[ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ท่านผู้อ่านชอบตัวละครใดมากที่สุด ในเรื่อง"คนข้างห้องผมเป็นสายลับ" (อนุญาตให้เลือกได้แ

หนูฟ่ง : แน่นอนอะ กระรอกน้อยช่างน่ารัก และน่าเหยียบ ในเวลาเดียวกันo_O
รูฟัส : สุดๆ อะ พระเอกอะไรไม่รู้ว มันน่ารัก น่าหยิกแก้มจริงๆ นะเนี่ย (ทั้งกะล่อน ตอแหล หื่น รวมอยู่ในคนคนเดียว!!)
เว่ยเฟิงปิง : เอะอะสะบัดบ๊อบตลอดค่ะ (ไม่มีก็ไว้ซะนะคะ เฟิงขา)
จางซื่อเยี่ยน : ถึงจืดถึงจาง.. ถึงจะซื่อจะบื้อ... แต่ก็รักนะ รักหน่อยเหอะน้า~
อิทธิเดช : หนุ่มหน้าสวย บทไม่มาก (เพราะคนเขียนไม่อวย<<อ้าว) แอบโรคจิตนิดๆ แต่ก็น่าถนอม
วรุต : หนุ่มน้อยหน้ามน โรคจิตไม่แพ้กัน (จับคู่กับอิทธิเดชเลยได้คู่จิตป่วนแห่งปีไป) เอาน่า น้องวรุตก็มีส่วนน่ารักน่าเอ็นดูนะ!!
เว่ยจินหยิน : อวย!! อันนี้คนเขียนอวยค่ะ ฮ่าๆ ไม่รู้จะจิ้มใคร จิ้มให้คุณชายจิ้งจอกสุดที่Loveของดั้นสิฮ้า (โดนคนอ่านถีบ)
เถียนซาน : ผู้ชายแสนอบอุ่น... (คนนี้ไม่ได้อวย แต่เป็นคนอวยคนด้านบนอีกทีนึง..... เอวัง)

ผู้เขียน หัวข้อ: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55  (อ่าน 247439 ครั้ง)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   เว่ยจินหยินลดฝีเท้าลง หลังจากเดินออกมาจากห้องประชุมได้ระยะหนึ่ง เขาไม่เห็นเอียนแล้ว หมอนั่นคงแอบตามเฟิงปิงออกไปก่อนแบบที่เขาคิดเอาไว้ ที่ตามมาด้านหลังคงเป็นฟารุคกับลูกน้องที่ชื่อสคัล คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยเดินเลี่ยงออกมาจากแถวทางเดินนั้นอย่างเงียบๆ พร้อมกับคนสนิทของเขา คนที่เขาไว้วางใจมากที่สุด ถึงเวลาที่เขาจะต้องจัดการสิ่งที่เว่ยชิงต้องการให้เสร็จๆ แล้วออกไปจากที่นี่เสียที

   เถียนซานเดินตามเจ้านายของเขาออกมา เขาเดาออกว่าเว่ยจินหยินกำลังคิดอะไร คุณชายของเขาคงเลือกสถานที่ที่ได้เปรียบที่สุด สำหรับสังเวียนการต่อสู้ครั้งนี้ แน่นอนว่าเขาไม่สามารถรับมือทั้งฟารุคและสคัลได้ ใครสักคนต้องถูกส่งต่อให้กับเว่ยจินหยิน เถียนซานแค่หวังว่าคุณชายของเขาจะไม่เป็นอันตราย เขาควรเชื่อใจว่าเว่ยจินหยินจะดูแลตัวเองได้

   คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยหยุดยืนตรงลานกว้าง ที่ฟากหนึ่งเป็นระเบียงต่อออกไปยังพื้นที่อื่น ดูเหมือนตรงนี้จะใช้เป็นจุดรวมตัวกันเพื่อประชุมวางแผนงานของบรรดาพนักงานที่อยู่ในชั้นนี้ มันมีบันไดเล็กๆ เชื่อมขึ้นไปถึงห้องพักที่อยู่ชั้นบน เว่ยจินหยินหันกลับมาหาลูกน้องของเขา ไม่มีคำพูดใด นอกจากมือเรียวที่ยื่นเข้ามาจับมือของเขาเอาไว้
   เว่ยจินหยินบีบมือคู่นั้นแน่น มือหนาหนักสากหยาบที่เขาคุ้นเคย มือที่เคยปกป้องเขามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เขาอยากจะสัมผัสมันก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำอีก หรือไม่บางทีในคราวหน้ามือคู่นี้อาจจะไม่มีไออุ่นอีกแล้ว นัยน์ตาสีดำมองผ่านแว่นสายตา ไปยังใบหน้าของบุรุษวัยสี่สิบเศษที่เป็นทั้งพี่เลี้ยง และอดีตบอร์ดี้การ์ดของเขา คนที่รู้ใจเขามากที่สุด คนที่รักเขามากที่สุด คนที่เขารักมากที่สุด
   เว่ยจินหยินขบริมฝีปาก ไม่มีคำพูดใดจำเป็นในตอนนี้ ในสถานการณ์ที่แม้แต่เขาเองยังไม่สามารถสรุปจุดจบของมันได้อย่างแน่นอน เขาแค่หวังว่า จะมีโอกาสได้จับมือคู่นี้อีกครั้ง จับมือคู่นี้และออกจากที่นี่ไปด้วยกัน
   เถียนซานกุมมือเจ้านายของเขา ดวงตานั้นสื่อทุกอย่างได้มากเสียยิ่งกว่าคำพูด ไม่มีความจำเป็นต้องเอ่ยถ้อยคำใดอีก เขาค่อยๆ คลายมือออก และหันหลังกลับไป ทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าสองคู่เดินเข้ามา
   เว่ยจินหยินจะต้องออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม   
----------------------------------------------
   เสียงที่ดังขึ้นมาไกลๆ นั้น ดังพอจะเขย่าเซลล์ประสาทที่สั่นสะเทือนด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าของทวีศักดิ์ให้ยิ่งสะเทือนมากขึ้น เขายืนอึ้งอยู่พักใหญ่ จึงหันไปมองหน้าลูกชาย
   “วิน ลูกได้ยินเสียงเมื่อตะกี้มั้ย?”
   วรุตหันมามองพ่อของเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ เขากำลังโค้งให้แขกคนสุดท้าย “เสียง? ผมไม่เห็นได้ยินอะไรเลย”
   “ไม่ ลูกต้องได้ยินแน่ เมื่อกี้พ่อยังได้ยินใครสักคนพูดว่าเสียงระเบิด”
   วรุตยิ้มให้พ่อของเขาอย่างปลอบโยน “พ่อหูฝาดไปแน่ๆ ผมว่า ผมไม่ได้ยินใครพูดแบบนั้นเลย ถ้ามีระเบิดจริง พ่อต้องรู้สึกสิ ไม่มีใครอยากระเบิดตัวตายหรอกนะพ่อ”
   “บางทีอาจจะเป็นฝีมือสายลับพวกนั้นก็ได้” ทวีศักดิ์ว่า “พวกมันตั้งใจจะมาทำลายงานของพ่อ... ทำลายอนาคตของเรา...” ทวีศักดิ์พูดกับลูกชาย เขามั่นใจว่านั่นคือเสียงระเบิด และงานของเขากำลังจะถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง วรุตสั่นศีรษะ
   “มันไม่แย่ขนาดนั้นหรอก ไหนพ่อว่าที่นี่เข้ายากออกก็ยากไง ผมว่ายังไม่มีใครออกไปได้หรอก ไม่อย่างนั้นอารัตน์คงรู้แล้ว พ่อลองถามอารัตน์ดูสิ ว่าเกิดอะไรขึ้น อาจจะไม่มีอะไรมากก็ได้นะ”
   ทวีศักดิ์ยืนมองหน้าลูกชายอยู่อีกพักหนึ่ง จากนั้นเขาก็ยื่นมือมาจับไหล่ของเด็กหนุ่มไว้แน่น “วิน ลูกต้องรีบออกไปจากที่นี่ ไปให้เร็วที่สุดเลย พ่อจะให้คนมารับลูก”
   วรุตพยายามจะยิ้มให้พ่อของเขา
   “เราจะไปส่งแขกพวกนี้ก่อน แล้วเราจะออกไปด้วยกัน ผมกับพ่อ..”
-------------------------------------------
   สำหรับฟ่งกับอิทธิเดช เสียงระเบิดที่ว่าไม่ใช่แว่วมาจากที่ไกลๆ หรือเป็นแค่เสียงที่ดังขึ้นอย่างเดียว สำหรับพวกเขามันมาพร้อมกับแรงสะเทือนที่สามารถรู้สึกได้ พ่วงด้วยแสงสีทองที่สว่างวาบขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดจากมุมหนึ่งของระเบียงซึ่งเป็นทางเชื่อมไปสู่ห้องนิรภัย
   “ระเบิด!!” อิทธิเดชโพล่งขึ้น เสียงแบบนี้ แรงสั่นสะเทือนแบบนี้ และแสงนั่น ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้ วินาทีนั้นเองที่ฟ่งวิ่งออกไป
   “คุณ!!!”
   เขานึกไม่ออกกระทั่งชื่อของฟ่งด้วยซ้ำ ชายคนนั้นกำลังวิ่งไปในทิศทางที่มีระเบิด บ้าไปแล้ว!! แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาห่วงคนที่ยังไม่รู้เป้าหมายแบบนั้น อิทธิเดชหันหลังกลับ วิ่งย้อนไปทางที่เขาเพิ่งลงมา
   ทวีศักดิ์... วรุต!!!!
-------------------------------------------
   ฟ่งรู้สึกหูอื้อ ครึ่งหนึ่งมันเกิดขึ้นเพราะเสียงระเบิด แต่อีกครึ่งหนึ่งมันมาจากความตกใจของเขาเอง นั่นมันทางไปห้องนิรภัยไม่ใช่หรือ ทำไมถึงเกิดระเบิดขึ้นล่ะ? รูฟัสติดอยู่ในนั้นหรือเปล่า? ฟ่งวิ่งไปพลางถามตัวเองไปพลาง ใครเป็นคนวางระเบิด เพื่ออะไร? แล้วจะยังมีการระเบิดอีกไหม? แล้วเขาจะแน่ใจได้ยังไงว่ามันปลอดภัย?!   
   ความคิดนั้นเองที่ทำให้ฟ่งชะงักฝีเท้า เขาหยุดอยู่ก่อนที่จะถึงระเบียงนั้นไม่กี่ก้าว เปลวไฟและควันลอยคลุ้งขึ้นมา กลิ่นไหม้ของดินระเบิดและสารเคมีที่ผสมมันขึ้นมาแรงพอจะทำให้ต้องยกมือขึ้นปิดจมูก ดูจากความเสียหาย ที่กินบริเวณราวห้าเมตร ระเบิดนี่คงไม่หวังผลรุนแรงมาก แล้วทำไมถึงต้องระเบิดตอนนี้ ระเบิดตรงนี้ ใครทำ และเพื่ออะไร?
   ฟ่งหยุดยืนและคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เขารู้คือทวีศักดิ์คงไม่วางระเบิดสิ่งปลูกสร้างของตัวเอง และคงไม่มีพนักงานคนไหนกล้าทำ นอกจากถูกจ้างวาน หรือเป็นสายลับ จะว่าไปมีคนที่เป็นสายลับและไม่ใช่พนักงาน แถมยังอยู่ที่นี่ คนที่เป็นที่มาของเสียงยิงปืนที่ดังรัวราวกับเสียงประทัด
   ราฟาแอล?!
   แต่ราฟาแอลคงไม่วางระเบิดเพื่อกำจัดเพื่อนร่วมงานตัวเอง ถึงเขาจะดูเป็นคนโหดร้ายขนาดไหนก็เถอะ และคงไม่ได้วางเพื่อหวังผลจะถล่มที่นี่ ถ้าอย่างนั้น ระเบิดนี่มีจุดประสงค์เพื่อก่อกวนหรือ ราฟาแอลกำลังถูกตามล่า เขาต้องการจะดึงความสนใจอย่างนั้นหรือ? ฟ่งเห็นคนกลุ่มหนึ่งแบกลากพวกพ้องที่ได้รับบาดเจ็บออกมาจากกลุ่มควันและเปลวไฟนั่น ดูจากสภาพเครื่องแต่งกายที่มอมแมมไปบ้าง แต่พอจะระบุได้ว่าเป็นคนของที่นี่ไม่ผิดแน่ และอาวุธปืนประสิทธิภาพสูงกระบอกเขื่องที่ห้อยอยู่ข้างตัวคงไม่เป็นพนักงานธรรมดาไปได้ คนพวกนี้อยู่ตรงนี้ แปลว่ามีอะไรบางอย่างที่อันตรายถึงกับต้องพกอาวุธครบมืออยู่ในห้องนิรภัยนั่น ฟ่งถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนจะหันหลังและวิ่งออกไป เขาเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวบางอย่างได้
   บางทีรูฟัสอาจจะติดอยู่ในนั้น แล้วระเบิดเมื่อครู่อาจจะเป็นการช่วยเหลือจากชายที่ชื่อราฟาแอล
--------------------------------------
   รัสเลอร์เองได้ยินเสียงระเบิด ทั้งจากหูฟังของเขาและจากบรรยากาศที่สั่นสะเทือนเข้ามา แต่ดูเสียงจากหูฟังน่าจะดังกว่า เขาดึงภาพจากกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่แถวๆ บริเวณที่ราฟาแอลเคยผ่านขึ้นมาดู และพบจุดที่เกิดระเบิด ระเบิดนั่นกินวงไม่กว้างมาก ราฟาแอลไม่ได้หวังการถล่มอย่างที่พูดเอาไว้ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย รัสเลอร์ไม่แน่ใจว่าควรจะขอบคุณราฟาแอลเรื่องนี้ดีหรือเปล่า ดูเหมือนทวีศักดิ์จะสั่งคนให้เข้าไปจัดการกับรูฟัสที่ห้อง เขาคงไม่ไว้ใจลู่ชางว่าจะจัดการผู้บุกรุกให้เขาได้ และระเบิดทีเกิดขึ้นก็ประจวบเหมาะกับที่พวกนั้นกำลังเข้าไปพอดี อย่างน้อยถ้าประตูไม่เปิด รูฟัสก็ยังไม่ถูกใครกระหน่ำยิงในพื้นที่แคบ แล้วรัสเลอร์ก็แทบแหกปากร้องอีกรอบ
   ฟ่ง!!!
   แม้จะแค่แวบเดียว แต่คนที่วิ่งออกไปจากบริเวณนั้นน่าจะเป็นฟ่งไม่ผิดแน่ เขามัวแต่ดูอาการของคนบาดเจ็บและประเมินรัศมีของการระเบิด เลยไม่ได้สนใจจุดเล็กๆ ที่ด้านล่างของหน้าจอ แต่รัสเลอร์แน่ใจยิ่งกว่าแน่ใจ ว่าสิ่งที่เขาเห็นคือฟ่งแน่ๆ คงไม่มีพนักงานคนไหนวิ่งไปถึงที่นั่นเห็นเพื่อนตัวเองบาดเจ็บแล้วจะวิ่งออกมาอย่างนั้นหรอก นอกจากคนที่มีจุดประสงค์อีกอย่าง รัสเลอร์ดึงภาพจากกล้องวงจรปิดตัวอื่นๆ ขึ้นมา ตอนนี้เขาไม่อยากเป็นแค่คนเฝ้าดูเลย ผู้ชายคนนี้กำลังทำให้เขาเป็นโรคประสาท เขาต้องรู้ให้ได้ว่าฟ่งจะทำอะไร เขาจะได้แจ้งกับผู้ชายที่ชื่อราฟาแอลถูก ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
------------------------------------------
   รูฟัสได้ยินเสียงระเบิด ในจังหวะที่เขากำลังนิ่วหน้าอย่างหงุดหงิดกับเสียงหัวเราะเย้ยหยันของลู่ชางเพราะประตูไม่ยอมเปิด ตาเฒ่านี่คงไม่ใกล้เสียสติเท่าไหร่ อย่างน้อยๆ ก็ชะงักไปบ้างตอนที่ได้ยินเสียงระเบิดนั่น มันค่อนข้างใกล้ และมีแรงสั่นสะเทือนตามมา คงเป็นฝีมือของราฟาแอล หมอนั่นคงทำบางอย่างให้ประตูเปิดออก รูฟัสถอยห่างออกมาจากประตูเหล็กบานนั้นที่เริ่มมีสัญญาณบางอย่าง
   “ระบบกำลังเข้าสู่การปลดล็อกในสภาวะฉุกเฉิน จะนับถอยหลังภายในสิบห้าวินาที  สิบห้า...สิบสี่..สิบสาม.......................ห้า... สี่..สาม...สอง....”
   รูฟัสกลั้นหายใจ ระเบิดนั่นเพื่อสิ่งนี้หรือ ชายหนุ่มภาวนาไม่ให้สิ่งที่อยู่ด้านหลังประตูเป็นการตั้งแถวของพลแม่นปืน หรือไม่ต้องแม่นมากมายก็คงสามารถกระหน่ำยิงเขาให้ตายในห้องแคบๆ ที่ไร้ที่กำบังนี่ได้
   “หนึ่ง.... โปรดระวังขณะก้าวออกจากประตู”
   เสียงอิเล็กทรอนิกจบลง พร้อมกับบานประตูที่เปิดออก ไม่มีกระบอกปืนใดๆ อยู่ตรงนั้น ไม่มีอะไรเลย  รูฟัสดูไม่ผิด ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นเลยนอกจากความว่างเปล่า และไกลออกไป สิ่งที่ดูเหมือนกล่องห้าเหลี่ยมแคบๆ หลายกล่องลอยอยู่โดยมีโครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่ยึดด้านข้างของมันเอาไว้ รูฟัสถอยหลังกลับมาก้าวหนึ่ง นี่คือความเลวร้ายของห้องที่ฟ่งได้สร้างสรรค์เอาไว้ ห้องที่แยกออกจากกันได้อย่างอิสระ และจะต่อกันได้ต่อเมื่อมีการใส่รหัสที่ถูกต้อง  ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองแผงควบคุมที่ประตู มันไม่มีแม้แต่แป้นตัวเลข หรือแม้แต่แป้นเปิดปิด ประตูนี้ถูกสร้างให้เปิดจากด้านนอกเท่านั้น และตอนนี้เสียงหัวเราะของลู่ชางก็ดังขึ้นอีกรอบ
   “ยินดีต้อนรับสู่ความสิ้นหวัง ฮ่าๆ”
   รูฟัสถึงกับต้องเตะเสยปลายคางของชายที่แก่กว่าตัวเองหลายสิบปี เขาทนไม่ไหวจริงๆ ที่ต้องฟังเสียงหัวเราะน่าขยะแขยงแบบนี้ และหวังว่าที่เตะไปนั่นคงไม่ทำให้ชายแก่คนนี้ถึงแก่ความตาย เขาหันไปมองประตูอีกรอบ และมองลงไปเบื้องล่าง ก่อนจะเบือนหน้าขึ้นมา ไม่ต้องคิดถึงว่าถ้าตกลงไปจะตายไหม พื้นที่ที่เหมือนลูกบอลขนาดใหญ่ บรรจุห้องต่างๆ ที่มีทั้งอยู่สูงหรืออยู่ต่ำลงไป รูฟัสยังมองไม่ออกว่ามันจะต่อกันได้ยัง และต่อให้มองออกเขาก็คงไม่มีปัญญาทำให้มันเคลื่อนที่เข้ามาได้ ไม่ต้องคิดถึงว่าจะโรยเชือกลงไปเพื่อไปยังห้องอื่นเลย เพราะเชือกคงยาวไม่พอและไม่มีห้องไหนอยู่ในระนาบหรือระดับที่เขาจะหย่อนตัวหรือข้ามไปได้  หนุ่มตาสองสีกลืนน้ำลาย  เขาคงต้องการปาฏิหาริย์จริงๆ สำหรับเรื่องนี้
   ยังไงๆ เขาก็ยังอยากจะเจอคนที่สร้างห้องนี้อยู่ แบบที่ตัวเองยังเป็นๆ รูฟัสคิดว่าถ้ารอดออกไปเขาคงมีหลายๆ อย่างจะต้องพูดกับฟ่ง อย่างน้อยๆ ก็คือห้ามสร้างอะไรน่าหวาดเสียวแบบนี้อีก  แต่นั่นคงจะไม่เกิดขึ้น ถ้าห้องพวกนั้นไม่เคลื่อนเข้ามา ชายหนุ่มถอนหายใจ เขาหันไปมองกล้องวงจรปิดเหนือศีรษะ รัสเลอร์คงน่าจะมองอยู่ ถึงจะตอบกลับมาไม่ได้ แต่ขอให้เขาได้ระบายความในใจบ้างเถอะ
-------------------------------------
   “เฮ้ย! รัสเลอร์ รูฟัสเป็นไงบ้าง ระเบิดนั่นได้ผลไหม?” ราฟาแอลถามสวนกลับมา เสียงระเบิดนั่นพอดึงความสนใจไปได้บ้างจริงๆ นั่นแหละ ดูเหมือนพวกนั้นจะระวังตัวมากขึ้น คงคิดว่าใกล้ๆ นี้อาจจะมีอีกลูกก็ได้ นั่นทำให้เขามีเวลาพอจะมาสนใจผลงานที่ตัวเองทำไว้
   “คิดว่าได้ผล อย่างน้อยนายก็ระเบิดพวกที่กำลังจะเข้าไปรุมยิงหมอนั่น”
   “อ้อ ฟังดูไม่เสียแรงเปล่า แล้วประตูเปิดหรือยัง”
   “ฉันคิดว่าน่าจะ..เดี๋ยวนะ” รัสเลอร์ขมวดคิ้ว งุนงงกับภาพที่เขาเห็น รูฟัสกำลังจ้องมาที่กล้องวงจรปิด และพูดอะไรบางอย่าง
   “ราฟี่ ประตูเปิดแล้ว แต่ฉันรู้สึกว่ารูฟัสน่าจะมีปัญหาใหม่”
   “โอ๊ย มันจะมีปัญหาอะไรนักหนา.. เท่าที่ฉันจำได้ หมอนี่ไม่เคยก่อปัญหาขนาดนี้นี่นา” ราฟาแอลบ่น ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกขึ้นมาแล้วว่าน่าจะทิ้งๆ รูฟัสไปเสียที ทำไมหมอนี่ถึงได้มีปัญหากับงานนี้นัก ตั้งแต่ตอนต้นๆ ที่หนีตามผู้ชายไปฮ่องกงแล้ว หรือว่างานนี้มันมีอาถรรพ์
   “เดี๋ยวนะ เหมือนว่ารูฟัสกำลังพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง อืม...เขาพูดว่า.. ช่วย... บอก... ฟ่ง... ทีว่า.. อย่าสร้าง..อะไร พิลึกๆ แบบนี้อีก”
   “ขอบใจนะ บังเอิญฉันไม่ใช่คู่รักที่เขียนห้องพิลึกๆ นี่ขึ้นมาด้วยสิ บอกให้มันออกมาบอกเองแล้วกัน” ราฟาแอลบ่นอุบ ทำไมสิ่งที่เขาได้ยินต้องเป็นเรื่องงี่เง่าแบบนี้ด้วย เรื่องแค่นี้ออกมาบอกเองก็ได้ ไอ้ที่ควรจะพูดคือบอกว่าตัวเองเกิดปัญหาอะไรต่างหาก
   “ยังมีต่อ..อืม.. ผม ออกไปไม่ได้ มันไม่มีห้องต่อ มันโล่ง มันว่าง มันไม่มีห้อง” รัสเลอร์พูด โดยการพยายามอ่านปากของรูฟัส ราฟาแอลส่งเสียงอย่างหัวเสีย
   “ไม่มีห้องอะไรของมัน.. ไอ้ที่มันอยู่ไม่ได้เรียกว่าห้องหรือไง ไม่ใช่ว่าถูกพิษยาจนเพี้ยนไปแล้วหรอกนะ”
   “คงไม่ใช่...ราฟี่..ฉันพอรู้แล้วล่ะ รูฟัสน่ะออกมาไม่ได้หรอก ถึงประตูจะเปิดแล้วก็เถอะ ห้องนั่นน่ะ มันถูกออกแบบมาเหมือนฟันเฟือง ถ้าไม่ใส่รหัสให้ถูกล่ะก็ มันจะไม่ต่อกันเป็นทางเดินหรอก มันจะกลายเป็นช่องว่างๆ เหมือนเหว”
   “เยี่ยม...ฉันควรจะเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเด็กที่ชื่อฟ่งใช่ไหม เราควรคิดถึงงานศพของหมอนั่นแล้วสินะ”
   “ฉันว่า มันคงไม่เลวร้ายขนาดนั้น เรารอให้กำลังสนับสนุนมาช่วยก็ได้นี่..” รัสเลอร์พยายามมองโลกในแง่ดี รูฟัสแค่ติดอยู่ ไม่ใช่กำลังจะตกลงมาตายเสียหน่อย และคำตอบของราฟาแอลก็ดับความหวังของเขา
   “นายคิดว่าทวีศักดิ์จะปล่อยให้หมอนั่นนั่งเฉยๆ แบบนั้นหรือไง กว่ากำลังสนับสนุนจะมา หมอนั่นคงกลายเป็นศพแล้ว เอาเถอะ มันก็ดูเหมือนจะมีหวังนิดหน่อย นายเรียกกำลังเสริมเลย ฉันจะถอนกำลังจากที่นี่แล้ว เราจะออกไป แล้วปล่อยรูฟัสเอาไว้แบบนั้นแหละ”
   รัสเลอร์อึ้งไปพักหนึ่ง เขาอยากจะบอกเรื่องนี้ให้รูฟัสได้ยินจริงๆ แต่คงจะเป็นไปไม่ได้ ดูเหมือนรูฟัสจะพูดอะไรต่ออีก
   “บอกราฟี่..ทำตามแผนเดิม.. ถ้าผมรอด..ผมจะไปบอกฟ่งเอง แต่ถ้าไม่รอด... ฝากด้วยแล้วกัน บอกว่าผมรักเขามากจริงๆ”
   รัสเลอร์ตัดสินใจไม่พูดคำพูดนี้ให้ราฟาแอลฟัง เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาสามารถพูดสิ่งที่รูฟัสต้องการให้ฟ่งฟังได้ เขาหวังแค่ว่ารูฟัสจะสามารถมาบอกให้ฟ่งฟังอีกครั้งได้ด้วยตัวเอง
   ฟ่งคงไม่ต้องการฟังคำรักที่ไม่ได้ออกมาจากปากของรูฟัสหรอก
----------------------------------------

ออฟไลน์ Mookkun

  • magKapleVE
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 637
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
    • Consensual free relationships
เอ๊ยยยยยย รูฟัส~~~

ทำไมรู้สึกว่าถูดปั่นอารมณ์อยู่ทุกตอนเลยนะ ห้าๆๆ

ชอบคุณคนเขียนมากนะคับบบบ :))

killermoonlit

  • บุคคลทั่วไป
ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
ถ้าพรุ่งนี้ไๆม่มาต่อจะเลิกอ่านจริงๆด้วยอุตส่ากดเป็ดให้แทบทุกตอน

ิbenejeng

  • บุคคลทั่วไป
สัญญษนะคะ ว่าจะมาต่อ อยากอ่านให้จบ อยากให้ฟ่งเจอกับรูฟัส

ออฟไลน์ entirom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1010
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-2
เห้อ

มีดีกันคนล่ะด้านจริง

 :m31: :m31: :m31:

เมื่อไหร่จะหลุดออกไปได้เนี้ย

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
ฟ่งจะเป็นคนช่วยรูฟัสออกมาใช่มั้ยเนี้ย

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
มางานศพตจว.ค่ะ ไม่สามารถอัพได้ในช่วงนี้นะคะ ขออภัยด้วยค่ะ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
อาซานกับคุณชายจะรอดม้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย  :sad4:

ออฟไลน์ plub2537

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 o22 นายต้องรอดรูฟัส (T_T) มาบอกรักฟ่งให้ได้นะ (เป็นกำลังใจให้)

ISee

  • บุคคลทั่วไป
คิดถึงฟ่งกับรูฟัสค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
โฮก ชอบเรื่องนี้มากค่ะ ซับซ้อน ขมวดนู่นนี่นั่น >< เนื้อเรื่แงดีมากค่ะ

ยังตามอ่านไม่ทัน ยาวเกิ๊น แต่มาเม้นก่อน จะได้มีกำลังใจ ^^

ปอลิง คิดถึงมิคกี้ ><"

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**ไปงานศพที่ตจว.มาค่ะ เห็นคอมเม้นต์แล้วมีขู่กันเลยทีเดียว ไม่อ่านต่อแล้วจะเสียใจนะคะ (ยัง... ยังกล้ามาพูดอีก :angry2:)

มาอัพต่อให้แล้วค่ะ เพิ่งกลับมามะวานนี้เอง (ทุกท่านดีใจไว้เถอะค่ะ เพราะตอนที่ยังเขียนอยู่ เรื่องนี้อัตราการลงเฉลี่ยเดือนละตอนเองค่าาาาา :-[)

----------------------------------------------

บทที่62 การต่อสู้ ทางเลือก ทางรอด

   “กะแล้วว่าคุณจะต้องเล่นอะไรแรงๆ” เสียงที่ดังขึ้นทำเอาราฟาแอลสะดุ้งเฮือก มันไม่ได้มาจากทางด้านหลังกำแพงที่เขายืนบังตัวเองอยู่ แต่ดังมาจากข้างๆ นี่เอง หนุ่มผมบลอนด์หันไปและยิ้มแห้งๆ
   “สวัสดีแคลร์ ไหนว่าจะไปเดินเล่นไง?”
   หญิงสาวที่มีนามว่าแคลร์ยิ้มกว้างอย่างน่ารัก หล่อนกดมีดลงไปบนคอของชายหนุ่ม “พอดีนายจ้างของฉันไม่ชอบให้เดินเล่นนานๆ นี่สิ”
   ราฟาแอลหัวเราะหึๆ แต่รู้สึกเจ็บขึ้นมาจริงๆ ตรงที่ถูกมีด “นี่แคลร์ เอามีดของคุณออกไปได้ไหม คุณน่าจะรู้ว่าผมยิงคุณไม่ลงอยู่แล้ว”
   “ฉันเอาออกแน่ ถ้าคุณบอกว่าคุณจะเลิกกับแม่สาวผมแดงนั่น” หล่อนว่า คราวนี้ราฟาแอลขมวดคิ้ว “คุณอยากฟังผมโกหก?”
   “ถ้ามันทำให้คุณพูดว่าจะรักฉันคนเดียวล่ะก็ ต่อให้โกหกฉันก็อยากจะฟังล่ะนะ”
   “งั้นคุณก็ไม่ควรเอามีดมาขู่ เพราะผมคงหาคำโกหกระรื่นหูไม่ได้ตอนที่คอถูกจ่อกับมีดแบบนี้” ราฟาแอลกล่าว และกลืนน้ำลาย ทำเหมือนว่าเขากำลังกลัวจริงๆ หญิงสาวหัวเราะ
   “ฉันรู้ว่าต่อให้ไม่มีมีดจ่อคอ คุณก็โกหกหน้าตายได้ตลอดเวลาอยู่ดี”
   หล่อนเก็บมีด ราฟาแอลระบายลมหายใจอย่างโล่งอก หญิงสาวก้มหน้าลงดูมีดในมือพักหนึ่ง เสียงฝีเท้าดังขึ้นด้านหลัง
   “นี่ราฟี่ ฉันถามคุณหน่อยได้ไหม?”
   “รีบถามเลยนะ เพราะเดี๋ยวหูคุณจะได้ยินแต่เสียงลูกปืน” ราฟาแอลว่า และกระชับปืนพกในมือ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่ใกล้เข้ามา แคลร์ขมวดคิ้ว
   “เบเรตต้า.. คุณเปลี่ยนปืนอีกแล้วเหรอ?”
   “ผมพกมาหลายกระบอก” ราฟาแอลตอบ แล้วหันกลับไปมองหล่อน “ตะกี้คุณจะถามอะไรผมน่ะ?”
   หญิงสาวผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลยิ้มออกมา “ฉันแค่อยากรู้ว่า ถ้าคุณเป็นฉัน ฉันเป็นคุณ ในสถานการณ์แบบนี้ คุณจะทำยังไง?”
   “หมายถึงถ้าผมถูกจ้างให้รักษาความปลอดภัยแล้วคุณเป็นสายลับน่ะรึ?”
   แคลร์พยักหน้า ราฟแอลเงี่ยหูฟังเสียง ก่อนจะตอบ “ถามทำไมน่ะ คุณน่าจะรู้คำตอบอยู่แล้วนี่ ต่อให้ตายผมก็ไม่ยิงคุณหรอก ยกเว้นว่าคุณดันกลายเป็นผู้ชายไปด้วยน่ะนะ”
   คนถามหัวเราะร่วน และหยิกแก้มเขาเบาๆ “ฉันจะถามคนโกหกอย่างคุณไปทำไมเนี่ย ไปกันเถอะ” หล่อนกล่าวและฉุดมือของราฟาแอลขึ้น ชายหนุ่มหันไปมองอย่างตกใจ และพบว่าหล่อนกำลังชี้ไปในที่หนึ่ง มันเป็นซอกๆ หนึ่งซึ่งเขาไม่ได้สังเกตมาก่อน นี่เองที่ทำให้หล่อนเข้ามาหาเขาได้โดยไม่รู้ตัว
   ราฟาแอลตัดสินใจตามอดีตคู่รักของเขาไป
   “นี่คุณจะช่วยผมหรือพาผมไปเชือด?” ชายหนุ่มถามขึ้นขณะมองก้นสวยๆ ที่ยักย้ายอยู่ด้านบน ในซอกนั่น ตรงกำแพงมีแผ่นโลหะแผ่นเล็กๆ ใหญ่พอจะให้เหยียบแทนบันได้ได้ และหล่อนกำลังปีนอยู่เหนือเขา
   “แล้วคุณอยากถูกช่วยหรือถูกเชือดล่ะ?” หล่อนย้อน คราวนี้ราฟาแอลหัวเราะบ้าง “ผมต้องเลือกอย่างแรกอยู่แล้ว ถึงผมจะบ้าผู้หญิง แต่ไม่ได้ชอบให้ผู้หญิงมาเชือดหรอกนะ”
   “งั้นคุณก็ไม่ควรถาม” หล่อนตอบ และหายไปบนช่องเปิดด้านบน ราฟาแลปีนตามขึ้นไป และพบว่าเขมาโผล่อยู่บนระเบียงหน้าห้องพักพนักงานหรืออะไรซักอย่าง
   “นี่มันที่ไหนน่ะ?” เขาเอ่ยถามหญิงสาวที่ยืนข้างๆ หล่อนยักไหล่ “ชั้นที่เอ็มสิบสอง ถ้าให้อธิบายเพิ่มเติม มันอยู่ห่างจากที่คุณดวลปืนตะกี้สี่ชั้น”
   ราฟาแอลนิ่วหน้า “แต่ผมว่าเราไม่ได้ปีนสูงขนาดนั้น”
   หล่อนยกมือขึ้นมาหยิกแก้มเขาอีกรอบ “คุณไม่ได้ขโมยแปลนของที่นี่ออกไปก่อนหน้านี้รึ? หรือว่าคนดูแปลนของคุณอธิบายไม่ดีพอ ความจริงคุณน่าจะรู้มากกว่าฉันนะ ที่นี่น่ะถูกสร้างแบบลวงตาน่าดู ความจริงแล้วชั้นแต่ละชั้นบางทีอยู่แทบจะในระนาบเดียวกันด้วยซ้ำ”
   ราฟาแอลหันไปมองอดีตคนรักของเขาอย่างแปลกใจ หล่อนพูดต่อ “ฉันไม่เข้าใจแปลนนักหรอก แต่มันมีบันไดพวกนี้อยู่ทั่วไปหมด เหมือนเอาไว้เป็นทางลัดหรือทางหนีฉุกเฉิน ตลกดีเหมือนกันที่ไม่มีป้ายบอก ฉันเจอมันโดยบังเอิญ ตอนแรกฉันคิดว่ามันเป็นการตกแต่งอะไรเสียอีก มันใช้เชื่อมไปในส่วนต่างๆ ได้ และถ้าคุณหาดีๆ บางตอนคุณจะผ่านไปได้โดยไม่ต้องใช้ประตูด้วยซ้ำ”
   “ผมว่า... คนออกแบบที่นี่คงคิดอะไรสับสนวุ่นวายน่าดู” หนุ่มผมบลอนด์กล่าว ตั้งใจจะกระทบกระเทียบฟ่ง  แต่แคลร์ที่ไม่รู้เรื่องราวกลับหัวเราะขึ้น
   “อ่า..เขาคงเป็นคนน่ารักดี ฉันก็อยากจะเจอเหมือนกันนะ ตะกี้คุณพูดว่าเขา แปลว่านี่ออกแบบโดยผู้ชายคนเดียวงั้นหรือ?”
   “ก็ราวๆ นั้น”
   ราฟาแอลพยายามกลบเกลื่อน เขาไม่อยากให้แคลร์รู้เรื่องอะไรมากนัก หล่อนหัวเราะอีก
   “คุณได้ข้อมูลมากเหมือนเดิม เฮ้อ..ถ้าฉันรู้ว่าคุณจะมายุ่งกับงานนี้ฉันคงถอนตัวแต่แรก”
   “ตอนนี้เธอก็ยังถอนตัวได้”
   หนุ่มผมบลอนด์กล่าว หล่อนเอานิ้วแตะปากเขา
   “คุณเคยคิดก่อนโกหกมากกว่านี้นี่นา คนจ้างฉันเขาไม่ยอมให้ถอนตัวง่ายๆ หรอก ทางคุณเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไง?”
   ราฟาแอลพยักหน้า กลืนน้ำลายเฮือก นี่ตกลงแคลร์จะมาไม้ไหนกับเขาอีก พูดตามตรงแล้ว เขายิงผู้หญิงไม่ลงจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนรักเก่าแบบนี้แล้ว คงไม่กล้าแม้แต่จะตีมือด้วยซ้ำ ดูเหมือนหล่อนจะพอเดาความคิดเขาได้ มือน้อยๆ เอื้อมมาตบแก้มเขาอีก
   “คุณกลัวถูกฉันฆ่าหรือไง อืม..ฉันบอกนายจ้างไปแล้วล่ะว่าฉันฆ่าคุณไมได้ เขาเลยให้ฉันมาถ่วงเวลาคุณแทน กลัวว่าคุณจะขึ้นไปก่อกวนที่ด้านบน”
   “ผมไม่ขึ้นไปหรอก สาบานได้” ราฟาแอลกล่าวและพูดต่อ “ผมกำลังจะถอนกำลัง งานผมเสร็จสิ้นแล้ว”
   “ฉันได้ยินที่คุณพูดกับเพื่อนคุณแล้ว คุณจะทิ้งรูฟัสหรือ?” แคลร์ว่า ราฟาแอลไม่ตอบ เขาเบือนหน้าไปทางอื่น แคลร์ใช้มือดึงใบหน้าเขาเข้ามา
   “รู้ไหมราฟี่ เวลาคุณทำหน้าแบบนี้น่ะ ฉันคิดทุกทีว่าคุณน่ะช่างใจร้ายจริงๆ หลอกแม้กระทั่งตัวคุณเอง คุณกำลังบอกตัวเองอยู่ใช่ไหมว่าคุณไม่เสียใจหรอกที่ทำแบบนี้”
   “ผมเป็นคนแบบนั้นแหละ” ราฟาแอลกล่าว แล้วหันมายิ้มให้หล่อน นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนหรี่ลง หล่อนดึงใบหน้านั้นเข้ามา และแนบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากของเขา
   “เศร้าใช่ไหม ราฟี่?” แคลร์เอ่ยถามหลังจากถอนจูบออกมาแล้ว หนุ่มผมบลอนด์ไม่ตอบ เขาดึงหญิงสาวเข้ามาจูบ และดันตัวหล่อนไปที่ผนัง ก่อนจะเปลื้องเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มอยู่ออก
   เศร้างั้นหรือ... ความเศร้าไม่เคยช่วยอะไรใครได้หรอก
------------------------------------------
   รัสเลอร์นั่งเงียบ จริงๆ คือเขาเพิ่งถูกราฟาแอลตัดสัญญาณการสื่อสารชั่วคราว ดูเหมือนเพื่อนร่วมงานของเขาจะเจอคู่รักเก่าโดยบังเอิญเป็นรอบที่สอง ดูเหมือนทั้งคู่จะไปที่ไหนสักแห่งด้วยกัน แล้วจบลงตรงการตัดสัญญาณเพราะคงจะทำอะไรบางอย่างที่ไม่อยากให้เขาได้ยินเสียง  หนุ่มผมสีน้ำตาลถอนหายใจ จะว่าไปแล้วเขารู้จักผู้ชายที่ชื่อราฟาแอล คาร์ดาร์คนนี้น้อยมากจริงๆ เขารู้แค่ว่าหมอนี่เป็นสายลับ ที่ทำงานคู่กับเพื่อนร่วมงานที่ชื่อรูฟัส เป็นอดีตตำรวจของฮังการี บ้าผู้หญิง อยู่บ้านที่บาลาตอนฟูเรสกับแฟนสาวผมแดงที่ชื่อว่าคลาวเดีย นี่คือทั้งหมดที่เขารู้เกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ เหตุผลที่องค์กรของเขาจ้างงานราฟาแอลบ่อยครั้ง หนึ่งในนั้นคือผู้ชายคนนี้ทำงานสำเร็จเกือบจะสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ค่อยจะมีความผิดพลาด รัสเลอร์เคยเห็นราฟาแอลยิงสายคนหนึ่งของเขาทิ้งในการปฏิบัติงานครั้งหนึ่ง ราฟาแอลเป็นผู้ชายในแบบที่พร้อมจะยิงใครก็ได้ เพื่อรักษาสถานการทำงานและสถานะของตัวเอง เขาไม่ลังเลในการฆ่า แม้กระทั่งเพื่อนร่วมงาน ล่าสุดเขาเพิ่งสั่งให้ทิ้งรูฟัส คู่หูที่ทำงานกับเขามาเป็นสิบๆ ปี บางทีรัสเลอร์ก็คิดว่า ราฟาแอลจะมีหัวใจแบบคนปกติบ้างไหม เคยเศร้าบ้างไหม ผู้หญิงที่มีชื่อว่าแคลร์คงคิดคล้ายๆ เขา แต่หล่อนคงรู้จักราฟาแอลมากกว่านั้น
--------------------------------------
   “เพื่อนของผม..รูฟัส..กำลังจะตายเพราะคนรักของเขา โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้เลย” ราฟาแอลเอ่ยขึ้น เขาอยู่ในห้องพักห้องหนึ่งที่ไม่ได้ล็อกประตูเอาไว้ นอนอยู่บนเตียงโดยมีแคลร์นอนอิงแอบอยู่ข้างๆ
   “อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้น?” หญิงสาวถาม หล่อนเบียดตัวแนบชิดกับชายหนุ่มผู้เป็นที่รัก ผู้ซึ่งไม่ยอมถอดแม้กระทั่งเสื้อผ้าของตัวเอง แต่ช่างเถอะ แค่นี้ก็ถือว่ามากเกินพอด้วยซ้ำ สำหรับสถานการณ์แบบนี้ ราฟาแอลไม่ตอบคำถาม เขาพูดต่อ
   “คุณว่าผมควรบอกคนรักของเขาว่ายังไง ถ้าหากเขากลับไปไม่ได้ ผมไม่ถนัดเรื่องแบบนี้”
   “ฉันไม่คิดว่าคุณกังวล คุณแคร์คนรักของรูฟัสมากหรือ?”
ราฟาแอลสั่นศีรษะ เขาหันหน้าไปทางอื่น แคลร์ถอนหายใจ
   “คุณกำลังคิดว่า จะโกหกยังไงใช่ไหม คุณกำลังนึกคำโกหกที่สามารถปลอบใจคนคนนั้นได้ แต่คุณรู้หรือเปล่า ไม่มีคำโกหกอะไรที่สามารถปลอบใจคนที่สูญเสียคนรักไปได้หรอก”
   “ผมรู้ แต่มันไม่ใช่ความผิดของเขา ผมไม่อยากให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนทำให้รูฟัสต้องตาย”
   “เขา? อืม รูฟัสมีคนรักเป็นผู้ชายหรือเนี่ย... คุณแคร์ผู้ชายด้วยรึ?”
   “ผมเปล่า” ราฟาแอลปฏิเสธ เขาไม่แคร์ฟ่งหรอก เพียงแต่ เขาพอเข้าใจอารมณ์ของการสูญเสียคนรักด้วยน้ำมือตัวเอง นานมาแล้ว เขาเคยตกอยู่ในสภาพแบบนั้น นานมากเหลือเกิน
   “สิ่งที่ฉันจะแนะนำคุณ” แคลร์กล่าว และผุดลุกขึ้น หยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่
   “คุณควรพูดความจริงทั้งหมด อธิบายให้เขาฟังถึงเรื่องทั้งหมด คุณไม่ควรย้ำว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขา ในฐานะคนรัก เขาจำเป็นต้องรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับคู่ของเขา ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นจากอะไรก็ตาม แล้วเขาจะตัดสินใจเองว่าควรจะทำอย่างไร และแบบไหน คุณไม่ควรตัดสินใจแทนคนอื่น พูดความจริงกับเขา ให้เขาตัดสินใจเอง”
   “มันจะดีกว่าหรือ?” ราฟาแอลแถม เหม่อมองแผ่นหลังเกลี้ยงกับตะโพกผายที่กำลังถูกเสื้อผ้าห่อหุ้มกลับไปเหมือนเดิมอย่างซึมเซา แคลร์สวมเสื้อผ้าจนเสร็จ และหันมามองอดีตคนรัก
   “ฉันไม่รู้ ถ้าคุณเคยผ่านสถานการณ์นั้นมาก่อน คุณควรตอบได้ดีกว่าฉัน”
-------------------------------------------
   “รัสเลอร์ เก็บฐานนายได้แล้ว ฉันกำลังจะไปหา อีกราวๆ สิบห้านาทีเราจะออกไปกัน”
   ราฟาแอลเอ่ยขึ้น หลังจากตัดการสื่อสารไปพักใหญ่ รัสเลอร์เลือกจะไม่เอ่ยถามอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เป็นเหตุให้ราฟาแอลตัดการสื่อสารกับเขา
   “โอเค ฉันจะเก็บเดี่ยวนี้ นายมาให้ทันตามกำหนดแล้วกัน”
   “นายคิดว่าฉันเป็นคนไม่รักษาเวลาหรือไง?” ราฟาแอลย้อน รัสเลอร์หัวเราะขืนๆ เขารู้สึกขมในปากนิดหน่อย ชายหนุ่มดึงภาพของเพื่อนร่วมงานมาดูอีกครั้ง อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้เห็นชายผู้มีนัยน์ตาสองสีที่แสนยียวนกวนประสาทคนนั้น ดูเหมือนรูฟัสจะพยายามใช้สิ่งที่หาได้ในห้องนั้นมาตั้งบังเกอร์ เพื่อกำบังลูกกระสุนหากว่าพวกที่เข้ามาพวกแรกไม่หวังดีกับเขา ดูเหมือนตาแก่ลู่ชางจะรวมอยู่ในบรรดาบังเกอร์นั่นด้วย รัสเลอร์รู้สึกนับถือผู้ชายคนนี้ขึ้นมาจับใจ แม้จะอยู่ในสภาวะสิ้นหวังอย่างนั้น แต่รูฟัสก็ไม่เลือกที่จะงอมืองอเท้ายอมรับชะตากรรม เขายังคงต่อสู้ หาหนทางในการรอดออกไป นั่นเพราะเขามีคนที่อยากเจอมากหรือเปล่า รูฟัสคงอยากจะออกมา ออกมาเพื่อกอด เพื่อพูดคุยกับคนรักของเขา คนรักที่ทำให้เขาทิ้งงาน คนรักที่ทำให้เขาต่อยแม้กระทั้งเพื่อนร่วมงาน อา.. คนรักทำให้เขาต้องติดอยู่ในที่แบบนั้น
   แต่ต่อให้ต้องตาย รัสเลอร์เชื่อจริงๆ ว่ารูฟัสจะไม่โทษฟ่งเลยสักนิด แม้จะฝากบอกอะไรแบบนั้นไปก็เถอะ เขาคงอยากจะระบาย คงนึกขบขันในชะตากรรมของตัวเองที่จะต้องตายในห้องที่คนรักของตัวออกแบบ ถึงอย่างนั้นสิ่งเดียวที่รูฟัสอยากจะบอกกับฟ่งก็คงเป็นคำคำนั้น คำที่เขาพูดออกมาเป็นสิ่งสุดท้าย
   รัก...
   รัสเลอร์ไม่รู้เลยว่าคำว่ารักจะยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ยิ่งใหญ่และมีอานุภาพมากพอจะทำให้เขาปวดหัวใจแปลบ ไม่ใช่เจ็บใจ แต่เจ็บปวดและสงสารเพื่อนร่วมงานของเขา ชายหนุ่มตัดภาพไปยังกล้องวงจรปิดตัวอื่น
   ฟ่ง...ฟ่งจะยังอยู่ในที่นี้อีกหรือเปล่า
   รัสเลอร์สอยส่ายสายตามองหาภาพผู้ชายคนนั้นในกล้องต่างๆ และภาวนา ไม่ว่าฟ่งจะเข้ามาที่นี่เพื่ออะไร เขาอยากให้ฟ่งกลับออกไปโดยด่วน กลับออกไปอย่างปลอดภัย ไม่ก็พยายามอยู่ในที่ปลอดภัย ต่อให้ฟ่งจะรู้สึกเสียใจมากมายขนาดไหน เขาก็ต้องอยู่เพื่อฟังสิ่งที่รูฟัสต้องการบอก อยู่เพื่อแทนส่วนที่เหลือของรูฟัส รัสเลอร์ไม่ปรารถนาให้ทั้งสองคนเป็นอะไรไปพร้อมกัน มันไม่ใช่ความคิดดีนักหรอกที่จะตายไปพร้อมกับคนที่ตัวเองรัก ในเมื่อไม่มีอะไรประกันได้เลยว่าจะได้ไปอยู่ด้วยกัน คนเราควรมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยเมื่อมีชีวิต ก็ยังมีโอกาส ฟ่งยังมีโอกาสอื่นอีก และเขาเชื่อแน่ว่ารูฟัสต้องการให้ฟ่งใช้โอกาสนั้น แต่รัสเลอร์ไม่คิดว่าเขาจะได้โอกาสนั้น เขาเชื่อว่าเขาไม่สามารถทุ่มเทให้ฟ่งได้เหมือนกับผู้ชายตาสองสีคนนี้ ดังนั้นขอเพียงแต่ฟ่งมีชีวิตอยู่ก็พอ
   ไม่มีภาพของร่างคุ้นตากับทรงผมยุ่งๆ นั้นปรากฏขึ้นมาในกล้องตัวไหนอีก รัสเลอร์เช็คเป็นครั้งสุดท้ายและถอนหายใจ  ฟ่งคงหลบออกไปแล้ว ท่าทางระเบิดของราฟาแอลจะรุนแรงพอจะทำให้ผู้ชายคนนั้นรู้สึกถึงอันตรายได้ ดีแล้วล่ะ ดีแล้ว
   หนุ่มผมสีน้ำตาลปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ เขาคงต้องถอนตัวถามคำสั่งของราฟาแอล และไม่จำเป็นจะต้องปรึกษาเรื่องของฟ่งอีก
ลาก่อนรูฟัส... ถ้าหากปาฏิหาริย์มีจริง ก็คงจะได้พบกันอีก
-------------------------------------
   “เรามาเจรจากันดีกว่า คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ย” น้ำเสียงเหมือนหินแตกเอ่ยขึ้น สี่คนยืนประจันหน้ากันอยู่กลางลาน ไม่มีใครขยับร่างกายนอกจากริมฝีปาก บนใบหน้าเว่ยจินหยินปรากฏรอยยิ้มปั้นแต่งแบบที่ทำเป็นประจำ
   “มีอะไรจะเจรจากับผมหรือครับ คุณฟารุค?”
   ฟารุคยิ้มรับด้วยรอยยิ้มที่ไม่น่าดูนัก ริมฝีปากของชายผู้มีเชื้อสายตะวันออกกลางกระตุกแทบจะฉีกออก เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเดิมๆ
   “ผมรู้ดีว่าทำไมพ่อของคุณถึงได้ส่งพวกคุณมางานนี้ คงคิดจะขัดขวางพวกผมแต่แรกอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ?”
   เว่ยจินหยินพยักหน้า ไม่พูดอะไร ดังนั้นอีกฝ่ายจึงพูดต่อ “แล้วรู้ไหมทำไมพวกผมจึงกระโดดเข้ามาร่วมงานนี้ ทันทีที่พวกคุณถอนตัวไปแล้ว?”
   ถึงจุดนี้นัยน์ตาวาวราวสุนัขจิ้งจอกดูจะหดวูบลงเล็กน้อย ก่อนจะแค่นยิ้ม “ผมรู้ ตอนนี้ริเวิลกำลังถูกไล่ต้อน ถึงมิคาเอล ลอว์ที่ถูกจับได้เมื่อสองปีก่อนไม่ได้ให้การซัดทอด แต่สิ่งที่กรมตำรวจอังกฤษได้ไประหว่างนั้นก็มีน้ำหนักพอจะทะลายเครือข่ายสาแหรกค้ายาของพวกนายไปมากกว่าครึ่ง นายเลยต้องหายาใหม่ๆ เพื่อเอาไปเปิดตลาดอื่น หนีการกวาดล้างนี้ ผมเข้าใจถูกไหม?”
   มิคาเอล ลอว์คือชื่อไฮท์อันดับสิบสามที่ถูกเว่ยจินหยินวางแผนล้อมจับเมื่อสองปีก่อน รอยยิ้มบนใบหน้าของฟารุคยิ่งเพิ่มความน่าเกลียดเข้าไปอีก เขาพยักหน้าและหัวเราะ
   “ถูกส่วนหนึ่ง คุณชายรอง แต่เหตุผลที่คุณน่าจะรู้ แต่ไม่อยากพูด พ่อของคุณต้องการส่งคุณมาตาย?”
   เว่ยจินหยินพ่นลมหายใจ ยิ้มเยาะออกมา “เว่ยชิงไม่ใช่คนทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นหรอก”
   ไม่บ่อยนักที่เว่ยจินหยินจะเรียกชื่อพ่อตัวเองออกมาตรงๆ แบบนี้ ภายในใจคงเกิดอารมณ์อะไรบางอย่าง เว่ยจินหยินเป็นลูกคนรอง เกิดจากภรรยาคนใหม่ที่มาแทนภรรยาคนแรกที่ป่วยตายของเว่ยชิง แต่พอเขาคลอดออกมาได้ไม่นาน ผู้เป็นมารดาก็ด่วนจากไปอีก ชีวิตเขาอยู่ท่ามกลางบรรดาพี่เลี้ยง โดยมีเถียนซานเป็นคนสนิท เว่ยจินหยินพูดได้ไม่เต็มปากนักว่ารู้สึกยังไงกับพ่อของเขา ครั้งหนึ่งเขาเคยรอคอยผู้ชายคนนั้นมาเยี่ยม แต่นานวันไปการรอคอยของเขาเริ่มด้านชา เว่ยชิงเย็นชากับเขามากขึ้นทุกวัน จนกระทั่งกลายเป็นปั้นปึง ห่างเหินราวกับว่าการทนมองหน้าเขานานๆ เป็นอะไรที่แย่มาก เว่ยจินหยินไม่เข้าใจความคิดของผู้เป็นพ่อ ว่าทำไมจึงได้เย็นชากับเขาขนาดนี้ และถึงตอนนี้เขาก็คร้านจะไปเข้าใจความคิดนั้น ไม่ว่าเว่ยชิงจะเกลียดเขา ไม่อยากมองหน้า หรือเห็นเขาเป็นแค่หมากตัวหนึ่ง จะยังไงเขาก็ไม่สน ขอแค่ให้เว่ยชิงยังสนใจจะใช้งานเขาอยู่ก็พอ เว่ยจินหยินตั้งใจทำงานอย่างไม่ลืมหูลืมตาตั้งแต่เรียนจบ สิบปีแล้วที่เขาก้าวเข้ามาในตำแหน่งมือขวาของเว่ยชิง ซึ่งเป็นตำแหน่งเดิมของเว่ยฟู่ฉิน พี่ชายคนโตของเขาที่ขอปลีกตัวเองออกไปทำธุรกิจด้านการส่งออกอย่างจริงจังโดยไม่อาศัยอิทธิพลมืดของผู้เป็นพ่ออีก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเว่ยชิงรักลูกชายคนโตของเขามากขนาดไหน การปฏิเสธการรับสืบทอดแก๊งของฟู่ฉิน ทำให้เว่ยชิง ชายผู้ซึ่งดูจะกร้านชาต่อทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้มป่วยไปถึงหนึ่งเดือน ทุกคนคิดว่าแก๊งจะต้องถ่ายมือแน่นอนแล้ว ถึงกับวิงวอนให้ฟู่ฉินกลับมาดูใจผู้เป็นพ่อในครั้งสุดท้าย ถึงอย่างนั้นฟู่ฉินก็เด็ดขาดเหลือเชื่อ แม้ในวันที่ทุกคนคิดว่าเว่ยชิงจะจากไปแล้ว ยังไม่ยอมมาดูดำดูดี มีแต่เขาเท่านั้นที่คอยแวะไปเยี่ยมไข้ และรับฟังคำพร่ำพรรณนาถึงลูกชายสุดโปรดคนนั้น
   เว่ยจินหยินไม่เคยเกลียดพี่ชายคนโตของเขา เพราะเว่ยฟู่ฉินนั้นใจดีกับเขามากกว่าพ่อแท้ๆ เสียอีก ระหว่างที่ถูกทิ้งให้อยู่กับพี่เลี้ยง พี่ชายที่แก่กว่าเขาเกือบยี่สิบปีคนนี้แวะมาหาเขาบ่อยกว่าเว่ยชิงด้วยซ้ำ เป็นคนแรกๆ ที่สอนเขาเกี่ยวกับงานด้านธุรกิจ แม้ไม่ได้สนิทสนมกันมาก แต่ก็ไม่มีคำว่าเกลียดสำหรับเว่ยฟู่เฉิน
   เว่ยชิงนั้นรักลูกชายคนนี้เสียจนคร่ำครวญอยู่หนึ่งเดือนเต็ม เว่ยจินหยินที่ไปเยี่ยมไข้ทุกวันรู้อยู่เต็มอกว่าพ่อของเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่แสร้งแสดงละครเรียกร้องความเห็นใจกับฟู่ฉินเท่านั้น เมื่อเห็นว่าไม่ได้ผล ชายชราคนนี้ก็หายป่วยในเวลาไม่นาน และก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการไปเยี่ยมของเขามากนัก ซึ่งเว่ยจินหยินก็รู้อยู่เหมือนกันว่าตัวเองไม่ได้เป็นห่วงเว่ยชิงอย่างที่ลูกทั่วไปโดยปกติควรห่วง ก็แค่คิดว่าการพยายามอยู่ใกล้ชิดในภาวะขาดแคลนทางจิตใจแบบนั้นอาจจะทำให้พ่อของเขารู้สึกชอบเขาขึ้นมาบ้างก็ได้ แต่เว่ยชิงก็ยังเย็นชากับเขาเหมือนเดิม และหันไปเอาใจใส่กิจการใหม่ของเว่ยฟู่เฉินแทน และถึงจะโดนเจ้าตัวปฏิเสธกลับมา ก็ยังพากเพียรจะไปหาอยู่บ่อยๆ
การที่ต้องเอาเวลาและหัวสมองไปเหนี่ยวรั้งลูกชายคนโตนี้เองที่เป็นทำให้เว่ยจินหยินมีโอกาสรวมอำนาจในแก๊ง หากเขาจัดการเว่ยปิงเซียงน้องชายต่างแม่อีกคนช้ากว่านี้อีกนิด ตำแหน่งมือขวาคงไม่ตกถึงเขาแน่ ดูจะชัดเจนเหลือเกินว่าพ่อของเขาไม่ไว้ใจเขาอย่างที่สุด แม้เขาจะทำงานรับใช้มาหลายปี พอเว่ยปิงเซียงกลับมาจากต่างประเทศ ก็ทำท่าจะยกขึ้นทำงานใหญ่ในแก๊งทันที กรณีนี้เว่ยจินหยินรับไม่ได้อย่างที่สุด เขาวางแผนจัดการน้องชายคนนี้โดยยืมมือแก๊งตรงข้ามให้ดูคล้ายเป็นอุบัติเหตุ แม้เว่ยปิงเซียงจะไม่ตาย แต่ก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกตลอดกาล
นี่ไม่ใช่ความผิดของน้องชายนี้หรอก ถ้าหากจะโทษ ก็คงต้องโทษเว่ยชิงที่รักลูกไม่เท่ากันเถอะ แต่ในส่วนกรณีน้องชายคนเล็กของเขาสองคนที่ถูกแก๊งคู่อริไล่ถล่มนั้น แม้เว่ยจินหยินจะบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้เป็นคนวางแผนโดยตรง แต่ว่ากันตามเนื้อผ้า ที่เป็นผลกระทบที่มากเกินกว่าที่เขาคาดเอาไว้จากแผนกำจัดเว่ยปิงเซียง หลังเหตุการนั้นเว่ยจินหยินจึงจำต้องกำจัดผู้ที่รู้เห็นทั้งหมด และนั่นทำให้พ่อของเขาเกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจเขาหนักขึ้นไปอีก ถึงกับไหวตัวส่งเว่ยซื่อหลิวซึ่งเป็นลูกชายคนที่หกไปต่างประเทศเพื่อให้พ้นจากเงื้อมมือของลูกชายคนรอง แต่ก็ช่างประไรในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ ไม่มีคู่แข่งเหลืออีก ตำแหน่งมือขวาก็ต้องตกเป็นของเขาอยู่ดี
เว่ยจินหยินมองข้อนี้ออกทะลุ เขาจึงไม่แคร์ว่าใครจะร่ำลือถึงการลงมือสังหารน้องชายตัวเองยังไง ขอแค่ให้ได้แก๊งนี้มาไว้ในมือ ขอแค่วันหนึ่งเขาสามารถเป็นหนึ่งในตระกูลได้ ถึงอย่างนั้นเว่ยชิงก็ยังไม่ยอมแพ้ อุตส่าห์ไปลากตัวลูกชายลักเพศที่ตัวเองขับออกจากแก๊งไปแล้วมารับตำแหน่งแข่งกับเขา ให้ตายสิ นี่จะแสดงอาการจงเกลียดจงชังกันไปถึงไหน ทั้งๆ ที่เขาทำงานถวายหัวแท้ๆ
   รอยยิ้มของฟารุคกว้างเข้าไปอีก เขารู้ว่านี่เป็นการจี้ใจดำของผู้ชายอายุเพียงสามสิบเศษที่มีเสียงร่ำลือในด้านความอำมหิตมากที่สุดในเกาะฮ่องกง ชายผู้มีเชื้อสายตะวันออกกลางพูดต่อ
   “คุณน่าจะรู้จักพ่อคุณดี คุณชายรอง เหมือนอย่างที่บอสใหญ่ของผมรู้จัก”
   เจ้านายใหญ่ของฟารุคคงหมายเป็นใครอื่นไม่ได้ นอกจากน้องชายต่างมารดาของเว่ยชิง ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาแท้ๆ ของเว่ยจินหยินที่มีชื่อว่าลี่เหลียน เว่ยชิงไม่เคยเล่าอะไรเกี่ยวกับอาของเขาคนนี้ให้ฟังมากนัก เท่าที่จับได้ความและสืบเรื่องเองได้ ดูเหมือนตระกูลเว่ยในตอนนั้นจะมีลูกชายแค่สองคนคือพ่อของเขาที่เกิดจากเมียเอก และลี่เหลี่ยนที่เป็นลูกเมียน้อย ท่าทางเว่ยชิงจะจงเกลียดจงชังน้องชายคนเดียวของเขาคนนี้มาก ชนิดที่ว่าพอได้ขึ้นเป็นใหญ่ในตระกูลเว่ย ก็เฉดหัวทิ้งอย่างไม่ใยดี และลี่เหลียนก็กล้าบ้าบิ่นพอจะเอาตัวเองออกจากตระกูล ไปตั้งตัวใหม่ ปฏิเสธการใช้แซ่เดียวกับผู้เป็นพี่ชาย และใช้ชื่อลี่เหลียนจากนั้นเป็นต้นมา รวมๆ แล้วก็คงเกือบหกสิบปีแล้ว แต่ไฟแค้นสุมทรวงระหว่างอสูรเฒ่าทั้งสองของวงการมืดแห่งฮ่องกงดูจะไม่สงบลงง่ายๆ
   นานวันเว่ยชิงยิ่งคลั่งกับการขยายอิทธิพลของริเวิล ซึ่งน้องชายคนนี้ของเขากุมอำนาจส่วนใหญ่อยู่ จนกระทั่งดึงลูกๆ ทุกคนเข้าสู่วังวนแห่งการแก้แค้น เว่ยจินหยินไม่ลังเลจะกระโดดเข้าร่วมวงจรนี้ เขาพยายามตักตวงผลงานให้ได้มากที่สุด เพื่อขูดรีดความรักจากผู้เป็นพ่อ นั่นทำให้เขาจำเป็นต้องมีบอดีการ์ดเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะสิ่งที่เขาทำกับริเวิลเอาไว้นั้น เรียกว่าหากมีโอกาสจะเก็บเขาได้ ทางนั้นย่อมไม่พลาดแน่นอน
   เว่ยจินหยินยิ้มเยียบเย็น กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ “อย่ามายุให้ฉันระแวงคุณพ่อเสียให้ยาก พวกนายไม่ใช่หรือที่อยากจะกำจัดฉันจนตัวสั่น ถ้ามีปัญญาก็เข้ามาเลย”
   รอยยิ้มของฟารุคแทบจะฉีกถึงหูขณะฟังประโยคนั้น
“ไม่รู้จริงๆ หรือ คุณชายรอง เพราะพวกผมอยากจะกำจัดคุณจนตัวสั่นนี่แหละ พ่อคุณถึงส่งคุณมา”
-----------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   เถียนซานมองดูแผ่นหลังของผู้ชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขา ด้วยความรู้สึกคงเดิมมาตลอดสามสิบปี แผ่นหลังนี้ไม่กว้างไม่แคบ กำลังพอดีกับร่างกายบอบบางของผู้เป็นเจ้าของ สามสิบปีที่เขาทำงานให้เว่ยจินหยิน สามสิบกว่าปีที่เขาทำงานให้กับคนในตระกูลเว่ย สำหรับความสัมพันธ์พ่อลูกของตระกูลนี้นั้น คงมีน้อยมุมที่เถียนซานไม่เคยเห็น
   เว่ยชิงนั้นในอดีตเมื่อนานมาแล้วเคยเอ็นดูลูกชายคนนี้ของเขาอย่างคนปกติทั่วไป เคยซื้อขนมไปเยี่ยมเคยไปนั่งคุยเล่นเป็นเพื่อน แต่ต่อมาเว่ยชิงเริ่มรู้สึกว่านี่จะทำให้ผู้เป็นลูกชายเกิดความอ่อนแอและคอยพึ่งคนอื่นอยู่ตลอด เถียนซานไม่รู้ว่าเจ้านายใหญ่ของเขาไปได้ความคิดแบบนี้มาจากไหน ตอนนั้นเขายังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจความคิดของผู้ใหญ่ระดับเว่ยชิงได้ จึงได้แต่คอยปลอบประโลมหัวใจน้อยๆ ของเว่ยจินหยินซึ่งอายุเพียงไม่กี่ขวบ เว่ยจินหยินเติบโตขึ้นมาโดยมีเขาเป็นพี่เลี้ยง เริ่มสนใจทุกอย่างที่เขาทำ แม้จะพยายามบิดบังแต่ก็คงไม่อาจปฏิเสธเจ้านายตัวน้อยนี้ได้ตลอด ช่วงนี้เองที่เว่ยชิงออกคำสั่งลงมาให้ตนเองจัดการให้เว่ยจินหยินเรียนรู้เรื่องพวกนี้ แม้เถียนซานจะถูกสั่งสอนให้รู้จักเรื่องฆ่าคนตั้งแต่อายุสิบสอง แต่เขาคาดไม่ถึงว่าแม้กระทั่งลูกชายตัวเองที่อายุยังไม่ถึงหกขวบดี เว่ยชิงก็คิดอยากจะสั่งสอนเรื่องพวกนี้ด้วย
   สำหรับเขาแล้ว หากจะพูดถึงความโหดเหี้ยมอำมหิต ตัวของเว่ยชิงนั้นมีมากมายกว่าใครคนอื่น
   เว่ยจินหยินเป็นเด็กฉลาด เรียนรู้ทุกอย่างได้รวดเร็ว และเหมือนต้องการเอาใจผู้เป็นพ่อ เจ้านายน้อยๆ คนนี้ของเขาเริ่มทำงานตามความต้องการของเว่ยชิง ในระยะแรก เว่ยชิงพอใจการทำงานของลูกชายคนรองของเขา นั่นเพราะเจ้าตัวต้องการปูทางให้เว่ยจินหยินขึ้นมาสนับสนุนเว่ยฟู่ฉินผู้เป็นพี่ชาย ผู้ซึ่งเหมาะสมที่สุดกับการเป็นผู้นำคนต่อไปของตระกูลเว่ย  แต่เมื่อฟู่เฉินปฏิเสธตำแหน่ง การคงอยู่ของเว่ยจินหยินจึงเหมือนอะไรซักอย่างที่แสลงใจผู้เป็นบิดา
   ในบรรดาลูกชายของเขาทั้งหมดเจ็ดคนในตอนนั้น เว่ยชิงไม่ต้องการให้เว่ยจินหยินเข้ามากุมอำนาจในตระกูลมากที่สุด เหตุผลของเขานั้นฟังเผินๆ ดูน่าตลก เว่ยชิงไม่ไว้ใจลูกชายคนนี้ของตัวเอง กลัวว่าเว่ยจินหยินจะแว้งกัดเขา ตอนแรกเถียนซานเองก็ไม่ค่อยเข้าใจความคิดนี้ แต่นานวันไปสถานการณ์ทำให้เขาเข้าใจเว่ยชิงมากขึ้น
   เนื่องเพราะเว่ยจินหยินนั้นมีนิสัยคล้ายคนคนหนึ่งมากเกินไป
   เยือกเย็น อำมหิต…. เว่ยลี่เหลียน....
   เถียนซานไม่เคยรู้จักหรือพูดคุยกับผู้ชายคนที่ว่านี้ แต่พอจะได้รับคำบอกเล่าจากคนเก่าคนแก่หลายคนในช่วงที่เขาเข้ามาทำงานให้ตระกูลเว่ยแรกๆ คนคนนี้เองที่ทำให้เว่ยชิงคลั่งแค้นจนแทบจะแยกอะไรไม่ออก
   ผลจากการถูกเย็นชาใส่แบบหักหน้าของผู้เป็นพ่อ ทำให้ไฟแค้นแห่งความผิดหวังซ้ำซากสุมอัดอยู่ในทรวงของเว่ยจินหยิน คุณชายรองคนนี้เริ่มระบายความพยาบาทกับผู้บริหารที่เห็นด้วยกับแนวความคิดของเว่ยชิง  อย่างช้าๆ ภายใต้การเสียชีวิตที่ผิวเผินเหมือนเป็นเรื่องสุดวิสัย เว่ยจินหยินกำจัดคนที่ขวางหูขวางตาเขาออกจากแก๊ง โดยอาศัยช่วงจังหวะที่เว่ยชิงมัวแต่ให้ความสนใจกับธุรกิจใหม่ของลูกชายคนโต
อย่างไม่ทันให้ใครตั้งตัว เว่ยจินหยินวางแผนกำจัดน้องชายทุกคนของตัวเองที่อยู่ในฮ่องกงขณะนั้น เริ่มจากเว่ยปิงเซียง ซึ่งอายุห่างจากเขาไม่มาก ทันทีที่ได้ยินข่าวว่าเว่ยชิงจะมอบตำแหน่งระดับสูงให้น้องชายคนนี้ เว่ยจินหยินลอบติดต่อกับริเวิลอย่างลับๆ โดนผ่านตัวแทนอีกทอดหนึ่ง ไม่มีใครในริเวิลสงสัยว่ามันเป็นการติดต่อจากคนในตระกูลเว่ย
เว่ยจินหยินที่อำมหิตรอบคอบยืมมือริเวิลและแก๊งคู่อริอีกสองสามแก๊งเพื่อจัดการน้องชายคนที่สี่ของเขา แม้ปิงเซียงจะไม่ถึงกับเสียชีวิต แต่อาการสมองตายก็แรงพอจะทำให้บุตรชายของเว่ยชิงคนนี้ไม่มีวันได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกอีก อุบัติเหตุนี้เองที่ทำให้เว่ยชิงหันกลับมาระแวงเว่ยจินหยิน ด้วยนิสัยที่คล้ายคลึงกัน ผู้เป็นพ่อไม่ต้องเดาว่าลูกชายคนรองของเขากำลังวางแผนอะไรต่อ เว่ยชิงจัดการส่งลูกชายคนที่ห้าออกนอกประเทศ เพื่อให้พ้นเงื้อมมือของพี่ชาย แต่สำหรับน้องชายคนเล็กอีกสองคน ไม่มีใครคาดคิดว่าเว่ยจินหยินจะลงมือกำจัดได้
ถึงทั้งสองคนจะเสียชีวิตจากแก๊งคู่อริคู่หนึ่งที่ไม่พอใจการแผ่อิทธิพลของตระกูลเว่ยจนลงมือแก้แค้นอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรม แต่ทุกคนในตระกูลล้วนสงสัยว่าเว่ยจินหยินอยู่เบื้องหลัง และเว่ยจินหยินเองไม่เคยคิดอยากแก้ข่าวเรื่องนี้ คล้ายกับยอมรับโดยปริยาย นั่นยิ่งทำให้ชื่อเสียงด้านลบของคุณชายรองคนนี้หนาหูขึ้น
แต่กว่าเว่ยชิงจะรู้ตัวว่าเว่ยจินหยินเพาะบ่มความอาฆาตแค้นเอาไว้อย่างลึกล้ำ อำนาจในตระกูลส่วนใหญ่ก็ตกอยู่ในมือบุตรชายคนรองของเขาแทบจะหมดสิ้นแล้ว การกำจัดเว่ยจินหยินในทันทีมีแต่จะทำให้ตระกูลตกต่ำอย่างไม่จำเป็น แม้จะอำมหิตเหี้ยมโหด แต่เว่ยจินหยินก็สามารถบริหารอำนาจตระกูลได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกัน และยังไม่เคยแสดงท่าทีกระด้างกระเดื่องกับผู้เป็นบิดาเลยสักครั้ง
   ถึงอย่างนั้นเถียนซานเชื่ออยู่ลึกๆ ว่า เว่ยชิงมีความต้องการจะกำจัดลูกชายคนนี้ เหมือนคนกลัวเงาสะท้อนในน้ำ นานวันเว่ยชิงเริ่มหวั่นกลัวเว่ยจินหยิน เป็นความหวั่นไหวลึกๆ ในดวงตาสีดำคล้ำคล้ายน้ำที่ขังอยู่ในบ่อมาเนิ่นนานจนบอกไม่ได้ว่าเป็นน้ำดีหรือน้ำเสีย หวั่นกลัวว่าเว่ยจินหยินจะวางแผนกำจัดแม้แต่ผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งเป็นที่รักของตน ความหวั่นกลัวนี้เว่ยชิงไม่เคยแสดงมันออกอย่างชัดเจนมาก่อน จนกระทั่งเว่ยจินหยินเล่าให้เขาฟังถึงการถูกส่งมาประชุมที่เมืองไทย
   สามสิบกว่าปีที่เขารู้จักกับคนในตระกูลเว่ย สามสิบกว่าปีที่เขาทำงานอยู่ในหน่วยดำ สามสิบกว่าปี คำสั่งของเว่ยชิงครั้งนี้ เปิดเผยหัวใจของผู้เป็นเจ้าของออกมาอย่างทะลุปรุโปร่ง ต่อให้คนโง่ยังต้องรู้สึก นี่เป็นแผนจงใจกำจัดเว่ยจินหยินชัดๆ เว่ยจินหยินนั้นทำเรื่องกับริเวิลเอาไว้มากมายเสียจนมีค่าหัวสูงลิ่ว จำนวนบอดีการ์ดที่ห้อมรอบตัวเขาเวลาไปยังสถานที่ต่างๆ นั้น ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าคุณชายคนนี้เป็นที่ชิงชังของหลายฝ่าย ต่อให้สามารถจัดการกับฟารุคและเอียนได้จริง คิดหรือว่าเว่ยจินหยินจะกลับไปถึงฮ่องกงได้ง่ายๆ คิดหรือว่าตอนก้าวลงจากสนามบิน พลแม่นปืนจะไม่รอส่องศีรษะของเขาอยู่  เหมือนเห็นภาพซ้อน เถียนซานมองเห็นเว่ยชิงกำลังยืมมือคู่อริ เพื่อกำจัดลูกชายคนรองของเขา ในขณะเดียวกันก็อาศัยลูกชายที่ทำงานอย่างถวายหัวกำจัดคู่อริของเขาไปในตัว
   ไม่ว่าฝ่ายไหนจะพลาด ก็สมประโยชน์เจ้าตัวทั้งสิ้น
   แม้ว่าเว่ยจินหยินจะอำมหิต เลวร้ายจนน่ารังเกียจ แต่ในความคิดของเถียนซาน ทุกอย่างต้องโทษเจ้านายใหญ่ของเขา เว่ยชิงผลักดันบุตรชายของตนลงสู่ความมืดมิดเพื่อสนองความปรารถนาและความคับแค้น และเมื่อไม่อาจควบคุมได้ บุตรชายที่เหมือนมะเร็งคนนี้ก็ควรต้องถูกกำจัดทิ้ง อย่างแนบเนียน และยังผลประโยชน์มากที่สุด
   แม้จะโกรธเคืองเจ้านายใหญ่อย่างไร เถียนซานไม่มีอำนาจจะขัดขวางเรื่องนี้ได้ และเว่ยจินหยินก็กระโดดเข้ามาร่วมอย่างเต็มใจ แม้รู้ว่าจะเป็นกับดัก มันเป็นความสะเทือนใจที่เถียนซานต้องเก็บเอาไว้ลึกๆ ถึงเว่ยจินหยินจะรู้อยู่เต็มอกว่าผู้เป็นพ่อต้องการกำจัดเขา อาจจะเพราะเว่ยจินหยินอยากพิสูจน์ว่าเขาตั้งใจทำเพื่อผู้เป็นบิดามากมายขนาดไหน
   ถึงอย่างนั้นเถียนซานเชื่อ เว่ยจินหยินจะต้องไม่ยอมตายง่ายๆ แต่ต่อให้เว่ยจินหยินยอมตาย เขาจะไม่ยอมให้ตายเด็ดขาด
   เพราะชีวิตของเขา มีไว้เพื่อปกป้องผู้ชายคนนี้
-----------------------------------
   เพี๊ยะ!!
   เสียงวัตถุยืดหยุ่นและยาวเรียวกระทบพื้นดังเสียดเข้าไปในโสดประสาท ความจริงมันควรจะกระทบลงบนส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายชายที่มีชื่อเรียกว่าเอียนมากกว่า แต่โชคยังดีที่เขากระโดดหลบได้ทัน ไฮท์ลำดับสิบเอ็ดหันมาพูดอย่างไม่เชื่อ
   “เฟิงปิง!! แกมีของแบบนั้นได้ยังไง?”
   เว่ยเฟิงปิงยกแขนข้างซ้ายขึ้นมาพบว่ามันเป็นรอยขาดเป็นทางยาว และมีเลือดไหลซึมออกมา แสดงว่าไอ้ที่รู้สึกเจ็บเมื่อครู่คงไม่ใช่แค่เฉี่ยวๆ หวังว่าแผลนี้คงจะไม่ร้ายแรงมากนัก ได้ยินว่าแผลที่เกิดจากของมีคมมากๆ ขอบจะเรียบ ทำให้แผลสามารถปิดได้อย่างรวดเร็ว และไม่ทำให้เกิดแผลเป็น เว่ยเฟิงปิงหวังว่าร่ากายของเขาคงจะไม่มีรอยแผลเป็นเพิ่มขึ้นอีก เท่าที่มีอยู่ก็มากพอแล้ว
   “แกหมายถึงไอ้นี่เหรอ?” คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยกล่าว และสะบัดสิ่งที่อยู่ในมือของเขา มันเป็นด้ามจับสีเงิน ขนาดพอดีมือ ที่มีปลายคล้ายกับข้อต่อสีเงินชิ้นเล็กๆ นับพันๆ ชิ้นที่ต่อกันจนเป็นสายยาว มันเป็นสิ่งที่เรียกว่าแส้ ซึ่งทำจากโลหะน้ำหนักเบาชนิดหนึ่ง เว่ยเฟิงปิงขยับข้อมือนิดหน่อย ปลายของมันพุ่งเข้าใส่เอียนเหมือนอสรพิษ
   “ฉันได้มาจากเจ้าพ่อโต๊ะพนันคนหนึ่ง จะบอกว่ามันเป็นของกำนัลก็ได้นะ” เว่ยเฟิงปิงกล่าว ขณะที่เอียนกระโดดหลบ เขาตวัดแส้อีกรอบ มันพุ่งเข้าใส่ร่างที่เพิ่งเบี้ยงตัวหนีไปด้วยความเร็ว เอียนขยับมือ จานจักรแก้วชิ้นหนึ่งพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้
   เพล้ง!!
   เสียงโลหะกระแทกเข้ากับแก้วใสดังขึ้น และชิ้นส่วนแหลมคมที่ครั้งหนึ่งเคยมีรูปร่างคล้ายแผ่นวงกลมแบนๆ มีรูกว้างตรงกลางก็ร่วงกราวลงบนพื้น เอียนขบฟัน เขาไม่น่าปล่อยให้เว่ยเฟิงปิงล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ ไม่สิ เว่ยเฟิงปิงจงให้ถูกจานจักรนั่น และเขาก็มั่นใจว่าต่อให้จักรอันแรกไม่สามารถจัดการผู้ชายคนนี้ได้ ชิ้นต่อไปก็จะจัดการเขาก่อนที่จะทันได้เหนี่ยวไกปืนเสียอีก แต่สิ่งที่เว่ยเฟิงปิงล้วงออกมาจากอกเสื้อหาใช่อาวุธในแบบที่เขาคิด มันกลับกลายเป็นแส้เหล็กที่ถูกออกแบบอย่างวิจิตรเส้นหนึ่ง ที่พอหลุดออกมาจากอกเสื้อก็สำแดงอานุภาพฟาดจักรแก้วของเขาจนแหลกละเอียด เอียนพอจะนึกชื่อคนชอบสะสมของแบบนี้ออกบ้าง และถ้าให้คำจำกัดความว่าเจ้าพ่อโต๊ะพนันล่ะก็ คงจะมีอยู่คนเดียวเท่านั้น
   “โจวยี่!! เจ้าจิ้งจกนั่นให้มันกับแกเรอะ?!! ไม่สิ เจ้านั่นสอนวิธีใช้ให้แกด้วยเรอะ?!!” เอียนโพล่งอย่างตระหนก เขาได้ยินว่าโจวยี่มีอาวุธประจำตัวแปลกๆ ที่เรียกว่ากระบี่อ่อน ดูเหมือนวิธีใช้จะใกล้เคียงกับสิ่งที่อยู่ในมือศัตรูของเขา เว่ยเฟิงปิงผงกศีรษะ
   “ฉันเห็นด้วยกับคำว่าจิ้งจก นายนี่ช่างตั้งชื่อนะ แส้นี้เป็นของสะสมหายากที่โจวยี่หวงมาก นายน่าจะรู้ หรือคงไม่รู้หรอก เขาหวงมันขนาดที่ยอมสอนวิธีใช้ให้ฉันเพื่อที่มันจะได้ไม่ขึ้นสนิมอยู่ในตู้เชียวล่ะ”
   เอียนอยากจะพูดว่ามุขตลกที่เว่ยเฟิงปิงเล่นไม่ขำสักนิด แต่เขาคงไม่มีเวลาพูด เพราะแส้เหล็กนั่นโบยเข้าใส่เขาโดยไม่เปิดโอกาสให้ถามอีกด้วยซ้ำ
   เว่ยเฟิงปิงสะบัดแส้เหล็กในมือ หนึ่งในเหตุผลที่โจวยี่หักหลังเขา อาจจะเป็นเพราะการที่เขาบังเอิญไปถูกตาต้องใจแส้เส้นนี้ด้วยก็ได้ เขาเห็นมันโดยบังเอิญในตอนที่ไปพบผู้ชายคนนี้ในห้องส่วนตัวที่บ่อน ดูเหมือนโจวยี่จะหยิบมันออกมาจากที่เก็บเพื่อบำรุงรักษา เว่ยเฟิงปิงเอ่ยปากของมันต่อหน้าเจ้าของทันที ซึ่งผู้เป็นเจ้าของเองแสดงท่าทีแปลกใจไม่น้อย นั่นเพราะสิ่งที่เขาเอ่ยขอคืออาวุธชนิดเดียวกับที่ผู้เป็นพ่อใช้ตราความผิดลงบนร่างของเขา
   รอยแผลเป็นสีชมพูเข้มนูนหนาราวกับปลิงตัวใหญ่มีอยู่นับไม่ถ้วนบนแผ่นหลังของเว่ยเฟิงปิง มันเป็นรอยแผลแห่งความบัดซบที่พ่อเขาจารึกเอาไว้ รอยแผลที่ย้ำเตือนถึงความโง่เง่า ความงมงายในตัวสายลับคนนั้น ถึงกระนั้นคุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยมิได้คิดโกรธเค้นผู้ชายตาสองสีคนนั้นได้อย่างจริงใจเลย เขาแค่พยายามหลอกตัวเองให้คิดแบบนั้น จนกระทั้งผู้ชายคนนั้นปรากฏตัวต่อหน้าเขา ถูกหลอกล่อให้สัมผัสรอยแผลพวกนี้ ใบหน้าที่แสดงออกมา เพียงแค่แวบเดียว ใบหน้าที่แสดงความเสียใจของรูฟัสในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับการลืมเลือนความเจ็บปวดบนรอยแผลเหล่านี้
   เหตุที่เว่ยเฟิงปิงเอ่ยปากขออาวุธนี้กับโจวยี่มีเพียงข้อเดียว เขาต้องการจับอาวุธที่บิดาของเขาเคยจับเพื่อฟาดโบยเขา จับมันเพื่อฟาดโบยใส่ผู้อื่น ระบายโทสะที่อัดอั้นจากรอยแผลเป็นนับไม่ถ้วนนั้น เว่ยเฟิงปิงไม่เคยแค้นเคืองรูฟัสอย่างจริงจังเลย ผู้ที่เขาแค้นเคืองมาโดยตลอดคือบิดาของเขาเองนั่นแหละ
   แต่เว่ยเฟิงปิงไม่เคยมีโอกาสโบยแส้เส้นนี้ใส่ใครเลย เขาฝึกมันกับโจวยี่อย่างเงียบๆ ด้วยข้อเสนอที่น่าขันของผู้เป็นเจ้าของเดิม เขาไมได้เล่าเรื่องตลกให้เอียนฟังหรอก โจวยี่มอบแส้เส้นนี้ให้เขาด้วยเงื่อนไขว่าเขาต้องเรียนรู้ที่จะใช้มันอย่างถูกต้อง และคล่องแคล่ว เว่ยเฟิงปิงยอมตกลงเพียงเพราะนึกสนุก เขาไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้ใช้จริงๆ จนกระทั่งการทานอาหารร่วมกันกับบิดาของเขาวันนั้น คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยจึงได้หยิบมันออกมาจากที่เก็บ
   โจวยี่อาจจะรู้สึกดีใจที่ในที่สุดของสะสมสุดรักชิ้นหนึ่งของเขาได้ออกศึกจริงๆ เสียที
------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   มีคนบางคนเคยเรียกเขาอย่างค่อนแคะว่ามิสเตอร์โรบอท หรือคุณหุ่นยนต์ แต่ตอนนี้จางซื่อเยี่ยนนึกค้านคำนี้ที่เว่ยเฟิงปิงเอ่ยออกมาอย่างจริงๆ จังๆ ซึ่งมันเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เขาอยากให้เจ้านายของเขาได้เห็นจริงๆ ว่าคนที่เป็นเหมือนหุ่นยนต์จริงๆ ไม่ใช่เขา แต่เป็นคนที่กำลังแทงเข็มยักษ์เข้าใส่เขาอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ต่างหาก
   ใบหน้าของชายวัยยี่สิบเศษที่ถูกเรียกว่านีดเดิลเรียบเฉยมาก แม้จะต่อสู้มาแล้วระยะเวลาหนึ่ง จางซื่อเยี่ยนคิดว่าหมอนี่คงหอบหายใจบ้าง แต่สีหน้าที่แสดงออกมานั้นนิ่งเสียจนคิดว่าระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะนั้นคงตายด้านไปแล้ว มีแค่เสียงหอบหายใจถี่หนัก และปลายเข็มแหลมคมที่พุ่งเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า ใช้ปัดป้อง และมุ่งเอาชีวิต
   จางซื่อเยี่ยนไม่มีโอกาสได้เห็นว่าเจ้านายของเขาต่อกรกับชายชื่อเอียนที่ใช้จานจักรแก้วเป็นอาวุธอย่างไร ไม่แม้แต่จะมีสมาธิเงี่ยฟังเสียง สิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้คือสิ่งที่หน่วยดำทุกคนไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง
   เขากำลังวิ่งหนี
   อดีตหน่วยดำผู้มีฉายาว่าด้ายพิฆาตจำเป็นจะต้องขยายระยะห่างระหว่างเขากับเจ้าคนที่ใช้เข็มยักษ์นั่น เขาไม่ประสบความสำเร็จในการต่อสู้ระยะประชิด และหากยังฝืนทำต่อไปก็คงเสียท่าในที่สุด ดังนั้นจางซื่อเยี่ยนจึงออกวิ่ง วิ่งให้เร็วที่สุดและถอยกลับอย่างเร็วที่สุด ที่ถอยกลับไปไม่ใช่ตัวเขา แต่เป็นลูกดิ่งเหล็กสีเงินขนาดราวๆ ห้านิ้วที่ปลายด้านหนึ่งเชื่อมต่ออยู่กับสายลวดในมือเขาต่างหาก นีดเดิลพุ่งตรงเข้ามา และกำลังจะสวนกับลูกดิ่งเหล็กนั้น นัยน์ตาของเขาแทบไม่ขยับ
   เคร้ง!!
   แท่งเหล็กกลมปลายแหลมเหมือนเข็มขนาดยักษ์กระทบกับลูกดิ่งเหล็กนั้น นีดเดิลพยายามปัดมันออก แต่จางซื่อเยี่ยนชำนาญในอาวุธของเขาเช่นกัน ลูกดิ่งกระทบกับแท่งเข็มและแฉลบลากเอาเส้นลวดที่พ่วงอยู่ด้านหลังเข้าพัวพันแท่งเข็มนั้น อดีตหน่วยดำออกแรงดึงลวดของเขา นัยน์ตาของนีดเดิลไหววูบนิดหน่อย เขาขยับแท่งเข็ม แล้วสายลวดก็หลุดออกจากปลายของมันไปโดยง่าย และกลับคืนสู่เจ้าของอย่างรวดเร็วพอๆ กับตอนที่มันมา
   จางซื่อเยี่ยนกระโดดถอยหลังไปอีก มันคงจะไม่ลำบากขนาดนี้เลยถ้าสิ่งที่ผู้ขายคนนั้นถืออยู่เป็นมีดหรือปืนหรืออะไรก็ตามที่ดูอันตรายกว่านี้ เส้นลวดของเขาคงจะเกี่ยวและพันมันเอาไว้ได้ง่ายๆ แต่กับไอ้แท่งเหล็กกลมที่เรียวปลายนั่น เทคนิคนี้ไร้ผลกับมันอย่างสิ้นเชิง จางซื่อเยี่ยนคิดว่าเขาคงต้องใช้แผนใหม่
   ลูกดิ่งถูกซัดออกไปอีก แต่ในทิศทางที่ต่างออกไป มันพุ่งห่างออกไปจากตัวของนีดเดิลมากจนน่าตกใจ เมื่อเทียบกับความแม่นยำเมื่อครู่ นัยน์ตาสีดำที่ไร้ความรู้สึกนั่นเหลือบนิดหน่อย และเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอีก จางซื่อเยี่ยนเองก็เร่งฝีเท้าเช่นกัน เขาออกวิ่งอีกครั้ง พร้อมกับซัดลูกดิ่งอีกลูกออกไป ครั้งนี้มันก็ห่างจากเป้าหมายไปไกลโข ถึงอย่างนั้นฝีเท้าของนีดเดิลยิ่งเร็วขึ้น ราวกับว่าไม่ต้องการให้จางซื่อเยี่ยนขว้างลูกดิ่งพลาดอีก แต่ถึงอย่างนั้น อดีตหน่วยดำก็ยังคงทำพลาด ลูกที่สามก็ยังไม่โดนเป้าหมาย ตอนนี้จางซื่อเยี่ยนวิ่งหนีจริงๆ มันเป็นอะไรที่คงไม่น่าดูนัก แต่ต้องยอมรับว่าเขาทำมันลงไปแล้ว จางซื่อเยี่ยนกำลังเร่งฝีเท้าถึงขีดสุดเพื่อหนีเข็มยักษ์คู่นั้น แล้วจู่ๆ นีดเดิลก็หยุดชะงักตัวเองลง ราวกับว่าเจอกำแพงที่มองไม่เห็น
   จางซื่อเยี่ยนหยุดวิ่ง เขาขยับนิ้วมือ ที่มองดีๆ จะเห็นเส้นลวดสองสามเส้นยึดโยงอยู่ เสียงบาดเล็กๆ ดังขึ้นบนเสาโลหะสี่ห้าเสาที่เขาเพิ่งวิ่งผ่าน ผู้ชายที่ถือเข็มยักษ์ไม่ขยับแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่อยากขยับ แต่ไม่มีพื้นที่ปลอดภัยให้ขยับได้ต่างหาก
   เส้นลวดบางๆ หลายเส้น พาดไปพาดมาสลับกันเป็นแนวตาข่ายรอบตัวของนีดเดิล จางซื่อเยี่ยนไม่ได้ซัดลูกดิ่งพลาด เขาจงใจซัดมันออกไปเพื่อยึดลวดเข้ากับเสาโลหะด้านหลัง และทำทีเป็นวิ่งหนีไปเรื่อยๆ เพื่อสร้างแหลวดนี้ มันคือเทคนิคที่เขาไม่ถนัดเอามากๆ ระหว่างที่กำลังสร้างแหลวดนี้ เขาจะไม่สามารถป้องกันตัวได้ เพราะต้องใช้มือข้างหนึ่งรักษาความตึงของลวดเอาไว้ และยังต้องวิ่งไปในทิศทางที่กำหนดเพื่อสร้างมุมตัดของลวด ถ้าศัตรูรู้ทัน เข้าถึงตัวได้ก่อนก็จบ และถ้าซัดอาวุธเข้ามาก็จบ เพราะหากหยุดวิ่งหรือชะงักแม้วินาทีเดียว ความตึงของลวดที่ขึงเอาไว้ก็จะไม่ได้ระดับ มันอาจจะเตี้ยเกินหรือหย่อนไปเลยก็ได้ ดังนั้นการจะใช้เทคนิคนี้จึงต้องทำให้คู่ต่อสู้ไม่เฉลียวใจรู้สึกเลยว่ากำลังถูกล่อให้ติดกับดัก และจางซื่อเยี่ยนเป็นคนประเภทที่ไม่ถนัดในการหลอกล่อเช่นนี้เลย อดีตหน่วยดำรู้ดีว่านีดเดิลเองก็ไม่ได้พลาด ผู้ชายที่มีสีหน้าไร้ความรู้สึกราวกับปลาตายนั่นรู้ตั้งแต่ลูกดิ่งลูกที่สอง ไม่อย่างนั้นคงไม่พุ่งเข้าใส่เขาด้วยความเร็วขนาดนั้น โชคดีที่เขาเร็วกว่าและโชคดีที่นีดเดิลเลือกจะพุ่งเข้าใส่เขาแทนที่จะซัดเข็มเข้าใส่ เพราะถ้าเป็นวิธีหลัง ตอนนี้จางซื่อเยี่ยนอาจจะไม่ได้ยืนอยู่แบบนี้ก็ได้
   นัยน์ตาของนีดเดิลนิ่งสนิท จนจางซื่อเยี่ยนสงสัยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ กำลังคิดหาวิธีออกไป หรือว่าวางแผนอย่างอื่นอยู่ นัยน์ตานั่นไม่เหมือนกำลังครุ่นคิดเลย มันเหมือนรอคำสั่งอะไรอยู่มากกว่า
   “เฮ้..นาย..นีดเดิล”
   นัยน์ตาสีดำที่ไร้ความรู้สึกขยับนิดหน่อย เหมือนคำว่านีดเดิลจะมีผลบางอย่าง เขาขยับมือ ฟาดเข็มทั้งสองเล่มเข้าใส่แหลวดด้วยความเร็วที่น่าตกใจ จางซื่อเยี่ยนรู้สึกถึงแรงกระแทกจากลวดบนมือ นัยน์ตาสีดำราวอีกาคู่นั้นขยับด้วยความตระหนก ไม่ใช่จากแรงฟาดเมื่อครู่ ชายหนุ่มรู้ดีว่าเมื่อลวดตาขายนี้ถูกขึง ไม่มีใครสามารถขยับตัวในนั้นได้นอกเสียจากเขาจะเป็นคนคลายมันออกเอง ลวดจะบาดเข้าไปในผิวหนังหากคนที่อยู่ด้านในขยับตัวเพียงเล็กน้อย และในกรณีของชายที่มีชื่อเรียกว่านีดเดิลก็ไม่ละเว้น ลวดที่ถูกขึงจนตึงบาดเข้าไปในแขนทั้งสองข้างของเขา แต่ที่ทำให้จางซื่อเยี่ยนตระหนกคือ ผู้ชายคนนั้นยังขยับมือราวกับว่าลวดนั้นไม่ได้สร้างความเจ็บปวดอะไรให้เขาเลย ราวกับว่าร่างกายนั้นถูกสั่งให้ขยับไปแบบนั้นโดยไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าของเลย สองแขนยังคงแกว่งเข็มในมือ ใช้มันปัดเส้นลวดที่ขึงแน่นนั้นออก สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือแผลบาดลึกที่เกิดจากเส้นลวด มันลึกน่ากลัวเสียจนจางซื่อเยี่ยนเองยังรู้สึกหวาดเสียว เขานึกถึงเรื่องบางอย่างที่ถูกเล่าในวงสนทนาเมื่อนานมาแล้วสมัยที่เขายังอยู่หน่วยดำ เรื่องเล่าเกี่ยวกับวิชาสะกดจิต
   คนเล่าเรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นคนหนึ่งในหน่วยย่อยที่เขาอยู่ เล่าในทำนองว่าการสะกดจิตจะมีผลทำให้คนสามารถทำเรื่องที่เหนือความสามารถได้ และทำเรื่องที่คนสะกดจิตต้องการให้ทำได้ จากนั้นจึงมีการถกเถียงกันว่าหากมีเรื่องแบบนั้นจริง กองทัพคงสะกดจิตทหารให้สามารถรบได้ทั้งวันทั้งคืนโดยไม่เหน็ดเหนื่อย แล้วใครคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่าการสะกดจิตนั้นไม่ใช่ว่าใครก็สะกดได้ แล้วมันก็มีคีย์เวิร์ดที่เมื่อทำหรือพูดแล้วผู้ถูกสะกดจะตื่นขึ้น ถ้าขืนใช้ในกองทัพแล้วเกิดมีใครรู้คีย์เวิร์ดนี้ กองทัพก็ล่มจมกันพอดี
   ผู้ชายที่ขยับร่างกายโดยไร้การแสดงสีหน้าคนนี้ ใช่ถูกสะกดจิตด้วยหรือเปล่า?
   จางซื่อเยี่ยนถามตัวเอง เขาเคยได้ยินเรื่องเล่าแบบนั้น และเป็นหนึ่งในคนที่เถียงว่าคงเป็นไปไม่ได้ แต่ว่ากับพฤติกรรมผู้ชายที่พยายามทำลายแหลวดโดยไม่สนใจบาดแผลที่เกิดขึ้นนี้ มันคงยากที่จะอธิบายด้วยเหตุผลอื่น ไม่มีคนจิตแข็งคนไหนโดนบาดขนาดนั้นแล้วยังมีสีหน้าเรียบเฉยอยู่ได้ ยกเว้นเสียแต่กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาจะตายด้าน ถึงอย่างนั้นก็ต้องแสดงออกมาทางแววตาบ้าง แต่สำหรับผู้ชายที่ชื่อนีดเดิลคนนี้ ไม่มีอะไรแบบนั้นเลย แม้ว่าแขนของเขาจะถูกบาดจนเห็นกระดูกสีขาวโผล่ออกมาแล้วก็ตาม
   อดีตหน่วยดำขบฟัน ความจริงแล้วลวดของเขาใช่ว่าไม่เคยเปิดกระดูกของใครมาก่อน บางครั้งยังเคยเฉือนนิ้วมือหรือเส้นเลือดใหญ่บนลำคอของใครหลายคนด้วยซ้ำ แต่กับการได้เห็นผู้ชายคนหนึ่งซึ่งยังไม่แน่ใจว่ารู้ตัวดีหรือเปล่า พาร่างของตัวเองบาดเข้ากับคมลวด เป็นอะไรที่ยากจะทนดูจริงๆ จางซื่อเยี่ยนคิดว่าเขาไม่ปล่อยให้คนที่ยังไม่รู้ว่ามีสติอยู่กับตัวแค่ไหนฆ่าตัวเองโดยไม่รู้ตัวไปต่อหน้าเขาได้ ถ้านี่คือการสะกดจิต มีอะไรหรือเปล่าที่พอจะเป็นคีย์เวิร์ดนั้น
   แผลเปิดบนแขนทั้งสองข้างของนีดเดิลเริ่มน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าผิวหนังจะเปิดขนาดนั้นแล้วแต่มือทั้งสองข้างของเขายังคงไม่ปล่อยอาวุธที่มีชื่อเรียกเหมือนตัวเอง เขาคงจะกำมันอยู่อย่างนั้นจนกระทั้งเส้นเอ็นที่ใช้ควบคุมฝ่ามือทั้งสองขาดสะบั้นลงนั่นแหละ มันเป็นสภาพที่น่าอเนจอนาถ จางซื่อเยี่ยนล้วงมือข้างหนึ่งเข้าไปในอกเสื้อ ควรไหมนี่เขาจะส่งผู้ชายคนนี้ให้พ้นความทรมานเสียที? ผู้ชายที่เขายังไม่รู้กระทั่งชื่อจริง นอกจากชื่อที่ถูกเรียกว่านีดเดิล
   ชื่อ?!!
   ดูเหมือนเถียนซานจะเคยพูดถึงชื่อของเด็กหนุ่มคนนี้เอาไว้
   “เสี่ยวฟาน”
-----------------------------------------------
   รัตน์เกือบจะทุบมือลงบนแผงควบคุม ดีที่เขายั้งไว้ทันจึงแค่ตบลงไปเบาๆ เท่านั้น ถึงอย่างนั้นมันก็ยังสร้างความตกใจให้กับบรรดาพนักงานที่ทำงานอยู่ตรงนั้นไม่น้อยเลยทีเดียว
   “ส่งคนเพิ่มเข้าไปที่ห้องเก็บเทซกา ฉันคิดว่ามันคงไม่ได้วางระเบิดเอาไว้หลายลูกตรงนั้น หรือถ้ากลัว ก็ส่งคนเข้าไปอีกทาง ส่งเข้าไปทั้งสองทางนั่นแหละ จับมันให้ได้ เค้นคอมันให้ได้ว่าใครส่งมันมา”
   ชายวัยกลางคนสั่งการด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว เขาได้ยินแล้วว่าทวีศักดิ์ยุติการประชุม การประชุมที่ผู้ชายคนนั้นทุ่มเทลงไปแทบทุกอย่างเพื่อให้มันเกิดขึ้น ถูกทำลายลงเพราะไอ้ฝรั่งบ้าสองสามตัวที่ดอดเข้ามาจากทางไหนสักแห่ง
   “หาไอ้คนที่เจาะระบบเข้ามาพบแล้วยัง?!!” รัตน์กระชากเสียงถาม ตอนนี้เขายากที่จะควบคุมคำพูดในอยู่ในระดับปกติแล้วจริงๆ ระเบิดนั่นเป็นตัวทำลายทุกอย่าง และเขาจะไม่อดทนอีกต่อไป
   “พบแล้วครับ น่าจะอยู่แถวๆ ห้องเก็บขยะ” พนักงานคนหนึ่งละล่ำละลักกล่าว รัตน์ขยี้มือของเขา และกรอกเสียงลงไปในไมโครโฟน
   “ส่งหน่วยฉลามไป หยุดมันให้ได้ ไม่ก็ฆ่ามันทิ้งได้เลย จับเป็นเฉพาะคนที่จับได้!!” น้ำเสียงนั้นเกรี้ยวกราดและเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นขนาดที่พนักงานที่ฟังอยู่ในห้องยังรู้สึกตัวสั่น รัตน์ขบกรามแน่น เขาจะไม่ยอมให้ทวีศักดิ์เสียอยู่เพียงฝ่ายเดียวหรอก ไม่ว่าพวกที่เข้ามาจะเป็นใคร พวกมันต้องชดใช้เรื่องที่ทำลงไป
-----------------------------------------------
   รูฟัสกำลังลากลิ้นชักแก้วที่ยังไม่แตกยับเยินไปเสียทั้งหมด มาวางไว้ตรงหน้าประตู โดยดึงร่างไร้สติของตาแก่ลู่ชางไปพิงเอาไว้ เผื่อว่าพวกที่เข้ามาจะชะงักไม่กล้ายิง หรือถ้าจะยิงมันก็สมควรอยู่เหมือนกัน เขาไม่อยากเสียมือตัวเองฆ่าตาแก่วิปลาสคนนี้นักหรอก
ชายหนุ่มเช็กอาวุธทั้งหมดที่เขามี ปืนพกสองกระบอก มีดสงครามรุ่นสั่งทำพิเศษขนาดเก้านิ้วครึ่งที่ราฟาแอลหอบมาให้เขาจากอเมริกาเมื่อสามปีก่อนหนึ่งเล่ม มีดพกสองเล่ม และมีดสำหรับซัดอีกแปดเล่ม รูฟัสตัดสินใจเก็บมีดสงครามที่เขาใช้แทงเข้าไปในตู้เก็บควันนรกนั่นเอาไว้เป็นอาวุธก๊อกสาม และเลือกปืนพกเป็นอาวุธก๊อกสอง เขาคิดว่าไอ้ตู้กระจกนี่คงกันอะไรได้ไม่มากนัก เผลอๆ อาจจะอันตรายด้วยซ้ำถ้าหลบอยู่ด้านหลัง แต่มันก็เปลี่ยนเป็นอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างได้มากเช่นกัน ถ้าเพิ่มสิ่งหนึ่งลงไป....
หนุ่มนัยน์ตาสองสีหยิบวัตถุรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดราวๆ ห้าคูณหกนิ้วออกมา มันคือระเบิดชนิดที่จุดชนวนโดยความร้อน รูฟัสใช้มีดพกผ่ามันออกครึ่งหนึ่ง เพราะสำหรับห้องขนาดนี้ ทั้งก้อนเลยคงจะแรงเกินไป เขาวางครึ่งหนึ่งไว้ด้านหลังตู้กระจก ในมุมที่เขาสามารถยกปืนขึ้นยิงมันได้ทัน ก่อนพวกที่เข้ามาจะยิงเขา นี่คืออาวุธก๊อกแรกที่เขาเตรียมไว้ต้อนรับผู้มาเยือน ถ้าโชคดี แค่ก๊อกนี้เขาก็อาจจะหลุดออกไปจากห้องนี้ได้ แต่ถ้าระเบิดนี่ไม่ส่งผลแรงพอ เขายังมีปืนพกที่มีลูกกระสุนเต็มแม๊กอีกสองกระบอก รวมๆ แล้วก็คงสักยี่สิบนัด ยิงถูกบ้างไม่ถูกบ้างก็คงจะเก็บได้สักเจ็ดแปดคน บวกกับมีดซัดอีกแปดเล่มแล้วก็ไม่น่าจะเกินสิบสองคน ถ้ารวมกับพวกที่น่าจะถูกระเบิดก็ควรจะเกินยี่สิบแล้ว ถ้ามีมามากกว่านี้ก็คงต้องพึ่งไอ้เพื่อนยากที่ราฟาแอลอุตส่าห์หิ้วมากฝาก แทนมีดเล่มเก่าที่เจ้าตัวบ่นว่าเก่าและทื่อเต็มทน
รูฟัสนึกสงสัยจริงๆ ว่าราฟาแอลไปทดสอบความคมของมันตอนไหน คงไม่ใช่ว่าเอาไปให้คลาวเดียหั่นผลไม้หรอกนะ เอาเถอะยังไงเจ้ามีดเล่มนี้ก็ถูกใจเขาอยู่มากเหมือนกัน มันคงจะสำแดงฤทธิ์เดชเก็บได้อีกสักสองสามคนหรอก ถ้าไม่ไหวจริงๆ ถึงตอนนั้นค่อยคิดอีกทีก็แล้วกัน ยังไงเสียเขาจะต้องรอดออกไปให้ได้
   รอดออกไปเพื่อบอกฟ่งว่าคราวหน้าคราวหลังจะเขียนแบบอะไรต้องปรึกษาเขาก่อน
   ชายหนุ่มเผลอหัวเราะออกมา เขาเริ่มนึกขันตัวเอง ในเวลาแบบนี้เขายังจะคิดอะไรแบนั้นอีกหรือ เขาไม่ได้นึกโทษฟ่งสำหรับเรื่องนี้เลย ก็แค่นึกเศร้าใจนิดหน่อย เหมือนพระเจ้าจะจงใจแกล้งเขาให้ติดอยู่แบบนี้ ทั้งๆ ที่เกิดปาฏิหาริย์หลายต่อหลายอย่างแล้วก็ตาม  หรือพระเจ้าอยากจะบอกว่าเป็นความผิดของเขาที่ไปหลงรักผู้ชายสวมแว่นคนนั้น พระเจ้าคงไม่เข้าใจ ต่อให้เขาต้องตายอยู่ที่นี่เขาก็จะไม่เสียใจที่ได้รักฟ่งเด็ดขาด จะเสียใจก็ตรงที่ไม่มีโอกาสจะทำให้ฟ่งบอกคำที่เขาอยากฟังออกมาจากใจจริงๆ ได้เสียทีนี่แหละ ถ้าพระเจ้าปราณี ส่งมาแค่ยี่สิบคนจะเป็นพระคุณมาก แค่นั้นเขาก็รอดลำบากแล้ว ถ้าโผล่กันมาเป็นกองทัพเขาคงต้องโทษพระเจ้านั่นแหละ
   โครงสร้างโลหะที่ยึดโยงห้องราวกับขาของแมลงมุมด้านนอกเริ่มขยับ รูฟัสถอยหลังจนอยู่นอกรัศมีระเบิด เล็งปืนเตรียมพร้อม เจอหน้าเมื่อไหร่ คงได้รู้กันเสียที
------------------------------------------------

ออฟไลน์ harumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +156/-33
รอลุ้นอยู่
รีบมาต่อเร็วๆนะ

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
ลุ้นอะลุ้น อย่าบอกนะว่าคนที่มาถึงก่อนจะเป็นฟ่ง

killermoonlit

  • บุคคลทั่วไป
ตอนต่อไปขอพรุ่งนี้ได้มัยอะ.....น้าาาาาาาาาา นะๆๆๆๆๆๆๆ

ิbenejeng

  • บุคคลทั่วไป
ลุ้นอ่า มาต่อเร็วนะคะ

ออฟไลน์ Mookkun

  • magKapleVE
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 637
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
    • Consensual free relationships
ขอให้คนที่เข้ามาเป็นใครซักคนที่เข้ามาช่วยทีเห๊อะะะ

ลุ้นเหลือเกิ๊นนน
ลุ้นมันซะทุกตอนนน ตะคริวกินนี่จะไม่แปลกใจเลยย ฮ่าๆๆ

ขอบคุณคนเขียนเน้ออ~~

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ระหว่าง พ่อ กับ ลูก ใครอำมหิตกว่ากันละเนี่ย -*-  แต่ลึกๆ ก็น่าสงสารจินหยินนะ ถ้าไม่โดนเลี้ยงมาแบบนั้น ก็คงไม่โหด+เลวแบบนี้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**แฮ่ เอามาลงต่อเนื่องค่ะ ไม่รู้ว่ามีคนอ่านเรื่องนี้เยอะรึเปล่า เพราะยาวเมิ่ก จะอัพรายวันก็เกรงใจ แต่มานึกอีกที จะกั๊กไว้ก็ใช่ที่ (มันจบแล้วนิ) เพราะงั้น จะพยายามเอามาลงวันที่ไม่ได้อัพเรื่องอื่นนะคะ (อ้าว กวนนี่!!)

ฮา~ รักจินหยินจังเลยค่า
-------------------------------------------
บทที่63 ผู้ช่วยเหลือ

 วรุตถอนหายใจอย่างหนักหน่วง หลังก้าวออกมาจากลิฟต์ตัวใหญ่ เขาเพิ่งส่งแขกที่มาร่วมงานชุดสุดท้ายเสร็จ โดยปราศจากการดูแลของผู้เป็นพ่อ ท่าทางทวีศักดิ์จะเชื่อว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่คือเสียงระเบิด จึงปลีกตัวและมุ่งตรงไปยังห้องควบคุม ซึ่งลูกน้องคู่ใจที่ทำงานร่วมกันมาหลายปีกำลังพยายามจะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ โดยสั่งให้ลูกชายอยู่จัดการเรื่องการส่งและขอโทษขอโพยแขกเหรื่อที่เชิญมา
ความจริงวรุตไม่อยากแยกจากผู้เป็นพ่อในตอนนี้ เขาไม่แน่ใจว่าทวีศักดิ์กับรัตน์จะจัดการอย่างไรกับพวกที่บุกรุกเข้ามา และไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพวกราฟาแอลจะจัดการอย่างไรกับพ่อของเขา แต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถจะพูดอะไรเพื่อห้ามปรามบิดาของเขาได้ เขาไม่เคยห้ามใครได้เลย ไม่เคยช่วยอะไรใครได้เลย
          เด็กหนุ่มถอนหายใจอีกรอบ รู้สึกหงุดหงิดรำคาญกับพวกบอดีการ์ดที่ล้อมหน้าล้อมหลังเต็มที เขาทำตัวไม่ถูกเลยเวลาอยู่กับคนพวกนี้ เพราะไม่แน่ใจว่าควรจะออกคำสั่ง ขอร้อง หรือว่าอ้อนวอนให้ช่วยดี
วรุตไม่ชอบการถูกเดินกระหนาบแบบนี้เลย แต่ครั้นจะให้คนพวกนี้ออกไปก็ติดข้ออ้างเรื่องคุ้มกันอีก ให้ตายสิ ใครมันอยากทำร้ายเขานัก นี่ถ้าพ่อของเขากลัวจะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริงๆ ก็ควรจะเลิกทำเรื่องอะไรที่มันทำให้คนอื่นเดือดร้อนแบบที่ทำอยู่สักทีสิ
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองตรงตำแหน่งที่กำหนดไว้ เพื่อสแกนรูม่านตา ก่อนจะผ่านประตูเข้าไปยังห้องรับรองใหญ่ แล้วเขาก็ต้องอ้าปากด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นผู้ที่อยู่ด้านใน
          อิทธิเดชนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง และหันมายิ้มให้ทันทีในตอนที่เขาก้าวเข้ามาในห้อง ริมฝีปากได้รูปที่ค่อยๆ แย้มออก และในเสี้ยววินาที มันก็กลายเป็นรอยยิ้มพิมพ์ใจที่ทำให้วรุตต้องยิ้มตอบออกไปอย่างห้ามใจตัวเองไม่อยู่
อิทธิเดชไม่เคยยิ้มแบบนี้ให้เขามาก่อน เท่าที่วรุตเคยเห็น รอยยิ้มแบบนี้จะมีให้ก็แต่ผู้เป็นพ่อของเขาเท่านั้น เด็กหนุ่มก้าวเท้าไปอย่างลืมตัว เขาอยากตรงเข้าไปกอดร่างที่นั่งอยู่ในตอนนี้เลย ระหว่างที่เขากำลังเดินเข้าไปนั้น อิทธิเดชก็ผุดลุกขึ้น
          “กลับกันเถอะครับ คุณวรุต”
          คำพูดนั้นทำให้เด็กหนุ่มชะงักเท้าทันที เขาเอ่ยทวนคำพูดนั้นอีกรอบ “กลับ?”
          หนุ่มหน้าสวยพยักหน้า “ครับ กลับออกไปด้านบนกันเถอะ”
          วรุตรู้สึกเหมือนมีรากงอกยืดขาเอาไว้ เด็กหนุ่มยืนนิ่งอึ้งอยู่พักใหญ่ จนได้ยินเสียงพูดจากทางด้านหลัง
          “ท่านประธานบอกให้คุณกลับออกไปจากที่นี่โดยด่วนครับ” หนึ่งในผู้ติดตามที่พ่อของเขาสั่งให้มาด้วยเอ่ย วรุตสูดหายใจลึกเหมือนกำลังนึกตรองอะไรบางอย่าง ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา “เฮ้อ… สุดท้ายก็ดีดผมออกหรือนี่”
เขาหันไปมองอิทธิเดช และยักไหล่ “คุณรู้ใช่ไหมว่าผมจะตอบว่ายังไง?”
          อิทธิเดชมองหน้าวรุต เขาคิดว่าตัวเองรู้ แต่ก็เลือกที่จะพูดในสิ่งที่ตรงข้าม “กลับกันเถอะนะ วิน”
   น้ำเสียงอ่อนโยน และรอยยิ้มน้อยๆ บนริมฝีปากได้รูปที่ปรากฏขึ้นพร้อมคำพูดนั้น หากเป็นเมื่อก่อน วรุตคงจะเดินตามออกไปแล้ว แต่ทว่า....
         เด็กหนุ่มกำมือแน่นอย่างลืมตัว พร้อมขบริมฝีปาก หัวใจเต้นตึกๆ ด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก
อิทธิเดชไม่เคยเรียกชื่อเล่นของเขาแบบนี้เลย คนคนนี้แสดงท่าทางแปลกๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว ทั้งรอยยิ้มและคำพูดนั่น จะเป็นเพราะคำสั่งพ่อของเขาหรือเปล่านะ บางทีทางนั้นคงจะสั่งมาว่าไม่ว่าวิธีการใดก็ต้องพาเขาออกไปจากที่นี่ให้ได้.....
แต่เล่นละครใส่กันแบบนี้มันก็เกินรับได้ไปหน่อย
          “ผมไม่ไป!” เด็กหนุ่มกล่าวเสียงเครียด จากนั้นก็ก้าวพรวดๆ ไปยังทางออกซึ่งเชื่อมลงไปด้านล่าง ผู้ติดตามสองคนคว้าแขนของเขาเอาไว้ทันที
          “กรุณากลับออกไปเถอะครั…!!” ชายคนนั้นพูดไม่ทันจบประโยค ก็ต้องงอตัวด้วยความเจ็บปวด เมื่อถูกคนที่ตัวเองยึดแขนเอาไว้ เตะผ่าเข้าตรงกลางหว่างขาอย่างถนัดถนี่ ขณะที่อีกคนซึ่งกำลังจะขยับอ้อมไปจับจากอีกทางหนึ่งก็ถูกเอาหัวโขกอย่างแรง
   ปึ๊ก
   วรุตกะพริบตาปริบๆ “โอ้โห…มึนน่าดู” เด็กหนุ่มพูดเสียงแปร่ง ก่อนจะยกขาขึ้นถีบซ้ำเข้าไปอีกที ต่างคนต่างเซกันไปหลายก้าว ขณะที่วรุตกำลังพยุงตัวไม่ให้ล้มลงไป อิทธิเดชก็วิ่งเข้ามาคว้าแขนของเขาเอาไว้ แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร อีกฝ่ายก็หันกลับมาหัวเราะใส่หน้าเขา
          “คุณนี่…ร้ายจริงๆ นะเนี่ย”
          คำพูดนั้นทำให้อิทธิเดชถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น วรุตรู้สึกถึงแรงบีบมหาศาลที่ท่อนแขนซึ่งถูกยึดอยู่ และเห็นบอดีการ์ดคนอื่นๆ กำลังตรงเข้ามา หากปล่อยเอาไว้แบบนั้น เขาก็คงต้องถูกพากลับขึ้นไป โดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง
          วรุตไม่อยากกลายเป็นแค่คนที่ไร้ความมาย คนที่ไม่เคยจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย
          “เฮ้อ......” เด็กหนุ่มถอนหายใจอีกรอบ จากนั้นก็เบือนหน้าไปหาคนที่ยึดแขนของเขาเอาไว้ โดนไม่ทันได้ตั้งตัว ริมฝีปากของเด็กหนุ่ม ตรงเข้าประกบริมฝีปากได้รูปนั้นทันที
หนุ่มหน้าสวยเบิ่งตาค้างด้วยความตกใจ เขาไม่คิดว่าวรุตจะกล้าทำแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น ร่างบางพยายามจะผลักอีกฝ่ายออก ในขณะที่คนที่เหลือต่างหยุดขยับตัวเพราะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และมีเกิดกระอั่กกระอ่วนขึ้นมา
วรุตถอนริมฝีปากออก ขมวดคิ้วและยิ้มให้อิทธิเดชอย่างเหนื่อยอ่อน จากนั้นก็อ้าปากเหมือนกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็พลันหุบลงอย่างรวดเร็ว
ในจังหวะที่ทุกคนรวมถึงอิทธิเดชยังคงงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น วรุตก็สะบัดแขนออก และออกวิ่งตรงไปยังประตูอีกด้านหนึ่ง
“คุณวรุต!!”
———————————————–
          วรุตอยากจะหัวเราะออกมาทั้งๆ ที่วิ่งอยู่ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าไล่มาที่ด้านหลัง พวกนั้นตามมาแล้ว และคงจะรวมถึงผู้ชายที่ชื่ออิทธิเดชคนนั้นด้วย
ครั้งหนึ่งในตอนที่เขาเห็นรอยยิ้มที่อิทธิเดชยิ้มให้พ่อของเขาเป็นครั้งแรก วรุตเคยอยากจะได้รอยยิ้มนั้นมาครอบครอง แต่ก็รู้ทันทีว่าคงจะเป็นไปไม่ได้ ทั้งดวงตาคู่งามและรอยยิ้มนั้น มีไว้เพื่อมองและมอบให้พ่อของเขาเท่านั้น
เขาเคยใช้สารพัดวิธีที่จะแย่งชิงสายตานั้นให้มาจับจ้องอยู่ที่เขา ต่อให้มันจะกลายเป็นสายตาแห่งความเคียดแค้นก็ตาม กระนั้นแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร ก็ไม่อาจได้ทั้งสายตา รวมถึงรอยยิ้มนั้นมาไว้ในครอบครอบได้เลย
วรุตจมปลักอยู่กับความกระหายต้องการจะครอบครอง โดยลืมเลือนความประทับใจครั้งแรกไม่แทบหมดสิ้น ไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะมีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มแบบนั้นอีก ซ้ำยังเป็นรอยยิ้มยิ้มให้เขาอีกด้วย นี่ถ้ามันเกิดขึ้นในสถานการณ์ปกติล่ะก็... เขาคงจะดีใจเป็นที่สุด
 แต่นี่ไม่ใช่..... อิทธิเดชยิ้มให้เขาแบบนั้นก็เพราะคำสั่งพ่อของเขาต่างหาก อาจจะคิดว่าใช้วิธีนี้แล้วคงทำให้เขาติดกับได้ล่ะมั้ง
อา… ช่างโหดเหี้ยมเสียจริงนะ.... ถ้าหากต้องเห็นรอยยิ้มที่เกิดขึ้นเพราะการเสแสร้งล่ะก็ เขายอมถูกถ่มน้ำลายใส่ไปตลอดชีวิตดีกว่า อย่างน้อยมันก็มีความจริงใจอยู่บ้าง

          ทางเดินลงไปชั้นล่างซับซ้อนเอาเรื่อง วรุตไม่เคยลงมาในสถานที่นี้คนเดียว คราวหน้านี้เขามีคนนำทางนำชม แต่ตอนนี้คงไม่มีใครอาสามานำทางให้เขาแน่
เด็กหนุ่มวิ่งลงบันได ไม่มีเวลาพอให้คิดด้วยซ้ำว่าจะเลือกทางแยกไหน เขาตัดสินใจเลี้ยวขวา และพบว่าที่สุดปลายของระเบียงยังมีพนักงานอีกจำนวนหนึ่งกำลังกรูกันวิ่งเข้ามา คงได้รับคำสั่งไม่ต่างจากพวกที่วิ่งตามมาหรอก
วรุตมีเวลาให้คิดไม่นานนัก เขากำลังถูกขนาบสองด้าน และอีกไม่กี่วินาทีก็คงโดนจับและพาออกไปแน่ๆ เด็กหนุ่มเหลือบตามองออกไปนอกระเบียง ด้านล่างยังมีระเบียงอีกชั้นหนึ่ง แต่ก็สูงพอสมควร ถ้ากระโดดลงไปอาจจะขาหักหรือแย่กว่านั้นก็ได้
เขาควรจะปล่อยให้ตัวเองถูกลากออกไปดีไหม? มันดูปลอดภัยและไม่เจ็บตัวด้วย แต่เขาจะได้อะไรล่ะ? แล้วยังเหลืออะไรอีก? สิ่งที่เขาตั้งใจจะทำให้ได้ มันจะหยุดอยู่แค่นี้หรือ?
เด็กหนุ่มขบริมฝีปาก วิ่งตรงไปยังราวระเบียง และกระโดดลงไปทั้งอย่างนั้น ท่ามกลางความตกใจของทุกคนอยู่ที่นั่น
------------------------------------
          “วรุต!” อิทธิเดชตะโกนเรียกชื่อนั้นออกมา ก่อนจะวิ่งตรงไปยังระเบียงที่เด็กหนุ่มเพิ่งจะกระโดดลงไปทันที หนุ่มหน้าสวยใจเต้นราวกับจะระเบิดออก เขาชะโงกหน้าลงไปด้านล่างทันที และรู้สึกหวั่นใจ กลัวว่าฝ่ายนั่นจะได้รับบาดเจ็บ ซึ่งคงจะยิ่งทำให้ทวีศักดิ์ทุกข์ใจมากขึ้น แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะโชคดีกว่าที่เขาคิด

          วรุตพยายามพยุงตัวลุกขึ้น แรงกระแทกเมื่อครู่ทำเอากระดูกแทบหัก แม้จะเรียนรู้มาว่าการงอเข่าเป็นการลดแรงกระแทกด้วยการใช้จุดหมุน แต่พอเอาเข้าจริงมันไม่ง่ายอย่างที่ทฤษฏีว่าเลย เขาลงมาด้วยท่าก้นจ้ำเบ้า โชคดีที่แค่สะโพกเคล็ดนิดหน่อย แต่ดูเหมือนไม่น่าจะมีอะไรหักหรือบุบสลาย
เด็กหนุ่มไม่สนใจจะหันไปมองพวกที่อยู่ด้านบน เขารู้ดีว่าคนพวกนี้ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงตัวเขาได้โดยไม่ต้องกระโดดตามลงมาด้วยซ้ำ ดังนั้นพอพยุงตัวได้ เด็กหนุ่มจึงขยับตัว วิ่งตุบปัดตุบเป๋ออกไป เพื่อหนีให้ห่างพวกที่ไล่ตามเขาให้มากที่สุด
          ก็แค่ไม่อยากถูกส่งกลับออกไปโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรซักอย่าง.... เท่านั้นแหละ...

          อิทธิเดชหันไปสั่งพวกที่เหลือให้ตามวรุตลงไป ส่วนตัวเขาเองก็วิ่งตามไปอีกทางหนึ่ง หนุ่มหน้าสวยเม้มปากอย่างครุ่นคิด เขารู้ว่าวรุตชอบทำอะไรแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง แต่แบบนี้มันเรียกว่าเหนือความคาดหมายและเกินไปมากไปจริงๆ โชคยังดีที่เด็กนั่นไม่ได้รับบาดเจ็บ
ตอนที่ได้เห็นระเบิด และทำผู้ชายสวมแว่นคนนั้นหลุดมือไปแล้ว อิทธิเดชก็รายงานสิ่งที่เห็นให้ห้องควบคุมทราบ และถูกสั่งให้ขึ้นมาพบอย่างเร่งด่วน ณ ที่นั่น ทวีศักดิ์ยืนรออยู่แล้วด้วยท่าทางกระวนกระวายใจอย่างที่สุด
หลังจากสอบถามเรื่องระเบิดคร่าวๆ ชายคนนั้นก็เอ่ยปากขอร้องให้ช่วยพาลูกชายคนเดียวของเขากลับขึ้นไปด้านบน เพราะทวีศักดิ์รู้ดีว่า ด้วยนิสัยอย่างวรุต จะต้องไม่ยอมขึ้นไปตามคำสั่งง่ายๆ แน่
วินาทีนั้นอิทธิเดชรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะอยู่ข้างกายผู้ชายที่ชื่อว่าทวีศักดิ์ ผู้ชายที่เคยใจดี เคยมอบความอบอุ่นให้เขา แต่ในหัวใจและความคิดของทวีศักดิ์ให้ความสำคัญกับลูกชายเพียงคนเดียวของเขาเท่านั้น ลูกชายที่เกิดจากภรรยาเก่าซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน
ทวีศักดิ์พูดถึงภรรยาของเขาน้อยมาก ไม่ใช่ว่าเขาลืมเธอ หรือเกลียดเธอ แต่การพูดถึงเธอยิ่งทำให้เขาเจ็บปวด ครั้งเดียวที่ทวีศักดิ์พูดถึงหล่อนคือตอนที่มีอะไรกันคราวนั้น คำพูดที่เหมือนเปรยกับตัวเอง
          ฉันรักเธอ…
          คำพูดซึ่งอิทธิเดชเพิ่งมาเข้าใจในภายหลังว่า ทวีศักดิ์ไม่ได้พูดกับเขา แต่พูดกับใครคนหนึ่งซึ่งไม่อยู่ในโลกนี้อีกแล้ว ภรรยาที่เสียชีวิตไป....
อิทธิเดชมีโอกาสได้เห็นรูปถ่ายของหล่อนครั้งหนึ่งโดยบังเอิญ เขาเข้าใจในตอนนั้นเองว่าทำไมทวีศักดิ์จึงเอ่ยคำพูดนั้นออกมา หล่อนดูคล้ายเขาในหลายๆ ส่วน นี่คงเป็นสาเหตุที่ชายคนนั้นให้ความช่วยเหลือแก่เขา
อิทธิเดชไม่คิดว่าทวีศักดิ์จะจริงจังกับเขา ผู้ชายที่ใจดีคนนั้นคงทนความคิดถึงภรรยาที่รักของตัวเองไม่ไหวเท่านั้น แค่คืนเดียวที่เขาได้เป็นตัวแทนของหล่อน ถึงอย่างนั้นเขาก็รักผู้ชายคนนั้น แม้จะรู้ดีว่าความรักของเขาไม่มีความหมายอะไรกับผู้ชายคนนั้นเลย

          อิทธิเดชหอบหายใจ วรุตคงยังวิ่งได้ไม่เต็มที่นัก คงเพราะอาการบาดเจ็บจากแรงกระแทกที่เกิดขึ้น แต่ทางเชื่อมจากจุดที่เขาเพิ่งวิ่งออกมากับจุดที่วรุตกระโดดลงไปนั้น ค่อนข้างจะห่างกันพอสมควร ชายหนุ่มภาวนาให้มีใครสักคนหยุดเจ้าเด็กนั่นได้ ก่อนที่จะเกิดอะไรร้ายแรงไปกว่านี้
          รอยยิ้มของวรุตก่อนที่จะวิ่งหนีออกไป ยังติดอยู่ในความทรงจำของเขา
          รอยยิ้มเหนื่อยอ่อนแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่วรุตจะแสดงออกมาบ่อยนัก กรณีล่าสุดที่คล้ายๆ กันนี้คือตอนที่เด็กคนนั้นคืนรูปถ่ายแบล็กเมล์ให้เขา
          วรุตกำลังคิดอะไรอยู่กันนะ……….
----------------------------------------------
          ความจริงแล้ววรุตไม่ได้คิดอะไรเลย และตอนนี้เขากำลังบอกตัวเองว่าควรจะเริ่มคิดได้แล้ว เด็กหนุ่มวิ่งกระโผลกกระเผลกไปตามทางเดินกว้างๆ ผ่านห้องหลายห้อง น่าแปลกที่ไม่มีใครอยู่บริเวณนี้เลย ถึงจะนึกสงสัยแต่วรุตรู้สึกโล่งใจมากกว่า เพราะถ้าขืนมีใครโผล่มาตอนนี้ เขาคงหนีไม่รอดแน่
เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลยนอกจากรู้สึกเคล็ดๆ กับปวดขาหน่อยๆ จากการกระโดดลงมาจากที่สูงแบบนั้น ซึ่งขนาดในหนังยังต้องใช้เบาะรอง หรือใช้สลิงช่วยเลย ไอ้การที่เขาลงมาได้โดยที่ขาไม่หักนี่นับว่าปาฏิหาริย์จริงๆ ปัญหาคือแล้วเขาจะทำยังไงต่อไปจากนี้ จะติดต่ออารัตน์ให้บอกพ่อว่าเลิกคำสั่งบ้าๆ นี่เสียที ก็คงมีผลตรงข้าม ดีไม่ดีทางนั้นอาจจะหลอกเขาไปถูกจับอีกก็ได้ เหมือนที่อิทธิเดชพยายามทำไงล่ะ
          ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นเอง หูของวรุตก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ครั้งแรกมันคล้ายเสียงประทัด และวินาทีต่อมาสมองของเขาจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ว่ามันน่าจะเป็นเสียงปืน
เด็กหนุ่มหยุดการเคลื่อนไหวทันที เขาพยายามเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังอยู่ เพื่อหาว่ามันมาจากทิศทางไหนกันแน่ วรุตไม่รู้ว่านอกจากรูฟัสที่อยู่ในห้องเก็บเทซการิโพกาแล้ว ยังมีใครที่ถูกไล่ล่าอีก อาจจะเป็นผู้ชายที่ชื่อราฟาแอลก็ได้ แสดงว่าก่อนหน้าเสียงระเบิดเมื่อครู่ คงมีการยิงปะทะกันมาก่อนแล้ว
เด็กหนุ่มรู้สึกตื่นกลัว งั้นเป็นไปได้ไหมว่าจะมีระเบิดอีกหลายลูก ราฟาแอลและพวกคงจำเป็นต้องป้องกันตัวเอง เขาไม่รู้ว่าคนพวกนี้ทำงานให้กับใคร รู้แค่จุดประสงค์ว่าต้องการทำลายการประชุมในคราวนี้เท่านั้น และนั่นเป็นสิ่งที่วรุตเห็นดีด้วยจึงยอมให้ร่วมมือ แต่ในตอนนี้เขาชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าแผนล้มการประชุมนั้นมีระดับความรุนแรงขนาดไหน...

          เสียงปืนเงียบไปนานแล้ว แต่เด็กหนุ่มยังคงอยู่ห่างจากที่เดิมไม่มากนัก เขากำลังคิด.. กำลังคิดอย่างหนัก คิดว่าตัวเองควรจะทำอะไรต่อไปดี
          ทำอะไรซักอย่างเพื่อไม่ให้สถานการณ์มันเลวร้ายไปมากกว่านี้
—————————————-
          ทวีศักดิ์กำลังหัวเสียอย่างหนัก เขาพบว่านอกจากพวกสายลับที่กำลังก่อความวุ่นวายแล้ว ยังมีแขกอีกสองกลุ่มที่หายตัวไป คือพวกที่มาจากฮ่องกง
   กลุ่มของตระกูลเว่ยนั้น นอกจากพวกลูกน้องที่รออยู่ด้านบน ตัวผู้นำคือเว่ยจินหยินกลับหายตัวไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ เป็นไปได้ว่าอาจจะฉวยโอกาสในช่วงที่เดินออกมาหลบไปที่ไหนสักแห่ง ส่วนเว่ยเฟิงปิงนั้นพอมาตรวจสอบดูแล้วปรากฏว่าหายไปพร้อมลูกน้องและหน่วยพยาบาลที่เข้ามาช่วยเหลือ
   เป็นไปได้ไหมว่า สองคนนี้อาจจะถูกแก๊งคู่อริดักทำร้ายระหว่างทาง
   ท่าทีของตัวแทนจากริเวิลนั้นดูจะแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อตระกูลเว่ยอย่างเห็นได้ชัด และสองคนที่เป็นตัวแทนพร้อมลูกน้องคนสนิทก็หายตัวไปในเวลาไล่เลี่ยกัน เหลือเพียงลูกน้องอีกส่วนที่รออยู่ด้านบน
   บางทีนี่อาจจะเป็นการอาศัยจังหวะชุลมุนกำจัดศัตรูก็ได้
   ทวีศักดิ์ไม่แน่ใจว่าคนพวกนี้วางแผนอะไรกันอยู่ แค่เรื่องสายลับที่แฝงตัวเข้ามาก็ปวดหัวพออยู่แล้ว ยังจะพ่วงการหายตัวไปของตัวแทนพวกนี้อีก
   เรื่องการปะทะกัน เขาก็คงพอจะหาข้อแก้ตัวบอกกับนายใหญ่ของทั้งสองกลุ่มได้หรอก แต่ถ้าสองกลุ่มนั้นเกิดร่วมมือกันเพื่อชิงยาไปจากเขาล่ะก็.....

   ชายวัยกลางคนกำลังยืนมองกล้องวงจรปิดและฟังรายงานจากพนักงาน เขาต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และพวกสายลับที่แอบเข้ามา ริเวิล และตระกูลเว่ยมีความสัมพันธ์อะไรกันหรือเปล่า
   งานประชุมพังพินาศไปแล้ว เพราะแผนการของใครบางคนที่ยังไม่รู้ว่าหวังผลอะไรกันแน่
   บ้าเอ๊ย! นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกันเนี่ย
   ทวีศักดิ์ตัดสินใจให้ลูกชายขึ้นไปส่งแขกกับบอดีการ์ดเพียงลำพัง ส่วนตัวเขาแยกมาดูสถานการณ์ด้วยตนเอง ตอนที่มาถึง พอดีกับที่อิทธิเดชรายงานเข้ามาว่าเกิดระเบิด หัวใจของทวีศักดิ์หล่นวูบ
   ระเบิด?!
   ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลมุ่งไปที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนั้นทันที ทวีศักดิ์ไม่มีแก่ใจนึกจะสอบถามเรื่องสถาปนิกที่ชื่ออภิวัฒน์กับอิทธิเดชด้วยซ้ำ เขาออกคำสั่งให้ชายหนุ่มหน้าสวยขึ้นไปพบกับวรุต และจัดการให้ลูกชายของเขาคนนั้นกลับขึ้นไปด้านบนให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใดก็ตาม
แม้จะไม่ได้มีเวลาอยู่กับวรุตบ่อยนัก แต่ทวีศักดิ์ก็รู้นิสัยผู้เป็นลูกดี วรุตนั้นเป็นเด็กที่หัวรั้นอย่างเงียบๆ ลองถ้าตกลงใจจะทำอะไรแล้ว การห้ามไม่ใช่เรื่องง่าย ปกติทวีศักดิ์มักจะปล่อยเลยตามเลย เพราะวรุตไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงนักในสายตาของเขา แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันเขาจำเป็นจะต้องทำทุกทางเพื่อพาลูกชายคนเดียวออกไปจากที่นี่ให้ได้ เพราะดูจากท่าทางแล้ว ลูกชายของเขาคนนั้นคงตั้งใจจะทำอะไรบางอย่างอยู่ๆ เขาจะไม่ยอมให้วรุตตกอยู่ในอันตรายแบบนี้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นการเกลี้ยกล่อมอย่างนุ่มนวล หรือการลงไม้ลงมือก็ตาม และอิทธิเดชก็ดูจะเข้าใจจุดประสงค์ของเขาเป็นอย่างดี เด็กคนนั้นไม่ถามอะไรให้ยุ่งยาก เขาทำเพียงแค่พยักหน้ารับรู้ และเดินออกไป ชายวัยห้าสิบเศษได้แต่ถอนหายใจอยู่ลึกๆ บางครั้งเขาก็นึกสงสารอิทธิเดช แต่ถ้าหากต้องเลือกระหว่างลูกชายกับเด็กคนนี้แล้ว เขาคงไม่ลังเล แม้อาจจะรู้สึกเสียใจหากมีอะไรเกิดขึ้น แต่เขาจะไม่รู้สึกผิดเด็ดขาด
          ขอเพียงให้วรุตมีอนาคตที่ดีที่สุด ไม่ว่าเรื่องอะไร เขาทำได้ทั้งนั้น....

          รัตน์รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และชี้ให้ผู้เป็นเจ้านายดูกล้องวงจรปิดในส่วนที่เกิดระเบิด แม้จะไม่เห็นทั้งหมด แต่เท่าที่พบมันค่อนข้างจะเสียหายมากพอสมควร ทวีศักดิ์ขมวดคิ้วอย่างหนักใจ เขาไม่รู้ว่าคนพวกนี้มาจากไหน ทำงานให้ใคร และจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ควรหรือเปล่าที่จะเก็บเอาไว้ หรือฆ่าเสีย ขณะที่กำลังคิดว่าจะปรึกษากับรัตน์ เสียงวิทยุที่แทรกเข้ามาก็ทำให้หัวใจเขาหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
   “ท่านประธานครับ คุณวรุตพยายามจะหนีครับ!”
          วรุตพยายามจะหนี?!
          ทวีศักดิ์เกือบจะร้องครางออกมา ทำไมลูกของเขาถึงได้ดื้อดึงขนาดนี้นะ เขาจะไม่โกรธวรุตเลย ถ้าหากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้ ชายวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของงานประชุมจำต้องเรียกกำลังจากส่วนอื่นกลับมาเพื่อตามหาลูกชายของเขา
พวกสายลับจะเป็นยังไงก็ช่าง ขอให้เจอตัววรุตก่อนก็พอ
          ต่อให้ต้องจับเด็กคนนั้นมัดมือมัดเท้า ก็ต้องพาออกไปให้ได้
—————————————
          เป็นเรื่องน่าตกใจ แต่ก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจากการออกแบบสถานที่นี้เช่นกัน จริงๆ แล้ววรุตอยู่ไม่ห่างจากจุดที่พ่อเขาอยู่เลย เพียงแต่มันค่อนข้างจะหลบเหลี่ยมมุมกันอยู่จนมองไม่เห็นเท่านั้นเอง เด็กหนุ่มยังคงยืนขบคิดอยู่ที่เดิม เพียงแต่ตอนนี้เพิ่มคนมาช่วยเขาคิดอีกสองคน
          กระบอกปืนของราฟาแอลกำลังจ่อหลังเขาอยู่
          เด็กหนุ่มรู้สึกได้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้เพิ่งจะลั่นกระสุนไปหมาดๆ เพราะปากกระบอกปืนยังอุ่นอยู่จนรู้สึกได้ ถ้าอย่างนั้นเสียงปืนที่เขาได้ยินก่อนหน้านี้คงมาจากผู้ชายคนนี้จริงๆ
ราฟาแอลมาพร้อมกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ซึ่งวรุตรู้สึกเหมือนเคยเห็นหน้าที่ไหนสักแห่ง แต่คงไม่ใช่ที่ห้องของฟ่ง อาจจะเป็นที่นี่ก็ได้ เด็กหนุ่มยังรู้สึกไม่แน่ใจนัก
เหตุการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ เกิดขึ้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ เขากำลังยืนตั้งสติอยู่ แล้วจู่ๆ ปืนกระบอกนี้ก็จ่อมาที่หลัง พร้อมกับน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมที่ทำให้ชวนขนลุก ซึ่งแม้ได้ยินเพียงไม่กี่ครั้ง แต่วรุตจำได้ดีเลยทีเดียว
          “เยี่ยม.. ไม่คิดเลยจะเจอตัวเธอที่นี่ เอาล่ะ คุณวรุต ไหนบอกซิว่าเธอวางแผนอะไรอยู่?” ราฟาแอลกล่าวพร้อมกันขยับกระบอกปืนกระแทกเข้ากับหลังของเขาครั้งหนึ่ง วรุตกลืนน้ำลายเฮือก ท่าทางคงต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะไอ้สถานการณ์เลวร้ายที่ว่า มาเร็วกว่าที่คิด แถมยังมาเจอเขาก่อนเป็นอันดับแรก เขาจำต้องอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ผู้ชายคนนี้ฟัง แต่ที่น่ากลัวคือไม่รู้ว่าหมอนี่จะเชื่อหรือเปล่า
          “ผมถูกบังคับให้มาที่นี่” เด็กหนุ่มเอ่ย และต้องสะดุ้งเมื่อปากกระบอกปืนกระแทกเข้ากับหลังของเขาอีกครั้ง
          “อย่ามาโกหกไร้สาระน่า! ไหนบอกซิ แกขายพวกเราใช่ไหม?” ราฟาแอลเค้นเสียงอย่างเอาเรื่อง พลางขยับปื่นในมือให้ชิดขึ้นอีก
          “ตอบมา! อย่าคิดว่าฉันไม่กล้ายิงนะ มีวิธีอีกตั้งหลายวิธีให้แกพูดความจริง ยิงให้นิ้วมือนิ้วเท้ากระจุยสักสองสามนิ้ว แกคงไม่ตายหรอก”
          “ผมไม่ได้โกหกนะ ฟ่งบังคับให้ผมพาเขาเข้ามาในนี้” วรุตตอบออกไป เขาไม่อยากทดลองสิ่งที่ราฟาแอลพูดถึง เด็กหนุ่มแทบจะมั่นใจว่าผู้ชายคนนี้กล้าทำอย่างที่พูด แต่เขาไม่มีคำตอบอื่นนอกจากความจริงที่เป็นอยู่
          คิ้วสีบลอนด์ของราฟาแอลขมวดเข้าหากัน
ฟ่ง? เด็กนั่นอีกแล้วรึ?
          “ฟ่งจะให้นายพาเข้ามาในนี้ทำไม?” ผู้มีนัยน์ตาสีเขียวมรกตถามต่อ วรุตกลืนน้ำลายเฮือก เขาอยากให้ราฟาแอลเอาปืนไปให้พ้นๆ หลังเขาก่อน แต่ถ้าขืนพูดออกไปคงถูกกระแทกกับปากกระบอกปืนซ้ำอีกแน่ๆ
          “เขาไม่ได้บอก แต่ผมเดาว่า เขาคงอยากมาหาแฟนเขาน่ะ”
          “หรือไม่ก็มาขายพวกเรา” ราฟาแอลต่อประโยคให้ วรุตเถียงออกไปทันที
          “ไม่มีทาง! เขาไม่พูดอะไรเกี่ยวกับพวกคุณด้วยซ้ำ เขามาที่นี่ด้วยความคิดบ้าๆ คงคิดว่าจะช่วยแฟนเขาได้”
          “อ้อ…. แล้วนายที่พาเขามาล่ะ บ้าพอกันหรือไง? นายปล่อยให้คนแบบนั้นขู่ได้ยังไงน่ะ?” ราฟาแอลกระชากเสียงถาม ท่าทางจะไม่ยอมเชื่อจริงๆ วรุตถอนหายใจ
          “ผมจะอธิบายให้คุณเชื่อได้ยังไง เขาใช้มีดขู่ผม ติดต่อกับคนของพ่อผม คุณเข้าใจไหม ถ้าผมไม่ยอมทำตาม เขาจะมาตายเอง!”
          ราฟาแอลชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ยังคงค้างปืนเอาไว้ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา
          “เอาเหอะ ไว้หาตัวเจอค่อยเค้นเอาทีหลังก็ได้” เขาพูด และเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “ความจริงนายอยู่ที่นี่ก็ดี ฉันกำลังนึกรำคาญไอ้พวกลูกกระจ๊อกของพ่อนายอยู่ มันทำให้ฉันถอนตัวไม่สะดวก รู้ใช่ไหมคุณวรุต พวกฉันมาแค่ขโมยของ กับล้มการประชุมนี่ แต่ดูเหมือนพ่อนายจะเอาเรื่องพวกฉันน่าดู และฉันก็ขี้เกียจจะทำระเบิดตูมตามอีก เพราะอย่างนั้นนะ นายเองช่วยทำให้ตัวให้มีประโยชน์หน่อยแล้วกัน”
          “โอเคๆ” วรุตพูดเร็วปรื๋อ รู้ทันทีว่าราฟาแอลกำลังจะใช้แผนสำรองอย่างที่เคยพูดเอาไว้
แผนตัวประกัน
          “งั้นคงถึงเวลาที่ฉันจะถอนตัวจริงๆ แล้วล่ะ ลูกชายนายจ้างถูกจับแบบนี้ ขืนอยู่กับคุณฉันคงหมดข้ออ้าง” แคลร์ที่ยืนเงียบอยู่นานกล่าวขึ้น ราฟาแอลยิ้มแห้งๆ
          “ผมดีใจที่ได้ยินคุณพูดแบบนั้นนะแคลร์ หวังว่าคุณจะหาข้ออ้างดีๆ ได้”
          หญิงสาวยักไหล่ “ห่วงตัวเองเถอะ ออกไปให้ได้ก็แล้วกัน ดูแลตัวประกันนั่นดีๆ ด้วยล่ะ”  หล่อนกล่าว และเดินหายเข้าไปในซอกกำแพงซึ่งอยู่ไม่ไกล ราฟาแอลยักไหล่ ภาวนาไม่ให้เจ้าหล่อนแว้งกลับมาเล่นงานเขาทีเผลออีก
อืม.. บางทีผู้หญิงก็ใช่ว่าจะทำอย่างที่ปากพูดเสมอไปหรอก และบางทีก็ทำในสิ่งที่ไม่ยอมพูด
ให้ตายสิ...........
——————————————-

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
          รัสเลอร์กำลังจะเก็บฉากบังตาของเขา ในตอนที่เสียงฝีเท้าดังขึ้น เส้นประสาททุกเส้นของเขาเขม็งเกร็ง มันต้องไม่ใช่เสียงฝีเท้าของราฟาแอลแน่ๆ เพราะมีมากมายหลายคู่จนขนาดคนที่ไม่ถูกฝึกมาอย่างเขายังฟังออก หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มแน่ใจว่าในประดานี้ไม่มีเพื่อนของเขาแน่นอน เพราะถ้าราฟาแอลอยู่ในก๊วนนี้ด้วยคงส่งเสียงมาแล้ว หมายความว่าที่กำลังวิ่งเข้ามานี่คือฝ่ายตรงข้ามงั้นรึ!?
          “เวรตะไล…ราฟี่เอ๊ยราฟี่” รัสเลอร์พึมพำ เขาไม่ชอบเลยเวลาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ถึงจะยอมรับว่าตัวเองฉลาดปราดเปรื่องเรื่องเทคโนโลยีก็เถอะ แต่ในด้านการออกแรงและใช้กำลังนี่ รัสเลอร์แทบจะยกธงขาวตั้งแต่ยกแรก ปัญหาคือที่นี่ไม่ใช่เวทีมวย ที่โยนผ้าขาวแล้วกรรมการจะยุติการชก และก็ไม่ใช่การถูกพบครั้งแรกในงานทำงานภาคสนามของเขาด้วย หนุ่มผมสีน้ำตาลเตรียมการมาแล้วในระดับหนึ่ง หวังว่าเพื่อนของเขาจะมาทันเวลา
          หน่วยภาคสนามในชุดเครื่องแบบสีขาวราวๆ สี่ห้าคน ค่อยๆ ก้าวเท้าเข้ามาอย่างระมัดระวังในบริเวณสถานที่ทิ้งขยะ ต่อให้โง่ขนาดไหนก็ต้องดูออกว่าเจ้าหน้าที่พวกนี้คงไม่ได้ถูกใช้ให้มาเก็บขยะหรือกวาดหยากไย่แน่ๆ ไอ้ปืนพกสีดำที่อยู่ในมือของแต่ละคนนี่คงไม่ได้มีไว้ใช้ยิงนกยิงหนูหรอก
รัสเลอร์นึกดีใจที่เขายังไม่เก็บฉากบังตา ถึงปืนจะเป็นอาวุธที่ถือว่ามีมานาน แต่มันก็ทรงประสิทธิภาพยิ่งกว่าอาวุธชนิดไหน เขาไม่อยากเสี่ยงเผชิญหน้ากับมฤตยูลูกตะกั่วนี้แบบตัวต่อตัว งานแบบนั้นให้ราฟาแอลทำไปคนเดียวก็แล้วกัน
          รัสเลอร์แอบมองพวกที่เข้ามาใหม่ผ่านช่องเปิดเล็กๆ หลังฉาก พวกนั้นดูจะได้รับคำบอกเล่าว่าเขาอยู่ที่นี่ เพราะไม่ใช่แค่แวะมาดูแต่ถึงกับเดินเข้ามาสำรวจด้านใน ชายหนุ่มพยายามหายใจให้เบาที่สุด ท่าทางเขาจะต้องหยุดคนพวกนี้ก่อนจะเดินลึกเข้ามามากกว่านี้ ถึงฉากที่ใช้อยู่จะสามารถพรางได้ในระยะไกล แต่หากเข้ามาใกล้ๆ ก็คงเห็นว่าเป็นฉากเหมือนกัน รัสเลอร์จับจ้องก้าวย่างของคนพวกนั้นอย่างใจจดใจจ่อ
          ห้าก้าว สี่ก้าว สามก้าว สองก้าว…หนึ่งเก้า
          แสงแว้บสีน้ำเงินขาวของกระแสไฟฟ้ากำลังสูง และเสียงอิเล็กตรอนที่วิ่งชนกันนับครั้งไม่ถ้วนดังขึ้นราวกับกลุ่มแมลงที่กำลังกระพือปีกหึ่งๆ ในรัศมีสามคูณห้าตารางเมตรบริเวณที่กลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดขาวกำลังก้าวผ่าน ปรากฏคลื่นกระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่ขึ้นชั่วเสี้ยววินาที แล้วคนทั้งหมดก็ล้มโครมลงเหมือนหุ่นเชิดที่ถูกตัดเชือก
รัสเลอร์แลบลิ้นเลียริมฝีปาก กำรีโมทคอนโทรลรูปร่างแปลกๆ ในมือ มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เขาไม่สามารถหาจังหวะแสดงให้พวกราฟาแอลชมได้ เพราะต้องใช้เวลาติดตั้ง นี่คือเครื่องยิงกระแสไฟฟ้าพลังงานสูงที่สามารถล้มช้างได้ รัสเลอร์คิดว่ามันคงไม่ทำให้พวกที่โดนถึงกับชีวิตหรอก เพราะเขาปรับลดโวล์ของมันลงมาแล้ว แต่ถ้าตายก็ถือว่าอุทิศชีวิตเพื่อการทดลองก็แล้วกัน เขาคิดว่าสิ่งประดิษฐ์นี้น่าจะมีประโยชน์มหาศาลกับพวกสายลับ เพราะมันสามารถใช้หยุดคนจำนวนมากได้ ปัญหาของมันนอกจากเสียเวลาในการติดตั้งแล้วก็มีอีกแค่ปัญหาเดียวเท่านั้น คือมันสามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าได้แค่ครั้งเดียว ต่อการชาร์ตไฟหนึ่งครั้ง รัสเลอร์พอจะจินตนาการออกว่าราฟาแอลกับรูฟัสจะด่าเขาว่ายังไงถ้าขืนนำเสนอของที่มีข้อจำกัดแบบนี้ออกไป เสียดายที่หนึ่งในนั้นอาจจะไม่มีโอกาสได้ออกมาด่าเขาอีก
          ขณะที่รัสเลอร์กำลังคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นาๆ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นอีกรอบ คราวนี้มีจำนวนมากขึ้นกว่าเดิม ถึงจะบอกจำนวนแน่ชัดไม่ได้ แต่คงมากกว่าเมื่อครู่เกินสองเท่าแน่ๆ หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มสะดุ้งโหยง นึกเสียดายไอ้เครื่องช็อตไฟฟ้าเมื่อครู่ เขาคุ้ยของในกระเป๋าออกมา
            เอาว่ะ.. หวังว่าราฟี่จะมาทันได้เห็นตอนที่เขายังสามารถใช้ของพวกนี้ก็แล้วกัน
————————————————
          อิทธิเดชกำลังยืนตะลึง เขาพบตัวคนที่ต้องการตัวมากที่สุดแล้ว คนที่ต้องการตัวมากที่สุดถึงสองคน
          วรุต และ…. ชาวต่างชาติผมสีบลอนด์คนนั้น

          ราฟาแอลคิดว่าเขาคงต้องหาหมวกคลุมหน้าที่ยาวกว่านี้ ไม่ก็ตัดผมเสีย อย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะต่อให้ปิดหน้าจนเหลือแต่ตา ไอ้ผมสีบลอนด์ของเขามันก็ยังแพลมออกมาให้เห็นอยู่ดี เอาเถอะ ในสถานการณ์แบบนี้ คงไม่มีไอ้บ้าปกติคนไหนมันปิดหน้าปิดตาแบบนี้หรอก เรื่องผมที่ยาวเลยออกมาก็ยกไปก่อนแล้วกัน
อดีตหน่วยสืบราชการลับของฮังการียักไหล่ กวาดตามองบรรดาพวกลิ่วล้อทั้งหลายที่ยืนล้อมเขาอยู่ ให้ตายสิ จะบอกว่าดีหรือไม่ดีกันล่ะเนี่ย ดูท่าพวกนี้ตั้งใจจะมาตามหาตัวเจ้าเด็กที่ถูกเขาจับอยู่เสียมากกว่า ถ้าไม่สงสัยแม่แคลร์ตัวดี ก็คงต้องเดาว่าเด็กนี่ต้องผละจากเจ้าพวกนี้มาไม่นานแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่ถูกเจอตัวเร็วขนาดนี้
          “Stop! And release him!” ใครคนหนึ่งที่รู้สึกตัวเร็วที่สุดตะโกนขึ้น เสียงนั่นดึงอิทธิเดชกลับมาสู่สถานการณ์ปัจจุบัน เขาขยับตัว ยกปืนในมือเล็งไปยังฝ่ายตรงข้าม เหมือนคนอื่นๆ ราฟาแอลยักไหล่อีกรอบ
          “Well… Do you know who you ask?” หนุ่มผมสีบลอนด์กล่าว และยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม
          “Do you want him alive? If you do, let’s we go easy.”
          เขากระชากตัวของวรุตเข้ามา และเอาปืนจี้ที่ขมับ เด็กหนุ่มนึกดีใจที่ปืนของราฟาแอลเย็นลงแล้ว ไม่งั้นขมับเขาคงไหม้ไปแล้ว เมื่อเห็นว่ายังไม่มีใครยอมขยับ หนุ่มผมบลอนด์จึงกล่าวต่อ “Or…. You want him die? PUT THE GUNS DOWN!!”
          วรุตรู้สึกว่าราฟาแอลคงไม่ได้เพิ่งจับเขาเป็นตัวประกันคนแรกแน่ๆ ท่าทางเจ้าหมอนี่จะชำนาญการเรื่องนี้ เด็กหนุ่มกวาดตามองบรรดาลูกน้องของผู้เป็นบิดาที่มองหน้ากันเลิกลั่ก ท่าทางคงไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ราฟาแอลรีบขู่สำทับ
          “NOW!!”
          เด็กหนุ่มได้ยินเสียงกริ๊กที่ข้างหู ตกลงหมอนี่แค่ขู่หรือจะเอาจริงกันแน่นะเนี่ย เขาเพิ่งเคยตกเป็นตัวประกันครั้งแรก แม้ตอนแรกจะคิดว่ามันเป็นการสมยอม แต่ในเวลานี้ชักเริ่มรู้สึกขึ้นมานิดหน่อยแล้วว่ามันอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้

          คนทั้งหมดตัดสินใจวางปืนแทบจะพร้อมกัน หนุ่มผมบลอนด์ขยับปืนในมือ และดันตัวประกันของเขาให้ก้าวออกไป
          “Good, then….move out of here, too fast!! GO!!”   
——————————————
          “เราจะไปไหนกัน?” วรุตเอ่ยถามผู้ชายที่กำลังพาเขาวิ่งอยู่ พลางหอบหายใจ ทั้งคู่วิ่งมาแบบนี้ได้สักพักหนึ่งแล้ว หลังจากที่ฝ่าวงล้อมของพวกอิทธิเดชมาได้ และตอนนี้วรุตกำลังรู้สึกว่าเขาหายใจไม่ทัน
          “ออกไปจากที่นี่น่ะสิ” ราฟาแอลตอบ เขาได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายขาดเป็นห้วงๆ ให้ตายสิ เจ้าพวกนี้ไม่เคยออกกำลังกายกันเลยหรือไงนะ จะปล่อยทิ้งเอาไว้ หรือว่าลากไปต่อดี
          วรุตรู้สึกตกใจกับคำตอบของราฟาแอล แต่จนใจจะอ้าปากเถียง เพราะแค่หายใจให้ทันอย่างเดียวก็แทบจะไม่ทันอยู่แล้ว ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ราฟาแอลก็ชะลอฝีเท้า เด็กหนุ่มจึงถือโอกาสถามขึ้น “ผมคิดว่าคุณจะไปช่วยเพื่อนซะอีก?”
          ราฟาแอลหันมาจุ๊ปาก และกระซิบ “ชู่ว...มีคนตามเรามา”
          วรุตขมวดคิ้วอย่างสงสัย และมองตามสายตาของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่พบอะไร
          “ไม่เห็นมีใครเลย” เขาว่า ราฟาแอลไม่ตอบ แต่กลับดึงตัววรุตเข้ามาใกล้ และใช้ปืนจ่อบริเวณศีรษะ
          “ออกมา ไม่งั้นฉันยิงเจ้าหมอนี่ทิ้งแน่!!” หนุ่มผมบลอนด์กระชากเสียง วรุตรู้สึกตกใจนิดหน่อย ตกลงราฟาแอลเชื่อว่ามีคนตามมาจริงๆ หรือ แต่เขาไม่เห็นได้ยินเสียงอะไรเลยนี่นา แล้วจู่ๆ ร่างคุ้นตาร่างหนึ่งก็ก้าวออกมาจากหลังกำแพงซึ่งพวกเขาเพิ่งผ่านมาไม่นาน
          อิทธิเดช!!
          วรุตเบิ่งตาค้าง เขาไม่คิดว่าคนที่ตามมาจะเป็นผู้ชายคนนี้ อิทธิเดชก้าวออกมา และชูมือขึ้นเหนือศีรษะ “ผมไม่มีอาวุธ”
          ราฟาแอลขมวดคิ้ว พึมพำออกไป “ผู้ชายรึนี่?”
          จากสภาพร่างกายที่เห็น ถ้าไม่พูดออกมาเขาคงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผู้หญิงแน่ๆ หนุ่มผมบลอนด์กวาดตามองขึ้นๆ ลงๆ ดูจากเสื้อผ้า หมอนี่คงเป็นคนของที่นี่ งั้นที่พูดว่าไม่มีอาวุธก็คงไม่น่าเชื่อเท่าไหร่
          “หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ!!”
          อิทธิเดชหยุดการเคลื่อนไหว และเอ่ยปากขึ้นอีก “ผมมาขอตัวประกันคืน”
          ราฟาแอลขยับปืนจากศีรษะของวรุตไปยังร่างของอิทธิเดชแทนทำตอบ หนุ่มหน้าสวยจึงพูดต่อ “ไม่อย่างนั้นก็พาผมไปด้วย”
          สองหนุ่มชะงักค้างไปพร้อมกัน อิทธิเดชพูดจบก็ค่อยๆ ก้าวเท้าเข้ามา “ผมต้องดูแลเขา”
          วรุตสั่นศีรษะทันที เขาตะโกนออกไป “อย่าเข้ามา!”
          ขณะที่กำลังจ้องหน้าอยู่กับอีกฝ่าย ราฟาแอลขยับตัวหน่อยหนึ่ง วรุตรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่พุ่งมาด้วยความเร็วสูงเฉี่ยวหน้าไป ก่อนจะได้ยินเสียงระเบิดของลูกตะกั่วที่ข้างตัว ตามด้วยเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับร่างที่หล่นลงจากระเบียงซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
          “พวกสไนเปอร์!”  ราฟาแอลพึมพำแทรกขึ้นมาหลังเสียงลูกกระสุน เกือบหลงกลยืนเป็นเป้านิ่งเสียแล้ว ดีที่ตัวเขาเองก็เคยทำเรื่องทำนองนี้มาก่อน พวกเดียวกันมันก็รู้สเต็ปกันนั่นแหละ
          ขณะที่วรุตกำลังงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น อิทธิเดชก็กระโจนพรวดเข้ามา มันเกิดขึ้นในจังหวะที่เสียงปืนก่อนหน้านี้ยังไม่เงียบลงด้วยซ้ำ แต่ปืนของราฟาแอลเร็วกว่านั้น เขาขยับมันมายังผู้ที่พุ่งเข้ามาราวกับคำนวณไว้ก่อนแล้ว วรุตไม่ทันแม้แต่จะอ้าปาก เขายกมือขึ้นเพื่อจะคว้าแขนของราฟาแอลเอาไว้
          ปัง!

          สำหรับวรุตมันเป็นเหมือนภาพช้า เขาเห็นควันจากกระบอกปืนลอยผ่านหน้า เสียงปืนที่ดังก้องสะท้อนอยู่ในแก้วหู แรงผลักของราฟาแอลที่ตอบโต้การกระทำของเขา และเมื่อหันหน้าไป ร่างที่คุ้นตากำลังทรุดฮวบลงบนพื้น เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปเพื่อพยายามจะคว้าร่างของอิทธิเดชเอาไว้ โดยที่ตัวเองก็เสียหลักจากแรงผลัก จังหวะนั้นเขาเห็นกระบอกปืนของราฟาแอลหันเข้ามา นัยน์ตาสีเขียวมรกตนั้นดูราวกับนัยน์ตาของสัตว์นักล่า นิ้วชี้นั้นกำลังจะเหนี่ยวไก แต่แล้วมันกลับเบี่ยงไปทางอื่น
          ปัง! ปัง!
          ชายสองคนที่วิ่งเข้ามาพร้อมกับกระบอกปืนที่พร้อมเหนี่ยวไกในมือล้มลง ราฟาแอลล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เขาจำเป็นต้องหนีก่อนจะโดนล้อมมากไปกว่านี้  กระบอกโลหะรูปทรงคุ้นตาที่ขว้างออกไปแล้วสองหนก่อนหน้านี้ถูกล้วงขึ้นมา และโดยไม่ต้องรอให้มีใครสั่งห้าม ราฟาแอลดึงสลักออก ขว้างมันออกไป
          ควันสีขาวพวยพุ่งออกมาจากกระบอกโลหะ ฟุ้งกระจายปิดบังทัศนะวิสัยราวๆ สี่ถึงห้าตารางเมตรในบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว  และนานพอที่จะทำให้คนที่ขว้างมันมีเวลาหลบออกไปจากจุดอันตรายนี้
          วรุตกอดร่างของอิทธิเดชแน่น เม้มริมฝีปาก ไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำพูดใดออกมาได้
—————————————–
          ฟ่งพูดไม่ออก เขาเกือบจะหยุดหายใจทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้หอบแฮ่กๆ สิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าทันทีที่บานประตูของห้องทั้งสองบรรจบกัน คือสภาพที่เรียกได้ว่าเละเทะอย่างที่สุด ตู้กระจกแตกหักล้มระเนระนาดอยู่บนพื้นที่เกลื่อนไปด้วยเศษแก้วและชิ้นส่วนโลหะ ตู้หลายตู้แตกละเอียด มีบางตู้เท่านั้นที่ยังคงอยู่ในสภาพที่พอมองออกว่าครั้งหนึ่งเคยมีรูปลักษณ์อย่างใดมาก่อน แต่ของด้านในนั้นแตกเสียหายหมดแล้ว ตู้ใบที่ดูจะสภาพดีที่สุดวางขวางไว้ตรงหน้าประตู โดยมีร่างของชายสวมหน้ากากกันแก๊สในชุดกาวน์คนหนึ่งนั่งพิงอยู่
แว้บแรกที่เห็นฟ่งคิดว่าเป็นรูฟัส แต่พอเพ่งให้ชัดจึงรู้ว่าเป็นคนอื่น ถึงไม่เห็นหน้าแต่ผู้ชายคนนี้อายุเยอะแล้วแน่นอน ดูจากกล้ามเนื้อเหี่ยวแห้งและเส้นเอ็นบนฝ่ามือที่ปูดโปนออกมา
แม้จะสงสัยว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร แต่สิ่งที่ฟ่งกังวลกว่าคือ รูฟัสจะอยู่ที่นี่หรือเปล่า ชายหนุ่มพยายามกวาดตามองฝ่าเศษซากปรักหักพังของห้อง เขาไม่กล้าที่จะข้ามตู้กระจกแตกๆ ที่ขวางอยู่เข้าไป ด้วยกลัวว่าจะถูกเศษกระจกพวกนั้นบาด
ฟ่งกำลังชั่งใจว่าเขาสมควรตะโกนเรียกรูฟัสหรือเปล่า เสียงครางหึ่งๆ ของเครื่องกลไกที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ฟ่งขมวดคิ้วอย่างหนักใจ เขาหันกลับไปมองด้านหลังอย่างวิตก ห้องอีกห้องกำลังจะเคลื่อนมาแล้ว เขามีเวลาอีกไม่มาก
ฟ่งขบริมฝีปาก เขาตัดสินใจวิ่งไปที่แผงควบคุม กดปุ่มลงไปหลายปุ่ม รูฟัสคงไม่ได้อยู่ที่นี่ และเขาเองไม่สามารถเสี่ยงให้ห้องอีกห้องเคลื่อนมาบรรจบกันได้ ฟ่งไม่แน่ใจว่ากลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดสีขาวที่สะพายปืน ท่าทางขึงขังเหมือนทหารที่วิ่งไล่หลังมา จะมีปฏิกิริยายังไงกับเขาที่ชิงตัดหน้าเข้ามาที่นี่ก่อน ลำพังแค่เสียงตะโกนใส่ในช่วงที่เขากำลังวิ่งเข้าไปในห้องและกดปุ่มพวกนั้น กับลูกตะกั่วสองสามลูกที่ยิงเข้ามา ก็ทำให้ฟ่งตกลงใจว่า จะไม่ยอมเสี่ยงเด็ดขาด เขาอยากกลับออกไปพร้อมกับรูฟัส ไม่ใช่ตายอยู่ที่นี่
          ร่างบางสูดหายใจลึก พยายามข่มตัวเองไม่ให้สติแตก แม้เขาจะไม่ได้ยินเสียงปืนแล้ว แต่การถูกยิงใส่นั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัยเอาเสียเลย จนถึงตอนนี้ฟ่งยังคงพบว่าตัวเองขาสั่น เขาถูกยิงใส่ก่อนหน้านี้ แล้วก็มาโดนไล่ยิงอีก นี่เขาคิดผิดหรือเปล่าที่เข้ามาในที่แบบนี้
ฟ่งรีบปฏิเสธความคิดนี้ทันที นี่คือสิ่งที่เขาตั้งใจแล้ว และทำใจเอาไว้แล้วว่าอาจจะเจอเรื่องแบบนี้ ก็แค่ตกใจเพราะยังไม่เคยอยู่ในสถานการณ์จริงมาก่อนเท่านั้นแหละ
หนุ่มสวมแว่นพยายามลำดับความคิดระหว่างที่ห้องกำลังเคลื่อนออก ในเมื่อรูฟัสไม่ได้อยู่ในห้องนี้ แปลว่าเขาอาจจะออกไปแล้ว หรือไม่ก็ไม่ได้อยู่ในห้องนี้เลยแต่แรกก็ได้ ถ้าอย่างนั้นรูฟัสอยู่ที่ไหน?
ฟ่งพยายามคิดถึงสถานที่ที่รูฟัสจะไป ยังมีห้องเก็บเอกสารอีกห้อง บางทีรูฟัสอาจจะอยู่ที่นั่นก็ได้ หรือบางทีอาจจะหนีลงไปแล้ว ฟ่งคิดว่าราฟาแอลคงไม่แค่วิ่งไปวิ่งมาเฉยๆ แน่ ผู้ชายผมสีบลอนด์คนนั้นอาจจะแยกกับรูฟัสไปที่ห้องเอกสารก็ได้ แล้วรูฟัสคงจะมาที่นี่ ไม่อย่างนั้นตู้พวกนั้นคงไม่แตกกระจาย พวกเขาอาจจะทำภารกิจเสร็จแล้ว และกำลังจะออกจากที่นี่
ฟ่งสูดหายใจลึก เขาคงต้องหลบให้พ้นจากพวกที่ถือปืนนั้นก่อน แล้วค่อยกลับไปตั้งต้นใหม่ เขาอาจจะกลับไปหาวรุต หาทางเช็กข้อมูลต่างๆ เพื่อประเมินสถานการณ์ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป และคงต้องเตรียมข้อแก้ตัวสำหรับเรื่องที่หายออกมาและเรื่องที่เข้ามาในห้องนี้
ฟ่งเชื่อว่าวรุตจะต้องช่วยเขา
          ความคิดของฟ่งชะงักเมื่อรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ท้ายทอย บางสิ่งที่แข็งและเย็นเยียบ
บางสิ่งบางอย่างที่น่าจะเรียกว่าปืน
          “Who you are?” เสียงที่ครั้งหนึ่งเคยคุ้นหูถามขึ้น ฟ่งควรจะรู้สึกดีใจที่ได้ยินเสียงนี้ แต่น้ำเสียงเย็นเยียบพอๆ กับปืนที่จ่อท้ายทอยเขาอยู่ ทำให้หนุ่มสวมแว่นเกือบจะคิดว่าเขาจำคนผิด ฟ่งเรียกชื่อนั้นออกไป
          “รูฟัส?”
          “Shut up! And answer me, who you are?” เสียงตะคอกอย่างเย็นชานั่นทำให้ฟ่งสะดุ้ง เขาอยากจะหันกลับไปหาผู้ที่อยู่ด้านหลัง แต่ปืนที่จ่อท้ายทอยเขาอยู่นั้นแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการให้เขาทำเช่นนั้น
          “ผม..ฟ่งไง” ร่างบางตอบ รู้สึกขมไปทั้งปาก ไม่คิดเลยว่าเขาจะต้องพูดประโยคแบบนี้กับชายคนนี้ รูฟัสจำเขาไม่ได้ หรือคิดว่าเขาคือคนอื่นกันแน่นะ?
          “I don’t want to know that. Say! Who you are, why you here, what do you want?!”
           อีกฝ่ายกระชากเสียง ฟ่งสะดุ้งอีกครั้งเมื่อปากกระบอกปืนกระแทกใส่ต้นคอของเขาอย่างข่มขู่ ร่างบางพยายามกลืนน้ำลายเหนียวหนืดเข้าไปในลำคอ “พะ…พูดกับผมดีๆ ไม่ได้หรือไง?”
          ฟ่งเคยเห็นรูฟัสโกรธมาแล้ว ในตอนที่ไปช่วยเขาที่ฮ่องกง ตอนนั้นรูฟัสก็ไม่ยอมพูดภาษาไทยกับเขา แต่สถานการณ์ในตอนนี้ดูเหมือนจะแย่กว่านั้น นอกจากรูฟัสจะไม่พูดจาดีด้วยแล้ว ยังใช้ปืนขู่อีกด้วย หรือว่าระแวงเขา
          “ผมมาช่วยคุณนะ” ร่างบางละล่ำละลักออกไป ได้ยินเสียงอีกฝ่ายดังขึ้นมา
          “Help? Help me? Don’t be kidding like that. Tell the true, who you are, what you want?”
          “ผมพูดจริงๆ” ฟ่งคราง นี่รูฟัสคิดว่าเขาเป็นสายลับหรือไง ถึงเขาจะใส่เสื้อผ้าของที่นี่ก็เถอะ นี่ไม่คิดจะไว้ใจกันบ้างเลยหรือ อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง จึงพูดขึ้นต่อ “Well, if you  say so. Take that cloth off!’
          ฟ่งเบิ่งตาค้างอย่างตกใจ นี่รูฟัสจะให้เขาถอดเสื้อออกตอนนี้? เขาโวยวายขึ้นทันที “คุณจะบ้าเหรอ!! จะให้ผมถอดตอนนี้เนี่ยนะ?”
          “If you didn’t hide something, take it off! Or want me does?” เสียงที่เย็นชาเหมือนเดิมกล่าว และกระตุ้นเข้าด้วยการกระแทกปืนอีกครั้ง ฟ่งขมวดคิ้ว และขบริมฝีปาก นี่คือสิ่งที่เขาได้รับหลังจากเสี่ยงตายกับลูกปืนพวกนั้นหรือ ร่างบางค่อยๆ ยกมือที่สั่นเทาแกะกระดุมเสื้อออก
          “ผมแกะเครื่องติดตามออกไปแล้ว” ฟ่งกล่าว เมื่อรูฟัสดึงเสื้อผ้าที่กองอยู่ที่ปลายขาเขาออก ร่างบางสยิวกายที่ไร้เสื้อผ้าปกคลุมเหลือเพียงชั้นในตัวเดียวด้วยความหนาวเหน็บ แต่อากาศที่สัมผัสร่างกายคงไม่หนาวเย็นเท่าน้ำเสียงที่พูดคุยกับเขาผ่านกระบอกปืนที่อยู่ตรงท้ายทอย
          “I will check that later, turn to the wall!”
          ฟ่งเกือบจะร้องออกมาเมื่อรูฟัสออกแรงผลักตัวเขาเข้าหาผนังห้องซึ่งอยู่ใกล้ๆ ผิวโลหะเย็นเยียบสัมผัสกับแขนของเขาโดยยังคงมีปืนกระบอกนั้นจออยู่ที่ท้ายทอย เขารู้สึกถึงลมหายใจของอีกฝ่ายและเสียงพูดเย็นชาที่เสียดแทงเข้าไปในโสตประสาท
          “You have something in your hole?”
          ร่างบางอ้าปากค้าง อยากจะหันไปตบรูฟัสสักฉาด แต่จนใจที่สภาพเขาในตอนนี้คงไม่สามารถทำได้ จึงเถียงออกไป “คุณจะบ้าไปใหญ่แล้ว ผมจะเอาอะไรซ่อนไว้ตรงนั้น!!”
          “Let’s check” อีกฝ่ายกล่าว ฟ่งสะดุ้งเฮือก เมื่อมือถูกรวบไว้เหนือศีรษะ กางเกงชั้นในของเขาถูกดึงต่ำลงไปจนพ้นจากส่วนที่มันเคยอยู่ ร่างบางหน้าแดงก่ำ ทั้งโกรธทั้งอาย และก็ยิ่งตกใจมากขึ้น เมื่อช่องเปิดตรงสะโพกถูกนิ้วมือของอีกฝ่ายบุกรุกเข้าไปอย่างหยาบคาย
          “ถ้าระแวงผมมากขนาดนี้ก็มัดผมไว้เลยสิ!!” ฟ่งโพล่งออกมาอย่างหัวเสียหลังจากที่รูฟัสดึงนิ้วออกไปแล้ว เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นจริงๆ หมอนี่ใช้อะไรคิดถึงนึกว่าเขาจะซ่อนอะไรไว้ตรงนั้น นี่ถ้าเป็นตอนปกติเขาต้องคิดว่ารูฟัสหาข้ออ้างลวนลามแน่ๆ แต่ตอนนี้ดูท่าอีกฝ่ายคงคิดแบบนั้นจริงๆ
          “You right”
          ฟ่งตาเหลือกเมื่อรูฟัสดึงมือของเขาลงไพล่หลังและใช้เทปผ้าหรืออะไรซักอย่างมัดเอาไว้ อีกฝ่ายกระซิบเสียงเรียบ
          “Stand here, I will check your cloth”
—————————————————-
          รูฟัสยอมรับไม่ได้เด็ดขาด เขาไม่เคยคิดมาก่อน ไม่แม้แต่จะจินตนาการ ว่าคนที่ยืนอยู่ในห้องที่กำลังเคลื่อนเข้ามาคือคนที่เขาไม่ต้องการให้อยู่ที่นี่มากที่สุด คนที่เขาบากหน้าไปฝากฝังเอาไว้อย่างดีกับคนที่พอจะไว้ใจได้ รูฟัสแทบจะทิ้งปืนทันทีที่เห็นว่าฟ่งอยู่ในห้องนั้น  ทรงผมแบบนั้น แว่นตาแบบนั้น หน้าตาบูดๆ บึ้งๆ แบบนั้น เขาไม่มีวันจำผิดเด็ดขาด ฟ่งมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
          คำถามมากมายเกิดขึ้นตามมา รูฟัสคิดว่าฟ่งมองไม่เห็นเขา ร่างนั้นชะเง้อมองอยู่ครู่หนึ่ง และหันหลังกลับไปอย่างกระวนกระวาย มีใครตามมา หรือว่ากำลังรอใครอยู่ แล้วทำไมถึงได้แต่งตัวแบบนั้น นั่นมันเครื่องแบบพนักงานที่นี่ไม่ใช่หรือไง รูฟัสพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด ฟ่งคงร่วมมือกับทวีศักดิ์ หรือวรุต  ไม่งั้นคงไม่สามารถมาอยู่ที่นี่ได้ จะเพราะถูกขู่หรืออะไรก็ตามแต่ ทางนั้นคงคิดจะใช้ฟ่งมาล่อเขาออกไป รูฟัสคิดว่านี่ออกจะเป็นลูกไม้ที่ตื้นเขินไปหน่อย ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้เขาโมโห ชายหนุ่มตัดสินใจตามฟ่งออกไป  ถ้าฟ่งกล้าทำแบบนี้กับเขา ก็ควรจะต้องสั่งสอนสักหน่อย
          แม้จะคิดแบบนั้นแต่แค่ทำเสียงให้ดูเหี้ยมโหดเมื่อต้องเผชิญกับคำพูดตะกุกตะกักเหมือนว่ากำลังตกใจมากของทางนั้น ก็แทบจะแย่แล้ว ถ้าไม่ติดว่าสถานการณ์ตอนนี้มันอันตราย เขาอยากที่จะรวบตัวฟ่งเข้ามา จูบให้หายอยาก แล้วจับกดเสียให้เข็ดหลาบ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ รูฟัสจำต้องเล่นไปตามบทบาทของเขา เขาเอาปืนจ่อท้ายทอยฟ่ง จี้ให้ฟ่งถอดเสื้อผ้า และก็แทบจะร้องครางเมื่อพบว่าแผ่นหลังขาวๆ นั่นมีรอยจ้ำสีชมพูจางๆ เต็มไปหมด ถ้าสีมันเข้มกว่านี้คงคิดว่าเป็นรอยที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ตอนเขาไม่อยู่ โชคดีที่รูฟัสพอจะจำได้ว่าเขาเป็นคนทำรอยทั้งหมดนี้เอง และก็แทบจะทิ้งปืนแล้วดึงร่างนั้นเข้ามาเพื่อประทับรอยรักเพิ่มเข้าไปอีก 
ปัญหาคือ เขายังไม่แน่ใจว่าฟ่งเป็นตัวแสบในระดับไหน จึงจำต้องไล่ต้อนให้ยอมจำนนมากว่าที่เป็นอยู่ เขาคิดว่าฟ่งอาจจะโกรธ และเขิน สังเกตจากเลือดฝาดที่สูบฉีดขึ้นมาตรงใบหู แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังปากแข็งเสียเหลือเกิน รูฟัสจึงเลือกที่จะต้อนฟ่งจนถึงที่สุด สัมผัสในจุดสวาทที่คุ้นเคยนั้นแทบทำให้เขาสติแตกจริงๆ และแทนที่ฟ่งจะอ้อนวอน ยอมรับผิด กลับท้าทายให้มัดตัวเองเสียได้ รูฟัสจึงตอบสนองเสียงเรียกร้องดังกล่าว
          เขาจำเป็นต้องทำให้ฟ่งเข็ดหลาบ จะได้ไม่กล้าทำเรื่องหลอกเขาแบบนี้อีก
          แต่ตอนนี้รูฟัสกลับรู้สึกว่าตัวเองผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง เขาไม่พบอะไรในเสื้อตัวนั้น ไม่พบสิ่งที่ดูคล้ายเครื่องดักฟังหรือเครื่องสงสัญญาณเลย มีแค่ปากกาลูกลื่นธรรมดาๆ เล่มหนึ่ง หนุ่มตาสองสีเม้มริมฝีปากด้วยความตกใจ เขาค่อยๆ เบือนหน้าไปยังจุดที่มัดฟ่งเอาไว้ เอ่ยปากขึ้นด้วยความยากลำบาก
          “คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
          “ผมมาช่วยคุณ” ฟ่งกล่าวเสียงเครือ เขายืนอยู่ตรงนั้น เปลือยแทบทั้งหมด ถูกมัดมือเอาไว้ และกำลังร้องไห้
—————————————————-
**คาดว่าจบตอนนี้ ทุกคนคงรุมด่ารูฟัสแหงม... โถ... พ่อพระเอกกกก :laugh:

ิbenejeng

  • บุคคลทั่วไป
เข้าใจกันเร็วๆแล้วก็รีบหนีเหอะ ขอร้อง คนอ่านลุ้น

ออฟไลน์ @BUA@

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +427/-8
ขออนุญาตนะคะ

ไอ้รูฟัสเอ๊ยยยยยยย   :z6:

killermoonlit

  • บุคคลทั่วไป
ลงนาทีละตอนเลยไม่ได้หรอออออออออออออออออออออ

jelatin99

  • บุคคลทั่วไป
อ้ากกกกก~มาต่อแล้วๆๆๆๆ และ…ค้าง ว้ากกกกก~แต่ขอบคุณที่มาต่อคร๊าบบ  ลุ้นฮะ>_<

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
รูฟัสทำฟ่งร้องไห้อีกแล้ว

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**มาลงอย่างต่อเนื่องค่ะ อยากรู้จริงว่าคนตามอ่านเรื่องนี้เยอะรึเปล่า (เห็นเงียบๆ เลยคิดว่าอ่านไม่ทันกันเป็นส่วนใหญ่<<เห็นจำนวนตอนเขาก็ไม่อยากอ่านแล้วล่ะยะหล่อนนน :beat:)

----------------------------------------------


บทที่64 I’ll bring you back!

มีเพียงความเงียบ…..ความเงียบที่น่าอึดอัด
          เว่ยจินหยินกับฟารุคยืนจ้องหน้ากันมาเกือบนาทีแล้ว แต่สำหรับสถานการณ์แบบนี้ แค่ครึ่งนาทีก็ยาวนานเหมือนผ่านไปครึ่งปี ไม่มีใครขยับอะไรอีกแม้แต่กระดิกนิ้วมือ ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าฝั่งตรงข้ามจะลงมือเมื่อไหร่ก็ได้ ฟารุคไม่ต้องการจะเจรจาผลประโยชน์ เขาต้องการเพียงสั่นคลอนจิตใจของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าอำมหิตที่สุดของเกาะฮ่องกง หากทำลายความสุขุมรอบคอบของเว่ยจินหยินได้ การกำจัดผู้ชายคนนี้ก็ง่ายขึ้น
          ฟารุคเห็นฤทธิ์เดชของเว่ยจินหยินมาแล้วในห้องประชุม ช่างเป็นผู้ชายที่น่ารังเกียจอะไรอย่างนี้ ผู้ชายคนนี้กล้าใช้น้องชายตัวเองเป็นเหยื่อเพื่อทำให้แผนการสัมฤทธิ์ผล ฟารุคปักใจเชื่อว่า อาการของเว่ยเฟิงปิงที่เกิดขึ้นในห้องประชุม เป็นฝีมือของเว่ยจินหยินแน่ๆ แต่ว่าด้วยวิธีอะไรนั้น เขาก็เดาไม่ออกเหมือนกัน
เว่ยจินหยินเล่นละครได้แนบเนียนยิ่งกว่านักแสดงมืออาชีพ ฟารุคกำลังประเมินนัยน์ตาสีดำใต้แว่นตากรอบทองนั้น นัยน์ตาสีดำที่ดูราวกับนัยน์ตาของสุนัขจิ้งจอก ดวงตากลิ้งกลอกเจ้าเล่ห์ที่สั่นระริกนั้น เป็นการแสดง หรือเป็นความรู้สึกจริงๆ กันแน่นะ

          เว่ยจินหยินไม่เคยรู้ว่าตัวเองแสดงละครเก่งรึเปล่า รู้เพียงว่าเขาต้องปกปิดอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ให้ได้มากที่สุด รักษาภาพพจน์ที่ดีเอาไว้ให้ดีที่สุด รักษาความสุขุมของตนเอาไว้ให้ดีที่สุด เพราะหากไร้สิ่งนี้ ชีวิตของเขามีโอกาสจบสิ้นได้ทุกเมื่อ อาจจะเพราะแบบนี้ เขาเลยเหมือนคนที่กำลังแสดงละครอยู่ตลอดเวลา เว่ยจินหยินพอใจที่คนหลงใหลตัวเขาที่เป็นเปลือกนอกแบบนี้ ความหลงใหลในเปลือกนอก ไม่มีซึ่งความผูกพันใด จะหลอกใช้ขนาดไหนก็ไม่รู้สึกผิด เพราะนี่คือเปลือกหลอกที่เขาสร้างขึ้น กับคนที่ชอบของหลอก การถูกหลอกก็คงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร
          เสียงระบายลมหายใจยืดยาวคล้ายจงใจถอนออกมาให้ฝ่ายตรงข้ามได้ยิน เว่ยจินหยินยิ้มกว้าง และสูดหายใจยาวเหมือนคนกำลังจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง น้ำเสียงนุ่มนวลกล่าวเนิบๆ
          “ถ้าคุณพ่อต้องการฆ่าผม แล้วพวกคุณก็ต้องการฆ่าผม ผมควรจะทำยังไงล่ะ?”
          ฟารุคเดาไม่ออก นี่เว่ยจินหยินกำลังเล่นละคร หรือพูดจากใจจริง หรือเล่นละครซ้อนละครอีกที ไม่รอให้ฝ่ายตรงข้ามได้คิดอะไรเพิ่ม เว่ยจินหยินกล่าวสืบต่อ
          “จะร่วมมือกับผมมั้ย คุณฟารุค ผมจะกำจัดลี่เหลียนให้คุณ ส่วนคุณก็กำจัดคุณพ่อให้ผม เราสองสมประโยชน์กันทั้งคู่ ทั้งคุณทั้งผม?”
          ฟารุคแค่นหัวร่อ “คุณมีปัญญากำจัดลี่เหลียน?”
          “ผมมีแน่ ถ้าคุณให้ความร่วมมือ” เว่ยจินหยินเปิดฉากการเจรจา เขากล่าวสืบต่อ “ด้วยตำแหน่งของคุณและผม อำนาจในกลุ่มใช่ว่าน้อยๆ เสียเมื่อไหร่ ผมจะสาวไส้คุณพ่อให้คุณ ส่วนคุณก็สาวไส้ลี่เหลียนให้ผม ยุติธรรมดีใช่ไหม? ว่าไงคุณฟารุค คุณอยากเจรจาไม่ใช่เหรอ ผมฆ่าลี่เหลียนได้ ถ้าคุณร่วมมือ แล้วคุณฆ่าคุณพ่อให้ผมได้รึเปล่า?”
          ฟารุคอับจนถ้อยคำไปชั่วขณะ เขาเคยพบคนมาหลากหลาย ใช้ชีวิตในวงการแบบนี้มาอย่างโชกโชน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินผู้ชายคนหนึ่งวางแผนจะกำจัดพ่อบังเกิดเกล้าแท้ๆ ต่อหน้า สีหน้าของเว่ยจินหยินที่กล่าวถ้อยคำออกมานั้นเรียบเฉยเป็นปกติ เผลอๆ นัยน์ตาสีดำสนิทดวงนั้นยังเป็นประกายอย่างพอใจด้วยซ้ำ ตอนที่เอ่ยถึงประโยค”ฆ่า”กับพ่อตัวเอง มันทำให้ขนหลังท้ายทอยของเขาลุกซู่ กับคนอำมหิตขนาดนี้ เขายังยืนฟังอยู่เฉยๆ หรือ? ชั่วเสี้ยววินาทีนั้นฟารุครู้สึกตัวทันที เขาปล่อยให้เว่ยจินหยินพูดมากเกินไปแล้ว เขาฟังเว่ยจินหยินพูดมากเกินไปแล้ว
          คนที่หวั่นไหวก่อนคนแรกกลายเป็นตัวเขาเองเสียแล้ว
          เสี้ยววินาทีเดียวที่ฟารุครู้สึกตัว มือของเว่ยจินหยินขยับออก การขยับที่ดูเหมือนต้องการแก้อาการเมื่อยขบจากการยืนในท่าเดิมนานๆ การเคลื่อนไหวที่ไม่ผิดแผกจากปกติ แนบเนียน แต่แฝงความอำมหิต ความหมายของคำว่า”ฆ่า”ปรากฏชัดในมือเรียวที่ขยับออกมา
          เสี้ยววินาทีที่จินหยินขยับมือ สคัลขยับตัว เขาไม่ได้ตกตะลึงไปกับคำพูดของเว่ยจินหยิน สคัลทำหน้าที่ตัวเองได้ดีเยี่ยม เขาจับตามองเว่ยจินหยินโดยตลอด ไม่ได้สนใจกับคำพูดชวนสยดสยองที่อีกฝ่ายกล่าวออกมา เพราะคำพูดฆ่าคนไม่ได้ แต่มือฆ่าคนได้
          ในเสี้ยววินาทีแห่งการตัดสิน เพียงคนเดียวที่ไม่ได้ขยับแม้แต่กระพริบตา
          เถียนซาน
 ————————————–
          “ทำอะไรอยู่น่ะ ซื่อเยี่ยน?”
          ชายผู้มีนัยน์ตาสีอีกาสะดุ้ง และหันกลับไปมองที่มาของเสียง เว่ยเฟิงปิงเดินเข้ามาพร้อมม้วนแส้สีเงินในมือ คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย
“เอียนล่ะครับ?” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยถามขึ้น แม้จะรู้สึกแปลกใจเรื่องแส้ที่เห็น แต่มันไม่ใช่เรื่องสำคัญที่จะเอ่ยปากถามตอนนี้ เว่ยเฟิงปิงพ่นลมหายใจออกมา
          “หนีไปแล้ว แล้วนี่นายกำลังทำอะไรอยู่?”
          “ผม?” ผู้เป็นลูกน้องทวนคำและก้มลงมองร่างโชกเลือดที่นอนอยู่บนพื้นซึ่งเขากำลังคุกเข่าอยู่ข้างๆ เว่ยเฟิงปิงพูดต่อ
          “ปกติหน่วยดำเขาไว้อาลัยให้ศัตรูด้วยหรือไง?”
          “เปล่าครับ เพียงแต่ว่าเขา…” ผู้เป็นลูกน้องกล่าวค้าง เขาค่อยๆ ดึงตุ้มโลหะออกจากลวดบนลำคอที่ไร้ซึ่งลมหายใจนั้น และก้มลงมองแขนซึ่งกล้ามเนื้อถูกลวดบาดจนเหวอะหวะ มือที่อาบไปด้วยเลือดที่หลังไหลออกมาจนเป็นสีแดงคล้ำยังคงกำอาวุธที่มีรูปร่างคล้ายเข็มยักษ์นั้นเอาไว้แน่น แม้จะฆ่าคนมามาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จางซื่อเยี่ยนรู้สึกสะเทือนใจเกี่ยวกับคนที่เขาเพิ่งจะปลิดชีวิตไป แม้ในยามได้สติผู้ชายคนนี้ก็ยังฝังใจอยู่กับสิ่งที่เขาได้รับการปลูกฝังมา
          “ผมคือนีดเดิล”
          นั่นคือคำพูดแรกและคำพูดสุดท้ายที่นีดเดิลพูดกับเขา ก่อนที่จางซื่อเยี่ยนจะตัดสินใจปลิดชีพอีกฝ่ายเสีย นัยน์ตาที่มองออกมาตอนนั้นเหมือนนัยน์ตาของคนที่ตายไปแล้ว ไร้ความรู้สึก มีเพียงความสิ้นหวัง ภายในแววตาว่างเปล่านั้นกำลังปรารถนาซึ่งความตายที่แท้จริง  เพื่อให้หลุดพ้นจากความทรมานที่กำลังเผชิญอยู่
          “ใจดีจริงนะ” เว่ยเฟิงปิงค่อนแคะ เขาไม่รู้เรื่องของนีดเดิล  แต่กลับรู้สึกแปลกใจปนหงุดหงิดที่เห็นจางซื่อเยี่ยนใจดีกับคนอื่น แม้จะเป็นคนที่ตายไปแล้วก็เถอะ ไม่ยักจะรู้มาก่อนว่าเจ้าหมอนี่ใจดีขนาดนี้ ใจดีกับทุกคนเลยงั้นสิ จางซื่อเยี่ยนลุกพร่วดขึ้น ผลักเจ้านายของเขาออก
          เพล้ง!!
          จานจักรแก้วที่ปะทะกับตุ้มเหล็กแตกกระจายกลางอากาศ อดีตหน่วยดำซัดลูกดิ่งเหล็กอีกลูกหนึ่งเข้าใส่เงาร่างที่กำลังเคลื่อนหนีออกไป เมื่อการลอบโจมตีไม่ได้ผล เอียนตัดสินใจเปลี่ยนอาวุธ เขาล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ และหยิบปืนขึ้นมา
          “ระวัง!!” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยอย่างตกใจ เขานึกไม่ออกว่าลวดเส้นบางๆ กับลูกดิ่งเหล็กนั้นจะต่อกรกับลูกปืนอย่างไร จางซื่อเยี่ยนมิได้แสดงปฏิกิริยาใดๆ กับคำเตือนของผู้เป็นเจ้านาย เขาซัดลูกดิ่งออกไปอีกลูก ในตอนที่เอียนเล็งปืนมา
          โครม!!
          เสียงร่างมนุษย์ล้มฟาดพื้นดังสนั่น จางซื่อเยี่ยนกระชากแขนทั้งสองข้างของตัวเองขึ้น เส้นลวดบางจิ๋วที่ขดเหมือนงูอยู่บนพื้นวิ่งเข้ารัดสิ่งที่อยู่ในวงล้อมของพวกมันทันที นั่นก็คือส่วนขาของเอียนที่เพิ่งจะสะดุดเกี่ยวลวดพวกนั้นจนลมลง
          “อ๊าก!!” ไฮท์ลำดับสิบเอ็ดแห่งริเวิลร้องเสียงดังลั่นขณะที่เส้นลวดบาดผ่านขากางเกงเข้าไปถึงกล้ามเนื้อขา เขาแข็งใจเล็งปืนเข้าใส่เจ้าของลวดที่กำลังรัดพันตัวเองอยู่
          “ตายซะ!!” เอียนตะคอกด้วยความโกรธแค้นและหนี่ยวไกปืน แต่ก่อนที่นิ้วของเขาจะได้กดลงไป จางซื่อเยี่ยนก็ออกแรงกระชากลวดจนร่างนั้นลอยขึ้นจากพื้น มันเป็นภาพที่ดูจะเหลือเชื่อ ร่างของเอียนเหมือนตุ๊กตาที่ถูกมัดเอาไว้และถูกสะบัด ปืนหลุดออกจากมือของเขาหล่นลงไปที่พื้น ขณะที่เจ้าตัวส่งเสียงร้องดังลั่น
          “อ๊ากกกก!!!!”
          แม้แต่เว่ยเฟิงปิงเองยังอดรู้สึกขนลุกไม่ได้ รอยลวดที่บาดลึงลงไปบนขาของเอียนนั้นดูน่าสยดสยอง เลือดเริ่มไหลซึมออกมาจากกล้ามเนื้อที่ถูกตัดขาด อีกไม่นานมันคงมีสภาพแบบเดียวกับลูกน้องที่สิ้นลมหายใจไปแล้ว จางซื่อเยี่ยนลากร่างนั้นเข้ามาใกล้ ได้ยินเสียงอีกฝ่ายร้องขอชีวิต
          “ได้โปรด อย่าฆ่าฉัน…. อา.. นีดเดิล!!”
          คำสุดท้ายที่เปล่งออกมาและแววตาแสดงความตกใจของเอียนทำให้จางซื่อเยี่ยนหันหลังกลับไปโดยอัตโนมัติ จังหวะนั้นเองผู้ที่ถูกมัดขาด้วยเส้นลวดก็ยกแขนขึ้น ปืนออโต้เล็กๆ กระบอกหนึ่งดีดออกมาจากใต้แขนเสื้อ เอียนคว้ามันเอาไว้ และเหนี่ยวไก
          ปัง!
          จางซื่อเยี่ยนหันกลับมาทันที สิ่งที่เขาพบคือร่างของเอียนที่ถูกปลิดลมหายใจด้วยรูกระสุนที่หน้าอก เว่ยเฟิงปิงสะบัดปืนออโตแมติกสีดำในมือเพื่อไล่ควันที่พวยพุ่งอยู่ออก
          “มีแต่ไอ้บื้ออย่างนายเท่านั้นแหละที่หลงกลอุบายตื้นๆ แบบนี้” ผู้เป็นเจ้านายตำหนิ จางซื่อเยี่ยนพยักหน้ายอมรับ และเอ่ยคำพูดต่อ “ขอบคุณครับ ว่าแต่..ไหนคุณบอกว่าเขาหนีไปแล้วไง?”
           “หมอนี่จงใจให้ฉันเข้าใจแบบนั้น นายคิดหรือว่าคนอย่างเอียนจะหนีไปเฉยๆ หมอนั่นคงพยายามจะหาจังหวะเพื่อลอบทำร้ายอยู่ ฉันก็เลยลงมาหานาย สร้างละครตบตาเพื่อล่อหมอนั่นออกมา แต่นายกลับหลงกลลูกไม้ตื้นๆ นั่นเสียได้”
          “ขอโทษครับ” จางซื่อเยี่ยนกล่าว และก้มหน้า เว่ยเฟิงปิงโบกมือ
          “จริงๆ ฉันก็ไม่ได้ถือโทษอะไรมากหรอก แค่สงสัย นายไม่น่าเลินเล่อขนาดนี้ ทำไมถึงดูสนใจนีดเดิลนัก นายเคยรู้จักกับหมอนี่เหรอ?”
          ผู้ถูกถามสั่นศีรษะ พูดขึ้นบ้าง “คุณรู้จักการสะกดจิตรึเปล่า?”
          เว่ยเฟิงปิงหยุดคิดครู่หนึ่ง และพยักหน้า “ไอ้ที่สั่งให้ใครทำอะไรก็ได้ตอนที่กำลังสะลึมสะลือน่ะหรือ?”
          “ครับ” จางซื่อเยี่ยนตอบและอธิบายสิ่งที่เขาเพิ่งเผชิญมา เว่ยเฟิงปิงนิ่งฟังและพยักหน้าในที่สุด
          “อืม…นายรู้สึกเห็นใจนีดเดิล แล้วก็รู้สึกโกรธเอียนสินะ ฉันไม่ยักรู้ว่านายอ่อนไหวขนาดนี้”
          คำพูดประโยคสุดท้ายทำให้ชายผู้มีนัยน์ตาสีอีกาขมวดคิ้วบ้าง “ผมเป็นคนมีความรู้สึกนะครับ”
          จางซื่อเยี่ยนแย้ง เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจและยิ้มออกมา “เอาเถอะ ดีแล้วที่นายยังมีความรู้สึก”
          เขากวาดตามองร่างไร้วิญญาณทั้งสองอีกครั้งและเอ่ยขึ้น “กลับขึ้นไปด้านบนกันเถอะ ฉันไม่อยากฟังจินหยินพูดจากระแนะกระแหนเรื่องที่ขึ้นไปช้า”
 ——————————————
          เสี้ยววินาทีที่เหมือนโลกหยุด สิ่งที่เถียนซานเห็นคือมือข้างหนึ่งของเว่ยจินหยินที่สะบัดออก กับเจ้านายคนนี้ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าจะทำอะไร ดังนั้นสิ่งที่เถียนซานมองต่อไปคือฟารุค ปฏิกิริยาของฟารุคที่จะตอบโต้เหตุการณ์ไม่คาดคิดเช่นนี้ เป็นอย่างไร เพราะเถียนซานไม่เคยพบฟารุค ไม่ทราบพื้นฐานทักษะร่างกายมาก่อน เช่นเดียวกับสลัค สองคนนี่มีปฏิกิริยาตอบสองการขยับของเว่ยจินหยินอย่างไร นั่นคือสิ่งที่เถียนซานต้องการเห็นก่อน
          และตอนนี้ เขาได้เห็นแล้ว
          ฝ่ามือของฟารุคที่พุ่งขึ้นมา รวดเร็ว เฉียบขาด ไม่ได้พุ่งเข้าหาแขนที่ขยับ แต่พุ่งเข้าหาจุดตายที่ลำคอ เจตนาฆ่าแผ่ออกมาอย่างเด่นชัด เถียนซานรู้แต่แรก งานนี้ไม่มีใครคิดถึงเรื่องเจรจา มีเพียงการพยายามหาช่องว่างในการลงมือ เมื่อช่องว่างบังเกิด การหมายชีวิตย่อมตามมา
          มีดดาบขนาดเหมาะมือ ถูกกระชากออกมาจากอกเสื้อของสคัล ไม่เลวเลยสำหรับความเร็วในการชักดาบแบบนั้น และเขาคงแย่ถ้าดาบนั่นมุ่งมาดมายังตนเอง แต่กับดักของเว่ยจินหยินสมบูรณ์แบบ
          ด้วยความหวาดกลัวในตัวผู้ชายที่ได้ชื่อว่าอำมหิตที่สุดในฮ่องกง การโจมตีของทั้งคู่มุ่งเข้าใส่เว่ยจินหยิน จุดมุ่งหมายแน่ชัด การปล่อยให้ผู้ชายคนนี้มีชีวิตอยู่แม้แต่วินาทีเดียวก็อันตราย การพุ่งความสนใจที่แน่วแน่นี้เอง เปิดช่องว่างใหญ่โตให้เถียนซานได้ลงมือ
          กับระยะเวลาความเป็นความตายเสี้ยววินาทีที่เกิดช่องว่างนี้ สำหรับเขาคือเวลายาวนานราวหลายนาที
         
          พลั่ก!! กร๊อบ!
          ความรู้สึกจริงๆ ควรจะมาก่อนเสียง แต่ตอนนี้หูฟารุคได้ยินเสียงก่อนจะทันได้รู้สึกอะไรเสียอีก มือของเขากำลังจะถึงลำคอที่มีปกเสื้อเชิ้ตหุ้มอยู่ของเว่ยจินหยิน ใกล้จนรู้สึกได้ถึงไรขนของอีกฝ่าย  หากสับลงไปได้ เว่ยจินหยินไม่สลบก็ต้องคอหัก เห็นได้ชัดว่าเว่ยจินหยินไม่มีทางป้องกันทันเด็ดขาด แต่ทำไม จู่ๆ มือของเขาถึงได้ไม่สัมผัสกับต้นคอนั้นล่ะ?
          เพราะมือของเว่ยจินหยินขยับ มีดดาบในมือของสคัลจึงพุ่งเข้าใส่อย่างอัตโนมัติ การจู่โจมระดับสัญชาติญาณ รวดเร็ว รุนแรง ไม่มีออมมือ ยังไม่ทันคิดว่าดาบนั่นจะตัดข้อมือของเว่ยจินหยินในแนวไหน เลือดสีแดงก็คงไหลพร่างพรูออกมาก่อน แต่ทำไม ทั้งที่คิดได้แล้วว่ามือข้างนั้นควรจะกุดเสมอข้อ เลือดถึงไม่ยอมไหลออกมา
          นัยน์ตาของเว่ยจินหยินนิ่งสนิท ไม่กระพริบ ไม่ขยับแม้เพียงนิดเดียว นิ่งราวภาพวาด ราวกับว่ามันไม่ได้เชื่อมต่อกับหัวใจ ราวกับว่าเว่ยจินหยินไม่มีหัวใจอีกแล้ว มือเรียวได้รูปยกขึ้นเหมือนเชื่องช้า บนนิ้วเกลี้ยงยังสวมแหวนเอาไว้อีกหลายวง แหวนเงินเกลี้ยงๆ เรียบง่ายจนไม่คิดว่าจะมาอยู่บนนิ้วมือสวยงามและหยิ่งทะนงแบบนี้ เลยจากนิ้วมือได้รูป ข้อมือมีเลทส์สีเงินอีกชิ้นหนึ่ง ไม่เหมือนนาฬิกา เป็นแผ่นเลสเรียบๆ เหมือนแหวนที่สวมอยู่บนนิ้ว มือเรียวตรงเข้าคว้าคอของฝ่ายตรงข้ามที่กำลังกระเด็นออกไป
          สคัลไม่มีเวลาจะรับรู้แม้กระทั่งความรู้สึกตกใจด้วยซ้ำ สิ่งที่เขาพบคือตัวเองกำลังลอยออกห่างจากเป้าหมาย แล้วเงาดำบางอย่างก็พุ่งตรงเข้ามา แรงกระแทกมหาศาลกระทำเข้ากับหน้าอกของเขาอีกครั้ง สิ่งที่สคัลรับรู้ในวาระสุดท้ายคือคำสั้นๆ ที่ผุดขึ้นมาในสมอง
ปิศาจ
!!
ต้องใช้เวลาหลายวินาทีกว่าที่สมองของฟารุคจะทำความเข้ากับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สิ่งที่ร่างกายเขารู้สึกตอนนี้คือไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่รู้สึกแม้จะเห็นว่าลำคอถูกมือของอีกฝ่ายกำอยู่ บนหน้าได้รูปของเว่ยจินหยินปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจ รอยยิ้มนี้ไม่สร้างความรู้สึกไม่ดีกับผู้มองเลย สวยงาม น่าหลงใหล คล้ายรอยยิ้มบนใบหน้าของเทวดา
แต่ฟารุครู้ดี เว่ยจินหยินไม่ใช่เทวดา นี่คือผู้ชายที่ได้ชื่อว่าอำมหิตโหดเหี้ยม
ชายที่ถูกเรียกว่าสุนัขจิ้งจอก
น่าเสียดาย แม้จะรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจที่ไม่เป็นจังหวะ แต่ร่างกายไม่สามารถกระดิกได้เลย สมองของฟารุคยังสับสนอยู่อีกสักพัก พอเห็นเงาร่างอีกร่างก้าวเข้ามา เขาก็เริ่มตระหนักถึงข้อผิดพลาดของตน
เสี้ยววินาทีที่ตัดสินใจลงมือ พวกเขาลืมไปเสียสนิท
ลืมว่าที่อยู่ข้างกายของจิ้งจอกผู้นี้คือปิศาจ….
          ปิศาจ…..
          เถียนซานยืนนิ่ง ด้วยใบหน้าเรียบเฉยเหมือนรูปสลัก นัยน์ตาสีดำราวหินน้ำตกนิ่งสนิท เหมือนไม่มีความรู้สึกใดๆ กับเหตุการณ์ตรงหน้า ฟารุคแน่ใจว่าเถียนซานยืนนิ่งแบบนี้ในตอนที่เขาเริ่มลงมือ และสคัลเองก็คงเห็นเช่นนั้น ความสนใจจึงพุ่งเข้าหาเว่ยจินหยินที่กำลังขยับ ในชั่วเสี้ยววินาทีแบบนั้น เถียนซานจึงลงมือ ผู้ชายคนนี้รอคอยแม้กระทั่งช่องว่างที่เล็กที่สุด รอคอยอย่างใจเย็น ฟารุคเข้าใจในบัดนั้นเอง ทำไมผู้คนถึงขนานนามผู้ชายคนนี้ว่าปิศาจ หากหัวใจไม่ชืดชา ใครเลยจะรอคอยจังหวะนั้นได้ จังหวะสั้นๆ หากไม่ใช่ปิศาจ ใครเลยจะลงมือได้ทัน ที่น่าตระหนกกว่านั้น เว่ยจินหยินเหมือนจะไว้ใจผู้ติดตามของเขาคนนี้อย่างไม่น่าเป็นไปได้ ดวงตาที่ไม่เปลี่ยนแปรเลยในช่วงเวลาแบบนั้น หากไม่ผ่านสรภูมิด้วยกันมายาวนาน ใครเลยจะมีความไว้วางใจกันแบบนี้ พวกเขาประเมินผิดเอง
          ประเมินผู้ชายสองคนนี้ผิดไปแต่แรก
          เขาไม่ควรเสนอหน้ามาเจอกับจิ้งจอกที่มากับปิศาจ
          “คุณฟารุค”
          น้ำเสียงของเว่ยจินหยินยังคงนุ่มนวล เขาไม่เหลือบมองร่างไร้ลมหายใจของสคัลที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตรด้วยซ้ำ การหยุดหัวใจคนนั้น จะยากก็ไม่ยาก จะง่ายก็ไม่ง่าย ขอแค่กระแทกตรงจุด หัวใจที่ไม่เต้นอาจจะกลับมาเต้น และหัวใจที่เต้นระริก อาจจะถูกหยุดด้วยแรงกระแทกนั้น แน่นอนว่าเถียนซานจัดการปัญหาง่ายๆ นี้อย่างหมดจด กระแทกเข้าใส่เพียงสองหน ก็หยุดหัวใจของอีกฝ่ายเอาไว้ได้ตลอดกาล
          ช่องว่างที่ทำให้ถึงตาย
          “รู้สึกดีรึเปล่า?”
          คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยเอ่ยต่อ ฟารุคคิดว่าตัวเขาน่าจะกำลังยืนอยู่ โดยมีมือของเว่ยจินหยินกำเอาไว้ที่คอ แต่จนถึงบัดนี้ร่างกายยังไม่รู้สึกถึงอะไรที่ว่านี้เลย มีแต่ความชาด้าน รอยยิ้มงดงามปรากฏบนใบหน้านั้นอีกครั้ง
          “ผมอยากคุยกับคุณดีๆ อืม… ผมว่าคุณนั่งลงดีกว่า”
          เถียนซานเดินอ้อมเข้ามา และเหมือนจับร่างกายไร้ความรู้สึกของฟารุคให้นั่งลง วินาทีนั้น ฟารุคนึกแว้บขึ้นมาในสมอง เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าคุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยคนนี้มีงานอดิเรกแปลกๆ เกี่ยวกับการทดลองยาพิษ หรือตอนนี้เขากำลังกลายเป็นคนที่ถูกทดลองอยู่  แหวนเลทส์นั่น เลทส์ข้อมือนั่น…?
          เว่ยจินหยินยิ้มอีกครั้ง ขณะนั่งลงข้างๆ เขาปล่อยมืออกจากคออีกฝ่าย และกำลังโบกมันไปมา
          “เพื่อความสบายใจของคุณ ในมือผมไม่มียาพิษร้ายแรงหรอก”
          ฟารุคเพิ่งได้สังเกตชัดๆ นิ้วของเว่ยจินหยินสวมแวนเอาไว้สามวง แหวนเกลี้ยงๆ แหวนเกลี้ยงๆ ที่น่าจะเกลี้ยงทั้งอันกลับมีเข็มเล็กจิ๋วยื่นออกมาจากตัวแหวน เมื่อเจ้าของขยับนิ้วมืออีกครั้ง ทุกอย่างก็กลับไปเรียบอย่างที่มันควรจะเป็น
          “ถ้าสงสัย ผมจะบอกคุณ แหวนบนนิ้วผมมียาหลายแบบอยู่ด้านใน ผมปล่อยมันลงไปในตัวคุณนิดหน่อย เพื่อคุณจะรู้สึกสบายขึ้น อ้อ สารภาพกับคุณอีกเรื่อง แต่คิดว่าคุณคงจะรู้แล้ว คนที่วางยาพิษในห้องประชุม คือผมเอง”
          เขากล่าวและถกแขนเสื้อขึ้นมาให้เห็นเลสท์นั้นเด่นชัด ก่อนจะกล่าวสั้นๆ
          “ผมคงไม่ต้องอธิบายถึงเข็มที่ซ่อนอยู่ในเลสท์นี่ เอาล่ะครับ คุณฟารุค ได้เวลาเจรจาแล้ว”
—————————————–
          “คุณชาย!!”
          เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วคู่งามเข้าหากันทันที เขาสวนกับบรรดาลูกน้องในตอนที่กำลังเร่งขึ้นไปยังจุดนัดพบ คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัย “พวกนายจะไปไหนกัน?”
          “ตามหาคุณน่ะสิครับ พวกผมเห็นว่ายังไม่มีใครกลับขึ้นมา ก็เลยตัดสินใจว่าควรจะลงไปตามหา พวกริเวิลเองก็เหมือนกัน”
          “ว่าไงนะ?!” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ เขามองหน้าผู้เป็นลูกน้องอีกรอบ “นายบอกว่ายังไม่มีใครกลับขึ้นมางั้นหรือ? พี่จินหยินยังไม่ขึ้นมาหรือ?”
          “ครับ!” ทางนั้นเอ่ยเสียงหนักแน่ สีหน้าของเว่ยเฟิงปิงเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เว่ยจินหยินยังไม่ขึ้นมา หรือว่าไฮท์ที่ชื่อฟารุคคนนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าความคาดหมายที่ผู้เป็นพี่ชายของเขาวางเอาไว้ หรือว่าจินหยินจะคำนวณพลาด
          “เอายังไงดีครับ คุณชาย” บรรดาลูกน้องเอ่ยถามอีกรอบ เฟิงปิงรู้ดีว่าถ้าเขาไม่ออกคำสั่งอะไรซักอย่าง บรรดาลูกน้องของผู้เป็นพี่ชายคงเกิดความไม่พอใจขึ้นแน่ๆ ถึงแม้เขาไม่รู้ว่าจินหยินต้องการจะให้ลงไปตามหารึเปล่าก็เถอะ แต่ถ้าจะให้เขาอยู่เฉยๆ ท่ามกลางสภาวะกดดันแบบนี้ก็คงไม่เป็นผลดีเหมือนกัน ให้ตายสิ เจ้าพี่บ้านี่จะปั่นหัวเขาไปถึงไหนกันนะ
          “พวกนายที่อยู่ตรงนั้นไปกับฉัน ส่วนที่เหลือรออยู่ที่เดิมนั่นแหละ ถ้าพี่จินหยินกลับขึ้นมาก่อนก็ได้โทรติดต่อพวกฉันด้วย”
          “ครับ!”
 ———————————————-
          เว่ยจินหยินก้าวเท้าขึ้นบันไดอย่างใจเย็น เนื้อตัวไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน  ด้านหลังเป็นเถียนซานที่ประคองร่างสูงใหญ่ของฟารุค เหมือนกำลังพยุงคนหมดสติ เขาได้ยินเสียงฝีเท้า เว่ยจินหยินแย้มยิ้ม
          ไม่ว่าใครจะลงมาในตอนนี้ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่ต่างกันแล้ว
———————————————

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
          พวกริเวิลวิ่งลงมาตามบันไดอย่างเร่งร้อน แม้จะถูกกำชับแล้วว่าหากทั้งฟารุคและเอียนหายไปเป็นเวลานานให้รีบถอนตัวกลับออกไปทันที แต่จะให้เผชิญกับพวกตระกูลเว่ยที่รออยู่ด้านบนก็ดูจะไม่ค่อยเป็นเรื่องที่ดีนัก ดังนั้นสู้ชิงลงมาตามก่อนดีกว่า ถึงยังไงหลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียวอยู่แล้ว กับจำนวนคนนับสิบๆ มีหรือแค่คนสามสี่คนจะทานเอาไว้อยู่
 ——————————————–
          กิตติศัพท์ความโหดร้ายของเว่ยจินหยินนั้น เว่ยเฟิงปิงเคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง มันคล้ายข่าวลือเลื่อนลอย ที่แม้ฟังดูหนาหู แต่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเลยสักนิด คงเป็นเพราะเขากลับมาเข้าแก๊งหลังจากที่เว่ยจินหยินรวบอำนาจไปได้หลายอย่าง ถึงอย่างนั้นตลอดสี่ปีที่ผ่านมา พี่ชายคนรองคนนี้ไม่ค่อยจะยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเขามากนัก ถึงแม้จะท่าทีชังน้ำหน้าอยู่บ้างก็ตาม จริงอยู่ที่ข่าวลือกันว่าเว่ยจินหยินอำมหิต แต่นอกจากคำพูดชวนคลื่นเหียนและรอยยิ้มปั้นแต่งแล้ว เว่ยเฟิงปิงไม่เคยพบอย่างอื่นอีก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นความอำมหิตของผู้เป็นพี่ชาย
 
          ฟารุคนั่งอยู่เงียบๆ ข้างทางเดิน นั่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่ไหวติงไปกับเสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้ เฟิงปิงเงยหน้ามองให้สูงไปอีก ในเงามืดตรงข้ามเขา นัยน์ตาสีดำภายใต้แว่นตากรอบทองที่ถูกเงากำแพงทาบทาจนเหลืออยู่เพียงครึ่งเสี้ยวหน้า นิ่งสงบจนน่าประหลาด
          ราวกับสุนัขจิ้งจอกที่รอคอยเหยื่อมาติดกับอย่างอดทน
          ด้านหลัง เป็นเงาทำทะมึนของใครคนหนึ่ง ที่ติดตามเว่ยจินหยินมาเป็นเวลานาน แสงสว่างสาดไปไม่ถึงร่างนั้น เฟิงปิงจึงมองไม่ออกว่าเถียนซานมีสีหน้าและแววตาอย่างไร
          แววตาแบบไหนคือแววตาของปิศาจ
          ตอนที่พบกันนั้นเว่ยเฟิงปิงรู้สึกแปลกใจกับสภาพของพี่ชาย เว่ยจินหยินดูเหมือนยังไม่ได้ออกแรงอะไรซักอย่าง ขณะที่เถียนซานก็ดูจะสบายๆ กับน้ำหนักที่แบกอยู่ ถึงอย่างนั้นที่เขาแบกมาเป็นไฮท์ของริเวิลที่ชื่อฟารุคไม่ผิดแน่ แม้ฟารุคจะผิวสีเข้ม แต่คงไม่มีคนเป็นๆ คนไหนมีฝ่ามือขาวซีดแบบนั้นหรอก ตอนนั้นแหละที่เว่ยจินหยินแย้มแผนการขั้นต่อไปให้เขาฟัง
          เว่ยเฟิงปิงอดทนรออย่างเงียบๆ เป็นอย่างที่เขาคาด เว่ยจินหยินไม่ได้บอกทุกอย่าง บอกเพียงบางอย่างตามเหตุสมควรเท่านั้น แม้จะทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด แต่ผู้กุมสถานการณ์และความอยู่รอดในตอนนี้ไม่ใช่เขา เว่ยเฟิงปิงนึกไม่ออก ถ้าเว่ยจินหยินไม่มาด้วยเขาจะรอดกลับไปอย่างไร เขาไม่เข้าใจว่าเว่ยชิงจงใจจะส่งพี่ชายคนรองมาช่วยเหลือเขาหรือจะทดสอบอะไรกันแน่  เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนถึงตรงที่ร่างของฟารุคนั่งอยู่
          เว่ยจินหยินยังคงรอ รอให้ไม่มีใครมาสมบทอีก รอจนแน่ใจว่าเหล่าบรรดาพวกที่วิ่งมาไม่มีมาเพิ่มแล้ว ท่ามกลางความแตกตื่นที่ได้พบร่าง สีสดใสจากของเหลวสีแดงในร่างกายก็ปรากฏให้เห็นราวกับน้ำพุสายเล็กๆ ผิดแต่ว่ามันไม่ได้พุ่งออกมาจากร่างกายของฟารุค แต่พุ่งออกมาจากร่างกายของบรรดาลูกน้องที่ยืนห้อมล้อมเขาอยู่ต่างหาก
          เหมือนเป็นโรคระบาด ต่างคนต่างมีเลือดฉีดออกมาจากร่างกายราวกับถุงน้ำถูกเข็มจิ้ม เว่ยเฟิงปิงได้ยินจางซื่อเยี่ยนอุทานอะไรบางอย่างที่ด้านหลัง จึงหันไปกระซิบถาม “นั่นอะไร?”
          จางซื่อเยี่ยนเงียบไปพักหนึ่งเหมือนพยายามนึก จึงกล่าวตอบ “รู้สึกจะเรียกเข็มโลหิตครับ ผมเคยใช้ครั้งนึง ตอนที่คุณท่านออกคำสั่งให้ไปสั่งสอนพวกตระกูลหว่องน่ะครับ”
          เว่ยเฟิงปิงไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่จางซื่อเยี่ยนพูดถึง ตอนนั้นเขาคงยังอยู่อังกฤษ จึงถามต่อ “มันคืออะไรน่ะ?”
          “มันเป็นเข็มแก้วแบบที่เอาไว้ใช้ดูดเลือดเสียอย่างที่หมอแผนโบราณชอบใช้น่ะครับ แต่ขนาดของมันใหญ่กว่านิดหน่อย อืม…จริงๆ ก็ไม่ค่อยจะอันตรายหรอกครับถ้าโดนไม่เยอะ ข้อดีของมัน อืม… คงเอาไว้สำหรับสร้างความหวาดกลัวโดยเฉพาะเลยมั้งครับ” จางซื่อเยี่ยนอธิบายยืดยาว จากปากคำ เว่ยเฟิงปิงเข้าใจว่าเข็มนี่ใครๆ ก็คงใช้ได้ทั้งนั้น จึงเอ่ยถามต่อ “แล้วนายพกติดมาบ้างรึเปล่า?”
          สีหน้าของจางซื่อเยี่ยนงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะสั่นศีรษะ กล่าวตอบ “ผมไม่มีเก็บเอาไว้หรอกครับ คนที่เก็บเข็มแก้วนี้เอาไว้คือพี่เถียนซานนั่นแหละครับ ปกติก็ไม่ค่อยได้ใช้กันหรอก คือ..มันค่อนข้างจะดูสยดสยองอยู่สักหน่อย”
          ตอนนี้กลางทางเดินกลายเป็นทะเลเลือดย่อมๆ ที่เต็มไปด้วยเสียงอุทานและเสียงสาปแช่ง เพราะเข็มแก้วนั้นมองไม่เห็น กว่าจะรู้ก็ปักลงบนผิวแล้ว แม้จะไม่ได้เจ็บปวดอะไรมาก แต่พอเห็นเลือดพุ่งออกมาแบบนั้นเป็นใครก็ต้องขวัญเสีย แม้แต่พวกที่กำลังจะชักปืนก็ยังต้องรีบก้มหลบเอาตัวรอด เพราะยังไม่รู้ว่าเป้าหมายอยู่ตรงไหน และที่ใช้ออกมาเป็นอะไรกันแน่ แน่นอนว่าผู้ที่ซัดเข็มเลือดออกไปคงไม่ใช่เว่ยจินหยิน และคงไม่ใช่เถียนซานเมื่อดูจากตำแหน่งที่ยืน มันพุ่งมาจากทิศทางที่ลูกน้องอีกกลุ่มของเว่ยจินหยินซ่อนอยู่
          งั้นที่จางซื่อเยี่ยนบอกว่าเคยใช้มาก่อนก็คงไม่แปลกเท่าไหร่
          เป็นสภาพที่ดูน่าสยดสยอง ในภาวะตื่นตระหนกอย่างถึงขีดสุด เว่ยจินหยินให้สัญญาณเงียบๆ คนของเขาและเว่ยเฟิงปิงที่ซ่อนอยู่จึงออกจากที่ซ่อน พร้อมอาวุธครบมือ เข้าล้อมกลุ่มคนที่กำลังขวัญหนีดีฝ่อนั่นเอาไว้ การยอมจำนนศิโรราบจึงเกิดขึ้นได้ง่ายๆ โดยไม่มีใครเสียชีวิต นอกเสียจากหมดสติและบางส่วนก็ตกใจจนยังพูดอะไรไม่รู้เรื่อง นั่นทำให้เว่ยเฟิงปิงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เขาคิดว่าเว่ยจินหยินจะฆ่าทั้งหมดนี่เสียอีก ดูท่าพี่ชายของเขาคนนี้มีอะไรหลายๆ อย่างที่อยู่เหนือความคาดหมายไปพอสมควร
          “เธอคิดว่าพี่จะฆ่าทิ้งล่ะสิ?” เว่ยจินหยินพูดเหมือนรู้ทัน ขณะเดินออกมาสมทบกับน้องชาย เว่ยเฟิงปิงไม่อยากเหลือบมองนัยน์ตาจิ้งจอกนั่น จึงได้แต่พยักหน้า ได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ
          “บางทีคนเป็นก็มีประโยชน์กว่าคนตาย” คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะกล่าวต่อ “แต่ถ้าไม่มีประโยชน์ก็เป็นคนตายดีกว่า”
          น้ำเสียงเรียบง่ายกับใจความที่เอ่ยออกมาพร้อมใบหน้ายิ้มแย้มนั้น พอจะทำให้เสียวสันหลังวาบได้เลยทีเดียว เว่ยเฟิงปิงพยักหน้าหงึกหงัก และคิดว่าควรจะหยุดคุยกับพี่ชายคนนี้ก่อนจะสติแตก เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าจางซื่อเยี่ยนยืนคุยกับเถียนซานอยู่
          “ผมกำลังคุยกับซื่อเยี่ยนว่าจะทำยังไงกับคุณฟารุคดี เพราะผมคงไม่สะดวกแบกเองตลอด”
          คำพูดนั้นทำให้เว่ยเฟิงปิงมีสีหน้างงงันขึ้นมาทันที คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยหันมาและกล่าวยิ้มๆ “ให้เด็กๆ ช่วยกันแบกไปก็ได้ อืม..ฉันให้ยาชาเขาเอาไว้ กับอีแค่กระดูกซี่โครงหักคงไม่เป็นอะไรมาก”
          เสียงกร๊อบที่ดังขึ้นตอนที่เถียนซานกระแทกฝ่ามือเข้าไปบนร่างหนาคือเสียงกระดูกนี่เอง เว่ยเฟิงปิงมองเห็นเหมือนฟารุคขยับ
          “ฆ่าฉัน ฆ่าฉันที…”
          ซุ่มเสียงแหบแห้งที่แทบจะจับใจความไม่ได้เอ่ยขึ้นซ้ำๆ เว่ยจินหยินไม่สนใจคำเรียกร้อง เขากล่าวสั้นๆ
          “ไว้ไปถึงฮ่องกงแล้วค่อยเค้นคอมันต่อ”
 ——————————————-
          รัสเลอร์คิดว่า คราวนี้คงเป็นคราวซวยของเขาเป็นแน่แล้ว พวกคนในชุดสีขาวพร้อมอาวุธครบมือทยอยเข้ามาในห้องอีกระรอก ให้ตายสิ อย่างกับว่าทั้งหมดทั้งปวงในสถานที่ประหลาดแห่งนี้กำลังยกพวกมารุมอยู่ที่นี่ที่เดียว พวกนี้เกิดหมายหัวอะไรเขานักหนา หัวสมองของชายหนุ่มกำลังประมวลผลอย่างหนัก เขาใช้เกือบทุกอย่างที่มีไปหมดแล้ว และไม่รู้ว่าคอมพิวเตอร์มือถือกับปืนช็อตไฟฟ้าที่เหลืออยู่จะช่วยอะไรเขาได้บ้าง
ในสภาวะที่ถูกรายล้อมด้วยกลุ่มคนจำนวนหลายสิบคนเช่นนี้ และต่อให้ราฟาแอลมาถึง ก็ใช่ว่าจะเข้ามาช่วยเขาได้ง่ายๆ เสียหน่อย ให้ตายสิ สุดท้ายเขาก็ต้องตามรูฟัสไปอีกคนหรือนี่ ไม่อยากจะเชื่อ.. สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถจะออกไปเจอหน้าผู้ชายสวมแว่นคนนั้นได้งั้นหรือ เขาจะต้องตายอยู่ที่นี่โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถูกผู้ชายท่าทางเหมือนกระรอกคนนั้นหักหลังหรือเปล่า แต่กระรอกจะไปทำเรื่องเลวร้ายแบบนั้นได้ยังไง
แล้วรัสเลอร์ก็เห็นกระรอกตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มรีบพร่ำบอกตัวเองให้ตั้งสติดีๆ เข้าไว้ จะมีกระรอกอยู่ในที่แบบนี้ได้ยังไงกัน นี่เขาคงกลัวตายจนเห็นภาพหลอนไปแล้วแน่ๆ ชายหนุ่มเพ่งมองผ่านช่องระหว่างฉากบังตา เขาเห็นขาหลายคู่เดินตรงเข้ามา กำลังจะมาถึงตัวเขา แต่สิ่งที่อยู่ด้านหลังขาพวกนั้น
          กระรอก!!     
———————————————
          ราฟาแอลนึกสบถก่นด่าอุปกรณ์ที่เขาเพิ่งใช้ออกไป ไม่รู้ว่าไอ้บ้าตัวไหนออกแบบถึงได้ออกมาเป็นรูปแบบนั้น ถ้าจะให้ลองเดาคงเป็นไอ้บ้าที่เขากำลังจะเข้าไปช่วยอยู่นี่แหละ และถ้ามันเกิดไม่ได้ผลขึ้นมาเพราะรูปทรงเตะตาแบบนั้น ก็คงจะต้องโทษไอ้คนออกแบบนั่นแหละ
          “Hey!! Rusler. Keep your fucking head out!!”
          สิ้นเสียงตะโกน คลื่นเสียงความถี่สูงในระดับที่เป็นอันตรายต่อประสาทหูของมนุษย์ก็ดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของชายในชุดพรางลายแปลกๆ ที่ในมือถือปืนกลกึ่งออโตเมติกสองกระบอก โดยไม่รอให้ฝ่ายตรงข้ามที่มีร่วมสิบคนได้ทันตั้งตัว มฤตยูสีดำในมือของเขาก็พ่นลูกตะกั่วออกมาอย่างบ้าคลั่ง
          รัสเลอร์รีบคว้าหูฟังแบบพิเศษขึ้นมาอุดหู ไอ้เสียงตะโกนสุดแสนจะหาความสุภาพไมได้นี่คงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้าคนบ้าปืนนั่นแน่ๆ อย่างนั้นไอ้กระรอกที่เขาเห็นคงจะเป็นหุ่นยนต์ตุ๊กตาที่ด้านในใส่เครื่องสร้างเสียงความถี่สูงเอาไว้แน่ๆ เกือบลืมไปเลยว่านั่นเป็นของที่เขาออกแบบขึ้นมาเอง
          ราฟาแอลพุ่งตัวหลบห่ากระสุนที่สวนกลับมา เป็นโชคดีที่เจ้าเครื่องหน้าตาประหลาดนั่นไม่ถูกใครพบเห็นหรือทำมันพังไปเสียก่อน ไม่งั้นเขาคงพรุนตั้งแต่ยกแรกแล้วแน่ๆ เพราะเสียงกวนประสาทนั่นทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถตั้งสมาธิเพื่อเล็งกระสุนได้ เขาโยนปืนที่ลั่นกระสุนออกไปจนหมดแล้วลง และคว้าปืนของฝ่ายตรงข้ามที่หล่นอยู่ขึ้นมาและยิงสวนกลับไปต่อ  รัสเลอร์ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญการการต่อสู้ แต่เขาคิดว่าคงมีคนไม่มากนักที่สามารถจะทำอย่างที่ราฟาแอลกำลังทำอยู่ได้ จ้าหมอนี่น่าจะไปอยู่หน่วยรบพิเศษมากกว่าทำงานเป็นสายลับด้วยซ้ำ  ท่ามกลางเสียงกระสุนที่ดังอลหม่าน ในที่สุดราฟาแอลก็ฝ่าวงล้อมเข้ามาจนถึงที่ที่เขาซ่อนตัวอยู่
          “ดีใจที่นายยังครบสามสิบสอง”
          หนุ่มผมสีบล็อนด์เอ่ยขึ้น และกระชากคอเสื้อของเพื่อนร่วมงานขึ้นมา รัสเลอร์มองไปรอบๆ อย่างแตกตื่น และพบว่าคนในชุดสีขาวทั้งหมดล้มลงไปกองกับพื้น และร้องโอดโอยกันจนระงมไปทั่วห้องที่มีแต่กลิ่นควันปืนและคาวเลือด
          “ปิดหน้าซะ เรากำลังจะออกไปจากที่นี่กัน ฉันเรียกกำลังสนับสนุนแล้ว”
          คนถูกสั่งพยักหน้าและรีบดึงหมวกขึ้นมาคลุมศีรษะ ก่อนจะลนลานเก็บข้าวของจำเป็นและตามเพื่อนร่วมงานออกไป
————————————–
          รูฟัสกำลังเผชิญปัญหาที่น่าหนักใจเสียยิ่งกว่าการติดอยู่ในห้องแคบๆ ที่ไร้ทางออก เขากำลังพยายามทำให้ฟ่งที่กำลังหวาดระแวงยอมฟังในเหตุผลที่เขาทำเรื่องแบบนั้นลงไป แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมรับฟัง ฟ่งถอยกรูดด้วยความหวาดกลัวจนตัวลีบติดกับผนังโลหะของห้องที่เคลื่อนที่อย่างกับกระเช้าในสวนสนุก
ในตอนที่รูฟัสพยายามจะเดินเข้าไปใกล้ ผู้มีนัยน์ตาสองสีขมวดคิ้ว มองดูเรือนร่างเปลือยเปล่าที่แม้แต่กางเกงชั้นในก็ยังหลุดลงมากองที่หัวเข่า ซึ่งจะว่าไปแล้วทั้งหมดนี่ก็เป็นฝีมือของเขาทั้งนั้น ถึงอย่างนั้นใช่ว่าจะพอใจให้คนอื่นมาเห็นฟ่งในสภาพแบบนี้ด้วยเสียหน่อย รูฟัสไม่แน่ใจว่าฟ่งคีย์คำสั่งอะไรลงไปในตอนที่เข้ามา และไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่ที่ห้องนี้จะไปต่อกับห้องอื่น แล้วห้องที่ต่อด้วยจะมีคนอื่นอยู่ไหม เพราะอย่างนั้น จะปล่อยให้ฟ่งเปลือยอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้เด็ดขาด
          “ฟ่งครับ..ผมขอโทษ” รูฟัสพยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน นัยน์ตาสีน้ำตาลที่เปื้อนด้วยคราบน้ำตาและดูหวาดระแวงนั่นมองเขาขืนๆ ลงๆ อีกหลายรอบ หนุ่มตาสองสีพยายามใช้ความอดทนอย่างมากในการเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายยอมไว้ใจเขา
          “ผมจะแกะเชือกที่มัดคุณออก หันหลังสิครับ”
          ดูเหมือนคำพูดประโยคสุดท้ายจะยิ่งทำอีกฝ่ายหวาดระแวงมากขึ้น ฟ่งสั่นศีรษะทันที “คุณจะทำอะไรผมอีก!”
          “ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก..!!”
          ถึงจะพูดแบบนั้น แต่รูฟัสกลับพุ่งเข้าใส่ร่างที่เบียดตัวลีบอยู่กับผนังห้องนั้นอย่างรวดเร็ว ฟ่งเกือบจะอ้าปากร้องออกมาอยู่แล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นเสียก่อน รูฟัสกดร่างของอีกฝ่ายชิดกับผนัง ก่อนจะคว้าปืนยิงสวนออกไป
          “รีบใส่เสื้อเร็วเข้า” ร่างแกร่งกล่าว พลางถอดเสื้อคลุมตัวนอกคลุมร่างที่ยืนอึ้งอยู่ เขาเพิ่งผ่านการโจมตีจากห้องที่เคลื่อนที่ผ่านไป มีคนอยู่ในห้องนั้นและดูจะรู้ด้วยว่าสมควรจะยิงไปที่ไหน รูฟัสนึกสงสัยว่าคนพวกนั้นตามฟ่งมาเพื่อจะฆ่าเขาหรือฟ่งกำลังถูกพวกนั้นไล่ล่ากันแน่
          “แก้เชือกให้ผมก่อน” ฟ่งพูดออกมาในที่สุด รูฟัสหันมามองอย่างนึกขึ้นได้ และรีบแกะเชือกที่ผูกมือของอีกฝ่ายออก
          “ขอโทษนะครับ” ร่างสูงเอ่ยอย่างตั้งใจ ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ และรีบดึงกางเกงชั้นในขึ้นปิดส่วนที่น่าอายนั้นเอาไว้ แต่แทนที่จะรีบใส่เสื้อผ้า เขากลับวิ่งไปที่แผงควบคุมที่อยู่อีกฟากหนึ่งโดยมีแค่เสื้อกาวน์ที่รูฟัสถอดให้คลุมตัวอยู่ หนุ่มสวมแว่นยกมือขึ้นกดปุ่มอีกหลายปุ่มบนนั้น
          “เรากำลังจะถึงอีกห้องหนึ่งแล้ว” ฟ่งพูด และชี้มือไปที่กองเสื้อกลางห้อง “หยิบเสื้อให้ผมที”
          รูฟัสมองหน้าฟ่งอย่างงงงั้น แต่ก็ก้มลงหยิบเสื้อให้อย่างว่าง่าย แทบจะพร้อมกัน ห้องอีกห้องประกบเข้ามาตรงประตูพอดี ฟ่งกระโดดเข้าไปในห้องนั้น พร้อมกับคว้ามือของรูฟัสไว้
          “เร็ว!!” ร่างบางเร่ง หนุ่มตาสองสีกระโดดตามไป ฟ่งวิ่งไปกดปุ่มที่อยู่อีกฟากอย่างรวดเร็ว แล้วห้องทั้งสองก็เคลื่อนออกจากกัน
          “คุณทำให้ผมทึ่ง” รูฟัสกล่าวออกมา เขากำลังมองดูแผ่นหลังโล่งๆ และก้นซึ่งมีแค่ชั้นในบังอยู่ ดูฟ่งจะสนใจปิดบังด้านหน้าที่หันเข้าหาผนังจนลืมด้านหลังไปเลย
          “แต่คุณทำให้ผมท้อมาก” ฟ่งหันมากล่าวด้วยสีหน้าหงุดหงิด รูฟัสหัวเราะแหะๆ เขาดีใจที่ฟ่งหยุดร้องไห้ แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาอะไรต่ออีก ฟ่งคว้าเสื้อจากมือของเขาและรีบสวมกลับเข้าไปเหมือนเดิม ก่อนจะก้าวพรวดๆ มาและเตะเข้าที่หน้าแข้งของรูฟัสเต็มแรง
          “โอ๊ย!!” รูฟัสร้อง ไม่ใช่เพราะเจ็บจากแรงเตะ หน้าแข้งของเขาสวมสนับที่ทำจากวัสดุยืดหยุ่นที่รองรับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี ต่อให้ฟ่งเตะแรงกกว่านี้เขาก็คงไม่รู้สึกมากนัก แต่ที่ร้องออกไปเพราะตกใจที่อีกฝ่ายเตะมาต่างหาก
          “ผมอยากจะเตะคุณให้ขาหักจริงๆ” ฟ่งว่า แต่ก็หยุดเตะเมื่อเห็นว่ารูฟัสร้องออกมาแบบนั้น เขาไม่ได้คิดจะทำอย่างที่พูดจริงๆ ก็แค่ระบายอารมณ์จากเรื่องที่ถูกกระทำเมื่อครู่
          “คุณใช้อะไรคิดว่าผมซ่อนของเอาไว้ตรงนั้น!!!” ร่างบางถามคำถามถึงสิ่งที่รูฟัสทำให้เขาอับอายและโมโหอย่างที่สุด รูฟัสยกมือขึ้นเกาศีรษะ
          “ก็คุณทำให้ผมคิดแบบนั้นนี่ จู่ๆ คุณก็โผล่มา แถมใส่ชุดแบบนี้ เป็นใครก็คงคิดเหมือนผมนี่แหละ”
          “จะบ้าเรอะ!!!” ฟ่งโพล่งออกมา และพูดต่อ “ไม่มีคนปกติคนไหนเขาคิดแบบคุณหรอก คุณเคยซ่อนอะไรเอาไว้ตรงนั้นมาก่อนหรือไง?!!”
          พอพูดถึงตรงนี้ ฟ่งก็อดตกใจไม่ได้ หรือรูฟัสเองก็เคยถูกใครค้นตรงนั้นด้วย รูฟัสมีสีหน้าเหมือนถูกยัดขยะเข้าไปในปาก
          “ผมไม่เคยหรอก แต่ผมเคยเจอคนที่ซ่อนเครื่องดังฟังเอาไว้ตรงนั้น”
          “นี่คุณเป็นนักล้วงก้นคนอื่นเหรอ?!!” ฟ่งอุทาน รูฟัสแทบครางออกมา
          “ฟ่งครับ..คุณไม่เคยดูข่าวหรือ พวกขนยาเสพติดยังซ่อนเฮโรอีนไว้ตรงนั้นเลย”
          “ผมไม่ใช่พวกค้ายาเสียหน่อย” อีกฝ่ายยังคงเถียง รูฟัสจนปัญญาจะต่อปากต่อคำอีก เขาเปลี่ยนเรื่อง
          “คุณมาอยู่ที่นี่ได้ไง?”
          ฟ่งถลึงตาใส่เขาอีกรอบ “ผมก็มาเพื่อจะช่วยไอ้คนที่ชอบล้วงก้นคนอื่นแบบคุณนั่นแหละ”
          “โธ่..หยุดพูดเรื่องนั้นเถอะครับ ผมขอโทษ” หนุ่มตาสองสีครางออกมา ฟ่งส่งเสียงขึ้นจมูก และหันหน้าไปทางอื่น รูฟัสเอื้อมมือไปดึงร่างนั้นเข้ามาใกล้
          “จะทำอะไรน่ะ?!!” ฟ่งร้องอย่างตระหนกเมื่อร่างถูกกดเข้ากับผนัง รูฟัสยกนิ้วขึ้นแตะปากของเขา และหันมองออกไปด้านนอก
          “คุณไม่ควรยืนตรงกลางห้องแบบนั้นนะครับ อาจจะมีใครยิงเข้ามาก็ได้” หนุ่มตาสองสีกระซิบ หลังจากที่ห้องห้องหนึ่งเคลื่อนผ่านไปแล้ว ฟ่งพยักหน้า
          “ผมรู้ล่ะ…” เขาเว้นระยะไปพักหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองรูฟัสอย่างสงสัย “เราต้องยืนเบียดกันแบบนี้เลยเหรอ?”
          รูฟัสพยักหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ครับ เราต้องอยู่ชิดผนังให้มาก ฝ่ายตรงข้ามจะได้ไม่สังเกตเห็น”
          “อือ” ฟ่งพยักหน้า พยายามดันตัวจนแนบติดผนังอย่างที่บอก รูฟัสยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และเบียดตัวชิดเข้าไปอีก คราวนี่ฟ่งเอะอะขึ้น
          “แบบนี้มันชิดเกินไปรึเปล่า? อ๊ะ!!” ร่างบางอุทานอย่างตระหนก เมื่อขาข้างหนึ่งของรูฟัสเบียดเสียดเข้ามาตรงหว่างขาของเขา ฟ่งเงยหน้ามองรูฟัสอย่างตกใจ “รูฟัส!!”
          “ครับ” อีกฝ่ายตอบคำและเริ่มซุกไซร้ไปตามซอกคอของอีกฝ่าย ฟ่งพยายามจะผลักร่างที่เบียดเข้ามาออก
          “คุณโกหกนี่!! คุณหาเรื่องลวนลามผมชัดๆ”
          “ผมเปล่านะครับ”
          ไม่ทันขาดคำ เสียงปืนก็ดังขึ้นอีกครั้ง ฟ่งเบิ่งนัยน์ตาค้าง เขาเห็นจริงๆ ว่ามีลูกปืนพุ่งเข้ามา เพียงแต่ว่าคราวนี้รูฟัสไม่ได้ชักปืนยิงสวนกลับไป แต่กลับเบียดตัวเข้ามาอีก
          “เห็นไหมล่ะครับ ผมบอกคุณแล้วว่าต้องเบียดแน่นๆ”
          ฟ่งอ้าปากค้าง เสียงกระสุนหยุดลงแล้ว ถึงอย่างนั้นรูฟัสก็ยังคงเบียดกระแซะเข้ามายิ่งกว่าเดิม
          “คุณจะลามกทุกสถานการณ์เลยหรือไง ปล่อยผมนะ ผมต้องเตรียมรหัสเพื่อจะเชื่อมเข้ากับอีกห้องหนึ่งนะ” ฟ่งว่า และพยายามจะผลักร่างที่เบียดเข้ามาออก รูฟัสหัวเราะหึๆ และยินยอมให้อีกฝ่ายได้ออกไปจากอ้อมแขนแต่โดยดี ฟ่งวิ่งไปกดรหัส และหันมามองเขาอย่างไม่ไว้ใจ หนุ่มตาสองสียิ้มกว้าง “ห้องต่อไปให้ผมเบียดนานๆ กว่านี้อีกนะครับ”
          “ไอ้คนลามก” ร่างบางหันมาต่อว่า ก่อนที่ห้องอีกห้องจะเคลื่อนเข้ามาบรรจบกัน
 —————————————-
          “คุณทวีศักดิ์คะ เกิดเรื่องแล้วล่ะค่ะ!!” เสียงออเปอเรเตอร์ที่ทำงานอยู่บนตึกชั้นบนติดต่อผ่านเข้ามายังห้องควบคุมซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้ดิน ทวีศักดิ์กำลังหัวเสียอยู่กับเรื่องลูกชายของเขา ซึ่งจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่สามารถติดต่อได้ ชายวัยห้าสิบเศษกรอกเสียงลงไป
          “มีอะไร?”
          “ตำรวจค่ะ ตำรวจกำลังมาที่นี่ค่ะ ดูเหมือนพวกเขาจะมีหมายค้นด้วยนะคะ”
          ทวีศักดิ์หันไปมองรัตน์ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าซีดเผือด อีกฝ่ายก็มีสีหน้าตื่นตกใจไม่แพ้กัน
          “หรือว่า…เจ้าพวกนั้นจะทำงานให้กับรัฐบาล” ผู้เป็นเจ้าของโรงผลิตยาพึมพำขึ้น ร่างของเขายิ่งเหมือนลูกบอลที่ถูกปล่อยลมจนลีบ ทวีศักดิ์ห่อตัวอย่างหดหู่ ขณะที่รัตน์ได้สติและพูดขึ้นก่อน
          “อาจจะไม่ได้เลวร้ายแบบนั้นก็ได้ คุณต้องตั้งสติ คุณทวีศักดิ์ คุณผ่านเรื่องพวกนี้มามากแล้วไม่ใช่หรือไง?”
          ทวีศักดิ์มองดูคนสนิทของเขา ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ถูกของเธอ ฉันผ่านเรื่องพวกนี้มามาก.. รีบตามหาวินให้ฉันเถอะ ฉันคงต้องขึ้นไปดูว่าตำรวจพวกนั้นมาเพราะอะไรกันแน่”
 —————————————-
** ชวนคนอ่านคุยบ้างดีกว่า เผื่อจะได้คอมเม้นต์ยาวขึ้น (เริ่มว่างค่ะ อยากอ่านคอมเม้นต์บ้างอะไรบ้าง ฮ่าๆ<<โดนเตะ :z6: ว่างก็เขียนตอนใหม่ของเรื่องอื่นมาสิยะ!!!<<ฮื้ออออ :sad4:)

ที่จริงแล้วนับกันในบรรดาเมะที่ฉันเขียนมาทั้งหมดจนถึงตอนนี้ รูฟัสเป็นเมะที่ฉันชอบมากเลยล่ะค่ะ (และเป็นเมะตัวแรกที่เขียนด้วย) แบบว่า หมอนี่มันมีทุกด้านจริงๆ และที่สำคัญ กะล่อนสุดๆ (แต่ก็รักจริงนะคะ ฮ่าๆๆๆ<<ถ้าเรื่องไม่เขียนเทข้างด้านรูฟัสขนาดนี้ มีหวังหมอนี่ได้กลายเป็นพระเอกที่น่าถีบอันดับหนึ่งแน่ๆ)

ที่จริงอยากจัดโหวตเคะและเมะยอดนิยมในเรื่องนี้ด้วย เพราะมีตั้งสี่คู่ อยากรู้จริง ใครจะได้อันดับ1 (เคะอันดับหนึ่งของเราในเรื่องนี้คือเว่ยจินหยินค่ะ เพราะ"เลวบริสุทธิ์"จริงๆ =[]=) แต่เห็นว่าเรื่องยังไม่จบ เดี๋ยวไว้ทุกปัญหาเคลียร์แล้ว ค่อยมาทำโพลดีกว่า อิอิ

ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ^^ (เราขอคารวะท่านทุกคนที่ติดตามอ่านเรื่องยาวสุดๆ เรื่องนี้ค่ะ) :L2:

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด