(เรื่องเล่า)"อดีตเด็กพาณิชย์กลับมาเล่าต่อครับ" โดย COMMERCIAL COLLEGE STUDENT
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (เรื่องเล่า)"อดีตเด็กพาณิชย์กลับมาเล่าต่อครับ" โดย COMMERCIAL COLLEGE STUDENT  (อ่าน 316171 ครั้ง)

stupidchild

  • บุคคลทั่วไป
ฮาโหลวววว  อยุ่หนายยยย

มาต่อทีเน้ออออออออ ลุ้นต่อนะค้าบบบบบบบบบบ

anston

  • บุคคลทั่วไป
 :เฮ้อ:เฮ้อ.. งอนกันอีกละ..
ก็เข้าใจนะว่าวัยรุ่นอารมณ์ร้อน.. :m16:
แต่ไอ้ทิฐิเนี่ย..ลดๆลงหน่อยก็ดีนะ..
ปล่อยเวลาไว้นาน..ยิ่งจะไปกันใหญ่น๊า..

nartch

  • บุคคลทั่วไป
15 Love takes time (Part II)

“...ทำไมวันนี้ตื่นสายจัง...” ผมแทบจะหันหลังกลับขึ้นห้องทันทีที่ได้ยินเสียงไอ้วุธมันทัก....ทั้ง ๆ ที่เดินผ่านเก้าอี้ที่มันนั่งอยู่ แต่ผมดันมองไม่เห็น อาจจะเพราะผมเดินสะลึมสะลือลงมาเช้านั้น
“...อ้าว...มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย...” ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แก้อายที่เดินผ่านมันหน้าตาเฉย แถมยังอยู่ในสภาพที่มันไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก หัวฟู หน้ามันเยิ้มด้วยครีมทาก่อนนอน
“...ซักพักแล้ว...ซื้อของมาเยอะแยะเลย...” มันยกถุงขนมถุงใหญ่ขึ้นโชว์ผม
“...กินเถอะ...เราต้องรีบไปธุระ...”
“...ไปด้วย...” ผมหันขวับ มองหน้ามัน นี่มันจะไม่พูดเรื่องวันนั้นซักนิดเหรอ
“...ธุระส่วนตัว...” ผมเน้น มันสลดไปนิด เห็นแล้วสงสารชิบเป๋ง
“...งั้นเรากลับเลยละกัน...” มันลุกขึ้นเดินคอตกจะพ้นประตูแล้ว
“...ไม่คิดจะไปส่งหน่อยเหรอ...” ในที่สุดผมก็ใจอ่อนจนได้ วุธชะงักนิดนึง หันมายิ้มตาหยีแล้วเดินตรงดิ่งเข้ามา ผมถอยหนี ห้ามเข้ามาใกล้เด็ดขาด ไม่มั่นใจ หน้าก็ยังไม่ได้ล้าง ฟันก็ยังไม่ได้แปรง
“...กินข้าวเช้าด้วยกันนะ...” ไอ้วุธตะโกนตามหลังผมขึ้นมา เอ๊ะ มันกัดกูหรือเปล่าวะ นี่มันเกือบเที่ยงแล้วนะโว้ย ผมคิดในใจ
....วันนี้ผมมีนัดกับไอ้โยที่มหาวิทยาลัยของมัน จะไปดูรูปแบบการรับน้องของที่อื่นบ้าง เพื่อจะได้เอามาปรับใช้กับมหาลัยเราบ้าง นัดไว้บ่ายโมง วุธนั่งมองผมกินข้าวอย่างรีบร้อน.....เพราะมึงนั่นแหละ ทำให้กูนอนไม่หลับเมื่อคืน รู้สึกอึดอัดที่มันไม่เคลียร์เรื่องวันนั้น ผมอยากให้มันเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน ผมจะได้อธิบายให้มันฟังว่าผมไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนั้นเลย ผมตั้งใจจะทำอะไรให้มันบ้าง ผมรอเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกันนาน ๆ.....
“...ตกลงไปไหนบอกได้ยัง...” มันถามขณะขึ้นมานั่งฝั่งคนขับ
“...ไป XXXXX” ผมบอกชื่อมหาวิทยาลัยของโย...ไอ้วุธขมวดคิ้วทันทีที่ผมพูดจบ
“...ไปทำไมอ่ะ...” มันหันมามองหน้าผม
“...ไปหาโย...” มันอึ้ง แต่ซักพักก็ฝืนยิ้มออกมา
“...เพื่อนแฟนก็เหมือนเพื่อนเรา...” มันพูดเองเออเอง ทำเอาผมงงไปเลย
......หลังจากหาที่จอดรถได้ ผมเดินนำไอ้วุธไปที่คณะของโย แม้ว่ามหาลัยมันจะกว้าง ทางเดินวกไปวนมา แต่ผมมาหลายทีแล้ว ไม่หลงหรอก ไอ้วุธมัวแต่มองกลุ่มเด็กปีหนึ่งที่กำลังโดนรับน้องสภาพเลอะเทอะไปทั้งตัว.....ไม่นานผมก็ถึงโต๊ะไอ้โย เพื่อนโยทุกคนจำผมได้ และยังคิดว่าผมเป็นแฟนไอ้โยด้วยซ้ำ วันนี้พวกเค้ามองผมกับวุธอย่างสงสัยประมาณว่าไอ้เถื่อนนี่มันมาทำอะไรที่มหาลัยนี้ วุธมันไม่รู้ตัวว่าจะต้องมาที่นี่ มันใส่เสื้อยืดย้วย ๆ กับกางเกงยีนส์ขาด ๆ รองเท้าแตะ หลายคนอาจจะมองว่ามันเถื่อน แต่ผมชอบ ผมว่ามันเซอร์ดี เสื้อยืดย้วย ๆ นี่ทำให้เห็นกล้ามอกของมัน กางเกงยีนส์ขาด ๆ น่ะเหรอ ตัดกับขาขาว ๆ ของมันจะตาย.....
“...อ้าวคุณวุธ...เป็นไงมั่งครับ ไม่ได้เจอกันซะนานเลย...” โยทำหน้างง เมื่อเห็นไอ้วุธยืนข้าง ๆ ผม
“...ก็ดีครับ...วันนี้มีรับน้องเหรอครับ...”
“...ครับ...แล้วมหาลัยคุณวุธมีรับน้องปะครับ...”
“...มี...แต่ไม่ได้รับแบบนี้...โหดกว่าเยอะ...” วุธกวาดสายตามองไปรอบ ๆ
“...ขอไปดูใกล้ ๆ ได้ปะวะ...” ผมถามโย
“...เออ มึงจะไปอยู่กลางวงเลยก็ได้นะ...” อ้าวไอ้นี่ ทีกับไอ้วุธนะ พูดเพราะเชียวนะมึง แต่ก็ดีเหมือนกัน วุธจะได้เห็นว่าผมกับโยไม่มีอะไรกันจริง ๆ
.....ภาพกิจกรรมที่อยู่ตรงหน้าทำให้ผมกับวุธลืมเรื่องบาดหมางกันไปได้ สนุกมาก หลายครั้งที่ไอ้วุธถึงกับปล่อยก๊ากออกมากับท่าเต้นของน้องใหม่เหล่านั้น ผมแน่ใจว่าที่คณะมันไม่มีแบบนี้แน่ ก็ผู้ชายครึ่งค่อนคณะนี่นา....พอถึงช่วงว๊าก ดูไอ้วุธจะเก็บรายละเอียดเป็นพิเศษ หน้าตามันจริงจังมาก เหมือนมันโดนว๊ากซะเอง ผมแอบมองหน้ามันอยู่นานจนมันรู้สึกตัว.....หันมาสบตา ผมเองต้องเป็นฝ่ายหลบตามันวูบ.....
“...ไปเดินดูของคณะอื่นกันเถอะ...” วุธชวน ตอนแรกคิดว่ามันจะเบื่อที่ต้องมานั่งเฝ้าผม แต่พอเห็นมันสนใจกับกิจกรรมที่ผมพามันมาดู ผมรู้สึกดีขึ้นเยอะเลยครับ
“...อืม...” ผมรับคำ แต่ไม่ลืมไปบอกไอ้โยก่อน กลัวมันจะห่วง
“...เออ...อย่าเพิ่งหนีกลับนะมึง...กูยังไม่ได้สอนเต้นท่าไม้ตายเลย...” ไอ้โยพูดขำ ๆ ผมพยักหน้า
“...มานี่บ่อยเหรอ...” อยู่ดี ๆ วุธมันก็หันมาถาม ผมอึ้ง คิดว่าจะตอบตามความจริงดีหรือเปล่า
“...ไม่หรอก นาน ๆ ที แต่ช่วงนี้บ่อยหน่อย...” ผมแบ่งรับแบ่งสู้
“...มาทำไมบ่อย ๆ...” อ้าว ซวยเลยกู
“...มาหาโย...เอ่อ...มาธุระเรื่องรับน้องอ่ะ...” ผมรีบแก้ตัว เมื่อไอ้วุธหันมาเหล่
“...ทุ่มเทเหลือเกินนะ...” มันประชด
“...แหม...ครั้งเดียวในชีวิตน่า...อีกไม่นานก็จบแล้ว...” ผมพูดขำ ๆ
.....เดินไปได้ไม่ไกลนัก มัวแต่มองเด็กปีหนึ่งที่โดนรับน้องระหว่างทาง บางคณะก็กำลังว๊ากรุ่นน้องนั่งก้มหน้าเงียบ บางคณะกำลังร้องรำทำเพลง เต้นแร้งเต้นกาไปตามเสียงเชียร์ของรุ่นพี่ ขณะที่ผมเดินเพลิน ๆ ก็มีมือมาจับแขน.....
“...มีอะไรเหรอครับ...” แทนที่คนโดนจับจะเป็นฝ่ายถาม แต่ไอ้วุธถามทันทีที่เห็น ผมคงกำลังตกใจที่ใครก็ไม่รู้ หน้ามีแต่สีละเลงจนจำไม่ได้ ผมก็โดนผูกจุกหลายจุก ถอดเสื้อใส่แต่กางเกงยีนส์เก่า ๆ
“...ขอตัวเอ้แป๊บนึงนะครับ...” เฮ้ย รู้จักเราด้วย
“...ใครอ่ะ...” ผมถาม แต่เสียงมันคุ้นหูอยู่นะ
“...โมทย์ไงครับ...” โอ๊ย...สุดหล่อของผม โดนรับน้องครั้งที่สอง ยังขาวจั๊วเหมือนเดิม
“...จะพาเราไปไหน...” โมทย์ลากผมไปที่ซุ้มคณะมัน ผมหันไปมองไอ้วุธที่ยืนหน้าบึ้งอยู่ที่เดิม ซักพักมันก็เดินตามมาห่าง ๆ
“...อ่ะ...เบอร์มือถือผม...โทรมาคุยกันมั่งนะ...” โมทย์ยัดกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ใส่มือผม
“...เออ...ว่าง ๆ ก็กลับไปเยี่ยมเพื่อน ๆ บ้างล่ะ...” ผมพูดพร้อมเก็บเบอร์ใส่กระเป๋า ถ้าไม่ติดว่าไอ้วุธอยู่ใกล้ ๆ ก็จะให้เบอร์ผมเหมือนกัน
“...คิดถึงนะ...” ไม่คิดว่าไอ้โมทย์จะพูดแบบนี้ ผมหันไปมองหน้าไอ้วุธทันที มันยังคงทำหน้าเฉยอยู่
“...เพื่อน ๆ ก็คิดถึงโมทย์เหมือนกัน...” ผมพยายามทำให้วุธเห็นว่าผมกับโมทย์ไม่ได้เป็นอะไรกัน
“...แล้วเอ้ไม่คิดถึงเหรอ...” ผมหน้าชา
“...คิดถึงดิ คนเคยเรียนด้วยกันทุกวัน...” ไม่เข้าใจว่าพูดเพื่ออะไรเนี่ย มันน่าจะจำไอ้วุธได้ และมันก็ไม่น่าจะโง่จนดูไม่ออกว่าเราเป็นอะไรกัน
“...เอ้...หิวไม่ใช่เหรอ...” วุธพูดเสียงเข้ม แต่กูยังไม่หิวนี่หว่า ผมเห็นหน้ามันถึงเก็ท
“...อืม...โมทย์ เรากลับก่อนนะ ว่าง ๆ โทรไป...” ผมลามันก่อนจะวิ่งตามวุธที่เดินก้าวยาว ๆ นำไปไกลแล้ว ซักพักมันก็หันซ้ายหันขวา ไม่รู้จะไปทางไหน
“...มาทางนี้...” ผมเดินนำมันบ้าง
“...ไปไหน...”
“...ไปคณะโย...”
“...เราจะกลับแล้ว...” อ้าว เป็นอะไรของมันวะ ผมลังเล
“...เดี๋ยวกลับด้วยกันดิ...ไปหาไอ้โยก่อน แป๊บเดียว...”
“...เอ้ไปเหอะ เรากลับเองได้...” วุธพูดโดยไม่มองหน้าผม
“...เออ...” ผมไม่สนใจเดินแยกกับมันตรงนั้น ไม่หันกลับไปด้วย ชักเริ่มหงุดหงิดแล้วเหมือนกัน
.....หลังจากนั้น ผมกับวุธก็ไม่ได้คุย ไม่ได้เจอกันอีกเลย ผมไม่โทร ไม่เพจ มันก็ไม่ติดต่อผมเหมือนกัน ประกอบกับผมยุ่งเรื่องลงทะเบียนปีสอง จัดตารางเรียนเอง เตรียมรับน้องในวันปฐมนิเทศ ทำแบบเดียวกับที่เคยโดนเมื่อปีที่แล้ว ทำยังไงก็ได้ให้รุ่นน้องได้รู้จักกัน แจกป้ายชื่อ แนะนำตัวรุ่นพี่ แนะนำเรื่องเรียน พาน้องเดินดูรอบ ๆ มหาวิทยาลัย.....
.....การหายไปของไอ้วุธในครั้งนี้ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับผมมากนัก เพราะ...หนึ่ง ผมเตรียมใจไว้แล้ว...สอง ผมคิดแต่ว่า ผมไม่ผิด ผมบริสุทธิ์ใจ...สาม ผมยุ่ง และสนุกกับชีวิตจนไม่มีเวลาไปคิดถึงมัน...ก่อนเปิดเทอม หลายครั้งที่ผมต้องไประยอง จันทบุรี ตราด หรือลงใต้ไป เพชรบุรี ประจวบฯ เพื่อเซอร์เวย์ หาสถานที่รับน้อง ไปฟรีตลอดทริป ก็เงินที่เก็บกันมาตลอด 1 ปี ในงบที่เอาไว้ใช้รับน้อง งบที่ทางฝ่ายเหรัญญิกแบ่งมาในส่วนนี้มากพอที่จะทำให้พวกผมเที่ยวอย่างสนุกจัง ตังค์อยู่ครบ ไปกันแต่เช้า กลางวันกินข้าวร้านดี ๆ กลางทาง ขับรถวนหารีสอร์ตที่เหมาะกับการรับน้อง ไม่ใช่ดูแต่เฉพาะที่นอนเท่านั้น ต้องดูถึงสถานที่ทำฐาน ทำซุ้มให้รุ่นพี่แต่ละปีรับน้องของใครของมัน ตอนเย็นเล่นน้ำทะเล ตกกลางคืนออกเที่ยวเธคที่ดังที่สุดในจังหวัด.....
....เด็กปีสองทุกคนทุ่มเทกับงานนี้มาก ธีมของการรับน้องในปีผมจะต้องไม่มีการเจ็บตัว เราจะทำให้น้อง ๆ ได้รับแต่ส่วนดีของกิจกรรมนี้ และจะลบภาพที่รุ่นน้องวาดไว้ในหัวก่อนเข้ามหาวิทยาลัย เราจะสนุกกัน เราจะรู้จักกัน เราจะช่วยเหลือกัน เราเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้องกัน.....พวกเราร่วมมือร่วมใจกัน ด้วยความช่วยเหลือของหลายฝ่าย แต่ก็ยังไม่วายมีปัญหาสารพัด เนื่องจากความคิดเห็นของแต่ละคนไม่ตรงกัน นี่คือสาเหตุที่ทำให้ต้องเข้าห้องประชุมกันทุกเย็น และตอนนี้อีนันได้รับเลือกให้เป็นรองประธานนักศึกษาสาขาการตลาดรุ่นนี้ด้วย ส่วนตัวผมก็ได้รับเลือกให้ป็นหัวหน้ากิจกรรมนันทนาการอีกหนึ่งตำแหน่ง ทำให้กลุ่มผมมีบทบาทในการรับน้องครั้งนี้มาก เสี่ยงอยู่เหมือนกันนะครับ ถ้ารุ่นน้องเป็นอะไรขึ้นมา พวกผมต้องเดือดร้อนแน่....ดังนั้น ก่อนทำอะไร พวกเราต้องคิดให้ดี ๆ ก่อนทุกครั้ง.....
....เย็นวันก่อนเปิดเทอมไม่กี่วัน ผมเพิ่งกลับจากไปซื้อพวกอุปกรณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ใช้ในการรับน้องที่ประตูน้ำ....เดินอารมณ์ดีไขกุญแจประตูใหญ่เข้าบ้าน ทักทายน้องหมาที่วิ่งเข้ามาพันแข้งพันขา ผมสังเกตเห็นประตูในบ้านเปิดอยู่ นึกสงสัยว่าทำไมวันนี้น้องผมกลับบ้านเร็วจัง เด็กมัธยมจะเปิดเรียนก่อนมหาลัยอ่ะครับ.....แต่ทันทีที่ผมเดินพ้นประตู ตาประสานกับสายตาคู่เดิมที่เคยทำให้ผมเขินมาจนนับครั้งไม่ถ้วน แต่ผมวันนี้ ผมกลับรู้สึกเฉย ๆ กับมันซะแล้ว ไม่ว่าเจ้าของสายตาจะพยายามส่งยิ้มทักทายผมก่อน.....
“...เหนื่อยมั๊ย...” จากที่คบกันมา มันยังจำได้ว่าผมไม่ชอบให้คนถามว่าไปไหนมา มันเหมือนกับเป็นการจับผิด
“...ไม่เท่าไหร่...” ผมตอบสั้น ๆ เดินเฉียดไหล่มันไปเข้าห้องน้ำล้างมือล้างเท้า

“...กินข้าวยัง...” มันเดินตามมาคุยหน้าห้องน้ำ
“...กินแล้ว...” ผมโกหก เดินไปหาน้ำกินในครัว ไม่สนใจเสียงเดินตามหลัง
“...เดี๋ยวมืด ๆ ก็หิวอีกใช่ปะ...งั้นเรารอกินด้วยล่ะกัน...”
“...หิวก็กินไปก่อนดิ...จะรอทำไม...” ผมหันไปพูดเสียงเรียบ
“...มีเรื่องจะคุยด้วย...” มันทำหน้าจริงจังมาก จนผมต้องเป็นฝ่ายหงอซะเอง เราคงจบกันวันนี้แน่ ๆ เลย
“...พูดมาเลยดีกว่า...” ผมกลั้นใจพูด
“...ยังไม่มีอารมณ์...” มันพูดหน้าทะเล้นเหมือนเดิม ผมงง มันมาไม้ไหนวะ
“...ตามใจ...จะพูดตอนนี้หรือตอนไหน มันก็เป็นเรื่องเดิมใช่มั๊ย...” ผมเดินขึ้นห้องไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า รู้สึกตัวชา ๆ ยังไงก็ไม่รู้ นี่ขนาดเตรียมใจมาแล้ว คอยดูนะ กูจะไม่มีน้ำตาให้มึงอีก ผมสัญญากับตัวเองกลางสายน้ำจากฝักบัว แต่เอ๊ะ ทำไมมันมีน้ำอุ่น ๆ เค็ม ๆ ไหลเข้าปากด้วยวะ อย่าร้องไห้นะเอ้ ตรงนี้ยังได้อยู่ แต่ต่อหน้ามัน มึงอย่าร้องนะ ผมบอกตัวเองซ้ำไปซ้ำมา
.....ออกมาจากห้องน้ำต้องตกใจอีกครั้ง มันมานั่งมองผมอยู่ปลายเตียง ไม่ได้เจอกันนาน มันยังดูดีในชุดที่ผมเคยบอกว่าผมชอบคนใส่เสื้อกล้ามสีขาว กับกางเกงขาก๊วย เหมือนชุดนอน ดูเป็นธรรมชาติของคนอยู่บ้านดี ผมไม่หลบตา จ้องมันกลับบ้าง เป็นทำนองว่า มองกูทำไม...วุธถอนใจเฮือกใหญ่ แล้วลมตัวลงนอน ยกแขนขึ้นมาหนุนหัว เสื้อตัวเล็ก ๆ เลิกขึ้นเห็นหน้าท้องแบนราบ มีขนอ่อน ๆ ลามเข้าไปในขอบกางเกงที่ผูกไว้หลวม ๆ เลือดกำดาวแทบกระฉูด คิดในใจว่า อย่าทำให้กูชอบมึงมากกว่านี้ได้มั๊ย แล้วกูจะลืมมึงยังไงเนี่ย.....
“...เสร็จยัง...” วุธนอนมองเพดานพูดกับผม
“...อะไรเสร็จ...” ผมกวน
“...แต่งตัว แต่งหน้าเสร็จยัง...”
“...ไอ้บ้า...” ผมเขวี้ยงกระป๋องแป้งเด็กอันเล็กที่ใกล้หมดไปลงตรงเป้ามันเต็ม ๆ
“...โอ๊ย...โยนแม่นชิบเป๋งเลยว่ะ...” มันลุกขึ้นนั่งคลำเป้าทำหน้าเจ็บ
“...เวอร์ ๆ กระป๋องพลาสติกแค่นี้ไม่เจ็บขนาดนั้นหรอก...” ผมมองมันผ่านกระจก
“...ถ้าใช้ไม่ได้ขึ้นมาทำไงอ่ะ...”
“...ก็ดีสิ...” มันก้าวยาว ๆ มาไม่ถึงสามก้าวก็ถึงตัวผม ลุกหนีไม่ทันแล้ว
“...ยังไม่เคยลองใช้เลย เสียดายนะเอ้...” มันโอบผมไว้แน่น วุธจูเนียร์ชักเริ่มมีการขยายตัวดันหลังผม
“...ปล่อย...” ผมหลุดหัวเราะออกมา
“...หายงอนแล้วเหรอ...”
“...ไม่ได้งอนนี่...” มึงนั่นแหละงอน ผมคิดในใจ
“...ไปขี่รถเล่นกัน...” วุธกระซิบข้างหูผม เล่นเอาขนลุกเลยครับ
“...เดี๋ยวหวีผมก่อน...” ผมเทน้ำมันหอมใส่แปรง วุธคว้ามาหวีให้เบา ๆ
“...มิน่าล่ะ ผมถึงได้ห๊อม..หอม...” มันหวีไปพูดไป
“...เราว่าจะตัดผมตอนเปิดเทอมหล่ะ...” ผมชวนคุย
“...อย่าตัดเลย เสียดาย...”
“...มันยาวเกินไปแล้วนะ...”
“...อย่างนี้น่ะดีแล้ว เราชอบ...” แค่นั้นแหละ ล้มเลิกความคิดจะตัดผมเลย จริง ๆ แล้วโดนพ่อกดดันให้ตัดหรอก ผมตั้งใจจะไว้ให้ยาวที่สุดเท่าที่จะไว้ได้ เป็นครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะตอนทำงานยังไงก็ต้องตัดอยู่แล้ว

======================================
คำเตือน เก็บเกี่ยวความหอมหวานของชีวิตให้มากกกก เพราะมันจะไม่อยู่กับเรานานนักหรอกกกกกกก

a22a

  • บุคคลทั่วไป
ดีใจจังคุณเอ้เริ่มหวานกันแล้ว รักกันนานๆนะคับ อย่างอนกันบ่อยนาคับ

anston

  • บุคคลทั่วไป
กลับมาหวานกันอีกแย้ว..ชอบชอบ.. :m3:
วุธก็ยอมๆเอ้บ้างละกัน..
ส่วนเอ้ก็อารมณ์หญิง :a14:ให้มันน้อยๆหน่อยก็จะดี..
ความหวานจะได้อยู่ด้วยไปนานนนน..

stupidchild

  • บุคคลทั่วไป
แหมชอบ

แต่คำเตือนนั่น อ่านแร้วใจหวิวแทนอ่

papae

  • บุคคลทั่วไป
เห็นด้วยอ่ะ  คำเตือนแบบนี้ได้ยินแล้วใจฟ่อเลย สงกะสัยจะไม่กล้าหวานแล้วอ่ะ   

ทำไมหัวใจคนถึงต้องเปลี่ยนแปลงล่ะคะ ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงเลย

รักกันไปแบบนี้นานๆไม่ได้หรอคะ ไม่ทะเลาะกัน ไม่เลิกรักกันไม่ได้หรอคะ   :m17:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
สงสัยหลังจากนี้ คงฮือๆๆๆๆๆๆๆ

suregirl

  • บุคคลทั่วไป
เราว่าเอ้ มีทิฐิกับความรักมากเกินไป ปากแข็ง ไม่พูด ไม่อธิบายอะไรเลย ปล่อยให้วุธคิดเอง พอวุธงอนก็ไม่ง้อ เฮ้อ  :เฮ้อ:
เราเข้าข้างวุธอ่ะ เราว่าวุธทำดีที่สุดแล้ว เป็นคนง้อเอ้ทุกครั้ง  :m13:


ปล.อ่านคำเตือนแล้วใจไม่ดีเหมือนกัน ไม่อยากเศร้า  :sad2:

JaeTae

  • บุคคลทั่วไป



  ขอให้หวานกันงี้ไปนานๆ แต่ทะเลาะกันมากก็มะดีนะ :undecided:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7
 :impress:

กลับมาดีกันแระ

ดีกันให้มันนาน ๆ หน่อยได้ไหมเนี่ย

ขอบคุณครับที่มาต่อ รออ่านต่อไปนะ

 o15

papae

  • บุคคลทั่วไป
 :m5: :m5: :m5: :m5: :m5: :m5:


รักกัน รักกัน ไปนานๆๆๆๆๆๆ นะคะ


nartch

  • บุคคลทั่วไป
 :impress:
ดีใจแทนคุณเอ้และก็คุณ lanlan คน post จังเลยยยย... ที่มีเพื่อน ๆ ให้ความสนใจเรื่องนี้มากมาย :m4:
ช่วงนี้คุณ lanlan หายไปเลยยยย เห็นเรา post ให้ได้ ปล่อยเราตามยฐากรรมเลยนะ....
กลับมาช่วยข้อยหน่อยแนนนนนน   :m26:

เป็นตัวแทนขอบคุณเพื่อน ๆ ละกันครับบบบบบที่ติดตามกัน ถึงตอนนี้ใกล้จบภาคมหาลัยแล้วววว....
แต่ก่อนจะจบ....คง..... :a5:

ต่อไปถึงภาคการทำงาน ใครจะเป็นตัวจริงของเอ้กันแน่....ให้เพื่อน ๆ ติดตามกันต่อไป.... :give2:
อ่านนิยายจะทุกข์ จะสุขยังไง....ดูแลความรู้สึกตนเองนะครับบบบ...รักษาสุขภาพด้วยครับทุกคนนนน

ปล. สำหรับขาหื่น...รอบทส่งท้ายนะครับ บอกแค่เนี้ยยยยยย หุหุหุ..... :m10:
 :bye2:

papae

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณคุณnartch เหมือนกันจ้า  ขยันขันแข็งมั๊กมาก +1 ให้นะ     o13

มาต่อไวไวนะ    :impress:

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
เคยอ่านเรื่องนี้แล้วแต่ก็ยังอ่านไม่จบเพราะว่าหาไม่เจอ...
ในบอร์ดปาล์มมันหายากมากกกกก  ตัดใจไปแล้วคิดว่าจะไม่ได้อ่านแล้วซะอีก... :m17:
เรื่องนี้อ่านกี่ครั้งก็อินอ่ะ...อือๆ

ดีใจที่มีคนเอามาโพสต์จัง...  :m4:
ขอบคุณนะคะ...
แล้วจะแวะมาอ่านบ่อยๆ...อิอิ :m1:

nartch

  • บุคคลทั่วไป
16 Love takes time (Part III)

.....เย็นนั้น เราสองคนขี่รถเล่นกัน เข้าซอยเล็กซอยน้อย เป็นทางลัดไปได้เรื่อย ๆ ตลอด ผมในฐานะผู้คุ้นเคยกับบริเวณนี้ เป็นคนขี่แบบไร้จุดหมาย วุธนั่งซ้อนเอาคางเกยไหล่ หาเรื่องคุยเป็นระยะ....เวลาผ่านช่วงไม่มีคน มันมักจะเอามือมาโอบเอวผม บางทีก็กอดซะแน่น หายใจแทบไม่ออก เราดูเหมือนจะรักกันนะครับ แต่ในความรู้สึกตอนนั้นมันไม่ใช่เลย ผมมีลางสังหรณ์ว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้นไม่ช้านี้ วุธพูดจาแปลก ๆ และเอาใจผมเกินความจำเป็นไปนิดนึง....อึดอัดมาก ทนไม่ไหวแล้ว....ผมตัดสินใจขี่รถพามันไปที่แห่งหนึ่งเป็นท้ายซอยตัน มีคลองเล็ก ๆ สุดถนน สองข้างทางมีต้นไม้ใหญ่หลายสิบต้น ผมไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว เมื่อก่อนตอนเด็ก ๆ มาแทบทุกวัน เล่นซ่อนหา ทำบ้านเล็ก ๆ ใต้ต้นไม้ เล่นขายของ ถ้าวันไหนเด็กผู้ชายเยอะหน่อยก็เล่นตำรวจจับผู้ร้าย....ทุกอย่างยังเหมือนเดิม เย็นขนาดนี้ ไม่มีเด็กวิ่งเล่น เงียบสงบ ได้ยินแต่เสียงนกร้องเบา ๆ บนต้นไม้.....
“...พักก่อน...” ผมจอดมอไซค์ เอาขาตั้งลง เดินนำมันไปนั่งบนท่อนไม้ใหญ่ ที่คนแถวนั้นเอามาวางไว้เป็นที่นั่งเล่น
“...เอ้กล้าขี่รถมาแถวนี้คนเดียวปะ...” วุธมองรอบ ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมพามันมา

“...ทำไมจะไม่กล้า แต่ก่อนก็ขี่จักรยานมาเล่นแถวนี้ประจำ...” ผมพูดจบก็เงียบ กำลังคิดหาทางให้ไอ้วุธเปิดปากพูดเรื่องที่ค้างคาอยู่
“...เอ้...” “...วุธ...” เสือกพูดพร้อมกันอีก
“...เอ้พูดก่อนดิ...” มันพยักเพยิดให้ผมพูด
“...ได้...วุธมีอะไรจะพูดปะ...” มันอมยิ้ม ผมไม่ขำด้วย มันถึงได้ทำหน้าจริงจัง
“...เปิดเทอมหน้า...เราจะไปอยู่หอแถวมหาลัย...” ผมอึ้ง แต่ยังทำหน้าเฉย
“...พ่อกับแม่ยอมเหรอ...”
“...ก็เค้าไม่ให้รถไปใช้ เราก็เลยบอกเค้าว่าจะอยู่หอ...” มันดื้อเป็นเรื่องปกติ
“...แล้วไง...” ผมถามต่อ มันเงียบซักพัก
“...เปิดเทอม ต่างคนก็คงต่างยุ่งเนอะ ไหนจะเรื่องเรียน เรื่องรับน้อง เราอาจจะไม่มีเวลาให้กันเหมือนเดิม อีกอย่างหอที่เราไปอยู่มันไม่มีโทรศัพท์สายตรงด้วยอ่ะ.....แต่...เอ่อ....ยังไงเราก็จะโทรหาทุกวันนะ...” มันพยายามพูดเป็นเรื่องเล็ก ผมก็พยายามทำเป็นไม่สนใจ
“...ไม่ต้องลำบากหรอก...เราจะมีเวลารับหรือเปล่ายังไม่รู้เลย...” มันอึ้งกับท่าทางเฉย ๆ ของผม จะให้ทำยังไงล่ะ ตีโพยตีพาย ร้องห่มร้องไห้เหรอ ไม่มีทาง แถมเรื่องที่มันอ้างก็ดันกลายเป็นเรื่องเดียวกับผมที่ไม่มีเวลาให้มันอีก
“...เสาร์อาทิตย์ เรามานอนบ้านเอ้นะ...” มันยังทำเป็นอารมณ์ดี
“...กลับไปนอนบ้านเหอะ...ให้พ่อแม่เห็นหน้าบ้าง...” ผมกลั้นใจพูด
“...งั้นกินข้าวด้วยกันก็ได้...”
“...ถ้าว่างนะ...” ผมได้กลิ่นความห่างเหินแล้ว ไม่เห็นหน้า ไม่รู้ความเคลื่อนไหวของมัน จะเป็นอีกวิธีที่ทำให้ผมลืมมันเร็วขึ้น
“...อืม...ถ้าว่าง...” มันทวนคำพูดผม แล้วต่างคนต่างเงียบไปพักใหญ่
“...คิดว่าไปอยู่หอนี่จะทำให้การเรียนดีขึ้นเหรอ...” ผมหันไปถามมัน
“...ไม่รู้สิ...แต่ก็น่าจะดีกว่าต้องโหนรถเมล์ไปกลับวันละเกือบสี่ชั่วโมงนะ...” จริงของมัน... ถ้าเป็นผมก็คงไม่ไหวเหมือนกัน
“...จะไปเมื่อไหร่อ่ะ...” ผมถามเสียงเบา
“...ต้นเดือนนี้เลย เปิดเทอมพอดี ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้ว...” ผมใจหาย อีก 2-3 วันเอง บอกตรง ๆ ผมไม่อยากให้มันไปเลย แค่นี้เราก็ห่างกัน ไม่ค่อยได้เจอกัน แล้วถ้ามันอยู่โน่น จะเป็นยังไงมั่งก็ไม่รู้ ไว้ใจน่ะ มันก็ไว้ใจอยู่ แต่มันมีประวัติไง มันก็ยังเป็นผู้ชายนะครับ
“...ยังไงก็ดูแลตัวเองดี ๆ ล่ะ...” ผมไม่รู้จะพูดอะไรที่ดีกว่านี้แล้ว
“...เอ้ก็เหมือนกัน...อย่าซนนะ...แล้วคนชื่อโมทย์นี่ใครอ่ะ...” อ้าวทำไมวกกลับมาเรื่องนี้วะ
“...เพื่อน...” มันจ้องหน้าผมขอคำตอบที่ยาวกว่านี้ “...เพื่อนที่มหาลัยไง ตอนไปดูดาวมันก็ไปด้วย จำไม่ได้เหรอ...” วุธนั่งคิด คิ้วชนกันซักพัก
“...อ๋อ...ไอ้หน้าขาวที่มากับคนที่ขับเบนซ์ใช่มั๊ย...” ไอ้วุธมันหมายถึงอีแอ๊บ
“...เออ นั่นแหละ...” ผมโล่งใจที่มันจำได้
“...แล้วโทรไปหาเค้ามั่งปะ...”
“...โทร...” ผมตอบตามความจริง วุธชะงัก “...ก็...ยืมมือถือเพื่อนที่คณะโทรไปอ่ะ ได้คุยกันตั้งหลายคน...” ที่จริงแล้วก็มือถือผมนี่แหละ แต่ให้พวกอีเต็มคุยด้วยนะ
“...เฮ้อ...แล้วไป...” มันถอนหายใจ แล้วเราก็เงียบกันอีกพักใหญ่ ต่างคนต่างมองหน้ากันบ่อย ๆ แต่ไม่มีการพูดจา
“...วุธ...กลับเหอะ...” ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว คงเหลือแต่แสงสีส้มไกล ๆ ผมลุกขึ้นเดินไปที่รถ
“…..เราขี่เอง มืดแล้ว อันตราย.....”
“...นี่คุณวุธ...ชั้นเป็นคนสอนคุณขี่นะ...” ผมพูดขำ ๆ
“...เออน่า...ให้ลูกศิษย์ขี่ อาจารย์ซ้อนเถอะ...”
.....วุธมันจำทางไม่ได้หรอกครับ มืดซะขนาดนั้น ขี่วนไปวนมา อ้อยอิ่ง ผมอยากหยุดเวลาไว้ให้นาน ๆ อยากกอดมันอย่างนี้ อยากได้กลิ่นหอม ๆ จากตัวมัน อยากเอาคางวางไว้บนไหล่เนียน ๆ ของมันต่อไป ไม่รู้ว่าจะได้มีเวลาอย่างนี้อีกมั๊ย ไม่อยากให้ถึงบ้านเลย..... ขากลับ ต่างจากขามาอย่างสิ้นเชิง ไม่มีคำพูดจา ไม่มีการเร่งรีบ วุธขี่รถลากเกียร์ 2-3 ตลอด โชคดีแถวนั้นไม่มีหมา ไม่งั้นโดนวิ่งไล่แน่ และในที่สุดมันก็คลำหาทางกลับได้ โดยที่ผมไม่ต้องบอกมันซักนิด.....
.....เราแวะตลาดแถวบ้าน ซื้อของมากินกันอย่างเคย ต่างคนต่างพยายามทำตัวให้สดใส เหมือนไม่มีเรื่องมีราวอะไรกันมาก่อน ทั้ง ๆ ที่ในใจผมตอนนั้นมันแทบจะทนไม่ไหวแล้ว เรากำลังจะห่างกันด้วยความจำเป็น อนาคตเราจะเป็นยังไงต่อไป ไม่มีทางเหมือนเดิมแน่ ต่อให้ปากจะบอกว่ารักกันแค่ไหนก็เถอะ.....
.....ขอเก็บช่วงเวลาดี ๆ นี้ไว้ เพราะนี่อาจจะเป็นมื้อเย็นมื้อสุดท้ายระหว่างผมกับวุธก็ได้ กับข้าวของกินทุกอย่างบนโต๊ะล้วนแล้วแต่เป็นของที่เราสองคนชอบ แต่วันนี้ไม่อร่อยเลย ทรมานชิบเป๋ง กว่าจะกลืนลงคอได้แต่ละคำ น้ำตาคลอขอบตา พร้อมที่จะหยดทุกเมื่อ.....เรานั่งกินกันเงียบ ๆ ต่างคนต่างมีเรื่องให้คิด.....และยิ่งเราจะพยายามทำทุกอย่างให้เป็นเหมือนปกติ...มันกลับยิ่งรู้สึกฝืนจนน่าอึดอัด และสิ่งที่ผมกลัวที่สุดในตอนนั้นก็คือ.....
“...เอ้...คืนนี้เราขอนอนด้วยนะ...” วุธพูดขณะช่วยผมล้างจาน
“...อย่าเลย...”
“...โกรธเหรอ...” มันเขยิบเข้ามาใกล้อีก
“...โกรธเรื่องอะไร...”
“...ก็เรื่องเราไปอยู่หออ่ะ...”
“...ทำไมต้องโกรธล่ะ...จะนอนไหนมันก็ไม่เกี่ยวกับเรา...อนาคตของคุณเอง...ถ้าคิดดีแล้วก็ทำเลยสิ...” ผมแอบประชด โกรธนะ แต่โกรธตัวองมากกว่า ที่ไม่ไว้ใจมัน ไม่ไว้ใจตัวเอง กลัวห้ามใจตัวเองไม่ได้ กลัวจะร้องไห้ให้มันเห็น
“...ไหนบอกไม่โกรธไง...นี่อ่ะ หน้าย่นแล้ว...” มันดึงแก้มทั้งสองข้างของผมออก
“...โอ๊ย...เจ็บ...” ผมร้องเบา ๆ ยื่นมือไปดึงหน้ามันบ้าง แต่ทีนี้มันดันดึงหน้าผมเข้าไปหาหน้ามัน จนปากแทบจะชนกัน ผมขยับตัวหนี ตอนนี้ในครัวเงียบมาก เงียบจนได้ยินเสียงน้องผมคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องข้าง ๆ
“...ขอโทษ...เรากลับเลยดีกว่า...” วุธช่วยผมหยิบจานขึ้นซ้อน ๆ กันแล้ววางผึ่งลมไว้
“...เดี๋ยวไปส่ง...” ผมวิ่งไปหากุญแจมอไซค์
“...ไม่เป็นไร...” วุธฝืนยิ้มให้ผม มันเป็นหน้าที่ของผมไปแล้วเรื่องขี่รถออกไปส่งมันปากซอยทุกครั้งที่มันจะกลับบ้าน ถ้าไม่ได้เอารถมา แต่นี่มันผิดปกตินะ
“...รอก่อน...” ผมตะโกนไปด้วย หากุญแจรถไปด้วย ไอ้วุธมันวางไว้ไหนวะ....ไม่ทันแล้ว มันปิดประตูเบา ๆ เดินออกจากรั้วบ้าน ผมวิ่งเท้าเปล่าออกไปยืนอึ้งอยู่กลางถนน มองร่างสูง ๆ เดินก้มหน้าก้มตาไปตามทาง ปากก็หนักเหลือเกิน จะเรียกก็ไม่กล้า.....
.....ผมเดินกลับเข้ามานั่งจ๋องอยู่คนเดียวบนชิงช้าหน้าบ้าน น้องหมาล้มตัวลงนอนประจบอยู่ไม่ห่าง ดอกไม้ที่ปลูกไว้ข้างรั้วส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ มาตามลม น้ำตาไหลลงมาแบบไม่รู้ตัว เกลียดตัวเองเหลือเกิน ทำไมปากแข็งอย่างนี้ ทำไมปากกับใจไม่ตรงกัน ทำไมถึงมีทิฐิกับคนที่รักที่สุดได้ลงคอ ถ้าเสียมันไปอีกครั้งมึงจะทำยังไง...หา...อีเอ้...ทำไมมึงโง่อย่างนี้ ผมด่าตัวเอง.....
.....หลังจากนั่งร้องไห้ได้พักใหญ่ เริ่มมีสติ สูดลมหายใจลึก ๆ คิดถึงเหตุและผล คิดถึงความจริงที่เราได้เลือกทำลงไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ด้วย อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เราเคยคุยกับวุธแล้วนี่นา ว่าต่อไปเราจะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล เมื่อกี้มึงอึดอัดแค่ไหนล่ะ เมื่อกี้มึงรู้ตัวตลอดใช่มั๊ยว่าทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป มึงอยากฝืนทุกอย่างให้มันเป็นอย่างที่ใจมึงคิดเหรอ อย่าให้เรื่องความรักเป็นเรื่องของการอดทนเลย.....เวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ใจไอ้วุธได้ แต่มึงก็ต้องทำใจไว้ด้วย ชายจริงหญิงแท้ คบกันมาเป็นสิบปียังเลิกกันได้เลย แล้วมึงยังจะเชื่อว่ารักแท้มีจริงในหมู่เกย์อยู่อีกเหรอ....ผมปลอบใจตัวเอง.....
.....เวลาหนึ่งเดือนกว่า ๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว การรับน้องทั้งที่มหาวิทยาลัย และต่างจังหวัดเป็นไปได้ดีเกินคาด คุ้มค่าเหลือเกินกับการที่พวกเราทุกคนทุ่มเทเวลา แรงกาย แรงใจ สนุกมาก ทั้งสนุกทั้งเหนื่อย ยุ่งจนสามารถทำให้ผมลืมเรื่องไอ้วุธไปเลย ต่างคนต่างยุ่งอ่ะครับ มันก็มีกิจกรรม ผมก็มีเรื่องให้ต้องทำ แรก ๆ คุยกันบ้างตอนดึก ถ้าเป็นช่วงกลางวันก็ใช้วิธีส่งเพจเล่าเรื่องราว รายงานตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ ไม่ลืมหยอดคำหวาน ๆ ให้กำลังใจ รักอย่างโน่น คิดถึงอย่างนี้.....
.....ผมเองก็มีความผิด เราต้องห่างกันขนาดนี้ ผมก็ยังไม่ยอมบอกเบอร์มือถือของผม ไม่ยอมบอกมันว่า ตอนนี้เพจเบอร์ที่มันส่งมาหาผมเกือบทุกวัน เป็นเพจที่โดนจูนใช้กันทั้งกลุ่มเบอร์เดียว ประหยัดดี หารกันเดือนละไม่กี่บาทเอง ไว้ใจเพื่อนไงครับ อีกอย่างกลุ่มเราไม่มีอะไรต้องปิดบังกันด้วย.....
.....วันอาทิตย์ที่สองที่มันไปอยู่หอ เรามีโอกาสเจอกันอีกครั้ง ที่บ้านผม แต่ก็แค่แป๊บเดียว มันแค่มาทักทายแล้วต้องรีบกลับหอ ส่วนผมก็เตรียมตัวออกไปกินข้าวกับพี่น้องสายรหัส เพื่อเป็นการต้อนรับน้องใหม่ในสาย.....
.....และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน ผมต้องออกต่างจังหวัดไปรับน้อง ไม่สิ ต้องไปเตรียมการไว้ก่อน 2 วันก่อนที่รุ่นน้องจะมา วุธเพจมาหาผม แต่ผมไม่มีปัญญาจะออกไปหาโทรศัพท์สาธารณะเพื่อเพจกลับ จะให้ใช้โทรศัพท์ของตัวเองเหรอ สัญญาณไม่มีครับ โทรเข้าไม่ได้ โทรออกก็ไม่ได้ เหมือนพกสากกะเบือ.....ขับรถออกไปโทรสิ เอารถมานี่นา แต่เปรอะโคลนไปทั้งตัวขนาดนี้ จะให้อาบน้ำ ทิ้งเพื่อนออกไปเพจหาผู้ชายเหรอ ยังอ่ะ มืด ๆ ค่อยโทรก็ได้ ยังไงเราก็ต้องออกไปเที่ยวอยู่แล้วนี่หว่า....
.....ลืมครับ...ลืมสนิทเลย สำหรับคืนแรก ไม่เป็นไร คืนที่สองก็ได้ วุธกระหน่ำเพจด้วยความเป็นห่วง ผมก็ยังไม่เพจกลับ เพื่อน ๆ ที่ได้อ่านเพจเตือนผมเรื่องนี้ ให้หาทางเพจกลับเร็วที่สุด ไม่งั้นผมต้องเสียวุธไปจริง ๆ แน่นอน....เพราะข้อความล่าสุดแสดงอารมณ์ของคนส่งได้อย่างชัดเจน ผมตาลีตาเหลือกดิ้นรนออกไปหาโทรศัพท์สาธารณะที่หายากมากในต่างจังหวัด ไอ้ทีมีก็ใช้ไม่ได้ กินเหรียญบ้าง เจ๊งบ้าง... ต้องขับรถรอบเมืองหาสัญญาณมือถือจนเจอ.....แต่ไม่รู้จะเพจกลับไปว่ายังไง เอาสั้น ๆ อย่างนี้แหละ “...รับน้องอยู่ต่างจังหวัด ไม่ต้องเป็นห่วง...” กำลังจะหยอดข้อความหวาน ๆ ส่งท้าย สัญญาณหายอีก ผมโมโหมาก ไม่โทรแม่งแล้ว แค่นี้มันก็น่าจะรู้ว่าผมยังสบายดีอยู่ และผมก็คิดเอาเองว่ามันก็สบายดีเช่นกัน.....
.....หลังจากผมกลับกรุงเทพฯ ข้อความที่ส่งมาจากวุธก็ค่อย ๆ ลดลง จากเมื่อก่อนวันละ 4-5 ข้อความ กลางคืนก็โทรเข้าบ้านบ้าง...ตอนนี้ส่งมาวันเว้นวัน บางทีก็สองสามวันส่งที.....ผมเองก็ส่งกลับแทบทุกครั้งที่มีเวลา.....ส่วนเรื่องโทรศัพท์ ไม่มีเลยครับ หรืออาจจะโทรมา แต่สายไม่ว่าง....แต่ไม่เป็นไรครับ ต่อไปมันก็จะโทรได้ตลอดแล้ว เพราะผมกำลังจะขอเบอร์บ้านใหม่ เป็นบริษัทโทรศัพท์ที่เพิ่งได้สัมปทานในตอนนั้น ออกมาแข่งกับองค์การฯ ของใหม่อันนี้ดีกว่าด้วย เพราะมีบริการรับสายเรียกซ้อนเป็นจุดขาย.....อีกอย่างการรับน้องก็จะจบลงพอดี ผมจะได้กลับไปใช้ชีวิตนักศึกษาปกติ เรียนเป็นหลัก เวลาที่เหลือกิน กับเที่ยว ยังไม่ต้องทำงาน อันนี้พ่อผมกำชับบ่อยมาก กลัวผมเรียนไม่จบ ถ้าจับปลาสองมือ.....
“...เฮ้ย พวกเราจะไปทำรายงานที่ไหนกันดีวะ...” อีนันถามความเห็นเพื่อส่งชื่อมหาวิทยาลัยที่เราเลือกทำรายงาน
“...ไป XXXXX ดิ...” อีเต็มยังคลั่งไข่โมทย์อยู่ พูดชื่อมหาลัยมันโดยไม่ต้องคิดเลย
“...มีคนเอาไปแล้ว...”
“...XXXXX มั๊ย...” ผมเสนอชื่อมหาลัยไอ้วุธบ้าง ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว
“...อีเอ้...มึงจะไปหาใครกันแน่ อีห่า ไกลชิบหาย...” อีกุ้งกัดขำ ๆ
“...แต่กูว่าดีจะตาย...ผู้ชายตั้งครึ่งค่อนมหาลัย...” อีเต็มพูดตาเป็นประกาย
“...อีเวร...ไปทำรายงานนะมึง ไม่ใช่ให้ไปหาผู้ชาย...” อีนันเบรก
“...เออ...เอาเหอะ...จะไปไหนก็ไป รีบเขียนเข้าดิ เดี๋ยวมีคนไปที่เดียวกันหรอก...” อีกุ้งเร่ง
....ในที่สุดพวกผมก็ส่งชื่อมหาวิทยาลัยของไอ้วุธเพื่อทำรายงานส่งในวิชาการใช้ห้องสมุด...อาจารย์สั่งให้พวกเราไปดูงานที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยอื่นกลุ่มละ 1 แห่ง เอามาทำรายงานบรรยายให้ละเอียด การจัดวางหนังสือ การค้นหา ระบบคอมพิวเตอร์สารสนเทศ.....ตอนแรกกลุ่มผมนัดกันจะไปวันพฤหัส แต่ผมรู้ตารางเรียนไอ้วุธว่าวันพฤหัสมันเรียนแค่ครึ่งวันเช้า ส่วนผมไปตอนบ่าย ไม่เจอมันแน่ ตกลงเปลี่ยนเป็นวันศุกร์นี้แทน ดีเหมือนกัน พี่ก้องผัวอีกุ้งจะได้ไปด้วย ฮิ ฮิ ไม่เปลืองน้ำมันรถเรา.....
.....กะจะเซอร์ไพร้ส์ไอ้วุธซักหน่อย หายไปนานเลยนี่นา ตอนมันไปอยู่ใหม่ ๆ ชวนผมให้ไปดูหอมันบ่อยมาก ได้โอกาสแล้วหล่ะ.....วันศุกร์นั้นทุกคนในกลุ่มผมดูดีกันเป็นพิเศษ ด้วยความที่มหาวิทยาลัยที่วุธเรียนอยู่ เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนมีชื่อเสียงมากเรื่องของวิศวกรรมศาสตร์ และยังมีคณะอื่นอีกหลายคณะ รวมทั้งคณะยอดฮิตอย่างบริหารธุรกิจ อีเต็มถึงกับสรุปเอาเองว่า สัดส่วนผู้ชาย 60 กะเทยและอีแอบ 20 ทอมกับผู้หญิงอีกอย่างละ 10 ครบร้อยพอดี.....
.....ท่าทางจะจริงของอีเต็มมัน เข้ามาในรั้วมหาลัยแค่ไม่กี่เมตร ผมมองผู้ชายที่เดินกันขวักไขว่อย่างละลานตา หล่อ ๆ เถื่อน ๆ ทั้งนั้น ดีนะที่ไม่ได้ขับรถมาเอง ไม่งั้นคงไม่มีสมาธิเพราะมัวแต่มองเป้าผู้ชายแน่ ๆ.....หลังจากหาที่จอดรถได้ เราก็เริ่มทำงานกันให้เสร็จก่อน แล้วค่อยแรด...เป็นการหาข้อมูลทำรายงานที่ไม่น่าเบื่อเลยซักนิด พวกเรากระจัดกระจายแยกย้ายไปจดบันทึกเรื่องราวที่ได้รับแบ่งงานกันมาโดยอีนันเจ้าเก่า เรื่องเรียนนี่ต้องยกให้มันเป็นผู้นำ...ดูอีเต็มจะมีความสุขมากกว่าเพื่อน ทำทีเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว หานักศึกษาผู้ชายเจ้าบ้านหล่อ ๆ มาช่วยทำรายงาน หูตามันเงี้ยแพรวพราวเชียว....ส่วนอีกุ้งก็บ่นกระปอดกระแปด ไม่น่าเอาพี่ก้องมาด้วยเลย มีคนมองมันตั้งหลายคน แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะพี่ก้องไม่ยอมให้อีกุ้งคลาดสายตา.....อีนันก็เก๊กหน้าขรึม แต่พวกเราก็แอบเห็นมันมองผู้ชายหล่อ ๆ จนเหลียวหลัง.....ส่วนผมเหรอ ได้แต่กวาดตาไปเรื่อย ๆ เผื่อจะเจอไอ้วุธ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันคงไม่มานั่งในห้องสมุดหรอก มีบ้างที่เห็นคู่เกย์กำลังหยอกล้อกันอยู่ในมุมมืดของห้องสมุด และอีกหลายคู่นั่งอ่านหนังสือกันกระหนุงกระหนิง.....เห็นอย่างนี้แล้วอยากโอนหน่วยกิตมาเรียนที่นี่มั่งจัง.....
....ที่จริงรายงานแค่นี้มันไม่ควรใช้เวลานานถึง 3 ชั่วโมง ถ้าพวกเราไม่มัวแต่เล่นกันซะเป็นส่วนมาก....ท่าทางพวกเค้าจะเลิกเรียนกันแล้ว เริ่มมีนักศึกษาหน้าใหม่ ๆ เข้ามาในห้องสมุดในขณะที่พวกผมกำลังเตรียมตัวเก็บข้าวของจะกลับบ้าน.....อีเต็มยังคงแรดได้ใจเหมือนเดิม วันนี้มันได้เบอร์ผู้ชายมาหลายคนเลย...จริง ๆ แล้วก็ได้เบอร์กันทุกคนแหละ ขนาดผมยังไม่เว้น อันนี้ต้องยกความดีความชอบให้อีเต็มคนเดียว แค่พวกเราพูดเล่น ๆ ว่าชอบใครปิ๊งใคร ซักพัก อีนี่ก็วิ่งตูดสั่นไปขอเบอร์มาให้แล้ว ได้ทุกคนด้วย ผู้ชายแถวนี้ใจดีจัง.....
“...แวะหาอะไรกระแทกปากกันก่อนเถอะ...” อีเต็มระริกระรี้ขณะเดินกลับมาที่รถ
“...หา ค... ล่ะสิมึง...” อีกุ้งขมุบขมิบปากด่า
“...อีดอก...ใครจะมีติดตัวไว้ตลอดเวลาอย่างมึงล่ะ...” อีเต็มลอยหน้าลอยตาย้อน
“...พอ ๆ อีพวกนี้...อายเค้าบ้าง ไม่ใช่มหาลัยเรานะโว้ย...” อีนันปราม
“...หาอะไรกินกันก่อนมั๊ยพี่ก้อง...” ผมหาตัวช่วย จริง ๆ แล้วผมต้องการถ่วงเวลาให้อยู่ที่นี่นาน ๆ เผื่อจะเห็นไอ้วุธเดินผ่าน
“...อืม...พี่ก็อยากรู้ว่าโรงอาหารที่นี่มันจะเป็นยังไง...” ถ้าพี่ก้องไปทุกคนก็ต้องไป
“...เอาของไปเก็บก่อนล่ะกัน...” ถึงรถพอดี พวกเราโยนงานเข้าไปในรถแบบไม่กลัวเอกสารเสียหายเลย
“...ได้ไปดูผู้ชายต่อแล้ว...โอ๊ยมีความสุข What a wonderful day...” อีเต็มยิ้มระรื่น
.....จะว่าไปมหาลัยนี้ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย มีโรงอาหารอยู่สองที่ พวกเราเลือกโรงอาหารเก่า เพราะมันน่าจะมีอะไรเด็ด ๆ ให้ได้ลองกิน อยากรู้ว่าจะอร่อยสู้มหาลัยเราได้หรือเปล่า อีกอย่างตรงนั้นมันเป็นทางที่ทุกคนต้องเดินผ่านด้วยไงครับ.....อีเต็มเดินนำไปหาโต๊ะที่มองผู้คนได้ชัดที่สุด พวกเราเดินตามเข้าไปท่ามกลางสายตาของเจ้าถิ่นที่มองมาอย่างสงสัยว่าพวกเราเป็นใคร ก็อย่างที่บอกอ่ะครับ วันนี้พวกเราดูดีกันเป็นพิเศษ...และยิ่งมีคนมอง ผมก็ยิ่งทำหน้าเฉย ไม่สนใจกับสิ่งรอบข้าง ระหว่างทางผมแทบจะเดินชนหลังอีนันที่หยุดกึกโดยไม่มีการบอกกล่าวอะไรเลย.....
“...หยุดทำไมวะ...” ผมมองตามสายตาอีนันถึงได้รู้ว่าเพราะอะไร
“...อีแอ๊บ...” พวกผมพูดพร้อมกัน เสียงคงดังพอที่ทำให้เจ้าตัวเงยหน้าจากชามก๋วยเตี๋ยว แววตาวูบแรกที่เห็นมันคงตกใจที่เจอพวกผม แต่มันก็ไม่ทัก ทำหน้าเชิด ๆ หยิ่ง ๆ อย่างที่เคยทำเป็นปกติ....แต่หลังจากนั้นสิ่งที่ทำให้ผมตะลึง แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง หน้าชา ตัวร้อนวูบ ๆ ไปทั้งตัว ก็ผู้ชายที่นั่งกินข้าวอยู่ฝั่งตรงข้ามกับมันค่อย ๆ หันมามองพวกผม และตกตะลึงพอ ๆ กันคือ
“...วุธ...” อีกุ้งพูดเบา ๆ แล้วหันมามองผมสีหน้าเป็นกังวล...ผมหันไปยิ้มให้มันนิดนึงเป็นทำนองว่ากูยังโอเคอยู่
“...อ้าว...วุธ...เป็นไงมั่ง...ไม่ได้เจอตั้งนาน...” ผมเริ่มต้นทักทายด้วยน้ำเสียงปกติ จงใจทักแต่ไอ้วุธคนเดียว
“...เอ้...มาทำอะไรที่นี่อ่ะ...” มันไม่ได้กวนนะครับ สีหน้ามันอยากรู้จริง ๆ
“...มาตามแฟนเหรอ...” อีแอ๊บเอามือเท้าคางถามผม...ได้ยินเสียงอีเต็มพูดลอย ๆ “...เสือก...” อีแอ๊บหันขวับ
“...มาทำรายงาน...แฟนเราไม่ได้เรียนที่นี่ซักหน่อย...” ผมทำหน้าใสซื่อตอบมัน แต่ใจผมเต้นโครมครามด้วยความโกรธ ไอ้วุธมองหน้าผมเหวอ ๆ
“...ไปกินข้าวกันเถอะ...” อีนันดึงมือผมให้เดินออกไปจากโรงอาหารนี้ ผมกระตุกมือมันเบา ๆ ให้เดินตามผมมาดีกว่า ผมเลือกที่นั่งชนิดประจันหน้ากับพวกมันสองคน.... หมดแล้ว ความไว้ใจ ความรักที่มีให้ ดีนะที่ยังไม่เต็มร้อยกับมัน เจ็บนะครับ แต่ผมไม่มีทางให้อีแอ็บเห็นความอ่อนแอของผมแน่นอน
“...เอ้...มึงกินอะไรอ่ะ...” อีเต็มถามผมเบา ๆ
“...ตำไทยใส่ปู เผ็ดสลบ...คอหมูย่าง...ลาบ...แล้วก็...” ผมกำลังจะสั่งต่อแต่อีกุ้งเบรกไว้ก่อน
“...อีห่า...ปอบลงเหรอมึง...”
“...ฉลองความเป็นโสดโว้ย...” ผมหัวเราะอยู่คนเดียว แต่ทุกคนหน้าเจื่อน
“...อีแอ๊บมันแรงดีจริง ๆ เลยว่ะ...” พวกมันมองผมแบบสงสาร ทำให้ผมเกิดอาการฮึด
“...เฮ้ย...อีแอ๊บมันไม่ได้แย่งไอ้วุธไปจากกูนะโว้ย...กูเลิกกับมันตั้งนานแล้ว...เห็นมั๊ยล่ะ ไอ้วุธมันไม่ได้เพจมาหากูเลย...” ผมพูดโกหกพวกมันหน้าตาเฉย ไม่ยอมเสียฟอร์มหรอก
“...มันเดินมานี่แล้ว...พี่ก้องไปสั่งของกินให้หน่อยดิ...” อีกุ้งอ้อน ไม่ยอมลุกไปเองเมื่อเห็นไอ้วุธเดินตรงมาทางโต๊ะผม พี่ก้องเองก็ดีจริง ๆ ลุกขึ้นไปไม่บ่นซักคำ....ผมมองหน้าไอ้วุธด้วยสายตาว่างเปล่า และเมื่อมันจะพูด ผมก็ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาไอ้โมทย์ซะเลย เป็นการปิดโอกาสไม่ให้มันได้คุยกับผม แต่ไม่รู้ว่าทำไมต้องโทรหาโมทย์เหมือนกัน....ไอ้วุธได้แต่ยืนอ้าปากค้าง
“...ฮัลโหล...โมทย์...ทำอะไรอยู่...อ๋อ...อืม...เราเพิ่งทำรายงานเสร็จ แวะกินอะไรนิดนึงก่อน เดี๋ยวก็กลับแล้ว............................” ผมพูดไปยิ้มไป หาเรื่องคุยไม่สนใจไอ้วุธที่ยืนรอผมวางสาย ซักพักอีแอ๊บก็เดินมายืนข้าง ๆ ดูเหมือนมันจะจงใจให้ไหล่ชนกันด้วยซ้ำ
“...เออ...มีคนจะคุยด้วยอ่ะ...” ผมพูดกับโมทย์แล้วยื่นโทรศัพท์ให้อีแอ๊บ มันรับไปอย่างงง ๆ
“...ฮัลโหล...” มันพูดได้แค่นี้ พอได้ยินเสียงปลายสาย สีหน้ามันก็เปลี่ยนไป ยื่นโทรศัพท์คืนผมแทบจะโยนให้
“...โอเค....เดี๋ยวเรากินข้าวก่อน แค่นี้นะโมทย์ ว่าง ๆ โทรไปใหม่ Take Care…Bye...” ผมวางสายยัดโทรศัพท์เก็บที่เดิม วุธมองตามคิ้วขมวด คงรู้แล้วหล่ะว่าโทรศัพท์เครื่องนั้นเป็นของผมแน่ ๆ
“...มีเบอร์โมทย์ได้ยังไง...” อีแอ๊บกระแทกเสียงถามผม

“...โมทย์ให้...ทำไมเหรอ...” มันอึ้ง แล้วยักไหล่กวน ๆ
“...วุธไปกินข้าวต่อเหอะ...” ผมเบือนหน้าหนีจากภาพที่อีแอ๊บมันจูงมือไอ้วุธไปที่โต๊ะ
.....พวกมันสองคนก็ยังละเลียดกินข้าวกันอยู่ตรงหน้าผม....คงคิดว่าผมจะทนดูไม่ได้อ่ะดิ ไม่มีทางซะหรอก กูเจ็บเพราะผู้ชายคนนี้มาหลายครั้งแล้ว โดนอีกซักครั้งจะเป็นไรไป....แต่สิ่งที่ทำให้ผมเจ็บไม่ใช่ภาพตรงหน้าหรอกครับ แต่เป็นสายตาของมันที่มองมาทางผม มันยังเป็นเหมือนเดิม มันมองอย่างนี้ มันเหมือนกับว่ามันยังรักผมอยู่ แล้วทำไมมันไม่ลุกหนีอีแอ๊บมาล่ะ.....เราจ้องกันอยู่นาน ผมก็กินส้มตำไปด้วยเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต กินไม่ลงก็ต้องยัดเข้าไปอ่ะครับ เผ็ดชิบหาย เหงื่อแตกเหงื่อแตน ผมไม่สนใจกับสภาพตัวเองแล้วครับ ไม่ไหวจริง ๆ ผมหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อ แต่น้ำตามันก็ดันไหลออกมาด้วย ไม่มีใครสงสัย งั้นปล่อยให้มันไหลต่อไปละกัน อั้นไม่อยู่แล้ว ตอนนี้หูแดง ตาแดงไปหมด.....
....อาหารทุกอย่างบนโต๊ะหมดเกลี้ยง ผมทำทุกอย่างให้เพื่อน ๆ เห็นว่าผมไม่รู้สึกอะไรกับไอ้วุธเลย ยังสนุกสนานเฮฮา หัวเราะคิก ๆ คัก ๆ ชี้ให้อีพวกนั้นดูผู้ชายหล่อ ๆ ที่เดินผ่านไปผ่านมา ทรมานแค่ไหนกับการที่ต้องหัวเราะทั้งน้ำตา ใครไม่เคยก็ไม่รู้หรอกครับ....หันไปทางไอ้วุธอีกทีก็เห็นมันกำลังเดินออกจากโรงอาหารพร้อมอีแอ๊บ มันยังคงเหลียวหลังมองผมอยู่จนลับสายตา.....ไม่อยากคิดว่ามันจะไปไหน ไปทำอะไรกันต่อ.....ไอ้เรื่องเสียใจน่ะ ไม่เท่าไหร่หรอก ทำใจไว้แล้ว แต่เสียหน้านี่สิ ผมทนไม่ได้.....
.....ระหว่างทางกลับบ้าน แม้ว่าผมจะพยายามทำตัวเฮฮาแค่ไหน แต่ทุกคนก็รู้ว่าผมกำลังหน้าชื่นอกตรม ในมือยังมีผ้าเช็ดหน้าคอยซับเหงื่อ ตาแดงก่ำ มีน้ำตาปริ่มขอบตา พูดเสียงอู้อี้ สูดน้ำมูกเป็นระยะ.....ไม่มีใครกล้าแซวผม เพราะสิ่งเดียวที่ผมบ่งบอกว่าผมไม่ได้โอเคอย่างที่ท่าทางที่แสดงออกคือแววตา อย่างที่ไอ้วุธเคยบอกไว้ ตาของผมปกปิดความรู้สึกไม่ได้ ผมเจ็บแค่ไหนพวกมันรู้ดี ปากผมไม่พูด แต่ตาผมพูด.....
I had it all
But I let it slip away
Couldn't see I treated you wrong
Now I wander around
Feeling down and cold
Trying to believe that you're gone
Love takes time
To heal when you're hurting so much
Couldn't see that I was blind
To let you go
I can't escape the pain
Inside
'Cause love takes time
I don't wanna be here
I don't wanna be here alone
Losing my mind
From this hollow in my heart
Suddenly I'm so incomplete
Lord I'm needing you now
Tell me how to stop the rain
Tears are falling down endlessly

You might say that it's over
You might say that you don't care
You might say you don't miss me
You don't need me
But I know that you do
And I feel that you do
Inside

nartch

  • บุคคลทั่วไป
17 Breakdown, feel like nothing left to lose (Part I)

.....เย็นนั้นผมกับอีเต็มไปขลุกอยู่ห้องนันจนเกือบตี 3 ส่วนอีกุ้งโดนพี่ก้องลากกลับบ้านตอนทุ่มกว่า ๆ ผมนั่งกอดเข่าดูวิดีโอที่อีนันมันเช่ามา ตาน่ะมองตรงไปที่ทีวีหรอก แต่ใจมันไม่ได้จดจ่ออยู่กับเรื่องราวตรงหน้าเลย ผมนั่งเหม่อจนอีเต็มต้องคอยสะกิดชวนคุยบ่อย ๆ ตอนนั้นสภาพผมโทรมมาก หน้ามัน ผมที่เริ่มยาวประบ่าถูกรวบไว้หลวม ๆ ด้วยหนังยางรัดถุงข้าวแกง ตาบวมช้ำแดงก่ำ.....เพื่อนผมทุกคนไม่เคยเห็นผมในสภาพซังกะตายอย่างนี้ มันไม่กล้าถามเซ้าซี้อะไรมาก ยิ่งเห็นสายตาที่มองอย่างเป็นห่วงยิ่งทำให้ผมเกรงใจพวกมัน ในที่สุดผมก็ลาพวกมันขึ้นแท็กซี่หน้าอพาร์ทเม้นท์กลับบ้าน.....
.....ไม่ได้เอารถไปไงครับ.....ก่อนหน้านั้นคิดว่าจะกลับกับพี่ก้องหรือไม่ก็กลับพร้อมวุธ เพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ ไอ้วุธมันคงกลับบ้าน เราจะได้กลับด้วยกัน แพลนไว้ว่าจะไปหาอะไรกินกันก่อน แล้วค่อยพูดอ้อม ๆ ชวนมันมานอนบ้าน ตอนนี้มีเวลาว่างแล้วนี่.....กะจะบอกเบอร์ใหม่ทั้งเบอร์บ้านและเบอร์มือถือ ถึงตัวจะอยู่ไกลกัน แต่เราก็กำลังจะมีวิธีที่ทำให้ได้คุยกันมากขึ้น โปรโมชั่นตอนนั้นนาทีละ 3 บาท เป็นแบบเหมาจ่ายรายเดือน แพงเอาการอยู่ เรื่องค่าโทรศัพท์นี่พ่อให้ผมออกเอง เป็นเงินที่ต้องกันไว้จ่าย หลังจากหักค่ากินอยู่ ไม่เป็นไร เราก็โทรหาเพื่อนน้อยหน่อย เก็บเงินไว้คุยกับวุธดีกว่า อยากเพจหามันเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ต้องเดินหา ไม่ต้องต่อคิวโทรศัพท์สาธารณะ.....
.....ทุกอย่างพังหมด เจ็บใจที่ไอ้วุธมันนั่งกินข้าวกับอีแอ๊บ ทำไมมันไม่บอกผมว่าอีนั่นมันเข้าไปเรียนที่เดียวกับมัน ผมมั่นใจว่ายังไงก็ไม่ใช่คณะดียวกันแน่ แล้วมันไปรู้จักสนิทสนมกับอีแอ๊บตั้งแต่เมื่อไหร่ สนิทกันแค่ไหน กินข้าวด้วยกันบ่อยมั๊ย....คำถามมากมายลอยวนเวียนเข้ามาในหัว ซึ่งตอนนี้มันปวดตุ๊บ ๆ ผมถึงกับต้องเอามือนวดขมับเบา ๆ พยายามทำใจให้สงบ คิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา เห็นได้อย่างชัดเจนว่าผมก็มีส่วนผิด จะโทษได้วุธมันก็ไม่ได้ เราเองต่างหากที่ไม่เคยบอกไม่เคยเล่าเรื่องอีแอ๊บให้มันฟัง แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะบอกเราบ้างสิ...ก็รู้อยู่ว่าอีแอ๊บมันเรียนคณะเดียวกับเรา มันไม่สงสัยเลยเหรอว่าอยู่ดี ๆ ทำไมอีนี่ถึงไปโผล่ที่มหาลัยมัน หรือว่ามันมีเรื่องต้องปิดผม แล้วมีเรื่องราวอย่างนี้เกิดขึ้น เพจซักข้อความนึงก็ไม่ส่งหา ไม่มีอะไรจะอธิบายเลยเหรอ ว่าจะไม่คิด แต่สุดท้ายก็อดคิดไม่ได้.....
.....แท็กซี่ขับช้า ๆ เข้ามาถึงกลางซอยบ้านผม พี่คนขับมองหน้าผมผ่านกระจกหลายครั้ง แกคงเห็นผมนั่งเช็ดน้ำตาที่มันยังเอ่อล้นออกมาทุกครั้งที่ผ่านร้านหรือสถานที่ที่เราเคยไป มองอะไรก็คิดถึงมันซะทุกที.....ขณะที่ผมกำลังนั่งเหม่อ มองข้างทางทันใดนั้นผมก็เห็นผู้ชายตัวสูงในชุดนักศึกษา สะพายเป้ใบใหญ่เดินสวนออกมา ผมถึงกับหันหลังมองตามเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไอ้วุธหรือเปล่า ต่อให้มืดแค่ไหนผมก็จำมันได้ และก็ใช่มันจริง ๆ ด้วย นี่มันคงไปดักรอเจอผมที่บ้านล่ะสิ ไม่เพจบอกล่วงหน้าเองนี่ เราไม่ผิดใช่มั๊ย ผมพยายามคิดเข้าข้างตัวเอง.....ดีแล้วที่ไม่เจอกัน ผมไม่อยากให้มันเห็นสภาพผมตอนนี้ เพราะต่อหน้ามันเมื่อเย็น ผมยังดูโอเคเหมือนไม่แคร์ ไม่สนใจอะไร แต่จริง ๆ แล้วข้างในมันไม่ใช่เลย.....
....เข้าบ้านปิดประตูเรียบร้อย ผมดันอดคิดก็เป็นห่วงไอ้วุธไม่ได้ เดินออกไปคนเดียวกลางดึกเวลาใกล้จะตีสี่ ถึงมันจะเป็นผู้ชายก็เหอะ กรุงเทพฯ ไม่ได้ปลอดภัยอะไรขนาดนั้น.....เอาวะ ยอมเสียฟอร์มซักครั้ง ผมเดินไปเอากุญแจรถแล้วขับออกไปตามหามัน ผมขับช้า ๆ มองสองข้างทางจนถึงปากซอย ไม่เจอมันเลย แสดงว่ามันคงเรียกแท็กซี่ หรือไม่ก็มอไซค์รับจ้าง ป่านนี้คงไปได้ไกลแล้วมั้ง ผมขับรถกลับบ้านด้วยความโล่งอกไปได้นิดหน่อย.....
.....หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย นอนไม่หลับแน่ หิวจังเลย ลงไปดูของกินในครัวดีกว่า เผื่อจะมีอะไรเหลือบ้าง พอผมเปิดประตูตู้เย็นสิ่งที่ผมเห็นทำให้ผมต้องน้ำตาซึมอีกที ถุงก๋วยเตี๋ยว ขนม ของโปรดของผมและของที่วุธชอบทั้งนั้น มันซื้อมากะว่าจะได้กินข้าวด้วยกัน แต่ผมดันกลับซะดึกขนาดนี้ ทำไมมันไม่รออีกนิดนะ....ทำไมผมไม่ตามมันไปที่บ้านล่ะ ถ้าเมื่อกี้ขับตามไปจริง ๆ ยังไงก็ทันแน่นอน.....ความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นอีกแล้ว ผมสลัดหัวเบา ๆ ไล่ความรู้สึกนั้นออกไป เอาของที่ผมจะกินเทใส่หม้ออุ่นซะหน่อย โยนถุงเปล่าลงถังขยะ แต่คราวนี้มันไม่ลงแฮะ ปกติผมจะโยนแม่นมาก สงสัยไม่มีสมาธิ.....ผมเดินไปที่ถังขยะเพื่อหยิบถุงยัดลงถังใหม่ แต่ผมดันเห็นกระดาษหลายแผ่นถูกขยำเป็นก้อนกลม ๆ และถ้าไม่เห็นลายมือคุ้นตา ผมคงไม่สนใจ ไม่กล้าหยิบออกมาคลี่อ่านจากถังขยะหรอก.....
.....ข้อความหลายข้อความถูกเขียนสั้นบ้างยาวบ้าง วนไปวนมา แสดงให้เห็นว่าผู้เขียนมีความรู้สึกว้าวุ่นใจขนาดไหน แต่ที่สุดแล้วก็ไม่รู้ว่าไอ้วุธมันตั้งใจจะเขียนบอกอะไร เพราะมันไม่จบซักแผ่น จะอธิบายเรื่องราวเมื่อเย็นก็ไม่เชิง จะขอโทษก็ไม่ใช่ มีบางประโยคที่บ่งบอกอาการน้อยใจ.....ผมอ่านข้อความเหล่านั้นด้วยสายตาพร่ามัว กินก๋วยเตี๋ยวเจ้าเก่าไปด้วย มันไม่อร่อยเหมือนเดิมเลย หรือเพราะน้ำตาผมมันหยดลงไปในชามตรงหน้า....กินไปได้ไม่ถึงครึ่งก็มีอันต้องเลิก มันตื้อไปหมด.....
.....ก่อนนอน ผมมองโทรศัพท์อยู่นาน อยากโทรไปคุยกับมัน อยากให้โทรศัพท์ดัง เผื่อมันจะโทรมา มองเพจข้าง ๆ มันก็ยังสงบเงียบอยู่ ข้อความสุดท้ายที่ได้รับเป็นข้อความของอีนันที่ส่งมา Goodnight เพื่อน ๆ ทุกคน.....หลายครั้งที่ผมยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา จะกดเบอร์บ้านมัน แต่ก็ต้องวางทุกที ความรู้สึกโกรธ โมโห เสียใจ เสียหน้า เสียฟอร์ม กลายเป็นความละอาย ผมเองก็ทำกับมันเกินไป.....นอนกระสับกระส่ายพลิกไปพลิกมา หลับไม่ลงซักที ทั้ง ๆ ที่เหนื่อยมาทั้งวัน ปวดกระบอกตาด้วย มันรู้สึกล้าไปหมด ผมต้องพยายามทำใจให้สบาย ปลอบใจตัวเองว่าเดี๋ยวไอ้วุธมันก็ติดต่อมาเองแหละ แล้วผมก็จะทำเป็นลืมเรื่องที่เกิดขึ้น จะไม่พูดถึงมันอีก......
“...โอเคยังมึง...” อีกุ้งทักผมที่ซุ้ม ทันทีที่เห็นผมเดินเข้ามาในวันจันทร์
“...อะไรวะ...” ผมงง
“...ก็เรื่องไอ้วุธอ่ะ...”
“...ไม่เห็นมีอะไรเลย...” ผมบ่ายเบี่ยง
“...เค้าโทรมายัง...” อีนันถามบ้าง
“...ยัง...” ผมทำเป็นไม่สนใจ
“...แล้วมึงโทรไปหาเค้าหรือเปล่า...”
“...ไม่จำเป็นหรอก...”
“...ตกลงมึงเลิกกับเค้าแล้วจริง ๆ เหรอ...”
“...อืม...”
“...เลิกเนื่องในโอกาสอะไรวะ...” อีเต็มทำท่าเหมือนมันเป็นคนเลิกซะเอง
“...เค้าดีเกินไป...” ผมตอบทีเล่นทีจริง หลังจากเงียบไปพักใหญ่ อยากจะตอบพวกมันว่ากูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
“...ไม่ใช่ว่ามึงเลิกกันเพราะอีแอ๊บนะโว้ย...” อีเต็มแซว
“...อีห่า...กูบอกแล้วไงว่ากูเลิกกันก่อนหน้านั้น เบอร์มือถือกูมันยังไม่รู้เลย...ถ้าอีแอ๊บมันจะเอาก็ให้มันเอาไปเหอะ ของเหลือ ของที่กูไม่เอาแล้ว...” ผมทำท่าไม่แคร์ ทั้งที่ในใจแทบสลาย สันดานเดิม เสียใจไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้
“...เสียดายว่ะ...” อีนันพูดเบา ๆ
“...เสียดายทำไม...ดีใจกับกูดิ...เป็นโสดอีกครั้ง....ต่อไปกูจะตั้งหน้าตั้งตาหาแฟนใหม่...” เพื่อนผมเงียบ คงเห็นสายตาผมมันแสดงออกมาว่าผมไม่ได้รู้สึกดีอย่างที่ปากพูด

.....ผมนั่งนับวันเวลาที่วุธไม่ติดต่อมา 1 สัปดาห์ผ่านไป กลายเป็น 1 เดือน 2 เดือน จนเข้าเดือนที่ 3 ผมอยากจะโทรหาวุธใจแทบขาด อยากรู้ว่ามันเป็นยังไงบ้าง อยากได้ยินเสียงมัน คิดถึงมันมาก ๆ และที่ป่าวประกาศบอกเพื่อนว่าจะหาแฟนใหม่ ผมไม่ได้ทำอย่างนั้นหรอกครับ ตกเย็นปุ๊บเข้าบ้านปั๊บ โดยเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ไม่ไปเที่ยวไหนเลย อยู่บ้านทั้งวัน ซื้อของกินมาตุนไว้ เพื่ออะไรเหรอ ก็เผื่อวุธมันจะมาหาที่บ้านไงครับ แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีแม้เงา ผมต้องนั่งกินข้าวคนเดียวทุกมื้อ โคตรเหงาเลยครับ.....
.....เพราะทิฐิคำเดียวที่ทำให้ผมเป็นอย่างนี้ ในเมื่อมันไม่โทร ไม่เพจ ไม่ติดต่อมา นับจากนี้ไป มึงไม่ต้องมายุ่งกับกูอีกล่ะกัน.....หลังสอบกลางภาค ผมเก็บกระเป๋าไปอยู่กับพ่อแม่ที่เหนือ ทิ้งน้องชายไว้กับอาเล็ก ที่ต้องหอบผ้าหอบผ่อนมานอนค้างทุกคืนอีกแล้ว....ผมเล่าเรื่องราวของผมให้อาเล็กฟังโดยไม่มีการปิดบัง อาเล็กเข้าใจ แกบอกว่าแกก็เคยเป็นอย่างนี้ แกยังแนะนำให้ผมไปพักสมอง ไปอยู่ในที่เงียบ ๆ คนเดียว ได้อยู่กับตัวเองบ้าง อาจจะรู้สึกดีขึ้น.....
.....ผมไม่ใช้เวลาว่างให้หมดไปกับเรื่องไร้สาระหรอกครับ อยู่เหนือ ผมไม่ได้ช่วยอะไรที่บ้านเลย ก็มันไม่มีอะไรให้ทำนี่ครับ ทุกอย่างลงตัวหมดแล้ว.....พอดีพ่อผมรู้จักกับเจ้าของบริษัททัวร์คนหนึ่ง แกกำลังหาคนมาช่วยงาน พ่อผมก็เลยจับผมให้ไปทำงานกับเค้า....ถึงจะเรียนภาษามาแล้วก็เถอะ แต่เอาเข้าจริงก็พูดผิดพูดถูก เกร็งพูดเร็วก็ลิ้นพันกัน ไม่อยากให้เค้าขำกับสำเนียง พูดช้าก็อายสำเนียงไทย ห่วงแกรมม่า พูดไปพูดมาลืมศัพท์อีก เอาวะใครจะเก่งมาตั้งแต่เกิด พูดสำเนียงไทยนี่แหละ.....ฝรั่งหลายคนบอกว่าชอบผมพูดภาษาอังกฤษ เพราะผมมักจะมีแทรกภาษาไทยนิดนึง ตรง Thank you ครับ ผมจะติดคำว่า...โอเคนะครับ...จริง ๆ นะครับ...อะไรนะ....ฝรั่งเค้าก็เข้าใจที่ผมพูดคำพวกนั้น ยิ่งไอ้พวกคำอุทาน อ๋อ ...เอ๊ย...เริด...เฮ้ย อะไรอย่างนี้อ่ะครับ อาศัยว่ายิ้มเก่งด้วยไง ผมก็เลยขายทัวร์ จองโรงแรมได้เยอะเป็นที่พอใจของนาย ทำงานนี้อยู่จนจะเปิดเทอม ผมก็ได้ขึ้นรถทัวร์เป็นผู้ช่วยไกด์ สนุกมาก สนุกจนลืมเรื่องไอ้วุธไปเลย ได้รู้จักคนเยอะมาก ๆ ด้วย สังคมผมกว้างขึ้น มีความรุ้สึกว่าเริ่มเป็นผู้ใหญ่แล้วครับ.....ที่สำคัญได้เงินก้อนใหญ่ด้วยครับ ทั้งเงินเดือน ค่าคอม ทิป ได้ตังค์จากพ่ออีก.....
.....สิ่งแรกที่ต้องทำหลังจากกลับถึงบ้านที่กรุงเทพฯ คือ เปลี่ยนกุญแจบ้านทุกดอก ส่งกุญแจใหม่เป็นพัสดุไปให้พ่อกับแม่ บอกเบอร์ใหม่ให้พ่อกับแม่รู้ เพราะต่อไปนี้ ผมจะไม่รับโทรศัพท์เครื่องเก่าแล้ว ให้น้องผมมันเอาไปไว้ในห้องมันเลย เท่ากับว่าเบอร์นี้จะใช้แต่เฉพาะชั้นล่าง แต่จริง ๆ แล้วผมยังเก็บสายพ่วงไว้อยู่ แค่เสียบปลั๊กก็ใช้ได้เหมือนเดิม.....ในห้องผมมีโทรศัพท์เบอร์ใหม่.....มีเวลาเหลือก่อนเปิดเทอมไม่กี่วัน ผมจ้างคนมาเปลี่ยนลูกบิดประตูห้องนอน เปลี่ยนกุญแจประตูใหญ่หน้าบ้าน ในบ้าน.....ต่อไปไอ้วุธมันก็เข้าบ้านผมไม่ได้อีกแล้ว ถ้ามันเพจมา ผมก็จะไม่มีทางติดต่อกลับ โทรเข้าบ้านก็จะเจอแต่น้องผม ที่ผมสั่งให้มันรับฝากข้อความไว้อย่างเดียวถ้าใครโทรมาหาผมที่เบอร์เก่า.....ส่วนเบอร์ใหม่ผมกำชับทุกคนที่รู้ว่าไม่ให้บอกเบอร์ผมกับคนที่ผมไม่อยากให้รู้ ผมไม่อยากเปลี่ยนเบอร์หนีอีก เพราะสมัยนั้นการขอโทรศัพท์ใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย.....ผมตั้งใจที่จะเลิกกับไอ้วุธอย่างเด็ดขาด คิดถึงขนาดว่า ต่อไปผมจะไม่มีทางได้เจอกับมันอีก ติดต่อกันไม่ได้ เข้าบ้านผมไม่ได้ เต็มทีคือมารอหน้าบ้าน ผมก็จะหนีเข้าบ้าน หรือไม่ก็ไม่เข้าบ้านซะเลย ถ้าไปเจอกันที่มหาลัยผมเหรอ ถิ่นเราไม่กลัวหรอก ผมมีทางหนีทีไล่อยู่แล้ว .....ต่อไปเรียนจบ ผมก็จะขึ้นเหนือไปทำงานกับพ่อแม่ หรือไม่ก็ทำงานที่บริษัททัวร์ที่เดิม เค้าก็เต็มใจรับผมเข้างานแน่นอน.....
.....ขอเปลี่ยน Look ตัวเองหน่อยละกัน ไปทำสีผมที่ร้านอาเล็กเพื่อลดค่าใช้จ่าย ไปตัดผมที่ร้านในห้าง เลือกร้านที่มีชื่อเสียงหน่อย จากผมบ๊อบ สีดำสนิท เป็นผมสีที่เค้าเรียกว่าสีโค้ก ทำไฮไล้ท์ แว๊กสีเพิ่มเข้าไปอีกให้มันเงาวับสะท้อนแสง ทรงผมอันใหม่ของผมก็ไม่ได้อลังการอะไรมาก เพราะยังอยากไว้ยาวอยู่.....หนังหน้าก็ไปทำ AHA หน้าขาวขึ้นมาอีกนิด.....ผิวเหรอ ได้ยินคนเค้าว่ามีสมุนไพรยี่ห้อหนึ่งดีเป็นที่เลื่องลือ ก็ไปลองซื้อมาใช้เองที่บ้าน ตอนซื้ออายมาก ๆ แต่พอใช้แล้วดีจริง ๆ ผิวลื่นเนียนเลยแหละ ยิ่งมาใช้พร้อมกับมะขามเปียกที่ใช้ประจำยิ่งดี.....
.....ห้องนอนก็เปลี่ยนหัวนอนซะใหม่ อ่านจากหนังสือฮวงจุ้ย ผมต้องเป็นใหญ่ที่สุดในบ้านขณะนั้น ต้องหันหัวนอนไปอีกด้าน จะทำให้ชีวิตดีขึ้น เอากับเค้าหน่อยก็ได้..... ผ้าม่าน ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม โต๊ะ ตู้ เตียง ทุกอย่างถูกเปลี่ยน โยกย้าย ไม่ใช่เพราะเรื่องฮวงจุ้ยอย่างเดียวหรอก ผมไม่อยากเห็นบรรยากาศเก่า ๆ ไม่อยากคิดถึงไอ้วุธอีก.....เมื่อ 2-3 เดือนก่อน มองอะไรก็คิดถึงมัน กินอะไรก็คิดถึงตอนเรานั่งกินด้วยกันแทบจะป้อนถึงปาก อาบน้ำหมา ล้างรถ ขี่มอไซค์เล่น แม้แต่เวลาไปตลาด แม่ค้าที่คุ้นเคยก็มักจะถามถึงมัน ผมได้แต่ยิ้ม บอกว่ามันไปเรียนต่างจังหวัด ไม่ค่อยได้เจอกัน พวกเค้าคิดว่าเราเป็นเค่เพื่อนกันนะครับ.....
.....เปิดเทอม 2 ปี 2 ผมไปมหาลัยด้วย Look ใหม่ สร้างเสียงฮือฮาไปทั้งสาขา เสื้อนักศึกษาเข้ารูป กางเกงยีนส์สีซีด รองเท้าผ้าใบ จะเซอร์ก็ไม่เซอร์ จะหรูก็ไม่หรู ผมมองตัวเองในกระจกก่อนออกจากบ้าน พอใจกับรูปลักษณ์ใหม่ตั้งแต่หัวถึงเท้า แม้มันจะผิดระเบียบนิด ๆ แต่ผมอยู่ปีสองแล้วนะ ไม่ใช่เด็กใหม่ ประกอบกับบุคลิกที่ดูมั่นใจในตัวเองมากขึ้นทำให้เพื่อน ๆ ผมถึงกับออกปากชม (นาน ๆ ทีนะครับปกติมันจะด่าซะมากกว่า).....
.....วิธีหาความสุขใส่ตัวเองของผมก็เหมือนทุกคนในวัยนั้นแหละครับ เที่ยวทั้งกลางวันกลางคืน เที่ยวกระหน่ำเลยครับ เลิกเรียนเดินห้าง บ่อยครั้งที่ฆ่าเวลาระหว่างรอเพื่อนดูหนัง (ผมไม่ชอบดูหนังในโรงอ่ะครับ) ผมก็เข้าคาราโอเกะกับเพื่อนที่เหลือ หรือไม่ก็เดินเล่นคนเดียว ดึกหน่อยถ้ามีเวลาก็กลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปเที่ยวกลางคืนต่อ เธค ผับ บาร์ไหนดัง ๆ ไปมาหมดแล้ว ตี 2 ตี 3 แวะกินข้าวต้ม บางคืนเบื่อ ๆ ก็หาอะไรกินที่เยาวราช อิ่มแล้วก็ขับรถเล่น วนรอบสนามหลวง วังสราญรมย์....ผมเริ่มไปเที่ยวบาร์เกย์ เธคเกย์อย่างสีลม ซอย 2 ซอย 4 ไปบ่อยแทบทุกวันเสาร์.....ไปดูโชว์อะโกโก้ ดูF**king show ที่ตอนนั้นอลังการมาก ภาพยังติดตาอยู่เลย ไม่เงียบเหงาเหมือนสมัยนี้หรอก.....เรื่องเงินเหรอครับ พ่อแม่ไม่ได้ให้เพิ่มเลย แต่ผมหาของผมเอง เริ่มเข้าสถานที่ที่ไม่ค่อยดีนัก เล่นไพ่ในบ่อนเล็ก ๆ แถวบ้านเพื่อนที่เรียนพาณิชย์ พอได้กำไรก็เลิก โชคดีที่มีดวงด้านนี้......ก่อนหน้าทุกวันที่ 1 และ 16 ทั้งวันผมจะนั่งคิดคำนวณหวย ซื้อกลับไปกลับมา บน ล่าง ตอนนั้นมีคนสอนวิธีคิดหวยอ่ะครับ และผมก็ถูกหวยบ่อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็น 3 ตัวบน เต็งโต๊ด.....เพื่อน ๆ รู้เรื่องพวกนี้ดี ไม่มีใครว่าอะไรผม เพราะผมไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ผมแยกเงินที่พ่อแม่ให้ไว้ใช้ในชีวิตประจำวันไว้อย่างดี เงินที่เอามาเที่ยว เป็นเงินที่ผมหาได้เองทั้งนั้น ถึงมันจะไม่ได้มาจากการทำงานสุจริตก็เถอะ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนี่นา ผมไม่ได้ไปปล้น จี้ ขายยา ขายตัว เงินที่ผมได้มาจากอบายมุข ได้ง่ายก็เสียง่าย เที่ยวทุกคืน ขนาดวันรุ่งขึ้นผมมีสอบตอน 9 โมง ตี 3 ผมยังนั่งหัวเราะคิก ๆ คัก ๆ กินข้าวต้มริมถนนอยู่เลย.....
.....เพื่อนในกลุ่มเริ่มเหนื่อยไม่ออกไปเที่ยวกับผม ผมก็ไม่ง้อ ไปกับไอ้โยบ้าง โมทย์บ้าง เพื่อนเก่าตอนเรียนพาณิชย์บ้าง และก็รู้จักกันเป็นทอด ๆ ช่วงนันใครชวนไปไหนผมไปหมด ไม่ต้องนัดล่วงหน้า บางที 5 ทุ่มแดนซ์อยู่ที่นึง เพื่อนอีกกลุ่มอยู่อีกที่ชวนให้ไปหา ผมก็ดิ้นรนไปแจมทันที......เพื่อนในกลุ่มผมโดยเฉพาะอีนัน เป็นห่วงการเรียนผมมาก จนต้องให้พี่ก้องซึ่งเป็นพี่รหัสของผมมาเตือนบ่อย ๆ.....
.....ถึงผมจะเที่ยวบ่อย แต่สิ่งที่ทำให้ผมภูมิใจในตัวเองมากคือ ผมมีจิตสำนึกที่ดี ผมรู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่ได้ตอแหลนะครับ ผมไม่สูบบุหรี่ เหล้ากินไม่เคยเกินสองแก้วต่อคืน ยาเสพติดไม่ยุ่ง ทั้ง ๆ ที่มันส่งกันเฉียดหน้าผม เรื่องมั่วเพศเหรอ ไม่มี 100 เปอร์เซ็นต์..... ถือคติ Nobody loves you as yourself ผมรักตัวเองเกินกว่าจะทำให้ตัวเองเจ็บ เรื่องเจาะ เรื่องสัก ลืมไปได้เลย ไม่มีทางซะหล่ะชาตินี้.....
.....ปีกว่า ๆ ที่ผมถือว่าเป็นช่วงพีคของผมผ่านไปอย่างรวดเร็ว เที่ยวมาก รู้จักคนมาก สังคมกว้างขึ้น ผมมีทั้งคนที่มาจีบ และคนที่ชอบถึงขนาดหน้าด้านไปจีบเค้าก่อน มีเบอร์โทรศัพท์ของคนที่ได้มาจากการเที่ยวร้อยกว่าคน ที่ตลกคือ มีคนที่ชื่อขึ้นต้นด้วย ต. เต่าเยอะมาก ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน....ผมตกลงปลงใจกับคนพวกนั้นแค่ 5 คน คบกันสั้นบ้างยาวบ้าง มีความสุขระดับนึง แต่ยังไงก็ไม่รู้สึกดีเหมือนตอนที่คบกับวุธ.....ทุกคนสอนผมให้รู้จักการปฏิบัติตัวกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟน ซึ่งข้อนี้ผมไม่รู้มาก่อน พอเลิกกับคนนึง ผมก็หาใหม่ได้ เอาสิ่งดี ๆ มาปรับใช้ แต่ซักพักก็ต้องเลิกกันอีก....

.....ทุกคนที่ผมคบ ผมไม่เคยมีเซ็กส์กับพวกเค้า ผมไม่เคยให้พวกค้ารู้จักบ้าน ผมไม่เคยให้เบอร์บ้าน ถ้าอยากคุยกันนาน ๆ ก็เอาเบอร์บ้านโทรมาโชว์เบอร์ผมสิ แล้วผมจะเอาเบอร์บ้านโทรกลับเอง ผมไม่ปฏิเสธนะครับว่าผมปิดตัวเอง แต่ผมก็มีข้ออ้างเรื่องความเป็นส่วนตัว ถ้าคิดจะรักกันก็ต้องยอมรับตรงนี้ด้วย.....ทุกคนพูดว่ายอมรับได้ ไม่มีเซ็กส์กับผมก็ได้ ไม่จุกจิกวุ่นวายกับผมก็ได้ แต่เอาเข้าจริงก็จ้องจะหาโอกาส ไอ้จับจูบลูบคลำผมไม่ว่า แต่บางทีมันมากกว่านั้นไงครับ คิดว่าผมจะเคลิ้มล่ะสิ แต่ไม่เลย ผมกลับรู้สึกแย่มากที่พวกเค้าไม่รักษาคำพูดมากกว่า ไอ้วุธมันยังไม่เคยทำอะไรอย่างนี้กับผมเลย.....บางคนก็หาว่าผมเล่นตัว บางคนก็บอกว่าผมไม่รักเค้าจริง พวกเค้าหาเหตุผลมาบอกเลิกกับผม แต่แปลกนะครับ เป็นเหตุผลเดียวกับที่พวกเค้าเคยพูดว่ายอมรับได้ทั้งนั้น....ถามว่าเสียใจมั๊ย ก็นิดหน่อยนะ ไม่เคยร้องไห้ให้พวกเค้าเลยด้วยซ้ำ.....
“...เอ้...มาเที่ยวเหรอ...” ผมหันไปตามเสียงทักหน้าห้องน้ำในผับแห่งหนึ่งบนถนนข้าวสาร พอรู้ว่าเป็นใคร ผมถึงกับงง ทักกูทำไมเนี่ย มันจะมาไม้ไหนวะ
“...อืม...” ผมตอบรับ แต่ตามองไปรอบ ๆ
“...มองหาใคร...วุธเหรอ...” ผมหน้าชา
“...เปล่า...มานานแล้ว เดี๋ยวเพื่อนสงสัย...” ผมพูดอ้อม ๆ เพื่อปลีกตัวออกมา
“...มีเวลามั๊ย...ขอคุยด้วยหน่อยสิ...” ทำไมมันพูดจาดีขึ้นวะ ผมคิดในใจ เห็นแววตาที่เป็นมิตรของมันทำให้ผมพยักหน้าเดินตามมันไปนอกร้าน
“...มีอะไรเหรอ...” ผมนั่งลงที่ฟุตปาทข้างร้าน และแปลกมาก มันก็นั่งตามผม เราต่างคนต่างเงียบ มองดูผู้คนที่เดินสวนกันขวักไขว่ แม้ว่านี่มันใกล้จะตี 2 แล้วก้ตาม
“...ยังติดต่อกับวุธอยู่หรือเปล่า...” ผมมองหน้าขาว ๆ นั่นอย่างชั่งใจ จะตอบมันยังไงดีวะ
“...เปล่า...” ผมตอบตามความจริงเช่นเคย
“...ทำไมล่ะ...” มันยิ้ม แต่ไม่ได้ยิ้มเยาะอย่างที่มันชอบทำนะครับ ผมอยากจะบอกเหลือเกิน ก็เพราะมึงนั่นแหละ
“...โอ๊ย ไม่ได้ติดต่อมันตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนขึ้นปีสองอีก...” ผมพยายามทำให้มันรู้ว่า ผมเลิกกับไอ้วุธก่อนที่มึงจะไปเรียนที่เดียวกันอีกนะโว้ย
“...แต่เราว่าเค้ายังรักเอ้อยู่นะ...”
“...ไม่หรอก ป่านนี้มีเมียเป็นโหลแล้ว...” ผมพูดขำ ๆ
“...เออ ช่างเค้าเถอะ เราเองก็ไม่ได้เจอวุธมาตั้งนานแล้วเหมือนกัน...” ผมมองหน้ามัน
“...อ้าว...ก็เรียนที่เดียวกันไม่ใช่เหรอ...ทำไม...”
“...เราเรียนที่นั่นแป๊บเดียวเอง...พ่อให้ไปเรียนต่อที่อังกฤษอ่ะ...” อีแอ๊บพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่มีท่าทางเชิด ๆ เหมือนเมื่อก่อนเลย
“...เหรอ...” ผมพูดได้แค่นั้น
“...อีก 2- 3 วันเราก็ต้องบินกลับแล้ว คราวนี้ไปยาวเลย ไม่รู้ว่าจะได้กลับเมืองไทยอีกเมื่อไหร่...”
“...อยู่ที่โน่นเป็นไงบ้างอ่ะ...” ผมเริ่มคุยกับมันอย่างสนิทใจ และมันก็เล่าประสบการณ์ต่างแดนให้ผมฟัง มันต้องทำงาน ทำตัวปกติเหมือนคนอื่น ไม่ได้เริด ๆ เชิด ๆ เหมือนตอนอยู่ที่นี่ มิน่า มันถึงได้ดูเปลี่ยนไป
“...ถ้าเอ้ไปลอนดอนก็แวะไปหาเราได้นะ เรียนจบคงหางานทำที่นั่นเลย...” มันลุกขึ้นไปขอกระดาษกับปากกาของคนแถวนั้นมาเขียนที่อยู่ให้ผม “...ถ้ายังไม่ไป ยังไงก็เขียนจดหมายมาคุยกันมั่งนะ...” อีแอ๊บยื่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ นั่นให้ผม
“...ได้...” ผมพับกระดาษใส่กระเป๋ากางเกง เรายิ้มให้กันด้วยความจริงใจเป็นครั้งแรก
“...Hey...Alex...” อีแอ๊บตะโกนเรียกฝรั่งหัวทอง หล่อมาก ๆ เป็นนายแบบได้เลย
“...What cha doin’ here?”
“...Alex….This is Amy he’s my close friend...” ผมอายมากที่มันแนะนำผมอย่างนี้ แต่ช่างเหอะเพื่อน ๆ ในมหาลัยก็เรียกผมอย่างนี้จริง ๆ นี่นา
“...How do you do?” อเล็กซ์ทักพร้อมยื่นมือมาให้ผมจับ
“...How do you do...” หลังจากนั้นเราสามคนก็คุยกันยาว อีแอ๊บมันสำเนียงเริดมาก แรก ๆ ก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกครับ สำเนียงอังกฤษนี้มันฟังยากจริง ๆ พูดก็ไม่ค่อยอ้าปาก......
.....เราเข้าไปคุยกันต่อในร้าน ดูจากท่าทางแล้วก็รู้ว่าสองคนนี้ไม่ใช่แค่เพื่อนกันแน่ ๆ เห็นอีแอ๊บมีความสุขแล้วผมต้องมานั่งเครียดเรื่องของตัวเอง.....ถ้าอีแอ๊บมันลาออกจากมหาลัยนั้นตั้งนานแล้ว ทำไมวุธมันไม่ติดต่อผมเลยล่ะ ความหวังส่วนลึกที่จะได้มันกลับคืนมายิ่งริบหรี่....ทำใจซะเถอะเอ้....ลืมมันให้ได้....หาแฟนใหม่ ลองหาของนอกอย่างอีแอ๊บมั่งดีกว่า.....
.....ผมยังคงออกเที่ยวถี่ยิบเหมือนเดิม.....แม้ว่าผลการเรียนของผมจะตก แต่มันก็ไม่มากอะไร อาศัยว่าคะแนนตอนปีแรก ๆ ดี และวิชาที่เรียนตอนปี 4 ถึงมันจะยาก แต่ก็เป็นพวกให้ใช้ความคิด ขายไอเดีย ทำโปรเจค ไม่ใช่ท่องจำ ไม่งั้นผมคงโดนรีไทร์แน่ ๆ ทุกคนมีพัฒนาการแตกต่างกันออกไป เป็นผู้ใหญ่กันมากขึ้น พวกเราเริ่มคุยกันเรื่องอนาคต เรื่องงาน ผมเองก็รู้สึกตัวว่าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นก็ตอนที่ไปงานแต่งงานของเพื่อนสมัยพาณิชย์ 2-3 คน ลูกอีตาลโตจนเข้าเรียนอนุบาลแล้ว ได้ยินเด็กเรียกผมว่าป้าแล้วผมแทบกระโดดตบอีตัวแม่ที่สอนให้ลูกพูดอย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่วันนั้นผมหล่อจนเกือบจะแย่งซีนเจ้าบ่าวเลยนะครับ.....

nartch

  • บุคคลทั่วไป
18 Breakdown, feel like nothing left to lose (Part II)

.....เช้าวันหนึ่ง ฝนตกพร่ำ ๆ ตลอดคืน ผมนอนหลับสบายอยู่บนเตียง ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ที่ 8 โมง มีเรียน 9 โมง สายนิดสายหน่อยเป็นเรื่องปกติ เพลียจังเลย เมื่อคืนกลับบ้านตี 3 กว่า เสียงโทรศัพท์ข้างล่างดังขึ้นมาถึงห้องผม ไม่มีคนรับ น้องผมคงไปโรงเรียนแล้ว เป็นเรื่องปกติของเด็กกรุงเทพฯ สมัยนั้นที่ต้องออกจากบ้านเพื่อไปเรียนตั้งแต่เช้ามืด ซักพักโทรศัพท์ห้องผมก็ดังบ้าง หงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็ยกหูรับ เพราะคนที่โทรมาเบอร์นี้ได้ต้องเป็นคนที่ผมให้เบอร์ด้วยตัวเอง.....
“...เอ้...ตื่น...ลูก...” เสียงแม่ผมดังผ่านสาย
“...ตื่นแล้ว...มีอะไรครับ...” ผมงัวเงียพูด ยังไม่ 6 โมงเลย โทรมาทำไมแต่เช้า
“...ทำใจดี ๆ ไว้นะ...” เท่านั้นแหละผมตาสว่างเลย
“...ใครเป็นอะไรแม่...” ผมถามด้วยเสียงร้อนรน แม่เงียบไปนิดนึง
“...พ่อเสียแล้วลูก...” แม่พูดเสียงสั่น
“..............” ผมรู้สึกวูบ ๆ นี่เราไม่ได้ฝันไปใช้มั๊ย
“...เอ้...เอ้...ฟังแม่อยู่หรือเปล่า...”
“...เกิดอะไรขึ้นอ่ะครับ...” ผมพูดเสียงเครือ
“...พ่อรถคว่ำเมื่อคืน...เพิ่งเสียตอนเช้ามืดนี่เอง...” ผมรู้ว่าแม่แข็งใจพูดโดยไม่มีเสียงสะอื้น
“...แล้วจะทำยังไงต่อไปอ่ะครับ...” ผมถามเสียงเบา มือเย็นเฉียบ หัวหมุน หน้ามืด อาจจะเพราะพักผ่อนน้อยด้วยมั้งครับ
“...เดี๋ยวแม่จัดการทางนี้เอง ฝากเอ้บอกน้อง บอกญาติทุกคนด้วย แล้วไปติดต่อวัด XXXXX ตอนเย็นจะได้รดน้ำศพเลย...” ผมรู้มานานแล้วว่าแม่ผมเป็นหญิงเหล็ก แต่ไม่คิดว่าแม่จะเข้มแข็งได้ขนาดนี้
“...ครับ...”
.....หลังแม่วางสาย ผมนั่งอึ้งอยู่บนที่นอน....นานมาก....จนได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดัง อีนันคงโทรมาตามให้ไปเรียน เป็นหน้าที่ของมันไปแล้วที่ต้องทำอย่างนี้ทุกวัน....ผมตัดสายทิ้ง มองนาฬิกาบอกเวลาเกือบ 8 โมง ผมเดินลงจากเตียง แทบล้มทั้งยืน เหน็บกินชาไปทั้งขา.....เข้าห้องน้ำ อาบน้ำด้วยใจเลื่อนลอย คิดว่าจะบอกน้องยังไง จะบอกญาติคนไหนบ้าง เพื่อนพ่ออีก เพื่อนเราด้วย แล้วติดต่อวัดเค้าทำกันยังไง ต้องพูดกับใคร ใช้อะไรบ้าง รุ้สึกเคว้งคว้าง อนาคตเราจะเป็นยังไงต่อไป แม่เราจะทำใจได้หรือเปล่า แม่จะเลี้ยงลูกที่ยังเรียนอีกตั้งสองคนไหวมั๊ย.....ความรู้สึกผิดเข้ามาเกาะกุมจิตใจผมอีกแล้ว เมื่อคืนขณะพ่อประสบอุบัติเหตุ เรายังแดนซ์กระจายอยู่ที่เธคแถวคอกวัว แม้แต่ตอนที่พ่อกำลังหมดลมหายใจ เราก็เพิ่งกลับถึงบ้าน เปิดเพลงดังลั่นห้อง มีความสุขกับชีวิต ไม่มีลางสังหรณ์ ไม่มีคำร่ำลา ไม่ได้ดูใจ พ่อยังไม่ได้ไปถ่ายรูปงานรับปริญญาของเราเลย.....รถไฟฟ้าที่กำลังสร้างผ่านปากซอยอีกไม่นานก็เสร็จ เมื่อก่อนพ่อบ่นทุกวันว่ารถติด ต่อไปไม่ติดแล้วนะ แต่พ่อไม่มีโอกาสได้ขึ้น....รถไฟใต้ดินอีก ที่พ่ออยากเห็นว่ามันจะเป็นอย่างเมืองนอกหรือเปล่า พ่อก็ไม่ได้เห็น.....สนามบินหนองงูเห่าที่พ่อเคยอยากจะไปซื้อที่แถวนั้น แต่พวกเค้าเก็บไว้เก็งกำไร ตอนนี้กำลังจะเปิดให้บริการ และที่แถวนั้นก็แพงขึ้นจริง ๆ ด้วย.....
....ยิ่งคิดน้ำตาก็ยิ่งไหลทะลัก ผมอาบน้ำไปร้องไห้ไปจนตัวซีด.....มองตัวเองในกระจก รับไม่ได้กับสภาพที่เห็น ตาแดงก่ำ ขอบตาช้ำเพราะนอนน้อย ปากเจ่อ ผมเปียกฟีบติดหัว....คิดในใจว่าไม่ได้แล้ว ผมต้องเข้มแข็ง ต้องดูแลแม่ ดูแลน้อง ผมจะต้องตั้งใจเรียน หางานทำเลี้ยงครอบครัว เกิดแรงฮึดครับ คิดได้อย่างนั้นแล้วผมก็ออกมาแต่งตัว....หาอะไรกินรองท้อง ไม่หิวเลยซักนิด กลืนข้าวด้วยความฝืดคอ แต่ก็ต้องกิน ตั้งแต่นี้ต่อไป เราคงไม่ได้นั่งกินนอนกินแบมือขอเงินพ่อเหมือนเดิมแล้ว วันนี้ทั้งวันต้องรับศึกหนักแน่ ๆ พอตั้งตัวได้ ผมก็คว้ากระเป๋าตังค์ โทรศัพท์ ขึ้นรถขับไปติดต่อวัดตามที่แม่บอก หลายครั้งที่ผมต้องโทรติดต่อกับแม่ที่กำลังเดินทางลงมากรุงเทพฯ พร้อมร่างของพ่อ....เราตกลงเรื่องเวลา ค่าใช้จ่าย กันเรียบร้อย ก็เป็นวัดกลางกรุงอ่ะนะครับ แทบไม่ต้องทำอะไรเลย จ่ายเงินอย่างเดียว เดี๋ยวมีคนทำให้ เมนูเลี้ยงแขกวางตรงหน้า รวมทั้งพวกของชำร่วยต่าง ๆ แพงมาก สำหรับคืนแรกผมเป็นคนเลือกน้ำ เลือกอาหารเลี้ยงแขกเอง รอดูแม่ว่าจะให้ทำยังไงต่อไป.....
.....ผมขับรถไปที่โรงเรียนน้องชาย ขออนุญาตพาน้องกลับครึ่งวัน มันก็งงเหมือนกัน ผมบอกสาเหตุในรถ มันก็ได้แต่อึ้ง ซึม ตาแดง ๆ จะร้องไห้ก็คงอายผม แต่พอถึงบ้านมันก็ตรงดิ่งเข้าห้อง ผมแอบเห็นน้ำตามันไหลตั้งแต่ลงรถแล้วครับ.....ผมเข้าห้องพ่อไปหาเบอร์โทรศัพท์ญาติ ๆ และเพื่อนเก่าที่ทำงานของพ่อทุกคน โทร ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ พูดและได้ยินประโยคเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา ยิ่งได้ยินคนพูดแสดงความเสียใจกับผมแล้ว ทำเอาผมน้ำตาไหลไปอีกรอบ.....
.....ถึงคราวเพื่อนผมบ้าง คนที่มีเพจก็เพจบอก บางคนมีโทรศัพท์ก็โทรบอก เพื่อนในกลุ่มผมตอนแรกมันงอนที่ผมไม่ไปเรียน แต่พอรู้ว่าอะไรเกิดกับผม พวกมันก็โดดเรียนมาหาผมถึงบ้านเลย (ตอนนี้เพื่อนทุกคนรู้จักบ้านผมแล้วนะครับ เพราะเทศกาลปีใหม่ หรือวันเกิด ผมเปิดบ้านมีปาร์ตี้กันทุกปี หลังจากพ่อแม่ผมไปอยู่ต่างจังหวัด)
.....ทันทีที่ผมเห็นร่างของพ่อที่ถูกเข็นลงมาจากรถตู้ของโรงพยาบาล เห็นแม่เดินเช็ดน้ำตาตามมาติด ๆ ผมกะว่าจะไม่ร้องไห้ให้แม่ใจเสีย แต่ก็อดไม่ได้....ยิ่งตอนพิธีรดน้ำศพหลายคนตบบ่าผมเบา ๆ ให้กำลัง จนผมเป็นคนเกือบสุดท้ายที่ได้รด และพอเห็นเจ้าหน้าที่วัดยกร่างพ่อผมลงโลงเท่านั้นแหละ น้ำตาทะลัก ปิดหน้าร้องไห้ไม่อายใครเลย ความรู้สึกและบรรยากาศหลาย ๆ อย่างกดดันผม.....
“...เอ้...ใจคอมึงจะไม่บอกไอ้วุธหน่อยเหรอ...” อีกุ้งถามหลังฟังพระสวดในคืนสุดท้ายจบ
“...ไม่...” ผมตอบหลังจากเงียบไปนิดนึง
“...เฮ้ยมึง....อย่างน้อยให้มันมาวันเผาก็ยังดีนะโว้ย...”
“...กูไม่อยากเห็นหน้ามัน...” ผมพูดเสียงเข้ม
“...ตามใจ...ทิฐิสูงนักนะมึง...” อีเต็มส่ายหัวเบา ๆ
“...แล้วมึงจะบวชหน้าไฟหรือเปล่าวะ...” อีนันถาม
“...ไม่อ่ะ...น้องกูบวชตั้งสองคนแล้ว...”
“...อ้าว แล้วญาติมึงไม่ว่าอะไรเหรอ...”
“...โอ๊ย...กูไม่มีเรื่องดีให้พวกเค้าพูดถึงมาตั้งนานแล้ว โดนอีกซักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก...”
“...มึงเสียดายผมเหรอ...” อีกุ้งพูดพลางมองผมที่ยาวถึงกลางหลัง
“...ผมน่ะตัดได้ก็ไว้ยาวใหม่ได้...กูไม่เสียดายหรอก....มีวิธีทำบุญให้พ่อด้วยวิธีอื่นตั้งเยอะ...ถ้ากูบวชนี่กูยังไม่รู้ว่าจะได้บุญหรือบาป ถ้ากูไม่เต็มใจ....กูไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนต้องกดดัน บังคับให้กูทำโน่นทำนี่ด้วยวะ ทำตามคนนี้ คนโน่นด่า ทำตามคนนั้น คนนี้ด่า แค่พ่อกูตายกูก็เสียใจพอแล้วนะโว้ย อย่าให้กูต้องเสียความรู้สึกกับเรื่องวุ่นวายอีกเลย...” ผมระบายความอัดอั้นตันใจตลอด 7 วันที่ผ่านมา
.....เหนื่อยทั้งกายและใจ ไหนจะเรื่องงานพิธี เรื่องแขก เรื่องของชำร่วย เรื่องค่าใช้จ่าย เรื่องซองช่วยงาน เรื่องทรัพย์สินมรดก ยังจะมีเรื่องญาติ ๆ ที่ไม่ค่อยถูกกันมาด่าให้ได้ยินอีก ถึงผมจะไว้ยาวถึงกลางหลัง ผมก็มัดไว้เรียบร้อยอย่างดี ทำไมต้องมายุ่งกับหัวกบาลของผมด้วยนะ พวกเค้าเข้าใจว่าผมเป็นกะเทยแต่งหญิง ทั้ง ๆ ที่ผมก็ใส่ชุดนักศึกษาผู้ชายมางานทุกวันหลังเลิกเรียน นมก็ไม่มี เดินก็ไม่ได้กระตุ้งกระติ้ง มือไม้ก็ไม่ได้กรีดกราย....ไม่เคยคิดจะแต่งหญิงด้วยซ้ำ....ช่วงนั้นผู้ชายไว้ผมยาวเป็นเรื่องของแฟชั่น มันก็เหมือนสมัยนี้ที่ต้องทำผมชี้ ๆ ตั้ง ๆ ทุกคนลุ้นกันว่าผมจะยอมโกนหัวบวชให้พ่อหรือเปล่า แรก ๆ ผมถึงกับเครียดเลยนะครับ ลึก ๆ แล้วผมก็อยากบวชนะครับ แต่อย่างที่บอก มีวิธีทำบุญให้พ่ออีกตั้งเยอะ ผมก็ไม่ใช่คนเดียวที่ไม่ได้บวชให้พ่อ ไม่ได้เสียดายผมเลยแม้แต่น้อย ผมรู้สึกว่าไม่ชอบการกดดันแบบนี้ คิดแล้วคิดอีกจนแม่ผมช่วยตัดสินใจให้ผมไม่ต้องบวช ให้น้องชายบวชแทน.....
.....ผ่านงานศพพ่อไปไม่ถึงเดือนแม่ผมก็ต้องกลับไปดูแลกิจการที่กำลังไปได้ด้วยดีต่อ....ผมใจหายเหมือนกัน อยากให้แม่มาอยู่กรุงเทพฯ แต่แม่ไม่ยอม แม่รู้ว่าพ่อผมทุ่มเทกับธุรกิจนี้แค่ไหน ผมก็ต้องตามใจแม่ แต่ผมสัญญากับแม่และกับตัวเองจะกลับไปเป็นเอ้คนเดิม จะไม่เหลวไหล ไม่เที่ยวตะลอน ๆ อย่างนั้นอีกแล้ว.....มีหลายอย่างที่เปลี่ยนไปด้วยดีหลังพ่อผมเสีย ผมตั้งใจเรียนให้จบ ตกเย็นกลับบ้านมาเลี้ยงหมา ทำกับข้าว ดูแลบ้าน ดูแลน้องที่เริ่มจะเอาว่าที่น้องสะใภ้เข้าบ้านมาให้ผมรู้จัก ผมต้องให้พวกเค้าอยู่ในสายตา ไม่อยากให้แม่เสียใจ ถ้าน้องชายผมทำผู้หญิงท้องทั้ง ๆ ที่ยังเรียนไม่จบ....เราพี่น้องคุยกันดี ๆ มากขึ้น ต่างคนต่างช่วยกัน มันคงรักดีด้วยแหละ ไม่มีเรื่องมาให้ผมปวดหัวเลย ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนแทบจะกัดกันทุกวัน....และเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับผมคือ ผมไม่กลัวผีอีกเลย มีความรู้สึกเหมือนกับว่าพ่อคอยคุ้มครองผมอยู่ตลอดเวลา......
.....ช่วงเวลาแห่งความเศร้าผ่านไปช้า ๆ ผมฮึดทุ่มเทเวลากับการเรียน ทำตัวให้ยุ่งแทนที่จะไปเที่ยวให้ลืมไอ้วุธ ส่งผลให้โปรเจคงานก่อนจบของกลุ่มผมอลังการมาก เป็นบริษัทจำลอง เรื่องพวกนี้เคยเรียนมาแล้วทั้งนั้นสมัยพาณิชย์ เรื่อง Product หรือ Display สบายมาก เรื่องครีเอท ผมกับอีนันดูแล อีเต็มลงแรง เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ อีกุ้งรับผิดชอบในฐานะที่มันเป็นเด็กบัญชีเก่า และเป็นคนเดียวในสาขาที่ได้คะแนนเต็มในวิชาบัญชี...เกรด A ในวิชานี้ฉุดเกรดเฉลี่ยของพวกผมอย่างแรงเนื่องจากที่มันมีหน่วยกิตมาก.....
.....ผมไม่เที่ยวไหนเลย ไม่มีใครกล้าชวนด้วย มีแต่คนเตือนว่าอะไรที่มันมากไปมันก็ไม่ดี ตอนเย็นเลิกเรียนที่มหาลัย รีบขับรถไปเรียนพิเศษต่อ อยากเรียนอะไรก็เรียน แม่ผมส่งเงินมาให้ใช้เหมือนเดิม อบายมุขมีแค่อย่างเดียวคือ หวย ถือเป็นรายได้พิเศษ ผมพยายามหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่าน ทำบ้านให้น่าอยู่ มีกิจกรรมตลอด ซื้อคอม หัดเล่น Internet ติดเคเบิ้ลทีวี ดูข่าวภาคภาษาอังกฤษ อยากไปเมืองนอกมาก ๆ ถึงกับเปรย ๆ กับแม่ว่าเรียนจบแล้วจะขอไปเรียนต่อที่ไหนก็ได้ขอให้เป็นเมืองนอก แม่ก็ไม่ว่าอะไร ให้ผมหารายละเอียดของแต่ละที่มาพิจารณา ช่วงนั้นทุกคืนผมจะ Search หาข้อมูลมหาวิทยาลัยที่อเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย แม้แต่สิงคโปร์ก็จะไป....Chat กับชาวต่างชาติบ้าง Make friend ไปเรื่อย ๆ อย่างน้อยก็ได้พัฒนาภาษาอังกฤษวะ.....
.....ในที่สุดก็ตกลงเป็นที่ออสเตรเลีย เมืองเพิร์ธ พอแม่อนุญาต ผมก็หมดห่วง เริ่มกลับมาดูสารรูปตัวเองที่ไม่ได้สนใจมานาน....ตัดผมสั้นเตรียมรับปริญญา มีคนทักว่าหน้าเด็กลงตั้งเยอะ ทุกคนบอกว่าผมดูเป็นผู้เป็นคนขึ้น เหมือนตอนปี 1 แต่ต่างกันที่ผมพูดจา และทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าเมื่อก่อนมาก คำหยาบก็ไม่ค่อยได้ใช้กันแล้ว ชักเริ่มอายเวลามีคนมองพวกเราคุยกัน.....
.....สำหรับวุธ ผมไม่เคยลืมมันเลย ยังหวังว่าจะได้เจออยู่ ขนาดวันที่ผมต้องไปจับใบดำใบแดง ผมคิดว่ายังไงวันนี้ต้องได้เจอมันแน่ แต่งตัวให้ดูดียังกับจะไปเดินห้างทั้ง ๆ ที่ร้อนตับจะแตก มันไม่ได้เรียน รด. บ้านก็อยู่ละแวกเดียวกัน เขตเดียวกัน ต้องมาเกณฑ์ที่เดียวกันแน่.....ปรากฏว่า ไม่เลยครับ ตั้งแต่เช้าจนเย็น ไม่มีแม้เงา ไม่มีชื่อของมันด้วยเวลาเค้าขานชื่อ บรรยากาศตึงเครียด ร้อนมาก ๆ คนเดินกันเพ่นพ่าน ขนเพื่อนขนญาติมาเชียร์ ผมเองยังให้เพื่อน ๆ มาด้วยเลย พวกมันมัวแต่ดูผู้ชาย ไม่สนใจผมเลย จนผมงอน แต่ผมก็หายเองตอนที่ออกมาจากอาคารที่ใช้จับใบดำใบแดง พร้อมรอยยิ้มบนหน้า พวกมันกรูเข้ามากอดผมแน่นจนหายใจแทบไม่ออก.....
......เวลาที่ผมเศร้าที่สุดอย่างตอนที่พ่อเสียก็ไม่มีวุธอยู่ข้าง ๆ อันนี้ผมเป็นคนเลือกเอง แต่วันที่ผมมีความสุขกับงานเลี้ยงฉลองรับปริญญา ก็ไม่มีมันอีกเช่นเคย ผมก็อีกนั่นแหละเป็นคนเลือกที่จะไม่บอกมัน ทั้ง ๆ ที่อยากบอก ขับรถผ่านบ้านมันก็หลายรอบ รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ได้อยู่ที่นี่ ขอแค่เห็นพ่อมันทำกับข้าวอยู่หน้าเตา เห็นแม่มันนั่งคิดเงินอยู่ข้างใน เห็นพวกเค้ามีความสุขดี ผมก็พอใจแล้ว กลับบ้านได้....บ้าเนอะ....เลิกกันแล้วนี่จะไปยุ่งกับเค้าทำไม.....และวุธก็เป็นแรงกระตุ้นอีกอย่างนึงที่ทำให้ผมไม่อยากอยู่เมืองไทย....ไม่อยากเห็นบรรยากาศเดิม ๆ ทั้งที่รู้ว่าถึงจะหนีไปนอกโลกผมก็ไม่มีทางลืมมัน.....
“...เอ้...แกจะไปเรียนต่อเมืองนอกจริง ๆ เหรอ...” กุ้งเริ่มประเด็นบนโต๊ะอาหารในร้านอาหารชื่อดังบนห้างใหญ่แห่งหนึ่ง เรานัดเจอกันเป็นครั้งแรกหลังเรียนจบ
“...อืม...พรุ่งนี้ก็จะไปทำ Passport แล้ว...” ผมตอบตาเป็นประกาย
“...ไม่ห่วงแม่เหรอ...” คำถามนี้ทำผมอึ้งทุกทีที่มีคนถาม
“...ห่วงดิ...แต่ชั้นไปเรียนนะ....เพื่ออนาคต...” ผมก้มหน้าพูด เอาหลอดคนน้ำในแก้ว เรื่องนี้ทำผมเครียดมาหลายวันแล้ว
“...ไปหาผู้ชายมากกว่ามั้ง....” เต็มแซว
“...อยากได้เหมือนอีแอ๊บอ่ะดิ...” นันเอากับเค้าด้วย
“...ติดต่อมันมั่งปะ...” เออว่ะ ตายแล้วลืมมันไปเลย ตั้งแต่ได้ที่อยู่มันมาก็ไม่เคยส่งจดหมายไปหาซักฉบับ
“...เปล่า...แต่ว่าวันนี้จะลองกลับไปเขียนจดหมายถึงมันดู...”
.....คืนนั้นผมลงมือเขียนจดหมายไปหาอีแอ๊บเป็นครั้งแรก ถามไถ่ชีวิตความเป็นอยู่ตามมารยาท ไม่ลืมที่จะแนบ E Mail Address ของผมไปด้วย....ระหว่างนั้นก็หาข้อมูล กรอกรายละเอียดในแบบฟอร์มของมหาวิทยาลัยที่ผมตัดสินใจจะไปเรียนต่อ....พอเอาเข้าจริง ๆ มันไม่เห็นง่ายอย่างที่คิดเลยอ่ะ วุ่นวายไปหมด ตั้งแต่ตอนจะทำ Passport ผม Print เอกสารการขอวีซ่าออสเตรเลียออกมาจากเวป อ่านเรื่องตรวจร่างกาย ประเภทวีซ่าต่าง ๆ รายละเอียดปลีกย่อยเยอะแยะ แต่ยังไงก็ยังดื้อจะไปให้ได้.....
.....เอกสารของมหาวิทยาลัยทางโน้นตอบรับผมแล้ว รีบโทรบอกแม่ อีกสองวันถัดมา แม่ลงมากรุงเทพฯ เพื่อเตรียมเอกสารให้ผม พาน้องมาด้วย ไม่ได้เจอกันนาน โตขึ้นเยอะเลย.....
“...พรุ่งนี้เช้าไปธนาคารกับแม่นะ...”
“...ครับ...” ผมดีใจจนเนื้อเต้น
“...แน่ใจนะว่าอยู่ได้ เรียนได้...” แม่มองหน้าผม แต่ทำไมผมต้องหลบตาก็ไม่รู้
“...แน่นอน...”
“...แม่ว่าจะขายบ้านนี้ แล้วให้น้องย้ายไปอยู่โน่นด้วยกัน...” ผมอึ้ง
“...ถ้าเงินไม่พอเอ้ไม่ไปก็ได้นะแม่...” แม่หัวเราะเบา ๆ
“...เงินพออยู่แล้วลูก...แต่จะให้น้องอยู่บ้านยังไงคนเดียว...พอหนูเรียนจบกลับมาแม่ค่อยซื้อบ้านเล็ก ๆ ชานเมืองให้ใหม่ หรือว่าหนูจะซื้อเองล่ะ จบเมืองนอกมายังไงก็มีงานทำแน่นอน สบายแล้ว...”
“...โอ๊ย...ไม่เอา...เสียดาย...” ผมโวยวาย น้องผมมันก็มองลุ้น ๆ อยู่ ถ้ามันต้องย้ายไปอยู่เหนือ เท่ากับว่ามันก็ต้องแยกกับแฟนด้วย
“...งั้นแม่จะเปิดให้คนเช่าก็ได้...”
“...บ้านพังพอดี...” ผมบ่น
“...อ้าว แล้วจะปล่อยบ้านให้ว่างไว้อย่างนี้เหรอ...”
“...งั้นเอ้ไม่ไปแล้ว...” ผมตัดสินใจเด็ดขาด
“...ไม่ต้องเลย...พอให้ไปแล้วจะมาล้มเลิกง่าย ๆ อย่างนี้ได้ไง...” แม่พูดเสียงแข็ง จะว่าไปตั้งแต่พ่อเสีย แม่ก็เป็น working woman มาตลอด บุคลิกเปลี่ยนเป็นคนละคนเลย
“...เอ้ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เอาเป็นว่าเลื่อนออกไปก่อนก็ได้ รอให้น้อง ๆ มันโตกว่านี้อีกซักหน่อย...”
“...ตกลงจะไปหรือไม่ไป...”
“...ยังไม่ไปตอนนี้...” ผมตอบเลี่ยง ๆ
“...เอ้...หนูโตแล้วนะลูก ทีหลังอย่าโลเล เสียเวลาแม่รู้มั๊ย น้องก็ต้องหยุดเรียนมาด้วยเนี่ย...” อันนี้แม่คนเก่ากลับมาแล้ว บ่น ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เสร็จก็เดินขึ้นห้องไป น้องผมถอนหายใจดังเฮือก
.....ไม่ได้เช็คเมล์ซะนาน มัวแต่ดูเวปโป๊อยู่ เอ๊ะ เมล์ใคร ชื่อไม่คุ้นเลย มีไวรัสหรือเปล่าวะ ผมทิ้งมันไว้อย่างนั้นหลายวัน เปิดมาอีกทีก็มีเมล์ชื่อเดิมส่งมาใหม่ คราวนี้ Subject บ่งบอกว่าเป็นอีแอ๊บ ผมถึงได้คลิกเข้าไปอ่าน.....มันเล่าอะไรมากมายเหมือนได้ระบาย ทั้ง ๆ ที่ผมก็ไม่ได้สนิทกับมันขนาดนั้น มันนัดเวลาออนไลน์ เพื่อจะได้คุยกันในโปรแกรมแมสแซนเจอร์ ผมจำไว้ และก็ได้คุยกับมันจริง ๆ แต่เป็นภาษาอังกฤษนะครับ ตอนนั้นไม่มีเวอร์ชั่นไทย ก็โอเควะ รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง คุยไปคุยมาก็ดันเผลอไปคุยเรื่องไอ้วุธอีก...โอ๊ย...แล้วกูจะลืมมันได้มั๊ยเนี่ย.....ถึงภาษาผมจะไม่ได้แข็งแรงอย่างมัน แต่ผมก็พอจะแปลได้ว่าข้อความที่มันกำลังพูดถึงมีความหมายยังไง ตอนนั้น วุธพูดอะไรเกี่ยวกับผมให้มันฟังบ้าง วุธคิดยังไง วุธเสียความรู้สึกแค่ไหนที่ผมทำอย่างนั้น.....อีแอ๊บถึงกับใช้คำว่า I swear เพื่อปฏิเสธว่ามันไม่ได้เป็นอะไรกับวุธ แต่มันก็ยอมรับนะครับว่ามันจะชอบวุธอยู่บ้าง แถมยังบอกอีกว่าครั้งหนึ่งมันเคยคิดจะแย่งวุธไปจากผม แต่ไม่สำเร็จ และลงท้ายบทสนทนานี้ว่า     I  believe he still loves you....
.....จากการคุยกันมาซักพักผมใช้โอกาสนี้ถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างมันกับโมทย์....มันหายจากหน้าจอไปนานก่อนจะกลับมาด้วยประโยคขึ้นต้นว่าให้ผมเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ และจนถึงทุกวันนี้ผมก็เป็นคนเดียวที่ได้รู้ความลับของมัน.....

nartch

  • บุคคลทั่วไป
 :undecided:
จบภาคเด็กมหาลัยแล้วครับบบบ ต่อไปจะเริ่มเข้าภาคทำงานและภาคพิเศษอีกนิดหน่อย
ที่มีเก็บไว้ก็คงถือว่าสมบูรณ์แล้ว อาจจะไม่ที่สุด ถ้าคุณเอ้มีการเขียนเพิ่มเติมภายหลังงงง ...
อาจจะเห็นว่าคืนนี้ลงให้เยอะเป็นพิเศษ....รู้สึกม่ายค่อยดีเท่าไหร่....กลับไปเป็นคนอ่านดีกว่า....
ถ้า lanlan แวะมาหรือใครที่มีเรื่องราวเก็บไว้ ช่วย post ต่อหน่อยก็ดีนะครับบบบบ
ถ้ามีโอกาสจะมาแวะ post ให้อีกละกัน ....  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
จบภาคแรกแล้ว ชีวิตของคุณเอ้มีทุกรสชาติจิงๆ อ่านแล้วทั้งตลก ทั้งสนุก เศร้า

แล้งยังได้อะไรหลายๆอย่างกลับไปด้วย ชอบมากๆเลย

จะรออ่านภาคต่อๆไปอีกนะคับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






stupidchild

  • บุคคลทั่วไป
ภาคอะไรก้เอาคับ อ่านต่อนานแค่ไหนก้จะอ่านคับ

ผมชอบเรื่องนี้มากมายคับ

นึกไม่ถึงว่า เวอร์จิ้นของคุนเอ้จะเก็บไว้ได้นานมากกกกกกก

แน่นอน ที่เค้าเก้บไว้เพื่อรักสุดท้าย อิอิ

มาต่ออีกนะคับ

anston

  • บุคคลทั่วไป
และแล้ว..ก็จบภาคมหาลัยซะละ..
อยากบอกว่าคุณเอ้เป็นคนที่ใจแข็ง เด็ดเดี่ยว ทิฐิสูง(มาก)
จนถึงขั้นใจร้ายมาก(กับวุธนะ)..
แล้วเป็นไงหล่ะ..ลึกๆแล้วก็ลืมวุธไม่ได้เลย..
อ่านแล้วได้แง่คิดดีทีเดียว..
ขอบคุณนะครับ..คนโพสด้วยนะ.. o15

papae

  • บุคคลทั่วไป
อยากมีใจที่เข้มแข็งแบบเอ้มังจัง    :m17:

"เวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ใจไอ้วุธได้ แต่มึงก็ต้องทำใจไว้ด้วย ชายจริงหญิงแท้ คบกันมาเป็นสิบปียังเลิกกันได้เลย แล้วมึงยังจะเชื่อว่ารักแท้มีจริงในหมู่เกย์อยู่อีกเหรอ....ผมปลอบใจตัวเอง...".


 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ขอบคุณnartch มากนะคะ 

bigynew

  • บุคคลทั่วไป
ครับยังไงก็ต้องเข้มแข็งไว้นะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
แต่ถ้าวุธไม่มีอะไรจริง ๆ ทำไมถึงหายไปเลยล่ะ แล้วไม่ติดต่อหาเอ้บ้างเลย

แล้วต่อไปจะเป็นภาคไหนอ่ะครับเนี้ย
อยากรู้เร็ว ๆ จังเลย

ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7
 :impress:

และแล้ววุธก็หายไปจิง ๆ

เป็นกำลังใจให้เอ้นะ

 o15

papae

  • บุคคลทั่วไป
ครับยังไงก็ต้องเข้มแข็งไว้นะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
แต่ถ้าวุธไม่มีอะไรจริง ๆ ทำไมถึงหายไปเลยล่ะ แล้วไม่ติดต่อหาเอ้บ้างเลย

แล้วต่อไปจะเป็นภาคไหนอ่ะครับเนี้ย
อยากรู้เร็ว ๆ จังเลย

 :m17: :m17: :m17: :m17: :m17:

suregirl

  • บุคคลทั่วไป
ยังไงก็ยังเชียร์วุธอยู่อ่ะ เราคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวุธก็ไม่ใช่คนผิด ซะคนเดียว พอกันทั้งคู่ทิฐิสูงพอกัน (แต่เอ้มากกว่าวุธนะ)
เพราะหลายครั้งที่วุธพยามมาง้อ มาอธิบาย มารอหน้าบ้านเอ้ แต่เอ้ก็ไม่สนใจจะปรับความเข้าใจอ่ะเนอะ

หวังว่าวุธคงเป็นพระเอกของเรื่องนี้นะ    :impress: :impress: รอภาคทำงานต่อไป  :bye2:

OhhO16

  • บุคคลทั่วไป
ไมได้อ่านซะนานเลยครับ



วุธเมื่อไร่จะติดต่อหาเอ้เนี่ย


ดีกันนะๆๆ



เฮ้อ อ่านแล้วเศร้าๆ เซ้งๆ

พอกะชีวิตตัวเองเลย ไปกินเหล้าดีกว่า 55

niph

  • บุคคลทั่วไป
 :o11:
ผมเดาว่า

วุธยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ เอ้แหละ แต่ไม่แสดงตัว และถ้าโผล่มาเล่าให้ฟังละก็
คงจะเศร้ามากมายมหาศาลแน่ ๆ
 :undecided:
 :เฮ้อ:

อ่านเรื่องนี้แล้วอึดอัดจัง
อยากให้เอ้ลดทิฐิลงมาบ้างอ่ะ คงจะอึดอัดน้อยกว่านี้

kimsumsoon

  • บุคคลทั่วไป
อยากรู้เรื่องของโมทย์กับแอ๊บ...มากกว่าค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด