(เรื่องเล่า)"อดีตเด็กพาณิชย์กลับมาเล่าต่อครับ" โดย COMMERCIAL COLLEGE STUDENT
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (เรื่องเล่า)"อดีตเด็กพาณิชย์กลับมาเล่าต่อครับ" โดย COMMERCIAL COLLEGE STUDENT  (อ่าน 343629 ครั้ง)

stupidchild

  • บุคคลทั่วไป
รออ่านต่อภาคต่อไปคับ :m3:

a22a

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณ คุณ nartch ที่ชั่วยโพสจนจบภาคมหาลัย สนุกมากคับ แล้วชั่วยต่อภาคต่อไปด้วยนะคับ รออ่านนะคับผม

anston

  • บุคคลทั่วไป
 :m13:วันนี้จะมีใครมาต่อให้มั้ยครับ..อยากอ่านแย้ว.. :impress:

stupidchild

  • บุคคลทั่วไป
ดันๆๆคับ จะล่วงแร้ววว

ยังรออ่านต่อนะคับ

dejavu_boyz

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องเล่า)"อด$
«ตอบ #454 เมื่อ12-10-2007 21:32:56 »



lanlan รู้จักพี่เอ้เป็นการส่วนตัวรึป่าวอ่าครับ

ไงถ้ารู้จัก ก็เอาข่าวคราวพี่เอ้มาลงบ้างนะครับ อยากรู้จังว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง พอเรื่องนี้จบ ก็หายไปเลย หลายปีแล้วนะเนี่ย

ขออนุญาตต่อให้นะครับ คุณ lanlan

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-10-2007 21:52:15 โดย dejavu_boyz »

dejavu_boyz

  • บุคคลทั่วไป
19 Against All Odds
.....คืนนี้พวกผมมีนัดไปเที่ยวกัน ตื่นเต้นจังเลย ไม่ได้เจอพวกเพื่อน ๆ มานานแล้ว เต็มที่ก็แค่คุยโทรศัพท์ แต่จะคุยได้ไม่นานเหมือนตอนเรียน ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องทำ ไม่เหมือนผม เคว้งคว้าง ไม่รู้จะทำอะไร ไม่รู้จะเรียนอะไร ให้เหตุผลกับแม่ว่าขอพักผ่อน เนื่องจากก่อนจบ ผมทุ่มเทกับการเรียนมาก รู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะขยับตัวไปไหน.....
.....แต่ผ่านมาหลายเดือน เลือดเด็กพาณิชย์ที่เคยทำงานมาตลอด ยกเว้นตอนเรียนมหาลัย เริ่มฉีดพล่าน เกิดอาการอยากทำงานขึ้นมาอย่างมาก ถึงขั้นซื้อหนังสือพิมพ์หางานมานั่งอ่านทั้งวัน งานนี้อยากทำ งานนั้นก็เงินดี ไม่ได้เจียมตัว ไม่ได้ดูสถานภาพตัวเองเลย เพิ่งจบใหม่ ไม่มีประสบการณ์ ไปสมัครงานที่ไหนเค้าก็บอกว่าจะติดต่อกลับ.....ไม่มีประสบการณ์ทำงานจริง ๆ จัง ๆ ไงครับ ที่ผ่านมาแค่ Part time กับฝึกงาน ไม่รู้มาก่อนว่าคำพูดอย่างนี้คือการปฏิเสธทางอ้อม ไอ้ผมก็นั่งรออย่างมีความหวัง.....สมัครไปตั้งหลายที่ คิดว่าใครติดต่อกลับมาก่อนก็จะทำที่นั่นเลย เพราะทุกบริษัทที่ผมยื่นใบสมัครล้วนแต่เป็นงานที่ผมอยากทำทั้งสิ้น.....
“...เป็นไงกันมั่ง...” ผมไปถึงช้ากว่าคนอื่น ก็มัวแต่หาชุดใส่อยู่ ตั้งแต่พ่อเสีย นี่เป็นการไปเที่ยวกลางคืนครั้งแรก เรานัดกันร้านอาหารกึ่งบาร์แห่งหนึ่งไม่ไกลนัก
“...ขับรถหรือว่าขับเกวียนมาวะ...” อีกุ้งกัดผมทันทีที่ผมหย่อนก้นนั่ง
“...อีห่า...ไม่ได้เจอกันนานยังปากดีเหมือนเดิมนะมึง...”
“...เฮ้ย ๆ ไอ้ที่ตกลงกันไว้ตอนเรียนยังใช้ได้อยู่หรือเปล่า...” อีนันมันหมายถึงเรื่องใครพูดคำหยาบจะโดนปรับคำละ 10 บาท
“...พอแล้ว...นาน ๆ เจอกันที ขอเม้าธ์เต็มที่หน่อยเหอะ...” อีกุ้งเบรก ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
“...ตกลงมึงได้งานยังวะอีเอ้...” ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“...อย่าเลือกงานนักดิ...” อีนันสอน ตอนนี้มันทำงานบริษัทเล็ก ๆ ด้วยเหตุผลที่ว่ามันจะได้ทำงานทุกอย่างเป็น และอีกไม่นานมันจะมีกิจการของตัวเองให้ได้
“...เลือกเหี้ยอะไรล่ะ...ตอนนี้กูแทบจะสมัครทุกบริษัทแล้วนะโว้ย...” ผมเองก็รู้สึกอายเพื่อน ๆ ที่หางานไม่ได้ซักที
“...อ้าว...ทำไมล่ะ...คุณสมบัติมึงอลังการจะตาย...หรือว่ามึงเรียกเงินเดือนเวอร์ไปวะ...”
“...ตอนแรกกูก็คิดว่างั้น.....แต่พอหลัง ๆ มากูลดลงมาตั้งเยอะแล้วนะโว้ย...”
“...เท่าไหร่ล่ะ...” อีกุ้งถาม
“...XX,XXX...”
“...โห...มึงจบดอกเตอร์มาเหรอ อีเวร...ไม่สงสัยเลยทำไมมึงถึงไม่ได้งาน...แล้วเค้าเรียกมึงสัมภาษณ์มั่งปะ...” อีเต็มขำก๊าก พูดไปหัวเราะไป เมื่อรู้ว่าผมเรียกเงินเดือนเท่าไหร่ มากเกินไปสำหรับเด็กจบใหม่
“...เรียก...ตั้งหลายบริษัท...”
“...เค้าถามอะไรมั่ง แล้วมึงตอบยังไง...”
“...” ผมเล่าเท่าที่ผมจำได้ เพื่อนผมนั่งฟังอ้าปากค้าง
“...มึงตอบอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ...” อีนันถาม ทำหน้าสยองไปด้วย
“...เออ...ทำไมวะ...” ผมพยักหน้าเบา ๆ
“...มันแรงไป...”
“...กูคิดยังไงก็ตอบอย่างนั้นอ่ะ...”
“...แต่กูว่า อ้อม ๆ หน่อยก็ดีนะ...” ผมเห็นด้วยนะครับ เพราะบางทีคำตอบของผมทำเอาคนถามทำหน้าเจื่อนไปเลย คงมั่นใจในตัวเองมากไปมั้งครับ
“...มึงมาทำงานกับกูดีกว่า...รับรองได้แน่...ลักษณะอย่างมึงเนี่ยเหมาะเลย...” อีกุ้งชวน
“...ไม่เอา...กูอยากทำงานออฟฟิศ....”
“...งานโรงแรมก็มีออฟฟิศนะโว้ย...มาเป็นเซลล์ดิ...”
“...ไม่เอา...กูไม่ชอบออกไปตะลอน ๆ หาลูกค้า...”
“...อีดอก...งั้นมึงก็ไปทำงานกับแม่มึงเหอะ...” อีเต็มค้อนปะหลักปะเหลือก
“...กูก็ว่าจะไปอยู่นะ...รอให้น้องกูมันเข้ามหาลัยก่อน...” อีกไม่นานหรอกครับ ตอนนี้น้องผมก็กำลังเตรียมตัวเอนท์อยู่
“...เอ้...มึงเชื่อกู...อย่างมึงต้องทำงานโรงแรม...รูปร่าง หน้าตา ภาษา บุคลิก ได้หมด ที่สำคัญ ถ้าเค้าเรียกมึงสัมภาษณ์แล้วมึงตอบอย่างที่เคยตอบนะ รับรองพวกเค้าต้องรีบรับมึงเลยแหละ...” อีกุ้งพูดเสียงจริงจัง
“...ทำไมวะ...”
“...ก็มึงมั่นใจซะขนาดนั้น เค้าก็อยากจะจ้างมึงไว้กัดกับแขกไง...อีนี่...ทำงานโรงแรมไม่ใช่เรื่องง่ายนะโว้ย มึงต้องเจอคนร้อยพ่อพันแม่ ให้อ่อนปวกเปียก เรียบร้อย นุ่มนิ่ม มึงก็ได้โดนโขกสับเละอ่ะดิ....นี่ยังไม่รวมเพื่อนร่วมงานกับบรรดาผู้ใหญ่ทั้งหลายในโรงแรมนะมึง เขี้ยว ๆ ทั้งนั้น...”
“...แล้วมึงชอบงานนี้เหรอ...” ผมถามอีกุ้ง
“...ลึก ๆ แล้วกูก็ชอบนะ...แต่กูมีเป้าหมายใหญ่กว่านั้น...”
“...อะไรวะ...”
“...กูจะเก็บประสบการณ์โรงแรมไว้สมัครแอร์...หรือไมก็ไปทำงานเมืองนอก...พี่ก้องรอกูอยู่...” อีกุ้งทำหน้าเศร้าเมื่อพูดถึงพี่ก้องที่ตอนนี้ไปทำงานกับครอบครัวที่ต่างประเทศ มิน่ามันถึงอยากเป็นสจ๊วต ได้ขึ้นเครื่องบินฟรีนี่เอง
.....เพื่อน ๆ ทุกคนเข้าใจคำว่าแอร์ในความหมายของอีกุ้งคือสจ๊วต....ทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ ถ้ามีความพยายาม แต่สำหรับมัน ปัญหาใหญ่คือ มันว่ายน้ำไม่เป็น ตอนแรก ๆ พวกผมขำกับความคิดของมัน แต่เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นของมันแล้วต้องเอาใจช่วย....ส่วนเรื่องให้ผมไปทำงานที่เดียวกับมันนี่ ผมขอคิดหน่อยละกัน ให้งานนี้เป็นตัวเลือกสุดท้ายดีกว่า.....
.....ใครจะสบายเหมือนอีเต็มล่ะครับ มันเลือกที่จะเรียนโทต่อ เป็นห่วงมันเหมือนกันเพราะ ตอนที่เรียนด้วยกันพวกผมก็ช่วยกันเข็นมัน แต่แปลกแฮะ มันเรียนดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย ได้เพื่อนใหม่ดีด้วยแหละ.....วันนั้นพอเรากินข้าวรองท้องกันเสร็จก็ไปแดนซ์กันที่ซอยสองต่อ....สนุกมาก ตื่นตาตื่นใจ ไม่ได้เที่ยวซะนาน ที่สำคัญได้เบอร์คนแปลกหน้ามาอีกแล้ว แต่ไม่โทรหรอก ตอนนี้อยากทำงานมากกว่า เรื่องอื่นมาทีหลัง.....

*
*
*

.....และวันนี้พวกเราก็นัดกันอีกครั้งหลังเลิกงาน ภายในเวลาไม่ถึงเดือน ผมเป็นเจ้ามือเอง สถานที่เป็นห้องคาราโอเกะ VIP ในห้างแห่งหนึ่ง กินข้าวร้องเพลงกัน จองไว้แค่ 2 ชั่วโมง เนื่องจากวันรุ่งขึ้นไม่ใช่วันหยุด.....ผมมีข่าวดีมาบอกเพื่อน ๆ ทุกคน...ผมได้งานทำแล้ว.....

“...ไหน...งานอะไรของมึง...” อีเต็มรอให้ผมพูดเองไม่ไหว มันถามขณะที่ผมโอ้เอ้ร้องเพลงหน้าตาเฉย
“...ก็งานที่อีกุ้งมันแนะนำนั่นแหละ...” อีกุ้งหันมามองผมตาโต เฟร้นช์ฟรายคาปาก
“...ที่เดียวกับอีกุ้งเหรอ...”
“...เปล่า...โรงแรม XXXX ใกล้ ๆ กัน....มีสอบข้อเขียนด้วย ไม่อยากโม้ กูได้คะแนนเต็มนะโว้ย...” ผมยืด
“...สัมภาษณ์เลยปะวะ...” อีกุ้งถาม
“...เออ...กูสมัครเซลล์ แต่แม่งให้กูไปสัมภาษณ์กับผู้จัดการตั้ง 4 แผนก....โคตรเหนื่อยเลย...โดนรุมถามจนกูตอบแทบไม่ทัน....”
“...ตกลงมึงทำแผนกอะไรวะ...”
“...Front Office เป็น GSA...”
“...อะไรของมึงวะ....แบบเดียวกับอีกุ้งปะ...” อีนันสงสัย
“...เออ...อย่างเดียวกันเลย ทำทุกอย่าง ทั้ง Reception ทั้ง Cashier...ดีเลย วันไหนห้องกูเต็มกูจะได้ย้ายแขกไปที่มึง...” อีกุ้งตอบแทน
“...Congratulation !...” อีนันยกแก้ว ทุกคนยกตาม จากนั้นเราก็นั่งกินนั่งร้องเพลงกันต่อ

.....ไม่รู้มันแกล้งผมหรือว่ามันอยากร้องเพลงพวกนี้จริง ๆ แต่ละเพลงทำเอาผมซึมไปเลย มันอดนึกไม่ได้อีกแล้ว ว่าเวลาที่ผมมีความสุข ผมอยากมีไอ้วุธอยู่ข้าง ๆ อยากให้มันมีความสุขไปด้วย ถ้ามันอยู่ เราคงได้ไปฉลองกันสองคน วันที่ไปทำงานวันแรกมันคงไปส่ง ฯลฯ ผมคิดไปสารพัด.....

.....อีเต็มร้องเพลง อยากให้เธออยู่ตรงนี้ ของโบ.....อีนันร้องเพลง หากฉันรู้ ของตอง แต่ที่เด็ดที่สุดก็เสียงโหยหวนของอีกุ้งในเพลง Against All Odds เป็น Original Version ....ในใจก็เหงา ๆ นะครับ แต่เสียงเพี้ยน ๆ กับการอิมโพรไวส์กันสุดกระเดือกของพวกมันที่ช่วยกันตะเบงตอนท่อนสุดท้าย ทำเอาผมเผลอยิ้มออกมาได้....พอจบเพลง อีเต็มมันยังมีหน้ามาถามผมอีกว่าเพราะมั๊ย.....คำตอบที่ได้รับทำให้มันเกือบเอาไมค์เขวี้ยงหัวผม “...เสียงยังกะควายตด...” แต่มันก็ยอมรับนะครับ....ก็ แหม....การร้องคาราโอเกะกับเพื่อน ถ้าร้องถูกคีย์ หรือตั้งใจร้องเกินไปมันก็ไม่สนุกสิครับ....ใช่ปะ...
*
*
*

.....ใครว่าทำงานโรงแรมสบาย ได้ใส่สูท ผูกไท ยืนฉีกยิ้มทั้งวัน....ขอบอกว่าไม่ใช่เลยครับ.....เหนื่อยมาก ๆ เหนื่อยซะจนแทบไม่มีแรงจะยิ้ม ผมทำงานที่นี่ได้เกือบปี เป็นซีเนียร์แล้ว มีเด็กใหม่เข้า ๆ ออก ๆ ตลอด ช่วงนี้เป็นช่วงที่คนขาด ผมต้องหมุนรอบ 3 กะใน 1 สัปดาห์ วันนี้เข้ากะเช้า.....พรุ่งนี้เข้ากะบ่าย.....มะรืนนี้เข้ากะดึก.....วันถัดไปหยุดเพื่อมาเข้ากะเช้าใหม่....เหนื่อยมาก แรก ๆ ร่างกายปรับตัวไม่ทัน โรคกระเพาะเป็นโรคประจำตัวของพนักงานโรงแรมทุกคน....โครงการลาออกไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย หรือไปทำงานกับแม่ที่เหนือเป็นอันต้องล้มเลิกไปโดยปริยาย เพราะน้องชายผมดันโชคดี เอ่อ เก่งครับ ที่เอนท์ติดมหาวิทยาลัยชื่อดังทางภาคเหนือ เช่นเดียวกับแฟนมัน (...ถ้ามีความรักแล้วทำให้ตั้งใจทำอะไรดี ๆ อย่างนี้ ผมก็สนับสนุนเต็มที่ครับ...) เท่ากับว่าผมต้องอยู่กรุงเทพฯ เฝ้าบ้านคนเดียว ไม่อยากให้แม่ขายบ้านอ่ะครับ เสียดาย ตอนนี้การคมนาคมสะดวกสบาย ผมขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงานทุกวันเลย ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาที แต่ถ้าขับรถไปก็ชั่วโมงกว่า ๆ อ่ะครับ ติดแหงก ไม่ขยับเขยื้อน เคยทำสถิติ 2 ชั่วโมงมาแล้วจากบ้านถึงที่ทำงาน.....

.....กะที่เหนื่อยที่สุดแต่ผมชอบที่สุดเป็นรอบเช้าครับ....เหนื่อยมาก มือ Check out เท้า Check in แขกยุโรปมาส่วนมากจะมา Flight เช้า แขกเก่ายังไม่ออก แขกใหม่มารอแล้ว ห้องก็ยังทำความสะอาดไม่เสร็จ .....แขกบางคนดีหน่อยก็เข้าใจ อีพวกวีน ๆ ก็เยอะ อย่างที่อีกุ้งบอกว่าเค้าจ้างผมมากัดกับแขก ท่าจะจริง เพราะผมมีหน้าที่ทะเลาะกับแขก ด้วยประสบการณ์ และบุคลิกของผม น้องใหม่ ยังทำไม่ได้ต้องคอยเรียกผมไป Deal ทุกครั้งเวลาแขกวีน.....

....ไม่ได้เก่งอะไรมากมายนะครับ แค่เราทำตามกฎ อะไรยอมได้ก็ยอม แต่ถ้ายอมแล้วเดือดร้อนก็ไม่ยอม คนที่จะตัดสินใจยอมได้หรือไม่ได้ คือผู้จัดการเท่านั้น เรามีหน้าที่คุยกับแขกในเบื้อต้นก่อน ถ้าแขกไม่ยอมจริง ๆ ให้เรียกผู้จัดการมาคุย แต่ส่วนมากแขกต่างชาติจะชอบเรียกผู้จัดการตั้งแต่เราเข้าไปถามแล้วว่าจะให้ช่วยอะไร รู้ดีจริง ๆ ฝรั่งพวกนี้....

.....เรื่องเงินเรื่องทองนี่ไว้ใจใครไม่ได้ รู้หน้าไม่รู้ใจ ห้ามปล่อยแขกเด็ดขาด ไม่ว่าจะโดนด่ายังไง ถ้าแขกยังไม่เคลียร์เงิน จำไว้ว่าห้ามให้ออกนอกโรงแรม หาเรื่องมาคุยถ่วงเวลารอแม่บ้านโทรมาบอกว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่ม....ตอนมาทำงานใหม่ ๆ ผมก็ไม่รู้อะไร ปล่อยแขกไปทั้งที่เค้ากิน Minibar เกลี้ยงตู้ ก่อนปล่อย ผมถามเค้าแล้วนะครับว่า มีบิล หรือว่ากินอะไรในตู้เย็นหรือเปล่า เค้าบอกว่าเปล่า ผมไว้ใจ ไอ้เรื่องหล่อก็เป็นอีกเหตุผลนึง....แม่บ้านก็ช้ามาก กว่าจะโทรมาบอกว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง แขกไปนานแล้ว....เชื่อมั๊ยครับว่าผมโกรธมาก ยอมลางานขึ้นแท็กซี่ถือบิลตามไปเก็บเงินถึงดอนเมืองเลย โชคดีที่ผมมีข้อมูลเที่ยวบิน และมีเพื่อนเป็นกราวน์ที่สนามบิน โทรบอกนิดเดียว เค้าก็ช่วยตามหาจนเจอ และใช้ความสามารถส่วนตัว เก็บเงินได้ด้วย ไม่คุ้มกับค่าแท็กซี่หรอกครับ แต่สะใจ .....ถ้าผมปล่อยเค้าไป แล้วต้องจ่ายเงินเอง กลับถึงบ้านผมต้องเครียดแน่ ๆ รู้สึกว่าตัวเองผิดยังไงไม่รู้.....หลังจากนั้น ผมก็ไม่ไว้ใจใครอีกเลย.....
.....วันนี้เข้ารอบเช้า....ยุ่งเหมือนเดิม แต่เวลาผ่านไปเร็วดีนะครับ เงยหน้ามาอีกทีก็เกือบเที่ยงแล้ว แขกอิน - เอาท์ เริ่มซา มีเวลาเม้าธ์ละครเมื่อคืน เม้าธ์แขกที่เดินผ่านไปผ่านมา และหัวข้อหลักในตอนใกล้เที่ยงคือ อาหารที่ Canteen ทำงานโรงแรมนี่ดีอย่างที่มีอาหารให้กินฟรี 3 มื้อ แต่บางวันอาหารที่ทางโรงแรมเตรียมให้พวกผมรับไม่ได้จริง ๆ เช่นเดียวกับวันนี้ คิดได้ยังไงอ่ะ ผัดมะเขือยาวกับหมูสับ แค่คิดก็กินไม่ลงแล้ว ไม่ใช่ผมคนเดียวด้วย ดังนั้นแผนกผมที่อยู่ด้านหน้า ได้อภิสิทธิ์กว่าแผนกอื่น สามารถสั่งอาหารเข้ามากินได้ แต่ก็ต้องแอบนะครับ บางทีก็อ้างว่าแขกซื้อให้ ซึ่งก็มีบ่อย ๆ เพราะปกติทุกโรงแรมห้ามพนักงานเอาอาหารเข้ามากิน แต่พวกผมน่ะ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ โชคดีที่ได้หัวหน้าใจดีด้วย.....

“...เอ้...แขกเอาอะไรอ่ะ...” ผมมัวแต่ก้มหน้าก้มตาดูเมนูอาหารในหนังสือโปรแกรมเคเบิ้ลทีวีอยู่ ไม่ได้สนใจแขกเลย
“...Hello, may I help you?...” ผมทักแขกทั้งที่ยังไม่ได้เงยหน้า คิดว่าเป็นฝรั่งแน่ ๆ
“...Yes, please...” คนไทยครับ พูดไปยิ้มไป ผมตะลึงเลย ไม่ใช่ตะลึงที่คนไทยพูดกับผมนะครับ แต่คนคนนั้นคือคนที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจออีก ยิ้นยิ้มโชว์ฟันขาวอยู่ตรงหน้า
“...หิวเหรอ...” ผมพยักหน้าช้า ๆ แล้วรีบส่ายหน้า
“...เปล่า...” ผมพับหนังสือเก็บ
“...สบายดีมั๊ย...” เสียงมันยังอบอุ่นเหมือนเดิม
“...ก็ดี...แล้ว...เอ่อ...วุธมาทำอะไรที่นี่อ่ะ...”
“...มาดูห้องจัดเลี้ยง...งานหมั้นน่ะ...” ผมอึ้ง เหวอแดกไปอีกรอบ เข่าอ่อนแทบยืนไม่อยู่ แต่ด้วยสถานภาพในตอนนั้นทำให้ผมต้องฝืนยิ้มออกมา ทั้งที่อยากจะร้องไห้
“...เหรอ...ยินดีด้วยนะ...จัดเมื่อไหร่ล่ะ...นัดพนักงานของเราไว้หรือเปล่า...มีคนมาดูแลหรือยัง...เดี๋ยวเรียกให้...” ผมรีบพูด เพื่อจะได้ปลีกตัวจากมันให้เร็วที่สุด
“...สิ้นเดือนนี้...ดูห้องเสร็จเรียบร้อยแล้ว...กำลังจะตกลงราคา แต่ผมคิดว่าเอาโรงแรมนี้เลยดีกว่า ไม่ไปดูที่อื่นแล้ว...คุณจะได้มาร่วมงานด้วยไง...” มันพูดจาดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก แต่มันชวนผมไปงานหมั้นมันเนี่ยนะ ไม่มีทางซะหรอก
“...พนักงานขึ้นไม่ได้...” ผมหาทางเลี่ยง
“...งั้นเดี๋ยวผมจะบอกพนักงานของคุณละกัน ถ้าคุณขึ้นไปไม่ได้ ผมก็ไม่จัดที่นี่...” โห อะไรจะขนาดนั้น จริง ๆ แล้วพนักงานขึ้นได้อยู่แล้ว แต่เปลี่ยนเสื้อผ้าซะหน่อย
“...ไม่เป็นไรหรอกวุธ...” ผมไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ “...เราขอขึ้นไปแสดงความยินดีแป๊บเดียวได้อยู่แล้ว...” คอยดู วันนั้นกูจะหยุดพักร้อนไปหาแม่
“...โอเค...งั้นเชิญตอนนี้เลยนะครับ...การ์ดยังไม่ได้พิมพ์เลย...” มันหัวเราะแหะ ๆ ยิ้มอย่างมีความสุข ต่างกับผมที่ยิ้มเจื่อน ๆ “...อ้าว...มาพอดี...” วุธกวักมือเรียกผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินมากับพนักงานแผนกจัดเลี้ยง น่ารักจัง เหมาะสมกันดีเนอะ ผมคิดในใจ...
“...นุ่น...นี่เอ้เพื่อนพี่...” ผู้หญิงคนนั้นยกมือไหว้ผม แทบรับไหว้ไม่ทัน ยิ่งมองใกล้ ๆ ยิ่งน่ารัก มารยาทดีด้วย ได้ยินมันแนะนำผมอย่างนั้นผมถึงกับจุก.....จบกันจริง ๆ ซะทีนะวุธ แต่ด้วยสปิริต ผมยังยิ้มได้อยู่
“...เชิญนั่งก่อนดีกว่านะคะ...” ดีมาก เอาพวกเค้าออกไปจากเค้าท์เตอร์กู ไม่ไหวแล้ว.....วุธกับน้องนุ่นยิ้มให้ผม แล้วเดินตามพนักงานจัดเลี้ยงไปนั่งที่โซฟาไม่ไกลจากผมนัก

“...พี่เอ้...ตกลงจะสั่งอะไร...หิวแล้วนะ...” น้องในแผนกเดินมาทวงออเดอร์ผม
“...ไม่กินแล้ว...” ผมกินไม่ลง ตาก็มัวแต่มองคนพวกนั้นเจรจาตกลงราคาค่าห้องจัดเลี้ยงกันอยู่ ภาวนาให้ห้องไม่ว่างทีเถอะ
“...โห...แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่แรก...ไม่หิวเหรอ...” ผมพยักหน้า ตาก็ยังจ้องอยู่ที่เดิม ไอ้วุธก็ขยันเงยหน้ามองผมจัง บางทีผมก็หลบไม่ทัน ตาประสานตา ผมต้องแกล้งทำเป็นมองแขกคนอื่น...ซักพัก ไม่ไหวแล้ว ยิ่งเห็นเค้าจับไม้จับมือ หัวเราะกันสองคน ผมยิ่งเจ็บ เดินก้มหน้าไปเข้าห้องน้ำ ทันทีที่นั่งลงบนฝาชักโครก น้ำตาผมก็ไหลออกมาแบบกลั้นไม่อยู่....
.....หลังจากใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานเกือบครึ่งชั่วโมง ผมก็กลับมานั่งทำเอกสารอยู่ข้างหลัง Front ไม่ออกไปรับแขกอีกเลย อ้างว่าปวดหัว ไม่สบายไปตามเรื่องตามราว ตอนนี้สภาพผมก็เยินพอที่จะทำให้คนอื่นเชื่อได้....พอไม่มีคนอยู่ ผมก็กดโทรศัพท์ไปคุยกับพนักงานที่ดูแลวุธเมื่อกี้ และได้คำตอบที่ทำให้ผมเจ็บอีกรอบ.....เค้ามาจัดงานหมั้นกันจริง ๆ สิ้นเดือนนี้ แถมยังให้ชื่อผมไว้กับพนักงานคนนั้นอีกด้วย เผื่อผมจะขึ้นไปร่วมงานไม่ได้ และด้วยความหวังดี หล่อนบอกเจ้านายผมเรียบร้อยแล้ว เค้าก็อนุญาตแบบงง ๆ มันไม่ได้ผิดกฎอะไรนี่หว่า.....เอาเป็นว่า สิ้นเดือนนี้กูจะพักร้อนยาวเลย ผมวางแผนในใจ.....
How can I just let you walk away
Just let you leave without a trace
When I stand here taking
Every breath with you
You're the only one
Who really knew me at all
How can you just walk away from me
When all I can do is watch you leave
'Cause we've shared the laughter and the pain
And even shared the tears
You're the only one
Who really knew me at all
So take a look at me now
Oh there's just an empty space
And there's nothing left here to remind me
Just the memory of your face
Take a look at me now
'Cause there's just an empty space
And you coming back to me is against all odds
And that's what I've got to face
I wish I could just make you turn around
Turn around and see me cry
There's so much I need to say to you
So many reasons why
You're the only one
Who really knew me at all
So take a look at me now
'Cause there's just an empty space
And there's nothing left here to remind me
Just the memory of your face
Take a look at me now
'Cause there's just an empty space
But to wait for you is all I can do
And that's what I've got to face
Take a good look at me now
'Cause l'll still be standing here
And you coming back to me is against all odds
That's the chance I've got to take
Take a look at me now

---------------------------------

lanlan

  • บุคคลทั่วไป
:impress:
ดีใจแทนคุณเอ้และก็คุณ lanlan คน post จังเลยยยย... ที่มีเพื่อน ๆ ให้ความสนใจเรื่องนี้มากมาย :m4:
ช่วงนี้คุณ lanlan หายไปเลยยยย เห็นเรา post ให้ได้ ปล่อยเราตามยฐากรรมเลยนะ....
กลับมาช่วยข้อยหน่อยแนนนนนน   :m26:

เป็นตัวแทนขอบคุณเพื่อน ๆ ละกันครับบบบบบที่ติดตามกัน ถึงตอนนี้ใกล้จบภาคมหาลัยแล้วววว....
แต่ก่อนจะจบ....คง..... :a5:

ต่อไปถึงภาคการทำงาน ใครจะเป็นตัวจริงของเอ้กันแน่....ให้เพื่อน ๆ ติดตามกันต่อไป.... :give2:
อ่านนิยายจะทุกข์ จะสุขยังไง....ดูแลความรู้สึกตนเองนะครับบบบ...รักษาสุขภาพด้วยครับทุกคนนนน

ปล. สำหรับขาหื่น...รอบทส่งท้ายนะครับ บอกแค่เนี้ยยยยยย หุหุหุ..... :m10:
 :bye2:
แหะๆๆๆๆขอโทษทีครับคุณ nartch อู้ยาวเลย
รู้สึกผิดไงไม่รู้ ขอบคุณ คุณdejavu_boyz  ด้วยคับที่มาลงต่อ
ให้เด๋วผมจะลงต่อคุณdejavu_boyz พุ่งนี้และกันแหะๆๆๆ
 เอ่อผมไม่รู้จักพี่เอ้เป็นการส่วนตัวหรอกคับ แบบว่าไปขอพี่เอ้ในบอดปาล์ม
เลยครับแล้วพี่เอ้ก็บอกว่าให้ลงได้แต่ว่าลงให้จบอะครับแล้วเค้าบอกว่าจะมาเช็คเรทติ้งที่นี่ครับ
แต่ไม่รู้มายังหรือมาแล้วก็ไม่รู้เหมือนกันครับ

พี่เอ้ครับถ้าได้เข้ามาบอดนี้มาพี่เอ้มาทักทายเพื่อนๆๆในบอดนี้ด้วยได้ไหมครับ
มีแฟนๆๆอยากคุยได้หลายคนเลยถ้าพี่เอ้เข้ามาแล้วทักด้วยนะครับมีคนชอบงานเขียนเยอะแยะเลย

ขอบคุณพี่เอ้มากมายสำหรับเรื่องที่สนุกๆๆมากเลยครับ

stupidchild

  • บุคคลทั่วไป
เสียแรงที่รัก เสียแรงที่ไว้ใจ ไม่นึกว่าจะทำได้ลงคอ

อ่านตอนที่รุ้ว่าหมั้นกัน ทำผมน้ำตาไหลเลยอ่ะคับ

ใครจะนึกเนอะว่า คนที่เราหวังไว้ดั่งที่คนอื่นพูดว่ายังรักเรา

แต่วันนี้กลับ พอคนใหม่มาให้เนหน้า

น้ำตาไหลจิงๆคับ รักมาก ก้รับไม่ได้

เปนผมจะน้ำตาไหลตรงนั้นเรยแหละคับ

มาต่ออีกนะคับ

anston

  • บุคคลทั่วไป
 :o12: :o12: :o12:
รับไม่ได้อ่ะ..
เจอแบบนี้ก็คงอึ้งเหมือนกัน.. o2
เป็นเราก็คงไม่อยากไปร่วมงานหรอก..
(แต่ชีวิตจริงเคยทำมาแล้ว..ปั้นหน้าไม่ถูกเลย)

a22a

  • บุคคลทั่วไป
ตอนแรกดีใจที่คุณเอ้เจอวุธนึกว่าเป็นเนื้อคู่กันจิงๆพอวุธบอกมาดูหัองใว้หมั้นใจหล่นลงไปที่ตาตุ่มเลยใจสั่นไงพิกล ยังงี้ไม่น่ามาเจอเลย โรงแรมตั้งแยะดันมาเจออีก สงสารคุณเอ้จังยิ่งยังคิดถึงเขาอยู่ด้วย สวรรค์แกล้งจิงๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7
  :impress:

งานใคร ไม่ใช่งานวุธหรอกมั้ง

คิดมากไปป่าว

รออ่านต่อไปนะครับ

 o15

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
เนื่องจากเคยอ่านเมื่อนานมาแล้วก็เลยลืมๆ  เพราะงี้ตอนอ่านก็เลยลุ้นเหมือนอ่านครั้งแรกเลย...
ฮาตัวเองมากๆ... :m23:

เอาใจช่วยพี่เอ้ต่อไปนะคะ...สู้ๆ  :a9: :a1:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
ช่วยกันโพสท์หลายคนก็ดีคับ คนอ่านจะได้อ่านเยอะ ดีม่ะ อิอิ o14

niph

  • บุคคลทั่วไป
 :เฮ้อ:
ก็ตกใจเหมือนกัน

แต่ ... ผมก็ไม่เชื่อหรอกว่าวุธจะหมั้น

 :m21:

OhhO16

  • บุคคลทั่วไป
ไรอ่ะ


เฮ้อ


โดนมาแต่ไม่ถึงแบบนี้ เศร้าเนอะ

เขามีตัวจริงของเขาแล้วมั้ง

stupidchild

  • บุคคลทั่วไป
สมมติว่า วุธมาดูโรงแรมให้น้องล่ะ - -

แล้วคนที่หมันเปนน้องวุธล่ะ - -

มันก้อาจจะไม่ใช่วุธก้ได้นะ

แต่คือ......ร้องไห้ไปแระมะวาน พอมาอ่านอีกที มันยังไงๆนะ

มาต่ออีกนะคับ

anston

  • บุคคลทั่วไป
 :o11:อืมมมม..ก็อาจจะใช่เนาะ..
อาจจะเป็นน้องของวุธก็ได้ที่หมั้นน่ะ..
แต่ทำเนียนเพื่อดูท่าทีของเอ้แน่เลย..
ขอให้เป็นอย่างนั้นจริงๆเถ๊อะ..สาธุ :m5:

dejavu_boyz

  • บุคคลทั่วไป
20 The End (Part I)
.....ส่งใบลาล่วงหน้าตั้งแต่ต้นเดือนอย่างนี้ ถ้าไม่ให้ลานะ คอยดู กูจะลาออกจริง ๆ ด้วย...ผมคิดในใจขณะวางใบลาไว้บนโต๊ะผู้จัดการ.....เมื่อคืนกว่าจะหลับปาเข้าไปเกือบสว่าง ดีนะที่วันนี้เข้ารอบบ่าย ไม่ต้องตื่นเช้า มัวแต่คิดถึงหน้าไอ้วุธตอนกำลังยิ้ม หัวเราะกับผู้หญิงคนนั้น ท่าทางพวกเค้าคงมีความสุขกันมาก อีกทั้งสายตาของวุธที่มองมาทางผมบ่อย ๆ เหมือนยังมีเยื่อใย แววตาขี้เล่นคู่นั้นแฝงความอ่อนโยน แต่ถ้ามันยังคิดมีใจให้ผม มันน่าจะมีอาการอะไรมากกว่านี้สิ ปกติมันเก็บความรู้สึกไม่ได้หรอก...เอ๊ะ...หรือว่าเราคิดเข้าข้างตัวเองมากไป สิ้นเดือนนี้เค้ากำลังจะหมั้น อีกไม่นานก็แต่งงาน มีลูก มีครอบครัว มีอะไรที่เราให้เค้าไม่ได้.....
.....วันนี้วันเสาร์ เข้าบ่ายด้วย รถไม่ติดแน่นอน เอารถไปเองดีกว่า เผื่อจะมีใครชวนไปเที่ยวต่อ เพราะพรุ่งนี้เข้างานรอบดึก ถ้าคืนนี้ไม่นอนก็ไม่มีปัญหา เอาไว้นอนตอนเช้าก็ได้ ชักเริ่มชินกับการหมุนรอบอย่างนี้แล้ว.....
.....การทำงานรอบบ่ายส่วนมาก็รับเช็คอินอย่างเดียว ไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่ จะวุ่นวายก็ตรงแขกจะไปเที่ยว ถามทาง ถามที่เที่ยวกลางคืน ถามสารพัด จากเมื่อก่อนไม่รู้อะไรเลย มาถึงตอนนี้ต้องรู้เกือบทุกอย่าง อาศัยว่าเมื่อก่อนเที่ยวกระหน่ำ ไอ้เรื่องไม่ดีน่ะรู้หมด สถานที่อโคจรเนี่ย เพื่อนร่วมงานมักจะโยนแขกให้ผมเทคแคร์.....แต่พวกเรื่องวัด เรื่องวัง เรื่องที่เที่ยวกลางวันเนี่ย ต้องคอยกระซิบถามคนอื่นบ่อย ๆ ไม่อยากบอกเลยว่า ครั้งสุดท้ายที่ผมไปวัดพระแก้ว คือเมื่อตอนที่ผมเรียนประถม หลังจากนั้นก็แค่ขับรถผ่าน เวลาไปเที่ยวข้าวสาร หรือคอกวัว แถบนั้น ผมก็ยกมือไหว้ทุกครั้งนะครับ.....รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่ดียังไงก็ไม่รู้ มัวแต่คิดว่า เราก็อยู่กรุงเทพฯ ตลอด อยากไปเมื่อไหร่ก็ไปได้ แต่เอาเข้าจริง ผมก็ไม่อยากผ่านไปแถวนั้นตอนกลางวันเลย รถติดมาก กว่าจะพ้นไปได้แต่ละแยก เคยไปครั้งเดียวเข็ด เรียกแท็กซี่ก็ยาก เค้าไม่ค่อยอยากจะรับคนไทยด้วย ขอบ่นหน่อยเหอะ.....

.....อีกไม่นานก็จะเลิกงานแล้ว ไม่มีใครชวนไปเที่ยวไหนเลย ปกติจะมีแขกที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันมาชวนไปเที่ยวตลอด แต่วันนี้ไม่มีแฮะ เหงาจัง ไม่อยากกลับบ้าน ไม่มีอะไรทำ จะนอนก็นอนไม่ได้ เพราะพรุ่งนี้กลางวันนอนไม่หลับ จะโทรศัพท์คุยกับเพื่อนก็ไม่มีใครรับสายอีก....ต่างคนต่างยุ่ง มีแฟนกันไปหมดแล้วนี่ ขนาดไอ้โยและโมทย์คนที่ผมคิดถึงเป็นคนท้าย ๆ มันยังไม่รับสายผมเลย.....เพื่อนร่วมงานก็ต้องรีบกลับบ้าน มีภาระหน้าที่ต้องทำอีก บ่อยครั้งที่จะต้องโดดรอบ หมายถึง ถ้าวันนี้เข้าบ่าย พรุ่งนี้อาจจะต้องมาเข้ารอบเช้าอีก เลิก 4 ทุ่ม รีบกลับบ้านนอน 7 โมงเช้าต้องมาทำงานอีกแล้ว.....หลายคนที่เคยไปโรงแรมแล้วเห็นพนักงานต้อนรับหน้าบึ้ง ไม่ยิ้ม หรือหงุดหงิดง่าย ไม่ต้องสงสัยนะครับ งานนี้มันเหนื่อยกว่าที่พวกคุณเห็นแค่ภายนอกแป๊บ ๆ ลองมานั่งดูพวกผมทำงานกันสิครับ.....ผมเชื่อว่าทุกโรงแรมก็เป็นเหมือนกันหมด แต่พวกพนักงานห้าดาวนี่เค้าจะเก็บกดกันนิดนึง พอเข้าไปหลังฉากเท่านั้นแหละ พวกแขกวีน ๆ คงโดนเผาพริกเผาเกลือแช่งกันเลยมั้ง.....ขอแค่แขกพูดจาดี ๆ หรือกล่าวคำขอบคุณซักคำเมื่อเราทำอะไรให้ แค่นี้พวกเราก็ยิ้มออกแล้วครับ.....



“...เอ้...มีแขกมาหา...” พี่ซุป (Supervisor) เดินเข้ามาเรียกผม ขณะกำลังเม้าธ์กับพวกรอบดึกอยู่หลัง Front
“...ใครอ่ะพี่...ห้องไหน...หล่อปะ...” ผมกระเด้งจากเก้าอี้ ดีจังได้พาแขกเที่ยวแน่ ๆ เอ่อ ไม่ได้ไปทำอะไรอย่างนั้นนะครับ ถ้าเราว่าง เราสามารถพาแขกไปที่ ๆ เค้าอยากไปได้...ชาวต่างชาติจะกลัวโดนหลอกไงครับ แต่ถ้าไปกับพนักงานโรงแรม เค้าไว้ใจว่าเราไม่หลอกเค้าไปฆ่าชิงทรัพย์แน่ ๆ และบางที่พวกเราก็ได้ค่าคอมฯ ด้วย.....โรงแรมผมไม่ค่อยเข้มงวดเรื่องนี้ เพราะพวกเราไม่เคยมีประวัติเสียหาย มีแต่แขกพากันขอบคุณที่พวกเราพากไปเที่ยวแบบไม่คิดเงิน แต่เค้าไม่รู้หรอกว่าพวกผมได้เงินจากค่าอาหาร ค่าผ่านประตูอะไรพวกนี้อ่ะ เราไม่ใช่ไกด์ผีนะครับ เราหาแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้แขก ให้เค้าประทับใจ และอยากกลับมาเมืองไทยอีกครั้ง
“...คนไทยโว้ย...เป็นแขกข้างนอก...” พี่ซุปเดินนำออกไป
“...สวัสดีครับคุณเอ้...” ผมยืนคาอยู่ที่ประตู แทบก้าวขาไม่ออก เมื่อเห็นว่าคนที่ทักทายผมอย่างเป็นทางการคือใคร
“...สวัสดีครับ...” ผมพูดเสียงเข้ม เพื่อนร่วมงานผมทุกคนทำเป็นไม่สนใจ แต่ผมรู้ว่าพวกนั้นกำลังเดาว่าผู้ชายรูปร่างหน้าตาดีคนนี้คือใคร เค้าไม่ใช่เพื่อนผมแบบไอ้โย หรือโมทย์ที่จัดว่าหล่อมาก ๆ ที่เคยมารับผมไปเที่ยวบ่อย ๆ แน่...เพราะพวกนั้นพอเราเจอกัน ผมก็มึงมาพาโวยกันลั่น ไม่ใช่มีอาการประหม่าจนต้องเก๊กมาดขรึมอย่างนี้
“...จะเลิกงานแล้วใช่มั๊ยครับ...”
“...ยัง...ครับ...” ผมตัดสินใจโกหก
“...วันนี้เข้างานรอบบ่าย เลิก 4 ทุ่มไม่ใช่เหรอ...” มันพูดยิ้ม ๆ ผมหน้าชา รู้ได้ไงวะ
“...มีงานต้องเคลียร์อีกเยอะ...”
“...ไม่เป็นไร...ผมรอได้...”
“...หมายความว่ายังไง...” ผมชักสับสน
“...ไปหาอะไรทานกัน...” วุธยื่นหน้ามากระซิบ ผมถอยไปชนกับอีรอบดึกที่ออกมาป้วนเปี้ยนข้างหลัง
“...โอ๊ย...อีเอ้...เหยียบตีนกู...” เพื่อนผมร้องเบา ๆ
“...แล้วมาเดินเกะกะอะไรตรงนี้เนี่ย...ทำเป็นขยันนะมึง...ยังไม่สี่ทุ่มสาระแนออกมาทำไม...” ผมก็ด่ามันเบา ๆ พนักงานโรงแรมค่อนข้างเก็บกดอ่ะนะครับ ต้องพูดเพราะตลอดถ้าอยู่ต่อหน้าแขก ฉะนั้น เวลาอยู่กับเพื่อนเราจะด่ากันไฟแลบ แต่ก็ไม่มีใครโกรธใครนะครับ....ไอ้วุธมองยิ้ม ๆ ที่ทำให้ผมมาดหลุดได้
“...ผมนั่งรอตรงโน้นนะ...” มันไม่รอให้ผมพูดอะไร ยักคิ้วให้นิดนึงแล้วเดินไปหยิบหนังสือพิมพ์แถวล็อบบี้มาอ่าน...แต่เอ๊ะ...มันมีแต่หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษนี่หว่า แหมไอ้วุธทำเก็กนะมึง อ่านออกมั่งหรือเปล่าหรอก ผมคิดถึงเมื่อก่อนที่มันอ่อนภาษามาก

*
*

.....ผมเดินงง ๆ กลับเข้าออฟฟิศ มันจะมาไม้ไหนวะ นึกจะหายก็หายไปหลายปี นึกจะมาก็มาให้เห็นติดกันอย่างนี้.....ที่เคยคิดไว้ตอนเรียนว่าจะไม่ขอเจอไอ้วุธอีก มันแวบเข้ามาในหัว...แต่ตอนนี้...ใจนึงผมอยากเจอมันที่สุด คิดถึงมันมาก อยากคุย อยากมองหน้ามันนาน ๆ .....แต่อีกใจก็ไม่อยากเจ็บ ซักวัน...ไม่นานนักหรอกเราคงลืมมันได้ ปล่อยมันไปตามทางของมันเถอะ.....

.....เดินวนไปวนมาอยู่ข้างในออฟฟิศจนสี่ทุ่มกว่า...ผมไม่ยอมออกไปหน้าฟร้อนท์อีกเลย ได้แต่แง้มประตูดูไอ้วุธที่นั่งเก๊กอ่านหนังสือพิมพ์บนโซฟาไม่ไกลนัก....มันดูดีขึ้นเยอะ ดูมีเนื้อมีหนังขึ้น กล้ามอกดันเสื้อยืดสีเข้มออกมาจนเห็นได้ชัด รู้สึกว่ามันขาวขึ้น สูงขึ้น สำอางขึ้น ผมเผ้ายาวถึงต้นคอ แต่ก็เป็นทรงไม่ได้ถูกละเลย กางเกงยีนส์สีซีดที่มันชอบใส่ วันนี้ก็ใส่อีก มองภายนอกก็รู้ว่าเป็นของมียี่ห้อ....มาดเด็กช่างหายไปไหนหมด อะไรทำให้ไอ้วุธดูเป็นผู้ใหญ่ได้ขนาดนี้.....

“...อีเอ้...มึงจะกลับมั๊ย บ้านอ่ะ...เมื่อไหร่จะปิดรอบ...หา...” เสียงของพี่ซุปรอบดึกที่สนิทกันดังลอดออกไปข้างนอก ไอ้วุธหันมามอง แต่คงไม่รู้หรอกว่าเราพูดอะไรกัน
“...กลับสิ...” ผมเดินตัวลีบออกไปที่เค้าท์เตอร์ นับเงิน ปริ้นท์รีพอร์ท ปิดรอบ ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที ด้วยความชำนาญ
“...ไม่ต้องรีบ...ผมรอได้...” เสียงไอ้วุธที่ดังใกล้ ๆ พอเงยหน้า เห็นมันยิ้มแฉ่ง ทำเอาสติผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“...โอ๊ย...ลืมเลย...ถึงไหนแล้วเนี่ย...” ผมเทซองเงินออกมานับใหม่ เผลอตัวค้อนไอ้วุธที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า
“...รอทำไม...ใครบอกว่าจะไปกับคุณ...” ผมกวน เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลก ๆ
“...เอ้...ผมว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันนะ...ถ้าเราไม่คุยกันวันนี้....ผมก็ไม่มีเวลาแล้วนะครับ ต้องเตรียมงานหมั้นอีก...” วุธพูดเสียงจริงจัง ผมก้มหน้านิ่ง มันจะมาตอกย้ำกูอีกทำไมเนี่ย “...เสร็จเมื่อไหร่ก็บอกนะ...” วุธพูดทิ้งท้ายก่อนเดินไปนั่งรอที่เดิม

.....ตั้งแต่ทำงานมา วันนี้ผมปิดรอบช้าที่สุด นั่งนับเงิน 4-5 รอบ มันไม่มีสมาธิอ่ะครับ นับผิดนับถูก เดี๋ยวขาดเดี๋ยวเกิน ลืมแยกทิป ลืมเขียนจำนวนเงิน ต้องนับใหม่....เพราะคำพูดไอ้วุธแท้ ๆ ทำให้ผมต้องเป็นอย่างนี้ เงยหน้าไปมองมันก็เห็นมันมองมาทุกที แรก ๆ มันก็ยิ้มได้อยู่นะครับ แต่ซักพักเริ่มคิ้วขมวด อาจจะเป็นเพราะว่าผมทำไม่เสร็จซักที หรือว่ามันคิดว่าผมแกล้งถ่วงเวลา....จะคิดยังไงก็ตามใจเถอะ อีกไม่เกิน 5 นาทีทุกอย่าก็จะเสร็จเรียบร้อย เพราะตอนนี้ผมรวมรวมสมาธิได้แล้ว และคำตอบว่าจะไปกับมันหรือไม่อยู่ในใจผมแล้วด้วย....
“...อีก 20 นาที...เจอกันหน้าโรงแรม...” ผมเขียนข้อความใส่กระดาษ และฝากเบลบอยเดินไปให้วุธ

.....ดีนะว่าวันนี้เตรียมตัวไปเที่ยว ผมจึงแต่งตัวดีกว่าทุกวัน ....ปกติถ้าวันไหนขับรถมาเองผมจะใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้น ถ้าวันไหนเข้าดึกและขับรถมาเอง ผมก็ใส่ชุดนอนมาทำงานเลย เลิกงานตอนเช้า กินข้าวที่โรงแรม อาบน้ำแปรงฟัน ที่ล็อกเกอร์ ขับรถกลับบ้าน ขึ้นห้องนอนเลย เพราะเข้าดึกมันง่วงมาก ถึงบ้านก็ไม่มีแรงทำอย่างอื่นแล้วครับ.....ไหน ๆ ก็ได้เจอ ได้คุยกับมันอีกที แม้จะเป็นครั้งสุดท้ายก็ตาม ผมจะพยายามทำดีที่สุด เราจะจบกันโดยไม่มีการเกลียดกันเกิดขึ้น แต่เราจะเป็นเพื่อนกันต่อไปไม่ได้หรอก ผมเสแสร้งเรื่องอย่างนี้ไม่เป็น.....ขอให้เราเก็บความรู้สึกดี ๆ ไว้ อย่างน้อยเราก็เคยรักกัน ......ผมวิ่งจู๊ดไปอาบน้ำ แต่งตัวเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ มือนึงถือไดร์เป่าผม อีกมือติดกระดุมเสื้อ ทาแป้งหน้าด้วยเด็กนิดหน่อย ฉีดน้ำหอมที่มีติดล็อกเกอร์ไว้ เป็นโรคขาดน้ำหอมไม่ได้อ่ะครับ....สำรวจตัวเองหน้ากระจก โอเค พร้อมแล้ว พร้อมเจ็บอีกครั้งแล้ว.....

.....เอ๊ะ...ผมตาฝาดหรือเปล่าที่เห็นวุธยืนคุยกับฝรั่งอย่างเป็นเรื่องเป็นราวอยู่บริเวณหน้าโรมแรม หรือว่ามันกำลังดำน้ำคุยมั่วกับแขกเราวะ อีตานี่มันอเมริกันจ๋าขนาดนั้นด้วย พูดเร็วรัวจนฟังไม่ทันเลย....ด้วยความเป็นห่วง...เอ่อ...ห่วงแขกนะครับ กลัวเค้าจะหลงทาง ผมก้าวยาว ๆ เตรียมจะอ้าปาก Excuse me แทรกบทสนทนาของพวกเค้าแล้ว แต่ต้องเบรกตัวโก่ง ไม่น่าเชื่อว่าไอ้วุธมันจะพูดกับฝรั่งได้ดีขนาดนี้ สำเนียงก็ไทย ๆ นี่แหละครับ แต่พูดรู้เรื่อง ลื่นไหล ผมไม่ต้องช่วยอะไรเลย....

*

“...กินอะไรกันดีจ๊ะ...” ผมหันหน้าไปมองมัน อยากจะร้องไห้ตรงนั้นเลย วุธคนเดิมกลับมาแล้ว หน้าตา ท่าทางการเดินกวน ๆ ของมัน และคำถามที่เมื่อก่อนมันชอบถาม
“...ตามมา...” ผมตอบส่ง ๆ เอาเป็นร้านประจำของผมดีกว่า จริง ๆ แล้วเคยมากินแค่ครั้งเดียว นอกนั้นจะแนะนำแขกให้มากิน เพราะมันใกล้โรงแรมดีอ่ะครับ
“...โห...ร้านนี้เลยเหรอ...” มันทำท่าตื่นตาตื่นใจ มาดดูดีเมื่อตอนนั่งที่ล็อบบี้ไม่มีเหลือเลย
“...จะกินหรือไม่กิน...” ผมมองมันด้วยสายตาว่างเปล่า
“...กินสิ...อ้าว...ไม่เข้ามาล่ะ...” ผมมัวแต่มึน วุธมันเป็นอะไรมากหรือเปล่า เดี๋ยวเล่น เดี๋ยวขรึม มันหยุดรอผมอยู่ที่หน้าประตู บอกกับพนักงานว่าขอมุมที่เป็นส่วนตัวนิดนึง.....ได้เลยครับ พนักงานพาขึ้นไปชั้นสอง มีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วแค่ 2 โต๊ะ วุธเลือกโต๊ะในสุด ติดกำแพง พนักพิงสูงมาก มองไม่เห็นโต๊ะใกล้ ๆ เลย
“...กินแค่นี้เหรอ...” วุธถามผมทันทีที่ผมยื่นเมนูคืนพนักงาน....ผมพยักหน้า มันสั่งของมันบ้าง
.....เราต่างคนต่างสั่ง คนนึงกินพาสต้า อีกคนสั่งสปาเก็ตตี้ ทั้ง ๆ ที่เราสองคนไม่ได้ชอบอาหารพวกนี้เลย.....เราชอบกินอาหารไทย สั่งกับแยกเป็นจาน ๆ แล้วก็มีข้าวสวย ตักให้กันบ้าง....เฮ้อ แต่นั่นมันเมื่อก่อน ผมยังเหมือนเดิม แต่วุธจะเปลี่ยนไปพร้อมกับบุคลิกท่าทางคำพูดคำจาหรือเปล่าไม่รู้นะครับ.....

*
*

“...มีอะไรจะพูดเหรอ...” ผมทำลายความเงียบ นั่งมองกันไปมองกันมา ไม่มีใครเริ่มซะที
“...ไม่ได้เจอกันนาน...เป็นยังไงมั่ง...” ดูมันขัด ๆ เขิน ๆ เอาส้อมพยายามหมุนตักเส้นเข้าปาก
“...ก็ดี...ทุกอย่างเหมือนเดิม...” พูดผิดอะไรไปวะ ไอ้วุธชะงักแล้วมองหน้าผม
“...ทุกอย่างเลยเหรอ...” วุธย้ำ
“...ไม่หรอก...เมื่อกี้พูดผิด...เอาเป็นว่าเราสบายดีละกัน...แล้วคุณล่ะ...” ผมถามตามมารยาท
“...ก็เรื่อย ๆ อ่ะนะ...ไม่มีอะไรใหม่...” มันจ้องหน้าผม
“...เหรอ...”
“...ที่บ้านเป็นไงมั่ง...” ผมชะงัก เงียบไปนานจนมันต้องถามซ้ำ “...พ่อแม่แล้วก็ไอ้ตัวแสบล่ะ...สบายดีมั๊ย...”
“...พ่อเสียแล้ว...” ผมมองออกไปทางอื่น กระพริบตาถี่ ๆ ไม่อยากให้น้ำตาไหล “...แม่กับน้อง ๆ อยู่ต่างจังหวัดกันหมดแล้ว....มันเอนท์ติดที่ XXXXX...” วุธอึ้ง
“...พ่อเสียตั้งแต่เมื่อไหร่...” มันถามผมเสียงเครียด
“...2 ปีกว่าแล้ว...”
“...ทำไมไม่บอกกันบ้างอ่ะ...” วุธเสียงดัง แต่เมื่อเห็นผมน้ำตาคลอ มันถึงได้ลดเสียง ลงมา “...ใจคอจะจบกันจริง ๆ ใช่มั๊ย...บ้านก็เปลี่ยนกุญแจใหม่ เบอร์ก็ไม่บอก...” ดูมันจะเสียใจไม่แพ้ผม เมื่อก่อนพ่อผมกับมันคุยกันถูกคอมาก วันเสาร์อาทิตย์ บางทีก็ช่วยกันซ่อมรถ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง มอมแมมกันทั้งสองคน ผมก้มหน้านิ่ง รู้สึกผิดอย่างแรง
“...แล้วตอนนี้อยู่กับใครล่ะ...”
“...อยู่คนเดียว...” ผมตอบเบา ๆ น้ำตาไหลลงมาถึงคาง ก่อนหยดลงบนโต๊ะ อารมณ์เหงา อารมณ์รู้สึกผิด เสียใจกับทุกสิ่งที่ผมทำ ผมใจดำ ใจแคบ ผมไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของมัน
“...เอ้...ผมขอโทษ...” วุธลุกขึ้นมานั่งข้างผม
“...ขอโทษเรื่องอะไร....เราต่างหากที่ต้องขอโทษ...เราผิดเอง...” ผมพยายามกลั้นน้ำตา แต่มันก็ยิ่งไหล วุธดึงผ้าเช็ดหน้าไปจากมือผม ซับน้ำตาที่แก้มผมเบา ๆ ตาเราประสานกันในระยะแค่คืบ สัมผัสได้ถึงลมหายใจมีกลิ่นแอลกอฮอล์ของมัน
“...วุธ...ไปนั่งที่เถอะ...” ผมขยับตัวออกห่าง มันมองหน้าผมงง ๆ
“...ยังโกรธผมอยู่เหรอ...”
“...ไม่หรอก...เราไม่มีสิทธิ์โกรธคุณหรอก...แต่ต่อไปเราไม่ควรเจอกันอีก...คุณกำลังจะหมั้นนะ...” ใจหายวูบ วุธลุกพรวดไปนั่งที่เดิมทันที
“...ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย...” มันหงุดหงิด
“...เราทำใจได้แล้ว...เราอยู่คนเดียวได้...เราจะจำเรื่องดี ๆ ของคุณตลอดไป....ทุกอย่างที่คุณให้ เรายังเก็บไว้...ไม่ต้องห่วง ของพวกนี้เป็นของ ๆ คนที่เรารัก เอาเก็บไว้ดูเวลาคิดถึง...” ผมฝืนยิ้ม เปิดกระเป๋าหยิบแหวนรุ่นที่มันเคยให้ออกมาสวม
“...เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ...” วุธจับมือผม ไอ้เราก็คิดว่าจะดูแหวนก็เลยปล่อยให้มันจับต่อไป
“...เราไม่ทิ้งของ ๆ คุณหรอก...” เคยมีประสบการณ์เขวี้ยงแหวนมาแล้วไง
“...ไม่ใช่...ท้าย ๆ ประโยคอ่ะ...” ผมนิ่ง คิดว่าเมื่อกี้กูพูดอะไรออกไปวะ พอนึกได้ ผมถึงกับอายจนหน้าชา
“...เอ้ไม่เคยพูดว่ารักผมเลยนะ...รู้มั๊ยผมรอมานานแค่ไหน...นานจนผมคิดว่าคุณไม่เคยรักผมเลยด้วยซ้ำ...” มันยิ้ม จับมือผมบีบอย่างแรง
“...โอ๊ย...” ผมร้อง
“...ขอโทษ...เจ็บมั๊ย...” วุธคลายมือออก เพ่งมองรอยแดงที่เกิดจากการบีบเมื่อกี้
“...มันสายไปแล้วหล่ะวุธ...ก็อย่างที่บอก...เราผิดเอง...ขอให้มีความสุขกับน้องนุ่นนะ...” ผมแสดงความยินดีกับมันล่วงหน้า วุธมองหน้าผมนิ่งจนผมอึดอัด
“...Thank You...” มันยิ้มอีกแล้ว ทำให้ผมต้องฝืนยิ้มไปด้วยทั้งที่ข้างในระบมไปหมด

*
*
*

.....เรานั่งคุยกันในฐานะคนเคยรู้จัก ถามไถ่ความเป็นอยู่ ยิ่งฟังมันเล่าว่าระหว่างที่มันหายไป มันทำอะไรบ้าง ผมยิ่งเกลียดตัวเอง เพราะทิฐิตัวเดียว ทำให้ผมต้องเสียวุธไป.....วันนั้นมันกินข้าวกับอีแอ๊บโดยที่ไม่ได้คิดอะไร แน่นอนมันจำได้ว่าอีแอ๊บเรียนที่เดียวกับผม แต่มันไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับผมให้วุธฟังเลย วุธก็ดันเข้าใจว่าผมรู้เรื่องอีแอ๊บมาเรียนที่นี่แล้ว แถมมันยังช่วยดูแลเพราะคิดว่าอีแอ๊บเป็นเพื่อนผมด้วยซ้ำ.....

.....อีแอ๊บเรียนที่นั่นได้ไม่นาน ก็ต้องออกไปเรียนที่อังกฤษ ส่วนผมหายไปเลยเหมือนกัน มันพยายามจะมาเซอร์ไพร้ส์ผมวันศุกร์เสาร์ที่ต้องกลับบ้าน แต่ผมก็ไม่เคยอยู่บ้านเลย มัวแต่เที่ยวตะลอน ๆ ปิดเทอมก็ออกต่างจังหวัด ต่อจากนั้นกุญแจบ้านผมที่เคยให้มันไว้ก็ใช้ไม่ได้อีก...ผมเปลี่ยนกุญแจเองแหละ.....วุธเข้าใจผิดมาตลอดว่าผมโกรธมัน โกรธมากด้วย และมันรู้ว่าผมเป็นคนที่ใจแข็ง ถ้าปิดกั้นตัวเองขนาดนี้ หมายความว่าผมไม่ให้อภัยมันแน่ วุธถึงกับถอดใจ รอให้มีโอกาสดี ๆ แล้วค่อยเข้าหาผมอีกครั้ง และก็เจอผมด้วยความบังเอิญจนได้ มันเงียบไปหลังจากพูดถึงตรงนี้.....

.....วุธเล่าต่อว่ามันเอาเวลาว่างไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มจนจบระดับสูงสุด เรียนพิเศษเพิ่มอีกหลายวิชา ส่งผลให้มันจบมหาลัยออกมาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 มีบริษัทรถใหญ่ยักษ์มาจองตัวตั้งแต่ยังไม่รับปริญญา ประสบการทำงานแค่ปีกว่า ๆ มันได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าแล้ว.....ส่วนผมมัวแต่ฟูมฟาย หาทางออกโดยการเที่ยวทุกคืน กลับบ้านตอนเช้า เดินสวนกับพระที่ออกบิณฑบาตบ่อย ๆ ยังคิดไม่ออกเลยว่า ถ้าพ่อไม่เสีย ผมจะหยุดชีวิตช่วงบ้า ๆ นั่นได้ยังไง.....

*
*

.....ในที่สุดก็ถึงเวลาต้องจากกัน วุธเดินมาส่งผมที่อาคารจอดรถ เราต่างคนต่างกลับ ตอนแรกคิดว่ามันเอารถมา ที่ไหนได้พอผมหันหลังมันก็เรียกแท็กซี่กลับบ้าน ผมก็ปากหนักไม่ชวนมันกลับด้วย แถมยังให้มันส่งแค่ทางขึ้น ไม่ต้องส่งถึงรถ ไม่อยากให้มันดีกับผมอย่างนี้ ผมไม่อยากรักมันอีก.....
.....มันเงียบมาตลอดทางเดินกลับ อาจจะเพราะคำถามสุดท้ายในร้าน ที่ผมถามว่าจะแต่งงานกับนุ่นเมื่อไหร่....จริง ๆ แล้วผมก็ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน เวลาถามถึงนุ่น เพราะวุธมักจะเบี่ยงประเด็นเป็นเรื่องอื่นตลอด จะถามเซ้าซี้ก็กลัวว่ามันจะคิดว่าผมหึง...ไม่ถามต่อก็ได้....แต่ก็เช่นเดียวกัน พอมันถามถึงเบอร์โทรศัพท์ ผมก็ไม่ยอมบอก มีทางเดียวที่มันจะติดต่อผมได้ คือโทรเข้าโรงแรม และผมก็มั่นใจว่ามันไม่โทรมาบ่อย ๆ หรอก.....
.....ถ้าเราจะจบกัน ก็ขอให้จบกันแค่ตรงนี้ เวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ไม่ได้พบ ไม่ได้เจอ ไม่ได้ติดต่อกันซักพัก เดี๋ยวก็ค่อย ๆ ลืมมันได้เอง อายุเราก็ยังไม่เยอะ มีโอกาสได้เจอคนใหม่ ๆ อีก ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเหมือนวุธ หมดหวังที่จะได้มันกลับมาแล้ว.....ไม่อยากทำร้ายความรู้สึกของผู้หญิงดี ๆ ไม่ต้องการทำลายอนาคตผู้ชายปกติของมัน ทำลายความหวังที่จะได้หลานสืบสกุลของครอบครัวทั้งคู่....เพราะความรักคือการให้...ให้เค้าไปได้ดีเหอะเอ้....ผมปลอบตัวเอง พร้อมปาดน้ำตาขณะขับรถกลับบ้าน....

------------------------------------

มาต่อให้ครับ

 “...ใจคอจะจบกันจริง ๆ ใช่มั๊ย... (ถ้าคนมันไม่รักแร้ว เค้าคงไม่พูดอย่างนี้หรอก ว่าไม๊คับ แบบนี้ก็ยังพอมีหวัง แหะๆ)


ขออนุญาตนะคับ  lanlan

ปล.lanlan คับ คือถ้าจะขอเมลนาย คุยเอ็มกัน จะได้ปะคับ

nartch

  • บุคคลทั่วไป
 :pigwrite:
+1 ให้ dejavu_boyz เพื่อขอบคุณที่มาช่วย ๆ กันต่อเรื่องนี้...ยังห่วงใยนิยายรักเรื่องนี้อยู่เช่นเดิม...
มีโอกาสก็จะแวะเข้ามาดูมาช่วยเชียร์กันต่อไป...การได้ตามติดชีวิตใครซักคน...บางครั้งก็สุข บางคราก็ทุกข์
ยังไงก็ดูแลสภาพจิตใจตัวเองด้วยยยยยยย  :catrun:
เก็บเอาสิ่งดี ๆ จากนิยายไปปรับใช้กับชีวิต...เพื่อชีวิตรักจะได้มีความสุข... ขอให้พบรักแท้ที่สวยงามทุกคน...
 :c3:

ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
เศร้าคับ ขอให้มีความหวังเล็กๆเหอะน่ะ

stupidchild

  • บุคคลทั่วไป
เมื่อความรักไม่เปนอย่างที่เราหวังไว้ เราก้คงได้แต่ยอมรับแระอยุ่ต่อไปนะคับ

อ่านแร้วเศร้า ร้องไห้แทน น้ำตาไหล

นี่แหละความรัก

มาต่ออีกนะคับ

lanlan

  • บุคคลทั่วไป
เมื่อวานอู้อีกและเลยต้องรบกวนคุณ dejavu_boyz เลย
ใช่ไม่ได้เลยผมนี่ ขอบคุณ คุณ dejavu_boyz มากเลยนะคับ o1
ต่อไปจะขยันไม่อู้และแหะๆๆๆ

เด๋วผมส่งอีเมลของผมไปให้คุณทางพีเอมแล้วกันเนอะคุณ dejavu_boyz

ไปอ่านต่อเลยนะครับ

21 The End (Part II)


.....ตามตารางงานอ่ะนะครับ หลังจากเข้ารอบบ่าย วันต่อมาผมก็เข้ารอบดึก ง่วงมาก ตอนเช้า ๆ ก็ยุ่งเป็นเรื่องปกติเหมือนทุกวัน แขก Check Out ตั้งแต่เช้ามืด ไปเที่ยวตลาดน้ำ ไปเที่ยวจังหวัดใกล้ ๆ อย่างอยุธยา กาญจนบุรี พวกไกด์ก็มาตามหาแขกกันให้วุ่นวาย พวกที่จะกลับบ้านมี Flight เช้าก็รีบเร่ง กลัวจะตกเครื่อง หลังจากเที่ยวที่นี่มาซักพักคงรู้ว่า เอาแน่ เอานอนกับการจราจรในกรุงเทพฯ ไม่ได้.....


.....ช่วงระหว่างต่อรอบ ใกล้จะได้เวลากลับบ้าน กำลังฝากงานกับพวกรอบเช้า มือนึงก็ถือขนมครกที่รอบเช้าชื้อเข้าแบ่งกันกิน อีกมือก็ถือไฟล์งาน อธิบายงานแบบสบาย ๆ เพราะไม่มีผู้ใหญ่อยู่ ปากก็เคี้ยวตุ้ย ๆ เพื่อนรอบดึกที่ยังเฝ้าข้างหน้าคอยรับแขก เปิดประตูอ้าซ่า พูดเสียงดังฟังชัดว่ามีคนมาหาผม แถมเอาขนมจีบ ซาลาเปา ชุดใหญ่ มีเต้าฮวยอีก 4-5 ถุงมาฝากด้วย กินได้ทั้งแผนกเลยนะเนี่ย ผมรับไว้งง ๆ....ไอ้เราก็นึกว่าคงเป็นไกด์ที่สนิทกัน ที่ชอบซื้อขนมมาให้กินบ่อย ๆ ยังเดินไม่พ้นประตู ปากก็ยังเคี้ยวขนมอยู่ กำลังจะฉีกยิ้ม ขอบคุณที่ซื้อขนมมาให้ถูกเวลา กำลังหิวเลย....แต่พอเห็นว่าเป็นไอ้วุธในชุดพนักงานที่มีโลโก้บริษัทรถยนต์แห่งหนึ่งติดที่หน้าอก ยืนอยู่หน้าเคาท์เตอร์ พร้อมด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ผมแทบละลาย หัวยังเปียก ๆ อยู่เลย แสดงว่ามันต้องรีบตื่นเพื่อมาให้ทันผมเลิกงาน....แล้วมันมาทำไมอีกอ่ะ....


“...ข้างในเค้าฝากขอบคุณมาอ่ะ...เอ่อ...มีธุระแถวนี้เหรอ...” ผมพยายามพูดกับมันให้เป็นทางการมากที่สุด

“...เดี๋ยวเรากลับบ้านพร้อมกันนะ...” วุธไม่ตอบแต่ดันชวนผมซะอีก

“...ไม่เป็นไร...กลับเองได้...” ผมรีบปฏิเสธ

“...กลับยังไง...รถก็ไม่ได้เอามา...”

“...กลับรถไฟฟ้าสิ...แล้วรู้ได้ไงว่าเราไม่ได้เอารถมา...”

“...ผมก็ขับรถวนดูจนทั่ว...ก็รู้อยู่แล้วว่าคุณไม่ยอมกลับกับผมง่าย ๆ หรอก...ใช่มั๊ย...”

“...อืม...แต่เรายังยืนยันคำเดิมอยู่นะวุธ...ถ้าไม่จำเป็น...เราไม่ควรเจอกันอีก...”

“...ก็ได้...ขอวันนี้อีกแค่วันเดียว...ผมอยากไปทำบุญให้พ่อ...อีกอย่าง...ต่อไปผมคงไม่มีเวลาแล้วหล่ะ...ต้องเตรียมงานอีกตั้งเยอะ....คุณก็อย่าลืมไปร่วมงานสิ้นเดือนนี้ละกัน... อยู่ดี ๆ มันก็ตอกย้ำเรื่องงานหมั้น ทำเอาผมสลดวูบ

“...ไม่ไปทำงานเหรอ...” ผมหาข้ออ้าง ในช่วงเวลาเร่งรีบอย่างนี้ รถติดแน่ ๆ งานเลิก 7 โมง กว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก ถ้าไปรถไฟฟ้าก็ถึงบ้านไม่เกิน 8 โมง แต่ถ้าใช้รถยนต์ อาจจะถึงบ้านเกือบ 9 โมงอ่ะครับ

“...ลาครึ่งวันไว้แล้ว...” ผมเงียบไปนิดนึง มองแขกที่ทยอยมาเช็คเอ้าท์ เพื่อนร่วมงานก็รู้เห็นเป็นใจ สกัดแขกไม่ให้เดินมาทางผมเลย

“...โอเค...งั้นเราไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน อีก 10 นาทีเจอกันที่เดิม...” ผมเดินเข้าไปเก็บสมบัติ บอกลาเพื่อน ๆ ขออนุญาตกลับบ้านก่อน ทำอะไรเสร็จก็พอดี 7 โมง ขอรูดบัตรออกตรงเวลาหน่อยละกัน....ก่อนออกจากออฟฟิศไม่ลืมหยิบเอาซาลาเปาลูกใหญ่มากินรองท้องระหว่างเดินไปล็อคเกอร์ (เผื่อรถติดแล้วหิวกลางทาง)


*
*
*


.....รถใหม่เอี่ยม หอมไปทั้งคันด้วยน้ำหอมกลิ่นผู้ชายที่วุธคงฉีดก่อนลงไปหาผม.....เป็นรถสำหรับครอบครัวคันใหญ่แบบที่ผมและวุธเคยคุยกันเมื่อก่อนว่าเราอยากได้รถแบบนี้ เราสองคนมักจะชอบและไม่ชอบอะไรเหมือน ๆ กัน…..


.....เช้าวันจันทร์ เวลาเร่งด่วนอย่างนี้ รถติดเป็นเรื่องปกติ ผมนั่งตัวลีบอยู่ติดประตู มองออกไปมองข้างนอกกระจก ไม่มีเสียงพูดคุย ได้ยินแต่เสียงเพลงเบา ๆ จากเครื่องเสียงที่มันคงเอาไปแต่งมาใหม่ ตอนนี้มันไม่ฟังเพลงร็อครกหูแล้ว เปิดเพลงสากลซะด้วย แดดข้างนอกก็เริ่มแยงตา แอร์เย็น ๆ ชวนให้หลับจริง ๆ ถ้านั่งแท็กซี่หรือมากับคนอื่นผมคงหลับไปแล้ว.....


“...นอนไปก่อนก็ได้นะ...” วุธเอี้ยวตัวไปหยิบหมอนอันเล็ก ๆ จากเบาะหลังมาให้ผมกอด

“...ไม่เป็นไร...เราแค่แสบตาเฉย ๆ ...แล้วนี่จะไปไหนอ่ะ...” ผมจำใจรับหมอนมันมาวางไว้บนตัก

“...ไปวัด XXXXX ...” วุธพูดชื่อวัดใกล้ ๆ บ้านอาเล็ก วัดที่ผมเคยไปทำวีรกรรมไว้สมัยก่อน

“...ทำไมไปไกลอย่างนั้นล่ะ...วัดแถวนี้ก็มีตั้งเยอะ...”

“...ไปถึงวัดตอนนี้ก็ยังถวายสังฆทานไม่ได้อยู่ดีแหละ...ต้องรอให้พระท่านฉันเสร็จก่อน...” วุธพูดยิ้ม ๆ

“...ตามใจ...”


*
*


.....ยิ่งวุธทำดีกับผมเท่าไหร่ ผมยิ่งรู้สึกละอาย มองภาพมันกำลังพนมมือพูดคำถวายสังฆทานตามพระอย่างตั้งใจ.....มองนิ้วผมและมันที่แทบจะชนกันตอนกรวดน้ำ....เห็นมันยืนนิ่งตอนที่เอาน้ำไปรดใต้ต้นไม้ใหญ่.....รู้สึกผิดจนไม่กล้ามองหน้ามันเต็มตา...ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะไม่ทำอย่างนั้น ผมจะไม่ทำให้คนอื่นเสียใจเพราะคำว่าทิฐิ...เรื่องนี้มันแก้ไขอะไรไม่ได้เลย ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะสายไปซะแล้ว.....

“...กินอะไรก่อนมั๊ย...” วุธถามขณะเดินทางกลับ ตอนแรกกะว่าจะไปไหว้อาเล็ก แต่เห็นบ้านยังปิดอยู่ก็เลยไม่อยากรบกวน

“...ไม่อ่ะ...กินซาลาเปาที่คุณซื้อมาให้ก่อนออกมา...ยังอิ่มอยู่เลย...” ไม่อิ่มหรอกครับ แต่ผมกินอะไรไม่ลงมากกว่า “...แล้วคุณล่ะ...หิวหรือเปล่า...” ผมอดเป็นห่วงมันไม่ได้...วุธส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“...นึกว่าจะไม่ถามซะแล้ว...” วุธหันมามองผมตาเยิ้ม

“...ก็ถามไปงั้นแหละ...ตามมารยาท...กลัวจะหิวตายก่อนแต่งงาน...” ผมแขวะ ไม่น่าเลยกู อยากจะตบปากตัวเองจัง แต่ไอ้วุธไม่ถือสาอะไร แถมยังหัวเราะเบา ๆ ซะอีก


*
*


“...ขอเข้าไปไหว้พ่อได้มั๊ยครับ...” วุธถามขณะที่ผมจะลงจากรถเพื่อเข้าบ้าน ผมชะงัก

“...อัฐิพ่ออยู่ที่บ้านแม่โน่น...” วุธหน้าสลด

“...ไม่รู้จะมีโอกาสได้ไปไหว้หรือเปล่า...” ผมเห็นมันพึมพำแล้วยิ่งรู้สึกผิด

“...เข้าบ้านก่อนมั๊ย...” ผมกลั้นใจชวนมัน

“...บ้านนี้ยังต้อนรับผมอีกเหรอ...” โอ๊ย...เจ็บจี๊ด ๆ

“...ก็เข้ามานั่งเล่น ดูหนัง...หาอะไรกินไปก่อน...ทำงานตอนบ่ายไม่ใช่เหรอ...” ผมทำเป็นไม่สนใจที่มันพูด

“...อืม...ก็ดีเหมือนกัน...” ถ้าเป็นเมื่อก่อน อย่าหวังเลยว่าจะได้เข้ามาเหยียบบ้านผมอีก


.....น้องหมาผมยังจำวุธได้ มันเข้ามากระโดดเหยง ๆ พันแข้งพันขาทั้งผมและวุธ มันทำท่าดีใจกระดิกหางดิ๊ก ๆ ผมต้องดึงปลอกคอมันไว้ไม่ให้กระโจนใส่วุธ กลัวเสื้อผ้ามันเลอะ....วุธมองรอบ ๆ และหยุดที่ผม แทบหลบตามันไม่ทัน....อย่างที่ผมเคยบอก เวลาว่างของผมหมดไปกับการจัดบ้านเพื่อไม่ให้บรรยากาศเดิม ๆ ทำให้ผมคิดถึงมันอีก.....วุธเดินไปเปิดแอร์เป็นอย่างแรกเหมือนที่มันทำประจำเมื่อก่อน เข้าครัวหยิบน้ำในตู้เย็นมารินใส่แก้ว เผื่อผมด้วย แล้วกลับออกมาเปิดโทรทัศน์ หย่อนตัวลงนั่งกึ่งนอนบนโซฟาหนานุ่มตัวเก่งของผมแบบไม่ห่วงเสื้อผ้ายับ ถึงแม้ว่าสรีระมันจะดูเปลี่ยนไป แต่แววตา ท่าทางยังคงเป็นไอ้เด็กช่างคนเดิม ที่ทโมน ซน และน่ารักเหมือนเดิม.....


....ผมขึ้นห้องไปอาบน้ำ แต่งตัว ค่อยสดชื่นขึ้นมาอีกนิด แต่ชักเริ่มหิวซะแล้ว....ค่อย ๆ ย่องลงมาในครัว ทำแซนด์วิชง่าย ๆ กิน ไม่กล้าบอกไอ้วุธมัน กลัวโดนกัดอีก ก็ตอนอยู่บนรถดันบอกว่าอิ่ม แต่พอถึงบ้านหิวโซเชียว....ยัดเข้าปากไปสองชิ้นเสร็จผมก็เดินเนียน ๆ ไปนั่งดูหนังจากเคเบิ้ลทีวีข้างวุธ ไม่ลืมบอกมันว่ามีแซนด์วิชอยู่บนโต๊ะ ถ้าหิวก็กินได้ มันลุกขึ้นจากโซฟาเดินเข้าครัวยกมาทั้งจาน ยื่นให้ผมอันนึง ผมส่ายหน้า กูอิ่มจริง ๆ แล้วคราวนี้.....ถ่างตาดูหนังไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ผมก็เริ่มเลื้อยนอนกอดหมอนบนโซฟา ง่วงมาก ตาจะปิดอยู่แล้ว จะขึ้นไปนอนบนห้องก็ไม่ได้...วุธมันยังนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้...ขอพักสายตาแป๊บนึงละกัน...ไม่หลับหรอก ผมบอกตัวเอง.....


*
*
*


.....สะดุ้งตื่นมองรอบ ๆ ทันที ไม่เจอวุธ ตายห่า ผมเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ นี่มันก็บ่ายกว่า ๆ แล้ว....เดินกระเซอะกระเซิงเข้าไปในครัวเห็นไก่ทอดถังใหญ่วางไว้บนโต๊ะ สงสัยวุธคงโทรสั่งมากินก่อนไปทำงานแน่ ๆ มันก็ยังจำได้ว่าผมชอบกินอะไร ส่วนไหน และกินอย่างต่ำ 4 ชิ้นถึงจะอิ่ม....ผมเดินขึ้นไปล้างหน้าล้างตาบนห้องพอออกมาส่องกระจกถึงเห็นกระดาษเล็ก ๆ มีลายมือของมันเขียนสั้น ๆ ว่าเย็นนี้จะมาหาอีก....


.....ระหว่างกินไก่ที่มันซื้อมาเผื่อ หัวผมก็คิดถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่มีทางเลือกอื่นเลย นอกจากจบกันด้วยดี จะให้กลับไปเหมือนเดิมก็ไม่ได้ มันกำลังจะหมั้น....จะให้เป็นเพื่อนกันเหรอ ผมก็ทำใจไม่ได้ สู้ห่างกันไปเลยดีกว่า ไม่ต้องเห็นหน้ากันอีก ผมจะเก็บมันไว้ในความทรงจำตลอดไป.....


.....ดังนั้น หลังจากอิ่ม ผมก็อาบน้ำแต่งตัวออกไปหากิจกรรมที่ต้องใช้เวลานาน ๆ ตัดผม ทำสีผมร้านประจำ เดินเล่นคนเดียวจนเวลาเลิกงานของอีนัน ผมก็ชวนมันไปกินข้าว ช้อปปิ้ง....พยายามทำตัวให้สดใส แม้ว่าจะอิดโรยจากการนอนน้อย ทรมานจะตายกับการทำงานไม่เป็นเวลาอย่างนี้ ผมไม่กล้านอนตอนกลางวันมาก เพราะตอนกลางคืนจะนอนไม่หลับ และมันจะเป็นปัญหาในวันต่อไปที่ต้องเข้างานรอบเช้า ตั้งแต่ 7 โมงเช้า อึดมั๊ยล่ะครับ.....


“...สวัสดีครับ...” ผมมองเบอร์ไม่คุ้นที่โชว์บนหน้าจออย่างชั่งใจ แต่สุดท้ายก็ต้องรับเพราะเกรงใจคนข้าง ๆ ดันเปิดเสียงซะดังเลย

“...ไม่อยู่บ้านเหรอ...” เสียงในสายทำให้ผมอึ้ง

“...เฮ้ย...รู้เบอร์เราได้ไง...”

“...อยู่ไหน...ทำไมไม่รอ...ผมเขียนบอกแล้วนี่ว่าจะไปหาตอนเย็น...” วุธพูดเสียงเครียด ไม่ยอมตอบคำถามผม

“...เราทำธุระอยู่...อีกนานกว่าจะกลับ...” ผมโกหก

“...ไม่เป็นไร ผมรอหน้าบ้านคุณล่ะกัน...”

“...ไม่ต้องหรอก...คุณเอาเวลาไปเตรียมงานหมั้นของคุณเถอะ...อ้อ...แล้วให้เวลากับคู่หมั้นคุณด้วย...อย่ามาเสียเวลากับเราเลย...” ผมตัดสายทันที ปิดโทรศัพท์ซะเลย สงสัยเหมือนกันว่ามันเอาเบอร์ของผมมาจากไหน พรุ่งนี้จะเอาโทรศัพท์ที่ทำงานโทรจิกถามเพื่อน ๆ ทีละคน

“...เป็นอะไรวะ...เอ้...” นันสะกิดผมเบา ๆ เมื่อเห็นผมนั่งเหม่อตั้งแต่รับสายเมื่อกี้

“...มึงว่ากูทำถูกมั๊ย................................................” ผมเล่าทุกอย่างให้มันฟัง

“...มึงก็คบเค้าในฐานะเพื่อนก็ได้นี่หว่า...”

“...เพื่อนก็อยู่ส่วนเพื่อนสิวะ...ไม่งั้นกูก็ยอมเป็นแฟนไอ้โยไปนานแล้ว...” ผมไม่อยากจะบอกอีนันว่า ไอ้โมทย์ก็ด้วย เรามีความลับกันนิดหน่อย

“...เอาเป็นว่า...ถ้ากูเป็นมึง...กูก็คงต้องทำอย่างที่มึงทำ...แต่กูคงใช้วิธีที่ไม่รุนแรงเหมือนมึงหรอก...”

“...มึงรู้มั๊ย ที่กูทำ ที่กูพูดน่ะ กูเจ็บนะโว้ย...กูไม่ได้อยากจะทำอย่างนั้นเลย...แต่ถ้ากูยังทำดีกับมัน กูไม่อยากให้มันรู้ว่ากูยังรักมันอยู่ กูไม่อยากให้มันสงสารกู....ยังไงมันก็ล้มเลิกงานหมั้นไม่ได้หรอก เซลล์จัดเลี้ยงโรงแรมกูงกจะตาย อีกวันสองวันนี้เค้าคงจ่ายมัดจำค่าห้องกันแล้ว...นี่ไม่ใช่นิยายนะมึง...ที่มันจะวิ่งหนีจากงานหมั้นมาหากู...” ผมพยายามพูดขำ ๆ แต่เสียงหัวเราะของผมมันเหมือนสมเพชตัวเอง


*
*
*


....3 ทุ่มกว่า ผมเลี้ยวรถเข้าซอยบ้าน ชะลอดูว่ามีรถวุธจอดอยู่แถวนั้นหรือเปล่า...โล่งอก...มันคงกลับบ้านไปแล้ว ผมเข้าบ้านล็อคประตูอย่างแน่นหนาตามปกติ รีบอาบน้ำ นอน ง่วงมาก ๆ พรุ่งนี้ต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืดไปทำงานอีก...พอล้มตัวลงนอน กำลังเคลิ้ม ๆ เสียงโทรศัพท์บนหัวนอนดังขึ้น นึกได้ว่ามือถือยังไม่ได้เปิดเครื่อง คนที่โทรมาต้องเป็นคนสนิทมาก ถึงได้มีเบอร์นี้ เพราะขนาดในโรงแรมผมยังไม่มีใครรู้เลย ตอนสมัครงาน ผมก็ใช้เบอร์เก่าที่ใช้เฉพาะชั้นล่าง ส่วนเบอร์ในห้องนอนนี้ก็ยังเป็นความลับอยู่.....

“...ฮาโหล...” ผมพูดเสียงยาน ๆ

“...ถึงบ้านแล้วเหรอ...” ผมกระเด้งจากเตียง ตาสว่างเลยครับ

“...โทรมาได้ไง...เอาเบอร์มาจากไหน...”

“...ไม่บอก...ผมมีวิธีของผมล่ะกัน...”

“...โทรมาทำไม...”

“...อยากรู้ว่ากลับถึงบ้านหรือยัง...ก็แค่นั้นเอง...”

“...นี่ไง...อยู่บ้าน...กำลังจะนอนแล้วด้วย...” ผมกวน

“...เออใช่...พรุ่งนี้คุณทำงานเช้านี่นา...งั้นไม่รบกวนแล้ว...ฝันดีนะครับ...”

“...เดี๋ยว...” ผมรีบรั้งมันไว้ก่อนจะวางหู

“...อะไรครับ...จะ Say Goodnight เหรอ...”

“...No…Do not call me again OK?...” ผมพูดเสียงขุ่น แต่วุธมันหัวเราะ ผมยิ่งโมโห วางโทรศัพท์ดังโครม กะว่าถ้ามันโทรมาอีก จะดึงสายออกจากเครื่องเลย


.....แค่ไม่กี่วันมานี่ มันก็ทำให้ผมหวั่นไหวไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ผมไม่อยากรักมัน ผมไม่อยากให้มันทำอย่างนี้ ยิ่งมันเข้ามาในชีวิตผมมากเท่าไหร่ ผมยิ่งเจ็บมากเท่านั้น ผมว่าการที่ต้องหักอกตัวเองน่ะ มันเจ็บกว่าตอนโดนคนอื่นทำให้อกหักนะครับ.....



*
*
*


“...เอ้...ทำไมโทรมอย่างนั้นล่ะ...” เพื่อนร่วมงานผมทักตั้งแต่ที่ตอกบัตรจนถึงออฟฟิศ จะไม่ให้โทรมได้ยังไงอ่ะ นอนไม่ถึง 3 ชั่วโมง เรื่องไอ้วุธมันลอยวนเวียนอยู่ในหัวทั้งคืน.....หลายครั้งที่มีความคิดเห็นแก่ตัวแวบเข้ามา...วุธมันจะแต่งงานก็ให้มันแต่งไปสิ เราก็เป็นเหมือนเดิมได้...ให้ไอ้วุธมันลองซะหน่อย เผื่อมันจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นผู้ชายหรือเป็นเกย์กันแน่ และถ้ามันเป็นเกย์ อีกไม่นานเค้าก็เลิกกัน หรือไม่ก็ทนอยู่กินเพื่อรักษาหน้ากันไปอย่างนั้นแหละ...แต่ถ้าวุธมันเป็นผู้ชาย ซักวันมันก็เลิกยุ่งกับเราเอง ให้เรามีความสุขสั้น ๆ ตอนนี้ดีกว่ามั๊ย ขอเป็นชู้ไปจนกว่ามันจะเบื่อเรา ยังไงเราก็เจ็บอยู่แล้วนี่....ผมต้องใช้ธรรมะเข้าข่ม...นึกถึงคำพูดพ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ที่เคยสั่งสอนไว้ ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว....ให้รู้จักละอายต่อบาป....เวรกรรมมันตามทัน....ในที่สุดผมก็ยืนยันตามความคิดเดิม เราควรจะจากกันด้วยดี ไม่ต้องเจอกันอีก แม้แต่ความเป็นเพื่อน ผมก็ให้มันไม่ได้.....


“...อย่าลืมขึ้นไปร่วมงานแต่งสิ้นเดือนนี้นะจ๊ะ...” พนักงานแผนกจัดเลี้ยงคนที่ดูแลงานไอ้วุธพูดกับผมใน Canteen ระหว่างพักทานข้าวกลางวัน

“...อะไรนะ...งานหมั้นไม่ใช่เหรอ...”

“...หมั้นเช้าแต่งเย็นไง...” ผมตัวชาวาบ กินข้าวไม่ลงเลย

“...อืม...งั้นต้องลางานบินไปซื้อชุดราตรีที่ Paris ซะแล้ว...” ผมทำเป็นเรื่องขำ ๆ ทั้งที่ในใจแทบกระอัก วุธมันไม่เห็นบอกว่าจะแต่งเลยนี่หว่า ลึก ๆ แล้วผมยังแอบหวังว่ามันยังถอนหมั้นได้ แต่นี่ถ้าถึงขนาดแต่งงานกัน คงไม่มีการล้มเลิกแน่ ๆ

“...เอ้...จะหยุดไปไหนเนี่ย...” FOM (Front Office Manager) ถามทันทีที่เห็นหน้าผมหลังจากกลับมาจากพักทานข้าว ในมือมีใบลาที่ผมวางไว้เมื่อสองวันก่อน

“...ไปธุระพี่...” ผมตอบเนือย ๆ

“...ทำไมหยุดหลายวันอย่างนี้ล่ะ...” ผมลาแค่ 4 วันเองนะ ออกจากกรุงเทพฯ หลังเลิกงานจากรอบเช้า นัดพวกเพื่อน ๆ ไว้แล้วด้วย ตอน 6 โมงเย็น ไปถึงโน่นก็คงเกือบเช้า มีไอ้พวกนี้ไปด้วยหรอก ผมถึงขอหยุดแค่ 4 วัน ไม่งั้นจะหยุดเลียแผลใจซัก 1 สัปดาห์

“...พี่ให้เอ้หยุดเต็มที่สองวันละกัน...”

“...ไม่ได้พี่...นาน ๆ เอ้ขอหยุดทีนะ วันหยุดเอ้ยังเหลืออีกตั้งเยอะ พอปลายปี ฝ่ายบุคคลจะตัดยอดวันหยุด พี่ก็บังคับให้เอ้ลาทั้ง ๆ ที่เอ้ก็ไม่รู้จะลาไปทำอะไร แถมด่าว่าทำไมไม่ทยอยหยุดตอนกลาง ๆ ปีอีก....นี่ไง...ขอหยุดก็ไม่ให้หยุด...” ผมโวย

“...จะมีคนทำงานแทนหรือเปล่าก็ไม่รู้...” ปกติผมจะสงสารนะครับ แต่คราวนี้มันไม่ได้จริง ๆ

“...เวลาคนอื่นหยุด...เอ้ก็แทนให้ทุกที...โดดรอบกี่ครั้งแล้วล่ะ...เห็นไม่โวยวายก็เอาใหญ่เลยนะ...”

“...เออ ๆ ขอพี่คิดดูก่อน...ถ้าไม่มีคนทำงานแทน พี่คงต้อง Cancel ใบลาเอ้นะ...”

“...งั้นพี่ก็หาคนมาทำงานแทนเอ้ตลอดไปเลยละกัน...ยังไงเอ้ก็จะหยุด...” ผมหันหลังเดินออกมาจากห้องผู้จัดการโดยที่ยังได้ยินเสียงพี่เค้าเรียกให้กลับไปคุยกันต่อ แต่ผมไม่สนใจแล้ว โมโหมาก น้อยใจด้วย คนที่ยอมมาตลอด ไม่มีปากเสียง ต้องโดนอย่างนี้แหละ งั้นกูลาออกซะเลยดีกว่า ได้เดือดร้อนกันทั้งแผนกแน่ ๆ


“...พี่เอ้...แขกไม่ยอมจ่ายค่า Extra Person...” น้องใหม่คนหนึ่งเดินมาพูดกับผมทำตาแดง ๆ จะร้องไห้ คงโดนแขกด่ามาอ่ะดิ

“...โอเค...เดี๋ยวพี่จัดให้...” ผมคว้าเอกสารของแขกคนนั้นออกไปหน้าเคาท์เตอร์

“...Mr. Smith...” ผมเรียกแขกอเมริกันที่ยืนกอดกันกลมกับ ผู้หญิงอาชีพพิเศษคนหนึ่งที่ยืนจับแขกอยู่ข้างถนนแถว ๆ โรงแรมผม แถมยังเคยมาที่นี่ตั้งหลายครั้งจนพวกผมจำหน้าได้แล้ว

“...Yes…what’s the problem?...” เห็นสายตาที่เค้ามองมาผมก็รู้เลยว่างานนี้ต้องยาวแน่ ๆ ต่อไปผมขอแปลให้อ่านเลยนะครับ

“...ผมเชื่อว่าคุณจองห้องมาเป็นห้องเดี่ยวใช่มั๊ยครับ...”

“...ใช่...แล้วไง...”

“...ถ้าคุณต้องการจะพาผู้หญิงคนนี้ขึ้นไปบนห้อง...คุณจะต้องจ่ายให้ทางโรงแรม XXXX บาทนะครับ...มันเป็นกฎ...และทุกโรมแรมในละแวกนี้มีกฎแบบเดียวกันด้วย...”

“...กฏบ้าอะไร...ที่ประเทศกูไม่เห็นมีแบบนี้เลย...”

“...ทุกที่มีกฎที่แตกต่างกัน...และคุณกำลังยืนอยู่ที่ประเทศไทยนะครับ ไม่ใช่อเมริกา...”

“...มันไม่เห็นยุติธรรมเลย แขกกูก็ต้องเป็นแขกโรงแรมด้วยสิ...”

“...ผมก็ไม่คิดว่ายุติธรรมสำหรับเราเหมือนกัน เพราะคุณจองมา 1 คน ในห้องคุณควรจะมีคนอยู่แค่ 1 คน หรือไม่ใช่ครับ...” ผมย้อน

“...เราแค่จะไปดื่มอะไรกันเฉย ๆ...”

“...งั้นเชิญที่ล็อบบี้บาร์เลยครับ...”

“...กูจะพาผู้หญิงคนนี้ขึ้นไปแค่ 10 นาที ไปคุยกันแค่นั้นเอง...”

“...งั้นเราจะต้องให้พนักงานรักษาความปลอดภัยขึ้นไปด้วย และประตูจะต้องเปิดไว้ตลอดเวลา...โอเคมั๊ยครับ...”

“...กูต้องการคุยกับผู้จัดการ...เดี๋ยวนี้...” แขกเริ่มฉุนเฉียวโวยวายเสียงดัง

“...ได้แน่นอน...แต่คุณก็จะได้รับคำตอบแบบเดียวกับผม...” น้องที่อยู่ในเหตุการณ์ เดินเข้าไปเรียกผู้จัดการทันที

“...มีอะไรให้ผมช่วยครับ...” พี่ผู้จัดการเข้ามาเคลียร์....ผมก็ยืนอยู่ตรงนั้น...ใช้เวลานานมาก กว่ามันจะยอมจ่าย กฎก็คือกฎ ทางเรายืนยันอย่างนั้น

“...กูจ่ายก็ได้...แต่กูต้องการให้ไอ้นั่นขอโทษกู...” ไอ้ฝรั่งบ้าคนนั้นมันชี้หน้าผม

“...เอ้...ขอโทษเค้าสิ...” ผู้จัดการสั่งผม

“...ขอโทษเรื่องอะไรพี่...” ผมงง “...For what?...” ผมหันไปถามมัน

“...มึงพูดจาไม่ดีกับกู...”

“...เมื่อไหร่...ตรงไหน...ผมแน่ใจว่าผมพยายามพูดกับคุณดีที่สุดที่ผมสามารถทำได้...คนแถวนี้ก็ได้ยินบทสนทนาของเราโดยตลอด...” ผมเถียง...มันฮึดฮัดไม่ยอมท่าเดียว

“...เอ้...พี่บอกให้ขอโทษก็ขอโทษสิ...เล่นลิ้นอยู่นั่นแหละ...จะได้จบ ๆ ไปซะที...” ผมมองหน้าผู้จัดการอย่างอึ้ง ๆ โกรธมากเลยครับตอนนั้น ผมหันไปจ้องหน้าไอ้ฝรั่งบ้านั่นแล้วก็พูดโดยไม่สนใจว่าผู้จัดการยืนอยู่ข้าง ๆ

“...โอเค...คุณสามารถบังคับให้ผมพูดว่าผมเสียใจได้ ผมเสียใจ นี่ไงผมพูดแล้ว มันเป็นหน้าที่ของผม ที่ต้องปฏิบัติต่อแขกอย่างดีที่สุด แม้ว่าบางคนมันไม่สมควรที่จะถูก Treat ดีขนาดนี้ เหมือนกับว่ามันเป็นแขกระดับล่าง....คุณรู้มั๊ย ที่ผมพูดว่าผมเสียใจน่ะ ผมไม่รู้สึกผิดซักนิด เพราะผมแน่ใจว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิด...เอาเป็นว่า ผมก็ขอให้คุณมีความสุข และขอให้คุณจงภูมิใจในตัวเองที่ต้องใช้เงินซื้อผู้หญิงคนนึงเพื่อเซ็กส์...ถ้าเป็นที่บ้านเมืองคุณ...ผมคิดว่าคุณคงถูกเรียกว่า...ไอ้ขี้แพ้...” พูดจบผมก็วางเอกสารดังโครม หันหลังเดินเข้าออฟฟิศ ท่ามกลางสายตานับสิบคู่ที่มองผมด้วยความรู้สึกต่างกัน


.....พอกันที...อาชีพนี้....ไปทำงานกับแม่ดีกว่า เหนื่อยเหลือเกิน....เหนื่อยกาย...เหนื่อยใจ.....ผมเดินหน้าบึ้งไปขอใบลาออกจากฝ่ายบุคคล ไม่มีใครกล้าแซวผม ปกติผมจะเป็นคนที่อารมณ์ดีที่สุดในแผนก ใครจะแซวยังไงก็ไม่โกรธ ไม่ค่อยวีนใครง่าย ๆ แต่วันนี้ ผมเหนื่อย หงุดหงิด เครียด น้อยใจ โกรธ หลาย ๆ เรื่องมันรุมเข้ามา และอีกไม่กี่นาทีต่อมา ขณะที่ผมกำลังนั่งสงบสติอารมณ์อยู่นั้น....น้องในแผนกก็เข้ามาพูดอ้อมแอ้มกับผมว่า GM. เรียกขึ้นไปพบบนห้อง....ผมรู้แล้ว ว่าจะต้องมีเรื่องอย่างนี้ แต่ไม่เป็นไร ไหน ๆ ก็จะออกแล้วนี่ ขออลังการส่งท้ายหน่อยละกัน....ผมเขียนใบลาออกด้วยความรวดเร็ว แล้วเดินตัวปลิวจนถึงหน้าห้องผู้จัดการทั่วไป.....


***********************************T************B**************C*********************************************************************

มาต่อแล้วครับไปอ่านให้สนุกๆๆนะ
ต่อไปนี้จะพยายามไม่อู้และ

ออฟไลน์ slmzaa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 163
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
 o13 o13อ่านแล้วติดตามมากเลยมาต่อบ่อยๆๆเยอะๆๆนะคับ :m23: :m23:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
โห คุณเอ้ได้ใจผมมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

stupidchild

  • บุคคลทั่วไป
นี่แหละ ตัวอย่าง ยิ่งในศักดิ์ศรี อย่ายอมก้มหัวให้ใครถ้าเราไม่ผิด

ถ้ามันไม่จำเปน!!!

นี่แหละแบบผมเลย โดนๆๆ รักคุนเอ้ อิอิ

มาต่ออีกนะคับ ทำใจลำบากเนอะ

fr_man

  • บุคคลทั่วไป
โหเจ๋งอ่ะ

มีแสดงอภินิหารทิ้งทวนอีกตะหาก
อิอิ

รอต่อครับ

ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7
 :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:

สุดยอดไปเลยเอ้ของเรา

มันต้องอย่างนี้สิ

 :m7: :m7: :m7: :m7: :m7: :m7: :m7: :m7: :m7: :m7: :m7:

papae

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องเล่า)"อด$
«ตอบ #478 เมื่อ15-10-2007 06:03:24 »

 :m4: :m4: :m4:   สู้ สู้  เข้มแข็งเข้าไว้ เก่งมาก เรื่องหัวใจก็ต้องให้ได้อย่างนี้นะเอ้  สู้สู้   :m11:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-10-2007 08:39:16 โดย I'm pe »

ออฟไลน์ Just let it be

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 979
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
Cheer คุนเอ้ด้วยอีกคนนะครับ

บางครั้งการที่เราพยายามที่จะปิดบังความรู้สึกในใจ

กลับกลายว่าจะเป็นการทำร้ายตัวเอง

แม้จะสามารถปิดบังคนอื่นได้  แต่ตัวเราเองย่อมที่จะรู้ดีที่สุด  :m8:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด