื่องนี้ดีที่สุด รู้ว่าคงไม่มีใครรับความเปลี่ยนแปลงนี้ของตัวเองได้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่อยากจะยอมรับนัก แต่นี่เป็นเรื่องที่เขาตัดสินใจแล้ว
   หนุ่มสวมแว่นเหลือบตาไปมองผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างไม่ตั้งใจ รูฟัสยิ้มให้เขา รอยยิ้มอ่อนโยนนั้นทำให้ฟ่งต้องหลบสายตา
   อา... เขากำลังจะแลกทุกอย่างในชีวิตกับรอยยิ้มอ่อนโยนของผู้ชายคนนี้
   นี่เขาคิดดีแล้วจริงๆ ?
------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   ความจริงรูฟัสไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อนเลย ก่อนหน้านี้แค่พยายามทำให้ฟ่งยอมรับตัวเองก็ยากลำบากเต็มที ตอนนี้ยังต้องมาเผชิญกับเรื่องทางบ้านของฟ่งอีก นี่เองสินะที่เป็นเหตุผลที่ทำให้ฟ่งอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่เสมอมา หนุ่มตาสองสีรู้สึกขึ้นมาทันใด ว่านี่คงเป็นช่วงเวลาชีวิตที่เลวร้ายที่สุดอีกครั้งหนึ่ง จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฟ่งลังเล
นัยน์ตาสองสีเหลือบมองคนนั่งข้างๆ อีกครั้ง นี่คือเรื่องที่ฟ่งต้องตัดสินใจ ทางนั้นคงกำลังลำบากใจมาก เมื่อเห็นสภาพของพี่สาวและน้องชายที่ดูจะรับไม่ได้อย่างถึงที่สุด เขาอยากจะช่วยแบ่งเบาความหนักใจนี้ของฟ่ง แต่จะทำยังไงล่ะ จะให้พูดเสริมออกไปก็ใช่ที่ ก็นี่มันเรื่องภายในครอบครัว ครั้นจะเอื้อมมือไปจับมือฟ่งเพื่อให้กำลังใจก็ไม่ใช่วิสัยที่ควรจะทำในตอนนี้อีก ชายหนุ่มคิดไปคิดมา ก็สรุปเอาว่าคงไม่พ้นเขาต้องทำตัวใจกว้างอีกรอบ แม้จะเสี่ยงกับการถูกไล่ตะเพิดก็เถอะ เพราะเขาเป็นคนดึงดันลากฟ่งมาสู่หนทางนี้เอง ก็ควรจะเป็นฝ่ายที่ลดความกดดันก่อน
   ถึงแม้สุดท้ายเขาจะต้องเป็นฝ่ายออกไปเองก็ตาม
   “พูดเถอะครับฟ่ง ผมไม่เป็นไรหรอก” รูฟัสเอ่ยเบาๆ ฝืนยิ้มอีกครั้ง เขาไม่หวังให้ฟ่งหันมาสบตาหรือมองหน้าเขาในตอนนี้ แค่สิ่งที่ฟ่งมอบให้กับเขาเมื่อคืนก็ทำให้หัวใจเต็มตื้นมากแล้ว อย่างน้อยรูฟัสก็รู้ชัด ในหัวใจของฟ่งมีเขาอยู่แน่ๆ หากไม่มีเลย เจ้าตัวคงไม่อ้ำอึ้งนานขนาดนี้
ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่ง และหลุบสายตาอย่างที่เคยทำเป็นประจำ ไม่ว่าจะตอนไหนเขาก็ไม่สามารถสู้ฝืนสบนัยน์ตาสองสีคู่นี้ได้นานๆ ซักที นัยน์ตาของรูฟัสทำให้หัวใจของเขาอ่อนยวบ นัยน์ตาสองสีนั่นเวลามองมาทางเขามักเหมือนนัยน์ตาของสุนัขตัวใหญ่ที่กำลังอ้อนขอความรัก และก็ดูจะได้ผลเสียทุกครั้ง ทำใจแข็งเท่าไหร่ก็ไม่อาจต่อต้านอำนาจสายตาคู่นี้ได้เลย หนุ่มสวมแว่นถอนหายใจ กับเรื่องของเขา รูฟัสมักเป็นฝ่ายรองรับทุกครั้ง ตั้งแต่พบกันครั้งแรก จวบจนกระทั่งถึงเมื่อวาน ผู้ชายคนนี้เป็นฝ่ายง้อและรอเขาเสมอ กระทั่งถึงเวลานี้ก็ยังเป็นฝ่ายถอยออกไปก่อน ฟ่งถอนหายใจอีกรอบ ถึงเวลาที่เขาจะต้องเข้มแข็งอย่างที่คิดเสียที
แม้จะต้องเสียใจในอนาคต แต่หากไม่ตัดสินใจในตอนนี้ ยังไงก็ต้องเสียใจอยู่ดี
“ผมพูดจริงๆ เจ๊ผิง ผมชอบรูฟัส”
   เสียงฉาดดังขึ้นแทบจะทันทีที่กล่าวประโยคออกไปจนจบ ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองพี่สาวอย่างตระหนก ก่อนจะถูกตบซ้ำอีกครั้ง คราวนี้แว่นตาที่สวมอยู่เลยหลุดกระเด็นออกไปจริงๆ
   “เจ๊!!”
คราวนี้ฝ่ายที่วิ่งเข้ามาห้ามกลับกลายเป็นเล้งแทน เด็กหนุ่มฉวยมือของพี่สาวที่ตบเอาๆ แบบไม่ยั้งเอาไว้ ผิงหอบหายใจหนัก ใบหน้าแดงก่ำ หยาดน้ำตาไหลทะลักออกมาจากดวงตากลมโต
   “ใครสั่งใครสอนให้แกไปชอบผู้ชาย!!”
   แก้มของฟ่งปรากฏรอยนิ้วมือสีแดงเป็นปื้นยาว อย่าว่าแต่ก้มลงไปหยิบแว่นที่ตกอยู่ แค่พยามจะสะกดอารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นมา ฟ่งก็ไม่มีปัญญาจะทำได้ ชายหนุ่มปล่อยโฮออกมา
   รูฟัสถึงกับอึ้ง เขาไม่เคยเผชิญหน้ากับปัญหาครอบครัวมาก่อน เพราะเขากลายเป็นคนไร้บ้านตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบขวบ ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสะเทือนใจมากจริงๆ ฟ่งกำลังร้องไห้ ร้องไห้แบบที่ไม่อายใครอีก ร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างที่สุด เสียงกรีดร้องนั้นเหมือนคมมีดกรีดเข้าไปให้หัวใจของเขา
รูฟัสเคยเสียใจ เสียใจกับการสูญเสียคนในครอบครัว แต่นั่นเป็นตอนที่เขายังเด็กมาก สำหรับอารมณ์สะเทือนใจของฟ่งในวัยยี่สิบเศษ มันคงรุนแรงกว่าตัวเขาหลายเท่า ชายหนุ่มอยากจะโอบร่างที่กำลังร้องไห้จนตัวสั่นนั้นเข้ามากอดปลอบ แต่การทำแบบนั้นในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมไม่ส่งผลดีแน่ เขาจึงทำได้เพียงจับบ่าของอีกฝ่ายและบีบเบาๆ
   “เอามือออกไปจากน้องชายฉัน!” ผิงตวาดแว๊ด ดูท่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว หล่อนสะบัดมือจากการเกาะกุมของน้องชาย ก่อนจะปราดเข้าไปผลักผู้ชายร่างสูงออก รูฟัสยื่นมือออกปัดโดยสัญชาติญาณ ยิ่งทำให้หญิงสาวขุ่นเคืองมากเข้าไปอีก
   “ออกไปให้พ้น!!” หล่อนกระชากเสียงจนแทบจะเป็นเสียงตะโกน ชี้มือออกไปที่ประตู ก่อนจะตวาดซ้ำ “ออกไป!!”
   รูฟัสเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวผู้ซึ่งกำลังโมโหจนตัวสั่น ในอกของเขาปวดแน่น นัยน์ตาสองสีปรายมองดูคนรักที่กำลังร้องไห้อย่างน่าสงสาร เขาควรจะทิ้งฟ่งเอาไว้อย่างนี้หรือ? แต่นี่เป็นปัญหาของคนในครอบครัว สมควรแล้วที่คนนอกอย่างเขาจะออกไปก่อน รูฟัสพยายามเต็มที่แล้ว พยายามนั่งอยู่จนกระทั่งถูกออกปากไล่
ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้น ตัดใจแล้วว่าปัญหาในครอบครัวฟ่งคงต้องเป็นคนสะสางเอง แต่ขณะที่กำลังลุกออก มือเรียวที่เปื้อนคราบน้ำตาก็เอื้อมมาดึงแขนเสื้อของเขาไว้ ขณะที่ใบหน้าของผู้เป็นเจ้าของเงยมองขึ้นมาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ นัยน์ตาสีน้ำตาลที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำสั่นระริก ราวกับว่าถ้าเขาออกไปตอนนี้ ฟ่งคงไม่สามารถดำรงตัวตนได้อีก
   รูฟัสไม่คิดอะไรอีกแล้ว เขาก้มลงกอดฟ่งเอาไว้ทันที ลูบเรือนผมสีน้ำตาลยุ่งๆ และโอบร่างอันสั่นเทาเอาไว้แนบอกอย่างปลอบประโลม
   หากคิดจะแยกเขาออกจากฟ่งตอนนี้ คงต้องฆ่าเขาให้ตายก่อน
--------------------------------------------
   ผิงยืนตะลึงไปแล้ว หล่อนไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นภาพอย่างที่เห็นตรงหน้า ลำพังแค่พยายามจะสลัดจินตนาการในหัวออกไปก็ยากลำบากพอแล้ว การเห็นผู้ชายคนอื่นนอนแก้ผ้าอยู่ในห้องน้องชายตัวเองมันจะมีอะไรให้ตีความได้เท่าไหร่กัน ถึงกระนั้นหล่อนก็ยังเชื่อ เชื่อว่าฟ่งจะมีข้อแก้ตัวดีๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เพราะผิงไม่อยากจะเชื่อ ไม่อยากจะเชื่อว่าน้องชายคนโตของเธอกลายเป็นพวกรักชอบไม้ป่าเดียวกัน
แต่กับสภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า ฟ่งดึงตัวผู้ชายที่หล่อนพยายามไล่ให้ออกไปเอาไว้ และผู้ชายคนนั้นก็กอดปลอบน้องชายของเธอราวกับคนรักกันมาเนิ่นนาน ผิงรู้สึกเหมือนมีของแหลมทิ่มเข้าไปในหน้าอก ทะลุหัวใจที่กำลังเต้นอยู่ หล่อนเรียกชื่อน้องชายพร้อมน้ำตาที่ไหลพราก ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะพร่าเลือนไปจนหมดสิ้น
   ฟ่ง.....
-----------------------------------
ฟ่ง...
ชื่อเล่นง่ายๆ ที่ผู้เป็นพ่อที่เสียไปหลังจากนั้นไม่กี่ปีเป็นคนตั้งให้ น้องชายที่แสนน่ารัก หลังจากที่ผู้เป็นพ่อเสียไปในตอนที่ฟ่งเพิ่งอายุได้ห้าขวบ ทั้งผิงและน้องชายคนนี้จึงต้องช่วยแม่ทำมาหาเลี้ยงครอบครัว เพราะตอนนั้นน้องชายคนเล็กที่ชื่อเล้งยังแบเบาะอยู่ ฟ่งนั้นเป็นเด็กที่ค่อนข้างจะมีความคิดแปลกๆ อยู่สักหน่อย แต่ก็ไม่ได้ดื้อรั้นขนาดพูดไม่รู้เรื่อง ผิงรู้สึกภูมิใจอยู่มาก ที่แม้ว่าพ่อจะเสียไปตั้งแต่ฟ่งกับเล้งยังเด็กๆ แต่เธอกับแม่ก็ยังสามารถเลี้ยงดูน้องชายทั้งสองให้เติบโตมาเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์ได้
ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ฟ่งเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์มาโดยตลอด ตาโตเวลาเห็นสาวสวย แอบหนังสือลามกเอาไว้ใต้ที่นอน เก็บซีดีหนังเอวีเอาไว้บนชั้นหนังสือ และมีคนรักเป็นผู้หญิง คบกันจริงจังจนกระทั่งเธอคิดว่าคงจะได้อุ้มหลานในวันใดวันหนึ่งใกล้ๆ นี้ แล้ววันหนึ่ง ฟ่งก็เลิกกับแฟน หอบข้าวหอบของย้ายที่อยู่ใหม่อย่างไม่บอกให้ทราบล่วงหน้า ผิงรู้ดีว่าน้องชายคนนี้บางอารมณ์ก็อ่อนไหวง่ายเสียจนคาดไม่ถึง แต่หล่อนไม่คิดว่าเหตุผลที่ฟ่งเลิกกับดาจะเป็นเพราะฟ่งหันมาชอบผู้ชาย
ทำไม...เพราะอะไร?
-----------------------------------
   “เจ๊?!” น้ำเสียงคุ้นเคยดังขึ้นอย่างเป็นห่วง ผิงปรือตาขึ้นมา สิ่งแรกที่หล่อนมองเห็นคือใบหน้าคุ้นเคยของผู้เป็นน้องชาย ที่ปวมปูดอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาสีดำหรี่เล็กลง
   “ฟ่ง?”
   “ครับ” ฟ่งขานรับ ยิ้มอย่างดีใจ ทั้งๆ ที่เจ็บปากนั่นแหละ ผิงเงียบไปพักหนึ่ง และถอนหายใจออกมา “บอกสิว่าเจ๊ฝัน ฟ่งหน้าปูดเพราะชกกับเล้งเรื่องแย่งห้องนอนใช่ไหม?”
   ฟ่งนิ่งอึ้งไปบ้าง พูดอะไรตอบออกไปไม่ออก กระทั้งสีหน้ายังไม่รู้เลยว่าควรจะแสดงออกไปอย่างไรดี พี่สาวคนนี้ของเขาคงช็อคหนัก ถึงกับเป็นลมทั้งยืนตอนที่เห็นรูฟัสกอดเขา ฟ่งไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไร จึงได้แต่นิ่งเงียบ ได้ยินเสียงถอนหายใจอีกครั้ง ผิงยกตัวขึ้นนั่ง ข้างๆ ฟ่งคือเล้งที่หน้าปูดพอๆ กัน เพียงแต่ไม่มีรอยฝ่ามือเป็นปื้นๆ ให้เห็นบนแก้ม เป็นครั้งแรกที่ผิงรู้สึกดีใจที่น้องชายทะเลาะกัน ฟ่งที่ยังชกต่อยได้ดีขนาดนี้ จะเป็นกระเทยไปได้ยังไง
   “ฟ่งทะเลาะกับเล้งจริงๆ ด้วย เจ๊ว่าพวกเธอสองคนต้องไปทายาแล้ว”
   ฟ่งกับเล้งหันไปมองหน้ากันทันที ก่อนที่ผู้เป็นน้องชายคนเล็กจะเป็นฝ่ายพูดขึ้น “เจ๊ผิง เจ๊ผิงจำเรื่องก่อนหน้านี้ได้มั้ย?”
   “เรื่องทีฟ่งทะเลาะแย่งห้องนอนกับเล้งน่ะเหรอ?” หญิงสาวตอบ สองหนุ่มหันหน้ามองกันอีกรอบ ยังคงเป็นเล้งที่เอ่ยคำพูด
   “เจ๊เป็นลมไปตอนเห็นเฮียฟ่งกอดกับผู้ชาย จำได้มั้ย?”
   ผิงนั่งมองหน้าน้องชายอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้า หยาดน้ำตาอุ่นๆ ไหลหยดลงอาบพวงแก้ม
   “สรุปว่าเจ๊ไม่ได้ฝันสินะ ฟ่งรักกับผู้ชาย...ทำไม?” หล่อนเงยหน้าขึ้นถามน้องชายคนโต ฟ่งทำหน้าปั้นยาก
   “ผมไม่รู้เหมือนกัน” เขาตอบอย่างหมดหนทาง นัยน์ตาสีดำของผิงมองมายังน้องชายอย่างเจ็บปวด จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อยากเชื่อเลย ไม่อยากเชื่อเลยว่าน้องชายของเธอจะรักผู้ชายด้วยกัน
   “เจ๊ทำอะไรผิด ฟ่ง... เจ๊เลี้ยงฟ่งผิดตรงไหน ทำไมจู่ๆ ฟ่งถึงหันไปชอบผู้ชาย น้องดาเขาทำไม่ดีมากหรือไงฟ่งถึงได้ประชดชีวิตแบบนี้”
   “ดาไม่ได้ทำไม่ดี!” ฟ่งตอบ รู้สึกปวดแปลบเมื่อนึกถึงคนรักเก่า จนถึงตอนนี้เขายังรักผู้หญิงคนนั้นอยู่เลย บางวันยังเผลอฝันถึงด้วยซ้ำ ฝันเห็นตากลมๆ กับรอยยิ้มน่ารักๆ ที่เขาเป็นฝ่ายจากมาเอง
   “แล้วทำไมล่ะฟ่ง? เกิดอะไรขึ้น ฟ่งไม่ใช่คนทำตามกระแสไม่ใช่เหรอ? ถึงเพื่อนฟ่งจะเป็นตุ๊ดเป็นกระเทย เจ๊ก็ไม่เคยว่าเลย เจ๊ไม่เคยคิดเลยว่าฟ่งจะเป็นไปกับเขาด้วย หรือว่าเจ๊ปล่อยปละละเลยฟ่งเกินไป?”
   “ไม่ใช่นะเจ๊..คือ....ผม....” ฟ่งพูดค้าง นึกหาคำบรรยายไม่ออกจริงๆ ทำไมเขาถึงหันไปชอบผู้ชายได้ จริงๆ แล้ว ณ ตอนนี้ ถ้ามีผู้ชายคนอื่นมาแก้ผ้าต่อหน้า ฟ่งคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองมากไปกว่าเบือนหน้าหนี เขาไม่ได้มีอารมณ์กับเรือนร่างผู้ชาย ไม่ได้มีอารมณ์เวลาเห็นผู้ชายตัวใหญ่ๆ ไม่เคยคิดจะชอบผู้ชายคนไหนมาก่อน ยกเว้น...ผู้ชายตาสองสีคนนั้น
---------------------------------------
   รูฟัสนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ไกลจากโซฟานัก เขาพยายามไม่ทำตัวให้เป็นจุดสังเกต จริงๆ เขาควรจะออกไประหว่างที่ผิงเป็นลม แต่ถูกฟ่งรั้งไว้ ดูเหมือนหนุ่มสวมแว่นจะอยากให้เขาประจักษ์กับตาว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง หากฟ่งเลือกที่จะเดินคู่ไปกับเขา รูฟัสจึงไม่อาจปฏิเสธ เขาทำได้เพียงเฝ้าดู ไม่พยายามทำตัวให้สะกิดต่อมพี่สาวของฟ่งมากนัก เพราะไม่รู้ว่าจะโดนไล่ตะเพิดเขาออกไปเมื่อไหร่อีก จนถึงตอนนี้เขาก็ยังนึกไม่ออกว่าตัวเองจะช่วยเหลือฟ่งแก้ไขปัญหาส่วนตัวนี้ได้อย่างไร คงมีแต่นั่งเป็นกำลังใจและเผชิญหน้าด้วยแบบนี้ไปก่อน
   ก็หวังว่าผิงตื่นมาแล้วจะไม่ออกปากไล่เขาอีก
---------------------------------------
   ผิงนั่งมองหน้าน้องชายเนิ่นนาน นานเสียจนเหมือนว่าเวลาถูกหยุด แล้วในที่สุดหล่อนก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน
   “กลับกันเถอะ เล้ง”
   เล้งเงยหน้าขึ้นมองพี่สาว ยังไม่ทันพูดอะไรก็ถูกฉุดมือให้เดินออกไปจากห้อง ฟ่งวิ่งตาม พลางฉวยแขนข้างหนึ่งของพี่สาวไว้ ก่อนจะถูกปัดออกอย่างไม่ใยดี
   “เจ๊!!” ชายหนุ่มตะโกนเรียกชื่อพี่สาว และถูกปิดประตูใส่หน้า ร่างบางถึงกับยืนอึ้งอยู่หน้าประตูครู่ใหญ่ เสียงกระแทกของประตูยังคงดังก้องอยู่ในหัว สมองของฟ่งหมุนติ้ว เขานึกอะไรไม่ออก ได้แต่เบือนหน้ากลับมาช้าๆ และพบว่ารูฟัสยืนรออยู่ พร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
   ฟ่งโผเข้ากอดร่างสูงนั้นทั้งน้ำตา
-------------------------------------------
   รูฟัสจูบหน้าผากของร่างที่แอบอิงอยู่ในอ้อมกอดอย่างรักใคร่ระคนปวดร้าวในหัวใจ ฟ่งร้องไห้เกือบจะตลอดทั้งวัน มันทำให้รูฟัสนึกถึงวันแรกที่ได้พบกับผู้ชายคนนี้  สีหน้าของฟ่งในวันนั้นกับเวลานี้แทบจะเหมือนกันไม่มีผิด สีหน้าของคนที่เหมือนกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ แต่ครั้งนี้คงดูแย่กว่า เพราะนอกจากสีหน้าเศร้าโศกนั้นแล้ว รอยบูดบวมต่างๆ รวมถึงแผลแตกที่ปากยังส่งให้ผู้ชายผมยุ่งคนนี้ดูโทรมกว่าทุกทีที่ผ่านมา ทั้งหมดนี่เพียงเพราะเขาเป็นต้นเหตุอย่างนั้นหรือ?
   ชายหนุ่มขบริมฝีปากอย่างรวดร้าว ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าความรักจะมีมิติที่ทำให้คนต้องเจ็บปวดมากมายขนาดนี้ เขาเคยเจ็บปวดจากความลังเลไม่แน่ใจของฟ่ง แต่ตอนนี้กลับเจ็บปวดเพราะความตั้งใจเด็ดเดี่ยวที่อีกฝ่ายมี เพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าฟ่งต้องอาศัยความกล้าหาญขนาดไหนในการพูดถึงเรื่องการใช้ชีวิตคู่กับคนอย่างเขา กับผู้ชายด้วยกัน ที่ไม่ยอมตัดสินใจลงไปเสียทีก็คงเพราะเป็นห่วงเรื่องนี้
   การใช้ชีวิตคู่ร่วมกับเขา สำหรับฟ่งแล้วก็คงเหมือนการตัดขาดจากครอบครัวเดิมนั่นแหละ
   รูฟัสเคยเสียใจกับการสูญเสียครอบครัวอันเป็นที่รัก ครอบครัวของเขาสูญเสียไปอย่างไม่มีทางเรียกคืนกลับมาได้ และเป็นการสูญเสียที่ไม่คาดฝัน มันคือความเจ็บปวด ความเจ็บปวดที่ถูกพรากสิ่งที่รักไป แต่สำหรับฟ่ง ครอบครัวไม่ได้ถูกพรากไป แต่เป็นตัวฟ่งเองที่เลือกจะทิ้งครอบครัวออกมา กับการทำร้ายจิตใจบุคคลอันเป็นที่รัก กับการถูกคนที่ตัวเองรักและรักตนมาโดยตลอดรังเกียจ กับการยอมตัดเยื่อใยสายสัมพันธ์ของครอบครัวด้วยตัวเอง ความเจ็บปวดนั้นจะมากมายสักเพียงไหน รูฟัสไม่อยากจะจินตนาการเลย ฟ่งคงเจ็บปวดกว่าที่เขารู้สึกอยู่เป็นร้อยๆ เท่า
สายตาปวดร้าวในตอนที่ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองเขาตอนที่ผิงเอ่ยปากไล่ ไม่ต่างอะไรกับคนที่กระโดดลงจากเรือ และพยายามไขว่คว้าหาบางสิ่งบางอย่างเพื่อลอยคอต่อไปในทะเลกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ทางเลือกที่ไม่ว่าใครก็ต้องบอกว่าโง่เง่า แต่ฟ่งเลือกแล้ว เลือกที่จะกระโดดออกมาหาเขา เลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่กับเขา
   ความเจ็บปวดแล่นแปล๊บขึ้นมาจุกที่อก รูฟัสขบริมฝีปาก กลั้นความรู้สึกอัดอั้นไม่ให้ล้นทะลักออกมา เมื่อคืนนี้เขายังกอดฟ่งเอาไว้บนเตียงหลังนี้อย่างมีความสุข สัมผัสกันและกันด้วยความรักที่ร้อนแรงที่แทบจะแผดเผาให้มอดไหม้ ลูบไล้เรือนร่างของอีกฝ่ายด้วยอารมณ์ปรารถนา แต่ในเวลานี้ ทุกอย่างเหมือนเป็นแค่ความฝัน ความเศร้าและปวดร้าวกับเรื่องจริงที่ได้รับคล้ายกับแช่แข็งทุกสิ่งทุกอย่าง ราวกับมีเพียงหยาดน้ำตาเท่านั้นที่พอจะเป็นเครื่องปลอบประโลมใจได้ในยามนี้
ชายหนุ่มก้มลงจูบหน้าผากคนรักอีกครั้ง เลื่อนมือเช็ดหยดน้ำตาที่ยังคงไหลอาบพวงแก้มของร่างที่ซุกอยู่ในอ้อมกอด  ฟ่งหลับตาลงนานแล้ว นานจนไม่คิดว่ายังตื่นอยู่ แต่ถึงอย่างนั้น น้ำตาก็ยังคงไหลซึมออกมาเรื่อยๆ ดังความปวดร้าวที่เจ้าตัวมีอยู่ในหัวใจนั้น ต่อให้อยู่ในห้วงแห่งความฝัน ก็ยังคงตามหลอกหลอนไม่มีที่สิ้นสุด โดยที่เขาไม่มีปัญญาจะช่วยเหลืออะไรได้ แม้จะอยู่ใกล้ชิดกันขนาดนี้ แม้ว่าฟ่งจะยอมเปิดใจให้เขาแล้ว แต่กับความเจ็บปวดที่ฟ่งแลกมา เขากลับไม่อาจช่วยแบ่งเบาหรือบรรเทาลงได้เลย
   รูฟัสขบริมฝีปากอีกครั้ง เขารักฟ่ง รักมากที่สุดเท่าที่ชีวิตเขาจะรักได้ รักและต้องการให้ผู้ชายคนนี้เป็นครอบครัวของเขา แต่ควรแล้วหรือที่เขาจะพรากผู้ชายคนนี้ออกมาจากครอบครัวอันอบอุ่น ครอบครัวอันเป็นที่รัก เขาเคยถูกคนอื่นพรากครอบครัวอันเป็นที่รักไป และตอนนี้เขากำลังพรากครอบครัวของคนอื่นด้วยความรู้สึกง่ายๆ
   ความรู้สึกง่ายๆ ที่เรียกว่ารัก
   ความรักของเขากำลังพรากทุกสิ่งทุกอย่างที่ฟ่งเคยมี รูฟัสนึกถึงคำพูดของราฟาแอล นึกถึงคำพูดของเมี่ยง
หรือว่าคนอย่างเขาไม่ควรที่จะมีความรัก หรือว่าคนอย่างเขาไม่สมควรที่จะรักผู้ชายคนนี้?
ชายหนุ่มหลับตาลงอย่างเจ็บปวด ถึงใครจะมีเหตุผลขนาดไหน ตัวเขาในตอนนี้จะรู้สึกเจ็บปวดเพียงใด และกำลังทำลายชีวิตฟ่งให้พังทลายไปแค่ไหน แต่รูฟัสห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้ เขาตัดสินใจแต่แรกแล้ว ตัดสินใจจะคว้าเอาความรักครั้งนี้มาไว้กับตัวให้ได้ ต่อให้ฟ่งต้องแตกสลายไปต่อหน้า รูฟัสก็จะไม่ยอมปล่อยมือเด็ดขาด
เขารักผู้ชายคนนี้ รักจนไม่อยากส่งกลับคืนหรือมอบให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อฟ่งตัดสินใจจะอยู่กับเขาแล้ว ต่อให้ต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานขนาดไหน เขาจะไม่ปล่อยไป
 รูฟัสหลับตา ได้แต่หวังว่า เมื่อแสดงอรุณแห่งวันใหม่จับขอบฟ้า หัวสมองของเขาคงโล่งขึ้น คงคิดอะไรดีๆ ที่พอจะปลอบประโลมหัวใจปวดร้าวของฟ่งได้บ้าง
คงจะมีวิธีที่ทำให้ฟ่งไม่ต้องเจ็บปวดขนาดนี้เพียงเพราะต้องการใช้ชีวิตร่วมกัน
-------------------------------------
   นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฟ่งรู้สึกว่าตัวเขาช่างเก่งกาจในการทำร้ายจิตใจคนอื่นเสียเหลือเกิน ไม่รู้ว่าเพราะอะไร คนรอบๆ ตัวถึงได้มีความรักมอบให้เขามากนัก ฟ่งรับรู้ความรักที่ทุกคนมอบให้ และพยายามทำทุกอย่างเพื่อตอบสนองความรักเหล่านั้น แต่เขาทำได้ไม่ดีเลยสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นความรักของแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง แม้กระทั่งความรักฉันหนุ่มสาว ฟ่งไม่เคยรู้สึกว่าเขาตอบแทนความรักเหล่านั้นได้เพียงพอเลย มันคงเป็นความเอาแต่ใจที่แก้ไม่หาย
เมื่อถึงจุดหนึ่ง เขาจะยอมแพ้ทุกอย่าง หมดความพยายามเอาดื้อๆ เพียงเพราะเขารู้สึกว่าความรักที่ได้รับมานั้นมากมาย มากจนอัดล้นและแทบจะท่วมตาย โดยที่เขาไม่มีปัญญาพอจะตอบสนองได้ ดังนั้นก่อนที่จะถูกสามัญสำนึกตีตราว่าเห็นแก่ตัว ฟ่งจึงได้พยายามทอดทิ้งความรักทุกอย่าง หลีกเร้นจากการถูกรัก พยายามใช้ชีวิตโดยไม่ต้องพึ่งพาความรักจากใคร แต่ก็เหมือนเป็นเวรเป็นกรรม ในช่วงเวลาที่เขาตัดสินใจทิ้งความรักที่เขาสัญญากับตัวเองว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะขอความรักจากคนอื่น ผู้ชายที่ชื่อรูฟัสคนนี้ก็ก้าวเข้ามา ก้าวเข้ามาในภาวะที่จิตใจของเขาอ่อนไหวถึงขีดสุด และหัวใจที่อ่อนไหวดวงนี้ก็ดึงรั้งดวงตาสองสีนั้นเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว
   ฟ่งไม่รู้ว่าเขามีใจให้รูฟัสตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะชอบผู้ชายด้วยกัน ขนาดกระเทยที่แปลงเพศแล้วเดินผ่าน เขายังไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด ฟ่งมองผู้หญิงมาโดยตลอด ชื่นชอบเรือนร่างโค้งเว้าได้รูป หน้าอกหน้าใจ ผิวนิ่มๆ และเสียงหวานๆ เขาใช้ชีวิตแบบผู้ชายปกติตลอดมา จนกระทั่งพบรูฟัส
   ฟ่งยอมรับว่ารูฟัสเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี แต่ยังไงๆ เขาก็ไม่ได้รู้สึกชอบผู้ชายคนนี้ตั้งแต่แรกเห็น แค่รู้สึกว่าเป็นผู้ชายที่ใจดีจนน่าประทับใจเท่านั้น รูฟัสที่ชวนเขาไปไหนมาไหนราวกับเพื่อนเก่าที่พยายามจะปลอบโยนกันโดยไม่ไถ่ถามสาเหตุแห่งความทุกข์ ในเวลานั้นฟ่งแค่รู้สึกว่าการที่มีผู้ชายคนนี้อยู่ เขาไม่รู้สึกอ้างว้างอีก  ในตอนนั้นเขาเพียงรู้สึกดีที่มีใครสักคนให้คุยด้วย ในช่วงเวลาที่เขาเปล่าเปลี่ยวถึงขีดสุด
   และที่คลับของเมี่ยงในวันนั้น แม้ฟ่งจะพยายามปฏิเสธมาโดยตลอด แต่คืนนั้นเขาหึงรูฟัส เขาหึงคนข้างห้อง หึงผู้ชายคนหนึ่งซึ่งแค่มาชวนเขาออกไปกินข้าวทุกวัน ต่อให้รู้ว่าไม่สมควร แต่พิษแอลกอฮอลที่ซึมเข้าไปในกระแสเลือดทำให้สติสัมปชัญญะของเขาทำงานได้ไม่ค่อยเต็มที่ ฟ่งแสดงอาการหึงหวงออกไปอย่างเห็นได้ชัด ชัดพอที่จะทำให้รูฟัสสังเกตออก
   และรูฟัสก็ตอบสนองความหึงหวงของเขาในรูปแบบที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้
   ฟ่งทำผิดสัญญาของตัวเองด้วยการอ้อนวอนขอความรักจากผู้ชายข้างห้องโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจมาก่อน
   และรูฟัสก็รักเขาอย่างที่เขาไม่อาจจะบ่ายเบี่ยงได้อีก
   ชายหนุ่มปล่อยน้ำตาให้ไหลอาบพวงแก้ม ไม่ว่าเขาจะตื่นหรือจะหลับอยู่ ความเจ็บปวดรวดร้าวยังคงกัดกินหัวใจอยู่แทบจะทุกวินาที ฟ่งไม่อยากจะถามตัวเองอีกแล้วว่าที่เขาตัดสินใจทำลงไปนั้นถูกต้องรึเปล่า ความปวดร้าวที่เขาได้รับจากท่าทีของพี่สาวและน้องชายรุนแรงพอจะทำให้รู้สึกปวดแน่นในอก แรงพอที่จะทำให้น้ำตาเอ่อทะลักออกมา
ฟ่งไม่อยากลืมตาขึ้นเลย เพราะเมื่อลืมตา ความทรงจำแสนดีก็จะแล่นเข้ามาในสมอง ทั้งแว่นตา ทั้งเสื้อผ้า และอะไรอีกหลายๆ อย่างที่เขาใช้อยู่ หลายชิ้นครอบครัวของเขาเลือกสรรให้ด้วยความรัก หลายอย่างที่ผิงทำให้กับเขา ของขวัญหลายชิ้นที่เล้งแอบเอามาซุกเอาไว้บนโต๊ะรกๆ ในวันเกิด ฟ่งเก็บเอาไว้ทุกชิ้น เก็บเอาไว้อย่างดี ทุกสิ่งที่ทุกคนทำให้เขาด้วยความรัก เขาเก็บอย่างดีเสมอมา
   เพราะฟ่งรู้ดีว่าความรักของคนในครอบครัวดีที่สุด
   แต่ตอนนี้ เขาทอดทิ้งความรักนั้น เพื่อผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันคนหนึ่ง ผู้ชายที่ทำให้ชีวิตของเขาผลิกผัน แทบจะเรียกได้ว่าดึงเขาจากโลกปกติเข้าสู่โลกอันตรายที่เขาไม่เคยรู้จัก แต่ถึงอย่างนั้น รูฟัสก็เป็นฝ่ายช่วยเหลือเขาเอาไว้ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือบังเอิญก็ตาม หากไม่มีผู้ชายที่ชื่อรูฟัสเข้ามาในชีวิตของเขา ฟ่งไม่แน่ใจว่าตอนนี้เขายังมีโอกาสเจ็บปวดหรือหลั่งน้ำตาแบบนี้หรือเปล่า ทวีศักดิ์อาจจะเก็บเขาไปแล้ว แต่เรื่องแบบนี้ เล่าให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อ และคงไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะเอาไปอ้างกับครอบครัว
   ฟ่งนึกถึงแม่ หากพี่สาวเขาเสียใจกับการเปลี่ยนแปลงของเขาขนาดนี้ คนเป็นแม่คงไม่ต้องพูดถึง ฟ่งรักแม่ เขาไม่อยากให้แม่เสียใจ แต่...เขาได้เลือกแล้ว....
   หยาดน้ำตาร้อนระอุไหลอาบใบหน้า ฟ่งไม่อยากคิดอะไรอีก ไม่อยากลืมตาตื่น ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น
   หวังเพียงหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่น ของผู้ชายคนหนึ่งที่เขาพยายามจะรัก ที่เขาต้องการมอบหัวใจให้
   หากพรุ่งนี้มาไม่ถึงก็คงจะดี
--------------------------------------------

ออฟไลน์ cocoaharry

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
    • cocoaharry_Demmy Chan_Otaku Y Girl
จิ้มๆๆๆ
เดมเองค่ะจำได้มั้ย*^*
Kanokwan@facebook

อยากให้ครอบครัวฟ่งเข้าใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-11-2011 11:11:08 โดย cocoaharry »

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
 :m15: จบศึกรบก็เป็นศึกรัก

ออฟไลน์ harumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +156/-33

ออฟไลน์ Mookkun

  • magKapleVE
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 637
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
    • Consensual free relationships
บร๊ะะะะ!!! สงสารฟ่งแฮะะะะะ!!~~

จุกแทนอ่ะะะะะะ


yuuki

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องมันเส้า

ครอบครัวเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากจริงๆ นั่นแหละ

แต่ถ้าเข้มแข็งทุกอย่างจะต้องฆผ่านไปด้วยดี

ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
เฮ้อ  แล้วเรื่องมันก็กลับมาเศร้าอีกแล้ว
ตอนนี้ฟ่งใจแข็งมาก อยากให้ครอบครัวฟ่งเข้าใจฟ่งเร็วๆจัง

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**แอบมาเติมความดราม่า...

อย่าเพิ่งท้อกันไปก่อนนะคะ นี่ลูกสุดท้ายแล้วค่ะ

-----------------------------------

บทที่70 เหนือการคาดคำนวณ

   การกลับมาเหยียบพื้นดินโดยสวัสดิภาพของพี่น้องตระกูลเว่ยนั้นสร้างความปั่นป่วนให้กับวงการอิทธิพลของฮ่องกงเป็นอย่างมาก ข่าวเรื่องที่เอียนและนีดเดิลถูกฆ่า กับเรื่องที่ฟารุคและพวกถูกคุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยกักตัวไว้รีดความลับ แพร่กระจายอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าหยดหมึกที่หกบนกระดาษ ทุกซอกทุกมุมไม่ว่าจะเป็นในบาร์ ในผับ หรือแม้แต่ในโกดังสินค้า ต่างซุบซิบเกี่ยวกับเรื่องราวของสองกลุ่มอิทธิพลใหญ่ ที่ตอนนี้ทวีความตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ การที่เว่ยจินหยินแพร่กระจายข่าวของฟารุค ยิ่งทำให้เขาเป็นที่หมายหัว คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยเก็บตัวเงียบอยู่ในตึกสำนักงานเพื่อลดความเสี่ยงในการถูกลอบสังหาร ถึงกระนั้นอีกไม่กี่วันต่อมา ความวุ่นวายระรอกสองก็เกิดขึ้น
   สมาชิกหน่วยดำออกไล่ล่าบรรดาขาใหญ่ของริเวิล เริ่มต้นจากระดับเรฟที่เคยอยู่ใต้คำสั่งของเอียนและฟารุค รวมไปถึงการลอบสังหารไฮท์ที่เหลือ การรุกคืบของเว่ยจินหยินเป็นไปอย่างราวเร็วและเงียบเชียบ เขาส่งคนเข้าไปแฝงตัวในริเวิลก่อนหน้านี้พักใหญ่แล้ว และยังหยอดน้ำหวานด้านผลประโยชน์ให้กับผู้บริหารบางคนที่อยู่ใต้อาณัติปกครองของแก๊งตรงข้าม ว่าหากริเวิลถึงคราวเพลี่ยงพล้ำ หากช่วยซ้ำ จะมีรางวัลให้อย่างงามจากการกระทำนี้
   เล่ห์ลิ้นของเว่ยจินหยิน ปฏิบัติการขั้นเฉียบขาดของหน่วยดำ รวมถึงความลับที่ได้มา สั่นคลอนริเวิลให้สะเทือนอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน มากกว่าตอนสมัยหกเจ็ดปีที่แล้วที่ถูกทางการอังกฤษกวาดล้างเสียอีก เหล่าผู้ตกอยู่ใต้อาณัติที่กำลังเสียขวัญกับสภาพง่อนแง่นกะทันหันของผู้ปกครอง ต่างตะลีตะลานเข้าพึ่งใบบุญของตระกูลเว่ยอย่างไม่รีรอให้ภัยมาถึงตัว เนื่องจากเว่ยจินหยินปฏิเสธไม่รับแขก ดังนั้นสถานที่ที่ทุกคนมุ่งไปจึงเป็นคฤหาสน์ริมน้ำของเว่ยชิงผู้นำสูงสุดของตระกูลเว่ย
   เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้ว เขาไม่เคยมาเหยียบคฤหาสน์ของพ่อมาก่อน และไม่เคยพบกับสภาพโกลาหนอันเกิดจากการรวมตัวกันของพวกพ่อค้าวานิช และผู้มีอิทธิพลต่างๆ ที่หวังจะเข้าประจบขอพึ่งบารมีของอสูรเฒ่าวัยหกสิบเศษก่อนที่จะซวยถูกกวาดทิ้งไปพร้อมกับริเวิล
   รถติดเป็นขบวนยาวเหยียด สร้างความหงุดหงิดให้กับคุณชายเจ็ดเป็นอย่างมาก เว่ยเฟิงปิงไม่คิดจะมาเหยียบที่นี่มาก่อน และหลังจากนี้คงไม่มาอีก ต่อให้คฤหาสน์ร้อยล้านของผู้เป็นพ่อจะวิจิตรพิสดารขนาดไหนเขาก็ไม่อยากชายตามอง ของของผู้ชายที่น่ารังเกียจคนนั้น เป็นไปได้เว่ยเฟิงปิงไม่อยากจะเหลือบมองด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องพาตัวเองกับบรรดาลูกน้อง มาแออัดอยู่ในดงรถติดและสิ่งปลูกสร้างของบุคคลอันไม่พึงปรารถนาคือคำขอร้องของพี่ชายต่างมารดาที่มีชื่อว่าเว่ยจินหยิน
   ตึกที่เว่ยจินหยินพักอยู่อันเป็นสำนักงานใหญ่ของตระกูลนั้นตั้งอยู่บนที่ตั้งเดิมของคฤหาสน์เก่าของตระกูลเว่ย เมื่อหลายปีก่อนตอนที่เว่ยฟู่ฉินยังไม่ประกาศแยกตัวออกไป เว่ยชิงยังพักอาศัยอยู่ในตึกนั้นพร้อมกับลูกชายทั้งสองคนของเขา แต่เมื่อลูกชายคนโตประกาศแยกตัวออกจากแก๊งอย่างเป็นทางการ บุคคลที่เรียกขานกันว่าเจ้านายใหญ่ หรือคุณท่าน ก็ยังอุตส่าห์ดั้นด้นไปสร้างคฤหาสน์สุดหรูใกล้ที่ทำงานใหม่ของลูกชาย แทบจะไม่ยอมปล่อยให้คลาดสายตาเลยทีเดียว ได้ยินมาว่าเว่ยชิงรักลูกคนโตคนนี้มาก ถึงจะทำให้ช้ำใจในตอนที่ประกาศไม่รับช่วงต่อจนทำให้ผู้เป็นพ่อล้มป่วยนับเดือนโดยไม่แยแสสนใจก็ไม่เคยนึกโกรธเคืองหรือแสดงว่าไม่พอใจให้เห็นเลย
   คฤหาสน์ใหม่ของเว่ยชิงกับตึกสำนักงานนั้นอยู่ไกลกันพอสมควร ในภาวะที่เว่ยจินหยินจำต้องเก็บตัวเงียบเพื่อความปลอดภัย และบรรดาลูกน้องคนสนิททั้งหลายก็ทำงานกันมือประวิงเพื่อบีบต้อนริเวิลให้จนมุม ลูกชายคนรองคนนี้ยังมีกะใจอยากจะรู้สารทุกข์สุกดิบของผู้เป็นพ่อ เว่ยเฟิงปิงเกือบจะแน่ใจว่าเว่ยจินหยินต้องการคำยืนยันว่าเว่ยชิงกำลังพอใจในการทำงานเอาใจขนาดออกนอกหน้านี้ จึงเอ่ยปากขอร้องให้เขาช่วยแวะมาเยี่ยมเยียนและดูสถานการณ์ที่คฤหาสน์หลังงามริมน้ำนี้ให้หน่อย
   ถ้าไม่นับว่าติดหนี้บุญคุณเรื่องตอนถูกส่งไปเมืองไทย กับอำนาจมหาศาลในตระกูลที่เว่ยจินหยินครอบครองอยู่ เว่ยเฟิงปิงไม่มีทางบากหน้ามาเด็ดขาด
   กว่าที่เขาจะได้ก้าวเท้าเข้าสู่คฤหาสน์ของผู้เป็นพ่อก็กินเวลาเดินทางเกือบสองชั่วโมง สิ่งแรกที่คุณชายเจ็ดทำคืออัดบุหรี่ให้ชุ่มปอด แน่นอนว่าเขาสูบมันต่อหน้าลูกน้องคนสนิทที่มีชื่อว่าจางซื่อเยี่ยน
   เว่ยเฟิงปิงจงใจระบายควันบุหรี่ใส่ใบหน้าของจางซื่อเยี่ยนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตั้งแต่กลับมาจากเมืองไทย เขาไม่คุยเรื่องอื่นกับหมอนี่เลยนอกจากเรื่องงาน ด้วยหวังว่าลูกน้องทึ่มคนนี้จะรู้สึกตัวบ้างว่าการพูดถึงเรื่องงานอย่างเดียวน่าเบื่อขนาดไหน แต่กลับกลายเป็นว่าจางซื่อเยี่ยนยังคงทึ่มเสมอต้นเสมอปลาย นอกจากจะไม่รู้สึกอะไรแล้วยังเหมือนจะพอใจกับการกระทำประชดประชันของเขาด้วยซ้ำ เว่ยเฟิงปิงมองดูควันบุหรี่ที่ฟุ้งกระจายไปในอากาศ ก่อนจะเบือนสายตาเมื่อใบหน้าของผู้เป็นลูกน้องปรากฏขึ้นหลังม่านควัน
   จางซื่อเยี่ยนเกือบสำลัก เป็นครั้งแรกที่เว่ยเฟิงปิงจงใจพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าเขา อดีตหน่วยดำทราบมานานแล้วว่าเจ้านายคนนี้คงยังรู้สึกไม่พอใจเขาอยู่ จากพฤติกรรมที่ปกติก็เย็นชาอยู่แล้ว ระยะหลังมานี้ยิ่งเย็นชาหนักเข้าไปอีก กระทั่งนอนเตียงเดียวกันยังเขยิบออกห่าง โชคยังดีที่ไม่เอ่ยปากไล่เขาออกไปนอนที่อื่นเหมือนคราวนั้น จางซื่อเยี่ยนจำต้องก้มหน้าก้มตารับใช้และตอบอารมณ์แปรปรวนนี้ต่ออย่างไม่รู้หนทางแก้ไข เหมือนบางครั้งเจ้านายคนนี้จะมีใจให้เขา เหมือนบางครั้งก็ดูจะรำคาญเขาเสียเต็มประดา ส่วนไหนคือความในใจจริงๆ ของเว่ยเฟิงปิง จางซื่อเยี่ยนตอบตัวเองไม่ได้เลย เขาต้องทำยังไงเจ้านายคนนี้ถึงจะพอใจกันนะ อดีตหน่วยดำยังคงก้มหน้าก้มตาทนกับควันบุหรี่ที่อีกฝ่ายพ่นใส่หน้าด้วยความจงใจ ด้วยหวังว่าเว่ยเฟิงปิงจะอารมณ์ดีขึ้นบ้างหลังจากทำแบบนี้กับเขา
   การก้มหน้าก้มตารับการประชดประชันโดยไม่ปริปากของผู้เป็นลูกน้องกลับทำให้เว่ยเฟิงปิงหงุดหงิดหนักขึ้นอีก เขาคีบบุหรี่ไว้ในมือ ถลึงตาจ้องมองร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า ควันบุหรี่ลอยอ้อยอิ่ง เว่ยเฟิงปิงยังไม่ได้เข้าไปภายในตัวคฤหาสน์ เขาเดินมาหลบอยู่ตรงมุมสงบมุมหนึ่ง เพราะบรรดาพวกข้างนอกที่ทยอยกันเข้ามา พอรู้ว่าเขาเป็นใครก็ปรี่เข้ามาประจบประแจงจนน่ารำคาญ เว่ยเฟิงปิงพาบอดีการ์ดมาไม่มาก และไม่อยากถูกเหมาว่ามีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับผู้เป็นพ่อ ดังนั้นจึงปลีกตัวออกมาเงียบๆ และให้ลูกน้องคนอื่นยืนกันคนอยู่ด้านนอก เพื่อจะได้มีเวลาพักอัดบุหรี่ให้หายหงุดหงิด แต่กลับกลายเป็นว่าตอนนี้เขาหงุดหงิดกว่าเดิมเพราะเจ้าซื่อบื้อที่ยืนทึ่มอยู่ตรงหน้านี่แหละ
   สองคนยืนจ้องหน้ากันพักหนึ่งโดยปราศจากคำพูด จางซื่อเยี่ยนไม่รู้ว่าเจ้านายเขาจะเอายังไงอีก และนึกไม่ออกว่าสมควรจะพูดอะไร ดังนั้นจึงได้แต่ยืนเฉยๆ ถ้าเว่ยเฟิงปิงอยากจะจ้องเขาเขาก็ยอมให้จ้อง ถ้าอยากจะด่าเขาเขาก็ยอม ขอแค่ให้เจ้านายคนนี้หายหงุดหงิดงุ่นง่านใส่เขาเสียที นัยน์ตาสีฟ้ามองมาอย่างเย็นชา ประหนึ่งนัยน์ตาอ่อนหวานที่เคยมองเขาในบางเวลาก่อนหน้านี้เป็นแค่ความฝัน ใช่ล่ะ โดยปกติเว่ยเฟิงปิงก็เย็นชาแบบนี้กับเขาเสมอมาอยู่แล้ว แต่ช่วงเวลาอ่อนหวานนั้นก็ยังพอมีให้เห็นอยู่บ้าง ปัญหาคือช่วงเวลาแบบนั้น เขาจะทำให้มันเกิดขึ้นได้ยังไง
   เว่ยเฟิงปิงมองจางซื่อเยี่ยนด้วยอารมณ์หงุดหงิดถึงขีดสุด เกือบสัปดาห์แล้วที่เขาอดทนกับความไม่พอใจนี้ และเวลานี้ก็ใกล้จะถึงจุดระเบิดไปทุกที ประกอบกับการต้องทนมาเหยียบในสถานที่ที่ไม่พึงประสงค์ นัยน์ตาสีฟ้าลุกวาวราวกับต้องการบางสิ่งบางอย่าง บุหรี่ที่ยังสูบไม่ทันหมดมวน ถูกมือเรียวจับขยี้เข้ากับปกคอเสื้อสูทของอีกฝ่าย กลิ่นเหม็นไหม้ของเนื้อผ้าผสมกับกลิ่นนิโคตินไม่ชวนให้รู้สึกดีเลยสักนิด เว่ยเฟิงปิงจงใจขยี้มันลงไปอย่างช้าๆ พร้อมกับนัยน์ตาที่จ้องมองมาอย่างเยียบเย็น ควันสีขาวยังคงลอยอ้อยอิ่งอยู่อีกพักใหญ่ ผู้เป็นเจ้านายมองดูลูกน้องซึ่งใบหน้าถอดสีอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากบางกระตุกขึ้นเล็กน้อย เขากำลังหวังอะไรกับเจ้าหมอนี่อยู่กันแน่
   กลิ่นบุหรี่คลุ้งเข้ามาในระบบรับกลิ่น ผิดแต่ว่ามันไม่ได้เข้ามาทางจมูก แต่ผ่านมาจากริมฝีปากบางที่บดขยี้เข้ามาต่างหาก ท่าทีที่เปลี่ยนไปกะทันหันของผู้เป็นเจ้านายยิ่งทำให้จางซื่อเยี่ยนตั้งตัวไม่ติด เว่ยเฟิงปิงเพิ่งแสดงอาการดูถูกเขาชนิดแทบจะรับไม่ได้ แต่จู่ๆ กลับจูบเอาอย่างจริงๆ จังๆ เรียวลิ้นร้อนที่กวาดเข้ามาอย่างกระหายนั้นแทบไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นของคนคนเดียวกับที่จี้บุหรี่ใส่เขาเมื่อครู่
   เว่ยเฟิงปิงหงุดหงิด หงุดหงิดมากจริงๆ ที่จางซื่อเยี่ยนไม่ยอมแสดงความรู้สึกอะไรออกมาให้เขารู้บ้าง ถ้าเจ้าหมอนี่มันซื่อบื้อขนาดนี้ ก็คงต้องเป็นเขาที่แสดงความรู้สึกออกไปก่อน จะมาหวังให้มนุษย์สมองทึ่มเข้าใจเอาเองคงเหมือนฝันให้กาออกลูกมาเป็นตัวนั่นแหละ
   ร่างบางผลักอีกฝ่ายเข้ากับผนัง จูบและกัดริมฝีปากนั้นอย่างแฝงความขุ่นเคืองอยู่บ้าง เพราะขนาดตัวที่ต่างกันเกินไป ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายรุกขนาดนี้แล้ว เว่ยเฟิงปิงไม่รู้สึกเลยว่าสามารถจัดการสยบลูกน้องคนนี้ได้ การกดจางซื่อเยี่ยนเข้ากับผนังให้ความรู้สึกเหมือนกำลังผลักท่อนซุง
   จางซื่อเยี่ยนรู้สึกว่านี่ออกจะผิดที่ผิดทางมากไปหน่อย ทำไมเว่ยเฟิงปิงไม่ทำแบบนี้กับเขาในห้อง แต่กลับมาทำในมุมหนึ่งในคฤหาสน์ของเจ้านายใหญ่ เขาไม่เข้าใจเจ้านายคนนี้เลยจริงๆ ถึงอย่างนั้นก็คงไม่สามารถจะตามใจเจ้านายของเขาในตอนนี้ได้ ที่นี่เสี่ยงเกินไป ถ้ามีใครเดินผ่านไปผ่านมาเห็นเข้าจะดูไม่ดีกับตัวเว่ยเฟิงปิงเอง ชายหนุ่มตัดสินใจผลักอีกฝ่ายออก แต่ดูเหมือนเฟิงปิงจะไม่ยินยอมให้ทำแบบนั้นได้ง่ายๆ เจ้านายของเขาต่อต้านสุดฤทธิ์ จนอดีตหน่วยดำนึกหงุดหงิดใจ ทำไมเว่ยเฟิงปิงถึงได้มาดื้อเอาในสถานการณ์แบบนี้ จางซื่อเยี่ยนจึงต้องออกแรงเต็มที่ เพื่อหยุดเจ้านายของเขาจากการกระทำสุ่มเสี่ยงดังกล่าว หลังจากต่อสู้ดิ้นรนอยู่พักใหญ่ ข้อมือสองข้างของเว่ยเฟิงปิงก็ถูกตรึงเข้ากับผนังแทน ร่างบางหอบหายใจ ใบหน้าแดงก่ำ นัยน์ตาสีฟ้าถลึงใส่อย่างโมโหโทโส จางซื่อเยี่ยนอยากจะพูดอธิบายเหตุผลกับเจ้านายของเขา แต่ก่อนจะทันอ้าปาก เว่ยเฟิงปิงก็ชิงอ้าปากขึ้นก่อน สุดท้ายเขาจึงต้องใช้วิธีก่อนหน้าซึ่งดูจะได้ผลในสภาพการณ์เช่นนี้
   ลิ้นร้อนที่บุกรุกเข้ามาอย่างดุเดือดผลักเอาคำพูดก่นด่าของเว่ยเฟิงปิงหลุดหายกลับเข้าไปในคอจนหมด ถึงอย่างนั้นผู้เป็นเจ้านายก็ยังไม่หายหงุดหงิด เขาจำได้ดีว่าครั้งก่อนที่จางซื่อเยี่ยนจูบเขาแบบนี้มันจบลงยังไง เว่ยเฟิงปิงตกลงใจจะระบายโทสะใส่ลูกน้องคนนี้อย่างถึงที่สุด เขาไม่โอนอ่อนไปตามจูบของอีกฝ่าย ทั้งผลักทั้งดิ้น แถมในปากยังก็ยังต่อต้านสุดฤทธิ์
   จางซื่อเยี่ยนสำนึกรู้มานานว่าเว่ยเฟิงปิงอารมณ์รุนแรง ยิ่งแสดงอาการต่อต้านขัดขืนขนาดนี้แปลว่ากำลังหงุดหงิดมากจริงๆ แต่ขืนเขาหยุดกลางคันสถานการณ์คงได้เลวร้ายกว่าเดิม หากมีใครผ่านมาเห็นเขาคงต้องอธิบายเหตุผลโดยเอาตัวเองเป็นผู้กระทำผิด ซึ่งเขาก็คงทำผิดจริงๆ แต่ตอนนี้ ขอจัดการให้อารมณ์พลุ่งพล่านของเว่ยเฟิงปิงสงบลงก่อน
   เว่ยเฟิงปิงจูบกับจางซื่อเยี่ยนมาหลายหนแล้ว มีทั้งที่รู้สึกแย่มาก และรู้สึกเฉยๆ ไปจนถึงรู้สึกดีในระดับหนึ่ง ขึ้นอยู่กับว่าลูกน้องที่ทื่อเป็นหุ่นยนต์คนนี้จะอยู่ในอารมณ์แบบไหน แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะแตกต่างจากครั้งก่อนๆ จางซื่อเยี่ยนไม่ได้จูบเขาเพราะถูกบังคับ ไม่ได้จูบเขาเพราะอยากเอาใจ แต่จงใจจูบเขาเหมือนต้องการปรามให้ยอมแพ้ นั่นยิ่งทำให้เว่ยเฟิงปิงขัดขืนหนักเข้าไปอีก เขายอมไม่ได้จริงๆ ถ้าจะต้องพ่ายแพ้กับเจ้าซื่อบื้อคนนี้
   อดีตหน่วยดำพยายามยับยั้งชั่งใจตัวเองมาโดยตลอด กระทั้งตอนนี้เขาก็ยังอยากจะอ่อนโยนกับเจ้านายของเขาให้มาก แต่เว่ยเฟิงปิงนั้นดื้อดึงจนน่าระอา และดูท่าจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ จากที่ตั้งใจจะปฏิบัติอย่างอ่อนโยน จางซื่อเยี่ยนจำต้องใช้ความรุนแรงขึ้นบ้าง เขากระแทกร่างเข้ากับร่างผอมบางที่แนบผนังอยู่ บดเบียดริมฝีปากและล้วงลิ้นเข้าไปในช่องเปิดนั้นอย่างไม่ปราณีอีก เมื่อพบกับการต่อต้าน เขาก็จัดการดูดดึงลิ้นของอีกฝ่ายเข้ามาและขบกัดอย่างพอให้รู้สึกตัว ก่อนจะคว้านลึกเข้าไป แทรกสำรวจจนทั่ว ดูดดึงริมฝีปากนั้นอย่างแรง เผยอออกพอให้ได้จังหวะหายใจครู่หนึ่ง และบดขยี้ซ้ำลงไปอีก
   เดิมเว่ยเฟิงปิงตั้งใจจะต่อต้านลูกน้องคนนี้อย่างถึงที่สุด ไม่ว่ายังไงเขาจะไม่ยอมแพ้กับคนงี่เง่าแบบนี้ แต่ตอนนี้ถ้ามีผ้าขาวอยู่ข้างๆ เว่ยเฟิงปิงคงรีบโยนมันออกไปอย่างไม่ลังเล เขารู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นลม นัยน์ตาพร่าไปหมด ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะมาเสียทีกับชั้นเชิงที่คาดไม่ถึงของลูกน้องที่ปกติทื่ออย่างกับหุ่นยนต์ สิ่งเดียวที่เว่ยเฟิงปิงคิดตอนนี้คืออยากให้จางซื่อเยี่ยนหยุด หยุดก่อนที่เขาจะหมดสติ
   จางซื่อเยี่ยนยอมผละริมฝีปากออกในตอนที่ร่างกายของเว่ยเฟิงปิงสั่นกระตุกอย่างแรง และรีบช้อนตัวของเจ้านายซึ่งอ่อนปวกเปียกจนแทบจะล้มลง เว่ยเฟิงปิงหอบหายใจถี่หนัก ใบหน้าแดงก่ำ นัยน์ตาปรือจนแทบจะปิด อย่าว่าแต่อ้าปากด่า ขนาดแรงที่จะเอื้อมมือมาจับอีกฝ่ายเพื่อพยุงร่างก็ยังไม่มี ผู้เป็นเจ้านายปล่อยให้ลูกน้องโอบร่างแนบชิดโดยไม่อาจตอบโต้ คล้ายดังถูกจูบเมื่อครู่สูบเอาเรี่ยวแรงไปจนหมด เป็นครั้งแรกที่เว่ยเฟิงปิงพ่ายแพ้ให้กับจางซื่อเยี่ยนอย่างหมดสภาพ
   แม้จะรู้สึกผิดที่ทำให้เจ้านายตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ แต่หัวใจของจางซื่อเยี่ยนกลับเต้นไม่เป็นจังหวะ เหมือนเป็นครั้งแรกที่เขาเอาชนะอารมณ์รุนแรงของผู้เป็นเจ้านายได้ เว่ยเฟิงปิงยามนี้หอบหายใจราวกับคนเพิ่งพ้นจากการจมน้ำ ร่างผอมบางที่อ่อนระทวยแผ่ไอร้อนที่ชวนให้เคลิ้มออกมา ใบหน้าและลำคอแดงซ่าน ริมฝีปากที่ถูกดูดดึงอย่างรุนแรงแดงเจ่อ จางซื่อเยี่ยนแทบทนไม่ไหว เขาอยากจะรุกล้ำเจ้านายให้มากกว่านี้ แต่นี่ไม่ใช่สถานที่เหมาะสม และก่อนหน้านี้เขาเองที่เป็นฝ่ายต้องการจะบอกกล่าวเว่ยเฟิงปิงในเรื่องนี้
   กว่าเว่ยเฟิงปิงจะลืมตาขึ้นมาได้เต็มที่ก็กินเวลาเป็นนาที สิ่งแรกที่เขาทำคือมองจางซื่อเยี่ยนอย่างพินิจพิเคราะห์ราวกับสงสัยว่านี่จะไม่ใช่จางซื่อเยี่ยนที่เขารู้จัก ชายหนุ่มยิ้มให้เขา พร้อมกับคำพูดเดิมๆ อย่างที่เคยพูด
   “ขอโทษครับ”
   ปกติหลังผ่านช่วงเวลาน่ารัญจวนและเจอคำพูดหักอารมณ์แบบนี้ เว่ยเฟิงปิงคงขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด แต่ตอนนี้เขาอ่อนล้าเกินไปที่จะรู้สึกแบบนั้น ร่างบางได้แต่ผงกศีรษะ และส่งเสียงอืมในลำคอเหมือนยอมรับคำขอโทษนั้น จางซื่อเยี่ยนเผยยิ้มกว้างเหมือนเด็กๆ จะว่าไปเหมือนจะไม่ค่อยเห็นผู้ชายคนนี้ยิ้มเท่าไหร่นัก เพราะโดยปกติเว่ยเฟิงปิงแทบจะไม่มีเวลามาพินิจพิจารณาใบหน้าของลูกน้องคนนี้อย่างจริงๆ จังๆ เลย ที่จำได้คือสีหน้าเฉยชากับนัยน์ตาสีอีกาที่เตรียมพร้อมรอรับคำสั่งเท่านั้น
   นัยน์ตาสีฟ้าหรี่เหมือนต้องการปรับโฟกัส ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่เขานึกอยากพิจารณาใบหน้าลูกน้องคนนี้ เขาก็ควรจะดูให้ละเอียด สมัยก่อนที่จางซื่อเยี่ยนไว้ผมยาว เว่ยเฟิงปิงก็ไม่เคยมีโอกาสได้มองหน้าลูกน้องคนนี้อย่างจริงๆ จังๆ กระทั่งตอนที่มีอะไรกันครั้งแรกเขายังจำไม่ได้เลยว่าหน้าตาจางซื่อเยี่ยนเป็นแบบไหนแน่ ในหัวมีแต่คำว่า”เจ้าของ”เท่านั้น เขาอยากได้ตัวจางซื่อเยี่ยน อยากได้ผู้ชายคนนี้มาอยู่ใต้อำนาจ อยากจะแย่งชิงสิ่งที่เป็นของพ่อเขา จำได้แต่เพียงว่าจางซื่อเยี่ยนคือหมากของพ่อตัวหนึ่ง ซึ่งเขาจำต้องแย่งเอามาเป็นของตัวเองให้ได้ กับรายละเอียดปลีกย่อยเกี่ยวกับตัวผู้ชายคนนี้ เว่ยเฟิงปิงแทบจะไม่ได้คิดจดจำเลย
   รอยยิ้มของจางซื่อเยี่ยน แม้ไม่ได้เปี่ยมเสน่ห์แบบรูฟัส แต่ก็จริงใจใสซื่ออย่างไม่น่าเชื่อ ใบหน้าเรียวที่อดีตคงยังไว้ด้วยเรือนผมยาวสลวยที่มัดรวบเอาไว้เป็นประจำ ยามนี้มีปอยผมสั้นๆ ร่วงลงมาปรกหน้าผาก หน้าผากของจางซื่อเยี่ยนไม่แคบไม่กว้าง กำลังพอดี คิ้วก็ดกได้รูป อืม..ตาสีดำสนิทนั่น ถึงจะไม่ชวนให้ประทับใจแบบตาสองสีแสนประหลาดคู่นั้น แต่เวลาที่มองมาทางเขาก็ดูจะมีอะไรอยู่ไม่น้อย นั่นทำให้หัวใจเว่ยเฟิงปิงอิ่มเอมอย่างประหลาด เขาไม่เคยพินิจแววตาของลูกน้องคนนี้เลย ไม่ว่าก่อนหน้าที่มีอะไรกัน หรือหลังจากนั้น ไม่รู้เลยว่าจางซื่อเยี่ยนจะมองเขาด้วยสายตาเต็มเปี่ยมขนาดนี้ เว่ยเฟิงปิงตัดสินใจละสายตาจากดวงตาสีดำคู่นั้นไปพิจารณาส่วนอื่น ก่อนที่เขาจะรู้สึกหวั่นไหวไปมากกว่านี้
   จมูกของจางซื่อเยี่ยนไม่ได้เป็นสันสวยแบบชาวยุโรป แต่พอประกอบเข้ากับริมฝีปากหนาพอเหมาะ กรามเป็นสัน กับนัยน์ตาเรียวยาวสีดำแบบนั้น ก็ดูไม่เลวเลยทีเดียว เว่ยเฟิงปิงเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า จางซื่อเยี่ยนเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง ถึงกับดีมากด้วย เผลอๆ จะหน้าตาดีกว่าเขาเสียอีก ส่วนเรื่องร่างกายคงต้องไว้พิจารณากันตอนหลัง ที่แน่ๆ ผู้ชายคนนี้แข็งแรงกว่าเขาแน่นอน
   “อืม...ทำไมนายไม่ไปทำอาชีพอื่น” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยถามอย่างพาซื่อ ไม่บ่อยนักที่เขาจะถามอะไรโดยไม่ผ่านการคัดกรองอีกชั้นหนึ่งก่อน สติของเขายังไม่กลับคืนมาจากรสจูบลืมโลกเมื่อครู่เท่าไหร่นัก ดังนั้นสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่จึงถูกกล่าวออกไปอย่างรวดเร็ว
   จางซื่อเยี่ยนมีสีหน้าแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด เขานึกสงสัยว่าเว่ยเฟิงปิงจะมาไม้ไหนอีก จะไล่เขาไปทำงานอย่างอื่นหรือ ร่างแกร่งเอ่ยถามเสียงค่อย “คุณอยากให้ผมเปลี่ยนงานหรือครับ?”
   ผู้ถูกถามสั่นศีรษะอย่างเหนื่อยหน่าย เริ่มคิดได้ว่าเขาอาจจะถามคำถามไม่ครบถ้วน
   “นายเป็นคนหน้าตาใช้ได้ ทำไมมาทำอาชีพนี้ล่ะ?”
   จางซื่อเยี่ยนยิ้มออกมาทันที ถ้าไม่ได้ยินไม่เห็นเองต่อหน้าเขาคงไม่เชื่อ เว่ยเฟิงปิงตอนนี้พ่ายแพ้หมดสภาพจริงๆ กระทั่งหันมาพิจารณาหน้าตาของเขา และยังพาซื่อถามคำถามแบบนี้ออกมา จางซื่อเยี่ยนเอ่ยตอบเจ้านายของเขา
   “ผมถูกคุณพ่อคุณเก็บมาเลี้ยง จำไม่ได้แล้วหรือครับ?”
   “อ้อ...” เว่ยเฟิงปิงคราง พลางพยักหน้า สติเขาเริ่มคืนกลับมาแล้ว ใช่ล่ะ จางซื่อเยี่ยนเป็นเด็กในสังกัดของพ่อของเขา นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงได้เย็นชากับลูกน้องคนนี้นัก เว่ยเฟิงปิงระบายลมหายใจ
   “นายรักฉันมากว่าคุณพ่อหรือยัง?”
   จางซื่อเยี่ยนอ้ำอึ้งไปอีก กับคำถามนี้ของเว่ยเฟิงปิง เขาตอบยากจริงๆ แต่ขืนตอบช้า ก็คงไม่วายโดนหงุดหงิดใส่ซ้ำ ผู้เป็นเจ้านายโบกมือหลังจากนั้น
   “ไม่ต้องตอบล่ะ ฉันขี้เกียจฟัง เอาว่าตอนนี้นายรักฉันใช่ไหม?”
   “ครับ”
   กับคำถามอย่างนี้จางซื่อเยี่ยนตอบได้อย่างไม่ลังเลใจเลย เว่ยเฟิงปิงพยักหน้า ก่อนจะเบือนสายตามามองอีกรอบ
   “ตอนนี้ฉันขอแค่นายรักฉันก็พอ”
----------------------------------------------
   ทั้งๆ ที่มีคนรอเข้าพบเป็นจำนวนมาก แต่เว่ยชิงยังอุตส่าห์เจียดเวลาให้กับลูกชายคนที่เจ็ดซึ่งเดินทางมาอย่างไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้า ซึ่งผิดความคาดหมายของเว่ยเฟิงปิงอยู่บ้าง เพราะไม่คิดว่าผู้เป็นพ่อจะลงทุนต้อนรับเขาซึ่งเคยถูกขับออกจากตระกูล ความจริงเว่ยเฟิงปิงแค่ต้องการแวะมาดูลาดเลาตามคำขอร้องของเว่ยจินหยินเท่านั้น
   ที่อยู่ต่อหน้าเขาตอนนี้คือชายชาวจีนวัยหกสิบเศษ ที่มีใบหน้าดูอ่อนกว่าวัยอย่างน่าตกใจ เว่ยชิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ฉลุลายอย่างจีนตัวใหญ่ สีดำสนิท สวมชุดแพรอย่างที่คนสมัยก่อนนิยมสวมใส่กัน ท่าทีดูน่าเกรงขามเช่นเคย กับนัยน์ตาสีดำราวน้ำครำที่มองมาเหมือนยังมีเยื่อใยพ่อลูกนั้น เว่ยเฟิงปิงไม่อยากเหลือบมองเลยสักนิด  เขาแทบจะไม่รู้สึกผูกพันอะไรเลยกับผู้ชายที่ให้สายเลือดแก่เขา กับผู้ชายที่เป็นพ่อบังเกิดเกล้าของเขา
   คงเพราะความห่างเหินที่เย็นชาและยาวนานจนเกินไป
   “เป็นยังไงบ้างล่ะ ตั้งแต่กลับจากเมืองไทย พ่อยังไม่มีเวลาไปเยี่ยมพวกเธอเลย” ผู้เป็นพ่อเอ่ยวาจานำขึ้นก่อน แม่บ้านคนเก่าคนแก่ยกน้ำชาเข้ามาให้ถึงในห้อง เว่ยเฟิงปิงปฏิเสธอย่างสุภาพ ของที่มาจากคำสั่งของเว่ยชิง อันตรายพอๆ กับที่มาจากมือของเว่ยจินหยินนั่นแหละ กับคนที่ต้องตรวจสอบอาหารเป็นประจำอย่างพ่อของเขา เดาได้เลยว่าก่อนหน้านี้เคยมีประสบการณ์ทำอะไรมาบ้าง
   “ก็ดี” เว่ยเฟิงปิงตอบเสียง เขาไม่ได้ต้องการจะมานั่งเผชิญหน้าและตอบคำถามน่าเบื่อกับชายแก่วัยหกสิบคนนี้ ลูกชายคนที่เจ็ดเอ่ยถามถึงสิ่งที่ตนต้องการทันที
   “คุณพ่อล่ะเป็นยังไงบ้าง คนมาออขนาดนี้คงปลื้มน่าดูเลยสิ”
   เว่ยชิงแค่นหัวร่อ ดูจะผิดแผกจากพฤติกรรมสำหรับคนที่กำลังดีใจอยู่บ้าง คล้ายกับว่านี่ยังไม่ใช่สิ่งที่ท่านต้องการ เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้ว
   “จินหยินสั่งให้เธอแวะมาเยี่ยมพ่อหรือ?”
   ผู้ถูกถามสั่นศีรษะ ถึงแม้เขาจะมีความคิดอ่อนข้อให้ผู้เป็นพี่ชาย แต่ก็ใช่ว่าต้องป่าวประกาศความตั้งใจนี้ให้คนอื่นรับรู้เสียหน่อย ผู้เป็นพ่อแค่นหัวเราะอีก นั่นทำให้เว่ยเฟิงปิงนึกรำคาญ เหมือนว่าเว่ยชิงกำลังมีแผนอะไรอยู่
   “เรื่องผู้สืบทอดน่ะ ลูกหวังขนาดไหน?”
   จู่ๆ คำถามที่เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เขากับเว่ยจินหยินเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไปร่วมประชุมที่เมืองไทยก็ถูกเอ่ยขึ้นจากผู้มีอำนาจสูงสุด นัยน์ตาของเว่ยเฟิงปิงไหววูบทันที เขาเงยหน้ามองผู้เป็นพ่อ ตอบออกไปอย่างฉาดฉาน
   “พี่จินหยินหวังขนาดไหน ผมก็หวังขนาดนั้นแหละ” เขาตอบโดยยั้งความเกรงใจเอาไว้บ้าง ใจจริงเว่ยเฟิงปิงหวังจะโค่นเว่ยชิงตอนนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ศักยภาพของเขายังไม่เพียงพอจะทำเช่นนั้น อย่าว่าแต่ผู้เป็นพ่อ แค่พี่ชายคนรองเขาก็แทบจะยกธงขาวแล้ว ถ้าจะให้ต่อกรกับเว่ยจินหยินตัวต่อตัว เขายอมอยู่เฉยๆ ดีกว่า แต่หากมีผู้เป็นพ่อช่วยปูทางล่ะก็ไม่แน่ ถึงจะเกลียดเว่ยชิงเข้าไส้ แต่ถ้าหากการเสนอหน้านี้ทำให้เขามีโอกาสไต่ขึ้นไปได้อีก เว่ยเฟิงปิงก็ไม่รังเกียจ ถือว่านี่เป็นผลพลอยได้ของการลำบากมาดูสถานการณ์ให้เว่ยจินหยินก็แล้วกัน
   เว่ยชิงยิ้มอย่างพอใจกับคำตอบของลูกชาย ก่อนจะพูดต่อ “พักนี้ลูกเข้ากับจินหยินได้ดีรึเปล่า?”
   เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วทันที หรือว่าพ่อของเขาตั้งใจจะให้เขารับหน้าที่เป็นมือขวาของเว่ยจินหยิน ชายหนุ่มแค่นเสียงทันที “ก็พอสมควร แต่ใช่ว่าผมอยากรองมือรองเท้าเขาไปตลอดหรอกนะ”
   คำตอบกับท่าทีเย่อหยิ่งนี้ดูจะทำให้ผู้เป็นพ่อพออกพอใจ ดูจากสีหน้าที่แสดงออกมาอย่างไม่ปิดบัง พร้อมกับเสียงหัวเราะ
   “ดี เฟิงปิง ถ้าลูกจะมีส่วนดีอยู่ก็ตรงที่ทะเยอทะยานนี่แหละ ลูกไม่อยากเป็นรองจินหยิน ลูกอยากขึ้นเป็นใหญ่ใช่ไหม?”

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   “พ่อรู้แล้วจะถามผมทำไมอีก” ผู้เป็นลูกชายตอบสวนกลับทันที มีแต่เขาเท่านั้นที่กล้าต่อปากต่อคำกับผู้เป็นพ่ออย่างไม่เกรงใจเช่นนี้ หลังจากถูกขับออกจากตระกูล เว่ยเฟิงปิงไม่มีอะไรจะต้องกลัวอีก ต่อให้พ่อลิดรอนเขี้ยวเล็บของเขา ไล่ตะเพิดเขาออกไปอีกครั้งตอนนี้ มันคงไม่แย่เท่ากับครั้งแรกแล้ว เว่ยชิงหัวเราะชอบใจ พลางล้วงหยิบซองกระดาษซองหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ยื่นให้กับลูกชาย เว่ยเฟิงปิงจำต้องรับมาอย่างเสียมิได้ หวังว่าพ่อเขาคงไม่ได้วางยาพิษอะไรเอาไว้
   ในซองจดหมายนั้นมีกระดาษแผ่นหนึ่ง เขียนด้วยพูกันเป็นลายมืออักษรหวัดสวยงาม เนื้อหาด้านในทำให้มือของเว่ยเฟิงปิงสั่นเทา นัยน์ตาสีฟ้าสั่นระริก อ่านจนจบจึงเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่ออย่างตื่นตะลึง
   “หมายความว่าไง? พ่อจะยกตำแหน่งให้ผม?” ผู้เป็นลูกชายถามด้วยเสียงสั่นไหวอย่างพยายามจะควบคุมอารมณ์เต็มที่ เขาไม่แน่ใจว่านี่คือลายมือของพ่อของเขารึเปล่า แต่ตราประทับนี่เป็นของจริงไม่ผิดแน่ แม้เขาจะไม่ได้เห็นบ่อยนักแต่ก็พอจำลักษณะพิเศษของมันได้ ตราประทับที่อยู่บนกระดาษแผ่นนี้ พอจะรับรองเนื้อหาด้านในได้อย่างสบาย เว่ยชิงพยักหน้า
   “พ่อจะยกตำแหน่งผู้สืบทอดคนต่อไปให้ลูก ในเงื่อนไขที่จินหยินจะต้องไม่มีชีวิตอยู่”
   “?!” นัยน์ตาสีฟ้าเบิ่งมองชายชราตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง ครู่ใหญ่จึงมีคำพูดหลุดออกมา
   “หมายความว่าไง? พ่อหวังให้ผมฆ่าเขาหรือ?”
   เว่ยชิงคลี่ยิ้ม กับริมฝีปากที่เริ่มหย่อนยานตามวัย ทำให้รอยยิ้มนั้นดูน่าเกลียดขึ้นมาถนัด ผู้เป็นพ่อพูดตอบอย่างใจเย็น “นั่นลูกต้องคิดเอาเอง พ่อมองดูแล้ว ตำแหน่งผู้สืบทอดตอนนี้มีแต่ลูกกับจินหยินเท่านั้นที่เหมาะสม พ่อคงต้องเลือกเอาคนใดคนหนึ่ง แต่พ่อคิดว่าพ่อจะเลือกลูก”
   “งั้นทำไมพ่อไม่แต่งตั้งผมไปเลยล่ะ ทำไมต้องตั้งเงื่อนไขว่าพี่รองจะต้องไม่มีชีวิตอยู่ด้วย ถ้าพ่อหวังให้ผมเอาชีวิตไปทิ้งในเงื้อมมือของเขาล่ะก็ พ่อเลิกคิดไปได้เลย ผมไม่หลงกลลวงงี่เง่าของพ่อหรอก”
   เว่ยชิงนั่งฟังคำพูดของลูกชายจนจบอย่างทดทน จึงพูดตอบบ้าง “ลูกไม่เข้าใจหรือ ถ้าพ่อแต่งตั้งลูกตอนนี้ ลูกคงตายจริงๆ ลูกคิดว่าจินหยินอำมหิตขนาดไหน?”
   ไม่รอให้ลูกชายได้พูดตอบ เว่ยชิงเอ่ยขึ้นต่อ “ลูกรู้หรือเปล่าว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับปิงเซียงพี่ชายลูก กับน้องชายอีกสองคนของลูก เป็นฝีมือของจินหยินทั้งนั้น ที่พ่อต้องส่งซื่อหลิวออกไปที่อังกฤษ เพราะถ้าปล่อยเอาไว้ก็คงจะถูกฆ่าอีกเหมือนกัน”
   เว่ยเฟิงปิงอ้าปากค้าง เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคนเป็นพ่อกล่าวหาลูกตัวเอง แถมยังกล่าวหาว่าเป็นคนฆ่าพี่น้องอีกด้วย จริงอยู่ เขาเคยได้ยินข่าวลือพวกนี้มาบ้าง ที่ว่าเว่ยจินหยินวางแผนฆาตกรรมน้องชายเพื่อฮุบอำนาจ แต่ว่าคนอย่างเว่ยจินหยิน ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็น่าจะได้อำนาจมาง่ายๆ อยู่แล้ว ก็พี่ชายใหญ่ถอนตัวไปแล้ว อำนาจก็ควรจะถูกส่งต่อมายังลูกชายคนรองสิ
   “ถ้าพ่อจะหาเรื่องมาหลอกผม ก็น่าจะให้แนบเนียนกว่านี้หน่อย พี่รองยังไงก็ต้องได้ตำแหน่งพวกนี้อยู่แล้ว ทำไมเขาจะต้องทำเรื่องบ้าๆ พรรณนั้นด้วย ถึงผมจะเกลียดพี่ แต่ผมไม่ได้โง่หรอกนะ พ่อรักพี่จะตาย นี่กะจะหลอกผมไปตายล่ะสิ” เว่ยเฟิงปิงกล่าวอย่างมีอารมณ์ แต่อีกฝ่ายพอฟังจบกลับหัวเราะอย่างขบขัน ราวกับว่าเพิ่งดูหนังตลกเลวๆ เรื่องหนึ่ง เว่ยชิงกล่าวต่อ
   “พ่อดูเหมือนจะรักจินหยินมากงั้นรึ?”
   คำพูดนี้ทำเอาคนฟังถึงกับอึ้งไปนาน เว่ยเฟิงปิงกะพริบตามองพ่อของเขาเหมือนเห็นสัตว์ประหลาด เขากำลังถูกตาเฒ่านี่ปั่นหัวเพื่ออะไรกันแน่ นัยน์ตาสีน้ำครำของเว่ยชิงเป็นประกาย แววตาคบกริบ ที่อำมหิตเยียบเย็นจ้องมายังลูกชายคนที่เจ็ด ก่อนที่ริมฝีปากหย่อนคล้อยจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
   “ฆ่าจินหยินซะ พ่อไม่ต้องการให้มันมีชีวิตอยู่”
   เว่ยเฟิงปิงเย็นวาบขึ้นมาตลอดไขสันหลัง รู้สึกเหมือนอุณหภูมิในห้องลดต่ำลงจนร่างกายรู้สึกหนาวเหน็บ เว่ยชิงพูดต่ออย่างไม่เร่งร้อน
   “พ่อรู้ว่าจินหยินใช้ให้ลูกมาที่นี่ เถียนซานอยู่ที่โรงพยาบาล คนเดียวตอนนี้ที่จินหยินไว้ใจยอมให้เข้าใกล้คือลูก มันไม่ยอมออกมาจากตึกเลย แต่ต้องยอมให้ลูกเข้าไปพบแน่ ฆ่ามันซะ นี่คือคำสั่ง”
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกร่างกายสั่นกระตุก อารมณ์พลุ่งพล่านระอุขึ้นมาในอก นี่มันเกินไปหน่อยแล้ว เขารู้ว่าเว่ยชิงอำมหิต แต่ไม่คิดว่าจะอำมหิตขนาดนี้ ไม่ว่าจะต้องการให้เขาฆ่าจินหยินจริงๆ หรือจะส่งเขาไปให้จินหยินฆ่า แบบไหนก็เลวร้ายทั้งนั้น นัยน์ตาสีฟ้ามองดูนัยน์ตาสีน้ำครำที่เหมือนจะมองเลยเขาไปแล้วด้วยอาการสะกดกลั้นถึงขีดสุด ก่อนจะกระชากเสียง “เชิญพ่อบ้าไปคนเดียวเถอะ!!”
   พลางผุดลุกขึ้นอย่างไม่รักษามารยาทอีก ก่อนจะผลุนผลันออกไปนอกห้องโดยไม่เอ่ยคำร่ำลา เว่ยชิงได้แต่ทอดถอนใจ
----------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงใช้เวลาขบคิดนานพอสมควร ในที่สุดจึงตัดสินใจไปพบกับเว่ยจินหยิน เขามองไม่ออกว่าเว่ยจินหยินมีเหตุผลอะไรที่จะกำจัดเขา และนึกไม่ออกว่าถ้าเว่ยชิงอยากกำจัดเขา ทำไมต้องทำเรื่องให้วุ่นวายขนาดร่างหนังสือขึ้นมาและแต่งเรื่องงี่เง่าให้เขาไปฆ่าพี่ชายคนรอง  เว่ยจินหยินเคยพูดว่าคนเป็นมีประโยชน์กว่าคนตาย และเว่ยเฟิงปิงแน่ใจว่าการที่เขาตายคงมีประโยชน์ต่อเว่ยจินหยินน้อยกว่าตอนเป็นๆ แน่ๆ อย่างน้อยเขาก็ยังยอมให้เว่ยจินหยินจิกหัวใช้
   เว่ยจินหยินให้เขาเข้าพบในห้องทำงาน และให้ลูกน้องคนสนิทออกไปก่อน เหลือแต่ตัวเขากับจางซื่อเยี่ยนเท่านั้น ก่อนที่ผู้เป็นเจ้าของห้องจะเอ่ยปากถามขึ้น
   “คุณพ่อเป็นยังไงบ้าง?”
   รอยยิ้มปั้นแต่งของเว่ยจินหยินนั้นแนบเนียนทุกครั้ง แต่ละครั้งที่ยิ้มออกมาดูไม่ออกเลยว่ายิ้มออกมาจริงๆ หรือเสแสร้งกันแน่ และครั้งนี้เว่ยเฟิงปิงก็ยังคงเดาไม่ออก เขาจึงไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของพี่ชายยังไงดี เว่ยจินหยินอยากจะฟังอะไรล่ะ ฟังว่าพ่อดีใจกับผลงานของเขางั้นหรือ แต่ในความจริงแล้ว....
   ได้ยินเสียงถอนหายใจ เว่ยจินหยินพูดต่อ “พ่อพูดอะไรกับเธองั้นสิ บอกพี่มาเถอะ พ่อบอกให้ฆ่าพี่ใช่ไหม?”
   เว่ยเฟิงปิงสะดุ้งวาบ เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพี่ชายทันที เว่ยจินหยินยิ้มอีกรอบ “แปลว่าพ่อพูดแบบนั้นจริงๆ รึ? พ่อบอกให้เธอฆ่าพี่รึ?”
   เมื่อไม่รู้ว่าจะบ่ายเบี่ยงยังไง เว่ยเฟิงปิงจึงพยักหน้ารับ ก่อนจะถามคำถามที่สงสัย “ทำไมพ่อถึงอยากให้ผมฆ่าพี่ หรือพ่อต้องการให้พี่กำจัดผม?”
   เว่ยจินหยินหัวเราะออกมา ช่างดูขัดกับคำพูดที่ดำเนินอยู่จริงๆ เจ้าตัวอธิบายต่อ “น้องเจ็ด เธอว่าลำพังคุณพ่อไม่มีปัญญาจะฆ่าเธอเหรอ? ไม่ต้องอาศัยพี่ถ้าพ่ออยากจะฆ่าเธอ เธอมาไม่ถึงที่นี่หรอก เธอควรจะเชื่อพ่อ เพราะคราวนี้คุณพ่อพูดจริง”
   เว่ยเฟิงปิงผงะร่างอย่างตกตะลึง เขามองเว่ยจินหยินเหมือนมองสัตว์ประหลาด ก่อนจะเค้นเสียงเอ่ยถามออกมาอย่างยากเย็น
   “ทำไมล่ะ? ทำไมพ่อถึงอยากให้ผมฆ่าพี่? ไม่ใช่ว่าพี่เป็นลูกรักเหรอ?”
   คนถูกถามถอนหายใจยาว ยกมือขึ้นขยับแว่นให้เข้าที่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองน้องชาย
   “ลูกรัก? อืม.. พี่คงทำให้เธอเข้าใจแบบนั้นสินะ เอาเถอะ พี่ก็ตั้งใจให้คนอื่นเข้าใจแบบนั้นแหละ แต่ในความเป็นจริง... พ่อเกลียดพี่มากกว่าเกลียดเธอเสียอีก”
   นัยน์ตาสีดำสนิทปรากฏแววรันทดออกมาแว้บหนึ่ง แว้บเดียวเท่านั้นจริงๆ ก่อนจะแปรเปลี่ยนกลับไปนิ่งสนิทเหมือนเดิม ได้ยินเสียงเว่ยเฟิงปิงพึมพำ “ทำไม.......?”
   น้ำเสียงเดิมเอ่ยตอบ “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เหมือนพ่อจะเริ่มเกลียดพี่มานานมากแล้ว แต่พ่อไม่มีปัญญาจะฆ่าพี่ด้วยตัวเอง อืม.. จริงๆ เพราะพ่อมัวแต่ไปสนใจธุรกิจใหม่ของพี่ชายใหญ่นั่นแหละ พี่ถึงได้กุมอำนาจเอาไว้ได้มากขนาดนี้ ที่พี่รอดมาได้คงเพราะบารมีของพี่ชายใหญ่ด้วยมั้ง”
   พูดจบก็หัวเราะราวกับเป็นเรื่องน่าภูมิใจ เว่ยเฟิงปิงมองพี่ชายอย่างงงงัน เหมือนคนถูกด้ามปืนฟาดหัว เรื่องราวดูสับสนวุ่นวายไปหมด ทำไมจู่ๆ พี่ชายที่เขาคิดว่าพ่อรักมากถึงได้กลายเป็นลูกที่พ่อเกลียดถึงขนาดอยากฆ่าทิ้งไปได้ล่ะ
   “แล้วพี่จะเอายังไงต่อ?” ผู้เป็นน้องชายเอ่ยขึ้นในที่สุด คงเหลือแต่คำถามนี้ล่ะมั้งที่เขายังอยากฟังคำตอบอยู่ เว่ยจินหยินยักไหล่
   “ก็ทำงานให้คุณพ่อต่อ เธอไม่คิดจะฆ่าพี่จริงๆ ไม่ใช่รึ?”
   เว่ยเฟิงปิงสั่นศีรษะทันที “ผมไม่ทำตามคำสั่งงี่เง่าของพ่อหรอก”
   เว่ยจินหยินหัวเราะออกมา และโบกมือ “งั้นก็ดี พี่ว่าเธอควรถอยออกไปก่อน”
   เว่ยเฟิงปิงเงยมองพี่ชายของเขาด้วยความงุนงงอีกครั้ง และพบว่าเว่ยจินหยินลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงาน นัยน์ตาสีดำสนิทราวสุนัขจิ้งจอกจ้องผ่านด้านหลังเขาไป เว่ยเฟิงปิงหันหน้าตามไปทันที และพบว่าจางซื่อเยี่ยนกำลังจ้องตอบพี่ชายของเขาอยู่
   “ถอยไปก่อนครับ คุณชาย” ผู้เป็นลูกน้องเอ่ยและผลักเขาออกไปข้างๆ อย่างพยายามจะเบามือที่สุด ถึงอย่างนั้นก็ลงน้ำหนักแรงพอที่จะทำให้เขาขยับออกไปได้หลายก้าว ระหว่างที่เว่ยเฟิงปิงยังคงงุนงง เว่ยจินหยินก็เอ่ยต่อ “เอาจริงรึ?”
   จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า “คำสั่งคุณท่านครับ”
   ไม่ทันได้พูดจบประโยค ลวดสีเงินเส้นบางเบาก็ถูกเหวี่ยงออกไป เว่ยเฟิงปิงเพิ่งเข้าใจในวินาทีนั้นเองว่า “คำสั่ง” ที่พ่อของเขาพูดออกมา ไม่ได้พูดกับเขา แต่พูดกับผู้ชายคนนี้ต่างหาก
   คนที่พ่อเก็บมาเลี้ยง กำลังจะฆ่าลูกชายแท้ๆ ของคนที่เก็บเขามา
   ฆ่าด้วยคำสั่งของผู้เป็นพ่อแท้ๆ
---------------------------------------------
   เว่ยชิงหยุดพักจากการต้อนรับแขกเหรื่อที่แวะเวียนมาตลอดทั้งวัน ตอนนี้ชายวัยหกสิบเศษกำลังนั่งทอดกายอยู่บนเก้าอี้นวมตัวโปรด ที่ขนมาจากตึกหลังเดิม เก้าอี้นวมที่สั่งทำเหมือนของเดิมที่ถูกไฟไหม้ไปทุกอย่าง เสียอย่างเดียวที่คนที่เคยนั่งข้างๆ เขาเวลานอนบนเก้าอี้นวมนี้ไม่อยู่ในโลกนี้อีกแล้ว
   เกือบห้าสิบปีก่อน คฤหาสน์ของตระกูลเว่ยถูกไฟไหม้อย่างหนัก ไหม้จนเสียหายทั้งหลัง เป็นเหตุให้เขาต้องหาทุนทรัพย์เพื่อสร้างอาคารหลังใหม่ เว่ยชิงตัดสินใจจะสร้างตึกสำนักงานทับที่คฤหาสน์หลังเดิม เพราะมันดูมีคุณค่ากว่าย้อนกลับไปยังสิ่งเก่าๆ
   สิ่งที่ทำให้เขาหวนคิดถึงอดีตอันร้าวลึก
   ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังสั่งทำของหลายอย่างให้เหมือนที่ถูกไฟไหม้ไป หนึ่งเพื่อให้เขารู้สึกเหมือนยังอยู่ที่บ้านเดิม สองคือเพื่อไม่ให้ลืมบทเรียนที่คนคนนั้นฝากฝังไว้
   คนที่เขาไม่อยากแม้แต่จะนึกถึงหน้า
   เจ้าบ้านเว่ยคนปัจจุบันถอนหายใจยาวอีกรอบ เหม่อมองออกไปยังที่ไกลแสนไกล
   จินหยินล่ะ นานแล้วล่ะมั้งที่เขาไม่อยากมองหน้าลูกชายคนนี้
   นานแล้วที่เขาไม่เคยเอ่ยเรียกชื่อที่เขาตั้งให้
   จินหยิน....
   ความทรงจำเลือนรางราวภาพความฝัน เว่ยจินหยินในวัยเด็ก หน้าตาเป็นอย่างไร เว่ยชิงไม่อยากจำเอามาใส่ในหัวสมองนานแล้ว ครั้งสุดท้ายที่เห็นหน้าลูกชายคนนี้ เว่ยชิงไม่อยากเก็บความทรงจำเกี่ยวกับตัวลูกชายเอาไว้อีกเลย เขาเหินห่าง เย็นชา ทอดทิ้ง
   นั่นเพราะเว่ยจินหยินช่างละม้าย ทั้งหน้าตาและนิสัยละม้ายคล้ายกันจนน่าเจ็บปวด ละม้ายคล้ายกับผู้ชายคนนั้น
   ผู้ชายที่มีสายเลือดร่วมกับเขา แต่เขาไม่ต้องการจะใช้ชีวิตร่วมโลกด้วย
   เว่ยจินหยินเองก็เช่นกัน
   เว่ยชิงหลับนัยน์ตาสีน้ำครำลง
   บทสรุปสุดท้ายก็คงใกล้เข้ามาทุกที บทสรุปของเรื่องราวความแค้นที่สุมอยู่ในอกขามาเกือบห้าสิบปี
---------------------------------------
   ในชีวิตของจางซื่อเยี่ยน สิ่งแรกที่ถูกฝึกให้ติดเป็นนิสัยจนฝังเข้าไปในจิตสำนึกคือการปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด และคำสั่งสูงสุดที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้คือคำสั่งของจ้าวชีวิต ผู้ยื่นมือเข้ามาส่งเสริมเลี้ยงดูเขา
   เว่ยชิง
   หน่วยดำแทบจะทั้งหมดถูกเว่ยชิงเก็บมาเลี้ยงทั้งสิ้น มันเป็นความภัคดีแบบฝังจิตฝังใจ ความซื่อตรงต่อคำสั่งแบบไม่อาจต่อต้านได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาตอบคำถามของเว่ยเฟิงปิงไม่ได้สักที
   เขารักเฟิงปิง แต่ภัคดีกับเว่ยชิงเท่าชีวิต
   ถ้าหากคนที่ถูกสั่งเก็บเป็นเว่ยเฟิงปิง จางซื่อเยี่ยนแน่ใจว่าเขาคงจะต่อต้านอย่างเต็มที่ แต่นี่คือเว่ยจินหยิน ผู้ชายที่แสนอำมหิต การต้องฆ่าผู้ชายคนนี้ จางซื่อเยี่ยนไม่ลังเลเลย
-------------------------------------
   ท่าทางที่จางซื่อเยี่ยนโจมตีเข้าใส่เว่ยจินหยิน ต่อให้คนปัญญาอ่อนยังรู้ว่ากะเอาถึงตายแน่นอน สิ่งที่เว่ยเฟิงปิงทำได้คือยืนค้าง พูดอะไรไม่ออก เขาไม่คิดมาก่อนจริงๆ ว่าจางซื่อเยี่ยนจะจงรักภัคดีกับพ่อของเขามากมายขนาดนี้ หากคนที่ถูกสั่งฆ่าเป็นเขา จางซื่อเยี่ยนจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เว่ยเฟิงปิงสยิวกายอย่างหนาวเหน็บ เพราะอย่างนี้เองหรือผู้ชายคนนี้จึงตอบไม่ได้สักที ระหว่างเขาและพ่อจางซื่อเยี่ยนจะเลือกใครก่อน ก็เพราะเลือกไม่ได้สินะ
   แต่เว่ยเฟิงปิงไม่อยากให้พี่ชายตาย
   เขาเคยเกลียดขี้หน้าเว่ยจินหยินจนนึกอยากฆ่า แต่ไม่ได้อยากเห็นพี่ชายคนนี้ถูกฆ่าเพราะคำสั่งของพ่อตัวเอง เว่ยเฟิงปิงไม่รู้ว่าพี่ชายของเขาทำอะไรผิด ทำไมเว่ยชิงถึงต้องสั่งฆ่าลูกชายที่ทำงานถวายหัวคนนี้ ไม่มีใครตอบเหตุผลนี้ได้ นอกจากตัวของเว่ยชิงเอง คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยรู้สึกปวดร้าวที่หน้าอก เว่ยจินหยินรักพ่อมากไหม เขาตอบไม่ได้ เพราะท่าทีของเว่ยจินหยินเหมือนแสดงละครตลอดเวลา แต่กระทั่งเขาที่รังเกียจพ่อตัวเอง ยังรู้สึกสะเทือนใจเมื่อคิดว่าตัวเองจะถูกพ่อแท้ๆ สั่งฆ่า นับประสาอะไรกับลูกชายที่ทำงานให้มาหลายสิบปี
   เขาควรจะรีบหยุดจางซื่อเยี่ยน แต่จนใจที่เปล่งเสียงอะไรไม่ออก
   เขาไม่รู้ว่าเสียงของเขาตอนนี้ จางซื่อเยี่ยนจะยังฟังอยู่อีกรึเปล่า
-------------------------------------
   ลวดบางเบา พลิ้วอยู่ในอากาศด้วยลักษณะพิสดาร กับอาวุธประหลาดแบบนี้ น้อยครั้งจะได้เห็นเองจริงๆ เว่ยจินหยินมองเส้นลวดบางผ่านเลนส์แว่นตาหนาเตอะ เขารู้ดีว่าจางซื่อเยี่ยนไม่ได้พูดเล่น เขารู้ว่าลวดแปลกประหลาดที่พุ่งเข้ามานี้ ฆ่าคนได้ และคนที่จะฆ่าในคราวนี้คือตัวเขาเอง
   บางครั้งในชีวิต เว่ยจินหยินเคยรู้สึกว่าตัวเขาน่าจะตายไปให้พ้นๆ เพราะแม้กระทั่งพ่อบังเกิดเกล้ายังดูจะไม่ต้องการมองขี้หน้า แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร แต่ความคิดนั้นถูกลบทิ้งไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเขานึกถึงใครคนหนึ่ง ใครที่คอยดูแล คอยเป็นห่วงเป็นใยเขาเสมอมา ใครคนนั้นที่รักเขาโดยไม่หวังสิ่งใด
   เพื่อตอบแทนความรักของคนคนนั้น เขาไม่ยอมตายง่ายๆ เด็ดขาด
------------------------------------
   นัยน์ตาสีอีกาของจางซื่อเยี่ยนไหววูบ เมื่อเห็นโต๊ะไม้ตัวงามที่อยู่ตรงหน้าเว่ยจินหยินพุ่งเข้าใส่ โต๊ะไม้มะค่าฝังมุก น้ำหนักไม่ใช่เล่นๆ แต่เว่ยจินหยินเตะมันเหมือนเป็นลังกระดาษ โต๊ะไม้ที่พ่วงน้ำหนักมหาศาลมากับแรงเตะ เร็วไม่แพ้ความเร็วของลวด  เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าเว่ยจินหยินฝึกกังฟู แต่ทำงานอยู่หน่วยดำมาหลายปี นอกจากเดินมาสั่งโน่นสั่งนี่ เขาไม่เคยเห็นเว่ยจินหยินวาดลวดลายเองสักครั้ง สำหรับครั้งแรกที่ได้เห็น จางซื่อเยี่ยนยอมรับจริงๆ ว่าเขาประเมินเว่ยจินหยินผิดไปถนัด
   ดูท่า ถ้าเขากำจัดเว่ยจินหยินไม่ได้ คนที่ถูกกำจัดคงจะเป็นตัวเขาเอง
--------------------------------------
   สิ่งที่เว่ยจินหยินเกลียดเป็นอันดับต้นๆ คือการวางข้าวของระเกะระกะ และการทำลายข้าวของ โดยเฉพาะข้าวของส่วนตัวที่ใช้เป็นประจำ เว่ยจินหยินจัดอย่างดีและเป็นระเบียบเสมอมา ตอนนี้ทั้งโต๊ะตัวโปรด ทั้งกองเอกสาร ทั้งเครื่องเขียนราคาแพง กำลังปลิวว่อนอยู่ในอากาศด้วยสภาพที่ไม่น่าดูชมนัก แม้จะรู้สึกปวดใจ แต่การรับมือกับคนระดับจางซื่อเยี่ยน ต่อให้ต้องทำลายของทิ้งทั้งห้อง ก็ยังดูจะคุ้มค่ากว่ามากนัก
   เพราะผู้ชายคนนี้เป็นมือสังหารมือดีคนหนึ่งของหน่วยดำ
   ฤทธิ์เดชหน่วยดำนั้น เว่ยจินหยินทราบกระจ่าง ตั้งแต่อายุสี่ขวบ เขาก็คลุกคลีอยู่กับคนพวกนี้แล้ว เรียกว่าเขี้ยวเล็บเป็นยังไง เว่ยจินหยินเคยเห็นมาหมด สำหรับจางซื่อเยี่ยนนั้น สมัยยังทำงานด้วยกัน ก็เป็นคนที่เขาเรียกใช้บ่อยที่สุด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเว่ยชิงถึงจงใจเอ่ย”คำสั่ง”กับผู้ชายคนนี้ จะว่าไปแล้วตัวเขาเองนั่นแหละที่ส่งจางซื่อเยี่ยนไปรับคำสั่ง
   ทำไมเขาจึงต้องขอร้องเว่ยเฟิงปิงให้ไปหาเว่ยชิงที่บ้านทั้งๆ ที่เขารู้ดีอยู่แล้วว่าผู้เป็นพ่อจะสั่งอะไร...
   คงเพราะเว่ยจินหยินยังมีความหวังเล็กๆ อยู่ หวังแบบเพ้อฝันว่าพ่อจะเอ่ยชมเขาผ่านน้องชาย พ่อของเขาอาจจะพูดแบบนั้นก็ได้ คราวนี้เขาทำงานคืบหน้าไปได้มาก เว่ยชิงต้องดีใจแน่นอน ที่เขาส่งเว่ยเฟิงปิงไป เพราะหวังจะฟังเท่านี้เอง แต่เขารู้อยู่ลึกๆ สิ่งที่เขาได้รับต้องไม่เป็นอย่างที่หวัง แต่เป็นอย่างที่คิดไว้ต่างหาก
   กระทั่งลูกชายลักเพศที่เคยถูกขับออกจากตระกูล เว่ยชิงดูยังรักมากกว่าเขาเสียอีก
   เว่ยจินหยินไม่เสียใจ เพียงแต่เหนื่อยใจอยู่บ้าง อีกนานหรือเปล่าว่าที่เขาจะได้รับอะไรอย่างที่เขาหวัง คงต้องผ่านช่วงเวลาความเป็นความตายนี่ไปก่อน
   โชคดีที่ทุกอย่างยังอยู่ในแผนที่คาดคำนวณเอาไว้แล้ว
----------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนจำต้องหลบโต๊ะไม้ที่พุ่งเข้าใส่ ไม่อย่างนั้นเขาจะเป็นฝ่ายเจ็บหนัก กระนั้นแทนที่จะถอยหลังและรั้งลวดเข้ามาเพื่อป้องกันตัว อดีตหน่วยดำกลับทำให้สิ่งตรงกันข้าม เขาพุ่งเข้าใส่เว่ยจินหยินพร้อมลวด เป็นการกระทำที่จงใจเอาชีวิตเข้าแลกอย่างเห็นได้ชัด
   นั่นทำให้นัยน์ตาสุนัขจิ้งจอกไหววูบ
------------------------------------
   การต่อสู้มีหลายรูปแบบ ได้เปรียบเสียเปรียบต่างกันไป นอกจากระดับฝีมือแล้ว ความมุ่งมั่นก็เป็นแรงผลักอีกส่วนหนึ่ง และการมุ่งมั่นชนิดเอาชีวิตเข้าแลก ไม่ว่าจะมากับการต่อสู้แบบไหน ล้วนส่งเสริมให้อันตรายถึงขีดสุด
   ตอนนี้เว่ยจินหยินกำลังเผชิญกับความตั้งใจที่ว่านั้นอยู่
   ภาวะเสียเปรียบเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะในขณะที่จางซื่อเยี่ยนตั้งใจจะตาย เขากลับมุ่งมั่นจะรักษาชีวิตเอาไว้ แค่นี้ความต่างก็เห็นกันได้ชัดแล้ว
   ห่วงลวดเส้นบางร้อยรัดเข้ามาใกล้ พร้อมกับเจ้าของที่ตั้งใจเสี่ยงชีวิต เว่ยจินหยินขยับแขนข้างหนึ่ง
   ถึงกำลังใจจะสู้ไม่ได้ แต่แผนรับมือถูกวางเอาไว้แล้ว
   การต่อสู้เสี่ยงชีวิตของจางซื่อเยี่ยนก็ไม่อยู่นอกเหนือการคำนวณ
---------------------------------------------
   นัยน์ตาสีอีกาเบิ่งค้าง เคยคิดว่าเข็มของนีดเดิลนั้นเป็นปฏิปักษ์กับลวดของเขาอย่างที่สุดแล้ว แต่ที่อยู่ในมือของเว่ยจินหยินตอนนี้ดูจะแย่ยิ่งกว่า กระบี่อ่อนความยาวปกติตามมาตรฐาน ไม่ได้ตกแต่งอะไรพิสดารนัก แต่ที่แย่คือ ห่วงลวดของเขาสูญเสียรูปทรงเมื่อเข้าใกล้ใบกระบี่
   เว่ยจินหยินรู้ล่วงหน้าแล้วว่าเขาจะทำแบบนี้ รู้กระทั่งว่าผู้เป็นพ่อจะใช้”คำสั่ง” ไม่อย่างนั้นคงไม่เตรียมอาวุธรับมือพิสดารขนาดนี้มารับมือได้ทัน
   กระบี่อ่อนที่ใบเป็นแม่เหล็กแรงสูง
   นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่จางซื่อเยี่ยนแพ้ให้กับคู่ต่อสู้โดยที่ยังไม่ได้แตะตัว พ่ายแพ้ก่อนที่จะเริ่มอะไรเสียอีก
   พ่ายแพ้ตั้งแต่ตกอยู่ใต้การคาดเดาที่แม่นยำอย่างร้ายกาจ
   คนแบบเว่ยจินหยินไม่สามารถฆ่าได้ง่ายๆ จริงๆ
   อดีตหน่วยดำหลับนัยน์สีอีกาลง ขณะที่อีกฝ่ายเสือกกระบี่เข้าใส่อย่างไม่ปราณี
   เขาพร้อมยอมรับโทษทัณฑ์ของสิ่งที่ก่อไว้โดยไม่อิดออด
------------------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงพูดอะไรไม่ออก ก่อนหน้านี้เขายังคิดจะตะโกนห้ามจางซื่อเยี่ยน แต่ในวินาทีนี้เขาแทบจะเปลี่ยนคำพูดไม่ทัน กับเว่ยจินหยินที่เตะโต๊ะไม้ที่น้ำหนักไม่ใช่น้อยๆ ราวกับเตะกล่องกระดาษ กับกระบี่ที่พุ่งออกมาจากใต้แขนเสื้ออย่างเตรียมรับมือไว้แล้ว เว่ยเฟิงปิงรู้สึกเหมือนทั้งเขาและจางซื่อเยี่ยนตกหลุมพรางจังเบ้อเร่อ เหมือนเป็นตัวอะไรซักอย่างที่วิ่งไปวิ่งมาอยู่ในอุ้งมือของพี่ชายและพ่อ ภาพของลูกน้องที่กำลังจะถูกกระบี่อ่อนเสือกเข้าใส่คอ ทำให้อุณหภูมิความคับแค้นของเว่ยเฟิงปิงถึงจุดเดือด เขาล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ หยิบปืนที่ซ่อนอยู่ออกมา ไม่ต้องคิดว่าเป็นคำสั่งของใครอีกแล้ว ถ้าเว่ยจินหยินฆ่าจางซื่อเยี่ยน เขาก็จะฆ่าพี่ชายของเขาเอง
------------------------------------------------
   !!
   เสียงวัตถุบางอย่างตกกระทบพื้นทำให้เว่ยชิงสะดุ้งตื่น และพบว่าเป็นเวลาเย็นแล้ว จากแสงอาทิตย์อัสดงที่ทอดจับผ่านหน้าต่างไม้ฉลุลายอย่างวิจิตร เขาคงเผลอหลับไประหว่างนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย นัยน์ตาสีน้ำครำที่ผ่านโลกมากว่าหกสิบปีทอดตามองไปยังพื้นไม้ขัดมันเบื้องหน้า กรอบรูปถ่ายรูปหนึ่งร่วงอยู่บนพื้น เสียงเมื่อครู่คงมาจากเจ้านี่เอง
   ชายชรายันตัวลุกขึ้น คร้านจะเรียกแม่บ้านในตอนนี้ แข้งขาที่ผ่านกาลเวลามายาวนานจนเริ่มไม่มั่นคงค่อยๆ ก้าวไปใกล้กรอบรูปถ่ายที่มีเศษกระจกเล็กๆ กระจายอยู่รอบๆ รู้สึกลำบากนิดหน่อยในการค่อมตัวลงหยิบรูปที่อยู่ใต้กรอบนั้นขึ้นมา
   กาลเวลาช่างทำร้ายผู้คนเสียจริงๆ
   เว่ยชิงหรี่ตามองรูปถ่ายในมือ นี่เป็นรูปถ่ายตัวเขากับลูกชายคนรองตอนที่อายุได้สามขวบ เกือบลืมไปแล้วจริงๆ ว่าเขาเคยรักลูกชายคนนี้ขนาดไหน แต่ถึงตอนนี้ ความทรงจำแบบนั้นคงไม่จำเป็นอีกแล้ว
   ไม่ว่าเว่ยจินหยินจะอ่านเกมขาดสักขนาดไหน แต่คงไม่อาจเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าหัวใจได้
   เว่ยเฟิงปิงรักจางซื่อเยี่ยน และคงไม่ยอมให้ผู้ชายคนนั้นเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตาแน่
    ชายชราหลับตาลง และเอ่ยปากเรียกแม่บ้านให้เข้ามาทำความสะอาด
   คงได้เวลาที่เขาต้องหารูปถ่ายวางในงานศพอีกแล้ว
-------------------------------------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
โห ครอบครัวนี้ สุดยอดมากกกก โดยเฉพาะคุณพ่อเนี่ย  น่ากลัวว่ะ  แล้วจินหยินจะเป็นไรมั้ย เถียนซานมาช่วยไม่ได้แน่เจ็บซะขนาดนั้น

แล้วรูฟัสกับฟ่งอีกล่ะ ..... ตัวละครเกือบทุกตัวตอนนี้เจอแต่ปัญหา -*-

yuuki

  • บุคคลทั่วไป
บีบหัวใจมาก

สงสารจินหยินที่สุด,,,อาซานมาช่วยเร็วเข้า ฮืออออ~

ออฟไลน์ ratrirattikan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เอ...แล้วสามคนนั้นจะเป็นยังไงต่อ?
จินหยินดูไม่น่าเป็นห่วง เฟิงปิงก็ยังเฉยๆ แต่ซื่อเยี่ยนสิ.! ไม่ใช่ว่าใครสักคนที่น่าจะตายเป็นหมอนี่นะ!!

ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
โว้ย :z6:  เว่ยชิงจะอะไรกันหนักหนาเนี่ย
ทำเหมือนจินหยินไม่ใช่ลูกแท้ๆอย่างนั้นแหละ  ทำเหมือนจินหยินเป็นลูกน้องชายตัวเองซะงั้น
กรอบรูปตกแบบนี้เป็นลางไม่ดี  แต่แอบลุ้นไม่อยากให้จินหยินตาย
อยากเห็นจินหยินเล่นงานเว่ยชิงกลับ  คงโหดพิลึก

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**
ดราม่ายังคงถล่มอย่างต่อเนื่อง

บัญชีเลือดบ้านเว่ยขโมยซีนจริงๆ อิอิ :laugh:

มาอัพต่อล่ะค่ะ

------------------------------------

บทที่71 คำที่เคยอยากได้ยิน

   “ฟ่งครับ นอนเถอะครับ”
   รูฟัสจำได้ว่าตัวเองเอ่ยประโยคนี้แทบทุกคืนตั้งแต่วันที่ฟ่งทะเลาะรุนแรงกับพี่สาว หลังจากวันนั้น ชายหนุ่มสวมแว่นก็ดูเหมือนจะพาตัวเองหลีกหนีจากโลกแห่งความเป็นจริง ฟ่งทานอาหารน้อยมาก เรียกว่าถ้าไม่เรียกให้กินก็เหมือนจะลืมไปเลย วันทั้งวันนอกจากคุยกับเขาเป็นพักๆ แล้ว ก็เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเครื่องเกม ชนิดที่ถ้ายังลืมตาได้ก็ไม่ยอมนอน เป็นแบบนี้มาเกือบอาทิตย์แล้ว และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น
   แม้รอยจ้ำบนใบหน้าจะจางไปมากแล้ว แต่ฟ่งกลับดูซูบลงไปมาก รูฟัสไม่นึกมาก่อนเลยว่าฟ่งจะสะเทือนใจกับเหตุการณ์นั้นมากขนาดนี้ เขาลืมไปเลยจริงๆ ว่าผู้ชายคนนี้อ่อนไหวขนาดไหน ฟ่งละสายตาจากหน้าจอแวบหนึ่ง และหันมายิ้มเซียวๆ ให้เขา
   “นอนก่อนเถอะ เดี๋ยวผมเล่นเสร็จแล้วจะตามไปนอน”
   รูฟัสได้แต่ยิ้มตอบ ที่น่าเจ็บปวดคือการที่เขาอยู่ก็ดูจะเยียวยาหัวใจของฟ่งได้ไม่มากนัก ฟ่งเริ่มปิดขังตัวเองเอาไว้กับความเจ็บปวดอีกครั้ง ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ การได้อยู่ด้วยกันคงไม่ใช่เรื่องมีความสุขอีกแล้ว
ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ และคว้าตัวของอีกฝ่ายมากอดเอาไว้ ฟ่งปล่อยจอยเกมส์ออกจากมือ ไม่ได้โวยวายอย่างที่เคยทำ แต่กลับกอดตอบเขาแนบแน่น ร่างกายสั่นสะท้าน
   ฟ่งร้องไห้อีกแล้ว
   เสียงสะอื้นที่ไม่ต้องการให้ใครได้ยิน หนุ่มสวมแว่นคนนี้กล้ำกลืนเสียงร้องเอาไว้อย่างเงียบเชียบ หยดน้ำอุ่นร้อนไหลซึมสัมผัสกับหัวไหล่กว้าง ร่างบอบบางสั่นไหวราวใบไม้ที่กำลังจะปลิดหลุดออกจากก้านเพราะแรงลม รูฟัสกอดฟ่งแน่นขึ้น ลูบไล้เรือนผมสีน้ำตาลนั้นอย่างปวดร้าว ไม่มีคำพูดใดกับความรู้สึกแบบนี้ เขาได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายร้องไห้ไปเรื่อยๆ
   ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะรู้สึกเจ็บปวดกับความเจ็บปวดของคนอื่นได้ขนาดนี้
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นจากไหล่กว้าง หยาดน้ำสุกใสหนุนเนื่องออกมาตามร่องหางตา ไหลอาบพวงแก้ม นัยน์ตาสีน้ำตาลสั่นระริกยามเพ่งมองดวงหน้าของอีกฝ่ายผ่านม่านน้ำตา รูฟัสถอดแว่นตาที่เลอะเลือนเพราะหยาดน้ำใสออกอย่างเบามือ ก่อนจะใช้นิ้วเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของอีกฝ่าย ฟ่งแนบหน้าเข้ากับมือแกร่ง หลับตาลง โอบรัดแนบแน่นขึ้น ก่อนที่จะลืมนัยน์ตาขึ้นมา ริมฝีปากได้รูปเผยออ้าออก
   “ผมรักคุณ”
   ประโยคสั้นๆ เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ รูฟัสเคยคิดว่าวันที่ฟ่งเอ่ยบอกรักเขา มันคงเป็นวันที่เขามีความสุขที่สุด แต่ตอนนี้ ฟ่งพูดประโยคที่เขาอยากฟังออกมาแล้ว แต่มันกลับทำให้หัวใจปวดแปลบ รูฟัสก้มลงจูบใบหน้าเปื้อนน้ำตานั้น แทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ต่อให้ฟ่งไม่พูดออกมา เขาก็รับรู้เต็มอกแล้ว รับรู้แล้วว่าฟ่งรักเขาจริงๆ รักกระทั่งยอมเจ็บปวดและทรมานตัวเองเพื่อตอบรับความรักนี้
   “ผมรักคุณ.. รักคุณ” ฟ่งเอ่ยย้ำคำพูดเดิมเหมือนจะย้ำให้แน่ใจว่าไม่ได้ฟังผิด สำหรับรูฟัสแล้วการที่ฟ่งเอ่ยปากบอกรักเขาในสภาพแบบนี้ยิ่งทำให้หัวใจปวดจี๊ดราวกับถูกไฟจี้ ชายหนุ่มได้แต่พยักหน้า อับจนปัญญาจะเอ่ยคำพูด เพราะความรู้สึกที่มีล้นทะลักออกมาแทบจะถึงคอ เขารั้งร่างบางเข้ามาแนบตัวให้ชิดขึ้นอีก จูบปลอบลงไปบนใบหน้าเปียกชื้น ฟ่งตะกายกอดเขา กระซิบเสียงแหบแห้ง “รูฟัส ผมรักคุณ”
   หัวใจของรูฟัสแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เป็นเรื่องตลกอย่างร้ายกาจ เขากำลังเจ็บปวดกับการถูกบอกรักจากปากของคนที่เขาอยากให้บอกมากที่สุด ชายหนุ่มขยับริมฝีปากอย่างยากเย็น ฟ่งพยายามจะสื่อว่ารักเขา พยายามจะทำให้เขาเชื่อว่าสิ่งที่พูดนั้นจริง หัวใจอ่อนไหวนั้นกำลังอ้อนวอนหาที่พึ่งสุดท้าย เขาจำต้องพูดอะไรบ้าง ก่อนที่ฟ่งจะแตกสลายไปมากกว่านี้
   “I understand…understood.” รูฟัสเอ่ยเสียงสั่น ไม่รอให้ฟ่งทนพูดอะไรอีก เขาก้มลงจูบไล้พวงแก้ม แนบริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากของอีกฝ่าย ประโลมจูบลงไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด
   น้ำตาของฟ่งไหลเป็นสายยาว กระชับแขนโอบรัดร่างของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างแนบแน่น ราวกับกลัวจะถูกทอดทิ้ง ร่างบางสะอื้นจนตัวสั่น ตอนนี้รูฟัสเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาเหลืออยู่จริงๆ
   รูฟัสถอนจูบออก และใช้ปลายจมูกสัมผัสพวกแก้มเปียกชื้น เขารักผู้ชายคนนี้มากเหลือเกิน ความรักที่สับสนปนเปพ่วงไปกับความเจ็บปวด ฟ่งขยับเลื่อนใบหน้าเข้ามา เสนอริมฝีปากให้กับเขาด้วยท่าทีที่ต้องการการพึ่งพิงอย่างไม่ปิดบัง รูฟัสจูบตอบด้วยความรู้สึกขมไปทั่วทั้งปาก ไม่มีความหวานหลงเหลืออยู่อีกแล้ว มีเพียงรสชาติขมเฝื่อนของความปวดร้าวที่แพร่กระจายไปทั่วทุกอณูสัมผัส
   ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังต้องการซึ่งกันและกัน
   ชายหนุ่มประคองร่างสั่นเทาวางลงบนพื้นพรมอย่างเบามือ จูบไล้ไปตามส่วนต่างๆ ด้วยความรู้สึกปวดแปลบในหัวใจ ฟ่งยกมือขึ้นลูบไล้เรือนร่างของอีกฝ่าย ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้กัน ในความปวดร้าวของความรักที่ต้องตัดขาดบางสิ่งบางอย่าง เขากำลังโหยหาสิ่งเติมเต็ม โหยหาบางสิ่งเพื่อปลอบประโลมหัวใจแตกสลาย
   รูฟัส....
   วงแขนผอมบางกอดรัดร่างหนาหนักเอาไว้ด้วยความรู้สึกอบอุ่นปะปนขมขื่น ไออุ่นจากเรือนร่างแข็งแรงแผ่นซ่านมาตามท้องน้อย รูฟัสแนบร่างเข้ากับร่างผอมบางที่นอนราบอยู่ เล็มเลียหยาดน้ำตาสุกใสที่ไหลเอ่อออกมาราวกับไม่มีวันเหือดแห้ง ฝ่ามือแกร่งลูบไล้เรือนร่างสั่นสะท้าน เลื่อนผ่านท่อนแขน ลงไปยังฝ่ามือ ยกมันกดแนบลงเหนือศีรษะผู้เป็นเจ้าของ ประโลมจูบปลอบโยนลงบนใบหน้าเรื้อน้ำตานั้นอีกรอบ ฟ่งขยับตัว ตอบรับการปลอบประโลมนั้นอย่างโหยหา ริมฝีปากสั่นเทาเอ่ยเรียกชื่อของผู้ที่มอบจูบให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่า มือที่ถูกกดเอาไว้อย่างหลวมๆ บีบรัดฝ่ามือของอีกฝ่ายขณะที่ถูกแสดงเจตจำนงในการล่วงล้ำ
   ความเจ็บปวดแผ่พุ่งขึ้นมาจากตะโพก แล่นขึ้นไปถึงสมอง แต่สำหรับห้วงอารมณ์นี้ คงไม่มีความเจ็บปวดใดจะเจ็บปวดมากไปกว่าความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจอีกแล้ว
   ฟ่งปล่อยให้หยาดน้ำตารินไหล ซึมซับความเจ็บปวดที่กระแทกกระทั้นเข้ามาในร่าง ตะกายกอดร่างกายอันเต็มไปด้วยไออุ่นเอาไว้แนบอก พร่ำเรียกชื่อเดิมซ้ำๆ
   ชื่อของคนที่เขามอบหัวใจและทุกสิ่งทุกอย่างให้
   ชื่อของคนที่ทำให้เขาขยี้หัวใจดวงเดิมของตัวเอง
   ชื่อของคนที่รักเขาจนแทบจะทำให้เขาตายทั้งเป็น
   รูฟัส.....
-------------------------------------------------
   เว่ยจินหยินไม่เคยลังเลหลังจากตัดสินใจไปแล้ว สำหรับการเสี่ยงชีวิตของจางซื่อเยี่ยน อีกฝ่ายคงสำนึกตัวแล้วเหมือนกันว่าถ้าไม่สำเร็จจะได้รับโทษทัณฑ์ยังไง เขารู้สึกพอใจที่เห็นฝ่ายตรงข้ามยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ สมกับเคยเป็นสมาชิกหน่วยดำ แบบนี้แหละที่เขาจะได้ฆ่าอย่างไม่ตะขิดตะขวง แต่ความคิดบางอย่างทำให้แขนที่วาดกระบี่เข้าใส่ลำคอนั้นชะงัก
   ภาพของเว่ยเฟิงปิงลอยเข้ามาในหัว
   ถึงไม่อยากจะจดจำ แต่นัยน์ตาสีฟ้ายาวเรียวราวกับงูนั้น ต่อให้ไม่อยากจำก็ต้องจำอยู่ดี เว่ยจินหยินไม่เคยพออกพอใจน้องชายคนนี้มาก่อนเลย พูดให้ถูกคือเขาไม่เคยพอใจใครก็ตามที่พ่อพยายามจะยกขึ้นมาแก่งแย่งตำแหน่งกับเขา แต่เหตุการณ์ที่ประเทศไทย ทำให้เว่ยจินหยินต้องมองน้องชายคนนี้ใหม่ ดูท่าเว่ยเฟิงปิงจะมีส่วนน่ารักอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ยังแสดงท่าทีเหมือนจะห่วงใยเขาอยู่ ยามที่เขาขาดสติ น้องชายคนนี้ก็ช่วยดึงกลับมา
หัวสมองของเว่ยจินหยินคำนวณการตัดสินใจใหม่อย่างรวดเร็ว เขาควรลองเปลี่ยนตัวเองสักครั้ง ลองรักน้องชายคนนี้อย่างที่พี่ทั่วไปสมควรทำ... ถ้าอย่างนั้น การไม่ฆ่าจางซื่อเยี่ยนน่าจะเป็นผลดีกว่า
   อย่างน้อย หากจางซื่อเยี่ยนต้องถูกลงโทษ ก็ควรจะถูกเจ้านายของตัวเองลงโทษ
   เว่ยจินหยินหยุดกระบี่เอาไว้ในเสี้ยววินาทีสุดท้าย ก่อนจะเบือนหน้าไปหาน้องชาย
----------------------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงนั้นคิดจะยิงพี่ชายคนรองของเขาจริงๆ ยิงด้วยโทสะที่ก่อตัวขึ้นมาในชั่วเสี้ยววินาที เขาเกือบจะเหนี่ยวไกอยู่แล้ว ในตอนที่นัยน์ตาราวสุนัขจิ้งจอกเบือนกลับมา
   นัยน์ตาที่เคยเยือกเย็นนั้นไหววูบ ราวกับน้ำนิ่งที่ถูกก้อนหินโยนเข้าใส่
   สีหน้าเรียบเฉยของเว่ยจินหยินแปรเปลี่ยนทันที
----------------------------------------------------
   เสียงวัตถุโลหะกระแทกกันทำให้จางซื่อเยี่ยนลืมตาโพล่ง กระบี่ที่ควรจะแทงคอหอยเขาไม่ได้อยู่ในมือของเว่ยจินหยินอีกแล้ว ถึงจางซื่อเยี่ยนจะทำใจยอมรับชะตากรรม แต่ในจังหวะที่คู่ต่อสู้หยุดลงมือและดูจะเผลอไปดื้อๆ ถือเป็นโอกาสที่เขาไม่ควรพลาดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ชายหนุ่มกระแทกหมัดเข้าใส่ร่างซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสัญชาตญาณ
---------------------------------------------------
   เว่ยจินหยินชะงัก ชะงักไปเลยจริงๆ เขาไม่คิดว่าเว่ยเฟิงปิงจะเล็งปืนใส่เขา สิ่งที่เกิดขึ้นในสมองยามนั้นคือ ทำไม? เว่ยเฟิงปิงมีเหตุผลอะไรที่ทำแบบนี้
   เขาไม่ได้นึกเอ็นดูเว่ยเฟิงปิงเพราะรูปร่าง หรือหน้าตา แต่เว่ยจินหยินมองว่าเว่ยเฟิงปิงมีหัวคิด ถึงจะยังเด็กอยู่ แต่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามีสติพอจะไตร่ตรองและทำอะไรโดยไม่บุ่มบ่าม การฆ่าเขาตามคำสั่งผู้เป็นบิดาไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับเจ้าตัวเลย ไม่รู้ล่ะหรือว่าต่อให้ฆ่าเขาตายตรงนี้ บรรดาลูกน้องที่อยู่ด้านนอกก็ไม่ปล่อยให้ออกไปอยู่ดี และถ้าออกไปได้ แน่ใจล่ะหรือว่าเว่ยชิงจะยอมปล่อยไป
   เว่ยเฟิงปิงโง่ขนาดมองแผนการนี้ของผู้เป็นพ่อไม่ออกเลยหรือ
   แต่เมื่อเว่ยเฟิงปิงกล้าเล็งปืนใส่เขา ก็ไม่แน่ว่าจะไม่กล้ายิง
   กระบี่ถูกซัดออกไปอย่างรวดเร็ว เขายังปราณีเว่ยเฟิงปิงอยู่บ้าง เว่ยจินหยินทำอะไรย่อมมีเหตุผลเสมอ และการฆ่าคนโดยไม่เอ่ยปากสอบถามหรือรีดประโยชน์ก่อนไม่ใช่วิธีของเขา อย่างไรก็ตาม การแบ่งสมาธิไปให้ความสนใจน้องชายนั้น เปิดช่องว่างมากพอที่จะทำให้คนที่เพิ่งแสดงทีท่ายินยอมพ่ายแพ้เมื่อครู่ แว้งกลับมาจัดการกับเขาใหม่
   ลืมไปเลยว่านี่คือมือสังหารที่น่ากลัวที่สุดคนหนึ่ง
----------------------------------------------------
   เลือดไหลอาบข้อมือของเว่ยเฟิงปิง ดูเหมือนเว่ยจินหยินจะจงใจซัดกระบี่เข้าใส่ปืนมากกว่าจะทำร้ายเขา อย่างไรก็ดีการเปลี่ยนจังหวะกะทันหันแบบนั้นใช่ว่าจะเล็งให้แม่นกันได้ง่ายๆ เว่ยเฟิงปิงบาดเจ็บ แต่ปืนก็หลุดออกจากมือไปด้วยเช่นกัน ก่อนจะทันคิดว่าควรจะทำอย่างไรต่อ สถานการณ์ตรงหน้าก็พลิกผันอีกครั้ง
   จางซื่อเยี่ยนชกเข้าใส่หน้าอกของอีกฝ่ายอย่างไม่รอให้ตั้งตัว ถึงเว่ยจินหยินจะหันหน้ากลับไปแล้ว แต่ก็ยังช้าไปอยู่ดี แรงกระแทกทำให้เขาเซถลาถอยหลังไปหลายก้าว เห็นได้ชัดเลยว่าร่างกายขอบคุณชายรองคนนี้ไม่ทนทานกับความรุนแรงที่ได้รับ
   อดีตหน่วยดำไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ เขารับ”คำสั่ง”มาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรจะต้องปฏิบัติให้สำเร็จ จางซื่อเยี่ยนพุ่งเข้าใส่ร่างที่เซถลาอย่างตั้งตัวไม่ติด ห่วงลวดบางเบาลอยหวิวอยู่ในอากาศ คล้องเข้าใส่ลำคอนั้นอย่างแม่นยำ เว่ยเฟิงปิงตะโกนออกไป
   “หยุดนะ!!”
   จางซื่อเยี่ยนชะงักทันที เสี้ยววินาทีแรกเขาชะงักเพราะเสียงของผู้เป็นเจ้านาย แต่เสี้ยววินาทีต่อมาทำให้อดีตหน่วยดำหยุดชะงักไปจริงๆ เว่ยจินหยินที่กำลังเสียหลักไม่เป็นท่า ยกมือขึ้นมาเหมือนพยายามจะปัดป้อง แต่สิ่งที่ทำให้นัยน์ตาสีอีกาเบิ่งกว้างคือเลสท์ข้อมือสีเงินที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อ
   กว่าจะตระหนักถึงอันตรายของการปัดป้องนั้น ภาพตรงหน้าก็วูบลงเหมือนถูกตัดไฟ
------------------------------------------
   เว่ยจินหยินสำลัก เหมือนจะมีเลือดออกมาด้วยนิดหน่อย หมัดของจางซื่อเยี่ยนเบาๆ เสียที่ไหน และร่างกายของเขาก็ไม่ได้ถูกฝึกมาให้รับการกระทบกระเทือนแบบนี้ ถึงอย่างนั้นคุณชายรองก็ยังมีแก่ใจจะเอื้อมมือไปกระชากคอเสื้อร่างที่กำลังจะล้มทั้งยืนตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยลงกับพื้น และไอซ้ำอีกครั้ง
   “ไม่ตายหรอก” เขากล่าว เมื่อเห็นเว่ยเฟิงปิงวิ่งเข้ามาประคองตัวลูกน้อง นัยน์ตาสีฟ้าเงยมองเขาอย่างงุนงงและตื่นกลัว
   “ทำไม?”
   เว่ยจินหยินไออีกรอบ ละอองเลือดที่กระเซ็นใส่ฝ่ามือทำให้เขาขมวดคิ้วมุ่น ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองน้องชาย
   “พี่ก็อยากจะถาม เธอหักหลังพี่ทำไม?”
-----------------------------------------
   ความเงียบอย่างน่าอึดอัดก่อตัวขึ้นภายในห้องทำงานของเว่ยจินหยิน ซึ่งสภาพในตอนนี้ดูคล้ายเพิ่งถูกพายุถล่ม โต๊ะทำงานตัวใหญ่ล้มตะแคงอยู่มุมหนึ่ง ข้าวของกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น เว่ยเฟิงปิงประคองร่างของจางซื่อเยี่ยนวางลงบนตัก ใบหน้านั้นขาวซีดราวคนตาย เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามพี่ชาย โดยไม่ได้ตอบคำถามเดิม
   “พี่ทำอะไรซื่อเยี่ยน?”
   เมื่อเห็นว่าเว่ยเฟิงปิงไม่ได้มีท่าทีจะคุกคามชีวิตของเขาอีก สีหน้าของเว่ยจินหยินก็ดูผ่อนคลายลง ถึงกับเป็นฝ่ายยอมตอบคำถามก่อน
   “ยา” ผู้เป็นพี่ชายตอบสั้นๆ ก่อนจะพูดอธิบายต่อ “ไม่ถึงตาย แค่เป็นอัมพาตชั่วคราว”
   คนเป็นน้องมองนัยน์ตาสีดำอย่างไม่แน่ใจนัก แต่ก็พยักหน้า ถึงสงสัยไปก็ใช่ว่าจะได้อะไรขึ้นมา ในเมื่อทางนั้นยืนยันแล้วว่าไม่ตาย เขาก็ไม่ควรจะเซ้าซี้ให้มากอีก เกิดเว่ยจินหยินเปลี่ยนใจโมโหขึ้นมา ตัวเขาเองนั่นแหละจะแย่เปล่าๆ
   “ทำไมเธอถึงโกหกพี่?” เว่ยจินหยินเอ่ยถามอย่างมีน้ำอดน้ำทนเมื่อเห็นผู้เป็นน้องชายยังคงนิ่งเงียบ เว่ยเฟิงปิงเงยหน้ามองเขาอีกรอบ ขมวดคิ้ว “ผมโกหกพี่เรื่องอะไร?”
   “เธอพูดเองว่าจะไม่ทำตามคำสั่งคุณพ่อ แต่เธอก็ฉวยโอกาสเล็งปืนใส่พี่” เว่ยจินหยินเอ่ย นัยน์ตาสีดำวาววับจับจ้องไปยังมือที่มีเลือดแห้งกรังของผู้เป็นน้องชาย เว่ยเฟิงปิงชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา
   “พี่บังคับให้ผมทำ”
   คิ้วได้รูปของผู้ฟังขมวดเข้าหากันทันที เหมือนกับจะถามหาเหตุผล เว่ยเฟิงปิงพูดต่อ “พี่จะฆ่าซื่อเยี่ยน พี่รู้ล่วงหน้าแล้วว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ พี่ให้ผมไปหาคุณพ่อ ให้ซื่อเยี่ยนรับคำสั่ง พี่เห็นพวกผมเป็นตัวอะไร?”
   นัยน์ตาสีฟ้าสั่นระริกอย่างมีโทสะ มาคิดดูแล้วก็น่าหงุดหงิดใจจริงๆ ที่พวกเขาสองคนเอาชีวิตมาแขวนไว้กับแผนการสลับซับซ้อนที่หาต้นสายปลายเหตุไม่เจอของผู้เป็นพ่อและพี่ชาย เว่ยจินหยินกะพริบตาถี่ๆ ก่อนจะพยักหน้า “ออ..อืม... พี่คงทำให้รู้สึกแบบนั้น”
   คำตอบนั้นไม่ได้ทำให้เว่ยเฟิงปิงพอใจสักนิด เขาถลึงตาใส่ผู้เป็นพี่ชายอย่างเอาเรื่อง
   “อธิบายมา ผมอยากรู้ว่าพี่กับพ่อคิดจะทำอะไรกันแน่ ทำไมถึงได้หลอกใช้ผมกับซื่อเยี่ยนอย่างนี้”
   ก็รู้อยู่หรอกว่าเจอแบบนี้อาจจะไม่พอใจ แต่สำหรับเว่ยจินหยิน เฟิงปิงยังไม่ได้ตอบคำถามของเขาเลย
   “เธอยังไม่ได้ตอบพี่เลยว่าทำไมถึงหันปืนใส่พี่”
   เว่ยเฟิงปิงอ้าปากค้าง นี่พี่ชายของเขาฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง ไอ้ที่เขาพูดไปไม่ใช่เหตุผลรึ ชายหนุ่มถึงกับต้องกระชากเสียง “ก็พี่จะฆ่าซื่อเยี่ยน!”
   นัยน์ตาสีดำของเว่ยจินหยินไหววูบ ดูเหมือนจะแปลกใจอยู่มาก ถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนเอ่ยช้าๆ “เพราะพี่จะฆ่าซื่อเยี่ยน เธอเลยจะฆ่าพี่? ฆ่าพี่เพราะซื่อเยี่ยนเหรอ?”
   เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด ไอ้คำถามที่ถามกลับมายังไม่น่าหงุดหงิดเท่ากับท่าทีที่แสดงออก พี่ชายของเขาทำอย่างกับว่าการที่เขากลัวจางซื่อเยี่ยนตายเป็นเรื่องประหลาดเสียเต็มประดา อีแบบนี้ไม่โมโหก็ต้องโมโหกันบ้างล่ะ
   “ผมไม่อยากให้ซื่อเยี่ยนตาย ประหลาดนักหรือไง? ทีพี่ยังจะเป็นจะตายตอนเถียนซานถูกระเบิดเลย!!”
   เมื่อถูกตอกหน้าเรื่องในวันนั้น เว่ยจินหยินถึงกับอับจนคำพูดไปพักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้า
   “ไม่ยักรู้ว่าเธอผูกพันกับซื่อเยี่ยนขนาดนี้ เห็นทีพี่คงเข้าใจผิด เธอไม่ได้ยอมนอนกับซื่อเยี่ยนแค่หวังผลประโยชน์เท่านั้นสินะ”
   เว่ยเฟิงปิงถลึงตาใส่พี่ชายอย่างโกรธเคือง “ผมจะนอนกับใครมันก็เรื่องของผม แล้วถ้าผมจะรักซื่อเยี่ยน มันไปหนักส่วนไหนของพี่!”
   คำต่อล้อต่อเถียบแบบไม่ไว้หน้าของน้องชายทำเอาเว่ยจินหยินสะอึก ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายไม่รักษามารยาท เว่ยเฟิงปิงนั้นแต่ไหนแต่ไรไม่เคยรักษามารยาทกับเขาอยู่แล้ว สิ่งที่ทำให้เว่ยจินหยินตระหนกคือคำว่ารักที่เว่ยเฟิงปิงเอ่ยออกมาต่างหาก
   น้องชายของเขางับเหยื่อล่อตัวโตของผู้เป็นบิดาเข้าเสียแล้ว
   เว่ยจินหยินเคยสงสัย ว่าทำไมเว่ยชิงต้องจงใจส่งจางซื่อเยี่ยนไปเป็นบอดีการ์ดให้กับเว่ยเฟิงปิงด้วย เพราะคนที่เคยถูกไล่ออกไปหนหนึ่ง ต่อให้เป็นสายเลือดเดียวกัน ตำแหน่งและอำนาจที่ได้หลังกลับมาในตอนแรกไม่มีคุณค่าคู่ควรกับการส่งหน่วยดำไปคุ้มกันด้วยซ้ำ เขาเข้าใจว่าผู้เป็นพ่อต้องการจะจับจ้องพฤติกรรมของลูกชายลักเพศคนนี้อย่างใกล้ชิด แต่เอาเข้าจริงกลับกลายเป็นว่า จางซื่อเยี่ยนเองก็ดูจะไม่ได้ติดต่อกับเว่ยชิงบ่อยนัก ทุกอย่างดูแปลกๆ
เว่ยจินหยินนึกหงุดหงิดใจ กระทั่งบากหน้าไปหาผู้เป็นพ่อเพื่อหยอดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ดูว่าเว่ยชิงจะจัดการยังไงกับลูกชายที่ดูจะมีความสัมพันธ์เกินเลยกับคนที่ส่งไปคุม และก็แปลกใจเมื่อพบว่าพ่อของเขาปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ
   เว่ยจินหยินเพิ่งเข้าใจเหตุผลตอนนี้เอง
   บ่วงรักบงการคนได้ดีที่สุด
   คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยถอนหายใจยืดยาว เขาเกือบพลาดแล้วจริงๆ ถ้าหากเขาไม่หยุดมือและหันมามองน้องชาย เว่ยเฟิงปิงยิงเขาแน่นอน คิดมาถึงตรงนี้เว่ยจินหยินรู้สึกวูบในหัวอย่างบอกไม่ถูก เว่ยชิงถึงกับวางหมากไว้หลายชั้น วางกลยุทธ์ที่พร้อมจะหยิบมาใช้ได้เมื่อมีโอกาส รู้อยู่แต่แรกแล้วว่าเขาเตรียมจะรับมือเอาไว้ รู้แน่ว่าเขาคงไม่ปล่อยจางซื่อเยี่ยน และรู้ว่าเว่ยเฟิงปิงจะไม่ปล่อยให้จางซื่อเยี่ยนตายโดยไม่ทำอะไร
   ทำไมคนที่คาดเดาหัวใจคนอื่นได้ดีขนาดนี้ จึงไม่เคยรับรู้ถึงความรักที่เขามีให้บ้าง
   ทำไมถึงได้จงเกลียดจงชังเขานัก
-----------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงเงยมองผู้เป็นพี่ชาย จนแล้วจนรอดเว่ยจินหยินก็ยังไม่ตอบคำถามของเขา ว่าวางแผนอะไรเอาไว้กันแน่ คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยไม่ยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างไม่สมควร ในเมื่อเขาตอบคำถามแล้ว อีกฝ่ายก็ต้องตอบบ้าง
   “พี่รอง พี่บอกผมได้หรือยังว่าพี่กับพ่อวางแผนอะไรกันเอาไว้”
   เว่ยจินหยินหันมาเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว ก่อนจะถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ขณะที่กำลังจะอ้าปาก เขาก็สำลักอีกครั้ง
   เลือดสีแดงกระจายเต็มพื้นห้อง
------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   ท้องฟ้ามืดครึ้มลงแล้ว เว่ยชิงยังคงใช้เวลาอยู่บนเก้าอี้นวมตัวโปรด หลังเสร็จจากอาหารมื้อเย็นบนโต๊ะตัวใหญ่ที่ไม่มีผู้ใดอีก เขาไม่ทานอาหารร่วมกับใครมานานมากแล้ว และไม่เคยนัดใครมานานอาหารที่บ้าน นอกเสียจากลูกชายคนโต ซึ่งก็ไม่ค่อยแวะมาบ่อยนัก ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังโปรดปรานฟู่ฉินเสมอมา
   ความจริงแล้วเว่ยชิงรักชอบลูกๆ ของตนทุกคน แม้กระทั่งเว่ยเฟิงปิงที่ดันกลายเป็นคนลักเพศ เพียงแต่เขาอาจจะต้องใช้วิธีแสดงความรักต่างกันบ้าง ตามนิสัยของลูกแต่ละคน  เพื่อให้ลูกๆ อยู่ในโอวาท และทำงานให้เขาอย่างสมบูรณ์ที่สุด
   ยกเว้นเสียแต่เว่ยจินหยิน
   เหมือนจะมีความทรงจำเบาบางว่าครั้งหนึ่งเขาเคยรักลูกชายคนนี้มากแค่ไหน ลูกชายตัวน้อยๆ ที่ถือกำเนิดจากภรรยาคนที่สอง กับเขาที่ช่วงนั้นกำลังอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์และได้อำนาจมาไว้ในมืออย่างเต็มที่ หลังจากผ่านเหตุการณ์เลวร้าย การได้ลูกชายคนใหม่ในตอนนั้นทำให้เขามีความสุข แม้จะงานยุ่งแต่เขาก็หาโอกาสแวะไปเยี่ยมเยียนลูกชายคนนี้เสมอ นัยน์ตากลมโตน่ารักมองเขาอย่างยินดีเมื่อได้เห็น เว่ยจินหยินช่างพูดช่างจามาแต่เด็ก หน้าตามีเสน่ห์ เว่ยชิงในตอนนั้นรักใคร่ลูกชายคนใหม่นี้มากจริงๆ ถึงกับจัดคนดูแลไม่ห่าง หากระทั่งเพื่อนเล่นไว้ให้ เขาพาเถียนซานเข้ามาเพื่อให้ดูแลลูกชายตัวน้อยและคอยปกป้อง ซึ่งเถียนซานทำได้ดีเสมอมา
   ความรักทุ่มเทในตอนนั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองย้อนกลับไปเป็นเว่ยชิงเมื่อหลายสิบปีก่อน สมัยที่ยังเยาว์วัย เขาเคยรักเคยเอ็นดูใครคนหนึ่ง เคยทุ่มเทให้กับใครคนหนึ่ง ใครคนนั้นที่ช่างพูดช่างจา ใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์ รู้ใจเขาไปทุกอย่าง
   ราวกับเงาสะท้อนของอดีตที่ยังความขมขื่นมาให้ปรากฏขึ้นตรงหน้า เว่ยชิงรู้สึกตัว หวาดกลัวในความรักที่เขามี เขาตัดสินใจตัดเยื่อใยกับลูกชายที่ละม้ายกับอดีตคนนี้ ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ใจแข็งพอจะเด็ดหัวทิ้ง เหมือนที่ไม่ใจแข็งพอกับคนคนนั้นนั่นแหละ
   เพราะความอ่อนแอนั้นแหละ มันถึงได้กลายเป็นหนามยอกอกเขาอยู่จนถึงทุกวันนี้
   เว่ยชิงไม่อยากทำพลาดซ้ำหลายครั้ง ก่อนที่เว่ยจินหยินจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เขาคงต้องหักใจกำจัดทิ้งก่อน
   แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคิดได้ช้าเกินไป กว่าที่เขาจะรู้ตัวว่าควรจะลงมือกับลูกชายคนนี้ จินหยินก็รวบอำนาจเอาไว้ได้เยอะแล้ว ช่างเหมือนกันเหลือเกิน เหมือนกับช่วงเวลานั้นไม่มีผิด จะต่างก็เสียแต่ เขามีประสบการณ์มาแล้ว รู้ตัวอยู่ก่อนแล้ว เขาไม่มีทางจะถูกทำลายอีกเป็นครั้งที่สอง
   กระนั้นเขาก็ยังเคยคาดหวังจะใช้วิธีละมุนละม่อมจัดการกับเว่ยจินหยิน การหักใจฆ่าลูกชายนั้น สำหรับคนเป็นพ่อไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ก็เหมือนกับการหักใจตัดอวัยวะสำคัญทิ้งนั่นแหละ เว่ยชิงลองหว่านล้อมให้จินหยินแต่งงาน หว่านล้อมให้ลูกชายคนนี้ผูกสมัครรักใคร่กับใครสักคน ใครที่เขาจะเอาไว้ใช้เป็นหลักประกันได้ว่าจะไม่ทำให้เว่ยจินหยินหักหลังเขา แต่กลับถูกทางนั้นปฏิเสธอย่างสุภาพ เมื่อไม้นวมใช้ไม่ได้ผล และเว่ยจินหยินยิ่งกระทำการคล้ายกับอดีตที่เขาเคยเผชิญมากไปทุกที เว่ยชิงจึงต้องคิดวางแผนกำจัดลูกชายอย่างเงียบๆ
   กระทั่งวางยาพิษในตอนที่เชิญมาทานข้าว เขาก็ทำมาแล้ว แต่อะไรที่เขาคิด มีหรือเว่ยจินหยินจะคาดไม่ได้ เว่ยชิงรู้ว่าลูกชายคนนี้ไม่ไว้ใจเขา แบบเดียวกันกับเขานั่นแหละ แต่หากเว่ยจินหยินจะมองเขาด้วยสายตาชิงชังหรือเย็นชาอย่างที่ลูกคนอื่นมอง เขาคงทำใจยอมรับได้มากกว่านี้
   แต่นัยน์ตาสีดำนั่นกลับมองมายังเขาอย่างอ้อนวอน ขอความเห็นใจ ที่เหมือนมีม่านบางๆ มาขึงไว้อีกชั้นหนึ่ง
   คล้ายกับนัยน์ตาคู่เดิมที่เป็นอดีตของเขาจริงๆ
   หลังจากครั้งนั้น เว่ยชิงตระหนักดีว่าเขาต้องกำจัดลูกชายคนนี้ให้ได้ เขาจะไม่เสี่ยงจนถึงวินาทีสุดท้าย เว่ยจินหยินที่พยายามจะสร้างความดีความชอบกับเขา จึงทำให้เพาะศัตรูเอาไว้รอบด้าน เว่ยชิงเคยเฝ้ารอ เฝ้ารอวันแล้ววันเล่าว่าเว่ยจินหยินจะถูกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งลอบสังหาร แต่เจ้าตัวก็รอดมาได้ทุกครั้ง สุดท้ายเขาจึงต้องลงมือเอง
   โดยการส่งเว่ยจินหยินไปร่วมประชุมที่เมืองไทย
   การที่เขาตกลงจะส่งคนเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายแค่สองอย่าง คือหักแขนหักขาริเวิล และยืมมืออีกฝ่ายฆ่าลูกชายตัวเอง สำหรับเขา เว่ยจินหยินกับริเวิล ไม่ว่าใครจะเพลี่ยงก็ดูจะสมผลประโยชน์ทั้งนั้น การส่งเว่ยเฟิงปิงไปด้วยก็แค่การตบตาคนอื่นๆ ไม่ให้สงสัยว่าเขาวางแผนสังหารลูกชายตัวเอง และอีกอย่างเว่ยเฟิงปิงดูจะมีทีท่าอยากแว้งกัดเว่ยจินหยิน ในเมื่อเขาตกลงใจจะกำจัดลูกชายคนนี้แล้ว ก็ต้องทำให้ถึงที่สุด
   แต่เว่ยจินหยินก็ยังรอดมาได้ และย้อนเกล็ดริเวิลเสียจนอ่วม
   เว่ยชิงบอกไม่ได้จริงๆ ว่าเขารู้สึกดีใจหรือเสียใจกับเรื่องนี้
   เสียงใบไม้เสียดสียามต้องกับสายลมยามค่ำดังแว่วมาที่หน้าต่าง เว่ยชิงเงี่ยหูฟังอย่างสงบ เขาได้ยินเสียงอย่างอื่นนอกจากเสียงของสายลมแล้ว
   อีกไม่กี่อึดใจ ชายคนหนึ่งก็เข้ามายืนอยู่ตรงหน้าเขา ในสภาพเหนื่อยหอบ เว่ยชิงนั่งรออย่างอดทน รอให้ฝ่ายนั้นหอบหายใจจนเต็มที่ หากไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงๆ คงไม่รีบร้อนมารายงานขนาดนี้
   “คะ.. คุณชายรองบาดเจ็บสาหัส เพิ่งตามหมอเข้าไปดูอาการเมื่อครู่นี้เอง”
   นัยน์ตาสีน้ำครำหลับลง แม้จางซื่อเยี่ยนจะไม่ได้ฆ่าเว่ยจินหยินในทันที แต่ฟังแค่บาดเจ็บสาหัสกับสถานการณ์ล่อแหลมในตอนนี้ เว่ยจินหยินต้องไม่ไปโรงพยาบาลแน่ เพราะถ้าออกไป ก็เสี่ยงกับการถูกลอบสังหารอยู่ดี เจ้าตัวคงจะเลือกรักษาตัวอยู่ที่ตึก หวังว่าอาการบาดเจ็บสาหัสนั่นจะสาหัสพอให้เว่ยจินหยินเหลือเวลามองโลกนี้อีกไม่มาก
   เว่ยชิงโบกมือให้ผู้รายงานข่าวกลับออกไป ก่อนจะถอนหายใจ
   บทสรุปสุดท้ายคงใกล้มาถึงแล้ว
   แต่มันจะเป็นอย่างที่เขาหวังจริงๆ หรือ?
-----------------------------------
   ตั้งแต่เกิดมาจนอายุยี่สิบสาม เว่ยเฟิงปิงไม่เคยเห็นใครกระอักเลือดจริงๆ ซักที นอกจากการแสดงในละครโทรทัศน์ เขาไม่คิดว่าจะมีใครที่ไหนในโลกถูกมือธรรมดาๆ กระแทกจนอวัยวะภายในเสียหายขนาดสำลักเลือดมาก่อน
   แต่สิ่งที่เว่ยจินหยินสำลักคือเลือดไม่ผิดแน่ กลิ่นคาวฉุนเฉียวและสีแดงสดแบบนั้นจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
   ดูท่ามันจะเป็นผลมาจากหมัดที่จางซื่อเยี่ยนต่อยใส่
   เว่ยเฟิงปิงพูดอะไรไม่ออก ก่อนที่เว่ยจินหยินจะหมดสติ เขาเรียกลูกน้องเข้ามาและสั่งกำชับว่าไม่ว่าอาการจะเลวร้ายแค่ไหน ห้ามพาเขาออกไปจากตึกนี้เด็ดขาด ผู้เป็นลูกน้องปฏิบัติตามคำสั่งนี้อย่างเคร่งครัด แม้แพทย์ที่ถูกตามเข้ามาจะลงความเห็นว่าต้องไปที่โรงพยาบาลเพื่อผ่าตัด แต่อีกฝ่ายยังคงยืนยันในคำสั่งอย่างเคร่งครัด จนฟังดูเหมือนอำมหิต สุดท้ายแพทย์จึงต้องตรวจอาการของเขาและลงมือรักษาในห้องนอนของตัวเขาเอง
   เว่ยเฟิงปิงไม่มีน้ำหน้าจะอยู่คอยดูแลอาการของพี่ชาย เขาปล่อยให้ลูกน้องของเว่ยจินหยินจัดการทุกอย่าง และปลีกตัวออกมาเงียบๆ สมทบกับลูกน้องของตนที่รอคอยอยู่
   ไม่มีใครถามอะไรเขา ไม่มีใครพูดถึงสาเหตุการบาดเจ็บของเจ้านาย
   ทุกคนในตึกของเว่ยจินหยินปล่อยให้เขากลับออกมาง่ายๆ
   เว่ยเฟิงปิงไม่รู้ว่าควรจะโล่งใจดีหรือเปล่า
   มันประหลาดเกินไปสำหรับเรื่องแบบนี้ ราวกับคนในตึกถูกสั่งเอาไว้ล่วงหน้า
   จนถึงตอนนี้ เว่ยเฟิงปิงหมดความสามารถจะเข้าใจแล้วจริงๆ ว่าพี่ชายคนรองของเขาคิดอะไรอยู่กันแน่
   หลังจากกลับมาถึงสำนักงาน เว่ยเฟิงปิงให้คนพาร่างที่ยังคงไร้สติของจางซื่อเยี่ยนไปไว้ที่ห้องนอน ก่อนจะเฝ้าดูอาการอยู่ข้างๆ ด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่าง
------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนเคยได้รับบาดเจ็บสาหัส เคยหมดสติ เคยเจ็บจนแทบขาดใจ มันเป็นเรื่องที่เขาต้องพร้อมจะเผชิญอยู่ทุกเมื่อ แต่สิ่งที่เขาประสบอยู่นี้ ดูพิสดารและออกแนวเลวร้ายกว่าสิ่งที่เคยเจออยู่มาก
   หูของจางซื่อเยี่ยนยังได้ยินทุกอย่าง ร่างกายทุกส่วนยังรับสัมผัสได้ แต่ไม่สามารถขยับเขยื้อนใดๆ ได้เลย เหมือนกระดูกและกล้ามเนื้อถูกบางสิ่งบางอย่างยืดเอาไว้จนแข็งไปหมด
   รสชาติยาพิษของเว่ยจินหยินแต่ละอย่าง สุดทานทนจริงๆ
   จางซื่อเยี่ยนคิดเอาไว้หลายอย่าง หลังจากได้รับ”คำสั่ง” เขารู้ดีว่าขัดขืนคำสั่งนี้ไม่ได้ แต่การสังหารเว่ยจินหยินในตอนที่เว่ยเฟิงปิงยังอยู่ด้วย ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวที่จะได้รับอันตราย ต่อให้เว่ยจินหยินถูกกำจัดจริง ก็ใช่ว่าลูกน้องด้านนอกจะปล่อยพวกเขาไปเสียหน่อย แต่คำสั่งคือคำสั่ง ไม่ว่าจะเกิดอะไร จางซื่อเยี่ยนยังคงต้องลงมือ
   โชคยังดีที่เว่ยเฟิงปิงไม่เอาด้วยกับพ่อของเขา
   เว่ยจินหยินแม้จะอำมหิต แต่ก็เป็นคนฟังเหตุผล และหากยังมีประโยชน์ เจ้าตัวคงไม่ลงมือฆ่าทิ้งแน่ ในเมื่อเว่ยเฟิงปิงไม่มีกะใจจะมุ่งร้ายกับเว่ยจินหยิน แม้เขาทำพลาด คนที่จะถูกกำจัดคงเป็นเขาแค่คนเดียวอย่างไม่ต้องสงสัย เรื่องนี้ทำให้จางซื่อเยี่ยนเบาใจไปได้เปลาะหนึ่ง แต่หากเขาทำสำเร็จ เว่ยเฟิงปิงต้องถูกสงสัยด้วยแน่ๆ เรื่องนี้จางซื่อเยี่ยนคิดว่าเขาคงต้องหักใจทำร้ายเจ้านายสักครั้ง
   หากเว่ยเฟิงปิงถูกทำร้ายด้วย โทษทัณฑ์ทุกอย่างก็จะตกแก่เขาเพียงผู้เดียว
   แต่ทุกอย่างไม่มีสิ่งไหนเป็นไปตามการคาดการณ์ของเขาเลย เว่ยจินหยินไม่ฆ่าเขา ซ้ำยังยิงเข็มพิษบางอย่างใส่เขาในวินาทีสุดท้าย พิษที่หากมันฆ่าเขาตายคงไม่ทำให้เขาปวดใจมากขนาดนี้ จางซื่อเยี่ยนได้ยินบทสนทนาหลังจากนั้นทุกประโยค รู้สึกด้วยซ้ำว่าถูกมือใครหิ้วไว้ ถูกใครให้หนุนตัก
   รู้สึกชัดว่าร่างกายที่ให้เขาหนุนอยู่นั้นสั่นสะท้านขนาดไหนในตอนที่พูดคำนั้นออกไป
   รัก...
   จางซื่อเยี่ยนไม่เคยคิดมาก่อนว่าเว่ยเฟิงปิงจะรักเขาจริงๆ ถึงแม้เขาจะรักเจ้านายคนนี้มาก แต่ก็หวังเพียงเป็นคนที่ช่วยเยียวยาหัวใจบาดเจ็บดวงนั้น อยากให้เว่ยเฟิงปิงพอใจเขาบ้าง ยอมรับความรักที่เขามือ แต่ไม่เคยหวังให้อีกฝ่ายรักเขาขนาดยอมเสี่ยงด้วย
   ไม่อยากเชื่อเลยว่าเจ้านายที่แสนเย็นชาคนนี้จะยกปืนเล็งพี่ชายเพราะเขา
   ถ้าอย่างนั้น กระบี่ที่หายไปและท่าทีชะงักของเว่ยจินหยินก็เพราะน้องชายคนนี้นี่เอง จางซื่อเยี่ยนรู้สึกโล่งใจอยู่ที่กระบี่นั้นดูจะไม่ได้ทำให้เจ้านายของเขาบาดเจ็บ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางต่อล้อต่อเถียงกับพี่ชายที่เหมือนสุนัขจิ้งจอกนั่นได้เด็ดขาด ดูเว่ยเฟิงปิงจะห่วงเขามากจริงๆ หากไม่ใช่เผชิญเหตุการณ์แบบนี้ การแสดงความห่วงใจต่อเขาอย่างจริงใจของผู้เป็นเจ้านายคงทำให้เขามีความสุขไม่น้อย เหมือนสัตว์เลี้ยงที่ถูกลูบศีรษะเป็นรางวัล แต่สำหรับตอนนี้ทุกอย่างผิดกันไปหมด เขาพลาด และเว่ยเฟิงปิงเสี่ยงชีวิตเพราะเขา หากเว่ยจินหยินไม่ใจเย็นขนาดนึกถามเหตุผลก่อนจะลงมือแล้ว เว่ยเฟิงปิงจะรอดหรือ?
   จางซื่อเยี่ยนอดรู้สึกสะท้านขึ้นมาไม่ได้ เขาเพิ่งรู้นี่เองว่าความรักซับซ้อนเกินกว่าที่คิดเอาไว้ การที่เว่ยเฟิงปิงลงมือกับเว่ยจินหยินเพราะเขา ใครเลยจะคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ อา.... ถ้าใครจะคาดเอาไว้ ก็คงต้องเป็นคนคนนั้นนั่นแหละ
   คนที่เอ่ย”คำสั่ง”กับเขา
   จริงๆ แล้วจางซื่อเยี่ยนแปลกใจมากพอสมควรเลยที่ได้ยินว่าเจ้านายใหญ่อยากจะกำจัดลูกชายคนรองของตัวเอง ตลอดเวลาเขาเข้าใจอยู่เสมอว่าเว่ยชิงโปรดปรานลูกชายคนนี้ไม่น้อยไปกว่าคนโต เพราะเว่ยจินหยินทำงานตอบสนองเขาได้ทุกอย่าง ไม่ว่าเรื่องยากลำบาก เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแค่ไหน ผู้ชายที่เจ้าเล่ห์ราวกับสุนัขจิ้งจอกคนนี้สามารถเอาอยู่แทบทุกอย่าง เรียกว่าถ้าไม่รักก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว แม้จะไม่ค่อยเห็นเว่ยชิงอยู่กับเว่ยจินหยินบ่อยนัก แต่ทุกคนก็เชื่อเหมือนกันหมดว่า สองพ่อลูกนี้รักกันจริงๆ เพราะเว่ยจินหยินเองก็ชอบอ้างถึงเว่ยชิงบ่อยๆ
   ดังนั้นการสั่งฆ่าเว่ยจินหยินจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ
   แต่ทุกคนที่อยู่ในหน่วยดำรู้ดีว่าเว่ยชิงไม่เอ่ย”คำสั่ง”พร่ำเพรื่อ คำสั่งนั้น ถ้ากล่าวออกมา ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอย่างไร ทุกคนในหน่วยไม่สนใจอยู่แล้ว พร้อมจะปฏิบัติตามคำสั่งทันที
   การที่เว่ยชิงเอ่ย”คำสั่ง”กับเขา แปลว่าตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เก็บลูกชายคนนี้เอาไว้
   เหตุผลนั้นคงมีแต่ตัวเว่ยชิงเองที่รู้
   การที่เว่ยชิงเอ่ย”คำสั่ง”กับเขานั้น ครั้งแรกจางซื่อเยี่ยนไม่ได้รู้สึกสะกิดใจอะไร หากอยากจะฆ่าเว่ยจินหยิน ก็ต้องฆ่าในจังหวะที่เจ้าตัวระวังตัวน้อยที่สุด เหตุผลที่เว่ยชิงยกมาอ้างก็ดูจะเข้าที แต่ถึงตอนนี้ จางซื่อเยี่ยนเริ่มสะกิดใจแล้วว่า การที่เจ้านายใหญ่จงใจเอ่ย”คำสั่ง”กับเขา เพราะคิดไว้แล้วหรือเปล่าว่าเว่ยเฟิงปิงจะกระโดดเข้าร่วมด้วย
   หากเว่ยจินหยินไม่ถูกกิน คนที่จะถูกกินคงเป็นเขากับเว่ยเฟิงปิงนั่นแหละ
   ตาหมากซับซ้อนและอำมหิตแบบนี้ จางซื่อเยี่ยนเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก
----------------------------------------
   เว่ยชิงยังคงลืมตาอยู่บนเก้าอี้นวม แม้จะเป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว จริงๆ สมควรที่คนอายุหกสิบกว่าอย่างเขาจะพักผ่อน แต่คงเพราะเผลอนอนกลางวันไป จึงยังไม่รู้สึกง่วงมากนัก และบางสิ่งบางอย่างกระซิบบอกเขาว่าทุกอย่างอาจจะไม่เป็นไปตามแผน
   อย่างน้อยตอนนี้เว่ยจินหยินก็ยังไม่ตาย
   เสียงแค่นหัวเราะหลุดออกมาจากลำคอที่หย่อนคล้อย ไม่น่าเชื่อเลยว่าอีกหลายสิบปีต่อมา เขาจะต้องมานั่งพะว้าพะวงกับการนั่งสาปแช่งลูกชายตัวเองให้ตายไปต่อหน้า
   ถ้าให้ถามจริงๆ เว่ยชิงตอบไม่ได้ว่าเว่ยจินหยินมีความผิดอะไรจึงได้รับโทษทัณฑ์เช่นนี้ เฉกเช่นเมื่อเกือบห้าสิบปีก่อน ตอนนั้นเขาก็ไม่เคยคิดว่าคนคนนั้นจะทำผิดอะไรให้เขาต้องโกรธแค้นแสนสาหัส แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว คนที่รู้ใจและไว้ใจมากที่สุด หักหลังเขาในช่วงเวลาสำคัญที่สุด
   และช่วงเวลานั้นกับช่วงเวลานี้ก็ใกล้เคียงกันเหลือเกิน
   เว่ยชิงไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม ก่อนหน้านี้เขาวางแผนเอาไว้ หากเว่ยจินหยินรอดกลับมาได้ เขาจะใช้คนที่ไว้ใจได้ที่สุด และทำงานเรียบร้อยที่สุดให้กำจัดลูกชายเสีย หากเอ่ยปากใช้คนคนนี้ เว่ยจินหยินจะต้องตายแน่นอน
   ลูกชายคนรองที่ระวังตัวแจและเจ้าเล่ห์อย่างที่สุดของเขาคนนี้ มีเพียงคนเดียวที่ได้รับความเคารพและเชื่อใจ
   เถียนซาน
   เว่ยชิงมั่นใจว่าแม้เถียนซานจะผูกพันกับเว่ยจินหยินสักเพียงไหน หากเขาเอ่ย”คำสั่ง”ก็คงจะต้องทำตามอย่างไม่ปริปากถามแน่นอน  สำหรับเถียนซานแล้ว ถ้าจะพูดกันให้ตรงๆ เขายังไว้ใจมากกว่าลูกๆ ของตนเสียอีก เพราะเถียนซานเป็นคนที่เด็ดขาดและมั่นคงมาแต่ไหนแต่ไร แยกแยะได้ว่าสิ่งไหนคือหน้าที่สิ่งไหนคือความรู้สึก ไม่น่าแปลกใจถ้าคนคนนี้จะขึ้นมากินตำแหน่งหัวหน้าหน่วยลอบสังหารได้ยาวนานเกือบยี่สิบปี
   เถียนซานจะต้องฆ่าเว่ยจินหยินให้เขาได้แน่ แต่หลังจากนั้นเขาคงต้องสูญเสียลูกน้องฝีมือดีไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
   เถียนซานคงไม่ฆ่าคนที่ตัวเองเลี้ยงมากับมือแล้วยังลอยหน้าลอยตาทำงานกับเขาได้เหมือนเดิมหรอก
   เว่ยชิงไม่อยากเสียลูกน้องคนสำคัญคนนี้ไป จึงรอจนถึงขีดสุด รอให้ถึงจุดที่วิกฤติที่สุด น่าเสียดายที่จุดที่ว่ามาถึงแล้ว แต่เถียนซานกลับไม่อาจทำงานให้เขาได้
   หรือนี่จะเป็นฟ้าลิขิตให้เว่ยจินหยินยังมีชีวิตต่อไป
   เว่ยชิงเพิ่งรู้สึกตัว ว่าเขากำลังถูกอดีตและปัจจุบันตามหลอกตามหลอนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
-----------------------------------------

ิbenejeng

  • บุคคลทั่วไป
อ๋าาาาาาา   เครียดกันใหญ่เลยอ่ะ

ออฟไลน์ @BUA@

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +427/-8
ปวดหัวกะเว่ยชิง
ใครก็ได้เอาไปเก็บไกลๆ ทีซิ  :m16:

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
เยอะแยะมากมายหลายประเด็นมากค่ะ สนุก

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
แงแง เศร้าไปกับฟ่งด้วยอะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด