Capitolo Tredici
เวนิสตกใจ ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนร้องว่า
“จับบังเหียนไว้ให้มั่นนะคุณ อย่าปล่อยเด็ดขาดนะ”
จะวิ่งเข้าไปช่วย ก็กลัวว่าเจ้าเนโรจะอารมณ์เสียกว่าเดิม โดนมันเตะเข้าคงเจ็บตัวไม่น้อย จึงเกาะคอกไว้ พยายามชูไม้ชูมือหลอกล่อให้เจ้าม้าสีดำสนิท หยุดพยศ แต่ก็ไม่เป็นผล มันอาจจะรำคาญเขามากขึ้นด้วยซ้ำ จึงเริ่มออกวิ่งไปไม่ได้ยืนสะบัดอยู่กับที่อีก
เป็นเอกยึดบังเหียนไว้มั่นจนมือชาไปหมด รู้ว่าไม่กี่นาทีนี้แหละเขาจะต้องถูกเหวี่ยงตกลงไป พอเจ้าเนโรกระชากตัวออกวิ่ง เขาก็ตกใจปล่อยบังเหียนทันที แรงเหวี่ยงทำให้เขากระเด็นออกข้างตกลงมาอีกฟากหนึ่งของคอกม้า เป็นเวลาเดียวกับที่ลุงทัดวิ่งเร่อร่าออกมาพอดี
“คุณ!”
“เกิดอะไรขึ้น”
“คุณเอกตกม้า!” เวนิสว่าก่อนจะรีบวิ่งไปอีกฝั่งหนึ่งของคอก ลุงทัดที่อยู่ใกล้กว่าไปถึงก่อนเขา แต่ชายร่างใหญ่กลับยืนอยู่ห่างๆไม่เข้าไปถึงตัว
พอเวนิสเข้าไปใกล้พอที่จะเห็น ก็เข้าใจว่าเหตุใดลุงทัดจึงไม่เข้าไปช่วย
ข้อเท้าขวาของเป็นเอกบวมเป่ง เป็นสีม่วงอย่างน่ากลัวราวกับมีคนแกล้งทาสีไว้ สีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวดแต่เจ้าตัวกลับไม่บ่นอะไรออกมาเลย
“คุณ” เวนิสรวบรวมสติได้ก่อนชายเจ้าของคอก นั่งลงข้างเป็นเอก “เจ็บมากไหม เท้าคุณบวมมาก ตอนตกลงมาเอาขาลงหรือ”
“เปล่า” เขาว่า “มันฟาดกับคอก”
เวนิสหน้าซีด รีบละล่ำละลักพูดตะกุกตะกักเต็มที
“ขอโทษนะคุณ เป็นเพราะผมแท้ๆเลย...”
“คุณเว อย่ามัวแต่ขอโทษเลย พาไปโรงพยาบาลเถอะ” ลุงทัดว่า เวนิสก็รู้ตัวว่าตัวเองเกือบจะเสียสติไปแล้วด้วยความตกใจ
“ไปคุณ ลุกไหวหรือเปล่า”
เป็นเอกลุกขึ้นแต่เขาไม่อาจเทน้ำหนักลงไปที่ขาขวาที่บวมเป่งนั้นได้เลย ไม่แม้แต่จะทรงตัวให้อยู่บนขาซ้ายได้ด้วยซ้ำ เขาล้มลงอีกครั้ง แต่เวนิสประคองเขาเอาไว้ได้เสียก่อน
“ลงน้ำหนักขาซ้ายได้ไหม”
ชายหนุ่มส่ายหน้า
“ถ้างั้นเดี๋ยวผมอุ้ม” เขาว่า แต่เป็นเอกไม่ทันได้ปฏิเสธชายหนุ่มก็จับแขนเขาไปไขว้ไว้รอบคอของตัวเองช้อนใต้ก้นแล้วอุ้มขึ้นเดินไปยังบ้านของตนเพื่อขึ้นรถ
ระหว่างทางนานพอที่ทำให้เป็นเอกเห็นว่า ชายหนุ่มคนนั้นมีแววตารู้สึกผิดเพียงใด และมากกว่าความรู้สึกผิด คือความเป็นห่วงเป็นใยที่โชว์หราอยู่บนหน้าจะเอาออกไปซ่อนไว้ก็ไม่ทันเสียแล้ว ร่างกายของเข้าเบียดแนบชิดกับเรือนร่างแข็งแกร่งของหนุ่มผู้พี่ ไม่ต่างจากที่เขาเพิ่งแนบชิดกับมิลานไปเมื่อสองสามวันก่อน
กระนั้นเป็นเอกก็พบว่าสัมผัสของมันช่างต่างกันเหลือเกิน
“บอกแล้วใช่ไหมว่ามันอันตราย ไม่ฟังกันบ้างเลย!” โรมตวาด เป็นคำแรกที่เดินเข้ามาในโรงพยาบาล
เป็นเอกพันข้อเท้าแล้ว นั่งรอจ่ายเงินอยู่หลังจากเถียงกับเวนิสอยู่เกือบสิบนาทีว่าใครจะเป็นคนออกค่าพยาบาล สุดท้ายเวนิสก็ดึงดันจ่ายให้เขาจนได้ ตอนที่เวนิสลุกไปจ่ายเงินนี้เองที่เพื่อนหนุ่มผมยาวเดินหน้ายุ่ง ผมกระเซิงเข้ามาในโรงพยาบาล
“โธ่ ก็เจ็บไปแล้วนี่ ขอโทษละกันที่ไม่ฟัง”
เท่านั้นโรมก็อารมณ์เย็นขึ้น ถึงไม่ได้อารมณ์ดีแบบหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ก็ไม่ว่าอะไรอีกยกมือขึ้นเท้าเอวมองออกนอกหน้าต่าง อาการอย่างนี้แหละ แปลว่าเป็นห่วงสำหรับคนที่แสดงออกซึ่งอารมณ์อ่อนไหวอะไรไม่เป็นเลยอย่างโรม
“ทีนี้ไม่ต้องซ่าไปไหนแล้วนะ” เขาพูดเสียงอ่อนลง นั่งข้างๆเป็นเอก มองหน้าเพื่อนหนุ่ม แววความอ่อนโยนฉายขึ้นในดวงตาจางๆ แต่ก็มองเห็นได้ กระนั้นก็ไม่มีคำพูดปลอบประโลมใจอะไรผ่านออกจากปากหนุ่มคนนี้ได้เลย
“พี่ผิดเองแหละ” เวนิสว่า “เอกยังขี่ไม่เป็น พี่ก็ดึงดันให้เขาขึ้นขี่เองคนเดียวจนได้ ถ้าจะโทษใครก็โทษพี่”
“โทษคนหาเรื่องเถอะครับพี่เว” โรมว่า “ผมบอกแล้วว่าอันตรายก็ไม่คิดเชื่อ แต่ก็ไม่เป็นไร เจ็บไปแล้วนี่ พูดยังไงก็ย้อนไปแก้ไม่ได้”
เป็นเอกอดเสียใจไม่ได้ที่โรมพูดราวกับเขาไปทำผิดคิดร้ายมาอย่างไรอย่างนั้น ถึงจะเข้าใจว่าเพื่อนหนุ่มเป็นห่วง จึงพูดแบบนี้ก็เถอะ
“เอาล่ะๆ นี่ก็เที่ยงแล้ว ไปกินข้าวกันข้างนอกหน่อยไหม พี่เลี้ยงเอง”
“ไม่เป็นไรล่ะครับพี่” โรมว่า ขมวดคิ้วอย่างอารมณ์เสีย “ผมจะกลับรีสอร์ตเลย จู่ๆแม่ก็บอกว่าจะให้เลือกภาพในแกลอรีออกมาตั้งโชว์ในงานแต่งด้วย ต้องกลับไปเลือกเอาวันนี้ เพราะพรุ่งนี้แม่ก็แต่งแล้ว จะได้จบๆ ได้กลับกรุงเทพ ไม่ต้องเจอหน้ากันอีก”
คำว่าไม่ต้องเจอหน้ากันอีกของโรมคงหมายถึงเมฆากระมัง แต่คำเดียวกันนี้กลับมีคนอีกสองคนที่คิดต่างไปจากเขาโดยสิ้นเชิง เวนิสกลัวจะไม่ได้เจอหน้าเป็นเอกอีก ในขณะที่อีกฝ่ายกลับคิดต่างจากเขา กลัวเหลือเกินว่าจะไม่มีโอกาสได้พบ ได้ใกล้ชิดกับน้องชายของฝ่ายนั้นอีกแล้ว
“เอกล่ะ ยูจะกลับรีสอร์ตกับไอ หรือไปกับพี่เว”
“ขอไปกับพี่ยูละกัน กินอาหารอิตาเลียน จนเลี่ยนจะแย่แล้ว คุณเวนิส ถ้าไม่ว่าอะไรพาผมไปหาอาหารอิสานแซบๆได้ไหมครับ”
พี่ชายคนโตพยักหน้า หัวเราะลงลูกคอ แต่น้องเขากลับไม่ทำอย่างนั้น เดินออกจากโรงพยาบาลไปเสียดื้อๆ เวนิสจึงจูงรถเข็นให้เป็นเอกพาเขาออกไปจากโรงพยาบาล
ร้านอาหารที่เวนิสเลือก เป็นร้านเล็กๆ ดูไม่สะดุดตา กระนั้นโต๊ะก็เต็มจนเกือบหมด เหลือที่นั่งสองที่ให้เขากับเป็นเอกเท่านั้น ชายหนุ่มลูกครึ่งเดินอ้อมไปเปิดประตูให้เป็นเอกลงมาจากรถ ไม่ได้เอารถเข็นออกมากางแต่ว่าส่งไม้ค้ำให้เป็นเอกใช้ประคองเดินแทน โดยมีเขาอยู่ใกล้ๆคอยระวังเผื่อชายหนุ่มเกิดล้มขึ้นมาจะได้ช่วยไว้ทัน ปรากฏว่าลงเดินไปอย่างปลอดภัยถึงโต๊ะอาหาร
พอสั่งอาหารอิสานง่ายๆ เสร็จแล้ว เวนิสก็เอ่ยปากถามเป็นเอก
“นี่ ผมถามอะไรคุณหน่อยสิ ถามจริงๆนะไม่ได้กวน”
“ว่ามาเลยครับ”
“ทำไมคุณเดินกับไม้คล่องขนาดนั้น”
เป็นเอกหัวเราะลงลูกคอเบาๆ
“ผมเคยขาหักมาก่อนน่ะซี แต่คนละข้างละ เนี่ยครบสองข้างพอดีเลย”
“ผมขอโทษ” เวนิสพูดเบาๆอย่างรู้สึกผิดอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรหรอกคุณมันผ่านไปแล้ว” เป็นเอกส่ายหัวย้ำว่า ไม่เป็นไรจริงๆ “เดี๋ยวผมก็หาย ผมมันอึดกว่าแมลงสาบอีก คอยดูแปบเดียวก็เป็นเหมือนเดิม”
ส้มตำ และข้าวเหนียวลงวางเสิร์ฟก่อน เป็นอย่างแรก เป็นเอกไม่รอช้าจัดการกินก่อนมีเวนิสนั่งมองอยู่เฉยๆ เพราะไม่ชอบกินเผ็ด
“พรุ่งนี้แม่ก็แต่งแล้ว คุณจะช่วยจัดงานยังไงล่ะเนี่ย”
“ผมก็ยืนดู คุมงานเฉยๆละมั้งครับ” เป็นเอกตอบ “ไม่ไหวจริงๆถึงจะช่วยจัดเอง คุณไม่ต้องกลัวหรอกว่างานแม่คุณจะล่ม”
“ผมไม่ได้กลัว” เวนิสพูดเบาแทบจะไม่ได้ยิน “ผมเป็นห่วงว่า คุณจะทำงานลำบากก็เท่านั้นเอง”
“ผมน่ะนะ เป็นไข้จนใกล้เพ้อยังจะไปทำงานเลยคุณไม่ต้องห่วงหรอก คนจนน่ะ สู้ชีวิตแล้วก็ตายยากจะตาย” เขาขำ แล้วก็ยักคิ้วให้เวนิสอย่างที่ชอบทำกับทุกคนอยู่แล้ว ทำเอาชายหนุ่มตรงหน้าอดขำตามไม่ได้
“ทำหน้าทะเล้นเป็นเจ้าลานเชียว นี่ถ้ารู้ว่าคุณข้อเท้าพลิกนี่คงด่าผมยับ”
เป็นเอกขมวดคิ้วอย่างงุนงง
“ทำไมล่ะครับ”
“เอ้า ก็เห็นสนิทกันมากไม่ใช่หรือ” เขาว่า เขี่ยพริกออกจากส้มตำทำท่าเหมือนจะกินแต่ก็ได้แต่เขี่ยดูเฉยๆ “คงเป็นห่วง”
“ไม่สนิทกันขนาดนั้นหรอก มิลานเขาคุยเก่งก็เลยชอบคุยกับเขา”
“งั้นหรือ” เวนิสเงยหน้าขึ้นจากจานส้มตำ สีหน้าจริงจังจนเป็นเอกร้อนๆหนาวๆ “แล้วผมล่ะ คุณว่าผมคุยเก่งไหม”
“ไม่” ชายหนุ่มตอบขำๆ “คุณคุยแต่เรื่องงาน ไม่เห็นพูดเรื่องอื่นเลย”
“เอ้า แล้วกัน” เวนิสแกล้งทำหน้าตัดพ้อ “ก็ไม่มีเรื่องคุยนี่นา”
“อย่างนี้แหละ เขาเรียกว่าคุยไม่เก่ง”
แล้วทั้งสองก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารกันไป กระทั่งเวนิสเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนอีกครั้ง “เอ้อ คุณ ถ้าผมถามอะไรคุณอีกอย่าง คุณอย่าว่าผมนะ”
“ถามอะไรล่ะครับ”
เวนิสเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะบอกว่า
“เราสองคนถือเป็นเพื่อนกันหรือยัง ถ้าพรุ่งนี้เจอแขก ผมควรจะบอกแขกว่าคุณเป็น เพื่อนผม หรือยังต้องอ้างว่าเป็น เพื่อนของเจ้าโรม”
เป็นเอกเงียบไป คิดไม่ถึงว่าคำถามของชายหนุ่มจะเป็นอย่างนี้ ทำให้เขาเองถึงกับต้องถามตัวเองเหมือนกันว่า สมมติมีเพื่อนตามมาจากกรุงเทพเจอกับเวนิสเข้า เขาจะแนะนำว่าเวนิสเป็นใคร เป็นเพื่อนเขา หรือเป็นพี่ชายของโรม
“เอ คุณก็บอกไปซีครับว่าผมเป็นเพื่อนของโรม”
เวนิสนั่งนิ่ง นึกในใจว่า แล้วถ้าเป็นมิลานล่ะ จะพูดได้หรือเปล่าว่าเป็นเอกเป็นเพื่อนของตัว เขาค่อนข้างมั่นใจว่าน้องชายของเขาคงจะยิ้มอย่างร่าเริงแล้วพูดไปมึนๆว่า “พี่เอกเป็นเพื่อนใหม่ของลานฮะ”
ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะพูดบ้างว่า
“นี่เป็นเอก เป็นเพื่อนใหม่ของผมครับ” แบบนี้แล้วกัน
สองหนุ่มทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เวนิสก็ดึงดันจะจ่ายเงินให้อีก แต่เป็นเอกไม่ยอม ทั้งคู่จึงพบกันครึ่งทางแล้วหารกันออกคนละครึ่งให้หมดปัญหาไปเสีย จากนั้นพอเดินไปขึ้นรถแล้วเรียบร้อย ชายหนุ่มก็เอ่ยปากขึ้นว่า
“เอก คุณจะกลับรีสอร์ตไหม หรือจะไปห้องเสื้อรอรับคุณแม่กับเจ้าลานกลับไปกับเรา”
เป็นเอกได้ยินคำว่า “เจ้าลาน” ก็ดีใจตอบไปว่า
“ไปห้องเสื้อก็ดีครับ ได้ไปรับเอ้อ...” เขาชะงัก “คุณประกายพรึกด้วย”
เท่านั้นเวนิสก็โทรไปบอกให้คนขับรถของมารดากลับรีสอร์ตไปเลย เขาจะไปรับคุณประกายพรึกและคุณมิลานเอง ปรากฏว่าคนขับรถไม่ได้มาส่งแม่เขาที่ร้าน แต่เป็นคุณเมฆาต่างหาก ขากลับเวนิสคงไม่ได้รับแม่กลับมาด้วยกระมัง คงต้องปล่อยแม่ไปกับคุณเมฆา ยอมรับเอามิลานมานั่งเป็นก้างเหมือนเดิม
ร้านเสื้ออยู่ไม่ไกลนัก ขับรถไปไม่นานก็ถึง พอเลี้ยวเข้าจอดรถมิลานก็เดินออกมารับพี่ชาย ส่วนประกายพรึกยังคงลองชุดอยู่ไม่เลิกเพราะเกิดเปลี่ยนใจไม่ชอบชุดเก่าที่เลือกไว้แต่แรกขึ้นมา แวบเดียวที่มิลานเห็นหน้าเป็นเอกในรถคันนั้น หนุ่มน้อยก็ยิ้มกว้างมาเปิดประตูให้ พอเห็นเฝือกเท่านั้นแหละหนุ่มน้อยก็ร้องขึ้น
“เอ้า พี่เอกเป็นอะไรไปล่ะฮะ”
“ตกม้าน่ะลาน” เป็นเอกตอบเบาๆ
“แล้วไปทำอีท่าไหน ทำไมพี่เวไม่คอยเซฟล่ะฮะ”หนุ่มน้อยตำหนิพี่ชาย
“อย่าไปว่าคุณเวเขาเลย พี่ผิดเองแหละขี่ไม่เป็นแล้วยังจะอยากขี่อีก” เป็นเอกส่งสายตาให้เวนิสเป็นทำนองว่าให้มิลานรู้ไปอย่างนี้ก็แล้วกัน ฝ่ายนั้นก็ไม่อยากขัดใจ จึงเงียบไปเฉยๆ
“เดินไหวไหมฮะ ลานช่วยประคอง”
“ไหวซี ไม่เป็นไรหรอก”
“ไม่เป็นไรไม่ได้ฮะ วันนั้นพี่เอกอุตส่าห์ประคองลานไปส่งถึงที่บ้าน”
ประโยคนั้นทำเอาเวนิสประหลาดใจ นี่สองคนนี้ไปถึงไหนกันแล้วหรือ
ต่อให้เวนิสไม่แน่ใจว่าเป็นเอกจะเป็นเกย์ก็ตาม แต่น้องชายเขา รู้จักกันดีเขาเข้าใจว่ามิลานจะต้องคิดอะไรกับเป็นเอกตามประวาคาสโนว่าแน่ๆ คือมีไว้บริหารเสน่ห์อย่างสนุกสนานเท่านั้น ไม่ได้คิดจะจริงจังอะไรกับชายหนุ่ม แต่เป็นเอกนี่สิ จะหลงกลน้องชายของเขาไปด้วยหรือเปล่า เพราะไม่ว่าจะชายหญิงเกย์ หรือเพศอะไรก็ตาม อยู่ใกล้น้องเขาเป็นได้เสร็จทุกราย
มิลานฉลาดในการได้มาซึ่งสิ่งที่เขาอยากได้เสมอ ตอนหนุ่มน้อยเริ่มเป็นนายแบบ ก็หว่านเสน่ห์ใส่บรรดาโมเดลลิ่งกันจนได้ไปเดินแบบที่นั่นที่นี่สมใจ พออยากเป็นดาราก็ใช้ความสามารถแบบเดิมๆนี้เองทำให้ผู้กำกับติดใจ อยากได้อะไรที่ซื้อเองไม่ได้ก็หาเสี่ย หรือม่ายสาวขี้เหงาหลอกเอาของได้ทุกครั้ง
ถ้าจะมีใครสักคนเกลียดมิลาน คนคนนั้นคงจะไม่ปกติเสียแล้ว
ที่เวนิสไม่เข้าใจน้องชายตัวเองก็คือ น้องเขากำลังจะหว่านเป็นเอกเข้าแหไปด้วยหรือ แล้วชายหนุ่มมีอะไรดีที่มิลานจะอยากได้เล่า หน้าตาก็งั้นๆ มิลานเคยมีดีกว่านี้แล้ว นิสัยก็เฉยๆไม่ได้ช่างเอาอกเอาใจอย่างบรรดาเสี่ยๆที่คบมา
หรือเป็นเอกเป็นแค่ตัวฆ่าเวลา ระหว่างอยู่ที่ปาลัซโซ่เท่านั้น
สามหนุ่มเข้าไปในร้านเสื้อ ก็พอดีประกายพรึกและเมฆาลองเสื้อผ้าเสร็จแล้วเปลี่ยนชุดกลับเป็นปกติพร้อมกลับบ้าน พอเห็นเป็นเอกเข้าเฝือกประกายพรึกก็ถามไถ่อะไรไปตามประสา
“โธ่หนูเอกไม่น่ามาเจ็บเลย ตาเวนี่ละก็เหลือเกินไม่ดูแลน้องเขาเลยนะ”
“ผมขอโทษครับคุณแม่”
“เอาเถอะ หนูเอกจ๊ะ ถ้าทำงานไม่ไหวก็ไม่เป็นไรนะ แม่ไม่คิดเล็กคิดน้อยหรอกลูก พักผ่อนเถอะจ้ะ จะได้หายไวๆ”
“ไม่เป็นไรครับคุณน้า ผมสบายมากอยู่แล้วครับ”
“ไหวจริงนะจ๊ะ ถ้าไม่ไหวบอกแม่นะ” เป็นเอกพยักหน้า “ถ้างั้นก็ดีแล้วจ้ะ อยากเห็นฝีมือหนูเอกเหลือเกินว่าจะจัดงานออกมาได้สวยแค่ไหน... เอ้อ ตาเว แม่ฝากน้องกลับรีสอร์ตหน่อยนะ แม่จะออกไปทานข้าวกับเมฆเขานะจ๊ะ” เรื่องออกมาตรงตามที่เวนิสคิดไว้แล้วเป๊ะ พอร่ำลากันเสร็จ มารดาของเขาก็คล้องแขนออกไปกับสามีใหม่ ทำให้สามหนุ่มออกไปขึ้นรถกันเพียงสองคน
ชายหนุ่มทำท่าจะขึ้นไปนั่งที่ข้างคนขับตามเดิม แต่น้องชายของคนขับรถกลับแย้งขึ้นมาว่า
“พี่เอกใจร้าย จะทิ้งลานอยู่ข้างหลังคนเดียวหรือฮะ”
เป็นเอกจึงหัวเราะ แล้วก็เดินกระเผลกไปนั่งอยู่ที่เบาะหลังกับนายแบบหนุ่มน้อยแทน เวนิสแทบจะมองไม่เห็นถนนเลยเพราะได้แต่คอยมองกระจกหลังอยู่ตลอดทาง เห็นแต่ภาพหนุ่มน้อยทั้งสองนั่งหัวร่อต่อกระซิกกันไปจนถึงรีสอร์ต
***********************************************************************
จบอีกบทแล้วครับ ขอโทษที่ไม่ค่อยมาต่อเห็นคนอ่านน้อยก็เลยคิดว่าเนื้อเรื่องอาจจะยังไม่น่าสนใจพยายามดูอยู่ว่าต้องปรับปรุงตรงไหนแล้วจะเอาไปปรับใช้กับตอนอื่นๆที่กำลังเขียนอยู่ครับ
ยังไงก็ฝากทางสามสายไว้ด้วยนะคร้าบบ