[ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ท่านผู้อ่านชอบตัวละครใดมากที่สุด ในเรื่อง"คนข้างห้องผมเป็นสายลับ" (อนุญาตให้เลือกได้แ

หนูฟ่ง : แน่นอนอะ กระรอกน้อยช่างน่ารัก และน่าเหยียบ ในเวลาเดียวกันo_O
รูฟัส : สุดๆ อะ พระเอกอะไรไม่รู้ว มันน่ารัก น่าหยิกแก้มจริงๆ นะเนี่ย (ทั้งกะล่อน ตอแหล หื่น รวมอยู่ในคนคนเดียว!!)
เว่ยเฟิงปิง : เอะอะสะบัดบ๊อบตลอดค่ะ (ไม่มีก็ไว้ซะนะคะ เฟิงขา)
จางซื่อเยี่ยน : ถึงจืดถึงจาง.. ถึงจะซื่อจะบื้อ... แต่ก็รักนะ รักหน่อยเหอะน้า~
อิทธิเดช : หนุ่มหน้าสวย บทไม่มาก (เพราะคนเขียนไม่อวย<<อ้าว) แอบโรคจิตนิดๆ แต่ก็น่าถนอม
วรุต : หนุ่มน้อยหน้ามน โรคจิตไม่แพ้กัน (จับคู่กับอิทธิเดชเลยได้คู่จิตป่วนแห่งปีไป) เอาน่า น้องวรุตก็มีส่วนน่ารักน่าเอ็นดูนะ!!
เว่ยจินหยิน : อวย!! อันนี้คนเขียนอวยค่ะ ฮ่าๆ ไม่รู้จะจิ้มใคร จิ้มให้คุณชายจิ้งจอกสุดที่Loveของดั้นสิฮ้า (โดนคนอ่านถีบ)
เถียนซาน : ผู้ชายแสนอบอุ่น... (คนนี้ไม่ได้อวย แต่เป็นคนอวยคนด้านบนอีกทีนึง..... เอวัง)

ผู้เขียน หัวข้อ: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55  (อ่าน 247483 ครั้ง)

jelatin99

  • บุคคลทั่วไป
สรุปอีตาเว่ยชิงเหี้ยมสุด บทสรุปคือทุกคนสมหวังแต่เว่ยชิงเป็นบ้า

ออฟไลน์ Mookkun

  • magKapleVE
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 637
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
    • Consensual free relationships
สงสารจินๆหว่ะะ!!

แบบว่า เว่ยชิงแมร่ง,, บ้า!
ลูกทั้งคนเหอะ เหอๆ

ออฟไลน์ harumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +156/-33

yuuki

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
ไอ้บ้าเว่ยชิง :angry2:  คนละคนกันจะไปทรยศเหมือนกันได้ยังไง
แต่ถ้ายังทำร้ายจินหยินอยู่แบบนี้มันก็ไม่แน่หรอก :m16:
ฟ่งกับรูฟัสเศร้าเกินไปแล้ว :m15:  สงสารทั้งฟ่ง  สงสารทั้งรูฟัสเลย
แล้วใครจะเป็นคนช่วยแก้ปัญหาให้ฟ่งกับรูฟัสหละ

ISee

  • บุคคลทั่วไป
ไปตามอ่านในบล็อกจนจบแล้วค่ะ ขออภัยไม่ได้เม้นในบล็อก
สนุกมากเลยค่ะ แม้เรื่องจะโครตยาว แต่ก็มีอะไรให้ตามให้ตื่นเต้นตลอด
ตอนนี้ชักอยากอ่านต่อไปเรื่อยให้ภาระกิจใหม่ๆ กับพวกเขาหน่อยสิค่ะ อยากอ่าน

ออฟไลน์ Cc-kun

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
ฉากนี้เป็นฉากที่ชอบที่สุดในเรื่อง

โดยเฉพาะตอนจินหยินตัดพ้อว่าทำไมถึงไม่รับรู้ถึงความรักที่มีให้บ้าง
 :เฮ้อ:

nightsza

  • บุคคลทั่วไป
ทำไมตระกูลนี้แลดูซับซ้อนยังไงไม่รู้สินะ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**กลับมาต่อแล้วค่ะ หลังจากคอมกลับมาใช้ได้ (เพราะเสียเงินซื้อบอร์ดใหม่ไปอีกตัว-*-)

---------------------------------------------------

บทที่72 Stay with me.

   ในที่สุดจางซื่อเยี่ยนก็พอจะขยับตัวได้ ชายหนุ่มเผยอเปลือกตาขึ้นมาช้าๆ และพบว่าอยู่ในห้องนอนส่วนตัวของเจ้านาย ซึ่งปัจจุบันก็เป็นห้องนอนของเขาด้วย แสงสว่างที่ส่องผ่านม่านหน้าตาหนาเข้ามาทำให้จางซื่อเยี่ยนเดาเอาว่าเขาคงหลับไปตื่นหนึ่ง นี่คงเป็นเช้าวันใหม่ ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้น รู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัว แถมดูอ่อนแรงอย่างประหลาด ราวกับว่ากล้ามเนื้อไม่ได้ใช้งานมานานมาก ขณะที่กำลังทำความเข้าใจกับสภาพของตัวเองอย่างงุนงง ประตูก็ถูกผลักเข้ามา
   เว่ยเฟิงปิงชะงักค้างไปนิดหนึ่ง ก่อนจะเดินตรงรี่เข้ามา ยังไม่ทันที่คนที่นั่งอยู่จะเดาได้ว่าฝ่ายนั้นกำลังดีใจ เป็นห่วง หรืออย่างไรกันแน่ ฝ่ามือเรียวก็ฟาดเข้าที่หน้าเขาอย่างจัง
   สัมผัสนี้เล่นเอาจางซื่อเยี่ยนตื่นเต็มตา ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเจ้านาย แต่ยังไม่ทันได้อ้าปาก ก็ถูกตบซ้ำอีกรอบ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านร้าวไปถึงกระบอกตา จนกระทั่งผ่านไปสี่ครั้งนั่นแหละ เว่ยเฟิงปิงถึงได้หยุดมือ
   “ไอ้บ้าซื่อเยี่ยน!!” เจ้านายบริภาษ จางซื่อเยี่ยนถูกตบจนหูอื้อตาลาย ยังฟังประโยคไม่ทันชัด น้ำหนักของอีกฝ่ายก็โถมเข้ามา
   “ไอ้เจ้าบ้า!!” เว่ยเฟิงปิงยังคงไม่หยุดด่า แต่มือกลับกอดเขาเอาไว้แน่น อย่างกับเพิ่งได้ของสำคัญที่หายไปกลับคืนมา จางซื่อเยี่ยนกอดตอบเจ้านายไปโดยอัตโนมัติ และพบว่าอีกฝ่ายกำลังสะอื้นจนตัวสั่น
   “คุณชาย?!”
   คนที่เขาเรียกตอบสนองเสียงเรียกอย่างตกใจนั้นด้วยการจิกมือเข้าไปในหลังของเขา ไม่สิ เรียกว่าหยิกอย่างแรงจะถูกกว่า ถึงความเจ็บจะห่างจากสิ่งที่จางซื่อเยี่ยนเคยได้รับ แต่มันก็ทำให้เขาสะดุ้ง
   “ไอ้คนงี่เง่า สมองนายเป็นเครื่องจักรหรือไง?!!”
   คำด่าคราวนี้พ่วงเอาคำถามมาด้วย แต่เหมือนไม่ต้องการจะให้ตอบในทันที เว่ยเฟิงปิงเงยหน้าแดงก่ำและเต็มไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมา ก่อนจะพูดต่อ “นายน่ะ เชื่อฟังพ่อฉันขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าพ่อบอกให้ฆ่าฉันนายก็จะฆ่าด้วยสินะ!!”
   จางซื่อเยี่ยนตัวชาจนเกือบวูบ เขารีบกอดเว่ยเฟิงปิงเอาไว้ “ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก!”
   อีกฝ่ายผลักอกเขาออกทันที ก่อนจะย้อนถาม “ทีพี่รองนายยังทำได้หน้าตาเฉย นายคิดถึงฉันบ้างไหม? นายคิดบ้างไหมว่าฉันจะทำไงยังตอนนั้น”
   จางซื่อเยี่ยนอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า สร้างความพิศวงให้กับผู้ถามเป็นอย่างมาก เขาจึงต้องพูดในสิ่งที่คิดออกไป เว่ยเฟิงปิงตอบแทนเขาด้วยการตบอีกหนึ่งฉาด แรงพอๆ กับรอบแรก จางซื่อเยี่ยนได้กลิ่นคาวของเลือดในปาก เว่ยเฟิงปิงกระชากเสียง   “โง่เง่า! นี่ฉันหลงชอบไอ้คนไร้สมองอย่างนายได้ยังไง!!”
   สีหน้าของผู้เป็นเจ้านายแดงก่ำจนแทบจะคล้ำ นัยน์ตาสีฟ้าเขม่นขึงลุกโชนไปด้วยเพลิงโทสะ ตั้งแต่ทำงานมาให้หกปี รวมถึงระยะเวลาก่อนหน้านี้ จางซื่อเยี่ยนไม่เคยเห็นเว่ยเฟิงปิงโมโหขนาดนี้มาก่อน มันไม่ใช่ความโกรธเกรี้ยวอันเกิดจากการเอาแต่ใจ แต่เป็นอะไรที่ยิ่งกว่านั้น เว่ยเฟิงปิงหอบหายใจอีกพักหนึ่ง ถึงได้กระชากเสียงต่อ
   “คิดว่านายตายแล้วฉันจะดีใจหรือไง! นายคิดว่าฉันไม่มีหัวใจ คิดว่าที่ฉันพูดๆ ไปพูดเล่นงั้นเหรอ? นายรักฉันจริงๆ รึเปล่า?”
   จางซื่อเยี่ยนไม่ได้ตอบคำถามนั้นโดยตรง เขาดึงรั้งร่างของเจ้านายมากอดอีกรอบ กอดจนแน่น แม้จะถูกผลักไสอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย “ผมขอโทษครับ”
   เว่ยเฟิงปิงยังคงฮึดฮัดอยู่อีกพักใหญ่ จนกระทั่งหมดหนทางแล้วนั่นแหละจึงยอมหยุด ร่างผอมบางหอบหายใจสั่นไหวอยู่ในอ้อมกอด จางซื่อเยี่ยนนั้นพูดไม่เก่งเอาเสียเลย กระทั่งเว่ยเฟิงปิงหยุดพักจังหวะเพื่อหายใจอยู่นาน ก็ยังไม่มีปัญญาจะพูดอะไรออกมา ในที่สุดก็ยังคงเป็นเจ้านายที่กล่าวต่อ
   “ฉันจะไม่พานายไปพบคุณพ่ออีก ฉันรู้แล้วว่านายโง่!”
   จางซื่อเยี่ยนถอนหายใจออกมา ก่อนจะพูดสั้นๆ “ครับ”
   เว่ยเฟิงปิงเงยหน้าขึ้นมา จ้องใบหน้านั้นราวกับพิจารณาสัตว์ประหลาด “นายพูดอะไรไม่เป็นหรือไง?”
   จางซื่อเยี่ยนยิ้มออกมาในที่สุด ยิ้มๆ ทั้งๆ แก้มบวมปูด และมีเลือดกบปากนั่นแหละ เขากอดเว่ยเฟิงปิงอีกครั้ง “ผมรักคุณมากนะครับ”
   ผู้เป็นเจ้านายอ้าปากค้าง เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้ในเวลาแบบนี้ จางซื่อเยี่ยนกอดเขาแน่นแถมยังฝังหน้าเข้าไปบนหัวไหล่ ทำอย่างกับเด็กๆ ได้ตุ๊กตาแล้วจับมาดมมาหอมด้วยความรัก ถึงคราวเว่ยเฟิงปิงงุนงงบ้างแล้ว
   “นายเป็นอะไรของนาย?” ร่างบางถามต่อ ขณะที่อีกฝ่ายยังซุกไซ้ไม่หยุด เรียกว่าผิดกาลเทศะไปไกลจนผิดวิสัยเลยทีเดียว จางซื่อเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมา ตอบคำถามด้วยสีหน้ากึ่งยิ้ม
   “ผมดีใจครับ ดีใจที่คุณปลอดภัย ดีใจที่คุณคิดถึงผม”
   เว่ยเฟิงปิงแค่นเสียงในจมูก สวนกลับทันที “นายควรจะคิดถึงฉันด้วย รู้มั้ยว่านายสลบไปกี่วัน?”
   คนถูกถามสั่นศีรษะอย่างงุนงง เขาไม่ได้หลับไปหนึ่งคืนหรอกหรือ?
   “นายหลับไปสามวัน หลับจนฉันคิดว่าจะไม่ตื่นอีกแล้ว ไอ้เจ้าบ้า!! พี่รองให้ยาอะไรนายฉันก็ไม่รู้ แถมนายยังชกเขาเสียปางตาย ฉันเลยไม่รู้จะหาวิธีไหนมาช่วยนาย ถ้านายหัดมีหัวคิดสักนิด ฉันคงไม่ต้องมานั่งด่านายแบบนี้หรอก”
   จางซื่อเยี่ยนอ้าปากค้าง เขาหลับไปสามวันเลยหรือ มิน่าล่ะตื่นมาถึงได้อ่อนแรงผิดปกติ คิ้วดีสำขมวดเข้าหากัน
   “เมื่อกี้คุณว่า ผมชกคุณชายรองปางตายเหรอ?”
   นัยน์ตาสีฟ้าถลึงใส่เขาอย่างโมโห ก่อนจะกระชากเสียง “ใช่! ฉันไม่รู้ว่านายต่อยยังไง แต่พี่รองช้ำในจนกระอักเลือด ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย”
   จางซื่อเยี่ยนมีสีหน้างุนงงมากจริงๆ ตอนนั้นเขาคิดว่ามีสติได้ยินสิ่งที่พี่น้องสองคนนี่พูดกันโดยตลอด ชายหนุ่มพยายามนึก ความทรงจำของเขาสิ้นสุดตอนที่เว่ยเฟิงปิงถามเหตุผลของเว่ยจินหยิน หรือว่าเป็นตอนนั้น....
   “แล้ว..คุณกับผม ออกมาได้ยังไงน่ะ?”
   “เดินออกมา” เว่ยเฟิงปิงตอบห้วนๆ ก่อนจะขยายความต่อ
   “พี่รองไม่ได้สั่งให้คนขวางเอาไว้ ฉันเข้าใจว่าเขาต้องการจะปล่อยพวกเราตั้งแต่แรก”
   “ทำไมล่ะครับ?” ผู้เป็นลูกน้องถามอย่างงุนงง เรื่องแบบนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้จริงๆ เว่ยเฟิงปิงสั่นศีรษะ
   “ฉันก็ไม่รู้”
----------------------------------------
   ตลอดชีวิตสามสิบหกปี เว่ยจินหยินคล้ายเด็กถูกพ่อปล่อยทิ้งกลางทางรกร้างตั้งแต่อายุสี่ขวบ โดยมีพี่เลี้ยงที่ชื่อเถียนซานคอยเดินร่วมไปกับเขา แค่เดินร่วมเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเขาตัดสินใจเองหมด ในหนทางอ้างว้าง ทุกคนเป็นแค่ตัวหมาก ถ้ามีประโยชน์ก็เก็บมาใช้ ถ้าเสียก็โยนทิ้ง นี่คือสิ่งที่อยู่ในความคิดของเขา เป็นสิ่งที่ทำให้เขาก้าวข้ามความรู้สึกถูกทอดทิ้งได้ แม้กระทั่งคนที่อยู่ใกล้ชิดเขามากที่สุดอย่างเถียนซาน เขาก็เคยมองเป็นตัวหมากเช่นกัน แต่สุดท้ายเขาก็รักเถียนซานเกินกว่าที่จะมองเป็นแค่หมากตัวใหญ่ คนคนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกว่ายังมีหัวใจ ยังรักเป็นอยู่
   เว่ยจินหยินรักเถียนซานเพราะเถียนซานรักเขา
   แต่กับเว่ยชิง เว่ยจินหยินตอบไม่ได้ว่าเขารักหรืออะไรกันแน่
   การถูกพ่อทิ้งขว้างทำให้เขาไม่ยอมไว้ใจใครทั้งนั้น แต่ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นผู้เป็นพ่อที่ทิ้งเขาไปอย่างไร้เหตุผลเลย เหมือนจะมีแค่ความสงสัยที่ไม่เคยได้คำตอบ
   เว่ยชิงไม่เคยบอกหรือแสดงให้รู้ถึงเหตุผลที่หมางเมินและเกลียดขี้หน้าเขา
   ถึงอย่างนั้นเว่ยจินหยินก็ยังพยายาม พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ต้องใจพ่อ เผื่อหวังว่าสักวันเขาจะได้รับความรักตอบกลับมา แต่ยิ่งทำยิ่งคล้ายสร้างความเกลียดชังเพิ่มขึ้นไปอีก ทั้งๆ ที่เขาแน่ใจว่านี่คือสิ่งที่พ่อต้องการแล้วแท้ๆ
   เหมือนกับว่าถ้าเขาเป็นคนทำ อะไรๆ ก็ชั่วร้ายทั้งนั้น
   หลายครั้งที่เว่ยจินหยินเหนื่อย อยากจะตายไปให้พ้นๆ แต่เพราะผู้ชายที่ชื่อเถียนซานคอยอยู่ข้างๆ คอยให้กำลังใจเขามาโดยตลอด เว่ยจินหยินยังมีกำลังใจฝันต่อไปว่าสักวันหนึ่ง พ่อจะหันมารักเขา สักวันที่เขาทำให้ผู้เป็นพ่อพึงพอใจสูงสุด สักวันที่เขากำจัดศัตรูคู่แค้นที่เว่ยชิงไม่อยากอยู่ร่วมโลกด้วย
   แต่กระทั่งเขาแทบจะลากตัวคนคนนั้นไปกราบกรานเว่ยชิงได้ เว่ยชิงก็ยังเกลียดชังเขา ถึงขนาดออกตาหมากซ้อนทับเพื่อฆ่าเขาซ้ำอีกรอบ กระนั้นเขาก็ตะเกียกตะกายหนีความตายอย่างถึงที่สุด วางแผนรับมือทุกอย่างเท่าที่จะนึกออก ดิ้นรนทุกวิถีทาง แต่ก็ยังโดนเข้าจนได้ ถึงขนาดนี้แล้วเว่ยจินหยินเหนื่อยอ่อนมากจริงๆ
   หากเว่ยชิงจะมีสีหน้าดีใจเมื่อเห็นการตายของเขา เขาก็ควรจะภูมิใจ เพราะการที่เขาทำทุกสิ่งทุกอย่างมาจนถึงทุกวันนี้ ก็เพื่อประการนี้ไม่ใช่หรือ?
   เว่ยจินหยินล้มตัวลงนอนบนทางรกร้าง ไม่ต้องการจะลืมตาขึ้นมาอีกแล้ว
---------------------------------------------
   ไม่มีใครเข้าใจความเกลียดชังที่เว่ยชิงมีต่อลูกชายคนรองของตัวเอง ว่ามีเหตุผลมาจากอะไร แม้กระทั่งคนรับใช้ใกล้ชิดและทำงานมานานอย่างเถียนซานก็ยังไม่เข้าใจ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาเข้าใจแน่ชัด วันใดวันหนึ่งเว่ยชิงจะต้องลงมือสังหารลูกชายคนนี้จนสำเร็จ
เขาประจักษ์มาแล้ว ว่าเจ้านายใหญ่ต้องการกำจัดลูกชายคนนี้อย่างจริงจังแค่ไหน และทุกครั้งที่เว่ยชิงแสดงเจตจำนง เถียนซานหวั่นอยู่ทุกครั้ง หวั่นว่าสักวัน “คำสั่ง” จะมาถึงเขา หากวันนั้นมาถึง สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือ ทำให้เว่ยจินหยินหลับสบายอย่างที่สุด หลับอย่างมีความสุข หลับใหลไม่ตื่นอีกเลยตลอดกาล หลังจากนั้นแล้วเขาคงเลิกทำงานให้กับเจ้านายใหญ่ กลับไปใช้ชีวิตธรรมดากับน้องสาว หรือถ้าให้เลือกอย่างเห็นแก่ตัวกว่านั้น เขาจะหลับไปพร้อมเว่ยจินหยินด้วย เพราะเถียนซานนึกไม่ออกจริงๆ ว่าถ้าไม่มีเว่ยจินหยินแล้ว เขาจะมีเป้าหมายอะไรอีกในการดำรงชีวิต
   คงจะอยู่ต่อไปเหมือนซากไม้ผุๆ ซากหนึ่ง
   เว่ยชิงก็คงเดาความคิดของเขาออก “คำสั่ง” เลยมาไม่ถึงเขาสักที คิดว่าคงรอจนหมดหนทางเท่านั้นแหละ เถียนซานได้แต่หวังว่าครั้งนี้อดีตเจ้านายของเขาจะทำสำเร็จ การทุ่มเทครั้งใหญ่ที่เอาชีวิตเดิมพันเพื่อกระชากตัวคู่อริที่ฝังแค้นให้กับผู้เป็นพ่อมานานออกมาคงทำให้เว่ยชิงพอใจลูกชายคนนี้ได้บ้าง และเวลาที่ว่าก็คงใกล้มาถึงแล้ว
   เถียนซานรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลด้วยกำลังใจเต็มเปี่ยม เขารับทราบข่าวโดยตลอดว่าแผนการของเว่ยจินหยินดำเนินไปถึงขั้นไหน ทุกอย่างเป็นไปได้สวย อีกไม่นานริเวิลคงจะแตกอย่างสมบูรณ์แบบ ใกล้เวลาสำคัญแบบนี้ เถียนซานยิ่งต้องรีบหาย ในเวลาวิกฤติการมีคนช่วยอีกสักคนสองคนย่อมเป็นสิ่งที่ดี เขาทราบว่าเว่ยจินหยินใช้คนเต็มอัตราศึก
ทันทีที่ลุกได้ เถียนซานกลับไปหาอดีตเจ้านายของเขาทันที ด้วยความตั้งใจที่จะช่วยเหลือเต็มที่ แต่แล้วสิ่งที่เขาพบคือร่างไร้สติที่นอนอยู่บนเตียงนอนสี่เสา ใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ หากไม่เห็นทรวงอกที่ไหวอย่างแผ่วเบา แทบจะระบุไปได้เลยว่านี่คือคนที่ตายไปแล้ว
   หัวใจเถียนซานเหมือนถูกขยี้ลงตรงนั้น กล่องใส่ขนมเค็กที่เขาซื้อมาฝากเจ้านายด้วยความเคยชินทุกทิ้งลงกับพื้นราวกับมันถูกถ่วงด้วยหินหนัก ร่างสูงใหญ่เดินเข้าไปหาผู้ที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียงนอนช้าๆ ก้าวแต่ละก้าวเหมือนถูกบางสิ่งบางอย่างดึงรั้งเอาไว้
 มิน่าเล่า พักนี้ถึงไม่มีใครพูดรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของเว่ยจินหยินให้เขาฟังเลย ชายวัยสี่สิบแปดเบือนหน้าช้าๆ ไปยังแม่บ้านที่เรียกกันว่าเสี่ยวผิง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างแทบจะไร้ซุ่มเสียง
   “นานหรือยัง?”
   “เกือบสัปดาห์แล้วค่ะ” เสี่ยวผิงตอบ และยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา การแสดงออกของเถียนซานยิ่งทำให้หล่อนสะเทือนใจ เสี่ยวผิงเป็นลูกสาวของแม่ครัวคนเดิมที่เข้ามารับช่วงดูแลงานอาหารและรับใช้ในตึกนี้ต่อ เว่ยจินหยินดีต่อหล่อนไม่น้อยเลย บางครั้งยังเคยชวนทำอะไรแปลกๆ อย่างเช่นขนมเค๊ก สำหรับเสี่ยวผิง คุณชายรองคนนี้บางทีก็เหมือนเด็กๆ เพียงแต่พยายามปิดบังตัวตนเอาไว้เท่านั้น การได้เห็นเว่ยจินหยินในภาพแบบนี้สร้างความสะเทือนใจมากมายจริงๆ
   เถียนซานยืนนิ่งไปอีกครู่หนึ่ง จึงพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะเอ่ยถามต่อ   “ใครเป็นคนทำ?”
   คนถูกถามสั่นศีรษะ ก่อนจะพูดเสียงกระท่อนกระแท่น “คุณชายสั่งไม่ให้บอกค่ะ เรื่องบาดเจ็บก็ให้ปิดเป็นความลับที่สุด”
   ร่างสูงใหญ่นิ่งไปอีกครั้ง และถอนหายใจ ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ เตียง สัมผัสมือลงไปบนใบหน้าซีดขาวนั้น ก่อนจะหลับตาลงอย่างเจ็บปวด แทบจะไม่มีไออุ่นเหลืออยู่เลย แม้แต่มือเรียวที่เคยใช้การได้ดีก็เย็นและอ่อนปวกเปียก เถียนซานยกมือข้างนั้นขึ้นมาแนบหน้า ถึงเว่ยจินหยินจะไม่ให้บอก แต่เขาพอเดาได้ว่าใครเป็นคนสั่ง
   คงเป็น “คำสั่ง” แน่นอน
   ใครคนหนึ่งได้รับ “คำสั่ง” แทนเขา เถียนซานไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี สุดท้ายคนที่ฆ่าเว่ยจินหยินไม่ใช่เขา แต่เป็นใครสักคนหนึ่งซึ่งเขาคงรู้จักดี เสี่ยวผิงพูดต่อ
   “ได้ยินคุณหมอบอกว่าคุณชายได้รับการกระทบกระเทือนอวัยวะภายในอย่างหนักค่ะ ต้องพักผ่อนหลายวันกว่าจะทุเลา”
   เถียนซานพยักหน้าอีกรอบ เขาคิดว่าคนรับคำสั่งคงพลาด แต่ร่างกายของเว่ยจินหยินไม่ได้ทนทาน คนที่มีฝีมือพอจะทำร้ายเว่ยจินหยินได้ ในหน่วยดำมีไม่มาก และมีโอกาสพอจะทำร้ายคนที่มีแผนป้องกันแน่นหนาขนาดนี้ได้ มีอยู่น้อยคนจริงๆ แถมเหมือนเว่ยจินหยินจะไม่อยากให้ใครรู้ด้วย คงเป็นคนใกล้ชิดนั่นแหละ เขาหันไปหาแม่บ้านอีกรอบ
   “แล้วคุณชาย.... ฟื้นขึ้นมาบ้างหรือยัง?”
   อีกฝ่ายพยักหน้า “ค่ะ..แต่...”
   ยังไม่ทันจะได้พูดต่อ ฝ่ามือเรียวที่เถียนซานกุมอยู่ก็ขยับเบาๆ ร่างสูงใหญ่หันกลับไปอย่างยินดี “คุณชาย!”
   ไม่มีเสียงตอบ นัยน์ตาของเว่ยจินหยินลืมขึ้นอย่างช้าๆ แต่ไม่มีประกายใดอยู่ในแววตานั้นเลย เหมือนลืมขึ้นมาเฉยๆ ไม่รู้ตัวว่ากำลังมองอะไรอยู่ด้วยซ้ำ เถียนซานเอ่ยปากอีกรอบ
   “คุณชาย?”
   ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับอะไรมากไปกว่านั้นอีก เว่ยจินหยินแค่ลืมตาขึ้นเฉยๆ แม่บ้านเดินถือถ้วยยาเข้ามา พูดเสียงเบา “คุณชายคะ ทานยานะคะ”
   เว่ยจินหยินไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเหมือนเดิม เสี่ยวผิงบอกให้เถียนซานช่วยประคองร่างที่นอนอยู่ขึ้น ก่อนจะยกถ้วยยาไปแตะริมฝีปากที่ยังดูซีดเซียว อย่างช้าๆ เว่ยจินหยินค่อยๆ ดื่มยานั้นลงไป จากนั้นจึงหลับตาลงอย่างไม่รับรู้อะไรอีกไม่สนใจว่าจะอยู่ในท่าไหน เสี่ยวผิงต้องประคองให้นอนลง เถียนซานพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน ได้แต่มองร่างขาวซีดหายใจแผ่วๆ เหมือนจะหลับไปอีกครั้ง ได้ยินเสียงเสี่ยวผิงสะอื้น
   “เป็นแบบนี้แหละค่ะ คุณชายไม่ยอมรับรู้อะไรเลย เหมือนกับตอบสนองตามสัญชาตญาณ แต่หมอบอกว่าสมองไม่ได้รับการกระทบกระเทือนอะไร”
   เถียนซานหลับตาลง และถอนหายใจยืดยาว เขาพอจะเดาอาการลักษณะนี้ได้ มันเป็นสิ่งที่เขาเคยหวั่นในอดีต แต่เว่ยจินหยินเข้มแข็งเสมอมา อดทนมาโดยตลอด จนเถียนซานคิดว่าเจ้าตัวจะทนไปได้เรื่อยๆ
   เห็นทีครั้งนี้เว่ยจินหยินจะอดทนต่อไปไม่ไหวอีก เจ้านายคนนี้เลิกความต้องการอยากมีชีวิตอยู่ คงถอดใจแล้วจริงๆ
   แม้แต่เขาเองก็ไม่อาจหยุดยั้งเรื่องนี้ได้
--------------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงแวะมาเยี่ยมสามวันหลังจากนั้น โดยเหน็บจางซื่อเยี่ยนมาด้วย และได้รับการต้อนรับที่มึนตึงพอสมควร นี่ถ้าไม่มีคำสั่งของเว่ยจินหยินค้ำคอไว้ รับรองว่าคนพวกนี้ไล่สับเขาสองคนแล้วแน่นอน ข่าวเรื่องเว่ยจินหยินได้รับบาดเจ็บนั้นถูกปกปิดเอาไว้เป็นอย่างดี แต่สภาพจริงๆ คือเจ้าตัวยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง หน้าซีดเหมือนศพ โดยมีอดีตลูกน้องคนสนิทคอยดูแลใกล้ชิด เมื่อดูจากอาการบาดเจ็บแล้ว การที่เถียนซานโผล่หน้ากลับมารับใช้อดีตเจ้านายได้ในเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ นับว่าเร็วมากจริงๆ ชายวัยสี่สิบใกล้ห้าสิบยิ้มให้พวกเขาอย่างอ่อนโยนผิดกับพวกด้านล่างทันทีที่เปิดประตูเข้าไป
   “นั่งก่อนสิครับ” ร่างสูงกล่าวพลางลากเก้าอี้ไม้ฝังมุกสองตัวมาให้ เว่ยเฟิงปิงนั่งลงอย่างรักษามารยาท แต่จางซื่อเยี่ยนมีท่าทางเก้ๆ กังๆ ไม่ยอมนั่งลงสักที ชายวัยกลางคนหันมาอีกครั้ง และยิ้ม “พี่ไม่โกรธเธอหรอก”
   อดีตหน่วยดำยืนอึ้งไปสักพัก จึงถอนหายใจออกมา “ผมขอโทษ”
   เถียนซานพยักหน้า กล่าวต่อ “ไม่เป็นไร พี่รู้ล่ะว่าเป็น “คำสั่ง””
   ทั้งจางซื่อเยี่ยนและเว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วทันที เถียนซานลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งฝั่งตรงข้าม และอธิบายเรื่องราว
   “พี่รู้อยู่แต่แรก?”   จางซื่อเยี่ยนพูดอย่างตระหนกเมื่อฟังจบ เถียนซานพยักหน้า แต่เขาก็ยังให้เหตุผลไม่ได้ว่าทำไมเว่ยชิงถึงอยากฆ่าลูกชายคนรองมากขนาดนี้ เว่ยเฟิงปิงจึงหันไปถามอย่างอื่น
   “แล้วอาการพี่รองเป็นยังไงบ้าง?”
   คนถูกถามอมยิ้มอย่างซึมๆ และตอบสั้นๆ “ก็ดีครับ”
   เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วอีกรอบทันที นอนเป็นศพแบบนั้นยังพูดได้ว่าดีอีกหรือ เจ้าหมอนี่เป็นคนยังไงกันแน่ ชายหนุ่มผุดลุกขึ้น “ขอฉันดูหน่อยนะ”
   ไม่รอให้อนุญาต ก็เดินตรงไปที่เตียงทันที สภาพของเว่ยจินหยินไม่เหมือนคนนอนหลับ แต่เหมือนคนตายมากกว่า ผ้าห่มที่ห่มก็ดูหนาจนเกินจริง จนเว่ยเฟิงปิงสงสัยว่านี่เป็นการอำพรางศพรึเปล่า เขาแตะนิ้วเข้าที่ปลายจมูกพี่ชาย และพบว่ามันยังมีลมหายใจอุ่นๆ อยู่ คุณชายเจ็ดถอนหายใจอย่างโล่งอก และยกมือแตะหน้าผากพี่ชาย ก่อนจะสะดุ้งวาบ มันเย็นจนน่าตกใจ
   “แบบนี้เรียกว่าดีได้ยังไง?” ชายหนุ่มหันมาถามทันที เถียนซานได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ “ดีแล้วล่ะครับ เฮ้อ...”
   ร่างสูงถอนหายใจ เว่ยเฟิงปิงมองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะดึงผ้าห่มออกอย่างไม่เกรงใจ เว่ยจินหยินสวมชุดนอนแพรเรียบร้อย ไม่มีแผลไม่มีสายอะไรเสียบอยู่สักอย่าง ก็เหมือนจะปกติ แต่ทำไมถึงได้ตัวเย็นและหน้าซีดขนาดนี้ เว่ยเฟิงปิงเอ่ยเรียกพี่ชาย
   “พี่รอง พี่จินหยิน พี่!”
   ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ เว่ยเฟิงปิงยังไม่ยอมแพ้ เขาจับมือพี่ชายขึ้นมา บีบเบาๆ และเรียกซ้ำอีก คราวนี้มีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาบ้าง มือเรียวนั้นบีบมือเขาเบาๆ ก่อนนัยน์ตาสีดำจะลืมขึ้นช้าๆ
   “พี่รอง!” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยอย่างดีใจ แต่ก็ชั่วประเดี๋ยว เพราะนัยน์ตาที่ลืมมาดูไม่มีสติเอาเสียเลย เถียนซานเดินตรงเข้ามาพร้อมกับถ้วยยา หันไปยิ้มให้คุณชายเจ็ด
   “เขาคงชินกับผมแล้ว พอคุณมาก็เลยยอมตื่นง่ายๆ”
   เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ขณะมองดูพี่ชายกินยาอย่างไร้หัวจิตหัวใจ หลังจากจัดการให้เว่ยจินหยินนอนลงแล้ว เถียนซานจึงอธิบายต่อ
   “ก็อย่างที่เห็นนี่แหละครับ คุณชายไม่รับรู้สภาพภายนอก จะตื่นตอนที่ถูกจับตัวหรือเขย่าแรงๆ ไม่ก็ถูกคนที่ไม่คุ้นจับ”
   “เป็นแบบนี้ได้ไง?” เว่ยเฟิงปิงพูดอย่างตกใจ เขาแน่ใจว่าจางซื่อเยี่ยนไม่ได้ทำอะไรกับหัวสมองของเว่ยจินหยิน นี่มันอาการของคนบาดเจ็บทางสมองชัดๆ แม้แต่ตัวจางซื่อเยี่ยนเองก็รู้สึกแปลกใจไม่แพ้กัน เถียนซานได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง
   “พวกคุณจะอยู่นานหรือเปล่าครับ เดี๋ยวผมจะให้แม่บ้านจัดอาหารว่างมาให้”
   หนุ่มใหญ่เลี่ยงจะตอบคำถาม สองคนหันมองหน้ากัน ก่อนที่เว่ยเฟิงปิงจะพูดขึ้น “พี่ชายฉันไม่ยอมตื่นเองเหรอ?”
   เถียนซานพยักหน้า
   “กระทั่งกับนายก็ไม่ยอมตอบสนองเหรอ?”
   ฝ่ายนั้นพยักหน้าอีกรอบ เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจ
   “’งั้นคุณพ่อคงทำสำเร็จ”   เขากล่าว ก่อนจะขอตัวกลับ
-----------------------------------------------
   เว่ยจินหยินหลับฝันในทางรกร้างที่เขาเหนื่อยแล้วที่จะแผ้วถาง ในฝันเลือนรางเขารู้สึกว่ามีมือคู่หนึ่งคอยปลอบโยนเขา มือคู่ที่เหมือนจะคุ้นเคยมานาน สัมผัสเขาอย่างทะนุถนอม อบอุ่นอ่อนโยน สัมผัสนั้นทำให้เว่ยจินหยินมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเลิกงานหนักกลับมาแช่น้ำอุ่นพักผ่อนแล้วนอนหลับไปบนเตียงกว้าง ไม่ต้องกังวลเรื่องใดๆ อีก จมปลักอยู่ในความฝันเลื่อนลอย กับสัมผัสคุ้นเคยที่อาบไปด้วยความรัก
-----------------------------------------------
   ผ่านไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ ร่างกายของเว่ยจินหยินดีขึ้นมากแล้ว อาการช้ำในทุเลาจนเป็นปกติ แต่สำหรับด้านจิตใจ ทุกอย่างยังคงที่ เถียนซานไปทำงานในช่วงเช้าและกลับมาที่ตึกอันเป็นที่พักของอดีตเจ้านายทุกวัน แม้ว่าเว่ยชิงจะใช้คำสั่งจัดการกับลูกชายคนนี้แล้ว แต่เขายังสานต่องานที่ยังคั่งค้างอยู่ของเว่ยจินหยินเพื่อเจ้าตัวเอง เถียนซานรู้ดีว่าเว่ยจินหยินทุ่มเทกับงานครั้งนี้แค่ไหน แม้เจ้าตัวจะถอดใจไปแล้ว แต่เขาจะต้องสานต่อให้เสร็จ ไม่อย่างนั้น ที่ทุ่มเทมาทั้งหมดก็คงสูญเปล่า หัวหน้าหน่วยดำมีความหวังเล็กๆ ว่าสักวันสติของเว่ยจินหยินจะกลับคืนมา
   เขาเช็ดตัวให้กับอดีตเจ้านาย เว่ยจินหยินลืมตาขึ้นบ้างเวลาที่เขาเช็ดไปตามที่ต่างๆ เถียนซานพยายามทำให้นุ่มนวลที่สุดด้วยกลัวว่าเจ้านายของเขาจะรู้สึกเจ็บ บางครั้งในเวลาที่เขาบีบนวดมือเท้าเพื่อกระตุ้นเลือดลม ฝ่ายนั้นก็จะยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มเลื่อนลอยแต่ดูมีความสุขจากใจจริง เว่ยจินหยินเคยยิ้มแบบนี้เวลาอยู่กับเขา แต่ตอนนี้เหมือนยิ้มให้เขาที่ไม่ได้มีอยู่จริง เถียนซานไม่รู้ว่านี่จะเป็นการดีหรือเปล่า เขาชอบที่จะเห็นเว่ยจินหยินมีความสุข และตอนนี้ก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะมีความสุขดี แม้จะไม่รับรู้โลกภายนอกเลยก็ตาม
   บางทีแบบนี้อาจจะดีก็ได้
-------------------------------------------
   มีคนหลากหลายแวะมาเยี่ยมคารวะเว่ยชิงแทบทุกวัน ข่าวการล้มป่วยของเว่ยจินหยินถูกปิดเงียบ ที่ไม่มีเล็ดลอดออกมาเลยเพราะเขาเองก็เห็นด้วยเช่นกันว่าต้องปิดเป็นความลับ ได้ยินว่าเว่ยจินหยินไม่มีทีท่าว่าจะลุก ได้แต่นอนหน้าซีดราวกับคนตาย
เว่ยชิงไม่รู้ว่าจางซื่อเยี่ยนใช้ลูกไม้อะไรถึงทำให้เว่ยจินหยินกลายเป็นแบบนี้ แต่สำหรับตัวเขา การที่ลูกชายเป็นแบบนี้ก็ไม่ได้สร้างความรู้สึกดีใจอย่างไรเลย เพียงโล่งใจอยู่เปลาะหนึ่ง อย่างน้อยในช่วงเวลาแบบนี้ เว่ยจินหยินไม่มีทางหันมาแว้งกัดเขาแน่ เหลือแค่จัดการอีกคนให้เสร็จ
   แล้วความแค้นที่สุมอกเขามานับสิบๆ ปีก็จะสิ้นสุดไปเสียที
   แต่วันนี้คนที่แวะมาแล้วทำให้เขาแปลกใจไม่ใช่คนแปลกหน้า แต่เป็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี เถียนซานเดินเข้ามาในห้องรับรองด้วยสีหน้าสงบและท่าทีเรียบร้อยเป็นงานเป็นการเช่นเคย ใบหน้ามั่นคงดั่งแท่งศิลากับนัยน์ตาสีหินน้ำตกนั่นไม่แปรเปลี่ยนไปจากสามสิบกว่าปีก่อนเลยสักนิด เว่ยชิงอนุญาตให้อีกฝ่ายนั่งลง
   “ผมมาเรียนคุณท่านเกี่ยวกับอาการของคุณชายรอง” เถียนซานเปิดปากพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยที่สุด ไร้อารมณ์อย่างที่สุด น้ำเสียงฟังชัดถ้อยชัดคำสมเป็นการรายงาน
   “คุณชายรองเสียสติไปแล้วครับ”
   นัยน์ตาสีน้ำครำไหวไปเล็กน้อย แต่คนพูดยังคงหนักแน่นเช่นเดิม จนอีกฝ่ายส่งเสียงอืม ก่อนจะถามกลับ   “เป็นแบบไหนล่ะ?”
   “ไม่รับรู้โลกภายนอกเลยน่ะครับ” คนถูกถามตอบ และอธิบายทุกอย่างอย่างละเอียด ละเอียดเสียจนคนฟังต้องถามกลับ
   “พูดจริงๆ หรือ?”
   “ครับ” น้ำเสียงและนัยน์ตาหนักแน่นนั้นแปรความเป็นอื่นไม่ได้แน่ บางทีเว่ยชิงก็นึกเห็นด้วยกับฉายาปิศาจของเถียนซาน แต่เอาเถอะ คนที่สั่งฆ่าลูกตัวเองอย่างเขาจะไปเที่ยวพูดว่าคนอื่นได้อย่างไรกัน
   เถียนซานนิ่งอยู่อีกพักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเจ้านายไม่พูดอะไร จึงเอ่ยถามต่อ
   “คุณท่านครับ ผมละลาบละล้วงถามสักเรื่องได้ไหมครับ ทำไมถึงอยากจะกำจัดคุณชายรองนักล่ะครับ?”
   เว่ยชิงไม่ได้มองหน้าคนถาม เขาหลับตาลง ก่อนจะเอ่ยปาก “จะให้ฉันลงไปส่งเธอรึเปล่า?”
---------------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   เถียนซานกลับไปแล้ว เจ้าตัวรู้กาลเทศะดีเป็นที่หนึ่ง ที่ถามคำถามนั้นออกมาก็คงเพราะสุดอดกลั้นแล้วจริงๆ แต่เว่ยชิงไม่มีปัญญาจะอธิบาย มันเป็นปัญหาซับซ้อนซึ่งเกี่ยวข้องกับคนในตระกูล แม้เถียนซานจะมีศักดิ์เป็นหลานห่างๆ ก็ใช่ว่าจะมีส่วนรับรู้ได้ เรื่องไม่น่าคิดถึงนี้ให้มีแต่เขากับคนคนนั้นรับรู้ก็พอ เว่ยชิงนับถือลูกน้องคนนี้มากจริงๆ ตอนแรกเขาคิดว่าเถียนซานจะมาขอลาออก แต่ก็จบลงที่การถามคำถาม และยอมกลับไปโดยไม่ปริปากอะไรอีก ลูกน้องที่รู้หน้าที่และกาลเทศะแบบนี้คงหาได้ไม่มากแล้ว ยิ่งทำงานรับใช้กันมานานยิ่งไม่อยากเสียไป เขานึกดีใจที่ไม่ได้ใช้ “คำสั่ง” กับคนคนนี้
   การมารายงานของเถียนซานนั้น นับว่าเป็นอาการโดยละเอียดที่สุดของเว่ยจินหยินนับตั้งแต่ล้มป่วยลง เว่ยชิงไม่รู้ว่าสมควรจะดีใจหรืออย่างไรดี ลูกชายของเขาไม่ตาย แต่เสียสติ จะด้วยเหตุอะไรนั้นเขาไม่อยากจะคิดให้มาก เพียงแต่นึกสะท้อนใจอยู่
   เขาเสียลูกชายไปสองคน นิทราไปอีกคนหนึ่ง และยังเสียสติไปอีกคนหนึ่ง เพียงเพราะความหวาดกลัวเงาหลอนในอดีต แต่หากปล่อยไปมากกว่านี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปเหมือนในครั้งนั้น ในเมื่อตัดสินใจแล้ว เว่ยชิงไม่หันหลังกลับ เขาจะดำเนินการต่อจนถึงที่สุด
   เพื่อดับไฟแค้นที่สุมแน่นมาตั้งแต่ครั้งอดีต
----------------------------------------
   เถียนซานกลับมาที่ห้องนอนของเว่ยจินหยินในเวลาหัวค่ำ จัดการเช็ดตัวและป้อนข้าวอดีตเจ้านายบนเตียง ช่วงหลังๆ นี้เว่ยจินหยินลืมตาบ่อยขึ้น สามารถทานอาหารได้บ้าง แต่ต้องป้อน และพอกินไปได้สักพักก็จะหยุด เหมือนกลับไปหลับอีก เวลาที่ลืมตาตื่นขึ้นมาก็ดูจะมองไม่เห็นอะไร เหมือนดวงตานั้นมองออกไปในที่ไกลแสนไกลจนไม่มีใครมองตามได้
เถียนซานลูบศีรษะเจ้านายเขาอย่างสะทกสะท้อน แม้แต่เสียงเรียกของเขาเว่ยจินหยินก็ไม่ได้ยิน แม้ว่าเขาจะอยู่ตรงหน้าเจ้าตัวก็ไม่ใส่ใจมอง แต่จะยิ้มออกมาบ้างเมื่อถูกแตะตัว เถียนซานไม่รู้ว่าเว่ยจินหยินฝันอะไรอยู่ แต่สีหน้ายามยิ้มนั้นมีความสุขมากจริงๆ
   หนุ่มวัยสี่สิบแปดหยิบถุงใส่ขนมขึ้นมา มันเป็นขนมปังกรอบชิ้นเล็กๆ ที่เจ้านายของเขาเคยชอบทาน เว่ยจินหยินนั้นชอบกินของพื้นๆ อย่างไม่น่าเชื่อ หากไม่ใช่เขาคงไม่มีใครรู้ การไปพบกับเว่ยชิงทำให้เขารู้ว่าอย่างไรสัมพันธ์พ่อลูกก็คงตัดไม่ขาด แม้ว่าสุดท้ายจะไม่ทราบสาเหตุของการเกลียดชังดังกล่าว เจ้านายใหญ่ของเขาดูจะพอเหลือเยื่อใยกับลูกชายคนนี้อยู่บ้าง แม้จะบางเบาเต็มทีก็ตาม เถียนซานอยากจะให้เว่ยจินหยินกลับมาดำรงสติแบบปกติมากกว่าจะอยู่แบบนี้ เขาบิขนมปังเป็นชิ้นเล็กๆ พอจะไม่ได้ติดคอ และหยิบไปจ่อที่ปากของอีกฝ่าย พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
   “คุณชายครับ นี่ขนมปังที่คุณชอบไงครับ”
   เว่ยจินหยินยังคงนิ่งเงียบ ไม่ขยับอะไรแม้แต่ลูกนัยน์ตา เถียนซานพยายามพูดอีกครั้ง
   “จำได้รึเปล่าครับ ร้านนี้ที่เราไปซื้อกันประจำตอนที่คุณยังเรียนอยู่ไงครับ”
   รออีกพักใหญ่เว่ยจินหยินจึงอ้าปากรับขนมปังชิ้นนั้นเข้าไป เถียนซานยิ้มอย่างดีใจ
   “เป็นไงบ้างครับ อร่อยเหมือนเดิมไหม?”
   “................”
   นัยน์ตาของเว่ยจินหยินว่างเปล่าเหมือนเดิม เถียนซานบิขนมปังออกมาอีกชิ้นหนึ่ง และทำเหมือนเดิม คราวนี้ทางนั้นยอมรับในเวลาเร็วขึ้น กินไปได้สักพักหนึ่ง เว่ยจินหยินก็ยิ้มออกมา รอยยิ้มบริสุทธิ์เหมือนเด็กๆ นัยน์ตาสีดำดวงนั้นเหมือนจะมองมาทางเขา แต่เถียนซานรู้ดี เว่ยจินหยินมองไม่เห็นเขา คงกำลังมองตัวเขาที่อยู่ในความคิดมากกว่า นั่นทำให้หัวใจของชายวัยกลางคนปวดแปลบ เขาเลื่อนมือไปจับมือเรียวของอีกฝ่ายขึ้นมากุมเอาไว้
   “คุณชายครับ มองผมได้ไหมครับ ผมอยู่ตรงนี้ครับ อยู่ตรงหน้าคุณ”
   นิ้วมือเรียวนั้นบีบมือของเขาตามสัญชาตญาณ แต่นัยน์ตายังคงเลื่อนลอยเช่นเดิม เถียนซานยกมือที่ไร้กำลังขึ้นมาแนบหน้า จูบลงไปเบาๆ แล้วกระซิบอีกครั้ง
   “ได้โปรดกลับมาเถอะนะครับ ผมอยู่กับคุณที่นี่ตรงนี้ ผมมาอยู่กับคุณตามสัญญาแล้ว”
   นัยน์ตาของเว่ยจินหยินพริ้มหลับลงช้าๆ
---------------------------------------------
   เถียนซานเก็บกวาดห้องนอนของเจ้านาย และปัดเศษอาหารที่ร่วงอยู่บนผ้าห่มและเตียงออกจนสะอาด ระหว่างนั้นเว่ยจินหยินลืมตาขึ้นมาบ้าง และหลับตาลงสลับกันไป แต่ก็ยังไม่พูดหรือแสดงปฏิกิริยาอะไรนอกเหนือจากนั้น รอจนเถียนซานอาบน้ำเสร็จ กลับมาอีกทีก็เห็นเว่ยจินหยินยังลืมตาอยู่ เจ้าตัวยังคงอยู่ในท่านั่งท่าเดิมที่เขาจัดไว้ให้ ไม่รู้ว่าหลับไปทั้งๆ ที่ลืมตาหรืออย่างไร เถียนซานเอ่ยถามออกไป
   “คุณชายครับ?”
   เมื่อเห็นว่าไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง เถียนซานจึงจับไหล่เจ้านายของเขาเบาๆ เว่ยจินหยินจึงกระพริบตาครั้งหนึ่ง อดีตลูกน้องถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาไม่ชอบเลยถ้าต้องเห็นเจ้านายนั่งตาแข็งค้างแบบนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนรูปปั้นไม่มีผิด ร่างกายของเว่ยจินหยินอุ่นขึ้นบ้าง แต่ก็ยังเย็นกว่าปกติอยู่ดี เถียนซานนั่งลงข้างๆ บีบนวดมือและเท้าของอีกฝ่ายเพื่อให้เลือดลมไหลเวียนได้ดีขึ้น ระหว่างนี้เว่ยจินหยินยิ้มออกมาอีกหลายหน เหมือนจะชอบที่ถูกบีบนวดอย่างนี้ เถียนซานอดยิ้มไม่ได้ แต่ก็รู้สึกปวดใจระคนกันไป เขาเอ่ยแทรก
   “คุณชายครับ ตรงนี้แรงอีกนิดดีไหมครับ จะให้นวดตรงข้อเท้าอีกรึเปล่า?”
   เว่ยจินหยินไม่มีคำตอบ มีแต่รอยยิ้มค้างคาอยู่บนใบหน้า สักพักก็หลับตาลงอีก เถียนซานนวดมือนวดเท้าเจ้านายของเขาจนอุ่นดี จึงพยุงร่างนั้นให้เอนตัวลง เพราะเว่ยจินหยินหลับตาแล้ว พอหัวถึงหมอน นัยน์ตาสีดำคู่นั้นก็ลืมขึ้นมาอีก แต่ยังคงเลื่อนลอยเหมือนเดิม ผู้เป็นลูกน้องคลี่ยิ้มพลางยกมือขึ้นลูบศีรษะของเจ้านายอย่างอ่อนโยน
   “จะนอนรึยังครับ? หรืออยากฟังนิทาน?”
   เว่ยจินหยินหลับตาลงอีก เถียนซานก้มลงจูบหน้าผากเจ้านายเบาๆ ก่อนจะปีนข้ามมานอนอีกฝั่งหนึ่ง โอบกอดเว่ยจินหยินไว้หลวมๆ เหมือนที่เคยทำตอนเด็กๆ ชายวัยกลางคนหลับตาลงอย่างรู้สึกตื้อในหัว
ถึงอย่างนั้นเขายังเชื่อว่าสักวันเว่ยจินหยินจะกลับมายิ้มให้เขา
-------------------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงนอนพลิกตัวอยู่ในอ้อมกอดของจางซื่อเยี่ยน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีเรื่องไม่สบายใจแน่ๆ เว่ยเฟิงปิงกระสับกระส่ายแบบนี้มาสองสามวันแล้ว หลังจากไปเยี่ยมพี่ชาย จางซื่อเยี่ยนพยายามเอ่ยถามถึงสาเหตุ แต่ฝ่ายนั้นก็ปฏิเสธที่จะตอบ คืนนี้เขาเลยตัดสินใจไม่ถาม
   “นี่ ซื่อเยี่ยน” ในที่สุดเว่ยเฟิงปิงก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมา เขาหันหน้ากลับมาหาลูกน้องซึ่งนอนอยู่ข้างๆ จางซื่อเยี่ยนพยายามแสดงสีหน้าว่ากำลังตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ เว่ยเฟิงปิงนิ่งไปสักพักจึงพูดต่อ “หนีไปด้วยกันเถอะ!”
   คนฟังทำหน้าแปลกทันที เว่ยเฟิงปิงไม่รอให้เขาอ้าปากถาม กระนั้นก็ไม่ได้ทำสีหน้าหงุดหงิด แต่เป็นสีหน้าเอาจริงเอาจัง
   “เราหนีไปด้วยกันนะ พี่รองเป็นแบบนั้นแล้ว นายว่าคุณพ่อจะยอมปล่อยฉันหรือ?”
   จางซื่อเยี่ยนยิ้มออกมา พยายามจะปลอบใจเจ้านาย “คุณท่านไม่น่าจะฆ่าคุณหรอกครับ ก็คุณท่านไม่ได้เกลียดคุณ”
   “ฉันยังทำแผลโบยบนหลังฉันได้” ผู้เป็นเจ้านายตอกกลับ ทำเอาจางซื่อเยี่ยนต้องหุบปาก เว่ยเฟิงปิงพูดต่อ
   “ฉันนอนคิดๆ มาหลายวันแล้วนะ ถึงฉันจะไม่เข้าใจว่าคุณพ่อฆ่าพี่รองทำไม แต่ลองสั่งฆ่าคนที่ทำงานได้ดีแบบนั้นได้ กับฉันก็คงจะสั่งได้เหมือนกัน บางทีฉันอาจจะไปทำให้อะไรให้ไม่ถูกใจเอาไว้ก็ได้”
   จางซื่อเยี่ยนเกือบจะพยักหน้าแล้ว เพราะเว่ยเฟิงปิงทำตัวให้ไม่น่าพอใจจริงๆ แต่ก็ฉุกคิดได้ว่า ทำแบบนั้นก็คงไม่ส่งผลดีอะไร จึงได้แต่กะพริบตาทำหน้าตั้งใจฟังต่อ
   “ตกลงนายจะหนีไปกับฉันไหม?”
   “พูดจริงๆ หรือครับ?”
   เว่ยเฟิงปิงมีสีหน้าเหนื่อยหน่ายขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังฝืนทนไว้ พูดต่อ “นายน่ะ คิดว่าเถียนซานจะยอมยกโทษให้หรือไง ถึงเขาจะเดาเอาไว้แล้วก็เถอะ นายเล่นพี่รองไว้ขนาดนั้น เขาจะยอมให้อภัยนายเหรอ?”
   “พี่เถียนเป็นคนคิดอะไรเป็นเหตุเป็นผลนะครับ ไม่ฆ่าผมตอนนี้หรอก”
   คนฟังทำเสียงขึ้นจมูก และพูดต่ออย่างไม่สนใจ “นายตกลงหนีไปกับฉันนะ”
   จางซื่อเยี่ยนดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดแทนคำตอบ
   “หนีไปไหนก็ไม่พ้นหรอกครับ คุณก็รู้คุณท่านเป็นคนกว้างขวาง ยิ่งคุณชายรองกลายเป็นแบบนี้อำนาจก็หวนกลับไปหาเจ้าของเก่า ผมคิดว่าเราอยู่กันแบบนี้น่าจะดีกว่า”
   “อ๋อ แล้วพอถึงเวลานายก็จะรับ “คำสั่ง” แล้วมาฆ่าฉันสินะ” เว่ยเฟิงปิงค่อนแคะ จางซื่อเยี่ยนถอนหายใจ
   “ผมไม่ฆ่าคุณหรอกครับ สาบานได้ ถ้าถูกสั่งแบบนั้นผมจะรีบยิงตัวตายก่อน”
   “ฉันไม่ให้นายไปถูกสั่งหรอก คนงี่เง่าแบบนายน่ะ...” ชายหนุ่มพูดค้าง จู่ๆ ก็โผเข้ากอดอีกฝ่ายดื้อๆ   
   “ไปกับฉันเถอะนะ ฉันกลัวว่าวันหนึ่งคุณพ่อจะสั่งนายไปทำอะไรอีก ฉันกลัวนายจะกลับไปหาคุณพ่อ นายขัดขืนเขาไม่ได้ ซื่อเยี่ยน ฉันอยากให้นายอยู่กับฉัน อยู่กับฉัน”
   จางซื่อเยี่ยนกอดตอบเจ้านาย รู้สึกสงสารอยู่ลึกๆ เขาพอจะเข้าใจความรู้สึกของเว่ยเฟิงปิงอยู่บ้าง แม้จะไม่เคยรู้จักหน้าพ่อตัวเองเลยก็ตาม การที่พ่อคิดจะฆ่าลูกในไส้ ยังไงก็คงหนีไม่พ้นคำว่าอำมหิต แล้วก่อนหน้านี้เว่ยชิงก็ไม่เคยแสดงให้เห็นว่าเอ็นดูลูกชายคนนี้มาก่อนเลย แต่เขายังเชื่อว่าเว่ยชิงจะไม่ฆ่าเว่ยเฟิงปิง
   “ผมอยู่กับคุณอยู่แล้วครับ” จางซื่อเยี่ยนกล่าว และดันตัวเจ้านายออกมาหน่อยหนึ่ง สบนัยน์ตาเข้ากับนัยน์ตาสีฟ้าใสนั้น ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
   “เชื่อผมสักครั้งเถอะครับ ผมปกป้องคุณได้แน่ คุณไม่ต้องหนีไปไหนหรอกครับ เชื่อผมนะครับ”
   เว่ยเฟิงปิงยกมือขึ้นทุบหน้าอกของจางซื่อเยี่ยนทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปาก “เชื่อนายหรือ? คนงี่เง่าแบบนาย ฉันเชื่อได้ด้วยหรือ?”
   คนถูกด่าไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ได้แต่ยิ้มแห้งๆ เว่ยเฟิงปิงซุกหน้าเข้ากับแผงอกเขา
   “ฉันจะเชื่อนายสักหนก็ได้... หนนี้หนเดียวนะ”
   จางซื่อเยี่ยนดึงตัวเจ้านายของเขามากอด และจูบหน้าผากอย่างอ่อนโยน
-----------------------------------------------
   คืนนี้จางซื่อเยี่ยนกอดเขาแน่นกว่าปกติ และเว่ยเฟิงปิงก็ไม่ได้หันหลังให้อย่างที่เคยทำทุกวัน เขานอนโดยซบหน้าเข้ากับแผงอกกว้างของอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าทางนั้นหลับไปแล้วรึเปล่า แต่ตัวเขาเองยังนอนไม่หลับ สมองกำลังคิดถึงเรื่องต่างๆ มากมาย
จนถึงตอนนี้เว่ยเฟิงปิงไม่เข้าใจพ่อของตัวเองเลยสักนิด ถึงเขาจะเกลียดพ่อเพราะพ่อไม่เคยสนใจใยดีเขา แต่สำหรับกรณีของเว่ยจินหยิน เว่ยเฟิงปิงสะเทือนใจหนักกว่าเดิม พ่อของเขาเป็นคนยังไงกันแน่ คนแบบนี้ยังเป็นพ่อคนได้อีกหรือ เขารู้สึกหวาดกลัวคนที่ตัวเองเรียกว่าพ่อขึ้นมาอย่างจริงๆ จังๆ แม้จะรู้ดีว่าการหนีออกไปนั้นอันตรายเสียยิ่งกว่าอยู่แบบนี้เสียอีก แต่เว่ยเฟิงปิงกลัวมากจริงๆ กลัวว่าสักวันหนึ่งเขาจะโดนเหมือนที่เว่ยจินหยินโดน
ถ้าเขาถูกจางซื่อเยี่ยนฆ่า เขาจะทำหน้ายังไง เว่ยเฟิงปิงไม่เคยรักใครขนาดยอมให้ถูกฆ่า และไม่เคยเข้าใจความคิดแบบนั้น ถ้าเขารักใคร เขาก็อยากจะอยู่ด้วยอย่างมีความสุข กับจางซื่อเยี่ยน จนถึงตอนนี้ก็ยังแทบจะหาสิ่งที่เรียกว่าความสุขไม่ค่อยเจอ เจ้าหมอนี่ทำเขาปวดหัวอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็นั่นแหละ ไม่รู้ว่าผีห่าซาตานอะไรดลใจนัก ไปๆ มาๆ สุดท้ายเขาก็ดันไปริรักเจ้าซื่อบื้อนี่เข้าจริงๆ จนได้
เว่ยเฟิงปิงไม่เข้าใจหัวใจตัวเองเลย เขาพอบอกได้อยู่หรอกว่ารักรูฟัสเพราะผู้ชายคนนั้นมีเสน่ห์ แต่สำหรับจางซื่อเยี่ยน เว่ยเฟิงปิงนึกเหตุผลดีๆ ไม่ออก เหตุผลเดียวที่ฟังยังไงก็ดูไม่เข้าท่าสักนิด แต่เป็นอย่างเดียวที่เขาระบุได้ คือเจ้าหมอนี่ดูจะทำอะไรๆ หลายอย่างเพื่อเขาจริงๆ
   รักคนที่เขารักเรา มันคงจะดีกว่าการรักเขาข้างเดียวเป็นไหนๆ ที่น่าตกใจคือเขาก็รักเจ้าหมอนี่ได้จริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่บ้าขนาดยกปืนขึ้นจ่อพี่ชายหรอก การยกปืนใส่เว่ยจินหยินฉลาดที่ไหน โชคยังดีที่เขาไม่ตาย โชคยังดีที่พี่ชายคนนี้ดูจะมีเหตุผลอยู่เหนืออารมณ์
เว่ยเฟิงปิงลองมาคิดๆ ดู บางทีพี่ชายเขาอาจจะเผื่อใจเอาไว้ก่อนแล้วก็ได้ ถึงกับสั่งคนในตึกให้ปล่อยพวกเขาออกไป เว่ยจินหยินเผื่อสถานการณ์ไว้มากจริงๆ แต่สภาพแบบนั้น คนคนหนึ่งที่ไร้จิตวิญญาณอยู่ในร่าง ความสะเทือนใจแบบไหนที่ทำให้คนเป็นได้ขนาดนั้น กระทั่งกับคนที่ทำให้เว่ยจินหยินคลั่งอย่างเถียนซาน คนที่ดูจะมีความสำคัญกับหัวใจของเว่ยจินหยินมากที่สุดคนนั้น ก็ไม่อาจจะเยียวยาได้
   หากจะหาเหตุผลความสะเทือนใจของพี่ชาย สิ่งที่เว่ยเฟิงปิงเดาคือการถูกหักหลังจากพ่อซ้ำซาก และตัวเขาเองไม่อยากจะโดนแบบเว่ยจินหยิน นอนคิดอยู่หลายวันสุดท้ายคำตอบก็คือการหนี ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจบอกจางซื่อเยี่ยน แล้วก็พบปฏิกิริยาตอบสนองอย่างที่คาด ดูท่าจางซื่อเยี่ยนจะมีสติดีกว่าเขาในตอนนี้จริงๆ ไม่ก็อำมหิตกว่าที่เขาคิด
   เว่ยเฟิงปิงขยับตัวซุกเข้าไปอีก อ้อมกอดแบบนี้ จางซื่อเยี่ยนกอดเขาด้วยใจรึเปล่า แต่การกอดคืนนี้แนบแน่นกว่าทุกคืน เหมือนกับการกอดก่อนหน้านี้ เหมือนว่าผู้ชายคนนี้แสดงออกกับเขามากขึ้น เขาควรจะเชื่อเจ้าหมอนี่สักครั้งไหม?
   อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว จางซื่อเยี่ยนรั้งตัวเขาแนบแน่นขึ้นอีก ก่อนจะซุกหน้าลงบนหัวไหล่เขา กระซิบเสียงแผ่ว “ผมรักคุณมากนะครับ”
   ลมหายใจอุ่นๆ รดใบหูของเว่ยเฟิงปิงเหมือนจงใจ ผู้เป็นเจ้านายขมวดคิ้ว จางซื่อเยี่ยนไม่เคยแสดงพฤติกรรมแบบนี้มาก่อน เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงละเมอ แต่ถ้านี่คือการละเมอจริงๆ ล่ะก็ เว่ยเฟิงปิงคงจะรู้สึกโมโหมากกว่าที่เป็นอยู่ โชคยังดีที่จางซื่อเยี่ยนขยับใบหน้าขึ้นมาสบนัยน์ตาเขา คนละเมอคงไม่มีสายตาแจ่มใสแบบนี้หรอก
   ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ริมฝีปากได้รูปก็โน้มมาประกบริมฝีปากของเขาไว้ จูบคราวนี้ผิดแผกจากครั้งที่ผ่านๆ มาค่อนข้างมากจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จางซื่อเยี่ยนจูบเขาอย่างแสดงความต้องการออกมาอย่างเด่นชัด เรียวลิ้นที่กวาดเข้ามาอย่างหิวกระหายทำให้ร่างบางถึงกับผงะ ราวกับว่าอีกฝ่ายเก็บงำความต้องการนี้เอาไว้เป็นเวลานาน มือใหญ่ขยับขึ้นมาช้อนท้ายทอยของเขาเอาไว้ เพื่อรองรับแรงจูบที่เพิ่มมากขึ้น โดนแบบนี้เว่ยเฟิงปิงลืมวิธีตอบโต้ไปหมด เขาทำได้แค่บีบมือเข้ากับอกเสื้อของอีกฝ่ายแน่น การจู่โจมแบบกะทันหันและร้อนแรงจนคิดไม่ถึง ทำให้เขาพ่ายแพ้แทบจะสิ้นท่า
   เกิดมายังไม่เคยถูกใครจูบจนหน้ามืดแบบนี้มาก่อนเลย
   เพิ่งนึกขึ้นมาได้จริงๆ ว่าชั้นเชิงที่จางซื่อเยี่ยนใช้กำราบเขาเมื่อหลายวันก่อนก็ดุดันผิดกับก่อนหน้านี้ไปลิบลับ นี่คือการค่อยๆ แสดงความรู้สึกของฝ่ายนั้นรึเปล่า
ขนาดถูกจูบจนหูอื้อตาลาย เว่ยเฟิงปิงยังมีกะใจจะนึกหงุดหงิด เขาไม่คิดว่าเจ้าซื่อบื้อนี่จะมีเทคนิคการจูบดีเยี่ยมขนาดนี้ ก่อนหน้านี้คงเคยผ่านอะไรๆ มามากแล้วสิ แต่ก็ดันงี่เง่าที่เพิ่งงัดมาใช้กับเขาตอนนี้ ความโมโหเล็กๆ ทำให้เว่ยเฟิงปิงออกแรงต่อต้านไปบ้าง และสิ่งที่จางซื่อเยี่ยนตอบกลับมาก็คือริมฝีปากที่แนบแน่นขึ้น และการรุกไล่อย่างไม่ปล่อยให้มีจังหวะสวนกลับ อย่างกับว่าการต่อต้านของเขายิ่งเป็นเชื้อปะทุให้อารมณ์ของอีกฝ่ายพุ่งพล่านอย่างนั้นแหละ
   เจอแบบนี้เว่ยเฟิงปิงแทบจะโยนผ้าขาว อารมณ์หงุดหงิดเล็กๆ น้อยๆ สลายไปหมด ยามที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาเพื่อพักหายใจ เขาเพิ่งมีโอกาสสังเกต ดวงตาสีอีกานั้นเต็มไปด้วยเพลิงปรารถนาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ยังไม่ทันได้ดูให้เต็มที่ ริมฝีปากก็เคลื่อนเข้ามาผนึกกันอีก แม้จูบครั้งนี้จะไม่รุกเร้าอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนตอนแรก แต่ก็ถี่และกระชั้นจนเว่ยเฟิงปิงผงะไปหลายรอบ หนำซ้ำมือใหญ่ก็เลื่อนลงไปกอบกุมตะโพกเขาอย่างไม่เกรงใจ
จางซื่อเยี่ยนแสดงความต้องการกับเขาอย่างไม่สงวนท่าที ร่างบางผงะ นี่เป็นสิ่งที่เว่ยเฟิงปิงไม่เคยเผชิญมาก่อน มือแข็งแรงตะโบมลูบไปรอบสะโพกของเขาอย่างหื่นกระหาย เรียวลิ้นที่รุกเข้ามาก็เร่งเร้ามากขึ้น ร่างที่เบียดเสียดกันทำให้เขารู้สึกถึงอารมณ์ที่พุ่งพล่านมาจากท้องน้อยของอีกฝ่าย ตัวของจางซื่อเยี่ยนตอนนี้แทบจะร้อนเป็นไฟ
   ในที่สุดร่างสูงก็ยันตัวลุกขึ้นมานั่งคร่อมเขาเอาไว้ และค่อยๆ ถอดเสื้อผ้า แทบจะเหมือนต้องการให้เขามองดูมัดกล้ามเนื้อสมส่วนใต้ร่างนั้นชัดๆ เว่ยเฟิงปิงรู้สึกหายใจติดขัดมากจริงๆ เดิมทีเขาก็มีอารมณ์กับเรือนร่างของชายหนุ่มอยู่แล้ว และเรือนร่างของจางซื่อเยี่ยนก็ไม่เลวเลย สวยงามและปลุกเร้าอารมณ์ในยามนี้จนแทบจะเตลิด ไม่อยากเชื่อเลยว่าเป็นคนคนเดียวกับที่เคยร่วมรักกับเขาอย่างแทบจะจืดชืดจนแทบไม่อยากจะเก็บมาใส่ใจ
เว่ยเฟิงปิงเกือบจะเบือนหน้าหนีด้วยความกลัวว่าจะแสดงสีหน้าพ่ายแพ้ตอนที่จางซื่อเยี่ยนถอดกางเกงออก แต่ความกระหายใคร่รู้ก็เอาชนะ นัยน์ตาสีฟ้าเบิ่งมองอวัยวะที่อวดศักดิ์ดาของอีกฝ่ายอย่างเต็มตา ลมหายใจถึงกับชะงัก นี่จางซื่อเยี่ยนเคยใส่ไอ้ขนาดนี้เข้ามาในตัวเขางั้นหรือ ไม่ทันได้คิดอะไรมากกว่านั้น ร่างบางก็สะดุ้งเฮือก เมื่อสันจมูกโด่งสัมผัสเข้ากับข้างแก้มอย่างจงใจ ความร้อนวาบขึ้นมาในตัวแทบจะทันที
   “คุณชาย..” จางซื่อเยี่ยนกระซิบเสียงแผ่ว พ่นลมหายใจอุ่นๆ ใส่ใบหูเขาอย่างกับจะแกล้ง ก่อนจะใช้ปลายลิ้นหยอกล้ออย่างอ่อนโยน เว่ยเฟิงปิงเผลอร้องครางออกมา นี่เป็นจุดที่ไม่มีใครเคยยุ่งมาก่อน กระทั่งก่อนหน้านี้จางซื่อเยี่ยนก็ไม่เค่อยจะทำอะไรกับมัน ผู้เป็นลูกน้องกดแนบร่างกายแข็งแรงลงมาบนร่างที่นอนหงายอยู่
สิ่งแรกที่เว่ยเฟิงปิงสัมผัสได้คือความแข็งขึงและร้อนผะผ่าวที่สัมผัสตรงหว่างขา เหมือนเลือดทั้งหมดจะพร้อมใจกันสูบฉีดขึ้นมาที่ใบหน้า ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่รู้สึกเหมือนถูกไฟเผาอย่างนี้ จางซื่อเยี่ยนยังคงเล่นกับใบหูของเขาสักพัก ก่อนจะเลื่อนไปที่อื่นอย่างช้าๆ เหมือนต้องการสำรวจร่างกายของเขาอย่างละเอียด มือแข็งแรงค่อยๆ ปลดดึงเสื้อผ้าของเขาออกทั้งๆ ที่ร่างยังทาบอยู่นั่นแหละ ถอดออกไปได้ครึ่งทาง มือนั้นก็เลื่อนเข้ามานวดเฟ้นหน้าอกของเขาอย่างตะกรุมตะกราม ราวกับว่าไม่อยากจะเสียเวลาไปกับการถอดเสื้อจนหมด
เว่ยเฟิงปิงจิกมือลงบนผ้าปูที่นอนแน่น มือของจางซื่อเยี่ยนร้อนราวกับเหล็กเผาไฟ ยามลูบไปตามร่างกายก็เหมือนจะถ่ายความร้อนมาด้วย จนร่างบางหลุดเสียงครางออกมาอีกรอบ ก่อนที่ริมฝีปากจะถูกผนึกด้วยจูบร้อนแรงจนแทบเผาไหม้
   จางซื่อเยี่ยนถอดเสื้อผ้าเขาจนหมดหลังจากนั้น เลื่อนมือและริมฝีปากลงมาสำรวจแผงอกขาวเนียนอย่างตั้งใจ ปลายนิ้วที่ลากผ่าน เรียวลิ้นร้อนที่หยอกเย้ายอดของเนินต่ำ เว่ยเฟิงปิงไม่อาจสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ได้อีก เสียงครางอ่อนหวานลอดออกมาจากริมฝีปากบางที่แดงระเรื่อเพราะแรงจูบก่อนหน้า และสะดุ้งอีกครั้งเมื่อส่วนนั้นถูกดูดดุนเข้าไปในช่องปากร้อนระอุ
การหยอกเย้าด้วยริมฝีปากและปลายลิ้นกับส่วนนั้นเร่งเร้าจนลมหายใจเริ่มขาดห้วง แต่ฝ่ายนั้นดูจะไม่ต้องการให้เขาปลดปล่อยในตอนนี้ ริมฝีปากเลื่อนต่ำลงไปจนถึงช่องปิดด้านล่าง หลังจากสร้างความเปียกชื้นอยู่ครู่หนึ่ง นิ้วมือก็เริ่มถูกสอดเข้ามา ขณะที่ริมฝีปากพรมจูบไปทั่วโคนขาอ่อน เว่ยเฟิงปิงแยกขาออกโดยไม่คิดอะไรให้มากอีก ซ้ำยังขยับตะโพกอย่างท้าทายไปกับการรุกรานของปลายนิ้ว
จนรู้สึกว่าช่องทางนั้นผ่อนคลายได้ที่ ส่วนร้อนระอุก็ค่อยๆ ถูกดันเข้ามา เว่ยเฟิงปิงสะดุ้งอีกคราเนื่องจากความร้อนที่จ่ออยู่ตรงช่องทางอ่อนไหว เขาเกิดความกลัวขึ้นอย่างไม่อาจหักห้าม ทั้งๆ นี่ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้สึกมาก่อน กลัวจะตอบสนองความใหญ่โตนั้นไม่ได้เต็มที่ กลัวกระทั่งอาจจะหมดแรงไปก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้ามาจนสุด ใบหน้าของจางซื่อเยี่ยนโน้มเข้ามาจูบเขาราวกับจะปลอบประโลม ก่อนที่ส่วนแข็งนั้นจะถูกดุนเข้ามาด้วยกำลัง
เว่ยเฟิงปิงร้องอย่างตกใจราวกับเพิ่งเผชิญเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก ความร้อนระอุเบียดแทรกเข้ามาในร่าง ลมหายใจติดขัดไปหมด ความเจ็บปวดแผ่ซ่านพุ่งผ่านไขสันหลังขึ้นมาถึงสมอง ร่างบางครางเสียงหนัก คิ้วขมวดจนมุ่น ปกติถ้าเขาแสดงอาการแบบนี้ จางซื่อเยี่ยนจะหยุดทันที แต่ครั้งนี้ผิดไป ทางนั้นยังคงค่อยๆ ประสานส่วนแข็งนั้นเข้ามาเรื่อยๆ แต่ไม่ถึงกับดึงดันจะเอาเข้ามาให้ได้ในระยะเวลาอันสั้น ในที่สุดสะโพกของเขาก็สัมผัสกับท้องน้อยของอีกฝ่ายเต็มที่
เว่ยเฟิงปิงรู้สึกเหมือนจะหยุดหายใจ ขณะที่จางซื่อเยี่ยนเริ่มขยับตัว เขาร้องครางไม่เป็นภาษา ดึงรั้งผ้าปูเตียงอย่างคนคิดอะไรไม่ออก หลังจากนั้นร่างทั้งร่างก็เหมือนถูกกระชากลงสู่ห้วงหฤหรรษ์ที่ยากจะต่อต้าน เว่ยเฟิงปิงถึงจุดครั้งแล้วครั้งเร่า แต่อีกฝ่ายยังคงดำเนินบทรักไม่หยุดหย่อน ราวกับว่าต้องการให้ขาดใจตายไปทั้งอย่างนี้เลย
ในเพลงรักที่ยากจะรักษาสติ เว่ยเฟิงปิงรู้สึกถึงริมฝีปากอุ่นที่สัมผัสเข้ากับแผ่นหลังของเขา จูบลงบนริ้วรอยที่ไม่อยากให้ใครเห็นอย่างรักใคร่ หัวใจของเขาเต็มตื้นขึ้นในวินาทีนั้นเอง
   เขาจะลองเชื่อจางซื่อเยี่ยนดูสักครั้ง
---------------------------------------------------
**ตอนนี้เป็นตอนที่อารมณ์สวิงมากจริงๆ ของทั้งสองพี่น้องบ้านเว่ย... ด้านเฟิงปิงนี่แอบชอบฉากตบๆ คนอย่างไอ้ซื่อมันควรจะตบให้หัวหลุดจริงๆ ฮ่าๆๆ :laugh:

ส่วนคุณชายรอง... เป็นสุดรักสุดสวาทของเราอยู่แล้ว เพราะงั้น... ต้องบอบช้ำเจ็บหนักปางตาย ดราม่ากระหน้ำ ซ้ำเติมปัญหา (เอาเข้าไป)

ตอนต่อไปถ้าไม่ลืม พรุ่งนี้จะเอามาลงต่อนะจ้ะ^^

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ silverphoenix

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +347/-3
ถูกใจอาซื่อก็ตอนนี้นี่แหล่ะ  5555

ออฟไลน์ @BUA@

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +427/-8
กดไลค์ให้จางซื่อเยี่ยนรัวๆๆๆๆ  :laugh:

ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
คุณชายรอง แง้ๆ  อย่าเป็นอะไรไปนะ
อืมๆคู่เฟิงปิงร้อนแรงกันจริงๆ
แล้วคู่ของรูฟัสหละไปถึงไหนแล้ว  รออยู่นะ
ปล.  แอบจิ้นคู่เถียนซานกับคุณชายรองไปไกลแล้วนะเนี่ย

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**มาอัพต่อล่ะค่ะ
------------------------------------

บทที่73 เงาสะท้อนของอดีต

   เว่ยเฟิงปิงตื่นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น ด้วยความรู้สึกปวดร้าวไปทั่วทั้งตัว แทบจะลุกไม่ขึ้น ขณะที่กำลังนิ่วหน้าอยู่กับอาการหลังยอก ใครคนหนึ่งก็พูดกับเขา
   “อรุณสวัสดิ์ครับคุณชาย”
   จางซื่อเยี่ยนซึ่งแต่งตัวเรียบร้อย ยืนอยู่ข้างเตียงพร้อมกับเสื้อคลุมอาบน้ำ ใบหน้าประดับรอยยิ้มสดใส ถึงจะไม่ได้มีเสน่ห์ขนาดทำให้คนหลงใหลได้ปลื้มก็เถอะ แต่สำหรับเวลาแบบนี้ เว่ยเฟิงปิงรู้สึกพอใจอยู่มากเลยทีเดียว ถึงกับรู้สึกว่าจางซื่อเยี่ยนหล่อเหลาขึ้นมาทันตาเห็น
   อาการตกหลุมรักทำให้คนหน้ามืดได้ขนาดนี้เลยเหรอ?
   คุณชายเจ็ดมองหน้าลูกน้องอยู่พักหนึ่ง พลางถามย้ำว่าเขาเพิ่งเห็นความดีงามของจางซื่อเยี่ยน หรือจางซื่อเยี่ยนเพิ่งจะแสดงมันออกมากันแน่ ท้ายที่สุดไม่ว่าจะตอบอะไรก็ดูไม่น่าพอใจทั้งนั้น ชายหนุ่มจึงรับเสื้อคลุมอาบน้ำมา แต่ยังไม่ยอมลุก
   “ลุกไม่ไหวหรือครับ งั้นผมอุ้มไปนะ”
   อีกฝ่ายพูดขึ้น เว่ยเฟิงปิงไม่รู้ว่าจางซื่อเยี่ยนพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่ แต่ความอยากลองดีที่เป็นนิสัยส่วนตัวของเขาทำให้ส่งเสียงอืมออกไป ทันใดนั้นร่างก็ถูกยกขึ้นจากเตียงทันที อารามตกใจทำให้หลุดเสียงร้องออกมา
   “เฮ้ย!”
   แทนที่จางซื่อเยี่ยนจะพาซื่อวางเขาลงอย่างที่ทำทุกครั้ง กลายเป็นยิ้มกว้างขึ้นอีก แทบจะหัวเราะออกมา
   “ผมไม่ทำหล่นหรอก”
    เว่ยเฟิงปิงเริ่มคิดจริงๆ จังๆ แล้วว่าถ้าเขาไม่ละเมอ จางซื่อเยี่ยนก็คงกินยาผิดขวด แต่น่าจะเป็นกรณีหลัง
   “วันนี้นายเป็นอะไร?”
   เขาเอ่ยถามหลังจากนั่งลงตรงขอบอ่างน้ำ อีกฝ่ายได้แต่ยิ้ม ไม่ตอบคำถามเหมือนเดิม เว่ยเฟิงปิงนิ่วหน้าเมื่อเห็นจางซื่อเยี่ยนเปิดน้ำลงอ่าง จริงอยู่ว่าเขาอยากจะแช่น้ำร้อน เพราะอาการปวดเอวจากไอ้คนซื่อบื้อนี่แหละ แต่ปกติกิจวัตรพวกนี้เว่ยเฟิงปิงจะทำเองทั้งหมด เขาไม่ได้โตมาท่ามกลางคนรับใช้แบบเว่ยจินหยิน จึงไม่ค่อยชินกับการถูกคนอื่นเข้ามายุ่งยามในชีวิตส่วนตัว
สิ่งที่จางซื่อเยี่ยนกำลังทำจึงทำให้เว่ยเฟิงปิงรู้สึกแปลกๆ แต่ที่น่าแปลกใจไปกว่านั้น เขาไม่คิดว่าจางซื่อเยี่ยนจะรู้ใจคนอื่นเป็นกับเขาด้วย ปกติเห็นแต่ทำอะไรทื่อๆ อยู่ตลอด หรือไม่ก็ทำอะไรขัดหูขัดตา ใช่ล่ะ วันดีคืนดีก็เอาเหล้าเอาบุหรี่ไปซ่อน นี่เรียกว่าเดาอารมณ์เขาได้มานานแล้วรึเปล่า?
   น้ำร้อนกำลังพอดีจริงๆ เว่ยเฟิงปิงเกียจคร้านจะเสียเวลาหงุดหงิดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องในตอนเช้า ที่สำคัญจางซื่อเยี่ยนก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ดูออกจะน่าพอใจมากด้วยซ้ำ ที่จะผิดอยู่อย่างเดียวคือผิดปกตินี่แหละ
   ชายหนุ่มหย่อนกายลงแช่น้ำในอ่าง หลับตาและถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย นึกอยากจะหยุดงานนอนพักสักวันหนึ่ง แต่เท่าที่จำได้ หมายกำหนดการวันนี้ก็แน่นเหมือนทุกวัน ที่ยิ่งแน่นมากขึ้นเพราะเหตุการณ์การใกล้ล่มสลายของริเวิล เหล่าพวกลูกกระจ๊อกทั้งหลายที่กลัวไม่มีใครคุ้มหัวแห่แหนกันเข้าพึ่งบารมีคนบ้านเว่ยให้วุ่นวาย ยิ่งจินหยินมาเป็นแบบนั้น สองทางที่พวกนั้นจะไปคือที่คฤหาสน์ของเว่ยชิง กับสำนักงานของเขา
เว่ยเฟิงปิงมุ่นคิ้วอย่างนึกหงุดหงิด ก่อนจะลืมตาขึ้นหมายจะเรียกจางซื่อเยี่ยนมาปรึกษาเรื่องหมายกำหนดการ แล้วก็ต้องผงะ เมื่อพบว่าคนที่กำลังจะเรียกยังยืนอยู่ที่เดิม แถมเหมือนจะกำลังมองเขาอยู่ด้วย ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเล็กๆ นั้นทำให้เว่ยเฟิงปิงรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว
   “ไม่มีอะไรจะทำหรือไง?” อีกฝ่ายพูดแดกดันออกไปอย่างเคยชิน สำหรับเขาการพูดแบบนี้จางซื่อเยี่ยนดูจะง่ายกว่าการหาประโยคคำพูดสวยๆ เสียอีก ฝ่ายรับฟังได้แต่ยิ้ม เว่ยเฟิงปิงเพิ่งรู้ว่าการเงียบก็เหมือนการเถียงอีกอย่างหนึ่ง แถมในบางโอกาส ก็ได้ผลชะงักดีอีกด้วย ที่สำคัญ นัยน์ตาสีดำที่มองมายังเรือนร่างของเขาชนิดที่แทบจะไม่ปิดบังความรู้สึกทำให้เว่ยเฟิงปิงเกือบพูดไม่ออก
   “หันหลังไปซะ!” ผู้เป็นเจ้านายลงเสียงแทบจะตวาด คราวนี้จางซื่อเยี่ยนยอมหันหลังโดยดี เว่ยเฟิงปิงพ่นลมหายใจ รู้สึกร้อนวูบวาบไปหมด บอกไม่ได้ว่าโมโหหรืออะไรกันแน่ เขาเงยมองแผ่นหลังของจางซื่อเยี่ยนและรู้สึกว่ามันดูกว้างกว่าที่คิด คิ้วได้รูปขมวดมุ่นอย่างรำคาญใจ วันนี้ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าอะไรๆ แปลกไปหมด ไอ้หลังนี่เขาก็เคยเห็นมาแล้วตอนที่หมอนี่เอาตัวเข้าปกป้องเขา ตอนนั้นก็รู้สึกเหมือนกันว่ามันกว้าง แต่หลังจางซื่อเยี่ยนก็เป็นแบบนี้อยู่นานแล้ว ทำไมวันนี้เขาถึงต้องใจเต้นกับอีแค่มองหลังเจ้าซื่อบื้อนี่ด้วย
   “นี่ซื่อเยี่ยน” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยเรียก และได้ยินเสียงตอบรับ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมเบือนหน้ากลับมา
   “ฉันเรียกนายทำไมไม่หันมาตอบ”
   “ก็คุณสั่งให้ผมหันหลัง” จางซื่อเยี่ยนตอบกลับ เล่นเอาเส้นโมโหในตัวของเว่ยเฟิงปิงกระตุกกึก แต่ก่อนที่จะได้รีดเร้นโทสะออกมา ทางนั้นก็เบือนหน้ากลับมาเสียก่อน แถมยังยิ้มจนตาเยิ้ม โดนเข้าไปแบบนี้เส้นที่กำลังเต้นตุบๆ ถึงกับหยุดไปดื้อๆ นัยน์ตาสีฟ้ากระพริบถี่ๆ ถามตัวเองซ้ำอีกรอบว่าวันนี้ใครกันแน่ที่กินยาผิดขวด
   ในที่สุดผู้เป็นเจ้านายก็ตัดสินใจไล่ลูกน้องออกไป เขาตัดสินใจว่าจะแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนจะคุยธุระกับเจ้าหมอนี่ ให้ตายสิ สมัยก่อนเขายังไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ ขนาดแก้ผ้าเองต่อหน้าจางซื่อเยี่ยนเขาก็ทำมาแล้ว ทำไมวันนี้ถึงรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาได้
   เว่ยเฟิงปิงก้าวเท้าออกมาพร้อมกับสวมเสื้อคลุมอาบน้ำ เขาเห็นว่าจางซื่อเยี่ยนกำลังจัดเสื้อผ้าให้เขาอยู่ ความสงสัยแล่นเข้ามาทันที ผู้เป็นเจ้านายยกเรื่องหมายกำหนดการทิ้งไปก่อน เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าใครที่กินยาผิดขวด
   “นี่ซื่อเยี่ยน วันนี้นายเป็นอะไรกันแน่?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยถามอย่างจริงๆ จังๆ ขณะที่จางซื่อเยี่ยนหยิบเสื้อเชิ้ตมาทำท่าจะสวมให้เขา ชายหนุ่มยิ้มบางๆ และตอบไม่ตรงคำถาม
   “ใส่เสื้อผ้าก่อนสิครับ”
   ผู้เป็นเจ้านายตวัดสายตามองลูกน้องครั้งหนึ่ง แต่ก็ยอมใส่เสื้อผ้าโดยดี จนแต่งตัวเสร็จ ฝ่ายนั้นก็ยังไม่ยอมตอบคำถาม จนเขาต้องถามออกไปอีกรอบอย่างอดกลั้น “วันนี้นายเป็นบ้าอะไรเนี่ย?”
   ใบหน้าของจางซื่อเยี่ยนกลายเป็นสีแดงเรื่ออย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แถมยังหลบสายตาเหมือนกำลังเขินอาย บนมุมปากมีรอยยิ้มเล็กๆ ที่ดูจะพยายามสะกดกลั้นเอาไว้
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกว่ามีคนกินยาผิดขวดแน่ๆ !
   จางซื่อเยี่ยนยืนอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นาน ซึ่งปกติเขาก็อ้ำๆ อึ้งๆ แบบนี้เป็นกิจวัตรอยู่แล้ว ปัญหาคือท่าทีที่กำลังอ้ำๆ อึ้งๆ นี่สิ ชวนให้สงสัยว่านี่คงไม่ใช่จางซื่อเยี่ยนคนเดิม
   “นายเป็นบ้าอะไร?!” เว่ยเฟิงปิงขึ้นเสียงถาม มันพิสดารเกินกว่าที่เขาจะรับได้ หรือจางซื่อเยี่ยนได้รับผลกระทบกระเทือนทางจิตใจแบบเว่ยจินหยิน แต่เจ้าหมอนี่ไม่ได้นอนไม่รู้สึกตัว แต่กลับทำเรื่องที่ไม่น่าจะทำได้แทน แบบนี้เขาควรจะดีใจดีรึเปล่า?
   “คุณชาย ผมชอบคุณจริงๆ นะครับ”
   คนฟังขมวดคิ้ว นี่ไม่ใช่คำตอบที่เขาอยากได้ยิน เมื่อคืนจางซื่อเยี่ยนก็บอกเขาแล้ว บอกเสร็จก็จัดการทำให้เขาลุกไม่ขึ้นในวันต่อมา แต่นี่ไม่น่าจะเป็นสาเหตุให้เกิดเหตุวิปลาสแบบนี้
   “ฉันรู้แล้ว ที่ฉันจะถามคือ นายเป็นอะไรของนาย ปกตินายไม่ทำอะไรแบบนี้นี่?”
   เว่ยเฟิงปิงพยายามลดอุณหภูมิอารมณ์ตัวเอง เพราะไม่ว่าจะดูมุมไหน จางซื่อเยี่ยนทำไม่ผิดซักอย่าง จริงๆ คือถูกใจเขาอยู่มากด้วยซ้ำ ปัญหาคือเพราะจางซื่อเยี่ยนเป็นคนทำนี่แหละ มันเลยดูผิดปกติ
   “แล้วคุณชอบรึเปล่าล่ะครับ?” จางซื่อเยี่ยนตอบ แต่พอเห็นนัยน์ตาสีฟ้าถลึงอย่างเอาเรื่องจึงรีบพูดต่อ “คือผม..อืม...อยากจะลองจีบคุณดูนะ”
   เว่ยเฟิงปิงเกือบจะหลุดเสียงร้องแบบไม่อยากเชื่อออกมา ดีที่ตั้งสติได้ก่อน ถึงอย่างนั้นเสียงที่ถามไปก็ออกจะสั่นอยู่มากจริงๆ
   “จีบ? จีบฉันเนี่ยนะ?”
   จางซื่อเยี่ยนพยักหน้าหงึกหงัก และแก้มแดงหน่อยๆ
   “คือ.. ผมไม่คิดมาก่อนว่าคุณจะรักตอบผม ผมเลย... อยากจะจีบคุณอย่างจริงๆ จังๆ”
   คนฟังอึ้งไปนานจริงๆ คิ้วของเว่ยเฟิงปิงขมวดหากันจนมุ่น มองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ “นายเพี้ยนไปแล้วเรอะ! เพิ่งคิดจะมาจีบฉันตอนนี้เนี่ยนะ?”
   อีกฝ่ายหัวเราะเขินๆ “ขอโทษนะครับ คือผมคิดว่าไหนๆ คุณก็อุตส่าห์รักผมแล้ว ผมก็ควรจะจีบคุณอย่างคนรักกัน”
   เว่ยเฟิงปิงขนลุกไปทั้งตัว เขารู้ล่ะว่าคงจางซื่อเยี่ยนคงไม่ได้ยาผิด ท่าทางเจ้าหมอนี่จะเข้าใจคำว่าจีบผิดประเด็น มันต้องเริ่มจีบก่อนที่จะรักสิ ไม่ใช่รอให้รักแล้วค่อยมาจีบ สรุปว่ายังซื่อบื้อเหมือนเดิม ถึงอย่างนั้นทำไมเขาดันใจเต้นตุบๆ ไปตามคำพูดไม่เป็นสัปปะรดนั้นล่ะ จางซื่อเยี่ยนยิ้มกว้าง เดินเข้ามากอดเขา และหอมแก้มเบาๆ
   “ผมรักคุณนะครับ”
   ผู้เป็นเจ้านายยังคงถือทิฐิอย่างตั้งแง่ ผลักไสอีกฝ่ายออก และแค่นเสียง “เฮอะ! นี่แปลว่าปกตินายจีบคนอื่นแบบนี้เหมือนกันล่ะสิ ไม่ยักรู้ว่านายเก่งเรื่องพวกนี้”
   “ผมจีบคุณคนแรกนี่แหละครับ” อีกฝ่ายตอบและหน้าแดงด้วยความขวยเขิน
   “คือผมแอบรักคุณมานานมาก เคยคิดจะจีบคุณอยู่เหมือนกัน แต่คุณไม่ชอบขี้หน้าผม แถมเป็นเจ้านายผมอีก ผมเลยทำไม่ลง ผมกลัวอกหัก”
   เว่ยเฟิงปิงถลึงตาใส่จางซื่อเยี่ยน เขาควรจะรีบตะเพิดไอ้คนที่มีระบบความคิดผิดปกติแบบนี้ออกไปให้พ้นๆ แต่หน้าตาซื่อๆ ดูน่าสงสารทำให้เขาหยุดความฮึดฮัดลงไปนิดหน่อย ร่างบางแค่นเสียงถาม “แล้วไหงตอนนี้ถึงได้กล้าจีบขึ้นมาล่ะ?”
   “ก็คุณรักผมแล้วนี่ครับ” จางซื่อเยี่ยนตอบ คราวนี้เว่ยเฟิงปิงถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างกับจะฆ่าจะแกง และดูจางซื่อเยี่ยนจะกลัวขึ้นมาอย่างจริงจัง ถึงกับรีบเอามือปิดตาเขาไว้และจูบปิดปาก เว่ยเฟิงปิงจิกมือลงไปบนเสื้อของลูกน้อง ก่อนจะตัดสินใจเงียบๆ
   ให้ไอ้พวกที่รออยู่ด้านล่างรอต่อไปอีกหน่อยแล้วกัน
-------------------------------------------------
   พฤติกรรมพิลึกพิลั่นของจางซื่อเยี่ยนนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นปุ๊บปั๊บ เจ้าตัวใช้เวลาตัดสินใจอยู่หลายวัน ตั้งแต่วันที่เขาถูกเว่ยเฟิงปิงตบจนหูอื้อ จางซื่อเยี่ยนเริ่มสำนึกขึ้นมาว่าเขาสมควรดูแลหัวใจของเจ้านายให้ดีกว่านี้ คิดไปคิดมา ไอ้ที่เคยพยายามจะตามใจก็ดูจะไม่ได้เรื่อง ที่ทำมาก่อนหน้าก็ดูเว่ยเฟิงปิงจะไม่พอใจเอาเสียเลย
จริงๆ จางซื่อเยี่ยนก็พอเดาใจคนออกบ้าง แต่กับเจ้านายคนนี้ การตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ตั้งแต่แรกพบ ทำให้จางซื่อเยี่ยนไม่กล้าคาดเดาอะไร เหมือนต่อให้เขาทำถูกทางนั้นก็ต้องหาว่าทำผิดอยู่ดี อีกอย่างเขาเป็นคนที่พูดไม่เก่งอยู่แล้ว จะพูดอะไรให้เข้าหูก็ลำบาก และขนาดไม่พูดอะไรก็ดูจะขัดหูขัดตาไปหมด พอรู้แน่ๆ ว่าเว่ยเฟิงปิงเริ่มมีใจให้เขาแล้ว จางซื่อเยี่ยนพยายามคิดหาวิธีอย่างหนักที่จะตอบแทนความรู้สึกนี้ สุดท้ายก็นึกออกแต่เรื่องบ้าๆ ที่เขาเคยจินตนาการอย่างเพ้อพก ว่าถ้าเขาสามารถจีบเจ้านายคนนี้ได้ เขาจะทำอะไรบ้าง
   จางซื่อเยี่ยนจึงงัดกลยุทธ์ทั้งหมดที่อยู่ในสมองเอามาใช้กับสถานการณ์จริง และดูจะใช้ได้ผลไม่เลวเลยทีเดียว
--------------------------------------------------
   ฟ่งทอดถอนใจเงียบๆ เขากำลังนั่งเหม่ออยู่ริมระเบียง รูฟัสลงไปซื้ออาหารที่ด้านล่าง สมองชายหนุ่มนึกทบทวนสิ่งต่างๆ ท่ามกลางเสียงเครื่องยนต์บนถนนเบื้องล่าง และลมร้อนผ่าวที่พัดเข้ามา
   ฟ่งจมปลักอยู่ในหล่มความเศร้าที่ขุดขึ้นเองมาเกือบสองสัปดาห์แล้ว นี่เป็นหนึ่งในนิสัยที่เขาไม่ค่อยชอบใจตัวเองนัก มันเป็นความคิดที่แก้ไม่หาย เวลามีเรื่องแบบนี้ เขาจะแช่ตัวเองในความเจ็บปวด คร่ำครวญอย่างทุกข์ทรมานที่สุด ด้วยความรู้สึกลึกๆ ว่านี่คือการไถ่โทษอย่างหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงมันคือการทำร้ายคนรอบข้างที่มีและไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทำร้ายคนที่รักเขาซ้ำเข้าไปอีก นี่เป็นเหตุผลข้อหนึ่งที่เขาบอกเลิกกับอดีตแฟนคนเก่า
ฟ่งท้อแท้กับนิสัยแบบนี้ของตัวเองจริงๆ แต่พอมาถึงตอนนี้ เขากลับไม่อยากทำกับรูฟัสเหมือนที่เคยทำกับดา เหตุผลอาจจะดูน่าเกลียดนิดหน่อย ตรงที่กับดา เขาเป็นฝ่ายได้ ขณะที่กับรูฟัส เขาเป็นฝ่ายเสีย เพราะฉะนั้น เรื่องเล็กๆ น้อยๆ รูฟัสก็ไม่น่าจะคิดมาก
   ฟ่งยกมือขึ้นเกาศีรษะ สรุปแล้วนิสัยเขาเป็นปัญหามากจริงๆ ไม่ว่าใครจะได้จะเสีย เขาก็ควรจะหยุดอาละวาด หยุดทำอะไรงี่เง่าสักที ที่ตัดสินใจพูดกับรูฟัสว่าจะอยู่ด้วย ก็เพราะเขาแน่ใจว่าการได้อยู่กับผู้ชายคนนี้จะทำให้เขามีความสุข และเขาอยากเห็นผู้ชายคนนี้มีความสุข แต่สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้คือ ทั้งเขาทั้งรูฟัสไม่มีความสุข แถมยังออกจะขมเอามากๆ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเพราะเขาทั้งนั้น
ฟ่งถอนหายใจเฮือก เขาทำใจเรื่องครอบครัวได้ยาก ไม่เคยอยากให้อะไรจบแบบนี้ ไม่อยากรักรูฟัสแล้วต้องสูญเสียครอบครัวไป แต่เขาก็ไม่อยากจะเสียรูฟัสไปด้วยเหมือนกัน เสียงถอนหายใจดังแทรกไปกับสายลม
   ในเมื่อเขาผ่านเรื่องบ้าๆ ก่อนหน้านี้มาได้ตังเยอะแยะ แค่เรื่องในครอบครัวเขาก็น่าจะผ่านมันไปได้เหมือนกัน
   เสียงเปิดประตูทำให้ฟ่งหันไปมองโดยอัตโนมัติ รูฟัสที่ออกไปซื้อของกินเข้ามาหยุดยิ้มให้เขา ฟ่งยิ้มตอบ เป็นรอยยิ้มที่คิดว่าน่าจะดีที่สุดตั้งแต่เขาฝังตัวเองในความขมขื่น
   เขาจะก้าวไปข้างหน้า ไปพร้อมกับผู้ชายคนนี้
-----------------------------------------------------
   เว่ยจินหยินนอนหลับบนทางรกร้างที่แผ้วถางเท่าไหร่ก็ดูจะหาหนทางดีๆ ไม่ได้ ทางรกร้างที่มีเพียงตัวเขาและความฝันเลือนราง สัมผัสของมือคู่หนึ่งอบอุ่นอ่อนโยนปลอบประโลมเขาจากการเดินทางยาวนาน
ชายหนุ่มจมอยู่ในความฝันเลอะเลือน ลืมไปเกือบหมดแล้วว่าเขากำลังทำอะไร ลืมไปสิ้นแล้วว่าตัวเองเป็นใคร หลงใหลอยู่ในฝันเพ้อที่มีแต่ความสุขสันต์ เวลาผ่านไป ความฝันหอมหวานคล้ายกลุ่มควัน เนิ่นนานก็พลิ้วหายไปกับสายลม ไม่รู้เมื่อไหร่ที่เขาหยุดฝัน ไม่สิ ฝันของเขาเริ่มว่างเปล่า เหมือนดั่งทางร้างที่เขานอนอยู่ ไม่มีอะไรอีกแล้ว ไม่มีสัมผัสอ่อนโยน ไม่มีสิ่งใดอยู่อีก เหมือนว่าเวลายาวนานทำให้เขาเริ่มลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมกระทั้งความรู้สึกของสัมผัสคุ้นเคย ลืมกระทั่งชื่อเรียกของตัวเอง ลืมไปจนเกือบหมดสิ้น
ท่ามกลางความทรงจำที่คล้ายแก้วเปล่า ความรู้สึกอ้างว้างแล่นเข้ามาราวกับล้อรถบดทับ เขานึกอะไรไม่ออก หวาดกลัวทุกสิ่งอย่าง ได้แต่ขดตัวร้องไห้ พยายามนึกถึงสัมผัสที่คุ้นเคยนั้น ใครกันที่เคยปลอบโยนเขาอยู่ตลอดเวลา ใครกันที่เคยเดินเคียงข้าง ชายหนุ่มลืมตาขึ้นในความว่างเปล่า เขานึกไม่ออกแล้วว่าคนคนนั้นคือใคร สิ่งที่เขานึกออกคือ เขาเคยมีความอบอุ่นนั้นอยู่
ชายหนุ่มหยัดยืนขึ้น เขาต้องออกตามหาความอบอุ่นนั้น ความอบอุ่นที่เขาลืมเลือนไป
--------------------------------------------------------
   เสียงอะไรหนักๆ ล้มลงกับพื้นทำให้ไมเคิลสะดุ้ง เขายืนเฝ้าเวรหน้าของของเว่ยจินหยินตามปกติ และถูกอดีตลูกพี่กำชับนักกำชับหนาว่าให้คอยฟังเสียงในห้องเอาไว้ เผื่อว่าคุณชายตื่นมาอาจจะต้องการอะไร แต่ดูสภาพเว่ยจินหยินแล้ว ยากจะเชื่อจริงๆ ว่าจะลุกขึ้นมาพูดได้ ที่อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็คงเพราะการดูแลของเถียนซานนั่นแหละ ไม่เคยคิดเลยว่าเจ้านายที่ทรงอำนาจคนนี้จะกลับกลายเป็นเหมือนซากศพมีชีวิต
สำหรับไมเคิล ถ้าตัดเรื่องความกดดันและการทดลองแปลกๆ ออกไป เว่ยจินหยินถือว่าเป็นเจ้านายที่ดีคนหนึ่ง อย่างน้อยก็รู้ว่าเวลาไหนควรจะทำดีกับลูกน้อง และก็ไม่เคยแสดงอาการดูถูกเหยียดหยามให้เห็น ทำงานมาให้หลายปี พอเห็นเจ้านายเป็นแบบนี้ เขาก็อดใจหายไม่ได้
   ทันทีที่ตั้งสติได้ ไมเคิลเปิดประตูห้องเข้าไปทันที
--------------------------------------------------------
   เว่ยจินหยินงุนงงกับตัวเองมากจริงๆ เขาลืมตาขึ้นมาและพบว่าตัวเองนอนอยู่บนฟูกนุ่ม ซึ่งก็ใช้เวลาอีกพักหนึ่งถึงพอจะนึกออกว่าอยู่ที่ไหน เหมือนว่าเขาจะหลับไปนานมากจนเกือบจะหลงลืมทุกอย่างไปแล้ว
เว่ยจินหยินพยายามจะลุกขึ้นนั่ง และพบว่าเรี่ยวแรงหายไปพอสมควร เขามองสำรวจไปรอบๆ ห้อง ฟื้นความทรงจำมาทีละน้อย นี่คือห้องนอนของเขา เขาคงหลับไปนานพอสมควร ดูจากอาการอ่อนแรงของแขนขา ไม่มีใครอยู่ในห้อง เว่ยจินหยินพยายามนึกทบทวน เหมือนเขาจะตื่นขึ้นเพราะต้องการหาใครสักคนหนึ่ง ในที่สุดเขาก็นึกชื่อนั้นออก
   เถียนซาน!
   เว่ยจินหยินเลื่อนตัวลงจากเตียง พอทิ้งน้ำหนังลงบนเท้าทั้งสองข้างก็ล้มโครมลงไป ขณะกำลังงุนงงกับสภาพตัวเอง ไมเคิลก็เปิดประตูพรวดเข้ามา
   “คุณชาย!!” ผู้เป็นลูกน้องอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ ถ้าไม่เห็นนัยน์ตาสีดำราวสุนัขจิ้งจอกที่มองตรงมายังเขาอย่างพิศวง เขาคงคิดว่าเจ้านายคนนี้กำลังละเมอ ไมเคิลตรงไปพยุงเว่ยจินหยินขึ้นมาจากพื้น
   “เกิดอะไรขึ้น?” ผู้เป็นเจ้านายถามอย่างงุนงง ความทรงจำของเขาย้อนกลับมาเรื่อยๆ นี่เป็นลูกน้องคนสนิทของเขา แล้วเกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย ทำไมถึงได้ไม่มีแรงแม้กระทั่งจะยืนเอง ไมเคิลพาเว่ยจินหยินกลับไปนั่งที่เตียง ก่อนจะมองด้วยสายตาตื่นเต้นยินดี “คุณชายรู้สึกตัวแล้วหรือครับ?”
   เว่ยจินหยินพยักหน้า เอ่ยถามอีกครั้ง “เกิดอะไรขึ้น? ฉันเป็นอะไรไป?”
   “เอ่อ...คุณนอนหลับไปน่ะครับ อืม..คือเหมือนคุณจะเสียสติ พวกเราคิดว่าคุณคงไม่กลับมาแล้ว”
   “เสียสติ?” เว่ยจินหยินย้อนถามอย่างงุนงง พยายามแยกแยะความทรงจำที่ไหลย้อนกลับมาอย่างสับสน เขาน่ะรึเสียสติ? คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากัน เหมือนจะนึกออกลางๆ เขาโดนจางซื่อเยี่ยนทำร้าย แล้วก็ไม่คิดว่าจะบาดเจ็บภายใน อ่า..ใช่ ตอนนั้นแค่หายใจก็เจ็บปวดจนแทบตาย เขาเผลอถอดใจไปตอนนั้นเอง
   “ฉันนอนไปกี่วัน? วันนี้วันที่เท่าไหร่แล้ว?”
   “คุณหลับไปเกือบสามสัปดาห์แล้วครับ วันนี้วันที่ยี่สิบสอง”
   เว่ยจินหยินอ้าปากค้าง ไมเคิลหยิบแว่นตาส่งให้เจ้านายของเขา และเล่าต่อ “พี่เถียนมาดูแลคุณทุกวัน เขาซื้อของมาฝากคุณด้วย เขาอยากให้คุณกลับมาไวๆ พวกผมก็เหมือนกัน”
   เว่ยจินหยินตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยถามออกไปทันที “อาซานอยู่ไหน?”
   “คฤหาสน์คุณท่านครับ” ไมเคิลตอบ เว่ยจินหยินขมวดคิ้วทันที ถึงเถียนซานจะทำงานอยู่ที่หน่วยดำก็จริง แต่ปกติไม่ได้มีหน้าที่ดูแลคฤหาสน์ส่วนตัวของพ่อเขานี่ ผู้เป็นลูกน้องอธิบายความต่อ
   “วันนี้คุณลี่เหลียนจะไปที่นั่นครับ ก็เลยต้องเรียกกำลังเกือบทั้งหมดไปเตรียมรับมือ”
   นัยน์ตาสีดำของเว่ยจินหยินเบิ่งโพลง และออกคำสั่งทันที
   “ไปเตรียมรถ ฉันจะไปคฤหาสน์คุณพ่อ”
-------------------------------------
   เว่ยจินหยินรีบจนเกือบจะไม่มีเวลาสางผมให้เข้าที ผลจากการนอนเฉยๆ เกือบสามสัปดาห์ทำให้กล้ามเนื้อแขนขาของเขาอ่อนแรงไปมาก ตอนนี้เขากำลังพยายามหวีผมให้เรียบร้อยในรถลีมูซีน ฟังไมเคิลกับโจรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างที่เขาหลับ แล้วเว่ยจินหยินก็ต้องตระหนกเมื่อแผนที่เขาวางเอาไว้ทั้งหมดถูกสานต่อจนดำเนินราบรื่นไปได้ด้วยดี จนในที่สุดผู้ชายที่ชื่อลี่เหลียนก็ยอมออกโรงเอง ทั้งหมดเป็นฝีมือของอดีตลูกน้องคนนั้น
เว่ยจินหยินกำมือที่สั่นเทาของตัวเองไว้ รู้สึกตื้อขึ้นมาในหัว เหมือนอะไรจะระเบิดออก
   โจเล่าว่าพอเถียนซานลุกได้ก็มาเยี่ยมเขาทันที เมื่อรู้ว่าอดีตเจ้านายกลายเป็นแบบนั้นก็คอยดูแลทุกๆ อย่าง แวะมาเยี่ยมทุกครั้งที่ถึงเวลาพักเที่ยง และรีบกลับมาให้ไวที่สุดในตอนเย็น เรียกว่างานเดิมก็ไม่ทิ้ง แล้วยังทุ่มเทดูแลเขาอย่างเต็มกำลัง ถึงตรงนี้เว่ยจินหยินก็พูดอะไรไม่ออกอีก ได้แต่พยักหน้า
   เขาบ้าเองที่ถอดใจไปก่อน
   ตอนนี้คนที่เขาอยากเจอที่สุดไม่ใช่คุณพ่อ ไม่ใช่ลี่เหลียน แต่เป็นผู้ชายที่ทุ่มเทให้เขาจนหมดหัวใจคนนั้น
-------------------------------------------
   เถียนซานแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขาเกือบจะวิ่งอย่างไม่เกรงใจลงมาจากตัวคฤหาสน์ด้วยซ้ำ ตอนที่เห็นรถลีมูซีนคันนั้นแล่นเข้ามาจอด ไม่มีใครในตึกต้าเหยินกล้าใช้รถคันนี้โดยพละการแน่ นอกจากคนคนนั้น
   หัวใจของเถียนซานเต้นแรงด้วยความยินดีเมื่อเห็นผู้ที่ก้าวออกมาจากรถ แม้จะซูบไปมากแต่เว่ยจินหยินยังคงรักษาบุคลิกภาพเอาไว้ได้อย่างดี ผมหวีเป็นระเบียบอย่างที่เคยทุกครั้ง แม้ผลจากการไม่ได้ขยับร่างกายติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้ต้องใช้คนช่วยพยุง แค่เจ้าตัวก็ยังสามารถรักษาบุคลิกอันงามสง่าไว้ได้ นี่แหละคือเว่ยจินหยิน
   ชายวัยกลางคนเดินเข้าไปหาอดีตเจ้านายทันที เว่ยจินหยินสวมสูทสีขาว คงไม่อยากใส่สีเข้มๆ เพราะผิวของเขาตอนนี้ซีดจัดจนน่าตกใจ แต่แววตาคมวาวนั้นไม่เหมือนคนเพิ่งหายจากอาการป่วย แค่ได้เห็นแววตานั้นเถียนซานก็โล่งใจ
   “อาซาน ฉันกลับมาแล้ว” เว่ยจินหยินเอ่ย และยิ้มออกมา เถียนซานแทบจะกอดเจ้านายของเขาตรงนั้น เขารู้ว่าสักวันเว่ยจินหยินจะต้องกลับมา คนที่เข็มแข็งมากคนนี้คงไม่ยอมถอดใจง่ายๆ
   “ฉันกลับมาเพราะนาย” เจ้าตัวพูดต่อ เถียนซานมองมือสั่นเทาที่เอื้อมมา ทั้งดีใจทั้งปวดใจ เขาจับมือข้างนั้นเอาไว้และยกขึ้นจูบอย่างเคารพ
   “ยินดีต้อนรับกลับครับ”
   เว่ยจินหยินพยักหน้า มองดูผู้เป็นลูกน้อง คำพูดทั้งหลายที่พยายามคิดมาตลอดทางเหมือนถูกอัดอยู่ในคอจนพูดไม่ออก ยังไม่ทันที่จะหายตื้นตัน เสียงที่ไม่คุ้นเคยเสียงหนึ่งก็เอ่ยทักขึ้น
“นั่น...จินหยินสินะ”
   ผู้ที่เอ่ยทักเป็นชายวัยราวๆ ห้าสิบถึงหกสิบเศษ ผมสีดำที่เริ่มมีสีขาวแซมถูกตัดสั้นและหวีเป็นทรงเรียบร้อย เขาอยู่ในชุดสูทลำลองสีน้ำตาล แม้จะใช้ไม้เท้าในการช่วยเดิน แต่ท่าที่เดินเข้ามานั้นดูมีสง่าราศีไม่รู้สึกน่าเวทนาเลยสักนิด ดูราวกับว่าต่อให้อยู่บนรถเข็น คนคนนี้ก็ยังรักษาความสง่างามนี้เอาไว้ได้ เถียนซานหลบฉากไปนิดหนึ่ง ก่อนจะกระซิบบอก
   “คุณลี่เหลียน อาคุณครับ”
   เว่ยจินหยินตัวชาไปตลอดร่าง เขารู้มานานแล้วว่าศัตรูที่พ่อเขาเกลียดชังนักชื่อลี่เหลียน รู้มานานแล้วด้วยว่าคนคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นน้องชายต่างมารดาของผู้เป็นพ่อ เป็นอาแท้ๆ ของเขาเอง และตัวเขาก็ทำทุกอย่างเพื่อกำจัดอาให้กับพ่อของเขา แต่ที่ทำให้เว่ยจินหยินตัวชาด้วยความตระหนก ไม่ใช่เรื่องพวกนี้ แต่เพราะนัยน์ตาสีดำที่สบเข้ามาต่างหาก
   ราวกับเขากำลังจ้องเข้าไปในดวงตาของตัวเอง
   เหมือนจะเคยมีคำพูดทำนองว่า คนประเภทเดียวกันแค่สบตาก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นยังไง สำหรับเว่ยจินหยิน นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกแบบนี้ แววตาสีดำลึกล้ำ อ่อนโยนแต่เหมือนมีหมอกกั้น เข่าที่อ่อนแรงอยู่แล้วของเว่ยจินหยินอ่อนยวบ จังหวะเดียวกับที่คนคนนั้นเดินมาถึงพอดี มือที่ยังดูดีแต่เสื่อมไปตามวัยยืนเข้าคว้าตัวเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว ถ้าลี่เหลียนคิดจะฆ่าเว่ยจินหยินตอนนี้ เว่ยจินหยินคงตายไปแล้ว เพราะไม่มีใครนึกว่าคนอายุห้าสิบหกสิบที่ต้องใช้ไม้เท้าในการเดินจะมีความเคลื่อนไหวว่องไวขนาดนี้ แต่ที่ลี่เหลียนทำคือประคองร่างของหลานชายเอาไว้ และกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน
   “ฉันรู้แล้วทำไมพี่ใหญ่ถึงได้อยากฆ่าเธอนัก ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลย”
   เป็นครั้งแรกที่เว่ยจินหยินหายใจติดขัดต่อหน้าคนอื่น เขาไม่รู้ว่ากำลังหวาดกลัวชายชราที่อยู่ตรงหน้าหรือหวาดกลัวเงาสะท้อนของตัวเอง เว่ยจินหยินแทบจะเข้าใจเหตุผลที่พ่อเกลียดชังเขาทันที
   เพราะเขากับลี่เหลียนเป็นคนประเภทเดียวกันนี่เอง
   “แต่เธอทำงานได้ดีจริงๆ อานับถือเธอมาก” ผู้สูงวัยกว่ายังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ถ้านับอายุแล้ว ปีนี้ลี่เหลียนก็คงอยู่ที่ราวๆ หกสิบ เพราะเขาเกิดห่างจากพี่ชายไม่กี่ปี ใบหน้าเกลี้ยงได้รูปเรียบร้อย แม้มีริ้วรอยจากกาลเวลาอยู่บ้างแต่ก็ยังพอจะเดาได้ว่าครั้งหนึ่งต้องหล่อเหลาเอาการ ผิวขาวละเอียด นิ้วมือเรียวได้รูป บุคลิกเรียบร้อยและสง่างาม แม้จะใช้ไม้เท้าช่วยเดิน ก็ไม่ทำให้ความผึ่งผายนี้ลดลงไปเลย แม้ใบหน้าจะไม่ได้ละม้ายคล้ายกันมาก แต่โดยสภาพรวมแล้ว ลี่เหลียนกับเว่ยจินหยิน ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกัน
   ความรู้สึกของสุนัขจิ้งจอก
   “ชมผมเกินไปแล้วครับ”

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   ถ้าวัดจากสภาพจิตใจที่เพิ่งฟื้นจากอาการทางประสาท เว่ยจินหยินถือว่าตั้งตัวได้ไวทีเดียว ไม่นานเขาก็กลับไปรักษาสภาพเรียบร้อยเหมือนเดิมได้ ยิ่งทำให้สองคนนี้คล้ายกันมากจริงๆ ลี่เหลียนดูจะพอใจจะสนทนากับหลานชายที่ทำลายแก๊งของเขา
   “ถ้าอาได้เธอมาเป็นลูกก็คงดี”
   คำพูดนั้นถูกสวนกลับแทบจะในทันที “ผมเป็นลูกคุณพ่อครับ”
   แต่แทนที่จะมีสีหน้ามึนตึง อีกฝ่ายกลับหัวเราะชอบใจ ผู้ชายคนนี้หัวเราะได้น่าดูจริงๆ สำหรับวัยขนาดนี้ เขากล่าวตอบอย่างอารมณ์ดี “อืม..อารู้ล่ะ เอาเถอะ มีลูกนิสัยเหมือนกันก็คงไม่สนุกเท่าไหร่”
   เว่ยจินหยินยิ้มตอบอย่างสุภาพ และเอ่ยขึ้นบ้าง “คุณอาวันนี้แวะมาเยี่ยมคุณพ่อ มีเรื่องอะไรหรือครับ?”
   เป็นคำเหน็บแนมเจ็บแสบ เป็นที่รู้กันว่าเว่ยชิงและลี่เหลียนสะบั้นสายเลือดกันนานแล้ว การมาเยือนในวันนี้คงไม่ใช่การแวะมาเยี่ยมฉันญาติมิตรแน่ๆ แต่สาเหตุคงจะมาจากคนพูดนั่นแหละ
   “อาแวะมาเยี่ยมพี่ใหญ่ เธออย่าใส่ใจธุระของผู้ใหญ่ให้มากนักเลย ดูสิ ซูบผอมไปหมด อย่างกับคนป่วยเพิ่งลุกจากเตียงอย่างนั้นแหละ”
   หากว่าการฟังบทสนทนาของเว่ยจินหยินในยามปกติสร้างความกดดันแล้ว การได้ฟังบทสนทนาของคนที่มีลักษณะเดียวกันสองคนคงยิ่งกดดันกว่านั้นหลายเท่าตัว คุยกันไม่กี่ประโยค แต่เหมือนมีบรรยากาศอึมครึมเกิดขึ้นรอบๆ ถึงอย่างนั้นทั้งสองคนก็ยังยิ้มอย่างสง่างามอยู่
   “ขอบคุณที่เป็นห่วงผมนะครับ ผมดูแลตัวเองได้ ห่วงแต่คุณอาเถอะครับ อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ทางที่ดีน่าจะพักผ่อนอยู่ที่บ้านจะดีกว่านะครับ”
   ลี่เหลียนหัวเราะชอบใจอีก เขาหัวเราะอยู่นานจนเกือบจะหอบ ก่อนจะเอื้อมมือมาตบบ่าเว่ยจินหยิน
   “ได้คุยกับเธออารู้สึกดีจริงๆ บางทีที่เธอรอดกลับมาคงเพราะฟ้าอยากให้เรามาพบกันสักครั้งก็ได้”
   “ก็คงอย่างนั้นแหละครับ” เว่ยจินหยินกล่าวตอบ ดูท่าเขาคงมีชะตากรรมจะได้พบคนเหมือนตัวเองสักครั้งอย่างที่ลี่เหลียนพูดจริงๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ตื่นมาในวันนี้ แล้วตะกายมาจนถึงที่นี่หรอก
   “ผมพยุงไปนะครับ” เถียนซานเอ่ยขึ้นเมื่อชายชราหันตัวออก เขาลาเว่ยจินหยินด้วยสายตาและเข้าประกบลี่เหลียนทันที เจ้าตัวหัวเราะร่วน
   “แหม..ฉันดูแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าจะช่วยกันพยุงล่ะก็ เอาแค่คนเดียวก็พอ”
   เว่ยจินหยินเพิ่งสังเกตเห็นว่าด้านหลังของลี่เหลียนมีหน่วยดำตามประกบอีกสองคน เถียนซานยิ้มอย่างสุภาพ และเอ่ยเรียบๆ “จะขึ้นไปพบคุณท่านเลยรึเปล่าครับ?”
   คนถูกถามหัวเราะอีกครั้งและพยักหน้า
   “เอาสิ พี่ใหญ่ไม่ใช่คนที่ชอบรออะไรนานๆ เสียด้วย”
------------------------------------------
   “นี่ เถียนซาน” น้ำเสียงเดิมเอ่ยขึ้น เสียงของลี่เหลียนเวลาพูดออกมาดูอบอุ่นและน่าไว้ใจจนน่ากลัว เขาหันมามองเถียนซานที่กำลังเดินขนาบข้างอย่างพินิจพิเคราะห์
   “ฉันเคยจินตนาการหน้าเธอที่ถูกเรียกว่าปิศาจเอาไว้หลายแบบ แต่เธอดูธรรมดากว่าที่คิดไว้เยอะเลย”
   เถียนซานผงกศีรษะ เขารู้ดีว่าสามสิบปีมานี้สร้างความเสียหายอะไรให้กับลี่เหลียนบ้าง ชายชราพูดต่อ “ฉันดีใจที่พี่ใหญ่ได้ลูกน้องดีๆ แบบเธอ”
   “ขอบคุณครับ” เถียนซานเอ่ยเรียบๆ พลางหยุดหน้าประตูไม้บ้านใหญ่ ซึ่งเป็นห้องที่เว่ยชิงใช้ประจำ เจ้านายใหญ่ของเขายืนยันจะต้อนรับศัตรูคู่แค้นร่วมสายเลือดในห้องนี้เพียงลำพัง เรื่องระหว่างพี่น้อง คงไม่อยากให้คนภายนอกรับรู้
   “ขออนุญาตนะครับ ผมต้องค้นตัวคุณอีกรอบ” หนุ่มใหญ่กล่าว และตรวจเช็คทุกจุดที่ดูจะซ่อนอาวุธได้บนตัวชายชราอย่างละเอียด โดยมีอีกสองคนตรวจซ้ำ ระหว่างนั้นลี่เหลียนหัวเราะครื้นเครง
   “กลัวฉันจะฆ่าพี่ใหญ่หรือ อายุปานนี้แล้วฆ่าแกงกันไม่ไหวแล้วล่ะ”
   เถียนซานไม่แสดงท่าทีอย่างไรตอบ แต่ตรวจค้นจนเสร็จ จึงเชิญให้อีกฝ่ายเข้าไปในห้อง พอประตูเปิดออก สีหน้าของชายชราเปลี่ยนไปวูบหนึ่ง แค่วูบเดียวจริงๆ แล้วประตูก็ปิดลง
---------------------------------------------
   “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะพี่ใหญ่” เสียงเอ่ยทักอย่างสุภาพ ทำให้เว่ยชิงหรี่ตาลง เสียงนั้นที่เขาไม่ได้ยินมาเกือบห้าสิบปี แม้จะมีแววแห่งความชราแฝงอยู่บ้าง แต่นี่คือเสียงคนคนนั้นไม่ผิดแน่ นัยน์ตาสีน้ำครำเพ่งพิศดวงหน้าของผู้เข้ามา ก่อนจะพูดตอบ “ไม่เจอกันนานเลยนะ เสี่ยวเหลียน”
   “นานมากจริงๆ” ลี่เหลียนตอบ พลางทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ไม้ฝั่งตรงข้าม จับจ้องมองพี่ชาย และถอนหายใจ “เวลาทำให้พี่เปลี่ยนไปมากเลย”
   เว่ยชิงพยักหน้าอย่างยอมรับ เวลากว่าห้าสิบปี เปลี่ยนชีวิตเขาไปมากจริงๆ จากชายฉกรรจ์แข็งแรงสมบูรณ์ พร้อมจะเผชิญกับทุกสิ่งทุกอย่าง กลายเป็นคนแก่ร่างงุ้มเหมือนไม้ผุเข้าไปทุกที เสียงทอดถอนหายใจดังขึ้นในความเงียบ นัยน์ตาสีน้ำครำเบือนขึ้นมองหน้าน้องชายในที่สุด
   “แต่เธอ...เหมือนจะไม่เปลี่ยนไปเลย...”
   ลี่เหลียนหัวเราะ เหมือนจะเป็นการหัวเราะแก้เขินมากกว่าจะหัวเราะเยาะ นัยน์ตาสีดำที่เหมือนมีม่านกั้นเหลียวมองไปรอบๆ ห้องอีกครั้ง ก่อนจะกลับมามองพี่ชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นวม
   “พี่สร้างห้องนี้ใหม่? พี่คิดถึงผมหรือ?”
   เว่ยชิงทั้งไม่สั่นหน้าทั้งไม่ผงกศีรษะ เขากล่าวเรียบๆ “พี่เคยอยู่ในห้องแบบนี้”
   “เราต่างหาก” อีกฝ่ายแทรก พลางถอนหายใจ “ผมรู้ว่าพี่เกลียดผมมากจริงๆ แต่ผมยังหวังจะได้ยินพี่บ่นคิดถึงผมบ้าง”
   “......”
   นัยน์ตาสีดำจ้องมองร่างของชายชราที่อยู่ตรงหน้า แม้ร่างกายจะเปลี่ยนไปมาก แต่แววตาเย็นชาเด็ดขาดนั้นเหมือนเดิมไม่มีผิด เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีก หลังจากนั้น ความเงียบที่กินระยะเวลายาวนานก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เหมือนต่างฝ่ายต่างไม่เหลืออะไรจะพูดอีก ท้ายที่สุด ลี่เหลียนก็เป็นฝ่ายขยับก่อน เขาเอื้อมมือไปรินน้ำชาจากกาที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ เว่ยชิงสั่งทำของใหม่ทั้งหมด เขาจำได้ดีว่าห้องนี้เคยอยู่ในคฤหาสน์หลังเก่า เป็นห้องที่พวกเขาสองพี่น้องเติบโตมาด้วยกัน ห้องที่เป็นเหมือนความทรงจำแสนดี มือของลี่เหลียนสั่นอย่างไม่อาจห้ามได้ ทั้งๆ ที่เขาพยายามจะลืม แต่พี่ชายของเขากลับสร้างมันขึ้นมาใหม่ เลียนแบบของเดิมทุกอย่าง กาน้ำชา พรมปูพื้น แม้แต่รอยบุ๋มบนเก้าอี้ตัวที่เขาชอบนั่ง
   มือที่สั่นทำให้ชาหกออกนอกถ้วย ลี่เหลียนถอนหายใจ “ผมจะเรียกคนมาเช็ด”
   เว่ยชิงโบกมือทันที ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นมาจากเก้าอี้นวม ร่างกายของเขาเล็กลงกว่าสมัยก่อนมากจริงๆ ยามเดินก็ไม่ค่อยสง่าแล้ว แต่ยังดีตรงไม่ต้องพึ่งไม้เท้า ชายชราล้วงผ้าเช็ดหน้าแพรออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และเช็ดน้ำชาที่หกบนโต๊ะ
   “พออายุมากๆ ร่างกายก็ไม่ค่อยจะเป็นอย่างที่ใจต้องการหรอก” เขาพูด และเหลือบดูขาน้องชาย ลี่เหลียนได้แต่ยิ้ม ถึงจะพูดเป็นคนแก่แบบนั้น แต่สำหรับเขาตอนนี้เหมือนเวลาย้อนกลับ ย้อนกลับไปเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน ตอนที่เขากับพี่ยังใช้ห้องนี้ร่วมกัน ยังเล่นซนกันอยู่
   หากตัดเหตุการณ์ระหว่างห้าสิบปีออกไป เขาอาจจะอยู่ที่นี่ยาวไปเลยก็ได้ ผู้มีอายุน้อยกว่าถอนใจอีกรอบ “พวกเราแก่กันแล้ว?”
   “อืม”
   ลี่เหลียนมองดูมือตัวเองที่กำลังสั่นอยู่ มันเกิดจากอาการทางประสาท หรือมาจากความรู้สึกที่อัดอยู่กันแน่ เว่ยชิงเดินย้อนกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม โดยทิ้งผ้าเช็ดหน้าไว้
   “ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นเธอกลับมาที่ห้องนี้อีก” เว่ยชิงกล่าว นัยน์ตาสีน้ำครำมองดูน้องชาย เสี่ยวเหลียน เขาไม่เอ่ยเรียกชื่อนี้นานเท่าไหร่แล้ว กระทั่งพยายามลืมไปด้วยซ้ำ แต่พอได้พบจริงๆ เขาแทบจะจำรายละเอียดของน้องชายคนนี้ได้ทุกอย่าง ตำหนิทุกตำหนิ แม้แต่ความรู้สึกตอนที่หักขาข้างนั้น เขาก็ยังจำได้ ราวกับเพิ่งผ่านมาไม่กี่วันนี้เอง
   ในวินาทีนี้ เขาตอบไม่ได้ว่ายังรู้สึกเคียดแค้นน้องชายอย่างที่รู้สึกวันนั้นรึเปล่า
   สิ่งที่ค้ำจุนเขามาเกือบห้าสิบปีคือการสุมไฟแค้นของน้องชายคนนี้ น้องชายต่างแม่ แต่ก็เป็นน้องชายเพียงคนเดียวของเขา เนื่องจากอายุห่างกันไม่มาก ทั้งคู่จึงสนิทกันมาแต่เด็กๆ ในห้องห้องนี้ ห้องที่เหมือนกับโลกที่มีเพียงพวกเขาสองคน ลี่เหลียนนั้นเป็นเด็กเรียบร้อยน่ารัก รู้ใจเขาไปทุกอย่าง ไม่เคยทำอะไรให้ขัดเคืองเลยสักเรื่อง
เว่ยชิงรักชอบน้องชายคนนี้มากที่สุด ทั้งคู่ตัวติดกันอย่างกับแฝด ไปไหนก็ต้องไปด้วยกัน จะทำอะไรก็ต้องทำด้วยกัน กระทั่งไปจีบผู้หญิง ก็ยังไปด้วยกัน แข่งกันด้วยซ้ำว่าใครมีเสน่ห์มากกว่า ถ้าไม่นับว่าเขามีศักดิ์เป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลเว่ยแล้ว ลี่เหลียนได้รับความนิยมมากกว่าเขาแน่นอน ชายหนุ่มหน้าตาดีมารยาทเรียบร้อย พูดจาสุภาพอ่อนโยน เรียกว่าดูดีไปทุกเรื่อง ขนาดตัวเขาเองยังเคยรู้สึกอิจฉามารยาทเรียบร้อยของน้องชาย ลี่เหลียนดีกับเขาเสมอมา กับน้องชายที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่แบเบาะ รู้เรื่องของกันและกันดีทุกอย่าง คำว่าทรยศไม่เคยมีอยู่ในหัวของเว่ยชิงเลย จนกระทั่งวันที่ลี่เหลียนจุดไฟเผาบ้าน
   มันเป็นวันหลังจากสิ้นสุดการไว้ทุกข์เนื่องในการจากไปของผู้เป็นบิดาซึ่งนานหลายเดือน วันที่อากาศร้อนจนน่าอึดอัด เว่ยชิงที่เพิ่งได้รับตำแหน่งผู้นำคนใหม่ตั้งใจจะแต่งตั้งน้องชายให้คุมกิจการสำคัญ เขาเพิ่งไปเลือกซื้อแหวนหมั้น ด้วยความไว้ใจ เขาฝากหญิงคนรักให้น้องชายดูแลระหว่างนั้น เพราะไม่อยากให้เธอรู้ข่าวว่าเขาเตรียมตัวจะหมั้น และก็ไม่ได้บอกลี่เหลียนว่าเขาเตรียมตำแหน่งอะไรไว้ให้ เขาอยากให้คนทั้งคู่แปลกใจ
เว่ยชิงกลับมาถึงในตอนพลบค่ำ แต่ท้องฟ้าตรงคฤหาสน์ที่ตกทอดกันมานานกลับเป็นสีแดงฉาน เปลวไฟพวยพุ่งสูงขึ้นไปในอากาศ คฤหาสน์ไม้โบราณทั้งหลังกำลังถูกเพลิงผลาญ เว่ยชิงแทบจะเข่าอ่อน สมบัติของบรรพบุรุษกำลังมอดไหม้ต่อหน้าเขา แต่สิ่งที่เขาเป็นห่วงมากกว่าคือชีวิตของคนที่อยู่ด้านใน คนรับใช้คนหนึ่งซึ่งเนื้อตัวเปื้อนไปด้วยคราบเขม่า วิ่งตะลีตะลานมาหาทันทีที่มองเห็นเขา และละล่ำละลักจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์
   “คุณชายรอง คุณชายรองฆ่าคุณหลินแล้วจุดไฟเผาห้องครับ!!”
   เว่ยชิงตัวชาวูบ เขาถึงกับกระชากคอผู้รับใช้ขึ้นมาอย่างมีโทสะ “พูดอะไร! เสี่ยวเหลียนน่ะนะฆ่าหลินหลิน เสี่ยวเหลียนน่ะนะจุดไฟเผาบ้าน?!!”
   ผู้รับใช้พยักหน้าพลางร้องไห้พลาง หวาดกลัวจนตัวสั่น
   “ผมพูดจริงๆ ครับคุณท่าน ผมเห็นกับตา ผมเห็นกับตา คุณชายรองยิงคุณหลิน ยิงคนในบ้านที่ห้าม แล้วลงมือจุดไฟด้วยตัวเองเลยครับ”
   เว่ยชิงรู้สึกเหมือนถูกทุบศีรษะ เขาเค้นเสียงถามคนรับใช้ “แล้วยังไงต่อ เสี่ยวเหลียน..เสี่ยวเหลียน...”
   เขาได้แต่ค้างคำพูดเอาไว้แบบนั้น เพราะเบื้องหน้า บุคคลที่เขาอยากพบเดินเข้ามาช้าๆ ใบหน้าของลี่เหลียนเต็มไปด้วยคราบเขม่า และเหมือนจะมีคราบน้ำตาปะปนอยู่ด้วย เพราะนัยน์ตาของเขาแดงก่ำ เว่ยชิงปล่อยคนรับใช้ลง ก่อนวิ่งเข้าไปหาน้องชายด้วยอารามดีใจและเป็นห่วง
   “เสี่ยวเหลียน ไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ดีจริงๆ ที่เธอปลอดภัย หลินหลินล่ะ?”
   มุมปากของลี่เหลียนกระตุกขึ้นคล้ายพยายามจะยิ้มออกมาเต็มที่ แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็ปล่อยให้ตกลง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา
   “ผมฆ่าไปแล้ว”
   เว่ยชิงยังจำนัยน์ตาของน้องชายในวันนั้นได้ดี นัยน์ตาซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยหลงใหล นัยน์ตาอ่อนโยนที่เขาไว้ใจมาโดยตลอด เขาไม่เคยสังเกตเลย ภายในดวงตานั้น มีม่านบางๆ กั้นอยู่ วินาทีนั้นเหมือนเขาไม่เคยรู้จักน้องชายคนนี้มาก่อน เว่ยชิงยังพอจะนึกถึงอารมณ์ขุ่นเคืองอย่างที่สุดในตอนนั้นได้ เป็นการโมโหครั้งรุนแรงที่สุดในชีวิตของเขา แม้ลี่เหลียนจะไม่ยอมอธิบายเหตุผล แต่เขาก็ยังไม่อำมหิตพอจะฆ่าน้องชายคนเดียวทิ้ง
เว่ยชิงลงโทษลี่เหลียนจนสาแก่ความผิด หักขาข้างหนึ่งทิ้งเพื่อชดใช้ในสิ่งที่ทำ ก่อนจะขับไล่ออกจากตระกูล ด้วยความหวังเสี้ยวเล็กๆ ว่าลี่เหลียนจะสำนึก และซมซานกลับมาสารภาพความผิด แต่แล้วหลังจากนั้นเว่ยชิงก็ต้องตอกย้ำตัวเองว่า เขาไม่เคยรู้จักน้องชายคนนี้เลยจริงๆ เพราะนอกจากลี่เหลียนจะไม่กลับมาสำนึกแล้ว ยังตั้งตนเป็นปรปักษ์กับเขาและตระกูล โดยการร่วมมือกับต่างชาติตั้งกลุ่มที่มีชื่อว่าริเวิลขึ้นมา เข้าแย่งชิงและครอบงำกิจการในอาณัติของตระกูล เว่ยชิงสาบานกับตัวเองว่า เขาจะต้องกำจัดน้องชายคนนี้ให้ได้
   แต่ตอนนี้ ลี่เหลียนกลับมายืนตรงหน้าเขา กลับมายืนในห้องที่มีบรรยากาศเดิมๆ ในสมัยก่อน
สิ่งที่เว่ยชิงรู้สึกคือ เขาฝัน..ฝันและตื่นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองแก่ชราเสียแล้ว
   “เสี่ยวเหลียน เธอบอกพี่ได้รึเปล่า ว่าเธอฆ่าหลินหลินแล้วเผาบ้านทำไม?”
   มุมปากของลี่เหลียนกระตุกคล้ายกับวันนั้น และรอยยิ้มก็ไม่สามารถปรากฏออกมาเช่นเดียวกัน แต่แววตาต่างออกไปมาก เหมือนหมอกบางๆ กำลังสั่นไหว ก่อนจะถอนหายใจออกมา
   “ผมชอบห้องนี้ที่มีพี่อยู่ เราคุยเรื่องอื่นกันสักพักไม่ได้หรือ?”
   เว่ยชิงทอดตามองน้องชาย บอกไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร จนถึงป่านนี้ลี่เหลียนก็ยังไม่อยากบอกเหตุผล จริงๆ เวลาห้าสิบปี พี่น้องไม่ได้เจอกันควรจะมีเรื่องให้พูดกันเยอะ แต่สำหรับเขา นอกจากเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่มีเรื่องอะไรอีก เว่ยชิงไม่รู้จริงๆ ว่าจะคุยอะไรกับน้องชายคนนี้
   น้องชายที่สุมไฟแค้นเอาไว้ในอกเขามาค่อนชีวิต
   ลี่เหลียนเองก็คงรู้ตัวว่าพี่ชายคงไม่มีความต้องการจะพูดอะไรกับเขาอีก ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ยอมปริปาก มือได้รูปขยับลงหยิบถ้วยน้ำชาที่รินทิ้งเอาไว้ขึ้นมาจิบ และหรี่นัยน์ตาที่มีม่านกั้นมองพี่ชาย
   ความเงียบที่เกิดขึ้นกินเวลาในความรู้สึกนานเกินจริง กว่าที่ลี่เหลียนจะวางถ้วยชาลง ในความรู้สึกของคนทั้งคู่ ก็เหมือนเวลาผ่านไปอีกห้าสิบปีแล้ว ความรู้สึกต่างๆ หมุนวนย้อนแย้งกันอยู่ในความรู้สึก เสียงทอดถอนใจดังขึ้นอีก
   “ผมเคยคิดจะอยู่กับพี่ไปตลอด ผมคิดอยู่เสมอว่าผมกับพี่คงจะได้อยู่ด้วยกันจนตาย”
   เว่ยชิงพยักหน้า ครั้งหนึ่งเขาก็เคยคิดแบบนั้น เขาไม่เคยอยากจะเคียดแค้นน้องชายคนเดียวมากมายขนาดนี้เลย ลี่เหลียนพูดต่อ “เราเคยไปไหนมาไหนด้วยกัน ชีวิตผมมีแต่พี่ และผมก็คิดว่าชีวิตพี่มีแต่ผม เราอยู่ด้วยกันไม่ได้เหรอ?”
   เว่ยชิงถอนหายใจยืดยาว เงยสายตาสีน้ำครำขึ้นมองน้องชาย ด้วยความรู้สึกอย่างไรแม้แต่เจ้าตัวก็ยากจะบอกได้
   “เราเคยอยู่ด้วยกัน เธอบังคับให้พี่ไล่เธอออกไปเอง”
   ลี่เหลียนพยักหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ถึงผมไม่ทำแบบนั้น สักวันพี่ก็ต้องไล่ผมออกไปอยู่ดี”
   “พี่จะไล่เธอทำไม?”
   คนถูกถามสั่นศีรษะ “ช่างมันเถอะ ผมรู้อยู่นานแล้วล่ะว่าเราคงไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอด”
   “เราอยู่ด้วยกันได้ เสี่ยวเหลียน บอกพี่เถอะ เธอหักหลังพี่ทำไม”
   แววตาในม่านหมอกไหววูบ ผู้เป็นเจ้าของหลุดยิ้มออกมา ยิ้มที่ไร้เดียงสา เว่ยชิงถึงกับต้องหลบตา ถ้ากลับไปเป็นเหมือนก่อนห้าสิบปีที่แล้วก็คงดี ตอนที่พวกเขายังสนิทกันอยู่ แต่เขาคงไม่มีวันลืมมันได้ นี่คืออดีตที่คอยหลอกหลอนเขามาโดยตลอด ทำให้เขาต้องสั่งฆ่าแม้แต่ลูกชายตัวเอง แล้วเขาจะลืมมันไปได้ง่ายๆ ได้อย่างไร
   ก่อนจะสะสางความแค้น เขาอยากรู้สาเหตุให้แน่ชัดก่อน
   เหมือนลี่เหลียนจะเข้าใจว่าพี่ชายเขาคิดอะไร ชายชรากล่าวต่อ “พี่ไม่ต้องหลอกให้ผมดีใจเล่นก็ได้ ยังไงผมก็คิดจะบอกเหตุผลกับพี่อยู่แล้วล่ะ แต่..ผมแค่อยากใช้เวลาอยู่กับพี่ให้นานสักหน่อย”
   เว่ยชิงผงกศีรษะ ไม่รู้ว่าเข้าใจสาเหตุจริงๆ หรือรับรู้แบบขอไปทีกันแน่ ลี่เหลียนจ้องหน้าพี่ชายอยู่พักใหญ่ จึงพูดต่อ “ผมคิดมาตลอด ว่าสักวันหนึ่งพี่จะต้องไล่ต้อนผมจนจนมุม วันนั้นแหละผมจะกลับมาสารภาพกับพี่”
   “ทำไมต้องรอถึงตอนนี้?” เว่ยชิงย้อนถามทันที ลี่เหลียนคลี่ยิ้ม
   “เพราะคงเป็นตอนที่ผมหมดแรงหมดความอดทนแล้วล่ะมั้ง นี่ พี่ใหญ่ สมัยพี่อยู่กับผม พี่มีความสุขรึเปล่า?”
   เว่ยชิงพยักหน้า อีกฝ่ายพูดต่อ “พี่ชอบผมมั้ย?”
   “อืม”
   “แต่ไม่ได้รักผมใช่มั้ย?”
   คนถูกถามลืมตาขึ้นทันที รอยยิ้มเศร้าสร้อยปรากฏอยู่บนใบหน้าได้รูป
   “ผมรู้ว่าพี่มองผมไม่ได้ตลอด คิดถึงผมไม่ได้ตลอด วันหนึ่งพี่ก็จะมองคนอื่น คิดถึงคนอื่น แต่ผมคิดถึงพี่คนเดียว ผมมองพี่คนเดียว ผมอาจจะบ้าก็ได้ แต่ถ้าความแค้นทำให้พี่มองแต่ผม คิดถึงแต่ผมได้ ผมยอม”
   เว่ยชิงอ้าปากค้าง เนิ่นนานจึงกล่าวคำพูดออกมา “เสี่ยวเหลียน.. พี่....”
   รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความรักปรากฏขึ้นบนใบหน้านั้น ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อ
   “ผมรักพี่นะ”
----------------------------------------------
   เสียงระเบิดของลูกตะกั่วทำเอาผู้รับใช้ที่รออยู่ภายนอกสะดุ้ง ก่อนจะพังประตูเข้าไปทันที และทุกก็ต้องผงะ เมื่อเห็นสภาพภายในห้อง เว่ยชิงยังนั่งอยู่บนเก้าอี้นวม เหมือนจะแก่ลงไปถนัด ตรงข้ามเขา ร่างไร้วิญญาณของน้องชายนั่งอยู่ในสภาพเอียงไปข้างหนึ่ง ปืนที่ซ่อนมาในไม้เท้าตกอยู่ข้างๆ เลือดกับเศษมันสมองกระจายเกลื่อนพื้นห้อง เถียนซานตั้งสติได้คนแรก รีบถลันไปหาเจ้านายใหญ่
   “คุณท่านเป็นอะไรรึเปล่าครับ?”
   เว่ยชิงนิ่งไปสักพักจึงโบกมือให้ลูกน้องถอยไป ก่อนจะยันตัวผุดลุกขึ้น เดินตรงไปยังร่างไร้วิญญาณของน้องชาย ยกมือขึ้นลูบนัยน์ตาที่เบิ่งค้างของอีกฝ่ายลง ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก คลุมร่างนั้นไว้ ก่อนเอ่ยสั้นๆ
   “เรียกคนมา ฉันต้องเตรียมงานศพ”
---------------------------------------------
   เว่ยจินหยินที่รออยู่ในห้องรับรองได้ยินเสียงปืนเช่นกัน เขารีบผุดลุกออกจากห้อง ตรงไปยังห้องของบิดาทันที โดยยังต้องอาศัยลูกน้องช่วยประคองไม่ห่าง
   เว่ยชิงยืนอยู่หน้าห้อง เมื่อเบือนหน้ามากลับมาเห็นร่างของลูกชาย นัยน์ตาสีน้ำครำฉายแววประหลาดใจ
   “จินหยิน....?”
   น้ำเสียงนั้นดูอ่อนแรงมากจริงๆ เว่ยจินหยินประคองตัวไปหาผู้เป็นพ่อ ถึงไม่ได้เจอกันเป็นเดือน แต่พ่อของเขาไม่น่าจะดูแก่ลงไปได้มากขนาดนี้ เว่ยชิงมองลูกชายซ้ำอีกครั้ง เว่ยจินหยินซูบไปมาก ก่อนหน้านี้เขาไม่ค่อยคิดอยากจะใส่ใจลูกชายคนนี้นัก แต่ก็พอรู้ว่าเจ้าตัวดูแลตัวเองเป็นอย่างดี นี่คงเป็นผลจากการเสียสติงั้นหรือ เว่ยจินหยินคืนสติกลับมาได้เพราะอะไร เว่ยชิงไม่อยากขบคิด เช่นเดียวกับเหตุผลที่ทำให้ลูกชายเสียสติ
   เว่ยจินหยินเดินเข้ามาใกล้ผู้เป็นพ่อ จนแล้วจนรอดนัยน์ตาสีน้ำครำนั้นก็ไม่เบือนมาสบตาเขาสักที เหมือนเว่ยชิงจะหลบสายตากับเขามานานมากแล้ว ชายหนุ่มได้แต่กล่าวคำพูด
   “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ?”
   ผู้เป็นพ่อไม่ตอบ แต่กลับยื่นมือข้างหนึ่งลูบศีรษะของเขา ก่อนจะก้มหน้านิ่ง เป็นอากับกิริยาที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ความเงียบที่กินเวลานานในความรู้สึกเกิดขึ้นเพียงชั่วอึดใจ ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
   “ไปซะ”
-------------------------------------------------------
**ที่จริงแอบอยากเขียนเนื้อหาเกี่ยวกับเว่ยชิงกับเว่ยลี่เหลี่ยนเหมือนกัน แต่ไอ้ที่เขียนไปแล้วก็แทบจะไม่มีอะไร และไอ้ที่ต้องเขียนก็เขียนไม่ทันแล้ว เพราะงั้น.. ปล่อยให้เป็นความอยากลึกๆ ต่อไปแล้วกัน ฮ่วย!! (แล้วจะบ่นทำไมเนี่ยยย)

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
ครั้งที่แล้วไม่ได้คอมเม้นท์ มาไม่ทัน เลยได้อ่านสองตอนรวด  ครั้งนี้ขอคอมเม้นท์ยาวๆเลยละกัน

เพื่อเป็นกำลังใจให้คนเขียน

ระหว่างอ่านก็เหมือนถูกเหวี่ยงไปเหวียงมาในรถที่แล่นผ่านหลายโค้ง :sad4:

เพราะหลากอารมณ์จริง ทั้งอึดอัด เพราะสงสารโศกนาฏกรรมของจินหยินที่พ่อไม่เคยรัก

และซาบซึ้งใจไปพร้อมกันที่เถียนซานอุทิศแล้วซึ่งชีวิตที่ให้กับจินหยิน

และมาเขินอายวาบหวาม ตอนที่ซื่อเยี่ยนเริ่มจีบเฟิงปิง ร้อนแรงน่าดู (เลิกซื่อบื้อซะที  :laugh:)

แต่


แต่

แต่ ตอนที่เป็นจุดพีคของเรื่องนี้ เราคาดไม่ถึงเลย ว่าจะเป็นตอนของพ่อของตัวเอกทั้งสอง

ก่อนหน้านั้นแอบรำคาญเว่ยชิง จะคั่งแค้นอะไรนักหนา

วันนี้กระจ่างแล้ว อ่านจบแล้วตะลึงและอึ้งไปสิบสี่ตลบ  :z3: เราคิดไว้แล้วว่า ลี่เหลียนคงไม่ทรยศฆ่าคนรักพี่ชายโดยไม่มีสาเหตุหรอก

ทุกอย่างเกิดขึ้นต้องมีเหตุผล แอบสังหรณ์ไว้แล้วเชียวว่าต้องเศร้า

แต่คาดไม่ถึงว่าจะจบลงแบบโศกนาฏกรรมขนาดนี้

นี่เป็นฉากโศกนาฏกรรมที่สุดของนิยายคุณที่เราเคยอ่านมาเลย

กับตัวละครที่โผล่มาแค่นิดเดียว แต่กระชากอารมณ์และทำให้เป็นที่จดจำไปนาน (อินหน่อยนะ  :monkeysad: ตอนลี่เหลียนสารภาพความในใจแล้วย่อหน้าถัดไปก็........  :o12:)

จังหวะที่ลี่เหลียนสารภาพความในใจ ที่ปิดไว้มาทั้งชีวิต

ยอมเป็นฝ่ายปฏิปักษ์ ยอมโดนเกลียดชัง และสุดท้าย ยอมจบชีวิตเพียงเพื่อให้พี่ชายที่ตัวเองรักหันมามมอง

เรานึกถึงเพลงนี้เลย มันขึ้นมาทันที  :o12: เศร้ามาก

เราชื่นชมตอนนี้นะว่าเขียนได้ดีมาก

แต่ก็ไม่อยากได้โศกนาฏกรรมอีกแล้ว  :m15:

http://www.youtube.com/v/A9LVrXis3ww


เจ้าไม้ขีดไฟ ก้านน้อยเดียวดาย
แอบรักดอกทานตะวัน
แรกแย้มยามบาน อวดแสงตะวัน
ช่างงดงามเกินจะเอ่ย

ดอกเหลืองอำพัน ไม่หันมามอง
แม้เหลียวมา ยังไม่เคย
ไม้ขีดเจ้าเอ๋ย เลยได้แต่ฝัน ข้างเดียว
ดอกไม้จะบาน และหันไปตาม
แต่แสงจากดวงอาทิตย์

จุดตัวเองก็ยอมทันใด ให้ลุกเป็นไฟ ขึ้นมา
เพียงปรารถนา ให้มีลำแสง สีทอง
จุดตัวเองก็ยอมทันใด ให้ลุกเป็นไฟขึ้นมา
เพียงปรารถนา ดอกทานตะวัน หันมอง
สักครั้ง


เจ้าไม้ขีดไฟ ก้านน้อยเดียวดาย
สาดแสงในใจ ไม่นาน
ดอกเหลืองอำพัน จึงหันมามอง
และพบเพียงกองเถ้าถ่าน

เจ้าไม้ขีดไฟ ก้านน้อยเดียวดาย
เพราะรักจริงใจ อย่างนั้น
เพียงแค่เธอหัน เพียงแค่เธอมอง ก็พอ
ดอกไม้จะบาน และหันไปตาม
แต่แสงจากดวงอาทิตย์


จุดตัวเอง ก็ยอมทันใด ให้ลุกเป็นไฟ ขึ้นมา
เพียงปรารถนา ให้มีลำแสง สีทอง
จุดตัวเอง ก็ยอมทันใด ให้ลุกเป็นไฟ ขึ้นมา
เพียงปรารถนา ดอกทานตะวัน หันมอง
สักครั้ง.....


 :o12:  :o12:  :o12: [ซับน้ำตาเบาๆ ก่อนกดรีเพลย์เพลง]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-12-2011 23:33:44 โดย silverspoon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ู^
ตอบคุณSilver.

ที่มาของคู่นี้ มาจากเพลงนี้ค่ะ (ใช่มั้ย?? เขียนนานแล้วชักจำไม่ได้?!)

แต่ว่าเคยวางแผนอยากเขียนอะไรเกี่ยวกับเพลงนี้อยู่เหมือนกัน อาจจะเป็นคู่นี้ก็ได้นะ (โห... สาบานนะว่าหล่อนเขียนนิยายเรื่องนี้เองน่ะ!!)

ขอบคุณที่ติดตามและเป็นกำลังใจนะคะ^^

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
***ลงต่อเนื่องเลยค่ะ วันนี้พอดีมีธุระต้องออกไปข้างนอก อัพให้แต่เช้าเลย

-----------------------------------

บทที่74 ครอบครัว

   “ไปเที่ยวบ้านผมมั้ย?”
   นี่คือคำพูดของฟ่งในระหว่างมื้ออาหารเย็นวานนี้ มันคือสาเหตุที่ทำให้รูฟัสมาอยู่ในรถแท็กซี่ โดยมีคนข้างห้องซึ่งตอนนี้กลายเป็นคนร่วมห้องไปแล้วนั่งอยู่ข้างๆ ฟ่งวางกระเป๋าเป้อำพรางมือที่กุมกันอยู่
รูฟัสรู้สึกชื้นใจขึ้นมามากที่ฟ่งนึกอยากมาหาครอบครัวเอง ในที่สุดฟ่งก็แสดงให้เขาเห็นถึงการพยายามจะแก้ไขปัญหา ไม่ใช่จมปลักอยู่กับความทุกข์อย่างที่ผ่านๆ มา ถึงฟ่งจะกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่เป็นอาทิตย์ แต่ถ้าคิดได้ กี่วันเขาก็จะรอ ที่สำคัญ รูฟัสอยากรู้พื้นเพของฟ่ง ฟ่งรู้ว่าเขาทำอาชีพอะไร มีประวัติยังไง แต่เขาไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับฟ่งเลย รู้แค่ว่าฟ่งทำงานเขียนแบบ มีพี่สาวคนหนึ่ง น้องชายคนหนึ่ง นี่อาจจะเป็นโอกาสที่รูฟัสจะได้รู้ ว่าฟ่งเขียนแบบยังไงกันแน่ ถึงได้มีคนจ้างไปออกแบบห้องนรกแตกพรรค์นั้น การได้ไปเยี่ยมบ้าน อาจทำให้เขารู้จักหนุ่มสวมแว่นคนนี้มากขึ้นก็ได้
   คงจะเข้าใจผู้ชายอ่อนไหวคนนี้ได้มากขึ้น
   ฟ่งบอกให้แท็กซี่จอดหน้าตึกแถวริมถนนใหญ่ ก่อนจะจ่ายสตางค์และเปิดประตูรถลงไป
   “นี่บ้านผม”
   สิ่งที่รูฟัสเห็นคือตึกแถวขนาดสามชั้น สองคูหา ดูเหมือนจะเปิดเป็นร้านขายอะไรสักอย่าง แต่เพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ประตูเหล็กม้วนก็เลยปิดสนิท และเขาก็อ่านป้ายหน้าร้านที่เป็นภาษาไทยไม่ออก ฟ่งยกมือกดออดแทนที่จะใช้โทรศัพท์ รูฟัสไม่รู้ว่าฟ่งกลัวจะถูกไล่กลับ หรือไม่อยากใช้โทรศัพท์ที่เขาซื้อให้กันแน่ เหมือนฟ่งจะบ่นๆ ว่ามันแพงเกินไป สักพักหนึ่งประตูเหล็กม้วนก็ถูกเลื่อนขึ้น
   “มาทำไม?”
   นั่นคือคำแรกที่ผิงทักเมื่อเห็นว่าผู้มากดออดเป็นใคร ท่าทีมึนตึงแบบนี้คงยังโกรธเรื่องเมื่อคราวที่แล้วอยู่ ฟ่งยิ้มแห้งๆ “มาหาหม๊า”
   ผู้เป็นพี่สาวกวาดตามองน้องชายขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะไล่สายตามองชายหนุ่มชาวต่างชาติด้านหลังอย่างสำรวจตรวจตรา ก่อนจะเค้นเสียงรอดไรฟัน “อย่าให้หม๊ารู้ล่ะ”
   ฟ่งและรูฟัสลอดประตูเหล็กม้วนเข้าไปด้านใน รูฟัสเงยมองไปรอบๆ ตัวบ้านที่มีชั้นวางของเต็มไปหมด เหมือนว่าบ้านฟ่งจะขายพวกเครื่องมือก่อสร้าง เหนือชั้นพวกนั้นไปหน่อยมีห้องเล็กๆ ที่สร้างยื่นออกมา ฟ่งเรียกมันว่าชั้นลอย ในตอนที่พารูฟัสเดินขึ้นบันไดไป ดูชายหนุ่มจะไม่กล้าพูดกับเขาบ่อยนัก คงกลัวพี่สาวจะเคืองมากขึ้นกว่าเดิม รูฟัสเดินผ่านสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นแท่นบูชาแบบของคนจีนที่วางเอาไว้ติดพื้น เอาไว้สักการะวิญญาณที่คุ้มครองบ้าน
   “ใครมาน่ะผิง?” ซุ่มเสียงของผู้หญิงวัยกลางๆ คนที่สำเนียงติดไปทางชาวจีนดังขึ้นในตอนที่ผิงเปิดประตูไม้ที่กั้นระหว่างบันไดกับตัวห้องเข้าไป หญิงสาวส่งเสียงตอบ
   “ฟ่งมากับเพื่อนน่ะหม๊า”
   ได้ยินเสียงอุทานอย่างดีใจ “ฟ่งมาเหรอ?”
   เสียงเคาะตะหลิวดังขึ้นมาจากส่วนด้านหลังของชั้นลอยซึ่งกั้นออกไปเป็นห้องครัว ฟ่งวางกระเป๋าเป้ เดินเข้าไปทันที เลยเหลือรูฟัสอยู่กับผิงด้านนอกสองคน
   “นั่งสิ” หญิงสาวกล่าว ท่าทีมึนตึงถูกส่งมาให้เขาด้วย รูฟัสพยายามจะยิ้มอย่างเป็นมิตรแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างโต๊ะกินข้าว
   “ขายวัสดุก่อสร้างหรือครับ?” ชายหนุ่มพยายามชวนคุยเพื่อทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น ผิงพิจารณาดูเขาพักหนึ่ง แล้วจึงยกเก้าอี้มานั่งตรงข้าม
   “...................”
   ปกติรูฟัสคุ้นเคยกับการถูกจ้องหน้า ทั้งที่จ้องเขาอย่างรักใคร่ จ้องอย่างจงเกลียดจงชัง หรือจ้องอย่างกับจะฆ่ากันให้ตาย แต่กับแววตาของพี่สาวฟ่งที่จ้องมา รูฟัสบอกไม่ได้ว่ายังไงกันแน่ ที่สำคัญเพราะเป็นพี่สาวของฟ่งนี่แหละ เขาถึงได้รู้สึกกระอั่กกระอ่วนใจ
   อย่างกับเด็กที่ถูกจับได้ว่าขโมยของแล้วอีกฝ่ายกำลังพิจารณาอยู่ว่าควรจะลงโทษยังไงดี
   เสียงถอนหายใจดังขึ้น ก่อนที่หญิงสาวจะลุกออกไปรินน้ำมายื่นให้เขา
   “ฟ่งอยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิด” หล่อนกล่าว ขณะที่รูฟัสจิบน้ำ ชายหนุ่มพยักหน้า พลางกวาดตามองรอบๆ ห้อง บ้านถูกจัดไว้เป็นระเบียบพอสมควร ถึงขนาดที่พอเทียบกับห้องฟ่งแล้ว ถึงแม้ดูข้าวของที่นี่จะมากกว่า แต่ก็เรียบร้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวพูดต่อ “คุณรู้จักน้องชายฉันได้ยังไง?”
   “ผมอยู่ข้างห้องเขา” รูฟัสตอบ นัยน์ตาสีดำน้ำตาลจ้องหน้าเขาอีกสักพัก ก่อนถอนหายใจ “เลิกยุ่งกับฟ่งได้ไหม”
   ผิงรู้ดีว่านี่เป็นคำพูดที่ไร้ความหมาย แต่หล่อนอยากจะบอกกล่าวให้ผู้ชายตรงหน้ารู้ ว่าหล่อนไม่พึงพอใจเลยกับสภาพที่เป็นอยู่
   “ฟ่งเป็นลูกชายคนโต เขาควรแต่งงานกับผู้หญิงสักคน มีลูกมีหลานเอาไว้สืบสกุล คุณเข้าใจรึเปล่า?”
   รูฟัสเกลียดจริงๆ กับการถูกตอกหน้าเรื่องนี้ ชายหนุ่มมีความอดทนดีกับทุกๆ เรื่อง ยกเว้นเสียแต่เรื่องที่เกี่ยวกับฟ่งเท่านั้น ถึงอย่างนั้นเขาก็พยายามทำใจให้เย็นและตอบออกไป
   “ผมทราบครับ แต่เรื่องบางเรื่องมันก็ห้ามกันไม่ได้หรอก”
   “ฟ่งเป็นเด็กอ่อนไหว.....” ผิงพูดค้าง แล้วเงียบไปพักหนึ่ง หล่อนมองดูผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าอีกรอบ และลดเสียงลงจนแทบจะเรียกว่าเป็นการขอร้อง “คุณปล่อยน้องชายฉันไปเถอะ”
   รูฟัสได้แต่ฝืนยิ้ม เรื่องของฟ่งทำเขาจุกเสียดที่หน้าอกมาโดยตลอดจริงๆ กระทั่งถึงตอนนี้ ก็ยังมีคนพยายามจะห้ามพวกเขาอยู่ รูฟัสตัดสินใจไม่กล่าวอะไร รอให้ฟ่งมายืนยันเอง ถ้าฟ่งหนักแน่น เขาก็ไม่มีอะไรจะต้องกลัว
   ฟ่งเดินหน้าบานออกมาจากครัว เป็นสีหน้าเบิกบานที่รูฟัสไม่เห็นมาเป็นเวลานานมาก จำได้ว่านี่เป็นสีหน้าที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ตั้งแต่รู้จักกับฟ่งมา ยังไม่เคยเห็นฟ่งทำหน้าสบายใจขนาดนี้เลย
ชายหนุ่มยิ้มกว้าง ขณะที่ในมือถือหม้อสแตนเลสหม้อใหญ่ที่มีควันลอยฟุ้งออกมา
   “ผมจะกินให้ท้องแตกเลย” ชายหนุ่มพูด ท่าทีมีความสุขของเขาทำให้บรรยากาศในห้องที่คุกรุ่นก่อนหน้านี้ดูบรรเทาลงไปบ้าง ผิงถึงกับอดไม่ได้ต้องเอ่ยปากออกมา “มีลาภปากจริงนะ มาถูกเวลาเชียว”
   ฟ่งหัวเราะ ขณะที่ได้ยินเสียงน้องชายตะโกนออกมา “เฮียฟ่ง ห้ามกินหมดนะ!”
   “โห เยอะขนาดเลี้ยงคนทั้งตำบลนี่ เฮียกินไม่หมดหรอก” ฟ่งว่า เขาวางหม้อลงบนโต๊ะกินข้าวที่เป็นไม้ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในครัวอีกรอบ รูฟัสอดไม่ได้ต้องยิ้มออกมา
   พอเห็นฟ่งมีความสุข เขาก็พลอยมีความสุขไปด้วย อย่างกับว่าหัวใจติดกันงั้นแหละ ความรักนี่มีแงมุมแบบแปลกๆ ให้ฉงนใจได้เสมอจริงๆ
   “คุณชอบน้องชายฉันจริงๆ?” ผิงเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ ดาเคยมาที่บ้าน และยิ้มให้ฟ่งแบบนี้เหมือนกัน ผิดแต่คราวนี้คนที่ยิ้มไม่ใช่หญิงสาวสวยน่ารักน่าถนอม แต่เป็นผู้ชายชาวต่างชาติร่างใหญ่ที่ก็หน้าตาดีอยู่หรอก ปัญหาคือเป็นผู้ชายนี่แหละ
   “ครับ” รูฟัสหันกลับมาและยังยิ้มอยู่โดยไม่ปิดบังอารมณ์ เขาตัดสินใจลองรุกเองบ้าง “ผมจีบเขามานานแล้วล่ะ”
   ผิงรีบโบกมือทันที “อย่าพูดตรงนี้” หล่อนกล่าวและดึงมือรูฟัสไปนั่งตรงห้องที่แบ่งไว้ด้านหน้าซึ่งติดกระจก คราวนี้สีหน้าของผิงขึงขังขึ้นกว่าเดิม “คุณจริงจังกับน้องชายฉัน?”
   รูฟัสพยักหน้า เขานั่งลงบนโซฟา และมองดูพี่สาวของฟ่งซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ดวงตาคู่เดิมมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์
   “คุณทำยังไงน่ะ น้องชายฉันไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อน คุณข่มขืนเค้ารึเปล่า?”
   เจอประโยคนี้เข้าไปรูฟัสถึงกับจุกไปอีกรอบ จะมีสักคนมั้ยที่ไม่กล่าวหาเขาแบบนี้เรื่องฟ่ง แต่เอาเถอะตอนนั้นก็เกือบจะถือได้ว่าขืนใจอยู่เหมือนกัน อืม... ที่จริงๆ แล้วก็เหมือนฟ่งมีใจให้เขาก่อนนี่นา
   “ผมไม่ได้ข่มขืนเขาหรอกครับ สาบานได้” ชายหนุ่มกล่าว พยายามตีหน้าซื่ออย่างที่สุด แต่ต่อให้เขาเป็นคนปัญญาอ่อน ทางนั้นก็ดูจะไม่เชื่ออยู่ดี สังเกตจากอาการตั้งแง่ที่มีมาแต่ต้น
   “แล้วไปทำอีท่าไหนน่ะ?” สาวเจ้ายังไม่เลิกที่จะค้นหาคำตอบ รูฟัสไม่อยากตอบ เขานึกสงสัยว่าผิงจะอยากรู้ไปทำไม แต่ขืนถามออกไปแบบนี้มีหวังจะไปจุดเชื้อปะทุเดิมให้ลุกหนักข้อเข้าไปอีกน่ะสิ เขาไม่อยากถูกไล่ตะเพิดในจังหวะที่ฟ่งดูมีความสุขแบบนี้ ชายหนุ่มปั้นหน้ายิ้มๆ แล้วตอบออกไป “เพราะน้องชายคุณน่ารักน่ะครับ”
   เป็นคำตอบที่ไม่ได้ตรงคำถามเลยสักนิด แต่หญิงสาวกลับพยักหน้า “ใช่ ฟ่งน่ารัก เพราะอย่างนั้นคุณน่าเลิกยุ่งกับเขานะ”
   ดูพี่สาวจะมีความภูมิใจกับน้องชายคนนี้อยู่เยอะจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ยิ้มออกมาตอนได้ยินคำชมหรอก แต่ก็แว้บเดียว หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าบึ้งตึงต่อ รูฟัสยังคงปั้นหน้าปั้นตา พยายามจะสร้างความประทับใจกับพี่สาวของว่าที่คู่ชีวิตของเขา ไม่สิ ฟ่งเป็นคู่ชีวิตเขาแล้วต่างหาก เหลือแค่ให้คนพวกนี้ยอมรับเท่านั้น
   “ผมรักน้องชายคุณจริงๆ นะครับ มันก็เหมือนผู้ชายกับผู้หญิงเวลาตกลงใจจะแต่งงานกันนั่นแหละ เพียงแต่ผมมีลูกไม่ได้”
   “มันจะเหมือนกันได้ยังไงล่ะ!” อีกฝ่ายกล่าว รูฟัสรู้สึกเหมือนเคยได้ยินประโยคแบบนี้ที่ไหนสักแห่ง เขานึกสงสัยจริงๆ ว่าความรักระหว่างเขากับฟ่ง ไม่เหมือนคนอื่นตรงไหน ก็แค่ร่างกายดันเหมือนกันไปหน่อยเท่านั้นเอง
   “คุณเป็นเกย์ แล้วจะมาเหมาว่าคนอื่นเป็นเกย์ไปด้วยไม่ได้หรอกนะ ฟ่งอาจจะยังสับสนอยู่ก็ได้”
    รูฟัสอยากจะให้ฟ่งมายืนยันต่อหน้าพี่สาวตอนนี้จริงๆ แต่จะว่าไป ฟ่งก็ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองเป็นเกย์มาก่อนเหมือนกัน ชายหนุ่มสะดุ้ง เขาปัดความคิดนี้ทิ้ง พลางนึกภาวนาว่าฟ่งคงมีวิธีอธิบายให้ญาติๆ เข้าใจได้ดีกว่าเขา แต่ครั้นตัวเขาเองจะเงียบไปเองก็ดูเหมือนยอมรับว่าทำผิดนั่นแหละ จึงพูดต่อ
   “น้องชายคุณไม่สับสนหรอกครับ ไม่อย่างนั้นเขาเลิกกับผมไปตั้งแต่วันที่คุณโกรธเขาแล้ว เขาเสียใจเรื่องคุณมาก”
   ผิงโบกมือทันที “ฉันรู้”
   มีหรือคนเป็นพี่สาวจะไม่รู้ ฟ่งที่ดูซูบซีดไปขนาดนั้น ถ้าไม่เพราะเสียใจจนกินอะไรไม่ลงคงจะหาสาเหตุอื่นไม่ได้อีก ตอนที่เห็นที่หน้าประตู ผิงใจหายวูบกับสภาพน้องชาย และรู้สึกปวดใจที่เห็นผู้ชายอีกคนที่ไม่ควรจะอยู่ในตำแหน่งนี้มาด้วย ฟ่งคงจริงจัง นั่นทำให้หล่อนปวดหัว ทั้งๆ ที่โมโหใส่ไปขนาดนั้น ทั้งๆ ที่เสียใจขนาดนั้น ก็ยังอุตส่าห์ยืนยันความคิดเดิม สำหรับคนเป็นพี่แล้ว แบบนี้ทำเอาพูดไม่ออกจริงๆ หล่อนจึงพยายามไล้เบี้ยกับอีกทางฟากหนึ่งแทน
   “นี่คุณ.......”
   “รูฟัสครับ” ชายหนุ่มตอบ หญิงสาวพยักหน้าอย่างไว้เชิงก่อนจะพูดต่อ
   “คุณทำงานอะไร เป็นคนที่ไหน มีที่ทำงานเป็นหลักเป็นแหล่งรึเปล่า คุณตรวจเลือดบ่อยมั้ย?”
   เจอคำถามแบบรัวปืนกลแบบนี้รูฟัสถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง ปกติเขาชินกับการถูกสาวๆ เลียบๆ เคียงๆ ถามเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว แต่นั่นเพราะพวกเธอต้องการจะจีบเขา แต่สำหรับกรณีนี้ เหมือนว่าพี่สาวฟ่งพยายามจะหาเรื่องจับผิดเขามากกว่า ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย ถึงฟ่งจะไม่ค่อยชอบ แต่ดูจากสถานการณ์แล้วเรื่องโกหกดูจะดีกว่าเรื่องจริงเป็นไหนๆ
   “ผมทำงานสอนภาษาครับ”
   อาชีพง่ายที่สุดสำหรับคนต่างชาติในประเทศนี้ และดูปลอดภัยไร้กังวลอีกด้วย
   “ก่อนหน้านี้ล่ะ คุณคงไม่ได้อยู่เมืองไทยมาแต่เกิดหรอก ใช่ไหม?”
   รูฟัสตัดสินใจตอแหลต่อไปทันที “ผมอยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิดแหละครับ แต่กลับไปอยู่กับพ่อตอนอายุได้สิบสี่ แล้วก็เพิ่งบินกลับมาที่นี่ เพราะแม่ผมท่านอยากจะจัดงานศพที่บ้านเกิดน่ะครับ ผมก็เลยถือโอกาสอยู่ยาวเสียเลย เพราะคุณพ่อท่านก็มีลูกหลายคน”
   ชายหนุ่มกล่าวและทำหน้าละห้อย ราวกับว่าตนเป็นลูกที่ไม่มีใครต้องการ ผิงมีท่าทีอ่อนลงนิดหน่อย
   “เสียใจกับเรื่องแม่ของคุณด้วยนะ ว่าแต่คุณเป็นลูกครึ่งเหรอ?”
   “ครับ แม่ผมเป็นคนไทย”
   นี่คือความจริงอย่างเดียวที่รูฟัสตอบได้อย่างภาคภูมิ ถึงเขาจะลืมเรื่องจริงตัวเองไปเยอะแล้ว ลืมกระทั่งชื่อจริงๆ แต่เขายังจำได้อยู่ว่าแม่เป็นคนยังไง เป็นคนชาติไหน ผิงมองเขาอีกรอบ
   “แล้วก่อนหน้านี้ตอนอยู่เมืองนอกคุณทำงานอะไรน่ะ? คุณไปอยู่ประเทศอะไร?”
   “อยู่อเมริกาน่ะครับ แต่พ่อผมเป็นคนเยอรมัน ผมเรียนจบมาก็ต้องคอยดูแลคุณแม่ที่ป่วยเป็นอัมพาตก็เลยไม่ค่อยได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่”
   รูฟัสพยายามทำหน้าสู้ชีวิต ชนิดที่ถึงชีวิตเขาจะรันทด แต่ก็ยังยิ้มอยู่ได้ ซึ่งชีวิตเขาก็รันทดจริงๆ เพียงแต่ไอ้ความรันทดที่เล่าออกไปมันไม่ตรงกับความจริงเท่านั้นเอง ผิงพยักหน้า ดูจะรู้สึกเห็นใจผู้ชายตรงหน้าอยู่บ้าง หน้าตาก็ดูไม่ได้ชั่วร้ายอะไรมากมาย หญิงสาวลดเสียงลง
   “พ่อคุณทำอะไรหรือ?”
   “ทำบริษัทจัดไฟแนนซ์น่ะครับ ” ชายหนุ่มตอบและตัดสินใจเพิ่มความน่าเชื่อถือของตัวเองเข้าไปอีก
   “ผมศึกษางานจากเขามานิดหน่อย สมัยที่ยังดูแลคุณแม่อยู่ผมหันเล่นหุ้นผ่านอินเตอร์เน็ตด้วยน่ะ”
   “เอ๋? เล่นผ่านอินเตอร์เน็ตได้ด้วยเหรอ?”
   อีกฝ่ายมีท่าทีสนใจทันที ตลอดชีวิต รูฟัสเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ มามาก ด้วยเหตุผลเพียงประการเดียว เพื่อเอาไว้ให้การโกหกของเขาแนบเนียนที่สุด รูฟัสรู้จักที่จะโกหกมาตั้งแต่สูญเสียครอบครัว การโกหกสำหรับเขาคือการพาชีวิตรอด โกหกพลาดก็เหมือนก้าวเท้าลงไปในหลุมบ่อแห่งความตายกว่าครึ่ง ดังนั้นที่รูฟัสรอดมาได้โดยตลอด สิ่งหนึ่งเพราะเขาโกหกเก่งนี่แหละ เก่งขนาดที่ใครก็ยากจะจับได้ เพราะการจะโกหกได้แนบเนียนที่สุด คือการหลอกตัวเองว่าเรื่องโกหกนั้นเป็นเรื่องจริงก่อน พอหลอกตัวเองได้สำเร็จ การหลอกคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องยาก
   ตอนนี้รูฟัสผันตัวเองเป็นนักเศรษฐศาตร์และนักธุรกิจทางการเงิน เขากำลังอธิบายวิธีเล่นหุ้นแบบง่ายๆ ให้หญิงสาวซึ่งเป็นพี่ของคนรักของเขาฟังอยู่อย่างเพลิดเพลิน ขออยู่ประการเดียว อย่าให้เธอไปถามไล่เบี้ยกับฟ่ง ว่าเขาทำอาชีพอะไรกันแน่
   รูฟัสลืมไปเลยว่าต้องตระเตรียมเรื่องนี้กับฟ่งก่อน
----------------------------------------
   “คุณคุยอะไรกับพี่สาวผมเนี่ย ท่าทางดูสนุกจัง” ฟ่งเอ่ยถามอย่างแปลกใจตอนที่เดินเข้ามาเรียกให้ทั้งคู่ออกไปกินข้าว รูฟัสยิ้มกว้าง ท่าทางดูสนุกสนานจริงๆ
   “ผมคุยเรื่องเล่นหุ้นน่ะ”
   แววตาของฟ่งปรากฏความสงสัยขึ้นมาแว้บหนึ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะยิ้ม
   “อ้อ” ฟ่งร้องเสียงยาว รูฟัสมองเขาอย่างขอความเห็นใจเงียบๆ เขารู้ว่าฟ่งไม่ชอบให้โกหก แต่คราวนี้เขาจำเป็นจริงๆ ร่างบางพยักหน้าเหมือนรับรู้ รูฟัสกลัวฟ่งจะเข้าใจเรื่องโกหกของเขาไม่ตรงกัน จึงแสร้งพูดออกไป อธิบายให้อีกฝ่ายได้รับรู้
   “แต่ผมไม่กลับไปเล่นหุ้นหรอกนะครับ ผมเป็นอาจารย์สอนภาษาแบบนี้ดีกว่า จะได้มีเวลาอยู่กับคุณเยอะๆ”
   ฟ่งรู้อยู่ก่อนว่ายังไงรูฟัสจะต้องโกหกแน่ๆ เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่ารูฟัสโกหกอะไรไว้กับพี่สาวเขาบ้าง จะได้ไม่ผิดคิวหากถูกถาม ซึ่งรูฟัสก็อธิบายกับเขาอย่างแนบเนียนจนน่ากลัว แต่ประโยคท้ายนี่ทำเอาฟ่งหน้าแดงขึ้นมานิดหน่อย จะโกหกก็โกหกสิ อย่าหยอดเรื่องแบบนี้เข้ามาได้ไหม ฟังแล้วมันน่าอายยังไงไม่รู้
   รูฟัสรู้สึกโลกสดใส ฟ่งไม่ทำหน้าขัดเขินให้เขาเห็นมาเป็นอาทิตย์แล้ว เห็นแบบนี้รูฟัสมีกำลังใจจะสู้ชีวิตต่ออีกเป็นกอง
--------------------------------------
   บนโต๊ะกินข้าว ฟ่งได้ตระหนักว่าคนข้างห้องของเขาช่างมีพรสวรรค์กับการทำให้คนไว้เนื้อเชื่อใจจริงๆ รูฟัสโกหกแนบเนียน ชนิดที่ถ้าไม่รู้กันมาก่อน ต่อให้สงสัยยังไงก็ต้องเชื่อโดยสนิทใจแน่ๆ ขนาดทำให้ฟ่งรู้สึกว่าถ้าเขาไม่ผ่านเหตุการณ์บ้าๆ ก่อนหน้านี้มา เขาคงเลิกไว้ใจผู้ชายคนนี้ไปเลย แต่สิ่งที่ฟ่งทำตอนนี้คือ เออออไปกับการโกหกนั่นด้วย
   ทำไงได้ล่ะ ก็ลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่
   มื้ออาหารผ่านไปอย่างเบิกบาน ฟ่งกับเล้งแย่งกันกินกระเพาะปลาหม้อใหญ่ที่ดูจะพอสำหรับสองพี่น้องเหลือเฟือ ขณะที่ผิงคุยกับรูฟัสอย่างกับลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้โกรธเคืองอะไรอยู่ โดยมีแม่นั่งมองอย่างมีความสุข
   แม่ของฟ่งเป็นหญิงร่างเล็ก อายุราวๆ ห้าสิบกว่าๆ ผมหยกสกมัดรวบไว้ด้านหลัง ดวงตาเรียว คิ้วปล่อยตามธรรมชาติ จะว่าไปแล้วฟ่งก็ได้เค้าแม่มาหลายส่วน ยกเว้นเรื่องตา ดูว่าแม่ของฟ่งจะมีนัยน์ตาเด็ดเดี่ยวแข็งแกร่งมากกว่าลูกชายเยอะทีเดียว ถึงอย่างนั้นก็ยังฉายแววโศกอยู่ลึกๆ คงเป็นธรรมดาของคนที่สูญเสียสามีไปและต้องเลี้ยงลูกทั้งสามคนมาโดยตัวคนเดียวตลอดล่ะมั้ง รูฟัสนับถือผู้หญิงแข็งแกร่งแบบนี้
   ขณะที่สามพี่น้องยกถ้วยชามไปล้าง รูฟัสก็มีโอกาสจะได้คุยกับแม่ของฟ่ง ดูเธออยากจะคุยกับเขาอยู่เหมือนกัน ไม่งั้นคงไม่เป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน
   “ลูกชายฉันเล่าเรื่องเธอให้ฟังแล้ว”
   สำเนียงยังคงติดไปทางชาวจีนอยู่มาก เหมือนฟ่งจะเคยเล่าให้เขาฟังว่าแม่กับพ่อเป็นคนจีน รูฟัสยิ้ม นี่ฟ่งเล่าเรื่องอะไรเกี่ยวกับเขาให้แม่ฟังล่ะนี่
   “คนหนุ่มๆ สมัยนี้หาน้ำใจยาก ขนาดอยู่บ้านติดกันบางทียังไม่พูดกันเลย” เธอพูดต่อ รูฟัสพอจะเดาได้ลางๆ ว่าฟ่งคงเล่าเรื่องสมัยตอนที่เจอกันใหม่ๆ
   “ผมก็แค่รู้สึกว่าต้องช่วยเท่านั้นแหละครับ”
   คนฟังพยักหน้า นัยน์ตาสีดำน้ำตาลมองดูเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ แต่ไม่ได้ตั้งแง่เหมือนลูกสาว
   “เธออายุเท่าไหร่แล้ว?”
   “ยี่สิบแปดครับ”
   จริงๆ เรื่องอายุรูฟัสก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ แต่คงไม่เคลื่อนจากนี้ไปมากหรอก บวกลบปีสองปีแค่นั้นเอง
   “มีแฟนหรือยัง?”
   “ครับ” ชายหนุ่มตอบออกไป และหวังว่าคงไม่ถึงกับต้องปั้นเรื่องแฟนผู้หญิงออกมาเป็นตัวเป็นตน เขาอยากตอบคำถามนี้ตรงๆ มากกว่า โชคดีที่แม่ของฟ่งไม่ถามเรื่องนั้นต่อ เธอกวาดตาดูเขาอีกรอบ และยิ้ม
   รูฟัสใจเต้น ยิ้มนั้นดูอ่อนโยนราวกับว่ามองเขาเป็นลูกแล้วก็ไม่ปาน ทำเอาชายหนุ่มอยากจะสารภาพออกไปเลยว่ากำลังคบกับลูกชายของแม่อยู่ ให้ทางนั้นจะยอมรับเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเสียเลย แต่ปัญหาคือถ้าสารภาพออกไปแล้ว จะกลายเป็นถูกไล่ตะเพิดแทนที่จะมองอย่างเอ็นดูแทนน่ะสิ
   เสียงออดที่ดังหยุดความคิดฟุ้งซ่านของรูฟัสเอาไว้ เมื่อผู้เป็นแม่ขอตัวลงไปดูบุคคลที่มาใหม่ด้านล่าง ชายหนุ่มถึงกับถอนหายใจออกมา ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยจริงจังกับใครมากขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าจะต้องถึงขั้นมาหาครอบครัวของอีกฝ่ายเพื่อปรับความเข้าใจ เรื่องการสู่ขอยิ่งไม่เคยมีอยู่ในความคิด
แต่ตอนนี้รูฟัสถึงขั้นคิดขึ้นมาอย่างจริงๆ จังๆ ว่าเขาจะต้องทำตัวให้ดีพอที่จะอ้าปากขอฟ่งมาเป็นคู่ชีวิตอย่างเต็มภาคภูมิให้ได้ มีอยู่เรื่องเดียวที่น่าหนักใจ แล้วเขาจะอยู่ในฐานะไหนกันแน่ ระหว่างลูกเขย กับลูกสะใภ้
   “ฟ่ง เล้ง มาช่วยหม๊าหน่อย มีของมาลง” ผู้เป็นแม่แง้มประตูเข้ามาและตะโกนเรียกลูกชาย สองพี่น้องรีบออกมาจากห้องครัวในภาพที่ยังเช็ดมือไม่ทันแห้ง รูฟัสถือโอกาสลุกตามไปด้วยทันที แม้จะรู้สึกว่ากำลังถูกน้องชายฟ่งเมินใส่อยู่บ้างก็เถอะ
   ของที่มาลงเป็นถังสี หนักเอาเรื่อง แม่ฟ่งบ่นอุบอิบว่าของมาส่งช้า แถมยังมาวันอาทิตย์คนงานก็หยุด คนส่งของเลยแก้ตัวว่าของออกมาช้าเพราะติดน้ำท่วม เข้ามาถึงได้ก็เลยรีบมาส่งเลย คนจ่ายเงินเลยไม่รู้จะบ่นอะไรต่อ
   รูฟัสเพิ่งรู้ว่าฟ่งแข็งแรงมากกว่าที่เขาคิด ไม่ก็เขาคิดไปเองว่าฟ่งบอบบาง ชายหนุ่มยกถังสีน้ำหนักราวๆ ยี่สิบกิโลกับผู้เป็นน้องชายอย่างแข็งขัน ราวกับว่ากำลังแข่งกันอยู่ รูฟัสหวนนึกถึงวันแรกที่ฟ่งพยายามดันลังใส่ของเข้าไปในห้อง อืม...แสดงว่าตอนนั้นเจ้าตัวขนสมบัติทั้งหมดนั่นขึ้นมาเอง แล้วมาหมดแรงเอาตอนจะใส่เข้าไปในห้องสินะ ได้ยินเสียงเล้งพูดแซวพี่ชาย
   “เฮียฟ่ง เฮียไม่ยกของหนักนานแล้วไม่ใช่เหรอ ระวังจะเดี้ยงอีกล่ะ”
   ฟ่งได้แต่หัวเราะ พลางหอบเหนื่อย จริงๆ แม่ของฟ่งบอกให้รูฟัสกลับขึ้นไปก่อน แต่เขาจะกลับขึ้นไปทั้งๆ ที่คนอื่นทำงานกันอยู่ได้ยังไงล่ะ สุดท้ายชายหนุ่มก็เลยเข้าไปช่วยขนถังสีด้วย
   “เออ ฝรั่งนี่แข็งแรงดีนะ”
   นั่นคือทำแรกที่เล้งพูดถึงเขา เมื่อเห็นคนที่เขาเจอในห้องนอนของพี่ชายหิ้วถังสีขนาดยี่สิบกว่ากิโลทีเดียวสองถังได้สบายๆ ขณะที่สองพี่น้องถังเดียวก็ยกกันแทนตาย รูฟัสทำหน้าแปลก ถังสีอย่างเก่งก็รวมกันก็ไม่น่าเกินห้าสิบกิโล ไอ้อย่างอื่นที่หนักกว่านี้เขายังยกโดยแทบไม่รู้สึกด้วยซ้ำ นัยน์ตาสีแปลกเหลือบมองคนรักอย่างไม่ตั้งใจ
   ฟ่งกำลังหอบ เม็ดเหงื่อไหลหยดเต็มใบหน้า เขายกแขนเสื้อขึ้นเช็ด รูฟัสนึกสงสัยรสนิยมของตัวเอง ก่อนหน้านี้ถ้าเป็นผู้ชาย เขาชอบเด็กหนุ่มๆ รูปร่างบางๆ คางมนๆ ตาโตๆ ปากแดงๆ เวลานอนด้วยแล้วรู้สึกเหมือนกำลังเล่นกับลูกแมวอยู่ แต่กับฟ่งที่เป็นหนุ่มเต็มที่ รูปร่างก็ไม่ได้อ้อนแอ้น ถึงจะผอมอยู่สักหน่อย ไหล่ก็ผึ่งผายแบบผู้ชายทั่วไป หน้าตาก็คมสันอยู่พอสมควร ไม่มีส่วนไหนเข้าข่ายสวย แถมยังหน้าซีดแทบจะตลอดเวลาอีกต่างหาก ไม่นับอาการซูบผอมที่เกิดจากการตรอมใจก่อนหน้า มิน่าใครๆ ถึงได้แปลกใจนัก เมื่อรู้ว่าฟ่งหน้าตายังไง
ชายหนุ่มยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจกับความคิดนี้ ช่างประไรล่ะ สเป็กเดิมเขาจะเป็นยังไงก็ช่าง ฟ่งจะหน้าตาไม่น่ารักในสายตาใครเขาไม่สน ในสายตาเขาตอนนี้ ฟ่งน่ารักที่สุด และคงจะดีถ้าคนอื่นไม่เห็นแบบที่เขาเห็น ปัญหาคือทำไมเขาถึงชอบเห็นใครต่อใครทำตาเยิ้มใส่ฟ่งทุกที รูฟัสสรุปเอาเองเลยว่า ฟ่งต้องน่ารักแน่ๆ
   เพราะมีรูฟัสมาช่วยยก เลยเหมือนมีคนงานจริงๆ เพิ่มมาอีกคนหนึ่ง ถังสีทั้งหมดจึงถูกนำไปวางไว้บนที่ของมันอย่างที่ควรจะเป็นในเวลาไม่นานเท่าไหร่ ฟ่งเดินมาช่วยเขายกถังสีถังสุดท้ายขึ้นชั้น ขณะที่ผู้เป็นแม่กำลังง่วนอยู่กับการลงบัญชี
   “เหนื่อยคุณเลย ขอบคุณนะ” ฟ่งเอ่ย เพราะอากาศที่ร้อนและการออกแรงทำให้หน้าของรูฟัสที่ปกติก็เป็นสีเลือดฝาดอย่างที่คนต่างชาติเป็นกันอยู่แล้วแดงหนักเข้าไปอีก ชายหนุ่มพยายามมองหาบางสิ่งบางอย่างเพื่อมาซับเหงื่อบนใบหน้าของอีกฝ่าย แล้วก็ต้องสะดุ้ง เมื่อผ้าเช็ดหน้าผืนบางสัมผัสกับใบหน้าของตน
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ”
   รูฟัสมองดูใบหน้าที่เขากำลังใช้ผ้าซับเหงื่ออย่างเอ็นดู สภาพของฟ่งดูจะแย่กว่าเขาอีก เหงื่อท่วมตัวไปหมด  หน้าที่ซูบเพราะอาการโศกเศร้าก่อนหน้านี้เลยยิ่งดูโทรมเข้าไปอีก ดูท่าทางฟ่งจะเป็นคนที่เลือดไม่ค่อยสูบฉีดเท่าไหร่ ทั้งที่ออกแรงไปมาก แถมอากาศยังร้อน แต่ใบหน้าของอีกฝ่ายยังไม่ค่อยมีสีเลือดเท่าไหร่เลย ความคิดของรูฟัสพลันเตลิดไปถึงตอนที่เขาต้อนฟ่งให้เขินจนหน้าแดง ตอนที่ร่างกายขาวๆ นี่กลายเป็นสีชมพูเรื่ออยู่ใต้ร่างของเขา หัวใจของฟ่งจะเต้นแรงขนาดไหนในตอนนั้น รูฟัสไล้สายตาลงบนใบหน้าที่เขากำลังซับเหงื่ออยู่อีกครั้ง และรู้สึกอยากจะจูบขึ้นมา เขาค่อยๆ โน้มใบหน้าลงไปอย่างลืมตัว
   “น้ำค่ะ!”
   น้ำเสียงที่เกือบเรียกได้ว่ากระชากดังขึ้น หยุดความคิดและการกระทำของรูฟัสไว้ได้อย่างถนัด ชายหนุ่มเบือนหน้ากลับมามองอย่างรู้สึกตัวก่อนจะยิ้มแห้งๆ ผิงยกแก้วน้ำยื่นให้เขา และอีกแก้วหนึ่งยื่นให้น้องชาย แน่นอนว่าสายตาไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ คงจะเห็นแล้วว่าเขากำลังจะทำอะไร
   “ห้ามทำอะไรแปลกๆ ให้หม๊าเห็นนะ!” หญิงสาวเค้นเสียงรอดไรฟัน ก่อนจะรับแก้วน้ำที่ดื่มแล้วจากทั้งคู่ และเดินกลับออกไป ได้ยินเสียงถอนหายใจ
   “เฮ้อ..เฮียฟ่ง เฮียเป็นแล้วจริงๆ ดิ?”
   เล้งยืนอยู่อีกฟาก เอามือประสานไว้ที่ท้ายทอย นับกันแล้วถึงฟ่งจะดูแข็งแรงกว่าที่เขาคิด แต่กับน้องชายที่หน้าคล้ายๆ กันแล้ว ดูจะแข็งแรงกว่าอีก อย่างน้อยๆ ก็ตัวใหญ่กว่าล่ะ รูฟัสทำหน้าแปลกๆ ในขณะที่ฟ่งหัวเราะแหะๆ เล้งขมวดคิ้ว และเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะเงยหน้ามองรูฟัสขึ้นๆ ลงๆ และไม่อำพรางสายตาปฏิปักษ์ รูฟัสได้แต่ฝืนยิ้ม
   “เฮียฟ่ง รสนิยมเฮียเปลี่ยนไปโคตรๆ” เล้งกล่าวและหันกลับมามองพี่ชาย ฟ่งหัวเราะต่อ
   “เอ่อ...มันก็ไม่เชิงอย่างนั้นหรอกนะ” ชายหนุ่มพยายามจะอธิบาย แต่ดูอีกฝ่ายไม่ได้อยากฟังเท่าไหร่ เพราะไม่ทันไรก็พูดแทรกออกมา
   “ไปหาขนมกินกันดีกว่า”
   พูดพลางสอดมือเข้าไปในแขนข้างหนึ่งของฟ่ง และดึงตัวเข้าไปในบ้านทันที ทิ้งให้รูฟัสยืนอึ้ง ลางสังหรณ์บางอย่างบอกชายหนุ่มว่าสงครามในรูปแบบแปลกๆ กำลังจะปะทุขึ้นในอีกไม่นาน
---------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   “ขอบใจเธอมากจริงๆ นะ อุตส่าห์มาเป็นเพื่อนฟ่งแล้วยังต้องมาลำบากแบกหามอีก” แม่ของฟ่งกล่าวด้วยสีหน้าเกรงอกเกรงใจ และออกปากให้รูฟัสอยู่ต่อเพื่อทานอาหารเย็น ฟ่งเลยถือโอกาสเสนอว่าจะค้างคืน เพราะถึงตอนนี้เขายังนึกไม่ออกว่าจะเริ่มพูดกับแม่เรื่องรูฟัสยังไงต่อ จะให้กลับไปเลยก็ใช่ที่ ซึ่งแม่ของฟ่งดูจะมีความสุขที่ลูกชายจะมาค้าง
   แน่นอนว่าการสละแรงกายทำให้รูฟัสดูน่าเอ็นดูในสายตาคุณแม่มาอีกเป็นกอง แต่ในสายตาของคุณพี่สาวและคุณน้องชาย ดูจะไม่ค่อยรื่นรมย์กับเขานัก ผิงน่ะยังไม่เท่าไหร่ เพราะถึงจะดูตึงๆ บ้างแต่ก็อยู่ในลักษณะปรามไม่ให้ทำอะไรล่อแหลม แต่เล้งนี่สิออกลวดลายอย่างกับจะยั่วโมโหเขาอย่างนั้นแหละ
   หลังจากทานอาหารเย็นและจัดการในครัวเสร็จ รูฟัสเตรียมตัวจะอาบน้ำ เนื่องจากเขาไม่ได้เตรียมตัวพักค้างมาก่อน จึงไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาผลัดเปลี่ยน ฟ่งลองรื้อๆ ในตู้เสื้อผ้าเดิมก็ดูจะไม่มีไซต์ที่เขาใส่ได้ สุดท้ายจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากน้องชายที่ตัวใหญ่กว่า
   “เล้งหาเสื้อให้พี่เขายืมหน่อยสิ”
   ผู้เป็นน้องชายพยักหน้าอย่างว่าง่าย ที่จริงฟ่งใช้ห้องร่วมกับน้องชายมาก่อน กระทั่งย้ายออกไปแล้วเล้งก็ยังใช้ตู้เสื้อผ้าอีกฟากหนึ่งอยู่ แล้วปล่อยตู้เดิมทิ้งเอาไว้พร้อมกับเสื้อผ้าบางส่วนของพี่ชาย แต่แทนที่เขาจะรื้อเสื้อผ้าในตู้ตัวเอง กลับเดินออกไปจากห้อง และสิ่งที่เขานำกลับมายื่นให้รูฟัสคือ ผ้าถุง โดยให้คำอธิบายว่า
   “ก็ผมดูแล้วคงไม่มีไซต์ให้เขาใส่หรอก ตัวใหญ่ขนาดนี้ ผ้าถุงนี่แหละ ใส่ได้สบายชัวร์”
   รูฟัสพยายามกดข่มอารมณ์ขุ่นเคืองเอาไว้สุดชีวิต ถึงเขาไม่ใช่คนไทยจริงๆ แล้วก็ไม่ได้อาศัยอยู่เมืองไทยมานานอย่างที่อ้าง แต่เขาก็ยังพอรู้ว่าผ้าถุงเอาไว้ให้ผู้หญิงใส่ ชายหนุ่มหันไปมองหน้าฟ่งอย่างขอความเห็นใจที่สุด ฟ่งยกมือขึ้นเกาศีรษะ ไม่พูดอะไร แต่ถือวิสาสะเปิดตู้น้องชายแล้วหยิบเสื้อตัวใหญ่ตัวหนึ่งออกมา พร้อมกับกางเกงเลสีฟ้าอีกตัวหนึ่ง รูฟัสค่อยรู้สึกโล่ง ขณะที่เล้งมีสีหน้าบึ้งตึง เดินเอาผ้าถุงไปเก็บ
   แน่นอนว่ารูฟัสตั้งใจจะอาบน้ำคนเดียวแต่แรก เขาไม่บ้าพอจะชวนฟ่งไปอาบด้วยในสถานการณ์และสถานที่แบบนี้ แต่ทันทีที่เล้งกลับเข้ามา สิ่งที่เด็กหนุ่มพูดคือ
   “อาบน้ำกันเฮียฟ่ง”
   ฟ่งพยักหน้าและพูดตอบ “อืม เล้งไปอาบก่อนสิ อาบห้องด้านบนก็ได้”
   เด็กหนุ่มสั่นศีรษะทันที “ไม่ๆ แบบนั้นเสียเวลา เฮียอาบกับผมนี่แหละ แล้วให้เพื่อนเฮียอาบห้องข้างล่าง”
   ไม่พูดเปล่าเหลือบตามามองคนด้านหลังอย่างเยาะเย้ย ฟ่งพยักหน้าอย่างพาซื่อ ขณะที่รูฟัสรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกประกาศสงครามซึ่งๆ หน้า
-------------------------------------
   ฟ่งถอดเสื้อผ้าออกหมดแล้วในตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตู ชายหนุ่มจึงแง้มมันออกไปและพบกับใบหน้าคุ้นเคยในสภาพขอความช่วยเหลือ
   “ผมใช้ขันอาบน้ำไม่เป็น” รูฟัสพูดออกมา สีหน้าดูเป็นทุกข์มากจนฟ่งอดขำไม่ได้ ลืมไปว่าเมืองนอกปกติมีแต่ฝักบัว แถมที่คอนโดฯก็เป็นฝักบัว ขณะที่ฟ่งกำลังนึกว่าจะสอนรูฟัสยังไงเรื่องใช้ขัน ชายหนุ่มก็รีบพูดแทรก “คุณช่วยผมหน่อยได้ไหม?”
   ฟ่งขมวดคิ้วใคร่ครวญอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “อืม อาบด้านบนนี่ก็ได้ มีฝักบัวอยู่ คุณรอพวกผมอาบเสร็จก่อน”
   “ผมอาบด้วยเลยก็ได้”
   โดยไม่รอให้เจ้าตัวตอบตกลงหรือปฏิเสธ รูฟัสแทรกตัวเข้ามาทันที ฟ่งได้แต่ยืนอึ้งๆ ก่อนจะตอบอย่างไม่รู้จะทำยังไง
   “เออ ก็ได้”
   ความจริงถึงรูฟัสเกิดในเมืองหนาว แต่ชีวิตโชกโชนของเขา กะอีแค่เอาขันตักน้ำอาบไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่เป็น แต่รูฟัสนึกหงุดหงิดที่ฟ่งอาบน้ำกับคนอื่น ถึงจะเป็นน้องชายแท้ๆ ก็เถอะ ใครใช้ให้ทำหน้ากวนประสาทเขาแบบนั้นกันล่ะ ในเมื่อคิดจะทำสงครามกัน เขาก็จะเป็นคู่ต่อสู้ให้อย่างสมน้ำสมเนื้อเลย
   เล้งยืนแก้ผ้าอล่างฉ่างบ่งบอกความสนิทชิดเชื้อของตัวเองกับพี่ชายเต็มที่ และไม่มีสีหน้าตกใจแม้แต่น้อยเมื่อเห็นผู้ไม่ได้รับเชิญพรวดเข้ามา หนำซ้ำดูจะท้าทายอยู่อีกด้วย รูฟัสถอดผ้าเช็ดตัวออกอย่างไม่เกรงใจเช่นกัน ถ้าจะประชันรูปร่างกันล่ะก็ รูฟัสมั่นใจไม่แพ้ใคร แต่ปัญหาคือ ฟ่งคงไม่มีอารมณ์กับรูปร่างน้องชาย และก็ไม่เคยแสดงให้เห็นว่าพึงใจกับรูปร่างของเขาด้วย ดังนั้น การประชันของทั้งสองฝ่ายในสายตาฟ่งไม่ได้มีค่าอะไรเลย ชายหนุ่มเดินมาที่ขอบอ่างน้ำที่ก่อปูนขึ้นมาเป็นรูปสี่เหลี่ยมเพื่อใส่น้ำ และหยิบขันตันขึ้นมาตักน้ำราดตัวเอง เจอเข้าไปแบบนี้ฝ่ายที่ประกาศสงครามกันอย่างเงียบๆ ต้องรีบเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่ เล้งปราดเข้าไปหาพี่ชายโดยจงใจจะเบียดอีกฝ่ายออก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย
   “เฮียฟ่ง เฮียขยับมาอาบตรงนี้ดีกว่า เพื่อนเฮียจะได้ใช้ฝักบัว”
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมา ใช้มือปาดน้ำออกจากตา ก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย หยดน้ำที่เกาะอยู่ตามร่างกายและไหลเป็นทางยิ่งทำให้ดูเซ็กซี่อย่างประหลาด แต่ตอนนี้รูฟัสไม่มีกะใจจะรู้สึกอะไรทำนองนั้น เมื่อฟ่งขยับไปทางน้องชาย และบอกให้เขาเข้าไปใช้ฝักบัว สิ่งที่เล้งทำต่อคือเบียดเข้าไปอาบน้ำใกล้พี่ชายอย่างจงใจ ชนิดที่ต่อให้คนที่ไม่คิดอะไรก็คงต้องคิดมาก พี่น้องโลกไหนอาบน้ำกันอย่างกับจะโอบแบบนั้น ชายหนุ่มพยายามจะหาข้ออ้างเรียกร้องความสนใจบ้าง แต่ยังนึกไม่ออก มือแกร่งเลื่อนไปจับหัวก๊อกฝักบัว
   “ฟ่ง ก๊อกฝักบัวคุณรั่ว” รูฟัสพูดอย่างตกใจ ฟ่งยังไม่ทันจะตักน้ำขันที่สองต้องหันมาและพบว่าหัวก๊อกฝักบัวหลุดติดอยู่กับมือของอีกฝ่าย รูฟัสพยายามยัดมันกลับที่เดิมอย่างน่าสงสาร น้ำที่พุ่งออกมาจากท่อเปียกร่างเขาไปหมด ฟ่งเลยต้องรีบเข้าไปช่วย
   เล้งอึ้งอยู่พักใหญ่ เขาจำได้ว่าก๊อกฝักบัวนั่นสภาพดี นี่คนที่พี่ชายพามาเป็นยักษ์เป็นมารหรือไงนะ เมื่อเห็นว่ารูฟัสเริ่มลามปามเบียดกระแซะพี่ชายของเขาอย่างจงใจ เล้งก็คิดว่าเขาควรจะทำอะไรซักอย่าง
   น้ำหยุดฉีดเมื่อเด็กหนุ่มเดินเข้ามาปิดวาล์วก๊อกน้ำที่อยู่เยื้องไปตรงผนัง ฟ่งพูดขอบใจไปทันที พลางนึกสงสัยว่าก๊อกน้ำมันพังได้อย่างไร
   รูฟัสนึกขอโทษอยู่ในใจตอนแรก เขาตั้งใจว่าจะซื้อก๊อกอันใหม่มาชดใช้ให้ตอนหลัง ด้วยเพราะนึกหาข้ออ้างไม่ออก เลยจงใจบิดก๊อกเดิมจนพัง ฟ่งเข้ามาช่วยอย่างไม่รอช้า ความจริงรูฟัสอยากอยู่แบบนี้นานๆ อีกสักหน่อย แต่เจ้ามารน้อยนี่ก็เข้ามาขวางจนได้
   “อาบน้ำกับขันแล้วกัน เดี๋ยวผมสอนคุณอาบ”
   ฟ่งพูดในที่สุด หนุ่มนัยน์ตาสีแปลกอาศัยจังหวะที่ฟ่งยื่นขันน้ำมาให้เขายิ้มอย่างผู้ได้รับชัยชนะ เล้งไม่แสดงสีหน้าตอบ แต่เดินงุดๆ ไปหยิบขันอีกลูกขึ้นมา แล้วทำหล่น จนพี่ชายของหันไปมอง
   “เป็นอะไรน่ะ?”
   “เจ็บมืออะ” เด็กหนุ่มตอบ และลูบมือป้อยๆ “สงสัยตอนบิดก๊อกตะกี้มันผิดท่าไปหน่อย”
   ฟ่งขมวดคิ้ว พลางคิดว่าทำไมการอาบน้ำหนนี้มันถึงดูวุ่นวายแปลกๆ เขาเดินไปหยิบขันที่หล่น แล้วถามน้องชายซ้ำ
   “ถือขันไม่ไหว?”
   “อือ ก็ลองแล้ว” เล้งตอบ ฟ่งพยักหน้า และถอนหายใจ “งั้นสองคนยืนด้วยกันแล้วกัน เดี๋ยวจะอาบให้”
   วิธีการของฟ่งสงบสงครามประสาทได้ชะงัก สองคนยืนเรียบร้อยรอให้เขาตักน้ำอาบ คนดูนึกเหนื่อยใจ เจ้าพวกนี้ตัวเล็กๆ กันที่ไหน กว่าสองคนจะอาบน้ำเสร็จ ฟ่งก็รู้สึกว่าตัวเองต้องอาบน้ำซ้ำอีกรอบ เพราะตัวเขาเริ่มมีเหงื่ออีกแล้ว จะว่าไปเขาเองยังไม่ได้เริ่มอาบด้วยซ้ำ ฟ่งบอกให้สองคนที่กำลังเช็ดตัวขยับหลบ เพราะเขาจะอาบน้ำบ้างแล้ว ขณะที่กำลังถูสบู่ เสียงของเล้งก็ดังขึ้น
   “เฮีย ผมขัดหลังให้นะ”
   ไม่รอให้อนุญาต เด็กหนุ่มคว้าสบู่อีกก้อนถูไปบนแผ่นหลังขาวๆ ของฟ่งทันที ฟ่งส่งเสียงอืมในลำคออย่างขอบใจ รูฟัสหูอื้อ นึกหาวิธีเข้าไปแทรก แต่จนฟ่งอาบน้ำเสร็จเขาก็ยังไม่ได้ทำอะไร จนฟ่งเดินมาจะหยิบผ้าเช็ดตัวนั่นแหละ
   “ผมเช็ดตัวให้” รูฟัสพูดเร็วปรื๋ออย่างกับกลัวจะถูกแย่ง ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่คลุมลงบนศีรษะของอีกฝ่าย ฟ่งหัวเราะคิกคักเมื่อถูกเช็ดที่หู คราวนี้เล้งเลยต้องเป็นฝ่ายเงียบไปบ้าง
   แม้จะมีเหตุแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ฟ่งก็รู้สึกสบายดีทีเดียวที่มีทั้งคนถูหลังทั้งคนเช็ดตัวให้ ชายหนุ่มเดินออกจากห้องน้ำอย่างอารมณ์ดี พลางนึกว่ารูฟัสกับน้องชายของเขาเข้ากันได้ดีกว่าที่คาด ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ด้านหลังของเขา ทั้งคู่ทำหน้ามึนตึงใส่กันอยู่
-------------------------------------
   รูฟัสไม่เคยคิดมาก่อนตลอดชีวิต ว่าวันหนึ่งเขาต้องมานั่งทำสงครามประสาทกับเด็กที่อายุน้อยกว่าเป็นสิบปี แถมยังเป็นน้องชายของคนที่เขาชอบอีก ดูเหมือนอะไรๆ ในตัวเขาจะเปลี่ยนไปมากตั้งแต่มุ่งมั่นตั้งใจจะคว้าความรักเอาไว้ เขากลายเป็นคนขี้หึงและขี้อิจฉาไปแล้ว นี่ถ้าพวกราฟาแอลและชานดอร์รู้คงหัวเราะกันจนตายไปข้างแน่ๆ
   เพราะฟ่งไม่ชอบดูละครหลังข่าวที่แม่และพี่สาวติดงอมแงม เจ้าตัวเลยขึ้นมาบนห้องก่อน รูฟัสตามขึ้นมาติดๆ โดยมีเล้งเดินตามหลัง ตอนที่เดินเข้ามาในห้อง รูฟัสถือโอกาสถามเกี่ยวกับรูปวาดที่อยู่บนผนัง
   “นั่นคุณวาดเหรอ?”
   รูปวาดบนกระดาษขาวที่แปะแบบจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่อยู่บนผนังด้านหนึ่งของห้อง วาดด้วยดินสอหรือปากกาสีเข้ม เป็นรูปทรงเรขาคณิตซ้อนทับกันจนแปลกตา ฟ่งพยักหน้า ขณะที่รูฟัสรู้สึกคุ้นตาแปลกๆ
   “ผมวาดตอนอยู่มัธยมปลาย มันเป็นรูปเขาวงกต คล้ายๆ ที่ผมเขียนให้คุณทวีศักดิ์นั่นแหละ แต่งานนั้นมันเป็นจริงเป็นจังมากกว่า” ฟ่งอธิบายอย่างภาคภูมิใจ ขณะที่รูฟัสแทบจะเอามือกุมหัว
   “คุณบอกว่า เขียนไอ้ของแบบนี้ตั้งแต่อยู่มัธยมหรือครับ?”
   มัธยมคงราวๆ สักอายุสิบกว่าๆ รูฟัสหันมองฟ่งที่กำลังพยักหน้าอีกครั้ง ได้ยินเสียงเล้งพูดแทรก
   “เฮียฟ่งไม่เคยวาดอะไรธรรมดาเหมือนคนอื่นเขาหรอก ผมเคยเห็นเฮียวาดลูกบอลแล้วบอกว่าเป็นห้องด้วย”
   “อ้อ..ไอ้ห้องกลิ้งได้นั่น” ฟ่งพูดเหมือนนึกได้ ตาเป็นประกาย เดินไปดึงม้วนกระดาษอะไรที่วางอยู่มุมห้องออกมา เล้งพูดขึ้นทันที
   “เฮีย รื้อแล้วเก็บด้วยนะ!!”
    “อือๆ” ฟ่งส่งเสียงงืมงำในคอ แล้วคลี่กระดาษออก หยิบแผ่นหนึ่งออกมา
   “รูฟัส ผมอยากทำห้องแบบนี้”
   สิ่งที่รูฟัสเห็นบนแผ่นกระดาษคือลูกบอลทรงกลมที่มีฟอร์นิเจอร์รูปทรงโค้งรับกับทรงอยู่ด้านใน ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งว่างเปล่า ฟ่งอธิบายต่อ
   “คุณเคยเห็นลูกบอลใส่น้ำครึ่งหนึ่งมั้ย? ผมทำเครื่องเรือนอยู่บนพื้นที่ลอยน้ำได้ ใส่น้ำลงไปในพื้นโล่งๆ นี่ คุณอยากจะกลิ้งห้องไปไหนก็ได้ รับรองว่าคนในห้องจะไม่รู้สึกอะไรเลย”
   รูฟัสคิดว่าเขาคนหนึ่งล่ะที่รู้สึก อย่างน้อยการได้เห็นห้องแบบนี้ก็รู้สึกแปลกแล้วล่ะ เขามองฟ่งด้วยความพิศวง ก่อนจะเห็นฟ่งหยิบกระดาษมาอีกแผ่นหนึ่ง
   “อันนี้ห้องที่เป็นแบบรูบิกคิว เหมือนในหนังไง คุณเคยดูรึเปล่า?”
   รูฟัสสั่นศีรษะทันที ก่อนจะพูดขึ้น “นี่คุณวาดเล่นหรือครับ?”
   อีกฝ่ายสั่นศีรษะ “ผมวาดส่งอาจารย์นะ แต่มันประหลาดเกินไป เขาเลยให้ผมเอากลับมาแก้”
   รูฟัสนึกเห็นด้วยทันที นอกจากจะประหลาดแล้ว ยังใช้สอยแบบปกติไม่ได้อีกด้วย เขาถามออกไปอีก “ฟ่งครับ งานของคุณเนี่ย เป็นแบบนี้หมดเลยเหรอ?”
   คนถูกถามสั่นศีรษะ แต่น้องชายกลับพูดขึ้นมาแทน “งานปกติธรรมดาก็มี” เขาว่า และเปิดลิ้นชักตัวเอง หยิบกระดาษออกมาใบหนึ่ง
   “นี่รูปผมตอนอายุสิบห้า เฮียวาดให้”
   ลายเส้นเรียบๆ ไม่ลงสีลงเงาแต่ให้ความรู้สึกพลิ้วอยู่ในตัว เป็นรูปเหมือนกึ่งๆ เหนือจริงเล็กน้อยที่ยังพอดูรู้เรื่องอยู่ รูฟัสนึกประท้วงทันทีว่านี่ดูเหมือนฟ่งมากกว่า แต่ตอนนั้นเด็กอายุสิบห้าคงยังไม่จะกำยำล่ำสันอย่างตอนอายุหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้หรอก เหมือนเล้งน่าจะอายุสักสิบเจ็ดสิบแปดแล้ว
   “แต่ถ้าเฮียฟ่งวาดตัวเอง มันจะเป็นแบบนี้”
   เส้นอะไรสักอย่างดูยุ่งวุ่นวายไปหมดเลื้อยอยู่บนกระดาษที่เล้งหยิบออกมา ฟ่งเลยต้องอธิบายเพิ่ม
   “อืม... รูปนั้นผมได้อิทธิพลจากดาลี..ศิลปินนะครับ คุณต้องถอยออกมาอีกหน่อย ถึงจะเห็นว่าเป็นรูปอะไร”
   รูฟัสทดลองขยับออกมาอีก และต้องขมวดคิ้ว “คุณวาดแว่นตา?”
   “เอ้อ ใช่ คุณเดาถูก” ฟ่งพูดและยิ้มกว้าง เล้งพยักหน้าและพูดแทรก
   “ชีวิตเฮียฟ่งขาดแว่นตาคงขาดใจ”
   “ก็เฮียสายตาสั้น” ฟ่งสวนทันที รูฟัสเข้าใจในข้อนี้ ชายหนุ่มสูดหายใจลึก เขารู้แล้วว่าฟ่งเป็นคนคิดอะไรพิสดารมาแต่กำเนิด ชายหนุ่มไม่อยากดูของแปลกๆ อีก เขาหันไปเห็นรูปถ่ายวางอยู่บนโต๊ะ เลยเปลี่ยนเรื่อง
   “บนโต๊ะนั่น รูปคุณเหรอ?” ชายหนุ่มกลั้นใจถาม เพราะคนในรูปไม่ได้ใส่แว่น เผลอๆ อาจจะเป็นรูปน้องชายตัวแสบก็ได้ แถมตัดผมเสียสั้น แต่ดวงตาเศร้าๆ นั้นทำให้รูฟัสเอ่ยทักออกไป
   “เห?” ฟ่งส่งเสียงอย่างแปลกใจ ก่อนจะวางกระดาษลง เดินเข้ามา “อ้อ.. เล้งเอามาวางไว้เหรอ?”
   น้องชายพยักหน้า และพูดต่อ “ก็ตอนจัดห้องเห็นมันหล่นอยู่ หาอัลบั้มใส่ไม่เจอ ไม่รู้เฮียใส่เอาไว้ในไหน”
   “เฮียอัดเอาไว้ให้ดา” ฟ่งพูด เสียงครึ่งหนึ่งหายไปในคอ พอพูดถึงดาทำไมถึงรู้สึกน้ำลายฝืดขึ้นมาทุกทีก็ไม่รู้ รูฟัสรีบฉวยโอกาสนั้นพูดขึ้นบ้าง “งั้นผมขอนะ”
   ฟ่งที่กำลังหยิบรูปขึ้นมาดูหันมามองเขาทันที ชายหนุ่มพูดต่อ “ผมยังไม่เคยเห็นรูปคุณตอนเด็กๆ เลย”
   ฟ่งส่งเสียงในลำคอ ก่อนจะหันไปถามน้องชายเรื่องที่เก็บรูป เล้งดูลังเลพักหนึ่ง แต่ก็ยอมจะดึงลิ้นชักอีกตัวที่อยู่ข้างโต๊ะออกมา หยิบอัลบั้มรูปออกมาสองสามอัลบัม แน่นอนว่าเกือบทุกรูปเป็นรูปถ่ายคู่ ไม่ก็ถ่ายกันสามคน แต่ก็ทำให้รูฟัสแน่ใจว่าฟ่งน่ารักจริงๆ ตอนนี้ก็น่ารัก ตอนเด็กๆ ยิ่งน่ารัก เหมือนฟ่งจะเริ่มใส่แว่นตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ ตอนอายุสิบสี่สิบห้าหน้าตากำลังใสได้ที่
รูปถ่ายที่ดูจะมีรอยยิ้มอย่างมีความสุขนั้นทำให้เขาอดรู้สึกผิดไม่ได้ นี่เขากำลังพรากฟ่งออกมาจากครอบครัวที่มีความสุข รูฟัสคิดว่าเขายิ่งต้องแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถดูแลให้ฟ่งมีความสุขได้เช่นเดียวกัน ปัญหาคือไม่รู้ว่าครอบครัวของฟ่งจะต้อนรับเขาที่เป็นผู้ชายรึเปล่าน่ะสิ ไม่รู้มาก่อนเลยว่าการที่รักเพศเดียวกันมันลำบากลำบนมากมายขนาดนี้ คงเพราะเขาใช้ชีวิตปล่อยตัวแถมยังอยู่ในโลกคนละแบบกับฟ่งล่ะมั้ง
   เล้งพยายามขวางการดูรูปถ่ายอย่างเต็มที่ เรียกว่าถ้าไม่เกรงใจฟ่ง คงดึงอัลบั้มรูปออกจากมือเขาไปแล้ว แถมยังแย่งพูดเกือบหมด หนุ่มตาสองสีตัดสินใจสู้ศึกครั้งนี้ด้วยกันนั่งเงียบๆ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เวลาเห็นรูปน่ารักๆ เดี๋ยวฟ่งก็จะทำหน้าแดงแล้วอธิบายให้เขาฟังเองแหละ ขณะที่กำลังดูรูปถ่ายและทำสงครามประสาทกันอยู่ ผิงก็เปิดประตูเข้ามา
   “เล้ง ลงไปข้างล่างหน่อยสิ หม๊าเรียก”
   เล้งทำท่าจะถามว่าเรียกทำไม แต่พอเห็นหน้าตาจริงจังของพี่สาวเลยต้องออกไปจากห้องโดยไม่เอ่ยถาม ก่อนออกจากห้องผิงหันมาสำทับ “ห้ามทำอะไรบ้าๆ กันนะ”
   “ครับ” ฟ่งกับรูฟัสพูดแทบจะพร้อมกัน ฝ่ายนั้นมองอย่างไม่ไว้ใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยอมออกไปในที่สุด ฟ่งถอนหายใจออกมา
   “รูฟัส ขอโทษนะ ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าจะเริ่มยังไง”
   รูฟัสยิ้มให้ร่างที่นั่งตรงข้าม เขาอยากกอดฟ่งใจจะขาด แต่เมื่อสัญญาไว้แล้วว่าจะไม่ทำอะไรรุ่มร่าม เขาก็จะอดทนให้ถึงที่สุด เผื่อครอบครัวของฟ่งจะใจอ่อนยอมรับเขาเข้าบ้าน
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ค่อยๆ คิด จะให้ผมช่วยพูดด้วยไหม?”
   ฟ่งนิ่งคิดไปพักหนึ่ง และสั่นศีรษะ “ผมพูดเองดีกว่า จริงๆ ผมก็ลองเล่าเรื่องคุณคร่าวๆ ให้แม่ผมฟังแล้วล่ะ แต่ยังไม่รู้ว่าจะต้องพูดยังไงให้แม่ไม่เสียใจมาก ผมไม่เคยมีเรื่องแบบนี้ด้วยสิ”
   รูฟัสยกมือขึ้นตบไหล่ฟ่งเบาๆ “ช่วยกันคิดเถอะครับ ยังไงคุณสองคนก็เป็นแม่ลูกกัน ถ้าคุณตัดสินใจดีแล้ว ท่านก็คงเข้าใจคุณแหละ”
   ฟ่งพยักหน้า ก่อนจะเงยขึ้นมายิ้มเศร้าๆ “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิ ผมอยากอยู่กับคุณ”
   รูฟัสมองลงไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น รู้สึกเต็มตื้นอยู่ในหัวใจ เหมือนรับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ผ่านสายตา ชายหนุ่มจับมือของอีกฝ่ายขึ้นมา จูบลงไปเบาๆ
   ไม่มีคำพูดใด ฟ่งมองรูฟัสด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่าง ที่แน่ๆ คือเขารักผู้ชายคนนี้ รักจนปวดหัวใจไปหมด รักจนอยากอยู่ข้างๆ ไปเรื่อยๆ ถ้าได้อยู่กับผู้ชายคนนี้ตลอดไปก็คงดี
   “ฟ่ง ลงไปข้างล่างหน่อย คุณด้วย”
   ผิงเปิดประตูเข้ามาหลังจากนั้นไม่นาน สองคนหันมองหน้ากัน
-------------------------------------------
**จริงๆ เราอยากบอกว่า รูฟัสเป็นพระเอกที่เราชอบมากที่สุดเลยล่ะ เป็นผู้ชายประเภทที่น่ารักน่าตบจริงๆ

(แน่นอนว่าถ้าไม่ได้รักเดียวใจเดียวกับฟ่ง คงไม่เหลือข้อดีอะไรเอาไว้ให้พูดถึงอีกแล้วนะเนี่ย เพราะพ่อคุณเป็นสุดยอดนักต้มตุ๋น โกหกตอแหลได้ทุกเรื่องจริงๆ)

ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ^^

ปล.ร่างปกเล่ม0ซึ่งเป็นเล่มพิเศษเสร็จแล้ว แบบว่า น่ารักเวอร์ ฮ่าๆๆๆๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






jelatin99

  • บุคคลทั่วไป
อาซื่อเนี่ยน้าา~สมชื่อจริงๆให้ดิ้นตาย!ว่าแต่จินหยิ่นจะกลับมามั้ยอ่ะ รอลุ้นตอนต่อไป(เว่ยชิงจะมีจุดจบยังไง)ขอบคุณคนแต่งคร๊าบบบ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog

บทที่75 Love feeling.

   เกือบสามสัปดาห์แล้ว ที่วรุตต้องหัวหมุนอยู่กับธุรกิจของผู้เป็นพ่อ เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อของเขาถึงได้เลิกงานพวกนี้ไม่ได้สักที  งานสกปรกจะเลิกไม่ใช่ว่าเลิกได้ง่ายๆ วรุตเริ่มต้องมีบอดีการ์ด เริ่มต้องใช้คนขับรถ หากไม่มีรัตน์และอิทธิเดชคอยให้คำปรึกษาและกำลังใจ เขาคงจะหนีไปจากงานแบบนี้ให้รู้แล้วรู้รอด หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตของเขาเปลี่ยนไป นับตั้งแต่พ่อของเขาถูกควบคุมตัว
   ตั้งแต่วันที่ทวีศักดิ์อยู่ภายใต้การควบคุมตัวของตำรวจ เด็กหนุ่มพยายามทุกวิถีทางที่จะประกันตัวพ่อออกมา แต่ข้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคงที่ทวีศักดิ์โดนทำให้การประกันตัวทำได้ยาก หนำซ้ำยังมีข้อกล่าวหามาจากต่างประเทศว่าด้วยเรื่องการค้ายาเสพย์ติดข้ามชาติ วรุตได้รู้อะไรอีกหลายๆ เรื่องว่าพ่อของเขาทำธุรกิจมืดมากมายหลายอย่าง เรื่องที่คนเป็นลูกอย่างเขาไม่เคยรู้เลย
   “วิน...” เสียงเรียกซึ่งครั้งหนึ่งเคยเฉื่อยชากับเขาตอนนี้ฟังดูอ่อนโยนมากขึ้น อิทธิเดชเดินเข้ามาในห้องทำงานเดิมที่ทวีศักดิ์เคยใช้ ตอนนี้วรุตตกแต่งมันเพิ่มพอสมควร ภาพวาดทิวทัศน์ง่ายๆ กับแจกันดอกไม้ที่เพิ่มเข้ามาทำให้บรรยากาศดูแปลกไปพอสมควร เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารบนโต๊ะ ก่อนจะยิ้มเซียวๆ “พี่เดช”
   อิทธิเดชมองหน้าเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ เดิมทีวรุตเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่เพิ่งอายุครบยี่สิบไม่นาน บินกลับมาจากต่างประเทศระหว่างปิดภาคเรียน และควรจะกลับไปเรียนต่อได้แล้ว แต่สิ่งที่เขาเห็นตอนนี้คือเด็กหนุ่มคนเดิม แต่ดูอายุจะเพิ่มขึ้นอีกสามสี่ปีภายในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ วรุตปรับตัวและแสดงความเฉลียวฉลาดด้านการบริหารออกมาอย่างเด่นชัด สมกับเป็นสายเลือดกับทวีศักดิ์ ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ยังเป็นเด็กหนุ่ม ถึงจะเด็ดเดี่ยวแค่ไหนก็ยังอ่อนไหวในเรื่องบางอย่างอยู่ดี อีกทั้งสถานการณ์ที่วรุตกำลังเผชิญเป็นสิ่งที่เจ้าตัวไม่เคยประสบมาก่อน ไม่มีพื้นเพเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เด็กหนุ่มเคยทำไว้กับเขาแล้ว อิทธิเดชรู้สึกแปลกใจกับความจริงเรื่องนี้ วรุตนั้นไร้เดียงสากว่าที่เขาคิดไว้มาก เหมือนว่าเรื่องเลวร้ายก่อนหน้านี้เป็นการพยายามแสดงเลียนแบบเท่านั้นเอง หนุ่มหน้าสวยถอนหายใจ กล่าวขึ้น “ออกไปสูดอากาศสักพักไหม?”
   วรุตเหลือบตามองนาฬิกาที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะสั่นศีรษะ
   “ไม่ได้หรอก ผมยังอ่านสำนวนคำขอประกันตัวไม่จบเลย”
   อิทธิเดชพยักหน้าเหนือยๆ วรุตทำงานหามรุ่งหามค่ำแบบนี้ติดกันหลายวันแล้ว เวลาสามทุ่มโดยปกติควรจะเป็นเวลาเลิกงาน แม้ว่าต้องอยู่ทำโอทีก็ตาม แต่เด็กหนุ่มยังคงใช้เวลาจนถึงที่สุด แม้เรื่องงานบางอย่างเด็กหนุ่มจะยกให้รัตน์เป็นผู้ดูแล แต่เรื่องการว่าความของผู้เป็นพ่อ วรุตจะดูอย่างละเอียด จะเรียกว่าเป็นความใส่ใจต่อผู้เป็นพ่อก็คงได้
   “งั้นฉันจะอยู่เป็นเพื่อน” อิทธิเดชพูดพลางลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งข้างๆ ผ่านจากเหตุการณ์คราวนั้น วรุตไม่ทำตัวรุ่มร่ามกับเขาอีกเลย เด็กหนุ่มยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนและเคารพสิทธิ์ของเขามากขึ้น
อิทธิเดชไม่รู้ว่านี่คือการพยายามจะพิสูจน์ความรักของเด็กหนุ่มรึเปล่า วรุตเคยพูดว่ารักเขาข้อนี้คงจะจริงในความคิดของเจ้าตัว แต่อิทธิเดชกลับตอบไม่ได้ชัดว่าตอนนี้เขารู้สึกกับเด็กคนหนึ่งซึ่งเคยใช้กำลังข่มขืนและทารุณเขาอย่างไร แต่อย่างน้อยๆ เขาไม่ได้รู้สึกเกลียดชังวรุตอย่างที่เคยเป็นอีกแล้ว ความรู้สึกที่ยังเหลือมาจากตอนนั้น คงเป็นความรู้สึกเคยชินที่มีเด็กหนุ่มอยู่ข้างๆ ล่ะมั้ง
   วรุตเบือนหน้าออกมาจากเอกสารทันทีที่ผู้เข้ามาใหม่นั่งลงข้างๆ ก่อนจะยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “พรุ่งนี้ผมจะไปศาล ทำเรื่องขอประกันตัวอีกรอบ”
   คนฟังพยักหน้า สีหน้าของเด็กหนุ่มมีแววเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด เขามองหน้าชายหนุ่มอย่างเหมือนมีอะไรจะพูด ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา “ผมจะทำให้ดีที่สุด”
   สีหน้าที่แสดงออกมาทำให้อิทธิเดชอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบศีรษะของอีกฝ่าย เขารู้สึกเหมือนวรุตเป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดาๆ ที่พยายามจะทำเรื่องเกินตัวอย่างเต็มที่ ทั้งๆ ที่ดูไม่ไหวเอาเสียเลย เมื่อนึกทบทวนวรุตคงเป็นแบบนี้อยู่นานแล้ว เจ้าตัวพยายามทำเรื่องอะไรหลายๆ อย่างอย่างที่ไม่น่าจะทำได้ ทั้งควรทำและไม่ควรทำ แต่ก็พยายามทำมันจนถึงที่สุด ด้วยตัวคนเดียว
   วรุตเงยหน้าขึ้นมองฝ่ายตรงข้ามที่ยกมือลูบศีรษะเขาอย่างแปลกใจ ก่อนจะหัวเราะแห้งๆ “พี่เดช ขอกอดทีได้ไหม?”
   อิทธิเดชมองดูดวงตาที่เริ่มแดงเรื่อด้วยความกดดันของผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้า ไม่พูดอะไรอีก แต่รั้งตัวของเด็กหนุ่มเข้ามากอดเอาไว้ วรุตกอดเขาแน่น เหมือนเด็กๆ ที่รอผู้ปกครองมารับจนเย็น พอเห็นหน้าก็โผเข้าหา มือบางลูบไล้เรือนผมดำ ก่อนจะก้มลงจูบศีรษะเบาๆ
--------------------------------------------
   วรุตออกไปกับทนายความในตอนเช้า พ่อของเขาไม่ได้ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ แต่อยู่ในห้องขังพิเศษของหน่วยพิเศษ ซึ่งเกณฑ์การให้เยี่ยมวุ่นวายพอสมควร ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ได้คุยกับพ่อผ่านตู้กระจก คล้ายๆ ที่เคยเห็นในหนัง แต่นี่คือเรื่องจริง และคนที่อยู่ด้านในคือพ่อแท้ๆ ของเขาเอง สองพ่อลูกเอ่ยทักทายกันตามธรรมเนียม หน้าตาของทวีศักดิ์ดูซูบไปสักหน่อย แต่พอเห็นหน้าลูกชายก็ดูจะสดใสขึ้น หลังจากถามสารทุกข์สุกดิบกันอยู่พักหนึ่ง วรุตก็เริ่มพูดถึงจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้
   “พ่อ วันนี้ผมจะยื่นประกันตัวพ่ออีกรอบ ผมจะพาพ่อออกไปเร็วๆ นี้แหละ”
   ทวีศักดิ์พยักหน้า มองดูลูกชาย วรุตดูเหนื่อยและอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด แม้จะแต่งตัวหวีผมเรียบร้อย แต่ร่องรอยบนใบหน้าและดวงตาบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเด็กหนุ่มกรำงานหนักและไม่ค่อยได้พักผ่อน
   “พักผ่อนบ้างนะ”
   วรุตยิ้มให้พ่อของเขา เด็กหนุ่มวางมือลงตรงหน้ากระจกเหมือนอยากจะแตะมือของพ่อที่อยู่อีกฟาก ทวีศักดิ์ยื่นมือมาแตะมือของลูกชาย ก่อนหน้านี้เขามีโอกาสมากมายมหาศาลที่จะจับมือของเด็กคนนี้ แต่เขากลับไม่เคยคว้ามันเอาไว้เลย ได้แต่จมปลักกับกองเอกสาร ฟังรายงานของคนอื่นๆ การฟังลูกชายพูดอย่างตั้งใจ คงหลังจากถูกควบคุมตัวเอาไว้นี่แหละ กว่าจะรู้ตัวว่าอะไรสำคัญ ก็เกือบจะสายเกินไปเสียแล้ว แผ่นกระจกกั้นนั้นเย็นเฉียบ แต่เหมือนมีความอบอุ่นมาจากนัยน์ตาและน้ำเสียงของลูกชาย ก้อนบางอย่างเข้ามาจุกอยู่ที่คอ ทวีศักดิ์เค้นคำพูดตอบอย่างยากลำบาก
   “พ่อขอโทษ”
   จะยังมีโอกาสให้เขาแก้ตัวไหม? จะยังมีโอกาสให้เขากลับไปรักลูกชายอย่างที่ควรจะเป็นได้อีกไหม?
----------------------------------------------------
   วรุตกลับมาจากศาลในตอนบ่ายบ่าย อีกสองสัปดาห์ศาลจึงนัดให้เขาไปรับฟังคำตัดสินเรื่องการขอประกันตัว เด็กหนุ่มอาบน้ำชำระล้างร่างกาย ก่อนทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน และผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่ใครบางคนห่มผ้าห่มให้เขา เด็กหนุ่มลืมตาขึ้น พลางเอ่ยถาม “กี่โมงแล้ว”
   “ทุ่มครึ่ง” น้ำเสียงเฉื่อยๆ แต่เจือความอ่อนโยนเอ่ย อิทธิเดชมีกุญแจที่ใช้เข้าออกห้องพักเขาได้อย่างอิสระ แต่น้อยครั้งที่ทางนั้นจะเป็นฝ่ายเข้ามาเองแบบนี้ วรุตยันตัวลุกขึ้น
   “เธอจะทานอะไรรึเปล่า?” หนุ่มหน้าสวยเอ่ยถาม ตอนนี้เขาทำงานคล้ายๆ เลขาส่วนตัวของวรุต มีหน้าที่จัดการเรื่องความเป็นอยู่ส่วนตัว และเรื่องอาหาร ต่อให้เขาไม่อยากจะใส่ใจก็ต้องใส่ใจเด็กคนนี้อยู่ดี วรุตยังคงกระพริบตาเพื่อไล่ความง่วงอีกพักหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น
“คุณจะทานกับผมด้วยรึเปล่า?”
   คนถูกถามพยักหน้าช้าๆ
--------------------------------------------
   มื้ออาหารเย็นสิ้นสุดนานแล้ว แต่คนที่ทานอาหารด้วยยังไม่ออกไปไหน อิทธิเดชจัดข้าวของเล็กๆ น้อยๆ ในห้องของวรุตให้เข้าที่ สมกับที่ได้รับมอบหมายงาน วรุตมองดูแผ่นหลังเล็กบางเหมือนของผู้หญิงด้วยความรู้สึกแปลกใจตัวเอง
   ครั้งหนึ่งเขาเคยกระหายในร่างกายนี้แทบจะคลั่ง ถึงกระทั่งใช้กำลังและฐานะยึดครองเอาไว้ โดยไม่สนใจจิตใจของอีกฝ่าย กว่าเขาจะคิดได้ก็ทำร้ายผู้ชายคนนี้ไปมากแล้ว วรุตเคยเตรียมรับความเกลียดชังที่เขาควรจะได้รับ หรือความเย็นชาที่เจ้าตัวจะแสดงออกกับเขา โดยตั้งใจแน่วแน่ว่าต่อให้อิทธิเดชปฏิบัติกับเขายังไง เขาจะไม่เลิกรักฝ่ายนั้นเด็ดขาด วรุตรักษาสัญญาทุกอย่าง ไม่เคยทำรุ่มร่ามกับผู้ชายคนนี้อีกเลย และจากภาระการงานหนักหน่วงที่ประดังประเดเข้ามาอย่างแทบตั้งตัวไม่ติด พอได้มองแผ่นหลังบางนี้อีกครั้ง เขาก็แทบจะไม่หลงเหลืออารมณ์รุนแรงอย่างที่เคยเกิดขึ้นในช่วงพบกันใหม่ๆ อีกเลย เพียงแต่รู้สึกว่ามันดูเหมือนภาพวาดที่ได้แค่มอง
   ถึงอย่างนั้นคำว่ารักก็ยังมีอยู่เต็มหัวใจ
   “คุณไปพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องจัดแล้วล่ะ” เด็กหนุ่มกล่าว และยิ้มอย่างอ่อนโยน อิทธิเดชเบือนหน้ากลับมา และเอ่ยถาม “เธอจะอาบน้ำอีกรึเปล่า?”
   “ไม่ล่ะ ผมเปลี่ยนเสื้อกับแปรงฟันก็พอ”
   หนุ่มหน้าสวยพยักหน้า และเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบชุดนอนชุดหนึ่งส่งให้เขา วรุตรับมาและยิ้มอีกครั้ง “ขอบคุณนะ คุณไม่ต้องดูแลผมขนาดนี้ก็ได้”
   อิทธิเดชไม่พูดอะไร วรุตเดินออกมาจากห้องน้ำอีกทีก็เห็นชายหนุ่มจัดที่นอนให้เขาอยู่ เด็กหนุ่มเดินเข้าไปช่วยดึง
   “เธอจะเข้านอนเลยรึเปล่า?”
   “สักพัก” วรุตตอบ เขานอนไปตลอดบ่าย ตอนนี้เลยยังไม่ค่อยง่วงเท่าไหร่ อิทธิเดชพยักหน้า และเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ เสียงฝักบัวอาบน้ำดังขึ้น หัวใจของวรุตเต้นแรงทันที เหมือนกับผ่านมานานมากแล้วที่เขาไม่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายอาบน้ำ ช่วงหนึ่งเขาเคยนอนฝังเสียงแบบนี้ด้วยอารมณ์อยากครอบครองและเป็นเจ้าของด้วยที่เต็มไปด้วยความหื่นกระหายปะปนกับโทสะ เขาไม่เคยรู้สึกอะไรนอกจากนั้นในการฟังเสียงนี้
แต่ครั้งนี้ต่างกันไป หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ราวกับคาดหวังเรื่องบางอย่างที่ไม่น่าเป็นไปได้ เสียงสายน้ำที่ไหลตกกระทบเรือนร่างซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยสัมผัสล้ำลึกทำให้อารมณ์ของเด็กหนุ่มปั่นป่วน แต่ในแบบที่ต่างออกไปจากก่อนหน้านี้ เขากำลังกลัวหัวใจตัวเอง กลัวว่านี่อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เขาหวัง
วรุตใช้กำลังกับอิทธิเดชกับเรื่องนี้มาโดยตลอด พอเกิดเหตุการณ์ที่คล้ายกับอีกฝ่ายจะเข้าหาเขาเอง ความคิดของเด็กหนุ่มก็สับสนยุ่งเหยิง เขาไม่คิดว่าอิทธิเดชจะมีวันทำแบบนี้ ทางนั้นไม่เคยแสดงให้เห็นว่าพึงพอใจเขามาก่อนในเรื่องแบบนี้ เห็นแต่ท่าทีเกลียดชังและจำยอมเท่านั้นแหละ วรุตถึงกับอยากมุดผ้าห่มหลับไปเลยจริงๆ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้ตกใจขนาดนี้ ขณะที่กำลังคิดว่าควรจะรับมือยังไง ประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดออก
   เรือนร่างขาวบางนุ่งผ้าเช็ดตัวปิดเพียงท่อนล่าง เรือนผมหยักสกสีดำยาวประบ่าที่ถูกเช็ดจนเกือบจะแห้งปรกอยู่ที่ต้นคอและแนวใบหน้า เรียวคางกลมมนรับกับเครื่องหน้าที่สะสวยราวกับหญิงสาว ลำคอเรียว แผงไหล่เล็กแคบไม่เหมือนชายหนุ่มเลยสักนิด ลำตัวเพรียวบางที่หากไม่ประกอบเข้ากับแผงอกราบเรียบก็คงจะระบุเพศได้ยาก เรียวขากลมมนที่ต่อเข้ากับตะโพกกลมกลึงที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าเช็ดตัวเด่นชัดขึ้นมาในความทรงจำทันที ต่อให้วรุตพยายามควบคุมสติตัวเองขนาดไหน เจอแบบนี้เข้าไปไม่เตลิดจนอยากจะเอาผ้าห่มคลุมหัวก็ใกล้เต็มที
   แพขนตายาวหลุบต่ำอำพรางนัยน์ตาฉ่ำน้ำคู่นั้น อิทธิเดชเดินมาที่เตียง ก่อนจะนั่งลงข้างๆ วรุตต้องทำใจแข็งพูดออกไป เขาเดาเจตนาอีกฝ่ายไม่ออกจริงๆ
   “คุณจะทำอะไร?”
   “เธอควรจะผ่อนคลายตัวเองบ้าง”   น้ำเสียงที่แทบจะบอกได้ว่าเฉื่อยชาตอบ ก่อนที่ร่างบอบบางจะขยับขึ้นมาบนเตียง วรุตสัมผัสได้ถึงนิ้วมือที่เย็นจัดเพราะการอาบน้ำ เขาหันหน้าไปมองอิทธิเดช พลางใช้มือจับข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้
   “ผมไม่ใช่พ่อนะ คุณไม่ต้องปรนนิบัติผมขนาดนี้หรอก”
   “ไม่พอใจฉันแล้วหรือ?” น้ำเสียงเดิมเอ่ยถาม แต่ครั้งนี้เจือความน้อยใจปะปนอยู่ วรุตมองใบหน้าที่พยายามหลบสายตาด้วยความรู้สึกปวดจี๊ดในหัวใจ เขาน่ะหรือไม่พอใจ เขาพอใจมากด้วยซ้ำ แต่เขาไม่ได้ให้อิทธิเดชมาดูแลเพื่อที่จะทำแบบนี้กับเขาเพราะมันเป็นหน้าที่
   “คุณไม่ใช่เครื่องระบายอารมณ์ของผมอีกแล้ว คุณไม่ต้องทำหน้าที่แบบนี้หรอก”
   “ฉันไม่ได้คิดว่ามันเป็นหน้าที่สักหน่อย” เสียงเดิมเอ่ย แต่แผ่วลง วรุตเพิ่งสังเกตเห็นว่าใบหูของอิทธิเดชแดงเรื่อ ก่อนที่เสียงเดิมจะพูดขึ้น “ฉันก็แค่อยากให้เธอมีความสุขบ้าง เธอ...ไม่ชอบใจหรือ?”
   วรุตอ้ำอึ้งไปนาน กว่าจะนึกหาคำตอบได้ “ผมไม่ใช่ไม่ชอบ แต่ผมไม่อยากมีอะไรกับคุณแบบฝืนใจอีก ผมรักคุณ ผมก็อยากให้คุณมีอะไรกับผมแบบคนรักกัน”
   “ไม่ได้ฝืนใจสักหน่อย” เสียงเดิมกล่าว พลางช้อนนัยน์ตาขึ้นมองในที่สุด นัยน์ตาฉ่ำน้ำที่ปกติก็หยาดเยิ้มจนแทบจะทำให้คลั่งอยู่แล้ว เวลานี้ยังหยาดเยิ้มกว่าเก่าอีกหลายเท่า ทำเอาหัวใจวรุตแทบหยุดเต้น
   “ฉันต้องทำยังไงถึงจะเหมาะสมเป็นคนรักของเธอ?”
   คำตอบของคำถามนั้น อยู่บนริมฝีปากที่ผู้ถูกถามประกบแนบเข้ากับริมฝีปากแดงฉ่ำ วรุตจูบอิทธิเดชอย่างไม่สงวนท่าทีอีก อารมณ์ความต้องการของเขาถูกปลุกขึ้นมาแทบจะในทันที เขารั้งร่างบอบบางนั้นเข้ามาแนบตัว จูบลงไปอีกอย่างห้ามใจไม่อยู่
อิทธิเดชสะท้านกายเฮือก มือเรียวของเด็กหนุ่มตวัดเกี่ยวผ้าเช็ดตัวที่หุ้มเอวเขาอยู่ออกทันที ก่อนจะตะปบลงไปบนหว่างขาของเขาด้วยน้ำหนักไม่แรงไม่เบา พอสัมผัสความแข็งขืนที่จุดนั้นได้ถนัด จูบนั้นก็ลึกเข้าไปอีก อิทธิเดชครางในลำคอ ก่อนหน้านี้เขาคุ้นชินกับการร่วมรักที่เรียกได้ว่ารุนแรงของวรุต แต่ครั้งนี้ดูจะต่างออกไป แม้อีกฝ่ายจะรุกเขาอย่างดุดัน แต่ยังยั้งอารมณ์เอาไว้ได้บ้าง ทั้งๆ ที่เหมือนจะยั้งเอาไว้ แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเด็กหนุ่มกระหายตัวเขามากกว่าเดิม วรุตไล้ปลายจมูกและจูบไปทั่วใบหน้า ขบกัดติ่งหูอย่างกับจะกินเข้าไป อิทธิเดชครางเสียงสั่น สองมือเกาะเกี่ยวแผ่นหลังของอีกฝ่ายเอาไว้แนบแน่น ความรู้สึกเสียวสะท้านพุ่งวาบไปทั่วทั้งตัว ริมฝีปากเปียกชื่นและปลายนิ้วที่ร้อนผ่าวไล้เล็มไล่ตั้งแต่ซอกคอลงไปจนถึงทรวงอก ขบเน้นจุดอ่อนไหวตรงนั้นจนสาแก่ใจจึงเลื่อนต่ำลงมายังท้องน้อย อิทธิเดชสะดุ้งเฮือก ทันทีที่รู้สึกถึงความเปียกชื้นตรงหว่างขา เขาแข็งใจผลักศีรษะของวรุตออก
   “มันสกปรก” ร่างบางกล่าวทั้งๆ ที่ยังหอบหายใจสะท้าน เด็กหนุ่มเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ
   “คุณเพิ่งอาบน้ำ”
   ดวงตาที่มองขึ้นมาฉ่ำเยิ้มอย่างกับลูกสุนัข หนำซ้ำใบหน้าที่แดงระเรื่อด้วยไออารมณ์รัก ทำให้ความรู้สึกของอิทธิเดชพุ่งพล่านมากขึ้น เขาไม่เคยสังเกตสีหน้าของเด็กหนุ่มเวลามีอะไรกับเขาเลย ที่เขารู้สึกคือความเกลียดชังและความรุนแรงเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าวรุตจะมองเขาด้วยสายตาแบบนี้ ร่างผอมบางกลืนน้ำลาย นี่เป็นเรื่องผิดคาดอยู่บ้างที่วรุตทำให้เขาขนาดนี้ แม้จะรู้สึกดีจนเคลิ้ม แต่อิทธิเดชยังไม่ลืมความต้องการของตัวเองในตอนแรก
   “ฉันอยากทำให้เธอด้วย”
   นัยน์ตาของเด็กหนุ่มมองเขาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนตัวขึ้นมา ใช้มือโอบร่างของเขาไว้และจับพลิก อิทธิเดชคว้ามืออย่างตกใจ ที่เขาคว้าได้คือท่อนขาแข็งแรงที่หุ้มด้วยกางเกงนอนของเด็กหนุ่ม และที่อยู่ตรงหน้าเขาคือส่วนแข็งขึงที่ดุนดันเสื้อผ้าจนนูนออกมาอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างที่กำลังงุนงง ความเปียกชื้นในช่องทางด้านหลังก็ทำให้เขาผงะ
   ร่างบางครางเสียงสั่น พยายามถอดกางเกงของอีกฝ่ายออกขณะที่ส่วนกลางลำตัวและด้านหลังของเขาถูกรุกเร้าอย่างไม่เกรงใจ หลังจากพยายามอยู่พักหนึ่ง ส่วนใหญ่โตก็อวดยอดสีสวยของมันตรงหน้าเขา อิทธิเดชรู้สึกคอแห้งขึ้นมาทันที เขาไม่เคยทำแบบนี้กับใครมาก่อน แม้กระทั่งทวีศักดิ์ ตอนที่มีอะไรกันครั้งนั้นทวีศักดิ์อ่อนโยนกับเขาซึ่งยังไม่ประสีประสาเรื่องราวมากจริงๆ แต่ตอนนี้เขารู้อะไรมากขึ้น และต้องการจะมอบความสุขให้กับเด็กหนุ่มตรงหน้า แต่ก็ไม่คิดว่าส่วนอ่อนไหวนี่จะมีขนาดชวนให้สะดุ้ง มิน่าเล่าทุกครั้งถึงได้เจ็บแทบขาดใจ ถึงแม้จะจดจำได้ดีว่าวรุตเคยมอบความทรมานอย่างไรบนร่ายกายของเขาบ้าง แต่ในตอนนี้ สิ่งที่อยู่ในความคิดของชายหนุ่มคืออยากจะสัมผัสส่วนตึงแน่นนี้ อยากจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสุข อยากจะมอบร่างกายให้อีกฝ่ายดูแล อยากให้วรุตได้เป็นเจ้าของสิ่งที่เรียกว่าหัวใจ
   อยากที่จะกลายเป็นของเด็กคนนี้
   อิทธิเดชแตะริมฝีปากเข้ากับส่วนร้อนผ่าวนั้นแล้วดูดดึงเข้าไปไว้ในปาก พยายามจะใช้ริมฝีปากและปลายลิ้นทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดี แต่ทำไปได้สักพักก็ต้องสะดุ้ง เมื่อช่องทางด้านหลังถูกปลายนิ้วร้อนสอดใส่พร้อมกับดูดดึงส่วนด้านหน้าอย่างดุดัน อย่างกับต้องการจะท้าทายกันอย่างนั้นแหละ อิทธิเดชพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะทำต่อ แต่สุดท้ายก็ต้องผละริมฝีปากออกและครางเสียงพร่าอย่างเสียวกระสัน ความต้องการถูกโหมกระพือมากขึ้นเรื่อยๆ เขาหอบหายใจหนัก พยายามใช้มือนวดคลึงความใหญ่โตนั้นไว้
   วรุตแปลกใจกับการพยายามของอิทธิเดช ตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายเชี่ยวชาญเรื่องนี้ จึงตั้งใจจะวัดชั้นเชิงกันอย่างเต็มที่ แต่ปรากฏว่าอิทธิเดชไม่ได้ชำนาญการขนาดนั้น ร่างบางหยุดการกระทำไปอย่างรวดเร็วเมื่อถูกเขาเร่งเร้า อย่างกับไม่ได้มีความทนทานกับเรื่องนี้มาก่อน จะว่าไปแล้วตั้งแต่มีอะไรกัน เขาไม่เคยเล้าโลมอิทธิเดชขนาดนี้มาก่อน วรุตจับร่างบอบบางที่หอบกระเส่าอยู่ตรงหว่างขาของตัวเองพลิกกลับมาอีกครั้ง และปรนเปรอจูบร้อนแรงลงบนริมฝีปากที่ยังหอบเหนื่อยอยู่ หลังจากจูบได้สักพัก วรุตก็ขยับขึ้นคร่อม อิทธิเดชรู้สึกถึงส่วนแข็งขืนที่ดุนดันตะโพกอย่างต้องการ ชายหนุ่มร้องครางเสียงสั่น บีบมือลงไปบนแขนของเด็กหนุ่มซึ่งจับเอวของเขาไว้แน่น  ประคองสะโพกกลมกลึงประสานเข้ากับส่วนที่จ่อรออยู่
   ส่วนร้อนผ่าวที่แนบประชิดค่อยๆ สอดเข้ามาในร่าง แค่ครึ่งทางก็ทำเอาคนอยู่ด้านล่างแทบจะหายใจไม่ทัน  อิทธิเดชรู้สึกร่างตัวเองร้อนเร่าราวกับถูกไฟแผดเผา เขาไม่เคยร่วมรักโดยที่รู้สึกมากขนาดนี้มาก่อน หัวใจของชายหนุ่มเต้นแรงอย่างน่าแปลกใจ หลังจากขยับเข้าออกอยู่พักหนึ่ง ส่วนแข็งขืนนั้นก็เข้าไปได้จนสุดความยาว เสียงครางสั่นพร่าอย่างสุขสมดังต่อเนื่องพร้อมกับวงแขนขาวบางที่โอบตะกายร่างอยู่เหนือเอาไว้อย่างกระหายไร้สติ อิทธิเดชเผยอริมฝีปากอิ่มตอบรับริมฝีปากที่บดเบียดเข้ามาอย่างเหมือนไม่รู้จักพอ บทรักดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งทั้งสองฝ่ายหมดเรี่ยวหมดแรง ระหว่างที่กำลังสะลืมสะลือ อิทธิเดชได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู
   “ผมรักคุณนะ ผมรักคุณ”
   อิทธิเดชพยักหน้าน้อยๆ แต่กลับอับจนคำพูดจะพูดตอบ หวังว่าสักวันหนึ่งเขาคงจะมีคำตอบให้อีกฝ่ายได้ชัดเจน ตอนนี้ชายหนุ่มเพียงแค่รู้สึกอยากเป็นที่ต้องการ อยากถูกรักสักครั้ง อยากที่จะเป็นที่รัก
   ที่รักของใครสักคนที่เขาจะใช้เวลาร่วมด้วยไปตลอดชีวิต
---------------------------------------
   “มีอะไรหรือครับหม๊า?” ฟ่งพูดขึ้นเมื่อเดินเข้ามาถึงห้องรับแขกที่อยู่ตรงชั้นลอย เขาเห็นเล้งนั่งก้มหน้าไม่พูดไม่จา ขณะที่ผิงปิดประตูกระจกตามหลัง ผู้เป็นแม่มองหน้าเขาก่อนจะบอกให้ทั้งคู่นั่งลง
   “ฟ่ง...ฟ่งเป็นลูกหม๊า ฟ่งรู้ใช่ไหมว่าหม๊าไม่ชอบคนพูดโกหก”
   ชายหนุ่มพยักหน้า เขารู้แล้วว่าจะต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกตามตัวลงมาแบบนี้ และคงเป็นเรื่องที่เขากำลังคิดอยู่เหมือนกัน
   “งั้นฟ่งตอบหม๊าตามตรงนะ เพื่อนฟ่งที่มาด้วยกัน เป็นเพื่อนกันหรือว่าเป็นอะไรแน่?”
   ฟ่งก้มหน้านิ่งทันที ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจกันแน่ที่ผู้เป็นแม่เปิดโอกาสให้เขาก่อน ท่าทางพี่สาวของเขาจะคุยอะไรบางอย่างเอาไว้ก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มเม้มริมฝีปาก พยายามจะหาคำพูดที่ดูนุ่มหูที่สุดสำหรับตอบคำถามนี้ จนอีกฝ่ายต้องเอ่ยกระตุ้น
   “ฟ่ง?”
   “ครับ!” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น มองผู้เป็นมารดาด้วยสีหน้าลำบากใจเต็มที “ผม..เอ่อ...”
   ฟ่งไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย แต่เขายังละล้าละลังอยู่ ไม่ใช่ว่าไม่แน่ใจในความรู้สึกตัวเองที่มีต่อคนข้างห้อง แต่เขาไม่อยากเผชิญสีหน้าผิดหวังของผู้เป็นมารดา เขาควรจะทอดเวลาให้ยืดออกไปดี หรือควรจะเผชิญกับสิ่งที่เขาเลือกเลยดี ริมฝีปากคู่นั้นเม้มแน่น คงต้องกล้าหาญเสียทีจริงๆ
   “ผมกับเขา..เรา...เป็นแฟนกัน” ชายหนุ่มพูดออกไป และก้มหน้านิ่ง สุดท้ายเขาก็ยังไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้นสบตาอยู่ดี ฟ่งกลัวจะได้เห็นแววตาทุกคนมองเขา ได้แต่ทำใจยอมรับกับโทษทัณฑ์ที่จะตามมาอยู่เงียบๆ ยังไงเขาก็ตัดสินใจไปแล้ว
   “ฟ่ง...เงยหน้ามองหม๊าสิ” เสียงแหบเครือของมารดาทำเอาหัวใจของชายหนุ่มปวดร้าว เขาเคยหน้าขึ้น สบเข้ากับดวงตาสีดำน้ำตาลที่เอ่อคลอไปด้วยหยดน้ำใส หยาดน้ำตารินหลั่งออกมาจากดวงตาของผู้ให้กำเนิดชีวิตและเลี้ยงดูเขามาจนเติบใหญ่ ฟ่งรู้สึกตีบตันไปทั้งลำคอ กระทั่งดวงตาก็พร่ามัวไปหมด ได้ยินเสียงแม่พูดอย่างยากลำบาก
   “ฟ่ง...ฟ่งเป็นจริงๆ? ทำไมล่ะฟ่ง บอกหม๊าได้มั้ย?”
   ฟ่งพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ให้มากที่สุด แต่แล้วมันก็ไหลร่วงออกมาจนได้ ชายหนุ่มกล่าวเสียงสั่น
   “ฟ่ง...ฟ่งไม่รู้เหมือนกัน แต่ฟ่ง...ฟ่งชอบเขา...ต่อให้เขาไม่ใช่ผู้ชาย หม๊า ฟ่งไม่ได้ชอบผู้ชาย ฟ่งชอบแค่คนนี้”
   “ทำไมล่ะ?” ผู้เป็นมารดากล่าวเสียงสั่นเครือ น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด “ทำไมล่ะฟ่ง เขาอาจจะดีกับฟ่ง แต่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันก็ได้ไม่ใช่หรือ? ฟ่งยังชอบผู้หญิงอยู่ใช่ไหม?”
   ชายหนุ่มพยักหน้าอีกครั้ง แต่ก็ตอบคำถามออกไป “ฟ่งยังชอบผู้หญิง แต่...ฟ่ง....ฟ่งรักเขาแล้วหม๊า”
   หนุ่มสวมแว่นบีบมือแน่น พลางเม้มริมฝีปากอย่างอับจนหนทาง รูฟัสอยากจะจับมืออีกฝ่ายเพื่อให้กำลังใจ แต่สถานการณ์คงไม่เหมาะจะทำแบบนั้น เขาจึงทำได้แค่นั่งบีบมือไปด้วย และจับตาดูปฏิกิริยาตอบรับของบรรดาพี่น้องของฟ่งซึ่งนั่งร่วมอยู่ภายในห้อง เล้งยังคงนั่งก้มหน้า ไม่รู้ว่ารู้สึกยังไงกันแน่ ส่วนผิงก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น แม้จะสำนึกตัวได้ตอนนี้ว่าฟ่งต้องสละอะไรมากแค่ไหนที่จะรักและอยู่ร่วมกับเขา แต่รูฟัสก็ไม่อยากถอยหลังกลับอีกแล้ว เขาหวังว่าครอบครัวของฟ่งจะเข้าใจในเรื่องนี้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
   “ฟ่ง...ฟ่งแน่ใจตัวเองแล้ว? ฟ่ง.. ฟ่งไม่กลัวหม่าหม๊าเสียใจ?” ผู้เป็นแม่กล่าวเสียงเครือ ก่อนจะร้องไห้ออกมา ผู้เป็นพี่สาวตรงไปประคองมารดาทันที ฟ่งตัวสั่นไปหมด เขาเดินไปหามารดาที่นั่งร้องไห้อยู่กับพี่สาว และโอบกอดเธอเบาๆ ก่อนจะร้องไห้ด้วย
   “ฟ่งขอโทษหม๊า แต่..ฟ่งไม่อยากให้หม๊ามารู้ทีหลัง ฟ่ง...ฟ่งอยากให้หม๊าเข้าใจ”
   ผู้เป็นมารดาขยับตัวมาหาลูกชาย ก่อนจะโอบแขนขึ้นกอดตอบ น้ำตารินหลั่ง
   “ฟ่ง...” เธอเรียกชื่อลูกชายคนแรกที่ผู้เป็นสามีที่ล่วงลับตั้งให้ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดในระดับของคนที่เป็นแม่เท่านั้นถึงจะเข้าใจ มือกร้านลูบไล้ศีรษะของสายเลือดที่เธอให้กำเนิดมาและเลี้ยงดูส่งเสีย ชายหนุ่มกอดตอบผู้เป็นมารดา หมดปัญญาจะเอ่ยคำพูดอะไรอีก ได้แต่ร้องไห้
   รูฟัสสะเทือนใจกับสิ่งที่เห็น ถึงแม้จะรู้สึกผิดอย่างหนักหนาสาหัส แต่รูฟัสตัดสินใจว่าเขาจะชดใช้สิ่งที่เกิดขึ้นให้ดีที่สุด เขาจะรักฟ่งให้ดีที่สุด และไม่เสียใจกับสิ่งที่เลือกไปแล้ว
   ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายที่พยายามดึงรั้งความรักครั้งนี้เอาไว้แต่แรก เขาจะดึงรั้งมันเอาไว้จนถึงที่สุด ต่อให้มันจะทรมานใครคนอื่นหรืแม้แต่ตัวเขาเองสักแค่ไหนก็ตาม ขอแค่ฟ่งยังรักเขาอยู่

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   สองแม่ลูกร้องไห้กันอยู่นาน กระทั่งเล้งยังเอามือขึ้นปาดใบหน้า ส่วนผิงนั้นร้องไห้อยู่ก่อนแล้ว หล่อนโอบแม่และน้องชายไว้เบาๆ
   “หม๊ารู้สึกตะหงิดๆ ตั้งแต่เจ๊กับเล้งกลับมาวันก่อนแล้ว” ผู้เป็นมารดาสะกดเสียงสะอื้นและพูดต่อทั้งน้ำตา
   “เจ๊ไม่บอกหม๊าว่าทะเลาะอะไรกับฟ่ง เล้งก็ไม่ยอมบอก แต่เล้งกับฟ่งต่อยกัน หม๊าคิดว่ามันต้องเป็นเรื่องร้ายแรงแน่ๆ”
   ฟ่งได้แต่พยักหน้า เขาบีบมือของผู้เป็นมารดาแน่น
   “แล้วฟ่งก็มาหาหม๊า พาผู้ชายมาด้วย หม๊านึกเล่นๆ ว่าฟ่งทะเลาะกับเจ๊เรื่องเพื่อนคนนี้รึเปล่า? แต่พอฟังฟ่งเล่าให้หม๊าฟังแล้วเขาก็ดูจะเป็นคนดี ฟ่งยังเล่าเลยว่าเขาเคยไปกินข้าวด้วยกันตอนที่เจ๊แวะไป” เสียงของผู้เป็นมารดาหายไปในลำคอ อีกพักหนึ่งถึงจะพูดต่อได้
   “หม๊ายังนึกเลยว่าฟ่งท่าทางจะชอบเพื่อนคนนี้มาก เพราะหม๊าไม่ค่อยเห็นฟ่งพูดถึงเพื่อนด้วยความสุขขนาดนี้มาก่อนเลย” เสียงพูดหายไปอีกช่วงหนึ่ง
   “ฟ่งย้ายคอนโดตอนเลิกกับอาดา ทุกคนก็เป็นห่วง เห็นฟ่งดูมีความสุขกับที่อยู่ใหม่ดีแบบนี้ หม๊าก็รู้สึกสบายใจ แต่หม๊ายังสงสัยว่าแล้วฟ่งทะเลาะกับเจ๊เรื่องอะไรกันแน่ หม๊าเลยถามเจ๊ แล้วเจ๊ก็เลยเล่าให้หม๊าฟัง”
   ฟ่งพยักหน้าอีกครั้ง หยดน้ำตาไหลร่วงลงสู่มือของผู้เป็นมารดา เธอดึงตัวเขาเข้ามากอดเอาไว้
   “ฟ่ง หม๊าไม่พูดหรอกนะว่าหม๊าเข้าใจฟ่ง ฟ่งเป็นลูกชาย ยังไงหม๊าก็อยากเห็นฟ่งพาว่าที่ลูกสะใภ้มาให้ดูมากกว่า” ผู้เป็นแม่พูดและหัวเราะทั้งน้ำตา ฟ่งยิ่งน้ำตาไหลมากขึ้นกว่าเดิม เขากอดแม่ไว้แน่น
   “แต่ฟ่งเป็นลูกหม๊า ต่อให้หม๊าผิดหวังขนาดไหน แต่คนเป็นแม่อยากให้ลูกมีความสุขทั้งนั้นแหละฟ่ง หม๊าก็อยากเห็นฟ่งมีความสุข ในเมื่อฟ่งเป็นแบบนี้ ฟ่งชอบแบบนี้ หม๊าก็คงต้องทำใจใช่ไหม? หม๊าคงต้องทำใจเสียลูกชายไปคนหนึ่ง ถึงมันจะยาก แต่หม๊าก็คงต้องพยายาม ฟ่งจะได้มีความสุข”
   “หม๊า...” ฟ่งเรียกแม่เสียงพร่า ก่อนจะร้องไห้ออกมาอีก ผู้เป็นมารดาลูบหัวลูกชายด้วยความเอ็นดู
   “ไอ้ตี๋เอ๊ย ไอ้ตี๋ของหม๊า ทำไมขี้แยแบบนี้ เป็นผู้ชายแท้ๆ”
   ฟ่งซบหน้ากับอกของผู้เป็นแม่ ร้องไห้อยู่อีกพักใหญ่ จึงค่อยสงบลง ผู้เป็นแม่เงยหน้าขึ้น รับผ้าจากลูกสาวมาซับน้ำตาบนใบหน้าให้ลูกชาย ฟ่งเม้มปาก ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้าแม่ ริ้วรอยบนใบหน้าที่ผ่านเรื่องต่างๆ เพื่อเขาและลูกๆ มามากทำให้ฟ่งรู้สึกตื้นในลำคอขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เขาหลับตาและปล่อยให้หยดน้ำตาร่วงลงมาอีก
   “เล้งเอ๊ย มาหาหม๊าหน่อย ผิงก็ด้วย”
   เล้งลุกขึ้นยืน และเดินไปหาผู้เป็นแม่โดยเหลือบมามองรูฟัสนิดหนึ่ง เดาไม่ออกเลยว่ารู้สึกอย่างไร ไม่รู้ว่ารำคาญหรือว่าหมั่นไส้กันแน่ รูฟัสเดินตามเข้าไปโดยเว้นระยะห่างพอสมควร
   “เฮียฟ่ง เฮียไม่น่าเป็นเกย์เลยรู้มั้ย เฮียน่ะ ทั้งสกปรก ทั้งรก ทั้งมือหนัก คนหน้ามืดเท่านั้นแหละ ถึงจะชอบเฮียลง” เล้งค่อนแคะใส่พี่ชาย ทำให้สามคนพลอยหัวเราะขึ้นมาได้นิดหน่อย ผู้เป็นแม่เรียกให้เขานั่งลง
   “เล้งก็รักฟ่ง เจ๊ก็รักฟ่ง ฟ่งรู้ใช่ไหม?”
   ฟ่งพยักหน้าให้กับมารดา เธอถอนหายใจ
   “ต่อจากนี้เธอสามคนก็ต้องรักกันนะ หม๊ามีลูกแค่สามคน จะเป็นลูกชายหรือลูกสาว หรืออะไร หม๊าก็อยากจะให้รักกันไว้ อย่าทะเลาะกันอีก”
   สามคนพยักหน้า ผู้เป็นแม่กวาดตามองลูกทั้งสามก่อนจะเงยหน้าขึ้น เรียกให้คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเดินเข้ามา รูฟัสคุกเข่าลงใกล้ๆ กับที่ที่สามคนนั้นนั่งอยู่ เงยหน้าขึ้นสบตาผู้พูด
   “เธอ...เฮ้อ....” ผู้เป็นแม่ถอนหายใจเสียงยาว มองดูใบหน้าของเขาอีกพักหนึ่ง แล้วก็ถอนหายใจอีก
   “เธอจริงจังกับลูกชายฉัน?”
   รูฟัสพยักหน้าหนักแน่น และได้ยินเสียงถอนหายใจอีกครั้ง
   “ฉัน..ควรจะให้เธออยู่ในฐานะอะไรดี ลูกเขยหรือลูกสะใภ้?”
   ชายหนุ่มยิ้มอย่างดีใจ เขาตอบคำถามออกไป “ยังไงก็ได้ครับ ยอมรับผมก็พอ”
   แม่ของฟ่งมองดูเขาอีกพักใหญ่ และทำหน้ายุ่งยาก
   “เธอตัวใหญ่ เป็นลูกสะใภ้ไม่เหมาะแน่”
   หันไปมองดูลูกชายคนโต แล้วก็ถอนหายใจอีก “เป็นลูกเขยก็ไม่เหมาะ เพราะลูกชายฉันเป็นผู้ชาย อืม...”
   รูฟัสยิ้มแห้งๆ ไม่ใช่ว่าแม่ฟ่งจะคิดเปลี่ยนใจเพราะหาที่ยืนให้เขาไม่ได้หรอกนะ อีกพักหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงระบายลมหายใจ
   “อืม....เธอมาเป็นลูกชายฉันอีกคนแล้วกัน ไหนๆ ก็ไหนๆ ว่าไง?”
   รูฟัสยิ้มกว้างเหมือนเด็กๆ เขาพยักหน้าอย่างดีใจ
   “ครับ...เอ่อ... คุณแม่?”
   ทั้งสามคนหันมามองเขาทันที ผิงทำหน้าแปลกๆ คล้ายๆ กับฟ่ง ส่วนเล้งพูดออกมา
   “ผมได้พี่ชายเพิ่ม? อืม... คงทนมือทนเท้าเฮียฟ่งมากกว่าผม” เด็กหนุ่มสรุปเองเสร็จ ฟ่งทำหน้าประท้วงว่าตัวเขาไม่ใช่เลวร้ายขนาดนั้น ในขณะที่ผิงหัวเราะโดยที่ยังมีคราบน้ำตาติดอยู่ ผู้เป็นมารดาเอ่ยต่อ
   “ถ้าไม่รีบกลับ อยู่พักที่นี่สักสองสามวันสิ ฉันอยากรู้จักเธอสักหน่อย ไหนๆ เธอก็จะมาเป็นลูกชายฉันแล้ว”
   รูฟัสตอบรับแทบจะในทันที เขายิ้มอย่างมีความสุข ก่อนจะหันไปมองฟ่ง ซึ่งยิ้มตอบกลับมา ผู้เป็นแม่ระบายลมหายใจออกมา เอ่ยปากบอกให้ทั้งสามคนขึ้นไปนอนก่อน
   “หม๊าทำถูกแล้วใช่ไหม?” หล่อนกระซิบเสียงพร่า หลังจากลูกชายทั้งสามออกไปแล้ว ผิงพยักหน้า กอดมารดาของตนเอาไว้
   “ดีแล้วล่ะค่ะหม๊า”
   ผู้เป็นแม่หลับตาลง กอดลูกสาวเอาไว้แน่น
---------------------------------------------
   ศาลมีคำสั่งให้ปล่อยตัวของทวีศักดิ์ชั่วคราว เนื่องจากเหตุผลว่าเจ้าตัวไม่น่าจะมีพฤติกรรมหลบหนี ประกอบกับที่อยู่เป็นหลักแหล่ง แต่เขาจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ คือจะต้องอยู่ในสายตาของตำรวจติดตามตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงนั้นเอง ทวีศักดิ์ได้รับแจ้งข่าวนี้ก่อนหน้าที่จะเจอหน้าลูกชายไม่กี่นาที สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากออกมาจากห้องขังคือตรงเข้าสวมกอดลูกชายเอาไว้แน่น ทำในสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาเลยตลอดเวลาเกือบยี่สิบปี
   วรุตกอดตอบผู้เป็นพ่อ นี่เป็นครั้งแรกที่ทวีศักดิ์กอดเขา หัวใจของเด็กหนุ่มเต็มตื้นอย่างประหลาด ราวกับว่าเขาเพิ่งได้รับความรักจริงๆ จากพ่อบังเกิดเกล้าเป็นครั้งแรก ไม่มีใครพูดอะไร ปล่อยให้สองพ่อลูกกอดกันอยู่แบบนั้น จนผู้เป็นลูกเอ่ยขึ้นมาก่อน
   “พ่ออยากกินอะไร ผมจะทำให้กิน ผมทำกับข้าวเก่งนะ”
   ทวีศักดิ์แทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เขาทำได้เพียงแต่พยักหน้า ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยรู้เลยว่าลูกชายของเขาเป็นอย่างไร ทำอะไรได้บ้าง แม้ว่านี่อาจจะสายไปเสียหน่อย แต่คงยังไม่หมดโอกาสที่เขาจะรักลูกชายของเขาอย่างที่คนเป็นพ่อควรจะทำ
   วรุตยิ้มให้พ่อของเขา ก่อนจะพูดต่อ “กลับบ้านกันเถอะพ่อ รับรองผมจะทำของที่พ่อชอบกินให้สุดฝีมือเลย”
-----------------------------------------
   เหตุการณ์ที่ลี่เหลียนยิงตัวตายที่คฤหาสน์ของพี่ชายผ่านมาหลายวันแล้ว เว่ยชิงจัดพิธีศพให้ผู้เป็นน้องชายตามพิธีการปฏิบัติที่สืบต่อกันมาในตระกูล ราวกับการตายนั้นชดใช้ความผิดที่ก่อไว้ในอดีตจนหมดสิ้น เว่ยจินหยินกลับมาทำงานอย่างปกติ และพบว่ามีกองเอกสารมากมายที่กองรอการกลับมาของเขาอยู่ แน่นอนว่าเถียนซานจัดการมันไปบ้างแล้ว แต่หลายอย่างผู้ชายคนนั้นก็ทิ้งเอาไว้ เหมือนมีความหวังว่าเขาจะตื่นขึ้นมาจัดการเองได้ในสักวัน
เว่ยจินหยินทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และยังต้องเจียดเวลาไปออกกำลังกายเพื่อฟื้นคืนเรี่ยวแรงให้กลับมา ระหว่างนี้เถียนซานแวะมาช่วยเขาโดยตลอด และยังนอนเป็นเพื่อนแทบทุกคืน
   วันนี้เว่ยจินหยินปลีกตัวจากงานเอกสารไปงานศพของผู้เป็นอาในช่วงเย็น บรรยากาศค่อนข้างจะโศกเศร้าและตรึงเครียด นั่นเพราะลี่เหลียนเป็นผู้บริหารของแก๊งคู่แข่งที่มีชื่อว่าริเวิล คนที่มางานศพส่วนใหญ่จึงเป็นคนของทางริเวิล ซึ่งตอนนี้กำลังระส่ำระสายใกล้สลายตัวเต็มที คนของตระกูลเว่ยก็ตื่นตัวเต็มที่ เพราะกลัวพวกนี้จะมาลอบสังหารบุคคลสำคัญในตระกูลที่ทยอยแวะมางานศพ
ตอนเว่ยจินหยินไปถึง บรรยากาศที่ว่านี้ยิ่งขมวดเกลียวของมันมากกว่าเดิม ต่อให้เป็นสมาชิกระดับเรฟยังรู้ ว่าเขานี่แหละเป็นตัวใหญ่ที่ทำให้ริเวิลระส่ำระสาย และเป็นต้นเหตุสำคัญที่บีบให้ลี่เหลียนต้องยิงตัวตาย
   ถึงแม้จะพอเดินเองอย่างไม่เข่าอ่อนกะทันหันได้แล้ว แต่ข้างตัวเขายังต้องอาศัยบอดีการ์ดขนาบข้างจนกระทั่งไปถึงหน้าศพ เว่ยจินหยินจุดธูปในบรรยากาศเงียบกริบ ควันธูปสีขาวลอยละล่อง ในตอนที่เขาปักมันลงไปในกระถาง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองรูปของบุคคลที่นอนอยู่ในโลงไม้สีดำขนาดใหญ่ มันคงเป็นรูปของเว่ยลี่เหลียนในวัยหนุ่ม ใบหน้านั้นละม้ายคล้ายพ่อของเขาอยู่หลายส่วน แต่ก็ดูอ่อนโยนและใจดีกว่า
เว่ยจินหยินไม่เข้าใจว่าผู้ชายคนนี้ทำไมถึงได้ทรยศพี่ชายตัวเองราวกับว่าจงเกลียดจงชังกันมาเนิ่นนาน ไม่มีใครรู้สาเหตุนอกจากพ่อของเขา และดูเว่ยชิงจะไม่อยากพูดถึงสาเหตุนี้ แต่ก็น่าแปลกใจที่ยังอุตส่าห์เก็บรูปถ่ายของน้องชายเอาไว้เป็นอย่างดี อย่างกับคิดเอาไว้แล้วว่าสักวันจะต้องเตรียมงานศพ
   เว่ยจินหยินทำความเคารพศพตามประเพณี ก่อนจะเดินเดินไปหาผู้เป็นพ่อซึ่งนั่งเป็นประธานในงานศพ ได้ยินมาว่าเว่ยชิงนั่งเป็นประธานทุกวัน ราวกับว่าอาลัยในน้องชายที่ตัวเองเกลียดชังหนักหนา เมื่อเห็นสายตาของผู้เป็นพ่อที่ทอดยาวออกไปเบื้องหน้า ดวงตาสีน้ำครำที่แปรเปลี่ยนอยู่แทบจะตลอดเวลา เสมือนหนึ่งเรื่องราวต่างๆ ในอดีตผุดขึ้นมาระลอกแล้วระลอกเล่า ความเจ็บช้ำรันทดที่ถูกฉายออกมาอย่างเห็นได้ชัดผ่านดวงตาสีดำคู่นั้น
เว่ยจินหยินตระหนักรู้ทันทีว่าเขาคงไม่อาจเข้าใจความรู้สึกซับซ้อนของผู้เป็นพ่อที่มีกับน้องชายคนนี้ได้ ราวกับทั้งคู่มีเรื่องที่ไม่อาจบอกใคร ได้แต่เก็บเอาไว้ในใจเงียบๆ และสะท้อนทุกอย่างผ่านดวงตาที่ต่างฝ่ายต่างคงไม่มีโอกาสได้สบกันนานมากแล้ว เว่ยจินหยินเดินเข้าไปหาผู้เป็นพ่อเงียบๆ และเอ่ยทัก “สวัสดีครับคุณพ่อ”
เว่ยชิงพยักหน้าเชิงรับรู้ แต่ไม่ได้เหลือบตามามอง ดวงตาสีน้ำครำยังคงทอดยาวไปเบื้องหน้า ก่อนจะถอนหายใจ แล้วกล่าว “นั่งก่อนสิ”
   ลูกน้องคนหนึ่งของเว่ยชิงยกเก้าอี้สีดำมาให้ เว่ยจินหยินนั่งลงข้างๆ ผู้เป็นพ่อ มองดูมือแห้งกรังที่วางหลวมๆ เอาไว้บนแขนเก้าอี้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของ
   พ่อของเก่าแก่ลงไปเยอะมากจริงๆ
   เหมือนริ้วรอยที่หางตาเมื่อไม่กี่วันก่อนยังไม่ยาวและลึกขนาดนี้ ทั้งลำตัวที่ดูห่อลีบลงไปมากกว่าเดิม ไหนจะมุมปากที่ตกมากขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างบนตัวพ่อของเขาเหมือนกับถูกการเวลาเร่งเข้าทำร้ายอย่างรวดเร็ว นี่คืออาการสะเทือนใจงั้นหรือ?
   “อาการเธอเป็นยังไงบ้าง?”
   เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่เว่ยชิงเอ่ยถามเกี่ยวกับตัวเขา เว่ยจินหยินตอบออกไป “ก็ดีขึ้นแล้วล่ะครับ ผมออกกำลังกายทุกเย็น เลยพอจะมีแรงกลับมาบ้าง”
   ผู้เป็นพ่อพยักหน้า แต่ยังคงไม่หันหน้ากลับมามอง “ลูกคุยกับเสี่ยวเหลียนแล้วใช่ไหม?”
   เว่ยจินหยินเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าพ่อของเขาเรียกน้องชายตัวเองว่าอย่างไร น้ำเสียงที่เรียกไม่มีความเกลียดชังเลยสักนิด มีแต่ความอาลัย และความรักแฝงอยู่ ผู้เป็นลูกชายจึงได้แต่พยักหน้า
   “ลูกรักพ่อรึเปล่า?” เว่ยชิงเอ่ยถามต่อ เว่ยจินหยินหันไปมองหน้าพ่อของเขา ก่อนจะพยักหน้าอีกรอบ “ครับ”
   ได้ยินเสียงทอดถอนใจยืดยาว “มาใกล้ๆ สิ”
   ชายหนุ่มลุกขึ้นตามคำสั่ง คุกเข่าลงตรงหน้าพ่อ ยังไม่ทันจะเงยหน้าขึ้นมอง ก็ถูกฝ่ามือแห้งกรังหยุดเอาไว้ และลูบลงบนศีรษะของเขา
   “จินหยิน....” ผู้เป็นพ่อเอ่ยเรียกชื่อเขาแผ่วเบาราวกับไม่แน่ใจว่านั่นคือชื่อเรียกจริงๆ ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งไวลูบลงบนศีรษะของลูกชายด้วยความรู้สึกหลายอย่าง ทั้งสงสาร เห็นใจ เอ็นดู และรัก ซึ่งล้วนแต่เป็นความรู้สึกที่เขาเพิกเฉยกับลูกชายคนนี้ไปนานแล้ว
   เว่ยจินหยินรู้สึกถึงอาการสั่นจากมือของผู้เป็นพ่อ เขาอยากเงยหน้าขึ้นไป แต่ก็ถูกฝ่ามือนั้นออกแรงกดเอาไว้อย่างห้ามปราม
   “ลูกงานยุ่ง วันหลังไม่ต้องแวะมาหรอก”
   ผู้เป็นลูกยังไม่ทันได้ตอบหรับหรือสั่นศีรษะ ผู้เป็นพ่อก็พูดขึ้นต่อ
   “ตระกูลจำเป็นต้องพึ่งลูก รักษาตัวเอาไว้”
   แม้จะถูกกดศีรษะอยู่ แต่เว่ยจินหยินก็ฝืนเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อ แว้บเดียวที่เขาได้เห็นความรู้สึกหลายอย่างในดวงตาสีน้ำครำคู่นั้น ก่อนที่เว่ยชิงจะหลับมันลง
   “กลับไปทำงานเถอะ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยปาก ก่อนจะเรียกคนให้ออกไปส่งโดยไม่ถามความสมัครใจ เว่ยจินหยินจึงจำต้องเดินออกไปทั้งอย่างนั้น
เว่ยชิงมองดูแผ่นหลังของลูกชาย และถอนหายใจยืดยาว
   เขายังมีอะไรหลงเหลือพอให้กล้าสบตาลูกชายคนนี้อีก?
---------------------------------------
   “อาซาน”
   เถียนซานโค้งให้กับเจ้านายใหญ่ และเงยหน้าขึ้นมองดวงตาสีน้ำครำที่มองตรงมา เขาทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยในงานศพครั้งใหญ่ที่ดูจะมีแต่บรรยากาศตรึงเครียด การมาเยือนของเว่ยจินหยินทำให้เขาต้องเพิ่มความระวังโดยรอบมากขึ้น ดังนั้นจึงไม่ได้อยู่พบกับอดีตเจ้านาย เว่ยชิงให้คนไปตามตัวเขามาหลังจากนั้น
ผู้เป็นเจ้านายใหญ่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ ในตำแหน่งประธานของงาน เขาดูทรุดโทรมลงไปมากจริงๆ เถียนซานเห็นเจ้านายคนนี้มาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กอายุสิบกว่าขวบ เว่ยชิงเป็นผู้ชายร่างแม้ไม่ถึงกับกำยำใหญ่โต แต่ก็จัดอยู่ในระดับแข็งแกร่ง ยามนี้ความแข็งแกร่งนั้นดูจะถูกกาลเวลาและความสะเทือนใจกระชากมันออกไปจากตัวผู้ชายคนนี้จนแทบไม่เหลือให้เห็นเค้า ยิ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์การยิงตัวตายต่อหน้าต่อตาของลี่เหลียนที่แม้จะเป็นศัตรูคู่อาฆาตแต่ก็เป็นน้องชายแท้ๆ สภาพร่างกายของเว่ยชิงยิ่งดูทรุดโทรมลงไปอีก แม้กระทั่งนัยน์ตาที่เคยสุกใสเต็มไปด้วยความคิดซับซ้อนก็ดูพร่ามัวลงไปถนัด ได้ยิงเสียงเอ่ยถามอย่างแหบพร่า
   “ลูกชายฉัน...จินหยิน เป็นเด็กดีมั้ย?”
   คนถูกถามพยักหน้า เว่ยชิงถามถึงเว่ยจินหยินครั้งล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่เหมือนนานเหลือเกินแล้วที่ไม่ได้ถามด้วยประโยคที่แฝงความอื้ออาทรแบบนี้
   “อืม...” เว่ยชิงส่งเสียงในลำคอ เงียบไปอีกพักหนึ่งถึงได้กล่าวต่อ “ขอบใจที่ดูแลลูกชายฉัน”
   พูดพลางหยิบเอาห่อผ้าเล็กๆ ห่อหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ยื่นให้กับผู้เป็นลูกน้อง
   “ฉันฝากเธอเก็บเอาไว้” เขากล่าวและหยิบซองจดหมายสีครีมอีกอันหนึ่งขึ้นมา วางลงไปบนห่อผ้านั้น ก่อนจะพูดสั้นๆ “เธอรู้ว่าควรจะให้มันกับใคร ตอนไหน เก็บไว้ให้ดีล่ะ”
   เถียนซานยื่นมือออกไปรับทั้งห่อผ้าและถุงกระดาษ ทันทีที่สัมผัสโดนฝ่ามือสากหยาบ เขาก็รู้ทันทีว่าของในห่อคืออะไร ผู้เป็นลูกน้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาตื่นตะลึง เว่ยชิงพยักหน้า เหมือนพยายามจะเค้นรอยยิ้มแต่ก็ดูยากเต็มที ในที่สุดจึงตัดสินใจกล่าวต่อทั้งแบบนั้น
   “ขอบใจนะ”
   หนุ่มวัยสี่สิบย่างห้าสิบพยักหน้า พยายามสะกดอาการสั่นในมือขณะประคองถุงผ้านั้นเก็บเอาไว้อย่างดีในกระเป๋าเสื้อด้านหน้า น้ำหนักแม้เบา แต่พอใส่เข้าไปแล้วกลับรู้สึกหนักอึ้ง เขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะเดินกลับออกไปเงียบๆ
-----------------------------------------------
   เว่ยชิงระบายลมหายใจยาวเหยียด ยิ่งดึกคนยิ่งมาก เสียคุยจ๊อกแจ๊กต่อให้แม้แต่ในงานศพก็ยังพอมีให้ได้ยิน แต่สำหรับตัวเขาแล้ว เหมือนเสียงทุกอย่างเงียบไปนานแล้ว เงียบไปตั้งแต่สิ้นเสียงลั่นไกของผู้เป็นน้องชาย
   มันเป็นบทสรุปสุดท้ายที่เขาไม่เคยคาดถึงมาก่อน
   เวลาห้าสิบปีที่ผ่านมา เว่ยชิงจินตนาการบทสรุปเอาไว้หลายแบบ กระทั่งการลงมือปลิดชีวิตด้วยตัวเองเขาก็เคยคิด แต่ไม่เคยคาดว่ามันจะจบลงแบบนี้ ลี่เหลียนที่กลับมาหาเขา แล้วก็จากไปแทบในทันที ทิ้งความรู้สึกค้างคาที่เขาไม่เคยอยากรับรู้เอาไว้ อดีตที่จากไปแล้วตลอดกาล
   อดีตที่ทั้งขมขื่นและอ่อนหวาน
   ผู้นำตระกูลเว่ยมองดูโลงศพสีดำอย่างซึมเซา รูปถ่ายหน้าศพเขาเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง รูปถ่ายที่เขาเกือบจะลืมไปแล้ว รูปของน้องชายที่เขาเก็บเอาไว้ในส่วนลึกสุดของลิ้นชักที่รอดออกมาจากเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งอดีต ความทรงจำของเขาถูกขุดขึ้นมาเหมือนตะกอนนอนก้นที่ถูกกวนจนขุ่น
   เสี่ยวเหลียน...
   ห้าสิบกว่าปีที่เขาเคียดแค้น ห้าสิบกว่าปีที่เขาชิงชัง ในบางช่วงเวลาเว่ยชิงเคยถามตัวเองอยู่หลายครั้ง เขาทำพลาดอะไร ทำผิดตรงไหน ทำไมน้องชายคนเดียวที่ดีกับเขามาตลอดกลับทรยศหักหลังอย่างเจ็บแสบ ราวกับสุมความเคียดแค้นต่อเขามาอย่างยาวนาน ตอนนี้คำถามนั้นกลับมาอยู่ในห้วงคำนึงอีกครั้งหนึ่ง กับคำตอบเล็กๆ ที่ผุดขึ้นในหัวสมอง
   รัก...
   บ่วงที่เขาเรียนรู้ที่จะใช้คล้องผู้อื่นมาโดยตลอด รักทำให้คนมีความสุข รักทำให้คนลืมทุกข์ รักทำให้คนอยู่ใต้อำนาจบงการ และบางครั้ง รักก็ทำให้คนเป็นบ้า
   เว่ยชิงหลับนัยน์ตาสีน้ำครำลง ก่อนถอนหายใจยืดยาว
   หากรักแล้วต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้ ทำไมถึงยังเลือกที่จะรักอีก หรือเพราะรักเลยเลือกที่จะยอมทุกข์ทรมาน?
   นัยน์ตาสีน้ำครำลืมขึ้นมาอีกครั้ง มองออกไปในความว่างเปล่าเบื้องหน้า
   เสี่ยวเหลียน...
-----------------------------------------------------

ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
สองตอนรวดเลย  จุใจริงๆ :กอด1:
ตอนที่ 73 เกิดการหมั่นไส้เพิงปิงนิดๆเพราะความรักดูจะแซงหน้าคู่อื่นซะเหลือเกิน :m16:
   ในที่สุดคุณชายรองก็ฟื้น  แต่ไม่คิดว่าจะมีเรื่องความรักระหว่างพี่น้องเกิดขึ้นกับคุณพ่อสุดโหด
    สงสารคุณอาที่สุดเลยหละ :o12:
ตอนที่ 74 เหตุการณ์ท่าทางจะไปได้ดีแล้ว  แต่รูฟัสกับเล้งดูเด็กมาก  แต่ก็น่ารักมากๆค่ะ :-[

ตอนที่ 75 น้ำตาแทบท่วมจอ  หลายเรื่องหลายคนแต่ซึ้งได้กับทุกคนจริงๆ :sad4:[/color]

lookfa

  • บุคคลทั่วไป
โอ๊ยยยยย เศร้าอ่ะ

 :o12:

แต่ต้องยกนิ้วให้เลย  o13 แต่งได้สุดยอด

อะฮื้อออออออ

jelatin99

  • บุคคลทั่วไป
มาแบบหวานปนเศร้า~ดีใจที่วรุตกับอิทธิเดชกำลังไปกันด้วยดี^^ขอบคุณคนแต่งค่ะ

ออฟไลน์ pandorads

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
อ่านไปน้ำตาคลอไป
ฮือ ดีใจที่แม่ของฟ่งรับรูฟัสได้ กระซิกๆ TT^TT

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**ตอนนี้เป็นตอนจบของเรื่องนี้...

แต่... ยังมีต่อนะคะ
-----------------------------------
บทที่76 บทสรุป
   ครอบครัว...
   นี่คือสิ่งที่ครั้งหนึ่งรูฟัสเคยรักมากที่สุด และเป็นสิ่งที่ครั้งหนึ่งเขาพยายามจะลืมเลือนมันไปให้หมดสิ้น ถึงอย่างนั้นในบางเวลา ภาพอดีตอันสวยงามก็ยังตามหลอกหลอนเขา ชายหนุ่มเงยหน้ามองร่างที่เดินอยู่เบื้องหน้า
   ฟ่งไม่ใช่อดีต ฟ่งเป็นปัจจุบันของเขา เป็นคนที่ยังมีชีวิต มีตัวตนอยู่จริงๆ และตอนนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาแล้ว
   ครอบครัว....
   รูฟัสเอื้อมมือออกไปอย่างอดไม่ได้ เขารู้ว่าไม่ควรทำตัวรุ่มร่ามที่นี่ แต่เขาเพียงอยากจะสัมผัสร่างตรงหน้า อยากให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ฝัน
   “มีอะไรหรือครับ?” ฟ่งหันมาถามอย่างงุนงง จู่ๆ รูฟัสก็ดึงชายเสื้อของเขาเบาๆ คนถูกถามยิ้มละไม “เปล่า”
   คิ้วสีน้ำตาลขมวดเข้าหากันน้อยๆ แม้จะพูดแบบนั้น แต่รูฟัสยังไม่ยอมปล่อยมือ ฟ่งมองเข้าไปในดวงตาสองสีคู่นั้น ก่อนจะสะท้านในใจ แววตาที่เต็มไปด้วยความรักทำให้ชายหนุ่มหน้าแดงอย่างไม่รู้ตัว
   ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมรูฟัสถึงได้รักเขามากขนาดนี้ สิ่งเดียวที่เขาเข้าใจคือ เขาเองก็รักผู้ชายคนนี้ รักผู้ชายคนนี้ที่มีแววตาเปี่ยมรักให้เขา
   รักและไม่อยากจะทอดทิ้งไปอีก
   เหมือนจะมีรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่กลายเป็นสีชมพูระเรื่อ รูฟัสคลี่ยิ้มที่อ่อนโยนกว่าเดิม
   ความรักของเขาได้เดินทางมาถึงจุดบรรจบแล้ว

   คืนนั้นรูฟัสนอนในห้องนอนเดิมของฟ่ง ซึ่งเคยใช้ร่วมกับน้องชาย โดยที่น้องชายตัวแสบถูกสั่งให้ย้ายไปนอนห้องพี่สาว ส่วนพี่สาวก็ย้ายไปนอนห้องคุณแม่ ดังนั้นทั้งคู่จึงได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาถึงที่บ้าน ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่ทำตัวรุ่มร่ามแต่อย่างใด เขาหอมแก้มฟ่งก่อนนอน และโอบกอดฝ่ายนั้นเอาไว้หลวมๆ แม้ฟ่งจะนอนหันหลังให้เขา แต่รูฟัสรู้ว่าอ้อมกอดของเขาสื่อความรู้สึกถึงอีกฝ่ายได้จริงๆ เพราะฟ่งกอดมือของเขาที่กอดตัวเองเอาไว้อีกทีหนึ่ง ไออุ่นที่ถ่ายทอดมาทำให้ชายหนุ่มอบอุ่นในหัวใจ
   เขาดีใจที่ได้รักผู้ชายคนนี้ และยังคงยืนยันความรู้สึกนี้อย่างไม่เปลี่ยนแปลง
--------------------------------------------------
   ตลอดชีวิตยี่สิบห้าปีของฟ่ง เขาไม่เคยนึกเคยฝันมาก่อนเลยว่าจะลงเอยด้านความรักแบบนี้ ครั้งหนึ่งเขาเคยวาดหวังจะแต่งงานกับอดีตแฟนสาว จะเป็นพ่อที่ดี แต่แล้วเวลาหกปีก็ตอกย้ำให้เขาสำนึกตัวเองว่า เขาคงไม่อาจเป็นอย่างที่หวังได้ อารมณ์ของเขาแปรปรวนเกินไป รุนแรงเกินไป และเอาแน่เอานอนไม่ได้ สุดท้าย เมื่อไม่สามารถแก้นิสัยตัวเองได้สำเร็จ เขาจึงตัดสินใจบอกเลิกกับผู้หญิงที่เขาตั้งใจจะรัก รสชาติความขมขื่นนั้นยังคงแจ่มชัดในความทรงจำ  ห้วงเวลาแห่งความขมขื่นนั้นเองที่ผู้ชายที่โอบกอดเขาอยู่ก้าวเข้ามา
   รูฟัส...
   ผู้ชายที่จนถึงบัดนี้เขาเองก็ยังไม่ทราบพื้นเพแน่ชัดได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา กลายเป็นที่พึ่งพิงทางจิตใจให้เขาอย่างไม่รู้ตัว เมื่อสำนึกอีกทีเขาก็ไม่อาจตัดขาดจากคนคนนี้ได้แล้ว ไม่ว่ารูฟัสจะเป็นใคร มีอดีตยังไง ฟ่งไม่อยากจะคิดให้มากอีกแล้ว เขารู้เพียงปัจจุบันผู้ชายคนนี้มีความรักให้แก่เขา ความรักที่ยืนยันได้จากการกระทำ
   ฟ่งตัดสินใจจะรักษาความรักนี้ไว้อย่างสุดความสามารถ แม้ว่านิสัยเสียของเขาจะแก้ให้หายลำบากมากก็ตาม
   เพราะรูฟัสนั้นเป็นมากกว่ารัก รูฟัสคือที่พึ่งทางจิตใจของเขาด้วย
   คนคนเดียวที่ดูจะอดทนกับหัวใจโลเลของเขาได้
   เขาจะทำให้ดีที่สุด เพื่อประคับประคองความรักและความอ่อนโยนนี้เอาไว้
   ให้อยู่ใกล้ๆ เขาตลอดไป
-------------------------------------------------
   ความรักมีอานุภาพยิ่งใหญ่ บางครั้งสามารถชุบชีวิตคนได้ และบางครั้งสามารถคร่าชีวิตคนได้
   หลังงานศพของลี่เหลียน สุขภาพของเว่ยชิงทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าน้องชายที่ตายไปพาเอาวิญญาณของเขาไปด้วย อาการทรุดหนักนี้ไม่ใช่การเสแสร้งอย่างที่เคยทำ ดังนั้นแม้แต่ฟู่ฉินเองที่ไม่เคยคิดจะดูดำดูดีพ่อของตัวเองในก่อนหน้านี้ ยังแวะเวียนมาเยี่ยมอาการแทบทุกวัน ถึงอย่างนั้นเว่ยชิงก็ไม่ดีขึ้น
   การตายของน้องชายที่สุมไฟแค้นเอาไว้ให้เขาเป็นสิบๆ ปี ดูจะทำให้เป้าหมายในการมีชีวิตอยู่ของชายชราสิ้นสูญตามไป
   ในวันสุดท้ายแห่งชีวิต ลูกๆ ทุกคนมารวมตัวกัน นั่งอยู่ข้างเตียงของผู้เป็นพ่อ แต่เว่ยชิงเพียงกวาดตาสีน้ำครำมองดูพวกเขา โดยปราศจากคำพูดใด ก่อนจะสั่งให้คนเชิญบรรดาลูกๆ ออกไป
   เสียงทอดถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อนดังขึ้นหลังจากนั้น
   คงถึงเวลาแล้วที่เขาจะกลับไปในที่ที่ควรกลับ กลับไปยังที่ที่นั้น
   ไม่รู้ว่าคนคนนั้นจะรอเขาอยู่หรือเปล่า
   เสี่ยวเหลียน....
--------------------------------------------------
   งานศพของเว่ยชิงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่แทบจะพร้อมกับการล่มสลายของริเวิล ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะพอใจกับเรื่องนี้หรือเปล่า หรือบางทีอาจจะไม่สนใจอีกแล้วก็ได้
เว่ยฟู่ฉินซึ่งเป็นบุตรชายคนโตเป็นประธานในงานตามธรรมเนียม ที่นั่งอยู่ข้างๆ คือน้องชายคนรองของเขาที่มีชื่อว่าเว่ยจินหยิน
บรรยากาศในงานถือว่าโศกเศร้า แต่ระหว่างพี่น้องในบรรยากาศคำว่าโศกเศร้าดูจะมีความโล่งใจตามมาด้วย ไม่มีใครรู้ว่าเว่ยชิงเลี้ยงดูลูกตนเองอย่างไร นอกจากบรรดาลูกๆ ของเขาเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครแปลกใจเลยที่ทุกคนจะถูกไล่ออกมาในวาระสุดท้ายของชีวิตผู้เป็นพ่อ เว่ยชิงรู้จักที่จะใช้ความรักของคนอื่นตลอดมา แต่ไม่เคยเลยที่จะทุ่มความรักให้ใครถึงที่สุด แม้แต่บรรดาลูกๆ ของตัวเอง แม้กระทั่งลูกชายคนที่เขารักมากที่สุด
แต่ฟู่ฉินเข้าใจส่วนนี้ของผู้เป็นพ่อดี เว่ยชิงรักเขามากที่สุด เพราะเขาเป็นกำลังหลักในตอนที่ตระกูลระส่ำระสายเพราะการหักหลังของลี่เหลียน เรียกได้ว่าเขาโตมาพร้อมกับการฟื้นฟูตระกูลนั่นแหละ แม้ผู้เป็นพ่อจะไม่เคยพูด แต่เขาเคยอยู่ในช่วงเวลานั้น ช่วงเวลาที่เว่ยชิงยังมีเค้าลางแห่งความรักและความเจ็บปวดให้กับผู้เป็นน้องชาย และเพื่อหนีจากความรู้สึกนั้น เว่ยชิงสุมความแค้นให้กับตนเอง จบแทบจะเป็นความบ้าคลั่ง นั่นเป็นเหตุผลที่ฟู่ฉินตัดสินใจไม่รับช่วงต่อ เขาทนรับความบ้าคลั่งจากความรักของผู้เป็นพ่อไม่ไหว
“น้องรอง...” ผู้เป็นพี่ชายเอ่ยเรียก เว่ยจินหยินเงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาสีดำสนิทเหมือนนิลมองเขาด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่าง ก่อนที่จะเอ่ยคำพูดสั้นๆ
“คุณพ่อน่ะ.. น่าสงสารนะ”
เว่ยจินหยินมองดูพี่ชายเนิ่นนาน ก่อนจะพยักหน้า ความเงียบระหว่างพี่น้องกินเวลาเนิ่นนาน ในขณะที่เสียงรอบๆ เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ แม้จะรักษามารยาทไม่ให้ดังมาก แต่บรรดาสมาชิกที่ทยอยมาร่วมงานศพ ต่างอดซุบซิบกันไม่ได้ เนื่องเพราะจนถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครทราบเลยว่าใครกันแน่ที่จะได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป
แม้ฟู่ฉินจะปฏิเสธการรับช่วงไปนานแล้ว แต่เว่ยชิงที่ตายจากไปกลับไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าจะให้ใครรับช่วงต่อ ดังนั้นสิทธิ์ในตำแหน่งสูงสุดยังคงตกเป็นของลูกชายคนโตอยู่ดี ในงานศพของอดีตหัวหน้า บรรดาสมาชิกทุกคนจะต้องเดินทางมาร่วม ดังนั้นงานศพจึงเหมือนงานแต่งตั้งผู้นำคนต่อไปกลายๆ ปัญหาคือตราประจำตระกูลและแหวนตำแหน่งไม่ได้อยู่ในมือและบนนิ้วของฟู่ฉิน
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ทั้งเว่ยฟู่ฉินและเว่ยจินหยินรวมถึงคนอื่นในตระกูลต่างเข้าใจเป็นอย่างดี ภาวะการขาดผู้นำเช่นนี้จะปล่อยให้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้ แม้เพียงแค่วันสองวันก็นับว่าแย่มากแล้ว ทั้งแหวนทั้งตราไม่ได้ถูกเก็บอยู่ในทีที่ควรอยู่ บางทีเว่ยชิงอาจจะฝากมันไว้กับใครสักคน และใครคนนั้นกำลังเดินเข้ามาหาสองพี่น้อง
ความสูงของเถียนซานนั้นเป็นที่สะดุดตาผู้คนอยู่แล้ว และด้วยตำแหน่งของเขา แม้แต่สมาชิกระดับต่ำๆ ยังรู้ว่าควรจะหลีกทางให้กับผู้ชายคนนี้ เถียนซานเดินมาหยุดยืนตรงหน้าเว่ยฟู่ฉิน ที่มีเว่ยจินหยินนั่งอยู่ข้างๆ นัยน์ตาสีหินน้ำตกยังคงนิ่งสนิทเหมือนเดิม
“กำลังรออยู่เลย” เว่ยฟู่ฉินเอ่ยเสียงเรียบ เขาปรายตามองคนตรงหน้า เถียนซานนั้นถือเป็นกำลังหลักอีกคนหนึ่งในการฟื้นฟูตระกูล เป็นคนเก่าคนแก่ การที่เจ้าตัวเดินเข้ามาโดยไม่ถูกเรียกแบบนี้ย่อมต้องมีเรื่องสำคัญ
ชายวัยสี่สิบเศษผู้มีส่วนสูงเกือบสองเมตรไม่พูดอะไร ดวงตาสีหินน้ำตกไม่แปรเปลี่ยน แต่ในใจหวั่นไหวน้อยๆ เมื่อล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ ห่อผ้าเล็กๆ กับซองจดหมายน้อยนั้นดูหนักเหลือเกินเมื่อมาอยู่ต่อหน้าผู้ชายสองคนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหนึ่งในนั้นเป็นคนที่เขารักมากที่สุด
เถียนซานรู้ดีว่าของในห่อผ้าน้อยนี้คืออะไร และก็รู้ว่าเว่ยชิงต้องการมอบมันให้ใคร เขาต้องหักห้ามความหวั่นไหวเอาไว้อย่างเงียบๆ ขณะส่งถุงผ้านั้นให้กับเว่ยฟู่ฉิน
คนที่สมควรจะได้รับของสิ่งนี้มากที่สุด
แววตาสีดำของเว่ยจินหยินไหววูบ ทันทีที่เห็นอดีตลูกน้องหยิบห่อผ้าน้อยออกมา หัวใจของเขาเต้นถี่ และดูจะสงบลงอย่างน่าประหลาดทันทีที่ห่อผ้านั้นไปอยู่ในมือของพี่ชาย
ใช่ล่ะ... นี่เป็นสิ่งที่สมควรจะเกิดขึ้นแล้ว เว่ยฟู่ฉินเป็นลูกชายคนโต และเว่ยชิงก็ไม่มีคำสั่งแต่งตั้งใครเป็นพิเศษ ดังนั้นผู้นำคนต่อไปก็ต้องเป็น....
บรรยากาศในงานศพเงียบกริบขึ้นมาทันที หลังจากที่ห่อผ้าแพรห่อเล็กปรากฏโฉมให้เห็น หัวใจของทุกคนเต้นระส่ำ นัยน์ตาเป็นประกายกระหายใคร่รู้ ที่น่าแปลกคือคนที่รับกลับมีสีหน้าและท่าทีเรียบเฉยอย่างน่าตกใจ
เว่ยฟู่ฉินรับห่อแพรและซองจดหมายนั้นมาเงียบๆ ก่อนจะแกะเปิด รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา ในซองจดหมายยังมีซองจดหมาย ซองจดหมายที่จ่าหน้าถึงใครคนหนึ่ง
เว่ยจินหยินเงยหน้ามองพี่ชายอย่างแปลกใจ เมื่ออีกฝ่ายยื่นซองจดหมายมาให้เขา ยังไม่ทันจะได้ถามอะไร ลายมือหวัดที่เขาไม่ค่อยได้เห็นนักบนซองจดหมายก็ช่วยตอบคำถามเอาไว้
ถึง จินหยิน
เว่ยจินหยินเห็นมือของตัวเองสั่นในตอนที่รับซองจดหมายมา ลายมือแบบนี้เป็นของผู้เป็นพ่อที่ล่วงลับไม่ผิดแน่ บรรยากาศในงานยังคงเงียบสนิท เงียบเสียจนเว่ยจินหยินได้ยินเสียงตัวเองฉีกซองจดหมาย กระดาษแผ่นหนึ่งร่วงออกมา เนื้อหาว่าอย่างไรนั้นคงมีแต่คนอ่านที่ทราบ  มือเรียวของเว่ยจินหยินยังคงสั่นน้อยๆ ในตอนที่พับจดหมายเก็บ เขาเงยหน้าขึ้นมองพี่ชาย และเห็นรอยยิ้มเรียบง่าย กับห่อแพรห่อน้อยในมือ
------------------------------------------
   “เรียนคุณท่าน คุณเถียนซานมาแล้วครับ”
   คนฟังพยักหน้า เว่ยจินหยินยังคงสวมเสื้อตัวเดิม สวมแว่นตากรอบทองอันเดิม หวีผมเรียบแปล้เหมือนเดิม ยืนอยู่ในห้องทำงานเดิม อยู่ในตึกสำนักงานเดิม แต่คำเรียกขานตัวเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว
   “คุณท่าน” คำเรียกใหม่ด้วยน้ำเสียงคุ้นเคยทำให้เว่ยจินหยินขมวดคิ้ว เขาหันหน้ากลับมาและพบว่าเถียนซานเปิดประตูเข้ามาแล้ว ชายผู้มีส่วนสูงเกือบสองเมตรยังคงดูเหมือนวันวาน รอยแผลเป็นใต้แก้มก็ยังคงชัดอยู่แบบนั้น นัยน์ตาสีหินน้ำตกที่นิ่งสนิทยังไงก็คงยังนิ่งสนิทอยู่แบบนั้น ใบหน้ายังคงดูเป็นการเป็นงานไม่เปลี่ยน เว่ยจินหยินเงียบไปพักหนึ่ง เขามองสำรวจลูกน้องอีกรอบ
   ตอนนี้เถียนซานเป็นลูกน้องเขา เช่นเดียวกับทุกคนในแก๊ง
   ทั้งตราทั้งแหวน เว่ยฟู่ฉินมอบมันให้เขาอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม การที่พี่ชายใหญ่ปฏิเสธการรับช่วง ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับเขา เว้นเสียแต่เรื่องจดหมาย
   เว่ยจินหยินไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าเว่ยชิงจะเขียนจดหมายถึงเขา
   ข้อความสั้นๆ ไม่กี่ประโยค เรียกความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกออกมาจากจิตใจของเว่ยจินหยิน ชายหนุ่มเคยอยากรู้สึกแบบนี้ตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ แต่ความรู้สึกนี้กลับเกิดขึ้นตอนผู้เป็นพ่อจากไปแล้ว
   เป็นรสชาติที่ยากจะบรรยายจริงๆ
   “อาซาน..” แม้แต่คำที่เขาใช้เรียกคนอื่นก็ยังคงเป็นคำเก่า เว่ยจินหยินเรียกชื่อลูกน้องและเว้นจังหวะไปเนิ่นนาน “ฉันควรจะทำยังไงต่อ?”
   “ทำอย่างที่คุณต้องการเถอะครับ ผมจะอยู่ข้างๆ คุณเอง” เถียนซานกล่าวพร้อมกับยิ้ม รอยยิ้มบนใบหน้าที่มั่นคงราวกับแท่งศิลานั้นอบอุ่นเหมือนเก่า ผู้เป็นเจ้านายยิ้มตอบ
   “อาซาน”
   มือสากหยาบเลื่อนเข้ามากุมมือเรียวของเขาไว้แนบแน่น นัยน์ตาสีหินน้ำตกมองมาอย่างอ่อนโยน หนักแน่น และอบอุ่น
   “ผมจะอยู่ข้างคุณตลอดไป”
   เว่ยจินหยินพยักหน้า คลี่ยิ้มบางๆ บีบมือสากหยาบนั้นเบาๆ
-----------------------------------------
   รูฟัสพักอยู่บ้านฟ่งสองวัน ระหว่างนั้นเขาได้เรียนรู้ชีวิตครอบครัวของฟ่งมากขึ้น และรู้สึกถึงครอบครัวอีกมากโข แม้จะยังเข้าหน้ากันไม่ติดนัก แต่ครอบครัวของฟ่งก็พยายามจะทำใจรับความเปลี่ยนแปลงนี้ของลูกชายตัวเองอย่างเต็มที่ ทำให้รูฟัสรู้สึกซาบซึ้งถึงคำว่าความรักในครอบครัวมากเข้าไปอีก จนเกือบจะร้องไห้ในตอนที่บอกลาคนที่เขาเรียกเต็มปากว่า แม่
   ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าผู้ชายข้างห้องที่มีชื่อเรียกง่ายๆ ว่าฟ่ง จะทำให้หัวใจของเขามีความอ่อนไหวได้มากมายขนาดนี้ รูฟัสมองดูร่างผอมบางที่กำลังสอดคีย์การ์ดเพื่อเปิดห้อง พลางคิดว่าตลอดชีวิตเขาจะรักใครได้มากขนาดนี้อีกไหม ฟ่งผลักประตูห้องเข้าไปก่อนจะหันมายิ้มให้เขา
   อ้อมแขนแกร่งยื่นเข้าไปรวบร่างผอมบางเอาไว้ในอ้อมกอดพร้อมกับเสียงประตูที่ปิดลง หัวใจของรูฟัสเต็มปรี่ไปด้วยสิ่งที่เรียกว่าความรัก และแทบจะล้นทะลักเมื่อวงแขนผอมบางกอดตอบเขาแน่น ริมฝีปากของทั้งคู่โน้มเข้าหากันอย่างไม่ต้องใช้แม้สายตาไถ่ถาม จูบแห่งรักกินเวลาเนิ่นนานกระทั่งใบหน้าของทั้งสองฝ่ายกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ หยุดหอบหายใจได้ครู่หนึ่ง สองร่างก็บดเบียดริมฝีปากกันอีกรอบ รสจูบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งริมฝีปากของฟ่งแดงเจ่อออกมาอย่างเห็นได้ชัด ถึงอย่างนั้นทั้งสองก็ยังจูบกันอีกหลายรอบ จูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับกระหายกันและกันมาเป็นเวลานาน
   ในระหว่างจูบอันต่อเนื่อง ต่างฝ่ายต่างปลดเปลื้องเสื้อผ้าของกันและกันออก ยังไม่พ้นจากประตูห้องมาเท่าไร สองร่างก็แทบจะเปลือยเปล่าแล้ว ร่างกายแข็งแกร่งแนบชิดเข้ากับร่างผอมบางอย่างแทบจะไม่เหลือช่องว่างใดอีก ลมหายใจของทั้งคู่ติดขัด สองแขนโอบรัดซึ่งกันและกัน ริมฝีปากยังคงประกบกันแนบแน่นจนแทบจะกลืนกินกันลงไป
   เสียงหอบหายใจถี่กระเส่า รูฟัสกดฟ่งลงบนเคาน์เตอร์อย่างหักห้ามตัวเองไม่อยู่ เสียงข้าวของหล่นร่วงลงไปบนพื้น แต่ไม่มีใครสนใจ รูฟัสเล้าโลมร่างผอมบางอยู่บนนั้นพักหนึ่ง จนอีกฝ่ายครางเสียงพร่า ทั้งหว่างขาและส่วนหลังเหนอะชื้น จากนั้นจึงสอดใส่ความต้องการของตัวเองเข้ามาในร่างกายซึ่งยังสั่นสะท้าน ต่างฝ่ายตอบสนองอารมณ์ของกันและกันบนเคาน์เตอร์อย่างไม่อาจควบคุม เสียงร้องครางสลับกับเสียงหอบหนัก แผ่นอกหนาที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อสั่นสะท้าน ขณะที่ร่างผอมบางระริกร้อนไปกับจังหวะรัก วงแขนสองคู่เกี่ยวกระหวัดกันและกันอย่างโหยหา การสอดประสานเป็นไปอย่างเหือดหิวและเกือบจะเรียกได้ว่ารุนแรง แต่กลับสนองความต้องการของผู้ถูกกระทำในยามนี้ได้อย่างอัศจรรย์
   ฟ่งถึงจุดด้วยอาการสั่นกระตุกอย่างแรงจนแทบจะหมดสติ รูฟัสโอบรัดวงแขนแกร่งรองร่างที่สิ้นเรี่ยวแรงก่อนที่จะฟาดลงกับเคาน์เตอร์ ขณะที่สติยังไม่กลับมาจากห้วงแห่งความสุขดี ร่างผอมบางก็ถูกช้อนขึ้น แรงกระแทกที่ถูกส่งเข้ามาทำให้ฟ่งถึงกับผงะ สองแขนโอบรัดร่างแข็งแกร่งเอาไว้ด้วยสัญชาตญาณ
   รูฟัสอุ้มเขาเดินไปทั้งอย่างนั้น แต่ยังไม่ทันถึงประตูห้องนอน คนถูกอุ้มก็ถูกดันเข้าหาผนังเพื่อสานต่อจังหวะรักอีกรอบอย่างอดรนทนไม่ได้ ฟ่งตะกายฝ่ามือไล่ไปตามผนังห้องเย็นเฉียบอย่างหาที่ยึดเกาะด้วยความเร่าร้อนจนแทบจะลุกไหม้ กว่าที่อีกฝ่ายจะพอใจ เขาก็ไปถึงจุดอีกหนหนึ่งแล้ว
   ฟ่งซบหน้าเข้ากับหัวไหล่กว้างอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ขณะที่อีกฝ่ายยังคงซุกไซ้ไปตามซอกคอและหัวไหล่ของเขา หอบหายใจได้ไม่นาน รูฟัสก็อุ้มเขาขึ้นอีกรอบ คราวนี้ฟูกนุ่มบนเตียงก็ถึงหลังของเขาเสียที ฟ่งครางเสียงพร่า เมื่ออีกฝ่ายสานความต้องการต่อเนื่องอย่างไม่อยากเสียเวลา แว่นตาถูกแรงกระแทกที่ส่งขึ้นมาตามไขสันหลังจนเลื่อนหลุด ร่างบางดึงทึ้งผ้าปูที่นอนด้วยความเสียวกระสัน แอ่นร่างอ่อนเปลี้ยตอบสนองความต้องการของอีกฝ่ายอย่างพยายามจะให้ความร่วมมือเต็มที่
   รูฟัสกระแทกตัวเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับมีความต้องการที่อัดแน่นมาเป็นเวลานาน ร่างผอมบางสั่นระริก ทุกๆ จังหวะกระแทกกระทั้น พรากเอาสติสัมปชัญญะให้พร่าเลือนไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นริมฝีปากหนาบดขยี้ลงมาอีกครั้ง ในห้วงลงหายใจที่ไร้จังหวะ ฟ่งได้ยินเสียงกระซิบที่เขาเคยได้ยินเมื่อนานมาแล้ว
“Я вас люốлю”
ภาษาที่เขาฟังไม่รู้เรื่อง แต่ในยามนี้เหมือนว่าฟ่งสามารถเข้าใจความหมายในใจของผู้ที่กล่าวมันออกมาได้อย่างชัดเจน
------------------------------------------------------------
   ร่างบางปรือเปลือกตาอย่างอ่อนล้า ราวกับว่าถูกสูบเรี่ยวแรงออกไปจนหมด เขารู้สึกตัวได้เพียงครู่หนึ่งก็ผล็อยหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าใด แต่รู้สึกตัวอีกทีตอนที่ใครบางคนกำลังคลอเคลียพวงแก้มของเขาอยู่
   ฟ่งลืมตาขึ้นด้วยความรู้สึกง่วงงุ่นและตื้อในหัว แน่นอนว่าเขาเห็นฝ่ายตรงข้ามไม่ชัดนัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมองไม่ออกเลย ยังไม่ทันจะปรับโฟกัสดี แว่นตาก็ถูกสวมลงมาบนหน้าของเขาอย่างเบามือ รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าของผู้ที่นอนเคียงอยู่ปรากฏชัดในคลองจักษุ ฟ่งจำได้คับคล้ายคับคลาว่าเขาเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ที่ไหนมาก่อน ระหว่างที่รูฟัสดึงตัวเขาเข้าไปจูบหน้าผาก ก่อนจะจูบไล้ตามพวงแก้มมาจบที่ริมฝีปาก ร่างบางพอจะนึกออก เหตุการณ์ที่ว่าคล้ายกันนี้คงจะเป็นตอนที่รูฟัสมีอะไรกับเขาครั้งแรกแน่ๆ ตอนนั้นเขาออกปากไล่อีกฝ่ายออกไปทันทีที่รู้สติดี แต่ตอนนี้.......
   ร่างบางตอบสนองจูบนั้นด้วยเรียวลิ้นอ่อนก่อนจะเป็นฝ่ายผละออกมา แม้จะไม่ได้โมโหโกรธาอะไร แต่เขาไม่เหลือแรงพอจะรองรับบทรักของรูฟัสไหวอีกแล้ว ขืนปล่อยให้ทางนั้นมีอารมณ์อีก มีหวังเขาได้ตายคาเตียงจริงๆ แน่
   รูฟัสหัวเราะเขินๆ เหมือนจะรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปกับร่างกายอีกฝ่ายบ้าง จึงไม่ดึงดันจะจูบต่อ ถึงอย่างนั้นก็ยังหอมแก้มเขาอีกหลายหน
   “อรุณสวัสดิ์ครับ” ร่างแกร่งพูดขึ้นในที่สุด หลังจากสำรวจพวงแก้มอุ่นของผู้ที่นอนเคียงข้างจนพอใจแล้ว ฟ่งได้แต่พยักหน้า เขาหมดแรงขนาดที่แค่จะเค้นคำพูดออกมายังลำบาก เมื่อเห็นใบหน้านิ่วกิ่วของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็เริ่มหน้าเจื่อนลง
   “โกรธหรือครับ?” รูฟัสถามเสียงละห้อย ฟ่งสั่นศีรษะ พยายามสูดอากาศเข้าปอด อ้าปากอยู่หลายครั้ง คำพูดก็ไม่ยอมออกมา นัยน์ตาสองสีมองเขาอย่างเป็นห่วง
   “ผมไปหยิบน้ำมาให้คุณดีกว่า”
   ฟ่งเผลอยกมือดึงแขนอีกฝ่ายไว้อย่างลืมตัว แม้จะไม่ได้ออกเรี่ยวแรงมาก แต่รูฟัสก็หยุดชะงักในทันที เขาหันกลับมาอีกรอบ และคลี่ยิ้มกว้าง ฟ่งไม่แน่ใจว่ารูฟัสรู้สึกอย่างไรในรอยยิ้มนี้ เขาพยายามกลืนน้ำลายอีกหลายครั้ง และสูดหายใจซ้ำอีกหลายรอบ จึงค่อยพูดออกมาได้ คำแรกที่เขาพูดคือ
   “น้ำ....”
   รูฟัสก้มลงจูบปลายจมูกเขาก่อนจะผละออกไป ครู่เดียวก็มาพร้อมแก้วน้ำ ร่างแกร่งประคองร่างที่นอนสิ้นสภาพอยู่บนเตียงขึ้นมาอย่างเบามือ ฟ่งรับแก้วไปและรู้สึกมือสั่นกึกๆ เขากะพริบตาปริบๆ ใจอยากจะหันไปมองค้อนอีกฝ่าย แต่อีกใจก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องควรจะทำในเวลาแบบนี้ ดังนั้นร่างผอมบางจึงก้มลงดื่มน้ำเงียบๆ
   ฟ่งดื่มน้ำและหลับไปอีกตื่นหนึ่ง ลืมตามาคราวนี้สติสัมปชัญญะและร่างกายของเขาแจ่มใสขึ้น พอหรี่ตามองผ่านม่านหน้าต่าง แสงแดดแผดกล้าที่ลอดเข้ามาก็พอจะบอกเขาได้ว่าเป็นเวลาไหนแล้ว ขณะเอื้อมมือไปหยิบแว่น กลิ่นหอมชวนให้น้ำลายสอก็ลอยมาแตะจมูก กระเพาะของฟ่งร้องคร่ำครวญขึ้นมาทันที ชายหนุ่มหรี่นัยน์ตามองดูนาฬิกาที่วางอยู่ใกล้เตียง ก่อนจะพยุงกายลุกขึ้น
   รูฟัสยิ้มกว้างอย่างอ่อนโยนตอนที่เขาเปิดประตูห้องออกมาหลังจากแปรงฟันและอาบน้ำล้างตัวแล้ว
   “ผมขออนุญาตใช้เครื่องครัวคุณหน่อยนะ” ร่างแกร่งพูด ขณะตักข้าวผัดอะไรซักอย่างจากกระทะใส่จานสองใบที่เตรียมเอาไว้ ฟ่งพยักหน้า กลิ่นเจ้านี่เองที่ทำให้ท้องเขาร้องโครกคราก
   ฟ่งนั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะกินข้าว และนึกแปลกใจระคนเกรงใจที่พบว่ารูฟัสจัดห้องของเขาไปหลายส่วน ถ้าเป็นปกติเขาคงต้องแหวกโต๊ะเพื่อวางอะไรลงไป แต่ตอนนี้โต๊ะกินข้าวที่ถูกเช็ดจนสะอาดกำลังสะท้อนภาพใบหน้าง่วงซึมหลังแว่นของเขาอย่างชัดเจน
   รูฟัสยกจานข้าวผัดมาวางให้เขาถึงที่และนั่งลงตรงข้าม ฟ่งมองดูชายหนุ่ม ขณะที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองเขาเช่นกัน
   “รู้สึกไม่สบายหรือเปล่าครับ?” ร่างสูงถามอย่างเป็นห่วง จนถึงตอนนี้นอกจากคำว่าน้ำ ที่พูดออกมาก่อนจะหลับไปอีกรอบแล้ว ฟ่งยังไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้แสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยวหรือแสดงท่าทีปฏิเสธแบบที่แล้วๆ มา แต่เป็นแบบนี้รูฟัสก็อดไม่สบายใจไม่ได้ เขายอมรับว่าเมื่อคืนอาจจะทำรุนแรงไปหน่อย แต่ใช่ว่าเขาจะควบคุมตัวเองได้ง่ายๆ ยามอยู่ต่อหน้าคนที่รักแทบเป็นแทบตายแบบนี้
   คนตรงข้ามสั่นศีรษะอีกรอบ ก่อนจะตักข้าวเข้าปาก และพยักหน้ากับตัวเอง
   ฝีมือทำกับข้าวของรูฟัสไม่เลวเลย ถ้าจะให้นับแล้ว นี่คงเป็นเช้าวันแรกสำหรับชีวิตคู่ที่แสนแปลกประหลาดของเขา การตื่นมาแล้วได้ทานอาหารอร่อยๆ แถมยังมีคนคอยดูแลแบบนี้ก็ถือว่าไม่เลวทีเดียว ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรูฟัส และยิ้มให้อีกฝ่าย
   “อร่อยดี” เสียงที่พูดออกไปแหบพร่าจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ ฟ่งขมวดคิ้วมุ่นทันที ในขณะที่รูฟัสหน้าแดง ชายหนุ่มหัวเราะเขินๆ อีกครั้ง ไม่ยอมพูดอะไรแต่ไปหยิบแก้วน้ำมาวางให้เขา ฟ่งยกมือขึ้นลูบคอ พอนึกถึงสาเหตุว่าทำไมเสียงของเขาถึงเป็นแบบนี้ ความหงุดหงิดก็พุ่งแวบขึ้นมาให้สมอง ชายหนุ่มเงยหน้า เตรียมจะถลึงตาใส่ให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเขาไม่พอใจ ทางนั้นก็รีบชิงพูดขึ้นก่อน
   “ผมขอโทษครับ” คำพูดพร้อมกับสีหน้าสำนึกผิดเต็มที่ทำเอาฟ่งต้องเปลี่ยนเป็นกะพริบตาปริบๆ แทน ท้ายที่สุดร่างบางก็ถอนหายใจหนัก มองหน้ารูฟัสอย่างจริงจัง แต่พอคิดจะอ้าปาก ไอ้เสียงแหบๆ ก็พาลทำให้หุบปากลงไปอีก รูฟัสยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน และพูดออกมาราวกับเดาความคิดเขาได้
   “ผมจะไม่ทำรุนแรงขนาดนี้อีกแล้วล่ะ”
   ฟ่งพยักหน้า แม้จะรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง แต่หากเกิดเรื่องแบบนี้อีกก็ใช่ว่าเขาจะยอมรับไม่ได้ ก็เขาตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้ชายคนนี้แล้วนี่นา ถึงอย่างนั้น...
   “สัญญานะ” ฟ่งเอ่ยออกไปด้วยเสียงแหบพร่า ถึงเขาจะทำใจยอมรับได้ แต่ถ้าโดนแบบนี้บ่อยๆ เขาอาจจะหมดแรงตายคาเตียงจริงๆ ก็ได้ รูฟัสยิ้มให้เขา และโน้มหน้าเข้ามาจูบหน้าผากเขาแทนคำตอบ
   ฟ่งไม่แน่ใจว่ารูฟัสจะรักษาสัญญาจริงๆ หรือเปล่า เขามองดูใบหน้าได้รูปของอีกฝ่ายที่ขยับกลับไปนั่งบนเก้าอี้ มองดูอาหารในจาน ก่อนจะพยักหน้าให้กับตัวเองอีกรอบ
   จะทำยังไงได้ล่ะ ก็เขาตัดสินใจรักคนข้างห้องคนนี้ไปแล้วนี่นา
--------------------------------------------------

ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
^
^
^
จิ้มคนเขียน  ทำไมมันสั้นๆอ่ะ  ลงยังไม่ครบตอนอ่ะเปล่า
ตอนสุดท้ายแล้วเหรอเนี่ย  หวานได้ใจจนเลือดหมดตัวจริงๆ :m25:

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
^
^
^
จิ้มคนเขียน  ทำไมมันสั้นๆอ่ะ  ลงยังไม่ครบตอนอ่ะเปล่า
ตอนสุดท้ายแล้วเหรอเนี่ย  หวานได้ใจจนเลือดหมดตัวจริงๆ :m25:


ครบค่ะ แต่มันมีตอนต่ออีก เดี๋ยวสายๆ ลงให้นะคะ^^

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด