เอ่อ.......
เอ่อ.....ผมว่า
แบบว่า.......
หายใจไม่ทัน ผมหอบฮักตัวอ่อนระทวยในอ้อมกอดพี่กาย แกยิ้มน้อยๆลูกอมในปากผมไปอยู่ในปากแกเรียบร้อยแล้ว
“อืม...อร่อยจัง” แกยิ้มอย่างมีความสุขแล้วจุ๊บปากผมอีกหลายที
“ที่นี่....คงไม่บ่นแล้วนะ”
“บ้า....” ผมได้แต่พูดคำนี้แล้วซุกหน้ากับอก เพราะคิดอะไรไม่ออกแล้ว
พี่แกเล่นจีบผมวิธีนี้....บ้าๆๆๆ อายชะมัด หน้าผมร้อนไปหมดยังกะมีไข้
เรากอดกันอยู่อย่างนั้นจนกริ๊งหมดเวลาพักเที่ยงดัง พี่กายถึงกอดคอผมไปส่งถึงห้อง
“เลิกเรียนแล้วไปรอพี่ที่รถนะ”
“ไม่รอ”
“หื้อ??” พี่เลิกคิ้วมองผมแบบจิกนิดๆ
“ผมจะกลับรถเมล์” แบร่.... ผมแลบลิ้นใส่ไปทีหนึ่ง จะให้ผมว่าง่ายเรอะ ไม่มีทาง
พี่กายหัวเราะหึใส่ผมคืนแล้วเดินกลับไปห้องเรียน ไม่พูดไรสักคำ
แต่สุดท้าย.......แกก็มายืนรอรถเมล์พร้อมกับผม
“รถพี่ล่ะ”
“โทรให้คนที่บ้านมาขับกลับแล้ว”
“เอ้า??” ขนาดนั้นเชียว “พี่ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ก็ได้ ผมกลับบ้านเองทุกวันอยู่แล้ว”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย พี่เองก็ไม่ได้ขึ้นรถเมล์มาตั้งนานแล้ว ”
เอี้ยดดดดดดดดด.......
รถเมล์สายประจำของผมเบรคไม่ดูดำดูดีอีกแล้ว
ผมเซถลามือคว้าเสาไว้ไม่ทันเพราะมัวแต่เช็ดแว่นตาเลยไถลไปชนคนข้างหน้าอย่างจัง หน้าผากกระแทกคางดัง ปึ่ก!!!
“โอ้ยยย...”
“เจ็บไหม”
“ไม่เป็นไรครับ....ขอโทษนะฮะ” ฝ่ามือใหญ่ลูบหน้าผากให้ ผมดีใจจัง
“พี่ว่าขึ้นรถเมล์ก็ดีนะ”
“หา??”
เอี้ยดดดดดดดดดด......
อีกแล้ว... รถเมล์เบรคอีกแล้ว ข้างหลังผมเบียดเข้ามากดผมให้เบียดพี่กายมากกว่าเดิมอีก
โอ๊ะ...มีบางอย่างแทรกเข้ามากลางหว่างขาผม มันยกขึ้นโดนเป้าผมจังๆ
ฮะ! ผมเงยหน้ามองพี่กายที่ยิ้มแก้มแทบปริ
“ดีจังเลยเน้อะ”
“พี่บ้า”
เอี้ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด.....
อ๋า....อย่าเบรคงี้สิวะ ไอ้บ้า
“ฮ่า......รู้งี้ขึ้นรถเมล์กับเราตั้งนานแล้ว”
“พี่กาย....เอาขาลงได้ไหมครับ”ผมจิกเสียงใส่
“ไม่...แบบนี้สบายดีแล้ว” พี่กายเอื้อมมือไปกำโครงเหล็กบนพนักพิงที่อยู่ข้างหลังผม
เท่ากับโอบเอวผมให้แนบชิดกับเอวแกมากขึ้น
“คนลามก” ผมว่าเสียงเบาให้ได้ยินกันสองคน
“ยินดีรับคำชม”
เอี้ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!
เบรคอีกทีคราวนี้หัวผมชนปลายคางเข้าอีกแล้ว
“อูยย...ขอโทษครับ ขอโทษ” ผมลูบหน้าผากก่อนจะรู้สึกถึงบางอย่าง “แว่นตา....แว่นตาผม”
เอี้ยดดดดดดดดดดดด....
ไอ้รถห่าเหวนี้เบรกอีกแล้ว ผมเซไปกอดพี่กายเต็มๆเลย บนรถโห่ก่นด่าไอ้คนขับนรกนี้กันทั้งคัน
ผมโกรธก็โกรธแต่แว่นตาสำคัญกว่าไม่มีมัน ผมจะไปไหนได้สายตาสั้นสุดกู่เลย
ผมเงยหน้ามองคนที่เกาะอยู่ ใกล้แค่นี้แต่ยังมองหน้าไม่ชัดเลย
“พี่กายแว่นผม.... แว่นผมหล่นไปไหนไม่รู้”
“หา? แว่นตาเหรอ”
เปรี้ยงงง!!!!!
โลกของผมถูกกระชากอย่างแรง ตามด้วยเสียงหวีดร้องหวาดกลัวสุดขีด
ผมล้มลงบนร่างใครสักคนทุกสิ่งทุกอย่างดำมืดท่ามกลางเสียงแหลมหนวกหูอยู่นาทีกว่าผมลืมตาขึ้นมา
มันเหมือนผมกำลังมองโลกผ่านกระจกมัวๆมองหน้าใครก็ไม่ชัด
“พี่กาย...” ผมเรียกหาก็ไม่มีเสียงขาน นอกจากมือของคนที่ไม่รู้จักลากไปมาแล้วปล่อยให้ล้มลงไปนั่งกองบนพื้น
หูผมได้ยินเสียงแว่วๆว่ารถเมล์พยายามแซงรถคันอื่นทำให้เสยขึ้นไปบนเกาะกลางถนน ทำเอามีคนบาดเจ็บหลายราย
“พี่กาย....” เป็นเพราะผม.....เป็นเพราะผมที่ทำให้เขาต้องมาขึ้นรถเมล์ทั้งที่ขับรถเองก็ได้
“พี่กาย.....ใครก็ได้ ช่วยผมที....”
ท่ามกลางความวุ่นวายเสียงไซเรนรถตำรวจ รถพยาบาลและผู้คนที่วิ่งไปมาทำให้ไม่มีใครสนใจคำเรียกร้องของผมเลย
มีคนบาดเจ็บมากมาย ผมเป็นหนึ่งในนั้นที่โดนลากไปทำแผลที่โรงพยาบาล
ผมที่ไม่มีแว่นตาก็เหมือนคนตาบอด ได้แต่นั่งอมทุกข์รอความช่วยเหลือจากใครสักคน
น้ำตาไหลอย่างกลั้นไม่อยู่ เป็นความผิดผม.....เป็นความผิดของผม
........................................
................
“ไง....”
เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นหูแว่วเข้ามา ผมเงยหน้ามาเห็นเงาลางๆของใครคนหนึ่ง
เขาหยิบแว่นตามาสวมให้ผม ขาแว่นเบี้ยวไปข้าง กระจกแว่นก็ร้าวแต่ก็พอมองเห็น
คนตรงหน้ามีผ้าพันแขนคล้องคอและพาสเตอร์แปะที่หางคิ้ว รอยเลือดจางๆเลอะที่ปกเสื้อนิดหน่อย
ดีใจจัง.....ดีใจที่เห็นเขา
“นี่เลือดคนอื่นน่ะ พี่โดนกระจกบาดที่มือเท่านั้น”
ผมเช็ดน้ำตาลุกมากุมมือข้างที่พันแผล “เจ็บไหมครับ”
“นิดหน่อย หมอฉีดยาชาให้แล้ว”
“แล้วที่หัวล่ะ”
“โดนกระแทกนิดหน่อย ยังมึนๆอยู่เลย”
“หมอดูแล้วใช่ไหม งั้นรีบกลับบ้านเถอะ พี่ต้องนอนพักนะ”
...............................................
.......................
“บ้านพี่ไม่มีคนอยู่.....เกี๊ยวอยู่เป็นเพื่อนพี่ได้ไหม”
เอ่อ..........
(ติดตามตอนต่อไป)
