รัสเลอร์กำลังจะเก็บฉากบังตาของเขา ในตอนที่เสียงฝีเท้าดังขึ้น เส้นประสาททุกเส้นของเขาเขม็งเกร็ง มันต้องไม่ใช่เสียงฝีเท้าของราฟาแอลแน่ๆ เพราะมีมากมายหลายคู่จนขนาดคนที่ไม่ถูกฝึกมาอย่างเขายังฟังออก หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มแน่ใจว่าในประดานี้ไม่มีเพื่อนของเขาแน่นอน เพราะถ้าราฟาแอลอยู่ในก๊วนนี้ด้วยคงส่งเสียงมาแล้ว หมายความว่าที่กำลังวิ่งเข้ามานี่คือฝ่ายตรงข้ามงั้นรึ!?
“เวรตะไล…ราฟี่เอ๊ยราฟี่” รัสเลอร์พึมพำ เขาไม่ชอบเลยเวลาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ถึงจะยอมรับว่าตัวเองฉลาดปราดเปรื่องเรื่องเทคโนโลยีก็เถอะ แต่ในด้านการออกแรงและใช้กำลังนี่ รัสเลอร์แทบจะยกธงขาวตั้งแต่ยกแรก ปัญหาคือที่นี่ไม่ใช่เวทีมวย ที่โยนผ้าขาวแล้วกรรมการจะยุติการชก และก็ไม่ใช่การถูกพบครั้งแรกในงานทำงานภาคสนามของเขาด้วย หนุ่มผมสีน้ำตาลเตรียมการมาแล้วในระดับหนึ่ง หวังว่าเพื่อนของเขาจะมาทันเวลา
หน่วยภาคสนามในชุดเครื่องแบบสีขาวราวๆ สี่ห้าคน ค่อยๆ ก้าวเท้าเข้ามาอย่างระมัดระวังในบริเวณสถานที่ทิ้งขยะ ต่อให้โง่ขนาดไหนก็ต้องดูออกว่าเจ้าหน้าที่พวกนี้คงไม่ได้ถูกใช้ให้มาเก็บขยะหรือกวาดหยากไย่แน่ๆ ไอ้ปืนพกสีดำที่อยู่ในมือของแต่ละคนนี่คงไม่ได้มีไว้ใช้ยิงนกยิงหนูหรอก
รัสเลอร์นึกดีใจที่เขายังไม่เก็บฉากบังตา ถึงปืนจะเป็นอาวุธที่ถือว่ามีมานาน แต่มันก็ทรงประสิทธิภาพยิ่งกว่าอาวุธชนิดไหน เขาไม่อยากเสี่ยงเผชิญหน้ากับมฤตยูลูกตะกั่วนี้แบบตัวต่อตัว งานแบบนั้นให้ราฟาแอลทำไปคนเดียวก็แล้วกัน
รัสเลอร์แอบมองพวกที่เข้ามาใหม่ผ่านช่องเปิดเล็กๆ หลังฉาก พวกนั้นดูจะได้รับคำบอกเล่าว่าเขาอยู่ที่นี่ เพราะไม่ใช่แค่แวะมาดูแต่ถึงกับเดินเข้ามาสำรวจด้านใน ชายหนุ่มพยายามหายใจให้เบาที่สุด ท่าทางเขาจะต้องหยุดคนพวกนี้ก่อนจะเดินลึกเข้ามามากกว่านี้ ถึงฉากที่ใช้อยู่จะสามารถพรางได้ในระยะไกล แต่หากเข้ามาใกล้ๆ ก็คงเห็นว่าเป็นฉากเหมือนกัน รัสเลอร์จับจ้องก้าวย่างของคนพวกนั้นอย่างใจจดใจจ่อ
ห้าก้าว สี่ก้าว สามก้าว สองก้าว…หนึ่งเก้า
แสงแว้บสีน้ำเงินขาวของกระแสไฟฟ้ากำลังสูง และเสียงอิเล็กตรอนที่วิ่งชนกันนับครั้งไม่ถ้วนดังขึ้นราวกับกลุ่มแมลงที่กำลังกระพือปีกหึ่งๆ ในรัศมีสามคูณห้าตารางเมตรบริเวณที่กลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดขาวกำลังก้าวผ่าน ปรากฏคลื่นกระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่ขึ้นชั่วเสี้ยววินาที แล้วคนทั้งหมดก็ล้มโครมลงเหมือนหุ่นเชิดที่ถูกตัดเชือก
รัสเลอร์แลบลิ้นเลียริมฝีปาก กำรีโมทคอนโทรลรูปร่างแปลกๆ ในมือ มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เขาไม่สามารถหาจังหวะแสดงให้พวกราฟาแอลชมได้ เพราะต้องใช้เวลาติดตั้ง นี่คือเครื่องยิงกระแสไฟฟ้าพลังงานสูงที่สามารถล้มช้างได้ รัสเลอร์คิดว่ามันคงไม่ทำให้พวกที่โดนถึงกับชีวิตหรอก เพราะเขาปรับลดโวล์ของมันลงมาแล้ว แต่ถ้าตายก็ถือว่าอุทิศชีวิตเพื่อการทดลองก็แล้วกัน เขาคิดว่าสิ่งประดิษฐ์นี้น่าจะมีประโยชน์มหาศาลกับพวกสายลับ เพราะมันสามารถใช้หยุดคนจำนวนมากได้ ปัญหาของมันนอกจากเสียเวลาในการติดตั้งแล้วก็มีอีกแค่ปัญหาเดียวเท่านั้น คือมันสามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าได้แค่ครั้งเดียว ต่อการชาร์ตไฟหนึ่งครั้ง รัสเลอร์พอจะจินตนาการออกว่าราฟาแอลกับรูฟัสจะด่าเขาว่ายังไงถ้าขืนนำเสนอของที่มีข้อจำกัดแบบนี้ออกไป เสียดายที่หนึ่งในนั้นอาจจะไม่มีโอกาสได้ออกมาด่าเขาอีก
ขณะที่รัสเลอร์กำลังคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นาๆ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นอีกรอบ คราวนี้มีจำนวนมากขึ้นกว่าเดิม ถึงจะบอกจำนวนแน่ชัดไม่ได้ แต่คงมากกว่าเมื่อครู่เกินสองเท่าแน่ๆ หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มสะดุ้งโหยง นึกเสียดายไอ้เครื่องช็อตไฟฟ้าเมื่อครู่ เขาคุ้ยของในกระเป๋าออกมา
เอาว่ะ.. หวังว่าราฟี่จะมาทันได้เห็นตอนที่เขายังสามารถใช้ของพวกนี้ก็แล้วกัน
————————————————
อิทธิเดชกำลังยืนตะลึง เขาพบตัวคนที่ต้องการตัวมากที่สุดแล้ว คนที่ต้องการตัวมากที่สุดถึงสองคน
วรุต และ…. ชาวต่างชาติผมสีบลอนด์คนนั้น
ราฟาแอลคิดว่าเขาคงต้องหาหมวกคลุมหน้าที่ยาวกว่านี้ ไม่ก็ตัดผมเสีย อย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะต่อให้ปิดหน้าจนเหลือแต่ตา ไอ้ผมสีบลอนด์ของเขามันก็ยังแพลมออกมาให้เห็นอยู่ดี เอาเถอะ ในสถานการณ์แบบนี้ คงไม่มีไอ้บ้าปกติคนไหนมันปิดหน้าปิดตาแบบนี้หรอก เรื่องผมที่ยาวเลยออกมาก็ยกไปก่อนแล้วกัน
อดีตหน่วยสืบราชการลับของฮังการียักไหล่ กวาดตามองบรรดาพวกลิ่วล้อทั้งหลายที่ยืนล้อมเขาอยู่ ให้ตายสิ จะบอกว่าดีหรือไม่ดีกันล่ะเนี่ย ดูท่าพวกนี้ตั้งใจจะมาตามหาตัวเจ้าเด็กที่ถูกเขาจับอยู่เสียมากกว่า ถ้าไม่สงสัยแม่แคลร์ตัวดี ก็คงต้องเดาว่าเด็กนี่ต้องผละจากเจ้าพวกนี้มาไม่นานแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่ถูกเจอตัวเร็วขนาดนี้
“Stop! And release him!” ใครคนหนึ่งที่รู้สึกตัวเร็วที่สุดตะโกนขึ้น เสียงนั่นดึงอิทธิเดชกลับมาสู่สถานการณ์ปัจจุบัน เขาขยับตัว ยกปืนในมือเล็งไปยังฝ่ายตรงข้าม เหมือนคนอื่นๆ ราฟาแอลยักไหล่อีกรอบ
“Well… Do you know who you ask?” หนุ่มผมสีบลอนด์กล่าว และยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม
“Do you want him alive? If you do, let’s we go easy.”
เขากระชากตัวของวรุตเข้ามา และเอาปืนจี้ที่ขมับ เด็กหนุ่มนึกดีใจที่ปืนของราฟาแอลเย็นลงแล้ว ไม่งั้นขมับเขาคงไหม้ไปแล้ว เมื่อเห็นว่ายังไม่มีใครยอมขยับ หนุ่มผมบลอนด์จึงกล่าวต่อ “Or…. You want him die? PUT THE GUNS DOWN!!”
วรุตรู้สึกว่าราฟาแอลคงไม่ได้เพิ่งจับเขาเป็นตัวประกันคนแรกแน่ๆ ท่าทางเจ้าหมอนี่จะชำนาญการเรื่องนี้ เด็กหนุ่มกวาดตามองบรรดาลูกน้องของผู้เป็นบิดาที่มองหน้ากันเลิกลั่ก ท่าทางคงไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ราฟาแอลรีบขู่สำทับ
“NOW!!”
เด็กหนุ่มได้ยินเสียงกริ๊กที่ข้างหู ตกลงหมอนี่แค่ขู่หรือจะเอาจริงกันแน่นะเนี่ย เขาเพิ่งเคยตกเป็นตัวประกันครั้งแรก แม้ตอนแรกจะคิดว่ามันเป็นการสมยอม แต่ในเวลานี้ชักเริ่มรู้สึกขึ้นมานิดหน่อยแล้วว่ามันอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้
คนทั้งหมดตัดสินใจวางปืนแทบจะพร้อมกัน หนุ่มผมบลอนด์ขยับปืนในมือ และดันตัวประกันของเขาให้ก้าวออกไป
“Good, then….move out of here, too fast!! GO!!”
——————————————
“เราจะไปไหนกัน?” วรุตเอ่ยถามผู้ชายที่กำลังพาเขาวิ่งอยู่ พลางหอบหายใจ ทั้งคู่วิ่งมาแบบนี้ได้สักพักหนึ่งแล้ว หลังจากที่ฝ่าวงล้อมของพวกอิทธิเดชมาได้ และตอนนี้วรุตกำลังรู้สึกว่าเขาหายใจไม่ทัน
“ออกไปจากที่นี่น่ะสิ” ราฟาแอลตอบ เขาได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายขาดเป็นห้วงๆ ให้ตายสิ เจ้าพวกนี้ไม่เคยออกกำลังกายกันเลยหรือไงนะ จะปล่อยทิ้งเอาไว้ หรือว่าลากไปต่อดี
วรุตรู้สึกตกใจกับคำตอบของราฟาแอล แต่จนใจจะอ้าปากเถียง เพราะแค่หายใจให้ทันอย่างเดียวก็แทบจะไม่ทันอยู่แล้ว ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ราฟาแอลก็ชะลอฝีเท้า เด็กหนุ่มจึงถือโอกาสถามขึ้น “ผมคิดว่าคุณจะไปช่วยเพื่อนซะอีก?”
ราฟาแอลหันมาจุ๊ปาก และกระซิบ “ชู่ว...มีคนตามเรามา”
วรุตขมวดคิ้วอย่างสงสัย และมองตามสายตาของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่พบอะไร
“ไม่เห็นมีใครเลย” เขาว่า ราฟาแอลไม่ตอบ แต่กลับดึงตัววรุตเข้ามาใกล้ และใช้ปืนจ่อบริเวณศีรษะ
“ออกมา ไม่งั้นฉันยิงเจ้าหมอนี่ทิ้งแน่!!” หนุ่มผมบลอนด์กระชากเสียง วรุตรู้สึกตกใจนิดหน่อย ตกลงราฟาแอลเชื่อว่ามีคนตามมาจริงๆ หรือ แต่เขาไม่เห็นได้ยินเสียงอะไรเลยนี่นา แล้วจู่ๆ ร่างคุ้นตาร่างหนึ่งก็ก้าวออกมาจากหลังกำแพงซึ่งพวกเขาเพิ่งผ่านมาไม่นาน
อิทธิเดช!!
วรุตเบิ่งตาค้าง เขาไม่คิดว่าคนที่ตามมาจะเป็นผู้ชายคนนี้ อิทธิเดชก้าวออกมา และชูมือขึ้นเหนือศีรษะ “ผมไม่มีอาวุธ”
ราฟาแอลขมวดคิ้ว พึมพำออกไป “ผู้ชายรึนี่?”
จากสภาพร่างกายที่เห็น ถ้าไม่พูดออกมาเขาคงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผู้หญิงแน่ๆ หนุ่มผมบลอนด์กวาดตามองขึ้นๆ ลงๆ ดูจากเสื้อผ้า หมอนี่คงเป็นคนของที่นี่ งั้นที่พูดว่าไม่มีอาวุธก็คงไม่น่าเชื่อเท่าไหร่
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ!!”
อิทธิเดชหยุดการเคลื่อนไหว และเอ่ยปากขึ้นอีก “ผมมาขอตัวประกันคืน”
ราฟาแอลขยับปืนจากศีรษะของวรุตไปยังร่างของอิทธิเดชแทนทำตอบ หนุ่มหน้าสวยจึงพูดต่อ “ไม่อย่างนั้นก็พาผมไปด้วย”
สองหนุ่มชะงักค้างไปพร้อมกัน อิทธิเดชพูดจบก็ค่อยๆ ก้าวเท้าเข้ามา “ผมต้องดูแลเขา”
วรุตสั่นศีรษะทันที เขาตะโกนออกไป “อย่าเข้ามา!”
ขณะที่กำลังจ้องหน้าอยู่กับอีกฝ่าย ราฟาแอลขยับตัวหน่อยหนึ่ง วรุตรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่พุ่งมาด้วยความเร็วสูงเฉี่ยวหน้าไป ก่อนจะได้ยินเสียงระเบิดของลูกตะกั่วที่ข้างตัว ตามด้วยเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับร่างที่หล่นลงจากระเบียงซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“พวกสไนเปอร์!” ราฟาแอลพึมพำแทรกขึ้นมาหลังเสียงลูกกระสุน เกือบหลงกลยืนเป็นเป้านิ่งเสียแล้ว ดีที่ตัวเขาเองก็เคยทำเรื่องทำนองนี้มาก่อน พวกเดียวกันมันก็รู้สเต็ปกันนั่นแหละ
ขณะที่วรุตกำลังงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น อิทธิเดชก็กระโจนพรวดเข้ามา มันเกิดขึ้นในจังหวะที่เสียงปืนก่อนหน้านี้ยังไม่เงียบลงด้วยซ้ำ แต่ปืนของราฟาแอลเร็วกว่านั้น เขาขยับมันมายังผู้ที่พุ่งเข้ามาราวกับคำนวณไว้ก่อนแล้ว วรุตไม่ทันแม้แต่จะอ้าปาก เขายกมือขึ้นเพื่อจะคว้าแขนของราฟาแอลเอาไว้
ปัง!
สำหรับวรุตมันเป็นเหมือนภาพช้า เขาเห็นควันจากกระบอกปืนลอยผ่านหน้า เสียงปืนที่ดังก้องสะท้อนอยู่ในแก้วหู แรงผลักของราฟาแอลที่ตอบโต้การกระทำของเขา และเมื่อหันหน้าไป ร่างที่คุ้นตากำลังทรุดฮวบลงบนพื้น เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปเพื่อพยายามจะคว้าร่างของอิทธิเดชเอาไว้ โดยที่ตัวเองก็เสียหลักจากแรงผลัก จังหวะนั้นเขาเห็นกระบอกปืนของราฟาแอลหันเข้ามา นัยน์ตาสีเขียวมรกตนั้นดูราวกับนัยน์ตาของสัตว์นักล่า นิ้วชี้นั้นกำลังจะเหนี่ยวไก แต่แล้วมันกลับเบี่ยงไปทางอื่น
ปัง! ปัง!
ชายสองคนที่วิ่งเข้ามาพร้อมกับกระบอกปืนที่พร้อมเหนี่ยวไกในมือล้มลง ราฟาแอลล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เขาจำเป็นต้องหนีก่อนจะโดนล้อมมากไปกว่านี้ กระบอกโลหะรูปทรงคุ้นตาที่ขว้างออกไปแล้วสองหนก่อนหน้านี้ถูกล้วงขึ้นมา และโดยไม่ต้องรอให้มีใครสั่งห้าม ราฟาแอลดึงสลักออก ขว้างมันออกไป
ควันสีขาวพวยพุ่งออกมาจากกระบอกโลหะ ฟุ้งกระจายปิดบังทัศนะวิสัยราวๆ สี่ถึงห้าตารางเมตรในบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว และนานพอที่จะทำให้คนที่ขว้างมันมีเวลาหลบออกไปจากจุดอันตรายนี้
วรุตกอดร่างของอิทธิเดชแน่น เม้มริมฝีปาก ไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำพูดใดออกมาได้
—————————————–
ฟ่งพูดไม่ออก เขาเกือบจะหยุดหายใจทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้หอบแฮ่กๆ สิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าทันทีที่บานประตูของห้องทั้งสองบรรจบกัน คือสภาพที่เรียกได้ว่าเละเทะอย่างที่สุด ตู้กระจกแตกหักล้มระเนระนาดอยู่บนพื้นที่เกลื่อนไปด้วยเศษแก้วและชิ้นส่วนโลหะ ตู้หลายตู้แตกละเอียด มีบางตู้เท่านั้นที่ยังคงอยู่ในสภาพที่พอมองออกว่าครั้งหนึ่งเคยมีรูปลักษณ์อย่างใดมาก่อน แต่ของด้านในนั้นแตกเสียหายหมดแล้ว ตู้ใบที่ดูจะสภาพดีที่สุดวางขวางไว้ตรงหน้าประตู โดยมีร่างของชายสวมหน้ากากกันแก๊สในชุดกาวน์คนหนึ่งนั่งพิงอยู่
แว้บแรกที่เห็นฟ่งคิดว่าเป็นรูฟัส แต่พอเพ่งให้ชัดจึงรู้ว่าเป็นคนอื่น ถึงไม่เห็นหน้าแต่ผู้ชายคนนี้อายุเยอะแล้วแน่นอน ดูจากกล้ามเนื้อเหี่ยวแห้งและเส้นเอ็นบนฝ่ามือที่ปูดโปนออกมา
แม้จะสงสัยว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร แต่สิ่งที่ฟ่งกังวลกว่าคือ รูฟัสจะอยู่ที่นี่หรือเปล่า ชายหนุ่มพยายามกวาดตามองฝ่าเศษซากปรักหักพังของห้อง เขาไม่กล้าที่จะข้ามตู้กระจกแตกๆ ที่ขวางอยู่เข้าไป ด้วยกลัวว่าจะถูกเศษกระจกพวกนั้นบาด
ฟ่งกำลังชั่งใจว่าเขาสมควรตะโกนเรียกรูฟัสหรือเปล่า เสียงครางหึ่งๆ ของเครื่องกลไกที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ฟ่งขมวดคิ้วอย่างหนักใจ เขาหันกลับไปมองด้านหลังอย่างวิตก ห้องอีกห้องกำลังจะเคลื่อนมาแล้ว เขามีเวลาอีกไม่มาก
ฟ่งขบริมฝีปาก เขาตัดสินใจวิ่งไปที่แผงควบคุม กดปุ่มลงไปหลายปุ่ม รูฟัสคงไม่ได้อยู่ที่นี่ และเขาเองไม่สามารถเสี่ยงให้ห้องอีกห้องเคลื่อนมาบรรจบกันได้ ฟ่งไม่แน่ใจว่ากลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดสีขาวที่สะพายปืน ท่าทางขึงขังเหมือนทหารที่วิ่งไล่หลังมา จะมีปฏิกิริยายังไงกับเขาที่ชิงตัดหน้าเข้ามาที่นี่ก่อน ลำพังแค่เสียงตะโกนใส่ในช่วงที่เขากำลังวิ่งเข้าไปในห้องและกดปุ่มพวกนั้น กับลูกตะกั่วสองสามลูกที่ยิงเข้ามา ก็ทำให้ฟ่งตกลงใจว่า จะไม่ยอมเสี่ยงเด็ดขาด เขาอยากกลับออกไปพร้อมกับรูฟัส ไม่ใช่ตายอยู่ที่นี่
ร่างบางสูดหายใจลึก พยายามข่มตัวเองไม่ให้สติแตก แม้เขาจะไม่ได้ยินเสียงปืนแล้ว แต่การถูกยิงใส่นั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัยเอาเสียเลย จนถึงตอนนี้ฟ่งยังคงพบว่าตัวเองขาสั่น เขาถูกยิงใส่ก่อนหน้านี้ แล้วก็มาโดนไล่ยิงอีก นี่เขาคิดผิดหรือเปล่าที่เข้ามาในที่แบบนี้
ฟ่งรีบปฏิเสธความคิดนี้ทันที นี่คือสิ่งที่เขาตั้งใจแล้ว และทำใจเอาไว้แล้วว่าอาจจะเจอเรื่องแบบนี้ ก็แค่ตกใจเพราะยังไม่เคยอยู่ในสถานการณ์จริงมาก่อนเท่านั้นแหละ
หนุ่มสวมแว่นพยายามลำดับความคิดระหว่างที่ห้องกำลังเคลื่อนออก ในเมื่อรูฟัสไม่ได้อยู่ในห้องนี้ แปลว่าเขาอาจจะออกไปแล้ว หรือไม่ก็ไม่ได้อยู่ในห้องนี้เลยแต่แรกก็ได้ ถ้าอย่างนั้นรูฟัสอยู่ที่ไหน?
ฟ่งพยายามคิดถึงสถานที่ที่รูฟัสจะไป ยังมีห้องเก็บเอกสารอีกห้อง บางทีรูฟัสอาจจะอยู่ที่นั่นก็ได้ หรือบางทีอาจจะหนีลงไปแล้ว ฟ่งคิดว่าราฟาแอลคงไม่แค่วิ่งไปวิ่งมาเฉยๆ แน่ ผู้ชายผมสีบลอนด์คนนั้นอาจจะแยกกับรูฟัสไปที่ห้องเอกสารก็ได้ แล้วรูฟัสคงจะมาที่นี่ ไม่อย่างนั้นตู้พวกนั้นคงไม่แตกกระจาย พวกเขาอาจจะทำภารกิจเสร็จแล้ว และกำลังจะออกจากที่นี่
ฟ่งสูดหายใจลึก เขาคงต้องหลบให้พ้นจากพวกที่ถือปืนนั้นก่อน แล้วค่อยกลับไปตั้งต้นใหม่ เขาอาจจะกลับไปหาวรุต หาทางเช็กข้อมูลต่างๆ เพื่อประเมินสถานการณ์ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป และคงต้องเตรียมข้อแก้ตัวสำหรับเรื่องที่หายออกมาและเรื่องที่เข้ามาในห้องนี้
ฟ่งเชื่อว่าวรุตจะต้องช่วยเขา
ความคิดของฟ่งชะงักเมื่อรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ท้ายทอย บางสิ่งที่แข็งและเย็นเยียบ
บางสิ่งบางอย่างที่น่าจะเรียกว่าปืน
“Who you are?” เสียงที่ครั้งหนึ่งเคยคุ้นหูถามขึ้น ฟ่งควรจะรู้สึกดีใจที่ได้ยินเสียงนี้ แต่น้ำเสียงเย็นเยียบพอๆ กับปืนที่จ่อท้ายทอยเขาอยู่ ทำให้หนุ่มสวมแว่นเกือบจะคิดว่าเขาจำคนผิด ฟ่งเรียกชื่อนั้นออกไป
“รูฟัส?”
“Shut up! And answer me, who you are?” เสียงตะคอกอย่างเย็นชานั่นทำให้ฟ่งสะดุ้ง เขาอยากจะหันกลับไปหาผู้ที่อยู่ด้านหลัง แต่ปืนที่จ่อท้ายทอยเขาอยู่นั้นแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการให้เขาทำเช่นนั้น
“ผม..ฟ่งไง” ร่างบางตอบ รู้สึกขมไปทั้งปาก ไม่คิดเลยว่าเขาจะต้องพูดประโยคแบบนี้กับชายคนนี้ รูฟัสจำเขาไม่ได้ หรือคิดว่าเขาคือคนอื่นกันแน่นะ?
“I don’t want to know that. Say! Who you are, why you here, what do you want?!”
อีกฝ่ายกระชากเสียง ฟ่งสะดุ้งอีกครั้งเมื่อปากกระบอกปืนกระแทกใส่ต้นคอของเขาอย่างข่มขู่ ร่างบางพยายามกลืนน้ำลายเหนียวหนืดเข้าไปในลำคอ “พะ…พูดกับผมดีๆ ไม่ได้หรือไง?”
ฟ่งเคยเห็นรูฟัสโกรธมาแล้ว ในตอนที่ไปช่วยเขาที่ฮ่องกง ตอนนั้นรูฟัสก็ไม่ยอมพูดภาษาไทยกับเขา แต่สถานการณ์ในตอนนี้ดูเหมือนจะแย่กว่านั้น นอกจากรูฟัสจะไม่พูดจาดีด้วยแล้ว ยังใช้ปืนขู่อีกด้วย หรือว่าระแวงเขา
“ผมมาช่วยคุณนะ” ร่างบางละล่ำละลักออกไป ได้ยินเสียงอีกฝ่ายดังขึ้นมา
“Help? Help me? Don’t be kidding like that. Tell the true, who you are, what you want?”
“ผมพูดจริงๆ” ฟ่งคราง นี่รูฟัสคิดว่าเขาเป็นสายลับหรือไง ถึงเขาจะใส่เสื้อผ้าของที่นี่ก็เถอะ นี่ไม่คิดจะไว้ใจกันบ้างเลยหรือ อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง จึงพูดขึ้นต่อ “Well, if you say so. Take that cloth off!’
ฟ่งเบิ่งตาค้างอย่างตกใจ นี่รูฟัสจะให้เขาถอดเสื้อออกตอนนี้? เขาโวยวายขึ้นทันที “คุณจะบ้าเหรอ!! จะให้ผมถอดตอนนี้เนี่ยนะ?”
“If you didn’t hide something, take it off! Or want me does?” เสียงที่เย็นชาเหมือนเดิมกล่าว และกระตุ้นเข้าด้วยการกระแทกปืนอีกครั้ง ฟ่งขมวดคิ้ว และขบริมฝีปาก นี่คือสิ่งที่เขาได้รับหลังจากเสี่ยงตายกับลูกปืนพวกนั้นหรือ ร่างบางค่อยๆ ยกมือที่สั่นเทาแกะกระดุมเสื้อออก
“ผมแกะเครื่องติดตามออกไปแล้ว” ฟ่งกล่าว เมื่อรูฟัสดึงเสื้อผ้าที่กองอยู่ที่ปลายขาเขาออก ร่างบางสยิวกายที่ไร้เสื้อผ้าปกคลุมเหลือเพียงชั้นในตัวเดียวด้วยความหนาวเหน็บ แต่อากาศที่สัมผัสร่างกายคงไม่หนาวเย็นเท่าน้ำเสียงที่พูดคุยกับเขาผ่านกระบอกปืนที่อยู่ตรงท้ายทอย
“I will check that later, turn to the wall!”
ฟ่งเกือบจะร้องออกมาเมื่อรูฟัสออกแรงผลักตัวเขาเข้าหาผนังห้องซึ่งอยู่ใกล้ๆ ผิวโลหะเย็นเยียบสัมผัสกับแขนของเขาโดยยังคงมีปืนกระบอกนั้นจออยู่ที่ท้ายทอย เขารู้สึกถึงลมหายใจของอีกฝ่ายและเสียงพูดเย็นชาที่เสียดแทงเข้าไปในโสตประสาท
“You have something in your hole?”
ร่างบางอ้าปากค้าง อยากจะหันไปตบรูฟัสสักฉาด แต่จนใจที่สภาพเขาในตอนนี้คงไม่สามารถทำได้ จึงเถียงออกไป “คุณจะบ้าไปใหญ่แล้ว ผมจะเอาอะไรซ่อนไว้ตรงนั้น!!”
“Let’s check” อีกฝ่ายกล่าว ฟ่งสะดุ้งเฮือก เมื่อมือถูกรวบไว้เหนือศีรษะ กางเกงชั้นในของเขาถูกดึงต่ำลงไปจนพ้นจากส่วนที่มันเคยอยู่ ร่างบางหน้าแดงก่ำ ทั้งโกรธทั้งอาย และก็ยิ่งตกใจมากขึ้น เมื่อช่องเปิดตรงสะโพกถูกนิ้วมือของอีกฝ่ายบุกรุกเข้าไปอย่างหยาบคาย
“ถ้าระแวงผมมากขนาดนี้ก็มัดผมไว้เลยสิ!!” ฟ่งโพล่งออกมาอย่างหัวเสียหลังจากที่รูฟัสดึงนิ้วออกไปแล้ว เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นจริงๆ หมอนี่ใช้อะไรคิดถึงนึกว่าเขาจะซ่อนอะไรไว้ตรงนั้น นี่ถ้าเป็นตอนปกติเขาต้องคิดว่ารูฟัสหาข้ออ้างลวนลามแน่ๆ แต่ตอนนี้ดูท่าอีกฝ่ายคงคิดแบบนั้นจริงๆ
“You right”
ฟ่งตาเหลือกเมื่อรูฟัสดึงมือของเขาลงไพล่หลังและใช้เทปผ้าหรืออะไรซักอย่างมัดเอาไว้ อีกฝ่ายกระซิบเสียงเรียบ
“Stand here, I will check your cloth”
—————————————————-
รูฟัสยอมรับไม่ได้เด็ดขาด เขาไม่เคยคิดมาก่อน ไม่แม้แต่จะจินตนาการ ว่าคนที่ยืนอยู่ในห้องที่กำลังเคลื่อนเข้ามาคือคนที่เขาไม่ต้องการให้อยู่ที่นี่มากที่สุด คนที่เขาบากหน้าไปฝากฝังเอาไว้อย่างดีกับคนที่พอจะไว้ใจได้ รูฟัสแทบจะทิ้งปืนทันทีที่เห็นว่าฟ่งอยู่ในห้องนั้น ทรงผมแบบนั้น แว่นตาแบบนั้น หน้าตาบูดๆ บึ้งๆ แบบนั้น เขาไม่มีวันจำผิดเด็ดขาด ฟ่งมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
คำถามมากมายเกิดขึ้นตามมา รูฟัสคิดว่าฟ่งมองไม่เห็นเขา ร่างนั้นชะเง้อมองอยู่ครู่หนึ่ง และหันหลังกลับไปอย่างกระวนกระวาย มีใครตามมา หรือว่ากำลังรอใครอยู่ แล้วทำไมถึงได้แต่งตัวแบบนั้น นั่นมันเครื่องแบบพนักงานที่นี่ไม่ใช่หรือไง รูฟัสพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด ฟ่งคงร่วมมือกับทวีศักดิ์ หรือวรุต ไม่งั้นคงไม่สามารถมาอยู่ที่นี่ได้ จะเพราะถูกขู่หรืออะไรก็ตามแต่ ทางนั้นคงคิดจะใช้ฟ่งมาล่อเขาออกไป รูฟัสคิดว่านี่ออกจะเป็นลูกไม้ที่ตื้นเขินไปหน่อย ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้เขาโมโห ชายหนุ่มตัดสินใจตามฟ่งออกไป ถ้าฟ่งกล้าทำแบบนี้กับเขา ก็ควรจะต้องสั่งสอนสักหน่อย
แม้จะคิดแบบนั้นแต่แค่ทำเสียงให้ดูเหี้ยมโหดเมื่อต้องเผชิญกับคำพูดตะกุกตะกักเหมือนว่ากำลังตกใจมากของทางนั้น ก็แทบจะแย่แล้ว ถ้าไม่ติดว่าสถานการณ์ตอนนี้มันอันตราย เขาอยากที่จะรวบตัวฟ่งเข้ามา จูบให้หายอยาก แล้วจับกดเสียให้เข็ดหลาบ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ รูฟัสจำต้องเล่นไปตามบทบาทของเขา เขาเอาปืนจ่อท้ายทอยฟ่ง จี้ให้ฟ่งถอดเสื้อผ้า และก็แทบจะร้องครางเมื่อพบว่าแผ่นหลังขาวๆ นั่นมีรอยจ้ำสีชมพูจางๆ เต็มไปหมด ถ้าสีมันเข้มกว่านี้คงคิดว่าเป็นรอยที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ตอนเขาไม่อยู่ โชคดีที่รูฟัสพอจะจำได้ว่าเขาเป็นคนทำรอยทั้งหมดนี้เอง และก็แทบจะทิ้งปืนแล้วดึงร่างนั้นเข้ามาเพื่อประทับรอยรักเพิ่มเข้าไปอีก
ปัญหาคือ เขายังไม่แน่ใจว่าฟ่งเป็นตัวแสบในระดับไหน จึงจำต้องไล่ต้อนให้ยอมจำนนมากว่าที่เป็นอยู่ เขาคิดว่าฟ่งอาจจะโกรธ และเขิน สังเกตจากเลือดฝาดที่สูบฉีดขึ้นมาตรงใบหู แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังปากแข็งเสียเหลือเกิน รูฟัสจึงเลือกที่จะต้อนฟ่งจนถึงที่สุด สัมผัสในจุดสวาทที่คุ้นเคยนั้นแทบทำให้เขาสติแตกจริงๆ และแทนที่ฟ่งจะอ้อนวอน ยอมรับผิด กลับท้าทายให้มัดตัวเองเสียได้ รูฟัสจึงตอบสนองเสียงเรียกร้องดังกล่าว
เขาจำเป็นต้องทำให้ฟ่งเข็ดหลาบ จะได้ไม่กล้าทำเรื่องหลอกเขาแบบนี้อีก
แต่ตอนนี้รูฟัสกลับรู้สึกว่าตัวเองผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง เขาไม่พบอะไรในเสื้อตัวนั้น ไม่พบสิ่งที่ดูคล้ายเครื่องดักฟังหรือเครื่องสงสัญญาณเลย มีแค่ปากกาลูกลื่นธรรมดาๆ เล่มหนึ่ง หนุ่มตาสองสีเม้มริมฝีปากด้วยความตกใจ เขาค่อยๆ เบือนหน้าไปยังจุดที่มัดฟ่งเอาไว้ เอ่ยปากขึ้นด้วยความยากลำบาก
“คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
“ผมมาช่วยคุณ” ฟ่งกล่าวเสียงเครือ เขายืนอยู่ตรงนั้น เปลือยแทบทั้งหมด ถูกมัดมือเอาไว้ และกำลังร้องไห้
—————————————————-
**คาดว่าจบตอนนี้ ทุกคนคงรุมด่ารูฟัสแหงม... โถ... พ่อพระเอกกกก