บทที่ 6
“ใจเย็นๆน่าที่รัก มันตามมาไม่ทันแล้ว รถความเร็วลงได้แล้ว เราอยู่ในเมืองนะ”
เสียงหนึ่งดังขึ้น จากที่นั่งด้านข้างคนขับ มันทำให้ผมรู้ว่านอกจากผมและหญิงสาวคนขับแล้วยังมีผู้ชายอีก 1 คนนั่งมาในรถด้วย หญิงสาวชะลอความเร็วลง แต่ทำท่ากระฟัดกระเฟียดใส่ผู้ชายคนนั้น แล้วก็ต่อว่าต่อขานว่าเขามัวแต่กินเหล้าเมา จนต้องให้เธอมาขับรถแทน
นี่ถ้าเธอไม่ขับเร็วอย่างนี้ คงได้ตายกันหมด แล้วก็หันมาด่าผมฉอดๆ ว่าเป็นเพราะผมที่ลากเธอกับคนรักเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ด้วย เธอไล่ให้ผมลงจากรถ แต่แฟนหนุ่มของเธอห้ามไม่ให้หยุดรถ เพราะเดี๋ยวพวกนั้นตามมาทัน เธอเลยกลัว ไม่ยอมจอดให้ผมลง แต่ก็นั่งบ่นนั่นบ่นนี่ไปเรื่อย จนกระทั่งชายหนุ่มคนนั้นต้องทำเสียงเข้มไม่ให้เธอพูด นั่นแหละเธอถึงเงียบลงได้ แต่ก็ยังทำหน้าง้ำอยู่”
“คนพวกนั้นเป็นใครเหรอน้องชาย”
เขาถามผมโดยไม่หันมา อุปทานหรือเปล่าไม่ทราบผมรู้สึกว่าเสียงเขาคุ้นหูเหลือเกิน เหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน
“ไม่ทราบครับผมไม่รู้จักคนพวกนั้นเลย” ผมบอกเขาไปตามตรง
“อยู่ๆพวกนั้นก็ตามไล่ล่าผม”
“แล้วพวกนั้นตามไล่ฆ่านายมาจากที่ไหนล่ะ” เขาถามอีก
“จากในบาร์ครับ ผมไปเที่ยวกับเพื่อนๆมาหลังจากเลิกงาน..........”
ผมไม่ได้บอกออกไปว่าผมเป็นนักมวย เพราะกลัวว่าเขาจะหาว่าผมขี้ขลาดเป็นนักมวยแท้ๆแต่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนแทนที่จะต่อสู่ แต่แหม มากันเป็นโขยงพร้อมอาวุธครบมือขนาดนั้น ต่อให้เป็นนักมวยที่เก่งกาจแค่ไหน ก็ต้องวิ่งหนีเอาตัวรอดทั้งนั้นแหละ รักษาชีวิตตัวเองไว้ดีกว่าจะยอมรักเกียรติโดยที่ต้องเอาตัวไปรับกระสุน
“เรากำลังเต้นอยู่ดีๆก็เผอิญมีเสียงปืนดังขึ้น แล้วไฟก็ดับลง จากนั้นความชุลมุนก็เกิดขึ้น ผมกับเพื่อนวิ่งหนีออกมา แล้วพวกนี้ก็วิ่งไล่ล่าผมกับเพื่อน เขามากันกลุ่มใหญ่มากครับ เราเลยหนีอย่างเดียวครับ” ผมเล่าไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
“จะมีอะไรล่ะคะที่รัก นอกจากเขม่นหน้ากัน หรือไม่ก็เมาเหยียบเท้ากัน ไม่ก็เหล่หญิงคนเดียวกัน วัยรุ่นสมัยนี้ก็ดีแต่หาเรื่อง”
สาวคนขับพูดอย่างเหยียดๆ ท่าทางคงจะยังไม่หายโกรธผมที่ตัวเองต้องเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ร้ายๆโดยไม่ตั้งใจ
“เปล่านะครับ พวกผมเต้นกันอยู่ดีๆไม่ได้ไปหาเรื่องกับใคร แล้วตอนที่อยู่กันในบาร์ก็ไม่ได้ถูกใครเขม่นด้วยครับ ถึงเราจะเฮฮากัน แต่ก็เป็นไปอย่างเรียบร้อย ไม่ได้ไปสร้างความอึดอัดคับข้องใจให้ใครเลยนะครับ”
ผมบอกเขา พลางนิ่วหน้า รู้สึกเจ็บแปลบที่ชายโครง ผมเอามือไปแตะดูก็เห็นว่ามีเลือดซึมออกมาจากแผลรอยกระสุนบนเสื้อ ผมเผลอเอามือกดแน่นตรงรอยนั้นเพื่อระงับความเจ็บปวด
“แล้วนี่เราจะไปไหนล่ะ”
“เอ้อ”
ผมอับจนคำตอบ ไม่รุ้เหมือนกันว่าจะไปไหนดี จะกลับไปที่ค่ายมวยที่พำนักก็กลัวว่าไอ้พวกนั้นจะตามผมไปที่นั่น แล้วหาโอกาสทำร้ายเฮียเข้มกับไอ้น้อยอีก หลังจากที่นั่งคิดทบทวนเหตุการณ์ไปมาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนนี้ผมชักจะเริ่มมั่นใจแล้วว่า คนพวกนั้นต้องเกี่ยวข้องกับผุ้มีอิทธิพลในวงการมวยแห่งภาคตะวันออกคนนั้นแน่ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะจงใจไล่ฆ่าพวกผมทำไม เหมือนตั้งใจจะกวาดล้างให้สิ้นซาก ไม่ต้องมีนักมวยในสังกัดกันเลย
ผมได้แต่นึกหวังในใจว่า เฮียเข้มกับไอ้น้อย รวมถึงเพื่อนนักมวยในค่ายที่ไม่ได้ไปด้วย คงจะปลอดภัย และสามารถที่จะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายกับค่ายมวยของเราได้ แล้วก็นึกภาวนาให้เพื่อนๆที่ประสบชะตากรรมเดียวกันสามารถที่จะหลบหลีกได้จนปลอดภัย
ความเจ็บแปลบแล่นริ้วขึ้นมา ผมกัดกรามแน่น เพื่อระงับความเจ็บปวด รู้สึกตาลายจนมองอะไรพร่ามัวไปหมด หูอื้อจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงชายหนุ่มคนนั้นที่ถามย้ำอีกครั้ง
“ว่าไงล่ะน้องชาย อยากไปไหน พวกเราจะได้ไปส่งให้”
“นี่เรียวคะ ทำไมไปพูดอย่างนั้นล่ะ อย่าหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวดีกว่านะคะ ส่งเขาที่ข้างทางตรงไหนก็ได้ แล้วเราก็รีบกลับกรุงเทพกันดีกว่านะคะ”
“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ แซนดี้” เสียงของฉายหนุ่มเจือด้วยแววตำหนิ
“คุณก็เห็นว่าน้องชายคนนี้ หนีการตามไล่ล่าจากพวกคนร้ายมา จะปล่อยเขาทิ้งๆขว้างๆไว้ข้างทางได้ยังไง เดี๋ยวเกิดคนพวกนั้นตามมาเจอเข้าก็แย่น่ะสิ”
“ก็เรื่องของเขาสิคะ ไม่ใช่เรื่องของเราสักหน่อย นี่ถ้าเขาไม่กระโดดขวางถนนแล้วถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามานั่งในรถเราแบบนี้ เรื่องยุ่งยากนี่ก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก เราก็คงจะกลับถึงกรุงเทพไปตั้งนานแล้ว คุณอย่ามัวมาห่วงคนอื่นเลยค่ะ เรียว เอาตัวเองให้รอดเถอะ แค่นี้ก็เมาจะแย่อยู่แล้ว”
“ผมไม่ได้เมาจนไม่รู้เรื่องอะไรขนาดนั้นหรอก แค่มึนๆเท่านั้นเองนะแซนดี้ แต่ผมก็พอจะมีสติรู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ”
“อย่างเช่น การเอาตัวเข้าไปแส่เรื่องของชาวบ้านอย่างนี้เหรอคะ” หล่อนเริ่มแหวใส่เขาอีก
“ผมทำเพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เด็กคนนี้กำลังเดือดร้อนนะ แล้วบังเอิญเราผ่านมาเจอพอดี จะนิ่งดูดายได้ไง”
“คนอื่นก็มีตั้งเยอะแยะเข้า ที่พร้อมจะเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องชาวบ้านแบบเดียวกันกับคุณ ทำไมต้องเป็นเราล่ะคะ ทำไมต้องเป็นคุณทุกครั้งที่ชอบยื่นมือเข้ามาช่วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ซึ่งไม่ใช่เรื่องของคุณแม้แต่นิดเดียว การกระทำของคุณมันทำให้เราสองคนเดือดร้อนนะคะ”
“แค่กลับกรุงเทพล่าช้ากว่าที่ควรเนี่ยนะ” ชายหนุ่มย้อนถาม
“ไม่ใช่แค่เรื่องนั้นเรื่องเดียว คุณไม่คิดหรือคะว่าถ้าพวกนั้นตามล่าเราบ้างล่ะ ที่ไปขัดขวางการทำงานของพวกเขา แล้วถ้ามันจำเลขทะเบียนรถของแซนดี้ได้ แล้วตามหาตัวแซนดี้ แล้วมาฆ่าปิดปากล่ะคะ คุณจะว่าไง”
เสียงหญิงสาวบ่งบอกถึงความโกรธเคือง แฝงด้วยความหวาดหวั่น
“ผมว่าคงไม่หรอก อย่าคิดมากเลยน่าที่รัก คุณขับรถออกตัวแรงขนาดนั้น แล้วขับเร็วมากจนกระทั่งถ้าผมไม่บอกให้คุณขับรถดีๆ คุณคงขับรถชนชาวบ้านวินาศสันตะโรแน่ๆ ทั้งๆที่เป็นถนนที่มีรถราวิ่งกันไปมา คุณก็ปาดซ้ายปาดขวาอย่างรวดเร็ว พวกนั้นคงไม่มีทางมองตามเลขทะเบียนคุณได้ทันหรอก แล้วอีกอย่างแถวนั้นก็ค่อนข้างมืดด้วยนะ”
“แล้วทำไมคุณไม่ลงมาขับรถเองล่ะคะ ให้แซนดี้ขับทำไม”
หญิงสาวต่อว่าเสียงงอนๆ
“ผมแค่ต้องการเคารพกฎข้อบังคับของตำรวจต่างหาก แต่ถ้าคุณเห็นว่าเรื่องนี้มันสำคัญมากถึงขนาดที่เราต้องมานั่งทะเลาะกันล่ะก็ ผมขับให้ก็ได้” ชายหนุ่มทำน้ำเสียงฉุนโกรธ
แล้วทั้งคู่ก็เริ่มต้นทะเลาะกันอีกครั้งโดยที่สาวเจ้ายังคงเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เธอต่อว่าต่อขานเขาที่พาเธอมาพัทยาทั้งที ก็เอาแต่ทำงาน แล้วก็ไปเที่ยวกับเพื่อนๆในผับดื่มกินจนกระทั่งเมามาย โดยไม่สนใจเธอที่มาด้วย แถมซ้ำยังให้เธอต้องมาร่วมในเหตุการณ์ที่น่าอันตรายเพียงเพราะเขาใจดีไม่กล้าขับรถผ่านไป
เธอต่อว่าที่เขาเอาแต่สนใจเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ แต่ไม่เคยแม้แต่จะคิดเอาอกเอาใจเธอเลย เขาก็โต้ตอบว่า เขามาพัทยาบ่อยๆ เพราะเขาต้องมาติดต่อเรื่องงานการ เพราะเขาดูแลภูมิภาคแถวนี้ ซึ่งเธอก็รู้ดีอยู่แล้ว การที่เขาพาเธอมาด้วย ก็เพราะเธอบ่นว่าเหงา ไม่อยากอยู่ที่กรุงเทพคนเดียว เขาก็เลยพามาด้วย
ทั้งๆที่ก็บอกกันตั้งแต่แรกแล้วว่ามาทำงาน ซึ่งเขาก็พยายามที่จะงานให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อที่จะได้พาเธอมาเที่ยวด้วย แล้วการที่เขาช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อน ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนพึงกระทำต่อเพื่อนร่วมโลก เขาพยายามอธิบายให้เธอเข้าใจ แต่เธอก็ไม่มีทีท่าว่าจะสงบยังคงขับรถกระชากๆด้วยอารมณ์โกรธที่คุกรุ่น จนกระทั่ง ชายหนุ่มที่นั่งด้านข้างเธอต้องบอกให้หยุดรถ เพราะเขาจะลงไปขับเอง เธอจึงเบรกรถอย่างแรง จนหน้าทิ่มไปตามๆกัน
ตลอดเวลาเหล่านั้น ผมเอนตัวลงกับเบาะแล้วนั่งนิ่งๆฟังคนทั้งคู่ทะเลาะกันอย่างสงบ ไม่มีแรงจะพูดเพื่อขอโทษที่รบกวนพวกเขา หรือแม้แต่จะเอ่ยปากให้พวกเขาจอดรถเพื่อปล่อยผมลง แม้กระทั่งตอนนี้ ซึ่งรถได้จอดสนิทลงแล้ว เสียงสบถของผู้ชายคนนั้นดังขึ้นอย่างโกรธ พร้อมกันนั้นเสียงเปิดประตูดังขึ้น เขาลงจากรถและอ้อมไปด้านข้างคนขับ ในขณะที่ผู้หญิงคนนั้นยังนั่งนิ่งๆตาคว่ำ หน้างอง้ำ
มีอะไรอุ่นๆไหลซึมเปรอะเสื้อของผมจนเปียกไปหมด ผมยกมือข้างที่กดอยู่ตรงชายโครงขึ้นมาดู เห็นเลือดตัวเองไหลเลอะเต็มฝ่ามือ ผมรู้สึกหน้ามืด คล้ายจะเป็นลม ความปวดร้าวแผ่ซ่านจากบาดแผลแล่นไปทั่วตัว ตาลาย หูอื้อ สมองอึงอลไปหมด ได้ยินเสียงคนทะเลาะกันดังแว่วๆ
มีเสียงเปิดประตูอีกครั้ง ผมพยายามจะมอง สิ่งที่ผมเห็นเพียงลางๆคือหญิงสาวคนนั้นลงจากรถไปอย่างกระฟัดกระเฟียด โดยที่มีชายหนุ่มคนนั้นก้าวขึ้นมานั่งแทนที่คนขับ เขานั่งก้มหน้า มือกำอยู่ตรงพวงมาลัย รอจนกระทั่งแฟนสาวของเขาเปิดประตูขึ้นมานั่งข้างๆแล้ว เขาจึงเงยหน้าขึ้นมา แล้วเอี้ยวคอมาทางผม
“เฮ้ย เป็นอะไรไปน่ะ น้องชาย หน้าตานายซีดเซียวมาก ไม่สบายหรือบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
น้ำเสียงแสดงความกังวลใจเมื่อมองเห็นหน้าผม เขาเปิดไฟในรถขึ้นเพื่อมองผมชัดๆ
“นี่อย่ามาเป็นอะไรในรถฉันนะ” เสียงหญิงสาวดังขึ้น
“นายถูกยิงนี่นา”
น้ำเสียงของเขาแสดงออกถึงความตื่นเต้นตกใจเมื่อเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากตัวผม
“แย่แล้วสิ เรียวคะ ทำไงดี เขาจะตายในรถเราไหมคะ บอกแล้วไงว่าอย่ายุ่ง เกิดตายขึ้นมาจะซวยกันใหญ่”
“ป..ล่อ...ย....ปล่อย ผมลง...แถ....ว แถวนี้ ก็.ได้...ครับ”
ผมบอกเขาอย่างอยากเย็น ชายหนุ่มทำเสียงดุใส่ผม
“ใครจะทำอย่างนั้นเล่าไอ้น้องชาย อย่างงั้นมันก็ใจดำเกินไปแล้ว เอางี้เดี๋ยวฉันไปส่งนายที่โรงพยาบาลนะที่ใกล้ที่สุดดีกว่านะ”
เขาหันกลับไปแล้วออกรถทันทีมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลอย่างเร็ว
“นี่คุณกำลังขับรถอย่างเร็วเลยนะ ไม่กลัวตำรวจจับแล้วเหรอ ทั้งกินเหล้า ทั้งขับรถเร็ว”
“แซนดี้ นี่มันเป็นเรื่องเร่งด่วนนะ จะรอช้าได้ไง อีกอย่างผมก็ไม่ได้ดื่มเหล้าจนเมามายไม่รู้เรื่องนี่ บอกกี่ครั้งแล้ว ผมยังขับได้สบายเห็นไหม ถ้าโดนจับจริงผมว่า ตำรวจคงจะเห็นใจเพราะรถเรามีคนบาดเจ็บอยู่ด้วย”
“เรื่องมันชักจะยุ่งไปใหญ่แล้วนะคะเรียว หากพาเขาไปโรงพยาบาล พวกนั้นจะไม่กักตัวเราไว้หรือคะว่าเราเป็นคนทำร้ายเขา ”
หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเครียดๆ
“เอาน่า ถึงแล้วค่อยว่ากันนะ”
เขาพูดอย่างใจเย็น ทั้งๆที่ขับรถเร็วอย่างกับพายุเหมือนคนใจร้อน ดีนะ ที่ออกมายังเส้นสุขุมวิทกันแล้ว ผมรับรู้จากความคุ้นเคยที่มีต่อสถานที่
“ปล่อยเขาไว้ใปไม่ดีกว่าหรือคะ แล้วเราก็กลับกัน พร้อมทั้งลืมเรื่องทั้งหมดนี่ซะ แซนดี ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วยเลย” เธอขอร้องเขา
“ไม่ได้หรอกแซนดี้ นี่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตาย เรารับเขาขึ้นรถมาแล้ว ตอนนี้เขาถูกยิงอาการหนักมาก ถ้าไม่ช่วยเขาอาจจะตายได้”
เขาไม่ยอมฟังคำขอร้องของแฟนสาว
“กลับถึงกรุงเทพแล้ว เราคงต้องคุยกันหน่อยนะคะเรียว”
“เอาไว้ให้ถึงตอนนั้นก่อนเถอะ ตอนนี้ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว รับเขาขึ้นรถมาแล้ว ก็ต้องไปส่งเขาให้ถึงไปส่งเขาให้ถึงที่หมาย เรื่องอื่นค่อยว่ากัน”
เขาตอบเสียงเรียบ หญิงสาวพ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างแรง
“อย่ามาทำให้รถของแซนดี้เปื้อนเลือดแล้วกัน รถเพิ่งซื้อมาใหม่ๆ เดี๋ยวจะซวย”
นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่ผมได้ยิน ก่อนที่เปลือกตาทั้งสองข้างของผมจะปิดลง
“ผมมาฟื้นตัวอีกทีหลังจากผ่านไปหนึ่งวัน หมอได้ผ่าตัดเอากระสุนออกจากชายโครงของผมแล้ว โชคดีที่พวกนั้นยิงพลาดเป้าไม่ได้ถูกอวัยวะสำคัญแต่อย่างใด ไม่งั้นผมคงจะไม่สามารถมีชีวิตได้จนถึงทุกวันนี้ ผมนอนพักฟื้นในโรงพยาบาลนานประมาณหนึ่งสัปดาห์ ก่อนจะกลับไปบ้านพักที่ค่ายมวย
เฮียเข้มกับไอ้น้อยรู้ข่าวจากทางโรงพยาบาลเมื่อผมนอนในโรงพยาบาลผ่านไปแล้วสามวันตอนแรกแกนึกว่าผมตายแล้ว เพราะนักมวยที่ไปด้วยกันกับผมในวันนั้น เหลือรอดกลับมาแค่ 4 คน และถูกยิงตายหนึ่งคน พวกนั้นบอกว่าผมหายไป แล้วก็พยายามออกตามหาผม ตามสถานที่ต่างๆที่คิดว่าผมจะไปหลบซ่อนตัว ก็เลยคิดว่าผมคงถูกฆ่าตายแล้ว ไม่มีใครคิดว่าผมอยู่ในโรงพยาบาลแล้วรอดตายสักคน”
“เฮียเข้มดีใจมากที่ผมยังมีชีวิตรอดอยู่ ไอ้น้อยมาบอกผมว่าเฮียเข้มได้ไปแจ้งที่สถานีตำรวจว่านักมวยในสังกัดเสียชีวิตเพราะถูกยิง แกสงสัยว่าเป็นฝีมือของผู้มีอิทธิพล แต่ตำรวจบอกว่าหลักฐานอ่อนเอาผิดไม่ได้ อาจจะเป็นการตีกันธรรมดาในผับ ในบาร์ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะอาจจะเกิดการเขม่นกันขึ้นได้
แต่ตำรวจก็รับปากว่าจะคลี่คลายคดีให้ ระหว่างนี้แกก็เลยรอให้ตำรวจจัดการ แต่ในใจแกก๊คิดว่าเรื่องนี้ก็คงจะเงียบตามเคย เพราะผู้มีอิทธิพลในวงการมวยภาคตะวันออกท่านนี้เป็นผู้ที่มีเส้นสายใหญ่โต และรู้จักคนมากมาย ไม่มีใครกล้ายุ่ง”
“ผมเพิ่งมารู้จากนางพยาบาลที่ดูแลผมในภายหลังว่า คืนวันเกิดเหตุ ทางโรงพยาบาลได้รับตัวผมไว้เป็นคนไข้ฉุกเฉิน ซึ่งมีชาย-หญิงสองคนเป็นผู้พามา โดยได้แจ้งว่าผมถูกยิงจากคนกลุ่มหนึ่ง มีตำรวจมาสอบปากคำสองคนนั้น แล้วก็ปล่อยตัวพวกเขาไปเมื่อเห็นว่าไม่เกี่ยวข้อง และบอกว่าอาจจะเรียกมาเป็นพยานในภายหลัง ซึ่งชายหนุ่มคนนั้นก็ตกลง แต่หญิงสาวที่มาด้วยแสดงอาการไม่พอใจจนออกนอกหน้า”
“ชายหนุ่มคนนั้น ลงชื่อเป็นเจ้าของไข้ผม เนื่องจากว่าไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นใคร อยู่ที่ไหนมีญาติหรือเปล่า แถมซ้ำยังให้ทางพยาบาลส่งบิลค่ารักษาไปเก็บที่เขาด้วย นางพยาบาลคนเดิมบอกว่า ท่าทางแฟนสาวของเขาจะไม่พอใจมาก แสดงความโกรธให้เห็นจนออกนอกหน้า เธอไม่พอใจที่แฟนของเธอช่วยเหลือผม รวมถึงออกค่ารักษาให้ด้วย ซึ่งผู้ชายคนนั้นก็บอกว่า ไม่เป็นไร คนเดือดร้อนมาก็ต้องช่วยเหลือ เขาทนนิ่งดูดายไม่ได้หรอก หลังจากนั้นคนทั้งคู่ก็จากไป”
“ผมขอชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ของชายหนุ่มที่ช่วยเหลือชีวิตผมไว้เพื่อที่จะโทรไปขอบคุณเขา แต่นางพยาบาลให้ได้แต่ชื่อ และที่อยู่ที่ทำงานของเขาเท่านั้น ผมอ่านทวนชื่อของเขาหลายครั้ง “เรียว รัตนมณี” ชื่อสั้นๆแต่เป็นชื่อที่ผมคิดว่ามันเพราะที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา
ผมนึกถึงตอนที่ผมนั่งอยู่ในรถ ผู้หญิงคนนั้นเรียกชื่อแฟนของเธอหลายครั้งด้วยชื่อนี้ เสียงของเขาก็ดูคุ้นหูเหลือเกิน ใหนจะหน้าตาที่ผมเห็นลางๆนั้นอีก ถ้าความรู้สึกไม่ได้หลอกตัวเองเพราะว่าผมเจ็บปวดบาดแผลมากเกินไป ผมก็คิดว่าเขากับคนที่เคยช่วยชีวิตผมตอนที่ผมหนีออกจากบ้านมาคราวนั้น น่าจะเป็นคนเดียวกัน
ผมยิ้มให้กับตนเอง นึกแปลกใจว่า ทำไมมันจึงบังเอิญแบบนี้หนอ เขาช่วยผมไว้ถึงสองครั้งแล้ว เสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเขาชัดๆ เพราะผมกำลังหูอื้อ ตาลายจากการบาดแผลที่มันทวีความเจ็บปวดขึ้นเรื่อยๆ ถ้าผมอยู่ในภาวะปกติกว่านั้นก็ดีสิ จะได้ขอบคุณเขาแล้วบอกว่าผมคือใคร ผมไม่รู้ว่าเขาจำผมได้หรือเปล่า แต่ผมน่ะ จำหน้าตาและน้ำเสียงเขาได้จนขึ้นใจ”
อยู่ๆเด็กหนุ่มก็หยุดเล่า เขาเดินตรงเข้ามาหาผมที่นั่งอยู่หน้ากระจก แล้วถอดเสื้อออกจากตัว ผมมองเขาเลิ่กลั่ก ก็เห็นเขามองผมอยู่ก่อนแล้ว เขายิ้มหวานให้กับผม
“นี่เห็นไหม รอยแผลเป็นจากการถูกยิงคราวนั้น”
เดียร์ชี้ให้ผมดูรอยแผลเป็นบนผิวหนังตรงแถวชายโครงที่เกิดจากกระสุนปืนที่เข้าไปฝัง ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เขาไม่ได้จะทำอะไรผมอย่างที่คิด แต่ผมก็คิดไม่ถูกเสียทีเดียวหรอก เพราะเขาเดินเข้ามาหาผม แล้วสวมกอดผมไว้แนบแน่น โน้มตัวลงมาแล้วเอาหน้าซุกไว้ที่ไหล่ของผม เขาแอบหอมแก้มผมฟอดใหญ่
“เรียวเป็นคนจิตใจดีจริงๆ ช่วยผมถึงสองครั้งสองครา”
เขาขโมยจูบผมอีกครั้ง ก่อนจะพูดต่อว่า
“ผมเริ่มรู้สึกว่ารักคุณมากตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าคุณช่วยเรื่องค่ารักษาพยาบาลให้ผม สองครั้งแล้วที่คุณช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จักกัน แล้วก็บังเอิญเสียด้วยที่คนๆนั้นดันเป็นผม”
เขาบอกความรู้สึกในใจที่เขามีต่อผมอีกครั้ง
“นี่ไง ฉันถึงคิดว่ามันเป็นความซวยของฉันจริงๆ ที่ดันไปเจอนายตั้งสองรอบ”
ผมโต้ตอบเขาไปอย่างไม่ใส่ใจความรู้สึกของเขา
“ไม่ใช่ครับ เรียวคิดดูดีๆนะ นี่อาจจะเป็นบุพเพสันนิวาสก็ได้ ชาติก่อนเราต้องเคยทำบุญร่วมกันมา เราอาจจะเป็นแฟนกันมาก่อน แล้วก็สาบานกันว่าจะมาเจอกันอีกในชาติต่อๆไป ไม่อย่างนั้นทำไมเราต้องเจอกันโดยบังเอิญล่ะครับ ทำไมคุณต้องมาที่พัทยานั่นในวันนั้น แล้วทำไมแฟนคุณคนนั้นต้องผ่านเส้นทางนั้นด้วย ทุกอย่างมันดูเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญที่จงใจมาก ผมน่ะนะเชื่อว่าเราต้องเกิดมาเพื่อเป็นของกันและกัน ผมคิดว่าผมจำได้แล้วว่าเราน่ะต้องเป็นแฟนกันแน่ๆ แต่คุณน่ะยังจำไม่ได้”
“พูดบ้าบออะไรของนายเนี่ย”
ผมถามเขา นึกรำคาญการทึกทัก พูดเองเออเองของหมอนี่ เดียร์กระชับอ้อมแขนกอดผมแน่นเขา จากนั้นก็จูบที่แก้มผมแรงๆ ก่อนใช้ลิ้นไซร้เข้าไปตรงติ่งหู และใบหูด้านใน จนผมขนลุกซู่
“เรียวนี่ ดื้อจริงๆเลย ยอมรับซะก็สิ้นเรื่องว่านี่คือชะตากรรมของเราสองคน เราเกิดมาเพื่อที่จะรักกันและกัน คุณถึงต้องบังเอิญมาช่วยผมอยู่เรื่อยๆไงครับ”
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจยืดยาว
“พูดกับนายทีไร มีแต่เรื่องปวดหัว เพราะนายหน้าด้านเหลือเกิน คนเขาไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย ก็ยังจะพยายามอยู่ได้ เป็นฉันถอดใจ ไม่มายุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว”
“ผมไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆหรอกครับ อดีตนักมวยอย่างผม ฝึกฝนร่างกายยอมรับสภาพความเจ็บปวดมาเยอะ จิตใจก็เคยถูกทำร้ายมาแล้ว ผ่านเรื่องร้ายแรงมาก็เยอะ แต่ผมก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ สำหรับเรื่องแค่นี้ ผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆอยู่แล้ว จะไม่มีวันถอยหนีจนกว่าคุณจะยอมรับรักผม ยอมเป็นแฟนผม ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหน หรือใช้เวลานานเท่าใดที่จะเปลี่ยนจิตใจคุณ ผมก็จะพยายามทำจนสุดความสามารถเลย”
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดซ้ำ เบื่อแล้ว ว่าแต่จบหรือยังล่ะ เรื่องเล่าเช้านี้ของนายน่ะ”
ผมเหน็บแนมเขา พลางขยับตัวเพื่อให้หลุดพ้นจากการกอดของเขา แต่ก็ไม่สามารถคลายอ้อมแขนของเขาได้
“ยังไม่หมดหรอกครับ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่คุณยังไม่รู้”
“เล่ามาสิจะมาอมพะนำอยู่ทำไม”
ผมเร่งให้เขาเล่าออกมาให้หมด เพราะอึดอัดกับสภาพการณ์ในตอนนี้ ดูเหมือนไม่ว่าผมอยู่ตรงไหน ก็ไม่วายจะถูกลวนลามจากเขาจนได้
“ไม่หิวข้าวเหรอครับ” เขาถามผม
“ก็กินแล้วนี่”
“นั่นมันอาหารเช้า นี่มันก็บ่ายจวนจะเย็นแล้ว คุณเพิ่งมีอาหารตกถึงท้องแค่มื้อเดียว ไม่ได้นะครับเสียสุขภาพแย่ เดี๋ยวผมจะทำอาหารให้ทานนะครับ หรือถ้าไม่ชอบจะให้ผมออกไปซื้ออาหารข้างนอกให้ทานก็ได้”
เขาอิงศีรษะซุกซบกับผม ตอนแรกผมตั้งท่าจะปฏิเสธ เพราะนึกโมโหการท่ามาก ยืดเยื้อของเด็กหนุ่ม
ผมมีความรู้สึกเหมือนกับว่าการที่เขาไม่เล่าจนหมด แล้วกั๊กเอาไว้ เป็นเพราะเขาหาทางที่จะอยู่กับผมให้มากที่สุด เพื่อจะได้ลวนลามผมตามอำเภอใจ เพราะเขาก็คงจะคิดแบบเดียวกับผมว่า เมื่อออกจากสถานที่แห่งนี้ไปได้ ก็อย่าหวังเลยว่าจะมีโอกาสได้เข้าใกล้ผมอีก แต่แล้วความคิดผมก็สว่างวาบขึ้น หากผมให้เขาออกไปข้างนอกอีกครั้งเพื่อซื้ออาหารมาให้ผมทาน ผมก็จะมีเวลาหนีไปจากที่นี่ได้ คิดได้ดังนั้น ผมก็เลยรีบรับมุขทันที
“อื้อ จริงสินะ ชักเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาซะแล้วสิ”
“เห็นไหม ว่าแล้วว่าคุณต้องหิว กินอะไรดีครับ ผมทำให้กินเอาไหม”
เขาจูบแก้มผมอย่างรักใคร่อีกครั้ง ผมพยายามขืนตัวหนี แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงกอดไม่ปล่อย
“ไม่เอา ไม่อยากจะท้องเสีย ไปซื้อมากินดีกว่า”
“เรียวล่ะก็ ผมทำอาหารอร่อยนะครับ แต่ไม่เป็นไร ไปซื้อกินก็ได้ ว่าแต่อยากได้อะไรเป็นพิเศษไหมครับ”
ผมพยายามนึกถึงรายชื่ออาหารที่จะกิน ซึ่งต้องใช้เวลาในการทำ เพื่อจะได้ถ่วงเวลาให้เขาไปนานๆหน่อย
“ต้มยำรวมมิตร , ยำปลาหมึก , คะน้าปลาเค็ม , พะแนงหมู , แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย , กระเพราไข่เยี่ยวม้า , ทอดมันกุ้ง ........”
ผมบอกเมนูอาหารมื้อเย็นตามแต่จะนึกได้ เขายิ้มเจ้าเล่ห์ แววตาที่ผมสังเกตเห็นจากในกระจก บ่งบอกว่าเขารู้เท่าทันผมทุกอย่าง เขาแกล้งกดจมูกลงบนซอกคอผมแรงๆแล้วจูบแบบเน้นๆก่อนจะผละออกจากผมอย่างเสียดาย
“ทั้งหมดนี้แหละที่อยากกิน เอ้อ.....เยอะไปหน่อย แต่มันรู้สึกหิวน่ะ ของพวกนี้ก็ของชอบด้วย นายไปซื้อให้ได้ไหมล่ะ”
ผมถามอย่างท้าทาย เขายิ้มกริ่ม
“ถ้าหากยอดรักของผมคิดว่าจะทานอาหารพวกนี้หมดล่ะก็ ผมก็ยินดีที่จะไปซื้อมาให้ทานนะครับ แต่ว่าเราต้องไปซื้อด้วยกันนะ”
“หา........”
ผมอุทานอ้าปากค้าง นึกงงกับเจ้าหมอนี่ เขาคิดอะไรของเขากันแน่นะ
“ไปด้วยกันจะได้ช่วยกันเลือกน่ะ”
“นายกลัวว่าถ้าทิ้งฉันไว้ที่นี่ ฉันจะหนีนายเหรอ”
ผมถามเขาไปตามตรง เพราะไม่แน่ใจว่า การที่เขาไม่ทิ้งผมไว้ตามลำพัง เป็นเพราะกลัวว่าผมจะหนีอีกหรือเปล่า แต่การที่เขาพาผมไปด้วย มันก็ไม่ได้เป็นการการันตีว่าผมจะไม่หนีนี่นา เด็กหนุ่มส่ายหน้า แล้วพูดยิ้มๆกับผม
“ไม่กลัวหรอกครับ เพราะถ้าผมจะทิ้งคุณไว้ที่นี่ ผมก็คงจะจับคุณมัดไว้อย่างเดิม อาจจะโปะยาสลบคุณอีกครั้ง แล้วล๊อคห้องไว้ให้แน่นหนา คุณก็หนีไปไหนไม่ได้แล้วครับ”
จริงสินะ ผมคิด เขาสามารถที่จะทำอย่างนั้นก็ได้หากจะทำ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ทำอย่างนั้น
“ทำไม” ผมถามเขาอย่างสงสัย
“เพราะว่า.........” เด็กหนุ่มมองผมด้วยแววตาที่จริงใจ
“ผมไม่ได้จับคุณมาเพราะเจตนาไม่ดีนะสิ ผมทำอย่างนี้เพียงเพราะว่าอยากจะมีโอกาสใกล้ชิดกับเรียว อยากจะขอร้องให้คุณเป็นคนรักของผม การมัดคนรักให้สิ้นอิสรภาพมันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผมไม่อยากทำให้คุณเกิดความอึดอัดรำคาญใจน่ะครับ”
“แล้วการให้ฉันออกไปด้วยกับนายเนี่ย มันจะดีกว่าหรือ”
ผมหยั่งท่าทีของเขา ดูว่าเขาคิดอย่างไร และมองหาว่าจะมีช่องทางหรือโอกาสให้ผมหนีได้มากน้อยแค่ไหน
“อื้อ ...ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ ว่ามันจะดีกว่าหรือแย่กว่า ผมแค่อยากปล่อยให้เรียวได้เป็นอิสระบ้าง ได้ออกไปเดินเล่นข้างนอก ยืดแข้งยืดขา รับอากาศดี ไม่ต้องมาอุดอู้อยู่ในห้องแคบๆแบบนี้ อยากไปเลือกซื้อกับข้าวที่เรียวชอบ มากินกันสองคน ผมไม่กลัวหรอกครับว่าเรียวจะคิดหนีหรือเปล่า เพราะอย่างน้อยๆผมก็ได้แสดงให้เรียวได้รู้ว่า ผมจริงใจกับเรียวแค่ไหนนะครับ แล้วผมก็คิดว่าเรียวคงไม่อยากทำให้เรื่องมันยุ่งยากไปกว่านี้แน่ๆ”
เด็กหนุ่มตอบผมด้วยท่าทางสบายๆ ไม่รู้สึกกังวลกับการตัดสินใจของตัวเอง มาแปลกแฮะ ผมคิด มัดผมได้ทั้งวี่ทั้งวัน แต่บทจะใจดีก็ปล่อยผมซะดื้อๆงั้นแหละ แถมซ้ำไม่กลัวด้วยว่าผมจะหนีหรือไม่ ช่างมั่นใจเสียจริงว่าถ้าเขาดีกับผม แล้วผมจะต้องดีกับเขาตอบแทนด้วยการไม่ฉวยโอกาสหนีไป
“ไปกันเถอะครับ”เด็กหนุ่มหันไปเก็บข้าวของส่วนตัวของตัวเองใส่กระเป๋าสะพายเรียบร้อย แล้วจึงหันมาหาชวนผม
“จะไปทั้งยังงี้เลยเหรอ”
ผมใช้สายตาจับจ้องที่ลำตัวท่อนบนของเขาที่เปลือยเปล่า เป็นการบอกให้เขารู้ตัวว่าเขาไม่อยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมจะออกไปข้างนอกได้ เด็กหนุ่มยิ้มจนตาหยี แล้วหยิบเสื้อขึ้นมาสวมใส่ แล้วเดินตรงไปที่ประตูห้อง แล้วหยุดยืนรอจนกระทั่งผมเดินไปถึงตัวเขา เขาจึงเปิดออก ทันทีที่ประตูแง้มออกกว้าง เขาก็คว้าข้อมือผมไว้ เหมือนกลัวว่าผมจะหนี
“ไหนบอกไม่กลัวไงล่ะ”
เขายิ้มใส่ตาผม
“กันไว้ก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวจะตามแก้สถานการณ์ไม่ทัน”