[ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ท่านผู้อ่านชอบตัวละครใดมากที่สุด ในเรื่อง"คนข้างห้องผมเป็นสายลับ" (อนุญาตให้เลือกได้แ

หนูฟ่ง : แน่นอนอะ กระรอกน้อยช่างน่ารัก และน่าเหยียบ ในเวลาเดียวกันo_O
รูฟัส : สุดๆ อะ พระเอกอะไรไม่รู้ว มันน่ารัก น่าหยิกแก้มจริงๆ นะเนี่ย (ทั้งกะล่อน ตอแหล หื่น รวมอยู่ในคนคนเดียว!!)
เว่ยเฟิงปิง : เอะอะสะบัดบ๊อบตลอดค่ะ (ไม่มีก็ไว้ซะนะคะ เฟิงขา)
จางซื่อเยี่ยน : ถึงจืดถึงจาง.. ถึงจะซื่อจะบื้อ... แต่ก็รักนะ รักหน่อยเหอะน้า~
อิทธิเดช : หนุ่มหน้าสวย บทไม่มาก (เพราะคนเขียนไม่อวย<<อ้าว) แอบโรคจิตนิดๆ แต่ก็น่าถนอม
วรุต : หนุ่มน้อยหน้ามน โรคจิตไม่แพ้กัน (จับคู่กับอิทธิเดชเลยได้คู่จิตป่วนแห่งปีไป) เอาน่า น้องวรุตก็มีส่วนน่ารักน่าเอ็นดูนะ!!
เว่ยจินหยิน : อวย!! อันนี้คนเขียนอวยค่ะ ฮ่าๆ ไม่รู้จะจิ้มใคร จิ้มให้คุณชายจิ้งจอกสุดที่Loveของดั้นสิฮ้า (โดนคนอ่านถีบ)
เถียนซาน : ผู้ชายแสนอบอุ่น... (คนนี้ไม่ได้อวย แต่เป็นคนอวยคนด้านบนอีกทีนึง..... เอวัง)

ผู้เขียน หัวข้อ: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55  (อ่าน 247469 ครั้ง)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ระหว่างที่ฟ่งกับเกรเกอรีกำลังเดินชมพระราชวังกันอย่างเบิกบาน รูฟัสกำลังนั่งปวดหัวอยู่กับเด็กน้อยเจ้าปัญหา เขากำลังเดินตามฟ่งอย่างสบายอารมณ์อยู่ดีๆ เจ้าหนูนี่ก็ดันมาสะดุดหกล้มตรงหน้าเขา พอเขานั่งลงจะปลอบ พ่อหนูก็เอาแต่ร้องไห้ ชี้ไอศกรีมที่หล่นเละอยู่บนพื้น รูฟัสปลอบอยู่นานก็ดูจะไม่เข้าใจ บอกแต่ว่า ถ้าไม่เอาไปให้เกรเกอรีแล้วเกรเกอรีจะไม่เล่นด้วย ทำเอาชายหนุ่มปวดหัวอยู่หลายตลบ ขนาดตัวเขาเห็นพ่อแม่ตายไปตั้งแต่เด็ก ยังไม่เคยร้องไห้โยเยขนาดนี้เลย
“เอาล่ะ พ่อหนุ่มน้อย” รูฟัสพูดหลังจากบอกกับฟ่งให้ไปกับเด็กอีกคนซึ่งอาสามาเป็นไกด์ให้แล้ว “ฉันไม่รู้ว่าเกรเกอรีเป็นคนยังไง แต่เขาต้องไม่ภูมิใจแน่ๆ ที่มีเพื่อนขี้แยอย่างเธอ”
เด็กน้อยร้องไห้หนักกว่าเดิม คนที่เดินผ่าน ต่างเริ่มหันมามองเขาอย่างตำหนิ รูฟัสยกมือขึ้นเกาศีรษะ พยายามปั้นสีหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนอย่างที่สุด
“โอ๋ๆ พ่อคนดี พี่ขอโทษแล้วกันที่ทำไอศกรีมเธอหล่น ไหนบอกมาซิจะให้พี่ทำยังไง”
“ผมต้องไปซื้อใหม่” เจ้าหนูน้อยพูดทั้งน้ำตา “คิวยาวมากเลย ถ้าผมไปช้า เกรเกอรีต้องโกรธผมแน่”
รูฟัสรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจ “สรุปว่า ที่เธอร้องไห้เพราะกลัวจะเอาไอศกรีมไปให้เพื่อนช้า แต่เธอมัวแต่ร้องแบบนี้ มันก็ช้าเหมือนกันนั่นแหละ เพราะฉะนั้นหยุดร้อง แล้วไปกับพี่ เราจะได้ไปซื้อไอศกรีมใหม่ให้เกรเกอรี ก่อนที่เขาจะโมโหเธอไปมากกว่านี้ เข้าใจมั้ย?”    โชคดีที่เด็กน้อยพยักหน้าในที่สุด ไม่อย่างนั้นรูฟัสคงต้องเล่นบทโหด อุ้มเด็กพาดไหล่ไปซื้อไอศกรีมกันบ้าง
ร้านไอศกรีมอยู่นอกวัง รูฟัสจึงต้องจูงมือหนูน้อยกลับออกไป ระหว่างทางจึงถือโอกาสชะเง้อมองหาว่าฟ่งไปเที่ยวถึงไหน หวังว่าเจ้าเด็กนั่นคงไม่พาไปเจอคนแปลกๆ เข้าหรอกนะ
ระหว่างที่กำลังนึกว่าคงไม่มีอะไรบ้าบอเกิดขึ้นในที่สาธารณะที่มีคนเดินพลุกพล่าน คนที่เขากำลังมองหาก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“รูฟัส แย่แล้ว” สีหน้าแตกตื่นของฟ่งพลอยทำให้รูฟัสตกใจไปด้วย “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ คุณถูกจับก้น?”
ฟ่งอยากจะเงื้อเท้าถีบรูฟัสสักที แต่นี่ไม่ใช่เวลาทำเรื่องแบบนั้น
“เด็ก เด็กที่ไปกับผมน่ะ” ชายหนุ่มพูดกระหืดกระหอบแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์ รูฟัสถามย้ำ“เด็ก เด็กทำไมหรือครับ?”
ชายหนุ่มพยายามสะกดอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน และปรับลมหายใจให้เข้าที่ ก่อนจะพูดต่อ “เด็ก เด็กที่ไปกับผมน่ะ เขาถูกจับตัวไป!”
“แค่นั้นนะครับ? คุณไม่ได้ถูกทำอะไรใช่ไหม?”
   “อือ ทำไมคุณดูไม่ตกใจเลย” ฟ่งอดถามไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าโล่งใจของรูฟัส
“ก็คุณไม่โดนทำอะไรนี่ครับ” หนุ่มตาสองสีตอบ เขายกมือขึ้นขยับแว่นตาสีชาให้เข้าที่ ฟ่งนิ่วหน้าและพูดต่อ
 “ผมโดนเอามีดจี้”
คราวนี้คิ้วคู่งามบนใบหน้าคมสันขมวดเข้าหากันทันที “พวกมันไปทางไหนครับ?”
ฟ่งชี้มือไปที่ประตูทางเข้า ก่อนจะอ้าปากค้างเมื่อเห็นรูฟัสเดินจ้ำๆ ออกไป
“ไอศกรีมผมล่ะ” เด็กน้อยผมสีน้ำตาลอ่อนร้อง และเอามือรั้งชายเสื้อโค้ทรูฟัสเอาไว้ หนุ่มตาสองสีเหลียวกลับมามองแวบหนึ่ง
 “เดี๋ยวซื้อกลับมาให้แล้วกัน” เขาตอบเสียงห้วน สีหน้าดูโมโหสุดๆ ก่อนจะสะบัดตัวเดินออกไปจนเด็กน้อยเกือบหน้าคะมำ ดีที่ฟ่งคว้าตัวไว้ทัน
 “รูฟัส คุณจะไปไหนน่ะ” ฟ่งร้องถาม ขณะกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมา หนุ่มตาสองสีตอบโดยไม่หันมามอง
“ก็จะไปอัดพวกมันไงครับ ให้รู้ว่าอย่ามายุ่งกับแฟนผม”
ฟ่งอ้าปากค้าง พะงาบๆ กินอากาศอยู่หลายวินาที กว่าจะพูดออกมาได้ “เราต้องไปแจ้งตำรวจนะ”
“ตำรวจที่นี่ช่วยอะไรไม่ได้หรอกครับ” รูฟัสว่า พลางเขม่นมองผ่านซุ้มโค้งของประตูออกไปทางเดินเชื่อมถนนด้านนอก
“พวกนั้นรึเปล่า?” เขาชี้มือไปยังกลุ่มชายสามคนที่จูงเด็กผู้ชายผมสีบลอนด์น้ำตาลอยู่ ฟ่งพยักหน้า ขณะที่ชายสามคนนั้นพาตัวเกรเกอรีเขาไปในรถเก๋งตอนยาวสีดำสนิทที่จอดรออยู่
“นั่นเกรเกอรีนี่นา” เด็กน้อยผมสีน้ำตาลร้องขึ้นและชี้มือออกไป คิ้วของรูฟัสขมวดเข้าหากัน
“เด็กที่ถูกจับตัวไปนั่นเพื่อนเธอรึ?”
เด็กน้อยพยักหน้า ก่อนจะพูดทวนคำ “จับตัว?”
รูฟัสหรี่ตาอย่างชั่งใจในสถานการณ์ที่เวลามีจำกัด เขาหันไปพูดกับฟ่ง
“ฟ่งครับ เอาเจ้าเด็กนี่ไปสถานีตำรวจ หรือพาไปแจ้งหายกับเจ้าหน้าที่ขายตั๋วก็ได้ แล้วคุณจะเดินดูอะไรที่นี่ไปพลางๆ หรือจะกลับโรงแรม ผมจะอัดพวกมันเผื่อคุณให้หนักๆ เลย”
ฟ่งยืนฟังด้วยความงุนงง ยังไม่ทันอ้าปากพูดอะไร รูฟัสก็ยกมือขึ้นโบกรถแท็กซี่และกระโดดเข้าไป
“ตามไอ้รถสีดำคันนั้นไปเลยครับ” เขาว่า ก่อนจะขมวดคิ้ว เมื่อฟ่งเปิดประตูรถ และมุดตามเข้ามาด้วย แต่ยังไม่ทันที่หนุ่มสวมแว่นจะเอื้อมมือไปปิดประตู เจ้าเด็กจอมยุ่งก็มุดตามเข้ามา ฟ่งปิดประตูทันที แทบจะพร้อมๆ กับรถแท็กซี่ที่แล่นพุ่งทะยานออกไป
คราวนี้รูฟัสเป็นฝ่ายพูดไม่ออกบ้าง
“คุณจะทำอะไรของคุณน่ะ!” ฟ่งพูดอย่างเอาเรื่อง ขณะที่รูฟัสกะพริบตาปริบๆ อยู่หลังแว่น
“ก็พวกมันเอามีดจี้คุณนี่ จะให้ผมอยู่เฉยๆ ได้ไงล่ะ” รูฟัสพูด ฟ่งเกือบจะพูดไม่ออก หมอนี่ใช้เหตุผลแค่นี้ไล่ตามพวกนั้นหรือนี่
“’งั้นผมจะไปกับคุณด้วย เราจะไปช่วยเกรเกอรีกัน” ชายหนุ่มว่า อีกฝ่ายพูดตอบเขาทันที
 “ไม่ครับ ผมจะไปอัดพวกนั้นแทนคุณ ส่วนเด็กนั่น ปล่อยให้พ่อแม่เขาจัดการแล้วกัน” รูฟัสตอบหน้าตาเฉย ฟ่งนั่งอ้าปากค้าง ขณะที่รถเร่งความเร็วเพื่อตามรถคันข้างหน้า รูฟัสดึงเข็มขัดนิรภัยขึ้นมาคาด ก่อนจะพูดต่อ
“ที่นี่รัสเซียนะครับ คุณไม่รู้หรอกว่าพ่อแม่เด็กนั่นไปทำอะไรไว้ให้ใครเขาแค้นบ้าง ผมแค่จะตามไปสั่งสอนเจ้าพวกนั้นเพราะมันเอามีดจี้คุณ ส่วนเด็กคนนั้น เราก็ต้องปล่อยให้พ่อแม่เขามาจัดการเอาเอง ผมไม่ได้มีหน้าที่ยุ่งเรื่องชาวบ้านนี่”
คิ้วของฟ่งขมวดเข้าหากันจนยุ่ง นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องดูรูฟัสเขม็ง จนคนถูกจ้องรู้สึกไม่สบายใจ
“ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะใจจืดใจดำขนาดนี้ ผมหลงคบกับคุณมาได้ยังไงเนี่ย”
รูฟัสทำหน้าเหมือนคนถูกยิงระยะประชิด ละล่ำละลักพูดออกมา “โธ่ ฟ่งครับ ผมไม่ใช่ซูเปอร์แมนนะครับ จะได้เที่ยวช่วยคนนั้นคนนี้ไปทั่ว”
ฟ่งตีสีหน้าบูดบึ้ง “คุณไม่ช่วยก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมทำเองก็ได้” เขาว่า รูฟัสทำหน้าเหมือนโลกจะแตก
“โธ่…..” ชายหนุ่มคราง นึกรันทดชีวิตขึ้นมาทันที
“ตกลงครับ ผมช่วยเด็กนั่นด้วยก็ได้ คุณรัดเข็มขัดให้เรียบร้อยก่อนนะครับ”
คราวนี้ฟ่งยิ้มอย่างดีใจทันที “ผมรู้ว่าคุณเป็นคนดี”
รูฟัสได้แต่ฝืนยิ้มแกนๆ เขาหันไปคุยกับคนขับรถ ขณะที่ฟ่งรัดเข็มขัด โดยไม่ลืมขยับตัวของเอ็ดการ์ดขึ้นมานั่งบนตัก
---------------------------------------------------
“เขาพูดกันว่า พวกที่จับตัวเกรเกอรีไปเป็นพวกแก๊งวันเสาร์ล่ะฮะ” เอ็ดการ์ดพูด ขณะที่รูฟัสยังคงคุยง่วนอยู่กับคนขับรถ ซึ่งวิ่งไล่รถเก๋งสีดำนั้นอยู่ในระยะที่ไกลพอจะไม่ทำให้ฝ่ายนั้นรู้สึกผิดปกติ ฟ่งเพิ่งสังเกตเห็นว่าเหมือนจะเป็นคนขับคันเดียวกับที่ขับมาส่งเขาที่โรงแรมเมื่อวาน  เขาก้มลงมองเอ็ดการ์ดซึ่งหันหน้ามาพูดด้วย
“แก๊งวันเสาร์คืออะไรหรือ?” ฟ่งถาม เด็กน้อยอธิบายต่อ
“เป็นแก๊งอันธพาลที่รวมตัวกันทุกวันเสาร์น่ะฮะ เลยเรียกกันว่าแก๊งวันเสาร์” เด็กน้อยเงียบไปอีก เหมือนจะตั้งใจฟังสิ่งที่รูฟัสกับคนขับรถคุยกันอยู่
“เห็นว่าพวกแก๊งนี้จะจับตัวเกรเกอรีไปขู่คุณพ่อของเขาน่ะฮะ พรุ่งนี้จะประชุมสภา พ่อของเกรเกอรีเป็นสมาชิกวุฒิสภา”
เอ็ดการ์ดพูดก่อนจะเหลือบตาไปมองรูฟัสอีกครั้งสองครั้ง และหันมากอดแขนฟ่ง
“ผมกลัวพี่ชายคนนั้นจัง เขามองเหมือนจะกินผมเลย” เด็กน้อยร้องอย่างประหม่า ฟ่งเลยมองไปที่รูฟัส ซึ่งหันหน้ากลับไปคุยกับคนขับแล้ว หนุ่มสวมแว่นจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะหนูน้อยเป็นเชิงปลอบ
“ไม่เป็นไรหรอก พี่เขาเป็นคนดี เชื่อสิ”
ฟ่งพูด พลางยิ้มอ่อนโยน ถ้าเงยหน้าขึ้นมาตอนนั้น คงได้เห็นรอยยิ้มดีอกดีใจอย่างเงียบๆ ของรูฟัส
“เราจะไปช่วยเกรเกอรี่กันใช่ไหมฮะ?” เอ็ดการ์ดถามต่อ ฟ่งพยักหน้า แล้วเสียงรูฟัสก็ดังขึ้น
“เอาล่ะ พ่อหนูน้อย” รูฟัสตั้งใจจะพูดภาษารัสเซียเพื่อคุยกับเอ็ดการ์ดโดยตรง ขณะที่รถจอดติดไฟแดงอยู่ที่แยกระหว่างถนนMokhovaya กับถนนTverskaya ดูเหมือนรถเก๋งสีดำคันนั้นจะยังไม่ทันสังเกตว่ามีคนตามมา เนื่องจากมีรถในบริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก
“เธอกับเกรเกอรีออกไปที่เครมลินได้ยังไง พ่อของเขาสั่งให้เขาอยู่แต่ในบ้านไม่ใช่หรือ?”
เอ็ดการ์ดพยักหน้า และพูดตอบ “เกรเกอรีหนีออกมาน่ะฮะ เห็นบอกว่าอยู่ในบ้านอึดอัด เขาเลยโทรมาชวนผม แล้วบอกว่ามาที่เครมลินไม่เป็นไรหรอก คนก็เยอะ ใครจะกล้าทำอะไร ผมก็เลยมากับเขา”
รูฟัสทำหน้าเหนื่อยอกเหนื่อยใจ แต่ก็ไม่ได้สอบสวนอะไรมากกว่านั้น เขาเงยหน้าขึ้นมามองฟ่งและถามคำถามกับหนุ่มสวมแว่นต่อ
“คนที่เอามีดจี้คุณลักษณะยังไงครับ”
ฟ่งพยายามระลึกความทรงจำ “อืม....เหมือนจะเป็นผู้ชายอายุสักสามสิบกว่าๆ ได้มั้ง ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะเขาไว้หนวด อ้อใช่ๆ ผมเขาสีบลอนด์สว่างน่ะ หนวดก็เลยพลอยสีนั้นไปด้วย ผมยังคิดเลยว่าเพราะสีอย่างนั้นเลยทำให้เขาไม่ดูแก่เท่าไหร่ เขาใส่เสื้อสเวตเตอร์สีเทาตุ่นๆ มั้งครับ ท่าทางเจ้าเล่ห์หน่อยๆ อ้อ ยังมีอีกคนนะ คนนี้ตัวใหญ่กว่า อายุไม่แก่กว่าก็คงพอๆ กันล่ะมั้งครับ เขาไว้หนวดน่าเกลียดกว่าคนแรกที่ผมพูดถึง เหมือนสีดำดำออกน้ำตาลนะ อ้อ ผมเขาบางมากด้วยล่ะ”
“แล้วคนที่จับตัวเด็กไปล่ะ?” รูฟัสถามต่อ ฟ่งขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด “คนนี้ผมมองไม่เห็นหน้าน่ะ เห็นแต่ด้านหลัง ใส่เสื้อสเวตเตอร์สีน้ำตาลแก่ล่ะมั้ง ส่วนสีผม..อืม ไม่แน่ใจว่าสีดำหรือสีน้ำตาลนะ”
“แค่นี้ใช่ไหมครับ” หนุ่มตาสองสีถามย้ำ ฟ่งพยักหน้า เขาจึงยิ้มให้ฟ่งหน่อยหนึ่งและหันไปคุยกับคนขับต่อ
“พี่ชายกำลังถามเรื่องผู้ชายสามคนน่ะฮะ” เอ็ดการ์ดกระซิบ “พี่เห็นคนที่จับเกรเกอรีไปหรือฮะ?”
ฟ่งพยักหน้า เด็กน้อยจึงถามต่อ “แล้วทำไมพี่ไม่ช่วยเกรเกอรี่เอาไว้ฮะ?”
ฟ่งถึงกับอึ้งไปเลย เขามองดูดวงตาสีฟ้าอ่อนที่มองมาอย่างไร้เดียงสาแล้วอดรู้สึกสมเพชตัวเองไม่ได้ ตอนที่เห็นว่าเด็กโดนจับ เขาได้แต่ยืนตัวแข็งด้วยความกลัวเท่านั้นเอง
“เพราะพี่เขาก็จะถูกจับไปเหมือนกันน่ะสิ” รูฟัสหันมาตอบแทนให้ จงใจจะใช้ภาษาอังกฤษเพื่อให้ฟ่งเข้าใจด้วย “ถ้าเขาถูกจับไปพร้อมเกรเกอรี แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเกรเกอรีถูกจับไปที่ไหน เธอต้องขอบคุณที่เขารอดมาบอกเราได้ถึงจะถูก”
เอ็ดการ์ดฟังอย่างงงๆ แต่ก็พยักหน้ารับในที่สุด ฟ่งรู้สึกกระดากมากจริงๆ รูฟัสเลยหันมาพูดกับเขาต่อ “อย่าคิดมากนะครับ เด็กพวกนี้ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก ที่คุณทำน่ะถูกแล้วล่ะ”
ฟ่งได้แต่ยิ้มขืนๆ รูฟัสช่วยเขาอีกแล้ว ทั้งๆ ที่เขาเองก็ปล่อยให้เกรเกอรีถูกจับไปต่อหน้า ยังจะไปว่ารูฟัสใจจืดใจดำอีก เขานี่แย่จริงๆ
“พี่ฮะ ผมขอโทษนะฮะ แล้วก็ ขอบคุณนะฮะ” เอ็ดการ์ดหันมาพูดอย่างว่าง่าย ฟ่งไม่รู้จะตอบอะไรเลยได้แต่ยิ้มออกไป
 
“ว่าแต่ทำไมพวกเธอพูดภาษาอังกฤษคล่องจัง” ฟ่งเอ่ยถามขณะที่รถทะยานตัวออกเมื่อสัญญาณไฟเขียวติดขึ้น รูฟัสบอกเขาว่าคนรัสเซียไม่ค่อยนิยมพูดภาษาอังกฤษนัก ซึ่งก็จริงตามนั้น เพราะตั้งแต่มานอกจากพนักงานโรงแรมแล้ว เขายังไม่ได้ยินใครพูดภาษาอังกฤษเลย เอ็ดการ์ดช้อนนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนมองเขา “แม่ของเกรเกอรีสอนฮะ เธอเป็นคนอเมริกัน แต่ใจดีแล้วก็สุภาพมากเลยนะฮะ”
“อ้อ...มิน่าล่ะ มีเมียเป็นอเมริกันนี่เอง” รูฟัสซึ่งเอนหลังกลับมาพิงเบาะพึมพำขึ้นเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ
“ฟ่งครับ พ่อของเด็กที่ถูกจับไปน่ะ เป็นสมาชิกวุฒิสภาที่ต่อสู้เรื่องกฎหมายเสรีภาพตัวเอ้เลยล่ะ เห็นว่าพรุ่งนี้จะมีประชุมสภา แล้วเขาจะเสนอร่างกฎหมายนี้ พวกที่จับตัวเด็กไปคงหวังจะข่มขู่ให้เขาถอนยติออก เพื่อจะลดความน่าเชื่อถือล่ะมั้ง เห็นว่ามีคนสนับสนุนเขาเยอะเสียด้วย”
“คุณว่าตอนนี้พ่อเขารู้หรือยัง?” ฟ่งถาม รูฟัสสั่นศีรษะ “คงยังไม่รู้หรอกครับ น่าจะประชุมอยู่กับทีมงานเพื่อเตรียมยติพรุ่งนี้ อีกอย่างเขาคงไม่คิดหรอกว่าลูกชายจะหนีออกมา ตลกดีเหมือนกัน พ่อต่อสู้เรื่องเสรีภาพ แต่ต้องขังลูกชายเอาไว้ในบ้าน พระเจ้านี่ตลกร้ายจริงๆ”
รูฟัสพูดด้วยสีหน้าที่ไม่รู้ว่าอยากจะให้ขำหรืออะไรกันแน่ ฟ่งจึงได้แต่พยักหน้าหงึกๆ เขารู้สึกสะเทือนใจกับสิ่งที่รูฟัสพูด
คนที่ทำเพื่อคนอื่น โดยที่ต้องทำให้คนใกล้ตัวเดือดร้อนนี่ เรียกว่าเป็นคนดีได้เต็มปากเต็มคำรึเปล่านะ ก็คงจะดีนั่นแหละ แต่ก็น่าสงสารคนอยู่ใกล้ๆ
ฟ่งหันไปมองรูฟัส ซึ่งตอนนี้ขยับตัวไปมองกระจกคนขับอีกรอบ เขาพูดแรงไปรึเปล่าที่บอกว่ารูฟัสใจดำ ที่รูฟัสพูดมาก็ถูก เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาเลย นี่เขากำลังให้รูฟัสไปเสี่ยงเพราะความรั้นของตัวเองเฉยๆ รึเปล่า
หนุ่มสวมแว่นเอื้อมมือไปดึงเสื้อโค้ทของอีกฝ่าย รูฟัสหันหน้ากลับมามองเขา ฟ่งช้อนนัยน์ตาขึ้นมองใบหน้าคมเข้มที่คลี่ยิ้มอ่อนโยนให้เขาแล้วรู้สึกสะทกสะท้อน ทั้งๆ ที่รูฟัสดีกับเขามาตลอดแท้ๆ เขากลับพูดจาทำร้ายจิตใจของทางนั้นไปไม่รู้กี่ครั้ง
“ผมขอโทษนะ” ฟ่งพึมพำออกไป รูฟัสหยุดยิ้มและขยับเข้ามาใกล้ “ว่าอะไรนะครับ”
“ผมขอโทษ ที่พูดว่าคุณใจดำ”
รูฟัสยิ้มละไม “ไม่เป็นไรหรอกครับ”
แม้ฟ่งจะพูดจาทำร้ายจิตใจเขาบ่อยครั้ง แต่เจ้าตัวก็มีส่วนน่ารักตรงนี้แหละ ขณะที่รูฟัสกำลังมีความสุขกับคำพูดนั้น ฟ่งก็พูดขึ้นต่อ
“ผมจะไปช่วยเกรเกอรีกับคุณ”
--------------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
รถเก๋งสีดำวิ่งเข้าถนนTverskaya และขับต่อไปเรื่อยๆ เหมือนจะเป็นความโชคดีปนกับความโชคร้าย เพราะรถจำนวนมากที่ทำให้คนขับรถเก๋งคันนั้นไม่สังเกตว่ามีคนตามมาแล้ว ไอ้รถจำนวนเยอะขนาดนี้แหละยิ่งทำให้คลาดสายตาได้ง่ายขึ้น แต่คนขับแท็กซี่ก็เก่งสมกับทำอาชีพนี้ สามารถขับแซงรถคันแล้วคันเล่าและตามรถคันนั้นในระยะที่ไม่เป็นที่สังเกตมากนัก
รถทั้งสองคันวิ่งหลบรถตามถนนเส้นใหญ่ไปเรื่อยๆ เนื่องจากมีสี่แยกเป็นระยะๆ การติดตามจึงยังไม่เข้าข่ายการไล่ตามมากนัก รถเก๋งสีดำคันนั้นยังคงขับด้วยความเร็วปกติ ทำเอาฟ่งอดพูดออกมาไม่ได้
“พวกนั้นดูใจเย็นจัง”
“เป็นผมผมก็คงไม่รีบหรอกครับ ทำตัวลนลานมันสังเกตได้ง่าย อีกอย่างเขาคงยังไม่รู้หรืออาจจะไม่แน่ใจว่ามีใครตามมาหรือเปล่า?”
ฟ่งพยักหน้า และพูดต่อ “นี่รูฟัส ที่นี่น่ะ เค้าลักพาตัวกันกลางที่สาธารณะแบบนี้เลยเหรอ?” หนุ่มสวมแว่นพูดด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ เขาเคยโดนลักพาตัวก็จริง แต่ตอนนั้นพวกเว่ยเฟิงปิงไปดักรอเขาถึงที่คอนโด ไม่ใช่โผล่มาจับกันกลางฝูงคนแบบนี้
“ก็ไม่เสมอไปหรอกครับ มันขึ้นอยู่กับว่าพวกนั้นมีใครหนุนหลังด้วยน่ะ อีกอย่าง เขาคงเห็นว่าคุณเป็นแค่นักท่องเที่ยว ไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนอยากยุ่งวุ่นวายระหว่างมาเที่ยวหรอกครับ อย่างดีคุณก็คงได้แต่ไปแจ้งตำรวจ ซึ่งก็คงให้รายละเอียดอะไรได้ไม่มาก”
ฟ่งพยักหน้าหงึกหงัก รู้สึกสงสารเด็กน้อยคนนั้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“คุณว่าเกรเกอรีจะถูกพวกนั้นทำอะไรมั้ย?”
หนุ่มตาสองสีคลี่ยิ้มอ่อนโยน “โดยหลักแล้วตัวประกันจะต้องปลอดภัยนะครับ เพราะถือเป็นข้อต่อรอง”
“อืม” ฟ่งพยักหน้าอีกครั้ง และนึกว่ารูฟัสเคยจับตัวประกันบ้างรึเปล่า แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะรู้หรอก
 
พวกเขาตามรถคันนั้นจนผ่านบริวเณที่เป็นแฟลตเก่าซึ่งเป็นอารยะธรรมที่หลงเหลือมาจากสมัยสังคมนิยม รูฟัสอธิบายว่าสมัยก่อนประชาชนทั่วไปจะอาศัยอยู่ในแฟลต ซึ่งแบ่งไว้เป็นห้องๆ และสมัยนี้ก็ยังนิยมอยู่ในแฟลตกันอยู่ เพราะราคาบ้านนั้นสูงลิบลิ่ว
แฟลตสูงหลายหลังรายล้อมอยู่สองข้างถนน เอ็ดการ์ดที่เงียบไปพักใหญ่เพราะพยายามจะชะเง้อมองด้านข้าง พูดขึ้นอีกครั้ง
“ผมไม่เคยออกจากบ้านไกลขนาดนี้เลย” เด็กน้อยพูด และเริ่มทำปากแบะ “เกรเกอรีจะเป็นอะไรรึเปล่าฮะ เราจะช่วยเขาได้จริงๆ ใช่ไหมฮะ?” หนูน้อยถามอย่างไร้เดียงสา ฟ่งยกมือขึ้นลูบศีรษะอย่างปลอบประโลม ก่อนจะยิ้มบางๆ
“ช่วยได้สิ ต้องช่วยได้แน่นอนเลย”
ฟ่งว่า แต่ในใจกลับรู้สึกหวั่นไหวอยู่ลึกๆ เขารู้ว่ารูฟัสทำงานด้านนี้ และก็เก่งพอตัว แต่ฟ่งมีลางสังหรณ์ว่าพวกนั้นจะไม่ได้มีกันแค่สามคน แล้วรูฟัสคนเดียวจะเอาอยู่หรือ ฟ่งหันไปมองหน้ารูฟัส หนุ่มนัยน์ตาสองสีคลี่ยิ้มให้เขา
“ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ผมรับรองว่าจะไม่ทำอะไรเสี่ยงๆ”
ฟ่งพยักหน้าหงึกหงัก เขามองหน้ารูฟัสอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะกลับไปให้ความสนใจกับทางที่รถกำลังวิ่งอยู่
 
รูฟัสทอดถอนใจอยู่ลึกๆ เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทแล้วอดจะปวดใจไม่ได้ ตั้งใจจะพาฟ่งมาเที่ยวและขอแต่งงานแท้ๆ อยากให้ทางนั้นยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุข แต่ก็เหมือนพระเจ้ากลั่นแกล้ง ทำให้ฟ่งต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ซ้ำอีก ความจริงตอนแรกรูฟัสกะจะไปอัดไอ้พวกนั้นเพื่อระบายอารมณ์เฉยๆ เขาตั้งใจจะซัดมีดเข้าไปสักสองสามเล่ม เพื่อให้เจ้าพวกนั้นรู้ว่ามีคนไม่พอใจ แต่ดูเหมือนเขาคงต้องเปลี่ยนแผน เพราะฟ่งมาด้วย แถมยังต่อว่าเขาใจจืดใจดำ ถึงเจ้าตัวจะมาขอโทษทีหลังก็เถอะ
รูฟัสยอมรับว่าเขาไม่เคยคิดเป็นฮีโร่หรือคนดีเด่ที่ทำเพื่อคนอื่นมาแต่ไหนแต่ไร แต่คราวนี้เขาอยากทำเด่นอวดฟ่งสักครั้ง ก็หวังว่าเขาคงไม่ต้องเล่นบทพระเอกที่ยากเกินไปนัก
รถแล่นผ่านเขตแฟลตหน้าแน่นในตัวเมือง ออกมาสู่ย่านชานเมือง ที่แฟลตดูจะเก่าและโทรมกว่าด้านในอย่างเห็นได้ชัด ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่กระจัดกระจายทิ้งใบสีเหลืองจนบางต้นเหลือแต่กิ่งก้านโกร๋นโล้น รถบนถนนเริ่มบางตาลงอย่างเห็นได้ชัด รูฟัสที่จ้องหน้ารถอยู่ และคุยกับคนขับเป็นบางครั้ง หันกลับมาพูดกับคนที่นั่งข้างๆ
“ระวังนะครับ เหมือนพวกนั้นจะรู้ตัวแล้วว่าถูกตาม”
ยังไม่ทันที่ฟ่งจะพยักหน้า รถแท็กซี่ก็เร่งความเร็วจนคนนั่งหลังติดเบาะ รูฟัสยันมือเข้ากับเบาะนั่งด้านหน้า นัยน์ตาสองสีมองผ่านแว่นตาสีชาไปยังรถเก๋งคันสีดำที่เร่งความเร็วอยู่เบื้องหน้า ขณะที่เด็กน้อยเอ็ดการ์ดกอดฟ่งแน่นด้วยความตกใจ
รถแท็กซี่ไม่เก่าไม่ใหม่พุ่งทะยานไปบนถนนด้วยความเร็วสูง ไล่กวดรถเก๋งสีดำในระยะกระชั้นชิด รถแท็กซี่ส่ายไปมาอย่างน่ากลัวระหว่างที่เร่งเครื่องแซงรถคันอื่นเพื่อไล่จี้รถเป้าหมาย ฟ่งต้องยกมือขึ้นเกาะกับประตูรถเพื่อพยุงตัวเอง จังหวะนั้นเองที่รถแท็กซี่หักเลี้ยวกะทันหัน
“Вдувать!” คนขับรถสบถเสียงลั่น ได้ยินเสียงล้อบดกับถนนดังบาดแก้วหู ฟ่งถูกเหวี่ยงไปชนกับประตูรถจนหน้าแนบกระจก ยังไม่ทันจะตั้งหลักได้ รถแท็กซี่ที่เพิ่งหักเลี้ยวก็พุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วที่น่าตกใจ
“รูฟัส!” ฟ่งโพล่ง และเงยหน้าขึ้นมองคนนั่งข้าง รูฟัสยังคงสวมแว่นตาสีชาเหมือนเดิม ดูเหมือนเขาจะได้รับผลกระทบน้อยมากจากการหักเลี้ยงของรถ มือสองข้างยังคงยึดเบาะหน้ามั่นคง ขณะที่สายตาจ้องมองไปยังรถเก๋งคันสีดำเบื้องหน้า เขาพยักหน้าน้อยๆ ในตอนที่ถูกเรียก
รถเก๋งสีดำหักเลี้ยวเข้ามาในซอยแคบๆ ซอยหนึ่ง ซึ่งมีรถแล่นสวน ทำให้รถแท็กซี่ต้องคอยหักหลบรถที่ถูกรถเก๋งสีดำขับเบียดจนต้องเบี่ยงพวงมาลัยออกมาและหวิดจะชนกับรถของพวกเขาหลายหน ฟ่งกับเอ็ดการ์ดถูกเหวี่ยงไปมาเหมือนอยู่ในกล่อง ดีที่คาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้เลยยังไม่ถึงกับกลิ้ง ส่วนรูฟัสนั้นดูจะจัดการตัวเองได้ดีราวกับมีประสบการณ์ในเรื่องทำนองนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
ฟ่งตะกายมือขึ้นจับที่จับที่อยู่เหนือศีรษะ ขณะที่อีกข้างยึดพนักพิงเบาะด้านหน้าเอาไว้ เอ็ดการ์ดยังคงกอดเขาแน่นเหมือนเดิม แถมเหมือนจะร้องไห้อยู่ด้วย หนุ่มสวมแว่นก้มหน้าลงใช้ไหล่ดันแว่นให้เข้าที่ ขณะที่รถยังคงวิ่งเหมือนเหวี่ยง ไม่รู้ว่ารูฟัสพูดอีท่าไหน คนขับแท็กซี่ถึงได้ใจกล้าบ้าบิ่นขับรถไล่ตามไม่ลดไม่ละขนาดนี้
ยังไม่ทันที่ฟ่งจะดันแว่นให้เข้าที่ เพราะรถที่เหวี่ยงไปเหวี่ยงมา รูฟัสก็พุ่งมือเข้ามาอย่างรวดเร็วและกดศีรษะของเขาลง ฟ่งเกือบจะบ่นออกมา เพราะรูฟัสทำให้แว่นของเขาเลื่อนออกไปมากกว่าเดิม แต่ยังไม่ทันจะอ้าปาก เสียงระเบิดเหมือนประทัดตามด้วยเสียงวัตถุบางอย่างพุ่งทะลุกกระจกดังขึ้นติดๆ รถแท็กซี่หักพวงมาลัยกะทันหันอีก ฟ่งต้องรีบยกมือขึ้นดันแว่น ดังนั้นศีรษะของเขาจึงกระแทกเข้ากับประตูรถเสียงดัง แต่คงไม่ดังเท่ากับเสียงระเบิดของดินประสิวที่ดังอยู่ด้านนอก
ปืน!
เหมือนเลือดจับตัวเป็นน้ำแข็ง ความทรงจำเลวร้ายในครั้งก่อนผุดขึ้นมาในหัวสมองของเขาทันที ฟ่งหมอบลงจนคางแทบจะชิดกับหัวเข่า กอดเอ็ดการ์ดเอาไว้แนบอก หนูน้อยเองก็คงจะตกใจไม่แพ้กัน ดูจากมือเล็กๆ ที่เกาะเขาแน่น
ขณะที่รถแล่นแฉลบไปแฉลบมา คนขับยังคงสบถอย่างอารมณ์เสียอีกหลายหน ลูกกระสุนพุ่งเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อน ฟ่งรู้สึกใจเสีย เรื่องนี้อันตรายเกินไปแล้ว เขาไม่ควรจะดึงดันบอกให้รูฟัสตามมาเลย ถ้าเขาเอ่ยปากห้ามแต่แรก....
ฟ่งนึกถึงสายตาของเกรเกอรีที่มองมาที่เขาในตอนที่ถูกจับตัวไป ดวงตาคู่นั้นคล้ายถูกซ้อนทับด้วยนัยน์ตาสองสีที่เขาคุ้นเคย ภาพรูฟัสที่ยิ้มละไมให้เขาเป็นประจำ แล้วเสียงปืนก็ดังขึ้น!
ฟ่งเกือบจะกรีดร้องออกมา น้ำตาไหลทะลักอย่างห้ามไม่อยู่ ถ้าเกิดรูฟัสเป็นอะไรไป ถ้าเกิดว่ารูฟัส......
มือแกร่งข้างหนึ่งจับเข้าที่หัวไหล่ของเขาไม่แรงไม่เบา ฟ่งเบือนหน้าขึ้นมองทันที
“หมอบไว้นะ” รูฟัสกล่าว พลางยิ้มหน่อยๆ ก่อนจะตะกายไปตรงที่นั่งด้านหน้าคนขับ หลังจากนั้นอีกชั่วอึดใจ ฟ่งก็ได้ยินเสียงปืนที่เหมือนจะดังมาจากที่นั่งหน้ารถ
!!
--------------------------------------------
รูฟัสกระชับปืนเข้ากับมือ ก่อนจะยื่นออกไปนอกรถ เหนี่ยวไกใส่รถเก๋งสีดำด้านหน้า เสียงระเบิดลั่นของดินประสิวและแสงแปลบปลาบของประกายไฟยามลูกตะกั่วกระแทกเข้ากับตัวถัง คราวนี้รถเก๋งคันสีดำเป็นฝ่ายแล่นแฉลบบ้าง
หนุ่มตาสองสียังคงสวมแว่นตาสีชา แต่สีหน้าดูหงุดหงิดเอาเรื่อง หยดน้ำตาใต้แว่นที่เขาได้เห็นเมื่อครู่ยิ่งทำให้รูฟัสโมโหหนัก เขาก้มหมอบหลบกระสุน และดันกระชังหน้ารถให้เปิดออก Beretta 96 SF ขนาดลำกล้อง.40 สีเงินปรากฏให้เห็นทันที และยังมีแมกกาซีนสำรองอีกหลายชุด ได้ยินเสียงคนขับพูดอะไรอีกบางอย่าง แล้วกระสุนปืนจากรถคันข้างหน้าก็พุ่งเข้ามาอีก
พวกเขาอยู่ในซอยที่มีถนนขนาดลองเลนซึ่งขนาบด้วยอาคารแฟลตเก่าที่มีป้ายกำลังดำเนินการรื้อถอน เนื่องจากไม่มีคนอาศัยอยู่แล้ว ถนนตรงนี้จึงไม่มีรถวิ่ง เหมือนเป็นโชคดีในโชคร้าย ที่คงไม่มีใครโดนลูกหลงจากการปะทะครั้งนี้ แต่รถทั้งสองคันก็เป็นเป้าของกันและกันโดยไม่มีที่ให้หลบหลีก เพราะซอยเกือบจะเป็นทางตรง
เสียงแผดลั่นของกระสุนที่ถูกลั่นออก และอาการส่ายอย่างน่ากลัวของรถทำเอาฟ่งกับเอ็ดการ์ดกอดกันกลม ขณะที่การไล่ล่าเป็นไปอย่างดุเดือด เสียงปืนก้องสะท้อนอยู่ระหว่างกำแพงตึกสีน้ำตาลซีดๆ และต้นไม้ที่ส่วนใหญ่เหลือแต่กิ่งก้าน ควันปืนลอยคลุ้งเข้ามาในรถ
รูฟัสพยายามเล็งปืนไปยังล้อรถคันหน้า เพื่อให้รถเสียหลัก แต่รถที่ขับส่ายไปส่ายมาทำให้เล็งเป้าได้ลำบาก เขานึกอยากให้ราฟาแอลมาด้วยจริงๆ
คนขับรถเหมือนจะมองจุดประสงค์ของคนนั่งข้างๆ ออก เขาเร่งความเร็วเพิ่มขึ้น และชนเข้ากับท้ายรถเก๋ง
โครม!
แรงกระแทกทำเอาฟ่งหน้าคะมำไปด้านหน้า ดีกว่ามีเข็มขัดนิรภัยรั้งเอาไว้ ได้ยินเสียงรูฟัสสบถออกมาอย่างหัวเสีย ตามด้วยเสียงปืนอีกหลายนัด รถทั้งสองคันถอยห่างออกจากกันอย่างรวดเร็ว รถเก๋งสีดำแล่นพุ่งไปด้านหน้า ขณะที่รถแท็กซี่ต้องถอยหลังออกมาระยะหนึ่ง ก่อนจะเร่งเครื่องตามไป
ฟ่งเหลือบขึ้นมองรูกระสุนที่เจาะทะลุกระจกหน้ารถ ดูเหมือนรูฟัสจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร เขากำลังพูดอะไรบางอย่างกับคนขับ จากนั้นรถแท็กซี่ก็ลดความเร็วลง
รูฟัสปลดแมกกาซีนเก่าออก และเปลี่ยนอันใหม่ ซึ่งหยิบออกมาจากกระชังหน้ารถ กลิ่นควันปืนยังคงคลุ้งอยู่ในรถ
รถสองคันทิ้งระยะห่างขึ้นเรื่อยๆ พอเห็นว่าเสียงปืนเงียบไปนานพอสมควรแล้ว ฟ่งจึงเงยหน้าขึ้นมา
“ปะ...เป็นยังไงบ้าง?” เขาถามเสียงสั่น “พวกมันคงใกล้จะจอดรถแล้วน่ะครับ คุณอย่าเพิ่งเงยหน้าขึ้นมามากนะ ผมกลัวจะถูกยิงอีก”
ฟ่งพยักหน้า ในขณะที่หนูน้อยเอ็ดการ์ดยังคงตัวสั่นอยู่ในอ้อมกอด
รถเก๋งคันสีดำที่มีรอยกระสุนแถมไว้ตรงท้ายหลายจุดเลี้ยวเข้าไปตรงหัวมุมที่มีแฟลตเก่าหลังหนึ่งตั้งอยู่ มันเป็นลานกว้าง รถแล่นเข้าไปด้านในและหยุดอยู่ตรงแฟลตหลังที่ตั้งอยู่ตรงกลาง
รูฟัสพูดอะไรบางอย่างกับคนขับ จากนั้นรถแท็กซี่ก็แล่นตรง เลยลานกว้างนั้นออกไป ผ่านอาคารแฟลตที่ตั้งอยู่คู่กัน ก่อนจะอ้อมโค้งผ่านมายังอีกด้านหนึ่งของแฟลต
----------------------------------
รถแท็กซี่หยุดอยู่ตรงเกือบจะสุดระยะตึกพอดี รูฟัสสอดส่ายสายตามองรอบๆ ยังไม่มีคนหรือรถคันไหนไล่ตามพวกเขามา ชายหนุ่มกระชับปืนเข้ากับมือ ก่อนจะหันมาพูดกับคนนั่งด้านหลัง
“พวกคุณอยู่บนรถไปก่อนนะครับ เดี๋ยวผมมา”
ฟ่งนิ่วหน้าทันที “คุณจะปล่อยผมไว้กับคนไม่รู้จักเหรอ?”
รูฟัสคลี่ยิ้ม “ก็ไม่เชิงไม่รู้จักหรอกครับ” เขาพูด พลางหันไปคุยอะไรบางอย่างกับคนขับรถ “เอาว่าเขาเชื่อใจได้แล้วกันครับ รออยู่ในรถนี้นะครับ มีอะไรก็หมอบไว้ก่อน นะครับฟ่ง”
นัยน์ตาสีน้ำตาลเขม่นมอง ก่อนจะพยักหน้าขืนๆ รูฟัสยิ้มอีกครั้งและเปิดประตูรถออกไป
---------------------------
รูฟัสเดินด้วยฝีเท้าแผ่วเบาจนแทบจะเรียกว่าย่อง สุดตึกมีสวนขนาดเล็กซึ่งต้นไม้ยืนต้นกำลังผลัดใบสีเหลืองจนแทบจะเหลือแต่กิ่ง ชายหนุ่มพยายามผุดแผนที่ในความทรงจำขึ้นมา เขาจากมอสโคว์ไปสิบกว่าปีแล้ว แต่ก่อนหน้านั้นจะเรียกว่าเขารู้จักที่นี่แทบจะเกือบทุกซอกทุกมุมก็ได้ ที่ตรงนี้เคยเป็นแฟลตที่มีคนอาศัยอยู่หนาแน่นที่หนึ่ง เวลาสิบกว่าปีเปลี่ยนมันให้กลายเป็นกลุ่มอาคารร้างไปเสียแล้ว ชายหนุ่มลัดเลาะไปตามแนวพุ่มไม้ที่แห้งแทบจะเหลือแต่ก้าน หวังว่าใบไม้ที่ร่วงอยู่คงพรางสายตาได้บ้าง
แฟลตเก่านั้นตั้งเลยแนวป่านั้นไปหน่อยหนึ่ง สามารถมองเห็นได้จากจุดที่เขายืนอยู่ สักพักหนึ่งเขาก็ได้ยินเสียงสตาร์ทรถ ชายหนุ่มเหลือบไปมองแวบหนึ่งและเห็นรถแท็กซี่คันนั้นแล่นออกไปแล้ว รูฟัสหวังว่าฟ่งจะอยู่นิ่งๆ ในรถอย่างที่เขาสั่ง เขาให้รถจอดอยู่ที่นี่นานๆ ไม่ได้ เพราะพวกนั้นจะต้องออกมาตรวจดูแน่ๆ รูฟัสฝ่ากองใบไม้แห้งที่ยังคงตกทับถมลงมา เพื่อลอบมองไปยังตึกหลังนั้น พลางนึกขบขันตัวเอง
นี่เขากำลังเอาชีวิตมาเสี่ยงกับอันตราย โดยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเด็กคนนั้นเลยสักนิด แถมค่าจ้างก็ไม่มี ทั้งหมดทั้งมวลนี้คงเป็นเพราะเหตุผลง่ายๆ ที่เขาเคยค่อนแคะราฟาแอลเอาไว้หลายต่อหลายหน
ก็แค่อยากให้ฟ่งประทับใจในตัวเขาบ้าง
รูฟัสเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า หลายครั้งที่ราฟาแอลทำอะไรที่มันดูงี่เง่าต่อหน้าสาวๆ พวกนั้น เพราะเหตุผลแบบนี้นี่เอง รูฟัสเคยมองว่าไร้สาระสิ้นดี ที่จะต้องทำอะไรโง่ๆ จากคำพูดของเหล่าสาวๆ แต่แล้ววันนี้เขาก็ต้องมาประสบกับตัวเอง
รูฟัสได้แต่หวังว่า ฟ่งคงจะประทับใจในการทำงี่เง่าครั้งนี้
ชายหนุ่มปลอบใจตัวเองให้สดชื่นขึ้น เขาช่วยเด็กคนนั้นมา ฟ่งคงจะทำหน้าดีใจ แล้วเขาจะได้ถือโอกาสขอฟ่งแต่งงาน ยังไงๆ ฟ่งคงจะต้องยิ้มแก้มปริด้วยความภูมิใจแน่ๆ
ถ้าเขาช่วยเจ้าเด็กนั่นออกมาได้โดยไม่เลือดตกยางออกน่ะนะ
รูฟัสถอนหายใจยืดยาว ระหว่างอยู่ในรถเขาได้รู้เรื่องแก๊งวันเสาร์ เป็นที่รู้ๆ กันอยู่แล้วว่าในมอสโคว์เป็นแหล่งรวมของอาชญากรหลายระดับ ตั้งแต่ระดับกุ๊ยกระจอก ไปจนถึงมาเฟียใหญ่ที่เป็นที่นับหน้าถือตา ซึ่งไม่ว่าแบบไหนก็มีแต่ความน่าปวดหัวทั้งนั้น โดยเฉพาะหากคนเหล่านั้นมารวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน และแก๊งวันเสาร์ก็เป็นพวกประเภทนั้น
การรวมตัวกันของกุ๊ยข้างถนน และพวกนักฉกชิงวิ่งราว รูฟัสเคยอยู่กับแก๊งเด็กมาก่อน เขารู้ดีกว่าเมื่ออยู่รวมกัน กลุ่มจะมีพลังขับเคลื่อนทำให้คนพวกนี้กล้าทำอะไรหลายๆ อย่างที่คนไม่คาดคิด อย่างการเข้าไปลักพาตัวกลางเครมลิน ใครมันจะกล้าคิดกันล่ะ แต่พวกนี้ก็ทำสำเร็จแล้ว และเขาก็ดันงี่เง่าเองที่ทะลึ่งจะตามมา ถ้าไปแจ้งตำรวจเสียแต่แรกก็สิ้นเรื่อง รูฟัสเริ่มรู้สึกว่าเขางี่เง่าแต่แรก...ไม่นึกไม่ฝันว่าจะอยากเด่นในสายตาฟ่งจนทำอะไรโง่เง่าซ้ำซ้อนลงไปถึงสองหนในวันเดียว
แต่มาถึงจุดนี่ รูฟัสถอยไม่ได้อีก เขาคงต้องเล่นบทพระเอกจำเป็นให้ถึงที่สุด ดีกว่าต้องถูกฟ่งมองด้วยสายตาผิดหวัง ดีกว่าให้ฟ่งรู้สึกว่าไม่น่ามาหลงคบกับเขาเลย
ขณะที่เขากำลังคิดว่าจะเข้าไปทางไหน เสียงย่ำใบไม้ก็ดังขึ้นด้านหลัง รูฟัสหันกลับไปพร้อมกับปืนในมือทันที
-------------------------------------------------------------------------------
**เรื่องนี้ไม่มีความสงบสุขที่แท้จริงหรอก เชื่อสิ!!! :a5:

ิbenejeng

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
หวานกันได้แป๊บๆ ก็บู๊อีกละ  :laugh:

ก็นิยายเรื่องนี้มันเกี่ยวกับสายลับนี่เนาะ!!

ออฟไลน์ @BUA@

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +427/-8
รูฟัสนี่เป็นพระเอกแสนดีจริงๆ แม้จะดีกับฟ่งแค่คนเดียวก็เหอะ
เราว่าตอนนี้ก็ดูเป็นตอนที่มีความสุขนะคะ ดูเป็นบู๊แบบอบอุ่น ยิงกันไป ห่วงใยกันไป  :laugh:

ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
สนุกมากค่ะ
เป็นตอนพิเศษใกล้จบที่บู๊ได้สนุกสมกับชื่อเรื่องมากๆ
เหลืออีกแค่ 7 ตอนก็จบแล้วสินะ  อ๊าย :z2:  อยากอ่านไวไวจัง
+ เป็ดน้อยโทษฐานบู๊ได้ใจค่ะ

ออฟไลน์ windel

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 270
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ไอ้หย๋าาาาา  ...ไปๆมาๆเรายังอ่านได้ไม่จบหน้าสามเลยอ่ะ  :serius2: :serius2:
เปิดจองแล้วซะด้วยย แต่ติดที่ว่าเงินขาด  :z3:

ขอบคุณคนเขียนที่แต่งเรื่องนี้นะ!   ตอนนี้รู้สึกสงสารรูฟัส  แต่ก็นะใครเป็นฟ่งก็ต้องระแวงแหละน้อ~
 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ูู**มาต่อแล้วค่ะ (เกือบลืมอีกแล้ว^^")**


บทที่82 ยุทธการชิงตัวประกัน
   ฟ่งนึกใจหายตอนที่รูฟัสก้าวออกไปนอกรถ เขาน่าจะห้ามรูฟัสไว้แต่แรก เรื่องนี้อันตรายเกินไป เขาไม่น่าพูดกับรูฟัสแบบนั้นเลย ถ้าวิ่งไปบอกให้รูฟัสกลับมาตอนนี้ จะยังทันรึเปล่า?
   มือน้อยๆ ของเอ็ดการ์ดเอื้อมมาดึงเสื้อของเขาเอาไว้ “พี่ฮะ....”
   ฟ่งมองดูนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่มองมาอย่างตั้งความหวังแล้วต้องเม้มริมฝีปากแน่น ชายหนุ่มตัดสินใจเปิดประตูออกไป
--------------------------------------------------
   ภายในรถเงียบสนิท ประตูถูกปิดไปพักหนึ่งแล้ว พร้อมกับชายชาวต่างชาติที่ก้าวออกไป เอ็ดการ์ดกะพริบตาปริบๆ เขาไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่ รู้แต่ว่าเขาคงจะไปช่วยเกรเกอรี
   เกรเกอรี....
   พอนึกถึงภาพของเพื่อนที่ถูกจูงออกไป เจ้าหนูน้อยก็พาลน้ำตาไหล เกรเกอรีคอยช่วยเขาอยู่เสมอ ถ้าไม่มีเกรเกอรีแล้ว เขาจะอยู่อย่างไร เด็กน้อยเริ่มสะอึกสะอื้น
   “เฮ้ ไอ้หนู นี่ไม่ใช่เวลามาร้องไห้นะ”
   เสียงห้วนๆ ของคนขับรถแท็กซี่ดังขึ้นด้านหน้า เอ็ดการ์ดเงยหน้าขึ้นมอง ผู้ชายคนนี้ไว้หนวดเคราไม่เป็นทรงเหมือนพ่อของเขาเลย แต่ผู้ชายคนนี้ไม่มีกลิ่นบุหรี่ติดตัว เด็กน้อยทำจมูกฟุดฟิด เขาได้กลิ่นอย่างอื่นที่ต่างออกไป เหมือนกลิ่นของดอกไม้ไฟ
   “นี่ เด็กที่ถูกจับไปน่ะ เพื่อนเธอรึ?”
   เอ็ดการ์ดพยักหน้า คนขับรถถามต่อ “ชื่ออะไรล่ะ?”
   “เกรเกอรีฮะ”
   “ไม่ๆ หมายถึงเธอนะ”
   “เอ็ดการ์ด”
   “อ้อ เอ็ดการ์ด” คนขับรถทวนชื่อ และหันมายิ้มจนเห็นฟันปลอมที่ทำจากเงินหลายซี่ “เอาล่ะ เจ้าหนูเอ็ดการ์ด เคยดูหนังใช่ไหม? ในหนังเด็กที่ร้องไห้จะไม่ใช่พระเอก เธออยากช่วยเพื่อนเธอรึเปล่า?”
   เอ็ดการ์ดพยักหน้า คนขับรถพูดต่อ “งั้นดี เปิดเบาะรถออกสิ”
   หนูน้อยทำตามอย่างว่าง่าย เขาออกแรงดันเบาะรถให้เปิดออก แล้วก็ต้องเบิ่งตาอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นของที่อยู่ด้านใน
   “หยิบปืนนั่นมาให้ฉัน” คนขับรถชี้ ใต้เบาะถูกดัดแปลงเป็นช่องใส่ของ ด้านในมีปืนและตลับลูกปืนอีกหลายตลับ ผิดเสียแต่ว่าปืนแบบนี้เอ็ดการ์ดไม่เคยเห็นมาก่อน มันดูจะใหญ่โตกว่าปืนที่เขาเคยเห็นในรูปหรือในภาพยนตร์ สำหรับแรงแขนของเด็กอายุแปดขวบ การยกปืนอันนี้ขึ้นถือว่าลำบากมากทีเดียว
   “เจ้านี่เรียก แพททิเชียร์ เป็นScorpion SV361 รับรองว่ามันเป็นเพื่อนร่วมทางอย่างดีของเราแน่ๆ” คนขับรถรับปืนไปแล้วยิ้มยิงฟันพลางพูดอธิบาย เอ็ดการ์ดมารู้ภายหลังว่ามันคือปืนกลมือแบบหนึ่ง
   “เอาล่ะ เจ้าหนูน้อย ถ้าเราไม่ซวย ก็คงไม่ต้องใช้มัน แต่ฉันว่าเราคงไม่โชคดีขนาดนั้น เธออยู่ด้านหลังนี่แหละ หมอบนิ่งๆ แล้วคอยส่งตลับสีดำนั่นมาให้ฉัน จำไว้ว่าพระเอกต้องไม่ร้องไห้ เข้าใจใช่ไหม?”
   เอ็ดการ์ดพยักหน้าหงึกหงัก มองดูตลับสีดำในกล่องใต้เบาะ และหันไปมองคนขับรถที่ยิ้มจนเห็นฟันสีเงินหลายซี่
-------------------------------------------------------
   รูฟัสเบิ่งตาค้างใต้แว่นตาสีชา เขาลดกระบอกปืนลงขณะที่ฝ่ายที่เดินเข้ามายกมือสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ
   “ผมเอง” หนุ่มผมสีน้ำตาลพูดและพยายามจะยิ้ม “ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณตกใจ”
   รูฟัสระบายลมหายใจยาว และพูดขึ้น “คุณตามผมมาทำไมเนี่ย?”
   “ผม....” ฟ่งพูดค้างพลางนึกสงสัยตัวเอง ตอนแรกเขาคิดจะมาตามรูฟัสกลับไป แต่พอคิดไปคิดมา เขารู้สึกว่านั่นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากทำเท่าไร
   “ผมมาช่วยคุณ”
   รูฟัสทำหน้าเหมือนฟ้าถล่ม และพึมพำอะไรบางอย่าง ก่อนจะพูดอย่างจริงจัง “คุณกลับไปที่รถดีกว่า ที่นี่อันตรายนะครับ”
   ฟ่งสั่นศีรษะ “ก็เพราะรู้ว่าอันตรายน่ะสิ ผมถึงได้มา”
   “คุณทิ้งเด็กเอาไว้คนเดียวหรือครับ?” รูฟัสพูดต่อ เขาพยายามนึกเรื่องหว่านล้อมให้ฟ่งกลับไปที่รถ ให้ตายสิ ลืมนึกไปเลยว่าฟ่งชอบทำอะไรแบบนี้ คราวก่อนตอนที่อยู่ในห้องลับก็เหมือนกัน เขาเพิ่งมารู้จากปากของวรุตตอนหลังว่าฟ่งบ้าดีเดือดขนาดไหน รูฟัสยอมรับว่าเขาพลาดเองที่ปล่อยให้ฟ่งขึ้นรถตามมา ไม่สิ พลาดตั้งแต่ไม่ยอมสั่งให้คนขับรถขับออกไปไกลๆ แล้ว แต่ถึงจะสั่ง ก็ไม่แน่ว่าฟ่งจะกระโดดตามลงมาอยู่ดี
   “ทิ้งไว้กับคนขับรถ ก็คุณบอกว่าเขาไว้ใจได้” ฟ่งย้อนคำพูดที่รูฟัสเพิ่งพูดออกไป หนุ่มตาสองสีมีสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจอย่างเห็นได้ชัด ฟ่งรีบพูดขึ้นต่อ “ให้ผมไปกับคุณเถอะ ผมรับรองว่าไม่เกะกะแน่ๆ”
   “ไม่ได้หรอกครับ คุณกลับไปที่รถเถอะนะ ผมขอร้อง” รูฟัสพูด และนึกวิธีที่จะพาฟ่งกลับออกไป ถ้าทุบให้สลบตอนนี้ แล้วลากออกไป มันจะปลอดภัยและทันเวลารึเปล่านะ
   ฟ่งขมวดคิ้วมุ่นทันที เขามองผ่านแว่นตาไปยังแฟลตร้างที่อยู่ห่างออกไป ก่อนจะพูดขึ้น
   “เด็กถูกจับไปที่ตึกนั้นสินะ ถ้าคุณไม่ไปกับผม เดี๋ยวผมไปเอง”
   ไม่พูดเปล่า ก้าวฉับๆ ไปอย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม รูฟัสแทบครางออกมา เขายื่นมือไปคว้าตัวของฟ่งเอาไว้
   “ฟ่ง....” พูดไม่ทันจบ ริมฝีปากของรูฟัสก็ถูกผนึกด้วยริมฝีปากที่มักจะบูดบึ้งอยู่เสมอ จูบที่คาดไม่ถึงนี้ กินเวลาสักหนึ่งถึงสองวินาที ฟ่งถอนริมฝีปากออก กระตุกรอยยิ้มนิดหนึ่ง และกล่าวต่อ
   “ให้ผมไปกับคุณเถอะ”
   เจอไม้นี้รูฟัสถึงกับอึ้งไปหลายวินาที เขามองดูร่างผอมบางในเสื้อโค้ทกันหนาวตรงหน้า จ้องเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลที่มองตรงเข้ามา และชั่งใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
   ฟ่งยกมือขึ้นจับหัวไหล่ของรูฟัสด้วยความตกใจ เมื่อร่างถูกรวบเข้าไปใกล้ พร้อมกับริมฝีปากของอีกฝ่ายที่บดลงมา รูฟัสดูดดึงริมฝีปากนั้นอยู่พักหนึ่งจึงยอมผละออก ก่อนจะพูดขึ้น
   “ตามผมมา แล้วอย่าทำอะไรเสี่ยงๆ นะ”
----------------------------------------------------
   เอ็ดการ์ดนั่งปิดปากเงียบกริบอยู่ในรถ บรรยากาศเงียบสนิททำให้เขารู้สึกเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก น้ำตาพาลจะไหลออกมาเสียให้ได้ เด็กน้อยกัดฟันแน่น นี่คงเป็นครั้งแรกล่ะมั้งที่เขาเรียนรู้ที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ มือน้อยๆ เอื้อมไปจับตลับสีดำทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่วางอยู่ด้านใบของกล่องใส่ของใต้เบาะ ความเย็นเฉียบของโลหะถ่ายถอดมายังปลายนิ้วทันที เอ็ดการ์ดหยิบมันขึ้นมาอันหนึ่ง และกอดเอาไว้แน่น
   เขาจะต้องช่วยเกรเกอรีให้ได้
-----------------------------------------------------
   เสียงฝีเท้าหลายคู่ ที่ทั้งเดินบ้างวิ่งบ้าง สะท้อนไปมากับผนังแฟลตเก่า ทำลายความเงียบ คนขับรถแท็กซี่หรี่นัยน์ตาสีเทาหม่นของตนเองลง ขับรถแท็กซี่มาสี่ห้าปี มันก็เจอเรื่องสนุกมากอยู่หรอก แต่เรื่องสนุกขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเด็กนั่น ก็คงต้องย้อนเวลากลับไปอีกไกล
   สงสัยพระเจ้าจะเห็นว่าชีวิตของเขาจืดชืดน่าเบื่อเกินไปล่ะมั้ง เลยดลให้เจอเจ้าหนูตาสองสีนั่นอีก
-------------------------------------------------------
   “อื้อหือ...อโลช่า เด็กนี่น่ะนะที่จะให้ทำงานด้วย” ชายหนุ่มวัยสามสิบเศษผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลเข้มและไว้เคราหรอมแหรมกล่าวขึ้นพลางเบิ่งนัยน์ตาสีเทากว้างอย่างแปลกใจปนไม่เชื่อถือ ขณะมองดูเด็กหนุ่มวัยสักสิบสองสิบสามตรงหน้า
   “อือ ใช่” คนถูกถามตอบ พลางตบบ่าเด็กหนุ่มเบาๆ “เขาชื่อรูฟัส นี่นิโคลัย”
   เด็กหนุ่มที่ชือว่ารูฟัสยื่นมือออกไป เขาอยู่ในชุดรัดกุมสีดำสนิท ส่วนสูงน่าจะยังไม่ถึงร้อยเจ็ดสิบด้วยซ้ำ เรียกว่ายังเด็กอยู่จริงๆ หน้าตาก็บอกบุญไม่รับ แถมยังมีดวงตาสีแปลกที่ชวนให้นึกว่าจะมองเห็นได้จริงๆ รึเปล่า
   นิโคลัยยื่นมือไปสัมผัสมือที่ยื่นออกมาพอเป็นพิธี แล้วพูดยิ้มๆ “ขนขึ้นรึยังเนี่ยเรา”
   “อยากดูไหมล่ะ” รูฟัสว่า และทำท่าจะถอดกางเกงออก นิโคลัยยกมือขึ้นตบศีรษะ พลางหัวเราะเสียงดัง “ฮ่า ฮ่า อโลช่า คุณสอนเด็กยังไงเนี่ย ใครเขาถอดกางเกงโชว์ขนให้คนอื่นดูกัน”
   “นายถามไม่ใช่รึ?” อเล็กเซตอบยิ้มๆ นิโคลัยหยุดหัวเราะทันที กลอกนัยน์ตาสีเทามองดูคนตรงหน้า “แหม...ช่วยป้องให้เลยหรือครับ”
   “ก็เขายังเด็กอยู่นี่” อเล็กเซว่า คนฟังยักไหล่ “แล้วคุณฝากเด็กให้ทำงานกับทีมผมเนี่ยนะ?”
   อเล็กเซหัวเราะขึ้นบ้าง “อืม..ฉันพูดว่าเขายังเด็ก หมายถึงร่างกายน่ะนะ แต่หัวใจรับรองผู้ใหญ่อย่างนายต้องอายแน่ๆ พาไปเถอะ ไม่ต้องห่วงเขาหรอก ถ้าเป็นอะไรก็ถือเสียว่าฉันสอนไม่ดีเองแล้วกัน”
   “พูดงี้ระวังเจ้าหนูนี่ร้องไห้นะ” ชายหนุ่มแหย่
   “เขาไม่ร้องไห้หรอก ฉันยังไม่เคยเห็นเขาร้องไห้เลย รูฟัสอยู่กับฉันมาสี่ห้าปีแล้วล่ะ”
   คนฟังขมวดคิ้ว หันไปมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอีกครั้งทันที
   “อืม...ไม่เคยเห็นใครอยู่กับคุณนานขนาดนี้เลย ตัวแค่นี้จับปืนไหวเร้อ” นิโคลัยตั้งข้อสังเกต เกิดมาเขาก็เพิ่งเคยเห็นเด็กสิบสองสิบสามสะพายปืนกลมือนี่แหละ อเล็กเซยิ้ม
   “นายจะทดสอบดูก่อนก็ได้นะ”
   นิโคลัยกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะชี้ไปที่ถังสีซึ่งวางระเกะระกะห่างออกไปสักสิบเมตร
   “เอาไอ้ถังสีกองนั้นก็ได้ ยังไงโกดังนี่ปกติก็เอาไว้ซ้อมปืนอยู่แล้ว ยิงให้ร่วงให้หมด แล้วยิงให้หมดแม็กด้วยนะ ถ้าทำไม่ได้ผมไม่รับนะอโลช่า”
   “ตามสบายเลย” อเล็กเซว่า รูฟัสก้าวเข้าไปข้างหน้าหน่อยหนึ่ง ประทับปืนกลเข้ากับบ่าด้วยท่วงท่าที่ไม่ขัดหูขัดตาสักนิด ถ้าไม่พูดว่าฝึกมาดีก็คงต้องเรียกว่าใช้บ่อย ความแข็งแรงของแขนผิดจากรูปลักษณ์ภายนอกลิบลับ
   นิโคลัยยังจำเสียงกระสุนที่สะท้อนอื้ออึงในวันนั้นได้ดี โจทย์ของเขากลายเป็นเรื่องหมูๆ ของเด็กอายุสิบสองสิบสาม
   นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้จักกับ รูฟัส เวสธ์
------------------------------------------------
   รูฟัสนึกปวดหัวกับตัวเอง ความจริงเขาไม่อยากให้ฟ่งตามมาด้วย แต่ครั้นจะไล่ให้กลับไป ก็ใช่ว่าเจ้าตัวจะยอมกลับไปจริงๆ เขาไม่ควรประมาทความบ้าบิ่นของหนุ่มสวมแว่นคนนี้ และจะให้เดินกลับไปส่งเองที่รถ ก็ใช่ว่าจะยอมนั่งอยู่ในนั้นเฉยๆ เสียหน่อย เผลอๆ ระหว่างเดินกลับไป ถ้าเจอเจ้าพวกแก๊งนั่นกลางทางคงกลายเป็นเรื่องหนักเข้าไปอีก
   รูฟัสจึงตัดสินใจให้ฟ่งตามมาด้วย อย่างน้อยอยู่ใกล้ๆ เขายังพอจะเห็นว่าฟ่งจะทำอะไร และคงพอจะสั่งให้ทำหรือไม่ทำได้บ้างล่ะมั้ง
   สองหนุ่มย่องเงียบๆ มาจนถึงด้านหลังของแฟลต เอาเข้าจริงฟ่งก็ทำตามคำสั่งพอใช้ได้ทีเดียว อย่างน้อยก็ไม่ก้าวพรวดๆ เหมือนอย่างตอนแรก รูฟัสอาศัยเศษใบไม้แห้ง กับกิ่งไม้ที่กองระเกะระกะ เป็นเครื่องกำบัง โชคดีที่เสื้อโค้ทของเขาและฟ่งสีไม่ค่อยฉูดฉาดนัก จึงพอจะกลืนไปกับสภาพแวดล้อมรอบๆ ได้
   รูฟัสบอกฟ่งให้หมอบลงต่ำ คลานเข้าไปใกล้ตัวแฟลตนั้นอีกหน่อย เขาเห็นเงาคนเดินอยู่ที่ชั้นล่าง เพราะรอการบูรณะจึงมีการทุบผนังออกบางส่วน เพื่อให้ห้องเปิดเข้าหากัน รูฟัสไม่แน่ใจว่าทุบเข้าหากันทั้งหมดเลยหรือเปล่า แต่ดูจากเงาคนที่เดินไปเดินมา อย่างน้อยคงทุบไปหลายส่วนอยู่ ชายหนุ่มนึกสยองอยู่ในใจ มิน่าเล่า เจ้าพวกนี้ถึงได้เลือกที่นี่เป็นที่สุมหัว เพราะห้องในแฟลตมีจำนวนมาก แถมมีการทุบผนังเข้าหากันอีก จะตรวจสอบคนเข้าออกก็ง่าย จะใช้เป็นที่กำบังตัวก็ง่าย เพราะคนที่เพิ่งเข้าไปใหม่คงต้องงงกับสภาพสถานที่สักพัก
   ระเบียงอยู่ห่างจากศีรษะไปไม่ถึงฟุต แค่ยืดตัวก็ปีนเข้าไปได้ง่ายๆ แล้ว แต่ถ้าปีนเข้าไปจริงๆ โอกาสถูกจับได้ก็มีสูง ไม่รู้ว่าพวกนั้นมีอาวุธอะไรบ้าง อย่างเบาก็คงมีด ปืนพก อย่างสาหัสก็อาจจะปืนกล จะแบบไหนก็ดูไม่น่าเสี่ยงทั้งนั้น โดยเฉพาะเขามีฟ่งมาด้วย และจุดประสงค์ก็แค่จะช่วยเจ้าเปี๊ยกนั่นออกไปเฉยๆ ไม่ใช่มาถล่มฆ่าคนสักหน่อย
   ถ้ามีราฟาแอลมาด้วยก็คงง่าย
   ปกติรูฟัสทำงานเป็นทีม เขากับราฟาแอลจะทำหน้าที่สลับกัน แล้วแต่สถานการณ์ ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งที่เป็นผู้ดึงความสนใจ ขณะที่อีกคนเข้าไปทำภารกิจ และภารกิจแบบนี้ก็เหมาะที่สุดที่จะให้ราฟาแอลเปิด แต่ตอนนี้ไม่มีราฟาแอล แถมตัวเขาเองก็มีแค่ปืนพกกระบอกเดียว เห็นทีจะต้องหาทางอื่นที่ดูปลอดภัยกว่า ขณะที่กำลังนึกถึงสภาพแผนผังของแฟลต มือข้างหนึ่งก็ยื่นมาสะกิดเขาเบาๆ
   “เข้าไปไม่ได้หรือ?” ฟ่งกระซิบถาม เขาไม่กล้าชะเง้อมอง เพราะกลัวจะโดนเห็นเข้า รูฟัสพยักหน้า และอธิบายสภาพคร่าวๆ ให้ฟัง นัยน์ตาสีน้ำตาลหรี่ลงอย่างใช้ความคิด ก่อนจะเหลือบมองไปรอบๆ
   “ทางโน้น” ฟ่งกระซิบพลางชี้มือไปยังสุดทางของกำแพง รูฟัสมองไม่เห็นอะไรนอกจากความว่างเปล่า ฟ่งจึงกระซิบอีกรอบ “ผมว่าน่าจะมีช่องทิ้งขยะ”
   หนุ่มตาสองสีเข้าใจความหมายทันที เขาพาฟ่งเดินเลียบขอบกำแพงเพื่อไปยังกำแพงด้านข้างของแฟลต และก็พบว่ามีช่องทิ้งขยะอยู่ตรงนั้นจริงๆ รูฟัสเอ่ยถามอย่างสงสัย “คุณรู้ได้ยังไงน่ะ?”
   “ผมเดา” ฟ่งว่า และพูดต่อ “แฟลตใหญ่ขนาดนี้น่าจะมีที่ทิ้งขยะสิ”
   หนุ่มตาสองสีพยักหน้ายอมรับ เขาเองก็พอจะนึกออกลางๆ ที่น่าแปลกคือฟ่งเพิ่งเคยเห็นแฟลตแท้ๆ แต่กลับเดาได้ว่ามีช่องทิ้งขยะอยู่ตรงนี้
   โชคดีที่ช่องทิ้งขยะถูกทิ้งรกร้างนานพอๆ กับตัวแฟลต จึงมีทั้งเศษใบไม้และกิ่งไม้แห้งหล่นทับถมจนกลายเป็นสิ่งพรางตาอย่างดี
   รูฟัสและฟ่งปีนเข้าไปในกล่องเหล็กขึ้นสนิม ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกใช้เป็นที่ใส่ขยะ พวกเขามุดเข้าไปในช่องที่ติดกับกำแพง ซึ่งด้านบนเป็นปล่องขนาดพอจะให้คนคนหนึ่งผ่านขึ้นไปได้ ตอนนี้ทั้งสองคนเลยยืนเบียดกันอยู่ในช่องแคบๆ ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองปล่องสูงด้านบนพลางห่อไหล่ ด้วยไม่รู้ว่าจะขึ้นไปยังไง
   “คุณรออยู่ตรงนี้ก็ได้ครับ” รูฟัสว่า และยันมือกับเท้าเข้ากับกำแพงแต่ละด้าน ก่อนจะถัดตัวขึ้นไปอย่างชำนาญการ ฟ่งเพิ่งนึกออกว่ายังมีวิธีปีนแบบนี้ เมื่อครู่เขากำลังมองหาช่องเพื่อเหนี่ยวตัวขึ้นไปแทบตาย
   “คุณไม่หล่นใส่หัวผมนะ” หนุ่มสวมแว่นว่า ได้ยินเสียงอีกฝ่ายกระซิบเบาๆ “ไม่ร่วงลงไปหรอกครับ”
   ฟ่งพยักหน้าหงึกหงัก และทดลองปีนแบบรูฟัสบ้าง
-----------------------------------------------
   เศษฝุ่นและซีเมนต์ที่หลุดล่อน ร่วงใส่ศีรษะเป็นระยะๆ ระหว่างที่ฟ่งขยับตัวขึ้นไปตามผนังแคบๆ ชายหนุ่มจึงจำต้องก้มหน้าลง เนื่องจากไม่เคยต้องทำอะไรแบบนี้มาก่อน แขนขาจึงเกร็งจนสั่นพับๆ ฟ่งนึกทุเรศตัวเองที่ไม่ได้เรื่องทางแรงกายเอาเสียเลย ถ้าเขาขยันออกกำลังกายสักหน่อย อาจจะทำอะไรๆ ได้สะดวกกว่านี้
   ชายหนุ่มแข็งใจกัดฟัน ปีนผนังไปอย่างทุกลักทุเล ไม่รู้ว่ารูฟัสขึ้นไปถึงไหนแล้ว ผู้ชายคนนั้นดูจะชำนาญเรื่องแบบนี้เสียเหลือเกิน ขนาดเสียงขยับเท้ายังไม่ค่อยจะดังมาให้ได้ยิน

   ความจริงรูฟัสกำลังเงี่ยหูฟังเสียงอยู่ตรงช่องทิ้งขยะบริเวณชั้นสอง ซึ่งฝาปิดที่ทำจากเหล็กผุไปเกือบครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังดีที่ยังพอจะใช้เป็นที่กำบังตัวได้ เขาเห็นวัยรุ่นสองคนกำลังนั่งคุยกันอยู่ รูฟัสพยายามจะจับใจความ เผื่อว่าจะได้รู้จุดที่อยู่ของเด็กที่จับตัวไป แต่ดูเหมือนเจ้าพวกนั้นจะคุยกันถึงเรื่องไร้สาระ เกี่ยวกับปืนหรืออะไรซักอย่าง ขณะที่กำลังนึกชั่งใจว่าจะไปต่อยังไงดี เสียงปืนก็ดังขึ้น
----------------------------------------------
   นิโคลัยตัดสินใจสตาร์ทเครื่อง เยียบคันเร่งถอยรถแท็กซี่ออกจากที่จอด ตอนที่เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ เขาตัดสินใจไม่เลือกที่จะเป็นเป้านิ่ง เพราะยังไงเสีย เจ้าพวกนี้มาก็คงไม่ประสงค์ดีต่อเขาอยู่แล้ว ไม่มีไอ้บ้าคนไหนจอดรถที่มีรูกระสุนพรุนแบบนี้แล้วบอกว่าหลงมาหรอก แล้วก็เป็นอย่างที่คาด พอเจ้าพวกนั้นเห็นรถของเขา ก็กรูกันสาดกระสุนเข้าใส่อย่างไม่ไถ่ไม่ถามทันที
   เจอแบบนี้ใครมันจะอยู่เฉยๆ ให้ยิงกันล่ะ
------------------------------------------------
    เสียงกระสุนปืนถี่ยิบทำเอาหนูน้อยเอ็ดการ์ดตัวสั่นพับๆ เขาหมอบอยู่ตรงที่วางเท้าด้านหลังรถ กอดแมกกาซีนปืนแน่น พยายามเม้มริมฝีปาก เพื่อไม่ให้ร้องไห้ออกมา เอ็ดการ์ดไม่อยากเป็นพระเอก แต่เขาอยากช่วยเกรเกอรี
   ถ้าเป็นพระเอกแล้วช่วยเกรเกอรีได้ เขาก็จะยอมเป็นพระเอก
   “รถฉันไม่ใช่เป้าซ้อมยิงนะโว้ย” เสียงตะโกนแข่งกับเสียงระเบิดอย่างบ้าคลั่งของลูกปืนดังขึ้น ขณะที่รถส่ายไปมาอย่างน่าเวียนหัว นิโคลัยขับรถไปพลางคุ้ยปืนพกที่อยู่ในกระชังขึ้นมายิงสวนไปพลาง เรื่องแบบนี้มันก็ดูจะปลุกความร้อนในตัวได้ดีเหมือนได้กินวอดก้าหน้าหนาวนั่นแหละ ไม่รู้ว่าเจ้ารูฟัสไปถึงไหนแล้ว หวังว่าคงไม่ถูกพ่อหนุ่มสวมแว่นนั่นรั้งเอาไว้หรอกนะ เขาไม่รู้มาก่อนว่ารูฟัสมีญาติเป็นคนเอเชีย บางทีเจ้าเด็กนั่นอาจจะวางแผนทำอะไรอีกก็ได้ ไม่ได้เจอกันตั้งสิบกว่าปี เขี้ยวเล็บคงขึ้นมามากอยู่หรอก ขนาดตอนอายุยังไม่ถึงสิบห้ายังแสบเสียขนาดนั้น
-----------------------------------------------------
   “ตรงนั้นจะมียามเฝ้าอยู่ ฉันอยากได้เธอดึงความสนใจพวกนั้น เอาแบบเนียนๆ อย่าให้โหวกเหวกจนทางนั้นรู้ตัวล่ะ”
   นิโคลัยหันมาพูดกับเด็กหนุ่มผมยาวที่ยืนอยู่ข้างๆ รูฟัสตอนอยู่ในชุดเสื้อแจ๊กเก็ตขนสัตว์แบบนี้พอปล่อยผมแล้วก็ดูคล้ายเด็กผู้หญิง แต่หน้าบูดเป็นตูดกับตาสีประหลาดแบบนี้ไม่รู้ว่าใครที่ไหนจะรักจะเอ็นดูบ้าง ถึงฝีมือด้านการใช้อาวุธจะพอพาไปออกงานได้ก็เถอะ งานแบบนี้ต้องการแค่เด็กที่เล่นปืนเป็นอย่างเดียวที่ไหน
   “ได้” เด็กหนุ่มตอบสั้นๆ ก่อนจะขยับตัว เดินออกไปอีกทางหนึ่ง หลังจากนั้นสักพัก นิโคลัยก็ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้น เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ จนพอจะกระตุ้นความสนใจของยามเฝ้าประตู หลังจากนั้นเขาก็เห็นเจ้าหนูนั้นเดินกระโผลกกระเผลกเข้ามา ส่งเสียงร้องไห้เหมือนเด็กผู้หญิง
   ท่าเดินอย่างเสียใจสุดแสนของเด็กน้อยกระตุ้นความสงสารบวกเห็นใจของยามได้เป็นอย่างดี เมื่อเห็นว่าไม่ได้ยินเสียงเรียก ยามจึงเดินเข้าไปหา จังหวะที่ก้มตัวลงเพื่อจะพูดคุยด้วยนั้นเอง มือน้อยๆ ก็พุ่งเข้าใส่ท้ายทอย กระแทกทีเดียวก็ส่งยามที่ตัวใหญ่กว่าลงไปกองกับพื้น จังหวะนั้นเองที่ยามอีกคนเดินมา เด็กน้อยร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม
   เพราะไม่มีใครคิดว่าเด็กผู้หญิงอายุสิบสองสิบสาม จะล้มยามผู้ชายที่ตัวใหญ่กว่าเป็นเท่าได้ ดังนั้นเหล่ายามรักษาการจึงไม่นึกสงสัยกับเรื่องนี้เลย ต่างมุ่งความสงสารไปยังเด็กผู้หญิงแทบทั้งหมด เป็นโอกาสให้ทีมที่เหลือฉวยจังหวะเคลื่อนกำลังไปได้ง่ายๆ
   รูฟัสตามมาหลังจากนั้นไม่นาน พอถามว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น เจ้าเด็กตาสองสีก็ทำหน้าเศร้า สะอึกสะอื้นแล้ว แค่นเสียงอย่างน่าสงสาร “อย่าขู่หนูเลยค่ะ”
   ให้ตายสิ เกิดมายังไม่เคยนึกอยากง้างเท้าถีบเด็กคนไหนมากขนาดนี้มาก่อนเลย
--------------------------------------------
   เสียงปืนที่ดังขึ้นทำให้รูฟัสมีโอกาสได้ฟังบทสนทนาที่เป็นประโยชน์ เด็กหนุ่มที่นั่งคุยกันอยู่ลุกขึ้นยืนทันที สักพักก็มีเสียงตะโกนเข้ามา
   “เจอไอ้คนที่แอบตามมาแล้ว พวกนายจะลงไปช่วยลุยหรือจะขึ้นไปอยู่กับลุดวิกด้านบน?”
   คนได้ฟังตอบอย่างไม่รอช้า “ต้องออกไปลุยอยู่แล้ว ใครมันจะอยากนั่งคุยกับเด็กกันล่ะ ไปกันเถอะ”
รูฟัสนึกดีใจที่เจ้าพวกนี้เป็นแค่นักเลงกระจอก ไม่นึกระแวดระวังอะไรมาก ถ้าพวกนี้เฮกันออกไปหมด งานเขาก็ง่าย สงสัยจะต้องขอบคุณนิโคลัยที่มาแทนราฟาแอลได้ตรงเวลา
---------------------------------------------
   นิโคลัยยิงโต้ไปพลางถอยรถไปพลาง เป็นโชคดีที่ถนนข้อนข้างกว้าง และมีมุมตึกให้พอจะหลบกระสุนได้ ชายวัยกลางคนผู้มีฟันทำจากเงิน เปิดช่องกระจกด้านบนรถออก คว้าปืนกลกึ่งอัตโนมัติที่วางอยู่ตรงเบาะข้างขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยปากเรียก
   “เฮ้ย ไอ้หนู ขยับมาตรงนี้หน่อยซิ ให้ไวเลย หยิบแมกกาซีนมาด้วย สักสองสามอัน”
   เอ็ดการ์ดตะลีตะลานคลานไปยังเบาะหน้าทั้งที่ตัวยังสั่นพับๆ โดยไม่ลืมจะหยิบตลับสีดำยาวนั้นติดมือไปด้วย มันหนักเอาการทีเดียวสำหรับเด็กอายุแค่แปดขวบ
   “เอาล่ะ มุดลงไป กดคันเร่งไว้นะ เออ อันแบนๆ นั้นแหละ”
   เด็กน้อยไถลตัวลงไปใต้ที่นั่ง มองเห็นคันเหยียบสองคัน เขาเลือกกดลงไปอันหนึ่ง รถแท็กซี่หยุดกึกทันที
   “โอ๊ย ไม่ๆๆ” ชายวัยกลางคนรัวเสียง ขณะที่กลุ่มคนวิ่งมาพ้นมุมตึก เขาตะโกนขึ้นต่อ
   “กดอีกอัน!”

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   เอ็ดการ์ดทำตามทันที ผลคือรถพุ่งถอยหลังจาคนยืนเกือบหน้าคะมำ เสียงสาดกระสุนดังตามหลังจากนั้น
   “โอเคแล้วไอ้หนู ยกมือขึ้นมาหน่อย อย่ากดแน่น” นิโคลัยตะโกนแข่งกับเสียงกระสุน ขณะที่รถพุ่งถอยหลังด้วยความเร็วน่าหวาดเสียว เขาใช้ขาข้างหนึ่งประคองพวงมาลัย และสาดปืนกลเข้าใส่พวกที่วิ่งดาหน้าเข้ามา พลางนึกดีใจที่เพิ่งเปลี่ยนรถเป็นเกียร์ออโต้ ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องปวดหัวกับการสอนเด็กขับรถแน่ๆ
   เสียงปืนกลดังอื้ออึงจนหูอื้อ เอ็ดการ์ดเพิ่งเรียนรู้ว่าการกดคันเร่งแรงเบาทำให้รถเคลื่อนที่เร็วต่างกัน และแป้นเหยียบอีกข้างเหมือนจะเป็นเบรก ในความอื้ออึง เขารู้สึกเหมือนคนขับรถขยับตัวลงมาจากด้านบน
   “แจ๋ว” นิโคลัยว่า เขาหดตัวหลบกระสุนที่สาดเข้ามาเพื่อเปลี่ยนแมกกาซีนปืน ดูเหมือนปืนกลจะเป็นคำขู่ที่ได้ผล พวกนั้นไม่กล้าทะเล่อทะล่าวิ่งตามมาอีก เขาเปลี่ยนแมกกาซีนเสร็จแล้วจึงดึงตัวเด็กน้อยขึ้นมา
   “ไปนั่งตรงนั้น แล้วถือนี่เอาไว้”
   เอ็ดการ์ดรับปืนกลมาถือขณะที่ปืนไปนั่งเบาะข้าง น้ำหนักของมันหนักพอสมควร แต่ด้วยอารามตกใจ เด็กน้อยจึงอุ้มมันและกอดไว้แน่น นิโคลัยกลับมาประจำที่นั่งคนขับ และขับรถถอยเลี้ยวผ่านมุมตึกอีกมุมหนึ่ง พลางภาวนาไม่ให้มีใครแอบซุ่มอยู่ด้านหลัง
-----------------------------------------------------
   ฟ่งตกใจกับเสียงปืน เขาเงยหน้าขึ้นไปและเห็นรูฟัสกำลังจ้องผ่านรูที่มีแสงลอดเข้ามา ชายหนุ่มส่งเสียงด้วยความร้อนใจ “รูฟัส!”
   หนุ่มตาสองสีส่งเสียงชู่วเบาๆ ก่อนจะผลักบานเลื่อนสนิมเขรอะนั้นออกไป เสียงครืดของมันทำเอาฟ่งเผลอกลั้นหายใจ
   เศษซากผุพังของบานปิดโลหะร่วงหล่นลงมาจนทำให้ฟ่งต้องก้มหน้าอีกครั้ง รูฟัสปีนออกไปทางช่องทิ้งขยะ และค่อยโผล่หน้าเข้ามา
   “ไหวรึเปล่าครับ?”
   ฟ่งแข็งใจตะกายขึ้นไป รูฟัสเอื้อมมือมาด้วยดึงหนุ่มสวมแว่นออกมาจากช่องทิ้งขยะอย่างทุลักทุเล ฟ่งเลื่อนแว่นตาที่เกือบเลื่อนหลุดให้เข้าที่ และปัดเศษปูนเก่าออกจากมือที่เจ็บจนชาไปหมด โชคดีที่ใส่ถุงมือเอาไว้เลยทำให้ผิวไม่ถึงกับถลอก รูฟัสยิ้มให้นิดหน่อย ก่อนจะพูดเสียงเบา
   “เอาหมวกมารึเปล่าครับ?”
   ฟ่งพยักหน้า ชายหนุ่มจึงพูดต่อเร็วปรื๋อ “เอามาสวมไว้เร็วครับ”
   หนุ่มสวมแว่นทำตามอย่างไม่เข้าใจนัก รูฟัสดึงขอบหมวกลงมาจนเกือบจะชนกับตัวแว่น และพูดต่อ “ใส่เอาไว้แบบนี้นะครับ อย่าพยายามเงยหน้ามองใคร แล้วตามผมมานะ”
   ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ รูฟัสยันตัวลุกขึ้น ถูเศษดินออกจากมือ และก้าวเท้าขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว
   ฟ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามรูฟัสไปด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก เสียงปืนด้านนอกยังดังอยู่เป็นระยะๆ ฟ่งนึกเป็นห่วงเอ็ดการ์ดและคนขับรถ เสียงปืนที่ดังขึ้นนั่นมาจากพวกแก๊งอันธพาลเหล่านี้ หรือมาจากรถแท็กซี่คันนั้นกันแน่ ฟ่งคิดว่าคนขับรถธรรมดาคงไม่บ้าขนาดขับรถฝ่าห่ากระสุน แล้วยังปล่อยให้คนนั่งยิงปืนในรถแบบนี้หรอก บางทีรูฟัสกับคนขับรถอาจจะรู้จักกันมาก่อน  พอนึกว่ารูฟัสเกิดและเติบโตที่นี่ ทำอาชีพแบบนี้ ที่ว่าไว้ใจได้ของรูฟัสนี่ ไว้ใจแบบไหนกันนะ?
   เสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากบันไดทางด้านบน ฟ่งที่คิดจะอ้าปากถามจึงต้องรีบก้มหน้าและหุบปากทันที เขานึกสงสัยว่ารูฟัสจะทำอย่างไรกันแน่ หากคนพวกนั้นเดินมาพบเข้า หนุ่มตาสองสียังคงก้าวเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ราวกับไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเหล่านั้นก็ปาน
   ฟ่งกลั้นใจ วิ่งตามรูฟัสขึ้นไป เขาไม่รู้ว่าคนข้างหน้าตั้งใจจะให้ถูกพบตัวหรืออะไรแน่ แต่เรื่องแบบนี้รูฟัสมีประสบการณ์มากกว่าเขา เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ๆ เรื่อยๆ แล้วฟ่งก็ได้ยินเสียงพูดกึ่งตะโกนที่เขาฟังไม่ออก หนุ่มสวมแว่นแทบหยุดหายใจ รูฟัสพูดคุยอะไรบางอย่างกับคนพวกนั้นแล้วออกวิ่งต่อ ราวกับคนที่ผ่านมาเป็นพวกเดียวกันก็ปาน
   หนุ่มสวมแว่นวิ่งตามคนด้านหน้าขึ้นไปต่อ รู้สึกพิศวงกับความใจเย็นของรูฟัส นี่สินะความชำนาญด้านอาชีพที่ใครๆ พูดถึง เขาที่วันๆ นั่งๆ นอนๆ ทำงานอยู่กับโต๊ะ ถ้ามาเจอสถานการณ์แบบนี้สงสัยจะไปไม่รอดตั้งแต่ก้าวแรก ฟ่งก้าวเท้าตามรูฟัสไปด้วยความมั่นใจมากขึ้น
ถ้าเป็นผู้ชายคนนี้ ต้องทำสำเร็จแน่ๆ
รูฟัสกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นไปบนแฟลตชั้นแล้วชั้นเล่า จนฟ่งเริ่มหอบแฮ่ก ขณะที่วิ่งขึ้นมาถึงราวๆ ชั้นที่สี่ จู่ๆ รูฟัสก็หยุดกึก ยื่นมือมาคว้าตัวเขาเอาไว้กะทันหัน ก่อนจะกระซิบเบาๆ
“ขอโทษนะครับ”
ฟ่งอ้าปากเหวอ รูฟัสดึงหมวกเขาออกและใช้แขนล็อกคอเอาไว้ ก่อนจะลากตัวเขาขึ้นบันไดต่อไป ฟ่งเพิ่งสังเกตเห็นว่าบนชั้นนี้มีคนยืนจับกลุ่มกันราวๆ ห้าหกคน เขาได้ยินเสียงรูฟัสตะโกนอะไรบางอย่าง ฟ่งดิ้นขลุกขลักทันที
“เฮ้ นี่มันไอ้หนุ่มต่างชาติที่เจอพร้อมกับไอ้หนูนั่นนี่นา” หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น ผมสีดำน้ำตาลที่ขึ้นหรอมแหรมอยู่บนหัวและเคราที่ตัดแต่งอย่างไม่ได้เรื่อง ทำให้รูฟัสพอจะเดาได้ว่าคงเป็นหนึ่งในพวกที่จี้ฟ่งเอาไว้ ในขณะที่อีกคนไปพาตัวเด็กออกมา เขาเก็บความคิดของตัวเองเอาไว้ ขณะที่ทางนั้นพูดต่อ “แกไปเจอมันที่ไหน?”
“ด้านล่าง” ชายหนุ่มตอบและพูดด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง “ผมเห็นเจ้านี่เดินลับๆ ล่อๆ อยู่ข้างแฟลต เลยจับตัวเอาไว้”
คนตัวใหญ่เดินเข้ามาใกล้ ใช้มือหน้าหนักจับใบหน้าของฟ่งขึ้นมา หนุ่มสวมแว่นขมวดคิ้วด้วยความโมโห
“เออ ใช่จริงๆ ” ชายตัวใหญ่ว่า อีกเสียงหนึ่งดังแหวกออกมา
“มุงอะไรกันน่ะ?”
เป็นคนเคราสีอ่อนที่ใช้มีดจี้ฟ่งเอาไว้นั่นเอง พอเห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้น ชายคนนั้นก็เบิ่งตาอย่างแปลกใจ “นักท่องเที่ยวผู้กล้าหาญเรอะ ฆ่าเจ้าพวกนี้ไม่ได้ด้วยสิ เดี๋ยวจะเป็นปัญหาใหญ่ เอาไปเก็บไว้ก่อนแล้วกัน นี่ แล้วมีใครมาบอกแล้วยังว่าไอ้แท็กซี่เวรนั่นมันเป็นใคร?”
คนที่เหลือสั่นศีรษะ ชายผู้มีเคราสีอ่อนพูดต่อ “มันไม่ธรรมดาแน่ แท็กซี่บ้าที่ไหนจะให้ผู้โดยสารยิงปืนออกมาจากรถวะ ไอ้หนุ่มนี่อาจจะเป็นตัวล่อให้เราเขวก็ได้ ฉันจะลงไปดูด้วย ยังไงก็ต้องเก็บพวกมันให้ได้”
พูดพลางก้าวพรวดๆ ลงบันไดไปทันที รูฟัสเงยหน้าขึ้นมองคนตัวใหญ่เป็นเชิงถาม
“แล้วจะให้ทำไงกับหมอนี่ล่ะ”
   คนถูกถามมองดูชาวต่างชาติที่กำลังดิ้นรนขัดขืนเต็มที่ ทำเอาคนจับต้องใช้แขนอีกข้างล็อกมือเอาไว้ ชายร่างสูงพูดต่อ “เดี๋ยวฉันไปถามลุดวิกก่อนแล้วกัน ชิ เบื่อพวกต่างชาติชะมัด”
   เขาว่า และหันหลัง เดินตามทางเดิน เลี้ยวไปยังห้องห้องหนึ่งที่ยังทุบผนังออกไม่หมด
   “เฮ้  ลุดวิก มีคนจับไอ้หนุ่มต่างชาติที่อยู่กับเด็กได้ที่ชั้นล่างแนะ จะให้ทำยังไง”
   ลุดวิกที่กำลังใช้กล้องส่องทางไกลมองดูสถานการณ์ด้านล่างหันหลับมาทันที “หืม?”
   “นายจำไอ้ผู้ชายต่างชาติที่อยู่กับเด็กได้ไหม?” ชายตัวใหญ่พูดต่อ เกรเกอรี่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ถูกจับมัดมือไพล่หลังเอาไว้ ตาและปากถูกผูกผ้าปิดเอาไว้อยู่ เลยไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างไรกับคำพูดเหล่านี้บ้าง แต่ลุดวิกมีปฏิกิริยาอย่างเห็นได้ชัด
   “เจ้าหนุ่มนั่นรึ? มันมากับแท็กซี่? ใครจับมันได้ล่ะ?”
   คนตัวใหญ่ถึงกับอึ้งไปทันที ลุดวิกมองดูเพื่อนร่วมอาชีพ และถามต่อ “ใครจับมันได้?”
   คนถูกถามไม่ตอบ เขาพึมพำออกมา “ตายห่า!”
   “ช่าย ตายห่า” เสียงพูดทวนดังมาจากด้านหลัง ยังไม่ทันจะหันไปมอง เสียงแผดลั่นของลูกตะกั่วที่ถูกอัดด้วยดินประสิวก็ดังขึ้น ลุดวิกชักปืนออกมาในวินาทีนั้น แต่ก็ดูจะช้าไป เสียงลั่นกระสุนดังขึ้นอีกครั้ง ปืนในมือหล่นลงทันที ขณะที่เจ้าตัวส่งเสียงร้องพร้อมกับเอามือกุมหัวไหล่ ชายร่างใหญ่ซึ่งยืนอยู่เมื่อครู่ ตอนนี้ลงไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้น ยกมือขึ้นกุมรอยกระสุนที่ขา
   รูฟัสยังคงเล็งปืนในมือไปยังพวกที่นอนโอดโอยอยู่ ขณะที่ฟ่งวิ่งแผล่วไปหาเด็กที่ถูกจับมัดเอาไว้ เขาใช้มีดพกที่รูฟัสหยิบให้ระหว่างที่จัดการกับพวกด้านนอกออกมาตัดเชือกที่มัดเกรเกอรีอยู่ จัดการถอดผ้าปิดตาและปิดปากออก
   “พี่ชาย!” เด็กน้อยพูดอย่างดีใจและเบิ่งนัยน์ตากว้างเมื่อเห็นคนมาช่วย ฟ่งยิ้มและรีบอุ้มเขาขึ้นมา ได้ยินเสียงปืนอีกหนึ่งนัด หนุ่มสวมแว่นรีบยกมือขึ้นปิดตาเด็กน้อยทันที
   ชายร่างใหญ่ร้องเสียงลั่น เมื่อหัวไหล่ถูกยิง เขาปล่อยปืนในมือทิ้ง และยกมือขึ้นกุมบาดแผล เลือดไหลนองพื้น
   “ฟ่งครับ ออกไปก่อน” รูฟัสว่า และใช้เท้าเตะปืนที่หล่นอยู่ออกไป ลุดวิกถลึงตามองเขาเหมือนคนบ้า
   “แกเป็นใครว่ะ?! ตำรวจรึไง?”
   “เปล่า” รูฟัสตอบ และเดินเข้าไปใกล้ ได้ยินเสียงทางนั้นหัวเราะ “แกเองสินะที่เป็นคนยิงปืนจากแท็กซี่นั่น แต่แกหนีไม่รอดหรอก พวกฉันที่อยู่ด้านล่างไม่ปล่อยแกเอาไว้แน่”
   “ก็คงงั้น” รูฟัสว่า และยกปืนขึ้นจ่อหน้าผากของผู้ที่นอนอยู่ “โทษฐานที่แกไปยุ่งกับแฟนฉัน”
   เสียงแผดของดินประสิวดังสะท้อนกับกำแพงแฟลต ลุดวิกหน้าซีด กลิ่นเหม็นไหม้ลอยมาจากด้านบนศีรษะ พร้อมกับความเจ็บแปลบบนหนังหัว แต่ที่เหนืออื่นใด ดวงตาใต้แว่นตาสีชานั่น...
   “กะ...แก!!!”
   รูฟัสพยักหน้า พลางมองดูคนที่เส้นผมตายไปแถบหนึ่งบนหัวฟุบหน้าลงไปทั้งๆ ที่ยังพูดไม่จบ
   ยิงถากหนังหัวแค่นี้ คงไม่ประสาทอ่อนจนช็อกตายไปหรอกนะ
--------------------------------------------------
   นิโคลัยถอยรถออกมาได้พักหนึ่งแล้ว ความเอะอะเอ็ดตะโรเบาลงไปได้ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะได้ยินเสียงปืนดังก้องมาจากแฟลต ชายวัยกลางคนหักพวงมาลัยรถเพื่อเปลี่ยนทิศทางทันที
---------------------------------------------------
   ฟ่งอุ้มเกรเกอรี่วิ่งลงมาตามทางเดินบันได้ เขาได้ยินเสียงใครคนหนึ่งวิ่งตามหลัง
   “รู้ทางแน่นะครับ”
   รูฟัสนั่นเอง ฟ่งไม่รู้ว่าเขาฆ่าใครในห้องไปรึเปล่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาห่วงเรื่องแบบนั้น หนุ่มสวมแว่นพยักหน้า
   “พอเดาได้น่ะ” เขาตอบ รูฟัสนึกแปลกใจ แต่ก็วิ่งตามไปเงียบๆ เขาไม่รู้ว่าฟ่งไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ทั้งๆ ที่เพิ่งมาสถานที่แบบนี้เป็นครั้งแรกแท้ๆ ขนาดเขาเองที่อยู่มาตั้งหลายปี ยังไม่กล้าแน่ใจเลย ปกติเวลาทำงาน เขามักจะต้องศึกษาโครงสร้างของสถานที่เป้าหมายและรอบๆ อย่างคร่าวๆ ถึงละเอียด เพื่อใช้คำนวณเส้นทางหลบหนี แน่นอนว่ารูฟัสทำงานโดยวางแผนไว้ก่อน คงจะมีแค่คราวนี้แหละที่เป็นงานแบบฉุกละหุก และไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย ไม่ว่าฟ่งจะเอาความมั่นใจมาจากไหน ก็หวังว่าจะวิ่งออกไปตรงที่ตรงเวลา ไม่เจอกับไอ้เจ้าพวกด้านล่างที่กำลังวิ่งกรูกันขึ้นมา
   รูฟัสแน่ใจว่าคนที่อยู่ด้านนอกต้องได้ยินเสียงปืน เขาตั้งใจยิงออกไปเอง เพราะการปล่อยให้นิโคลัยรับมือกับคนพวกนั้นนานๆ ใช่ว่าจะปลอดภัย ไหนจะมีเด็กอยู่ด้วยอีก ชายหนุ่มจำต้องดึงความสนใจของพวกนั้นบ้าง
   ฟ่งอุ้มเด็กและพารูฟัสวิ่งตามบันได ข้ามกำแพงห้องที่ถูกทุบเหลือไว้แค่เข่า ผ่านทะลุระหว่างห้องและไปออกยังบันไดอีกฝั่งหนึ่ง เขาได้ยินเสียงตะโกนและเสียงคนกำลังวิ่งขึ้นบันได ฟ่งมองซ้ายมองขวา และวิ่งข้ามกำแพงเตี้ยๆ ออกไปอีกฝั่งหนึ่ง เข้าไปหลบหลังผนัง ด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก
   รูฟัสไม่รู้ว่าฟ่งทำได้ยังไง หนุ่มสวมแว่นพาเขาวิ่งลัดเลาะ มาโผล่ยังบันไดอีกฟากหนึ่ง ทั้งสามคนวิ่งลงบันไดจนมาออกที่ชั้นหนึ่ง ฟ่งพาเขาวิ่งไปยังลานซึ่งเคยเป็นห้องชุดแถวหลัง พอออกไปถึงระเบียง รูฟัสก็เห็นรถแท็กซี่คันเดิมจอดอยู่ เขารับเด็กมาจากฟ่ง และกระโดดตามหนุ่มสวมแว่นลงไป ตรงไปยังรถแท็กซี่ ก่อนที่คนขับจะใส่เกียร์ พุ่งรถออกไป
--------------------------------------------
   ฟ่งรู้สึกดีใจจนแทบจะร้องออกมา เขาไม่คิดว่าตัวเองจะทำแบบนี้ได้ ชายหนุ่มกระโดดลงจากรถแท็กซี่และพูดกับเอ็ดการ์ดเพื่อให้บอกคนขับว่าต้องขับรถไปรับพวกเขาตรงไหน แล้วก็เดินไปหารูฟัสทั้งอย่างนั้น ตอนที่แกล้งถูกจับ ฟ่งยังนึกแขยงว่าเขาจะโดนชกท้องอีกหรือเปล่าที่อาละวาดสมจริงสมจังขนาดนั้น ดีหน่อยที่รูฟัสพยายามล็อกเขาไว้ทัน
   หนุ่มสวมแว่นหอบหายใจแฮ่กอยู่ในรถที่แล่นออกไปด้วยความเร็วสูง รูฟัสส่งตัวเกรเกอรีมายังเบาะหลัง เมื่อเห็นหน้าเอ็ดการ์ด หนูน้อยทั้งสองก็โผเข้ากอดกันทันที แต่ยังไม่ทันที่ฟ่งจะซาบซึ้งกับภาพการพบกันนั้น เสียงลั่นของลูกกระสุนก็ดังขึ้นด้านหลัง ชายหนุ่มหมอบลงกับเบาะรถทันที และเจ้าหนูทั้งสองที่ยังอยู่ในอาการตกใจให้หมอบลงด้วย
   เสียงปืนยังคงดังอีกสี่ห้านัด จากนั้นฟ่งก็ได้ยินเหมือนเสียงเปิดประตูรถ และเสียงรัวเป็นตับราวกับจุดประทัดก็ดังตามมา ตามด้วยเสียงตะโกนโหวกเหวกที่เขาฟังไม่ได้ศัพท์
----------------------------------------------
   รูฟัสไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเล็ง เพราะเขาไม่ใช่มือปืนที่ชำนาญขนาดจะยิงให้แม่นบนรถที่ขับส่ายแบบนี้ได้ และเขามีปืนกลอยู่ในมือ แล้วจะเสียเวลาเล็งไปทำไมกันล่ะ
   รถที่ตามมาเสียหลักพุ่งออกข้างทางทันที แม้จะยังมีตามหลังมาอีกสองสามคัน แต่ก็ทิ้งระยะห่างออกไปเรื่อยๆ ลงเพราะไอ้เจ้า Scorpion SV361ในมือของเขาล่ะมั้ง ให้ตายสิ ไม่รู้ดีหรือบ้ากันแน่ที่นิโคลัยพกของอย่างนี้ติดมาในรถด้วย ชายหนุ่มหรี่ตามอง ยังมีอีกเรื่องที่เขายังไม่ได้สะสาง
   “เฮ้ย รูฟัส จะทำอะไรวะ?” นิโคลัยถามอย่างสงสัยเมื่อหนุ่มตาสองสีมุดกลับเข้ามาในรถ วางปืนลงและโผล่ศีรษะออกไปอีกรอบ รูฟัสพูดสั้นๆ
   “สั่งสอนนิดหน่อย”
   ในมือของชายหนุ่มปรากฏมีดพกเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่ง นัยน์ตาสองสีหรี่มองผ่านแว่นตาสีชา เขาอาจจะยิงปืนไม่แม่นก็จริง แต่ถ้าเป็นเรื่องขว้างมีดล่ะก็.....
   ชายผู้มีเคราสีอ่อนแหกปากร้องลั่น เขากำลังชะลอรถ เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมีปืนกล และกำลังจะออกถนนใหญ่ จึงไม่ควรเสี่ยงออกไปลุยด้วย จังหวะนั้นเองที่วัตถุบางอย่างลอยทะลุกระจกเข้ามา เสียบเข้าตรงใบหูของเขาพอดี เลือดสดๆ ไหลทะลักออกมาเจิ่งหัวไหล่
   หนุ่มตาสองสีขยับแว่นตาสีชาให้เข้าที่ ขณะมองรถที่เสียหลักไถลไปตามไหล่ทาง
---------------------------------------
   รถแท็กซี่วิ่งเข้ามาสู่ถนนใหญ่ ฟ่งรู้สึกหายใจได้คล่องคอขึ้น เพราะไม่มีใครตามมาอีก เขาชะโงกหน้ามาถามคนนั่งด้านหน้า
   “รูฟัส นี่มันอะไรกันน่ะ?”
   คนถูกถามทำหน้าแปลก “อ้าว ก็คุณบอกให้ผมมาช่วยเด็กไงครับ”
   “ไม่ใช่ ผมหมายถึง คุณกับคนขับรถแท็กซี่ คุณสองคนเป็นอะไรกัน?”
   หนุ่มนัยน์ตาสองสียิ้มออกมา เขาหันไปคุยกับคนขับรถสองสามคำ แล้วจึงหันมาพูดต่อ
   “อ้อ เขากับผมเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันน่ะ อืม...คุณรู้จักเคจีบีรึเปล่าครับ? เป็นหน่วยงานลับทางทหารของรัสเซียน่ะ อ้อ...แต่เขาไม่ใช่เคจีบีหรอกนะ ผมก็เหมือนกัน”
   ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ เขาเคยได้ยินเรื่องของเคจีบีมาบ้าง เหมือนจะเป็นสายลับของรัฐบาลรัสเซียนี่แหละ ต่อให้รูฟัสกับคนขับรถเป็นเคจีบีจริงๆ เขาก็คงไม่รู้สึกแปลกใจตรงไหน ก็ดูที่คนพวกนี้ทำสิ
   “สรุปว่า เขาเป็นแค่เพื่อนเก่าคุณ? อืม...ผมไม่ยักรู้ว่าที่รัสเซีย คนขับแท็กซี่จะพกปืนกลไปไหนมาไหนด้วย” ฟ่งว่า รูฟัสยิ้มแห้งๆ
   “เอ่อ....ก็คงไม่ทำขนาดนี้ทุกคนหรอกครับ เอาว่าเขากับผมเคยเกี่ยวข้องกับพวกเคจีบีนิดหน่อย อืม เรียกว่าผู้ช่วยก็คงได้”
   “แต่ไม่ได้เป็นเคจีบี”
   “ไม่ได้เป็นครับ ก็แค่เคยทำงานด้วยกันเฉยๆ “
   ฟ่งรู้สึกว่าถึงถามต่อ รูฟัสก็คงไม่บอกอะไรกับเขาเท่าไรหรอก แต่ที่น่าสงสัยคือ สองคนนี่บังเอิญมาเจอกันได้ยังไง
   “คุณนัดเขาไว้เหรอ?”
   “?”
   “ก็เรามาถึงรัสเซียวันแรก คุณก็ขึ้นแท็กซี่คันนี้ วันนี้ก็คันนี้อีก พวกคุณนัดกันใช่ไหม?”
   รูฟัสหัวเราะออกมา เขาหันไปคุยอะไรกับคนขับอีกหนหนึ่ง
   “พูดไปคุณคงไม่เชื่อ ผมอาจจะวางแผนอะไรๆ ไว้เยอะในทริปเที่ยวครั้งนี้ แต่เรื่องเจอนิโคลัยนี่ บังเอิญขนานแท้เลยล่ะครับ เขาเองก็ไม่คิดว่าจะเจอผมเหมือนกัน”
   ได้ยินเสียงนิโคลัยพูดแทรกด้วย แต่ฟ่งฟังไม่ออก จึงหันไปมองรูฟัส
   “อ้อ...เขาบอกว่า ยินดีที่ได้เจอคุณกับผมมากเลยล่ะ”
   เป็นโชคดีแล้วที่ฟ่งฟังภาษารัสเซียไม่ออก เพราะสิ่งที่นิโคลัยพูดคือ “ไอ้เด็กเวรนี้มันเป็นตัวนรกเลยล่ะ”
   ฟ่งพยักหน้าหงึกหงัก จังหวะนี่เองที่เกรเกอรีและเอ็ดการ์ดซึ่งพอจะตั้งสติได้แล้วมีโอกาสถามแทรกขึ้นมา
   “พวกเราจะไปไหนต่อฮะ?” เกรเกอรีเอ่ยถามขึ้นเป็นภาษารัสเซีย หน้าของเขายังคงมีรอยผ้าที่ใช้ปิดปากอยู่ แต่ไม่มีบาดแผลอื่น ฟ่งรู้สึกดีใจจริงๆ ที่เด็กคนนี้ไม่เป็นอะไรมาก รูฟัสหันหน้ามาพูดอีกครั้งหนึ่ง
   “เอาเธอไปส่งที่บ้านไง คุณหนู”
   ทันใดนั้นเอง สายตาของรูฟัสก็ชะงักกึก เขาจ้องเกรเกอรี่เหมือนเห็นเขางอกอยู่บนหน้าของเด็กน้อย ก่อนจะถอดแว่นตาสีชาออก ดวงตาของเกรเกอรีและเอ็ดการ์ดเบิ่งกว้างทันที หลังจากนั้นสักพัก ฟ่งถึงได้พูดแทรกขึ้น
   “ผมกำลังจะบอกคุณพอดี ว่าเกรเกอรีตาสองสีเหมือนคุณเปี๊ยบเลย”
------------------------------------------------------
** ตอนนี้ไม่เหมาะกับเด็กอย่างรุนแรง ฮ่าๆๆ นิโคลัยสอนอะไรเด็กคะ!!! o22

และ... ก็ได้รู้เบื้องลึกเบื้องหลังขอรูฟัสมาอีกนิดนึง (จริงดิ? นั่นเรียกรู้เหรออออ!!!)

ความลับของรูฟัสยังเฉลยไม่หมด (แน่นอนว่ากระทั่งตอนนี้คนเีขียนก็ยังไม่สามารถระบุบางเรื่องได้ว่าจริงหรือไม่<<อ้าว ตกลงเอ็งเขียนจริงป่าวเนี่ย!!)

พระเอกคนนี้เป็นคนที่ลึกลับสุดๆ เลยล่ะค่ะ^.^

ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
บู๊สนุกที่สุด o13
ฟ่งบ้าดีเดือดได้ใจมากๆค่ะ  กลุ้มแทนรูฟัสจริงๆ
หวังว่าหนูเกเกอรีจะไม่ใช่ญาติฝ่ายไหนของรูฟัสหรอกนะ  เป็นญาติกับ สส. คงเท่ไม่หยอก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Horizon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1731
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-22
สนุกมากเหมือนดูหนังสายลับ
รูฟัสเจอญาติ??
+1

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
ว้าวว

เกรเกอรี่เป็นพระเอกเรื่องถัดไปป่าว :laugh:

ออฟไลน์ entirom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1010
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-2
เอ่อออออออออออออออ





















คงไม่ใช่ลูกของรูฟัสหรอกน่ะ
 :a5:

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog

บทที่83 คำสาบานที่ปราศจากคำพูด
   รถแท็กซี่ที่มีรอยกระสุนพรุนไปครึ่งคัน แล่นมาจอดหน้าอาพาร์ตเมนต์ระดับกลางแห่งหนึ่งในย่านที่อยู่อาศัยเก่าของกรุงมอสโคว์
   “ที่นี่น่ะรึ?” คนขับรถแท็กซี่ถาม เด็กน้อยเกรเกอรีพยักหน้า
   “บ้านผมอยู่ชั้นบนนี่แหละฮะ” เขากล่าว และพูดต่อ “ลุงจะขึ้นไปด้วยกันรึเปล่าฮะ?”
   นิโคลัยหัวเราะหึๆ “ไม่ดีกว่า เธอไปกับพ่อหนุ่มสองคนนี่ก็พอแล้ว ฉันยังต้องรีบไปรับผู้โดยสารอีก”
   เด็กน้อยทำหน้าแปลก ขณะที่รูฟัสย่นคิ้ว “นี่ไม่ใช่วางแผนจะไปทำเรื่องอะไรอีกนะ?”
   “ประโยคนั่นฉันน่าจะพูดกับแกมากกว่า” คนถูกถามย้อน พลางยิ้มแยกเขี้ยว “ก่อนลงอย่าลืมจ่ายค่ามิเตอร์ด้วยนะเฟ้ย”
   รูฟัสควักเงินรูเบิ้ลออกมาจากกระเป๋าปึกหนึ่งโดยไม่นับ เขายื่นมันให้เพื่อนเก่า ก่อนจะก้าวลงจากรถ “หวังว่าคงพอซ่อมสีนะ”
   นิโคลัยหัวเราะลงลูกคอ ขณะที่คนอื่นๆ ทยอยลงจากรถ เสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น
   “คุณลุงฮะ” เอ็ดการ์ดยื่นหน้ามาจากที่นั่งด้านหลัง นัยน์ตาสีน้ำตาลมองไปยังใบหน้าของชายซึ่งเพิ่งพาเขาสู่โลกที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
   “อ้าว เจ้าหนูขี้แยนี่ ไม่ร้องไห้แล้วรึ?” นิโคลัยเย้า เอ็ดการ์ดสั่นศีรษะ “ผมจะไม่ร้องไห้อีกแล้วล่ะฮะ ขอบคุณนะฮะ”
   ผู้สูงวัยกว่าทำหน้าแปลก ก่อนจะก้มลงไปหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากใต้เบาะ
   “เออ ฉันให้ ถือว่าเป็นที่ระลึกแล้วกัน”
   ปลอกกระสุนปืนกลกึ่งอัตโนมัติถูกหย่อนลงในมือเด็กน้อย เอ็ดการ์ดเบิ่งตากว้าง
   “เอาไปทำจี้ห้อยคอก็ได้นะ ถ้าพ่อแม่เธอไม่ว่า” นิโคลัยพูดพลางหัวเราะ เอ็ดการ์ดเก็บปลอกกระสุนในกระเป๋าเสื้อ กว่าที่เขาจะรู้ว่ามันคืออะไร ก็หลังจากนั้นอีกหลายปี เด็กน้อยกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะลงจากรถ
   คนทั้งสี่มองดูรถแท็กซี่ที่มีรอยกระสุนครึ่งคันแล่นออกไปด้วยความรู้สึกแตกต่างกัน รูฟัสนึกโล่งใจที่นิโคลัยไม่ถามถึงสีตาของเขากับเกรเกอรี ไม่สิ ทางนั้นคงรู้อยู่แล้วว่านี่เป็นเรื่องไม่ควรถาม และไม่ใช่เรื่องที่ควรจะรู้
ฟ่งมองไล่หลังรถแท็กซี่ นึกสงสัยว่าจะมีตำรวจกล้าเรียกระหว่างทางรึเปล่า แล้วถ้าถูกเรียก คนขับจะตอบว่าอย่างไร แต่นั่นคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับคนพวกนี้ล่ะมั้ง
เกรเกอรีรู้สึกแปลกใจกับคนขับรถแท็กซี่ปริศนา ที่มารับเขาด้วยรอยกระสุนทั้งคัน และยังผู้ชายสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ นี่อีก คนพวกนี้เป็นใครกันนะ เป็นตำรวจรึเปล่า ทำไมถึงเสี่ยงเข้าไปช่วยเขา แต่ที่น่าแปลกใจกว่านั้น คือคนที่ยืนจับมือเขาอยู่นี่แหละ
เกรเกอรีหันไปมองเอ็ดการ์ดอย่างแปลกใจเป็นที่สุด ปกติเจ้าหมอนี่มักจะร้องไห้อยู่เสมอๆ นี่นา ขนาดแค่ทำไอศกรีมหล่นยังร้องโยเยขนาดนั้น แต่ตอนนี้ เจ้าหมอนี่นั่งรถที่มีรอยกระสุนแบบนั้น แถมถูกไล่ยิงอีกต่างหาก แต่กลับไม่ร้องสักแอะ เอ็ดการ์ดหันมามองเขา และยิ้มกว้าง
“ดีใจจังที่นายกลับมาได้ ไว้คราวหลังฉันจะไปซื้อไอศกรีมให้ใหม่นะ”
ไม่รู้ทำไม คราวนี้เกรเกอรีกลับเป็นฝ่ายที่อยากจะร้องไห้ออกมาเสียเอง เขามองหน้าเอ็ดการ์ดพลางกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น
“ขึ้นไปหาคุณแม่ดีกว่า” เด็กน้อยว่า และหันหน้าไปมองผู้ชายอีกสองคนที่ยืนอยู่
“พวกพี่ก็ขึ้นไปด้วยกันสิฮะ”
-------------------------------------------------
   บ้านที่เกรเกอรีเรียก อยู่ในอาพาร์ตเมนต์ที่ถูกตกแต่งใหม่หลังจากพรรคคอมมิวนิสหมดอำนาจไปแล้ว เพื่อขายต่อให้กับคนที่พอมีฐานะ ตอนที่เขาไปถึงห้อง เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งเอ่ยทักอย่างตกใจ
   “ตายแล้ว เกรเกอรี เธอจริงๆ หรือนี่ พระเจ้าทรงโปรด! เธอกลับมาแล้ว ฉันต้องรีบโทรหาอลิซาเบธ”
   อลิซาเบธเป็นชื่อแม่ของเกรเกอรี เด็กน้อยเอ่ยถามอย่างแปลกใจไม่แพ้กัน “ทำไมหรือฮะ ป้ากายาห์”
   หญิงวัยราวห้าสิบปีเศษพูดต่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นตกใจ “ก็เธอหายตัวไป อลิซาเบธกลับมาหาที่ห้องก็ไม่เจอ แม่เธอดูเป็นกังวลมาก พอฉันบอกว่าเธอคงออกไปกับเอ็ดการ์ด อลิซาเบธก็พึมพำว่าแย่แล้ว แล้วก็ผลุนผลันออกไปเลย”
   เกรเกอรีพยักหน้า ตอนที่เขาถูกจับ เหมือนคนพวกนั้นจะโทรศัพท์หาแม่เขาด้วย คงตั้งใจจะข่มขู่จริงๆ นั่นแหละ พอนึกถึงเรื่องถูกลักพาตัว เด็กน้อยก็ตัวสั่นขึ้นมา
   “อ้าว แล้วพ่อหนุ่มสองคนนี่...” หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นว่าคนที่มาด้วยกันดูไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย รูฟัสยิ้มอย่างเป็นมิตร “ผมบังเอิญเจอสองคนนี่ทะเลาะกันอยู่ใกล้ๆ วัง เลยพากลับมาบ้านน่ะครับ”
   “โถ...ทะเลาะกันอีกแล้ว พวกเธอนี่น๊า สนิทกันก็ดีอยู่หรอก แต่เผลอก็ทะเลาะกันทุกที ยังไงก็ขอบคุณนะคะ ฉันคงต้องรีบโทรหาแม่ของเขาก่อน เธอจะได้ไม่เป็นห่วงเกินเหตุ” หล่อนว่า และผลุนผลันเข้าห้องไป สักพักก็ได้ยินเสียงเรียก “เกรเกอรี แม่เธออยากคุยด้วยน่ะ”
   เกรเกอรีเดินเข้าไปในห้องของหญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน เพื่อรับโทรศัพท์ สักพักเขาก็กลับออกมา และยิ้มให้กับสามคนที่เหลือ
   “คุณแม่บอกว่าอยากพบพวกคุณมาก ยังไงไปรอที่บ้านผมก่อนได้ไหมครับ”
   ฟ่งหันไปมองหน้ารูฟัส ชายหนุ่มซึ่งยังคงสวมแว่นตาสีชายืนคิดพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
-------------------------------------------
   ห้องพักที่เกรเกอรีเรียกว่าบ้านนั้น แม้จะไม่ได้ตกแต่งอย่างหรูหรา แต่ก็ถือว่าจัดได้สวยงามสะอาดตา รูฟัสหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ ขณะที่ฟ่งมองไปรอบๆ อย่างชื่นชม เกรเกอรีกับเอ็ดการ์ด เดินไปที่ครัว เพื่อหาของว่างมาให้แขก
   รูฟัสเงยหน้ามองหลังฟ่ง มองแหวนบนนิ้วตัวเอง นึกถึงกล่องใส่แหวนที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ท แล้วก็ถอนหายใจยาวออกมา
   ทำไมชีวิตถึงได้ดูมีอุปสรรค์นัก
   ฟ่งหันกลับมามองทันทีที่ได้ยินเสียงถอนหายใจ “มีอะไรหรือ?”
   รูฟัสสั่นศีรษะ เอาเถอะ เขาคงหาโอกาสมอบมันให้ฟ่งได้เองนั่นแหละ ก่อนอื่นคงต้องจัดการปัญหาที่กองอยู่ตรงหน้านี้ก่อน
   ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าการกลับมาเหยียบประเทศบ้านเกิดหลังจากห่างไปถึงสิบสามปีจะมีอะไรบังเอิญหลายๆ อย่างเกิดขึ้นพร้อมๆ กันแบบนี้
   การที่เขาได้เจอนิโคลัยก็ว่าบังเอิญมากแล้ว แต่การที่ได้เจอเจ้าเด็กที่ชื่อเกรเกอรีนี่สิ คงต้องเรียกว่าสุดยอดความบังเอิญ
   รูฟัสถึงกับพูดไม่ออกไปนาน หลังจากเห็นสีตาของเด็กน้อย ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะต้องพบผ่านส่วนหนึ่งของอดีตที่เขาทิ้งไปเมื่อนานมาแล้ว
   พ่อของเด็กคนนี้.....
   รูฟัสผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินตรงไปยังตู้โชว์ ซึ่งวางกรอบรูปเอาไว้หลายกรอบ ส่วนใหญ่เป็นรูปของผู้ชายวัยเกือบสี่สิบ มีทั้งที่แต่งตัวสบายๆ และแบบที่สวมสูท แต่ส่วนใหญ่มักจะถ่ายกับครอบครัว อลิซาเบธ แม่ของเกรเกอรีจัดว่าเป็นผู้หญิงที่ดูดีและมีความทันสมัยที่ไม่ฟุ้งเฟ้อแบบที่ผู้หญิงส่วนใหญ่เป็น เธอตัดผมสั้นรับกับใบหน้า ดวงตาสีฟ้าอ่อนเป็นประกายคมกริบ ตัดกับเรือนผมสีน้ำตาลเข้ม ข้างเธอคือผู้ชายที่เป็นพ่อของเกรเกอรี ผู้ชายที่รูฟัสเกือบจะลืมหน้าไปแล้ว
   ดวงตาสีแปลกซึ่งอยู่บนใบหน้าที่กำลังคลี่ยิ้มอ่อนโยน
   ดวงตาที่เป็นเช่นเดียวกับเขา
   “ขนมมาแล้วฮะ” เสียงของสองหนูน้อยดังขึ้น เกรเกอรีเดินมาพร้อมถาดใส่แคร็กเกอร์ โดยมีเอ็ดการ์ดถือขวดน้ำหวานและแก้วตามมาติดๆ ฟ่งเดินไปช่วยเด็กๆ ถือของ ขณะที่รูฟัสยังคงยืนมองรูปถ่ายอยู่
   “รูฟัส?” ฟ่งเอ่ยเรียกชื่อเขาเบาๆ เมื่อพบว่าฝ่ายนั้นยืนค้างอยู่เป็นนานสองนาน ขณะที่เด็กน้อยทั้งสองเองก็เงยมองเขาอย่างเป็นห่วง รูฟัสกะพริบตาสีแปลกใต้แว่นของเขาสองสามหน ก่อนจะยิ้มออกมา
   “โทษที พอดีผมคิดอะไรเพลินไปหน่อย” ชายหนุ่มว่า และหันไปช่วยยกถาดขนมวางบนโต๊ะ ฟ่งนั่งลงฝั่งตรงข้าม มองหน้าเขาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถามขึ้น
   “คุณกับเกรเกอรี ไม่สิ คุณกับพ่อของเขา เป็นพี่น้องกันหรือ?”
   รูฟัสที่กำลังหยิบแคร๊กเกอร์ขึ้นมา หยุดมือทันที เขามองหน้าฟ่ง ก่อนจะถอนหายใจ
   “ก็ไม่เชิงหรอกครับ อืม...” เหมือนรูฟัสจะไม่อยากพูดถึงอดีตของตัวเองมากนัก ตอนที่เห็นสีตาของเกรเกอรี เขามองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเฉไปพูดเรื่องอื่น ฟ่งมองรูฟัสอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
   รูฟัสคงมีเรื่องหลายอย่างที่ไม่อยากจะพูดถึง เขาก็ไม่ควรจะเซ้าซี้ถาม
   “ผมไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังอะไรคุณหรอกนะครับ” รูฟัสรีบพูด เขากลัวว่าฟ่งจะน้อยใจอีก หนุ่มสวมแว่นสั่นศีรษะทันที
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าคุณไม่อยากเล่า” ฟ่งว่า กระนั้นกลับปั้นรอยยิ้มตอบกลับไปยากเหลือเกิน ถึงเขาจะทำใจไว้แล้ว แต่ลึกๆ ฟ่งเองก็อยากรู้จักรูฟัสให้มากขึ้น อยากรู้พื้นฐานเกี่ยวกับผู้ชายที่เขาตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ด้วยคนนี้
   รูฟัสกะพริบตาอีกหลายหน เขารู้ว่าฟ่งคงไม่ได้รู้สึกเหมือนที่พูดทั้งหมด นานมาแล้วที่รูฟัสไม่เคยพูดถึงอดีตของตัวเอง ไม่สิ เขาไม่เคยพูดถึงมันกับใครเลยต่างหาก ยกเว้นผู้ชายสวมแว่นที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ หากว่าเขาจะพูดเพิ่มอีกสักหน่อย......
   “คุณ เอ่อ..จำที่ผมเคยเล่าได้ไหมครับ ที่ว่าผมเคยไปอาศัยอยู่กับป้า”
   ฟ่งพยักหน้าทันที ชายหนุ่มกะพริบตาอีกครั้ง แล้วเล่าต่อ
   “พ่อของเด็กนี่ คือลูกชายของป้าผมน่ะ จะเรียกว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกับผมก็ได้”
   “ออ....ครับ” ฟ่งพยักหน้าอีกครั้ง เรื่องนี้ก็ออกจะธรรมดานี่นา ทำไมรูฟัสถึงทำหน้าไม่อยากเล่าในตอนแรกล่ะ?
   “คุณเคยทะเลาะกับเขาหรือครับ?” ฟ่งถามต่อ คนถูกถามสั่นศีรษะ พร้อมมีสีหน้าแปลกใจ “ทำไมถามแบบนั้นล่ะครับ?”
   “ก็...คุณดู ไม่อยากพูดถึงเขาเท่าไหร่”
   รูฟัสมองหน้าฟ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา “เรื่องนั้น อืม....จริงๆ ผมเป็นคนที่ทิ้งอดีตไปแล้วน่ะ จู่ๆ มาเจอแบบนี้ ก็เลย........”
   ฟ่งรู้สึกว่ารูฟัสดูจะเจ็บปวดกับอดีตของเขามากมายจริงๆ ชายหนุ่มนึกเสียใจที่ไปเซ้าซี้ให้ทางนั้นพูดออกมาจนได้ ร่างผอมบางช้อนนัยน์ตาสีน้ำตาลขึ้นมอง พร้อมเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงห่วงใย “รูฟัส...”
   รูฟัสมองสบเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น พลันรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาในหัวใจอย่างประหลาด ฟ่งนั่งอยู่ตรงหน้าเขา กำลังมองมาด้วยสายตาห่วงหาอาทร ผู้ชายคนนี้แหละคือคนที่จะมาเติมเต็มช่องว่างในจิตใจเขา ผู้ชายที่เป็นชีวิตใหม่ของเขา
   รูฟัสคลี่ยิ้มอีกครั้ง อยากเหลือเกินที่จะดึงฟ่งเข้ามากอด พอได้เห็นดวงตาสีน้ำตาลคู่นี้ที่มองมาแบบนั้นแล้ว ความเจ็บปวดในอดีตคล้ายถูกบรรเทาเบาบางลง รูฟัสนึกดีใจมากจริงๆ ที่เขามีฟ่งอยู่ที่นี่ การที่มีผู้ชายคนนี้มาด้วย ทำให้เขากล้ามายังแผ่นดินที่เก็บฝังความหลังขมขื่นในชีวิตของเขา
   แผ่นดินแม่ที่เขาเคยอาศัยอยู่ และจากไปอย่างเจ็บปวด
   “พวกพี่ชายเป็นอะไรกันฮะ?” เกรเกอรีเอ่ยถามขึ้น หลังจากมองสองหนุ่มจ้องหน้ากันอยู่นาน โดยไม่มีใครพูดใครจา รูฟัสหันกลับมา และยกมือลูบศีรษะเล็กๆ นั้น
   “ปีนี้เธออายุเท่าไหร่น่ะ?”
   “แปดขวบฮะ”
   “อืม...แล้วพ่อเธอ....ใจดีมั้ย?”
   “ใจดีที่สุดเลยล่ะฮะ” เกรเกอรีว่า และทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ “จริงสิฮะ วันนี้พ่อมีออกทีวีด้วยแหละ เดี๋ยวผมเปิดให้ดูดีกว่า”
   เด็กน้อยว่า และวิ่งไปเปิดโทรศัพท์ที่วางอยู่บนชั้น ภาพบนจอสว่างวาบ เขาหยิบรีโมทคอนโทรลขึ้นมา และกดเปลี่ยนช่อง สักพักภาพใครคนหนึ่งที่มีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนในชุดสูทสีกรมท่า ก็ปรากฏขึ้นบนจอ
   “นั่นล่ะฮะ ลุงมิคาอิล เอ่อ..พ่อของเกรเกอรีน่ะฮะ” เอ็ดการ์ดที่นั่งเงียบอยู่พูดขึ้น ความจริงคือเขากำลังง่วนกับขนมตรงหน้า เกรเกอรีหันมา และย่นคิ้ว “เอ็ดการ์ด นายเลิกพูดตอนยังเคี้ยวขนมอยู่ซักทีสิ”
   “โทษที” เด็กน้อยว่า และพยายามกลืนขนมลงไปจนหมด ฟ่งมองคนทั้งสามอย่างงงๆ เขาฟังภาษารัสเซียไม่ออก แต่ดูเหมือนว่าเกรเกอรีจะอยากให้ดูผู้ชายที่อยู่ในโทรทัศน์มาก รูฟัสหันมามองเขา และอธิบายรายละเอียดให้ฟัง
   ฟ่งพยักหน้าเป็นระยะๆ และฟังคำปราศรัยด้วยภาษาที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ พ่อของเกรเกอรีอยู่ในการประชุมสภา และกำลังอภิปรายถึงเรื่องสิทธิเสรีภาพพื้นฐานที่ประชาชนรัสเซียควรได้รับอย่างเผ็ดร้อน รูฟัสหันมาแปลให้ฟ่งฟังเป็นพักๆ ด้วยสีหน้าที่ดูจะภูมิใจ แต่ก็ดูจะแฝงแววของความแปลกใจเอาไว้เหมือนกัน
   “นี่ ทำไมพ่อเธอถึงเป็นนักการเมืองล่ะ?” เขาหันมาเอ่ยถามเด็กน้อย เกรเกอรีนิ่งนึกไปพักหนึ่ง “ไม่แน่ใจเหมือนกันฮะ เหมือนคุณพ่อจะเคยให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า ได้แรงบัลดาลใจมาจากคุณน้าน่ะฮะ”
   รูฟัสกะพริบตาอีกครั้ง และเงียบไปนาน นานจนฟ่งต้องเอ่ยเรียกอีกรอบ “รูฟัส?”
   คนถูกเรียกกะพริบตาอีกสองสามหน และระบายลมหายใจออกมา พร้อมกับพึมพำอะไรบางอย่าง “ไม่อยากจะเชื่อ....”
   คำพูดนั้นถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเปิดประตูอย่างเร่งร้อน เกรเกอรีเบิ่งนัยน์ตากว้าง “คุณแม่มาแล้ว”
   ประตูถูกเปิดออก หญิงสาวผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลเข้มก้าวเข้ามา เธอโผเข้ากอดลูกชายที่วิ่งเข้าไปหาทันที
   “เกรเกอรี ขอบคุณพระเจ้า ลูกไม่เป็นอะไร” หล่อนพึมพำ และลูบศีรษะเด็กน้อยอย่างรักใคร่ น้ำตาของคนเป็นแม่ไหลอาบหน้า เกรเกอรีกอดแม่เขาแน่น ร้องไห้ออกมาเช่นกัน
   ฟ่งกับรูฟัสลุกขึ้นยืน มองภาพการพบกันของสองแม่ลูกด้วยความสุขปนความสะท้อนใจอย่างบอกไม่ถูก ทั้งสองหันมองหน้ากัน ฟ่งยิ้มให้เขา นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความชื่นชมอย่างที่รูฟัสไม่เคยเห็นมาก่อน เกิดมาทั้งชีวิต นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ชายหนุ่มรู้สึกดีใจจนร้อนวาบไปทั้งตัว รูฟัสอมยิ้มเล็กๆ ความพยายามแบบโง่ๆ ของเขาได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าอย่างไม่น่าเชื่อ แก้มของชายหนุ่มกลายเป็นสีชมพูระเรื่ออย่างไม่รู้ตัว
   “อา...พวกคุณคง...” อลิซาเบธเอ่ยทักชายหนุ่มแปลกหน้าสองคนที่ยืนอยู่ในห้อง หลังจากกอดลูกน้อยจนหายห่วงแล้ว เกรเกอรีผละจากอ้อมอกแม่ ยกมือปาดน้ำตา และพูดถึงทั้งสองคนด้วยสีหน้าภูมิอกภูมิใจ
   “พี่ชายสองคนนี่แหละฮ่ะ ที่ช่วยผมออกมา อ้อ...เอ็ดการ์ดด้วย” เขาไม่ลืมพูดถึงเพื่อนรุ่นเดียวกันที่ยืนเงียบอยู่ พอถึงคำพูดนี้ เอ็ดการ์ดก็หน้าแดงขึ้นมาเหมือนกัน “ผม...ผมเกือบไม่ได้ทำอะไรเลย”
   “อย่างน้อยนายก็ไม่ได้ร้องไห้โยเยล่ะน่า” เกรเกอรีว่า ไม่รู้คนฟังควรจะดีใจหรือเปล่า แต่อลิซาเบธนั้นดีใจจนลืมว่าควรจะดุเด็กน้อยทั้งสองเรื่องหนีออกไปนอกบ้านเสียสนิท
   “ขอบคุณ ขอบคุณมากจริงๆ นะคะ ฉันไม่รู้ว่าควรจะตอบแทนพวกคุณอย่างไรดี”
   หล่อนพูด พลางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้า “ถ้าไม่รังเกียจ ยังไงอยู่ทานอาหารเย็นด้วยกันก่อนไหมคะ สามีดิฉันรู้ข่าวแล้ว เขาจะรีบกลับมาหลังจากประชุมเสร็จ”
   รูฟัสยกมือขึ้นดันแว่นตาสีชาบนใบหน้า พูดพลางยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกครับคุณนาย พวกผมแค่บังเอิญผ่านไปเห็นเฉยๆ ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเถอะครับ”
   “ไม่ได้หรอกค่ะ พวกคุณน่ะ....” หล่อนพูดค้าง เมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย ผู้ชายสองคนนี่ช่วยลูกชายของหล่อนจากเงื้อมมือของแก๊งลักพาตัว พวกเขาเป็นใครกันนะ?
   “ลูกชายของคุณนายน่ารักมากครับ” รูฟัสเปลี่ยนเรื่องพูด พลางเดินไปหาเกรเกอรี คุกเข่าลง จูบหน้าผากเด็กน้อยเบาๆ “ไม่ต้องบอกใครเรื่องสีตาของฉันนะ”
   หนุ่มตาสองสีกระซิบ เด็กน้อยที่มีตาสีแปลกเช่นเดียวกันมองหน้าเขาอย่างงุนงง แต่ก็ยอมผงกศีรษะ รูฟัสคลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะผุดลุกขึ้น “พวกผมคงต้องขอตัวก่อน”
   ฟ่งมองรูฟัสอย่างงงๆ เมื่อฝ่ายนั้นหันหน้ากลับมา “ไปกันเถอะครับฟ่ง”
   “ไม่อยู่รอเจอพี่ชายคุณหรือครับ?” หนุ่มสวมแว่นย้อนถามอย่างไม่ทันได้คิด รูฟัสยิ้มพลางสั่นศีรษะ “ไม่ดีกว่าครับ”
   หนุ่มสวมแว่นมองเขาครู่หนึ่ง และผงกศีรษะ ก่อนจะเดินตามไป ได้ยินเสียงสองเด็กน้อยร้องขึ้น “พวกพี่จะไปแล้วหรือฮะ?”
   รูฟัสกับฟ่งหันมาเกือบจะพร้อมกัน สองหนุ่มยิ้มให้เด็กน้อย ฟ่งเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง “พี่คงต้องไปแล้วล่ะ ดูแลตัวเองดีๆ นะ”
   เกรเกอรีกับเอ็ดการ์ดเบิ่งนัยน์ตากลมโตมองเขา จากนั้นสองเด็กน้อยก็โผเข้ามาพร้อมกัน “แล้วพี่จะมาอีกมั้ยฮะ?”
   น่าแปลก ทั้งๆ ที่คนคนนี้เป็นผู้ชายต่างชาติแปลกหน้าที่พวกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อนแท้ๆ เกรเกอรีกอดฟ่งแน่น ผู้ชายคนนี้อุ้มเขาออกมา เป็นคนช่วยเขาออกมาจากคนพวกนั้น เด็กน้อยเงยหน้าขึ้น มองไปยังดวงตาสีน้ำตาลที่มองมาอย่างใจดี เขาคงไม่มีวันลืมดวงตาคู่นี้ เช่นเดียวกับดวงตาของชายอีกคนที่มาด้วยกัน
   เอ็ดการ์ดกอดฟ่งด้วยความรู้สึกไม่ต่างจากเกรเกอรีนัก เขาไม่เคยรู้จักผู้ชายคนนี้ แต่ผู้ชายคนนี้กอดเขาไว้แน่น แม้ว่าตัวเองจะร้องไห้อยู่ เอ็ดการ์ดไม่เคยเห็นผู้ชายตัวโตๆ ร้องไห้ เขาคิดว่าตอนนั้นฟ่งคงกลัวเหมือนกัน แต่ผู้ชายคนนี้ไม่หนี เอ็ดการ์ดเงยหน้ามองฟ่ง เขาคงไม่ลืมผู้ชายสวมแว่นคนนี้ เช่นเดียวกับคนขับรถที่มีเครารกๆ คนนั้น
   รูฟัสมองฟ่งถูกเด็กน้อยสองคนรุมกอดด้วยความรู้สึกทั้งสงสารทั้งเอ็นดู จะว่าไปแล้วสามคนนี่คงเรียกได้ว่าผู้เคราะห์ร้ายด้วยกันแทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่ควรจะเข้าไปมีส่วนร่วมหรือตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ชายหนุ่มเดินเข้าไป ยกมือแตะไหล่ผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลเบาๆ “กลับกันได้แล้วล่ะครับ”
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าคมคายนั้นมีรอยยิ้มอ่อนโยนให้เขาเช่นเคย ชายหนุ่มยิ้มตอบ เขาคว้ามือที่ยื่นมาเอาไว้ และยันตัวลุกขึ้น สองเด็กน้อยมองตามด้วยสายตาอาวรณ์
   “แล้วเราจะเจอกันอีกใช่มั้ยฮะ?!”
   ฟ่งไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขาเพียงแต่ยิ้ม ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองผู้ชายที่ยืนข้าง รูฟัสยิ้มให้เขา และหันไปยิ้มให้กับแม่ของเกรเกอรีที่ยืนมองอยู่
   “พวกผมขอตัวก่อนนะครับ”
   “ดะ...เดี๋ยวสิคะ” อลิซาเบธโพล่งออกมา “บอกชื่อที่อยู่ของพวกคุณไว้หน่อยได้ไหมคะ อย่างน้อย...คริสมาสต์นี้ ฉันจะได้ส่งการ์ดอวยพรไปให้”
   รูฟัสยิ้มอีกครั้ง “ไม่เป็นไรหรอกครับ ฝากความคิดถึงถึงสามีคุณด้วย ขอให้พระเจ้าคุ้มครองนะครับ”
   อลิซาเบธยืนค้างอยู่หน้าประตูที่ถูกปิดไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่เมื่อครู่ ใต้แว่นตาสีชานั่น ดวงตาคู่นั้น ดูเหมือนว่าจะต่างสีกันออกไป หรือว่า..................
----------------------------------------------
   ฟ่งและรูฟัสนั่งรถแท็กซี่กลับออกมาจากอาพาร์ตเม้นต์ที่เกรเกอรีพักอยู่ ฟ่งรู้สึกโล่งใจที่คราวนี้เป็นแท็กซี่คันอื่น ขืนเจอกับคนขับแท็กซี่คนเดิมอีก เขาต้องเค้นความจริงจากปากของรูฟัสบ้างแล้ว หนุ่มสวมแว่นหันมามองคนที่นั่งข้างๆ
   “รูฟัส วันนี้น่ะ...ขอบคุณมากเลยนะ”
   รูฟัสหันมามองฟ่งอย่างงุนงง “เรื่องอะไรหรือครับ?”
   “ก็...เรื่องที่คุณอุตส่าห์ไปช่วยเกรเกอรี....คุณ....เอ่อ....เท่มากเลยล่ะ”
   อุณหภูมิในรถแท็กซี่ไม่ร้อนไม่หนาว แต่แก้มของฟ่งกลับเป็นสีชมพูระเรื่อ คนได้ยินได้เห็นยิ้มแก้มแทบปริ “ผมดีใจจัง”
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรูฟัส หนุ่มตาสองสียังคงสวมแว่นตาสีชา นอกจากรอยยิ้มยินดีอย่างไม่ปิดบังบนใบหน้านั้นแล้ว แก้มของรูฟัสก็กลายเป็นสีชมพูขึ้นมาเหมือนกัน ไม่รู้ทำไม เห็นกันมาตั้งนาน ฟ่งเพิ่งรู้สึกว่ารูฟัสน่ารักเอามากๆ ก็ตอนนี้แหละ ร่างผอมบางรู้สึกร้อนวาบบนใบหน้า จนต้องก้มหลบ
   รูฟัสหัวใจเต้นตึกตัก เขามองผู้ชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลายอย่าง ถ้าหากไม่ได้อยู่บนรถแท็กซี่ เขาคงคว้าตัวฟ่งมากอดไว้แล้ว
--------------------------------
   ฟ่งมองหน้ารูฟัสอย่างงุนงง เมื่อรถแท็กซี่แล่นมาจอดหน้าโบสถ์เซนเบซิลที่พวกเขาแวะมาเมื่อตอนเช้า รูฟัสจ่ายค่าแท็กซี่ และดึงมือฟ่งออกมา ชายหนุ่มพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ตรงลานหน้าโบถส์ แสงแดดยามเย็นโลมไล้หลังคาที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องหลากสีจนเหมือนถูกย้อมด้วยสีแดง และสีแดงที่ว่านั้นก็ไล้อยู่บนใบหน้าคมสันของชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีแปลกที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา
   ไม่อยากเชื่อเลยว่า พวกเขาเพิ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญไปในช่วงวันที่ผ่านมา และสุดท้าย ก็กลับมายืน ณ จุดเริ่มต้นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
   กระนั้นฟ่งกลับรู้สึกว่าผู้ชายผมสีดำตรงหน้าเขาดูน่ามองกว่าทุกวัน    รูฟัสถอดแว่นตาสีชาออก นัยน์ตาสองสีสะท้อนประกายแสงแดดจนดูแปลกตา เขามองดูร่างผอมบางตรงหน้า แสงสีแดงอาบร่างที่มีเรือนผมสีน้ำตาลนั้นจนกลายเป็นสีน้ำตาลแดง
   บรรยากาศรอบข้างเงียบสงบ แม้แต่พวกนักท่องเที่ยวเองก็ดูบางตาจนแทบจะไม่มีหลงเหลืออยู่ รูฟัสมองดูใบหน้าที่ถูกแสงแดดโลมไล้ กรอบแว่นตาหนาสะท้อนภาพของเขาให้เห็นลางๆ ชายหนุ่มมองผ่านภาพสะท้อนเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลนั้น ซึ่งกำลังมองตรงมายังเขาเช่นกัน
   “ฟ่ง..” รูฟัสเอ่ยเรียกชื่อนั้นและรู้สึกว่าเสียงของตัวเองสั่นด้วยความตื่นเต้นที่สุดในชีวิต เขาล้วงกล่องใส่แหวนออกมาจากอกเสื้อ มองเข้าไปยังดวงตาสีน้ำตาลที่มองมาอย่างแปลกใจนั้นอีกครั้ง ชายหนุ่มขบริมฝีปากตัวเองเบาๆ ไม่รู้ว่าฟ่งจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง จะเขินอาย หรือจะทำหน้าแปลกใจไปกว่านี้ หรือบางทีอาจจะเฉยๆ กระนั้นดวงตาสีน้ำตาลใต้แว่นที่มองมา และบรรยากาศที่ดูจะเป็นใจเสียเหลือเกินก็ทำให้รูฟัสอดนึกเข้าข้างตัวเองไม่ได้
   รูฟัสฉวยมือข้างซ้ายของฟ่งขึ้นมา ด้วยหัวใจที่เต้นแรงจนแทบจะกระดอนออก เขาใช้มืออีกข้างเปิดตลับแหวนออก แหวนพลาสตินัมสีเงินสะท้อนประกายแสงแดดเป็นสีแดงอ่อนๆ ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที ก่อนที่ทางนั้นจะทันได้พูดอะไร ชายหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นก่อน
   “แต่งงานกับผมนะครับ”
   รูฟัสเหมือนหัวใจหลุดไปพร้อมคำพูด ไม่อยากเชื่อว่าพูดคำพูดสั้นๆ แค่นี้ จะทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ ชายหนุ่มรู้สึกหูอื้อไปหมด เขามองหน้าฟ่ง รู้สึกวุ่นวายใจ มองเห็นริมฝีปากของอีกฝ่ายเผยอออก
   “..........................”
   ไม่มีคำพูดอะไรหลุดจากริมฝีปากคู่นั้น แต่พวงแก้มที่มีเรือนผมสีน้ำตาลไล้อยู่ เริ่มกลายเป็นสีแดงระเรื่อไปกับแสงแดดสุดท้ายของวัน ฟ่งขบริมฝีปาก แก้มยิ่งแดงกว่าเดิม
   “อืม..” ร่างผอมบางส่งเสียงสั้นๆ ในลำคอ รูฟัสเบิ่งตามองอีกฝ่าย ไม่รู้ว่านั่นหมายถึงการตอบรับรึเปล่า แต่แก้มแดงๆ นั่นคงพอช่วยให้เขาตีความเอาเองได้ล่ะมั้ง ชายหนุ่มหยิบแหวนสีเงินออกมาจากตลับ บรรจงสวมมันลงบนนิ้วนางด้านซ้ายของมือที่กุมอยู่ แหวนสีเงินไหลลื่นลงไปบนนิ้วนางข้างนั้นได้อย่างพอดิบพอดี ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรูฟัสอีกครั้งด้วยพวงแก้มแดงปลั่งน่ารัก ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม พลางยกมือข้างซ้ายของตนขึ้น แหวนสีเงินแบบเดียวกันสะท้อนประกายอยู่บนนิ้วนางเช่นกัน
   ฟ่งมองดูแหวนวงนั้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา
   “คุณ...ถอดออกมาก่อนได้รึเปล่า?”
   รูฟัสมองหน้าฝ่ายตรงข้ามอย่างงงงันทันที ฟ่งขบริมฝีปาก ก่อนจะพูดซ้ำอีกครั้ง “ถอดออกมาก่อน”
   แม้จะรู้สึกใจแป้วอยู่บ้าง แต่รูฟัสก็ยอมจะถอดแหวนของตัวเองออก ฟ่งยื่นมือมาจับมันเอาไว้ ก่อนจะพูดเสียงค่อย “ผม...จะอยู่กับคุณ”
   แหวนสีเงินเกลี้ยงถูกสวมลงบนนิ้วนางข้างซ้าย รูฟัสรู้สึกถึงความอบอุ่นจากปลายนิ้วของฟ่งที่แตะนิ้วของเขา มันแผ่นซ่านไปถึงหัวใจที่กำลังเต้นอยู่
   นัยน์ตาสีน้ำตาลช้อนขึ้นมองเขาอีกครั้ง แสงสีแดงสุดท้ายของวันสาดต้องร่างของคนทั้งคู่ รูฟัสยกมือขึ้นไล้ใบหน้านั้นเบาๆ ไม่มีคำสาบานใดๆ ใบหน้าของทั้งคู่โน้มเข้าหากันช้าๆ สัมผัสแผ่วเบาของริมฝีปากที่แตะกัน ยังความอบอุ่นให้แผ่ไปทั่วหัวใจทั้งสองดวง
   หัวใจสองดวงที่เต้นไปด้วยจังหวะเดียวกัน
---------------------------------------
**ปิดตา ไม่กล้าอ่านซ้ำตอนนี้ หวานเกิ้ :a5:น (ผิดปกติของคนเขียน ฮ่าๆๆๆ :laugh:)

ออฟไลน์ love AJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
อยากรู้อดีตของรูฟัสอ่ะ  :เฮ้อ:

maxsextex

  • บุคคลทั่วไป

nightsza

  • บุคคลทั่วไป
อ๊ายยย กรี๊ดดด อิจฉา บทจะหวานกันก็หวานเกิ๊นนน

ออฟไลน์ Horizon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1731
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-22

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บทที่84 With out word.
   ลมหนาวยามพลบค่ำพัดกรรโชกแรงอย่างน่ากลัว แต่รูฟัสไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด เพราะตอนนี้ข้างๆ เขา มีคนที่รักที่สุดเดินเคียงอยู่ แม้จะไม่ได้จับมือกันหรือสัมผัสตัวกันเลย แต่เหมือนความอบอุ่นถ่ายทอดถึงกันได้ ชายหนุ่มเหลือบมองคนเดินข้างหลายครั้ง แก้มของฟ่งเป็นสีแดงระเรื่อ จะด้วยความหนาวหรืออะไรก็ตามแต่ ยังไงก็ดูน่ารักเป็นที่สุด พอเดินมาถึงหน้าโรงแรม รูฟัสจึงพูดขึ้น
   “คืนนี้ทานอาหารกับผมบนห้องนะครับ ผมจะเลี้ยงคุณเอง”
   ฟ่งมองหน้าเขาผ่านเลนส์แว่น หัวเราะออกมาหน่อยหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “อือ”
   นานๆ ทีฟ่งจะหัวเราะหรือยิ้มด้วยความสบายใจขนาดนี้ รูฟัสอดไม่ได้ต้องยิ้มตอบจนแก้มแทบปริ รู้สึกอุ่นวาบไปทั้งตัว ความสุขมันอบอุ่นแบบนี้เอง
   สองหนุ่มขึ้นลิฟท์และเดินมาจนถึงห้องพัก ฟ่งรู้สึกเหมือนเขาเพิ่งกลับมาหลังจากออกไปได้วันสองวัน ทั้งๆ ที่นี่เพิ่งผ่านไปแค่วันเดียวเอง ชายหนุ่มรู้สึกอ่อนล้าไปหมด เรื่องปีนกำแพงกับการวิ่งท่อกๆ หนีลูกกระสุนแบบนั้น เป็นเรื่องที่เขาทำบ่อยเสียที่ไหน
   ร่างผอมบางมองดูอีกฝ่ายเดินไปโทรสั่งอาหารกับรูมเซอร์วิส เขาถอดเสื้อโค้ทออก และรู้สึกหนาวจับใจ ฮีตเตอร์ในห้องยังทำงานไม่เต็มที่ อากาศเลยยังเย็นอยู่บ้าง ฟ่งยกมือขึ้นกอดอก และคิดว่าระหว่างรอให้ฮีตเตอร์ทำงาน เขาควรจะแช่น้ำร้อนเพื่อผ่อนคลายร่างกาย
   “รูฟัส อาบน้ำไหม?” ฟ่งเอ่ยถาม คนที่เพิ่งสั่งอาหารเสร็จหันมาทันที พอเห็นสายตาสนเท่ห์นั่น ฟ่งจึงรีบพูดต่อ “คือผมหมายถึงอาบน้ำ อาบน้ำเลยนะ ห้ามทำอะไรมากกว่านั้น”
   รูฟัสมองหน้าฟ่ง และหัวเราะออกมา “ผมยังไม่ทันคิดเลยนะ”
   ฟ่งรู้สึกร้อนวูบบนใบหน้าขึ้นมาทันที รูฟัสพูดต่อยิ้มๆ “แต่พอเห็นหน้าคุณ ผมก็คิดปุ๊บเลยล่ะ”
   แก้มที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงหนัก แต่ฟ่งไม่ตอบโต้อะไร ยังคงยืนเฉยๆ เหมือนรอคำตอบ รูฟัสมองแก้มแดงๆ นั่นแล้วรู้สึกตัดสินใจลำบากขึ้นอีกเป็นกอง
   ก็อยากอาบน้ำกับฟ่งอยู่หรอก แต่อีกใจก็อยากจะเตรียมอาหารมือเย็นนี้ให้เป็นมือพิเศษเหมือนกัน
   “คุณอาบไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวไม่มีใครเปิดประตูให้ตอนอาหารมา” ในที่สุดรูฟัสก็จำต้องเลือกอย่างหลัง เขาไม่อยากทำให้ฟ่งหมดแรงก่อนที่จะได้กินอะไร อาบน้ำกับฟ่ง รูฟัสเองไม่แน่ใจเลยว่าเขาจะอาบแบบปกติธรรมดาได้ ขนาดฟ่งยังถอดเสื้อผ้าไม่หมด เขาก็อยากจะจับถอดเองอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับตอนเปลือยเปล่าไปทั้งตัวเล่า แค่คิดมือไม้มันก็พาลจะนำไปก่อนแล้ว
   รูฟัสบอกตัวเองให้ตั้งสติดีๆ อย่าเพิ่งหน้ามืดไปกับแค่คำชวนง่ายๆ แบบนี้ ฟ่งมองหน้าเขาพักหนึ่ง แล้วพยักหน้า “อือ”
--------------------------------------------------
   ไอน้ำสีขาวลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือผิวน้ำในอ่าง ฟ่งไม่เคยแช่ตัวในอ่างอาบน้ำใหญ่ขนาดนี้ เอาเข้าจริงๆ คือเขาไม่ค่อยจะได้แช่ตัว เมืองไทยมีอ่างอาบน้ำทุกบ้านเสียที่ไหน แล้วผู้ชายอย่างเขาก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องเสียเวลาอาบน้ำนานๆ ด้วย แต่ด้วยอากาศหนาวเย็นบวกกับความเมื่อยล้าทำให้ฟ่งนึกอยากจะลองแช่น้ำอุ่นๆ ดูบ้าง ที่เอ่ยปากชวนรูฟัส เพราะเห็นว่าทางนั้นน่าจะเหนื่อยเหมือนๆ กันเท่านั้นแหละ แต่ดูเหมือนรูฟัสจะมีอย่างอื่นต้องทำอีก
   ฟ่งหย่อนตัวลงในอ่างอาบน้ำ ด้วยความรู้สึกโล่งใจ อย่างน้อยเขาก็ยังได้แช่น้ำแบบคนปกติ ถ้ารูฟัสเข้ามาด้วย ไม่แน่ว่าอาจจะไม่หยุดอยู่แค่แช่น้ำก็ได้ นึกว่าถ้าเกิดน้ำอุ่นๆ แบบนี้เข้าไปในตัวของเขาแล้วจะรู้สึกยังไง ฟ่งก็หน้าแดงแล้ว เขามัวคิดเรื่องบ้าอะไรอยู่นี่
   ร่างบางยกมือขึ้นวักน้ำใส่หน้า เพื่อเรียกสติ แต่ก็พบว่านอกจากน้ำจะร้อนจนเกือบลวกหน้าแล้ว เขายังลืมถอดแว่นอีกด้วย ฟ่งดึงแว่นออกมาจากหน้า นึกว่าตัวเองช่างเฉิ่มอะไรแบบนี้ ขนาดแว่นยังลืมถอดตอนอาบน้ำเลย
   ชายหนุ่มวางแว่นไว้ตรงขอบอ่าง และเหลือบไปเห็นวัตถุสีเงินวาวที่สวมอยู่บนนิ้ว สิ่งที่รูฟัสเพิ่งมอบให้เขาเมื่อช่วงเย็น หัวใจของฟ่งเต้นตึกตักขึ้นมาทันที
   ฟ่งไม่เคยใส่แหวน ขนาดแหวนรุ่นเขายังเก็บเอาไว้ในกล่องอย่างดี ลองสวมครั้งเดียวตอนได้มานั่นแหละ ระหว่างคบกับดา เขาก็ไม่เคยคิดจะซื้อแหวน ใช่สิ จะหมั้นผู้หญิง แหวนถูกๆ ใช้ได้นี่ไหนล่ะ ยิ่งผู้หญิงน่ารักๆ อย่างพิฌาดาด้วยแล้ว ฟ่งเคยคิดว่าเขาคงต้องทำงานเก็บเงินอย่างสาหัส เพื่อซื้อแหวนเพชรเม็ดงามที่เหมาะจะอยู่บนนิ้วสวยๆ ของดาได้ แค่นึกว่าเธอจะยิ้มขนาดไหนตอนที่เขาสวมแหวนให้ หัวใจก็อุ่นวาบขึ้นมา
   น่าเสียดายที่นั่นดูจะเป็นความฝันที่สลายหายไปตั้งนานแล้ว
   ตอนนี้เขาไม่มีดาเคียงข้างอีก ไม่มีฝันแบบคนปกติธรรมดาอีก ความจริงที่ไม่น่าเชื่อตอนนี้คือ เขามีผู้ชายคนหนึ่งอยู่เคียงข้าง ผู้ชายที่ดูเหมือนจะพูดเรื่องจริงอยู่เรื่องเดียวคือเรื่องที่รักเขา ผู้ชายที่ไม่ยอมบอกกระทั่งชื่อจริงของตัวเอง แต่บอกว่าจะอยู่กับเขา แต่งงานกับเขา และเขาเองก็ยอมให้ผู้ชายคนนี้สวมแหวน แถมยังยอมอยู่ด้วยอีก
   ฟ่งคิดว่าถ้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ทุกคนต้องด่าว่าเขาบ้าแน่ๆ
   ผู้ชายสองคนอยู่ด้วยกัน ฟ่งไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นไปได้ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่แน่ใจว่ามันจะไปได้ตลอดรอดฝั่ง แต่ดวงตาสองสีนั่นดูเชื่อมั่นเหลือเกิน เหมือนรูฟัสจะมีความเชื่อมั่นในทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำลงไป กระทั่งความเชื่อมั่นนั้นพลอยถ่ายทอดมาถึงคนที่ไม่เคยมั่นใจอะไรเลยอย่างเขาด้วย
   ฟ่งไม่รู้ว่าอาบน้ำต้องถอดแหวนด้วยไหม แต่ถอดแล้วก็กลัวว่าจะลืมทิ้งเอาไว้ แบบนั้นคงจะไม่ดีแน่ กระนั้นพอเห็นว่าเป็นแหวนเงินเกลี้ยงๆ ฟ่งก็อดคิดไม่ได้ว่า รูฟัสจะสลักอะไรเอาไว้ด้านในรึเปล่า
   ท้ายที่สุด ฟ่งก็ตัดสินใจถอดแหวนออกมาดู ด้านในมีอะไรสลักอยู่จริง แต่ไม่ใช่ถ้อยคำบอกรัก ไม่ใช่ภาษาที่เขารู้จัก มันไม่ใช่ภาษาด้วยซ้ำ แต่เป็นเลขหกหลักซึ่งฟ่งไม่เข้าใจความหมายของมันเลยจริงๆ
   หรือนี่จะเป็นหมายเลขซีรีส์ของแหวน
   ชายหนุ่มอยากเขกกะโหลกตัวเอง แหวนที่ไหนมันจะสลักหมายเลข แล้วรูฟัสก็คงไม่สลักหมายเลขพวกนี้เอาไว้โดยไร้ความหมายแน่ๆ แต่คงเป็นตัวเขาเองมากกว่าที่ไม่เข้าใจความหมายของมัน อาจจะเป็นรหัสลับอะไรซักอย่าง ฟ่งคิดว่าเขาต้องหน้าด้านถาม คงน่าเกลียดพิลึก หากคิดว่าตัวเองสวมแหวนแต่งงานโดยที่ไม่รู้ความหมายของสิ่งที่สลักอยู่ด้านใน
   นี่เขาแต่งงานแล้วล่ะหรือ?
   คำขอแต่งงานของรูฟัสทำเอาเขาอึ้งไปหมด ไม่คิดเลยว่าในชีวิตจะต้องมาถูกผู้ชายขอแต่งงาน แต่คนที่ขอดันเป็นผู้ชายที่บอกว่าตัวเองชื่อรูฟัสนี่สิ ผู้ชายตาสองสีที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปอย่างสิ้นเชิง ผู้ชายที่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ด้วย แล้วจะให้เขาพูดอะไรล่ะ แค่เห็นดวงตาสีแปลกที่มองมาอย่างตั้งความหวัง เขาก็นึกอะไรไม่ออกแล้ว
   ไม่นึกเลยว่าผู้ชายด้วยกันจะทำให้เขาใจเต้นแรงได้ขนาดนี้
   ฟ่งเพิ่งรู้ตัวว่าเขาหลงใหลนัยน์ตาสีประหลาดนั้นมากเพียงไร ชายหนุ่มร้อนวูบขึ้นมาบนใบหน้า และตัดสินใจว่าจะหยุดคิดเรื่องรูฟัสก่อน เขาสวมแหวนกลับเข้าไปบนนิ้วนาง และวักน้ำมารดตัวอย่างขัดเขิน
   คงต้องทำความสะอาดร่างกายอย่างละเอียดสักหน่อย
   ฟ่งผุดลุกขึ้น ปล่อยน้ำออกจากอ่าง กดแชมพูมาสระผม ก่อนจะฟอกสบู่ตั้งแต่ตัวจรดเท้า แถมยังให้ความสำคัญกับจุดที่ไม่เคยนึกจะทำความสะอาดดีๆ มาก่อน อย่างเช่นปลายเท้า ซอกขาด้านใน หรือกระทั่งส่วนนั้นที่รูฟัสเคยทำให้เขา ฟ่งคิดว่าตัวเองคงบ้าไปแล้ว เขาแค่อยากดูสะอาดและดีที่สุด ในคืนแรกของวันแต่งงาน
   ชายหนุ่มล้างร่างกายจนสะอาด เช็ดตัวจนแห้ง โดยไม่ลืมจะเช็ดผม แล้วตรงไปยังอ่างล้างหน้า หยิบมีดโกนหนวดขึ้นมา พลางลูบมือไปบนใบหน้า
   หนวดเคราก็ดูเกลี้ยงดีอยู่ แต่เก็บไอ้ที่เพิ่งงอกออกมาสักหน่อยแล้วกัน
   ฟ่งโกนหนวดด้วยความระมัดระวังที่สุดในชีวิต เขานึกถึงวันแรกที่รูฟัสชวนเขาออกไปด้านนอก วันนั้นเขารีบจัดกระทั่งทำมีดโกนบาดหน้า แต่วันนี้คงไม่พลาดอีก
   ใช่ว่าเขาหน้าตาดีขนาดจะทำให้พลาสเตอร์ที่ปิดบนใบหน้าดูดีไปด้วยเสียเมื่อไหร่
   ชายหนุ่มมองดูตัวเองในกระจกอีกครั้ง หน้าก็ดูเกลี้ยงดีแล้ว รอยบาดก็ไม่มี เหลือแต่ผมซึ่งดูยุ่งมากจริงๆ จะตัดเองตอนนี้ก็กระไรอยู่ คงแหว่งเหมือนหนูแทะมากกว่าที่จะดูดีขึ้น ฟ่งตัดสินใจหยิบหวีขึ้นมาหวีผม หวีอย่างที่ตัวเองไม่เคยคิดจะหวีมาก่อน เพื่อให้มันดูเป็นทรงบ้างเท่านั้น พอหวีผมเสร็จ เขาจึงเพิ่งมานึกขึ้นได้ถึงเรื่องเครื่องแต่งกาย
   เขาไม่ได้หยิบเสื้อผ้าเข้ามาเลย
   ฟ่งยกมือขึ้นเกาศีรษะ โดยลืมไปเลยว่าเพิ่งหวีผม บ้าจริง ขนาดเสื้อผ้ายังลืมหยิบเข้ามา แล้วจะทำยังไงต่อไปล่ะนี่ ชายหนุ่มมองไปรอบๆ นอกจากผ้าเช็ดตัวที่เขาพาดบนบ่าแล้ว ดูเหมือนบนชั้นจะมีอะไรพับอยู่อีก อาจจะเป็นเสื้อคลุมอาบน้ำก็ได้ เสื้อคลุมก็ยังดี ดีกว่าต้องนุ่งผ้าเช็ดตัวโทงๆ ออกไปแบบนี้ คงดูไม่จืดแน่ๆ
   โชคดีที่ไอ้ที่พับอยู่เป็นเสื้อคลุมอาบน้ำจริงๆ แต่โชคร้ายที่ตัวใหญ่จนเขาใส่แล้วหลวมโคร่ง คนยุโรปอะไรจะตัวใหญ่ขนาดนี้ ฟ่งนึกบ่นอยู่ในใจ ขณะพยายามรัดสายรัดเอวเพื่อไม่ให้อกหน้าของเสื้อคลุมแบะอ้าออกจนน่าเกลียด กระนั้นมันก็ยังตัวใหญ่เกินไปสำหรับเขาอยู่ดี รีบเดินออกไปหาเสื้อผ้าที่มันดูได้กว่านี้ใส่ดีกว่า
-------------------------------------------
   ฟ่งเดินออกมาจากห้องน้ำก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะเหมือนรูฟัสจะปิดประตูห้องนอนไว้ อาจจะอยากทำอะไรตรงห้องอาหารที่ไม่อยากให้เขาเห็น แต่ก็ดีเหมือนกัน เขาเองก็ไม่อยากให้รูฟัสเห็นตัวเองในสภาพที่ดูไม่ได้แบบนี้หรอก
   ฟ่งรื้อเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋าเดินทาง พยายามเลือกตัวที่ใส่แล้วน่าจะดูดีที่สุด แต่เหมือนจะใส่ตัวไหน เขาก็ยังดูเก้ๆ กังๆ เหมือนเดิม บางทีถอดแว่นออกน่าจะดูดีขึ้น แต่พอถอดออกแล้ว กลายเป็นว่าเขามองตัวเองในกระจกไม่ชัดอีก ท้ายที่สุดฟ่งก็จบลงด้วยการใส่เสื้อยืดหุ้มคอสีออกครีมๆ กับกางเกงยีนส์สีสนิมอีกตัวหนึ่ง
   เอาน่ะ อย่างน้อยก็ดีกว่าใส่เสื้อคลุมอาบน้ำหลวมโคร่งเป็นกอง
   ชายหนุ่มดันแว่นให้เข้าที่ สูดหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะจับประตูเปิดออกไป
   รูฟัสยืนอยู่ตรงโต๊ะอาหารโดยมีแสงไฟสีเหลืองอ่อนจากโคมไฟด้านบนที่เปิดไว้สลัวๆ โลมไล้ร่าง ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้เขา ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ ฉวยมือของฟ่งขึ้นมา และจูบลงไปเบาๆ
   บรรยากาศก็เหมือนจะโรแมนติกดีอยู่หรอก แต่ฟ่งไม่ใช่ผู้หญิง แล้วก็ไม่เคยจินตนการถึงอะไรแบบนี้ เขาเลยเกิดอาการประหม่าและเกร็งขึ้นอย่างห้ามไม่ได้
   “นี่...ทำแบบปกติธรรมดาก็ได้ ผม...ผมไม่ชิน”
   รูฟัสเงยหน้าขึ้นมองเขา บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มละไม ฟ่งไม่รู้ว่าตัวเองหน้าแดงรึเปล่า รู้แต่ร้อนวูบบนใบหน้า บ้าจัง ทำไมเขาถึงต้องใจเต้นกับรอยยิ้มแบบนี้ของรูฟัสด้วยนะ ก็เห็นอยู่ทุกวี่ทุกวัน....แล้วก็ใจเต้นมันอย่างนี้อยู่ทุกวัน
   รูฟัสจูงมือเขาไปที่โต๊ะอาหาร เลื่อนเก้าอี้ให้เขา ฟ่งมองอาหารที่อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะได้พูดอะไร รูฟัสก็ตอบคำถามที่เขาคิดอยู่ในใจก่อน
   “คาร์เวีย ลองทานดูสิครับ” รูฟัสว่า ขณะที่นั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ฟ่งมองดูไข่ปลาสีดำเม็ดเขื่องในจานตรงหน้า นี่คือคาร์เวียหรือ? ปกติเหมือนที่เขาเคยเห็นจะมีแต่สีแดงนี่นา
   “เป็นคาร์เวียดำน่ะครับ” รูฟัสพูดต่อ ดูจะเดาใจคนตรงหน้าออกได้จากสีหน้า ฟ่งพยักหน้า ยกช้อนขึ้นเขี่ยไข่ปลาสีดำขึ้นมา จ้องมองมันอีกพักหนึ่ง นี่น่ะรึ คาร์เวีย
   ฟ่งมองตาปริบๆ มันก็กลมๆ เหมือนไข่ปลาปกติ...รสชาดล่ะ? คิดเอาเองคงจะบอกอะไรไม่ได้มาก ชายหนุ่มจึงยกช้อนเข้าใกล้จมูก อืม... ก็ไม่คาวเท่าไหร่ ท้ายที่สุด หลังจากลองเอาลิ้นแตะๆ ดู ฟ่งก็ยอมจะเอาไข่ปลาแสนแพงพวกนั้นเข้าปาก
   “เป็นไงบ้างครับ?” รูฟัสถามอย่างใคร่รู้ เขาอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางของฟ่ง ท่าที่เอาลิ้นแตะๆ คาร์เวียดูน่ารักน่าฟัดชะมัด ถ้าไม่มีโต๊ะขวางอยู่ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายไปแล้วก็ได้
   ฟ่งกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะพยักหน้า “ก็แปลกๆ ดี ผมไม่ค่อยชินนะ แต่...ก็อร่อยแหละครับ”
   ชายหนุ่มตอบ และได้ยินเสียงอีกฝ่ายพูดต่อ “นี่ก็อร่อยนะครับ”
   เขาว่าและตักอาหารซึ่งเหมือนซุบครีมข้นๆ ที่ใส่ลงในกระทงขนมปังให้ฟ่ง และตักไข่ปลาที่อยู่ในจานวางลงไป “ลองชิมดูสิครับ”
   ฟ่งลองกินอย่างว่าง่าย จะว่าไปแล้วตอนนี้ท้องของเขาก็เริ่มร้องแล้วเหมือนกัน ชายหนุ่มจึงเริ่มต้นลงมือทานอาหารตรงหน้า โดยมีคนตรงข้ามคอยตักและอธิบายสรรพคุณของมันให้
   “คุณเองก็ทานบ้างสิ” ฟ่งทัก เมื่อเห็นว่ารูฟัสมัวแต่คอยตักอาหารให้เขาจนเกือบไม่ได้แตะของตัวเองเลย ชายหนุ่มยิ้มบางๆ “ผมมองแค่คุณก็อิ่มแล้วล่ะ”
   ฟ่งเบิ่งตาขึ้นมา ไม่รู้ว่าเขินหรืออึ้งกันแน่ หรืออาจจะทั้งสองอย่าง แต่ยังไงก็น่ารักสุดๆ อยู่ดีนั่นแหละ หลังจากนั้นชายหนุ่มสวมแว่นก็ก้มหน้าก้มตากินราวกับกลัวว่าถ้าเงยหน้าขึ้นมามองแล้วจะเห็นของประหลาด รูฟัสจึงจำต้องหันไปจัดการอาหารในจานตัวเองบ้าง
   ฟ่งทานไปได้พักหนึ่งจึงพอทำใจเงยหน้าขึ้นมาได้ ทำไมรูฟัสถึงได้กล้าพูดอะไรที่ชวนให้สำลักขนาดนั้นนะ ฟ่งนึกขนลุกว่าสมัยเขาคบกับดาเคยพูดอะไรน้ำเน่าขนาดนี้รึเปล่า แต่แล้วความคิดของเขาก็หยุดชะงักเมื่อเห็นว่ารูฟัสกำลังรินเครื่องดื่มบางอย่างใส่แก้วใบเล็กๆ
   “อะไรน่ะ?” ฟ่งถามอย่างสงสัย รูฟัสรินให้เขาเสร็จก็รินให้ตัวเองด้วยแก้วหนึ่ง ก่อนจะตอบคำถาม “วอดก้าน่ะครับ ที่นี่เขากินกับคาร์เวีย แก้หนาวดีนักแหละ”
   ฟ่งมองหน้ารูฟัสพลางกะพริบตาปริบๆ ไอ้วอดก้านี่มันเหล้าอย่างแรงเลยไม่ใช่หรือไง เหมือนเคยจะเห็นในโทรทัศน์ว่าแค่เอาไฟแช็คไปจ่อก็ลุกพรึ่บแล้ว รูฟัสคิดจะมอมเหล้าเขาหรือไง?!
   หนุ่มตาสองสีไม่ได้พูดอะไร ไม่มีกระทั่งสายตาส่อเจตนาลามกด้วยซ้ำ เขาหยิบแก้วของตัวเองขึ้นมาและกระดกกรึ๊บลงไปรวดเดียว ใบหน้าของชายหนุ่มแดงวาบขึ้นมาทันทีหลังจากนั้น เขาหันมายิ้มให้อีกครั้ง
   “ลองดูสิครับ”
   ฟ่งก้มลงมองแก้วของตัวเอง กะพริบตาปริบๆ อีกครั้ง ไหนๆ เขาก็อุตส่าห์โชคดีได้มาถึงรัสเซียแล้ว แค่แก้วเดียวจะเป็นอะไรไป แก้วเล็กๆ แค่นี้คงไม่ถึงกับเมาหัวทิ่มหรอก ชายหนุ่มกลั้นใจ ยกแก้วใบเล็กขึ้นกระดกอย่างที่เห็นตัวอย่างเมื่อครู่
   !!
   ความรู้สึกยิ่งกว่าถูกอะไรสักอย่างลวกคอทำเอาสำลัก ไม่คิดมาก่อนเลยว่าไอ้น้ำใสๆ นี่มันจะแรงหฤโหดขนาดนี้ ได้ยินเสียงรูฟัสอุทานอย่างตกใจ ขณะที่ตัวเองไอจนน้ำหูน้ำตาไหลไปหมด
   รูฟัสลุกพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้ ความจริงเขามีเจตนาแฝงนิดหน่อย ก็แค่คิดว่าถ้าฟ่งแก้มแดงๆ มากกว่านี้อีกสักหน่อย คงยิ่งน่ารักมากขึ้น และวอดก้าก็ดูจะพอช่วยได้ แต่ก็ไม่คิดว่าทางนั้นจะถึงกับสำลัก
   ท่าทางจะแรงเกินไปจริงๆ
   ฟ่งรู้สึกแสบหน้าไปหมด ความร้อนวูบบวกกับกลิ่นฉุนของแอลกอฮอลพุ่งจี๊ดขึ้นไปถึงหัวสมอง ทะลักออกทางตา ทางจมูก ชายหนุ่มไอโขลกๆ รู้สึกขายหน้าสิ้นดี เหมือนรูฟัสวิ่งเข้ามาประคองเขาเอาไว้ ลูบหลังอย่างเป็นห่วงเป็นใย
   ฟ่งไออยู่แบบนั้นพักใหญ่ จนพอสงบลงบ้าง แก้วน้ำใบหนึ่งก็ถูกยื่นมาให้อย่างเงียบๆ ชายหนุ่มรับแก้วนั้นไปดื่ม ก่อนจะยกมือขึ้นขยับแว่น
   “ไม่เป็นอะไรนะครับ?” รูฟัสถาม ดวงตาสองสีมองมาอย่างห่วงหาอาทรเช่นเคย ฟ่งสั่นศีรษะ แม้จะรู้สึกแสบๆ หน้าและมึนอยู่นิดๆ หน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น
   “ทานกันต่อเถอะ” ฟ่งพยายามพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น เขาไม่อยากทำลายบรรยากาศดีๆ โดยการทำให้รูฟัสรู้สึกผิดที่ชวนเขากินอะไรแบบนั้นจนเขาสำลัก ชายหนุ่มก้มลงตักไข่ปลาขึ้นมากินอีก แล้วก็ต้องเงยขึ้นมองอย่างแปลกใจ เมื่อพบว่าอีกฝ่ายยังคงยืนนิ่ง
   “ผมขอโทษนะ” รูฟัสพูดออกมา ไม่รู้ทำไม ฟ่งถึงได้รู้สึกว่าใบหน้าของอีกฝ่ายที่มองลงมาอย่างสำนึกผิดถึงได้ดูมีเสน่ห์นัก ปกติรูฟัสเป็นคนรูปร่างหน้าตาดีอยู่แล้ว จะยิ้มจะหัวเราะแต่ละทีมีแต่คนหันมอง เขาเองก็ไม่เคยนึกรังเกียจอะไร แต่ทำไมคราวนี้ถึงได้รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ดูมีเสน่ห์จนอดใจไว้ไม่อยู่
   รูฟัสกะพริบตาปริบๆ ฟ่งมองเขานานๆ แบบนี้ก็เหมือนจะดีอยู่หรอก แต่ทางนั้นเพิ่งสำลักวอดก้า หน้าก็ยังแดงก่ำ แถมเมื่อครู่ก็ไอเสียจนน่ากลัว ไม่ให้เขารู้สึกผิดเลยก็แปลกล่ะ ยิ่งพอเห็นฟ่งพยายามจะดำเนินมื้ออาหารต่อแบบนี้แล้ว ชายหนุ่มกลับหักใจกลับไปนั่งทานต่อไม่ได้จริงๆ เขาอยากกอดฟ่งสักครั้ง พูดขอบคุณที่อุตส่าห์ยอมทนยอมทำเพื่อเขา
   รูฟัสโน้มตัวลงต่ำ ด้วยจุดประสงค์เพียงแค่อยากจะกอดเท่านั้น แต่ยังไม่ทันได้อ้าแขนดี ริมฝีปากของทางนั้นก็แนบเข้ามาประกบริมฝีปากของเขา กลิ่นวอดก้าและรสชาติของคาร์เวียฟุ้งไปทั้งโพรงปากทันที พร้อมกับเรียวลิ้นน้อยๆ ที่ตวัดกวาดเข้ามา
   มือแกร่งคว้าร่างผอมบางเข้ามากอดโดยอัตโนมัติ ก่อนจะจูบตอบอย่างลืมตัว รูฟัสไม่ได้กินคาร์เวียนานแล้ว และไม่เคยรู้สึกว่ามันวิเศษวิโสอะไร จนกระทั่งได้มากินในปากฟ่งนี่แหละ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   รูฟัสล้วงปลายลิ้นเข้าไปราวกับคนหิวจัด ไม่รู้ว่าคาร์เวียหรือปากของฟ่งอะไรอร่อยกว่ากัน คงเป็นอย่างหลัง ชายหนุ่มบดจูบอย่างหน้ามืดตาลายจนได้ยินเสียงครางอย่างอึดอัดในลำคอของอีกฝ่าย จึงได้ยอมผละริมฝีปากออก พอถอนใบหน้าออกมาได้หน่อยก็ประสบกับดวงตาสีน้ำตาลฉ่ำเยิ้มหลังแว่น และริมฝีปากที่ถูกดูดดึงจนแดงเจ่อ
   เจอแบบนี้คำว่ายับยั้งชั่งใจดูจะปลิวออกไปจากสมองของเขาแทบจะในทันที
   รูฟัสโน้มหน้าลงดูดดึงริมฝีปากอุ่นนั้นอีกครั้งอย่างอดรนทนไม่ได้ สองแขนสอดรัดเข้าใต้ร่าง อุ้มฝ่ายนั้นลงจากเก้าอี้โดยไม่ถามความสมัครใจ ก่อนจะจับกดลงบนโซฟา ทั้งๆ ที่ริมฝีปากยังบดเบียดกันอยู่ นอกจากมือที่จิกลงมาด้วยความตกใจแล้ว ก็เหมือนไม่มีสัญญาณอะไรว่าทางนั้นไม่พอใจ
   ชายหนุ่มถอนริมฝีปากออกเพื่อหอบหายใจ นัยน์ตาสีน้ำตาลยิ่งฉ่ำเยิ้มกว่าเก่า จะเพราะฤทธิ์วอดก้าหรืออะไร รูฟัสไม่มีกะใจจะคิดอีกแล้ว รู้แต่ฟ่งตอนนี้น่ารักสุดๆ น่ารักจนเขาหยุดตัวเองไม่อยู่
   มือแกร่งตะปบลูบไปตามร่างกายของอีกฝ่ายด้วยอาการหื่นกระหายอย่างไม่ปิดบัง แก้มของฟ่งยิ่งแดงจัด กระนั้นดวงตาฉ่ำเยิ้มยังคงมองมาที่เขา ยังความวูบวาบในหัวใจอย่างประหลาด ที่ผ่านมาฟ่งไม่เคยมองเขาแบบนี้ ยิ่งโดยเฉพาะเวลาที่เริ่มเล้าโลมกัน ปกติทางนั้นจะเอาแต่หลบสายตา ไม่ก็หลับตาเกือบตลอด
   ฟ่งขบริมฝีปาก ไม่รู้ทำไม ตอนนี้เขาจึงรู้สึกว่ารูฟัสดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก กระทั่งอยากจะจูบด้วย แล้วเขาก็ทำลงไปจริงๆ เขาอยากกอด อยากจูบผู้ชายคนนี้ อยากสัมผัสทุกสิ่งทุกอย่างของผู้ชายที่ทำเพื่อเขา
   ท่าขบริมฝีปากของฟ่งว่าเซ็กซี่แล้ว แต่วงแขนผอมบางที่ตวัดรัดดึงตัวเขาลงไป พร้อมกับจูบที่แนบมาอีกรอบทำเอารูฟัสจิตใจกระเจิดกระเจิง ชายหนุ่มจูบตอบ จนแทบจะกลืนกินคนในอ้อมกอดลงไป ต่างลูบไล้ซึ่งกันและกันจนร่างกายร้อนผ่าวไปหมด เสียงหายใจหอบกระเส่า กระทั่งส่วนกลางของลำตัวดุนดันกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมละริมฝีปากออกจากกัน
   จูบร้อนแรงดำเนินไปอย่างยาวนานบนโซฟาตัวยาวจนกลัวว่าใครสักคนอาจจะขาดอากาศ ท้ายที่สุดรูฟัสก็เป็นฝ่ายถอนริมฝีปากออก ฟ่งหน้าแดงจัด ริมฝีปากยิ่งแดงจนบวมเจ่อ นัยน์ตายิ่งฉ่ำเยิ้มจนแทบจะหยดออกมา เสียงหอบหายใจก็เซ็กซี่เสียจนรูฟัสแทบจะฉีกเสื้อของฝ่ายนั้นออกแทนที่จะถอดธรรมดา
   แว่นถูกถอดออกไปพร้อมๆ กันกับเสื้อ กางเกงถูกดึงออกหลังจากนั้นไม่นาน แก้มของฟ่งยังคงแดงปลั่ง สายตาฉ่ำเยิ้มบางทีก็เขม่นมองเขาเหมือนกำลังเขินจัด แต่ก็ยอมให้เขาถอดเสื้อผ้าออกแต่โดยดีไม่ได้ขัดขืนหรือมีท่าทีตกใจเหมือนทุกครั้ง รูฟัสร่ำๆ จะกินฟ่งลงท้องไปตอนนี้เลย เขามองร่างเปลือยตรงหน้า ก่อนจะซุกใบหน้าลงไปตรงซอกคอขาวอย่างไม่อยากจะเสียเวลา ได้ยินเสียงครางต่ำๆ ในลำคอ น่ารักอย่างที่สุด
   รูฟัสเชยชมร่างบางนั้นอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ แต่ก็ยังไม่วายเสียดายดวงตาสีน้ำตาลที่นานๆ จะมองเขาหยาดเยิ้มขนาดนี้ ท้ายที่สุดเขาก็จับฟ่งนั่งบนตัก ท่านี้ เขาคงได้ทั้งสองอย่าง ได้เห็นสีหน้า และดวงตาคู่งามนั้น ซ้ำยังสามารถสำรวจร่างกายของอีกฝ่ายได้ง่ายอีกด้วย
   ฟ่งยกมือขึ้นจับไหล่เขา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นลูบไล้ด้วยอารมณ์วาบหวามไม่แพ้กัน รูฟัสลูบมือลงไปบนร่างผอมบางนั้นด้วยอารมณ์ที่แทบจะเรียกได้ว่าใกล้คลั่ง โน้มหน้าลงใช้ริมฝีปากบดคลึงยอดอกอุ่น และประคองร่างนั้นขึ้นมาจูบไล่ไปจนเกือบจะถึงสะดือ ส่วนนั้นของฟ่งที่ผงาดขึ้นมาจนแทบจะชนปลายคางของเขายิ่งทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ
   ปลายเล็บจิกไล่ลงไปบนแผ่นหลัง รูฟัสเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของร่างที่แอ่นตัวอยู่ในอ้อมกอด ริมฝีปากแดงจัดถูกขบเบาๆ คิ้วสีน้ำตาลขมวดมุ่น เสียงครางๆ ต่ำๆ ช่างปลุกเร้าอารมณ์ได้ดีเสียเหลือเกิน ชายหนุ่มโอบอุ้งมือไปรอบส่วนที่กำลังแข็งตัวของอีกฝ่าย โดยโอบมืออีกข้างไปตรงสะโพก เพื่อประคองร่างนั้นเอาไว้
   มือน้อยๆ ที่โอบไหล่เขาอยู่จับแน่นขึ้นมาทันที เสียงครางกระเส่ายิ่งทำให้รูฟัสหายใจถี่หนักมากขึ้น เขาดึงรูดส่วนนั้นอย่างอดทนอดกลั้น ขณะที่ปลายนิ้วอีกข้างควานหาช่องเปิดด้านหลัง และพบในไม่ช้า กระนั้นชายหนุ่มก็อดรู้สึกแปลกใจขึ้นมาไม่ได้ เหมือนส่วนนั้นจะนิ่มกว่าปกติ รูฟัสเงยหน้าขึ้นมองฟ่งทันที หรือว่าฟ่งจะเตรียมตรงนี้ไว้เพื่อเขาตอนที่อาบน้ำ
   พอเห็นใบหน้าที่กระตุกเกร็งด้วยอารมณ์วาบหวาม รูฟัสก็แทบคลั่งใจตาย
   เขาดึงฟ่งเข้ามาจูบอีกครั้ง ถอดกางเกงของตัวเองออก กดร่างนั้นลงบนตัก ประคองส่วนร้อนจัดที่กำลังเสียดสีกันไว้ในอุ้มมือ ดึงรูดจนเสียงหอบกระเส่าดังถี่ ก่อนจะใช้เมือกลื่นๆ พวกนั้น หล่อช่องทางอุ่นอ่อนเบื้องหลัง และเบียดส่วนร้อนจัดของตนเข้าไป
   เสียงครางต่ำในลำคอเซ็กซี่อย่างร้ายกาจ ฟ่งกัดริมฝีปากของตัวเอง ขณะที่ความร้อนระอุสอดใส่เข้าไปในร่าง รูฟัสขบฟันเบาๆ ส่วนร้อนจัดนั้นหุ้มปลายยอดของเขา ก่อนจะดูดกลืนมันเข้าไปทีละน้อย จนอดสูดหายใจแรงๆ ไม่ได้ ด้านในของฟ่งวันนี้อุ่นร้อนกว่าทุกครั้ง ราวกับมีไฟสุมอยู่ก็ไม่ปาน
   เสียงครางในลำคอค่อยๆ หลุดออกมาทางริมฝีปาก ขณะที่ร่างผอมบางถูกกระแทกกระทั้นจนตัวสั่นอยู่บนตักกว้าง รูฟัสเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่บิดเกร็งไปตามอารมณ์ของอีกฝ่าย เขาเพิ่งรู้ตัวว่ารักจนแทบบ้าเป็นแบบนี้นี่เอง ไม่สิ เขาคงรักฟ่งจนใกล้บ้ามานานแล้ว มีฟ่งคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้เขาเป็นบ้าได้ขนาดนี้
   ฟ่งร้องครางเสียงพร่า แต่ก็ยังพยายามจะโน้มใบหน้าเข้ามาประกบริมฝีปากกับเขาระหว่างที่ถูกกระแทกอยู่แบบนั้น รูฟัสกอดรัดร่างผอมบางแน่น ไม่รู้ว่าตัวของฟ่ง ริมฝีปากที่นัวเนียกันอยู่ กับส่วนที่กำลังเชื่อมประสานกัน อะไรร้อนที่สุด รู้แต่ทุกส่วนร้อนระอุจนแทบจะหลอมละลาย
   ขยับอยู่แบบนั้นได้สักพัก รูฟัสก็รู้สึกว่ายังไม่พอ เขากดฟ่งลงบนโซฟา สาวกายเข้าออก เสียงเสียดสีกันของส่วนล่างดังชัดจนเข้าหู พอๆ กับเสียงครางกระเส่านั่นแหละ ฟ่งกำฟูกโซฟาแน่น คิ้วขมวดเข้าหากันมุ่น แต่ก็ยังลืมตาขึ้นมองเขาในบางครั้ง แทบจะทำให้คลั่งตาย
   รูฟัสจับฟ่งเปลี่ยนท่าหลายครั้ง ทั้งจับพาดจับกดสลับกันไป ก็ยังไม่พอใจในอารมณ์ และอีกฝ่ายก็ยังมีปฏิกิริยาตอบสนองเขาอย่างเต็มที่ ร่างกายเสียดสีกันจนเหงื่อออกเหนอะ หลังจากเปลี่ยนท่าไปมาอีกพักหนึ่ง รูฟัสก็พบว่าโซฟายังไม่ใช่ที่ที่จะทำให้เขามองฟ่งอย่างเต็มตาได้ ดังนั้นเขาจึงอุ้มร่างที่ยังคงสั่นสะท้านและเชื่อมประสานกันอยู่ไปที่เตียง
   ร่างผอมบางถูกวางลงบนเตียงไม่หนักไม่เบา ก่อนที่มือทั้งสองข้างจะถูกอีกฝ่ายประกบมือประสานและกดลงบนฟูกนุ่ม เบื้องล่างถูกกระแทกกระทั้นอีกครั้ง รูฟัสอ้าปากขบซอกคอชื้นเหงื่อนั้น สลับกับเม้มริมฝีปากลงไปจนกลายเป็นปื้นแดง กลิ่นสบู่และแชมพูจางๆ ที่ระเหยขึ้นมายิ่งทำให้อยากสัมผัสมากขึ้นอีกเหมือนทุกครั้ง
   ไม่รู้ว่าเขาจูบลงไปกี่ครั้ง กัดไปกี่รอบ หรือสร้างรอยจ้ำสีแดงนั้นไว้มากเพียงไร รู้แต่ฟ่งลืมตามองเขาเป็นพักๆ ด้วยดวงตาสีน้ำตาลฉ่ำเยิ้ม เสียงหอบหายใจ เสียงครางกระเส่า และเสียงเรียกชื่อเขาซ้ำๆ
   รูฟัส....
---------------------------------------------------------
   ฟ่งลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการตื้อในหัวอย่างหนัก ถึงขั้นงงตัวเองว่ากำลังตื่นอยู่หรือหลับอยู่หรือฝันอยู่กันแน่ และยังต้องใช้เวลาอีกหลายนาทีนึกว่าตัวเองอยู่ที่ไหน หลังจากนั้นจึงพอจะนึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
   เมื่อคืนเขากินมื้อเย็นกับรูฟัส และสำลักวอดก้า เหมือนว่าจะมึนๆ นิดหน่อย แล้วก็รู้สึกว่ารูฟัสดูน่ารักเป็นที่สุด จากนั้น.....
   ฟ่งหน้าแดงวาบ พอนึกออกความทรงจำก็หลั่งไหลเข้ามา จะว่าไปเมื่อคืนก็ไม่ใช่ว่าเขาเมามากหรืออะไร ก็แค่กึ่มๆ และเพราะบรรยากาศชวนหวิวทำให้เขาลืมเรื่องการยับยั้งชั่งใจไปเสียสนิท เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เขาแสดงอารมณ์ออกมาให้รูฟัสรับรู้ตรงๆ
   แค่คิดก็อายจนแทบจะแทรกแผ่นดินแล้ว
   น่าเสียดายที่ฟ่งไม่มีวิชาดำดิน แล้วเขาก็ไม่คิดจะทำแบบนั้นจริงๆ ชายหนุ่มนึกจะขยับตัว แล้วก็พบว่ามีอะไรบางอย่างหนักๆ ทับอยู่
   รูฟัสเงยหน้าขึ้นมาด้วยสายตาและสีหน้างุนงงไม่แพ้กัน แต่พอเห็นใบหน้าคุ้นเคยบนเตียงนอน เขาก็ยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ “อรุณสวัสดิ์ครับ”
   อืม..ดูท่าเขาจะติดภาษาไทยเสียแล้ว ขนาดหาสติไม่ค่อยเจอขนาดนี้ ปากยังจำได้ว่าพอเห็นหน้าแบบนี้แล้วต้องพูดอะไร ฟ่งดูอึ้งๆ นิดหน่อย แต่ก็ยิ้มตอบกลับมา
   นัยน์ตาสองสีกะพริบต่อหลังจากนั้น รูฟัสระลึกความจำช้าๆ เมื่อคืนเขามีอะไรกับฟ่ง เรียกได้ว่าปลดปล่อยกันอย่างเต็มที่ แถมฟ่งก็ตอบสนองเป็นอย่างดี จะเพราะเมาหรืออะไรก็ตามแต่ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีเซ็กซ์จนถึงขั้นหมดแรงไปพร้อมกับคู่นอน
   พอคิดถึงตรงนี้ รูฟัสไม่รู้ว่าควรจะอายหรืออย่างไรดี แต่ที่แน่ๆ เขามีความสุขมากที่สุด และเมื่อครู่ฟ่งเพิ่งยิ้มให้เขา
   นัยน์ตาสองสีตวัดขึ้นมองอีกครั้งทันที ฟ่งอยู่ไม่ไกลจากเขานัก ดวงตาสีน้ำตาลมองมาอย่างสงสัย ก่อนจะยิ้มขึ้นอีก “รูฟัส ผมหนัก”
   เป็นครั้งแรกที่รูฟัสนึกอยากจะหยิกตัวเอง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องงี่เง่าสิ้นดี ใครบ้าจะฝันกลางวันขนาดต้องหยิกตัวเอง แต่ว่าตอนนี้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เขาเคยฝันเคยหวังมานานว่าวันหนึ่งฟ่งจะตื่นขึ้นมาในตอนเช้า แล้วยิ้มให้เขาหลังจากผ่านการร่วมรักอย่างดูดดื่ม นี่เขาไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?
   “หยิกผมที”
   ฟ่งทำหน้าเหวอ คิดว่าตัวเองฟังอะไรผิด “คุณว่าไงนะ?”
   รูฟัสมองหน้าฟ่ง และคิดว่าตัวเองงี่เง่าจริงๆ นั่นแหละ เขาขยับตัวออก โดยลืมไปเลยว่าส่วนล่างยังคงเชื่อมประสานกันอยู่ ฟ่งหน้าแดงวาบ ร้องอ๊ะออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะเม้มริมฝีปาก
   น่ารักจนอยากกินซ้ำอีกรอบ
   ยังไม่ทันจะหายใจเต้นดี ฟ่งก็พบว่าตัวเองถูกตะปบ พุ่งเข้าใส่แบบนี้ไม่เรียกว่าตะปบแล้วจะเรียกว่าอะไร รูฟัสไม่พูดอะไร พุ่งเข้าใส่เขาแบบนั้น แล้วถูหน้าเข้ากับข้างแก้มเขาอย่างรักใคร่ เจอแบบนี้ฟ่งพูดอะไรไม่ออก ได้แต่หน้าแดงอยู่แบบนั้น
   สองคนกอดกันไปกอดกันมา จนเผลอหลับกันไปเมื่อไหร่ไม่รู้ ตื่นมาอีกทีก็พบว่ารูฟัสกำลังลูบศีรษะเขาอยู่ ฟ่งเงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาสองสีคู่นั้นส่งยิ้มให้เขาอีกครั้ง ไม่รู้เพราะเหนื่อยเกินไปหรืออากาศมันหนาว เขาไม่อยากจะลุกไปไหนเลย อยากจะนอนอิงไออุ่นแบบนี้ไปอีกสักพัก ขออิงแผ่นอกกว้างนี้ต่ออีกสักหน่อยแล้วกัน
-------------------------------------------------------
**สำลักน้ำตาลตาย!!! :m25:

เหลืออีก4ตอนแล้วค่ะ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ @BUA@

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +427/-8
อ่านมาถึงสามบรรทัดสุดท้ายแล้วต้องเอามือปิดปาก เนื่องจากยิ้มกว้างเกินไป
กลัวคนรอบข้างจะเข้าใจผิด ว่าอินี่ท่าจะบ้า นั่งเขินอยู่หน้าคอมได้คนเดียว   :o8:

ออฟไลน์ entirom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1010
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-2
ไกล้แล้ว
ไกล้จบแล้ว

รอดูว่าฟงจะประจำที่ไหน ประเทศไหน

ออฟไลน์ Anonymus

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 295
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-1
สำลักความหวาน....น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงปรี๊ด!

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog

บทที่85 คำอธิฐาน
   หลังจากผ่านคืนอันหวานชื่น ร่างกายของฟ่งก็แสดงอาการรวดร้าวตามประสาคนที่ไม่ค่อยได้ยืดหยุ่นกล้ามเนื้อมากนักออกมา สืบเนื่องจากการผจญภัยเล็กๆ ในแฟลตร้างนั่นเอง
   หนุ่มสวมแว่นถึงกับไม่มีอารมณ์จะออกไปไหน ด้วยอาการเจ็บกล้ามเนื้อแปล๊บๆ บวกอากาศหนาวด้านนอก ดังนั้นสองวันต่อมา เขาจึงขลุกอยู่แต่ในห้อง โดยมีรูฟัสคอยดูแลหานั่นหานี่ให้ โดยไม่ฉวยโอกาสซ้ำเติมร่างกายของเขาด้วยบทรักหักโหมบนเตียงอย่างเช่นที่ผ่านมา
   แต่การกอดและจูบเหมือนจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
   “ดีขึ้นเยอะไหมครับ?” รูฟัสเอ่ยถามหลังจากแนบจูบเบาๆ ลงบนริมฝีปากของร่างผอมบางที่เพิ่งก้าวออกมาจากห้องอาบน้ำ ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ และถูกทางนั้นดึงตัวเข้าไปจูบอีก
   “ผมสั่งอาหารมาแล้วล่ะ” รูฟัสพูดต่อ ฟ่งหัวเราะแหะๆ “สงสัยถ้าผมไม่รีบหาย คงอ้วนเพราะโดนคุณขุนแน่ๆ”
   หนุ่มนัยน์ตาสองสียิ้มพลางหัวเราะตอบเบาๆ ฟ่งดันตัวเขาออกจากห้องนอน เพื่อที่จะได้เปลี่ยนเสื้อผ้า พอออกมาก็พบว่ารูฟัสนั่งรออยู่ที่โต๊ะ พร้อมกับอาหารแล้ว
   ความจริงอาหารที่นี่ก็คงไม่ถือว่ารสชาติแย่ ดูจากที่รูฟัสทานอย่างเอร็ดอร่อย แต่ฟ่งชักนึกถึงอาหารที่เมืองไทยขึ้นมาบ้างแล้ว เขาควรจะรีบเที่ยวให้เต็มที่แล้วกลับบ้านเสียที การอยู่แต่บนห้องเฉยๆ มาสองวันทำให้เขารู้สึกเหมือนเสียเวลาไปฟรีๆ
   “รูฟัส วันนี้ไปเฮอมิเทจกัน” ฟ่งเอ่ยขึ้นขณะที่ทั่งคู่กำลังนั่งทานอาหารกันอยู่ รูฟัสเงยหน้าขึ้นมาและพูดยิ้มๆ “เฮอมิเทจอยู่เซนต์ปีเตอร์เบิร์กนะครับ”
   ฟ่งทำตาโต รูฟัสเพิ่งพูดเรื่องพิพิธภัณฑ์เฮอมิเทจให้เขาฟังเมื่อวาน ตกลงไม่ได้อยู่ที่มอสโคว์หรอกรึ?
   “ไกลมากรึเปล่า?” หนุ่มสวมแว่นถามต่อ เขาอยากเห็นรูปปั้นคิวปิดสุดน่ารักที่รูฟัสเล่าให้ฟังเมื่อวานตะหงิดๆ คนถูกถามนิ่งนึกไปพักหนึ่ง
   “มีรถไฟออกตอนเที่ยงคืนน่ะครับ ถึงโน่นก็เช้าพอดี”
   ฟ่งเกือบครางออกมา เขากะพริบตาปริบๆ จนอีกฝ่ายต้องพูดต่อ
   “ไว้เที่ยวที่นี่เสร็จ เดี๋ยวผมจะพาไปครับ จริงสิ วันนี้เราไปเซนต์เจอเจียสกันดีกว่า”
   “เป็นที่แบบไหนหรือ?” ฟ่งถามต่อ นึกดีใจที่ยังมีอย่างอื่นให้เที่ยวอีก จะว่าไปเขาเพิ่งได้เที่ยวมอสโคว์ไปแค่สองที่เอง รูฟัสพูดต่อ
   “เป็นโบสถ์ทรงหัวหอมหลังคาสีฟ้าๆ น่ะครับ อืม...เป็นที่ที่คนที่นี่นับถือกันมาก นั่งรถออกไปจากนี่สักครึ่งวันก็ถึงครับ”
   ได้ยินว่าครึ่งวัน ฟ่งชักรู้สึกเข่าอ่อน แต่เอาเถอะ ถือโอกาสดูทัศนีย์ภาพข้างทางไปในตัวก็ไม่เสียเที่ยว เขาพยักหน้าตอบกลับไป
------------------------------------------------
   ระยะทางจากมอสโคว์ไปยังเซอกีเยฟ โปซัด เมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์เซนต์เจอเจียสยาวราวๆ เจ็ดสิบกิโลเมตรโดยประมาณ ระหว่างทางฟ่งได้มองทั้งทัศนีย์ภาพของมอสโคว์ และเมืองรอบนอก รวมถึงยังได้ฟังคำอธิบายเกี่ยวกับโบสถ์ที่จะไปดูจากไกด์ข้างตัวอีกด้วย ถือว่าไม่เสียเที่ยวจริงๆ
   รูฟัสอธิบายว่าเซนต์เจอเจียสเป็นโบสถ์ที่สร้างอุทิศให้กับนักบวชที่มีชื่อว่าเจอเจียส ซึ่งเป็นนักบวชที่บทบาทสำคัญในการปกป้องเมืองมอสโคว์ในสมัยโบราณ จนได้รับการยกย่องเป็นนักบุญ
   ดูวิวบนถนนGolden Ring และฟังเรื่องเล่าจนเต็มอิ่ม ฟ่งก็มาถึงที่ตั้งของมหาวิหารเซนต์เจอเจียสพอดี
   ยังไม่ทันลงจากรถ ชายหนุ่มก็อ้าปากค้างเพราะหลังคาทรงหัวหอมที่ละลานตาไปหมด ยิ่งพอลงจากรถ ได้เห็นยอดหัวหอมสีฟ้าประดับดาวสีทองสะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามบ่ายเป็นประกายระยับราวกับภาพวาด หนุ่มสวมแว่นถึงกับอึ้งไปอึดใจใหญ่ จึงพอนึกถึงกล้องถ่ายรูปในมือขึ้นมาได้
   “รูฟัส” ฟ่งถ่ายรูปไปเกือบครึ่งโหลจึงนึกถึงคนร่วมทางขึ้นมาได้ รูฟัสยืนอยู่ข้างๆ เช่นเคย และรับกล้องถ่ายรูปมาอย่างรู้หน้าที่ แล้วฟ่งก็ได้รูปตัวเองกับโดมรูปหัวหอมสีทองสีฟ้าสมใจอยาก
   “เข้าไปด้านในกันเถอะครับ” หนุ่มตาสองสีเอ่ยชวน หลังจากถ่ายรูปให้เรียบร้อยแล้ว ฟ่งเดินตามร่างสูงใหญ่เข้าไปด้านใน
   พื้นที่ในโบสถ์กว้างใหญ่มาก มีสวนดอกไม้ประดับอยู่เป็นหย่อมๆ ฟ่งเกือบจะแวะซื้อตุ๊กตาที่เรียกกันว่าตุ๊กตาแม่ลูกดก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ขึ้นชื่อของรัสเซียตรงแผงลอยขายด้านหน้าทางเข้าแล้ว แต่รูฟัสบอกว่าจะพาไปซื้อที่ที่สวยกว่านี้ หนุ่มสวมแว่นจึงผละจากแผงขายของ เดินตามคนนำทางต่อไป
   รูฟัสดูจะเรียบร้อยผิดหูผิดตาต่างกับตอนอยู่นอกโบสถ์อย่างสิ้นเชิง คงจะจริงที่เล่าว่าคนที่นี่ในชีวิตของมาถึงโบสถ์แห่งนี้สักครั้ง ฟ่งที่เดินตามมาจึงต้องพลอยสงบเสงี่ยมตามไปด้วย
ที่เซนต์เจอเจียส ต่างกับเซนต์เบซิลอย่างสิ้นเชิง ตอนไปที่เซนต์เบซิล ฟ่งเห็นแต่นักท่องเที่ยว จิตกร แต่ที่นี่ ที่เขาเห็นคือชาวรัสเซียทั้งชายและหญิง เข้าแถวเพื่อจุ่มน้ำมนต์จากน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของโบสถ์
รูฟัสพาเขาไปยังวิหารสีขาว อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และอธิบายว่าคนที่มาที่นี่จะต้องมาทำความเคารพอัฐิของเซนต์เจอเจียสที่ฝังอยู่ข้างใต้วิหารนี้สักครั้ง ฟ่งมองดูคนที่กำลังเข้าแถวยาวเหยียดแล้วอยากเดินเลยไปเสีย แต่พอเห็นสีหน้าที่ดูจะอยากเข้าไปของรูฟัส เขาจึงจำต้องรออยู่ด้านนอก เพราะไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ เข้าไปคงจะทำให้คนที่ต่อคิวอยู่ด้านหลังเสียโอกาสเปล่าๆ ฟ่งจึงบอกรูฟัสว่าเขาจะรออยู่ด้านนอก หนุ่มตาสองสีมองเขาอย่างเป็นห่วง และชวนเขาเข้าไปด้วย ฟ่งมองดูคิวเข้าแถวแล้วปฏิเสธอีกครั้ง ก่อนจะขอร้องให้รูฟัสเข้าไปและยืนยันว่าเขาไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว ไม่เดินหลงทางระหว่างที่รูฟัสไม่อยู่หรอก
ท้ายที่สุดหนุ่มตาสองสีจึงเดินไปเข้าแถว แต่ก็ยังคงมองมาเป็นระยะๆ อย่างเป็นห่วง ฟ่งยิ้มให้เขา และเลือกม้านั่งที่อยู่ใกล้ๆ แถวนั้นนั่งคอย เพื่อที่รูฟัสจะได้ไม่เป็นห่วงมากนัก
สักพักใหญ่ รูฟัสจึงเดินออกมา และมีสีหน้าโล่งใจที่เห็นฟ่งยังคงนั่งอยู่ที่เดิม แม้ว่าเจ้าตัวจะแสดงอาการว่าหนาวมากก็ตาม
“เดี๋ยวไปดูโบสถ์อีกหลังแล้วผมจะพาไปกินอะไรอุ่นๆ นะครับ” หนุ่มตาสองสีกล่าวเมื่อเห็นสีหน้าของคนที่รออยู่ ฟ่งพยักหน้าหงึกหงัก ขยับแว่นให้เข้าที่ เขานึกสงสัยว่ารูฟัสขอพรอะไรตอนเข้าไปในโบสถ์หลังนั้น จะขอเกี่ยวกับเรื่องของพวกเขาหรือเปล่า? แต่ศาสนาคริสต์ไม่สนับสนุนเรื่องรักร่วมเพศนี่นา รูฟัสคงไม่ขออะไรที่พระเจ้าลงโทษแบบนั้นหรอก
ฟ่งตัดสินใจเลิกคิดแทนคนอื่น เขาตั้งหน้าตั้งตาเดินตามรูฟัสไปยังโบสถ์อีกหลัง และรู้สึกหายหนาวทันทีที่เข้าไปด้านใน
หลังคาโค้งที่ประดับด้วยปูนปั้นและภาพวาดตรึงชายหนุ่มให้ต้องแหงนมองคอตั้งบ่า เขาได้ยินเสียงรูฟัสอธิบายเป็นระยะๆ ขณะที่ยกกล้องขึ้นถ่ายรูป
กว่าจะออกจากโบสถ์ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว รูฟัสพาเขาแวะทานเครื่องดื่มร้อนๆ ที่ร้านค้าเล็กๆ แถวนั้น ก่อนจะเรียกรถกลับที่พัก
---------------------------------------------------
พอมาถึงหน้าโรงแรม เพิ่งจะจ่ายค่ารถที่พามาส่งเสร็จ รถแท็กซี่อีกคันก็แล่นเข้ามาต่อ ทั้งฟ่งและรูฟัสมองดูอย่างงุนงง ก่อนที่คนขับรถจะไขกระจกลง รูฟัสทำท่าจะอ้าปากบอกปฏิเสธบริการที่ไม่ได้รับเชิญนี้ แต่พอเห็นคนขับรถ ชายหนุ่มก็พลันเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วทันที ฟ่งจึงมองตามเข้าไปบ้าง และพบว่าเป็นคนขับรถแท็กซี่ที่พาพวกเขาไปที่แฟลตร้างเมื่อวันก่อน
นิโคลัยยิ้มเห็นฟันทองในปากหลายซี่ พลางพูดอะไรที่ฟ่งฟังไม่เข้าใจ รูฟัสทำสีหน้าปั้นยาก และหันไปบอกฟ่งให้กลับขึ้นไปที่พักก่อน ฟ่งอยากจะถามถึงเหตุผล แต่พอเห็นสีหน้ายุ่งยากใจของทางนั้นก็เปลี่ยนใจพยักหน้า และขึ้นห้องไปก่อนตามคำขอร้อง เขาเห็นรูฟัสก้าวขึ้นรถแท็กซี่คันนั้น หลังจากที่เห็นเขาเดินเข้าประตูโรงแรมแล้ว ท่าทางรูฟัสจะมีเรื่องบางอย่างที่ไม่สะดวกให้เขารับรู้จริงๆ แต่ฟ่งเดาไม่ออกว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่
หนุ่มสวมแว่นเดินเข้ามาในห้อง ด้วยความรู้สึกแปลกๆ ทันทีทีสิ้นเสียงปิดประตู ห้องทั้งห้องดูเงียบจนวังเวง นี่คงเป็นครั้งแรกตั้งแต่มารัสเซีย ที่รูฟัสไม่ได้อยู่กับเขา ไม่สิ คงเป็นครั้งแรกตั้งแต่เขาตัดสินใจจะอยู่กับผู้ชายคนนี้เลยต่างหาก
จู่ๆ ฟ่งก็นึกกลัวขึ้นมา ถ้ารูฟัสทิ้งเขาไปล่ะ
ร่างกายที่เหมือนจะหายจากอาการอ่อนล้าแล้วกลับอ่อนยวบลงไปดื้อๆ ชายหนุ่มถึงกับตาพร่าไปวูบหนึ่งจนต้องจับเคาน์เตอร์ที่ตั้งอยู่ข้างประตูเอาไว้
   บ้าจริง เขาคิดอะไรอยู่เนี่ย ก็แค่รูฟัสไปธุระ ทำไมถึงต้องเก็บเอามาคิดมากด้วย
   ฟ่งเริ่มคิดว่านิสัยแย่ๆ ของเขาแก้ยากจริงๆ ชายหนุ่มตัดสินใจ เดินไปห้องน้ำ วักน้ำขึ้นมาล้างหน้า เผื่อว่าจะได้เลิกคิดอะไรวิตกจริตเกินเหตุได้บ้าง พอยื่นมือลงไปเพื่อรองน้ำ สายตาก็ประสบเข้ากับแหวนทองคำขาวในมือ ภาพของรูฟัสย้อนเข้ามาในห้วงความคิดอีกครา
   ผู้ชายคนนั้นให้แหวนเขา ขอเขาแต่งงาน บอกรักเขาทุกวัน ดีกับเขาทุกอย่าง แต่เขากลับแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นเลย
   คนเราทุกคนต้องมีความลับหรือเรื่องบางอย่างที่ไม่สามารถบอกคนอื่นได้ ฟ่งคิดว่าตัวเองทำใจยอมรับได้แล้ว ตั้งแต่คิดจะอยู่กับผู้ชายคนนี้ ก่อนหน้านี้เขาอาจจะรับมันไม่ได้ แต่รูฟัสแสดงความจริงใจกับเขามาโดยตลอด และเขาเองก็ตัดใจยากผู้ชายคนนี้ได้ยากเสียแล้ว
   แค่คิดว่าถ้ารูฟัสจะทิ้งเขาไป หัวใจก็ปวดแน่นขึ้นมาแล้ว
   ฟ่งเพิ่งรู้ตัวนี่เองว่าเขารักรูฟัสมากแค่ไหน แค่ห่างกันไม่กี่นาที หัวใจเขาก็ปวดตุบๆ หลังจากที่ตัดสินใจจะใช้ชีวิตคู่กับรูฟัสแล้ว เขาวิ่งตามผู้ชายคนนั้นมาโดยตลอด พยายามตะเกียกตะกายไปในสถานที่ที่ไม่น่าไป ไปในห้องลับที่ตัวเองออกแบบ ใช้ทั้งวิธีขู่กรรโชก หน้าด้านหน้าทน เผชิญกับห่าลูกปืน เพียงเพราะอยากให้แน่ใจว่าผู้ชายคนนั้นจะกลับมาหาเขา กลับมาอยู่กับเขา
   ฟ่งกัดฟันแน่น รู้สึกรำคาญตัวเองขึ้นมาจริงๆ ชายหนุ่มฝืนใจวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า และบอกตัวเองว่า หยุดคิดอะไรบ้าๆ ได้แล้ว เดี๋ยวรูฟัสก็กลับมา ก็แค่ไปธุระเท่านั้นเอง
   หนุ่มสวมแว่นออกจากห้องน้ำ และตัดสินใจเดินไปเปิดโทรทัศน์ ภาพผู้หญิงผมบลอนด์ในชุดโบราณปรากฏขึ้น พร้อมกับภาษาที่เขาฟังไม่ออก คงเป็นภาพยนตร์อะไรซักเรื่อง ฟ่งนั่งปุลงบนเก้าอี้ มองดูโทรทัศน์ และคิดว่าเขาน่าจะขอให้รูฟัสช่วยสอนภาษารัสเซียให้ เผื่อจะเข้าใจอะไรได้มากขึ้น เผื่อว่าเขาจะได้พูดภาษาบ้านเกิดให้เจ้าตัวฟังบ้าง
   ภาพยนตร์โทรทัศน์ทำให้ฟ่งคลายความฟุ้งซ่านได้พักใหญ่ ถึงจะฟังไม่รู้เรื่อง แต่เครื่องแต่งกายและเนื้อเรื่องก็พอจะทำให้เขารู้สึกคล้อยตามและเกิดความสนใจได้ เหมือนจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับขุมทรัพย์พระเจ้าซาร์หรืออะไรซักอย่าง เขาเพลินจนลืมดูเวลาเสียสนิท รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงเคาะประตูนั่นแหละ
   ฟ่งเดินไปเปิดประตูโดยลืมดูช่องตาแมวเช่นเคย โชคดีที่คนมาเคาะเป็นคนที่เขาอยากเจอมากที่สุด รูฟัสเดินเข้ามาในห้อง ยังไม่ทันจะถอดเสื้อโค้ทออก ร่างผอมบางก็โผเข้าใส่และกอดเขาไว้แน่น ลำแขนแกร่งรวบร่างนั้นเอาไว้แนบอกทันที
   ทั้งคู่กอดกันอยู่นานจนกระทั่งเพลงจบของภาพยนตร์สิ้นสุดลงและตัดเข้าสู่ช่วงข่าว ฟ่งหัวเราะเขินๆ อย่างรู้สึกตัว และผละตัวออก แต่รูฟัสยังคงรั้งตัวเขาเอาไว้อีกพักหนึ่ง จึงยอมปล่อยออกมา หรือว่ารูฟัสเองก็คิดถึงเขามากเหมือนกันนะ?
   “ไปไหนมาหรือ?” ฟ่งถาม รู้สึกว่ารูฟัสตัวเย็นมาก หนุ่มตาสองสีมองหน้าเขาอยู่พักหนึ่ง ถึงค่อยยิ้มออกมา ก่อนจะถอดเสื้อโค้ทและแว่นตาออก
   “หิวรึเปล่าครับ?” ชายหนุ่มเอ่ยปากถาม ฟ่งรู้สึกขมๆ ในคอนิดหน่อย รูฟัสไม่ตอบคำถามเขาอีกแล้ว เขา....ควรจะนึกปลงกับเรื่องนี้ได้เสียที หนุ่มสวมแว่นสั่นศีรษะ
   “ผม..ไม่หิว”
   ไม่รู้ทำไม เสียงถึงได้สั่นนัก รูฟัสหันมามองเขาทันที พอเห็นเจ้าตัวทำท่าจะพูดอะไรต่อ ฟ่งก็รีบพูดตัดหน้า “เมื่อตะกี้ผมดูหนังด้วยล่ะ”
   ประโยคดูไร้สาระสิ้นดี แต่ฟ่งกลัวว่ารูฟัสจะถามว่าเขาเป็นอะไร ถ้าถามออกมาเขาไม่รู้จะตอบว่าอะไรเหมือนกัน ฟ่งไม่อยากบอกเหตุผลออกไปตามตรง ในเมื่อรูฟัสไม่อยากบอกเขา เขาก็ไม่ควรทำให้อีกฝ่ายลำบากใจ เขาเคยทำให้ทางนั้นลำบากมามากแล้ว ในเวลาแบบนี้ ได้อยู่ด้วยกันแล้ว เขาควรจะทำให้เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุด
   รูฟัสทำหน้างงๆ เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ “หนังเรื่องอะไรหรือครับ?”
   “ไม่รู้เหมือนกัน ผมฟังไม่ออกหรอก แต่สนุกดีนะ” ฟ่งพูด และรีบพูดต่อ “คุณสอนผมพูดภาษารัสเซียบ้างสิ”
   คนถูกขอกะพริบตาปริบๆ “เอาจริงๆ หรือครับ?”
   “ผมรู้ว่าผมพูดไม่คล่องแน่ คุณอาจจะฟังไม่ออก แต่ผมอยากจะพูดนะ” ฟ่งตอบ พยายามทำเสียงขึงขัง รูฟัสมองหน้าเขา และยิ้มออกมา “อยากจะพูดกับผมหรือครับ?”
   “อือ” อีกฝ่ายยอมรับออกไป ความเงียบเข้าปกคลุมคนทั้งคู่อยู่พักใหญ่ ไม่มีใครพูดอะไร มีแต่เสียงโทรทัศน์ดังแว่วให้ได้ยิน
   “ฟ่ง....” ในที่สุดรูฟัสก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อน เขามองดูร่างตรงหน้า และเห็นดวงตาสีน้ำตาลที่มองตรงมา ดวงตาของฟ่งยังคงแฝงแววเศร้าสร้อยเอาไว้เหมือนเดิม แต่ก็มองมายังเขาอย่างมีความหวัง และมีความห่วงหาอยู่ในนั้นด้วย
   สายตาที่เขาปรารถนาจะได้จากคนข้างห้องมานานแสนนาน
   รูฟัสดึงตัวฟ่งเข้ามากอดอีกครั้ง ไม่รู้จะเริ่มต้นคำพูดว่าอย่างไรดี เขากอดร่างผอมบางนั้นไว้เนิ่นนาน จูบลงไปบนเรือนผมสีน้ำตาลนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนอีกฝ่ายส่งเสียงอย่างตกใจ “กะ...เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
   รูฟัสยังคงกอดและจูบเขาอย่างนั้นอยู่อีกพักใหญ่ ในที่สุดก็พูดต่อ “ผมรักคุณมากนะ”
   ฟ่งพยักหน้าให้กับคำพูดนั้น แต่รูฟัสน่าจะมีเรื่องอะไรในใจมากกว่านี้
   “มีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึเปล่า เล่าให้ผมฟังก็ได้”
   รูฟัสมองหน้าเขาอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ยอมพูดอะไรออกมา ฟ่งตัดสินใจทำสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำมาก่อน เขายกมือขึ้น บีบจมูกรูฟัสเบาๆ และพูดยิ้มๆ “พูดมาเถอะน่า ผมเป็นคู่ชีวิตคุณนะ มีอะไรก็ควรจะปรึกษากันสิ”
   รูฟัสมองหน้าเขา กะพริบตาอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะดึงเขาเข้าไปกอดแน่น
   “ผมไปบ้านพี่ชายมา เอ่อ...พ่อของเกรเกอรีน่ะ” รูฟัสเริ่มเล่า หลังจากกอดจนฟ่งคิดว่าตัวเองจะขาดอากาศหายใจตาย เหมือนรูฟัสกลัวว่าเขาจะหนีหายไปอย่างนั้นแหละ
   “อือ” ฟ่งพยักหน้า และคิดว่าก็ไม่ใช่เรื่องน่าปิดบังอะไรนี่นา รูฟัสนิ่งไปสักพักและพูดต่อ
   “เขารู้แล้วว่าผมเป็นน้องชายเขา แต่ผมคิดว่ามันวุ่นวาย คุณก็รู้ ผม..เอ่อ....ผมไม่ใช่น้องชายคนเดิมที่วิ่งไล่ตามเขาเหมือนเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนแล้ว”
   “อือ ผมรู้ ถ้ามีใครรู้ว่าเขาเป็นญาติกับคุณ เขาก็จะลำบากใช่ไหมล่ะ?”
   “อืม” รูฟัสคราง และมองหน้าฟ่งอย่างวิงวอน ฟ่งมองเขาอีกพัก และหัวเราะออกมา “คุณกำลังจะบอกว่าเหมือนที่ผมรู้จักกับคุณสินะ”
   “ผม...” รูฟัสพูดค้าง หน้าสลดลงทันที ฟ่งหัวเราะ และพูดต่อ “ที่คุณไม่ยอมพูด เพราะกลัวผมจะนึกกลัวแล้วหนีคุณไปอีกหรือ?”
   คนถูกถามพยักหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ ฟ่งยิ้มให้เขา และจูบที่จมูกโด่งๆ นั้นเบาๆ “นั่นมันเรื่องเก่าแล้ว รูฟัส มาถึงขั้นนี้แล้ว ผมไม่หนีคุณไปไหนหรอก คุณ...อย่าทิ้งผมไปก็พอ”
   รูฟัสช้อนดวงตาสีแปลกขึ้นมอง และรั้งตัวเขาเข้าไปกอดอีกรอบ เพิ่งรู้ว่าผู้ชายคนนี้ก็อ่อนไหวกับเรื่องนี้เหมือนกัน
   “ผมไม่ทิ้งคุณหรอก ต่อให้พระเจ้าไม่รับคำสาบาน ต่อให้สวรรค์สาปส่ง ผมก็จะรักคุณ”
   ฟ่งรู้สึกขนลุกด้วยความตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก เขายกมือขึ้นกอดตอบรูฟัส เหมือนว่าวันนี้พวกเขาจะกอดกันบ่อยและนานเป็นพิเศษ อ้อมกอดของกันและกันที่อบอุ่นและบริสุทธิ์อย่างไม่น่าเชื่อ
----------------------------------------------------
   “แล้ว..คุณบอกเขาว่ายังไงหรือ พี่ชายคุณน่ะ?” ฟ่งถามต่อ หลังจากผละออกจากกันแล้ว รูฟัสพูดยิ้มๆ
   “ผมก็บอกเขาไปตามตรงนั่นแหละ ว่าผมไม่ใช่น้องชายคนเดิมของเขาเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนอีกแล้ว เขาก็ดูจะยอมรับ แต่ผมกลับรู้สึกแสลงใจ เพราะผมไม่ได้เล่าเรื่องตัวเองให้คุณฟังเลย แถมรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยน่าคบเท่าไหร่”
   ฟ่งยกมือตบแก้มรูฟัสเบาๆ “รู้สึกตัวช้าไปหน่อยแล้ว”
   รูฟัสหัวเราะเขินๆ และดึงมือข้างนั้นขึ้นมาจูบ ฟ่งมองเห็นแหวนสีเงินบนนิ้วของรูฟัสแล้วนึกขึ้นได้
   “รูฟัส คุณมีสลักอะไรไว้ในแหวนรึเปล่า?” เขาเอ่ยถามเรื่องที่นึกจะถามตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็ลืมทุกที รูฟัสพยักหน้า ฟ่งจึงถามต่อ
   “เป็นตัวเลขหกตัวใช่ไหม?”
   “อืม”
   “หมายความว่าอะไรหรือ?”
   คราวนี้รูฟัสมีสีหน้าแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด เขาถามกลับ “คุณจำไม่ได้หรือครับ?”
   ฟ่งขมวดคิ้ว นึกให้ตายเขาก็จำไม่ได้ว่าเคยเห็นเลขพวกนี้ที่ไหน นี่รูฟัสคิดว่าคนอื่นจะเข้าใจรหัสลับของตัวเองได้โดยไม่ต้องการคำอธิบายเลยหรือไง รูฟัสมองหน้าฟ่งอยู่พักหนึ่ง แล้วหัวเราะออกมา
   “ขอโทษทีครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณงง มันเป็นวันเดือนปีที่ผมเจอคุณวันแรกน่ะ วันที่ผมไปช่วยคุณขนของ”
   “คุณจำได้เหรอ?” ฟ่งถามอย่างแปลกใจ นึกไม่ถึงว่ารูฟัสจะจำกระทั่งวันที่ได้ เขาเองยังจำไม่ได้เลยว่าวันที่เท่าไร จำได้แต่เดือนเท่านั้นเอง หนุ่มตาสองสีพยักหน้า
   “ผมอยากจะสลักอะไรเอาไว้เป็นที่ระลึกน่ะ แต่จะสลักชื่อผมกับคุณก็ยาวไป จะสลักว่าผมรักคุณก็ดูยังไงๆ ไม่รู้ ก็เลยคิดว่าสลักวันที่เราเจอกันวันแรกไว้ดีกว่า”
   “ขอโทษนะ ผม...ผมจำไม่ได้เลย” ฟ่งพูดอย่างกระดาก ดูเหมือนรูฟัสจะจำอะไรได้ดี ต่างจากเขาลิบลับ หนุ่มตาสองสียิ้มอีกรอบ
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเรื่องมันจะมาลงเอยแบบนี้ วันนั้นผมช่วยคุณยกของ วันนี้ผมขอยกคุณนะ”
   ยังไม่ทันที่ฟ่งจะได้อ้าปากพูดอะไรตอบ ร่างก็ถูกยกขึ้นจริงๆ ร่างผอมบางโวยวายทันที “ทำอะไรน่ะ!?”
   “ก็ยกคุณไปที่เตียงไงครับ” ร่างสูงใหญ่ตอบอย่างอารมณ์ดี ฟ่งถลึงตาใส่ทันที “บ้า ผมยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลยนะ”
   “อ้าว ไหนคุณว่าไม่หิวไงครับ?”
   “ตอนนี้ผมหิวแล้วล่ะ” ฟ่งตอบทันที รูฟัสชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะเดินหน้าต่อไปจนถึงเตียง และวางร่างผอบบางลงบนนั้น
   “กินก่อนเดี๋ยวจะจุกนะครับ ขอผมก่อนแล้วกัน”
   ฟ่งถลึงตาใส่รูฟัส ก่อนแขนทั้งสองข้างจะถูกกดรวบลงบนเตียง
   “ขอผมก่อนได้ไหมครับ เมื่อครู่ผมคิดถึงคุณมากเลย” ทางนั้นเอ่ยถามเสียงอ้อน ฟ่งถลึงตาใส่อีกรอบ ก่อนจะยื่นหน้าขึ้นไปจูบริมฝีปากนั้นเบาๆ แทนคำตอบ ริมฝีปากหนาประกบแนบลงมาทันที พร้อมกับร่างที่โถมลงมา
   รูฟัสไม่รู้ว่าคำอธิฐานของเขาจะไปถึงนักบุญหรือถึงพระเจ้า หรือถึงหูซาตานกันแน่ แต่ไม่ว่าใครจะได้ยิน ตอนนี้เขาก็พอใจมากแล้ว
   ไม่ว่าจะลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ ขอแค่เขามีผู้ชายคนนี้อยู่ข้างๆ ก็เพียงพอแล้ว
-------------------------------------------------------
**เจ้ารูฟัส เอ็งเชื่อในพระเจ้าด้วยเรอะ  :laugh:

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
ลงท้ายก็หื่นเหมือนเดิม  :-[

ออฟไลน์ love AJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2

ออฟไลน์ @BUA@

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +427/-8
กำลังคิดว่าทำไมตอนนี้รูฟัสดูสงบเสงี่ยมจัง
แต่สุดท้ายแล้วพี่แกก็ไม่พลาดที่จะหื่น  :laugh:

ออฟไลน์ entirom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1010
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-2
คงความหื่นตลอดศก น่ะรูฟัส

ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
โอ๊ยหวานๆ หวานมากๆ
เป็นฉากแต่งงานที่ดูเรียบง่าย  แต่ทำเอาคนอ่านยิ้มเขินกันไปเลยทีเดียว :-[
ไม่ไหวแล้วคู่นี้อ่านไปเขินไปสุดๆ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
***555+ :laugh:ทุกคนเข้าใจถูกแล้วค่ะ รูฟัสเป็นพระเอกที่หื่นที่สุดเท่าที่เราเคยเขียนมาเลย (มีตอนไหนบ้างที่มีโอกาสแล้วไม่หื่น??)

วันนี้ลงให้2ตอนรวดชดเชยเมื่อวานนะคะ^^

--------------------------------

บทที่86 ขอบคุณที่เคียงข้างกัน
   “วันนี้ไปสถานีรถไฟกันไหมครับ?” รูฟัสเอ่ยปากขึ้นระหว่างอาหารมื้อเช้าในห้องพัก ฟ่งช้อนตาขึ้นมองผ่านแว่น
   “จะไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเหรอ?”
   หนุ่มตาสองสีคลี่ยิ้มละไม “ยังหรอกครับ แต่ผมนึกขึ้นได้ว่าคุณยังไม่ได้ไปเที่ยวสถานีรถไฟเลย สถานีรถไฟใต้ดินที่นี่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยนะครับ”
   ฟ่งเบิ่งตากว้าง “จริงหรือ? อืม...ใช่ เหมือนผมจะเคยเห็นในสารคดีนำเที่ยว นั่งรถไฟก็ดีเหมือนกันนะ”
   ชายหนุ่มพูดพลางตัก Сельдь под шубой ซึ่งเป็นสลัดชนิดหนึ่งเข้าปาก รูฟัสมองดูคนตรงหน้า และพูดขึ้น
   “ปากเลอะนะครับ”
   ฟ่งทำหน้างงๆ แต่พอเห็นอีกฝ่ายผุดลุกขึ้น และยื่นหน้าเข้ามา ชายหนุ่มก็รีบยื่นมือออกไปทันที
   “ไม่ต้องเลยนะ ผมเช็ดเองได้” ฟ่งว่า รูฟัสยิ้มๆ และแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง
   “ผมอยากกินสลัดบนปากคุณจัง”
   ร่างบางหน้าแดงวาบ รีบผลักอีกฝ่ายให้กลับไปนั่งทันที “หยุดคิดอะไรแบบนี้กับผมเสียที!”
   รูฟัสหัวเราะในลำคอ ฉวยมือที่ผลักไสอยู่ขึ้นมาจูบ ก่อนจะยอมกลับไปนั่งแต่โดยดี ฟ่งถลึงตาใส่อีกฝ่าย แต่ก็ยังไม่วายหน้าแดงอยู่อย่างนั้น

   หลังทานอาหารเช้าเสร็จ รูฟัสพาฟ่งออกจากโรงแรม เนื่องจากเริ่มชินกับอากาศหนาวบ้างแล้ว พอรู้ว่าสถานีรถไฟอยู่ไม่ไกลมาก ฟ่งจึงเลือกที่จะเดินมากกว่านั่งรถ ซึ่งคนร่วมทางก็เห็นดีด้วย ทั้งคู่จึงเดินเลียบถนนมาเรื่อยๆ
   “รถที่นี่เยอะจัง” ฟ่งว่า ระหว่างที่ทั้งคู่เดินข้ามถนนเส้นหนึ่ง รูฟัสพยักหน้า
   “ที่นี่คนขับรถเยอะครับ แต่สถานีรถไฟก็คนเยอะเหมือนกัน”
   “เหมือนที่กรุงเทพฯ เลย สร้างรถไฟฟ้าแล้ว ก็ไม่เห็นรถจะหยุดติดตรงไหน”
   คนฟังหัวเราะ อีกฝ่ายพูดต่อ “จริงสิ ที่นี่มีรถเมล์สองชั้นรึเปล่า?”
   “นั่นมันที่อังกฤษนะครับ ที่นี่ไม่มีหรอก มีแต่...เอ่อ....รถเมล์แบบนั้น” รูฟัสกล่าว พลางชี้ให้ดูรถเมล์สีแดงดำคันหนึ่งที่แผ่นผ่านมา ฟ่งมองแล้วนึกว่าไม่เห็นจะต่างจากรถเมล์ในกรุงเทพฯ ตรงไหน คนแน่นเอี๊ยดแถมโทรมพอๆ กัน   
   พอใกล้ๆ ถึงสถานีรถไฟ ก็เริ่มมีแผงขายของข้างทางวางเรียงกันอยู่ ฟ่งอดไม่ได้ต้องเดินเข้าไปดู ที่เด่นสะดุดตาบนแผงเห็นจะเป็นตุ๊กตาที่สามารถใส่ซ้อนกันได้
   “ตุ๊กตานี่ที่นี่เรียกว่าอะไรหรือ?”
   “เรียกว่า Матрьошка ครับ” รูฟัสตอบ ฟ่งขมวดคิ้วกับภาษาที่ได้ยินทันที เขากลั้นใจถามอีกครั้ง
   “เรียกว่าอะไรนะ?”
   “เรียกว่า Matryoshkas ครับ”
   การพยายามออกเสียงอย่างช้าๆ ของรูฟัส ทำให้ฟ่งพอจะฟังออกบ้าง หนุ่มสวมแว่นพยายามจะพูดเลียนแบบ
   “มาตรีโอสคา..”
   รูฟัสเผลอหัวเราะออกมาจนแก้มของคนพูดกลายเป็นสีแดงเรื่อ ได้ยินเสียงเหมือนคนขายของหัวเราะเบาๆ และพูดอะไรบางอย่างที่ฟ่งฟังไม่ออก รูฟัสจึงหันไปคุยกับเขา
   “เขาว่าอะไรหรือ?” ฟ่งสะกิดอีกฝ่ายหลังจากทั้งคู่พูดคุยกันได้พักหนึ่ง รูฟัสหันมายิ้มให้
   “เขาถามว่าผมพาเพื่อนมาเที่ยวหรือ? ผมเลยตอบไปว่าใช่ เขาก็เลยถามต่อว่าเพื่อนจากไหน ผมเลยบอกว่าจากประเทศไทย อืม... เขาบอกว่าเคยเห็นในหนังสือนำเที่ยวแล้ว อยากไปมาก”
   “อื้อ ไปสิ ที่เมืองไทยมีอะไรน่าเที่ยวเยอะเลยนะ ถ้าไม่ติดว่าอากาศร้อน”
   รูฟัสหัวเราะอีก ก่อนจะหันไปแปลความกับพ่อค้า
   “เขาว่า หน้าร้อนที่นี่ตอนนี้ก็ร้อนเหมือนกัน คงไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก” หนุ่มตาสองสีหันมาแปลความ ก่อนจะขยับแว่นตาสีชาให้เข้าที่ ฟ่งมีสีหน้าแปลกใจ
   “แต่ตอนนี้ผมหนาวมากเลยล่ะ” เขาว่า พลางยกมือขึ้นกอดอก ทั้งรูฟัสและพ่อค้าขายของพากันหัวเราะอีก ฟ่งเลยหันกลับไปสนใจของบนแผงขายต่อ
   “Can I touch?” ฟ่งพูดกับคนขายและชี้ไปที่ตุ๊กตาตัวหนึ่ง ทางนั้นรีบพยักหน้าและพูดอะไรเร็วปรื๋อจนเขาฟังไม่ออกและหยิบตุ๊กตาส่งให้ ฟ่งรับมาพลิกดู ระหว่างนั้นได้ยินคนขายพูดอะไรอีกหลายอย่าง เหมือนจะเป็นภาษารัสเซียบ้าง อังกฤษบ้าง แต่จนใจที่เขาไม่คุ้นเคยกับสำเนียงเลย จึงแปลไม่ออก รูฟัสจึงเป็นคนแปลสารเช่นเคย
   “เขาบอกว่าตุ๊กตานี้เป็นเรื่องของต้นเทอนิบน่ะครับ” หนุ่มตาสองสีว่า ฟ่งเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ รูฟัสจึงชี้ให้ดูที่ฐานด้านล่างของตุ๊กตา ซึ่งพอสังเกตดีๆ แล้ว เพิ่งเห็นว่าเป็นรูปวาดที่ไม่ใช่ลายเสื้อผ้า แต่เป็นรูปคล้ายผักชนิดหนึ่ง ใบสีเขียวๆ คล้ายหัวผักกาด
   “ที่ฐานของตุ๊กตาจะเป็นภาพจากนิทานหรือเรื่องเล่าโบราณน่ะครับ ” รูฟัสอธิบายต่อ ฟ่งพยักหน้า เขานึกว่าตุ๊กตาพวกนี้จะเป็นแค่ตุ๊กตารูปผู้หญิงเฉยๆ เสียอีก รูฟัสดึงส่วนหัวของตุ๊กตานั้นออก ฟ่งเห็นว่าที่ฐานของตุ๊กตาตัวที่สอง นอกจากต้นผักแล้ว ยังเพิ่มรูปของชายชราอีกคนหนึ่งกำลังถอนต้นผักนั้นอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมองรูฟัส หนุ่มตาสองสีซึ่งสวมแว่นตาสีชาอยู่ไม่ว่าอะไรเพียงแต่ยิ้มๆ และถอดหัวตุ๊กตาตัวที่สองออก
   ฟ่งขมวดคิ้ว จากเดิมที่มีรูปชายชราถอนต้นผัก ตอนนี้เพิ่มรูปหญิงชรามาอีกคนกำลังช่วยชายชราถอนต้นผักอยู่ พอดึงตุ๊กตาตัวนั้นออก ก็มีหลานสาวอีกคนมาช่วยตายายทั้งสองดึงต้นผัก หลังจากนั้นก็มีสุนัขตัวหนึ่งมาสมบท ตามด้วยแมลงเต่าทองอีกตัวหนึ่ง และอีกตัวหนึ่ง และ...อีกตัวหนึ่ง ท้ายที่สุดต้นผักนั้นก็หลุดออกมา พร้อมๆ กับสายโซ่ของคนสาม สุนัขหนึ่ง เต่าทองอีกสาม
   ฟ่งเบิ่งตามองภาพตรงฐานตุ๊กตาตัวสุดท้ายที่เล็กเสียจนเขาต้องก้มหน้ามองลงไปใกล้ๆ แล้วหัวเราะออกมา
   “ตลกจัง เหมือนเรื่องเล่าพวกนี้เล่ามาเพื่อทำภาพลงในตุ๊กตาเลย”
   รูฟัสยิ้ม “เรื่องเล่าทำนองนี้ที่รัสเซียมีเยอะนะครับ ไว้ว่างๆ ผมจะเล่าให้คุณฟัง”
   “อือ” หนุ่มสวมแว่นพยักหน้า ก่อนจะพูดต่อ “คุณว่าตุ๊กตาตัวนี้ใช้ได้มั้ย? ผมว่ารูปก็ดูละเอียดดีนะ”
   “อืม...” รูฟัสครางในลำคออย่างใช้ความคิด ก่อนจะพลิกตุ๊กตาขึ้นมาดูทีละตัว ฟ่งเพิ่งรู้ว่ารูฟัสละเอียดลออกับเรื่องเลือกซื้อของเหมือนกัน
   ชายหนุ่มพลิกดูตุ๊กตาอยู่พักหนึ่ง ลองใช้นิ้วเคาะเบาๆ ลูบดูสีที่ใช้เขียน ก่อนจะหันไปคุยอะไรบางอย่างกับคนขาย แล้วหันมาพูดยิ้มๆ “ชอบรึเปล่าล่ะครับ?”
   “อือ ก็ลายมันน่ารักดี สีก็สวย เรื่องก็ตลกดีด้วย” ฟ่งว่า รูฟัสหันไปคุยกับคนขายอีกรอบ ก่อนจะส่งตุ๊กตาให้และหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา
   “เดี๋ยวๆ รูฟัส ผมจ่ายเองนะ” หนุ่มสวมแว่นรีบแทรกตัวเข้ามา และเกือบจะชนเข้ากับแผงขายของ รูฟัสใช้มือข้างหนึ่งกันตัวเขาออกไปอย่างง่ายๆ ก่อนจะหันมาพูดยิ้มๆ
   “ไว้จ่ายคืนนี้แล้วกันครับ”
   คนฟังหน้าแดงวาบ ยอมถอยกลับไปโดยไม่พูดอะไรอีก รูฟัสจ่ายสตางค์เสร็จก็ส่งถุงใส่ตุ๊กตาให้ฟ่ง หนุ่มสวมแว่นรับมาและกะพริบตาปริบๆ

   “รูฟัส ค่าตุ๊กตาเมื่อกี้น่ะให้ผมจ่ายเถอะ” ฟ่งพูด ระหว่างที่ทั้งคู่ออกเดินจากแผงขายของไปยังสถานีรถไฟ รูฟัสหันมามองหน้าคู่สนทนา
   “ผมไม่สบายใจเลยที่คุณซื้อของให้ คือ...ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจคุณนะ แต่ของนี่ผมอยากได้เอง ผมก็ควรจะจ่ายเอง เพราะฉะนั้นให้ผมจ่ายเถอะนะ อย่าเอาเรื่องบนเตียงมาขู่ผมเลย” ฟ่งพูดด้วยสีหน้าจริงจังเสียจนรูฟัสพลอยมีสีหน้าเอาจริงเอาจังไปด้วย
   “รู้สึกไม่ดีขนาดนั้นเลยหรือครับ?” หนุ่มตาสองสีเอ่ย ฟ่งพยักหน้า
   “ผมเข้าใจนะเวลามีแฟนน่ะ คุณเองก็คงอยากจะแสดงให้เห็นว่าตัวเองพึ่งพาได้ ผมเองก็เคยมีแฟนเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ตอนนั้นผมก็พยายามทำแบบคุณนี่แหละ แต่ว่า ผมเป็นผู้ชายนะ คุณไม่ต้องทำแบบนี้หรอก”
   รูฟัสหน้าเจื่อนลงหน่อยหนึ่ง “ผมแค่อยากจะทำให้คุณมีความสุขเวลาอยู่กับผม เอาเถอะครับ ถ้าคุณพูดแบบนั้น ผมก็ไม่มีปัญหาอะไร”
   ฟ่งยิ้มให้รูฟัส “เท่าไหร่ล่ะ บอกผมตามจริงเลยนะ ถ้าผมรู้ว่าคุณลดให้ ผมโกรธจริงๆ ด้วย”
   รูฟัสนิ่งนึกอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตอบออกมา “สี่หมื่นสองพันรูเบิลครับ”
   ฟ่งหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา ดึงแบงก์รูเบิลออกมานับ ก่อนจะขมวดคิ้ว
   “ผมไม่ได้บวกเพิ่มนะครับ” รูฟัสว่า ฟ่งเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะหยิบแบงก์รูเบิลปึกหนึ่งออกมา
   รูฟัสรับธนบัตรมานับและเงยหน้ามองคนตรงหน้า ฟ่งมีสีหน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด สี่หมื่นสองพันรูเบิล เทียบเป็นเงินไทยแล้วก็คงประมาณสี่หมื่นห้าพันบาทนั่นแหละ รูฟัสไม่แน่ใจว่าฟ่งแลกเงินมาเท่าไหร่ แต่คงไม่น่าเกินแสนบาท แค่ค่าตุ๊กตาอย่างเดียวเงินก็หายไปเกือบครึ่งแบบนี้ ไม่หนักใจเลยก็แปลกล่ะ หนุ่มตาสองสีนับธนบัตรอีกหนและแยกเอาไว้ส่วนหนึ่ง
   “ฟ่งครับ”
   คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมองตามเสียง เขากำลังนึกสงสัยว่ารูฟัสซื้อของเกินราคาที่ควรจะเป็นอีกหรือเปล่า แต่ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายออกปากเองว่าจะจ่าย ถ้าถามออกไปก็คงจะดูเสียหน้า เหมือนกันว่าพอจ่ายแพงแล้วหาข้ออ้างนั่นนี่ ดังนั้นหนุ่มสวมแว่นจึงได้แต่กล้ำกลืนคำถามเอาไว้ และกัดฟันควักเงินแทบจะหมดกระเป๋าเพื่อจ่ายค่าตุ๊กตาตัวเดียว
   “ตุ๊กตาตัวนั้นความจริงก็ถูกใจผมอยู่เหมือนกัน คือ ผมไม่ได้พูดเอาใจคุณนะ แต่ให้คุณจ่ายหมดเลยแบบนี้ผมก็ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ เพราะเดิมทีผมตั้งใจจะซื้อของที่คุณชอบให้อยู่แล้ว เอาแบบนี้ดีกว่าไหมครับ เราช่วยกันออกคนละครึ่ง เพราะยังไงเดี๋ยวมันก็ไปตั้งในห้องของเราอยู่ดี ให้ผมกับคุณมีส่วนร่วมเท่าๆ กัน”
   พูดพลางยื่นเงินครึ่งหนึ่งคืนให้ ฟ่งนิ่งนึกไปพักใหญ่ ในที่สุดก็ยอมรับเงินเอาไว้ “ก็ได้... ไหนๆ เราก็ตั้งใจจะอยู่ด้วยกันแล้วนี่”
   รูฟัสมองดูแก้มที่แดงระเรื่อขึ้นมาแล้วอดอมยิ้มไม่ได้ ฟ่งรีบหันมาพูดต่อ “แต่วันหลังถ้าผมอยากได้อะไรคุณต้องบอกราคาผมก่อนนะ”
   “ครับ แต่ถ้าผมอยากจะซื้อให้คุณ คุณต้องยอมให้ผมซื้อนะ”
   “ก็ได้ แต่ถ้าเป็นของที่ผมอยากได้ คุณต้องให้ผมช่วยออกเงินนะ ผมจะจ่ายเท่าที่ผมจ่ายไหว”
   “ตกลงครับ” รูฟัสว่าและยิ้มออกมาอีก “เอาที่เราสบายใจกันทั้งคู่น่ะครับ ถ้าไม่ได้ซื้ออะไรให้คุณเลยผมคงรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน คุณเองก็คงเข้าใจความรู้สึกผมนะครับ”
   ฟ่งนิ่งไปอีกพักหนึ่งจึงพยักหน้าตอบ
“เป็นผู้ชายทั้งคู่นี่ก็ลำบากเหมือนกันนะ” หนุ่มสวมแว่นพูดเปรยๆ รูฟัสสั่นศีรษะ
“ไม่ลำบากหรอกครับ ถ้าเราเจอกันครึ่งทาง เอาทั้งที่ผมและคุณสบายใจด้วยกันทั้งคู่ ผมว่าง่ายเสียอีก เพราะทั้งคุณและผมก็มีประสบการณ์เรื่องนี้มาแล้วทั้งนั้น”
ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรูฟัส ก้มลงมองถุงตุ๊กตา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
“ถูกของคุณ ผมขอโทษที่พูดเอาแต่ใจไปหน่อยนะ”
“ผมเองก็ขอโทษที่ทำให้คุณอึดอัดใจนะครับ”
ทั้งคู่หยุดยืนพร้อมกันโดยไม่ได้นัดแนะ ต่างฝ่ายต่างหันมองหน้ากันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา
“ลงไปสถานีรถไฟกันเถอะ ผมอยากรู้ว่าสวยเหมือนในรูปถ่ายรึเปล่า” ฟ่งว่า และดึงแขนเสื้อรูฟัสให้เดินตามไป
-----------------------------------------------------
   สถานีรถไฟใต้ดินในกรุงมอสโคว์โอ่อ่ากว้างขวางและวิจิตรตระการตายิ่งกว่าที่คิดไว้จริงๆ ชนิดที่อย่าได้เอาไปเปรียบเทียบกับสถานีรถใต้ดินในประเทศไทยเลยจะดีกว่า
   ฟ่งอ้าปากค้างไปกับซุ้มทางเดินโค้งที่ทำด้วยหินอ่อน ประดับบัวปูนปั้นทาสีสันสวยงาม ด้านบนประดับด้วยโคมระย้าแบบโบราณ ด้านข้างมีภาพกระเบื้องโมเสกประดับอยู่ในกรอบหินสลัก
   หนุ่มสวมแว่นยกกล้องขึ้นถ่ายภาพและต้องคอยหลบผู้ที่สัญจรผ่านไปผ่านมา เส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดินของมอสโคว์มีเยอะกว่าประเทศไทยหลายเท่า ผู้คนที่ใช้บริการจึงหนาแน่นคับคั่ง แต่รถบนถนนก็ยังติดอยู่ดี
   รูฟัสรับหน้าที่เป็นไกด์อีกเช่นเคย เขากำลังอธิบายความหมายของภาพโมเสกที่ประดับอยู่ตามกำแพงและซุ้มประตู
   “ภาพพวกนี้เป็นภาพในอุดมคติของสังคมยุคคอมมิวนิสนะครับ อย่างคุณเห็นนี่เขาก็พยายามจะทำให้พวกเราเชื่อว่าการอยู่ภายใต้ระบอบคอมมิวนิสจะทำให้เราอยู่ดีมีสุข ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่ใช่”
   ฟ่งพยักหน้าพลางมองดูภาพโมเสกขนาดใหญ่ที่เป็นรูปชายหญิงชาวรัสเซียจำนวนมากพูดคุยหยอกล้อกันอย่างมีความสุข
   “สมัยคอมมิวนิส ผู้คนต้องย้ายไปอยู่ในแฟลตที่รัฐบาลสร้างให้ ใช้ชีวิตแบบกระเบียดกระเสียรเพื่อจ่ายภาษีให้กับรัฐบาล” รูฟัสพูดพลางถอนหายใจ “แฟลตพวกนั้นสมัยนี้ก็ยังใช้กันอยู่เลยครับ แบบที่เราเข้าไปวันก่อนก็ใช่”
   “อือ... ผมก็ว่ามันน่าจะลำบากอยู่นะ โดนจำกัดอิสระแบบนั้นน่ะ”
   “แต่เราก็ทนกันมาได้นั่นแหละครับ จริงสิ คุณอยากเห็นรางรถไฟรึเปล่า?” รูฟัสเปลี่ยนเรื่อง เพราะเห็นว่าบทสนทนาดูจะไม่ค่อยน่าบันเทิงใจเท่าไหร่ ฟ่งพยักหน้า ทั้งคู่จึงพากันเดินออกไปยังส่วนที่เชื่อมสู่ทางรถไฟ
   ส่วนของรางรถไฟตั้งอยู่ในซุ้มโค้งสวยงามไม่แพ้ส่วนที่เป็นทางเดิน แต่พอรถไฟแล่นเข้ามาเท่านั้นแหละ ฟ่งแทบจะยกมือขึ้นขยี้ตา เพื่อพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้มองผิดไป
   “เป็นไงครับ รถไฟกับตัวสถานี แตกต่างกันลิบลับเลยใช่ไหมล่ะ?” รูฟัสพูดยิ้มๆ ฟ่งพยักหน้าทันที เขานึกว่ารถไฟที่นี่จะเป็นขบวนที่ออกแบบให้เป็นขบวนรถไฟแบบโบราณหน่อยๆ แต่ที่ไหนได้ รถไฟที่แล่นเข้ามาสภาพแทบไม่ต่างกับขบวนรถไฟชั้นสามที่สถานีหัวลำโพง จวนจะพังแหล่มิพังแหล่ ขัดกับตัวสถานีอย่างที่สุด
   “เห็นโทรมๆ แบบนี้ ยังวิ่งได้อยู่นะครับ” รูฟัสพูดและหัวเราะออกมา “ผมว่ารถไฟฟ้าที่เมืองไทยน่ะสภาพดีแล้วล่ะ ที่เช็กเวลาจะออกบางตู้ต้องถีบประตูอยู่เลย”
   ฟ่งทำหน้าเหวอ “พูดจริงๆ หรือ?”
   คนถูกถามพยักหน้า “รถไฟฟ้านี่ จริงๆ โดยทั่วไปมันก็โทรมกันแบบนี้เกือบทุกประเทศแหละครับ เพราะใช้กันมานานแล้ว เอาแค่วิ่งได้ก็พอ ยกเว้นขบวนที่เดินทางข้ามจังหวัดหรือข้ามประเทศ ก็จะดีขึ้นหน่อย ในเมืองก็เอาแบบพอใช้”
   ฟ่งมองดูผู้คนเบียดกันขึ้นรถไฟแล้วพยักหน้าอีก “เอาน่ะ อย่างน้อยก็ยังมีให้ใช้ จริงสิ ผมได้ยินมาว่าที่ญี่ปุ่นน่ะต้องใช้พนักงานดันคนเข้าไปในรถไฟฟ้าด้วย มันมีจริงๆ หรือ?”
   “ไม่รู้สิครับ ผมยังไม่เคยไปเหมือนกัน คราวหลังไปเที่ยวกันไหมล่ะครับ?”
   “อือ เดี๋ยวผมขอเวลาเก็บเงินก่อนนะ มีของที่อยากซื้อแล้วก็อยากไปดูที่นั่นเยอะเหมือนกัน”
   รูฟัสยิ้มพลางมองหน้าคนเดินข้าง “ก่อนไปเบียดรถไฟที่ญี่ปุ่น อยากลองเบียดรถไฟที่มอสโคว์ก่อนไหมล่ะครับ”
---------------------------------------------------
   รูฟัสพาฟ่งขึ้นรถไฟไปดูสถานีอีกหลายแห่ง ก่อนจะกลับขึ้นมาที่สถานีแห่งหนึ่ง พอขึ้นมาถึงพื้นดินด้านบน ท้องฟ้าก็เริ่มครึ้มแล้ว
   “ที่นี่ที่ไหนหรือ?” ฟ่งถาม หลังจากเหลียวซ้ายแลขวาและพบว่าเป็นทิวทัศน์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน รูฟัสยิ้มพลางตอบคำถาม
   “อยากดูละครสัตว์รึเปล่าครับ?”
   คนถูกถามพยักหน้าทันที ก่อนจะพูดขึ้นบ้าง “จะพาไปดูหรือ?”
   “ครับ เดินเลยขึ้นไปจากนี้หน่อยจะเป็นโรงละครสัตว์ชื่อดังของที่นี่เลยครับ ผมซื้อตั๋วไว้แล้ว”
   ฟ่งมองรูฟัส และเข้าใจในที่สุดว่ารูฟัสแวะซื้ออะไรที่สถานีรถไฟก่อนหน้านี้ คงจะเป็นตั๋วชมละครสัตว์นั่นเอง เขาเป็นใบปลิวที่ติดอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์แล้ว แต่เพราะมัวให้ความสนใจกับโคมระย้าและแผงปูนั้นตรงทางเดินใกล้ๆ ตรงนั้น เลยลืมถามเสียสนิท
   “ขอบคุณนะ ว่าแต่ละครสัตว์เริ่มตอนกี่โมงหรือ?”
   “ทุ่มหนึ่งน่ะครับ เดี๋ยวเราแวะทานอะไรกันก่อนก็ได้” รูฟัสว่า และเดินนำออกไป

   ทั้งคู่มาถึงโรงละครสัตว์ตอนเกือบทุ่มพอดี หลังคาของอาคารสร้างเป็นทรงโดมเปิดไฟหลากสี ชวนให้นึกถึงเต้นท์ละครสัตว์ในการ์ตูนหรือภาพยนตร์เก่าๆ ด้านหน้ามีลานน้ำพุ และลานขายของซึ่งประกอบด้วยอาคารร้านค้าเล็กๆ ที่ทำเป็นรูปทรงต่างๆ และเครื่องเล่นสองสามอย่าง
   “เหมือนสวนสนุกเลย” ฟ่งว่า ขณะเดินผ่านร้านขายไอศกรีม แน่นอนว่าอากาศเย็นขนาดนี้ยังคงมีคนเข้าแถวซื้อกันอย่างหนาตา
   “จะซื้ออะไรเข้าไปทานรึเปล่าครับ?” รูฟัสถาม ฟ่งมองซ้ายมองขวา ก่อนจะสะดุดอยู่กับตัวตลกที่ยืนอยู่หน้าร้านขายน้ำตาลสายไหม
   “เอาสายไหมก็ได้” ฟ่งว่า รูฟัสพยักหน้า ทั้งคู่จึงเดินไปเลือกซื้อน้ำตาลสายไหมกันมาได้คนละแท่ง ฟ่งมองแท่งสายไหมสีชมพูตรงหน้าและยิ้มออกมา
   “รู้สึกเหมือนเป็นเด็กๆ เลย จะดูละครสัตว์ก็ต้องซื้อน้ำตาลสายไหมที่มีตัวตลกขายแบบนี้สินะ” เขาว่า รูฟัสยิ้มขึ้นบ้าง
   “ถ้าให้ดีต้องกินแล้วเลอะหน้าด้วยนะครับ”
   ฟ่งย่นคิ้วทันที
“ผมโตแล้วน่า” ร่างผอมบางในชุดเสื้อโค้ทสีน้ำตาลพูด แต่รูฟัสสังเกตว่าบนใบหน้าของฟ่งมีเศษน้ำตาลสายไหมติดอยู่ ชายหนุ่มอาศัยจังหวะที่ลูกโป่งใบหนึ่งลอยผ่านพวกเขาไป โน้มหน้าลง ใช้ลิ้นเลียสายไหมที่ติดบนแก้มของอีกฝ่าย ฟ่งหน้าแดงวาบ เงยขึ้นมองรูฟัส ขณะที่ลูกโป่งสีชมพูลอยสูงขึ้นไปบนอากาศ คนถูกมองพูดยิ้มๆ
“ละครสัตว์จะเริ่มแล้วนะครับ”
----------------------------------------------
   ละครสัตว์สนุกกว่าที่คิด ฟ่งปรบมือกราวด้วยความตื่นตาตื่นใจแทบทุกครั้งหลังจากจบชุดการแสดง สายไหมหมดไปนานแล้ว และไม่รู้ว่ามือของรูฟัสเข้ามาแทนที่เมื่อไร หลังจากปรบมือให้กับชุดแสดง ฟ่งจะลดมือลงไปกุมมือแข็งแรงนั้นเอาไว้ และบีบมันแน่นเมื่อถึงช่วงผาดโผนที่ชวนให้หวาดเสียว กว่าการแสดงจะจบเหงื่อก็ออกจนชุ่มมือ
   ทั้งคู่เดินเคียงกันออกมาตอนโรงละครเลิก ฟ่งหันมาพูดกับรูฟัสด้วยสีหน้าเบิกบานใจเต็มที่ “ผมชอบจัง ขอบคุณที่พามานะ”
   “ดีแล้วครับที่คุณชอบ เห็นคุณมีความสุขผมก็ดีใจล่ะ” รูฟัสตอบ ทั้งคู่เดินเรื่อยมาตามถนน จนฝูงชนรอบข้างเริ่มบางตาลง สองร่างเดินชิดกันมากขึ้น จนกระทั่งมือสัมผัสกันและกัน ก่อนที่จะรวบจับกันแน่น
   ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บยามค่ำคืน ละอองสีขาวเล็กๆ ก็ค่อยๆ โปรยปรายลงมา ฟ่งยกมือขึ้นรองเกล็ดสีขาวนั้น ก่อนจะหันหน้ากลับมามองคนเดินข้าง ไอน้ำจากลมหายใจระเหยออกมาเป็นควันสีขาวบางๆ ยามต้องกับแสงไฟบนถนน ดวงตาสีน้ำตาลมองผ่านเลนส์แว่น รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้านั้น
   “ขอบคุณนะ”
   รูฟัสคลี่ยิ้มตอบ และจูบหน้าผากของฟ่งเบาๆ
   “ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างผมนะครับ”
-------------------------------------------------

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด