พิมพ์หน้านี้ - [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 16 - เป็นเอก-โรม's moment(2) 22/04/11 - 21.00

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: Purple_Sky ที่ 20-02-2011 22:11:09

หัวข้อ: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 16 - เป็นเอก-โรม's moment(2) 22/04/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 20-02-2011 22:11:09
เก็บกระทู้ไว้  -------โมดุฯ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน

ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

*************************************************************************************

Prima parte
L'inizio del viaggio
ส่วนที่หนึ่ง :
จุดเริ่มต้นของการเดินทาง


Capitolo uno

    ทันทีที่รถยนต์สีขาวสะอาด เลี้ยวพ้นหัวมุมของซอยที่ออกจะคับแคบ และวกวนที่แยกมาจากถนนใหญ่มาแล้ว สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็คือเสาโรมันแบบ
โครินเธียนขนาดใหญ่ สูงกว่าสองเมตรเป็นสีงาช้างดูขาวนวลตัดกันกับพื้นหญ้าสีเขียวขจีและภูเขาสีเขียวเข้มที่สลับซับซ้อนกันอยู่ด้านหลัง ด้านบนของตัวเสาเป็นคานที่ทำเป็นซุ้มโค้งอย่างทางเข้ามหาวิหารของประเทศตามแถบยุโรปตะวันตก มีตัวอักษรสีทองเขียนเป็นภาษาที่คนนั่งข้างคนขับอ่านไม่เข้าใจว่า “Palazzo di Loei” ข้างใต้มีอักษรตัวเล็กกว่าบ่งบอกว่าที่นี่ เป็น ”Resort and Homestay”
    “ถึงแล้ว ปาลัซโซ่ ดี เลย” เสียงห้าวดังขึ้นจากที่นั่งฝั่งคนขับ พอเห็นสีหน้าที่แสดงถึงความไม่เข้าใจของเพื่อนหนุ่มข้างๆ เขาก็แปลประโยคข้างต้นเสียให้เสร็จสรรพ “ปราสาทแห่งเลย รีสอร์ตของคุณแม่”
     เป็นเอก พยักหน้ารับสายตาไม่ได้จับจ้องอยู่ที่คู่สนทนาเพราะบรรยากาศด้านนอกนั้นช่างงดงามเกินกว่าจะเชื่อได้ว่ามีอยู่จริงในประเทศไทย
    “สวยมาก ไม่อยากเชื่อว่าอยู่ที่เลย นึกว่าอยู่โบโลญาเสียอีก”
    “เขาถึงรณรงค์ให้ท่องเที่ยวในไทยไงล่ะ ไม่ต้องไปถึงต่างประเทศ” ผู้พูดใช้เสียงห้าว ทุ้มลึกกล่าวอย่างขบขันแต่น้ำเสียงไม่ได้ขำด้วยตามแบบของเขา ชายหนุ่มลูกครึ่งไทยอิตาเลียนจับพวงมาลัยด้วยมือซ้าย แขนขวาเท้ากระจกที่เปิดกว้างไว้ มือเสยผมหยักศกยาวประบ่าสีน้ำตาลอ่อนคล้ายสีฟางที่ปลิวไสวไปตามสายลม ไม่ให้ตกลงมาปิดดวงหน้าที่แสนจะหล่อเหลาราวเทพบุตรของเขา
    ดวงตาสีน้ำตาลเข้มซ่อนตัวอยู่ใต้กรอบแว่นสีชาทำให้ไม่รู้ว่าบัดนี้แววตาของชายหนุ่มมิได้มีความตื่นเต้นสนอกสนใจทิวทัศน์รอบกายเหมือนเพื่อนหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ จมูกโด่งเป็นสันเชิดขึ้น อย่างรั้นๆ เขาไม่อยากมาเหยียบที่นี่ ถ้าเลือกได้ละก็เขาไม่มีวันนึกอยากมาที่นี่เลยแม้สักครั้งเดียวในชีวิต
    “โรม” เพื่อนหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆเอ่ยปากเรียกชื่อของชายหนุ่มลูกครึ่งอิตาเลียนอย่างสนิทปาก “อย่าบอกนะว่าปราสาทข้างหน้านั่งน่ะเป็นโรงแรมของยู”
    ปราสาทที่เป็นเอกว่า คือปราสาทหินสีน้ำตาลขนาดใหญ่งดงามโอ่อ่ามองเห็นต่ำลงไปเบื้องล่างจากเนินที่รถสีขาวสะอาดคันนี้กำลังแล่นผ่าน ข้างหน้าสองหนุ่มเป็นทางแยกมีป้ายปักไว้ ชี้ทางซ้ายว่าไป  Gran Palazzo ทางขวาเขียนว่า Villaggio dei Romani หรือหมู่บ้านโรมัน คือหมู่บ้านที่พักซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมองเห็นได้จากตรงนั้นนั่นเอง สังเกตได้ว่าแม้จะพูดภาษาไทยแต่ เป็นเอก และ โรมา จะใช้สรรพนามไอและยูเรียกแทนกันเสมอ เพื่อไม่ให้รู้สึกหยาบคายเมื่อต้องพูดกูมึง หรือห่างเหินเกินไปที่จะเรียกว่าคุณกับผม
    
    ชื่อโรมานี้ เป็นชื่อจริงๆของเขา เป็นเอกยังจำตอนที่ถามชื่อเพื่อนหนุ่มเมื่อเจอกันครั้งแรกในค่ายอาสาแห่งหนึ่งเมื่อราวหกปีมาแล้วได้
    เขาเอ่ยปากถามขึ้นก่อนว่า “หวัดดี คุณชื่ออะไร”
    “โรม” เพื่อนหนุ่มตอบสั้นๆ ดูไม่ค่อยเป็นมิตรนักในครั้งแรก
    “โฬม ดาราช่องเจ็ด หรือ โลม เล้าโลม” เป็นเอกถามทีเล่นทีจริง
    “โรม แบบโรมา เมืองหลวงของประเทศอิตาลี” เขาตอบ จากนั้นก็ง่วนเก็บของอะไรไปเรื่อย ไม่ได้สนใจว่าชายหนุ่มร่างสูงโปร่งข้างๆจะพูดอะไรต่อ
เป็นเอกมาพบทีหลังว่า ชื่อโรมไม่ใช่ชื่อเล่น แต่เป็นชื่อจริงของชายหนุ่ม ชื่อในบัตรประชาชนก็ใช้ชื่อนี้ เมื่อรู้ก็ประหลาดใจไม่น้อย
    “นายชื่อ โรมา ตรีโลกนาถ เลยหรือนี่”
    “ใช่ พ่อเป็นอิตาเลียน ถ้าใช้นามสกุลพ่อก็ โรมา โมเร็ตตี”
    เรื่องชื่อของเขาจึงกลายเป็นประเด็นพูดคุยกันในวันแรก เมื่อคนอื่นๆรู้ว่าเขาชื่อแปลกอย่างนี้ ก็กลายเป็นว่าแทบทุกคนในค่ายอาสา มานั่งล้อมชายหนุ่มฟังเรื่องเล่าว่า เขาเป็นลูกครึ่งอิตาเลียน พ่อของเขามาทำงานเปิดร้านอาหารอิตาเลียนเล็กๆ แถวซอยทองหล่อ ก็เจอเข้ากับแม่ รู้จักกันอยู่หลายปีจึงแต่งงาน ทั้งคู่ไปฮันนีมูนกันที่อิตาลี ชื่อของเขาจึงมีที่มาเป็นอย่างนั้น

    พอได้ยินเพื่อนหนุ่มถาม โรมา ก็ตอบว่า
    “นั่นละ ตัวที่ทำการโรงแรม แต่ว่าตอนนี้เข้าบ้านเอาของไปเก็บก่อน” ริมฝีปากอวบอิ่มขยับเล็กน้อย แต่เสียงที่ดังออกมากลับฟังดูเข้มคล้ายคนอารมณ์ไม่ดี หากไม่สนิทกันมากขนาดนี้เป็นเอกก็คงคิดว่าโรมากำลังอารมณ์เสียอยู่ แต่เปล่า โรมเป็นคนพูดน้อย ห้าวๆ เซอร์ๆ เดาใจยากอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทำให้ไม่ค่อยมีใครอยากจะคบหาเขานานนัก มีเป็นเอกเท่านั้นที่คบกันเป็นเพื่อนมาได้นานที่สุด เพราะนิสัยคล้ายๆกันกระมัง จึงเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย
    รถที่หนุ่มลูกครึ่งขับอยู่นั้นแล่นลงจากเนินไปทางขวา เบื้องหน้านั้นเป็นบ้านหลังเล็กๆ สีสันสวยงาม เรียงรายกันไปสองข้างถนนโดยไม่มีรั้วกั้น แต่ละหลังมีดอกไม้เมืองหนาวและต้นไม้เขียวขจีปลูกไว้ราวบ้านในเทพนิยาย โรมาขับรถลึกเข้าไปในหมู่บ้านอย่างไม่มีทีท่าจะหยุดผ่านบ้านหลังเล็กหลังน้อยหลายหลัง กระทั่งแล่นมาถึงทางแยกสามสายที่ด้านในสุดของหมู่บ้าน ป้ายด้านหน้าเขียนว่า พื้นที่ส่วนบุคคลห้ามเข้า
    แต่โรมก็ขับตรงเข้าไปไม่ได้เลี้ยวไปทางไหน
    ทำให้เป็นเอกสนใจมาดูซิว่าทางแต่ละสายนั้นจะนำเขาไปไหนได้บ้าง 
มองไปสุดทางทางซ้ายก็พบบ้านขนาดใหญ่หลังหนึ่ง เป็นบ้านสีน้ำตาลเข้มดูขรึมและสง่างามตั้งอยู่ข้างลำคลองที่มีคนพายเรือผ่านไปมา ในขณะที่ทางขวามือของเขานั้น เป็นบ้านอีกหลังที่ดูทันสมัย รูปร่างคล้ายตึกในปัจจุบันทาอิฐเป็นสีชมพูสวยด้านหลังเป็นทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตา เมื่อมองเห็นบ้านอีกสองหลังแล้ว เป็นเอกก็หันกลับมาด้านหน้าพบว่า ทางตรงกลางนี้นำเขามาสู่บ้านของโรม
    บ้านหลังนั้นทาสีเหลืองเข้มจนเกือบเป็นสีน้ำตาล มีระเบียงยื่นออกมาจากชั้นสอง หลังคาปูกระเบื้องสีน้ำตาลเข้ม ประตูทางเข้าบ้านด้านหน้านั้น มีเสา
ดอริกประดับไว้ เหนือบานประตูมีภาพกระจกสีรูปดาวที่สะท้อนแสงยั่วล้อดวงอาทิตย์ดึงดูดความสนใจให้เป็นเอกจ้องอยู่แต่มันอย่างเดียว
    พอเอารถเข้าจอดในลานจอดรถข้างๆเรียบร้อยแล้ว โรมาก็เปิดประตูลงจากรถ ก่อนที่เป็นเอกจะทำตาม เพื่อนหนุ่มบิดซ้าย บิดขวาไล่ความเมื่อยขบออกไปหลังจากขับรถมาจากกรุงเทพเสียหลายชั่วโมง เสื้อยืดและกางเกงยีนส์แบบธรรมดาๆนั้นดูดีเข้ากันกับบุคคลิกที่เงียบขรึมของชายหนุ่ม พาลให้เป็นเอกแอบคิดไม่ได้ว่า หากเพื่อนหนุ่มของเขาตัดผมเสียหน่อย แล้วหันมาใส่เสื้อเชิ้ตกางเกงแสลค ก็คงจะทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่านี้หลายเท่า
    แต่เป็นเอกก็ไม่เคยบอกความคิดนี้กับเพื่อนหนุ่มลูกครึ่ง เพราะรู้ดีว่านอกจากโรมจะไม่ฟังแล้ว อาจทำให้เขาอารมณ์เสียไปเลยทั้งวัน โรมไม่ชอบให้ใครพูดเรื่องผมของเขา
    ทันทีที่ลงจากรถ เป็นเอกก็เดินอ้อมมาด้านหลัง เปิดกระโปรงรถ ยกกระเป๋าเสื้อผ้าของเขาลงมา ก่อนที่โรมจะเดินมาสมทบแล้วยกกระเป๋าผ้าของตัวเองบ้าง ตาก็เหลือบมองเพื่อนหนุ่ม ด้วยความขันในใจ เป็นเอกดูตื่นเต้นราวกับได้มาเที่ยวต่างประเทศอย่างไรอย่างนั้น เขาดูกระตือรือร้น และตื่นตัวตลอดเวลาราวกับว่าพลังงานของเขาจะไม่มีวันหมดไปอย่างนั้น
    เป็นเอกเป็นหนุ่มไทย หน้าตาธรรมดาๆ ดวงตาสองชั้นหางชี้ขึ้นเล็กน้อยด้วยความที่มีเชื้อสายจีน หากแต่ผิวเข้มเหมือนคนไทยทั่วไปทำให้เขาดูดีมากในสายตาของสาวฝรั่ง จมูกโด่งแต่ไม่เป็นสันเหมือนของโรมดูเข้ากันกับปากสีชมพูบางเฉียบ ที่ประดับไว้บนคางเรียวเล็ก ผมตั้ดสั้นคล้ายรองทรงสูง เซ็ตตั้งๆไว้เลี่ยงการมีผมตกมาปรกหน้าให้รำคาญในวันที่อากาศร้อนๆ เพื่อนหนุ่มสวมเสื้อแขนยาวสีขาว คอวีพอดีตัว กางเกงยีนส์ธรรมดาๆ และรองเท้าผ้าใบคู่หนึ่งเท่านั้น ดูเป็นชายหนุ่มที่หากเดินผ่านตามทางทั่วไปก็คงไม่มีใครสังเกตเห็น
    เดินคู่กับเขาทีไร คนก็มักจะมองเขาก่อนแล้วจึงมองเป็นเอกเสมอ แต่ท้ายที่สุดแล้วหลายคนจะชอบเป็นเอกมากกว่าเขา แม้ชายหนุ่มจะมีอะไรหลายๆอย่างคล้ายกับเขา แต่สิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างแตกต่างคือ เป็นเอกจะช่างพูดช่างจาตลอดเมื่อสนิทกับใครสักคนเข้าแล้ว ต่างจากเขาที่จะสนิทหรือไม่สนิทก็พูดน้อยพอกัน
    โรมา เดินนำเพื่อนหนุ่มไปไขประตูบ้าน แล้วก็ลากกระเป๋าผ้าเข้าไปวางไว้ริมประตูอย่างไม่ใส่ใจ ถอดแว่นกันแดด วางไว้บนเคาน์เตอร์หน้าห้องครัว ก่อนจะเดินกลับออกมา ยื่นมือเข้าไปช่วยถือสัมภาระของเพื่อนหนุ่มแต่ไม่ทันจะได้ช่วยถือ ก็ถูกปฏิเสธเบาๆว่า “ไอถือเองได้” เขาจึงยักไหล่น้อยๆ ก่อนจะเดินนำกลับเข้ามาในบ้าน เป็นเอกตามเข้ามาในไม่กี่นาทีปิดประตูบ้านแล้วก็เดินเข้ามาด้านในให้พ้นจากบานประตู
    บ้านหลังนั้นตกแต่งอย่างธรรมดา ซ้ายมือเป็นห้องนั่งเล่น จัดไว้ง่ายๆ มีโซฟาสีงาช้างวางหันหน้ามาหาประตูหน้าตัวหนึ่ง อีกสองตัววางหันข้างให้ประตูอยู่ริมซ้ายและขวาของตัวยาว ตรงกลางเป็นพรมทอมือเป็นรูปของเจ้าแห่งทวยเทพ
จูปิเตอร์ของชาวโรมัน หรือซีอุสของกรีก มีโต๊ะน้ำชาที่เป็นแก้วใสวางทับไว้ ข้างๆมีโต๊ะเล็ก วางนิตยสาร และหนังสืออ่านเล่นไว้ระเกะระกะ ฝั่งประตูบ้านมีโทรทัศน์จอแบนตั้งอยู่บนเฟอร์นิเจอร์ไม้ ที่วางไว้หน้า หน้าต่าง ที่หากมองออกไปด้านนอกก็จะเห็นรางปลูกดอกเพ็ตทูเนียสีชมพูอมส้มสวย
    ทางขวามือ เป็นโต๊ะอาหาร ขอบไม้ตรงกลางเป็นกระจกมองเห็นพรมถักรูปเฮสเตีย หรือ ฮีร่า เทพชายาเอกของจูปิเตอร์ ตรงข้ามโต๊ะกินข้าวเป็นเคาน์เตอร์สีขาวสะอาด แบ่งห้องกินข้าวออกจากห้องครัว มีตระกร้าใส่ผลไม้ปลอมตั้งไว้ราวกับบ้านตัวอย่างในหมู่บ้านจัดสรร ทางขวามือของห้องกินข้าวมีประตูที่จะเปิดไปที่ใดเป็นเอกก็ยังไม่รู้ขณะนั้น สภาพบ้านและข้าวของต่างๆ ดูใหม่ไปหมดแสดงให้เห็นว่าเจ้าของบ้านไม่ค่อยได้มาอยู่บ้านนี้เลย
    กระนั้นเจ้าของคงพอรู้บ้างว่าอะไรอยู่ตรงไหน เขาเดินไปเปิดตู้กับข้าวก่อนจะหันมาหาเพื่อนหนุ่ม เอ่ยปากถามสั้นๆว่า
    “ชาหรือกาแฟ”
    “น้ำเปล่าก็พอ” เขาตอบ ก่อนจะถือวิสาสะนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ปูเบาะสีโอลด์โรสตัวที่อยู่ใกล้เขาที่สุด โรมาฟังคำตอบของเพื่อนหนุ่มก็รินน้ำเปล่ามาตั้งไว้ให้ ก่อนจะกลับไปเปิดเครื่องทำกาแฟสำหรับตัวเอง หนุ่มลูกครึ่ง รวบผมหยักศก สีน้ำตาลนั้นไว้ง่ายๆที่ท้ายทอย เปิดให้เห็นโครงหน้าเรียวสวยก่อนจะเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามเป็นเอก
    “อาบน้ำก่อนไหม ออกมาแต่เช้า”
    “ไม่อาบ แต่อยากนอน” เขาตอบสั้นๆ
    “ถ้าอย่างนั้น จะพาไปห้องนอนก่อนก็ได้ กว่าน้องไอจะมาถึงก็คงค่ำๆ ไฟลท์มันมาถึงบ่าย นั่งรถมาอีกก็คงสักทุ่มสองทุ่ม ตอนนั้นค่อยไปหาคุณแม่ที่
กรัน ปาลัซโซ กินข้าวเย็นที่นั่น” โรมว่าอย่างเหนื่อยอ่อน บิดคอไปมาดังกร๊อบแกร๊บราวกับตัวเองเป็นตุ๊กตาไม้อย่างไรอย่างนั้น
    “อื้มดีแล้ว จะของีบสักหน่อย” เป็นเอกลุกขึ้น ยกกระเป๋าตามเพื่อนหนุ่มไป ฝ่ายนั้นเดิมนำไปก่อน ปากถามว่า
    “จะนอนข้างบนหรือข้างล่าง”
    “ข้างล่างก็ดีนะ จะได้ไม่ต้องขึ้นบันได” เขาว่า โรมาไม่ได้ถามอะไรอีก เพียงแต่เดินนำเขาไป ผ่านทางเดินเล็กๆ มาจนถึงประตูห้องนอนชั้นล่างที่อยู่ด้านหลังห้องนั่งเล่นพอดี เขาเปิดประตูให้เป็นเอก “ห้องเล็กหน่อย นอนได้หรือเปล่า”
    ห้องนอน ทาสีกาแฟใส่นม เป็นสีน้ำตาลอ่อนดูสบายตา เมื่อเดินเข้าไปเตียงจะอยู่ด้านขวาของประตู ด้านซ้ายเป็นตู้เสื้อผ้า ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ พอๆกับห้องนอนของเป็นเอกที่คอนโด ชายหนุ่มวางกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ข้างตู้เสื้อผ้า กระโดดขึ้นเตียง ก่อนจะเปิดม่านหน้าต่างที่หัวเตียงมองออกไปเห็นบ้านสีน้ำตาลแก่นั้น รวมถึงตัวคลองที่ยาวเรื่อยมาผ่านหลังบ้านนี้ด้วย ชายหนุ่มร้องโอ้โหแล้วมองมาที่ประตูราวกับเด็กที่เห็นอะไรสวยๆงามๆแล้วก็จะมองหาพ่อแม่ว่า มองดูลูกด้วยความเอ็นดูอยู่หรือเปล่า เห็นโรมยืนเท้าเอวมองอยู่ มีแววประกายในดวงตา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เป็นเอกก็เข้าใจดีว่าท่าทางอย่างนี้คือ “ยิ้ม” ของโรม
    “ยิ้มอะไร” เขาถาม แต่ตัวเองก็ยิ้มบ้างเหมือนกัน
    “เหมือนเด็ก” โรมาว่าเสียงเบาๆติดอยู่ที่กระเดือกราวกับไม่เต็มใจผ่านช่องปากออกมา “ยูไม่โตสักทีนะเอก หกปีที่แล้วเป็นยังไง ตอนนี้ก็อย่างนั้น”
    “เอ้า” ชายหนุ่มร้อง “ตอนนี้ก็ยังเด็ก”
    “ยี่สิบห้าแล้วนี่นะ”
    “ใช่ ยังไม่สามสิบ จะรีบทำตัวขรึมไปก็เท่านั้นเอง ชีวิตช่วงนี้ช่วงสุดท้ายของวัยหนุ่มต้องร่าเริงซีวะ” เป็นเอกหัวเราะ “ให้เงียบๆ ติสต์แตกแบบยูจะเอาหรือ วันๆอยู่กันเงียบๆ ยูกับไอจะกลายเป็นต้นไม้สองต้นที่ปลูกติดกันไปเสีย”
    โรมายิ้มแบบที่คนอื่นยิ้มกันในที่สุด ส่ายหัวเบาๆก่อนจะเดินออกจากห้องไป เป็นเอกเห็นเขาปิดประตูก่อนจะกล่าวว่า “นอนซะ” แล้วชายหนุ่มก็กลับมาอยู่คนเดียวในห้องนั้น มองอะไรรอบๆไม่นานก็หลับไปด้วยความที่นอนไม่พอเพราะ เมื่อคืนนอนดึกเกือบตีหนึ่ง แล้ววันนี้ต้องตื่นตั้งแต่ หกโมง
    ที่เขามาที่รีสอร์ต ปาลัซโซ่ ดี เลย นี้ก็เพราะแม่ของโรมเป็นคนชวนแท้ๆ หากไม่ใช่เพราะเจ้าของไม่ชวนมาอยู่ฟรีเนื่องในโอกาสที่หล่อนจะจัดงานแต่งงานกับคนรักคนใหม่ที่นี่แล้วละก็ เป็นเอกคงไม่มีวันได้เข้ามาเหยียบที่นี่ ใครๆก็รู้กันดีว่ารีสอร์ต และโฮมสเตย์ที่หรูหรา แต่งสไตล์อิตาเลียนแห่งนี้ มันแพงแสนจะแพงแค่ไหน เอาง่ายๆว่า ถ้าจะซื้อน้ำที่ห้องรับรองก็คงมีแต่น้ำแร่จาก เทือกเขาแอลป์ ขวดละร้อยหรือเกือบร้อยแล้ว ไม่ต้องคิดถึงค่าอาหาร หรือค่าที่พักเลย ชายหนุ่มจึงไม่เคยคิดจะมาที่นี่ แม้จะอยากแค่ไหนก็ตาม
    ปาลัซโซ่ ดี เลย เพิ่งจะมาดังไม่นานมานี้ เพราะใช้เป็นสถานที่ถ่ายภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ด้วยความที่สวยทั้งสถานที่ ทั้งสิ่งก่อสร้าง และแปลกใหม่อย่างที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นในไทย ทำให้รีสอร์ตแห่งนี้ กลายเป็นปลายทางแห่งใหม่ของนักท่องเที่ยว ในเอเชียที่ไม่อยากไปไกลถึงยุโรปเพื่อดูของจริง รวมไปถึงพวกเศรษฐีทั้งหลายในไทย ที่อยากจะมาพักสมอง ฟอกปอดที่นี่ด้วย
    เป็นเอกจะมาอยู่ที่นี่ หนึ่งสัปดาห์เต็มก่อนงานแต่งงานของคุณ ประกายพรึก แม่ของโรม เขาไม่เคยพบหล่อนสักครั้งก็จริงแต่มารดาของโรมก็มีน้ำใจพอที่จะกล่าวเชิญ รูมเมทร่วมคอนโดของลูกชายให้มาอยู่ฟรีกินฟรีที่นี่ แล้วร่วมเป็นแขกในงานแต่งของหล่อนด้วย ที่เป็นเอกต้องมาก่อนเป็นอาทิตย์ก็เพราะ หล่อนเคยได้ยินเรื่องฝีมือการจัดสถานที่ต่างๆของเขามาจากลูกชาย เป็นเอกจึงได้มางานนี้เพื่อเตรียมสถานที่ก่อนวันงาน แม้ไม่ต้องลงมือทำทุกขั้นตอน แค่ตกแต่งสถานที่ที่ใช้เลี้ยงฉลองแต่งงานให้คุณประกายพรึกเท่านั้น เป็นเอกก็คิดว่า เขาคงจะเหนื่อยมาก เพราะบริเวณรีสอร์ตแห่งนี้มันช่างกว้างใหญ่เหลือเกิน
    อีกอย่างคุณประกายพรึกบอกเขาเองทางโทรศัพท์ว่า หล่อนอยากจะรู้จักเขาเสียเหลือเกินในฐานะผู้ที่เคี่ยวเข็นให้ลูกชายคนกลางเรียนจบจนได้
    “อยากเจอลูกเอก ว่าจะขอมาเป็นลูกชายอีกคน”
    มารดาของโรมาไม่รู้เลยว่าคำพูดของหล่อนจะเป็นจริง เมื่อเป็นเอกได้รู้จักลูกชายคนโต และคนเล็กของหล่อนในเวลาต่อมา ผูกพันกับลูกทั้งสามของหล่อนจนแทบจะได้มาเป็น “ลูก” อีกคนจริงๆ

*************************************************************************************
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] ทางสามสาย: Prima parte - capitolo uno 20/02/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: shizame ที่ 21-02-2011 23:23:03
มาเจิมเรื่องใหม่ค่ะ

จะตามรอชายหนุ่มอีก2คนว่าจะถึงคิวออกมาเมื่อไหร่  :)

เนื้อเรื่องน่าติดตามค่ะ แค่ตอนแรกก็ชวนให้อยากรู้แล้วว่าจะเกิดอะไรต่อไป
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] ทางสามสาย: Prima parte - capitolo uno 20/02/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: kazhiki ที่ 21-02-2011 23:38:42
มาลงบ่อยๆนะคะ ท่าทางจะน่ารักดี ขอบคุณมากค่า
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] ทางสามสาย: Prima parte - capitolo uno 20/02/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 22-02-2011 00:25:02
ทั้งสามเลยหรอ อิอิ ซักอยากอ่านต่ออีกแล้วซี่ เป็นกำลังใจให้นะคะคณฟ้าม่วง
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] ทางสามสาย: Prima parte - capitolo uno 20/02/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 22-02-2011 12:48:47
เอ๋อออ  ทางสามสายเพราะมีหนุ่มสามคนนี่เอง
ตอนที่อ่านตอนแรกบรรยายลักษณะและคุณสมบัติของโรมซะ  หืมมม
ทำให้เราเข้าใจไปว่า  ทางสามสายเป็นแบบนี้เลยนะ
ทางสายแรก  โรมต้องเป็นแฟนเรา
ทางสายที่สอง  โรมต้องเป็นสามีเรา
ทางสายที่สาม  โรมต้องเป็นคู่ชีวิตเรา

กร๊ากกกกก  วิ่งหลบตรีนออกจากกระทู้ก่อน
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] ทางสามสาย: Prima parte - capitolo uno 20/02/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 22-02-2011 12:51:11


ขอบคุณนะคะ คุณ Purple_Sky

หัวข้อ: Re: [PREMIERE] ทางสามสาย: Prima parte - capitolo uno 20/02/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 22-02-2011 13:17:48
เรื่องจะมาม่าไหมหว่า
ขออ่านด้วยคนครับ
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] ทางสามสาย: Prima parte - capitolo uno 20/02/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: BaoBao ที่ 22-02-2011 16:24:42
สามคน สามทาง
แล้วใน 3 คนมีใครร่วมทางกันมั้ย
รึไม่มี ถึงได้ชื่อว่าทางสามสาย
 :z3: คิดเยอะแล้วมั้ยตรู
 :pig4: Purple_Sky


สองเรื่องสองรสเลย ดีค่ะๆ
สู้ๆ นะคะ เป็นกำลังใจให้ (มาลงบ่อยๆ ลงเรื่อยๆ หุหุหุ  :กอด1:)
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] ทางสามสาย: Prima parte - capitolo uno 20/02/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: monamano ที่ 22-02-2011 16:26:09

ประกายพฤกษ์

น่าจะสะกดแบบนี้นะครับ

แต่ถ้าไม่ใช่ก็ต้องขอโทษด้วยครับ

หัวข้อ: Re: [PREMIERE] ทางสามสาย: Prima parte - capitolo uno 20/02/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 22-02-2011 17:11:08
เป็นเอกน่าร้ากกกก  ว่าแต่สามพี่น้องจะแย่งกันป่าวหว่า แต่นายโรมานี่ไม่เห็นมีท่าทีไรเลย รอดูต่อไป
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] ทางสามสาย: Prima parte - capitolo uno 20/02/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: MiNiRooM ที่ 22-02-2011 20:31:56
ตามมาอ่านแล้วค่ะ
T____T
เปิดหน้าเอาไว้แล้วต้องออกไปทำธุระแบบด่วนๆ
กลับมารีบมาอ่านเลย
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ

หัวข้อ: Re: [PREMIERE] ทางสามสาย: Prima parte - capitolo uno 20/02/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 23-02-2011 22:21:39
เอาภาพประกอบสวยๆมาฝากครับ เผื่อเพื่อนๆนักอ่านคนไหนที่จินตนาการไม่ถูกจะเห็นภาพฉากในเรื่องมากขึ้น อิอิ

(http://upload.zeedasia.com/files/gz3ydzuq2k9zdk0i0ihh.gif)
ภาพเสาแบบโครินเธียนครับ เป็นเสาที่สวยที่สุดในบรรดาเสาโรมันทั้งหมด
(http://upload.zeedasia.com/files/qjbb78jgolurw89ufy8g.jpg)
ซุ้มทางเข้ารีสอร์ทเป็นอะไรประมาณนี้ครับ
(http://upload.zeedasia.com/files/yy56uuibwgo38wsh5f9d.jpg)
กรัน ปาลัซโซ หน้าตาคล้ายๆอย่างนี้ล่ะครับ อิอิ
(http://upload.zeedasia.com/files/1lzv0t00finzobmy960l.jpg)
ภาพชนบทของเมืองโบโลญาครับ เป็นเมืองที่สวยมากทีเดียวว่าไหมครับ :]
(http://upload.zeedasia.com/files/i0ph0o37lgy7mf6p6egx.jpg)
ส่วนอันนี้เป็นทิวทัศน์ของจังหวัดเลยบ้านเรา ผมว่าสวยกว่าโบโลญาอีกครับ 555+
บ้านของสามหนุ่มครับหาแบบที่ใกล้เคียงกับจินตนาการมาครับผมม
(http://upload.zeedasia.com/files/wo50kdcm3lzxfzhure9y.jpg)
เวนิส
(http://upload.zeedasia.com/files/0q56uevht3oniy1igsu6.jpg)
โรม
(http://upload.zeedasia.com/files/29yzpr9y65i4njjy267q.jpg)
มิลาน
บ้านใครสวยกว่ากันเอ่ย ผมชอบบ้านของมิลานมากๆครับ น่าอยู่อิอิ ส่วนบ้านของโรมนี่หาได้แทบจะตรงกับที่จินตนาการไว้เลยยย อย่าลืมติดตามเรื่องนี้นะครับผม รับรองว่าสนุกมากๆแน่นอนครับ :]

ปล. ประกายพรึกสะกดแบบนี้ถูกแล้วครับ เดิมผมก็สะกดผิดเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ขออนุญาตอธิบายศัพท์หน่อยพอให้เป็นความรู้ไว้ไม่เข้าใจผิดกันนะครับ “ประกายพรึก” เป็นชื่อของดาวศุกร์ที่ขึ้นตอนเช้า(ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น) ส่วนที่ขึ้นตอนกลางคืนเรียก ประจำเมือง คำว่าประกายพรึกเป็นคำประสมจากภาษาเขมรครับ ประกาย มาจาก ผกาย แปลว่า ดาว ส่วนพรึก แปลว่าเช้าครับ ตรงตัวเลย “ดาวเช้า” ถ้าเป็นประกายพฤกษ์จะกลายเป็นดาวต้นไม้แทน ฮาเรยยย อิอิ

ปล2 @คุณ iforgive ชอบหนุ่มติสต์แบบโรมหรอครับ 555+ เดี๋ยวเจอพี่ชาย น้องชายของโรมแล้วอย่าเปลี่ยนใจนะครับ 555+
ปล3 @คุณเบาๆ คิดมากไปนิดนึงจริงๆครับ 555+
ปล4. วันนี้ลงคุณชายตอนใหม่ด้วยครับ อย่าลืมไปให้อ่านเรื่องนู้นด้วยน้าาา อิอิ เรื่องนี้อัพทุกวัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ครับผมมม
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] ทางสามสาย: Prima parte - capitolo uno + ภาพประกอบ 23/02/11 - 22.17
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 23-02-2011 23:11:44
บ้านสามหลังสามสไตล์  น่าอยู่กันไปคนละแบบ  คงเหมาะกับบุคลิกของแต่ละคน
ตอนนี้เริ่มไม่อยากครอบครองโรมไว้แล้วล่ะ  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยไปนะ
แต่ชักอยากตั้งฮาเร็มเก็บหนุ่มลูกครึ่งไว้เป็นส่วนตัวดีกว่า  คริ คริ  เอ หรือว่าเป็นนายเอกเรื่องนี้ดีหว่า
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] ทางสามสาย: Prima parte - capitolo uno + ภาพประกอบ 23/02/11 - 22.17
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 23-02-2011 23:30:20
รูปงามมากๆเลยค่ะ  ถ้าเราเป็นนายเอกเรื่องนี้คงเลือกไม่ถูก รวบหมดเลยทั้งสามคนดีกว่า ฮ่าๆ แต่ว่าเค้าอยากอ่านต่อแล้วอ่า
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] ทางสามสาย: Prima parte - capitolo uno + ภาพประกอบ 23/02/11 - 22.17
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 23-02-2011 23:33:22
"มิลาน"


:m13:
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] ทางสามสาย: Prima parte - capitolo uno + ภาพประกอบ 23/02/11 - 22.17
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 23-02-2011 23:49:19

แจกบวกให้รุปประกอบ  อิอิ
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] ทางสามสาย: Prima parte - capitolo uno + ภาพประกอบ 23/02/11 - 22.17
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 24-02-2011 20:47:44
โรม...เย็นชา

มิลาน ทันสมัย

เวนิส ชุ่มฉ่ำดุจสายน้ำ

อย่างนี้รึเปล่าคะ^6^ รออ่าน อีกสองหนุ่มบุคคลิกจะตรงอย่างที่คิดไว้หรือเปล่า
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] ทางสามสาย: Prima parte - capitolo uno + ภาพประกอบ 23/02/11 - 22.17
เริ่มหัวข้อโดย: fOnfOn :D ที่ 24-02-2011 21:27:52
สามหนุ่ม สามมุม

เลือกไม่ถูกอ่ะ
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] ทางสามสาย: Prima parte - capitolo uno + ภาพประกอบ 23/02/11 - 22.17
เริ่มหัวข้อโดย: nuewanda ที่ 24-02-2011 22:13:17
คือจะอธิบายยังไงดี
ชอบบ้านมิลานที่สุด
แต่ถ้าให้เลือก 1 หลังเป็นของตังเอง จะเลือกบ้านของเวนิส
โดยมีบ้านของโรมเป็นบ้านครอบครัวในฝันเพราะดูแล้วอบอุ่น

งงมั๊ยคะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

คนแต่งบอกว่าสนุก งั้นคนอ่านก็ต้องติดตามค่ะ   :o8:
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] ทางสามสาย: Prima parte - capitolo uno + ภาพประกอบ 23/02/11 - 22.17
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 25-02-2011 01:14:29

วั้ย นี่ค่ะ Butler.....ดูแลทั้งสามบ้านสามเจ้าของเลยค่ะ
(http://image.ohozaa.com/i/0f8/kitbutlerframed001.jpg)
คุณโรมไป pirate มาจาก Hotel Hassler เทียวนะคะ อิอิ
ขอบคุณนะคะ คุณ Purple_Sky

หัวข้อ: Re: [PREMIERE] ทางสามสาย: Prima parte - capitolo uno + ภาพประกอบ 23/02/11 - 22.17
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 25-02-2011 14:02:31
มาต้อนรับเรื่องใหม่ด้วยคนนะคะ

ท่าทางจะต้องวุ่นวายไม่น้อยเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] ทางสามสาย: Prima parte - capitolo uno + ภาพประกอบ 23/02/11 - 22.17
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 25-02-2011 22:00:16
Capitolo due

    กว่าเป็นเอกจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็หกโมงกว่าแล้ว เขาขยี้ตาอย่างงัวเงียยกมือขึ้นเกาหัวด้วยความมึนงงว่าอยู่ที่ไหน พอปรับตัวให้รับรู้เรื่องทั้งหมดได้แล้ว ชายหนุ่มก็มองออกไปนอกหน้าต่าง พระอาทิตย์ฤดูหนาวตกดินไปแล้ว แต่แสงสีส้มอ่อนๆของมันยังคงหลงเหลืออยู่บนท้องฟ้า ย้อมผืนไหมสีน้ำเงินบริเวณนั้นเป็นสีม่วงเข้มดูสวยจับใจ แสงเพียงเท่านั้น ไม่ทำให้ทัศนียภาพของ ปาลัซโซ่ ดี เลย ดูอึมครึมไม่น่าดูแต่อย่างใด แต่กลับทำให้มันดูสวยงามน่าประทับใจมากยิ่งขึ้น
    นึกขึ้นได้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ทำไม ก็นึกถึงคำพูดของเพื่อนหนุ่มว่า “สักทุ่มสองทุ่ม ตอนนั้นค่อยไปหาคุณแม่ที่ กรัน ปาลัซโซ่ กินข้าวเย็นที่นั่น”
     ก้มมองนาฬิกาก็พบว่า เข็มยาวชี้ที่เลขหก เข็มสั้นเลยเลขเดียวกันนั้นไปสักหน่อยแล้ว ก็ตาลีตาลานออกมานอกห้องนอน
    ที่ห้องนั่งเล่น เป็นเอกเห็นแสงจากจอโทรทัศน์ส่องสว่างอยู่ในห้องมืดๆ ก็เอื้อมมือไปเปิดไฟ เพื่อนหนุ่มที่นั่งดูรายงานสารคดีท่องเที่ยวอยู่ก็หันมามอง เป็นเอกประหลาดใจที่พบว่าเพื่อนของตน อยู่ในเสื้อเชิ้ตสีเข้มพอดีตัว กางเกงขาแคบสีดำสนิท สวมรองเท้าหัวแหลมอย่างจะไปงานเลี้ยงเต้นรำที่ไหน ผมหยักศกยาวเคลียบ่า รวบตึงเป็นหางม้าไว้ด้านหลังอย่างเรียบร้อย ดูประหลาดตาเมื่อคิดว่าเพื่อนหนุ่มไม่เคยทำผมอย่างนี้ หากดวงหน้าคมสันนั้น ไม่มีคิ้วเข้ม และไรหนวดจางๆละก็ โรม จะกลายเป็นหญิงสาวคนหนึ่งไปเลย มิใช่ชายหนุ่มที่ทั้งเซอร์ เท่ และสำอางค์ไปในตัวอย่างนี้
    โรมา เห็นเพื่อนหนุ่มตื่นนอนแล้วก็เอ่ยเบาๆ
    “ตื่นแล้วหรอ ไปอาบน้ำอาบท่าไป ได้ไปกินข้าวแล้ว” เป็นเอกพยักหน้า แต่ยังตะลึงกับภาพที่เห็นอยู่จึงยังไม่ได้ลุกไปไหน จนผู้ถูกมองรำคาญถึงกับถามอย่างไม่พอใจนิดๆว่า “มองอะไรหรือ หน้าไอมีอะไรติดหรือเปล่า”
    “เปล๊า” ชายหนุ่มยักไหล่ “แปลกตา ไม่เคยเห็นแต่งตัวแบบนี้”
    “ก็เห็นเสีย” เขาว่า “แม่ไม่ชอบผมยาว ถ้าไม่ไปอย่างนี้ก็คงโดนตัดผมเสียตั้งแต่หน้า กรัน ปาลัซโซ่”
    เป็นเอกกลั้นใจไม่ให้ขำ แล้วก็กลับไปอาบน้ำแต่งตัว เป็นชุดที่คล้ายกันกับเพื่อนหนุ่ม ทั้งสองไม่เสียเวลาพูดคุยอะไรให้มากความ ขึ้นรถของหนุ่มลูกครึ่งขับตรงไปที่กรัน ปาลัซโซ่ทันที
    
    ตึกตรงหน้าที่เป็นเอกเห็น เป็นปราสาทขนาดย่อม ทำจากหินสีน้ำตาลดูเก่าแก่แต่ก็สวยงามประตูเป็นประตูไม้ เปิดเอาไว้ตลอดเวลา ด้านนอกประดับประดาไปด้วย เสาโครินเธียนขนาดใหญ่เหมือนกันกับซุ้มทางเข้ารีสอร์ต ปราสาทหลังนี้ดูใหญ่โตโอ่โถง สร้างเลียนแบบมาจากมหาวิหารสักแห่งในอิตาลีกระมัง โรมาอธิบายว่าที่นี่ เป็นตัวโรงแรมไว้พักแบบห้องเดี่ยว ห้องคู่ และห้องสูท ไม่กี่สิบห้องเพราะจริงๆที่นี่เน้นเป็นรีสอร์ทมากกว่า คนมาพักที่ปราสาทใหญ่นี้ จะเป็นพวกทัวร์มาเป็นหมู่คณะหรือพวกสัมมนาก็ได้ หากเป็นคู่รักหรือมากับครอบครัว ก็จะอยู่กันที่ วิลัจโจ เดอี โรมานี มากกว่า นอกจากนั้นที่ตัวตึกยังมีห้องประชุม ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ฟิตเนสเซ็นเตอร์ สระว่ายน้ำ ด้านหลังมี กานาล หรือคลองขุดผ่าน มีเรือ
กอนโดลา คอยรับส่งระหว่างกรัน ปาลัซโซ กับ วิลัจโจ และ บ้านเดี่ยวของลูกชายทั้งสามของคุณประกายพรึกด้วย
    โรมบอกว่า
    “ถ้าวันไหน ไอไม่อยากออกมาจากบ้านพัก แล้วยูอยากเที่ยวหรือมากินข้าว ว่ายน้ำ ชมสวนอะไรก็แล้วแต่ ขึ้นกอนโดลาที่ท่าหลังบ้านได้ เขาพามาส่งที่นี่ เป็นปลายทาง เรือออกลำแรก แปดโมง ลำสุดท้ายสามทุ่มทุกวัน”
    ก่อนจะเข้าไปในตัวอาคาร เป็นเอกขอให้เพื่อนหนุ่มพาเดินดูทั่วๆ ได้คิดไว้ล่วงหน้าว่าจะจัดสถานที่ในงานแต่งของคุณประกายพรึกอย่างไรดี ในเมื่อโรมยังไม่หิว เป็นเอกก็ยังไม่หิว ทั้งคู่จึงตกลงเดินดูสวนก่อนจะเข้าไปข้างใน
    ผ่านป้าย “Giardino” จาร์ดีโน่ สีขาว ที่มีเถาไม้เลื้อยไปแล้ว เป็นเอกก็เห็นว่า บรรยากาศในสวนนั้นดูร่มรื่น มีรั้วไม้ปลูกไว้คล้ายเข้าวงกต เมื่อเข้าไปแล้วต้องเดินหาทางออกเอง หรือย้อนกลับทางเดิมก็ได้ แต่จะไม่มีแผนที่บอก ตามมุมต่างๆจะมีรูปปั้นหินอ่อนสลักเป็นเทพ เทพี หลายๆองค์ประดับไว้ บางจุดก็มีม้านั่ง ไว้ให้นั่งคุยกัน เป็นเอกเห็นคู่รักสองสามคู่ นั่งคุยกันอยู่เป็นระยะก็อดคิดในใจไม่ได้ว่า
    “หากมีแฟนสักคน จะพามาที่นี่”
    ตรงกลางของเขาวงกต มีน้ำพุอันหนึ่งตั้งอยู่ ด้านบนเป็นเทพที่เป็นเอกไม่คุ้นตา เขาพอจะรู้จักเทพของกรีกโรมันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ทุกองค์จนจำได้ว่าองค์นี้เป็นใคร โรมาเห็นเพื่อนหนุ่มมองอย่างสนใจก็เอ่ยปากบอกว่า “ไดโอนิซุส เทพแห่งเหล้าองุ่น การละคร และ งานสังสรรค์ ที่นี่ก็เลยจัดแต่งานเลี้ยงอยู่ได้ทั้งปีไม่ขาดแขกเลยยังไงล่ะ” เป็นเอกพยักหน้าอย่างเข้าใจ โรมาก็พาเพื่อนหนุ่มออกมาจากข้างเขาวงกต ไม่ได้โผล่ไปออกฝั่งตรงข้ามกับปราสาทใหญ่ เขาให้เหตุผลว่า “สุดสวนก็จะเป็นทางกลับกรุงเทพ หรือถนนกลับ หมู่บ้านโรมันแล้ว”
    ด้านข้างเป็นลานหญ้ากว้างๆ มองเลยไปเป็นลำคลอง และรอบๆมีต้นไม้ใบหญ้า ดอกไม้นานาพรรณปกคลุมอยู่
     “สวยจัง”
    “ก็นะ ข้อนี้ไม่เถียงหรอก”
    “ไอเดียใครหรือ” เขาถามอย่างไม่แน่ใจว่าควรถามหรือเปล่า “ทั้งตัวโรงแรม รีสอร์คบ้านต่างๆ บริเวณรอบๆ คอนเสปต์ อะไรต่อมิอะไรไอว่ามันสร้างสรรค์มากเลยนะ”
    “ก็ คุณแม่จำลองบางส่วนมาจากบ้านพ่อที่โน่น”
    “อ้อ” เป็นเอกเริ่ม ตะหงิดในใจเล็กๆแล้วว่า เขาไม่น่าถามออกไปเลย
    “บางส่วนเป็นไอเดียของคุณเมฆา แฟนใหม่แม่”
    จนแล้วจนรอดโรมก็ไม่เรียก “แฟนใหม่แม่” ว่า “พ่อเลี้ยง” แม้ว่าอีกสัปดาห์เดียวก็จะแต่งงานกันออกหน้าออกตาแล้ว คงถืออคติแบบเด็กๆว่า ไม่มีใครจะมาแทนที่พ่อได้อย่างนั้นกระมัง
    เป็นเอก รู้สึกโกรธตัวเองที่ถามออกไปอย่างนั้น เพราะโรมาเงียบไปในที่สุด ไม่พูดอะไรอีกเลย กระทั่งท้องฟ้ามืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากโคมที่รายรอบบริเวณเท่านั้นที่ทำให้เป็นเอก เห็นสีหน้าของเพื่อนหนุ่มได้ชัดเจน
    “เข้าข้างในได้หรือยัง ป่านนี้คุณแม่ลงมาแล้ว” เขาพูดเบาๆอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักแต่ก็คงรู้ว่า ไม่ใช่ความผิดของเป็นเอกที่พูดเรื่องนั้นขึ้นมา เพื่อนหนุ่มคงไม่ตั้งใจจะทำร้ายจิตใจเขานักหรอก โรมาลุกขึ้น แล้วส่งมือให้เพื่อนหนุ่มช่วยดึงให้ลุกขึ้นมา อย่างกับว่า เป็นเอกอ่อนแอเหลือเกิน
    โรมาเป็นของเขาอย่างนี้ การแสดงออกเล็กๆน้อยๆแบบนี้ แปลว่า ขอบคุณ หรือขอโทษ เพราะสำหรับเขา สองคำนี้เหมือนจะไม่รู้ว่าพูดอย่างไร เขาไม่เคยพูดออกมาให้เป็นเอกได้ยินสักคำเดียว แต่ชายหนุ่มก็เข้าใจว่าเพื่อนต้องการ ขอโทษที่ทำหงุดหงิดใส่เขา
    สองหนุ่มเดินเข้าไปในห้องโถงของปราสาทใหญ่ พบว่าหัวหน้าพนักงานต้อนรับ เดินคล่องแคล่วเข้ามาหาอย่างไม่มีรอ ยกมือขึ้นสวัสดีแล้วพูดว่า “คุณโรมกับเพื่อนใข่ไหมคะ คุณผู้หญิงบอกว่าจะลงมาสายสักสิบนาทีค่ะ ให้ไปรอที่โต๊ะได้เลย” หล่อนยิ้มอย่างรู้งาน ก่อนจะผายมือไปทางห้องอาหาร โรมาและเป็นเอก เดินเข้าห้องอาหารนั้นไปอย่างว่าง่าย
    สิ่งแรกที่สะดุดตาเป็นเอกมากที่สุดในห้องนั้น ไม่ใข่การประดับห้องให้เหมือนกับสวนกลางแจ้งที่เพดานเป็นลายดาว มีโคมระย้าห้อยและต้นไม้ปลอมประดับอยู่รอบห้อง หรือ โต๊ะสี่เหลี่ยมปูผ้าขาวเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ มีแขกเหรื่อทั้งเด็กผู้ใหญ่ ไทยเทศเต็มไปหมดทั้งที่ไม่ใช่หน้าเทศกาล ไม่ใช่แม้แต่บริกรชายหญิงที่แต่งชุดสวยเสียเต็มยศหน้าตาดีกันทุกคนเดินไปมาในห้องนั้น เสิร์ฟอาหารอย่างคล่องแคล่ว แต่กลับเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ใต่ร่มไม้ขนาดใหญ่ที่มุมห้อง บริเวณนั้นเป็นที่ที่นักดนตรีนั่งบรรเลงบทเพลงอย่างไพเราะ ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศ ชายหนุ่มผู้นั้นนั่งเล่นแกรนด์ เปียโนอยู่อย่างคล่องมือราวกับเพียงนั่งพูดคุยกับเพื่อนสนิทเท่านั้น ปลายนิ้วเรียวสวยไล่ไปตามแป้นอย่างนุ่มนวลส่งเป็นเสียงเพลงที่ไพเราะเสนาะหู ดึงดูดให้เป็นเอกจับจ้องอยู่ที่เขาผู้เดียวไม่อาจถอนตาไปที่อื่นได้เลย
    ชายหนุ่มคนนั้น เป็นหนุ่มฝรั่งไม่ผิดแน่ หากแต่คงเป็นชาติยุโรปตะวันตกเฉียงใต้ พวก อิตาเลียน โปรตุเกส สเปน มากกว่าอังกฤษ หรืออเมริกัน แม้จะนั่งอยู่แต่เป็นเอกก็ดูออกว่าเขาเป็นคนที่รูปร่างสูงใหญ่ หุ่นดี อย่างคนรู้จักดูแลตัวเอง ใบหน้านั้นคมเข้มไม่มีที่ติ หนวดเคราขึ้นเป็นตอสั้นๆ ดูเขียวครึ้มมาดแมน ผมสีดำหยักศกหากแต่ใส่มูส หรือเจลหวีไว้เรียบติดหนังศีรษะ เรียบร้อยเข้ากับชุดสูทเต็มยศที่เขาใส่ คิ้วเข้มยาวจากหัวตา จรดหางตา เป็นรูปสวยราวกันมาอย่างดี ดวงตากลมโตเป็นสีดำขลับอย่างผมของเขา ขนตายาวสวย จมูกโด่งเป็นสันอย่างหนุ่มยุโรปเต็มตัว ริมฝีปากหยักอวบอิ่ม ไม่ได้คลี่เป็นรอยยิ้มกว้าง กระนั้นใบหน้าของหนุ่มผู้นั้นก็หล่อเหลาเสียจนดูเหมือนยิ้มไปเองเสียอย่างนั้น
    เป็นเอกรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่โรมจับต้นแขนเขาดึงไปทางโต๊ะ โต๊ะหนึ่ง
    “เอ้า ไม่นั่งหรือไงใจคอจะยืนไปทั้งคืนหรือ”
    เป็นเอก ยิ้มแหยๆ พอหันกลับไปมองหนุ่มผู้นั้นก็หันมาพอดี อย่างที่ไม่ได้นัดมาก่อน เขาคลี่ยิ้มให้เป็นเอก อย่างกันเอง ชายหนุ่มก็ยิ้มตอบ แต่ก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ ตามที่โรมลากไป ไม่ทันได้ปราศรัยกันมากกว่านั้น
    ไม่กี่นาทีต่อมา ประกายพรึกแม่ของโรมก็มาถึงห้องอาหาร ถ้าไม่มีใครบอกก็คงไม่มีใครรู้ว่าหล่อนเป็นแม่คนมาแล้วถึงสาม!
    ชุดราตรีสีดำแบบไม่หรูหรานัก สวมอยู่บนผิวสองสีของหล่อน ผมดำยาวสลวยปล่อยตรงลงมาล้อมกรอบหน้าราวกับผืนฟ้ายามราตรี ดวงตาสองคู่ของหล่อนนั้นก็เหมือนชื่อหล่อนนั่นแหละมันสวยสุกใสเป็นประกายราวสาวแรกรุ่น เครื่องสำอางค์แต่งไว้บนหน้า บางๆอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ก็ทำให้หล่อนดูสวยอ่อนเยาว์ไม่เหมือนหญิงรุ่นเดียวกับหล่อนทั่วไปที่มักแต่งหน้าจัดๆ หวังว่าจะให้ดูเด็กแต่กลับทำให้ดูเป็นสาวใหญ่เสียยิ่งกว่าเดิม
    “สวัสดีครับคุณแม่” โรมยกมือไหว้ ไม่มีรอยยิ้มประดับอยู่บนหน้า เป็นเอกไม่รู้เรื่องนักแต่เดาเอาเองว่าคงไม่พอใจที่หล่อนกำลังจะแต่งงานใหม่กระมัง โรมไม่เคยบอกว่าเขาเสียใจ ไม่เคยบอกว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เพียงแต่เดินเข้ามาหน้าเศร้าๆในวันหนึ่ง ที่คอนโดของทั้งคู่ ชายหนุ่มถอดเสื้อโยนไปกองไว้ที่ตะกร้าแล้วพูดเบาๆเพียงว่า “อาทิตย์หน้า แพ็คกระเป๋าไป เลย คุณแม่จะแต่งงานใหม่อยากให้ยูช่วยจัดสถานที่หน่อย” เท่านั้น
    มาวันนี้ แม้ความไม่พอใจจะเด่นชัดอยู่บนหน้า แต่โรมก็มีมารยาทพอที่จะไม่พูดอะไรให้แม่ของเขาเสียหน้า พอเพื่อนหนุ่มยกมือไหว้ เป็นเอกก็ไหว้ตาม
    “ไหว้พระเถอะลูก” หล่อนคลี่ยิ้มอย่างใจดี “นี่ใช่ไหม หนูเอกที่เล่าให้ฟัง”
    หนุ่มลูกครึ่งพยักหน้า
    “ดีจังเลยที่หนูมา แม่อยากเจอมานานแล้ว ขอบใจมากนะลูกที่เคี่ยวเข็ญให้โรมมันเรียนจบได้น่ะจ้ะ”
    เป็นเอกยิ้มนิดๆที่มุมปาก “ยินดีมากครับคุณแม่ เป็นเพื่อนกันก็ต้องช่วยเหลือกัน แล้วผมก็ไม่ได้ทำอะไรมากนักหรอกครับ โรมเองก็เก่งด้วย”
    “แต่โรมเขาพูดให้ฟังไม่หยุดเลยจ้ะว่าเป็นเพราะหนู” โรมา ก้มหน้างุดดูอายๆที่เพื่อนหนุ่มรู้ว่าถูกเอาไปพูดให้แม่ฟังอย่างกับเด็กประถม ที่ต้องบอกแม่ทุกอย่างว่าทำอะไรมาบ้างในแต่ละวัน “ทานอะไรมาหรือยังจ๊ะ สั่งอาหารเลยก็ได้นะ” 
   “สั่งเลย ไม่ต้องเกรงใจ” โรมว่า ดีดนิ้วเรียกพนักงานหนุ่มที่อยู่ใกล้ๆ บริกรคนนั้นหยิบเอาเมนูมายื่นให้โรม ที่ส่งต่อให้เป็นเอกอย่างเอาใจ “พาสต้าที่นี่ก็อร่อยดีนะ Fettucini a la Carbonara อร่อยมาก ชอบไม่ใช่หรือ”
    เป็นเอกอ่านเมนูไปสักพักก็สั่งอาหารมารับประทาน พออีกสองคนสั่งของตัวเองเรียบร้อยแล้วบริกรหนุ่มคนนั้นก็เดินกลับไปที่ครัว ทิ้งให้ทั้งสามคนคุยกัน ทำความรู้จักกันต่อไป
    “สวยไหมจ๊ะ หนูเอก ปาลัซโซ่ที่นี่”
    “สวยมากครับ” เขายิ้มตอบ “ผมชอบมาก ยังชมกับโรมเขาอยู่เลยครับว่า บรรยากาศสวยถูกใจมาก ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีที่อย่างนี้ในไทยด้วย”
    “แหมแขกมาพักชอบกันแม่ก็ดีใจ” ประกายพรึกพูดต่ออย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรว่า “เสียดาย พ่อแม่หนูไม่มาด้วย คราวหน้าเชิญมาพักได้เลยนะจ๊ะแม่จะลดราคาให้เต็มที่เลย”
   เท่านั้นเป็นเอกก็หน้าซีด ไม่ตอบอะไร เขาน่าจะชินกับคำถามทำนองนี้เสียแล้วแต่ก็ทำใจให้เป็นปกติไม่ได้ เขาเป็นลูกกำพร้า พ่อแม่เสียแต่เด็กๆ เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพ่อแม่เขาหน้าตาเป็นอย่างไร มีเพียงรูปเก่าๆไว้ให้ดูต่างหน้าเท่านั้น
    โรมเห็นหน้าเพื่อนหนุ่มก็รู้ว่าแม่ของเขาพูดเรื่องไม่น่าพูดเสียแล้ว
    “คุณแม่ครับ!” เขาดุแม่เบาๆ “เป็นเอกเป็นลูกกำพร้า พ่อแม่เขาเสียแต่เด็ก ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วนี่ครับ”
    “ตายจริง” คุณประกายพรึกหน้าตาตื่น “แม่ลืมไป พูดไม่ทันคิดจ้ะขอโทษด้วยนะหนูเอก”
    เป็นเอกก้มหน้านิ่งใจคิดถึงแต่ปมด้อยข้อนี้ของเขา ใครพูดถึงขึ้นมาอย่างนี้ เขาก็ต้องเสียใจทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ยิ่งมาเห็นแม่ลูกคุยกันอย่างสนิทสนมอย่างนี้ชายหนุ่มยิ่งสะเทือนใจ ขอตัวออกมาเข้าห้องน้ำโดยไม่ได้สนใจว่าสองแม่ลูกจะคุยอะไรกันอีก

    เป็นเอกทำธุระเสร็จก็เดินออกมา เขาล้างหน้าล้างตา ส่องกระจกเรียบร้อยดี ก็เดินใจลอยออกมาที่หน้าต่างบริเวณทางเดินที่เปิดกว้างออกสู่ภายนอก ทางออกจากห้องน้ำชั้นสอง มองออกไปเห็นสวนสวยหน้าปราสาทใหญ่ มองเลยไปเป็นเนินสูง ถนนยาวออกจากบริเวณนั้น พาไปยังถนนที่มุ่งหน้ากลับกรุงเทพ ฉากหลังนั้นเป็นทิวเขาเขียวชอุ่มดูสวยงามแม้ในความมืด
    บนท้องฟ้าสีดำสนิท ดารดาษไปด้วยแสงดาวอย่างที่คงไม่มีโอกาสเห็นที่กรุงเทพ เป็นเอกจำได้ว่าคุณป้าเคยบอกเขาเมื่อนานมาแล้ว “พ่อกับแม่อยู่บนโน้น คอยมองลงมาดู และให้กำลังใจเอกเสมอ”
    เขาถอนหายใจ มันไม่ใช่ความผิดของคุณประกายพรึกเลยที่พูดถึงพ่อแม่ของเขาขึ้นมา หล่อนไม่รู้ก็ถือว่าไม่ผิด เขาเสียอีกโตเป็นหนุ่มป่านนี้แล้วควรทำใจให้ได้เสียที ไม่ควรโกรธคุณประกายพรึกเลย เขาแอบรู้สึกว้าเหว่ในใจ ไม่เคยมีใครมาดูแลเอาใจใส่ ให้ความอบอุ่นเขาเลย ด้วยเหตุนี้เด็กชายเป็นเอก จึงโตมาเป็น นายเป็นเอกอย่างคนขาดความอบอุ่น ตั้งปณิธานว่าอยากจะมีใครสักคนให้เขาคอยดูแล เอาอกเอาใจจะได้ไม่ต้องว้าเหว่เหมือนตน
    เขาแทบไม่รู้ตัวว่า มีชายคนหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ข้างๆเขา มือเท้าที่ขอบหน้าต่างอย่างเดียวกับที่เป็นเอกทำ
    “Che notte più bella, eh?” น้ำเสียงที่แสนอบอุ่นเอ่ยขึ้น

*************************************************************************************

อิอิ เจอแม่ของโรมแล้วชอบกันไหมครับ แล้วก็ หวังว่าจะเดากันไม่ผิดนะครับว่าชายหนุ่มที่นั่งดีดเปียโนคนนั้นเป็นใคร ตอนหน้า(พรุ่งนี้) มาเฉลยครับผม
ปล. คุณเบอร์ลินเดาคร่าวๆได้ตรงดีครับผม ติดตามต่อไปนะครับ
ปล2 คุณกิตรูปสวยเชียวครับ 555+
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo due บ&#
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 25-02-2011 22:18:59
บรรยายซะได้บรรยากาศมาก ๆ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในสถานที่นั้นเลย
หนุ่มนักเปียนโนนั่นน่าจะเป็นพี่ชายหรือน้องชายของโรม  รอเฉลยพรุ่งนี้
อยากบอกว่าชอบอารมณ์ของเรื่องนี้มาก ๆ นะคะ
มันแตกต่างจากปางบรรพ์และคุณชายโดยสิ้นเชิง  คนละรสชาดเลย
+1
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo due บทที่ 2 - 25/02/11 - 21.55
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 25-02-2011 22:24:30
^
^
^
เห็นด้วยกะพี่ไอฟอร์กิฟ
เรื่องนี้อ่านแล้วรู้สึกสบายกว่ามากๆ มากกกกกกกกกมากเลยค่ะ

และ...อยากรู้จักคุณคนที่เล่นเปียโนแล้วสิคะ >//////<
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo due บทที่ 2 - 25/02/11 - 21.55
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 25-02-2011 23:16:27

• หวังว่าจะเดากันไม่ผิดนะครับว่าชายหนุ่มที่นั่งดีดเปียโนคนนั้นเป็นใคร
ว้าย หล่อ & perfect อย่างนั้น
จะเป็นใครไปได้คะ

.

.

.

.

นอกจาก Claude, Cloud, หรือ เมฆา....ว่าที่เจ้าบ่าว
ถึงจะคู่ควรกับคุณ Morning Star อิอิ

๑๖๙ + ๑ = ๑๗๐
ขอบคุณนะคะ คุณ Purple_Sky


หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo due บทที่ 2 - 25/02/11 - 21.55
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 25-02-2011 23:48:09
หนุ่มที่ดีดเปียโนใช่พี่คนโตรึเปล่าคะ  คุณแ่ม่ท่าทางจะเข้ากับลูกสะใภ้ได้ดีนะ อิอิ รอตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo due บทที่ 2 - 25/02/11 - 21.55
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 26-02-2011 00:41:38
ชอบอะไรที่เป็นอิตาลีมากคะ ถึงขนาดคลั่งไคร้เลยทีเดียว

หนุ่มที่มาทักคงเป็นเวนิส ใช่ไหมคนเดียวกันกับที่เล่นเปียโน^
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo due บทที่ 2 - 25/02/11 - 21.55
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 27-02-2011 19:30:41
Capitolo tre

     “Che notte più bella, eh? Troppa maravella per mettere una faccia triste come questa” เสียงทุ้มลึก แต่นุ่มนวลเอ่ยขึ้นเบาๆข้างๆ ทันทีที่ได้ยินเป็นเอกก็หันไปสำรวจผู้พูดทันที
    เขากระพริบตาถี่ๆด้วยความประหลาดใจ นี่มันหนุ่มนักเปียโนคนนั้นนี่! เขามองออกนอกหน้าต่างไม่ได้หันมามองที่เป็นเอก คล้ายจะรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะตั้งใจเริ่มบทสนทนากับเขา ภาษาที่เขาได้ยินนั้นเป็นภาษาอิตาเลียน หรือเปล่า เป็นเอกไม่แน่ใจนัก เขาไม่ค่อยคุ้นนักกับภาษานี้ แต่พอจะจับคำว่า notte ที่แปลว่ากลางคืน และคำว่า bella  ที่แปลว่าสวยได้ จึงอุ่นใจว่าอย่างน้อยมันก็น่าจะเป็นภาษาที่เขาคุ้นเคย เคยได้ยินจากเพื่อนหนุ่มบ้างแม้จะไม่เข้าใจนักก็ตาม ถ้าต้องสื่อสารกันด้วยภาษานี้จริงๆ คงไม่ถึงกับไม่รู้เรื่อง
   “Scusa, Io non parlo Italiano ขอโทษครับ ผมพูดภาษาอิตาเลียนไม่เป็น” หนุ่มน้อยพูดออกไปอย่างตะกุกตะกัก นึกได้เป็นคำๆอย่างคนไทยทั่วไปจะจำได้จากการเรียนภาษา ประโยคพื้นฐานแบบนี้ โรมาเคยสอนเขามาจนขึ้นใจแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสฝึกพูดให้คล่องเท่านั้น ครับ โปรดพูดอังกฤษเถอะครับ “Inglese per favore”
    อีกฝ่ายยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง
    “Sorry, I thought you were Italiano” สำเนียงของเขาแปร่งหู พูดเหมือนขึ้นจมูก คำว่า you ก็ออกเสียงเหมือน อีอู ตัว r ท้ายพยางค์ก็รัวเสียง ร. แผ่วเบา เป็นสำเนียงภาษาอังกฤษที่แปลก และเพราะที่สุดสำหรับเป็นเอกผู้ที่หัวเราะลงคอเบาๆ เขาเหมือนคนอิตาเลียนที่ไหนเล่า “I said: What a beautiful night, Too marvelous to put on such a sad face like that”
    ผมบอกว่า คืนนี้ช่างสวยงามอะไรเช่นนี้ งามเกินกว่าที่จะทำหน้าเศร้าขนาดนั้นนะครับ ชายหนุ่มหันกลับไปมองฟ้าอีกครั้ง เป็นเอกรู้สึกประหม่าเป็นครั้งแรกต่อหน้าคนแปลกหน้า ปกติชายหนุ่มจะคุมสถานการณ์ได้ดี ไม่เคยตกใจจนทำตัวไม่ถูกอย่างนี้สักครั้ง อาจเป็นเพราะชายหนุ่มตรงหน้าหล่อเหลาเหลือเกิน หรืออาจเป็นเพราะเขาเป็นชาวต่างชาติที่พูดภาษาอังกฤษแทบจะฟังไม่รู้เรื่องก็ได้ เป็นเอกถึงยืนตัวแข็งพูดไม่ออก บอกไม่ถูกอย่างนี้
   กว่าจะรู้ตัวว่าเสียมารยาท ก็เกือบสายไปที่เป็นเอกจะเอ่ยตอบว่าเขาเพียงคิดอะไรนิดหน่อยเท่านั้น “Oh, yes I um... It’s just… I have something on my mind, you know… to think about.”
    “Maybe that thing on your mind was kinda melancholy then ถ้างั้น บางทีสิ่งที่คุณคิดอยู่น่ะ คงจะเป็นเรื่องน่าเศร้ามากซีนะ” เขาว่า ทำเอาเป็นเอกหัวเราะลงลูกคอก่อนจะ ส่ายหัวเบาๆ “I guess it wasn’t something too serious, was it? Look how you can laugh now. ผมว่าคงไม่ใช่เรื่องจริงจังมากนักใช่ไหม คุณหัวเราะได้แล้วนี่นา”
    “Ahuh” เป็นเอกยิ้มตอบ “Just some immature, crazy things that I can’t get out of my head. ก็แค่เรื่องบ้าๆ แบบเด็กๆ บางเรื่องที่ผมยังเอาออกจากหัวไม่ได้เท่านั้นเองล่ะครับ”
    “Then let it go” ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยมันไปเถอะครับ “You should atleast smile to yourself for a night like this. Look around. Isn’t the place beautiful? the palace, the fountain, the trees, the flower… gorgeous, right? This place was built for people to relax, not to be so stressed. And wasn’t to relax the reason why you escape from Bankok? อย่างน้อยคุณก็น่าจะยิ้มให้ตัวเองบ้างนะครับ สำหรับค่ำคืนอย่างนี้ ดูรอบๆตัวคุณซี ที่นี่มันไม่สวยเลยหรือ
ทั้งปราสาท น้ำพุ ต้นไม้ ดอกไม้ ...สวยใช่ไหมล่ะครับ เขาสร้างไว้ให้คนมาพักผ่อน ไม่ใช่ให้มาเครียด แล้วมาพักผ่อนน่ะไม่ใช่เหตุผลที่คุณหนีมาจากกรุงเทพหรือไง”
     เป็นเอกคล้อยตาม คำพูดของชายหนุ่มช่างน่าฟังเหลือเกิน ยามเขาพูดเขาจะเลิกคิ้ว โบกไม้โบกมือไปมาอย่างออกรส ทำให้เป็นเอกอดบันเทิงใจไม่ได้ จึงยิ้มออกมาที่มุมปากอย่างว่าง่าย
    “Good” ชายแปลกหน้าพลิกตัวเอาหลังพิงขอบหน้าต่าง มองหน้าเป็นเอกอย่างเพ่งพิศ ก่อนจะกล่าวเบาๆว่า “A smile suits your face more. Tonight is so pretty as I said and this place is too marvelous. You should take advantage of it. รอยยิ้มเหมาะกับหน้าคุณมากกว่า คืนนี้มันสวยมากนะ อย่างที่ผมบอกแล้ว แล้วสถานที่นี้มันก็สุดยอดจริงๆ คุณควรจะดื่มด่ำกับมันนะครับ”
     ชายหนุ่มผละออกไปในที่สุด เป็นเอกโพล่งขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ว่า
    “Wait! Please don’t go…  Atleast, Let me know your name first.เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป อย่างน้อยก็ให้ผมรู้ชื่อคุณก่อนเถอะครับ”
    แต่หนุ่มคนนั้นไม่เสียเวลาหยุดตอบ เขาโบกมือให้ทั้งที่ไม่ได้หันหลังกลับมา พูดเป็นภาษาอิตาเลียนที่หนุ่มไทยแปลไม่ออกอีกครั้งว่า “La vita è buona, approfittarne”
    
    เป็นเอกกลับมาที่ห้องอาหารอีกครั้งในใจเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น ลืมความน้อยเนื้อต่ำใจเรื่องพ่อแม่ไปเสียสิ้นเมื่อพบกับหนุ่มอิตาเลียนคนนั้น ชายหนุ่มเดินผ่านประตูด้วยยิ้มกรุ้มกริ่ม แต่พอพ้นบานประตูห้องอาหาร มาเห็นคนที่นั่งอยุ่กับคุณประกายพรึกเท่านั้น เขาก็ตกใจจนอ้าปากค้าง
    นายหนุ่มอิตาเลียนคนนั้น นั่งคุยกับคุณประกายพรึกอย่างออกรส... เป็นภาษาไทย! พอเห็นเป็นเอกเดินมาใกล้ คนแม่ก็พูดว่า
    “หนูเอกมาพอดี นี่ลูกชายคนโตของแม่เอง ชื่อเวนิสจ้ะ”
    หนุ่มคนนั้นหันมามองเขา ไม่มีสีหน้าตกใจอะไรเลย มีเพียงรอยยิ้มแบบเด็กถูกจับได้ว่าทำผิดมาให้เท่านั้น แสดงว่าเวนิสอะไรนี่ รู้มาก่อนแล้วซีว่าเขาเป็นคนไทย ทำไมหลอกให้พูดภาษาอังกฤษเสียตั้งนานสองนาน ล่ะเนี่ย!
    พออ้าปากพูด ภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำก็ดังลอดปากหนุ่มคนนั้นออกมา
    “สวัสดีครับ คุณเอก” หนุ่มร่างสูงลุกขึ้นยิ้มให้ มีแววตลกเจือมาในน้ำเสียงเห็นได้ชัดว่าตั้งใจหลอกเขาพูดภาษาฝรั่งจริงๆด้วย มาทำเป็นบอกว่าคิดว่าเขาเป็นคนอิตาเลียน เขาเหมือนอิตาเลียนที่ไหนล่ะ! จงใจแกล้งกันชัดๆอย่างนี้
    “สวัสดีครับ คุณเวนิส แหมเป็นคนไทยหรอกรึครับ หลอกให้พูดอังกฤษด้วยเสียนาน” เป็นเอกว่าอย่างหาเรื่อง แต่มีน้ำเสียงไม่จริงจังนัก อีกฝ่ายจึงหัวเราะ
    “ก็คิดว่าเป็นอิตาเลียนจริงๆนี่นา เห็นคุยกับโรมสนิทกันดี” เขาว่า “พอบอกว่าไม่พูดอิตาเลียนก็เลยคิดว่าคงเป็นฝรั่งชาติอื่น ขอโทษที่ไม่ได้พูดไทยด้วย”
    “นี่พูดเรื่องอะไรกัน” โรมขมวดคิ้วถามอย่างงงงัน
    “L'ho incontrato sulla mia strada. Abbiamo parlato un po '. Ho pensato che fosse filippino o giapponese, così ho parlato in inglese con lui.” เวนิสตอบโรมเป็นภาษาอิตาเลียนรัวเร็วจนเป็นเอกฟังไม่ทัน ตบท้ายด้วยประโยคที่ขึ้นเสียงสูงอย่างประโยคคำถาม “il tuo amico?”
    โรมก็อุตส่าห์ตอบ ให้เป็นเอกไม่เข้าใจอีกว่า
    “Sì, per molto tempo”
    “E lui ti piace?” พี่ชายถามต่ออย่างรวดเร็วกะว่าไม่ให้ใครฟังทันทีเดียว
    “non del tuo affari!” โรมตะคอกตอบ
    “นี่พอทีทั้งคู่นั่นแหละ เห็นไหมว่าเอกเขาฟังไม่รู้เรื่อง” ผู้เป็นแม่ยกมือขึ้นห้ามอย่างอดรนทนไม่ได้อีกต่อไป “แม่บอกแล้วว่าถ้าอยู่ต่อหน้าแม่ให้พูดภาษาไทย แม่เป็นคนไทยนะ ตาเว ตาโรม แม่ไม่ใช่พ่อแก และที่นี่ไม่ใช่อิตาลี”
    ทั้งคู่หน้าสลด
    “ขอโทษครับคุณแม่” เวนิสว่า “ผมไม่ได้ตั้งใจ อยู่กับน้องแล้วก็เป็นอย่างนี้ทุกที ผมแค่เล่าให้โรมฟังว่าผมเจอเอกเขาข้างนอกไม่รู้ว่าเป็นคนไทย คิดว่าเป็นฟิลิปปินส์ หรือไม่ก็ญี่ปุ่นก็เลยพูดอังกฤษด้วย”
    “แล้วประโยคสุดท้ายแกถามอะไร ฮึ ตาเว” คนเป็นแม่มองลูกอย่างรู้ทัน
    “เอ้อ” เวนิสอ้ำอึ้ง แต่โรมกลับแย่งตอบเสียเอง
    “พี่ถามว่า เป็นเพื่อนกันหรือ ผมก็บอกว่าเป็นมานานแล้วเท่านั้นละครับ”
    พอดี บริกรมาเสิร์ฟอาหารที่โต๊ะคนเป็นแม่จึงไม่ได้ซักอะไรต่อ แต่หันมาพูดกับเป็นเอกอย่างกันเอง
    “อย่าไปถือสาตาสองคนนี้เลยนะลูก เขาพูดอะไรกันตามความเคยชิน ไม่ได้นินทาว่าร้ายอะไรหนูหรอกนะจ๊ะ”
    “เอ้อ ครับ” เป็นเอกยิ้มให้คนแม่ “ผมไม่ถือหรอกครับ เข้าใจดีว่าอย่างโรมคงไม่ตั้งใจพูดอะไรให้ผมไม่เข้าใจ ผมกับมันไม่เคยมีอะไรปิดบังกันอยู่แล้วละครับ”
    เป็นเอกมองเลยเพื่อนหนุ่มไปยังพี่ชายของเขา เห็นเวนิสยิ้มมาให้ ก็อดทำหน้าบึ้งใส่ไม่ได้ เป็นเอกยังไม่เลิกคิดว่า หนุ่มลูกครึ่งคนนี้คงคิดลองภูมิภาษาเขา อย่างฝรั่งหลายๆคนที่คิดว่าคนไทยไม่รู้เรื่องภาษาอังกฤษ เจอเข้าคงจอด แต่ขอโทษนะ เห็นแล้วละซีว่า ผมไม่กระจอกงอกง่อย อย่างที่คุณเจอมาหรอก!
    “คุณเวนิส กับโรม ชื่อเป็นเมืองที่อิตาลีทั้งคู่เลย ลูกคนสุดท้องก็คงชื่อคล้ายๆอย่างนี้ใช่ไหมครับ” เขาตั้งข้อสังเกต “เป็นเมืองที่อิตาลี ไม่ฟลอเรนซ์ ก็คงจะเป็นมิลาน”
   “จ้ะ หนูเอกละเดาเก่ง ชื่อมิลาโน กำลังกลับมาจากมิลานเสียด้วย”ประกายพรึกหัวเราะชอบใจ “เห็นบอกว่าไฟลท์เลื่อน ตอนแรกว่าจะลงที่ขอนแก่นแล้วต่อรถมาเสียคืนนี้ แต่พอเปลี่ยนไฟลท์มาเป็นลงที่กรุงเทพแทนแล้วอย่างนี้ คงค้างอยู่คืนหนึ่งก่อนพรุ่งนี้หายเหนื่อยแล้ว บ่ายๆก็คงมาถึงจ้ะ”
    โรมเลิกคิ้ว หายเหนื่อยหรือ? เจ้ามิลาน ถ้าได้ลงกรุงเทพละก็มีหวังได้ไปอยู่แถว สีลม อตก. ยันเช้าแน่ ถ้าแม่หวังจะได้เจอมันพรุ่งนี้ละก็ คงได้เจอค่ำๆหน่อย ไม่มีทางที่จะมาถึงนี่ในตอนบ่ายได้เลย
    “คุณมิลานกลับมาจากมิลาน” ตลกดีนะเมื่อต้องเรียกชื่อคนกับชื่อสถานที่เหมือนกันอย่างนี้ “เขาไปเที่ยวหรือครับ”
    “เดินแบบจ้ะ” หล่อนยิ้ม “มิลานเป็นนายแบบ ได้ไปเดินแบบที่มิลานแฟชั่นวีค เสร็จงานตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วสงสัยหาเรื่องอยู่เที่ยวต่อ”
    เป็นเอกทำปากห่อคล้ายจะร้องอ้อ เป็นนายแบบ คงจะหล่อและหุ่นดีมากซีท่า เขาหันไปมองโรม พิจารณาใบหน้าของเพื่อนหนุ่มก็คิดในใจว่า ถึงโรมจะห่างไกลคำว่า “นายแบบ” แต่เขาก็หล่อเซอร์ มีเสน่ห์ในแบบของเขา ส่วนเวนิส รายนั้น ทั้งหล่อมาดแมน ดูสง่าอย่างชายชาตรี ยังไม่ได้เป็นนายแบบเลย สงสัยมิลานคนนี้จะหล่อมากกระมัง
    ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร อาหารก็มาเสิร์ฟถึงที่โต๊ะพอดี ต่างคนต่างก้มก็ลงกินมื้อเย็นของตัวเอง มีเพียง โรมและเป็นเอกที่กินอาหารหนักอย่างพาสต้า ในขณะที่คุณประกายพรึกกินสลัด ซูชินี่ แบบเบาๆ และเวนิสก็เพียงแค่จิบไวน์แดงอย่างดีเท่านั้น ไม่แตะอาหารอะไรเลย และเพราะจิบแต่ไวน์แดง ปากจึงว่าง ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเป็นเชิงถามแบบไม่ค่อยต้องการคำตอบที่แท้จริงนัก เหมือนเป็นการเปิดประเด็นคุยมากกว่า “นี่คุณเป็นเอก รู้จักกับโรมนานแล้วหรือครับ”
    “ครับ หกปีแล้ว” เป็นเอกตอบอย่างไม่ใส่ใจจะอธิบายยาวกว่านั้น
    “รู้จักกันได้ยังไงหรือ อยู่คณะเดียวกันที่มหาวิทยาลัยหรือครับ” เขายิ้มให้เป็นเอกเหมือนเคย แต่ความรู้สึกน่าทึ่งในความหล่อเหลา และอบอุ่นใจในความเป็นกันเองนั้นหายไปแล้ว เป็นเพียงความขวางหู ขวางตารำคาญใจแทน
    “เรียนที่เดียวกันครับ ผมเรียนสถาปัตย์ฯ เวลาจะออกจากมหาลัย โรมจะต้องขับรถผ่านคณะผมทุกครั้ง” ตึกคณะศิลปกรรมศาสตร์อยู่ถัดจากตึกสถาปัตย์ลึกเข้าไปในมหาวิทยาลัย ซึ่งประตูทางออกนั้นอยู่หน้าตึกคณะที่เป็นเอกเรียนโรมจะต้องผ่านทุกวันจริงๆ แต่ถ้าเป็นแค่นั้นก็คงไม่ได้คุยกันหรอก “ทีนี้ผมกับโรมเคยเจอกันมาก่อนที่ค่ายอาสา เพราะว่านอนข้างกันน่ะครับ ทำกิจกรรมอะไรก็อยู่กลุ่มเดียวกัน พอมาเจอที่มหาลัยอีกก็สนิทกันไปเลย”
    “แล้วหอเอก ก็อยู่ก่อนถึงคอนโดผม” โรมแย่งพูดขึ้นมาบ้าง “เคยขับรถผ่านเห็นเดินหน้าดำอยู่ข้างถนน ก็เลยลองถามดูว่าบ้านอยู่ไหนพอรู้ว่าไปทางเดียวกันก็เลยกลับด้วยกันทุกวัน”
    “อ้อ” เวนิสว่า “โลกมันก็กลมดีนะครับ แต่เอ เห็นคุณแม่เคยเล่าให้ฟังว่าแกเรียนจบได้เพราะคุณคนนี้ไม่ใช่หรือ อยู่คนละคณะ ทำไมถึงมาช่วยอะไรกันได้ล่ะ ทีแรกนึกว่าเรียนคณะเดียวกันเสียอีก”
    “เอกเขาขยันเขียนแบบตึก” โรมบอก “วันไหนไปค้างหอเอกเล่นๆ ก็จะเห็นเอกทำงานดึกๆดื่นๆตลอด มาคิดว่า เออ ไอ้เราวาดแต่หน้าคน ต้นไม้ ดอกไม้ สบายกว่าตั้งเยอะ ยังไม่ยอมทำ เลยได้แรงฮึดทำงานส่งครูจบออกมาพร้อมกัน”
    ความจริงแล้วโรมเรียนก่อนเขาปีหนึ่ง แต่ว่าไม่จบปีสุดท้ายจนมาเจอเขาถึงได้จบออกมาพร้อมกัน เหตุนี้แหละคุณประกายพรึกถึงได้ขอบใจเป็นเอกเอามากมาย จะไม่ให้หล่อนห่วงได้อย่างไร ลูกชายคนโตจบเศรษฐศาตร์จากฮาร์วาร์ด คนกลางเรียนศิลปะ แถมวาดรูปแค่อย่างเดียวยังเรียนไม่จบ ลูกคนเล็กก็ไม่เรียน วันๆถ่ายแบบ เดินแบบ ถ่ายโฆษณา หล่อนจะวางใจให้ลูกคนโตเลี้ยงตัวเองรอดคนเดียว แล้วน้องๆ ไม่ประสบความสำเร็จแล้วกลายเป็นภาระได้อย่างไร
    “แม่ละแทบจะตกเก้าอี้ตอนเจ้าโรมเขาโทรมาบอกว่ารับปริญญาวันไหน” หล่อนยิ้มกว้าง “ตอนแรกไม่เชื่อนะ นึกว่าอำ ถามไปถามมาเออจบจนได้จริงๆ ตอนหลังมาสัมภาษณ์ว่าไปทำอีท่าไหนถึงเรียนจบได้ทั้งๆที่ไม่มีวี่แววเลย ก็เลยรู้ว่าได้เพื่อนดี คบกันมา 6 ปีแล้ว เอกคงรู้ใช่ไหมลูก ว่าตาโรมน่ะชอบเก็บตัวมีเพื่อนเป็นผ้าใบ กับพู่กัน”
    เป็นเอกยิ้ม แม่ของเพื่อนหนุ่มพูดอะไรตรงไปตรงมาเหลือเกิน
    “แม่ละก็ เดี๋ยวเอกก็เลิกคบผมเสียหรอก” โรมก้มหน้าทำปากมุบมิบ
    “แหม ก็เล่าสู่กันฟัง” หล่อนยิ้ม “เชื่อไหมแม่ว่าอะไรไม่เคยฟังสักคำ แต่ถ้าเป็นหนูเอกนะ เขาจะเชื่อแทบจะทุกพยางค์ที่เปล่งเสียงออกมาเลยล่ะ เนี่ยถ้าหนูเป็นผู้หญิง แม่ไปขอมาแต่งกับลูกแม่แล้ว”
    “คุณแม่!”
    ประกายพรึกหัวเราะชอบใจ “แต่แต่งงานไปน่ะ มันเลิกกันได้ มันหย่ากันได้ อยู่กันแบบเพื่อนนี่แหละจ้ะ ยืดยาวดี แม่ละฝากโรมมันไว้กับเอกเลยนะลูก”
    “โถ ผมก็ไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอกครับ”
    “ใครว่าล่ะ เอกเก่งด้วย ดีด้วย ทำงานหาเงินส่งเสียตัวเอง เรียนก็เกรดดี งานก็ไม่เคยขาด ปากกัดตีนถีบ ช่วยตัวเองมาจนได้ดีขนาดนี้  ถ้าเป็นคนอื่น ไม่พ้นติดยา ไม่ก็พนัน ไม่ก็มีเมียไปตั้งแต่เรียนไม่จบแล้ว ครองตัวดีมากได้ขนาดนี้ ไอถึงนับถือ” เป็นโรมที่พูดขึ้นทุกคำพูดของชายหนุ่ม หลุดออกมาเบาๆผ่านริมฝีปาก แทบจะไม่มีใครได้ยินนอกจากคนที่ตั้งใจฟังจริงๆ เป็นเอกฟังอย่างนั้นก็ทำตัวไม่ถูก เพื่อนหนุ่มไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนตั้งแต่เขาเคยคบกันมา
    จู่ๆก็มีคนเดินเข้ามาที่โต๊ะพูดด้วยเสียงร่าเริงอย่างหนุ่มอารณ์ดีว่า  
    “กินกันจะหมดแล้วหรือ” ตอนแรกเป็นเอกนึกว่ามิลาน แต่พอหนุ่มคนนั้นก้มลงจุ๊บแก้มประกายพรึกท่ามกลางสายตาขุ่นมัวของลูกชายแล้ว เป็นเอกก็แน่ใจว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน นี่สามีใหม่ของหล่อนต่างหาก หน้าเด็กไม่ต่างจากลูกเลย เป็นเอกไม่แปลกใจสักนิดว่าทำไมเพื่อนหนุ่มผมยาวของตนถึงไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานใหม่ครั้งนี้
    หนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลาอย่างนี้มีสาวๆให้เลือกทั้งเมือง เหตุใดจึงจะมาเลือกสตรีวัยเกือบห้าสิบลูกสามอย่างประกายพรึกเล่า หากว่าไม่ได้ต้องการมาหลอกเอาทรัพย์สมบัติของหล่อน!
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo due บทที่ 2 - 25/02/11 - 21.55
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 27-02-2011 19:36:34
 
Capitolo Quattro

    เขาคนนั้น คงจะอายุไม่เกินสามสิบ   ในขณะที่เป็นเอกแน่ใจว่าประกายพรึกคงจะเกินสี่สิบห้าแล้ว เขาเข้าใจโดยที่ไม่ต้องบอกเลยว่าทำไม ทั้งเวนิส ทั้งโรมถึงได้มองพ่อเลี้ยงปานจะกินเลือดกินเนื้ออย่างนั้น ใครเล่าจะยอมรับได้ว่า จะต้องมาเรียกชายที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับตัวเองว่า “พ่อ”
     เวนิสลุกขึ้นเดินอ้อมมานั่งข้างเป็นเอก ให้พ่อเลี้ยงของตนนั่งข้างๆแม่ไปอย่างไม่เต็มใจนัก
    “ดาว ทานไม่รอผมเลยน้อยใจจะแย่ ก็รู้นี่ครับว่างานผมเยอะคงตามมาช้าหน่อย” เขาตัดพ้ออย่างหนุ่มน้อยพึงกระทำต่อหญิงสาวแรกรุ่น ราวกับสตรีตรงหน้าอายุไม่ถึงสิบห้า ทั้งที่หล่อนก็คงจะอายุเกือบๆห้าสิบแล้ว!
    “แหม ก็ดาวไม่รู้นี่คะ” หล่อนหัวเราะคิก “คิดว่าคงจะทำงานข้างบนแล้วก็สั่งขึ้นไปทานเหมือนทุกคืน ก็เลยทานสลัดรองท้อง รอขึ้นไปทานมื้อดึกพร้อมกับเมฆน่ะค่ะ”
    “ผมต้องมาทานกับดาวซี วันนี้ลูกๆ...” พอเห็นสายตาของโรม ชายที่ดูท่าจะชื่อเมฆ ก็ตบประโยคใหม่อย่างสวยงาม “ของดาวมา ผมก็ต้องมาต้อนรับ”
    เขายิ้มมุมปากก่อนจะทักว่า
    “เว นี่เจอแล้ว สองคนนี้คงเป็นโรม กับมิลานใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดคำว่ามิลานต่อหน้าเป็นเอกอย่างเข้าใจผิด แม้ปากจะกล่าวอย่างมั่นใจ แต่แววตากลับไม่แน่ใจนัก ก็เป็นเอกดูไม่เหมือนฝรั่งเลยแม้แต่น้อย จะว่าเหมือนประกายพรึกก็ไม่เหมือนสักนิด
    “อุ๊ยไม่ใช่ คนผมยาวน่ะโรมค่ะ แต่ว่าคนผมสั้นนี่เพื่อนตาโรม ชื่อเป็นเอก”
    “อ้อ” ชายหนุ่มว่า “ขอโทษนะครับที่เข้าใจผิด”
    ดวงตากลมโต ปากบางได้รูป และรอยยิ้มขาวสะอาดราวกับแผงไข่มุกอย่างนั้น เป็นเอกไม่ประหลาดใจหรอก หากประกายพรึกอยากจะได้เจ้าของมัน มาเป็นของหล่อนคนเดียว เป็นเอกยิ้มให้ จะยกมือไหว้ก็ไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้า แก่กว่าเขาพอที่จะเป็นพี่ให้ไหว้ได้หรือเปล่า!
    “หนูเอกจ๊ะ นี่คุณ เมฆา คนที่แม่จะแต่งงานด้วยไงจ๊ะ” หล่อนยิ้มอย่างเขินอายไม่ต่างจากสาวๆ “เมฆคะ นี่เป็นเอก มัณฑนากรที่ดาวเคยเล่าให้ฟัง เขาจะมาตกแต่งสถานที่ให้”
    “อ้อ” เมฆาร้องออกมา ยื่นมือมาให้เป็นเอก เชคแฮนด์ ชายหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย อุ่นใจที่ไม่ต้องชั่งใจอีกต่อไปว่า จะไหว้หรือไม่ไหว้คนตรงหน้านี้ดี “ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์มาช่วยงาน”
    “ยินดีครับ” เป็นเอกยิ้มแหยๆ หันไปสบตาโรมก็รู้ว่าเพื่อนหนุ่มส่งสายตาเขียวขุ่นมาให้ ราวกับต้องการจะสื่อสารในใจว่า “อย่าไปหลงคารมมันเชียวนะ”
    “ได้ยินว่าคุณเก่งมาก ผมก็ดีใจครับที่งานแต่งงานของผมจะกลายเป็นงานที่เพอร์เฟคที่สุด ได้สมฐานะของดาวเขา” เมฆายิ้มอย่างจริงใจ ทว่าโรมกลับพูดแทรกขึ้นมาด้วยความขัดใจว่าชายตรงหน้าไม่ได้รักแม่เขาจริง
    “เอกคงทำสุดฝีมือครับ คุณเมฆาจะต้องชอบแน่ๆ ไหนๆงานแต่งก็แต่งแค่ครั้งเดียวในชีวิต ไม่ได้แต่งกันได้บ่อยๆจริงไหมครับ นอกจากว่าคุณเมฆาจะอยากแต่งอีกครั้ง” จริงๆโรมกะจะพูดว่า โดยเปลี่ยนใจจากแม่ผมไปแต่งกับคนอื่นอีกละก็ แต่กลัวจะเป็นการหักหน้าแม่เกินไป จึงต่อประโยคว่า“อย่างนั้นเอกคงต้องออมแรงหน่อยไว้ไปตกแต่งสถานที่ให้งานหน้าต่อ”
    สีหน้าของเมฆาขรึมขึ้นเล็กน้อย แต่ประกายพรึกกลับไม่รู้เรื่องยังยิ้มแย้มพูดต่อไปอย่างคนอารมณ์ดี “แหมตาโรม เมฆเขาคงไม่แต่งหลายครั้งหรอกจ้ะ ครั้งเดียวเราก็ต้องเชิญแขกมากมายแล้ว”
    “ครับ” เมฆาฝืนยิ้ม พยายามตีสีหน้าให้บึ้งตึงน้อยที่สุด
    “คุยเรื่องงานแต่ง เราคงไม่มีรดน้ำหรือทำอะไรแบบไทยๆหรอกนะจ๊ะ มีงานเลี้ยงอย่างเดียวตัดเค้ก แล้วก็เลี้ยงโต๊ะจีนเท่านั้น หนูเอกว่าจัดในนี้ดีไหม หรือว่าจะขึ้นไปดูห้องประชุมที่ชั้นลอย แม่ว่าห้องนั้นจะใหญ่กว่านี้ แล้วก็จุแขกได้มากกว่านี้นิดหนึ่งน่ะจ้ะ” ประกายพรึกกอดแขนเมฆาแล้วกล่าวขึ้นมาเรียบๆ ก่อนจะจิ้มชิ้มซูชินี่ส่งเข้าปากอีกคำ
    “ผมยังตอบไม่ได้ครับเพราะยังไม่ได้เห็นสถานที่เลย” เป็นเอกเอ่ยขึ้นกลางๆ เขายังให้คำตอบไม่ได้จริงๆ แต่ไม่เห็นด้วยนักที่จะจัดงานในห้องอุดอู้ขนาดนี้ ทั้งๆที่บรรยากาศนอกปาลัซโซ่ ออกจะสวยงาม ควรใช้ทัศนียภาพให้เป็นประโยชน์กว่านี้จะดีกว่า
    “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้แม่ให้ตาเว พาลูกเอกทัวร์รอบรีสอร์ตดีไหมจ๊ะ จะได้รู้ด้วยว่าอยากจะจัดงานตรงไหนอย่างไร”
    เวนิสเงยหน้าขึ้นจากแก้วไวน์แดง ส่งยิ้มให้เป็นเอกที่ไม่คิดจะยิ้มตอบ
    “ทำไมคุณแม่ไม่ให้ผมพาเอกดูเองล่ะครับ” โรมว่าอย่างฉุนๆเล็กน้อย “เป็นเอกก็เพื่อนผม จะรบกวนพี่เวทำไม”
    “เอ้า ก็พรุ่งนี้โรมจะไปเยี่ยมคุณลุง คุณป้ากับแม่นี่จ๊ะ ลืมแล้วหรือ” ประกายพรึกยังพูดอย่างยิ้มแย้มอยู่ได้ไม่มีความหงุดหงิดให้เห็นมาตลอดชั่วโมงกว่า ที่เป็นเอกเจอหล่อน นึกชื่นชมว่าผู้หญิงคนนี้ช่างเป็นคนที่อารมณ์ดีเสียจริง “ตาเวก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว เลยวานให้ช่วยพาเดินเที่ยวหน่อยแม่ว่า เวเขาคงไม่คิดว่าเป็นการรบกวนหรอกใช่ไหมจ๊ะ”
   เวนิสวางแก้วไวน์ลง หลังจากหยิบขึ้นมาแกว่งให้กลิ่นไวน์แดงจากฝรั่งเศสลอยขึ้นจมูกอย่างด่มด่ำมาพักใหญ่แล้วก็พูดขึ้นเบาๆว่า “ผมยินดีครับคุณแม่”
     เป็นเอกมองเวนิสขวางๆ จะบอกได้อย่างไรว่าเขาไม่อยากไปกับชายคนนี้เลยให้ตายเถอะ ความประทับใจแรกมันสำคัญมากจริงๆ เมื่อเป็นเอกรู้สึกขุ่นเคืองเวนิสตั้งแต่คืนแรกอย่างนี้แล้ว ยากนักที่จะให้เขาทำใจชอบชายหนุ่มผู้นี้ได้
    โรมคงทนเห็นแม่ของตนหยอกล้อกับพ่อเลี้ยงต่อไปไม่ไหว จึงรีบขอตัวกลับบ้านนอนหลังจากเมฆาเข้ามาร่วมวงด้วยได้ไม่ถึงสิบห้านาที โดยอ้างเพียงว่าขับรถมาไกลเหนื่อยมากอยากจะพัก คนแม่ก็ตามใจปล่อยให้ลูกชายคนรองกลับบ้านไปนอนเสีย เมื่อโรมจะกลับเป็นเอกจะทำอะไรได้นอกจากยอมกลับบ้านไปกับโรม ทั้งที่วางแผนไว้ว่าจะนั่งสูดอากาศบริสุทธิ์อยู่ในสวนหน้าปาลัซโซ่สักพักก่อน
    ชายหนุ่มเดินออกจากปาลัซโซ่เมื่อลับตาแม่แล้วก็แสดงท่าทางฉุนเฉียวออกมาอย่างไม่ปิดบัง ก้าวลงบันไดหินสามสี่ขั้นหน้าตัวปราสาทแล้วก็ยืนเท้าเอวมองฟ้าอย่างไม่สบอารมณ์ เป็นเอกรู้ดีว่าต่อให้เขาเป็นเพื่อนที่สนิทกับโรมแค่ไหน แต่หากเป็นเรื่องในครอบครัวแล้ว เขายังถือว่าห่างเหินเกินว่าจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวจึงไม่พูดอะไร แต่ตบบ่าเพื่อนหนุ่มเบาๆเท่านั้น
    หนุ่มลูกครึ่งหันมา ยิ้มให้กับเพื่อนของตนอย่างฝืนทำเต็มที
   “ยูขึ้นรถไป ไอขับให้เองกลับบ้านไปนอนเถอะอย่าคิดอะไรเลย”
    โรมพยักหน้า นึกขอบใจเป็นเอกที่ไม่ถามอะไร คนที่เข้าใจเขามากที่สุดจะเป็นใครได้ถ้าไม่ใช่เป็นเอก เหตุนี้เองโรมถึงได้รักเพื่อนของเขาคนนี้มากที่สุด
    “ขอบใจ” เขากล่าว แล้วก็ทำตามที่เป็นเอกบอกอย่างว่าง่าย โยกเบาะข้างคนขับให้เอนหลังลง มือประสานกันไว้ใต้ท้ายทอย มองดูท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยหมู่ดาวอยู่เงียบๆ ตลอดทางที่เป็นเอกขับรถกลับไปบ้านพักของเพื่อนหนุ่มของเขา
    “มีอะไรระบายหรือเปล่า” เป็นเอกถามเบาๆ ตามองทางไม่มองคู่สนทนาของเขา ทำให้โรมไม่รู้สึกเหมือนถูกคาดคั้นเอาความจริงอะไรนัก จึงตอบอย่างเต็มใจกลับไปว่า
    “ไอไม่อยากให้แม่แต่งงานกับไอ้เมฆานั่น”
    “อื้ม” เป็นเอกรับคำ “ไอเข้าใจดี ยูคงไม่อยากให้ใครมาแทนพ่อ”
    “ไม่ใช่แค่นั้นหรอกเอก ไอ้นั่นน่ะ อายุเท่าพี่เวเองนะ ยี่สิบแปดเองนะโว้ย แม่ไอจะห้าสิบแล้ว มันห่างกันเกินไป” เขาว่าอย่างอัดอั้นตันใจ “ผู้ชายหนุ่มๆ ดีๆ ที่ไหนเขาจะมาชอบคนแก่อย่างแม่ไอวะ”
    “ยูพูดเหมือนดูถูกแม่” เป็นเอกออกความเห็น “คุณประกายพรึกเขาอาจจะดีมากจนทำให้เมฆาไม่สนใจอายุ และรูปลักษณ์ก็ได้มั้ง คนเรารักกันมันไม่ได้อยู่แค่รูปร่างหน้าตา อายุอะไรอย่างนี้เท่านั้นนี่นา”
    “ก็จริง แต่ห่างกันยี่สิบปีเนี่ย มันไม่เยอะไปหรือ อายุเท่าลูกเลยนะ”
    เป็นเอกถอนใจ
    “สรุปโกรธแม่งั้นซีที่ไปรัก ผู้ชายเด็กกว่า”
    “ใช่” โรมตอบขวางๆ “ไม่รู้แม่คิดยังไง มันหวังสูบเลือดสูบเนื้อแม่อยู่แล้ว อายุห่างกันขนาดนี้ มาหลอกเอาสมบัติใครเขาก็ดูออก พูดกันให้แซ่ด แม่ก็น่าจะรู้ทันอยู่ว่าเขาหลอก ก็ยังจะยอม”
    “แม่ยูคงจะเหงานั่นแหละ” เป็นเอกว่าเบาๆ “ยูอยู่คอนโดกะไอ น้องยูอยู่เมืองนอก ถ้าให้เดา พี่ยูก็คงแยกมาอยู่ต่างหากด้วย ลูกๆไม่อยู่กับเขาสักคน พ่อยูก็ไม่อยู่แล้ว คุณประกายพรึกก็คงจะเหงา ว้าเหว่ อยากหาที่พึ่งทางใจน่ะ”
    เงียบไปสักพัก จนรถแล่นมาจอดหน้าบ้านของโรมพอดี
    “ถ้าแม่มีความสุข ไอก็คงต้องยอมใช่ไหม” เขาหันมาหาเป็นเอก พูดอย่างคนที่มีอารมณ์ความรู้สึกอย่างที่นานๆครั้งจะทำ “ไอไม่ควรขัดความสุขแม่ใช่ไหม”
    เป็นเอกพยักหน้า
    “ต่อให้มันไม่เหมาะสมก็ตามหรือ”
    “ต่อให้มันไม่เหมาะสมก็ตาม” เป็นเอกตอบเบาๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเข้าไปในบ้าน โรมกระชากยางรัดผมออกจากหางม้า สะบัดหัวแรงๆให้ผมตกลงมายุ่งกระจายอยู่บนกรอบหน้าตามเดิม
    “รำคาญ รัดผมจนตึงหนังหัวไปหมด ไอจะอาบน้ำละนะยูอาบทีหลังเหมือนเดิมละกัน” เพื่อนหนุ่มลูกครึ่งอิตาเลียนว่า
    “ตามใจ” เขาตอบเพื่อนหนุ่มก่อนจะตะโกนไล่หลังไปว่า “แต่มัดผมอย่างนั้นก็ดูดีนะเว่ย โรม ไอชอบ”
    เป็นเอกไม่เห็นว่าโรมหยุดชะงักไปนิดหนึ่ง ยิ้มที่มุมปากก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัว เดินเข้าห้องน้ำไป

      เป็นเอกอาบน้ำทีหลังโรม และอาบนานเสียด้วยกว่าจะออกมาอีกครั้งก็เกือบยี่สิบนาที ชายหนุ่มอาบน้ำนานอย่างนี้เสมอหากต้องการผ่อนคลาย ต่างจากโรมที่มักจะอาบเร็วตลอดไม่ว่าจะอยู่อารมณ์ไหนพอย้ายจากหอมาอยู่กับโรมแล้ว เป็นเอกจึงตกลงกับเพื่อนหนุ่มว่าเขายอมอาบทีหลังโรม เพราะยังไงฝ่ายนั้นก็อาบเร็วอยู่แล้วไม่ต้องรอนานอะไร
    ชายหนุ่มนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินออกจากห้องน้ำมาก็ชะโงกหน้ามองที่ห้องนั่งเล่นมองหาเพื่อนว่ารู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง แต่ก็พบเพียงห้องว่างเปล่า จึงสรุปว่าเพื่อนของเขาคงขึ้นห้องนอนไปแล้ว เลยกลับไปแต่งตัว ใส่เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นอย่างพร้อมจะนอนแล้ว เป็นเอกเดินขึ้นไปดูที่ชั้นบนก็พบว่าเพื่อนหนุ่มนอนหลับไปแล้วจริงๆ แต่เขากลับยังไม่ง่วงเสียเลยเพราะเพิ่งนอนไปตื่นหนึ่งก่อนกินข้าวเย็น จึงคิดหาอะไรทำสักพักก่อน
    เขาตัดสินใจเปิดประตูออกจากบ้านไปทางด้านหลัง
    แม้จะเป็นเวลากลางคืนแต่บริเวณนั้นก็ไม่ได้น่ากลัวแต่อย่างใด แสงไฟจากในตัวบ้าน และแสงจันทร์ในคืนนั้นส่องสว่างเสียจนเป็นเอกเห็นแทบจะทุกอย่างรอบกาย คลองสายเล็กๆ ไม่กว้างนักทอดตัวอยู่ด้านหลัง หากข้ามคลองไป ฝั่งตรงข้ามก็คือละเมาะไม้ดูโปร่งกินพื้นที่กว้างไปจนถึงฉากหลังที่เป็นภูเขาสูงทะมึนยาวไปจรดที่บ้านสีชมพูและยังดูเหมือนจะยาวต่อไปหลังบ้านนั้นถึงทุ่งกว้างใหญ่อีกด้วยมองไปทางซ้ายก็พบว่า คลองสายนี้ ทอดยาวไปจนอ้อมหลังบ้านหินสีน้ำตาลหลังใหญ่ดูสูงสง่านั้นและจากคำบอกเล่าของโรม มันคงทอดตัวไปจนถึงกรันปาลัซโซ่อีกด้วย
    เมื่อตามองเลยไปถึงบ้านหลังใหญ่นั้น เป็นเอกก็เห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่หลังบ้านบนม้านั่งที่หันหน้าไปยังลำคลอง อุ้มกีต้าร์ตัวใหญ่ไว้ในมือ ดีดเป็นทำนองที่ไพเราะเสียจากเป็นเอกอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ทั้งๆที่ก็รู้ว่าผู้ที่กำลังเล่นอยู่นี้คือใคร เดินไปเพียงไม่กี่ก้าวเขาก็ได้ยินเสียงุ้มลึกร้องเพลงคลอกีต้าร์มาเป็นเพลงที่เขาเคยฟังผ่านหูทว่าไม่รู้ว่าคือเพลงอะไร จับคำร้องได้ประมาณหนึ่งเท่านั้น
    “...ฉันรักเธอโดยที่ไม่รู้จัก... และฉันรักเธอตั้งแต่แรกพบหน้า”
    เป็นเอกรู้ตัวอีกทีก็มาหยุดอยู่ไม่กี่ก้าวจากชายหนุ่มเจ้าของบทเพลงที่แสนไพเราะนั้น พอหนุ่มผู้นั้นเห็นว่ามีคนแปลกหน้าคนหนึ่งเดินเข้ามาหา เขาก็หยุดเล่น หยุดร้อง วางกีต้าร์ลงเพ่งมองอย่างพินิจ พิจารณาว่าเป็นใครกันแน่
    “ผมเอง เป็นเอก” เขาเอ่ยเบาๆ
    “อ้อ” เจ้าของบ้านร้องออกมา ลุกขึ้นยืน แล้วก็ผายมือเชิญให้เป็นเอกนั่งลงข้างๆ ชายหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย “เชิญนั่งครับ”
    “ผมแปลกใจเหลือเกินว่านอกจากจะเล่นเปียโนได้รื่นหูดีแล้ว คุณยังร้องเพลงได้เพราะมาก และเล่นกีต้าร์เก่งเหลือเกินด้วย” เป็นเอกเอ่ยชม “หัดมานานหรือยังครับ”
    “เปียโนนี่เรียนมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ว่ากีต้าร์นี่เพิ่งจะเริ่ม” เขายิ้มตอบ เป็นเอกจึงสังเกตได้ว่า ผมที่เปียกด้วยมูสเมื่อครู่ บัดนี้ เปียกชื้นนิดๆด้วยน้ำ และชุดสูทเต็มยศก็เปลี่ยนมาเป็นเสื้อคอกลม กางเกงขาสั้นธรรมดาๆเท่านั้น แสดงว่าอาบน้ำมาแล้วเรียบร้อย
    “เก่งจังครับ แล้วเล่นอะไรได้อีกหรือเปล่า”
    “ผมเล่นไวโอลิน” หนุ่มรุ่นพี่ตอบ “ไว้มีโอกาสจะเล่นให้ฟัง”
    เงียบกันไปพักหนึ่งเวนิสก็ถามขึ้นมาอีกว่า “โรมล่ะไม่ออกมาด้วยกันหรือ”
    “หลับไปแล้วล่ะครับ” เป็นเอกตอบ “ผมนอนไม่หลับก็เลยออกมาเดินเล่น ไม่คิดว่าจะได้ยินเพลงอะไรเพราะขนาดนี้”
    พูดจบประโยค ลมก็พัดมากระทบผิวหนังเปลือยเปล่าที่มีเพียงเสื้อกล้ามบางๆเท่านั้นที่ให้ความอบอุ่นได้ ชายหนุ่มตัวสั่นระริก
    “ใส่เสื้อกล้ามบางๆออกมาเดินตอนกลางคืน กลางเขาอย่างนี้น่ะหรือ”เวนิสส่ายหัว แววยียวนอย่างในห้องอาหารกลับมาแล้ว จะให้เป็นเอกมองว่าเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์นานกว่านี้สักหน่อยก็ไม่ได้ “ไม่รู้หรือไงว่าเลยน่ะเป็นจังหวัดที่หนาวที่สุดในเมืองไทย”
    “ไม่รู้ซีครับ ก็ในบ้านมันอุ่นนี่ ถ้ารู้คงไม่ใส่แต่เสื้อกล้ามออกมาหรอก”
    หนุ่มลูกครึ่งหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยถามว่า “จะเข้าไปข้างในไหม” พอเห็นว่าเป็นเอกส่ายหัวปฏิเสธก็พูดต่อ “งั้นเดี๋ยวผมมา”
    หายไปพักเดียว ก็กลับมาใหม่ พร้อมถ้วยเซรามิกควันฉุยสองแก้วและผ้าห่มหนาๆพาดบ่ามาด้วย เวนิสยิ้มให้แม้รอยยิ้มจะดูอบอุ่น จริงใจเพียงใด เป็นเอกก็ยังขุ่นเคืองเรื่องที่ชายหนุ่มลองภูมิภาษาเขาที่กรัน ปาลัซโซ่อยู่ดี
    “ผมชงช็อกโกแลตร้อนทิ้งไว้เหยือกหนึ่ง รินมาเผื่อ ดื่มเสียจะได้หายหนาว” เขายื่นถ้วยนั้นให้ เป็นเอกก็รับไปก่อนจะกล่าวขอบคุณ “แล้วนี่ห่มเสียเดี๋ยวจะไม่สบาย”
    “ไม่เป็นไรครับผมเกรงใจ สักพักก็กลับแล้ว”
    “ไม่ได้ คุณเป็นเพื่อนน้องผมก็เท่ากับเป็นน้องผมด้วย อีกอย่างคุณต้องมาจัดงานแต่งให้แม่ผมถ้าปอดบวมตายไปเสียก่อนแม่ผมจะเอาใครไปจัดงานให้ล่ะครับ” เวนิสยื่นผ้านั้นให้อีกครั้ง แต่เป็นเอกก็ยังไม่รับ ชายหนุ่มจึงกระหวัดผ้าผืนนั้นรอบตัวหนุ่มน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วบ่งบอกชัยชนะ
    มันน่าซัดหมัดเข้าสักเปรี้ยงที่ปลายคางเสียจริง!

*****************************************************

เมื่อวานเหมือนเว็บจะล่ม ผมเข้าไม่ได้เลยพยายามเท่าไหร่ก็ไม่ได้ ก็เลยไม่ได้มาลงวันนี้เลยลงทีเดียว 2ตอนเลยครับ
อย่างที่หลายๆคนตั้งข้อสังเกต เรื่องนี้ผมตั้งใจเขียนให้อ่านง่ายๆมากกว่า “คุณชาย” แต่ให้มีกลิ่นอายของความเป็นอิตาลี และภาษาอิตาเลียนเข้ามาเจือให้เรื่องน่าสนใจขึ้นเล็กน้อย ถ้าใครที่ชอบเกี่ยวกับอิตาลี (อย่างคุณเบอร์ลิน) ก็หวังว่าจะถูกใจนะครับ

คุณเบอร์ลินเดาถูกอีกแล้ว จริงๆเป็นผู้ช่วยผมเขียนเรื่องนี้หรือเปล่าครับ555+

อาทิตย์หน้าเจอกันคงตื่นตาตื่นใจกับภาพสวยๆของรีสอร์ตด้วย แล้วถ้าใครเริ่มหลงรักเวนิสละก็ อาทิตย์หน้าจุใจแน่ครับ

วันพรุ่งนี้จะอัพคุณชายด้วย อย่าลืมไปอ่านนะคร้าบ

:]
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo tre e quattro บทที่ 3-4 - 27/02/11 - 19.30
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 27-02-2011 20:08:06
คุณพี่ชายมีเสน่ห์มากๆเลยอ่ะ แต่เราชอบโรม :o8: อิอิ  อยากรู้จังว่ามิลานจะเป็นแนวไหน
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo tre e quattro
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 27-02-2011 20:33:10
มิลานฟังดูแล้วน่าจะเป็นพวกเพลบอยนะ  หน้าตาดี  เจ้าชู้  เที่ยวกลางคืน  หญิงชายมากหน้าหลายตา
สำหรับเมฆาช่องว่างระหว่างวัยที่มากขนาดนั้น  ถ้าจะไม่ให้คิดถึงเรื่องหวังสมบัติก็คงยากจริง ๆ
วันนี้ได้เจอเวนิสแล้ว  รอมิลานตอนหน้า  เว้ยยย  อยากเป็นเป็นเอกอ่ะ  ทำงัยดี
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo tre e quattro บทที่ 3-4 - 27/02/11 - 19.30
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 28-02-2011 00:09:37
เวนิส ที่ร้องเพลงนั้น ตั้งใจจะสื่ออะไรรึเปล่าเนี่ย ประมาณว่ารู้สึกดีตั้งแต่แรกพบ

เราว่าโรม ต้อง แอบ คิดอะไรกับเพื่อน นิดนึงในหัวใจแต่ไม่แสดงออก

รออีกหนึ่งหนุ่มค่ะ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo tre e quattro บทที่ 3-4 - 27/02/11 - 19.30
เริ่มหัวข้อโดย: pp_song ที่ 02-03-2011 14:14:13
โรมท่าจะเรียบร้อยที่สุดในบ้าน

 :call: :call:
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo tre e quattro บทที่ 3-4 - 27/02/11 - 19.30
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 04-03-2011 11:03:10
ตามมาจากคุณชายเจ้าค่ะ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo tre e quattro บทที่ 3-4 - 27/02/11 - 19.30
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 04-03-2011 11:17:51
ต้องรอทำความรู้จักคุณมิลานก่อน
ถึงจะตัดสินใจได้ว่าจะเลือกข้างไหน หงุงหงิง  :o8:
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo tre e quattro บทที่ 3-4 - 27/02/11 - 19.30
เริ่มหัวข้อโดย: Na_RimKLonG ที่ 04-03-2011 12:55:15
รอด้วยคน
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo tre e quattro บทที่ 3-4 - 27/02/11 - 19.30
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 04-03-2011 19:49:53
Capitolo cinque

     เป็นเอกจิบช็อกโกแลตร้อนเข้าไป ก็พบว่ามันเป็นช็อกโกแลตที่อร่อยมากจริงๆ ไม่เหมือนไมโล โอวัลตินที่เขาเคยดื่มมา แต่รสชาติคล้ายกับช็อกโกแลตที่ละลายแล้วมาผสมอย่างลงตัวกับนมสดที่ทั้งหอมทั้งหวานอมขม อร่อยกลมกล่อมจนชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะดื่มตามไปอีกอึกหนึ่งอย่างติดใจในรสชาติ
    “อร่อยใช่ไหมล่ะ” ชายหนุ่มข้างๆเขาว่า “ผงช็อกโกแลตสวิสเชียวนะ ของดีนะคุณถ้าติดใจละก็ เติมอีกก็ได้เลย”
    “ไม่ล่ะครับ ดื่มของหวานๆตอนกลางคืนเดี๋ยวจะอ้วนตาย”
    หนุ่มลูกครึ่งหัวเราะ
    “เหมือนมิลานไม่มีผิด วันๆไม่ต้องทำอะไรทาครีมบำรุงอะไรไม่รู้กี่ขวดต่อกี่ขวด แล้วก็ออกกำลังกาย กับคุมอาหารว่ามื้อนี้กินกี่แคลอรี่ จนไม่รู้จะหาอะไรในร่างกายมาอ้วน ก็ยังว่าอ้วนอยู่นั่น”
    “ผมก็ไม่ถึงขั้นนั้นเสียหน่อย” เขาว่า “แต่ดื่มของหวานๆอย่างนี้แล้วก็ไปนอนไม่ได้เผาผลาญมันจะอ้วนเอาจริงๆนี่ครับ”
    “คุณผอมแล้ว ต่อให้ดื่มสักสิบแก้วพรุ่งนี้คุณก็ไม่อ้วนขึ้นหรอก”
    “เอาเถอะครับ” เป็นเอกดื่มช็อกโกแลตร้อนไปอีกอึกหนึ่ง “คุณมิลานนี่คงหล่อมากซีท่า หุ่นก็คงจะดีมากถึงได้ไปเดินแบบถึงอิตาลี”
    “น้องผมเขาชื่อ’มิลาโน’ ไม่ใช่ ‘มิลานนี่’ ” เวนิสกล่าวติดตลก แต่เป็นเอกไม่ขำด้วย ชายหนุ่มจึงต้องขำออกมาเสียเอง “ไม่ขำหรือ โอเค ไม่ขำก็ไม่ขำ มิลานมันหล่อจริง ทั้งสาวทั้งหนุ่มติดตรึม”
    เป็นเอก เลิกคิ้วอย่างสงสัย
    “คุณมิลานเป็นเกย์หรือ”
    “ไม่รู้มันซี  ไม่เห็นลงเอยกับใครสักคน” ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปใกล้คู่สนทนา “ทำไมคุณรังเกียจเกย์หรือ”
    “เปล่านี่ ผมไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว”
    เวนิสหัวเราะ แล้วก็ชวนคุยต่อไป
    “ชอบหรือเปล่าที่นี่”
    “ชอบซีครับ” เป็นเอกตอบ “สวยมาก อยากจะมาอยู่เสียตลอดชีวิต”
    “จริงหรือ ผมหมายถึงบ้านผมนะ”
    ผู้ฟังรู้สึกหน้าร้อนผ่าว มองหน้าพี่ชายของเพื่อนหนุ่มอย่างไม่ไว้ใจก่อนจะบอกว่า “ผมพูดถึงรีสอร์ตนี้ต่างหาก มันสวยดีน่าอยู่จริงๆ  แต่ถ้าคุณถามถึงบ้านคุณละก็ มันก็อึมครึมแปลกๆ ดูน่ากลัวอย่างไรไม่รู้”
    “คุณเป็นคนตัดสินอะไรแค่ภายนอก” เขาว่า
    “เอ้า ไหนมาว่าผมอย่างนั้น ผมก็บอกตามที่ผมเห็นน่ะซี คุณชักจะกวนผมแล้วนะ” เป็นเอกไม่รู้ตัวว่าน้ำเสียงไม่พอใจของเขานั้น ชัดเจนจนอีกฝ่ายสัมผัสได้
    “อย่าเพิ่งโมโหซี” เวนิสหัวเราะลงลูกคอ “คุณยังไม่เห็นข้างในเสียหน่อย มาบอกได้อย่างไรว่าน่ากลัว”
    “ผมไม่เถียงคุณละเดี๋ยวจะต่อความกันไม่จบ เอาเป็นว่าราตรีสวัสดิ์แล้วกันครับ” เป็นเอกทำท่าจะลุก แต่เวนิสกลับลุกตาม เดินอ้อมมายืนขวางเขาไว้
    “เดี๋ยวซีครับ คุณยังไม่ง่วงไม่ใช่หรือ อยู่คุยเป็นเพื่อนผมก่อน นะ นะ”
    ชายหนุ่มตัดสินใจนั่งลงอีกครั้ง
    “ถ้ากวนผมอีกที ผมจะกลับบ้านจริงๆด้วย” เป็นเอกว่า
    “ครับผม สัญญาว่าไม่กวนแล้ว” เวนิสเดินกลับมานั่งที่เดิม “คุณอยู่กับโรมมาหกปีแล้ว รู้ไหมว่ามันมีแฟนหรือเปล่า”
    “ไม่นี่ครับ” เป็นเอกขมวดคิ้ว “คุณจะอยากรู้ไปทำไม”
    “เปล๊า” เขาว่า “ก็เรื่องงานแต่งงานนี่ แม่เขาคงอินมากเลยอยากให้ลูกๆแต่งกันบ้างก็เลยมารบเร้าว่าเมื่อไหร่ผมจะแต่งงาน”
    “แล้ว คุณมีแฟนแล้วหรือยังล่ะครับ”
    “ไม่มีน่ะซี” เขายิ้ม “ไม่คิดมีด้วย มีแฟนแล้วยุ่งยากจะตายอยู่ตัวคนเดียวสบายกว่า ที่ถามคุณเนี่ยก็แค่อยากรู้ว่าโรมมันมีใครที่มันชอบหรือยัง จะได้ยุให้รีบๆแต่งงานแทนผม ผมขี้เกียจถูกแม่รบเร้า”
    “ก็ไม่มีนะครับ ผมไม่เคยเห็นโรมมันควงใครสักคน เพื่อนมันยังไม่ค่อยมีเลย วันๆอยู่แต่กับพู่กัน กับผ้าใบ”
    “ผมล้อมันบ่อยๆว่า ถ้าคิดอยากแต่งงานมีลูกเมื่อไหร่อย่าลืมไปขอผ้าใบแต่งนะ คบหาดูใจกันมานานแล้วนี่” เป็นเอกหัวเราะกับคำพูดของหนุ่มผู้พี่
    “แล้วคุณล่ะ ไม่มีแฟน จะแต่งกับกีต้าร์ ไวโอลิน หรือเปียโนดี”
    “ไม่รู้” เขายักไหล่ “เปลี่ยนเป้าหมายละกันครับคุณโจมตีผมอยู่ฝ่ายเดียว  เอาเป็นว่าแล้วคุณล่ะ มีแฟนหรือยัง”
    เป็นเอกส่ายหน้าแล้วก็ไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น เวนิสเองก็ไม่คิดจะถามอะไรอีก เขาก้มหน้าต่ำมองแก้วเปล่าในมือจนเป็นเอกไม่รู้ว่าตอนนี้ชายหนุ่มมีสีหน้าอย่างไร คงแอบขำหรือเปล่าที่เขาหาแฟนไม่ได้ เป็นเอกไม่แน่ใจ
    “ผมเอาแก้วไปเก็บนะ” เวนิสเอ่ยขึ้นในที่สุด ยื่นมือไปหยิบแก้วกาแฟจากในมือเป็นเอกแล้วก็เดินหายเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้เป็นเอกอยู่กับตัวเอง
    เอาเข้าจริงๆแล้ว ชายคนนี้ไม่ต่างอะไรจากคนแปลกหน้า เป็นเอกยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเวนิสเป็นใคร เป็นคนอย่างไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร รู้เพียงว่าเป็นพี่ชายของโรมเท่านั้น แล้วมานั่งคุยกันสนิทสนมดึกๆดื่นๆอย่างนี้ได้อย่างไร เขาไม่เข้าใจตัวเองนัก ...เป็นไปได้ไหมว่าเขาชอบชายหนุ่มคนนี้เข้าเสียแล้ว
    จะบ้าหรือ ใจง่ายไปไหมเป็นเอก เจอกันวันแรกเนี่ยนะ
    เขาไม่ทันจะได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น เวนิสก็กลับออกมาพอดี เขานั่งลงข้างๆเป็นเอกอีกครั้ง ชายหนุ่มก็รีบเอ่ยถามขึ้นก่อนที่ฝ่ายนั้นจะทันได้พูดอะไรกับเขาก่อน “คุณเวนิส อยู่ไทยมาก่อนหน้านี้หรือเปล่าครับ ทำไมผมไม่เคยเจอ โรมก็ไม่เคยเล่าถึงคุณให้ผมฟัง”
    คนถูกถาม มองไปที่ยอดไม้ฝั่งตรงข้ามพร้อมกับที่พูดตอบเป็นเอก
    “ผมทำงานที่เวนิส” เขาว่า “มีโฮมสเตย์อยู่ที่นั่น อยู่กับครอบครัวของญาติฝั่งพ่อ เพิ่งกลับมาไทยก็เพราะงานแต่งแม่เนี่ยแหละ”
    “อ้อ” เป็นเอกร้องอย่างเข้าใจ “คุณอยู่มานานซีนะครับ”
    “ก็ตั้งแต่เรียนจบล่ะครับเกือบแปดปีได้”
    “มิน่าสำเนียงอังกฤษคุณแปลกๆ ทั้งที่ได้ยินคุณประกายพรึกพูดในห้องอาหารว่าคุณจบจากฮาร์วาร์ด สำเนียงน่าจะเป็นอเมริกันกว่านี้นะครับ”
    “ผมเรียนฮาร์วาร์ดไม่กี่ปี อยู่อิตาลีเกือบสิบปีทำไมสำเนียงผมจะไม่เพี้ยนไปล่ะครับ” เขาว่า “แต่สำเนียงอังกฤษของคุณก็ดีทีเดียว เป็นอเมริกันมากๆ ทั้งๆที่คุณก็ดู ไท้ยไทย”
    เป็นเอกหัวเราะ
    “ไม่รู้ซีครับ ผมเคยไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกาตอน ม. ปลายแต่สำเนียงก็เป็นอย่างนั้นตลอด ไม่ได้เพี้ยนไปตามสำเนียงไทยนะ” เขาเงียบไปพักหนึ่ง “คุณจะลองภูมิผมที่กรัน ปาลัซโซ่ ก็เห็นแล้วใช่ไหมครับว่าผมมีภูมิให้ลอง”
    เป็นเอกยักคิ้ว แต่อีกฝ่ายกลับตีสีหน้าเงียบขรึม
    “ผมไม่ได้คิดลองภูมิ ผมเห็นคุณมากับโรมก็คิดว่าพูดอิตาเลียนได้ เลยคิดจะชวนคุยจริงๆ ผมไม่ชอบเห็นใครมาเศร้าอยู่ใกล้ๆด้วย มันทำให้ผมไม่สบายใจ จะชวนคุยเป็นภาษาไทยก็อายเลยต้องพูดเป็นอิตาเลียนก่อน ไม่ได้คิดดูถูกคุณ หรือลองภูมิอะไรเลยจริงๆ แล้วคุณก็บอกเองว่า Inglese per favore ผมก็ตามใจไง พูดอังกฤษด้วยตามที่ขอ”
    ตอนแรก เป็นเอกมั่นใจว่าจะได้ยินคำตอบยียวนกวนประสาทกลับมา พอมาได้ยินคำตอบที่จริงจังอย่างประโยคแรกก็อดประหลาดใจไม่ได้ ความรู้สึกไม่ชอบใจ ขวางหูขวางตากำลังจะละลายหายไปแล้วเชียว ประโยคสุดท้ายประโยคเดียวทำเอาเขาหงุดหงิดอีกครั้ง เขาลุกขึ้นในที่สุด กล่าวเบาๆว่า “ผมคงต้องไปนอนจริงๆแล้วล่ะ ขอบคุณสำหรับช็อกโกแลตร้อนนะครับ ราตรีสวัสดิ์คุณเวนิส”
    “ครับ Buona notte” เป็นเอกเดินไปได้ไม่กี่ก้าว หนุ่มลูกครึ่งก็ตะโกนเรียกเขาไว้ก่อน “คุณเอก พรุ่งนี้จะไปดูรอบๆรีสอร์ตกับผมอย่างที่คุณแม่บอกหรือเปล่า”
    เป็นเอกพยักหน้าให้ชายหนุ่ม
    “ถ้าอย่างนั้นผมจะไปรอคุณที่หน้าต่างที่เราเจอกันวันนี้นะครับ เก้าโมงเช้านะ” เวนิสป้องปากตะโกนไป ก็เห็นเป็นเอกพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินกลับไปนอนที่บ้าน หนุ่มลูกครึ่งอิตาเลียนมองตามจนหนุ่มน้อยเดินไปลับสายตาแล้ว จึงคว้ากีต้าร์กลับขึ้นบ้านไปนอน
    ลืมไปสนิทว่าเป็นเอกเอาผ้าห่มของเขาไปด้วยเสียแล้ว
   
    เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นเอกตื่นก่อนโรม เขาเดินงัวเงียออกมาจากห้องก็พบว่าเพื่อนหนุ่มยังไม่ออกมาปรากฏกายให้เห็น เดินขึ้นไปบนห้องนอนแง้มประตูดูแล้วก็พบว่าเขายังนอนหลับสนิทอยู่เลย แม้แสงจะส่องลอดรอยแหวกของม่านเข้ามากระทบดวงหน้าที่หล่อเหลาราวรูปสลักหินอ่อนนั้นแล้ว เพื่อนหนุ่มของเป็นเอกก็ยังคงหลับได้อยู่ ไม่รำคาญแสงแดดที่พยายามปลุกเขาให้ตื่นเลยแม้แต่นิดเดียว
    ท้องของชายหนุ่มที่ยืนมองเพื่อนอยู่ร้องประท้วงเบาๆ หลังจากหลับไปเกือบสิบชั่วโมงโดยไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย เขาจึงตัดสินใจเข้าไปอาบน้ำ ใส่เสื้อแขนยาวกางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบ แบบสบายๆ คว้ากล้องตัวใหญ่คล้องคอ ก่อนจะรีบไปรับประทานอาหารเช้า แล้วไปถ่ายรูปบริเวณรอบๆรีสอร์ตแห่งนี้ให้สมใจ
    
    สิ่งหนึ่งที่เป็นเอกและเพื่อนหนุ่มชอบเหมือนๆกันก็คือการเก็บภาพบรรยากาศความน่าประทับใจของสิ่งที่พบเห็นเอาไว้ให้อยู่กับตัวไปนานๆ ไม่ใช่เก็บไว้ในสมองอย่างที่อาจจะเลือนหายไปง่ายๆ แต่โรมชอบเก็บภาพสิ่งต่างๆไว้ด้วยการละเลงสีน้ำลงแผ่นผ้าใบบันทึกสิ่งที่เขาชอบไว้ในรูปแบบที่เขาเห็นมัน เป็นแบบที่เขาต้องการไม่ใช่อย่างที่มันเป็นอยู่จริงๆ ในขณะที่เป็นเอกกลับชอบบันทึกสิ่งที่เขามองเห็นนั้นตามสิ่งที่มันเป็นจริงๆ ด้วยการบันทึกภาพด้วยกล้องถ่ายรูปมากกว่าเสียเวลาเลียนแบบมันผ่านปลายพู่กันเหมือนเพื่อนหนุ่ม
    เดินออกมานอกบ้านก็พบว่าอากาศที่ ปาลัซโซ่ ดี เลย ในตอนเช้านั้น สดชื่นมากกว่าที่มันเป็นเมื่อวานตอนที่เขามาถึง แสงแดดยามแปดโมงขับสีเขียวสดของสนามหญ้า ดอกไม้หลากสี และต้นไม้ ที่ร่มรื่นอยู่แล้วให้ยิ่งสวยงามมากขึ้น เขาอยากจะอยู่ที่นี่ไปตลอดเสียจริง ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะยกกล้องขึ้น ถ่ายภาพบรรยากาศยามเช้านี้ไว้เสียก่อน
    เขาจำได้ว่าโรมบอกเขาว่า ที่คลองหลังบ้านมีเรือกอนโดลา คอยพายผ่านทุกวันพาไปรับไปส่งตามสถานที่ต่างๆตามที่ลำคลองไหลผ่าน ในรีสอร์ตแห่งนี้ได้ ชายหนุ่มจึงเดินไปที่หลังบ้าน ชะเง้อมองลำคลองที่สะท้อนแสงระยิบระยับล้อกับลำแสงแรกของดวงอาทิตย์สุดสายตาเขาคือหัวโค้งตรงบ้านของเวนิสเท่านั้น จะรอเท่าไรก็ไม่มีเรือผ่านมาสักที ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในบ้าน คว้ากุญแจ แล้วสตาร์ทรถขับออกจากบ้านหลังนั้น ตรงไปยังกรัน ปาลัซโซ่ทันที
     เป็นเอกใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที เขาก็วนรถเข้าจอดที่ลานจอดรถข้างๆ ปราสาทใหญ่ศูนย์กลางที่ทำการของรีสอร์ต เดินตรงเข้าห้องโถง ในหัวก็คิดล่วงหน้าว่าจะกินอะไรก่อนเป็นอันดับแรกดี
    “Buon Giorno, Signore” พนักงานต้อนรับกล่าวอรุณสวัสดิ์
    “Buon Giorno” เป็นเอกกล่าวตอบสั้นๆ เดินตรงไปยังห้องอาหารด้วยความหิวเหลือเกิน แต่พนักงานสาวที่เพิ่งกล่าวทักเขานั้นเองก็เดินเข้ามาขวางไว้
    “ขอโทษค่ะ ขอบัตรเข้าทานอาหารด้วยนะคะ” หล่อนถามหาบัตร แต่บัตรอะไรล่ะ เขาไม่มีสักอย่างโรมไม่ได้บอกเสียด้วยว่าจะต้องใช้บัตรอะไรเวลาจะมากินข้าวที่นี่ เป็นเอกหน้าเหวอ ตกใจเพราะเขาไม่มีบัตรอะไรอย่างนั้นเลย จะได้กินข้าวเช้าไหมเนี่ยเรา
    “เอ้อ ผมเป็นเพื่อนกับคุณโรม น่ะครับ ลูกเจ้าของที่นี่”
    “แต่คุณก็ต้องมีบัตรเข้ารับประทานอาหารนะคะ” หล่อนว่า “ถ้าไม่มี เราก็คงให้คุณเข้าไปไม่ได้หรอกค่ะ เป็นกฏของที่นี่”
    ซวยแล้วซี แต่กูไม่รู้เสียหน่อยว่าต้องใช้บัตรอะไรด้วยนี่
    “ไว้ผมค่อยเอามาให้ทีหลังไม่ได้หรือครับ พอดีผมไม่ทราบจริงๆว่าต้องใช้บัตรด้วย” เป็นเอกว่า นึกในใจว่าถ้ามาถึงแล้วก็ไม่อยากจะกลับไปให้เสียเที่ยว หิวจนจะกินวัวเข้าไปได้ทั้งตัวแล้ว
    “ไม่ได้จริงๆน่ะค่ะ ทางเราต้องรักษากฏอย่างเคร่งครัด ไม่อย่างนั้นจะโดนตำหนิเอาได้ค่ะ” พนักงานสาวหน้าเสีย คงจะอยากทำตามที่เป็นเอกขอ แต่ก็กลัวจะถูกว่าเอาจริงๆ ดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนน้ำท่วมปากอย่างนั้น
    “มีอะไรกันหรือครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของพนักงานสาว หล่อนสะดุ้งไหวตัวเล็กน้อยก่อนจะ หันไปไหว้ชายหนุ่มอย่างนอบน้อม
    “สวัสดีค่ะ คุณเวนิส คือคุณผู้ชายท่านนี้ไม่มีบัตรเข้าห้องอาหารค่ะ ดิฉันก็เลยไม่แน่ใจว่าควรจะให้เข้าไปได้หรือเปล่าเดี๋ยวจะหาว่าดิฉันไม่ปฎิบัติตามหน้าที่น่ะค่ะ” หล่อนว่า
    เป็นเอกเห็นเวนิสเต็มตา เมื่อเขาเดินลงมาจากบันไดหินข้างๆ เคาน์เตอร์ต้อนรับนั้น ชายหนุ่มลูกครึ่งดูราวกับเป็นคนละคนกันกับคนเมื่อวานเมื่อสลัดชุดสูทเนี้ยบออกไปเป็นเสื้อเชิ้ตลายสก็อต กางเกงยีนส์พอดีตัว และรองเท้าหนังแบบลำลองราวกับหนุ่มคาวบอยหลุดออกมาจากภาพยนตร์ตะวันตกอย่างนั้น เวนิสดูแปลกไปที่สุดเมื่อผมที่เคยหวีเรียบทามูสไว้เรียบร้อย บัดนี้ไม่มีอะไรแต่งอยู่เลย เป็นผมหยักศกแบบธรรมชาติ สระแล้วก็เช็ดให้แห้งเท่านั้นดูค่อนข้างยุ่งแต่ก็ทำให้ดูดีขึ้นไปอีกแบบหนึ่ง
    หนุ่มน้อยยิ้มให้กับเวนิสก่อนจะเอ่ยปากทัก
    “อรุณสวัสดิ์ครับ ขอบคุณพระเจ้าที่คุณมาก่อนเวลา ไม่งั้นผมคงต้องกลับบ้านไปทั้งที่ไม่ได้กินอะไรแล้ว”
    เวนิสยิ้มให้ เดินเข้ามาถึงตัวเป็นเอกก็หันไปพูดกับพนักงานสาวว่า
    “เขามากับผม คุณเป็นเอก เป็นแขกสำคัญของที่นี่ ต่อไปนี้ถ้าเขาจะทำอะไรก็ให้ทำได้เลย จะกินข้าว หรือจะเดินดูอะไรให้ถือว่าเขาเป็นเพื่อนผม ไม่ใช่แขกที่มาพักที่นี่ทั่วไป เข้าใจไหม”
   พนักงานสาวรับคำเรียบร้อยก่อนที่หล่อนจะเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์อย่างเสียหน้า ชายหนุ่มเอามือล้วงกระเป๋าหันมาพูดกับเป็นเอกเป็นคำแรก
    “ไงคุณ จะมากินข้าวก็ไม่เอาบัตรมา ใครเขาจะให้เข้ากินได้ล่ะ”
    “อ้าว” เป็นเอกชักสีหน้า “นี่คุณจะกวนผมแต่เช้าเลยหรือ ผมไม่รู้นี่นาว่าที่นี่ต้องใช้อะไรด้วย”
    “โรงแรมหรือรีสอร์ต ที่อื่นก็ทำแบบนี้”
    “คุณกำลังจะหาว่าผมไม่เคยเข้าโรงแรมอื่นหรือไง”
    เวนิสยักไหล่ แล้วก็ทำท่าจะเดินกลับขึ้นไปชั้นบน
    “คุณ เดี๋ยว” เป็นเอก เดินตามมา “คุณจะไปไหน ไม่กินข้าวด้วยกันหรือ”
    อีกฝ่ายได้ยินก็หันมายิ้มให้
    “ผมกำลังจะขึ้นไปกินข้างบนอยู่นี่ไง บรรยากาศดีนะคุณ สวยกว่าร้านอาหารข้างล่างนี่ตั้งเยอะ คุณจะตามผมมาหรือเปล่าล่ะ”
    “แล้วแต่คุณก็คุณเป็นลูกเจ้าของนี่” เวนิสหัวเราะคิกคัก ก่อนจะลากแขนเป็นเอกแทนคำพูดให้เดินตามขึ้นไป ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าชายหนุ่มรีบสะบัดแขนออกเร็วเพียงใด ปากมุบมิบว่า “ผมเดินเองได้”

***********************************************************************
หวังว่าคนที่ชอบเวนิสอยู่จะถูกใจบ้างนะครับ ตอนหน้าคืนพรุ่งนี้ มีอาหารอิตาเลียนมาเสิร์ฟหลายอย่างเลย ขอเตือนว่าก่อนอ่านตอนหน้าทานข้าวก่อนนะคร้าบ เดี๋ยวจะอ่านไป ท้องร้องไป อิอิ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo cinque บทที่ 5 - 04/03/11 - 19.45
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 04-03-2011 22:49:10
เหมือนเป็นเอกจะชอบเวนิส เวนิสก็เหมือนจะชอบเป็นเอก แต่เราเชียร์โรม ชอบหนุ่มติส อิอิ รอมิลานมาดีกว่า
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo cinque บทที่ 5 - 04/03/11 - 19.45
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 04-03-2011 23:53:45

ต๊าย กิต.เคยปลื้ม Lasagna เป็นอย่างมากค่ะ.......
แต่มัน เอ่อ....E 'troppo ricco, ho paura di ingrassare. นะคะ
  :-[
ว้าย ยังไม่ครบ ๒๔ ชั่วโมง ลงคะแนนไม่ได้ค่ะ อิอิ
ขอบคุณนะคะ คุณ Purple_Sky

หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo cinque บทที่ 5 - 04/03/11 - 19.45
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 05-03-2011 01:07:03
เลือกพระเอกให้เป็นเอกไม่ถูกเลยอ่ะ
ต้องถามคุณแม่ประกายพรึกว่าทำไงได้ลูกแต่ละคนมีเสน่ห์เหลือหลาย (แม้ยังไม่เจอมิลานแต่ก็เดาได้ อิอิ)
แบบว่าใจนึงก็โรม แหมเป็นเพื่อนกันมานานนี่เนอะ เชื่อว่าโรมก็ต้องแอบคิดไม่ซื่อแน่ๆ หุหุ
ส่วนพี่เวนิสนี่ก็ปลื้ม ท่าทางเป็นเอกเราจะเทใจ(?)ให้คนนี้นะเนี่ย

เอาเป็นว่าพี่น้องนี่ใครก็ได้ ยอมรับได้ค่ะ อิอิ

ต่อนะคะ รอค่ะ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo cinque บทที่ 5 - 04/03/11 - 19.45
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 05-03-2011 08:01:32
เหมือนเป็นเอกจะหลงเสน่ห์เวนิสเข้าให้แล้ว
อย่าเพิ่งตัดสินใจ  รอมิลานก๊อนนนน
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo cinque บทที่ 5 - 04/03/11 - 19.45
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 05-03-2011 18:37:32
Capitolo sei

         พอเดินขึ้นมาที่โถงชั้นสอง เป็นเอกก็เห็นหน้าต่างบานที่เขายืนคุยอยู่กับเวนิส เมื่อคืนก่อน อดคิดไม่ได้ว่าทำไมชายหนุ่มรูปงามราวกับเจ้าชายในเทพนิยายคนนั้น ถึงได้กลายมาเป็นคนที่ช่างยียวนกวนประสาทได้ราวกับเป็นคนละคนกันขนาดนี้ ชายหนุ่มจำได้ว่า หนุ่มอิตาเลียนผู้นั้นช่างอ่อนโยน อบอุ่น และ มีรอยยิ้มที่ทำให้โลกทั้งใบของเขาสดใสขึ้นได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน
    เมื่อเขาพูดเสียงแผ่วเบาเป็นภาษาอังกฤษว่า “A smile suits your face more.” เวนิสคงไม่รู้หรอกว่าประโยคนี้ประโยคเดียว ทำเอาเป็นเอกต้องหวั่นไหว หัวใจเต้นแรงอย่างเขินอายเพียงใด เขาจึงไม่คิดจะพูดจาเพราะๆ ทำตัวอบอุ่นอย่างนั้นอีก กลายเป็นว่ารักษาระยะห่าง และคุยกันแบบเพื่อนไปเสียแล้ว
    หนุ่มลูกครึ่งพาเขา เลี้ยวซ้าย ผ่านประตูโค้งออกไปยังเฉลียงขนาดใหญ่ที่ชั้นสองของตัวปราสาท พื้นที่เปิดโล่ง สู่อากาศยามเช้าที่แสนเยือกเย็นของจังหวัดเลย พื้นหินสุดเขตลงเพียงไม่กี่ก้าว ต่อจากนั้นเป็นสนามหญ้าที่ทำขึ้นเป็นสวนลอยอยู่ข้างบนนี้ ตรงกลาง เป็นบาร์อาหาร รอบๆจัดโต๊ะสีขาวนั่งได้โต๊ะละ สี่คน บางโต๊ะมีร่มสีขาวสะอาดกางไว้ไม่ให้ร้อนแดดนัก แต่บางโต๊ะกลับมีเพียงเสาและร่มที่ไม่ได้กางเพราะแขกที่นั่งกินข้าวอยู่ ไม่ได้รู้สึกร้อนอะไรนัก
    สถานที่ตรงนั้นว่าสวยแล้ว แต่เป็นเอกว่าทัศนียภาพรอบๆเขานั้น สวยมากกว่าหลายเท่า
    ด้านซ้ายมือของเป็นเอก หรือ หลังปราสาทใหญ่เป็นภูเขาสวยสีเขียวเข้ม และละเมาะไม้ที่กว้างไกลสุดตา มองไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ก็จะเห็นหมู่บ้านโรมัน และ บ้านสามหลังของลูกชายทั้งสามคนของคุณประกายพรึกเมื่อขึ้นมามองจากมุมสูงขนาดนี้ เป็นเอกจึงเห็นว่า รีสอร์ตแห่งนี้กว้างใหญ่เหลือเกิน
    คลองที่อยู่ด้านหลังไหลจากตัวกรัน ปาลัซโซ่ผ่านหมู่บ้าน และปราสาทหลังน้อยๆที่เป็นที่พักของแขกในโรงแรม ยาวเรื่อยไปผ่านบ้านของเวนิส โรม และมิลาน ไปจรดที่ทะเลสาบขนาดใหญ่ หลังบ้านของน้องเล็กที่สุดในบ้านนี้ ทะเลสาบกว้างใหญ่และยาวไปจนเกือบถึงซุ้มโค้งทางเข้ารีสอร์ต เป็นเอกนึกประหลาดใจว่า เหตุใดเขาจึงมองทะเลสาบนั้นไม่เห็นเมื่อตอนเข้ารีสอร์ตมาเมื่อวาน
    เวนิสเห็นว่าเป็นเอกหยุดยืนมองวิวของรีสอร์ต ยกกล้องขึ้นถ่ายรูป รูปแล้วรูปเล่าไม่ได้ตามเขามาเลย ก็เดินย้อนกลับมาหาเป็นเอก
    “สวยใช่ไหมล่ะ”
    “สวยมาก” เขาเอ่ยชม “แม่คุณเก่งจริงๆ ที่สร้างอาณาจักรนี้ขึ้นมาได้ เมื่อวานผมเห็นแค่ปราสาทนี่ แล้วก็หมู่บ้านก็แทบจะไม่อยากเชื่ออยู่แล้วว่าอยู่ในไทยจริงๆ ยิ่งมาเห็นวิวทั้งหมดอย่างนี้ ผมยิ่งคิดว่าข้ามทวิภพ มาถึงอิตาลีแล้วจริงๆ”
    เวนิสหัวเราะ
    “แม่ออกเงิน คุณเมฆาต่างหากที่สร้าง” คนฟังได้ยินก็ตกใจ ชายหนุ่มที่ดูเหลาะแหละ ไม่เป็นท่านั้นน่ะหรือ สร้างที่แห่งนี้ขึ้นมาได้จริงๆ
    เวนิสเดินนำเป็นเอกไปยังโต๊ะอาหารที่อยู่ตรงมุมของชั้นลอยที่ยื่นไปหาทะเลสาบนั้นแล้วก็พูดขึ้นว่า “กินข้าวเช้าก่อนไหม”
    เป็นเอกพยักหน้า ลืมไปว่าหิวข้าวเพียงใดตอนที่เขารีบมาที่นี่
    “นั่งรอตรงนี้ก็ได้เดี๋ยวผมไปตักมาให้ อยากจะกินอะไรว่ามา”
    “ไม่เป็นไรครับ ผมไปกับคุณดีกว่า” ชายหนุ่มเอ่ยเบาๆ “เผื่อจะได้เลือกด้วยครับ ว่าจะกินอะไรดี”
    เวนิสพยักหน้าแล้วก็นำออกเดินไปยังบาร์สี่เหลี่ยมกลางสวนลอยตรงนั้น มันอยู่ใต้ผืนผ้าใบทำเป็นซุ้มขนาดใหญ่ ตรงกลางบาร์มีพนักงานยืนอยู่สามสี่คนคอยให้ความช่วยเหลือ บริการแขกที่เดินผ่านไปมา
    อาหารมีอยู่หลายอย่าง ด้านหนึ่งของบาร์มีขนมปังชนิดต่างๆทั้งก้อน แผ่น และแท่งยาวๆแบบบาร์แกตต์ฝรั่งเศส มีแยม เนย และชีสหลากหลายชนิดวางไว้ให้ตักบริการตนเอง ด้านถัดมาเป็น มีหลุมใส่ซุปใสผักรวม ซุปมะเขือเทศ และซุปพาสต้าแบบอิตาเลียนดูน่ากินไปหมด ด้านต่อไปมีผักและผลไม้สด สำหรับผู้ที่อยากกินสลัดในตอนเช้าๆ เลือกกินกับเดรสซิ่งใสแบบอิตาเลียน หรือ น้ำส้มสายชูกับน้ำมันมะกอกก็ได้ ด้านสุดท้าย เป็นอาหารที่ดูแปลกไป ไม่ได้เป็นแบบธรรมดาที่เห็นได้ทั่วไปอย่าง สามด้านที่ผ่านมา แต่ละอย่างมีป้ายติดไว้ว่ามันคืออะไรบ้าง
    อย่างแรกที่สะดุดตาเป็นเอกคือ สิ่งที่คล้ายไข่เจียวอยู่ในถาดสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ตัดแบ่งไว้เป็นตาราง มีคนตักพร่องไปบ้างแล้ว แต่ก็เหลืออยู่พอจะกินได้อีกหลายคน เนื้อไข่ หนา เนียนแต่เดาว่าคงเลี่ยนแปลกๆ มีใบผักสีเขียว มะเขือเทศและบางอย่างที่คล้ายแฮมแผ่นอยู่ในนั้น
    “ไข่เจียวอิตาเลียน” เวนิสอธิบาย “ใส่ใบโหระพา มะเขือเทศ หอมใหญ่ ผักโขม แล้วก็เปปเปอโรนี่ อร่อยมากผมแนะนำ”
    เป็นเอกตักไข่เจียวนี้ใส่จานตัวเอง ก่อนจะหยิบ Bruschetta แฮมและไข่ไว้ข้างๆ ตามที่เวนิสกล่าวแนะนำ ว่า “ขนมปังกรอบโรยแฮม ไข่แดงต้มบดคลุกกับมายองเนส มะเขือเทศ และอโวคาโด โรยชีสแล้วก็เอาไปอบราดซอสเพสโต อร่อยมาก ผมชอบที่สุด คุณลองเอาไปชิมสักชิ้นซี”
    ชายหนุ่มไม่ลืมตักซุปพาสต้ามาลองชิมด้วยหนึ่งถ้วยเล็กๆ
    พอกลับมาที่โต๊ะ เป็นเอกพบว่าเวนิสหยิบขนมปังก้อน และ บรุซเก็ตต้า มาเท่านั้น ก็ประหลาดใจว่าหนุ่มลูกครึ่งอิตาเลียนคนนี้กินน้อยกว่าที่เขาคิด เป็นเอกเองเสียอีกตักมาเยอะขนาดนี้ถ้ากินไม่หมดคงจะอายเขาแย่
    พนักงานเสิร์ฟเห็น ทั้งสองนั่งลงกับโต๊ะพร้อมอาหารแล้ว ไม่ทันที่เป็นเอกจะสงสัยว่าจะหาเครื่องดื่มได้ที่ไหน ก็เดินเข้ามาด้วยท่าทีนอบน้อม
    “Buon Giorno, signori รับเครื่องดื่มเป็นอะไรดีครับ”
    “ผมขอ คัปปูชิโนแก้วหนึ่งนะ คุณจะดื่มอะไรสั่งได้เลยมีตั้งแต่กาแฟยันน้ำผลไม้ ยันน้ำเปล่า”
    “ผมขอน้ำเปล่าครับ” เป็นเอกเอ่ย เท่านั้นพนักงานหนุ่มก็รีบเดินออกไป
    “กินเลยคุณ อร่อยจริงๆพนันได้ว่าคุณจะเดินไปตักเพิ่มถ้าชอบอาหารฝรั่งนะ” เวนิสยิ้มกว้าง เลื่อนจานบรุซเก็ตต้า เข้าไปใกล้ชายหนุ่มประกอบคำพูด “Buon Appetito ครับ”
    เป็นเอกตัดบรุซเก็ตต้าเป็นชิ้นเล็ก ส่งเข้าปากเคี้ยวก็พบว่า อร่อยดีจริงๆ แต่ด้วยความที่ชอบกินอาหารไทยมากกว่าอาหารชาติใดในโลก เป็นเอกจึงไม่คิดจะหลงใหลอาหารจานนี้เท่าไรนัก เวนิสเห็นว่าชายหนุ่มไม่มีสีหน้าพึงพอใจที่เห็นได้ชัดจึงถามขึ้นเบาๆ
    “ไม่อร่อยหรือ”
    “อร่อยซีครับ” เขาว่า “แต่ผมชอบอาหารไทยมากกว่า”
    ชายหนุ่มลูกครึ่งผู้เป็นพี่หัวเราะลงลูกคอเบาๆ
    “ข้างล่างมีพวกผัดไทย ข้าวต้ม ถ้าไม่ถนัดวันหลังกินเสียข้างล่างก็ได้”
    เป็นเอกพยักหน้ารับคำ “นานๆกินทีก็โอเคละครับ แต่ถ้าให้กินทุกวันผมคงเลี่ยนตาย”
    ไม่นานพนักงานเสิร์ฟคนเดิมก็ยกน้ำเปล่ามาเสิร์ฟเขา ก่อนจะเสิร์ฟคัปปูชิโนให้เวนิส ชายหนุ่มยกกาแฟใส่นมร้อนแก้วนั้นขึ้น จิบมันลงคอเล็กน้อยแล้วก็บิขนมปังกินตามเข้าไปอย่างเอร็ดอร่อย
    เป็นเอกเห็นว่าบรรยากาศเริ่มเงียบไปสักนิด เขาจึงชวนคุยโดยการเอ่ยถามสิ่งที่เขาอยากรู้ต่อไป “ทะเลสาบตรงนั้นสวยมาก เป็นของจริงตามธรรมชาติหรือขุดขึ้นเองครับ”
     “ของจริงซีคุณ” เวนิสว่า “แต่คลองน่ะแม่มาบอกให้ขุดทีหลัง ไอเดียแม่เลยนะที่ให้ใช้คลองเป็นเส้นทางคมนาคมอย่างในเวนิส ส่วนปราสาทต่างๆ แม่ถอดแบบมาจากโรม แล้วทะเลสาบนั่น แม่ก็ตั้งชื่อว่า ทะเลสาบโคโม อย่างอันที่อยู่ใกล้
มิลาน ในแคว้นลอมบาร์ดี อิตาลี พูดง่ายๆคือนอกจากจะตั้งชื่อลูกตามชื่อเมืองพวกนั้นแล้ว แม่ยังเอาเมืองที่เคยไปฮันนีมูนกับพ่อยกมาตั้งไว้เสียที่นี่ทั้งหมดด้วย”
    เป็นเอกมองทะเลสาบโคโม มันนอนนิ่งเป็นสีเขียวอมฟ้าราวกับกระจกสะท้อนสีของภูเขาและทะเลออกมาได้สวยงามกลมกลืนกันดีเหลือเกิน
    อีกฝั่งของทะเลสาบ เป็นปราสาทอีกหลังคล้ายกันกับหลังนี้
    “แล้ว ปราสาทตรงโน้นคืออะไรครับ”
    “พิพิธภัณฑ์ภาพเขียนของโรม มันน่ะ แล้วก็มีห้องอาหาร ห้องฟิตเนส สระว่ายน้ำอะไรเหมือนที่นี่แหละ แล้วก็มีห้องประชุมไว้ให้พวกที่ชอบมาจัดสัมนาด้วย” ชายหนุ่มเงียบไปสักพัก “ดูท่าคุณจะสนใจทะเลสาบนี่นะครับ เอาอย่างนี้แล้วกันวันนี้ผมจะพาคุณไปที่นั่นก่อนเป็นที่แรก จริงๆกะจะพาไปดูเรือนกระจก ไม่ก็ขี่ม้า...”
    “ที่นี่มีให้ขี่ม้าด้วยหรือ” ชายหนุ่มถามขึ้นอย่างตื่นเต้นจนทำให้ เวนิสอดหัวเราะอย่างเอ็นดูไม่ได้
    “มีซี ข้างๆ ปราสาทตรงทะเลสาบนั้นไง เห็นหรือเปล่านั่นละคอกม้า”
    เป็นเอกตื่นเต้นเป็นอย่างมากเมื่อรู้ว่าที่นี่มีคอกม้าอยู่ด้วย เขาใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กๆแล้วว่าอยากจะมีโอกาส ได้ขึ้นได้อยู่บนหลังม้า บังคับให้มันวิ่งเหยาะๆไปตามพื้นหญ้า อย่างสง่างามประดุจเจ้าชายสักครั้งในชีวิต หากแต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโอกาสได้ทำอย่างนั้นจริงๆ เขาพอรู้บ้างว่า การขี่ม้านั้นต้องมีค่าใช้จ่ายที่แสนจะแพง ที่เขาต้องสู้ไม่ไหวแน่นอน ไม่รู้ว่าหากอ้างว่ามากับเวนิส เขาจะได้ขี่ม้าแบบไม่ต้องจ่ายอะไรบ้างหรือเปล่า
    “ผมอยากขี่ม้ามานานแล้วครับ”
    “ถ้างั้น ผมพาคุณไปดูทะเลสาบเสียก่อนแล้วเย็นๆ ไม่ค่อยมีแดดเราค่อยขี่ม้ากัน” หนุ่มลูกครึ่งว่า
    จากนั้น ต่างคนต่างก็ก้มหน้ารับประทานอาหารเช้าของตนอย่างเอร็ดอร่อย คุยกันเล็กๆน้อยๆบ้างไม่ให้เงียบเกินไปนัก จนกินเสร็จ เป็นเอกและเวนิสก็นั่งกันอยู่สักพัก แล้วจึงเดินออกจากบริเวณชั้นลอยนั้น ลงบันไดมาโถงชั้นล่างอย่างไม่คิดเสียเวลา
    ลงมาไม่ทันออกจากกรัน ปาลัซโซ่ ก็พบเข้ากับประกายพรึกที่เดินกอดแขนเมฆาออกมาพอดี
    “อุ๊ย หนูเอก ตาเว อรุณสวัสดิ์จ้ะ มาทานข้าวเช้าหรือ”
    “ครับ” เวนิสเป็นคนตอบ ขณะที่เป็นเอกเพียงแต่ยิ้มกว้างเท่านั้นเพราะคิดว่าคำถามของหล่อนคงเป็นเพียงคำสร้อยของการทักทายเท่านั้นคงไม่ได้อยากจะรู้คำตอบจริงๆหรอก
    “แม่กำลังจะออกไปหาคุณลุงคุณป้า แล้วก็เอาการ์ดเชิญไปให้บรรดาเพื่อนๆที่เลยนี่” หล่อนว่าอย่างยิ้มแย้ม กระชับอ้อมแขนเข้าหาคนรักแน่นเข้า “รอตาโรมนี่แหละ ข้าวปลาก็ไม่มากินไม่รู้จะตื่นหรือยัง คงต้องขับรถวนไปปลุกกระมัง”
    “โรมนอนตื่นสายประจำอยู่แล้วครับ” เป็นเอกว่าอย่างรู้นิสัยเพื่อนหนุ่มของตนดี “แต่ถ้าวันไหนมีธุระก็จะตื่นทันเวลาเสมอ โรมเขาค่อนข้างมีความรับผิดชอบนะครับ แต่ข้าวเช้านี่ไม่ค่อยกินหรอกครับเขาคงชินกับการตื่นสายมาปุ๊บ ก็กินข้าวเที่ยงปั๊บ วันไหนตื่นเช้าก็ข้ามข้าวเช้าไปเสียอย่างนั้นล่ะครับ”
    ประกายพรึกหัวเราะ ส่วนเมฆากลับทำหน้าประหลาดใจ
    “เอ นี่รู้เรื่องของโรมเขาเยอะขนาดนี้ คงสนิทกันมากซีท่าครับ”
    “ครับ คบกันมาหกปีแล้ว”
    เมฆายังคงสีหน้าประหลาดใจอยู่เหมือนเดิม เขาตีความคำว่า “คบ” ไปในทางที่ไม่ควรคิดทันที เมื่อคำว่า "นอนตื่นสาย” มารวมกับ “คบ” แล้วชายหนุ่มสองคนนี้จะเป็นอะไรไปได้นอกจากเป็นแฟนกันอยู่ด้วยกันจนรู้ไส้รู้พุงเล่า
    “คงไม่เบี้ยวแม่หรอกนะจ๊ะตาโรมเนี่ย” ประกายพรึกขมวดคิ้ว กระนั้นก็ยังไม่ปรากฏรอยย่นบนใบหน้าให้เห็นชัดนัก จะด้วยมายาของเครื่องสำอางค์ หรือหล่อนสวยสาวอยู่อย่างนี้ตลอดอยู่แล้วก็ไม่อาจรู้ได้
    “ไม่หรอกครับแม่ โรมเขาต้องรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องในครอบครัว ต้องให้ความสำคัญมาก่อน คุณลุง คุณป้าไม่เจอโรมมานาน เขาต้องรู้บ้างละครับว่าต้องรับผิดชอบตรงนี้ให้ดี เอ้า...” เวนิสว่าจนประโยคมาสะดุดลงตอนที่เห็นน้องชายเดินเข้ามาพอดี “มาแล้ว อายุยืนจริง”
    โรมา เดินมาถึงบริเวณโถงใหญ่ ในเสื้อยืดกางเกงยีนส์เก่าๆ ซีดๆธรรมดา ผมยุ่งกระจายรอบดวงหน้า ไม่ได้หวี ไม่ได้จัดทรงไว้ให้ดูดีแบบที่ตื่นมาเป็นอย่างไรก็ออกจากบ้านมาอย่างนั้น เหมือนจะไปเดินเที่ยวรอบๆ รีสอร์ตไม่ได้จะไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่เอาเสียเลย ชายหนุ่มเห็นแม่กอดแขนคนรักอย่างชัดเจน ก็หน้าบึ้งไม่พอใจใส่พ่อเลี้ยง ไม่ต่างจากอีกฝ่ายที่แสดงความบาดหมางออกมาทางแววตาแวบหนึ่งให้เป็นเอกผิดสังเกตได้ก็ตีสีหน้ากลับเป็นปกติ
    ประกายพรึกดึงแขนออกจากเมฆาอย่างเกรงใจลูก พูดตำหนิแก้เก้อเบาๆว่า “มาก็สายตาโรม เสื้อผ้าก็ใส่อย่างนี้อีก ผมก็ไม่หวีไม่มัดให้เรียบร้อย จะไปหาลุงกับป้านะลูกไม่ใช่ไปเดินเล่นแถวจตุจักร”
    “เรื่องมาสาย เอกขับรถมานี่ผมไม่มีรถขับมา เรือกอนโดลาก็เพิ่งไปถึงโคโมตอนผมออกจากบ้านจะรอวนกลับมาก็รำคาญ กลัวเสียเวลาเลยเดินมาเสียเอง ส่วนเสื้อผ้า ผมมีเท่านี้ ชุดที่ดีที่สุดใส่ไปแล้วเมื่อวาน จะใส่อีกทีวันแต่งงาน ส่วนผมก็ไม่มีเวลาหวีเพราะรู้ตัวว่าต้องให้คุณแม่รอแน่ๆ ถ้าคุณแม่ไม่พอใจเสื้อผ้าหน้าผมแบบนี้ ผมจะกลับไปเปลี่ยนเป็นตัวเมื่อวาน ไปหวีผมทาแป้งให้คุณแม่ก็ได้”
    “ไปๆ ตาโรม ไม่ต้องเปลี่ยนแล้ว เรามันไม่รู้จักกาลเทศะเอาเสียเลยนะ เปลี่ยนอีก ทีนี้ก็ไม่ต้องไปแล้วจะสิบโมงแล้วลูก” คนแม่ว่า รีบเดินออกไปพร้อมจะตรงไปยังรถที่จอดไว้ใกล้ๆ นึกขึ้นได้ว่าลืมเป็นเอกและลูกชายคนโตไปเลยหันมาเอ่ยถาม "แล้วนี่เว จะพาพ่อเอกไปไหนจะวันนี้”
    “ว่าจะไปโคโม แล้วก็สอนให้เป็นเอกขี่ม้าดูครับ”
    “ดีแล้ว” ประกายพรึกว่า “เอกเขาได้ไม่เบื่อ... ไปตาโรมเราไปกันได้แล้ว”
    โรมาหันมามองเพื่อนหนุ่มก่อนจะตามแม่และเมฆาที่พยายามสะกดใจไม่ให้พูดอะไรเลย ออกไปในที่สุด แววตาของโรมาบ่งบอกชัดเจนว่า เสียดายโอกาสที่ไม่ได้เป็นคนพาเพื่อนหนุ่มเที่ยวด้วยตัวเอง
    เวนิสพาเป็นเอกเดินออกทางข้างหลัง ตรงนั้นเป็นท่าน้ำ มีเก้าอี้ไม้ยาวให้นั่งเรือกอนโดลา ที่จะวิ่งผ่านมาทุกๆ 4 นาที เรือทั้งหมดมี 5 ลำ ออกไล่เลี่ยกันไป แวะจอดที่ปราสาทเล็กๆ แต่ละหลัง ผ่านทางเข้าหมู่บ้านโรมัน บ้านของเวนิส โรม และ มิลาน ไปถึงปราสาทที่ทะเลสาบโคโม ผ่านคอกม้า เรือนกระจก ไปสิ้นสุดที่ทางเดินที่ทอดออกไปนอกรีสอร์ตได้
    “เรานั่งกอนโดลาไปนะ คุณจะได้ชมวิวไปด้วยได้” เวนิสอธิบาย เป็นเอกก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรับคำ เขายิ้มน้อยๆอย่างตื่นเต้นนั่งรออยู่ข้างๆเวนิส ในใจนึกอยากถามเรื่องของคุณประกายพรึกและเมฆามากกว่านี้ แต่ก็รู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องของเขาแถมเวนิสก็ไม่ได้สนิทอะไรกับเขาเท่าไรนัก คงต้องถามโรมแทนกระมัง
    นั่งรอเรือได้ไม่นาน กอนโดลาลำหนึ่งก็ผ่านมา คนพายยืนอยู่ที่ท้ายเรือถือไม้พายขนาดยาวอย่างกระทัดรัดในมือ พายตรงเข้ามาเทียบท่าให้ชาวต่างชาติสามสี่คนลงจากเรือมา ก่อนจะหันหัวเรือกลับไปยังทิศที่เขาเพิ่งจากมา เรือโคลงเล็กน้อยจากแรงหมุน แต่เวนิสกลับกระโดดขึ้นเรือไปได้อย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะยื่นมือมาให้เป็นเอกจับ ก้าวขึ้นตามเขาไป จะปฎิเสธก็กลัวเสียมารยาทเป็นเอกจึงเอื้อมมือไปยึดเวนิสไว้มั่น ไม่ให้พลาดล้มตกเรือไป
   “ขอบคุณครับ” เขากล่าวเบาๆ ก่อนจะรีบปล่อยมือออก อีกฝ่ายหนึ่งก็ยิ้มให้อย่างจริงใจ ทั้งคู่นั่งลงหันหน้าเข้าหากันไปตลอดความยาวของลำคลอง   

***********************************************************************
ขอบคุณที่ยังติดตามกันนะคร้าบ สำหรับตอนหน้าจะได้เจอหนุ่มมิลานที่หลายคนรอคอยแล้วครับผม
ทีนี้จะได้ลงรูปประกอบของสามหนุ่มกันไปเลย หัดตัดสินว่า ใครจะเป็นแฟนคลับใคร เชียร์ใครกันดี 555+

สำหรับวันนี้สวัสดีคร้าบ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo sei บทที่ 6 + ภาพประกอบ - 05/03/11 - 18.35
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 05-03-2011 18:39:20
ภาพประกอบอาหารและสถานที่ในบทนี้ครับ เห็นแล้วต้องน้ำลายสอแน่ๆเลย ผมเลือกแต่ละอย่างมานี่เป็นของโปรดทั้งนั้นเลยครับไปดูกันว่า แต่ละชื่อจะมีหน้าตาน่ารับประทานขนาดไหนครับ!

(http://upload.zeedasia.com/files/yrhu8y1hsdbnjk5eil0x.jpg)
Zuppa di pasta หรือซุปพาสต้านั่นเอง จะใช้เส้นสปาเกตตี หรือ ราวิโอลี ก็อร่อยทั้งนั้นครับ แต่ในรูปนี้เป็น ditalini เป็นพาสต้าเส้นเล็กท่าจะอร่อยดีครับ อิอิ
(http://upload.zeedasia.com/files/3628sdbhticq8jwteugd.jpg)
Bruschetta หรือขนมปังอบของอิตาเลียนนี้ ที่สตาร์บัคส์มีขายเป็น บรุสเกตตาเห็ดครับ - - แต่ปกติเขาจะใช้ขนมปังราดน้ำมันมะกอก กระเทียม มะเขือเทศ จะโรยชีสอบด้วยหรือไม่ก็ได้ แต่สูตรที่ผมเขียนไว้ในนิยายเป็นตำรับ ที่ผมชอบเป็นส่วนตัวครับ 
(http://upload.zeedasia.com/files/zr0yliizu1xna8nokj69.jpg)
Frittata ไข่เจียวอิตาเลียน ไม่รู้อร่อยหรือเปล่า ไม่เคยทานครับผม เคยแต่ไข่เจียวสเปน (ไข่+หอมใหญ่+มันฝรั่ง) อร่อยมากๆ แต่ไข่เจียวของอิตาลีนี่ใส่สมุนไพรทั้ง โหระพา พริกไทย กระเทียมท่าจะฉุนน่าดูเลยครับ
(http://upload.zeedasia.com/files/0z00htw5iowau21s08s4.jpg)
คัปปูชิโน (สะกดตามหลักการถอดเสียงทางสัทศาสตร์ของราชบัณฑิตยสถานครับ) เป็นกาแฟใส่นม บนหน้ามีฟองนมจะตกแต่งแบบง่ายๆ หรืองดงามอย่างในรูปก็ได้หมดครับ ถ้าไปอิตาลีแล้วสั่งคัปปูชิโน จะได้แบบร้อนมาเท่านั้นครับ เขาไม่ดื่มคัปปูชิโนเย็นกัน มีแต่คนไทยเท่านั้นแหละครับที่ขายคัปปูชิโนเย็นทั้งๆที่ในประเทศตั้นตำรับเขายังหาซื้อไม่ได้เลย 555+
(http://upload.zeedasia.com/files/fh8lg1jbmcyuvx93bze6.jpg)
วิวทะเลสาบโคโมในอิตาลีครับ สวยมากเลย
(http://upload.zeedasia.com/files/7nptgsiprok29jqrytmu.jpg)
อีกมุมหนึ่งของ Lago di Como ครับ ดูกว้างเชียว แต่ในรีสอร์ตของคุณประกายพรึกคงไม่กว้างเท่านี้ล่ะครับ 555+
(http://upload.zeedasia.com/files/gl1o0y2l9c9hku3hmwph.jpg)
เรือกอนโดลา ถ้าได้นั่งกับแฟนคงโรแมนติกน่าดูนะครับ
ในบทนี้มีเพียงเท่านี้ครับ สำหรับคราวหน้า(พรุ่งนี้) จะเปิดเผยโฉมหน้าของสามหนุ่มแล้ว เพราะวันพรุ่งนี้ทุกคนจะได้พบกับหนุ่มน้อยมิลานแล้วคร้าบบ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับผม
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo sei บทที่ 6 + ภาพประกอบ - 05/03/11 - 18.35
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 05-03-2011 18:55:40
 :-[ อยู่กะเวนิสสองต่อสองบนเรือบรรยากาศโรแมนติกขนาดนี้ เป็นเอกไม่หวั่นไหวบ้างก็ให้มันรู้ไป  หรือว่าเวนิสจะเป็นพระเอก อย่าน้า  โรมเค้าเป็นเพื่อนมาตั้งนานยังไม่ได้เลยอ่ะ โรมสู้ๆ :fire:
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo sei บทที่ 6 + ภาพประกอบ - 05/03/11 - 18.35
เริ่มหัวข้อโดย: ณยฎา ที่ 05-03-2011 19:08:52
อยากเจอมิลาน ยังคิดไม่ออกว่าจะเชียรใครดี
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo sei บทที่ 6 + ภาพประกอบ - 05/03/11 - 18.35
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 06-03-2011 00:25:36

ต๊าย กิต.อยากไปนั่งเล่นชมทะเลสาบที่เฉลียงนั่นละค่ะ
ขอโต๊ะริมสุดติดขอบเลยนะคะ
  :m24:
๑๗๓ + ๑ = ๑๗๔
ขอบคุณนะคะ คุณ Purple_Sky

หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo sei บทที่ 6 + ภาพประกอบ - 05/03/11 - 18.35
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 06-03-2011 03:10:04
รอ มิลานนี่ อยู่ค่ะ เขาว่ากันว่ามาทีหลังดังกว่า55+
แค่สองคนก็ไม่รู้ว่าจะเป็นแฟนคลับใครดีแล้วล่ะคะ แอบเทใจให้เวนิดนึง อาจเพราะเวลาทีสองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้วมันสดใส ดูมีความสุขยังไงไม่รู้อ่ะ
ส่วนโรม หนุ่มติส ก็ชอบนะเพียงแต่ว่าชอบเวนิสมากกว่า^^ เอาเป็นว่ารอดูมิลานแล้วค่อยคิดดูอีกที

หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo sei บทที่ 6 + ภาพประกอบ - 05/03/11 - 18.35
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 06-03-2011 10:06:41
สามหนุ่มสามสไตล์  แล้วแต่คนจะชอบจริง ๆ
เราว่าเมฆาแปลก ๆ แต่แปลกยังงัยก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo sei บทที่ 6 + ภาพประกอบ - 05/03/11 - 18.35
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 06-03-2011 19:49:48
Capitolo sette

         เวนิสลอบมองเป็นเอกอยู่เป็นระยะ
        ทันทีที่กลับมาจากอิตาลี เขาก็ตรงมาอยู่กับแม่ที่นี่เป็นเวลากว่าอาทิตย์แล้ว จึงชินกับบรรยากาศของรีสอร์ตแห่งนี้ไม่ตื่นตาตื่นใจอะไรเท่าไรนัก สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาต่างหากที่น่ามองมากกว่าต้นไม้ใบหญ้าและปราสาทที่อยู่รอบตัว
   ใบหน้าด้านข้างของเป็นเอกดูดีกว่าหน้าตรง กระนั้นก็เรียกไม่ได้เต็มปากว่ารูปงาม ชายหนุ่มมีสันจมูกโด่งเล็กน้อย ปากบางประดับอยู่บนคางเรียวแหลมเหยียดออกเป็นรอยยิ้ม ดูมีความสุขที่ได้มาหย่อนใจ มือเล็กยกขึ้นบังดวงตาเล็กๆเหมือนคนไทยทั่วไปใต้คิ้วเข้มขึ้นระเกะระกะไม่เป็นรูปไม่มีอะไรที่น่าดูเท่าไรเลย เขาหยีตาลงด้วยการกระตุ้นจากแสงแดดทำให้ใบหน้าบูดเบี้ยวไม่น่ามองนัก แต่เวนิสก็ยังมองเขาไปตลอดความยาวของลำคลอง
    ไม่ใช่ว่าเขาชอบเป็นเอกนะ เวนิส บอกตัวเองอย่างนั้น แต่ชายหนุ่มคนนี้ดู “น่าสนใจ” น่าค้นหาอย่างที่เขาไม่เคยพบต่างหาก เมื่อวานนี้พอได้คุยกันเพียงครั้งสองครั้ง เวนิสก็ต้องยอมรับว่า เขาตั้งหน้าตั้งตาคอยให้ได้มาเจอชายหนุ่มอีกครั้ง ในเช้าวันนี้ พอรุ่งเช้าก็รีบมาหาอย่างรวดเร็วเสียด้วย
    เพราะอะไร
    หนุ่มลูกครึ่งอิตาเลียนตอบไม่ได้ เขาอาจเพียงสงสัยในความสัมพันธ์ของน้องชายตน กับหนุ่มคนนี้เท่านั้น อย่างที่เขารู้สึกเมื่อครั้งที่เจอเป็นเอกครั้งแรกในห้องอาหาร  เขาเห็นชายหนุ่มพูดคุย หยอกล้อกับน้องของตนอย่างสนุกสนาน เขาเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของโรมา ...ไอ้โรมมันเคยยิ้มให้เขาเห็นที่ไหนกัน… เขาจึงอยากรู้เหลือเกินว่า หนุ่มคนนี้มีดีอะไรถึงทำให้น้องเขาติดใจคบมาได้ ตั้ง 6 ปี อีกอย่างโรมเป็นคนโลกส่วนตัวสูง เขาไม่เคยแนะนำให้แม่รู้จักเพื่อนคนไหนของเขาเลย เป็นเอกเป็นคนแรก
    พอมาเจอเข้าตรงหน้าต่างทางเดินชั้นสอง ใกล้กับห้องน้ำเขาก็เวนิสก็เลยถือโอกาส ชวนคุยโน่นนี่ไปเรื่อย จนมาถึงตอนนี้ ตอนที่เขาพานายนี่เที่ยวไปรอบๆรีสอร์ตนี้  เขากลับรู้สึกสนุก อยากพาไปดูอะไรๆมากมาย ทั้งที่เขาก็เคยนำเที่ยวใครต่อใครมามากก็ไม่เคยกระตือรือร้นอย่างวันนี้
    เป็นเอกมีดีอะไร
    เขาก็ตอบไม่ได้อีกนั่นแหละ จึงเลิกต่อล้อต่อเถียงตัวเองในใจ เห็นชายหนุ่มหันหน้ากลับมาจากป่าอีกฟากหนึ่งของรีสอร์ตก็เลยเอ่ยปากถามว่า
    “ดูอะไรอยู่ตั้งนาน”
    “ดูต้นไม้ซีครับ” เขาว่า “ต้นไม้เยอะมาก สวยไม่เหมือนกรุงเทพ มองไปทางไหนก็เจอแต่ตึกสีเทาๆโทรมๆเต็มไปหมด”
    “เมื่อวานผมถึงบอกไงล่ะว่า ให้เอ็นจอยกับบรรยากาศอย่างนี้”
    “ครับ” เขาว่า “ผมก็เลยมองเสียเต็มที่กลัวว่าจะไม่มีโอกาสกลับมาอีก”
    เวนิสงงงันขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยปากถาม
    “ทำไมล่ะ คุณจะไปไหน”
    “ก็กลับกรุงเทพไป คงไม่มีโอกาสได้กลับมานี่หรอกครับคุณ ที่นี่แพงจะตาย ถ้าคุณประกายพรึกไม่จ้างผมมาช่วยจัดงานแต่งงานที่นี่ผมคงไม่มีปัญญาควักตังค์จ่ายเองหรอกครับ”
    พูดคำว่าแต่งงาน เวนิสก็นิ่วหน้าอีกครั้ง มองไปยังฟ้ากว้างอย่างไม่ต้องการพูดอะไร เป็นเอกเห็นเข้าก็รู้ตัวว่าพูดอะไรผิดไปเสียแล้ว
    “ขอโทษครับ ที่พูดเรื่องแต่งงานขึ้นมา”
    “ไม่เป็นไร” เขาว่า “ผมเพียงแต่คิดเรื่องแต่งงานของแม่แล้วก็พาลคิดถึงงานตัวเอง ไม่ได้อยากแต่งเลย ให้ตายเถอะ”
    เป็นเอกไม่แน่ใจว่าควรจะหัวเราะหรือเปล่า จึงได้แต่เงียบอยู่เฉยๆ
    “อยู่คนเดียวก็สบายดีอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าจะต้องแต่งไปทำไมให้วุ่นวาย”
    “คุณพูดเหมือนอกหักมาแล้วก็ประชดชีวิตอย่างนั้นแหละ” เป็นเอกว่า
    “ก็คงทำนองนั้น” เขาก้มหน้านิ่ง ก่อนจะพูดต่อไปว่า “เอาจริงๆนะ ผมเจอมาครั้งหนึ่งแล้ว เข็ดแล้ว คงไม่คิดมีความรักอีกแล้วล่ะ”
    “มันแย่ขนาดนั้นเลยหรือครับ” หนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามเอ่ยถาม
    “แย่ซี ผมรักใครรักจริงนะครับ ทุ่มเทให้ได้ทุกอย่างพอเรารักเต็ม เราก็เจ็บเต็ม ผมถึงไม่กล้าจะรักใครอีกแล้วล่ะ”
    “คนไทยหรือ”
    “อิตาเลียน... คนเวนิส” เขาตอบ “พอเลิกกันก็เลยตัดใจกลับมาไทย พอดีกับที่คุณแม่จะแต่งงานด้วย คิดว่าคงไม่กลับไปเวนิสอีกแล้วละจนกว่าจะทำใจได้”
    “เขาถึงได้บอกไงล่ะครับว่า ถ้ารักใครแล้วอย่ารักเขาเต็มร้อย รักสัก 70 พออย่างน้อยพอเจ็บเราจะได้มีสัก 30 ที่เก็บเผื่อไว้มาช่วยพักฟื้น”
    “คุณคงไม่เคยมีความรักซีนะครับคุณเอก”
    “เอ๊ะ” เป็นเอกขมวดคิ้ว “คุณกวนผมอีกแล้ว”
    “เปล่า แต่ผมตั้งใจจะบอกคุณว่าถ้าคุณลองได้รักใครจริงๆแล้ว คุณจะไม่มีทางรักเขาเท่านี้ เผื่อใจไว้เท่านั้นหรอกครับ” เวนิสกล่าวนิ่งๆ “เพราะความรักก็คือความรัก มันไม่ใช่เกมส์หรือการลงทุน จะมาคำนวนหากำไรขาดทุน ผลดี ผลเสียไม่ได้หรอกครับ เมื่อคุณได้รักแล้วก็คือรักหมดใจเท่านั้น”

    ปราสาทที่ริมทะเลสาบโคโม สวยน้อยกว่า กรัน ปาลัซซโซ่ เล็กน้อยแต่เพราะมันอยู่ข้างทะเสาบที่สวยงามเหลือเกินแล้วตัวตึกจะไม่สวยนักก็ไม่แปลก อย่างน้อยมันก็ทำให้เป็นเอกอดไม่ได้ที่จะยกกล้องขึ้นถ่ายโน่น ถ่ายนี่แทบตลอดเวลา
    หน้าปราสาทตกแต่งด้วยรูปปั้นสีขาวอมเทาจากความเก่าแก่ มีบันไดด้านหน้าที่ต้องเดินขึ้นไปหลายขั้นจึงจะถึงโถงด้านบน ข้างในมีห้องเก็บงานศิลปะที่โรมวาดเองบ้าง ซื้อมาจากที่โน่นที่นี่บ้าง มีห้องอาหาร ร้านกาแฟ อย่างที่กรันปาลัซโซ่ แต่เป็นเอกก็ยังไม่สนใจจะกินอะไรนัก พอถ่ายรูปทิวทัศน์ได้สักพัก เขาก็นั่งปักหลักอยู่ที่สวนด้านหน้าของปราสาทมีร่มกางกั้นไอร้อนจากแสงแดดและซุ้มขายไอศกรีม เจลาโต้แบบอิตาเลียนอยู่ใกล้ๆ
    “จะกินเจลาโต้หน่อยไหม ของเราทำเองที่นี่”
    “ไม่ละครับ” เขาว่า “ผมอิ่มจะแย่ ถ้าคุณทานไหวก็ทานไปคนเดียวเถอะ”
    เวนิสหัวเราะลั่น
    “ไม่รู้อะไรเสียแล้ว ผมกินได้ทั้งวัน ไม่เคยอิ่ม ไม่อ้วนด้วย” เขาว่าก่อนจะเดินไปซื้อเจลาโต้ ได้ยินอักหนุ่มยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ พึมพำว่า “เหมือนโรม” เมื่อได้ไอศกรีมแล้วก็กลับมานั่งกินข้างๆเป็นเอก เห็นว่าอีกฝ่ายนั่งขีดเขียนอะไรไปเรื่อยในกระดาษขาวที่เขาพกติดตัวมาก็เอ่ยถามขึ้น
    “วาดอะไร”
    “ซุ้มงานแต่งของคุณประกายพรึก” เขาอธิบาย “ผมชั่งใจอยู่ว่า ถ้าไม่จัดที่สนามข้างกรัน ปาลัซโซ่ ก็ลานหน้าปราสาทโคโมนี่”
    “เหมือนคุณแม่จะให้จัดในห้องอาหารที่คุณกินเมื่อวานเย็นไม่ใช่หรือ”
    “ผมว่ามันอุดอู้ อาจจะรับแขกได้เยอะจริง แต่ว่าบรรยากาศข้างนอกสวยกว่ามาก คิดดูซี ตัดเค้ก และกินเลี้ยงกันในสนามคงจะดีกว่าไปอุดอู้อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ อย่างนั้นแต่งที่โรงแรมไหนในกรุงเทพก็ได้ไม่ต้องถ่อมาไกลถึงนี่”
    แขกฝรั่งหลายคนเดินลงจากตัวปราสาท ผ่านเป็นเอกไปลงที่ท่าน้ำใกล้ๆ
    “คุณจะข้ามกลับไปฝั่งโน้นได้ยังไงครับ นั่งกอนโดลา อ้อมไปทางเข้ารีสอร์ต แล้ววนไปถึงกรันปาลัซโซ่หรือ” เป็นเอกถามเมื่อเห็นบรรดาแขกเหล่านั้นยืนรอเรืออย่างตื่นตาตื่นใจ
    “ไม่ๆ เรือที่นี่ ขับวนรอบคลองนี้ไปยังกรัน ปาลัซโซ่ก็จริง แต่มีเรือข้ามทะเลสาบไปฝั่งโน้นด้วย ขึ้นตรงท่าก่อนถึงบ้านมิลานเห็นไหม” เป็นเอกพยักหน้า “จากตรงนั้นมีรถกอล์ฟเข้าไปส่งในหมู่บ้าน โรมันเหมือนกัน”
    “อย่างนั้นก็ดี เราจะได้ให้แขกนั่งข้ามฟากมางานฝั่งนี้ได้” เป็นเอกออกความเห็น “ส่วนพวกวีไอพีที่พักที่กรัน ปาลัซโซ่ก็นั่งกอนโดลามาตามปกติ”
    “สรุปคุณคิดจัดที่นี่หรือ”
    “มีที่ไหนเหมาะกว่านี้หรือเปล่าครับ ในฐานะที่คุณรู้จักที่นี่ดี”
    เวนิสตักเจลาโต้ช็อกโกแลตเข้าปาก ก่อนจะดึงช้อนกลับออกมาแล้วตอบว่า “ไม่รู้ซี จัดกลางแจ้งจะดีหรือ”
    เป็นเอกไม่ว่าอะไร ยิ้มให้ชายหนุ่มก่อนจะก้มลงวาดบรรยากาศงานคร่าวๆ มีเต้นท์ผ้าใบตรงกล้าง วางเค้ก และซุ้มให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวอยู่  มีโต๊ะเลี้ยงแขกอยู่รอบๆ หากไม่อยู่ในเต้นท์ก็กางร่มให้อย่างที่เขานั่งอยู่นี้
    “คิดว่าแม่คุณจะชอบหรือเปล่า”
    “ไม่รู้ซี” เขาตอบ “ปกติแม่จะไม่ค่อยเปลี่ยนใจตามใครง่ายๆ แต่ถ้าคุณพูดแม่ก็คงจะคล้อยตามละมั้ง แม่ชอบคุณจะตาย”
    “คุณรู้ได้ไง”
    “ก็เห็นพูดอยู่บ่อยๆนี่ ว่าอยากได้มาเป็นลูกอีกคน” เวนิสกล่าวเพียงเท่านั้นแล้วก็เงียบไป ...อยากได้มาเป็นลูกเขยล่ะสิ!
    
    มื้อกลางวัน เวนิสพาเป็นเอกไปกินอาหารง่ายๆที่ห้องอาหารในปราสาทนั้น เป็นเอกกินพิซซ่าไปเพียงชิ้นเดียวก็อิ่ม ปล่อยให้เวนิสจัดการกับอีก 3 ชิ้นที่เหลือจนเกลี้ยง ดื่มน้ำอัดลมให้หายกระหายแล้วก็เดินไปด้านหลังปราสาท ตรงนั้นเป็นสวนดอกไม้เมืองหนาว มีสระน้ำให้ว่ายเป็นสระสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตรงกลางมีรูปปั้นกามเทพ คิวปิดยืนชี้ลูกศรแห่งความรักขึ้นฟ้าปลายลูกศรเป็นน้ำพุพุ่งขึ้นไปแล้วก็ตกลงมาในสระอย่างสวยงาม
    แขกเหรื่อชาวจีนห้าหกคน ว่ายน้ำอยู่ตรงนั้นส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันตามประสา เวนิสจึงเดินออกไปจากตรงนั้นแทบจะทันที เป็นเอกเดินตามไปอย่างช่วยไม่ได้ ถัดจากสระว่ายน้ำมีจากุซซี่สองสระอยู่ตรงนั้น คู่รักสองคนนั่งโอบกอดกันอยู่อย่างสบายใจ หญิงสาวชาวฝรั่งซบลงบนบ่าของคนรัก พูดคุยกันกระหนุงกระหนิง
    จู่ๆ เป็นเอกก็คิดว่า คงจะดีไม่น้อยหากมีใครมาหนุนบ่าเขาอย่างนั้นบ้าง
    
    เดินออกจากปราสาทยาวไปถึงคอกม้า เวนิสก็ยังคงชวนชายหนุ่มรุ่นน้องคุยต่อไป “ผมยังไม่รู้เรื่องของคุณเลย เล่าให้ผมฟังบ้างซีว่าคุณเป็นใครมาจากไหน”
    “เป็นเอก มาจากกรุงเทพ”
    “โธ่ เรื่องนี้รู้แล้ว จะบอกทำไม บอกเรื่องที่ผมไม่รู้ซีครับ”
    “ก็คุณอยากรู้อะไรล่ะ ผมเป็นคนธรรมดาๆ ไม่มีอะไรน่ารู้หรอก ผมเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่ผมตายตั้งแต่เด็กๆ ผมก็เลยต้องอยู่กับป้า ป้าไม่มีสามี ไม่มีลูกก็เลยเลี้ยงผมมาคนเดียว ผมเป็นคนจนไม่เคยกินดีอยู่ดีอย่างคุณ เรียนโรงเรียนรัฐบาล สอบเข้ามหาลัยรัฐบาลได้ก็เรียนมาจนจบ ตอนนี้เป็นมัณฑนากร อยากรู้อะไรอีกล่ะครับ” เขาเล่าเรื่อยๆ อย่างไม่ค่อยสนุกนัก เมื่อเล่าเรื่องที่เรารู้ดีอยู่แล้ว เราจะเล่าออกมาจากความทรงจำ ทำให้มีอารมณ์แฝงอยู่ในคำพูดนั้นมากกว่าไปจำเรื่องของใครมาเล่า เวนิสจึงสัมผัสได้ว่าเป็นเอกคงลำบากไม่น้อยเมื่อตอนเด็กๆ
    “มิน่า โรมถึงได้ยกย่องคุณเหลือเกิน”
    “ผมไม่ค่อยมีอะไรน่ายกย่องหรอกครับ”
    “คุณน่ายกย่องมากนะเอก คุณเป็นคนสู้ชีวิต ถึงคุณจะจน ถึงคุณจะกำพร้าคุณก็ไม่เป็นเด็กมีปัญหา ไม่หมดอนาคต แต่ก็สร้างอนาคตของตัวเองมาได้ดีขนาดนี้ ก็เก่งแล้วละครับ”
    เดินมาถึงคอกม้าเวนิสก็หยุดพูด
    “ถึงแล้ว พร้อมขี่หรือยังล่ะ”
    “ไม่พร้อม” เป็นเอกว่า ตรงนั้นมีม้าอยู่ประมาณสี่ห้าตัว มองเลยไปตรงทุ่งกว้างด้านหลังก็มีอีกมากยืนเล็มหญ้าอยู่อย่างมีความสุข พวกตัวใหญ่ๆตรงนั้นมีทั้งสีน้ำตาลแดง สีน้ำตาลทอง และดำสนิท เจ้าตัวสีดำวิ่งเหยาะๆเข้ามาหาชายหนุ่มทั้งสอง ทำเสียงฟืดฟาด ในจมูกดังลั่น เล่นเอาเป็นเอกตกใจผงะไปข้างหลังชนเข้ากันเวนิสที่ยกมือขึ้นกุมไหล่เขาทั้งสองข้างประคองไว้ไม่ให้เซล้มลงไป
    “เจ้าเนโร” เขาหัวเราะ พอรู้ตัวว่ายืนประชิดกับเป็นเอกมานานสองนานแล้ว ก็ถอนมือออก เดินเลี่ยงออกมาจากชายหนุ่ม “ม้าผมเอง ผมมาขี่มันบ่อยๆ”
    “คุณเว” ชายคนหนึ่งร้องลั่นเดินตรงเข้ามาใกล้ เขาเป็นชายร่างใหญ่ ใส่เสื้อลายสก็อตสีตุ่นๆ ท่อนล่างเป็นกางเกงยีนส์สวมรองเท้าหนังแบบลำลอง มีหมวกปีกกว้างสวมอยู่บนศีรษะที่มีผมดกดำปกคลุมอยู่ดกหนา หน้ากว้างมีรอยย่นบ่งบอกถึงความชรา มีหนวดครึ้มเข้มอยู่เหนือริมฝีปาก เดินยิ้มร่า อ้าแขนออกรับเวนิสที่เข้าไปกอดอย่างงสนิทสนม ตบไหล่สองสามทีก็ผละออกจากกัน
    “ลุงทัด ไม่เจอกันนานเลย” เขาว่า “สบายดีนะฮะ”
    “สบายซีคุณ ผมรอคุณอยู่นานแล้ว เขาว่ากันว่าลูกชายคนโตของคุณดาวกลับมาถึงรีสอร์ตตั้งนาน ก็คอยอยู่แต่ไม่ยักเห็นมาหาผมสักที กะว่าจะน้อยใจแล้วเชียว ไม่ทันคุณมาหาผมก่อนไม่ทันได้โกรธคุณจริงๆสักครั้ง” คนที่ชื่อทัดหัวเราะเสียงดัง
    “เอก นี่คุณลุงทัด เจ้าของคอกม้านี่ แต่ก่อนที่ดินของรีสอร์ตนี้เป็นทุ่งเลี้ยงม้าของลุงทัด แม่ชอบพาผมกับพ่อมาเที่ยวบ่อยๆ ก่อนจะไปเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ดผมต้องมาที่นี่ทุกปี มาขี่ม้าของลุงทัด” เวนิสแนะนำ เป็นเอกก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “แม่เลยขอซื้อที่ลุงทัดทำรีสอร์ตเสียเลย”
    “ตอนแรกนึกว่าจะไล่เราไปอยู่ที่อื่น แต่คุณดาวเธอก็ใจดีให้อยู่ดูแลม้าต่อที่นี่” เขายิ้ม “ผมชื่อทัด คุณเวแนะนำไปแล้ว คงไม่ต้องแนะนำอะไรอีก”
    “ผมเป็นเอกครับ” เขาว่า “เพื่อนของโรม”
    “อ้อ เจ้าโรม” ลุงทัดหัวเราะเสียงดัง “ไม่เจอตั้งแต่เป็นวัยรุ่น ยังดื้อเงียบเหมือนเดิมหรือเปล่า”
    “ไม่เปลี่ยนเลยครับ” เวนิสตอบแทบจะพร้อมกับเป็นเอก
    “ไหนๆก็มาแล้ว เข้าไปดื่มอะไรที่บ้านผมไหมล่ะคุณเว คุณกันตามประสาหนุ่มๆ” ลุงทัดนับตัวเองเป็น “หนุ่ม” อีกคนอย่างไม่อายปาก
    เวนิสพยักหน้า “คุยต่อในบ้านเถอะลุง... ไป เอกเดี๋ยวค่อยออกมาขี่ม้านะ ขอไปคุยกับลุงทัดก่อน”
    “เดี๋ยวผมตามเข้าไปครับ ถ่ายรูปเล่นแปบนึง” เวนิสไม่ทักท้วงอะไร เดินเข้าไปในบ้านกับลุงทัดอย่างง่ายๆ ปล่อยให้เป็นเอกยืนถ่ายวิวทิวทัศน์ตรงนั้นไป
    ถ่ายเรื่อยเปื่อยไปสักพัก ชายหนุ่มก็หันกล้องไปทางเนินสูงสีเขียวสด ทางออกจากรีสอร์ต กดชัตเตอร์ไปแล้วก็พบว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาจากทางนั้น ติดเข้ามาในเลนส์ของเขาด้วยอย่างไม่ตั้งใจ พอกดดูรูปในกล้องก็พบว่าหนุ่มคนนี้ดูดีอย่างน่าประหลาด ผอมสูงไม่บึกบึน แต่ก็ไม่ดูเก้งก้าง สวมกางเกงยีนส์ และเสื้อกล้ามสีขาวทำให้เห็นกล้ามแขนน้อยๆ สะพายกระเป๋าแบ็กแพ็คใบโต ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกปิดด้วยผมสีฟางที่ไถเปิดข้าง ข้างหนึ่ง และปล่อยให้ย้อยลงมาปิดหน้าอีกข้างหนึ่ง ท่าทางของเขาทำมุมสวยกับกล้อง ดูองค์ประกอบโดยรวมแล้ว รูปนี้สามารถลงไปอยู่ในนิตยสารเล่มใดเล่มหนึ่งได้เดี๋ยวนั้นเลยทีเดียว
    เป็นเอกเดินตามเข้าไปในบ้านเล็กๆที่อยู่ซีกหนึ่งของคอกม้าเปิดประตูไปเจอเวนิสพอดีก็ยื่นรูปให้ดู “สวยรึเปล่า ฝรั่งคนนี้เดินเข้ามาในมุมกล้องพอดีเลย สวยเหมือนแฟชั่นเซ็ตในแมกกาซีนเลยเนอะครับ”
    เวนิสเงียบไปพักหนึ่งก็เอ่ยว่า “นี่ละมิลาน น้องชายผมเอง”

***********************************************************************
น้องลานโผล่มาแล้วครับผม แต่มาแบบแว๊บๆให้เห็นเฉยๆตอนหน้าคงจะได้รู้กันครับว่าน้องน่ารักน่าชังแค่ไหน
แอบบอกก่อนว่ามิลานเป็นตัวละครโปรดของผมจากสามหนุ่มครับ ทั้งที่แทบจะถอดนิสัยของตัวเองใส่ลงไปในโรมแล้วก็ตาม แต่มิลานคือคนในสเปคผมเลย ส่วนเวนิสต้นแบบเอามาจากพี่ชายคนหนึ่งที่รู้จักกันครับ

สามหนุ่ม สามมุม สามสไตล์พอเจอครบทุกคนแล้วมาดูกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเป็นเอกบ้าง

เจอกันศุกร์หน้าครับ ผมจะเอารูปของแต่ละหนุ่มมาให้ดูประกอบด้วยว่าเพื่อนๆชอบหนุ่มคนไหนกัน อิอิ
พรุ่งนี้อย่าลืมติดตามคุณชายนะครับ นทีจะฟื้นแล้ว :)
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo sette บทที่ 7 - 06/03/11 - 19.45
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 06-03-2011 20:09:55
มิลาน โผล่มานิดๆเอง เดี๋ยวรออาทิตย์หน้าค่ะ

พี่เวทำคะแนนนำอยู่ละ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo sette บทที่ 7 - 06/03/11 - 19.45
เริ่มหัวข้อโดย: nuewanda ที่ 06-03-2011 20:51:28
สองตอนที่ผ่านมา ชงบทให้พี่เวนิสกะเป็นเอกรู้จักกันมากขึ้น โอ๊ะ คนอ่านก็ได้รู้จักด้วย คิก คิก

โรม หายไปเลย

มิลานมาแล้ววววววววววววว

 :pig4: คนแต่งค่า........
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo sette บทที่ 7 - 06/03/11 - 19.45
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 06-03-2011 20:53:57
เป็นเอกไม่ใช่คนหน้าตาดีแต่ก็คงเป็นคนที่มีเสน่ห์ในตัวเองมาก ๆ โดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ตัวด้วย
อ่านแล้วอินชะมัด  อยากเข้าไปเป็นคนสวนในเรื่องนี้ก็ยังดี  สถานที่คงจะสวยชะมัด
ตอนนี้รอวันที่เป็นเอกจะปะทะกับมิลาน  และก็อยากเปรียบมวยตอนที่หนุ่ม ๆ อยู่กันครบเหมือนกัน
+1
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo sette บทที่ 7 - 06/03/11 - 19.45
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 06-03-2011 23:55:49
เวนิสไม่ได้ชอบเป็นเอกจริงง่ะ  อยากให้มิลานมาแบบจีบตรงๆไปเลย ทั้งเวนิสทั้งโรมจะได้มีอะไรมากระตุ้นมั่ง
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo sette บทที่ 7 - 06/03/11 - 19.45
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 07-03-2011 01:46:07
กรี๊ดดดดดดดดดด
มิลานเปิดตัว อิอิ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo sette บทที่ 7 - 06/03/11 - 19.45
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 07-03-2011 04:10:00

• “ก็เห็นพูดอยู่บ่อยๆนี่ ว่าอยากได้มาเป็นลูกอีกคน” เวนิสกล่าวเพียงเท่านั้นแล้วก็เงียบไป ...อยากได้มาเป็นลูกเขยล่ะสิ!
ว้าย คุณประกายพรึกมีลูกสาว!!
(เป็นเขยใหญ่, เขยกลาง หรือเขยเล็กดีคะ อิอิ)
/กิต. พรุ่งนี้เป็นวันจันทร์ จะไปอำเภอแต่เช้า ขอเปลี่ยนชื่อ กิตติยาวดี เป็น ศศิลิยา(Sicilia)
.....ไม่ใช่ทางสายที่ ๔(fourth route) แต่เป็น สี่แยก(crossroads) 55555

๑๗๕ + ๑ = ๑๗๖
ขอบคุณนะคะ คุณ Purple_Sky

หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo sette บทที่ 7 - 06/03/11 - 19.45
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 08-03-2011 16:13:58
มาดันรอมิลานโดยเฉพาะ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo sette บทที่ 7 - 06/03/11 - 19.45
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 11-03-2011 19:41:01
Capitolo Otto

     หนุ่มน้อยลงจากรถทัวร์ สายตาทุกคู่จ้องมองเขาลงจากรถไปที่ทางออกของ ปาลัซโซ่ ดี เลย รีสอร์ตแอนด์ โฮมสเตย์ เขาทิปให้คนขับไปห้าร้อยอย่างไม่เสียดายเงิน ตอบแทนที่อุตส่าห์ส่งเขาลงระหว่างทางทั้งที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอย่างนั้น พอลงมาแล้วก็พบว่าอากาศที่เลยต่อให้หนาวเท่าไรสำหรับคนไทยทั่วไปก็ไม่หนาวเท่าที่อิตาลี
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่หนาวเท่ารันเวย์ที่ปล่อยลมกระหน่ำมาจากปลายทางเดิน ให้เสื้อผ้าพลิ้วไหวไปกับสายลม
    ชายหนุ่มสวมแว่นกันแดดของ ชาแนล เดินลงทางไหล่เขาตรงไปยังบ้านสีอิฐชมพูของเขา ไฟลท์ดีเลย์เมื่อคืนนี้ทำให้เขามีเวลาอยู่ในกรุงเทพก่อนจะมาที่นี่ แทนที่จะใช้เวลานั้นนอนหลับเอาแรงเขากลับเอาเวลาไปเที่ยวเต้นรำตามผับที่อาร์ซีเอ ได้หนุ่มมานอนด้วยที่ห้องคนหนึ่งอย่างง่ายดาย ... ใครๆก็เข้ามาหาเขาเอง เขาเพียงพยักหน้าง่ายๆ ก็มีคนมาปรนเปรออยู่แล้ว
     ร่างสูงเดินอย่างภูมิใจในตัวเอง เชิดหน้าขึ้นหลังตรงอย่างนายแบบทั่วไป หุ่นของเขาไม่เหมือนหุ่นนายแบบของไทยที่มักจะหล่อล่ำ แต่เป็นแบบ Haute Couture เวลาที่เขาไปถ่ายแบบที่ปารีส หรือ Alto Modo ตามคำของดีไซน์เนอร์ที่อิตาลี หุ่นแบบแฟชั่นชั้นสูง คือสูงโปร่ง หน้าเรียว คางเป็นเหลี่ยมเล็กน้อย ตาคม ทรงผมดูเฉี่ยวทันสมัย เหมาะกับเสื้อผ้าแบรนด์ดังๆ ใส่อะไรก็ทำให้เสื้อผ้าของดีไซน์เนอร์คนนั้นดูดีไม่มีที่ติ ซึ่งมิลานมีครบทุกข้อในตัวเอง จนใครก็อยากได้เขาไปเดินแบบกันทุกคน
   พอละแคทวอล์คมาเดินบนไซด์วอล์คหรือทางเท้าริมถนนแบบนี้ มิลานก็อดเสียดายชีวิตที่แสนหรูหราตามโรงแรมแพงๆในมิลานไม่ได้ เขาดื่มแชมเปญแทนน้ำ นอนเตียงนุ่มสบายที่มีคนทำให้ทุกคืนจนชิน กลับมาที่นี่ดีหน่อยตรงที่รีสอร์ตของแม่เขามันหรูพอกันแต่ไม่มีที่ให้เที่ยวนี่สิน่าห่วง กลับไปอยู่กรุงเทพต่อให้มีที่เที่ยวเขาก็คิดหนัก เพราะเขาต้องกลับไปอยู่บ้านกับแม่ที่ต่อให้หรูหราแค่ไหนก็ไม่ทันสมัย ง่ายต่อชีวิตคนกลางคืนอย่างเขาหรอกจะไปไหนมาไหนแม่ก็ต้องเป็นห่วงตามประสา เพราะเขาเป็นลูกคนสุดท้อง อย่างไรแม่ก็ยังเห็นเขาเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำแล้วเขาจะกลับมาทำไม
    มางานแต่งแม่แค่นั้นจบ แล้วก็กลับไปอยู่มิลานคงดีเขาคิด
    การที่แม่แต่งงานใหม่ครั้งนี้ มิลานพอใจและดีใจด้วยซ้ำ ต่างจากพี่ๆทั้งสองที่ไม่เห็นด้วย ด้วยเหตุผลอย่างเด็กๆว่า หวงแม่ ไม่อยากให้แม่รักใครนอกจากพ่อ แล้วก็ระแวงว่าแม่จะถูกเด็กหลอกเท่านั้น สำหรับเขาการที่แม่แต่งงานใหม่ก็คือแม่ได้มีอะไรทำ ได้มีอะไรอย่างอื่นไปสนใจ ได้ไม่ต้องยุ่งกับเขา ไม่ต้องมาคอยเป็นห่วง และโทรตามเขาทุกวันนั่นเอง อีกอย่างแม่เขาโตแล้ว โตกว่าเขา โตกว่าโรม และเวนิสเพียงใดแม่อาบน้ำร้อนมาก่อน จะไม่รู้เชียวหรือว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เขาจึงไม่เคยบ่นแม่สักคำเมื่อรู้เรื่อง แม่บอกให้กลับมา เขาทำงานเสร็จก็กลับมาตามที่แม่ว่าหลังจากนั้นจะทำอะไรต่อก็ยังไม่รู้ปล่อยให้มันเป็นไปก่อนแล้วกัน

    เดินลงมาตามเนินเขียวขจี มิลานก็เห็นว่ามีผู้ชายสองคนคุยกันอยู่กับชายร่างใหญ่อีกคนตรงคอกม้า ฝั่งตรงข้ามของทางเดินนั้น จำได้ไม่ผิดว่าคนหนึ่งคือลุงทัด แม้ว่าเจอกันครั้งสุดท้ายก่อนแม่เลิกกับพ่อเมื่อครั้งเด็กๆ แต่ก็ไม่ลืมท่าทางอย่างนั้นแน่ๆ อีกคนยืนคุยไป ยื่นแครอทให้ม้าดำตัวหนึ่งแทะไป เจ้าเนโรดุมากมันไม่ยอมให้ใครขี่หรือเข้าใกล้ง่ายๆ ถ้าไม่ใช่พี่ของเขาคงโดนดีดกระเด็นไปแล้วแน่คนนั้นคงเป็นเวนิสแน่นอน
    แต่อีกคนที่ยืนดูรูปจากกล้องดิจิตอล อยู่ตรงนั้นล่ะ โรมหรือ
    ไม่โรมไม่มีวันตัดผมสั้นขนาดนั้นแน่ๆ แล้วเป็นใครกัน
     มิลานเห็นพี่ชายเดินกอดคอลุงทัดเข้าไปในบ้านเล็ก ก็เลยเปลี่ยนใจไม่ไปนอนที่บ้านของตนแล้วไปเยี่ยมเจ้าของคอกม้า ขี่ม้าเล่นเสียก่อนดีกว่า ได้สืบด้วยว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นใคร เพื่อนคนไหนของเวนิสหรือแฟนที่พี่เขาบอกว่ามีตอนอยู่ที่เวนิส แต่เป็นไปไม่ได้หรอก เวนิสไม่ได้เป็นเกย์อย่างเขานี่นา ไม่มีทางมีแฟนเป็นผู้ชายไปได้ เอ หรือว่าเป็นหญิงสาวที่ตัดผมสั้นอย่างทันสมัยกันแน่ มิลานดูไม่ออกจึงเดินเข้าไปใกล้กว่านั้น
    ชายหนุ่มหรือหญิงสาวผมสั้น หันกล้องมาทางเขา ถ่ายรูปไปรูปหนึ่ง ก็ลดกล้องลงมาดูรูป คงติดเขาเข้าไปกระมัง ชายหนุ่มถึงได้รีบเดินเข้าไปในกระท่อมเล็กๆของลุงทัด อย่างนั้น
    มิลานเดิน ออกจากทางเดินรถที่จะพาเขาไปยังบ้านของตัวเอง อ้อมทะเลสาบไปยังบ้านเล็กๆของผู้ดูแลม้าคอกนี้ทันที

    เวนิสเปิดประตูกระท่อมออกมา ก็เห็นน้องชายยิ้มแก้มปริตรงเข้ามาหา โบกมือให้จากอีกฟากของคอกม้า ตะโกนทักมาเป็นภาษาอิตาเลียน “Ciao!”
    “Ciao, come stai?” หนุ่มผมดำตรงเข้าไปกอดน้องพร้อมกับถามสารทุกข์สุขดิบ เป็นเอกแอบสังเกตได้จากจุดที่เขาอยู่ว่า เวนิสตัวเล็กกว่าน้องชายเล็กน้อยเมื่อยืนเทียบกัน
    “Bene come sempre” น้องชายตอบ ยิ้มอย่างขี้เล่น มองเลยไปเห็นชายหนุ่มด้านหลังพี่ก็ยิ้มให้ “Il suo amico?”
    “เพื่อนคนไทย” เขาว่า “เพื่อนโรมแหละถ้าจะพูดกันจริงๆ เป็นมัณฑนากรที่จะมาช่วยจัดงานให้คุณแม่”
    มิลานถอดแว่นดำออก เผยให้เห็นตาคมสวยสีน้ำตาลแก่ ยิ้มกว้างให้พร้อมกับกล่าวสวัสดีอย่างร่าเริง ยื่นมือออกไปให้เป็นเอกจับเชคแฮนด์เบาๆ มือของชายหนุ่มนุ่มนิ่มยิ่งกว่ามือของหญิงสาวคนใดที่เขาเคยจับมา
    ยิ่งเข้ามาใกล้ๆ เป็นเอกก็ยิ่งใจเต้น หนุ่มคนนี้หล่อเหลาเกินกว่าจะเป็นน้องแท้ๆของโรม เอาจริงๆแม้โรมจะไม่ขี้ริ้ว ก็เทียบไม่ได้เลยกับน้องชาย ผิวขาวสะอาดเนียนเรียบเสมอกันไม่มีรอยสิวฝ้า หรือแม้แต่กระสักรอยดวงหน้าไม่ต้องพูดถึง เป็นสีน้ำนมอมชมพูอย่างคนรู้จักดูแลตัวเอง ไม่มีแม้แต่สิวเสี้ยน ขาวผ่องดูมีราศีหากเป็นเอกเป็นโมเดลลิ่งเขาจะไม่มีวันปล่อยมิลานให้หลุดมือ รีบให้เซ็นสัญญาเข้าสังกัดเขาเดี๋ยวนั้นเลย
    “สวัสดีฮะ ผมชื่อมิลาน ยินดีที่ได้รู้จัก” เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง ยิ้มจนตาเหลือเล็กอย่างเด็กที่รู้จักทำให้คนแปลกหน้าประทับใจ
    “สวัสดีครับ ผมเป็นเอก เป็นเพื่อนของโรม”
    “ชื่อเพราะนะฮะเป็นเอกเนี่ย” หนุ่มน้อยถอนมือออกจากมือของเป็นเอก ซุกลงในกระเป๋ากางเกงยกไหล่ขึ้นพลางพูดอย่างอารมณ์ดี “แปลว่าเป็นที่หนึ่งแน่ๆเลย ใช่ไหมฮะ”
    เจ้าของชื่อพยักหน้า
    “เป็นที่หนึ่งด้านไหนฮะ เรื่องเรียน ดนตรี กีฬา หรือว่าเรื่องรัก”
    เขายิ้มกว้างขยิบตาให้เป็นเอก ทำเอาชายหนุ่มเขินไปหมด ไม่รู้จะตอบยังไงก็เลยเลี่ยงๆ ไปว่า “เอ้อ ไม่สักอย่างแหละครับ แม่คงตั้งเอาเคล็ด แต่ลูกดันไม่เอาไหน”
    หนุ่มน้อยหัวเราะ ก่อนจะถามพี่ชายว่า
    “ลุงทัดอยู่หรือเปล่า ลุงทัด ลานกลับมาแล้วนะฮะ” หนุ่มน้อยไม่รอคำตอบ ตะโกนเข้าไปในบ้านอย่างเด็กๆ ก่อนจะเดินเบียดเป็นเอกที่ยืนขวางประตูอยู่เข้าไปข้างใน
    กลิ่นน้ำหอมหวานๆจากตัวเขา ลอยเตะจมูกเป็นเอก จนชายหนุ่มทำอะไรไม่ถูกยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นเด็กคนนี้ตรงสเปคเขาทุกอย่างแม้กระทั่งกลิ่น!
    “ใจคอจะยืนอาบแดดอยู่ตรงนี้ทั้งวันหรือคุณ” เวนิสเรียก เสียงเข้มทุ้มลึก ตัดกับเสียงของมิลานเมื่อครู่ ทำเอาเป็นเอกหลุดออกจากภวังค์เดี๋ยวนั้น เดินหลีกทางให้เวนิสเข้ามาในบ้านก่อนแล้วก็ตามชายหนุ่มเข้าไปในนั้น
    ลุงทัดดีใจ ตรงเข้ามากอดมิลานอย่างรักใคร่ อยู่ก่อนจะปล่อยออกจากอ้อมแขน แต่ยังจับบ่ายืนมองหน้าหวาน ที่ตัดกับผมเฉี่ยวๆของเขาอย่างตกตะลึงในความงามของหลานชาย
    “เจอกันตอนนั้นยังตัวเท่าเอวอยู่เลย เฮ้ย โตแล้วมันหล่อว่ะ ตัวสูงเชียวน่าจะไปเป็นนายแบบนะคุณลาน”
    “ก็เป็นอยู่แล้วนี่ฮะ” เขาว่า “ลุงทัดคงไม่ทราบ”
    “โอ้โห เออๆๆ ดีจริง แต่ไม่น่าตัดผมเสียประหลาดอย่างนี้เลย”
    ทรงผมประหลาดที่ลุงทัดว่าคือการไถเปิดด้านขวาของศีรษะไปแบบสั้นเกรียน ทิ้งให้ผมด้านซ้ายยาวกระเซอะกระเซิงลงมาปรกหน้าด้านซ้าย  ชายหนุ่มได้ยินลุงที่สนิทกันว่าอย่างนั้น ก็ยกมือซ้ายขึ้นเสยผมให้พ้นหน้า เป็นเอกสังเกตว่าหน้าผากของหนุ่มน้อยเป็นรูปหัวใจสวยอย่างที่หลายๆคนอยากมี
    “ลุง ผมทรงนี้ ช่างที่มิลานตัดให้เลยนะ ให้เดินแบบให้ร้านของเขา ไฮแฟชั่นมากๆ คนเขาชอบกันใหญ่” หนุ่มน้อยยิ้มกว้าง
    “เอาเถอะ ผมตามเด็กสมัยนี้ไม่ทันเสียแล้ว นั่งก่อนซีครับ ผมกำลังต้มชามาให้เดี๋ยวไปดูก่อนนะว่าน้ำร้อนหรือยัง” ลุงทัดผละออกไปจากตรงนั้น
    มิลานนั่งลงทางซ้ายมือของเป็นเอก กลิ่นหอมหวานๆ ลอยมาเป็นระยะทำเอาเป็นเอกสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก ไม่ได้ยินเวนิสที่นั่งอยู่ทางขวาของเขาพูดกับน้องชาย “มาเร็วเหมือนกันนี่ นึกว่ามาค่ำๆ”
    หนุ่มน้อยหัวเราะ
    “เร็วซีพี่ เที่ยวเสร็จก็เปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาเลย”
    “ไม่ได้นอนสิท่า” เวนิสส่งสายตารู้ทันให้น้องชาย “คืนนี้ที่ริมโคโมเขามีปาร์ตี้บาร์บีคิว จะมาหรือเปล่า หรือจะนอน”
    “ไม่นอนติดกันสามวันยังสบายเลยพี่” เขาหัวเราะ อย่างอารมณ์ดี “ถ้าพลาดงานเลี้ยงก็ไม่ใช่มิลานครับผม”
    “ปากดีไปเถอะ เดี๋ยวฉันจะนั่งดูแกหลับคาโต๊ะอาหาร”
    “ถ้าหลับจริงๆพี่อุ้มผมไปนอนด้วยแล้วกันบ้านอยู่ฝั่งตรงข้ามนี้เอง” หนุ่มน้อยว่า “ถ้าพี่เวอุ้มไม่ไหว คงต้องวานพี่เอกช่วยหน่อยนะฮะ แต่จริงๆตัวผมก็ไม่หนักเท่าไหร่คงไม่ได้รบกวนพี่เอกแน่”
    ประโยคหลัง หนุ่มน้อยบอกกับชายหนุ่มที่นั่งติดกัน หลิ่วตาให้อีกครั้งหนึ่ง เป็นเอกหัวเราะอย่างประหม่า เวนิสจึงว่าขึ้นมาอย่างนิ่งๆ
    “ลาน พูดอะไรอย่างนั้นเขาเป็นแขกนะ”
    “ไม่เป็นไรหรอกคุณ” เป็นเอกว่าเบาๆ “น้องเพื่อนก็เหมือนน้องผมแหละ ผมไม่คิดมากหรอก”
    มิลานยิ้มกว้างให้เป็นเอก ก่อนจะถามเวนิสว่า
    “เอ้อ ลืมไปพี่โรมล่ะ นอนอยู่หรือว่าวาดรูปอยู่ครับ”
    “ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง โรมไปหาคุณป้าในเมือง”
    “อ้อ” มิลานพยักหน้าอย่างเข้าใจ
    “ไปอิตาลีคราวนี้ไปนานเชียวนะ ไม่ไปหาพี่ที่เวนิสด้วย”
    หนุ่มน้อยเสยผมขึ้นหัวเราะอีกครั้งก่อนจะตอบว่า
    “งานยุ่งค้าบ งานยุ่ง เดินแบบให้เวอร์ซาเช่ แล้วก็ร้านผมอีกร้านหนึ่ง เสร็จก็ตระเวณหาเพื่อนหมดไปแล้ว สองอาทิตย์ คราวหน้าถ้าไปอีกคงไปเป็นเดือน”
    “เล่นอย่างนี้ เงินหมดเข้าสักวัน”
    “เงินแม่ มีตั้งกี่ล้านจะหมดได้ยังไงล่ะ ผมเดินแบบที ถ่ายแมกกาซีน หรือโฆษณา หรือเป็นเอกซ์ตราก็ได้ทีเป็นหมื่นแล้ว ใช้ยังไงก็ไม่หมด” มิลานยักคิ้วอย่างเด็กขี้เล่น จะไม่ให้เป็นเอกเอ็นดูได้อย่างไร
    “งานพวกนี้มันไม่มั่นคง เดี๋ยวสักวันแกแกขึ้นมาล่ะ วงการนี้ ยี่สิบปลายๆก็หมดเวลาแล้วนะ แกจะไปทำอะไรกิน”
    “คุยกันกี่ที กี่ทีก็วกมาเรื่องนี้” หนุ่มน้อยหยิบ บีบี ขึ้นมาเล่นพลางคุยกับพี่ไปพลาง “ก็ตอบทุกครั้งว่าเอาไว้ก่อน ถึงเวลาค่อยคิด”
    เป็นเอกเห็นมิลานส่ายหัว ก่อนที่หนุ่มน้อยทางซ้ายจะสะกิดแขนเขา
    “พี่เอก มีบีบีหรือเปล่าฮะ ขอพินหน่อยซี”
    ชายหนุ่ม บอกพินไป สักพักโทรศัพท์เขาก็สั่น ชายหนุ่มยกแบล็กเบอร์รี่ขึ้นมาดูก็พบว่า มิลานทักเขาเข้ามาในโปรแกรมสนทนาแทบจะทันที ทั้งที่นั่งติดกันอย่างนี้ กดเข้าไปดูก็พบว่า มีเพียงหน้ายิ้ม  เท่านั้น ไม่ได้เขียนอะไรเลย
    พักเดียว ข้อความใหม่ก็ขึ้นว่า
    “พี่เว น่าเบื่อเนาะ พูดอะรัยก้อไม่รุ น่ารำคาน 555”
    เป็นเอกหัวเราะให้กับข้อความนั้น ภาษาที่หนุ่มน้อยพิมมาเป็นแบบที่เด็กวัยรุ่นทั่วไปใช้เขียนกัน หลายคนมองว่าเป็นภาษาวิบัติ แต่สำหรับเป็นเอก เขาว่า มันน่ารักดีอย่างไรก็ไม่รู้
    “หัวเราะอะไรหรือคุณ” เวนิสถามอย่างอยากรู้
    “ไม่มีอะไร” เป็นเอกตอบ หันไปยิ้มให้มิลาน ก็พบว่าหนุ่มน้อยหลิ่วตาให้ ก่อนจะยกนิ้วโป้งให้กับเขา
    “แล้วกัน คุณเพิ่งรู้จักไอ้ลานแปบเดียวเองนะ รวมหัวกันแกล้งผมแล้ว” เวนิสว่าอย่างทีเล่นทีจริง มีทีเล่น มากกว่าทีจริงจนเป็นเอกไม่เดือดร้อนอะไร ทั้งสามหัวเราะกันอย่างนั้น จนลุงทัดเดินออกมายกกาน้ำชา และแก้วเซรามิกใส่ถาดมาด้วย หนุ่มใหญ่วัยสี่สิบกว่าพูดอย่างอารมณ์ดีว่า
    “แหม เห็นคุณเป็นเอกคุณกับคุณเว คุณลานแล้ว นึกถึงเจ้าโรมเหมือนกันนะ น่าจะอยู่กันครบๆ” เขาวางแก้วเซรามิกสี่ใบลงบนโต๊ะ รินน้ำชาให้ช้าๆ
    น้ำชาร้อนจนควันฉุย มีน้ำตาล นม และ มะนาวอยู่ตรงหน้า
    “คุณเวชอบชานม คุณโรมชาเปล่าๆใส่น้ำตาล ส่วนคุณลานชอบชามะนาว ผมจำได้ดี ชินแล้วว่าถ้าเสิร์ฟชาคุณสามคน ต้องเตรียมสามอย่างนี้ไว้ คุณเอกชอบอะไรก็บอก ถ้าไม่พอผมจะไปเอามาเติมให้”
    “ผมดื่มชาใส่น้ำตาลเฉยๆครับ” เขาตอบ
    “เหมือนคุณโรม” ชายร่างใหญ่ ลากเก้าอี้ออก ค่อยๆ ทิ้งตัวลงนั่งอย่างเชื่องช้า “ต่างตรงคุณเอกพูดเก่ง ไม่เหมือนคุณโรม ถ้ารายนั้นอยู่ละก็ คุณลานจะชวนคุย คุณเวจะเสริม คุณโรมจะนั่งฟังอย่างเดียว”
    เวนิสหัวเราะ
    “จริงอย่างว่า แม่บอกว่าไอ้ลานเป็นประเภท “ช่างคุย” คุยได้ทั้งวันคุยอะไรกับใครก็ได้ ผมเป็นพวก “ช่างทำ” ทำโน่น จัดการนี่ให้ใครต่อใคร แล้วไอ้โรมเป็นพวก “ช่างคิด” นั่งคิดอะไรไปได้คนเดียว ไม่ค่อยพูดหรือทำอะไรให้ใครเข้าใจความคิดมันหรอก” พี่คนโตส่ายหัวไป ยิ้มไป “พี่น้องกันไม่เหมือนกันสักคน”
    “ผมว่าผมเหมือนพวกคุณอย่างละหน่อย บางครั้งก็ชอบอยู่คนเดียวคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อย บางครั้งก็ช่างพูด ช่างคุยได้กับทุกคน แล้วก็ทำอะไรตามใจคนอื่น ชอบเทคแคร์คนด้วยนะครับ” เป็นเอกออกความเห็น ชายหนุ่มพี่น้องสองคนนั่งคิดในใจตรงกันแต่คนพูดกลับเป็นเพียงมิลาน คนเดียว พี่คนโตนั่งนิ่งไม่กล้าพูดสิ่งที่คิด
    “มิน่าถึงอยู่กับพี่โรมได้ เขาบอกว่าคนเรา ถ้าเหมือนกันเกินไปก็จะเบื่อกันง่าย ถ้าต่างกันเกินไปก็จะทะเลาะกันอยู่กันไม่รอด แต่ทั้งเหมือนทั้งต่างอย่างนี้มั้งครับ พี่โรมถึงคบพี่เอกอยู่คนเดียวยืดยาวขนาดนี้ ถ้าเป็นผู้หญิงผมคงได้พี่สะใภ้ไปแล้ว” หนุ่มน้อยหัวเราะ ไม่ได้คิดเลยว่า ที่เหมือนและต่างนั้นไม่ได้เหมือนและต่างจากโรมแค่คนเดียว แต่ทั้งเหมือน และต่างกับเขา และพี่ชายด้วย

************************************************************** *********

ในที่สุดก็ได้เจอน้องมิลานกันนะครับ หวังว่าจะชอบเขากันนะครับเพราะผมชิบมิลานมากๆเลย
ปล. พรุ่งนี้จะเอารูป 3 หนุ่มมาให้ดูครับโผมมม
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo otto บทที่ 8 น้องมิลานแบบเต็มๆ - 11/03/11 - 19.45
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 11-03-2011 20:44:46
มิลานน่ารักดี อิอิ  ตรงสเปกเป็นเอกทุกอย่างด้วยอ่ะ ท่าจะมาแรงที่สุดละคนนี้
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo otto บทที่ 8 น้องมิลานแบบเต็มๆ - 11/03/11 - 19.45
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 11-03-2011 21:50:24
ถ้าไม่ติดว่าโรมคบเป็นเพื่อนกับเป็นเอกมาหกปีแล้วล่ะก้อออ  เชียร์เวนิสสุดตัว
คิดว่ามิลานเด็กเกินไป  ยังไม่มีเป้าหมายในชีวิตที่แน่นอน  และเพลย์บอยอย่างที่คิดจริง ๆ
เป็นเอกกับเวนิสน่าจะเป็นอะไรที่ลงตัวที่สุด  แต่ก็นะ  สงสารโรมมากถ้าจะเป็นแบบนั้น
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo otto บทที่ 8 น้องมิลานแบบเต็มๆ - 11/03/11 - 19.45
เริ่มหัวข้อโดย: ณยฎา ที่ 11-03-2011 22:06:33
รออ่านเรื่องนี้อยู่ตลอดเลย เวนิสดูกะล่อนอ่ะ สงสารโรม ไม่มีบท 555+
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo otto บทที่ 8 น้องมิลานแบบเต็มๆ - 11/03/11 - 19.45
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 11-03-2011 22:29:25
•     “แหม เห็นคุณเป็นเอกคุณกับคุณเว คุณลานแล้ว
นึกถึงเจ้าโรมเหมือนกันนะ น่าจะอยู่กันครบๆ”
เขาวางแก้วเซรามิกสี่ใบลงบนโต๊ะ รินน้ำชาให้ช้าๆ
ต๊าย นายทัดตีเสมอ เป็นญาติผู้ใหญ่ของบ้านนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
ถึงมาเรียกโรมันสกี้ของกิต.อย่างนั้น ชิส์

๑๘๐ + ๑ = ๑๘๑
ขอบคุณนะคะ คุณ Purple_Sky

หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo otto บทที่ 8 น้องมิลานแบบเต็มๆ - 11/03/11 - 19.45
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 12-03-2011 14:01:39
เพิ่งได้แวะเข้ามาอ่านเรื่องใหม่ของ คุณ Purple_Sky

ยังคงความสนุกไว้เหมือนเคยนะคะ เรื่องนี้น่าติดตามจริงๆ

เรานั่งอ่านไปเรื่อยๆ ก็มาถึงตอน 8 ซะแล้ว

เป็นเอกน่ารักมากเลยค่ะ ชอบผู้ชายบุคลิกอย่างงี้จัง ฮ่าๆ

รอตอนต่อไปนะคะ : )
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo otto บทที่ 8 น้องมิลานแบบเต็มๆ - 11/03/11 - 19.45
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 12-03-2011 19:58:11
Capitolo nove

    แล้วนี่พวกคุณจะไปขี่ม้ากันหรือเปล่าครับ” ลุงทัดถามเมื่อเห็นว่าคุยกันมานานจนแดดร่มแล้ว นาฬิกาก็บอกเวลาว่าเกือบสี่โมงเย็น หน้าหนาวฟ้ามืดเร็วเสียด้วยอากาศข้างนอกจึงดีพอๆกับหกโมงเย็นของเวลาปกติ
    “ขี่ซีฮะ อุตส่าห์มาถึงนี่” มิลานเป็นคนตอบ
    “คุณลานนะหรือขี่ม้า เด็กๆกลัวม้านักไม่ใช่หรือครับ”
    “ลุงทัด ตอนนั้นผมตัวแค่นี้ม้าตัวเท่านี้ก็ต้องกลัวซี”  หนุ่มน้อยทำท่าทำทางประกอบ “ตอนนี้สูงพอๆกะม้า ไม่กลัวละฮะ”
    “คุณเวก็คงขี่เจ้าเนโรตามปกติ แล้วคุณเอกล่ะครับ จะขี่หรือเปล่าผมได้เตรียมม้าให้” ลุงทัดถามเขา แต่คนถูกถามยังไม่ทันตอบ เวนิสก็เอ่ยแทรกขึ้นมาว่า
    “ลุงเตรียมอุปกรณ์ป้องกันให้เอกละกัน เขาไม่เคยขี่เดี๋ยวผมจะสอนเขาก่อนวันนี้ ก่อนกลับกรุงเทพคุณได้ขี่ม้าเป็นสมใจแน่”
    “วันนี้ ไม่เอาก่อนได้ไหมครับ” เป็นเอกว่า ไม่รู้จะอ้างว่าอะไรดีก็บอกว่า “ผมเพิ่งกินมาอิ่มๆ ยังไม่อยากไปทำอะไรเหนื่อยๆเดี๋ยวจะอ้วกเอา”
    “พี่เอกป๊อดหรือ” มิลานยักคิ้วขวาหนึ่งที “ไม่แน่จริงนี่นา”
    “พี่ไม่ได้กลัว แต่อิ่มจริงๆ ไว้วันหลังแล้วกัน” พอเขาว่าอย่างนั้น มิลานก็หัวเราะ แล้วก็ร้องเพลงล้อเป็นเอก เดินนำออกไปข้างนอก เวนิสหัวเราะตามไป ทิ้งเอาเจ้าของชื่อในเนื้อเพลง เดินส่ายหัวแล้วยิ้มอย่างเอ็นดูปิดขบวนไปเป็นคนสุดท้าย เห็นมิลานหันมายักคิ้วให้ ก็ยักตอบ
    “พี่เอกเขาไม่กล้า แค่เห็นม้าก็ขาสั่น ถ้าขี่คงฉี่แตกพลัน พี่เอกนั้นใจปลาซิว” หนุ่มน้อยร้องซ้ำอีกรอบก่อนจะวิ่งเข้าไปในคอกม้า มีพี่ชาย และลุงคนสนิทตามเข้าไป เป็นเอกยืนเกาะคอกม้ารออยู่ข้างนอกไม่ถึงสองชั่วโมงที่อยู่กับหนุ่มน้อย ทำไมเขาถึงรู้สึกว่า สนิทกันมานานมากแล้วก็ไม่รู้
    
    เวนิส เหวี่ยงตัวขึ้นขี่เจ้าเนโรอย่างคล่องแคล่ว ขนของเจ้าม้าสีดำสนิทเข้ากันกับสีผมของชายหนุ่มผู้สง่างามน่าเกรงขาม ขณะเดียวกันกับที่มิลานปีนขึ้นขี่ม้าสีน้ำตาลอ่อนอีกตัว ที่ชื่อว่าโอโร หนุ่มน้อยเสยผมขึ้นก่อนจะควบม้าตัวนั้นเดินช้าๆอย่างสง่าเข้ามาหาเป็นเอก
    “พี่เอกไม่ขี่จริงๆหรือ” เขาถามจากบนตัวม้า เป็นเอกก็ตอบว่าเหนื่อยจริงๆ ขอเดินถ่ายรูปแถวนี้ก็พอ “ถ้างั้นผมฝากบีบีนะฮะ”
    มิลานยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้เขา ก่อนจะควบม้าวิ่งออกไปจากตรงนั้นพักเดียวก็ตรงกลับมา
    “ร้อนฮะ ฝากเสื้อด้วยได้ไหม” หนุ่มน้อยถอดเสื้อออก เผยให้เห็นหุ่นสวย มีกล้ามท้องเล็กน้อยดูเซ็กซี่ ไรขนจางๆ เป็นทางจากสะดือหายไปในกางเกงเอวต่ำ หน้าอกมีกล้ามแน่นไปหมดขาวสะอาด เนียนพอๆกับใบหน้า มิลานโยนเสื้อกล้ามสีขาวเปียกเหงื่อตัวนั้นลงมาให้เป็นเอก ที่ยืนอยู่ริมคอกม้า “โทษฮะพี่เอก รับนะฮะ”
    เสื้อกล้ามอยู่ในมือของเป็นเอกมีกลิ่นน้ำหอมหวานๆ ติดอยู่โชยขึ้นมาตามลมติดจมูกชายหนุ่ม มิลานโบกมือก่อนจะบอกว่า
    “ไปนะฮะ” ทันทีที่ควบม้าจากไปก็เห็นว่าที่ด้านหลังบริเวณใกล้กับก้นกบเป็นรอยสักรูปตัวเอ็ม มีลวดลายคล้ายสามเหลี่ยมอยู่รอบนอก ชี้หัวสามเหลี่ยมนั้นลงไปใต้กางเกงยีนส์เอวต่ำ ราวจะเชิญชวนให้เป็นเอกอยากรู้เหลือเกินว่า ต่ำลงไปจากสามเหลี่ยมนั้น มีอะไรที่น่าดูกว่านั้นซ่อนอยู่หรือไม่
     ม้าสีดำ และน้ำตาลวิ่งแข่งกันทะยานไปในทุ่งกว้าง ด้วยท่าทางสง่างามอย่างกับนักแข่งม้าที่เป็นเอกเคยเห็นบ้างในโทรทัศน์ ทำให้รู้ว่าสองหนุ่มตรงหน้านี่ชำนาญในการบังคับมันเพียงใด
    เนโรก้าวสั้นๆ แต่รวดเร็ว ดูสง่างามขนของมันไหวน้อยๆ ยามที่เวนิสบังคับให้เลี้ยวไปทางโน้นทางนี้  ต่างจากเจ้าโอโร ที่ก้าวยาวๆ พุ่งไปข้างหน้าอย่างปราดเปรียวพอๆกับหนุ่มน้อยที่นั่งอยู่บนหลังของมัน ขนสีน้ำตาลทองจางๆ ปลิวไสวไปกับสายลม พอๆกับผมของมิลาน เป็นเอก ยกกล้องขึ้นถ่ายภาพสองหนุ่มเก็บไว้อย่างเพลิดเพลิน แสงแดดยามนั้นเป็นสีทองอร่ามเมื่อใกล้จะพ้นเหลี่ยมเขา ทำให้ภาพสองหนุ่มบนหลังม้าดูงดงามราวกับ เจ้าเผ่าอินเดียนแดง ควบม้าทะยานไปยังหมู่บ้านของตน
     สักพักรู้สึกว่ามีใครเดินมาข้างหลัง เป็นเอกก็หันไป พบว่าเป็นลุงทัด
    “คุณเว กับคุณลาน ช่างต่างกันนักคุณว่าไหม” ชายคนนั้นว่า
    “ครับ” เป็นเอกตอบเบาๆ “ถ้าโรมอยู่ด้วย ก็คงยิ่งต่าง ฝ่ายนั้นคงไม่ขึ้นไปอยู่บนหลังม้าอย่างนั้นหรอกว่าไหมครับ คงยืนอยู่ตรงนี้เหมือนกับผม”
    “ใช่” เขายิ้ม “คงยืนวาดภาพพี่กับน้อง คล้ายกับที่คุณทำอยู่”
    เป็นเอกพยักหน้า จินตนาการตามว่า หากลุงทัดถามว่า จะไปขี่ม้าหรือเปล่า โรมคงเบ้ปากแล้วพูดว่า
   “ขี่ทำไม เดี๋ยวตกลงมาแข้งขาหักผมไม่เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงกับสัตว์หน้าขนที่ไว้ใจไม่ได้เป็นอันขาด ขอยืนดูอยู่ตรงนี้แล้วกัน”
    โรมดูขวางโลกอย่างนี้เสมอ เขาชอบอยู่นิ่งๆ ไม่เหมือนเวนิสที่ต้องทำโน่นทำนี่ตลอดเวลา เงียบๆ ต่างจากมิลานที่ชอบพูดชอบคุย อย่างเดียวที่เขาชอบคือศิลปะ เขาอยู่กับมันได้ทั้งวัน ตลอดเวลาชนิดที่ว่าหากเป็นคนอื่นคงจะเบื่อทำให้โรมไม่ค่อยมีเพื่อน พี่น้องสามคนนี้ไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย
    “ผมเป็นหมันมีลูกไม่ได้ แต่ก็ยังเคยคิดนะว่า ถ้ามีลูกผมจะอยากมีลูกแบบคุณคนไหน” เขาว่าเบาๆ “ไม่เคยตอบได้เลย ทั้งสามคนต่างกันมากมีข้อดี ข้อเสียกันคนละแบบ จนไม่รู้ว่าแบบไหนดีกว่ากัน”
    ลุงทัดเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะบอกว่า
    “แต่ถ้าเลือกจริงๆ คงเลือกคุณเว เขาช่างเอาใจ สุภาพอ่อนน้อม เก่งทีเดียวเรื่องทำให้คนอื่นมีความสุขเนี่ย ถ้าคุณชอบเที่ยวเขาจะพาคุณเที่ยว ถ้าคุณชอบอยู่บ้านเขาจะอยู่กับคุณ เสียอย่างเดียวก็ตรงที่ตามใจคนอื่นเสียทุกเรื่องจนกลายเป็นน่าเบื่อเนี่ยแหละ พูดไปแล้วนิสัยอย่างนี่ละที่ผู้หญิงชอบ” เขาหัวเราะ “ผู้หญิงชอบคนตามใจ คิดว่าจะได้แต่งงานก่อนใครเขา ได้ข่าวว่าไปอยู่ที่อิตาลีก็มีแฟนเหมือนกัน คิดว่าจะพามาแต่งที่ไทย ไม่ก็อยู่กินที่โน่น ไม่รู้ทำไมกลับมาตัวคนเดียวอย่างนี้”
    “คุณเวเล่าว่า เลิกกับแฟนแล้วนะครับ” เป็นเอกว่า
    “เสียดาย” ลุงทัดออกความเห็น “เสียดายแทนผู้หญิงคุณว่าไหม คุณเว เขาดีที่หนึ่งอย่างนี้ไม่รู้ทำไมผู้หญิงถึงปล่อยให้หลุดมือ”
    “ผมว่า คงเพราะดีเกินไปหรือเปล่าครับ อย่างในนิยาย” เป็นเอกพูดติดตลก ทำให้ชายร่างใหญ่ข้างๆพลอยหัวเราะไปด้วย
    “นั่นซี ต่างจากคุณลานนะ แม่เขาเล่าให้ผมฟังว่ามีแต่คนมาติดทั้งที่เหลาะแหละไม่เอาไหน เอาแต่ใจแล้วก็พูดมากน่ารำคาญ” ลุงทัดพูดไปหัวเราะไป “โลกนี้ก็ตลกนะคุณ แล้วคุณโรมล่ะ มีใครมาติดพันด้วยหรือเปล่า”
    เป็นเอกส่ายหน้าช้าๆ
    “ไม่มีนะครับ ผมคบมันมา 6 ปีไม่เคยเห็นมีแฟนสักคน”
    “น่ากลัวน้องเล็กจะแต่งงานก่อนเพื่อนเสียแล้ว” ลุงทัดหัวเราะ “คุณเวอาจต้องรอหน่อยแต่คงมีผู้หญิงดีๆปลงใจแต่งงานด้วยสักวัน เห็นว่าจะมีคุณโรมละมังครับที่จะไม่ได้แต่งงาน”
    “นั่นซีครับ” เป็นเอกยิ้ม
    “คุณเอกช่วยๆ คุยไว้หน่อยก็ดีนะครับ” เขาว่าเบาๆ “คุณดาวเขาหนักใจ ลูกสามคนยังไม่มีใครเป็นฝั่งเป็นฝา แต่ตัวเองแต่งเข้าแล้วสอง”
    ชายหนุ่มพยักหน้า
    “พูดถึงเรื่องแต่งงานนี่ คุณโรมเคยพูดอะไรไหมครับคุณเอก”
    เป็นเอกรู้ดีว่า ประกายพรึกคงวานให้คนสนิทมาถามไถ่ สืบเอากระมังว่าลูกชายทั้งสามคนของหล่อนยินดีกับเรื่องนี้มากน้อยเพียงใด
    “ไม่ทราบซีครับ” เขาว่า “โรมมันดูไม่ค่อยพอใจก็จริง แต่ก็คงเห็นว่าเป็นความสุขของแม่ ผมว่าโรมไม่น่าจะขัดใจแม่ครับ”
    ลุงทัดหันหลังพิงคอกม้า มองตรงไปข้างหน้าเห็นทะเลสาบโคโมจำลอง ส่องแสงวิบวับสีทองย้อมด้วยอาทิตย์ แล้วก็พูดด้วยเสียงหนักใจ
    “ผมรู้จักคุณดาว กับคุณคาร์โลมาก่อนมีลูกเสียอีก” ชื่อหลังนี้เป็นเอกเข้าใจว่าคือพ่อของโรม “เขารักกันดี แต่งงานกันแล้วมีลูกด้วยกัน แล้วก็ยังจะมาขี่ม้าที่นี่บ่อยๆ พอคุณดาวหย่ากับคาร์โลก็ตกใจไม่คิดว่าจะหย่าทั้งที่อยู่กันมาได้สิบกว่าปี ยิ่งคุณดาวมาพบกับคุณเมฆา ที่นี่ และตัดสินใจจะแต่งงานด้วยแล้ว ผมยิ่งหนักใจ สงสารคุณๆเขา”
    เป็นเอกไม่ออกความเห็นเพราะคิดว่าเขาเป็นคนนอกไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้เลย ลุงทัดเห็นว่าชายหนุ่มตั้งใจฟังดี ก็เล่าต่อไป
    “แต่ผมไม่เคยเห็นคุณดาวมีความสุขเท่าตอนที่คบกับคุณเมฆเลยนะคุณเอก คุณเมฆเขาช่างเอาใจ ไม่ค่อยเหมือนคาร์โล รายนั้นต่อให้รักมากก็จริงแต่ไม่ค่อยแสดงออก แล้วคุณก็น่าจะพอรู้ว่าผู้หญิงน่ะ ชอบคนเอาใจ ชอบคนแสดงออก คุณดาวเธอก็เลยรักคุณเมฆมาก”
    “แล้วคุณเมฆาเขารักคุณประกายพรึกจริงหรือครับ”
    “ถ้าคุณคิดว่าเขาจะมาหลอกคุณดาวละก็ ไม่เลยครับคุณเอก คุณเมฆาไม่เคยได้เงินจากคุณดาวเลยสักสตางค์แดงเดียว” เขาว่าอย่างนั้นแล้วก็ไม่มีโอกาสได้พูดต่อ เมื่อหนุ่มน้อยผมสีฟาง ควบม้าเข้ามาถึงตรงนั้นแล้ว
    “พี่เอก พี่เวชวนเข้าป่า ไปกันไหมฮะ” เขาว่าเสียงนุ่มเล็กอย่างหนุ่มน้อย เป็นเอกเห็นเวนิสตามมาอยู่ข้างๆ น้องชาย พูดด้วยเสียงขรึมตามเดิมว่า
    “ต้นไม้บางต้นกำลังผลัดใบสวยเชียว เผื่อคุณอยากถ่ายรูป”
    “ไปซีครับ” เขาว่า “เดี๋ยวผมเดินตามไป”
    “ได้ยังไง ฟ้ามืดพอดี...” เวนิสกำลังจะพูดต่อแต่พูดไม่ทัน มิลานแย่งพูดไปก่อนแล้วว่า
    “ขี่ม้าไปดีกว่า มาผมให้ซ้อน” หนุ่มน้อยบนหลังม้ายิ้มให้อย่างไม่คิดอะไร แต่หนุ่มที่ถูกชวนซี คิดไปไกลเสียแล้ว ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากพยักหน้าเพราะกลัวว่าเสียงจะสั่นด้วยความตื่นเต้นจนหนุ่มน้อยรู้ทันว่าเขาเริ่มหวั่นไหวเสียแล้ว เป็นเอกไม่ใช่พระอิฐ พระปูนมีหนุ่มหุ่นดีอย่างนี้มาอยู่ต่อหน้า เป็นใครไม่หวั่นไหวก็บ้าแล้ว “มาฮะ แขวนเสื้อไว้ที่คอกก่อน แล้วปีนขึ้นมาเล้ย”
    หนุ่มน้อยยื่นมือให้เป็นเอกจับไว้มั่นก่อนที่ชายหนุ่มจะเหยียบที่วางขาโหนตัวขึ้นไป เวนิสมองว่าเรียบร้อยดีแล้วก็ควบม้าออกไปก่อน มิลานจับบังเหียนบังคับให้โอโรเดินออกไปจากตรงนั้นช้าๆ เป็นเอกนั่งอยู่ข้างหลัง ห่างจากมิลานเกือบคืบตาไม่ได้มองทิวทัศน์ที่แสนจะสวยงามของป่าไม้ผลัดใบ ได้แต่จ้องรอยสักสามเหลี่ยมนั้นไหวน้อยๆตามแรงกระเทือนจากการเดินของม้า เหงื่อผุดขึ้นตามไรผมอย่างห้ามไม่ได้
     “พี่เอกเขยิบมา นั่งเสียห่างเลย” ชายหนุ่มทำตามที่หนุ่มน้อยว่า ตัวเกือบจะชิดเข้ากับแผ่นหลังของหนุ่มน้อย อะไรต่อมิอะไรเกือบจะแนบกันเป็นแผ่นเดียว สักพักพอหนุ่มน้อยเริ่มจะควบม้าเร็วขึ้นไปตามเนินเขาที่ชันขึ้นเรื่อยๆ เขาก็จับมือเป็นเอกมากอดหลวมๆไว้ที่เอว “พี่เอกกอดผมไว้ จะไปเร็วแล้วเดี๋ยวตก”
    ชายหนุ่มทำอะไรไม่ได้นอกจากกอดหนุ่มน้อยเอาไว้แน่นเพราะจู่ๆ เจ้าโอโรก็วิ่งเร็วขึ้น เร็วขึ้นเรื่อยๆ “เกาะแน่นๆ ฮะผมจะเร่งสปีดแล้ว”
    เป็นเอกกระเถิบตัวเข้าไปชิดจนได้ แรงกระเทือนขึ้นลงเป็นจังหวะทำอารมณ์ของเขากระเจิงไปไกล ด้านหลังของมิลานเคลื่อนตามจังหวะเสียดสีกับส่วนหน้าของเขาอย่างช่วยไม่ได้ มือที่กอดไว้หลวมๆแต่แรก กระชับแน่นเข้า กลิ่นน้ำหอมที่ซอกคอนั้น หวานไม่ต่างจากคาราเมลกรุ่นๆที่เพิ่งยกลงจากไฟ
    “กลัวหรือ” หนุ่มน้อยหันมา ทำให้ใบหน้าใกล้กับเป็นเอกเพียงคืบ เห็นหนุ่มที่อยู่ข้างหลังพยักหน้าก็หัวเราะ แล้วก็เร่งม้าให้เร็วขึ้นไปอีกกระทั่งตามเวนิสทัน หนุ่มน้อยจึงลดความเร็วลงเกือบจะเหมือนตอนเริ่มออกเดิน เป็นเอกจึงคลายอ้อมกอดออกจากน้องชายของเพื่อนเขาอย่างรวดเร็ว
    พอสติกลับมาเขาจึงเห็นบรรยากาศรอบๆตัวว่าสวยเพียงใด ต้นไม้ตรงนั้นเป็นต้นอะไร เป็นเอกบอกไม่ถูก แต่ใบของมันเปลี่ยนเป็นสีเหลืองบ้าง น้ำตาลบ้าง หล่นลงแทบจะเกลื่อนพื้นเห็นเป็นพรมสีทองอร่าม อยู่ตรงนั้น
    “สวยไหม” เวนิสเป็นคนถาม เป็นเอกก็พยักหน้าไม่กล้าพูดอะไร กลัวว่าเสียงจะสั่นให้สองพี่น้องได้ยิน “ลงเดินเล่นกันเถอะ”
    ชายหนุ่มผมดำหยักศก กระโดดงจากม้า จูงเนโรเข้าไปผูกไว้กับต้นไม้ใหญ่ตรงนั้น เป็นเอกทำท่าจะกระโจนตามลงไปบ้าง แต่ก็ไม่กล้าจนแล้วจนรอด ยักแย่ยักยันจนเวนิสอดขำไม่ได้ ตรงเข้ามายื่นมือให้ชายหนุ่ม เป็นเอกย้ายขาขวามารวมอยู่ฝั่งเดียวกับขาซ้ายก่อนที่จะก้มตัวลง ให้เวนิสจับไว้ได้ถนัด แล้วจึงหย่อนตัวลงมา ล้มเซเข้าอ้อมกอดของชายหนุ่ม
    กลิ่นเหงื่อของเวนิส ต่างจากกลิ่นน้ำหอมของมิลาน
    เขารีบผละออกจากชายหนุ่มที่แก่กว่า ไม่คิดจะโอนอ่อนเข้าหาอย่างที่เป็นกับหนุ่มน้อยอีกคนที่เพิ่งกระโดดลงมาผูกม้า ชายหนุ่มรู้สึกอึดอัดจึงหันไปหามิลานที่เดินมาหยุดข้างๆ แล้วส่งยิ้มกว้างให้
    “สนุกไหม ขี่ม้ากับผม”
    “สนุก เสียวดี” เป็นเอกตอบอย่างไม่คิดอะไร เขาหวาดเสียวกลัวตกม้า ลืมคิดไปว่า เสียว มันมีอีกความหมายหนึ่งด้วย มิลาโนหัวเราะ ก่อนจะบอกว่า
    “ถ้าเสียว คราวหน้าผมให้ขี่อีก” เขาหลิ่วตา แล้วก็หัวเราะคำพูดของตัวเองอย่างนึกขึ้นได้ว่าพูดอะไรออกไป “ไม่ใช่ซี ขี่เจ้าโอโร ซ้อนท้ายผมต่างหาก”
    “คราวหน้า ถ้าเรามาที่นี่ คุณจะต้องขี่ม้าเป็นแล้วเป็นเอก” เวนิสกล่าว ก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้น น้ำเสียงเจือความหงุดหงิดเอาไว้ อย่างที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่คงเจือไว้น้อยไปหน่อยเพราะคนฟังอีกสองคนสัมผัสน้ำเสียงนั้นไม่ได้เลย
    มิลานเดินตามเป็นเอกมา ชวนคุยนู่นนี่จนเป็นเอกลืมความกระดากเมื่อสักครู่ไปหมด ตลกตรงที่มิลานคุยกับเขาราวกับเป็นเพื่อนกันมาแล้ว 6 ปีอย่างโรมทั้งที่เพิ่งรู้จักกันเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ในขณะเดียวกับที่เวนิส แม้จะรู้จักกันมา 2 วันแล้วกลับคุยกันแต่เรื่องงาน เรื่องส่วนตัว หรือเรื่องในรีสอร์ต ราวกับเพิ่งรู้จักกันไม่กี่ชั่วโมง ไม่ได้หาเรื่องมาคุยได้อย่างสนุก เล่าโน่นนี่ อย่างน่าสนใจได้อย่างมิลาน
    หนุ่มน้อยยอมรับว่าชอบเป็นเอก ที่คล้อยตามเขาไปหมด เล่าอะไรให้ฟังก็สนอกสนใจ ทั้งที่บางเรื่องไม่น่าฟังแม้แต่น้อย อย่างเรื่องที่เขาไปเดินแบบที่มิลานถ้าเล่าให้เวนิสฟังพี่ชายคงพยักหน้าอย่างขอไปที แล้วก็เท่านั้น ส่วนถ้าเล่าให้โรมละก็ฝ่ายนั้นคงบอกเสียงขุ่นๆว่า “จบหรือยัง จะไปนอนแล้ว”ในขณะที่เป็นเอกทำตาโตอย่างสนใจ พยักหน้าเป็นระยะ รวมถึงหัวเราะมีอารมณ์ร่วมด้วยไปหมด
    “คุยกับพี่เอกสนุกดี” เขายิ้มหวานมาให้ เป็นเอกก็ยิ้มตอบไปอย่างประหม่า พอเวนิสเดินลับสายตาไป มิลานก็เดินเข้าไปใกล้ หยิบใบไม้ใบหนึ่งที่เพิ่งร่วงลงมา ออกจากผมของเป็นเอก พูดด้วยเสียงนุ่มแผ่วเบาใกล้จนเป็นเอกได้กลิ่นเปปเปอร์มินต์อ่อนๆ จากริมฝีปากสีชมพูบางเฉียบนั้น
    “ใบไม้ติดผมฮะ คุณทาร์ซาน” หลิ่วตาให้ แล้วเดินจากไปในที่สุด
***********************************************************************

ผมชอบมิลานมาก 555+
หวังว่าหลายๆคนจะชอบเขานะครับ ใครคิดถึงโรมตอนหน้าโรมจะกลับมาแล้วครับ
แล้วคนที่ยังไม่ค่อยรู้จักโรมเท่าไหร่ ตอนหน้าเห็นฤทธิ์หนุ่มเซอร์แน่นอน
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo nove บทที่ 9ฉากขี่ม้าสุดโรแมนติก - 12/03/11 - 19.55
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 12-03-2011 20:01:52
ภาพประกอบหนุ่มๆทั้งสาม เลือกมาจากนายแบบหนุ่มๆ ที่ผมชอบครับ ค่อนข้างตรงกับที่ผมจินตนาการไว้มาก แต่จะตรงกับเพื่อนๆคิดหรือเปล่าไปดูกันครับ

(http://upload.zeedasia.com/files/eb9ndxo6brulh9cb9q0k.jpg)
เวนิส

(http://upload.zeedasia.com/files/imy75o7u62cpyg7fr9i5.jpg)
โรม

(http://upload.zeedasia.com/files/1yskel8u0qjf4qt5sg38.jpg)
มิลาน

ชอบคนไหนมากกว่ากันเอ่ยยย อิอิ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo nove บทที่ 9 + ภาพ 3 หนุ่มครับ - 12/03/11 - 19.55
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 12-03-2011 20:19:44
ให้ตายสิ  ความเป็นตัวของตัวเองของเป็นเอกถือว่าเป็นเสน่ห์ในแบบที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้
คิดว่าสามหนุ่มคงรู้สึกดี ๆ กับเป็นเอกบ้างแล้ว  แต่จะจริงจังแค่ไหนเท่านั้นเอง
ที่แน่ ๆ เป็นเอกหลงเสน่ห์หนุ่มน้อยมิลานเข้าเต็ม ๆ  ทำให้อดสงสารเวนิสไม่ได้
ถ้าเวนิสไม่อำเป็นเอกในครั้งแรกที่เจอกันเป็นเอกคงจะรู้สึกดี ๆ กับเวนิสกว่านี้
แต่ยังงัยก็คงยืนยันว่าชอบเวนิส  เสียดายโรม  ส่วนมิลานเหมาะที่จะเป็นกิ๊กมาก ๆ ค่ะ  อิ อิ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo nove บทที่ 9 + ภาพ 3 หนุ่มครับ - 12/03/11 - 19.55
เริ่มหัวข้อโดย: ณยฎา ที่ 12-03-2011 20:41:24
ขอตายคาอกพี่โรมได้มั้ย 55+ หล่อคนละแบบ แต่โรมนี่ตรงใจมาก
ดูเหมือนเมฆาจะดีกว่าที่คิด!? ลุงทัดเชียรเวออกนอกหน้าแต่เป็นเอกรู้สึกจะเอนไปทางมิลาน
บทหน้าคงมีคนมาช่วยเวนิสหึงเป็นเอกแน่ๆ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo nove บทที่ 9 + ภาพ 3 หนุ่มครับ - 12/03/11 - 19.55
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 12-03-2011 21:10:27
ชอบเวนิสกับโรมอ่ะ

แอบเห็นด้วยว่ามิลานเหมาะที่จะเป็นกิ๊ก แต่เป็นเอกรู้สึกดีกับมิลานเอามากๆเลย
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo nove บทที่ 9 + ภาพ 3 หนุ่มครับ - 12/03/11 - 19.55
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 12-03-2011 21:16:17
เวนิสเริ่มหึงแล้วล่ะซี่ มิลานน่ารักขี้เล่นแบบนี้เป็นเอกท่าจะรอดยาก ดูเหมือนจะชอบไปแล้วด้วย หุหุ รอโรมตอนหน้า คิดถึงโรม
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo nove บทที่ 9 + ภาพ 3 หนุ่มครับ - 12/03/11 - 19.55
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 12-03-2011 23:51:57
เลือกไม่ถูกจริงๆสามพี่น้อง
เสน่ล้นเหลือกันทั้งนั้น
รอโรมออกโรง

อิอิ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo nove บทที่ 9 + ภาพ 3 หนุ่มครับ - 12/03/11 - 19.55
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 13-03-2011 00:54:29
ถ้าจากลุคนี่ขอบอกว่าคุณเวนิสได้ใจไปเต็มๆเลยค่ะ >//////<
ชอบ (ส่วนตัว กำลังกรี๊ดไปด้วยพิมพ์คอมเมนท์ไปด้วย)

แต่ถ้าในเรื่อง...ก็คงต้องตามใจน้องเป็นเอกล่ะนะคะ น้องรักใครจริงพี่ก็เชียร์คนนั้นนั่นแล ฮี่ๆๆ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo nove บทที่ 9 + ภาพ 3 หนุ่มครับ - 12/03/11 - 19.55
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 13-03-2011 07:23:51
ต๊าย
apparenza - Venezia
personalità - Roma
natura - Milano
นะคะ อิอิ

๑๘๒ + ๑ = ๑๘๓
ขอบคุณนะคะ คุณ Purple_Sky

หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo nove บทที่ 9 + ภาพ 3 หนุ่มครับ - 12/03/11 - 19.55
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 13-03-2011 13:24:22
มากรี๊ดให้โรมค่ะ หล่อกว่าในจินตนาการเราอีก >//<

แต่ตอนนี้ดูท่าน้องมิลานจะได้ใจเป็นเอกไปเยอะเลยนะเนี่ย

รอโรมกลับมาค่ะ คิดถึงมากกกก ^^
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo nove บทที่ 9 + ภาพ 3 หนุ่มครับ - 12/03/11 - 19.55
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 13-03-2011 20:24:41
Capitolo dieci

     “วันนี้ทำอะไรไปบ้างสนุกหรือเปล่า” โรมถามเหมือนที่ป้าของเป็นเอกถามทุกครั้งทุกครั้งที่เขากลับบ้านตอนเย็น พอกลับมาจากเยี่ยมญาติแล้ว โรมก็มาที่รีสอร์ตของแม่ ตามหาเป็นเอก พอรู้ว่าอยู่ที่ปาร์ตี้บาร์บีคิวก็ตามมาจนพบชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวที่จัดไว้หน้าลานปราสาทโคโม ข้างๆเป็นเอกพอดี เสยผมยาวสีน้ำตาลทองที่ถูกแสงไฟย้อมเป็นสีแดงสดให้พ้นหน้า ตาคมสวยใต้คิ้วเข้มจับที่ใบหน้าของเพื่อนหนุ่มรอคำตอบจากคำถามของเขา
    “ก็เรื่อยๆ นะพาไปกินข้าวเสร็จแล้วก็ลงมาที่นี่ ดูวิวสักพักพี่ยูก็ไปขี่ม้าเล่น เวลาผ่านไปเร็วมาก หมดไปแล้วเนี่ยวันนึง” เป็นเอกว่า
    สายตากวาดมองไปรอบๆ     
    งานเลี้ยงบาร์บีคิวจัดขึ้นที่ลานหน้าปราสาทโคโมนั้นเอง พอเป็นเอกกลับบ้านไปอาบน้ำแต่งตัวมาแล้ว ก็พบว่ามีเตาย่างเนื้อหลากชนิด ตั้งอยู่กลางลาน มีซุ้มวางจานชามช้อนไว้ให้คนบริการตนเอง โต๊ะยาวสีขาวถูกนำมาไว้รอบๆ ปะปนไปกับโต๊ะกลมที่นั่งได้ไม่กี่คนแบบที่มีอยู่เดิม พนักงานหลายคนตรงนั้นแปลงโฉมชาวหนุ่มสาว ชาวอิตาเลียนมาแต่งตัวเป็นคาวบอย คาวเกิร์ลเหมือนหนังตะวันตกของอเมริกา ไฟนีออนสีแดงติดไว้รอบๆ มีซุ้มเล็กๆให้นักดนตรีเกากีต้าร์ไปร้องเพลง ภาษาอิตาเลียนคลอไปด้วยตั้งแต่พระอาทิตย์เริ่มตกดิน
    พอเห็นเพื่อนหนุ่มเงียบ เป็นเอกก็รู้ตัวว่าตัวเองยังไม่ได้ถามสารทุกข์สุขดิบเพื่อนเลยแม้แต่น้อยจึงเอ่ยถามว่า
    “แล้ววันนี้ยูเป็นไงบ้าง”
    “ไม่เป็นไงเลย” เขาว่าเซ็งๆ “ไปเป็นคนอื่นต่อหน้าคุณลุง คุณป้า ต้องทำตัวเรียบร้อย อย่างกับคุณชายบอกตรงๆลำบากมาก”
    เป็นเอกชินกับการบ่นทำนองนี้มานานจึงนั่งฟังเงียบๆอย่างเข้าอกเข้าใจ
    “เขาว่าลูกคนกลางมักจะมีปัญหา ท่าทางจะจริงละมั้ง” ชายหนุ่มผมยาวหยิบยางรัดผมขึ้นมา มัดผมยุ่งสีน้ำตาลนั้นให้เป็นหางม้าไว้ที่ท้ายทอยแล้วพูดต่อไป “พี่เวเขาเรียบร้อย เป็นผู้ใหญ่พูดจาเป็นการเป็นงานแล้วก็ชอบเอาใจ คุณลุงคุณป้าท่านก็ชอบ ส่วนเจ้าลานก็เข้าผู้ใหญ่ดีนักละ ขี้อ้อน ขี้ประจบ เขาเอ็นดูกันทั้งนั้น มีไอคนเดียวละมั้งที่ดูมีปัญหาอยู่คนเดียว เข้ากับใครเขาไม่ค่อยได้”
    โรมมองตาขวางข้ามฟากของลานนั้นไป พอมองตามเป็นเอกก็เห็นเป้าสายตาของเพื่อนหนุ่ม คุณประกายพรึกกำลังเต้นรำอยู่อย่างสนุกสนานกับเมฆาเท่านั้นเองเขาก็เข้าใจทุกอย่าง ยกมือขึ้นตบบ่าเพื่อนหนุ่มเบาๆ
    “เอาน่า เรื่องนี้ เก็บมาคิดไปเองก็ทุกข์เสียเปล่า” เขาว่า “ไอว่าที่ยูนอยอยู่เนี่ย จริงๆแล้วคงไม่ใช่ เรื่องป้าหรอก จริงไหม”
    เพื่อนหนุ่มผมยาวมองเขาหน้านิ่งก่อนจะหัวเราะลงลูกคอเบาๆ
    “อย่ารู้ทันไปเสียทุกเรื่องได้หรือเปล่า”
    “เป็นเพื่อนกันมาตั้งกี่ปี เท่านี้จะไม่รู้ได้ไง” ชายหนุ่มว่า “เรื่องนั้นหรือ”
    เป็นเอกพยักเพยิดให้เพื่อนหนุ่มมองต้นเหตุของบทสนทนานี้ เห็นโรมก้มหน้านิ่งมีแววไม่พอใจฉายชัดอยู่บนนั้นก็เข้าใจดี
    “โรมเอ๊ย ไอไม่อยากยุ่งหรอกนะ แต่เรื่องมันเป็นมาถึงขั้นนี้แล้วทำไมยูไม่ทำใจแล้วก็เห็นแก่ความสุขของแม่ แล้วยอมๆเขาไปเสีย ล่ะ”
    “เอก มันอายุ เท่าพี่เวเองนะโว้ย” โรมกัดฟันพูด เสียงที่เจือความโกรธแค้นของขังลอดออกมาได้ไม่เต็มที่นัก ทำให้ชายหนุ่มต้องทั้งตั้งใจฟัง ทั้งที่อยู่ใกล้กันนิดเดียว “เป็นยูทำใจได้หรือ แม่กำลังจะแต่งงานกับคนอายุน้อยขนาดนั้น แล้วยูต้องมาเรียกคนอายุเท่า “พี่” ว่าเป็น “พ่อ” เนี่ย ไอทำใจไม่ได้จริงๆว่ะ”
    “เอาน่า” เป็นเอกบีบต้นแขนเพื่อนหนุ่มเบาๆ เป็นเชิงปลอบ “อย่าคิดมาก หาอะไรกินกันดีกว่าไหม”
    “ไม่ล่ะ ถ้าหิวก็ไปตักไป ไอนั่งอยู่ตรงนี้”
    ขาดคำเพื่อนหนุ่ม เป็นเอกก็ย้ำอีกครั้ง เห็นว่าโรมไม่ลุกไปไหนแล้วจริงๆ ก็ลุกออกจากที่นั่งของตนเข้าไปที่เตาปิ้บาร์บีคิวเนื้อชนิดต่างๆ กำลังจะเอื้อมมือไปหยิบเนื้อไก่เสียบไม้ขึ้นมาจากเตา ก็พอดีที่ใครคนหนึ่งยื่นคีมเหล็กมาคีบมันออกเสียก่อนเขาเพียงไม่ถึงเสี้ยวนาที เงยหน้าขึ้นก็พบว่า เป็นเวนิสนั่นเอง
   “คุณไม่รู้หรือไงว่าเตามันร้อน” หนุ่มผมดำ มาในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์แบบสบายๆ เอ่ยขึ้นแกมตำหนิก่อนจะวางไก่ไม้นั้นลงที่จานที่เป็นเอกถืออยู่ในมือ “เอามือหยิบมือก็พังพอดี”
    “ผมจะหยิบตรงไม้”
    “ไม้มันก็ร้อนครับ ใช้คีมคีบเอาอย่างนี้ซี”
    “ขอบคุณจะครับที่อุตส่าห์ช่วยคีบให้ แต่จะขอบคุณมากกว่านี้ถ้างดกวนผมสักหน่อย” เป็นเอกมองเขาตาขวางก่อนจะเดินวนหาอะไรเบาๆท้องทาน เขาไม่อยากกินเนื้อสัตว์ตอนกลางคืนมากนัก “ว่าแต่คุณเอาที่คีบนั่นมาจากไหน”
    “ก็ตรงที่วางจานชามช้อนไง” เวนิสบอก “แต่คงจะหมดเสียแล้วนะ วันนี้คนเยอะมากจริงๆ คุณอยากทานอะไรล่ะ บอกผมมาก็ได้เดี๋ยวผมจะช่วยคีบให้”
    “เกรงใจน่ะครับ”
    “ไม่ต้องเกรงใจหรอก เพื่อนน้องก็เหมือนเพื่อนผมแหละ ว่ามาจะกินอะไร”
    เป็นเอกจึงจำใจ บอกเวนิสไปว่าเขาอยากกินอะไรบ้าง เดินไปชี้นิ้วไปมีเวนิสช่วยคีบข้าวโพดปิ้ง ผักปิ้งให้หลายชึ้น กระทั่งพอใจแล้วก็เดินไปราดน้ำจิ้มตามที่ต้องการ จากนั้นเวนิสจึงยืนกรานจะไปส่งที่โต๊ะให้ได้ แล้วก็เดินไปส่งจริงๆ กลายเป็นว่าเวนิสได้มาร่วมวงอยู่โต๊ะเดียวกันกับเป็นเอกและโรมด้วย
    แต่ยังไม่ทันได้กิน เวนิสก็ขอตัว ตรงไปยังซุ้มนักร้อง ที่นักร้องคนเดิมกำลังจะลงจากเก้าอี้ พอไปถึงเวนิสก็รับกีตาร์ ขึ้นไปร้องแทนชายชรา เวนิสดูสง่างามเมื่อเขาได้ทำในสิ่งที่เขารู้ดี เมื่อใดก็ตามที่เขาเล่นดนตรี เขาจะทำมันด้วยความรัก เหมือนที่โรมวาดรูป หรือตัวเขาเองถ่ายรูปเล่นนั่นแหละ ดูยังไงก็รู้ว่าเขามีความสุข
    เวนิสเหลือบตามองมาทางเขาเป็นพักๆ เหมือนต้องการจะบอกอะไรจากเนื้อเพลง แต่ในเมื่อมันเป็นภาษาอิตาเลียน เป็นเอกจึงไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไรแน่ รู้แต่ว่าทำนองมันไพเราะเหลือเกิน
    “พี่ยูร้องเพลงเพราะนะ” เป็นเอกว่า หันไปมองโรมก็พบว่าเพื่อนหนุ่มตีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้หน้าบึ้งตึงไม่รับแขกอย่างที่เป็นตอนแรก แสดงว่าอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว
    “เพราะจริงๆ” เขาว่า “บอกให้ไปเป็นนักร้องก็ไม่เอา”
    เป็นเอกหัวเราะลงลูกคอ ก็แหมถ้าเรียนจบฮาร์วาร์ดมา ใครเขาจะอยากไปเป็นนักร้องให้เสียดายความรู้เล่า
    “คุยอะไรกันฮะ หัวเราะเสียงดังเชียว”
    เจ้าของเสียงโผล่มาจากด้านหลังทิ้งตัวลงนั่ง ข้างๆเป็นเอกโดยไม่ได้บอกไม่กล่าวก่อน หนุ่มน้อยอยู่ในเสื้อยืด กางเกงขาสั้น กระนั้นคอก็บานกว้างจนเห็นแผงอกขาวเนียน ที่เบียดเข้ามาใกล้เพื่อนของพี่ชายอย่างจงใจ
    “ไม่ได้คุยอะไรจริงจังหรอก” โรมเป็นคนตอบ ดูเหมือนเขาจะสนิทกับน้องชายมากกว่าพี่ จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่คลายความแข็งกร้าวลงมานิดหนึ่ง “มาถึงนานแล้วหรือ นี่เป็นเอกเพื่อนพี่ มัณฑนากรที่จะมาช่วยจัดงานแต่ง”
    มิลานหัวเราะ
    “รู้จักกันแล้ว มาถึงที่นี่ก็บ่ายๆ เย็นๆ มาถึงก็เจอคุณเอกแล้ว ยังพาเขาไปขี่ม้าอยู่เลย” หนุ่มน้อยตอบอย่างไม่ได้คิดอะไร พอก้มลงก็เห็นไก่ย่างถ่านแบบอิตาเลียนในจานของเป็นเอก “ไก่ของใครน่ะฮะ ผมกินนะ”
    หนุ่มน้อยร้องออกมาก่อนจะคว้าไก่เข้าปากเคี้ยวอย่างอร่อยโดยไม่ได้ถามเจ้าของเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเอกกลับไม่ได้ถือสาอะไร หัวเราะให้หนุ่มน้อยอย่างเอ็นดู
    “เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้นี้บอกว่าขี่ม้าหรือ”
    “ใช่น่ะซี” มิลานตอบทั้งที่ยังมีไก่อยู่เต็มปาก
    “ยูไม่เห็นบอกไอเลยว่าขี่ด้วย มันอันตรายนะขี่เป็นหรือไง”
    เป็นเอกหัวเราะลงลูกคอเบาๆ ไม่ใส่ใจความเป็นห่วงของเพื่อนหนุ่ม
    “พี่ น้องยูขี่ ไอนั่งซ้อนไปเฉยๆ”
    “มันก็อันตรายอยู่ดีนั่นแหละ” โรมว่า “ตก ลงมาใครจะรักษาพยาบาล ที่นี่ไกลจากโรงพยาบาลมากนะ”
    เป็นเอกนิ่วหน้า กำลังจะเถียงเพื่อนหนุ่มว่าเขาไม่ใช่เด็กๆไม่ต้องมาห้ามโน่นห้ามนี่ มิลานก็ฉุดแขนเขาให้ลุกขึ้นก่อนพอดี
    “พี่เอก ลานอยากกินอีกฮะ เดินไปตักเป็นเพื่อนหน่อยซีฮะ”
    หนุ่มผมยาวกำลังจะอ้าปากพูดอะไรอีก แต่เป็นเอกก็ไม่อยากฟังต่อ จึงเดินไปกับมิลานด้วยความเต็มใจ หนุ่มน้อยคนนี้ช่างรู้วิธีหลบหลีกได้ดีจริงๆ
    “พี่โรมพูดมากอย่าไปสนใจเลย” มิลานว่า ยังไม่ปล่อยมือออกจากต้นแขนของเป็นเอก “คนเรามันต้องรู้จักทำตัวให้สนุกใช่ไหมฮะ จะให้นั่งจับเจ่าวาดรูปอยู่เหมือนเขาใครจะทน”
    เป็นเอกไม่ว่าอะไร หนุ่มนายแบบจึงพูดต่อไป
    “แต่เขาคงเป็นห่วงจริงๆมังฮะ ปกติพี่โรมไม่ค่อยจู้จี้กับใคร ถ้าคนจู้จี้โน่นคนโน้น” หนุ่มน้อยบุ้ยใบ้ไปทางซุ้มดนตรี ที่นักร้องหนุ่มลุกขึ้นโค้งรับเสียงปรบมือแล้วเดินออกมาพอดี “ตั้งแต่ไม่มีพ่อ ก็ได้พี่เวเนี่ยแหละ เป็นพ่อแทน คอยบงการชีวิตทุกคนเสร็จสรรพ ถ้าลานไม่หนีไปอยู่อิตาลีนะ ป่านนี้ถูกจับเรียนปริญญาโทเหมือนเขาแล้ว”
    เวนิสเดินเข้ามาพบเข้ากับเป็นเอก และมิลานพอดี น้องคนสุดท้องของเขาจึงพูดอะไรต่อไปไม่ได้ ได้แต่ยืนยิ้มอยู่เฉยๆ แทน
    “ลุกมาอีกทำไม ตักไปก็เยอะแล้ว เดี๋ยวคุณแม่จะไปคุยเรื่องคอนเสปต์งาน“ พี่คนโตของ บ้านตรีโลกนาถทัก
    “ผมมาเป็นเพื่อนมิลาน”
    “สนิทกันเร็วนะ” เขาว่า แล้วก็เดินจากไปหาโรมเสียเฉยๆอย่างนั้น ทิ้งให้สองหนุ่มมองหน้ากันงงๆ ว่าเวนิสเป็นอะไรไป มิลานยักไหล่ให้ เบ้ปากทำนองว่าไม่อยากสนใจอีกต่อไป แล้วก็เดินไปยังเตาปิ้งเนื้อชนิดต่างๆ
    “Bistecca alla Florentina” มิลานว่า ชี้เนื้อชิ้นใหญ่ที่พนักงานสาวเพิ่งจะคืบขึ้นมาจากเตา ควันยังฉุยส่งกลิ่นเครื่องเทศหอมไปทั่วบริเวณงาน “เนื้อย่างแบบฟลอเรนซ์ หมักน้ำมะนาว เกลือ พริกไทย แล้วก็สมุนไพรของอิตาลี เวลากินต้องเอามาหั่นก่อนค่อยราดน้ำมันมะกอกแล้วก็บีบมะนาวตามลงไปอีกอย่างนี้ฮะ”
    หนุ่มน้อยชี้ให้เป็นเอกดู พนักงานสาวค่อยๆหั่นเนื้อชิ้นใหญ่นั้นเป็นแผ่นบางๆ ก่อนจะเทน้ำมันมะกอกลงคลุกเคล้า บีบมะนาวใส่ตามลงไป แล้วคลุกอีกทีให้เข้าเนื้อจากนั้นก็ตักใส่จานให้บรรดาแขกที่มายืนต่อแถว ไม่นานมิลานก็ได้เนื้อย่างฟลอเรนติเนที่เขาต้องการโดยมีเป็นเอกเป็นคนอาสาถือจานให้ ทั้งสองแวะไปหยิบน้ำดื่มก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะ
    พอมาถึงโต๊ะก็พบว่า ประกายพรึกและเมฆานั่งรอทั้งคู่อยู่แล้ว
    มิลานยิ้ม ตรงเข้าไปกอดแม่เหมือนเด็กน้อยอ้อนผู้ปกครอง ส่วนเป็นเอกก็เดินกลับมาจะนั่งข้างโรม แต่บังเอิญว่าเวนิสนั่งอยู่ข้างโรมอยู่แล้ว เขาจึงต้องนั่งถัดไปอีกตัวหนึ่ง อย่างช่วยไม่ได้
    “ตาลาน ผอมลงไปหรือเปล่าลูก แล้วนี่ไปตัดผมทรงอะไรมา”
    มิลาโนหัวเราะ
    “ช่างที่โน่นตัดให้ฮะ จะห้ามก็ไม่ได้เพราะเขาจ่ายเงินเรา”
    ประกายพรึกมองลูกชายตาขวาง แต่ก็ทำได้เท่านั้น หล่อนตามใจลูกคนเล็กที่สุด ใครๆก็รู้ดี ถ้าเป็นโรมทำอะไรขัดใจละก็หล่อนจะบ่นไม่หยุดจนกว่าชายหนุ่มจะยอมทำตาม เป็นเอกได้ยินคำว่าผม ก็กระหวัดตาไปมองโรม เห็นว่ามัดผมเรียบร้อยก็รู้ดีว่า ประกายพรึกคงจะ “บ่นไม่หยุด” ไปทีหนึ่งแล้วตอนที่เขาไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะนี้ด้วยกระมัง
    “คุณเมฆา สวัสดีฮะ” มิลานว่าเท่านั้น ไม่ไหว้ ไม่เชคแฮนด์แล้วก็เดินมานั่งอยู่อีกข้างหนึ่งของเป็นเอก กลายเป็นว่า สี่หนุ่มมานั่งเบียดกันอยู่ซีกหนึ่งของโต๊ะ ในขณะที่ประกายพรึกและ เมฆานั่งอยู่อีกฝั่งเพียงสองคนสบายๆ
    “ตาลาน มานั่งข้างแม่มา ไปเบียดหนูเอกเขา” มิลานกำลังจะเถียง แต่เถียงไม่ทัน พอดีลุงทัดโผล่มาจากฝั่งกระท่อมเขา และประกายพรึกก็สังเกตเห็นเสียก่อน “เอ้านั่นลุงทัดนี่... พี่ทัด!”
    หล่อนโบกไม้โบกมือเรียก
    “ทานอะไรหรือยังมานั่งกับเราไหมคะ”
    ลุงทัดยิ้มร่า เดินตรงเข้ามาหา
    “แหมว่าที่เจ้าบ่าว เจ้าสาวนั่งกับลูกๆน่ารักเชียวนะ” ไม่รู้คำว่า “บ่าว สาว” หรือ “ลูกๆ” กันแน่ที่บาดใจกว่ากัน แต่พอลุงทัดพูดจบประโยคนั้น ลูกชายทั้งสามของประกายพรึกก็หน้าเจื่อนกันทุกคน ไม่ซี เวนิสกับมิลานต่างหากที่หน้าเจื่อน แต่โรม มีแววตาเคียดแค้นฉายชัดอยู่บนหน้า จ้องอยู่ที่เมฆาอย่างก้าวร้าว เปิดเผยว่าไม่ชอบขี้หน้าพ่อเลี้ยงอย่างเห็นกันได้    
    “พี่ทัด” ประกายพรึกไม่รู้เรื่องรู้ราว เดินไปโอบเอวคนสนิทพามาที่โต๊ะทำท่าว่าจะสนทนากันอีกนาน “มาค่ะมานั่งด้วยกัน”
    คนสนิทเจ้าของคอกม้านั่งลงข้างๆประกายพรึก
    “ทานอะไรดีคะ เดี๋ยวดาวให้เด็กไปตักมาให้ดีกว่า... น้องๆช่วยตักอาหารอย่างละนิดละหน่อยมาให้พี่ด้วยนะ เดี๋ยวนี้เลย” หล่อนกวักมือเรียกสาวเสิร์ฟคนหนึ่งให้ตรงเข้ามาหาพูดจบก็หันมาคุยกับทัดต่อ “... ไม่รู้พี่ทัดเจอเด็กคนนี้หรือยังนะคะ นี่ เป็นเอก เพื่อนสนิทตาโรมมาดูสถานที่ให้เราค่ะเขาจะเป็นคนตกแต่งงาน”
    ทัดมองเด็กหนุ่มทั้งสี่ที่นั่งฝั่งตรงข้ามแล้วก็อดยิ้มไม่ได้เอ่ยเบาๆว่า “เจอกันแล้วล่ะ เหมือนคุณมีลูกชายสี่คนเลยนะครับคุณดาว รูปหล่อทุกคนเลย”
    “ค่ะพี่ทัด ว่าจะขอมาเป็นลูกชายจริงๆไม่รู้เขาจะยอมหรือเปล่า...”
    ลุงทัดยิ้มน้อยๆ แล้วก็บอกว่า
    “ลูกชายโตเป็นหนุ่มหมดแล้ว สบายแล้วซีครับคุณ”
    “ค่ะ” หล่อนพยักหน้ารับ “เหลือแต่สามีล่ะค่ะ ได้แต่งกับเมฆเมื่อไหร่ดาวก็จะยิ่งสบาย ทั้งกายและใจมากขึ้นทีเดียวล่ะค่ะ”
    โรมมองแม่ตาขวางแต่ประกายพรึกไม่เห็นหล่อนจึงพูดต่อไป “พูดเรื่องงานแต่ง หนูเอกว่ายังไงจ๊ะ จะจัดที่ไหนยังไง”
   “ไหนคุณแม่ว่าจะจัดในห้องอาหารที่ กรัน ปาลัซโซ่ ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ” ลูกคนกลางพูดเสียงเย็นชาอย่างไม่คิดปกปิด เสียงเข้มขึ้นเรื่อยๆ หน้ายังจ้องที่พ่อเลี้ยงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เป็นเอกเห็นเวนิส บีบมือน้องชายเบาๆ อย่างเตือนสติไม่ให้พูดอะไรแรงๆออกไป
    “ใช่ซี แต่แม่ยังไม่รู้ว่าธีมงานจะจัดแบบไหน”
    “ก็มีเวที มีเค้กแล้วก็โต๊ะ คุณแม่จะต้องการอะไรอีกครับ”
    “เอ๊ะ ตาโรม นี่แกจะมาทำเสียงรำคาญใส่แม่ได้ไง แม่ยังไม่รู้เลยว่าจะจัดงานยังไง ใช้สีอะไรยังไงก็จะมาถามหนูเอก แล้วแกจะมาหงุดหงิดอะไร สงสัยวันนี้แกจะเหนื่อยนะ งอแงใหญ่แล้ว”
    “ครับผมคงเหนื่อยมาก คิดว่าจะได้มาสังสรรค์แบบสบายใจกับเพื่อน กับพี่น้องแล้วก็แม่ ถ้ารู้ว่าคุณแม่จะมาคุยกันเรื่องงานแต่งล่ะก็ผมคงไม่มาแล้ว ถ้ายังจะคุยกันต่ออีก ผมคงต้องขอตัว!”

***********************************************************************

555+ โรมเหวี่ยงขั้นพื้นฐานครับ หลังจากนี้ไปจะเหวี่ยงหนักขึ้นๆ ใครชอบเขาไปแล้วระวังจะกลัวนะครับ
ต่อจากนี้ไป มิลานจะเริ่มรุกหนักขึ้นเรื่อยๆ มาลุ้นกับดีกว่าว่าเวนิสจะทำอย่างไรรร

พรุ่งนี้ ใครที่รอคุณชายอยู่อย่าลืมแวะไปหาเค้านะคร้าบ
คุณชายจะมีโมเม้นต์อยู่กับนทีสองคนแล้ว จะได้เห็นความน่ารักของคุณชายและหวังว่าจะชอบนะครับ

บายคร้าบบ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo dieci บทที่ 10 โรมเหวี่ยง! - 13/03/11 - 20.20
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 13-03-2011 21:00:41
โอ้  โรมเหวี่ยงแล้ว ยิ่งอยากรู้ว่าเหวี่ยงอีกมากๆจะเป็นไง มิลานน่ารักได้อีกอิอิ :-[
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo dieci บทที่ 10 โรมเหวี่ยง! - 13/03/11 - 20.20
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 13-03-2011 21:24:01
555 เหวี่ยงจริงนะพ่อหนุ่ม

ป้าดูรูป3คนแล้ว เอาเป็นว่า อีป้าแก่ ๆ เหมาหมดเลยได้เปล่า 555
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo dieci บทที่ 10 โรมเหวี่ยง! - 13/03/11 - 20.20
เริ่มหัวข้อโดย: ณยฎา ที่ 13-03-2011 22:43:36
มิลานรุกเร็วนะ เป็นเอกก็เป็นใจซะด้วย น้องจะทำอะไรก็ดูน่ารักไปหมด สงสารเว งานหนักแน่
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo dieci บทที่ 10 โรมเหวี่ยง! - 13/03/11 - 20.20
เริ่มหัวข้อโดย: nuewanda ที่ 13-03-2011 22:50:43
ดูรูปแล้ว จิ้มโรมอย่างไม่ลังเล
แต่ก็ตัดพี่เว กะ น้องลานไม่ขาด คิก คิก
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo dieci บทที่ 10 โรมเหวี่ยง! - 13/03/11 - 20.20
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 13-03-2011 23:24:49
เวนิสหึงโดยไม่รู้ตัวเข้าให้แล้ว  ส่วนเป็นเอกมีใจให้มิลานมากมาย ณ เวลานี้
สงสารเวนิส  ผู้ชายเคร่งขรึม จริงจัง  แต่กลับไม่ค่อยมีเสน่ห์ดึงดูดใจเท่าหนุ่มน้อยขี้เล่นมิลาน
งานนี้เวนิสจะต้องทำยังงัยถึงจะดึงความสนใจจากเป็นเอกได้บ้างนะ
เอ้า  ร้องเพลงจีบก็แล้วกัน  เวนิสมีเสน่ห์ก็ตอนร้องเพลง เล่นดนตรีนี่แหละ
ส่วนโรมดูยากแฮะ  ยังอารมณ์เสียเรื่องแม่อยู่ซะงั้น  อาจไม่สังเกตอะไร
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo dieci บทที่ 10 โรมเหวี่ยง! - 13/03/11 - 20.20
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 14-03-2011 16:04:41
น้องมิลานดูท่าจะมาวินนะจ๊ะช่วงนี้

จะรอดูว่าคุณพี่เวนิสเค้าจะทำยังไง หึหึ

ด้วยส่วนตัวชอบให้โรมเหวี่ยงจัง ฮ่าๆ รอตอนต่อไปจ้า ^^
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo dieci บทที่ 10 โรมเหวี่ยง! - 13/03/11 - 20.20
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 16-03-2011 16:23:22
เข้ามาดันรอสามหนุ่ม  :z2:
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo dieci บทที่ 10 โรมเหวี่ยง! - 13/03/11 - 20.20
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 17-03-2011 20:22:56
โอ้ววววว

โรมขึ้นแล้ว เหอๆ
เรื่องแบบนี้ก็ว่ายากเนอะ แม่จะแต่งงานกะคนคราวลูกนี่ เป็นใครก็คงบาดใจ เฮ้ออออ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo dieci บทที่ 10 โรมเหวี่ยง! - 13/03/11 - 20.20
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 18-03-2011 20:37:28
เข้ามารอ :z2:
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo dieci บทที่ 10 โรมเหวี่ยง! - 13/03/11 - 20.20
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 19-03-2011 21:58:03
Capitolo undici

    ขาดคำหนุ่มผมยาวก็ลุกขึ้นจากโต๊ะ เดินออกไปจากตรงนั้นอย่างไม่เกรงใจใคร เป็นเอกเห็นเพื่อนหนุ่มทำไม่เหมาะสมก็ลุกขึ้นบ้าง คิดจะเดินออกไปตามแต่ก็ถูกมิลานดึงแขนรั้งเอาไว้เสียก่อน
    “พี่เอกไม่ต้องไปตามหรอกฮะ พี่โรมน่ะถ้าไม่พอใจละก็เป็นอย่างนี้แหละ ถ้าไม่ปล่อยไว้คนเดียวสักพักจะยิ่งอาละวาดนะฮะ”
    จริงของมิลานอันที่จริงเป็นเอกก็รู้จักนิสัยเพื่อนหนุ่มดีพอ เขาเป็นอย่างที่น้องชายว่า ถ้าหากเป็นเอกไปตาม ชายหนุ่มก็คงจะไม่พูดกับเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็คงได้แต่เงียบแล้วก็หายไปเก็บตัวอยู่แต่ในห้องคนเดียวเฉยๆ
    “ถูกของตาลาน โรมนี่ไม่ไหวแล้ว ต้องให้แม่ดุอย่างเป็นเด็กๆ บ้างถึงจะรู้สึก” ประกายพรึกทำสีหน้ากระฟัดกระเฟียด เหมือนงอนลูกชายทั้งๆที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น เหมือนค้อนอากาศอย่างไรไม่รู้
    “ดาวอย่าว่าลูกเลย เขาคงไม่ชอบผมมาก ผมไม่น่าลงมากับดาว ถ้ารออยู่ข้างบนเสีย โรมคงไม่หงุดหงิดอย่างนี้หรอก” เมฆาว่า สีหน้าบ่งบอกความเศร้าอย่างน่าเห็นใจ “ไม่แปลกหรอกครับ ถ้าเขาจะไม่ยอมรับผม เขาคงลืมพ่อเขาไม่ได้มั้งครับ คงต้องให้เวลาเขาทำใจนานกว่านี้หน่อย”
    “ไม่เห็นต้องทำใจหรืออะไรเลยนี่คะเมฆ” ประกายพรึกว่า “เรารักกันจะแต่งงานกันลูกก็ต้องรับให้ได้อยู่แล้วค่ะ ไม่ได้ไปทำผิดคิดชั่วที่ไหนนี่คะ”
    ทัดลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นบ้าง
    “ถ้าเขายังรับไม่ได้ก็ปล่อยไปเถอะคุณดาว ผมรู้จักนิสัยคุณโรม เขาไม่ใส่ใจอะไรนานนักหรอกครับ สักพักก็ลืม แล้วจะว่าไป เขาก็ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับคุณด้วย ถ้าไม่ได้เจอกันบ่อยๆ คงไม่มีเรื่องอะไรหรอกครับ”
    ประกายพรึกถอนใจบ้าง
    “นั่นก็ปัญหาอีกอย่าง ถ้าดาวกลับไปอยู่บ้านที่ท่าพระ เมฆเขาก็ต้องไปด้วย ทีนี้ไม่รู้ว่าตาลานจะมีปัญหาหรือเปล่า”
    “ผมไม่มีปัญหาหรอกฮะ” มิลานว่า ขมวดคิ้วน้อยๆให้เห็นว่านี่มันเป็นเพียงเรื่องไม่เป็นเรื่องเท่านั้น “ผมไม่ได้ไปนอนร่วมห้องกับคุณแม่ คุณแม่จะแต่งงานไม่ใช่ผมแต่งงานผมจะเดือดร้อนไปทำไม”
    หนุ่มน้อยอาจจะประชดก็ได้ เป็นเอกตั้งข้อสังเกต แต่ก็ไม่อยากจะรู้เรื่องของบ้านนี้มากไปกว่านี้อีกแล้วก็ได้แต่นั่งเงียบๆไปเท่านั้น โชคดีที่ประกายพรึกไม่ได้คิดมากแบบเป็นเอก หรือไม่ถ้าคิดก็สะกดใจไม่ให้พูดออกมาได้
     พนักงานเสิร์ฟ นำเนื้อ และผักย่างชนิดต่างๆ มาวางให้ถึงโต๊ะ ทั้งโต๊ะจึงคุยไปกินไปอย่างเอร็ดอร่อย ทว่าบทสนทนาก็ยังซีเรียสอยู่ไม่ได้ทำให้บรรยากาศคึกครื้นขึ้นเลยแม้แต่น้อย
   “ตาเว จะอยู่ที่นี่บริหารงานรีสอร์ต หรือจะทำบริษัททัวร์ของแม่ที่โน่นล่ะลูก” หล่อนเปลี่ยนเรื่อง “แม่ว่าลูกคงไม่กลับไปอิตาลีแล้ว”
    “ไม่ครับคุณแม่ ผมตั้งใจจะอยู่ที่ไทยต่อไป” เจ้าของชื่อเอ่ยปากตอบ “ส่วนเรื่องงานผมคงเลือกบริหารงานรีสอร์ตที่นี่ดีกว่า แต่จะไปๆกลับๆ ให้ช่วยที่บริษัททัวร์ส่งลูกค้ามาเที่ยวที่นี่บ้างก็ได้ แต่ยังไงก็จะไปเยี่ยมคุณแม่ที่บ้านบ่อยๆแน่ครับไม่ต้องเป็นห่วง”
   เขาเงียบไปพักหนึ่ง
    “ผมไม่มีปัญหาเรื่อง... เรื่องคุณเมฆาอยู่แล้ว ”
    “ดีจ้ะ ไปอยู่บ้านบ้างเถอะหน้าเทศกาลก็ขึ้นมานี่ แม่คงเหงาแปลกๆ เพราะตาลานต่อให้ไม่ไปอยู่ที่ไหน ก็ตื่นตอนแม่หลับ หลับตอนแม่ตื่นอยู่แล้ว” หล่อนแกล้งมองลูกคนเล็กตาขวาง เห็นฝ่ายนั้นหัวเราะตอบก็ว่าต่อไป “แล้วตาโรมจะอยู่ที่คอนโดกับหนูเอกต่อไปอีกนานแค่ไหนไม่รู้”
    เป็นเอกก้มหน้านิ่ง ไม่ออกความเห็นใดๆ
    “หนูเอก แม่ไม่ได้ว่าอะไรนะจ๊ะ แต่ขอถามหน่อยเถอะว่า หนูคิดจะย้ายออกจากคอนโดไหมจ๊ะ แบบว่า” หล่อนเรียบเรียงคำพูดให้แรงน้อยที่สุด “ไม่อยู่กับตาโรม ให้เขากลับมาบ้านบ้างน่ะจ้ะ แม่อยากมีครอบครัวสุขสันต์นะ แบบว่า อยู่กันพร้อมหน้า ทั้งลูกๆแล้วก็เมฆ แม่คงจะมีความสุขมาก”
     ชายหนุ่มพยายามเข้าใจแม่ของเพื่อนสนิท จึงไม่คิดเล็กคิดน้อย และตอบไปให้ตรงประเด็นที่สุด
    “ผมเคยคุยกับโรมแล้วครับว่าคงอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตไม่ได้ แต่ตอนนี้ที่ทำงานเราทั้งคู่ก็ยังใกล้กับที่พัก ก็เลยไม่มีแผนว่าจะย้ายออกไปอยู่ไหนครับ”
    ประกายพรึกถอนใจก่อนจะดึงชายหนุ่มกลับเข้าประเด็นที่ตั้งใจจะมาคุยกันในวันนี้ “เอาเถอะจ้ะ หนูเอกว่าเรื่องงานแต่งเถอะ ว่าไงจะจัดอย่างไร”
    “ผมว่า น่าจะจัดกันกลางแจ้งนะครับเพราะว่าบรรยากาศที่รีสอร์ตนี่สวยมาก ถ้าไปจัดในห้องอาหารเนี่ยผมกลัวว่ามันจะเหมือนกับงานเลี้ยงแต่งงานตามโรงแรมในกรุงเทพทั่วๆไป ไม่คุ้มกับที่มาจัดที่นี่นะครับ”
    “แต่ว่าจัดกลางแจ้งนี่จะจัดที่ไหนล่ะจ๊ะ” ประกายพรึกถาม
    “อ้อ ก็ที่นี่เลยครับ” เป็นเอกว่า “ที่ลานที่โคโมนี่ คุณประกายพรึกแล้วก็คุณเมฆาจะเดินลงจากปราสาทโคโมในชุดแต่งงาน มียกพื้นเป็นเวทีตรงนั้น เวลาถ่ายภาพก็จะได้ทะเลสาบโคโมเป็นฉากหลัง แล้วก็จะมีซุ้มอาหาร เป็นบุฟเฟ่ต์หรือไม่ก็คอกเทล แต่ถ้าคุณน้าจะให้เป็นโต๊ะจีนก็ได้ครับ แต่ผมว่าไม่น่าจะเข้ากับบรรยากาศนะครับ”
    “ไอเดียดีครับ” เมฆาว่า “แต่ว่ายุงจะชุมไหมครับ อย่างตอนนี้ก็ยุงเยอะอยู่นะถ้าจัดกลางคืน"
    “ผมแนะนำให้จัดงานกลางวัน” เขาบอก “ที่ต่างประเทศก็ทำอย่างนั้นนะครับ เท่าที่ผมได้ยินมา”
    ประกายพรึกพยักหน้า หล่อนนั่งใจลอยไปสักพักก็ว่าต่อไป
   “แล้วถ้าเผื่อฝนตก”
    “หน้าหนาวฝนไม่ตกหรอกครับ แต่ถ้ามีทีท่าว่าจะตก ผมจะให้จัดเต้นท์ผ้าใบ ไว้ก็ได้ หรือไม่อย่างนั้น แขกจะหลบฝนในปราสาทก็ยังได้”
    “คุณคิดไว้รอบคอบดีนี่” เมฆายิ้ม “ท่าจะรู้งานดี”
    “ขอบคุณครับ” เขาก้มหน้ารับ แล้วก็กล่าวต่อไปว่า “นี่เป็นแบบงานที่ผมร่างไว้คร่าวๆลองดูนะครับว่าถูกใจหรือเปล่า”
    เป็นเอกหยิบกระดาษแผ่นที่เขาวาดไว้ ตอนที่นั่งอยู่กับเวนิสเมื่อตอนกลางวันออกมาจากระเป๋าเสื้อคลี่ออกแล้วก็ยื่นให้ประกายพรึก
    “น่ารักดีจริงๆจ้ะ หนูเอกดูเป็นคนมีรสนิยมมากทีเดียวนะจ๊ะ”
    “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” เขาหัวเราะอย่างเคอะเขิน มองไปทางซ้ายก็พบว่าเวนิสมองเขาอยู่ด้วยแววตาชื่นชม พอรู้ตัวว่าเป็นเอกหันมามองก็ตีหน้าเฉยแล้วก็ทำเป็นว่ามองบรรยากาศรอบๆเท่านั้น “เราจะให้แขกที่พักที่กรันปาลัซโซ่ นั่งกอนโดลามาถึงนี่ ส่วนแขกจากวิลลัจโจ ก็นั่งเรือข้ามฟากมา สำหรับแขกที่มาจากข้างนอกเราก็จะมีรถมาส่งที่ท่าน้ำตรงข้างบ้านคุณมิลานแล้วก็นั่งเรือข้ามฟากมาเช่นกันครับ”
    “จ้ะ” ประกายพรึกรับคำ
    “ผมจะตกแต่งสถานที่ให้ คิดว่าใช้สีครีม แล้วก็สีโอล์ดโรสดูน่าจะเข้ากับสีผิวของคุณน้าแล้วก็คุณเมฆา แล้วก็ถ้าคุณน้าอยากให้เป็นงานบุฟเฟ่ต์อย่างที่ผมคิดไว้ ก็จะจัดซุ้มอาหาร คล้ายๆงานบาร์บีคิววันนี้ไว้ด้วยครับ เรื่องดอกไม้แล้วก็ของตกแต่งอื่นๆ ผมจะลองคุยกับโรมว่าจะทำอย่างไรได้”
    “ดอกไม้ละก็ เลือกเอาจากเรือนกระจกได้เลย” เวนิสว่า “เรามีเรือนกระจกปลูกดอกไม้เมืองหนาวอยู่หลังปราสาท วันนี้ผมยังไม่ได้พาคุณไปดู แต่ไว้พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้จะพาไป จะได้เลือกว่าเอาแบบไหนบ้าง ให้คนเตรียมไว้ให้ แล้วคุณก็เอามาจัดตามแบบที่คุณต้องการ”
    “ผมไปช่วยเลือกด้วยนะฮะ” มิลานว่า “แล้วเรื่องผ้าที่จะใช้ในงานจะเอาอย่างไรดีฮะคุณแม่”
    “แม่วานหนูเอกบอกเพ็ญแขเลขาแม่ไว้แล้วกันนะจ๊ะ” หล่อนหมายถึงคนที่เป็นเอกยังไม่เคยได้รู้จัก “ไว้เดี๋ยวแม่จะแนะนำให้รู้จักพรุ่งนี้”
    เป็นเอกรับคำ แล้วก็ว่าต่อไป
    “คุณน้าคงมีวงดนตรีมาอยู่แล้ว ผมจะจัดไว้ให้ข้างๆเวทีนะครับแล้วก็ คุณน้า รวมถึงผู้ใหญ่ในงานก็จะนั่งบนเวทีที่ว่านี้ตลอดทั้งงาน เป็นพิธีแบบฝรั่งเลยนะครับ” เขาว่า ประกายพรึกพยักหน้ารับอย่างเข้าใจดี “ส่วนเรื่องเค้กกับอาหาร...”
    “อ้อ เรื่องนั้นแม่ให้เพ็ญแขจัดการจ้ะ ขอบใจหนูมากที่ช่วยคิดให้อย่างรอบคอบทีเดียว” หล่อนยิ้มหวานให้เขาอย่างจริงใจ แล้วจึงหันไปพูดกับว่าที่สามีใหม่ “เมฆว่าเราจัดโต๊ะจีนเหมือนเดิม หรือว่าทำเป็นบุฟเฟ่ต์แบบที่เอกเขาว่าดีคะ”
    “ผมว่า เป็นบุฟเฟ่ต์ดีกว่า” เมฆาตอบ “ในเมื่องานจัดแบบฝรั่งแล้ว จะมากินโต๊ะจีนอยู่ได้ยังไงละเนอะ”
    “ค่ะ” ประกายพรึกว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เรียบร้อยแล้ว แม่ฝากเอกด้วยนะลูก อีก ห้าวันเอง ตื่นเต้นมากเลยจ้ะ งานนี้แขกมาไม่กี่สิบคน แม่ตั้งใจให้เป็นงานเล็กๆ แบบกันเองๆ ยังไงก็ฝากด้วยนะจ๊ะ”
    “ครับคุณน้า”
    “ถ้าอย่างนั้นน้าขอตัวนะจ๊ะ เพลียมากแล้ว พี่ทัดดาวขอตัวนะคะ” หล่อนว่าเท่านั้นแล้วก็ลุกขึ้น รับไหว้เป็นเอกแล้วก็ควงแขนเมฆาเดินออกไปจากตรงนั้น
    “เฮ้อ คุณเว คุณลาน” ลุงทัดทำลายความเงียบหลังจากสองคนนั้นจากไปเป็นคนแรก “ทำใจได้ก็ดีแล้ว เห็นแกความสุขของแม่เขาเถอะ”
    “ผมไม่อะไรหรอก แต่ก็อดห่วงแม่ไม่ได้” เวนิสว่า “ผมเห็นมามากแล้ว ประเภทที่เหมือนจะดี สุดท้ายก็มาหลอกเอาสมบัติ”
    “น่า คุณเมฆาก็ดูไม่ใช่อย่างนั้นนี่” ลุงทัดว่า “มาๆ เลิกคิดแล้วกินกันดีกว่า เนื้อจะเย็นหมดแล้ว”
    “กินซะ” เวนิสยื่นเนื้อให้กับเป็นเอก “ลองชิม เนื้อย่างแบบฟลอเรนซ์อร่อยดีพ่อครัวที่ทำนี่เป็นชาวฟลอเรนซ์เชียวนะ หากินยากนะคุณในไทยเนี่ย”
    “ผมไม่ชอบกินเนื้อตอนกลางคืน” เป็นเอกปฏิเสธ “กลัวจะไม่ย่อย”
    “ทานเถอะฮะ” มิลานเคี้ยวเนื้อในปากเต็มคำ “อร่อยมาก”
    พอเห็นว่าแรงยุมีเยอะ เป็นเอกก็ตัดสินใจกินเนื้อย่างฟลอเรนติเนเข้าไป เพียงคำแรกเท่านั้นก็ติดใจในรส แล้วก็หยุดกินไม่ได้เลย
    
    สักพักลุงทัดก็ลากลับบ้านของเขา โต๊ะนั้นจึงเหลือเพียงเวนิส เป็นเอก และมิลานแค่สามคน หนุ่มลูกครึ่งนั่งขนาบข้างเป็นเอก มีหนุ่มที่อายุน้อยที่สุดนั่งพูดจ้ออยู่คนเดียว อีกสองคนที่เหลือนั่งฟังไปหัวเราะไปอย่างสนุกสนาน พอพนักงานเสิร์ฟหนุ่มคนหนึ่งผ่านมา มิลานก็สั่งไวน์แดงจากอิตาลีมากินกับเนื้อ
    ปรากฏว่าเข้ากันดีเหลือเกิน
    กินกันอยู่นานจนอิ่ม เวนิสก็ชวนกลับที่พัก
    “คุณเอก เจ้าลาน กลับบ้านได้แล้วละมั้งจะห้าทุ่มแล้ว” เสียงของพี่ชายคนโต อ้อแอ้เต็มที่เริ่มมึนเพราะฤทธิ์ไวน์กระนั้นก็น้อยกว่าชายหนุ่มอีกสองคน ที่เริ่มจะพูดไม่รู้เรื่องเสียแล้ว
    “ยังๆไม่กลับ” มิลานว่า “ลุงไปนอนไป๊ เด็กๆเขาจะปาร์ตี้กันต่อ”
    “เฮ่ย ดึกแล้วนา เดี๋ยวเขาปิดไฟแล้วมองทางกันไม่เห็น”
    “กลับกันได้น่าลุง อย่าบ่นๆ จะกลับก็กลับไปก่อนเลย เดี๋ยวเรากลับกันเองได้” มิลานโบกมือไล่ เวนิสจึงลุกขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
    “เอก คุณจะกลับหรือยังผมไปส่ง”
    “พี่เอกกลับกะผม” มิลานโอบบ่าเป็นเอก หัวเราะออกมาดังๆ “เขาจะอยู่กันประสาคนหนุ่ม คนแก่แล้วปายนอน โลด!”
    เท่านั้นเวนิสก็ทำอะไรไม่ได้อีก เดินออกไปจากตรงนั้น จนลับตา
    มิลานซบหน้าลงบนบ่าของเป็นเอก หัวเราะดังๆอย่างคนเมา ส่วนเป็นเอกก็ไม่รู้เรื่องโอบมิลานไว้กับตัวหัวเราะไปด้วย
    “พี่เว มันบ้า! ห้าทุ่มเองไปนอนแล้ว ทำเป็นคนแก่ไปได้เนอะ เพ่เอก”
    “ช่าย” เป็นเอกพยักหน้าแล้วก็เงียบไป
    แขกเหรื่อกลับที่พักกันไป แทบจะหมดแล้ว ส่วนพนักงานก็เริ่มจะเก็บโต๊ะ และเตาบาร์บีคิวกันบ้าง มิลานยังคงเล่าเรื่องของเขาในอิตาลีอย่างออกรส เป็นเอกก็ฟังไปหัวเราะไปอย่างไปอย่างคนเมาไม่ได้สติ
    “นี่นะ ตอนอยู่หลังรันเวย์ พวกนางแบบก็วิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้ากันแทบไม่ทัน บางคนนะ เสื้อหลุดรุ่ยเห็นนมทั้งยวงเลย” มิลานหัวเราะ “พอเดินแบบกันเสร็จก็ไปปาร์ตี้ นี่แล้วก็เต้นกันแบบนี้”
    ว่าแล้ว หนุ่มมิลานก็ลุกขึ้นเต้นแร้งเต้นกาไม่เป็นท่า ก่อนจะงอตัวหัวเราะเสียงดัง นั่งลงกับโต๊ะ ซบหัวลงกับบ่าของเป็นเอก หัวเราะอย่างเมามายไม่รู้ตัว กระทั่งเสียงเงียบไปอย่างนั้นเฉยๆ  หนุ่มน้อยนายแบบ คงเพลียมาก หลับแนบบ่าของเป็นเอกอย่างไม่รู้สึกตัว หายใจรดต้นคอขาวของเพื่อนหนุ่มของพี่ชาย หลับตาพริ้มเห็นขนตางอนเป็นแพสวยใต้คิ้วหนาสีน้ำตาลทองนั้น ยามหลับมิลานดูไม่ต่างอะไรจากเด็กน้อยคนหนึ่ง น่ารักน่าเอ็นดู น่าทะนุถนอมไปหมด
    เหมือนเป็นเอกจะสร่างเมาไปชั่วขณะเมื่อใบหน้าที่หล่อเหลานั้นมาคลอเคลียอยู่ใกล้ๆหน้าของเขา
    ถึงจะเพิ่งเจอกันวันแรกก็เถอะ แต่มิลานรู้จักวางตัวให้เขาสนิทด้วยได้อย่างรวดเร็ว แม้จะนอนพับอยู่บนบ่าเขาอย่างนี้ เป็นเอกก็ไม่รู้สึกกระดากอาย หรือรังเกียจแต่อย่างใด อีกเหตุผลหนึ่งก็อาจจะเป็นว่า เพราะมิลานนั้น ทั้งหล่อเหลาอย่างหนุ่มเจ้าเสน่ห์ ทั้งน่ารักอย่างเด็กตัวน้อยๆในเวลาเดียวกันก็เป็นได้กระมัง เป็นเอกถึงรู้สึกดีกับเด็กคนนี้เหลือเกิน
    นั่งมองดวงหน้าที่สมบูรณ์แบบนั้นอยู่ได้เพียงชั่วขณะหนึ่งคนถูกมองก็ลืมตาตื่นขึ้น รู้ตัวว่ามานอนซบคนข้างๆอยู่ก็เอ่ยปากขอโทษ “พี่เอก... ลานไม่รู้ตัวเลย”
   “ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มว่า “ง่วงแล้วก็ไปนอนเถอะ”
    “ฮะ” เขารับคำ ก่อนที่จะรอให้เป็นเอกลุกเสร็จแล้ว ก็ลุกตาม
    เพราะเมาหรือจงใจทำก็ไม่รู้ มิลานเซลงแทบจะล้มทับลงมาบนตัวเป็นเอก โชคดีที่ชายหนุ่มพอจะรู้สึกตัวอยู่บ้าง จึงประคองน้องของเพื่อนหนุ่มไว้ได้พอดี
    “เดินไม่ไหวหรือ”
    “ฮะ” มิลานกระซิบตอบข้างหู “พี่เอกช่วยประคองลานหน่อยนะ ลานเพลียมากเลย”
    ด้วยเหตุนี้ เป็นเอกจึงโอบเอวหนุ่มน้อย มีมือของอีกฝ่ายพาดอยู่รอบคอ เดินช้าๆ ไปถึงบ้านอิฐสีชมพู ในเวลาต่อมา แม้ฟ้าจะมืดสนิทแทบไม่เหลือแสงจันทร์แต่แสงจากไฟฟ้ารอบกายก็กระทบลงบนหน้าของหนุ่มน้อย พอให้เป็นเอกเห็นว่า แม้จะเดินอยู่ มิลานก็หลับตาพริ้มด้วยความเหนื่อยอ่อนดูน่ารักราวเด็กที่หลับไปคาตัวพ่ออย่างนั้น
    พอถึงหน้าบ้าน มิลานก็ไขกุญแจอย่างลำบาก เปิดประตูไปได้ก็ยืนพิงกำแพงพูดกับเป็นเอก
    “ขอบคุณพี่เอกมากนะฮะที่อุตส่าห์มาส่ง” หนุ่มน้อยยิ้มให้กับเป็นเอก
   “พี่เอกเข้ามาก่อนไหมฮะ”
    “ไม่เป็นไร พี่จะไปนอนแล้ว ทิ้งโรมไว้คนเดียวเดี๋ยวจะกลายเป็นบ้าไปเสียก่อน” ชายหนุ่มว่า เดินจากไปเข้าบ้านของตน โดยไม่ลืมหันมามองหนุ่มน้อย ก็เห็นว่าเขายังคงยืนอยู่ที่เดิม โบกมือให้เป็นเอกกระทั่งเขาเดินไปจนลับสายตา

หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo undici บทที่ 11 มิลานยั่วสุดตัว! - 19/03/11 - 21.50
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 19-03-2011 23:13:37
มิลานแกล้งเมารึเปล่าจ๊ะ   ถึงตอนนี้เราเอนเอียงไปเชียร์เวนิสพอๆกะโรมเลยนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo undici บทที่ 11 มิลานยั่วสุดตัว! - 19/03/11 - 21.50
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 19-03-2011 23:46:05
ทางสามสายคงเป็นทางเลือกคงเป็นเอกแน่ๆ

จะเลือกไป"โรม" อยู่กับหนุ่มติสท์ ใช้ชีวิตแบบเอาใจเขาตลอด อดทนต่อแรงเหวี่ยงและความกดดันสูง

จะเลือกไป"เวนิส" มีชีวิตชุ่มช่ำ มีคนเอาใจบริการตลอด 24 ชั่วโมง

จะเลือกไป"มิลาน" ชีวิตโฉบเฉี่ยวแหวกแนวไม่ซ้ำใคร มีอะไรให้ตื่นเต้นตลอด

ถ้าเป็นตองคงเลือกไม่ได้สักทาง ขอไปสามทีเลยดีกว่าค่า
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo undici บ
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 19-03-2011 23:58:06
ไม่ค่อยเข้าใจแม่ของโรม  หมายความว่าโรมติดเป็นเอกมาก  ไม่ยอมกลับมาอยู่บ้านใช่มั๊ย
หมายความว่า  อยากให้โรมกลับมาอยู่พร้อมหน้ากัน  โดยที่เป็นเอกควรออกไปอยู่ที่อื่นแบบนี้หรือ
ถ้าเป็นแบบนั้นก็สงสารเป็นเอกนะ  แค่นี้ก็ตัวคนเดียวโดดเดี่ยวมากพออยู่แล้ว
ตอนนี้มิลานเพลย์บอยมากมาย  ออดอ้อน  ออเซาะ  แต่ไม่ว่ายังงัยก็ตาม
มิลานเหมาะกับตำแหน่งกิ๊กมาก ๆ มีไว้เพื่อสร้างความสดชื่น  สีสันให้แก่ชีวิตโดยเฉพาะ
แต่ดูไม่มั่นคง  ไม่ยั่งยืน  ถ้าจะเลือกใครซักคนเป็นคู่ชีวิตแล้ว  คนนั้นต้องเป็นเวนิสเท่านั้นจริง ๆ
เวนิส ... ชั้นเลือกคุณค่ะ  ฮี่ ฮี่  นึกถึง the bachelor มั่ก ๆ เลย

เอาวะ  +1 ให้ก่อน  วันนี้ฟ้าม่วงอัพสองเรื่อง  แต่ว่าเค้าบวกได้วันครั้งเท่านั้นเอง
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo undici บทที่ 11 มิลานยั่วสุดตัว! - 19/03/11 - 21.50
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 22-03-2011 13:56:44
รู้สึกช่วงนี้น้องลานจะมีบทเยอะ ฮ่าๆ

ทำเอาพี่เอกใจสั่นเรื่อยๆเลยนะจ๊ะ  ว่าแต่คิดถึงโรมจังเลยค่ะ

ตอนหน้าโรมจะออกเปล่าหว่า

ดูท่าน้องลานจะมาวินเช่นเคยนะเนี่ย อิอิ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo undici บทที่ 11 มิลานยั่วสุดตัว! - 19/03/11 - 21.50
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 22-03-2011 15:56:49
มิลานนี่ยั่วชัดๆเลยอ่า

แต่ยังไงก็น่ารัก

ยังเลือกไม่ถูกเหมือนเดิมค่ะ พี่น้องบ้านนี้ เสน่ห์ล้นเหลือ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo undici บทที่ 11 มิลานยั่วสุดตัว! - 19/03/11 - 21.50
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 25-03-2011 20:52:34
Capitolo Dodici

   เป็นเอกแทบไม่ได้เจอมิลานอีกเลยนับจากวันนั้น วันรุ่งขึ้นชายหนุ่มเสียเวลาแทบจะทั้งวัน คุยธุระกับเพ็ญแข เลขาของประกายพรึก เรื่องผ้าที่จะใช้ประดับสถานที่ จากนั้นก็ไปเรือนกระจกกับโรมและเวนิสคุยกับหัวหน้าแผนกที่นั่นเรื่องดอกไม้ที่จะใช้ตกแต่งสถานที่ เสร็จแล้วก็กินข้าวกลางวันกันตอนบ่ายๆ ตกเย็นก็เดินถ่ายรูปกันในป่าจนเริ่มตกเย็นก็กลับ
    สองสามวันจากนั้นก็คล้ายๆกัน เป็นเอกเดินเที่ยวรอบรีสอร์ตจนรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนแล้วทีนี้จะไปไหนมาไหนก็สบายไม่ต้องง้อเวนิส หรือแม้แต่โรมอีก
    เพื่อนหนุ่มของเขาตื่นสายมาก อันที่จริงต้องเรียกว่าตื่นเที่ยงต่างหาก ไม่ว่าจะนอนดึกหรือนอนเร็วแค่ไหนโรมก็จะตื่นตอนเที่ยงอย่างนั้นของเขาเสมอ เป็นเอกจึงกินข้าวเช้าแบบง่ายๆ และไปไหนมาไหนกับเวนิสไปจนเที่ยง จากนั้นก็จะมีโรมเข้ามาร่วมวง กินข้าวเที่ยงกันสองสามคน จากนั้นก็ให้เวนิสสอนขี่ม้าอยู่ได้วันละไม่กี่ชั่วโมงแล้วก็หมดไปอีกวันอย่างนั้น จะขาดก็ขาดแต่หนุ่มน้อยหน้าใสที่เขาพบในวันแรกนั้นคนเดียวที่สามวันเข้าแล้วก็ยังไม่รู้ว่าหายไปไหน
    ชายหนุ่มเคยเปรยๆถามอยู่ครั้งหนึ่งว่า
    “เอ ผมไม่เห็นมิลานเลยคุณเวนิส น้องชายคุณเขาหายไปไหนของเขา”
    ก็ได้รับคำตอบแบบที่ทำให้ไม่อยากถามต่อว่า
    “ไม่รู้มันซี คุณจะอยากรู้ไปทำไม”
    ถ้าไม่นับเรื่องที่เวนิสชอบพูดกวนประสาทเขาอยู่เป็นครั้งคราวแล้ว ชายหนุ่มผู้นี้ก็ถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่งทีเดียว พอเจอกับเป็นเอกตอนเช้า เขาก็จะแวะรับเป็นเอกไปส่งทานข้าวเช้า ถ้าอยากไปไหนก็พาไปส่งอย่างไม่คิดเกี่ยงงอน แต่จะมีอะไรให้อยากเกี่ยงงอนเล่าในเมื่อเป็นเอกไม่เคยคิดจะรบกวนอะไรเขาอยู่แล้ว  มีแต่เขานั่นแหละที่เป็นฝ่ายอาสาทำโน่นทำนี่ให้เป็นเอกเอง
    มันก็ดีอยู่ที่มีคนคอยดูแลเอาใจ แต่เป็นเอกกลับรู้สึกเหมือนเป็นเด็กง่อย ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อย่างไรอย่างนั้น จะหยิบจะจับ จะถืออะไรเวนิสก็มาแย่งไปเสียหมดอย่างสองวันก่อนที่จะถึงงานแต่งของประกายพรึกที่ ทั้งสามหนุ่ม เวนิส โรม และเขานัดกันจะไปปิกนิกในป่าหลังบ้านของลุงทัด ตอนที่ช่วยกันทำอาหารว่าง เวนิสก็จะคอยเข้ามาช่วยแบกเขียงแบกมีดให้ อย่างกับเป็นเอกทำอะไรเองไม่เป็น จนโรมมองพี่ชายแปลกๆ ทักขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ว่า
    “พี่เวจะถือเขียงให้เอกทำไม อันแค่นั้นมันถือไหวอยู่แล้ว”
    ชายหนุ่มได้ยินเพื่อนพูดก็หันไปเลิกคิ้วใส่เวนิส ทำนองว่าเยาะเย้ย
    “ก็เอกเขาเป็น...”
    “เป็นแขกหรือ จนป่านนี้ยังจะคิดว่าไอ้เอกมันเป็นแขกอีกหรือพี่เว” โรมว่า ส่ายหัวเบาๆ ผมยาวที่รวบไม้เป็นหางม้าส่ายเบาๆอย่างไม่เข้าใจ “เห็นกันจนจะกลายเป็นน้องอีกคนแล้ว ยังจะเกรงใจอะไรอีก”
    ปรากฏว่าได้ผล เวนิสได้แต่ยืนล้างผักเตรียมทำสลัดอยู่เฉยๆ ปล่อยให้เป็นเอก หั่นชีสหั่นแฮมทำแซนด์วิชแบบง่ายๆพกไปกินด้วย
    เตรียมอาหารว่างกันจนจะเสร็จแล้ว มิลานก็เปิดประตูบ้านเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ใส่เสื้อกล้ามกางเกงยีนส์ตามแบบเขา พอเข้าบ้านมาได้ก็ถอดแว่นกันแดดออก เอ่ยขึ้นอย่างร่าเริงว่า
    “ว่าแล้วว่าอยู่กันที่นี่” เขาเดินเข้ามา หยิบแซนวิชส่งเข้าปากไปเหมือนเด็กไม่รู้อิโหน่อิเหน่ “มื้อนี้ทำแซนวิชกินกันหรือฮะ”
    โรมส่งเสียอือ ในลำคออย่างไม่สบอารมณ์
    “ทำไปปิกนิก ในป่า ใครไม่รู้มาแย่งกินเสียก่อน”
    “อุ้ย” มิลานอุทานทำท่าจะวางชิ้นที่เพิ่งกัดอยู่เมื่อครู่คืนลงจานเดิม
    “ไอ้ลาน ทุเรศแกกินไปแล้วก็กินให้หมดซี” เวนิสดุ “เอาไปใส่รวมของเดิมใครจะกินลง เอกเขาอุตส่าห์ทำ พอดีไม่มีใครกล้ากินเสียของหมด”
    “เอ้าพี่เอกทำหรือฮะ” หนุ่มน้อยส่งยิ้มหวานมาให้ “มิน่า อร่อยเชียว ถ้าจะกินอีกพี่เอกก็คงไม่ว่าหรอกเนอะฮะ พี่เอกไม่ดุเหมือนพี่เว พี่โรม”
    “ก็ไม่อยากดุหรอก” เป็นเอกว่าเบาๆ “แต่เก็บไปกินในป่าเถอะ”
    “ว้าว ปิกนิก ผมไปด้วยนะ”
    ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ ดังนั้นจึงกลายเป็นสี่หนุ่มที่เดินขึ้นเขาไปปิกนิกกันในป่าละเมาะ ลุงทัดปฏิเสธไม่ไปด้วยอ้างว่าแก่แล้วเดินไม่ไหวดังนั้นเวนิสจึงยกกระติกน้ำ เป็นเอกถือตะกร้าใส่แซนวิชและผักสดสำหรับทำสลัด มิลานถือถุงขนมขบเคี้ยวอีกนิดหน่อย ส่วนโรมก็แบกขาตั้งผ้าใบ สีน้ำแล้วพู่กันของเขาไปอย่างไม่สนใจใคร
    พอไปถึงที่ หนุ่มผมยาวก็แยกไปนั่งวาดรูป ทิ้งให้เป็นเอกอยู่กับมิลานและเวนิสสามคน
    พี่คนโต ดูจะหงุดหงิดเมื่อมี หนุ่มน้อยนายแบบอยู่ด้วยอาจเพราะเวนิสไม่ชอบที่น้องชายคนสุดท้องพูดมากกระมัง เขาจึงนั่งนิ่งสีหน้าไม่สบอารมณ์อยู่พักใหญ่ จนเป็นเอกชวนพูดขึ้นก่อน เวนิสจึงจะได้มีบทสนทนากับเขา
    “คุณเว พรุ่งนี้คุณจะสอนผมขี่ม้ากี่โมงครับ”
    “เอ้า พี่เวจะสอนพี่เอกหรือ” มิลานเงยหน้าขึ้นจากสลัดผักชามโต ราดน้ำมันมะกอกและ น้ำส้มสายชู “ไม่ให้ผมสอนล่ะฮะพี่เอก”
    “ก็แกไปไหนของแกมาตั้งวันสองวัน เขาสอนกันไปแล้ว คุณเอกจะขี่คล่องอยู่แล้ว แล้วพรุ่งนี้ก็ต้องไปช่วยคุณแม่ลองชุดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนวันแต่งไม่ใช่หรือ”
เวนิสว่า “พี่เลยคุยกับคุณเอกไว้ว่าจะสอนเขาพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้าย”
    “อะไรกันก็พรุ่งนี้ลานไม่อยู่ รอลานก่อนซีฮะพี่เอก”
    “รอยังไง มะรืนแม่ก็แต่งแล้วพรุ่งนี้วันสุดท้ายที่จะมีโอกาสให้เขาได้ขี่เองคนเดียว” เวนิสตอบแทนเป็นเอกเสร็จสรรพ ชายหนุ่มจึงไม่ได้เป็นคนตอบมิลานเองจนแล้วจนรอด กินอยู่ได้พักเดียว มิลานก็ชวนเป็นเอกไปเดินเล่น ชายหนุ่มจึงทิ้งเวนิสไว้ที่เดิมเผื่อโรมเดินกลับมาไม่เจอใคร หนุ่มนักดนตรีไม่คิดจะเกี่ยงงอน เป็นเอกจึงเดินออกมากับมิลานอย่างสบายใจ
    
    เดินในความเงียบกันมาพักใหญ่ เป็นเอกตื่นเต้นและดีใจเหลือเกินที่ได้อยู่กับมิลานกันแค่สองคน มีเรื่องมากมายที่อยากจะพูดด้วย แต่จนแล้วจนรอด เป็นเอกก็พูดไม่ออกได้แต่เดินเคียงข้างกันไปเรื่อยๆ
    “พี่เอกฮะ” มิลานเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบของยามเย็นขึ้นก่อน เป็นเอกหันไปมองหน้า พบว่าดวงตาของหนุ่มน้อยไม่ได้จับจ้องที่เขา แต่มองใจลอยไปที่ยอดไม้ที่ถูกพระอาทิตย์ย้อมเป็นสีแดงสวยอย่างไม่ใส่ใจอะไร
    “มีอะไรหรือ”
    “แม่แต่งงานแล้ว พี่เอกจะกลับกรุงเทพเลยหรือฮะ”
    “ก็คงอยู่ต่อวันสองวัน” เขาว่า มิลานหยุดเดิน ชายหนุ่มจึงหยุดบ้าง หนุ่มน้อยถอยหลังไปพิงต้นไม้ หันหน้าไป ตามองจ้องไปที่เดิมทำให้เป็นเอกไม่เห็นร่างกายของนายแบบหนุ่มที่แข็งแกร่งนั้นเต็มตัว แต่กลับเห็นใบหน้าเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เห็นว่าอยู่ไกลเกินไป จึงเดินเข้าไปให้ใกล้ขึ้นกว่าเดิมอีกนิดหนึ่ง
    “อยู่นานอีกหน่อยไม่ได้หรือ” หนุ่มน้อยว่า หันหน้ากลับมาจ้องเป็นเอก พบว่าใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่ไม่ห่างจากกันเท่าใดนัก
    “ไม่ได้หรอกครับ พี่มาพักฟรีนะ เกรงใจคุณประกายพรึก” เขาพูดเสียงเบา เพราะไม่มีความจำเป็นใดที่ต้องพูดดังไปกว่านั้น ในเมื่อทั้งคู่ห่างจากกันเพียงไม่กี่คืบเท่านั้น “ลานพูดเหมือนไม่อยากให้พี่ไปนะ”
    “ก็ไม่อยากน่ะซีฮะ” เขาว่า ยิ้มให้อย่างเศร้าสร้อย “กลับกรุงเทพไปไม่รู้จะได้เจอกันหรือเปล่า ไม่รู้เป็นไรนะฮะ เราเจอกันไม่นานแต่รู้สึกเหมือนสนิทกันมากเหลือเกิน”
    เป็นเอกไม่พูดอะไรได้แต่ยิ้มให้กับหนุ่มน้อยผ่านทางสายตาเท่านั้น
    “กลับไปแล้ว เรานัดเจอกันบ้างนะฮะ”
    “ครับ”
    “พระอาทิตย์ตกสวยจังฮะพี่เอก” มิลานกระซิบเบาๆ เป็นเอกก็รู้สึกปั่นป่วนในใจ เสียงกระซิบของหนุ่มน้อยทำเอาเขาขนลุก แปลกๆแบบที่ไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกได้มาก่อน
    “สวย แต่...”
    “แต่อะไรฮะ” เป็นเอกอยากตอบว่าคนตรงหน้าสวยน่ามองกว่าตั้งเยอะ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่กล้าพูดจึงส่ายหน้าแล้วบอกว่า
    “ไม่มีอะไรหรอก ไปเถอะทิ้งพี่ของลานไว้คนเดียวเดี๋ยวเขาจะหงุดหงิด”
    มิลานพยักหน้าอย่างเข้าใจ เดินเฉียดตัวเป็นเอกไปเพราะทั้งคู่ยืนอยู่แทบจะชิดกันอยู่แล้ว ต้นแขนเนียนนุ่มของหนุ่มน้อยลากผ่านแขนของเป็นเอก แผ่วเบา จนขนที่แขนลุกชันขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
    เป็นเอกต้องยอมรับกับตัวเองอย่างจริงจังแล้วว่า เขาถูกใจมิลานเข้าแล้วจริงๆ แม้จะพบกันได้ไม่ถึงอาทิตย์ จะเพราะหนุ่มคนนี้มีแรงดึงดูดอย่างน่าประหลาดต่อเขา หรือเพราะเขาเป็นคนใจง่ายก็ตามแต่

    เป็นเอกยืนตัวเกร็ง มองหน้าเจ้าเนโรแล้วก็ไม่กล้าจะปีนขึ้นไปนั่งบนอานของมันคนเดียวจนแล้วจนรอด
    วันรุ่งขึ้นตอนสายๆ หลังจากกินอาหารไทยง่ายๆกันที่บ้านของลุงทัดแล้ว เป็นเอกก็ถูกเวนิสบังคับให้ขึ้นขี่เจ้าเนโรคนเดียวให้ได้ ต่อให้เป็นเอกปฏิเสธอย่างไรเวนิสก็พูดเสียงเข้มว่า
    “ถ้าไม่ขี่เองจะเรียกว่าขี่ม้าเป็นหรือไง”
    “ก็มันน่ากลัวนี่ ดูซิมันมองผมเสียน่ากลัวเชียว” เป็นเอกว่าเสียงอ่อยๆ
    “ม้ามันก็มองเหมือนกันทุกตัวแหละคุณ คุณนั่นแหละป๊อดไปเอง”
    “ผมป๊อดที่ไหนล่ะ ก็ไม่เคยขึ้นม้าก่อนนี่นา ปกติคุณต้องขึ้นก่อนแล้วค่อยให้ผมตามขึ้นไป”
    เวนิสหัวเราะเบาๆ ยืนเท้าเอว เลิกคิ้วมองม้าสีดำของตน แล้วก็มองเป็นเอก ผายมือขวาอย่างกวนประสาทไปยังเจ้าเนโร เป็นเชิงให้เขาขึ้นไปนั่ง แต่เป็นเอกก็สั่นหัวเบาๆ ไม่ยอมขึ้นไป จนเวนิสเดินเข้ามาใกล้
    “นี่ รีบขึ้นม้าเสียที ผมจะได้ถ่ายรูปให้คุณเอาไปอวดเพื่อนอย่างที่คุณเคยบอกไง” เขาว่า
    “ก็มันไม่กล้าขึ้นไปคนเดียวนี่ ถ้าเกิดตกล่ะ”
    “คุณก็ขาหัก แค่นั้นเอง”
    “คุณเวละก็” เป็นเอกมองพี่ชายของเพื่อนสนิทตาขวาง “งั้นผมยอมแพ้ ไม่ขึ้นไปแล้ว ไม่ขี่ ไม่ถ่ายรูปอะไรทั้งนั้น”
    เวนิสหัวเราะ
    “งั้นผมขึ้นก่อน แล้วจะดึงคุณขึ้นไปแบบทุกทีโอเคหรือเปล่า”
    เป็นเอกพยักหน้า พี่ชายคนโตของบ้านตรีโลกนาถก็เดินอ้อมไปเข้าคอกม้า ตรงมาหาเจ้าเนโรโหนตัวขึ้นไปไม่ต่างจากขึ้นมอเตอร์ไซค์ ง่ายๆ และสง่างาม โดยไม่ลืมส่งสายตายียวนกวนประสาทมาให้เป็นเอกก่อนจะยักคิ้วให้ชายหนุ่ม แล้วก็ยื่นมือลงไปบอกว่า
    “เอ้าขึ้นมาครับ คุณนักเรียน”
    เป็นเอกยึดมือเวนิสไว้เป็นที่มั่นก่อนจะปีนขึ้นไปทางด้านหลังของหนุ่มลูกครึ่งเครางามคนนั้น ก็พอดี ชายหนุ่มยื้อเขามาข้างหน้าแล้วบอกว่า
    “จะให้คุณขี่เอง มานั่งหน้านี่”
    “ไม่เอา ผมกลัวไม่เคยนั่งหน้านี่นา”
    “นี่เดี๋ยวคุณจะขี่ไม่เป็นนะ เร็วๆ เดี่ยวก็ตกลงไปหรอก”
    คำว่า “ตกลงไป” เหมือนเป็นคำสาบสะกดใจ ให้เป็นเอกทำตาม เขาดึงแขนแข็งแกร่งของเวนิสพยุงตัวขึ้นมานั่งที่ด้านหน้าของชายหนุ่ม จะเพราะน้ำหนักผิด หรือพลาดท่ากันอย่างไรไม่รู้ เป็นเอกเซลงด้านหน้า แทบจะหัวทิ่มตกลงไปอีกฝั่งหนึ่งของม้า ร้องลั่นด้วยความตกใจ เวนิสเห็นอย่างนั้นก็ร้องออกมาพร้อมกัน กลัวว่าชายหนุ่มจะเป็นอันตราย จึงกระหวัดแขนดึงร่างของเขาไว้มั่นไม่ยอมปล่อย ทางเป็นเอกก็พยายามตะเกียกตะกายจะลุกนั่งให้ได้ ยื้อกันไปมา จนเวนิสรวบเขาเข้าไปกอดไว้แนบอก หน้าแนบลงกับผมของชายหนุ่มอย่างลืมตัว
    ค้างอยู่ในท่านั้นไม่นานเป็นเอกก็ทรงตัวขึ้นนั่งข้างหน้าชายหนุ่มได้ในที่สุด
    “คุณเว” เขาว่าเสียงหอบ “ตกใจหมด ทีหลังไม่ขึ้นแล้ว”
    “ผมขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้” ชายหนุ่มตอบ ลืมไปว่ายังกอดเป็นเอกอยู่แน่นเต็มสองแขน
    “เอ้อ... คุณเว ปล่อยผมได้แล้ว ขอบคุณมาก”
    เวนิสหน้าแดงก่ำ รีบปล่อยมือออกจากตัวของเป็นเอก พูดเสียงเบาอย่างเขินอายว่า “ผมจะลงจากอานแล้ว คุณขี่เองนะ”
    “เดี๋ยว” ยังไม่ทันทีเวนิสจะผละตัวออกจากเป็นเอก ชายหนุ่มก็ร้องขึ้นก่อน ก้มหน้านิ่งไม่เห็นว่าชายหนุ่มที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังทำสีหน้าอย่างไร “ช่วยอยู่อย่างนี้สักพักเถอะครับ”
    รอยยิ้มแต้มขึ้นบนใบหน้าของเวนิสเพียงชั่วขณะเดียว เป็นเอกไม่มีโอกาสได้เห็นเพราะเขานั่งอยู่ข้างหน้า
    เวนิสไม่กล้านั่งติดกับเป็นเอกอีก เขากระเถิบตัวออกมานั่งห่างออกไปนิดหนึ่ง กระนั้น เมื่อมืออ้อมไปจับบังเหียนที่อยู่หน้าเป็นเอก ก็ไม่ต่างจากว่าชายหนุ่มนั่งกอดเพื่อนหนุ่มของน้องชายไว้หลวมๆเลย เขาบังคับเนโรเดินไปรอบๆ ไม่กล้าเพิ่มความเร็วเพราะคิดว่าเป็นเอกคงจะตกใจอยู่ไม่น้อย
    พอเห็นว่าบรรยากาศเริ่มเงียบอย่างน่าอึดอัดแล้ว ลูกชายคนโตของเจ้าของรีสอร์ตก็เอ่ยปากขึ้น “คุณเอก”
    “ครับ”
    “ถ้าผมเชิญคุณมา คุณจะกลับมาที่รีสอร์ตนี่อีกไหม”
    ชายหนุ่มนิ่งเงียบไม่รู้จะตอบอย่างไรดี เริ่มรู้สึกแปลกๆกับชายหนุ่มที่ซ้อนอยู่ข้างหลังเขาขึ้นมาแล้ว แต่ก็ไม่อยากคิดอะไร จึงตอบเลี่ยงๆ ทีเล่นทีจริงไปเท่านั้นว่า “ผมไม่มีเงินหรอก ถ้าคุณให้ผมมาพักฟรี หรือมาทำงานแลกอย่างคราวนี้ก็ได้”
    “คุณพูดแล้วนะ คราวหน้าถ้ามีงานอะไรอีกผมจะเรียกคุณคนแรก”
    คุยกันไปอีกไม่กี่ประโยค เวนิสก็กระโดดลงจากหลังม้า โดยไม่บอกไม่กล่าว ทำเอาเป็นเอกหน้าเหวอ โวยวายออกมาว่า
    “คุณ! คุณจะไปไหนผมยังขี่ไม่เป็น กลับมาก่อนผมกลัว”
    “คราวหน้าถ้าจะกลับมาที่รีสอร์ตนี้อีก คุณต้องมาขี่ม้ากับผม ผมจะไม่ยอมให้คุณซ้อนเจ้าลาน หรือว่าให้ผมช่วยคุณอยู่ข้างหลังอย่างคราวนี้อีก”
    “แต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อม”
    “ก็พร้อมเสียซี” เวนิสว่า แล้วก็ โหนตัว กระโดดข้ามคอกม้าไป หันกลับมาพร้อมเสียงโวยวายของเป็นเอก ทีแรกคิดว่าเขาร้องเพราะกลัวไปเองอย่างนั้น แต่พอเห็นชายหนุ่มเต็มตาเท่านั้น เวนิสก็ตกใจ
    จู่ๆเจ้าเนโร ก็พยศเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวาอย่างไม่พอใจที่มีคนอื่นที่ไม่ใช่
เวนิสอยู่บนหลังของมัน เป็นเอกร้องจนแทบหมดเสียง ไม่รู้ว่าจะตกลงมาขาหักอย่างที่ชายหนุ่มเจ้าของม้าดำตัวนี้ว่าตอนไหน!

***********************************************************************

ก็ยังให้ซีนเวนิส และลานมากๆสักหน่อยนะครับ เพราะเขาเพิ่งเจอกัน แฟนคลับโรม อีก บทสองบทจะได้เห็นสิ่งที่ไม่คิดจะได้เห็นจากโรมด้วยนะครับ ตอนหน้า (พรุ่งนี้) โรมจะเหวี่ยงเป็นเอกอีกครับ เพราะอะไรติดตามนะคร้าบบบ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo dodici บทที่12 "คุณเวปล่อยผม..." - 25/03/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 25-03-2011 21:15:45
เป็นเอกจะแขนหักป่่าวนั่น อ่านดูแล้วเวนิสได้อยู่กะเป็นเอกเยอะสุดเลย แต่เอกชอบมิลานซะแล้ว รออ่านโรมเหวี่ยงตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo dodici บทที่12 "คุณเวปล่อยผม..." - 25/03/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 25-03-2011 21:18:27
วิธีการของเวนิสนี่มันไม่โดนใจวัยรุ่นเท่าไหร่  ออกแนวผู้ใหญ่ที่อุดมไปด้วยเหตุผลมากไป
ทำให้ขาดเสน่ห์ไปนิด  แต่อย่างมิลานก็อบอวลไปด้วยอารมณ์สุนทรี  อ่อนไหว  จนไม่มั่นใจเลย
จะรอดูโรมว่าจะคิดกับเป็นเอกแค่เพื่อนหรือมากกว่านั้น  จะแสดงออกแบบไหน
ตอนนี้ก็ยังชอบเวนิสอยู่ดี  รู้สึกว่าเวนิสให้เกียรติและดูแลความรู้สึกเป็นเอกได้อย่างอบอุ่นนะ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo dodici บทที่12 "คุณเวปล่อยผม..." - 25/03/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 25-03-2011 21:49:59
ง่า

ม้าพยศซะแล้ว
เวนิสช่วยเป็นเอกด่วนคร่า
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo dodici บทที่12 "คุณเวปล่อยผม..." - 25/03/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 27-03-2011 15:24:24
มาดัน รอตอนใหม่
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo dodici บทที่12 "คุณเวปล่อยผม..." - 25/03/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 27-03-2011 18:33:05
อืม ใจง่ายนะนเนี่ยตัวเองของเรา
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo dodici บทที่12 "คุณเวปล่อยผม..." - 25/03/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 28-03-2011 14:15:59
พี่ใหญ่กับน้องเล็ก เค้าทำคะแนนกันน่าดู

คิดถึงโรมมากเลยค่ะ รอตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo dodici บทที่12 "คุณเวปล่อยผม..." - 25/03/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: LoveNineTeen ที่ 28-03-2011 14:52:13
อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย เรื่องนี้โดนใจอีกแล้ว

ตามคุณฟ้าม่วงมาจาก ปางบรรพ์ คะ

อ่านเรื่องนี้แล้วเกิดความรู้สึกว่า เป็นเอกจะไม่ได้คู่กับใครเลยในสามคนนี้อ่ะ ไม่อยากให้เป็นแบบที่คิดนะเค้าชอบให้มีคู่ ฮ่าๆๆๆ

หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo dodici บทที่12 "คุณเวปล่อยผม..." - 25/03/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 31-03-2011 00:06:36
พึ่งมีโอกาสได้เปิดคอมพิวเตอร์ใช้งานหลังจากไม่ได้ยุ่งกับมันมาอาทิตย์กว่า

คิดว่ามิลานน่าจะชอบเป็นเอก แต่ก็คิดว่าคงทำไปเพราะความสนุกเท่านั้นละมั้งคะ

ถึงแม้ว่าเป็นเอกจะชอบมิลาน แต่เราเชียร์โรมกับเวนิสสุดใจ 
โรมอาจนิสัยเดี๋ยวผีเข้า ผีออกไปบ้างก็เหอะนะ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo dodici บทที่12 "คุณเวปล่อยผม..." - 25/03/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 02-04-2011 20:51:14
Capitolo Tredici
     
        เวนิสตกใจ ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนร้องว่า
    “จับบังเหียนไว้ให้มั่นนะคุณ อย่าปล่อยเด็ดขาดนะ”
    จะวิ่งเข้าไปช่วย ก็กลัวว่าเจ้าเนโรจะอารมณ์เสียกว่าเดิม โดนมันเตะเข้าคงเจ็บตัวไม่น้อย จึงเกาะคอกไว้ พยายามชูไม้ชูมือหลอกล่อให้เจ้าม้าสีดำสนิท หยุดพยศ แต่ก็ไม่เป็นผล มันอาจจะรำคาญเขามากขึ้นด้วยซ้ำ จึงเริ่มออกวิ่งไปไม่ได้ยืนสะบัดอยู่กับที่อีก
    เป็นเอกยึดบังเหียนไว้มั่นจนมือชาไปหมด รู้ว่าไม่กี่นาทีนี้แหละเขาจะต้องถูกเหวี่ยงตกลงไป พอเจ้าเนโรกระชากตัวออกวิ่ง เขาก็ตกใจปล่อยบังเหียนทันที แรงเหวี่ยงทำให้เขากระเด็นออกข้างตกลงมาอีกฟากหนึ่งของคอกม้า เป็นเวลาเดียวกับที่ลุงทัดวิ่งเร่อร่าออกมาพอดี
     “คุณ!”   
    “เกิดอะไรขึ้น”
    “คุณเอกตกม้า!” เวนิสว่าก่อนจะรีบวิ่งไปอีกฝั่งหนึ่งของคอก ลุงทัดที่อยู่ใกล้กว่าไปถึงก่อนเขา แต่ชายร่างใหญ่กลับยืนอยู่ห่างๆไม่เข้าไปถึงตัว
    พอเวนิสเข้าไปใกล้พอที่จะเห็น ก็เข้าใจว่าเหตุใดลุงทัดจึงไม่เข้าไปช่วย
    ข้อเท้าขวาของเป็นเอกบวมเป่ง เป็นสีม่วงอย่างน่ากลัวราวกับมีคนแกล้งทาสีไว้ สีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวดแต่เจ้าตัวกลับไม่บ่นอะไรออกมาเลย
    “คุณ” เวนิสรวบรวมสติได้ก่อนชายเจ้าของคอก นั่งลงข้างเป็นเอก “เจ็บมากไหม เท้าคุณบวมมาก ตอนตกลงมาเอาขาลงหรือ”
    “เปล่า” เขาว่า “มันฟาดกับคอก”
    เวนิสหน้าซีด รีบละล่ำละลักพูดตะกุกตะกักเต็มที
    “ขอโทษนะคุณ เป็นเพราะผมแท้ๆเลย...”
    “คุณเว อย่ามัวแต่ขอโทษเลย พาไปโรงพยาบาลเถอะ” ลุงทัดว่า เวนิสก็รู้ตัวว่าตัวเองเกือบจะเสียสติไปแล้วด้วยความตกใจ
    “ไปคุณ ลุกไหวหรือเปล่า”
    เป็นเอกลุกขึ้นแต่เขาไม่อาจเทน้ำหนักลงไปที่ขาขวาที่บวมเป่งนั้นได้เลย ไม่แม้แต่จะทรงตัวให้อยู่บนขาซ้ายได้ด้วยซ้ำ เขาล้มลงอีกครั้ง แต่เวนิสประคองเขาเอาไว้ได้เสียก่อน
    “ลงน้ำหนักขาซ้ายได้ไหม”
    ชายหนุ่มส่ายหน้า
    “ถ้างั้นเดี๋ยวผมอุ้ม” เขาว่า แต่เป็นเอกไม่ทันได้ปฏิเสธชายหนุ่มก็จับแขนเขาไปไขว้ไว้รอบคอของตัวเองช้อนใต้ก้นแล้วอุ้มขึ้นเดินไปยังบ้านของตนเพื่อขึ้นรถ
    ระหว่างทางนานพอที่ทำให้เป็นเอกเห็นว่า ชายหนุ่มคนนั้นมีแววตารู้สึกผิดเพียงใด และมากกว่าความรู้สึกผิด คือความเป็นห่วงเป็นใยที่โชว์หราอยู่บนหน้าจะเอาออกไปซ่อนไว้ก็ไม่ทันเสียแล้ว ร่างกายของเข้าเบียดแนบชิดกับเรือนร่างแข็งแกร่งของหนุ่มผู้พี่ ไม่ต่างจากที่เขาเพิ่งแนบชิดกับมิลานไปเมื่อสองสามวันก่อน
    กระนั้นเป็นเอกก็พบว่าสัมผัสของมันช่างต่างกันเหลือเกิน

    “บอกแล้วใช่ไหมว่ามันอันตราย ไม่ฟังกันบ้างเลย!” โรมตวาด เป็นคำแรกที่เดินเข้ามาในโรงพยาบาล
    เป็นเอกพันข้อเท้าแล้ว นั่งรอจ่ายเงินอยู่หลังจากเถียงกับเวนิสอยู่เกือบสิบนาทีว่าใครจะเป็นคนออกค่าพยาบาล สุดท้ายเวนิสก็ดึงดันจ่ายให้เขาจนได้ ตอนที่เวนิสลุกไปจ่ายเงินนี้เองที่เพื่อนหนุ่มผมยาวเดินหน้ายุ่ง ผมกระเซิงเข้ามาในโรงพยาบาล
    “โธ่ ก็เจ็บไปแล้วนี่ ขอโทษละกันที่ไม่ฟัง”
    เท่านั้นโรมก็อารมณ์เย็นขึ้น ถึงไม่ได้อารมณ์ดีแบบหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ก็ไม่ว่าอะไรอีกยกมือขึ้นเท้าเอวมองออกนอกหน้าต่าง อาการอย่างนี้แหละ แปลว่าเป็นห่วงสำหรับคนที่แสดงออกซึ่งอารมณ์อ่อนไหวอะไรไม่เป็นเลยอย่างโรม
    “ทีนี้ไม่ต้องซ่าไปไหนแล้วนะ” เขาพูดเสียงอ่อนลง นั่งข้างๆเป็นเอก มองหน้าเพื่อนหนุ่ม แววความอ่อนโยนฉายขึ้นในดวงตาจางๆ แต่ก็มองเห็นได้ กระนั้นก็ไม่มีคำพูดปลอบประโลมใจอะไรผ่านออกจากปากหนุ่มคนนี้ได้เลย
    “พี่ผิดเองแหละ” เวนิสว่า “เอกยังขี่ไม่เป็น พี่ก็ดึงดันให้เขาขึ้นขี่เองคนเดียวจนได้ ถ้าจะโทษใครก็โทษพี่”
    “โทษคนหาเรื่องเถอะครับพี่เว” โรมว่า “ผมบอกแล้วว่าอันตรายก็ไม่คิดเชื่อ แต่ก็ไม่เป็นไร เจ็บไปแล้วนี่ พูดยังไงก็ย้อนไปแก้ไม่ได้”
    เป็นเอกอดเสียใจไม่ได้ที่โรมพูดราวกับเขาไปทำผิดคิดร้ายมาอย่างไรอย่างนั้น ถึงจะเข้าใจว่าเพื่อนหนุ่มเป็นห่วง จึงพูดแบบนี้ก็เถอะ
    “เอาล่ะๆ นี่ก็เที่ยงแล้ว ไปกินข้าวกันข้างนอกหน่อยไหม พี่เลี้ยงเอง”
    “ไม่เป็นไรล่ะครับพี่” โรมว่า ขมวดคิ้วอย่างอารมณ์เสีย “ผมจะกลับรีสอร์ตเลย จู่ๆแม่ก็บอกว่าจะให้เลือกภาพในแกลอรีออกมาตั้งโชว์ในงานแต่งด้วย ต้องกลับไปเลือกเอาวันนี้ เพราะพรุ่งนี้แม่ก็แต่งแล้ว จะได้จบๆ ได้กลับกรุงเทพ ไม่ต้องเจอหน้ากันอีก”
    คำว่าไม่ต้องเจอหน้ากันอีกของโรมคงหมายถึงเมฆากระมัง แต่คำเดียวกันนี้กลับมีคนอีกสองคนที่คิดต่างไปจากเขาโดยสิ้นเชิง เวนิสกลัวจะไม่ได้เจอหน้าเป็นเอกอีก ในขณะที่อีกฝ่ายกลับคิดต่างจากเขา กลัวเหลือเกินว่าจะไม่มีโอกาสได้พบ ได้ใกล้ชิดกับน้องชายของฝ่ายนั้นอีกแล้ว
     “เอกล่ะ ยูจะกลับรีสอร์ตกับไอ หรือไปกับพี่เว”
    “ขอไปกับพี่ยูละกัน กินอาหารอิตาเลียน จนเลี่ยนจะแย่แล้ว คุณเวนิส ถ้าไม่ว่าอะไรพาผมไปหาอาหารอิสานแซบๆได้ไหมครับ”
    พี่ชายคนโตพยักหน้า หัวเราะลงลูกคอ แต่น้องเขากลับไม่ทำอย่างนั้น เดินออกจากโรงพยาบาลไปเสียดื้อๆ เวนิสจึงจูงรถเข็นให้เป็นเอกพาเขาออกไปจากโรงพยาบาล
    
     ร้านอาหารที่เวนิสเลือก  เป็นร้านเล็กๆ ดูไม่สะดุดตา กระนั้นโต๊ะก็เต็มจนเกือบหมด เหลือที่นั่งสองที่ให้เขากับเป็นเอกเท่านั้น ชายหนุ่มลูกครึ่งเดินอ้อมไปเปิดประตูให้เป็นเอกลงมาจากรถ ไม่ได้เอารถเข็นออกมากางแต่ว่าส่งไม้ค้ำให้เป็นเอกใช้ประคองเดินแทน โดยมีเขาอยู่ใกล้ๆคอยระวังเผื่อชายหนุ่มเกิดล้มขึ้นมาจะได้ช่วยไว้ทัน ปรากฏว่าลงเดินไปอย่างปลอดภัยถึงโต๊ะอาหาร
    พอสั่งอาหารอิสานง่ายๆ เสร็จแล้ว เวนิสก็เอ่ยปากถามเป็นเอก
    “นี่ ผมถามอะไรคุณหน่อยสิ ถามจริงๆนะไม่ได้กวน”
    “ว่ามาเลยครับ”
    “ทำไมคุณเดินกับไม้คล่องขนาดนั้น”
    เป็นเอกหัวเราะลงลูกคอเบาๆ
    “ผมเคยขาหักมาก่อนน่ะซี แต่คนละข้างละ เนี่ยครบสองข้างพอดีเลย”
    “ผมขอโทษ” เวนิสพูดเบาๆอย่างรู้สึกผิดอีกครั้ง
    “ไม่เป็นไรหรอกคุณมันผ่านไปแล้ว” เป็นเอกส่ายหัวย้ำว่า ไม่เป็นไรจริงๆ “เดี๋ยวผมก็หาย ผมมันอึดกว่าแมลงสาบอีก คอยดูแปบเดียวก็เป็นเหมือนเดิม”
    ส้มตำ และข้าวเหนียวลงวางเสิร์ฟก่อน เป็นอย่างแรก เป็นเอกไม่รอช้าจัดการกินก่อนมีเวนิสนั่งมองอยู่เฉยๆ เพราะไม่ชอบกินเผ็ด
    “พรุ่งนี้แม่ก็แต่งแล้ว  คุณจะช่วยจัดงานยังไงล่ะเนี่ย”
    “ผมก็ยืนดู คุมงานเฉยๆละมั้งครับ” เป็นเอกตอบ “ไม่ไหวจริงๆถึงจะช่วยจัดเอง คุณไม่ต้องกลัวหรอกว่างานแม่คุณจะล่ม”
    “ผมไม่ได้กลัว” เวนิสพูดเบาแทบจะไม่ได้ยิน “ผมเป็นห่วงว่า คุณจะทำงานลำบากก็เท่านั้นเอง”
    “ผมน่ะนะ เป็นไข้จนใกล้เพ้อยังจะไปทำงานเลยคุณไม่ต้องห่วงหรอก คนจนน่ะ สู้ชีวิตแล้วก็ตายยากจะตาย” เขาขำ แล้วก็ยักคิ้วให้เวนิสอย่างที่ชอบทำกับทุกคนอยู่แล้ว ทำเอาชายหนุ่มตรงหน้าอดขำตามไม่ได้
    “ทำหน้าทะเล้นเป็นเจ้าลานเชียว นี่ถ้ารู้ว่าคุณข้อเท้าพลิกนี่คงด่าผมยับ”
    เป็นเอกขมวดคิ้วอย่างงุนงง
    “ทำไมล่ะครับ”
    “เอ้า ก็เห็นสนิทกันมากไม่ใช่หรือ” เขาว่า เขี่ยพริกออกจากส้มตำทำท่าเหมือนจะกินแต่ก็ได้แต่เขี่ยดูเฉยๆ “คงเป็นห่วง”
    “ไม่สนิทกันขนาดนั้นหรอก มิลานเขาคุยเก่งก็เลยชอบคุยกับเขา”
    “งั้นหรือ” เวนิสเงยหน้าขึ้นจากจานส้มตำ สีหน้าจริงจังจนเป็นเอกร้อนๆหนาวๆ “แล้วผมล่ะ คุณว่าผมคุยเก่งไหม”
    “ไม่” ชายหนุ่มตอบขำๆ “คุณคุยแต่เรื่องงาน ไม่เห็นพูดเรื่องอื่นเลย”
    “เอ้า แล้วกัน” เวนิสแกล้งทำหน้าตัดพ้อ “ก็ไม่มีเรื่องคุยนี่นา”
    “อย่างนี้แหละ เขาเรียกว่าคุยไม่เก่ง”
    แล้วทั้งสองก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารกันไป กระทั่งเวนิสเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนอีกครั้ง “เอ้อ คุณ ถ้าผมถามอะไรคุณอีกอย่าง คุณอย่าว่าผมนะ”
    “ถามอะไรล่ะครับ”
    เวนิสเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะบอกว่า
    “เราสองคนถือเป็นเพื่อนกันหรือยัง ถ้าพรุ่งนี้เจอแขก ผมควรจะบอกแขกว่าคุณเป็น เพื่อนผม หรือยังต้องอ้างว่าเป็น เพื่อนของเจ้าโรม”
    เป็นเอกเงียบไป คิดไม่ถึงว่าคำถามของชายหนุ่มจะเป็นอย่างนี้ ทำให้เขาเองถึงกับต้องถามตัวเองเหมือนกันว่า สมมติมีเพื่อนตามมาจากกรุงเทพเจอกับเวนิสเข้า เขาจะแนะนำว่าเวนิสเป็นใคร เป็นเพื่อนเขา หรือเป็นพี่ชายของโรม
   “เอ คุณก็บอกไปซีครับว่าผมเป็นเพื่อนของโรม”
    เวนิสนั่งนิ่ง นึกในใจว่า แล้วถ้าเป็นมิลานล่ะ จะพูดได้หรือเปล่าว่าเป็นเอกเป็นเพื่อนของตัว เขาค่อนข้างมั่นใจว่าน้องชายของเขาคงจะยิ้มอย่างร่าเริงแล้วพูดไปมึนๆว่า “พี่เอกเป็นเพื่อนใหม่ของลานฮะ”
    ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะพูดบ้างว่า
    “นี่เป็นเอก เป็นเพื่อนใหม่ของผมครับ” แบบนี้แล้วกัน
    
    สองหนุ่มทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เวนิสก็ดึงดันจะจ่ายเงินให้อีก แต่เป็นเอกไม่ยอม ทั้งคู่จึงพบกันครึ่งทางแล้วหารกันออกคนละครึ่งให้หมดปัญหาไปเสีย จากนั้นพอเดินไปขึ้นรถแล้วเรียบร้อย ชายหนุ่มก็เอ่ยปากขึ้นว่า
    “เอก คุณจะกลับรีสอร์ตไหม หรือจะไปห้องเสื้อรอรับคุณแม่กับเจ้าลานกลับไปกับเรา”
    เป็นเอกได้ยินคำว่า “เจ้าลาน” ก็ดีใจตอบไปว่า
    “ไปห้องเสื้อก็ดีครับ ได้ไปรับเอ้อ...” เขาชะงัก “คุณประกายพรึกด้วย”
    เท่านั้นเวนิสก็โทรไปบอกให้คนขับรถของมารดากลับรีสอร์ตไปเลย เขาจะไปรับคุณประกายพรึกและคุณมิลานเอง ปรากฏว่าคนขับรถไม่ได้มาส่งแม่เขาที่ร้าน แต่เป็นคุณเมฆาต่างหาก ขากลับเวนิสคงไม่ได้รับแม่กลับมาด้วยกระมัง คงต้องปล่อยแม่ไปกับคุณเมฆา ยอมรับเอามิลานมานั่งเป็นก้างเหมือนเดิม

    ร้านเสื้ออยู่ไม่ไกลนัก  ขับรถไปไม่นานก็ถึง พอเลี้ยวเข้าจอดรถมิลานก็เดินออกมารับพี่ชาย ส่วนประกายพรึกยังคงลองชุดอยู่ไม่เลิกเพราะเกิดเปลี่ยนใจไม่ชอบชุดเก่าที่เลือกไว้แต่แรกขึ้นมา แวบเดียวที่มิลานเห็นหน้าเป็นเอกในรถคันนั้น หนุ่มน้อยก็ยิ้มกว้างมาเปิดประตูให้ พอเห็นเฝือกเท่านั้นแหละหนุ่มน้อยก็ร้องขึ้น
    “เอ้า พี่เอกเป็นอะไรไปล่ะฮะ”
    “ตกม้าน่ะลาน” เป็นเอกตอบเบาๆ
    “แล้วไปทำอีท่าไหน ทำไมพี่เวไม่คอยเซฟล่ะฮะ”หนุ่มน้อยตำหนิพี่ชาย
    “อย่าไปว่าคุณเวเขาเลย พี่ผิดเองแหละขี่ไม่เป็นแล้วยังจะอยากขี่อีก” เป็นเอกส่งสายตาให้เวนิสเป็นทำนองว่าให้มิลานรู้ไปอย่างนี้ก็แล้วกัน ฝ่ายนั้นก็ไม่อยากขัดใจ จึงเงียบไปเฉยๆ
    “เดินไหวไหมฮะ ลานช่วยประคอง”
    “ไหวซี ไม่เป็นไรหรอก”
    “ไม่เป็นไรไม่ได้ฮะ วันนั้นพี่เอกอุตส่าห์ประคองลานไปส่งถึงที่บ้าน”
    ประโยคนั้นทำเอาเวนิสประหลาดใจ นี่สองคนนี้ไปถึงไหนกันแล้วหรือ
    ต่อให้เวนิสไม่แน่ใจว่าเป็นเอกจะเป็นเกย์ก็ตาม แต่น้องชายเขา รู้จักกันดีเขาเข้าใจว่ามิลานจะต้องคิดอะไรกับเป็นเอกตามประวาคาสโนว่าแน่ๆ คือมีไว้บริหารเสน่ห์อย่างสนุกสนานเท่านั้น ไม่ได้คิดจะจริงจังอะไรกับชายหนุ่ม แต่เป็นเอกนี่สิ จะหลงกลน้องชายของเขาไปด้วยหรือเปล่า เพราะไม่ว่าจะชายหญิงเกย์ หรือเพศอะไรก็ตาม อยู่ใกล้น้องเขาเป็นได้เสร็จทุกราย
    มิลานฉลาดในการได้มาซึ่งสิ่งที่เขาอยากได้เสมอ ตอนหนุ่มน้อยเริ่มเป็นนายแบบ ก็หว่านเสน่ห์ใส่บรรดาโมเดลลิ่งกันจนได้ไปเดินแบบที่นั่นที่นี่สมใจ พออยากเป็นดาราก็ใช้ความสามารถแบบเดิมๆนี้เองทำให้ผู้กำกับติดใจ  อยากได้อะไรที่ซื้อเองไม่ได้ก็หาเสี่ย หรือม่ายสาวขี้เหงาหลอกเอาของได้ทุกครั้ง
    ถ้าจะมีใครสักคนเกลียดมิลาน คนคนนั้นคงจะไม่ปกติเสียแล้ว
    ที่เวนิสไม่เข้าใจน้องชายตัวเองก็คือ น้องเขากำลังจะหว่านเป็นเอกเข้าแหไปด้วยหรือ แล้วชายหนุ่มมีอะไรดีที่มิลานจะอยากได้เล่า หน้าตาก็งั้นๆ มิลานเคยมีดีกว่านี้แล้ว นิสัยก็เฉยๆไม่ได้ช่างเอาอกเอาใจอย่างบรรดาเสี่ยๆที่คบมา
    หรือเป็นเอกเป็นแค่ตัวฆ่าเวลา ระหว่างอยู่ที่ปาลัซโซ่เท่านั้น
    
    สามหนุ่มเข้าไปในร้านเสื้อ ก็พอดีประกายพรึกและเมฆาลองเสื้อผ้าเสร็จแล้วเปลี่ยนชุดกลับเป็นปกติพร้อมกลับบ้าน พอเห็นเป็นเอกเข้าเฝือกประกายพรึกก็ถามไถ่อะไรไปตามประสา
    “โธ่หนูเอกไม่น่ามาเจ็บเลย ตาเวนี่ละก็เหลือเกินไม่ดูแลน้องเขาเลยนะ”
    “ผมขอโทษครับคุณแม่”
    “เอาเถอะ หนูเอกจ๊ะ ถ้าทำงานไม่ไหวก็ไม่เป็นไรนะ แม่ไม่คิดเล็กคิดน้อยหรอกลูก พักผ่อนเถอะจ้ะ จะได้หายไวๆ”
    “ไม่เป็นไรครับคุณน้า ผมสบายมากอยู่แล้วครับ”
    “ไหวจริงนะจ๊ะ ถ้าไม่ไหวบอกแม่นะ” เป็นเอกพยักหน้า “ถ้างั้นก็ดีแล้วจ้ะ อยากเห็นฝีมือหนูเอกเหลือเกินว่าจะจัดงานออกมาได้สวยแค่ไหน... เอ้อ ตาเว แม่ฝากน้องกลับรีสอร์ตหน่อยนะ แม่จะออกไปทานข้าวกับเมฆเขานะจ๊ะ” เรื่องออกมาตรงตามที่เวนิสคิดไว้แล้วเป๊ะ พอร่ำลากันเสร็จ มารดาของเขาก็คล้องแขนออกไปกับสามีใหม่ ทำให้สามหนุ่มออกไปขึ้นรถกันเพียงสองคน
    ชายหนุ่มทำท่าจะขึ้นไปนั่งที่ข้างคนขับตามเดิม แต่น้องชายของคนขับรถกลับแย้งขึ้นมาว่า
    “พี่เอกใจร้าย จะทิ้งลานอยู่ข้างหลังคนเดียวหรือฮะ”
    เป็นเอกจึงหัวเราะ แล้วก็เดินกระเผลกไปนั่งอยู่ที่เบาะหลังกับนายแบบหนุ่มน้อยแทน เวนิสแทบจะมองไม่เห็นถนนเลยเพราะได้แต่คอยมองกระจกหลังอยู่ตลอดทาง เห็นแต่ภาพหนุ่มน้อยทั้งสองนั่งหัวร่อต่อกระซิกกันไปจนถึงรีสอร์ต

***********************************************************************
จบอีกบทแล้วครับ ขอโทษที่ไม่ค่อยมาต่อเห็นคนอ่านน้อยก็เลยคิดว่าเนื้อเรื่องอาจจะยังไม่น่าสนใจพยายามดูอยู่ว่าต้องปรับปรุงตรงไหนแล้วจะเอาไปปรับใช้กับตอนอื่นๆที่กำลังเขียนอยู่ครับ
ยังไงก็ฝากทางสามสายไว้ด้วยนะคร้าบบ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo dodici บทที่12 "คุณเวปล่อยผม..." - 25/03/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 02-04-2011 21:05:31
คงเพราะไม่ใช่เนื้อเรื่องไม่น่าสนใจ  ไม่ได้เป็นเพราะโครงเรื่องไม่ดี  หรือภาษาไม่ได้เรื่อง
ถ้าคนจะอ่านน้อยก็คงเพราะนิยายในเล้าตอนนี้เยอะมาก ๆ ส่วนหนึ่ง
แต่พี่ชอบเรื่องนี้  ไม่หนักมาก  ไม่แรงมาก  ไม่ตามกระแสจนเกินไป
อ่านแล้วไม่ปวดตับ ไต ไส้ พุง  ได้ลุ้นไปนิด ๆ พอเคลิ้ม ๆ
พี่แนะนำให้ทำ link นิยายทั้งสองเรื่องของผู้แต่งไว้ตอนท้ายด้วย  จะช่วยคนอ่านได้ค่ะ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo tredici บทที่13 โรมเหวี่ยงอีกแล้ว - 2/04/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 02-04-2011 21:37:21
โรมนี่อารมณ์ศิลปินจริงๆ เวนิชถ้าหึงงั้นก็แสดงออกให้มากกว่าดิสิ ฮึ่ม เดี๋ยวเชียร์ให้เอกเสร็จมิลานซะเลย
 เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :3123:
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo tredici บทที่13 โรมเหวี่ยงอีกแล้ว - 2/04/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 02-04-2011 22:54:01
นิยายเรื่องนี้มันธรรมดานะ แบบบางเรื่องตบจูบ ทุกตอนต้องมีฉากบนเตียง ด่ากันหยาบๆ

แต่เรื่องนี้ผมว่ามันเรื่อยๆ อ่านแล้วยิ้มๆ อ่านแล้วสบายใจดีออกครับ ผมชอบนะ

อีกเรื่องคือมันไกลตัวด้วยละ สถานที่อยู่เลย ปราสาทอิตาลี โรม เวนิสอะไรแบบนี้ บางทีจินตนาการกันไม่ถึง

คนอ่านที่ชอบแนวนี้ก็คงน้อยด้วย แต่ผมชอบนะ และรออ่านอยู่เสมอ อย่าหายไปนานนะครับ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo tredici บทที่13 โรมเหวี่ยงอีกแล้ว - 2/04/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 02-04-2011 23:15:20
เวนิสนี่ท่าทางจะหลงรักเป็นเอกเต็มเปาแล้วล่ะ

แต่มิลานนี่สิ  ตกลงจริงใจหรือหลอกลวง เพราะต้องการอะไรน้าาาาาาาาาาาา

ติดตามต่อค่ะ นิยายน่ารักมากเลย
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo tredici บทที่13 โรมเหวี่ยงอีกแล้ว - 2/04/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: fOnfOn :D ที่ 02-04-2011 23:28:35
ตอนนี้คุณเวออกอาการนะค่ะเนี๊ย :laugh: :laugh: ถึงจะเป็นแค่คิดก็เถอะ

พ่อคุณ ถ้าอยากให้เค้ารู้ก็ช่วยแสดงออกหน่อยเถอะ นี้เล่นคิดเองเออเองหมด เค้าคงจะรู้หรอกนะ


ปล.เราว่าเรื่องนี้สนุกน้าาา มันเรื่อยๆ ดีอ่ะ  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo tredici บทที่13 โรมเหวี่ยงอีกแล้ว - 2/04/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 03-04-2011 00:33:08
พี่เวขา ฉวยโอกาส 55+ (ตรงไหน แค่อุ้มเนี่ยนะ ยังคิดได้^^)

โรม น้อยใจจริงๆ ถ้ามีเพื่อนอารมณ์ติสคงบ้าตายได้เลิกคบกับมันสักวัน คำปลอบใจก็ไม่มี หัดหวานๆบ้างสิ!

       

แต่ก็เข้าใจแหละ ว่ามันได้แค่นั้น
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo tredici บทที่13 โรมเหวี่ยงอีกแล้ว - 2/04/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 03-04-2011 20:45:32
Capitolo Quattordici

           วันแต่งงานของประกายพรึก เริ่มขึ้นอย่างน่ารักที่สุด เพียงหล่อนตื่นมาตอนเกือบแปดโมงเช้าก็พบว่า เจ้าบ่าวของหล่อนไม่อยู่เสียแล้ว แต่บนเตียงนอนฟากที่ว่างเปล่าเบื้องหน้าของหล่อนนั้นกลับมีดอกกุหลาบช่อใหญ่วางอยู่ กลีบของมันแย้มบานราวกับจะยิ้มทักทายหล่อนในฐานะเจ้าของของมันก็ไม่ปาน บางส่วนถูกโปรยเอาไว้รอบห้อง งดงามยิ่งกว่าฉากในเทพนิยาย ราวกับหล่อนเพิ่งตื่นจากฝันหนึ่ง มาสู่อีกฝันหนึ่งที่สวยงามกว่าอย่างนั้น
    สตรีร่างระหง ก้าวลงจากเตียงเดินอ้อมมาเปิดม่านออก ให้แสงแดดในยามเช้าส่องทะลุหน้าต่างเข้ามาเพิ่มความอบอุ่นให้กับห้องนอนที่ออกจะเย็นไปสักหน่อยเมื่อมีแต่หล่อนอยู่เพียงคนเดียว ท้องฟ้าเป็นใจ มันสว่างใสปราศจากเมฆไม่มีวี่แววว่าจะมีฝนตกสักนิดเดียว ประกายพรึกหยีตาหนีแสงก่อนจะเดินมาหยิบช่อกุหลาบขึ้นซุกจมูกโด่งสวยนั้นเข้าหามัน สูดดมกลิ่นหอมหวาน ของดอกไม้ที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนของความรักนี้ หล่อนหลับตาพริ้ม ดื่มด่ำกับความหอมอ่อนๆของดอกไม้ช่อนั้นได้สักพักก็ลืมตาขึ้น พบว่ามีการ์ดใบหนึ่งตกอยู่แทบเท้า คงจะตกลงมาจากช่อกุหลาบตอนไหน แล้วหล่อนไม่เห็นกระมัง
    ประกายพรึกหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้น พลิกดูข้อความที่เขียนไว้
    สุขสันต์วันแต่งงาน ของเราครับ ...
    หล่อนยิ้มกว้าง เมฆาเป็นผู้ชายที่อ่อนหวานโรแมนติกเหลือเกิน เขาเข้าใจดีทีเดียวว่าผู้หญิงอย่างหล่อนต้องการอะไรเล็กๆน้อยๆเท่านี้แหละเป็นแรงกระตุ้นให้ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขไปวันหนึ่ง เหตุนี้แหละประกายพรึกถึงไม่สามารถตัดใจจากหนุ่มน้อยที่อายุมากกว่าลูกคนโตของหล่อนไม่ถึงปีได้
    แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าหล่อนจะลืมคาร์โล สามีเก่าของหล่อนไปแล้วนะ ตรงกันข้าม หล่อนยังจำเขาได้ดี และยอมรับว่าคิดถึงเขามากด้วย

    นานมาแล้ว ประกายพรึกจำไม่ได้ว่ากี่ปี แต่อย่างน้อยๆ ก็มากกว่ายี่สิบแปดปีเข้าแล้ว หล่อนเห็นภาพของตัวเองเดินไปทางทางยาวๆในท้องทุ่งของประเทศอิตาลี แสงแดดค่อนข้างจ้ากระทบดวงตาหล่อนเหมือนอย่างตอนนี้ ในขณะที่ หล่อนกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามทาง มือละเถาไม้ที่ลู่ไปตามลม พอหันมาก็พบว่าหนุ่มหล่อชาวอิตาลีไม่ได้ตามมากระชั้นชิดกับหล่อน หญิงสาวหันไปโบกมือ ร้องเรียกเป็นภาษาอิตาเลียน
    “Vènga! Carlo” หล่อนยิ้มเห็นว่าชายหนุมผมสีฟางยังไม่รีบเข้ามาใกล้อีก ก็ไม่ได้เรียกซ้ำแต่ยิ้มให้กับตัวเองแล้วเดินหนีไป
    หล่อนไม่รู้ว่าเมื่อคาร์โลตามหล่อนทันแล้ว เขาจะนั่งลงคุกเข่า ชู
กุหลาบแดงช่อใหญ่ที่เขาซ่อนไว้ออกมาและถามหล่อนว่า
    “Volgli casarete con mi?” แต่งงานกับผมไหมครับ
    
    เสียงเคาะประตูดังขึ้นสามครั้งติดกันเบาๆ ที่หน้าห้อง ภาพความทรงจำในอดีตลบเลือนไป ประกายพรึกดึงตัวเองกลับมาสู่ปัจจุบันหันไปมองทางประตูก็พบว่าเลขานุการิณีของหล่อน เปิดประตูแง้มออกมา
    “คุณดาวขา ตื่นแล้วหรือคะ”
    ผู้เป็นนายยิ้มที่มุมปาก นั่งลงที่ขอบเตียง ปล่อยให้เลขาสาวใต้ตาคม เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดอาหาร ใส่ซุปมักกะโรนีร้อนๆ เข้ามาด้วย
    “คุณดาวทานซุปเสียก่อนค่ะ เดี๋ยวจะต้องไปแต่งหน้าทำผมแล้ว จะไม่ทันเข้างานตอนเที่ยงนะคะ”
    “ฉันยังไม่ได้อาบน้ำเลยจ้ะเพ็ญ” หล่อนพูดอย่างใจเย็น “ขอบใจเธอมากนะ ตั้งซุปไว้ข้างนอกก็ได้ เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จแล้วจะรีบออกไปกินจ้ะ”
    เพ็ญแขจะแย้งก็ไม่ได้ หล่อนจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ ถอยหลังปิดประตู และกำลังจะวางอาหารเช้าของนายไว้ตรงนั้นตามคำสั่ง แต่ยังไม่ทันจะทำตามที่ว่าเสร็จ ประกายพรึกก็เรียกชื่อหล่อนขึ้นมาอีกครั้ง
    “เพ็ญจ๋า เพ็ญ”
    “คะ คุณดาว” หญิงสาวเดินกลับเข้ามาในห้อง เห็นประกายพรึกมองใจลอยออกไปนอกหน้าต่าง ก็นึกสงสารนายของหล่อนจับใจ
    หล่อนดูออกทะลุปรุโปร่งว่าคุณดาวของหล่อนกำลังหนักใจกว่าครั้งใดในชีวิต เพราะงานแต่งงานในวันนี้มันเหมือนกับการประกาศออกมาโต้งๆว่า หล่อนจะลบ ซินญอร์ คาร์โล ออกไปจากชีวิตของหล่อนในที่สุด และอ้าแขนรับ เมฆา เข้าไปแทนที่ ซึ่งเรื่องนี้ก็ถือเป็นการตัดพ่อของลูกหล่อนออกไปจากชีวิตอย่างสมบูรณ์ แล้วคุณๆทั้งสาม ลูกชายของหล่อนก็ทำท่าจะไม่เห็นด้วยสักคน
     “คุณเมฆาไปไหน”
    “ไปเตรียมตัวที่ปราสาทโคโมแล้วค่ะ พวกสไตลิสต์มาถึงตั้งแต่เจ็ดโมงแล้ว คุณเมฆาคงกำลังอาบน้ำอยู่ค่ะ”
    “ดีแล้ว” ประกายพรึกพยักหน้า “แล้วลูกๆของฉันล่ะ”
    เพ็ญแขอยากถอนใจออกมาดังๆ แต่ก็รู้ตัวว่าทำไม่ได้จึงเก็บอาการเอาไว้มิดชิด ตอบประกายพรึกเบาๆว่า
    “คุณมิลาน ตื่นแล้วค่ะ รับประทานอาหารเช้าอยู่ที่ชั้นลอยนี่เอง ส่วนคุณ
เวนิสก็คงจะกำลังช่วยคุณเป็นเอกจัดงานอยู่ที่โคโมมังคะ” เลขานุการิณีสาวว่า “เห็นมาทานอาหารเช้าด้วยกัน แล้วก็ออกไปด้วยกันน่ะค่ะ ป่านนี้คงจัดงานอยู่แล้วล่ะนะคะ คุณเป็นเอกเธอเอาการเอางานมากทีเดียว คุณเวนิสเองก็คอยไปไหนมาไหนกับคุณเป็นเอกอยู่ตลอด คงจะยังรู้สึกผิดเรื่องตกม้าอยู่น่ะค่ะ”
    “ดีแล้วล่ะ” คุณดาวของเพ็ญแข หันหน้ากลับออกมาจากบานหน้าต่างในที่สุด “เข้ากับลูกคนอื่นได้ก็ดีแล้ว ฉันอยากให้เขามาช่วยกิจการงานของฉันด้วย เขาเป็นคนดีมากนะเพ็ญ ขยัน สู้ชีวิต อีกอย่างเอาตาโรมเสียอยู่หมัดใครก็ทำอย่างนี้ไม่ได้ อยากให้อยู่ดูตาโรมไปเรื่อยๆ”
    เพ็ญแขมองนายอย่างรู้ทัน
    “ถ้าเป็นผู้หญิงฉันไปขอมาแต่งกับตาโรมแล้ว ไม่เห็นใครเหมาะเท่า เสียดายเป็นผู้ชายก็เป็นเพื่อนกันไปละดีแล้ว แต่ก็อีกนั่นแหละ เขาจะไปแต่งงานหรือย้ายออกไป ทิ้งตาโรมอยู่คอนโดคนเดียวเมื่อไหร่เราก็ไม่รู้ ตอนนั้นล่ะฉันจะเอาตาโรมไม่อยู่อีกแน่”
    “คุณดาวขา อย่าเพิ่งกลัวไปเลยค่ะ เขาก็ดูรักใคร่กันดี คงยังไม่ทิ้งกันง่ายๆหรอกค่ะ อีกอย่างหนึ่ง คุณโรมเองก็ใจเย็นลงเยอะกว่าเมื่อก่อนมาก”
    “ใช่ เย็นขึ้นเยอะตั้งแต่ได้หนูเอกนี่แหละมาคอยช่วยดึงๆไว้” หล่อนเดินมาที่ประตูห้องน้ำในที่สุด “ฉันรู้หรอกว่าโรมน่ะรักพ่อมาก ในบรรดาลูกทั้งสามคน ตาคนนี้เหมือนคาร์โลมากที่สุด”
    เพ็ญแขเพิ่งมาทำงานกับประกายพรึกได้ไม่นาน จึงยังไม่รู้ว่า เหมือนที่ว่านี้คือหน้าตา หรือนิสัย หรืออย่างไร เพราะถ้าดูจากรูปถ่ายแล้ว หน้าตาของซินญอร์ คาร์โลนั้นกระเดียดไปทางคุณเวนิสมากกว่า
    “คงไม่ลืมพ่อง่ายๆ ที่แต่งกับเมฆเนี่ย ลูกไม่มาล้มงานก็ดีแค่ไหนแล้ว” หล่อนถอนใจ “ถึงให้พาหนูเอกมาด้วย คิดไม่ผิดเลยจริงๆนะ คุมตาโรมไว้ได้จนถึงตอนนี้ ทีนี้ก็มาลุ้นตอนทำพิธีล่ะ ว่าตาโรมจะอาละวาดขึ้นมาหรือเปล่า”
    “ไม่หรอกค่ะ เขาคงไว้หน้าคุณดาวบ้าง” หล่อนแสดงความคิดเห็น “อีกอย่างคุณเป็นเอกก็คงจะปรามๆไว้อีกแรง”
    “ก็ดีแล้ว”
    “คุณดาวขา อย่าหาว่าเพ็ญละลาบละล้วงเลยนะคะ” หล่อนเปรยขึ้นมา ทำเอาประกายพรึกเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ว่าเนื้อความในประโยคต่อไปจะรุนแรงสักเพียงใด “คุณโรมกับคุณเป็นเอกนี่จะ ไม่สนิทกันเกินไปใช่ไหมคะ”
    แทนที่จะเครียด ประกายพรึกกลับหัวเราะลั่น
    “เพ็ญเอ๊ย เธอจะบอกว่าลูกฉันเป็นคู่เกย์กับหนูเอกหรือ”
    เลขานุการิณีก้มหน้านิ่งไม่ออกความเห็นมากไปกว่านั้น
    “ไม่มีทางละเธอ ฉันเลี้ยงลูกมาฉันรู้ซี ตาโรมไม่ใช่พวกชอบไม้ป่าเดียวกันแน่ๆ ส่วนหนูเอกดูยังไงก็ไม่เหมือน ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกจ้ะ” ประกายพรึกนิ่วหน้าราวจะต่อว่าเลขาของหล่อนว่าพูดอะไรเพ้อเจ้อ ไม่สมเหตุสมผล “ถ้าตาลานละว่าไปอย่าง ท่าทางมันออกมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่นแล้ว แล้วอยู่ในวงการแฟชั่นฉันยิ่งไม่แน่ใจในตัวลูกเสียเลย”
    ประกายพรึกเงียบไปพักหนึ่ง
    “แต่เอาเป็นว่าถ้าตาโรมเป็นเกย์ แล้วรักกับหนูเอกฉันคงไม่เสียใจเท่าไหร่ จะเบาใจด้วยซ้ำที่มันไม่ได้ไปรักกับใครก็ไม่รู้ ที่ฉันไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า อย่างน้อยถ้าเป็นหนูเอกฉันก็ไม่ว่าหรอก เด็กคนนี้ฉันเองยังถูกใจ” หล่อนปิดท้ายอย่างขำๆ “ลูก 3 คน ขอสักคนที่เป็นชายแท้ๆ แต่งงานสืบสกุลให้แม่สบายใจก็พอ แล้วถ้าฉันเลือกได้ขอเป็นลูกคนโตนี่แล้วกันที่จะดูแลกิจการ สืบทอดงานของฉัน มีหลานให้ฉันเลี้ยงไวๆ แล้วก็เป็นเสาหลักของน้องๆมันต่อไป ตาโรมกับตาลานฉันปลงแล้ว สองคนนั้นจะยังไงก็ได้ ขออย่าเป็นตาเวก็แล้วกันที่ผิดเพศน่ะ”

   หนุ่มที่กำลังถูกแม่พูดถึงอยู่นั้น ยืนกอดอกอยู่ไม่ไกลจากเป็นเอก มองชายหนุ่มผู้นั้นคอยออกคำสั่งให้บรรดาพนักงาน ยกโต๊ะเข้าออกจัดเรียงกันในลานกว้างของทะเลสาบโคโม
    ยกพื้นตั้งอยู่ตั้งฉากกับทางลงจากปราสาทโคโม ตรงกลางยกไว้สูงหน่อยจะจัดเป็นที่นั่งของบ่าวสาวและญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย แต่เก้าอี้ที่จัดไว้มีเพียงห้าตัว สำหรับ ประกายพรึก เมฆา พ่อแม่ของเมฆา และน้าของประกายพรึกคนเดียวเท่านั้น พ่อแม่ของหล่อนเสียไปแล้ว น้าหล่อนจึงเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่จะมาร่วมงาน ด้านซ้ายขวาจะต่ำลงมา ไว้ให้วงดนตรีแจ๊สที่คุณประกายพรึกจ้างมานั้น คอยเล่นขับกล่อมแขกในงาน
    สุดปลายของเวทีมี ซุ้มดอกไม้จัดไว้ เลยไปหน่อย ฝั่งตรงข้ามปราสาทเป็นซุ้มไว้ถ่ายภาพ ตั้งเสาไว้สองฝั่ง ห้อยชื่อของบ่าวสาวไว้กับเอ็นเล็กๆ ไม่ให้บังทัศนียภาพของทะเลสาบกว้างขวาง ที่อยู่ด้านหลัง มีทางปูยาวไปถึงท่าน้ำริมทะเลสาบ พอแขกขึ้นเรือมาก็จะเดินตรงมาถ่ายรูปกับบ่าวสาวได้โดยมีฉากหลังเป็นผืนน้ำกว้างส่องประกายล้อแสงแดดระยิบระยับสวยราวกับผ้าไหมดิ้นเงินปูวางไว้
    ตรงกลางมีเค้กสูงตามธรรมเนียม ล้อมรอบด้วยดอกไม้นานาชนิดที่เป็นเอกเป็นคนคัดสรรเองกับมือ บรรดาพนักงานค่อยๆช่วยกันน้ำดอกไม้มาประดับไว้รอบๆ อย่างขมักเขม้น  เป็นเอกยืนคุมอยู่ไกลๆ
    “ผมขอดอกลิลลี่ ขยับไปทางซ้ายอีกนิดครับ” ชายหนุ่มว่า มองกะคร่าวๆว่ากลางแล้วก็ ยกมือส่งสัญญาณว่าโอเค ให้พนักงานหนุ่มสาว ติดดอกไม้ไว้ได้
    “คุณ มานั่งพักก่อนไหม” เวนิสเอ่ยเบาๆ ถือน้ำเข้าไปให้เป็นเอกหนึ่งแก้ว
    “เดี๋ยวสักพักก่อนนะครับ จัดซุ้มเค้กเสร็จแล้วจะจัดรูปวาดของโรมไว้ที่สวนข้างๆโน้น แขกจะได้มีที่ให้ถ่ายรูป” เขาบอกเบาๆ “คุณจะไปไหนก่อนก็ได้นะ ผมมีไม้ค้ำ เดินได้สบายมาก”
    “ไม่เป็นไร ผมไม่รู้จะไปไหนด้วย มีอะไรเผื่อช่วยคุณได้” เวนิสเอ่ยเบาๆ “สรุปว่าคุณไม่ต้องจัดโต๊ะบุฟเฟ่ต์แล้วหรือ”
    “จัดซี เห็นไหมว่าเหลืออีกหลายขั้นตอน ตรงซุ้มถ่ายภาพก็ยังไม่ได้เอาดอกไม้มาวาง งานเริ่มเที่ยงแล้วกลัวจะไม่ทัน”
    “คุณต้องอาบน้ำอีกนะคุณ อะไรปล่อยให้คนอื่นจัดการได้ก็ปล่อยไปเถอะ” เวนิสว่า พยายามโน้มน้าวให้เพื่อนของน้องชายได้พักสักห้าหรือสิบนาที
    “ไม่ได้หรอก ผมต้องคุมเอง แม่คุณจ้างผมมาทำงาน ไม่ได้จ้างมาเที่ยว”
    “อย่างน้อยดื่มน้ำก่อนเถอะ เสียงคุณแหบหมดแล้ว”
    เป็นเอกจำใจ คว้าแก้วน้ำในมือของเวนิสมาดื่มให้จบเรื่อง ปรากฏว่าได้ผล พอเขาดื่มน้ำหมดแก้วแว พี่ชายของเพื่อนสนิทก็เดินกลับไปนั่งข้างๆทางขึ้นปราสาทตามเดิม ปล่อยให้เขาจัดการกับงานของเขาต่อไป
    
    เกือบเก้าโมง คุณประกายพรึกก็นั่งเรือกอนโดลามาขึ้นที่ท่าฝั่งปราสาทโคโม หล่อนมาใสเสื้อยืดกางเกงยีนส์รัดรูป เห็นทรวดทรงที่ยังสวยได้รูปไม่เหมือนกับคนที่เป็นแม่มาแล้วถึงสามคน หล่อนเดินมาตามทางที่เป็นเอกจัดไว้ มีเพ็ญแขตามมาอย่างใกล้ชิด เห็นบรรยากาศที่สวยงามก็ประทับใจจนอดยิ้มแย้มไม่ได้ อารมณ์ดีไปหมดทั้งวัน หล่อนเดินมาถึงตัวชายหนุ่มผู้เป็นคนควบคุมงานทั้งหมดก็บีบต้นแขนของเขาเบาๆ เป็นเชิงขอบใจ หนุ่มน้อยไม่เคยได้รับสัมผัสอย่างนี้ก็เคอะเขินอย่างทำตัวไม่ถูก
    “แม่ขอบใจมากนะลูก ที่อุตส่าห์ลงแรงช่วยทั้งที่ข้อเท้ายังเจ็บอยู่เลย”
    “ผมยินดีครับ” เป็นเอกว่า “พอทำงานที่เราชอบก็มีความสุขดีครับ”
    “ดีแล้วล่ะจ้ะที่หนูเอกมีความสุข” มองเลยเป็นเอกไปก็สบตาลูกชายคนโตที่เดินเข้ามาหาแม่
    “คุณแม่ ไม่รีบไปแต่งตัวหรือครับ”
    “กำลังจะไปเนี่ยแหละจ้ะ” ประกายพรึกยิ้มกว้าง “ลูกๆทั้งสองคนก็ต้องไปแต่งตัวเหมือนกันนะจ๊ะมาหล่อๆนะลูก วันนี้”
    เวนิสยิ้มรับ
    “หนูเอก” เจ้าสาวเอ่ยขึ้นเบาๆ “ตาโรมล่ะลูก”
    “ยังไม่ตื่นแหละครับ” เป็นเอกตอบ
    “แม่ฝากโรมด้วยนะ ไม่รู้ว่าทำใจได้หรือยัง หนูเอกช่วยให้กำลังใจเขาด้วยนะ เขาคงเสียใจที่แม่จะแต่งกับเมฆให้ได้ เหมือนแม่ไม่ใส่ใจเขา”
    “ครับคุณน้า ผมเข้าใจทั้งคุณน้าและก็โรมฮะ”
    “ดีแล้วล่ะจ้ะ ขอบใจหนูเอกมาก” หล่อนยิ้มให้เพื่อนสนิทของลูกชาย แล้วก็หันไปหาลูกคนโตของหล่อน “ตาลานล่ะจ๊ะลูก”
    “คงมาส์กหน้าอะไรของเขาไปตามเรื่องล่ะครับคุณแม่ ยังไงมันก็ต้องหล่อที่สุดในงานให้ได้” เขาว่าทีเล่นทีจริง
    “กลัวจะมาไม่ทันงาน”
    “คุณดาวคะ เรารีบไปแต่งตัวกันดีไหมคะ เดี๋ยวจะแต่งหน้าเซ็ตผมไม่ทันนะคะ” เพ็ญแขเอ่ยเตือน ประกายพรึกจึงได้สติ กล่าวลาลูกทั้งสองคนขึ้นไปยังปราสาทโคโมเพื่อแต่งหน้าทำผมเตรีมตัวให้พร้อมสำหรับงานสำคัญของหล่อนในครั้งนี้ ก่อนที่จะลับสายตา ประกายพรึกหันกลับมาดูบริเวณงานของหล่อนที่เป็นเอกกำลังกลับไปจัดการตกแต่งให้สวยงามขึ้นตามเดิม
    เมื่อเกือบสามสิบปี หล่อนก็มีงานแต่งงานกลางแจ้งแบบนี้แหละ เป็นเอกช่างเก่งเหลือเกิน ที่สามารถดึงเอาภาพในอดีตของหล่อนกลับมาอีกครั้ง
    มันเหมือนกันอย่างน่าใจหาย

    โรมนอนน้ำตาไหล ในห้องนอนที่ปิดม่านไว้มืดสนิทของเขา ต่อหน้าคนอื่นโรมอาจบอกว่าเขาไม่เห็นด้วยที่แม่แต่งกับเมฆากลัวแม่จะโดนหลอก ไม่มีใครรู้หรอกว่าความจริงแล้ว เขาใจสลายเพียงใดที่กำลังจะต้องเสียแม่ไปให้คนอื่นที่ไม่ใช่พ่อ ยังไงก็ตามโรมก็เป็นเหมือนเด็กทั่วๆไป ที่คิดว่าแม่ของเขาควรจะรักพ่อแต่เพียงผู้เดียว... ทำเป็นเย็นชาต่อหน้าคนอื่นแล้วเก็บเอาความอ่อนไหวมาใช้เวลาอยู่คนเดียว นี่ล่ะ นิสัยของโรม
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo quattordici บทที่14 โรมร้องไห้ T-T 3/04/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 03-04-2011 21:23:03
โถๆ อยากปลอบโรมจัง :กอด1: แอบสงสารเวนิช แม่อยากให้รับหน้าที่สืบสกุลต่อซะงั้น เป็นพี่คนโตนี่ลำบากจริงๆเนอะ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo quattordici บทที่14 โรมร้องไห้ T-T 3/04/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 03-04-2011 22:15:10
สงสารเวนิสกับภาวะอันยิ่งใหญ่ที่ถือว่าเป็นความหวังของแม่
ไม่รู้สิตอนนี้เชียร์เวนิสเต็มเหนี่ยวแล้วล่ะ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo quattordici บทที่14 โรมร้องไห้ T-T 3/04/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 03-04-2011 22:46:11
ไม่เชียร์สักคน รู้สึกยังไม่มีใครเข้าขั้นพระเอกเลย

ตาเวก็ปากแข็ง ตาโรมก็อ่อนแอ ตาลานก็เหลาะแหละ ก็นะดูกันยาวๆดีกว่า
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo quattordici บทที่14 โรมร้องไห้ T-T 3/04/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: LoveNineTeen ที่ 04-04-2011 01:18:23
โฮ โฮ โฮ น้องโรมของพี่ กอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

เริ่มจะมั่นใจว่าสุดท้ายไม่ใช่ ลานแน่ๆที่เอกจะเลือก

แต่ทำไมเอกต้องเป็นฝ่ายเลือก ทั้งสามคนอาจจะไม่ให้เอกเลือกก็ได้นะ ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo quattordici บทที่14 โรมร้องไห้ T-T 3/04/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 04-04-2011 04:41:08

ว้าย แคลสสิค เอ็กแซ้มเผิ่ล ของคำว่า
‘รักพี่ เสียดายน้อง’
จริงๆเลยนะคะนี่
เวนิส แค้หริ่ง อบอุ่น น่าใกล้ชิด
โรม เพื่อนสนิท อ่อนไหว น่าทะนุถนอม
มิลาน สดใส ไล้ฝ์หลี่ เชิญชวน
ข่มกันไม่ลงเลยค่ะ
/กิต. อ่านแล้วอึดอัดแทนเป็นเอก

 :confuse:
๒๐๑ + ๑ = ๒๐๒
ขอบคุณนะคะ คุณ Purple_Sky

หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo quattordici บทที่14 โรมร้องไห้ T-T 3/04/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 06-04-2011 01:27:18
สงสารโรมจัง
 :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo quattordici บทที่14 โรมร้องไห้ T-T 3/04/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 08-04-2011 21:13:04
Capitolo Quindici

              พอเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น โรมก็ปาดน้ำตา
    เป็นเอกจะเห็นน้ำตาของเขาไม่ได้เด็ดขาด น้ำใสๆ ที่ประกอบด้วยความรู้สึกนับล้าน ที่กลั่นออกมาจากภายในใจของเขานั้น เขาจะไม่มีวันยอมให้ใครเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนสนิทของเขาอย่างเป็นเอก เขาไม่อาจให้ชายหนุ่มคนนั้นเห็นน้ำตาแห่งความอ่อนแอของเขาได้เลย ในเมื่อเป็นเอกนั้นน่าสงสารกว่าเขาเพียงใดก็ไม่เคยร้องไห้ให้เขาเห็นสักครั้ง
    เพื่อนหนุ่มของเขาเรียกเบาๆจากหน้าประตูห้อง
    “โรม ยูตื่นหรือยัง”
    เขากะจะไม่ตอบ กะจะให้เป็นเอกกลับไปก่อนแล้วค่อยทำทีว่าเพิ่งงัวเงียตื่นเดินออกจากห้องมา แต่ก็รู้ดีว่าคนอย่างเขามันโกหกไม่เก่ง ทำอะไรไปเป็นเอกจะต้องรู้ว่าเขาแกล้งทำ จึงตัดสินใจร้องตอบกลับไปว่า
    “ตื่นแล้ว”
    “เข้าไปได้หรือเปล่า” น้ำเสียงของเป็นเอก มีความเป็นห่วงเจืออยู่ระหว่างพยางค์ โรมสังเกตได้จึงใจอ่อน ตอบเพื่อนหนุ่มไปว่าให้เข้ามาได้
    เป็นเอกเดินเกะเผลกข้ามาในห้อง เห็นโรมนอนหันหลังอยู่ก็นึกว่าอารมณ์ไม่ดี จึงยืนพิงประตูไว้เฉยๆ กอดอก มองเพื่อนหนุ่มจากด้านหลัง ซึ่งดูๆไปแล้วภาพหนุ่มผมยาวผิวขาวสะอาดนี้ ไม่ต่างอะไรจากหญิงสาว ผมสีน้ำตาลมานอนหันหลังให้เลย ผมโรมชักจะยาวเกินไปแล้วอย่างที่ประกายพรึกบอกหรือเปล่านะเนี่ย
    โรมาเห็นเพื่อนหนุ่มเข้ามาแล้วเงียบ จึงพลิกตัวกลับมาจ้องหน้าเป็นเอก
    “ยืนอยู่ทำไมล่ะ มาใกล้ๆก็ได้ไม่กัดหรอก”
    ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปาก เดินเข้ามาถึงเตียงนั่งที่หัวเตียง เหยียดขาไปสุด พิงหัวเตียงไว้อย่างนั้น ได้ยินโรมพูดว่า
    “ครั้งสุดท้ายที่นอนข้างกัน คือตอนไปค่ายตอนปีหนึ่งใช่ไหม”
    เป็นเอกหัวเราะ เลื่อนตัวลงมานอน มีเพื่อนหนุ่มอยู่ห่างไปไม่ถึงศอก จึงไม่ได้หันหน้าไปสบตา กลัวว่าจะเป็นการเข้าใกล้กันเกินไป เขายกมือขึ้นประสานกันสอดไว้ใต้ท้ายทอย
    “เอ้ามานอนข้างแล้วๆ อย่าทำอะไรนะโว้ยกลัว”
    โรมหัวเราะแห้งๆสองทีอย่างไม่ใส่ใจ
    “ไม่ทำหรอก สงสารคนเจ็บ”
    “แปลว่าถ้าไม่เจ็บยูจะปล้ำไอหรอวะ” เป็นเอกกระเถิบตัวหนี ก็เห็นโรมหัวเราะอีกครั้ง ตัวสั่นแต่ไม่มีเสียง จากหางตา
    “ยูจัดงานเสร็จแล้วหรือไง”
    “เสร็จแล้ว” เขาตอบเบาๆ ตายังจ้องไปที่เพดานอย่างไร้จุดหมาย “จะสิบเอ็ดโมงแล้ว ยูควรไปอาบน้ำแต่งตัว”
    “อยู่อย่างนี้พักหนึ่งก่อนไม่ได้หรือ” เงียบไปนาน พักใหญ่ๆ โรมนอนหงาย ยกมือประสานเหมือนเพื่อนหนุ่ม มองเพดานขาวนั้นอย่างกับว่ามันมีอะไรน่าสนใจเหลือเกิน   “เหมือนตอนปีหนึ่ง ที่นอนด้วยกันที่ค่าย”
    “อืม”
    “เชื่อเรื่องที่ว่าคนตายไปแล้วขึ้นไปเกิดเป็นดาวไหม”
    “เชื่อมั้ง” เป็นเอกหัวเราะ “ป้าไอสอนมาอย่างนั้น ยูดูเศร้าๆว่ะโรม”
    เพื่อนหนุ่มเงียบไปพักหนึ่ง แล้วก็ถามขึ้นมาอีก
    “คิดถึงพ่อหรือไง”
    โรมหันหน้ามามองเพื่อนหนุ่ม พร้อมๆกับที่เป็นเอกเองก็หันมามองเขาเช่นกัน พอผมของโรมา กองอยู่ข้างหลังอย่างนั้นหมดแล้ว หน้าตาของเขาก็ดูละม้ายคล้ายมิลานขึ้นมาเหลือเกิน ยิ่งไฟสลัวอย่างนี้ยิ่งเหมือน อดคิดไม่ได้ว่าหากได้มานอนจ้องตามิลานอย่างนี้ เขาจะควบคุมตัวเอง ให้นอนเฉยๆได้หรือไม่
    “คิดถึงสิ” โรมตอบ
    “ไอก็คิดถึงพ่อกับแม่”
    “ไอกำลังจะเป็นแบบยูเลย” โรมายิ้ม ดวงตารื้นไปด้วยน้ำตาคล้ายจะร้องไห้ แต่ก็ใจแข็งพอที่จะกลั้นมันไว้ได้อย่างนั้น “รู้สึกเหมือนไอกำลังจะเสียแม่ไปว่ะเอก”
    “เฮ้ย อย่าคิดแบบนั้น” เขาว่า “แม่แค่แต่งงาน ไม่ได้ไปตายที่ไหน ยังไงก็ยังจะได้เจอกัน ยังไงยูก็ยังมีแม่อยู่ โรม”
    โรมาเงียบไป รู้สึกตัวแล้วว่าไม่น่าพูดประโยคเมื่อครู่ออกไปเลย
    “ตามใจแม่เขาเถอะนะยังไงก็ความสุขของเขา อย่างน้อยยูก็มีโอกาสได้ตามใจแม่ อย่าให้ต้องเสียแม่ไปก่อนแล้วมาคิดว่า ไม่เคยได้รู้จักเขา ไม่เคยได้ขัดใจหรือตามใจเขาเลย เหมือนที่ไอเป็น”
    จบประโยคเป็นเอกก็ลุกขึ้นจากเตียง
    “ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว รวบผมเสียด้วยนะ ตามใจคุณประกายพรึกเขาเสีย” เพื่อนหนุ่มว่าแล้วเดินออกมา ยังไม่ทันได้ปิดประตูดี โรมก็ตามออกมา คว้าไหล่เขาไว้ แล้วพลิกตัวของเขาไปยืนประจัญหน้ากัน ครู่ใหญ่ทีเดียวที่ต่างฝ่ายต่างก็จ้องกันอยู่เฉยๆ ดวงตาของโรมรื้นน้ำ ราวกับว่าสักนาทีหนึ่งจากนี้ มันพร้อมจะระเบิดออกมาเป็นน้ำตาได้ง่ายๆ
    “เอก มันอาจจะฟังดูประหลาด อยู่บ้างนะ แต่ขอร้องว่าอย่าทิ้งไอไปไหน ช่วยอยู่กับไอไปอย่างนี้สักพักจนกว่าไอจะทำใจเรื่องแม่ได้ ได้หรือเปล่า อย่าเพิ่งย้ายออก อย่าเพิ่งหายหน้าไปไหนนะ กลับไปยังไงก็ยังอยู่คอนโดเดิมนะ ได้หรือเปล่า เรื่องค่าใช้จ่ายถ้าไม่อยากออก ไอจะช่วยเอง ไอไม่มีใครแล้วจริงๆ”
    เป็นเอกหัวเราะลงลูกคอเบาๆ ตัวสั่นคลอนเล็กน้อยทำให้โรมรู้ตัวว่า ยังไม่ได้ถอนมือออกจากบ่าของเพื่อนหนุ่ม
    “เออไม่ไปไหนหรอก” เขาว่าแล้วก็หันหลังกลับกำลังจะเดินออกไป “อย่าทำซึ้งสิวะ ขนลุก”
    “เดี๋ยวเอก” พอเป็นเอกหันหลังปุ๊บ โรมก็ยกมือปาดน้ำตาที่ไหลลงมาอย่าห้ามไม่ได้ออกไป พอชายหนุ่มได้ยินเพื่อนเรียกก็หันกลับมา เห็นแก้มที่เปียกอยู่แม้จะเช็ดออกไปแล้วก็ตาม ก็ใจอ่อน ขยับไปไหนไม่ได้
    “มีอะไร”
    “ขอกอดสักครั้งได้ไหม” โรมว่าบังคับใจไม่ให้น้ำตาไหลออกมา และไม่ให้รวบเป็นเอกเข้ามากอดอย่างที่อยากทำ เตรียมตัวฟังคำปฏิเสธทำนองว่า
    “ไอ้บ้า อย่ามาตลก” หรืออะไรที่ร้ายแรงกว่านั้น
    แต่ท้ายที่สุดแล้ว กลับเป็น เพื่อนหนุ่มของเขาต่างหากที่ไม่ได้ตอบว่าอะไร แต่โผเข้ามากอดเขาไว้หลวมๆ ตบหลังเบาๆสองสามที แล้วก็ผละออกไปอย่างรวดเร็ว เป็นอ้อมกอดที่เพื่อนสักคนจะมอบให้เพื่อนได้ โดยไม่มีอะไรเคลือบแฝงเลยแม้แต่น้อย เป็นสิ่งที่จริงใจที่สุด เท่าที่เพื่อนชายสองคนจะปฏิบัติต่อกันได้เท่านั้น
    
     พอสองหนุ่มอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เป็นเอกก็เดินกะเผลกออกมานอกบ้านก่อนที่โรมจะตามออกมาติดๆ เป็นเอกหันมาบอกเพื่อนหนุ่มว่า
    “ต่อให้เกิดอะไรขึ้นก็ขอให้สงบสติอารมณ์ให้ดี อย่าทำงานเสีย อย่าให้แม่ขายหน้านะ” โรมาพยักหน้าอย่าเข้าใจ “ไม่เห็นแก่คุณเมฆาก็เห็นแก่คุณประกายพรึก ไม่งั้นเห็นแก่ไอก็ได้ที่อุตส่าห์จัดงานมาตั้งแต่เช้า”
    “รู้แล้วน่า” เพื่อนหนุ่มผมยาวพูดเสียงอ่อยๆ รู้ตัวว่าตัวเองไม่เป็นที่ไว้วางใจเพียงใดจากคำพูดของเป็นเอกนี้
    “ไป... ถ้างั้น” เป็นเอกเดินนำไปก่อนมีโรมเดินตามหลัง มือซุกกระเป๋าเดินมาเฉยๆ ไม่ช่วยประคองหรือถามสารทุกข์สุขดิบ แบบที่พี่ชายของเขาคงจะทำ แล้วก็ไม่ได้ชวนคุยอย่างสนุกสนานอย่างที่น้องชายของเขาจะต้องทำแน่ๆด้วย โรมชอบเดินเงียบๆ มีอะไรแล่นอยู่ในหัวตลอดเวลา ทุกครั้งที่ไปไหนกับเป็นเอก
    เดินผ่านหน้าบ้านมิลาน เป็นเอกก็ไปกดออดเผื่อว่าหนุ่มน้อยจะยังไม่ไปที่งาน ปรากฏว่ายังไม่ไปจริงๆ น้องชายของโรมวิ่งมาเปิดประตูพูดพลางหอบแฮกๆ
    “โอย อาบน้ำอยู่เลยฮะพี่เอก ขอสิบนาที” เป็นเอกเชื่อว่าอาบน้ำอยู่จริงๆ เพราะหนุ่มน้อยมาเปิดประตูรับเขาในผ้าเช็ดตัวสีขาวสะอาดพันไว้รอบเอวอย่างหลวมๆ อย่างน่ากลัวว่าจะหลุดมาเมื่อไหร่ก็ได้ ร่างกายท่อนบนมีน้ำเกาะอยู่พร่างพราวผมเปียกลู่เสยไปพ้นหน้า ดูน่าดึงดูดอย่างไม่ต้องสงสัย “เข้ามานั่งรอไหมฮะ”
    เป็นเอกเดินเข้าไปตามคำเชิญชวน นั่งรอที่ห้องรับแขกที่ตกแต่งคล้ายๆกับบ้านของโรม เว้นแต่ว่าดูทันสมัยกว่า ภาพวาดต่างๆก็เป็นภาพอาร์ตแบบ แอบสแตรก และลายกราฟฟิกต่างๆ ข้าวของเครื่องใช้ก็ดูทันสมัยกว่ามากเห็นได้ชัดว่าหนุ่มน้อยคนนี้เป็นคนติดความสบายจริงๆ
    สิบนาทีของมิลานคือ สี่สิบกว่านาทีของเวลาที่เขาใช้ไปจริงๆ รอกันเกือบเมื่อยแล้วหนุ่มน้อยก็กลับมาในชุดสูทสีขาวสะอาดอย่างหนุ่มน้อย ผมที่ไม่ถูกไถเปิดข้างไม่ได้ตกลงมาปรกบนหน้าผากอย่างน่ารำคาญอีกแล้ว แต่หวีเสยเปิดหน้าผากกลมกลึงเอาไว้ ดูแปลกตา แต่ก็หล่อน่ารักไปอีกแบบ
    “ไปฮะขอโทษที่ให้คอย”
    โรมเดินนำหน้าไปก่อน ตามสไตล์เพราะอยู่ใกล้ประตูที่สุด ไม่คิดจะรออยู่ก่อนอย่างรักษามารยาท แต่อย่างใด ทำให้เป็นเอกอ้อยอิ่งอยู่สักครู่ขณะที่มิลานเช็คผมเป็นครั้งสุดท้าย
    “พี่เอกเหนื่อยไหม” เขาถาม “ได้ข่าวว่าจัดงานเองเลยหรือฮะ”
    “ครับ แล้วลานหายไปไหนมาทั้งวัน พี่นึกว่าจะมาอยู่ช่วยกัน”
    หนุ่มน้อยหัวเราะลงลูกคอ
    “ผมก็อยู่มาส์ก หน้าเตรียมตัวอยู่ในนี้สิครับ” เขายักคิ้ว ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เป็นเอก “นี่ไง หน้าเนียนขึ้นไหม”
    “จะเนียนขึ้นได้ยังไง” เป็นเอกหัวเราะอย่างประหม่า “มันเนียนอยู่แล้วนี่”   “โธ่ แต่มันหอมมากเลยครับ มาส์กอันนี้” หนุ่มน้อยว่า หากมิลานไม่ใช้น้องของโรม เขาคงกล้าได้กล้าเสียถามว่า
    “หอมจริงหรือเปล่า ขอพิสูจน์ได้ไหม” ไปแล้ว แต่ด้วยความที่กลัวน้องของเพื่อนจะไม่ชอบใจแล้วจะผิดใจกันเสียเปล่า จึงไม่ได้ทำอะไรจนแล้วจนรอด
    “เนี่ย ลองดมดูซีฮะหอมมาก” หนุ่มน้อยยื่นมือให้ เป็นเอกก็ใจสั่นก้มลงสูดกลิ่นหอมหวานนั้นที่ข้อมือ พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าหนุ่มน้อยเดินเข้ามาใกล้อีก ยกมือขึ้นจัดเนคไทให้เขาใหม่ “ไท เบี้ยวฮะ”
    เป็นเอกหน้าแดง ไม่รู้ว่ามิลานจะเห็นข้อนี้หรือไม่ เพราะเพื่อนหนุ่มของเขาร้องเรียกมาจากนอกบ้าน
    “สองคนนั้นน่ะ จะออกมาได้หรือยัง”
    “มาแล้วค้าบ” มิลานตะโกนตอบออกไป ไม่ลืมหันมายักคิ้วให้เป็นเอก แล้วเดินตัวปลิวออกไปก่อน โชคดีเหลือเกินที่เรื่องออกมาเป็นแบบนี้ เพราะหากโรมไม่เรียกไว้เมื่อครู่ เป็นเอกคงอดใจไม่ไหวอีกต่อไป โน้มคอหนุ่มน้อยมาจูบเสียให้หายอยากสักทีสองที

    บรรดาแขกเหรื่อมากันเกือบหมดแล้ว เจ้าบ่าวเจ้าสาวยืนอยู่ที่ซุ้มดอกไม้ที่เป็นเอกจัดไว้ให้ถ่ายรูป ยิ้มกว้างให้เพื่อนฝูงและญาติๆที่เดินผ่านไปมา
    ประกายพรึกดูสวยราวกับสาวแรกรุ่นในชุดเกาะอกสีครีมรัดคอเซตไว้รอบเอวท่อนล่างไม่ใช่กระโปรงยาวฟูฟ่องแบบที่เคยเห็นกันทั่วไป แต่เป็นผ้าโปร่งบางเบาหลายชั้นยาวลากพื้น เคลื่อนไหวทีก็โบกพลิ้วไปกับสายลมที ผมดำสนิทที่มักแสกกลางปล่อยปลายให้แนบดวงหน้านั้น รวบขึ้นเป็นมวยไว้เหนือกระหม่อม ทิ้งผมส่วนหนึ่งดัดไว้อ่อนช้อยเลื้อยรอบกรอบหน้า ขับดวงหน้าที่แต่งอ่อนๆอย่างเป็นธรรมชาติให้ดูสวยเด่นขึ้น ฝ่ายเจ้าบ่าวก็อยู่ในสูทสีครีม เสื้อเชิ้ตด้านในเป็นสีชมพูโอลด์โรสเข้ากันกับสีธีมของงาน มีดอกไม้กลัดไว้ที่ปกเสื้อยืนยิ้มไม่หุบด้วยความภาคภูมิใจ และสุขใจที่ได้แต่งงานกับคนที่ตนรัก
    พอเห็นลูกเลี้ยงและเพื่อนเดินมาก็สะกิดเรียกเจ้าสาวของตน ประกายพรึกเห็นลูกๆ ก็โบกมือเรียกเข้าไปถ่ายรูป
    “โรม มิลาน เอก มาถ่ายรูปกันลูก” เดินเข้าไปใกล้ ตากล้องก็เอ่ยขึ้นว่า
    “เอ้าเจ้าบ่าว เจ้าสาวถ่ายกับลูกชายเลยครับ”
    เป็นเอกถือว่าตัวเองไม่ใช่ลูกก็เลยยืนอยู่ข้างตากล้องไม่ยอมเข้าไปถ่าย
    “หนูเอก มาถ่ายกับแม่ซีจ๊ะมาลูกขึ้นมา” ชายหนุ่มกำลังจะปฏิเสธ แต่ก็ถูกใครคนหนึ่งเข้ามาคว้าต้นแขนไว้ ไม่ต้องหันไปก็รู้ว่าเป็นเวนิส
    “ไป เข้าไปถ่ายรูป”
    “เอ้าตาเวมาพอดี มาถ่ายด้วยกันทั้งสี่คนเลยลูกมาเร็ว” ประกายพรึกว่าอีกครั้ง บวกกับแรงบีบของเวนิสที่ต้นแขนเป็นเอกจึงปฏิเสธไม่ได้ เดินเข้าไปพร้อมถ่ายรูป เวนิสเลือกยืนข้างเมฆาเพราะโรมกับมิลานต่างก็ยืนติดกับแม่ปล่อยให้ข้างเจ้าบ่าวมีที่ว่างอยู่แล้ว พอเป็นเอกเข้าไปยืนตรงนั้นก็เท่ากับไปยืนทำตัวไม่ถูก อยู่ข้างเวนิส ตรงสุดขอบเฟรมพอดี
    “พี่เอกมายืนข้างลาน” หนุ่มน้อยเรียก เขาจึงเดินกะเผลกย้ายฝั่งไปยังไม่ทันถึงที่เป็นเอกก็ได้ยินตากล้องโพล่งขึ้นมาว่า
    “ภาพเอียงแล้ว ฝั่งโน้นมีที่ว่างคุณอยู่ที่เดิมแหละ”
    “เอกคงเดินไม่สะดวก ผมย้ายฝั่งเองดีกว่าครับ” โรมว่าเดินย้ายไปอยู่ข้างเมฆาอย่างไม่มีใครมาสั่ง สร้างความประหลาดใจให้กับบ่าวสาวยิ่งนัก
    ตากล้องกดชัตเตอร์ แชะ ได้รูปมาเรียบร้อย
    ก่อนจะเดินลงจากยกพื้นนั้น เป็นเอกเดินผ่านโรม ได้ยินเขาพูดกับเมฆาเบาๆว่า “ยินดีด้วยนะครับ” เพียงห้าพยางค์เท่านั้น เจ้าบ่าวก็มองหน้าเจ้าสาวเลิ่กลั่ก อย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
    พอหนุ่มๆทั้งสี่ เดินออกจากฉากนั้นไปแล้วเมฆาก็หันมาถามเจ้าสาว
    “ดาว ทำไมวันนี้ลูกคุณดูแปลกๆ”
    “ตาโรมน่ะหรือ สงสัยหนูเอกคงพูดอะไรไปแล้วล่ะ” หล่อนชะเง้อมองเห็น โรมประคองเป็นเอกเข้าไปไหว้ญาติผู้ใหญ่ มีเวนิสคอยอยู่ใกล้ๆ ส่วนลูกคนเล็ก ก็วิ่งไปโต๊ะโน้นโต๊ะนี้อย่างเด็กชอบเข้าสังคม แต่ก็หันมายิ้มให้เป็นเอกเป็นพักๆ
    “เป็นเอกนี่มีอิทธิพลกับลูกของดาวจังนะ” เมฆาว่า
 
     เวนิสพาเป็นเอกมานั่งที่โต๊ะก่อน ตรงนั้นเป็นโต๊ะวีไอพีสำหรับลูกชายทั้งสาม เป็นเอก และญาติๆใกล้ชิดกันอีกสี่คน เป็นเอกไหว้ทุกคนแล้ว พอเวนิสแนะนำว่าเป็นคนตกแต่งสถานที่ บรรดาญาติๆก็เอ่ยปากชมกันไม่ขาดปาก
    คุยกันไปตามมารยาทไม่กี่คำ บรรดาแขกเหรื่อก็ทยอยกันไปตักอาหารมากิน เป็นเอกกำลังจะลุกขึ้นเวนิสก็กดบ่าเขานั่งลง
    “ผมตักให้คุณอยากกินอะไรก็บอกมา”
    “ไม่เป็นไรครับ” เขาตอบ “ผมไม่รู้ว่ามีอะไรกินบ้าง คงต้องไปเดินดู”
    “ไม่รู้ได้อย่างไรก็คุณเป็นคนจัดโต๊ะบุฟเฟ่ต์”
    “ผมไม่รู้เรื่องอาหาร ผมดูเรื่องตกแต่งสถานที่อย่างเดียว” เป็นเอกตอบเวนิสก็เลยพูดขึ้นว่า
    “ถ้างั้นผมช่วย คุณลุกไหวไหม”
    “ผมมีไม้ค้ำครับ ขอบคุณ”
    กระนั้นต่อให้เป็นเอกลุกไปเองได้ เวนิสก็ยังยืนยันจะเป็นฝ่ายตักอาหารให้เขาอยู่ดี ราวกับเป็นเอกแขนหักด้วยอีก อย่างไรอย่างนั้น

***********************************************************************
ตอนนี้เป็น fan service ให้แฟนโรมครับ เด๋วช่วงนี้จะมีโมเม้นนี้ตลอด แต่ไม่รู้เป็นเอกจะเล่นด้วยกับโรมแค่ไหน ตอนนี้จิตใจเป็นเอกกำลังเป็นเอามากกับมิลานอยู่ อย่าลืมติดตามกันนะครับ
ปล. คนที่ยังไม่ได้จองปางบรรพ์ อย่าลืมไปลงชื่อนะครับ เดี๋ยวผมจะแจ้งรายละเอียดแล้วก็เปิดโอนตังค์แล้วคร้าบบ  ขอบคุณทุกคนเลยครับที่ยังไม่ทิ้งกันไปไหน
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 15 - เป็นเอก-โรม's moment 8/04/11 - 21.10
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 08-04-2011 21:42:35
คิดว่าเป็นเอกคิดกับโรมแค่เพื่อนจริงๆอ่ะ แต่ยังไงก็เชียร์โรมน้า  มิลานรู้แล้วแน่เลยว่าเอกชอบ แบบนี้จะโดนงาบง่ายๆมั้ยนี่ :z3:
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 15 - เป็นเอก-โรม's moment 8/04/11 - 21.10
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 08-04-2011 21:59:49
โรมเป็นคนอ่อนไหวมาก ๆ  และก็เป็นคนที่เก็บตัวมากทีเดียว  โชคดีที่มีเป็นเอกเป็นเพื่อนและเข้าใจ
ตอนนี้เป็นเอกออกแนวหลงมิลานมาก  จนเห็นทุกการกระทำของเวนิสน่าเบื่อ  น่าสงสารเวนิส
อ่านตอนนี้แล้วขำที่เมฆาตกใจกับคำแสดงความยินดีของเป็นเอก  นึกภาพออกเลย

หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 15 - เป็นเอก-โรม's moment 8/04/11 - 21.10
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 09-04-2011 23:51:19
ถ้าเอกได้กับมิลานขึ้น สงสัยโรมจช๊อกตาตั้งแน่ๆ

แต่อ่านๆมาสามคนยังไม่เข้าแก๊บสักคน ไม่เหมือนพระเอกสักคน เลือกทางที่สี่หาคนใหม่ดีกว่า
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 15 - เป็นเอก-โรม's moment 8/04/11 - 21.10
เริ่มหัวข้อโดย: vizaa ที่ 11-04-2011 10:01:18
ตามมาเป็นกำลังใจให้นักเขียนคนเก่งครับ คิดถึงผลงานน้องกายจังคร้าบบ

เดี๋ยวไปอ่านก่อนนะครับ :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 15 - เป็นเอก-โรม's moment 8/04/11 - 21.10
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 16-04-2011 16:34:06
อืม

เป็นเอกมีอิทธิพลกับลูกๆทั้งสามของคุณแม่จริงๆ

แต่ที่คุณแม่ไม่รู้คือ ลูกๆทั้งสามของคุณแม่ก็มีอิทธิพลต่อคนอ่านเหมือนกัน
 :z1: :z1:

เลือกไม่ถูกค่ะ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 15 - เป็นเอก-โรม's moment 8/04/11 - 21.10
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 16-04-2011 18:52:38
ถ้าเอกได้กับมิลานขึ้น สงสัยโรมจช๊อกตาตั้งแน่ๆ

แต่อ่านๆมาสามคนยังไม่เข้าแก๊บสักคน ไม่เหมือนพระเอกสักคน เลือกทางที่สี่หาคนใหม่ดีกว่า
ขอเสนอเมฆา  อิ อิ  ว่าแต่วันนี้จะได้อ่านมั๊ยน๊อออ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 15 - เป็นเอก-โรม's moment 8/04/11 - 21.10
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 16-04-2011 23:55:02

ว้าย คุณแม่ดาวขา....เลี้ยงลูกมายังไงนี่



.



.



.



.



.



ถูกใจกิต.ทั้งสามคน
ไม่ทราบจะให้เป็นเอกเลือกใครดี
ไม่อยากให้อีกสองคนเสียใจค่ะ

๒๑๑ + ๑ = ๒๑๒
ขอบคุณนะคะ คุณ Purple_Sky

หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 15 - เป็นเอก-โรม's moment 8/04/11 - 21.10
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 18-04-2011 22:31:15
เพิ่งมาคร้าบบบ

ยังไม่ได้เริ่มอ่านเลย กะลังอ่านคุณชายอยู่

เด้วจะตามมาอ่านครับ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 15 - เป็นเอก-โรม's moment 8/04/11 - 21.10
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 22-04-2011 21:04:20
Capitolo  sedici


 บ่าวสาวเดินขึ้นนั่งบนที่ของตน เรียบร้อยแล้วตอนที่เป็นเอกใกล้จะอิ่ม พ่อแม่ของเมฆานั่งอยู่ทางขวาของลูกชาย ส่วนคุณน้าของประกายพรึกก็นั่งอยู่ทางซ้ายของหล่อน    คุณพริ้ง เป็นน้องสาวแท้ๆของแม่ของประกายพรึก ก็เท่ากับว่าเป็นคุณยายของเวนิส โรม และมิลานนั่นเอง อายุของหล่อนคงจะอยู่ราวๆหกสิบกว่า กระนั้นก็ยังดูคล่องแคล่วดี ไม่หลงๆลืมๆเหมือนคนแก่ทั่วไป
    หล่อนดูสง่า สูงศักดิ์ และงามอย่างเหลือเชื่อ ผมสีขาวโพลนทั้งหัวนั้น หวีเสยพ้นหน้าผาก แล้วปล่อยยาวลงมาเคลียบ่า แต่งหน้าไว้จัด แต่เมื่อเข้าแสงแดดจ้าอย่างตอนนี้ หล่อนจึงดูสวยรับกันดีกับเสื้อผ้าสีโอลด์โรสค่อนข้างเข้ม กรุยกรายแบบพวกคุณหญิงคุณนายทั่วไป กระนั้นท่าทางของหล่อนก็ไม่ได้แช่มช้อย เชื่องช้าอย่างที่ควรจะเป็นหากพิจารณาเพียงใบหน้า แต่กระฉับกระเฉง ออกจะโผงผางสักเล็กน้อย เมื่อหล่อนเลื่อนเก้าอี้ออก นั่งลงรับประทานอาหารที่จัดเอาไว้ให้ ด้วยกิริยาไว้ท่าหากแต่เป็นธรรมชาติ ไม่ดูแข็งเกร็งเกินไป
    เป็นเอกตักพิซซ่าหน้าแฮมชีสเข้าปากเคี้ยวช้าๆ อย่างไม่เจริญอาหารนัก อยู่ที่นี่ เขากินแต่อาหารอิตาเลียน จนจะเลี่ยนตายอย่างที่บอกกับเวนิสไปไม่รู้กี่ครั้งแต่คนที่เข้าใจท่าทีของเขาที่สุดกลับเป็นเพื่อนหนุ่มของเขาต่างหาก โรมนั่งอยู่ทางซ้ายก้มลงมาเกือบจะชิดกับใบหน้าของเพื่อนหนุ่มเอ่ยถามว่า “ไม่อร่อยใช่ไหม”
    “เลี่ยน” เป็นเอกตอบเบาๆ เมื่อต้องมาอยู่ต่อหน้าบรรดาญาติๆของเพื่อนก็ไม่กล้าวิจารณ์ตรงๆ จะเป็นการเสียมารยาทได้
    “เอาซอสมะเขือเทศหรือซอสพริกไหม” เวนิสได้ยิน เขานั่งถัดไปทางขวาของเป็นเอก พอเดาท่าทางของชายหนุ่มบอกกับอ่านปากของเขาไปด้วยก็พอจะตามทันว่าคุยอะไรกันอยู่ “ผมสั่งให้ได้นะ”
    “ไม่เป็นไรครับ” เป็นเอกตอบ “ผมทานได้เพียงแต่ไม่ชอบแล้วก็ไม่ชินเท่านั้น”
    “ถ้าอยากได้ก็บอกมาแล้วกัน” เวนิสว่าทิ้งท้าย ก่อนจะหันไปคุยกับลูกสาวของคุณยายพริ้งต่อ
    “พี่เอกฮะ” มิลานโผล่มาด้านหลัง เท้าแขนกับพนักเก้าอี้ก้มหน้าลงมาแทบจะซ้อนเกยไหล่ของเพื่อนสนิทของพี่ชาย “ไม่ทานพิซซ่าหรือฮะ ลานขอนะ”
    “ไอ้ลาน แกก็ไปตักใหม่ซี” พี่คนโตของเขาดุ “เหลือตั้งเยอะแยะ”
    “ผมขี้เกียจเดินนี่นา”
    “งั้นพี่ไปเป็นเพื่อน” เป็นเอกเสนอตัว
    “นั่งอยู่ตรงนั้นแหละ ขาจะไม่หายก็เพราะชอบเดินไปเดินมาอยู่นั่นแหละ” โรมดุ แล้วก็ลุกขึ้นเดินคู่ไปกับน้องชายกอดคอกันออกไปอย่างสนิทสนม เป็นเอกไม่รู้ตัวว่าเขามองตามไปจนแทบลับสายตา พอหันกลับมาที่จานอาหารก็พบว่าเวนิสกำลังนั่งจ้องเข้าอยู่
    “มองตามใหญ่เลย อึดอัดหรือไงอยู่ตรงนี้”
    “เปล่านี่ครับ”  หนุ่มผมสั้นว่า “ก็เห็นสองคนนั้นสนิทกันดี ไม่คิดว่าจะสนิทกันมาก”
    “เขาสนิทกันสองคน” เวนิสยิ้มมุมปาก “ผมเหมือนเป็นคนแปลกหน้าเวลาอยู่กับน้อง อย่างที่บอกแหละว่าผมหายไปอยู่เมืองนอกนาน โรมก็คงจะติดต่ออยู่แต่กับลานตลอด”
    “อย่างน้อยคุณก็มีพี่น้องล่ะครับ” เป็นเอกก้มหน้า นึกขึ้นได้ว่าทำอย่างนี้ จะดูเป็นเด็กมีปัญหามากเกินไปจึงเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มทางขวา เห็นว่าเขาก็กำลังจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเป็นเอกไม่ได้เปลี่ยนจุดโฟกัสไปไหน
     “คุณลูกคนเดียวหรือ”
    “ครับ” เขาตอบสั้นๆ
    “คุณก็รับผมกับเจ้าลานเป็นพี่น้องเสียซี” ชายหนุ่มพูดทีเล่นทีจริง
    “แหมหน้าเหมือนกันมากเลยนะครับ ผมกับคุณเนี่ย”
    เวนิสหัวเราะ เมื่อเห็นเป็นเอกทำหน้าล้อเลียนใส่ ไม่นานสองพี่น้องก็กลับมา มิลานรีบแย่งที่นั่งโรม เพื่อที่ตัวเองจะได้นั่งข้างเป็นเอก แล้วให้โรมนั่งเก้าอี้ตัวต่อไปแทนอย่างช่วยไม่ได้  สักพักพนักงานหนุ่มสาวในชุดสูทสวยก็พากันเดินออกมา เสิร์ฟไวน์แดงอย่างดีให้กับแขกทุกคนในนั้น
    “ไว้ดื่มอวยพรให้คู่บ่าวสาวค่ะ” ญาติคนหนึ่งที่นั่งร่วมโต๊ะนั้นพูดขึ้นมา
    “ใครจะเป็นคนอวยพรล่ะฮะ” มิลานถามอย่างสนใจใคร่รู้ เป็นเอกก็เงยหน้าขึ้น เลิกคิ้ว ตั้งใจฟังเช่นเดียวกันเพราะเขาเองก็อยากรู้
    “ตามธรรมเนียมก็ญาติผู้ใหญ่คนสนิทที่เป็นผู้ชายจ้ะ แต่เหมือนว่างานนี้จะไม่มีนะแขกส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงหมดเลย ที่เป็นผู้ชายก็มีแต่เพื่อนแล้วก็ญาติห่างๆมากกว่า”
    “ผมจะเป็นคนอวยพรเองครับ” เวนิสยิ้มให้ญาติของเขา
    “ก็ดีจ้ะ ตอนนั้นคงไม่มีใครกล้า คงมัวแต่คิดว่าใครจะแก่กว่ากัน” ญาติของเวนิสหัวเราะเบาๆ
 
    คุยกันไปอีกได้ไม่กี่คำ คุณพริ้งก็ลุกขึ้นชูแก้วไวน์ขึ้น เอาช้อนเล็กๆเคาะเบาๆ จากนั้นก็เริ่มกล่าวเสียงหล่อนดังกังวาน ฟังดูมีอำนาจในตัวเอง แม้จะสั่นเครือเพราะความชรา แต่ก็ฟังได้เข้าใจชัดเจนดีทุกคำ
    “สวัสดีค่ะ งานวันนี้เป็นงานเลี้ยงแบบกันเองนะคะเราไม่มีพิธีรีตองใดๆทั้งนั้น เป็นงานกินเลี้ยงสังสรรค์กันปกติเพื่อเป็นเกียรติให้แก่คู่บ่าวสาวเท่านั้น แม้เจ้าตัวบอกว่าไม่อยากมีพิธี ไม่เข้าโบสถ์ ไม่รดน้ำสังข์ แต่เราก็จะมีพิธีกันเล็กๆตามแบบของเรากัน ดิฉันดีใจที่ประกายพรึกแต่งงานกับเมฆา เพราะเมฆาเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติดีครบถ้วน เขาขยันตั้งใจทำงาน เป็นเพื่อนที่ดี เป็นคู่รักที่ดีของประกายพรึกมาตลอด ไม่ได้รังเกียจความจริงที่ว่า หลานสาวของฉันเคยแต่งงานแล้ว อีกทั้งยังมีลูกแล้วถึงสาม นี่พูดกันตรงๆ” หญิงชราตวัดสายตามาที่หลานยายทั้งสามของหล่อน ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ดิฉันอยากจะขอให้เจ้าบ่าวและเจ้าสาวกล่าวอะไรสักหน่อยค่ะ”
    เสียงปรบมือดังขึ้น เมฆาลุกขึ้นก่อนเป็นคนแรก
    “ผมและดาวเราเริ่มจากการเป็นเพื่อนกันมาก่อน เรามาเจอกันที่คอกม้าข้างๆปราสาทโคโมนี่ ตอนนั้นยังไม่มีปราสาทเลยด้วยซ้ำ เรามีโอกาสได้คุยกันสองสามครั้ง ก็กลายเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากมาแต่นั้น ดาวเป็นคนดี เป็นผู้หญิงทำงาน มีลูกถึงสามคนแต่ก็เลี้ยงดูลูกด้วยตัวเองมาได้ถึงเท่านี้ ผมชื่นชมเขามากและมันก็ทำให้ผมอยากอยู่ใกล้เขาตลอดเวลา คอยช่วยเหลือแบ่งเบาภาระ และสร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะให้กับเขา
    กระทั่งเรามีโอกาสได้ใกล้ชิดกัน มากถึงจุดที่ผมมั่นใจแล้วว่าผมไม่อาจจะรักใครได้อีกอย่างที่ผมรักประกายพรึกอีก ผมอยากจะบอกว่าผมรักดาวมาก เท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะรักผู้หญิงคนหนึ่งได้ ผมยอมรับได้ทุกอย่างที่ดาวเป็น ทุกอย่างที่เกี่ยวกับดาวและพร้อมจะดูแลและรักดาวอย่างนี้ตลอดไปครับ”
    เสียงปรบมือกันเกรียวกราว ประกายพรึกยิ้มกว้างดวงตารื้นด้วยหยาดน้ำตา พูดกับเมฆาแผ่วเบาอย่างที่แขกคนอื่นคงไม่ได้ยิน แต่เป็นเอกอ่านปากได้ว่า 
    “ขอบคุณมากค่ะเมฆ ขอบคุณ”
    พอเริ่มพูดน้ำเสียงของหล่อนก็ สั่นเครือราวกับว่าจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่ร้องไห้ออกมาเมื่อไหร่ก็ได้
    “ขอบคุณค่ะ ดิฉันไม่มีอะไรจะพูดมากนอกจากจะบอกว่า ดิฉันรักเมฆเหลือเกิน ไม่ใช่รักแบบใจเร็วด่วนได้ ไม่ใช่รักเพราะดิฉันไม่มีใคร ดิฉันมั่นใจว่าเมฆคือคนที่ใช่สำหรับดิฉัน เขารัก เคารพและให้เกียรติดิฉันอย่างสุภาพบุรุษพึงปฏิบัติต่อสตรี เขายอมรับดิฉันอย่างที่ดิฉันเป็น เท่านี้ดิฉันก็ไม่ขออะไรจากเขาอีกเลยนอกจาก ขอความรักที่จริงใจอย่างที่ดิฉันมั่นใจเหลือเกินว่าเขาจะให้ฉันได้อย่างแน่นอน และดิฉันก็มั่นใจว่าดิฉันก็จะรักเขาได้ตลอดไปเช่นกันค่ะ”
    แขกปรบมือดังลั่น หลายคนถึงกับซึ้งน้ำตาคลอ เป็นเอกหันไปสำรวจสีหน้าของเพื่อนหนุ่มก็พบว่า หนุ่มผมยาวที่มัดผมรวบไว้เป็นหางม้านั้น ยังมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้มีความไม่พอใจเจืออยู่บนใบหน้าอย่างที่เขาเป็นมาตลอด และอาจเป็นเพราะอำนาจของแสงแดด และมุมมองหรือเปล่าก็ไม่รู้ เป็นเอกเห็นว่า โรมายิ้มที่มุมปากเล็กน้อยด้วย
    พอเจ้าสาวพูดจบ คุณพริ้งก็พูดขึ้นด้วยเสียงดังฟังชัดเช่นเคยว่า
     “ดิฉันยินดีที่จะบอกว่าบัดนี้เป็นเวลาอันสมควรแล้ว ที่จะให้บ่าว สาวแลกแหวนให้แก่กันและกันเพื่อเป็นสามีภรรยากันอย่างสมบูรณ์ค่ะ”
    เจ้าบ่าวเจ้าสาวแลกแหวนกันสวม ท่ามกลางเสียงปรบมืออันล้นหลามจากบรรดาญาติสนิท มิตรสหาย กระทั่งทั้งคู่แลกแหวนกันแล้ว เมฆาก็เข้าหอมแก้มภรรยาของเขาด้วยความรักทะนุถนอม  เป็นเอกมองหน้าเพื่อนหนุ่มก็ไม่เห็นโรมจะขัดใจแต่อย่างใด กลับปรบมือให้ด้วยรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้า พอเสียงปรบมือเริ่มซาลง ชายหนุ่มก็ทำสิ่งที่เขาไม่คิดว่าเพื่อนของตนจะทำ
    โรมาลุกขึ้นถือแก้วไวน์อยู่ในมือ ยืนนิ่งมองแม่ของตนและคู่ของของหล่อนด้วยแววตาที่ยากจะบอกได้ว่ารู้สึกอย่างไร เมื่อเขาเปิดปากพูดบรรดาแขกเหรื่อทั้งหลายก็พากันเงียบเสียงลง เสียงห้าว ทุ้มลึกของลูกชายคนกลางของเจ้าสาวนั้นก้องกังวานไปทั่วบริเวณ
    “ผมขอให้คู่บ่าวสาวมีแต่ความสุขในชีวิตคู่ ขอให้รักกันนานๆ และเป็นคู่รักที่น่ารักของกันอย่างนี้ตลอดไปครับ” เขาเว้นวรรค ยกแก้วไวน์ขึ้น พูดเป็นภาษาอิตาเลียนว่า “Per cent’anni”
    บรรดาแขกเอ่ยปากพูดตามกันออกเสียงถูกบ้างผิดบ้างแต่ทุกคนก็เปล่งออกมาจากใจจริงๆ มีเพียงสามหนุ่มลูกชายของคุณประกายพรึกเท่านั้นที่รู้ว่าคำที่โรมเปล่งออกมานั้น เป็นคำกล่าวอวยพรตามแบบของประเทศอิตาลี ให้คู่บ่าวสาวรักกันเป็นร้อยปี
    ทุกคนในงานยกไวน์แดงขึ้นดื่ม เพื่อเป็นเกียรติแด่เจ้าบ่าว เจ้าสาว ที่กำลังประหลาดใจกันทั้งคู่ที่จู่ๆคนอวยพรกลับเป็นคนที่ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ที่สุด อย่างโรมไม่ใช่เวนิสอย่างที่คิดไว้
    “Per cent’anni…” เสียงนั้นยังก้องดังอยู่ในหูของประกายพรึกราวกับว่าหล่อนเพิ่งได้ยินเจ้าของภาษาพูดมันออกมาอยู่เมื่อวานนี้เอง ทั้งที่เหตุการณ์ก็ล่วงเลยมาจนถึงบัดนี้เป็นเวลาเกือบสามสิบปีแล้ว
    ประกายพรึกจำได้ดีว่า หล่อนก็ได้ยินคำนี้ในงานแต่งงานของหล่อนครั้งนั้นเหมือนกัน กระนั้นต่อให้บรรยากาศจะเหมือนกันเพียงใด คืองานเป็นกลางแจ้งเหมือนกัน คำกล่าวอวยพรเหมือนกัน อาหารที่เสิร์ฟ และการตกแต่งสถานที่จะคล้ายกัน แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างมาก และชัดเจนสำหรับเจ้าสาวที่กำลังยืนนิ่งไม่รู้ตัวอยู่อย่างนั้นก็คือ
    ผู้ชายที่อยู่ข้างหล่อนคือเมฆา ไม่ใช่คาร์โล
    และความรู้สึกที่อยู่ในใจหล่อนนั้นก็ต่างกันมากเช่นกัน ครั้งที่แล้วหล่อนมีความสุข สดชื่น เปรมปรีดิ์ ตื่นเต้น ระคน ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ครั้งนี้กลับเป็นความรู้สึกที่แปลกออกไปทั้งที่ความรู้สึกมันควรจะเหมือนกัน ประกายพรึกรู้สึกผิดต่อลูกชายทั้งสามอยู่เต็มอก และหล่อนก็คิดถึงคาร์โลเหลือเกิน
    มองไปยังทะเลสาบก็เหมือนกับว่ามีชายคนหนึ่งที่หล่อนรักมากมาย เดินขึ้นมาจากท่าเรือ เหมือนว่าชายผู้ที่รูปร่างสูงใหญ่หน้าตาคล้ายเวนิส นิสัย ท่าทางเหมือนโรม สีผมกับดวงตาเหมือนมิลาน... สามีเก่าของหล่อน กำลังเดินตรงเข้ามาหาแล้วพูดสั่งขึ้นอย่างตัดพ้ออยู่กลายๆ เหมือนว่าเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด และเข้าใจหล่อนดีว่าหล่อนยังไม่ลืมเขา… เหมือนเขากระซิบเบาๆข้างหูหล่อนว่า
    “Non amarmi...”
    “ดาวคิดอะไรอยู่” เสียงของเจ้าบ่าวปลุกหล่อนออกมาจากห้วงความคิด หญิงสาวยิ้มหวานตอบกลับไปทันทีไม่ให้ดูมีพิรุธ แม้ว่าผู้คนรอบกายหล่อนก็สังเกตได้เช่นกันว่าหล่อนกำลังเหม่อลอยเพราะอะไรบางอย่างอยู่
    “อ้อ สงสัยดาวคงเหนื่อยแหละค่ะ”
    “อืม ไม่ควรเลย” ชายหนุ่มว่า “วันแต่งงาน ไม่น่าจะเหนื่อยเลยนะครับ”
    “ขอโทษทีค่ะเมื่อคืนคงนอนไม่หลับ” หล่อนว่า มีเวลาคุณกับเขาได้ไม่นานเพราะหล่อนจะต้องลงจากเวทีมาเพื่อเต้นรำกับเขา แขกผู้ใหญ่บนนั้นลงมารอที่โต๊ะด้านล่างแล้ว เมฆาก็ลงมายืนที่พื้นสนามแล้ว มีเพียงประกายพรึกนั่นแหละที่กำลังยืนเหม่อลอยอยู่บนยกพื้นราวกับต้องมนตร์อะไรสักอย่าง
    “ไปเถอะครับ เราต้องเต้น วอลซ์นะลืมแล้วหรือ” เมฆาเตือนสติ หล่อนจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ เดินลงมาจากเวที เข้าคู่พร้อมกับเจ้าบ่าวแล้ว นักดนตรีก็บรรเลงเพลงวอลซ์หวานชื่น จังหวะเอื่อยๆช้าๆ ทำให้คู่บ่าวสาวนั้นรู้สึกราวกับว่าลอยอยู่เหนือก้อนเมฆ เคลื่อนตัวไปตามจังหวะของทำนองเพลงจากสวรรค์ เมฆากระชับภรรยาของต้นเข้าแนบแน่นในอ้อมกอด ไม่ลืมจะกระซิบเบาๆว่า
    “ผมรักดาว”
    บรรดาแขกในงานส่งเสียงร้องยุให้เจ้าบ่าวจุมพิตเจ้าสาว ทั้งคู่พยายามปฏิเสธ แต่ก็ต้องทำตามเมื่อทนคำรบเร้าไม่ไหว เมฆาดึงร่างของประกายพรึกเข้าไปประทับรอยจูบบนริมฝีปากคู่สวยนั้น เนิ่นนานราวกับจะให้หมดวัน

     พอบ่าวสาวเต้นรำเสร็จแล้ว แขกคนอื่นๆก็ลุกขึ้นเต้นด้วย เวนิสชวนญาติสาวของตนไปเต้นตามมารยาท ส่วนมิลานก็พยายามชวนคุณยายพริ้งไปเต้นอยู่อย่างเด็กๆ ทิ้งให้โรมอยู่กับเป็นเอกเพียงสองคน 
   “ไอไปห้องน้ำนะ” โรมว่า สีหน้าไม่มีพิรุธ เดินเลี่ยงออกมาจากงานเงียบๆ ตรงเข้าปราสาทไป
    ชายหนุ่มผมยาวไม่ได้ไปห้องน้ำอย่างที่ว่า แต่ตรงเข้าไปในแกลอรี่ที่เดิมจะมีรูปวาดฝีมือเขาประดับไว้ หากแต่ตอนนี้ถูกยกออกไปตั้งไว้ในงานจนเกือบหมดแล้ว ห้องนั้นจึงเป็นห้องที่เกือบจะว่างเปล่า ... ว่างเปล่าเหมือนกับใจของเขาในตอนนี้
    โรมดึงยางรัดผมออก โยนไปให้พ้นตัว ยกมือขึ้นขยี้ผมอย่างหงุดหงิดใจ ก่อนจะ ทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรงตรงมุมห้อง จู่ๆน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างควบคุมเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป
    ในที่สุดแม่ก็แต่งงานกับเมฆา
    ถึงเขาจะทำได้แนบเนียนเพียงใดตลอดเวลาที่อยู่ในงาน แต่เขาก็ยังรับไม่ได้จนแล้วจนรอดที่ต้องเสียแม่ไปให้กับชายหนุ่มที่ไม่น่าจะรักแม่ของเขาอย่างจริงใจเหมือนที่พูดในงานเลี้ยงเสียเลย เสียใจ แค้นใจ แทบตายก็ทำได้แค่นั่งดูทำเป็นชื่นชมยินดีไปด้วย ไม่อยากจะลุกขึ้นอาละวาดทำลายงานแต่งงานของแม่ตัวเอง อย่างที่เป็นเอกบอกนั่นแหละว่า ให้ตามใจแม่เสียบ้างก่อนที่จะไม่มีโอกาส
    อย่างน้อยเขาก็ทำตามที่เป็นเอกบอกได้ก็แล้วกัน
    คิดถึงเพื่อนหนุ่ม เขาก็เห็นเป็นเอกเดินตรงเข้ามาหา โรมปาดน้ำตาออกไป ไม่อยากให้เพื่อนหนุ่มเห็น ฝ่ายนั้นนั่งลงข้างๆไม่ทัก ไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่ จนเอื้อมมือมาวางบนเข่า บีบเบาๆอย่างให้กำลังใจเท่านั้น โรมก็ร้องไห้โฮออกมาอย่างช่วยไม่ได้
    “ยูหันไป ขอไอร้องไห้เสร็จก่อน” เป็นเอกอยากหัวเราะกับคำขอของเพื่อน แต่ก็ห้ามใจไว้เมื่อคิดว่าโรมคงเสียใจมาก คงอยากให้เขาปลอบใจมากกว่า
    “ถ้าไม่อยากให้เห็นก็ได้ แต่ไออยากเห็นยูร้องไห้บ้าง อยากให้ยูได้ระบายออกมาบ้างนะโรม เพื่อนน่ะมีไว้ให้ระบาย ให้ช่วยเหลือยามทุกข์ใจไม่ใช่หรือไง”
    หนุ่มผมยาวพยักหน้า ไม่รู้ตัวว่าซบหน้าลงร้องไห้กับบ่าของเพื่อนสนิทตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าเมื่อได้ทำแล้วก็ไม่อาจจะหยุดได้ง่ายๆ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 16 - เป็นเอก-โรม's moment(2) 22/04/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 22-04-2011 21:24:58
 :m11:เป็นเอกกะโรม อิอิ
นายเมฆนี่มาดีจริงป่าวหว่า ยังไม่ค่อยไว้ใจอยู่ดีอ่ะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 16 - เป็นเอก-โรม's moment(2) 22/04/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 22-04-2011 21:35:08
ชอบตอนที่โรมกับเป็นเอกอยู่ด้วยกันแบบนี้ที่สุด  ไม่ดูเคร่ง  เจ้าระเบียบเหมือนอยู่กับเวนิส
ไม่ดูเรื่อยเปื่อย ไร้สาระเหมือนอยู่กับมิลาน  แต่ก็ยังเชียร์เวนิสอยู่ดีแหละ  อิ อิ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 16 - เป็นเอก-โรม's moment(2) 22/04/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: ณยฎา ที่ 05-05-2011 20:35:16
รอ...
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 16 - เป็นเอก-โรม's moment(2) 22/04/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 08-05-2011 00:36:58
ไม่อัพเรื่องนี้แล้วเหรอ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 16 - เป็นเอก-โรม's moment(2) 22/04/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: jobisuka ที่ 08-05-2011 23:44:59
ตามทันแล้วคร๊า

อ่านปางบรรพ์..จบ ก็ไล่มาถึงคุณชาย แล้วก็ ทางสามสายนี่หละค่ะ

ขอชื่นชมให้กับ ภาษาที่ใช้ค่ะ สละสลวยมาก แถมยังบรรยายได้เห็นภาพอีกด้วย

ชอบที่สุดก็ตรงเขียนไม่ค่อยมีคำผิดเลยนี่หละ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ +1 ด้วย
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 16 - เป็นเอก-โรม's moment(2) 22/04/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 11-05-2011 02:40:38
โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย
น้ำตาไหลแทนโรม
สงสัยคงจะอึดอัด อัดอั้น แต่ก็ต้องเก็บไว้เพื่อแม่เพื่อเอก
ชอบเวนิส แต่เชียร์โรมค่ะ ส่วนน้องลานก็น่ารักแต่พี่ไม่คลิ๊กค่ะ 55555555
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 16 - เป็นเอก-โรม's moment(2) 22/04/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: jobisuka ที่ 25-05-2011 19:26:44
เข้ามารอค่ะ หายไปเรย  :z13:
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 16 - เป็นเอก-โรม's moment(2) 22/04/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 30-05-2011 16:55:22
ยังรออ่านอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 16 - เป็นเอก-โรม's moment(2) 22/04/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 04-07-2011 13:21:57
 :m22:
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 16 - เป็นเอก-โรม's moment(2) 22/04/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: pure_ka ที่ 02-02-2012 23:45:59
ไม่มาต่อเรื่องนี้แล้วหรือค่ะ เสียดายเรื่องดีดี จัง
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 16 - เป็นเอก-โรม's moment(2) 22/04/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: pochu52 ที่ 29-09-2012 20:10:57
เรื่องนี้จะไม่มาต่อแล้วเหรอคะ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 16 - เป็นเอก-โรม's moment(2) 22/04/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: Saku Saku ที่ 04-10-2012 22:20:48
Pray for Khun Purple Sky...

เห็นหายไปนานแล้ว ไม่ทราบว่าเป็นอะไรรึเปล่า เป็นห่วงนะครับผู้แต่ง
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 16 - เป็นเอก-โรม's moment(2) 22/04/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 30-07-2013 15:22:10
คนเขียนจะไม่มาต่อจริงๆ เหรอคะ
จะทิ้งเรื่องนี้แล้วเหรอ  :mew6:
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 16 - เป็นเอก-โรม's moment(2) 22/04/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 10-04-2014 01:39:14
รอ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 16 - เป็นเอก-โรม's moment(2) 22/04/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 13-01-2015 17:13:24
ดัน ๆ ๆ
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 16 - เป็นเอก-โรม's moment(2) 22/04/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: Palmieri ที่ 17-10-2015 14:22:14
อยากอ่านเรื่องนี้ต่ออ่าาา
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 16 - เป็นเอก-โรม's moment(2) 22/04/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: ninewlop ที่ 07-10-2016 00:41:45
เมื่อไหร่จะมา...
หัวข้อ: Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 16 - เป็นเอก-โรม's moment(2) 22/04/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 11-05-2020 15:47:06
 :pig4:
 :3123:
รอ