เมื่อวานอู้อีกและเลยต้องรบกวนคุณ dejavu_boyz เลย
ใช่ไม่ได้เลยผมนี่ ขอบคุณ คุณ dejavu_boyz มากเลยนะคับ

ต่อไปจะขยันไม่อู้และแหะๆๆๆ
เด๋วผมส่งอีเมลของผมไปให้คุณทางพีเอมแล้วกันเนอะคุณ dejavu_boyz
ไปอ่านต่อเลยนะครับ
21 The End (Part II)
.....ตามตารางงานอ่ะนะครับ หลังจากเข้ารอบบ่าย วันต่อมาผมก็เข้ารอบดึก ง่วงมาก ตอนเช้า ๆ ก็ยุ่งเป็นเรื่องปกติเหมือนทุกวัน แขก Check Out ตั้งแต่เช้ามืด ไปเที่ยวตลาดน้ำ ไปเที่ยวจังหวัดใกล้ ๆ อย่างอยุธยา กาญจนบุรี พวกไกด์ก็มาตามหาแขกกันให้วุ่นวาย พวกที่จะกลับบ้านมี Flight เช้าก็รีบเร่ง กลัวจะตกเครื่อง หลังจากเที่ยวที่นี่มาซักพักคงรู้ว่า เอาแน่ เอานอนกับการจราจรในกรุงเทพฯ ไม่ได้.....
.....ช่วงระหว่างต่อรอบ ใกล้จะได้เวลากลับบ้าน กำลังฝากงานกับพวกรอบเช้า มือนึงก็ถือขนมครกที่รอบเช้าชื้อเข้าแบ่งกันกิน อีกมือก็ถือไฟล์งาน อธิบายงานแบบสบาย ๆ เพราะไม่มีผู้ใหญ่อยู่ ปากก็เคี้ยวตุ้ย ๆ เพื่อนรอบดึกที่ยังเฝ้าข้างหน้าคอยรับแขก เปิดประตูอ้าซ่า พูดเสียงดังฟังชัดว่ามีคนมาหาผม แถมเอาขนมจีบ ซาลาเปา ชุดใหญ่ มีเต้าฮวยอีก 4-5 ถุงมาฝากด้วย กินได้ทั้งแผนกเลยนะเนี่ย ผมรับไว้งง ๆ....ไอ้เราก็นึกว่าคงเป็นไกด์ที่สนิทกัน ที่ชอบซื้อขนมมาให้กินบ่อย ๆ ยังเดินไม่พ้นประตู ปากก็ยังเคี้ยวขนมอยู่ กำลังจะฉีกยิ้ม ขอบคุณที่ซื้อขนมมาให้ถูกเวลา กำลังหิวเลย....แต่พอเห็นว่าเป็นไอ้วุธในชุดพนักงานที่มีโลโก้บริษัทรถยนต์แห่งหนึ่งติดที่หน้าอก ยืนอยู่หน้าเคาท์เตอร์ พร้อมด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ผมแทบละลาย หัวยังเปียก ๆ อยู่เลย แสดงว่ามันต้องรีบตื่นเพื่อมาให้ทันผมเลิกงาน....แล้วมันมาทำไมอีกอ่ะ....
“...ข้างในเค้าฝากขอบคุณมาอ่ะ...เอ่อ...มีธุระแถวนี้เหรอ...” ผมพยายามพูดกับมันให้เป็นทางการมากที่สุด
“...เดี๋ยวเรากลับบ้านพร้อมกันนะ...” วุธไม่ตอบแต่ดันชวนผมซะอีก
“...ไม่เป็นไร...กลับเองได้...” ผมรีบปฏิเสธ
“...กลับยังไง...รถก็ไม่ได้เอามา...”
“...กลับรถไฟฟ้าสิ...แล้วรู้ได้ไงว่าเราไม่ได้เอารถมา...”
“...ผมก็ขับรถวนดูจนทั่ว...ก็รู้อยู่แล้วว่าคุณไม่ยอมกลับกับผมง่าย ๆ หรอก...ใช่มั๊ย...”
“...อืม...แต่เรายังยืนยันคำเดิมอยู่นะวุธ...ถ้าไม่จำเป็น...เราไม่ควรเจอกันอีก...”
“...ก็ได้...ขอวันนี้อีกแค่วันเดียว...ผมอยากไปทำบุญให้พ่อ...อีกอย่าง...ต่อไปผมคงไม่มีเวลาแล้วหล่ะ...ต้องเตรียมงานอีกตั้งเยอะ....คุณก็อย่าลืมไปร่วมงานสิ้นเดือนนี้ละกัน... อยู่ดี ๆ มันก็ตอกย้ำเรื่องงานหมั้น ทำเอาผมสลดวูบ
“...ไม่ไปทำงานเหรอ...” ผมหาข้ออ้าง ในช่วงเวลาเร่งรีบอย่างนี้ รถติดแน่ ๆ งานเลิก 7 โมง กว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก ถ้าไปรถไฟฟ้าก็ถึงบ้านไม่เกิน 8 โมง แต่ถ้าใช้รถยนต์ อาจจะถึงบ้านเกือบ 9 โมงอ่ะครับ
“...ลาครึ่งวันไว้แล้ว...” ผมเงียบไปนิดนึง มองแขกที่ทยอยมาเช็คเอ้าท์ เพื่อนร่วมงานก็รู้เห็นเป็นใจ สกัดแขกไม่ให้เดินมาทางผมเลย
“...โอเค...งั้นเราไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน อีก 10 นาทีเจอกันที่เดิม...” ผมเดินเข้าไปเก็บสมบัติ บอกลาเพื่อน ๆ ขออนุญาตกลับบ้านก่อน ทำอะไรเสร็จก็พอดี 7 โมง ขอรูดบัตรออกตรงเวลาหน่อยละกัน....ก่อนออกจากออฟฟิศไม่ลืมหยิบเอาซาลาเปาลูกใหญ่มากินรองท้องระหว่างเดินไปล็อคเกอร์ (เผื่อรถติดแล้วหิวกลางทาง)
*
*
*
.....รถใหม่เอี่ยม หอมไปทั้งคันด้วยน้ำหอมกลิ่นผู้ชายที่วุธคงฉีดก่อนลงไปหาผม.....เป็นรถสำหรับครอบครัวคันใหญ่แบบที่ผมและวุธเคยคุยกันเมื่อก่อนว่าเราอยากได้รถแบบนี้ เราสองคนมักจะชอบและไม่ชอบอะไรเหมือน ๆ กัน…..
.....เช้าวันจันทร์ เวลาเร่งด่วนอย่างนี้ รถติดเป็นเรื่องปกติ ผมนั่งตัวลีบอยู่ติดประตู มองออกไปมองข้างนอกกระจก ไม่มีเสียงพูดคุย ได้ยินแต่เสียงเพลงเบา ๆ จากเครื่องเสียงที่มันคงเอาไปแต่งมาใหม่ ตอนนี้มันไม่ฟังเพลงร็อครกหูแล้ว เปิดเพลงสากลซะด้วย แดดข้างนอกก็เริ่มแยงตา แอร์เย็น ๆ ชวนให้หลับจริง ๆ ถ้านั่งแท็กซี่หรือมากับคนอื่นผมคงหลับไปแล้ว.....
“...นอนไปก่อนก็ได้นะ...” วุธเอี้ยวตัวไปหยิบหมอนอันเล็ก ๆ จากเบาะหลังมาให้ผมกอด
“...ไม่เป็นไร...เราแค่แสบตาเฉย ๆ ...แล้วนี่จะไปไหนอ่ะ...” ผมจำใจรับหมอนมันมาวางไว้บนตัก
“...ไปวัด XXXXX ...” วุธพูดชื่อวัดใกล้ ๆ บ้านอาเล็ก วัดที่ผมเคยไปทำวีรกรรมไว้สมัยก่อน
“...ทำไมไปไกลอย่างนั้นล่ะ...วัดแถวนี้ก็มีตั้งเยอะ...”
“...ไปถึงวัดตอนนี้ก็ยังถวายสังฆทานไม่ได้อยู่ดีแหละ...ต้องรอให้พระท่านฉันเสร็จก่อน...” วุธพูดยิ้ม ๆ
“...ตามใจ...”
*
*
.....ยิ่งวุธทำดีกับผมเท่าไหร่ ผมยิ่งรู้สึกละอาย มองภาพมันกำลังพนมมือพูดคำถวายสังฆทานตามพระอย่างตั้งใจ.....มองนิ้วผมและมันที่แทบจะชนกันตอนกรวดน้ำ....เห็นมันยืนนิ่งตอนที่เอาน้ำไปรดใต้ต้นไม้ใหญ่.....รู้สึกผิดจนไม่กล้ามองหน้ามันเต็มตา...ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะไม่ทำอย่างนั้น ผมจะไม่ทำให้คนอื่นเสียใจเพราะคำว่าทิฐิ...เรื่องนี้มันแก้ไขอะไรไม่ได้เลย ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะสายไปซะแล้ว.....
“...กินอะไรก่อนมั๊ย...” วุธถามขณะเดินทางกลับ ตอนแรกกะว่าจะไปไหว้อาเล็ก แต่เห็นบ้านยังปิดอยู่ก็เลยไม่อยากรบกวน
“...ไม่อ่ะ...กินซาลาเปาที่คุณซื้อมาให้ก่อนออกมา...ยังอิ่มอยู่เลย...” ไม่อิ่มหรอกครับ แต่ผมกินอะไรไม่ลงมากกว่า “...แล้วคุณล่ะ...หิวหรือเปล่า...” ผมอดเป็นห่วงมันไม่ได้...วุธส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“...นึกว่าจะไม่ถามซะแล้ว...” วุธหันมามองผมตาเยิ้ม
“...ก็ถามไปงั้นแหละ...ตามมารยาท...กลัวจะหิวตายก่อนแต่งงาน...” ผมแขวะ ไม่น่าเลยกู อยากจะตบปากตัวเองจัง แต่ไอ้วุธไม่ถือสาอะไร แถมยังหัวเราะเบา ๆ ซะอีก
*
*
“...ขอเข้าไปไหว้พ่อได้มั๊ยครับ...” วุธถามขณะที่ผมจะลงจากรถเพื่อเข้าบ้าน ผมชะงัก
“...อัฐิพ่ออยู่ที่บ้านแม่โน่น...” วุธหน้าสลด
“...ไม่รู้จะมีโอกาสได้ไปไหว้หรือเปล่า...” ผมเห็นมันพึมพำแล้วยิ่งรู้สึกผิด
“...เข้าบ้านก่อนมั๊ย...” ผมกลั้นใจชวนมัน
“...บ้านนี้ยังต้อนรับผมอีกเหรอ...” โอ๊ย...เจ็บจี๊ด ๆ
“...ก็เข้ามานั่งเล่น ดูหนัง...หาอะไรกินไปก่อน...ทำงานตอนบ่ายไม่ใช่เหรอ...” ผมทำเป็นไม่สนใจที่มันพูด
“...อืม...ก็ดีเหมือนกัน...” ถ้าเป็นเมื่อก่อน อย่าหวังเลยว่าจะได้เข้ามาเหยียบบ้านผมอีก
.....น้องหมาผมยังจำวุธได้ มันเข้ามากระโดดเหยง ๆ พันแข้งพันขาทั้งผมและวุธ มันทำท่าดีใจกระดิกหางดิ๊ก ๆ ผมต้องดึงปลอกคอมันไว้ไม่ให้กระโจนใส่วุธ กลัวเสื้อผ้ามันเลอะ....วุธมองรอบ ๆ และหยุดที่ผม แทบหลบตามันไม่ทัน....อย่างที่ผมเคยบอก เวลาว่างของผมหมดไปกับการจัดบ้านเพื่อไม่ให้บรรยากาศเดิม ๆ ทำให้ผมคิดถึงมันอีก.....วุธเดินไปเปิดแอร์เป็นอย่างแรกเหมือนที่มันทำประจำเมื่อก่อน เข้าครัวหยิบน้ำในตู้เย็นมารินใส่แก้ว เผื่อผมด้วย แล้วกลับออกมาเปิดโทรทัศน์ หย่อนตัวลงนั่งกึ่งนอนบนโซฟาหนานุ่มตัวเก่งของผมแบบไม่ห่วงเสื้อผ้ายับ ถึงแม้ว่าสรีระมันจะดูเปลี่ยนไป แต่แววตา ท่าทางยังคงเป็นไอ้เด็กช่างคนเดิม ที่ทโมน ซน และน่ารักเหมือนเดิม.....
....ผมขึ้นห้องไปอาบน้ำ แต่งตัว ค่อยสดชื่นขึ้นมาอีกนิด แต่ชักเริ่มหิวซะแล้ว....ค่อย ๆ ย่องลงมาในครัว ทำแซนด์วิชง่าย ๆ กิน ไม่กล้าบอกไอ้วุธมัน กลัวโดนกัดอีก ก็ตอนอยู่บนรถดันบอกว่าอิ่ม แต่พอถึงบ้านหิวโซเชียว....ยัดเข้าปากไปสองชิ้นเสร็จผมก็เดินเนียน ๆ ไปนั่งดูหนังจากเคเบิ้ลทีวีข้างวุธ ไม่ลืมบอกมันว่ามีแซนด์วิชอยู่บนโต๊ะ ถ้าหิวก็กินได้ มันลุกขึ้นจากโซฟาเดินเข้าครัวยกมาทั้งจาน ยื่นให้ผมอันนึง ผมส่ายหน้า กูอิ่มจริง ๆ แล้วคราวนี้.....ถ่างตาดูหนังไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ผมก็เริ่มเลื้อยนอนกอดหมอนบนโซฟา ง่วงมาก ตาจะปิดอยู่แล้ว จะขึ้นไปนอนบนห้องก็ไม่ได้...วุธมันยังนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้...ขอพักสายตาแป๊บนึงละกัน...ไม่หลับหรอก ผมบอกตัวเอง.....
*
*
*
.....สะดุ้งตื่นมองรอบ ๆ ทันที ไม่เจอวุธ ตายห่า ผมเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ นี่มันก็บ่ายกว่า ๆ แล้ว....เดินกระเซอะกระเซิงเข้าไปในครัวเห็นไก่ทอดถังใหญ่วางไว้บนโต๊ะ สงสัยวุธคงโทรสั่งมากินก่อนไปทำงานแน่ ๆ มันก็ยังจำได้ว่าผมชอบกินอะไร ส่วนไหน และกินอย่างต่ำ 4 ชิ้นถึงจะอิ่ม....ผมเดินขึ้นไปล้างหน้าล้างตาบนห้องพอออกมาส่องกระจกถึงเห็นกระดาษเล็ก ๆ มีลายมือของมันเขียนสั้น ๆ ว่าเย็นนี้จะมาหาอีก....
.....ระหว่างกินไก่ที่มันซื้อมาเผื่อ หัวผมก็คิดถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่มีทางเลือกอื่นเลย นอกจากจบกันด้วยดี จะให้กลับไปเหมือนเดิมก็ไม่ได้ มันกำลังจะหมั้น....จะให้เป็นเพื่อนกันเหรอ ผมก็ทำใจไม่ได้ สู้ห่างกันไปเลยดีกว่า ไม่ต้องเห็นหน้ากันอีก ผมจะเก็บมันไว้ในความทรงจำตลอดไป.....
.....ดังนั้น หลังจากอิ่ม ผมก็อาบน้ำแต่งตัวออกไปหากิจกรรมที่ต้องใช้เวลานาน ๆ ตัดผม ทำสีผมร้านประจำ เดินเล่นคนเดียวจนเวลาเลิกงานของอีนัน ผมก็ชวนมันไปกินข้าว ช้อปปิ้ง....พยายามทำตัวให้สดใส แม้ว่าจะอิดโรยจากการนอนน้อย ทรมานจะตายกับการทำงานไม่เป็นเวลาอย่างนี้ ผมไม่กล้านอนตอนกลางวันมาก เพราะตอนกลางคืนจะนอนไม่หลับ และมันจะเป็นปัญหาในวันต่อไปที่ต้องเข้างานรอบเช้า ตั้งแต่ 7 โมงเช้า อึดมั๊ยล่ะครับ.....
“...สวัสดีครับ...” ผมมองเบอร์ไม่คุ้นที่โชว์บนหน้าจออย่างชั่งใจ แต่สุดท้ายก็ต้องรับเพราะเกรงใจคนข้าง ๆ ดันเปิดเสียงซะดังเลย
“...ไม่อยู่บ้านเหรอ...” เสียงในสายทำให้ผมอึ้ง
“...เฮ้ย...รู้เบอร์เราได้ไง...”
“...อยู่ไหน...ทำไมไม่รอ...ผมเขียนบอกแล้วนี่ว่าจะไปหาตอนเย็น...” วุธพูดเสียงเครียด ไม่ยอมตอบคำถามผม
“...เราทำธุระอยู่...อีกนานกว่าจะกลับ...” ผมโกหก
“...ไม่เป็นไร ผมรอหน้าบ้านคุณล่ะกัน...”
“...ไม่ต้องหรอก...คุณเอาเวลาไปเตรียมงานหมั้นของคุณเถอะ...อ้อ...แล้วให้เวลากับคู่หมั้นคุณด้วย...อย่ามาเสียเวลากับเราเลย...” ผมตัดสายทันที ปิดโทรศัพท์ซะเลย สงสัยเหมือนกันว่ามันเอาเบอร์ของผมมาจากไหน พรุ่งนี้จะเอาโทรศัพท์ที่ทำงานโทรจิกถามเพื่อน ๆ ทีละคน
“...เป็นอะไรวะ...เอ้...” นันสะกิดผมเบา ๆ เมื่อเห็นผมนั่งเหม่อตั้งแต่รับสายเมื่อกี้
“...มึงว่ากูทำถูกมั๊ย................................................” ผมเล่าทุกอย่างให้มันฟัง
“...มึงก็คบเค้าในฐานะเพื่อนก็ได้นี่หว่า...”
“...เพื่อนก็อยู่ส่วนเพื่อนสิวะ...ไม่งั้นกูก็ยอมเป็นแฟนไอ้โยไปนานแล้ว...” ผมไม่อยากจะบอกอีนันว่า ไอ้โมทย์ก็ด้วย เรามีความลับกันนิดหน่อย
“...เอาเป็นว่า...ถ้ากูเป็นมึง...กูก็คงต้องทำอย่างที่มึงทำ...แต่กูคงใช้วิธีที่ไม่รุนแรงเหมือนมึงหรอก...”
“...มึงรู้มั๊ย ที่กูทำ ที่กูพูดน่ะ กูเจ็บนะโว้ย...กูไม่ได้อยากจะทำอย่างนั้นเลย...แต่ถ้ากูยังทำดีกับมัน กูไม่อยากให้มันรู้ว่ากูยังรักมันอยู่ กูไม่อยากให้มันสงสารกู....ยังไงมันก็ล้มเลิกงานหมั้นไม่ได้หรอก เซลล์จัดเลี้ยงโรงแรมกูงกจะตาย อีกวันสองวันนี้เค้าคงจ่ายมัดจำค่าห้องกันแล้ว...นี่ไม่ใช่นิยายนะมึง...ที่มันจะวิ่งหนีจากงานหมั้นมาหากู...” ผมพยายามพูดขำ ๆ แต่เสียงหัวเราะของผมมันเหมือนสมเพชตัวเอง
*
*
*
....3 ทุ่มกว่า ผมเลี้ยวรถเข้าซอยบ้าน ชะลอดูว่ามีรถวุธจอดอยู่แถวนั้นหรือเปล่า...โล่งอก...มันคงกลับบ้านไปแล้ว ผมเข้าบ้านล็อคประตูอย่างแน่นหนาตามปกติ รีบอาบน้ำ นอน ง่วงมาก ๆ พรุ่งนี้ต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืดไปทำงานอีก...พอล้มตัวลงนอน กำลังเคลิ้ม ๆ เสียงโทรศัพท์บนหัวนอนดังขึ้น นึกได้ว่ามือถือยังไม่ได้เปิดเครื่อง คนที่โทรมาต้องเป็นคนสนิทมาก ถึงได้มีเบอร์นี้ เพราะขนาดในโรงแรมผมยังไม่มีใครรู้เลย ตอนสมัครงาน ผมก็ใช้เบอร์เก่าที่ใช้เฉพาะชั้นล่าง ส่วนเบอร์ในห้องนอนนี้ก็ยังเป็นความลับอยู่.....
“...ฮาโหล...” ผมพูดเสียงยาน ๆ
“...ถึงบ้านแล้วเหรอ...” ผมกระเด้งจากเตียง ตาสว่างเลยครับ
“...โทรมาได้ไง...เอาเบอร์มาจากไหน...”
“...ไม่บอก...ผมมีวิธีของผมล่ะกัน...”
“...โทรมาทำไม...”
“...อยากรู้ว่ากลับถึงบ้านหรือยัง...ก็แค่นั้นเอง...”
“...นี่ไง...อยู่บ้าน...กำลังจะนอนแล้วด้วย...” ผมกวน
“...เออใช่...พรุ่งนี้คุณทำงานเช้านี่นา...งั้นไม่รบกวนแล้ว...ฝันดีนะครับ...”
“...เดี๋ยว...” ผมรีบรั้งมันไว้ก่อนจะวางหู
“...อะไรครับ...จะ Say Goodnight เหรอ...”
“...No…Do not call me again OK?...” ผมพูดเสียงขุ่น แต่วุธมันหัวเราะ ผมยิ่งโมโห วางโทรศัพท์ดังโครม กะว่าถ้ามันโทรมาอีก จะดึงสายออกจากเครื่องเลย
.....แค่ไม่กี่วันมานี่ มันก็ทำให้ผมหวั่นไหวไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ผมไม่อยากรักมัน ผมไม่อยากให้มันทำอย่างนี้ ยิ่งมันเข้ามาในชีวิตผมมากเท่าไหร่ ผมยิ่งเจ็บมากเท่านั้น ผมว่าการที่ต้องหักอกตัวเองน่ะ มันเจ็บกว่าตอนโดนคนอื่นทำให้อกหักนะครับ.....
*
*
*
“...เอ้...ทำไมโทรมอย่างนั้นล่ะ...” เพื่อนร่วมงานผมทักตั้งแต่ที่ตอกบัตรจนถึงออฟฟิศ จะไม่ให้โทรมได้ยังไงอ่ะ นอนไม่ถึง 3 ชั่วโมง เรื่องไอ้วุธมันลอยวนเวียนอยู่ในหัวทั้งคืน.....หลายครั้งที่มีความคิดเห็นแก่ตัวแวบเข้ามา...วุธมันจะแต่งงานก็ให้มันแต่งไปสิ เราก็เป็นเหมือนเดิมได้...ให้ไอ้วุธมันลองซะหน่อย เผื่อมันจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นผู้ชายหรือเป็นเกย์กันแน่ และถ้ามันเป็นเกย์ อีกไม่นานเค้าก็เลิกกัน หรือไม่ก็ทนอยู่กินเพื่อรักษาหน้ากันไปอย่างนั้นแหละ...แต่ถ้าวุธมันเป็นผู้ชาย ซักวันมันก็เลิกยุ่งกับเราเอง ให้เรามีความสุขสั้น ๆ ตอนนี้ดีกว่ามั๊ย ขอเป็นชู้ไปจนกว่ามันจะเบื่อเรา ยังไงเราก็เจ็บอยู่แล้วนี่....ผมต้องใช้ธรรมะเข้าข่ม...นึกถึงคำพูดพ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ที่เคยสั่งสอนไว้ ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว....ให้รู้จักละอายต่อบาป....เวรกรรมมันตามทัน....ในที่สุดผมก็ยืนยันตามความคิดเดิม เราควรจะจากกันด้วยดี ไม่ต้องเจอกันอีก แม้แต่ความเป็นเพื่อน ผมก็ให้มันไม่ได้.....
“...อย่าลืมขึ้นไปร่วมงานแต่งสิ้นเดือนนี้นะจ๊ะ...” พนักงานแผนกจัดเลี้ยงคนที่ดูแลงานไอ้วุธพูดกับผมใน Canteen ระหว่างพักทานข้าวกลางวัน
“...อะไรนะ...งานหมั้นไม่ใช่เหรอ...”
“...หมั้นเช้าแต่งเย็นไง...” ผมตัวชาวาบ กินข้าวไม่ลงเลย
“...อืม...งั้นต้องลางานบินไปซื้อชุดราตรีที่ Paris ซะแล้ว...” ผมทำเป็นเรื่องขำ ๆ ทั้งที่ในใจแทบกระอัก วุธมันไม่เห็นบอกว่าจะแต่งเลยนี่หว่า ลึก ๆ แล้วผมยังแอบหวังว่ามันยังถอนหมั้นได้ แต่นี่ถ้าถึงขนาดแต่งงานกัน คงไม่มีการล้มเลิกแน่ ๆ
“...เอ้...จะหยุดไปไหนเนี่ย...” FOM (Front Office Manager) ถามทันทีที่เห็นหน้าผมหลังจากกลับมาจากพักทานข้าว ในมือมีใบลาที่ผมวางไว้เมื่อสองวันก่อน
“...ไปธุระพี่...” ผมตอบเนือย ๆ
“...ทำไมหยุดหลายวันอย่างนี้ล่ะ...” ผมลาแค่ 4 วันเองนะ ออกจากกรุงเทพฯ หลังเลิกงานจากรอบเช้า นัดพวกเพื่อน ๆ ไว้แล้วด้วย ตอน 6 โมงเย็น ไปถึงโน่นก็คงเกือบเช้า มีไอ้พวกนี้ไปด้วยหรอก ผมถึงขอหยุดแค่ 4 วัน ไม่งั้นจะหยุดเลียแผลใจซัก 1 สัปดาห์
“...พี่ให้เอ้หยุดเต็มที่สองวันละกัน...”
“...ไม่ได้พี่...นาน ๆ เอ้ขอหยุดทีนะ วันหยุดเอ้ยังเหลืออีกตั้งเยอะ พอปลายปี ฝ่ายบุคคลจะตัดยอดวันหยุด พี่ก็บังคับให้เอ้ลาทั้ง ๆ ที่เอ้ก็ไม่รู้จะลาไปทำอะไร แถมด่าว่าทำไมไม่ทยอยหยุดตอนกลาง ๆ ปีอีก....นี่ไง...ขอหยุดก็ไม่ให้หยุด...” ผมโวย
“...จะมีคนทำงานแทนหรือเปล่าก็ไม่รู้...” ปกติผมจะสงสารนะครับ แต่คราวนี้มันไม่ได้จริง ๆ
“...เวลาคนอื่นหยุด...เอ้ก็แทนให้ทุกที...โดดรอบกี่ครั้งแล้วล่ะ...เห็นไม่โวยวายก็เอาใหญ่เลยนะ...”
“...เออ ๆ ขอพี่คิดดูก่อน...ถ้าไม่มีคนทำงานแทน พี่คงต้อง Cancel ใบลาเอ้นะ...”
“...งั้นพี่ก็หาคนมาทำงานแทนเอ้ตลอดไปเลยละกัน...ยังไงเอ้ก็จะหยุด...” ผมหันหลังเดินออกมาจากห้องผู้จัดการโดยที่ยังได้ยินเสียงพี่เค้าเรียกให้กลับไปคุยกันต่อ แต่ผมไม่สนใจแล้ว โมโหมาก น้อยใจด้วย คนที่ยอมมาตลอด ไม่มีปากเสียง ต้องโดนอย่างนี้แหละ งั้นกูลาออกซะเลยดีกว่า ได้เดือดร้อนกันทั้งแผนกแน่ ๆ
“...พี่เอ้...แขกไม่ยอมจ่ายค่า Extra Person...” น้องใหม่คนหนึ่งเดินมาพูดกับผมทำตาแดง ๆ จะร้องไห้ คงโดนแขกด่ามาอ่ะดิ
“...โอเค...เดี๋ยวพี่จัดให้...” ผมคว้าเอกสารของแขกคนนั้นออกไปหน้าเคาท์เตอร์
“...Mr. Smith...” ผมเรียกแขกอเมริกันที่ยืนกอดกันกลมกับ ผู้หญิงอาชีพพิเศษคนหนึ่งที่ยืนจับแขกอยู่ข้างถนนแถว ๆ โรงแรมผม แถมยังเคยมาที่นี่ตั้งหลายครั้งจนพวกผมจำหน้าได้แล้ว
“...Yes…what’s the problem?...” เห็นสายตาที่เค้ามองมาผมก็รู้เลยว่างานนี้ต้องยาวแน่ ๆ ต่อไปผมขอแปลให้อ่านเลยนะครับ
“...ผมเชื่อว่าคุณจองห้องมาเป็นห้องเดี่ยวใช่มั๊ยครับ...”
“...ใช่...แล้วไง...”
“...ถ้าคุณต้องการจะพาผู้หญิงคนนี้ขึ้นไปบนห้อง...คุณจะต้องจ่ายให้ทางโรงแรม XXXX บาทนะครับ...มันเป็นกฎ...และทุกโรมแรมในละแวกนี้มีกฎแบบเดียวกันด้วย...”
“...กฏบ้าอะไร...ที่ประเทศกูไม่เห็นมีแบบนี้เลย...”
“...ทุกที่มีกฎที่แตกต่างกัน...และคุณกำลังยืนอยู่ที่ประเทศไทยนะครับ ไม่ใช่อเมริกา...”
“...มันไม่เห็นยุติธรรมเลย แขกกูก็ต้องเป็นแขกโรงแรมด้วยสิ...”
“...ผมก็ไม่คิดว่ายุติธรรมสำหรับเราเหมือนกัน เพราะคุณจองมา 1 คน ในห้องคุณควรจะมีคนอยู่แค่ 1 คน หรือไม่ใช่ครับ...” ผมย้อน
“...เราแค่จะไปดื่มอะไรกันเฉย ๆ...”
“...งั้นเชิญที่ล็อบบี้บาร์เลยครับ...”
“...กูจะพาผู้หญิงคนนี้ขึ้นไปแค่ 10 นาที ไปคุยกันแค่นั้นเอง...”
“...งั้นเราจะต้องให้พนักงานรักษาความปลอดภัยขึ้นไปด้วย และประตูจะต้องเปิดไว้ตลอดเวลา...โอเคมั๊ยครับ...”
“...กูต้องการคุยกับผู้จัดการ...เดี๋ยวนี้...” แขกเริ่มฉุนเฉียวโวยวายเสียงดัง
“...ได้แน่นอน...แต่คุณก็จะได้รับคำตอบแบบเดียวกับผม...” น้องที่อยู่ในเหตุการณ์ เดินเข้าไปเรียกผู้จัดการทันที
“...มีอะไรให้ผมช่วยครับ...” พี่ผู้จัดการเข้ามาเคลียร์....ผมก็ยืนอยู่ตรงนั้น...ใช้เวลานานมาก กว่ามันจะยอมจ่าย กฎก็คือกฎ ทางเรายืนยันอย่างนั้น
“...กูจ่ายก็ได้...แต่กูต้องการให้ไอ้นั่นขอโทษกู...” ไอ้ฝรั่งบ้าคนนั้นมันชี้หน้าผม
“...เอ้...ขอโทษเค้าสิ...” ผู้จัดการสั่งผม
“...ขอโทษเรื่องอะไรพี่...” ผมงง “...For what?...” ผมหันไปถามมัน
“...มึงพูดจาไม่ดีกับกู...”
“...เมื่อไหร่...ตรงไหน...ผมแน่ใจว่าผมพยายามพูดกับคุณดีที่สุดที่ผมสามารถทำได้...คนแถวนี้ก็ได้ยินบทสนทนาของเราโดยตลอด...” ผมเถียง...มันฮึดฮัดไม่ยอมท่าเดียว
“...เอ้...พี่บอกให้ขอโทษก็ขอโทษสิ...เล่นลิ้นอยู่นั่นแหละ...จะได้จบ ๆ ไปซะที...” ผมมองหน้าผู้จัดการอย่างอึ้ง ๆ โกรธมากเลยครับตอนนั้น ผมหันไปจ้องหน้าไอ้ฝรั่งบ้านั่นแล้วก็พูดโดยไม่สนใจว่าผู้จัดการยืนอยู่ข้าง ๆ
“...โอเค...คุณสามารถบังคับให้ผมพูดว่าผมเสียใจได้ ผมเสียใจ นี่ไงผมพูดแล้ว มันเป็นหน้าที่ของผม ที่ต้องปฏิบัติต่อแขกอย่างดีที่สุด แม้ว่าบางคนมันไม่สมควรที่จะถูก Treat ดีขนาดนี้ เหมือนกับว่ามันเป็นแขกระดับล่าง....คุณรู้มั๊ย ที่ผมพูดว่าผมเสียใจน่ะ ผมไม่รู้สึกผิดซักนิด เพราะผมแน่ใจว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิด...เอาเป็นว่า ผมก็ขอให้คุณมีความสุข และขอให้คุณจงภูมิใจในตัวเองที่ต้องใช้เงินซื้อผู้หญิงคนนึงเพื่อเซ็กส์...ถ้าเป็นที่บ้านเมืองคุณ...ผมคิดว่าคุณคงถูกเรียกว่า...ไอ้ขี้แพ้...” พูดจบผมก็วางเอกสารดังโครม หันหลังเดินเข้าออฟฟิศ ท่ามกลางสายตานับสิบคู่ที่มองผมด้วยความรู้สึกต่างกัน
.....พอกันที...อาชีพนี้....ไปทำงานกับแม่ดีกว่า เหนื่อยเหลือเกิน....เหนื่อยกาย...เหนื่อยใจ.....ผมเดินหน้าบึ้งไปขอใบลาออกจากฝ่ายบุคคล ไม่มีใครกล้าแซวผม ปกติผมจะเป็นคนที่อารมณ์ดีที่สุดในแผนก ใครจะแซวยังไงก็ไม่โกรธ ไม่ค่อยวีนใครง่าย ๆ แต่วันนี้ ผมเหนื่อย หงุดหงิด เครียด น้อยใจ โกรธ หลาย ๆ เรื่องมันรุมเข้ามา และอีกไม่กี่นาทีต่อมา ขณะที่ผมกำลังนั่งสงบสติอารมณ์อยู่นั้น....น้องในแผนกก็เข้ามาพูดอ้อมแอ้มกับผมว่า GM. เรียกขึ้นไปพบบนห้อง....ผมรู้แล้ว ว่าจะต้องมีเรื่องอย่างนี้ แต่ไม่เป็นไร ไหน ๆ ก็จะออกแล้วนี่ ขออลังการส่งท้ายหน่อยละกัน....ผมเขียนใบลาออกด้วยความรวดเร็ว แล้วเดินตัวปลิวจนถึงหน้าห้องผู้จัดการทั่วไป.....
***********************************T************B**************C*********************************************************************
มาต่อแล้วครับไปอ่านให้สนุกๆๆนะ
ต่อไปนี้จะพยายามไม่อู้และ