[ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 16 - เป็นเอก-โรม's moment(2) 22/04/11 - 21.00
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [ท า ง ส า ม ส า ย] บทที่ 16 - เป็นเอก-โรม's moment(2) 22/04/11 - 21.00  (อ่าน 42853 ครั้ง)

ออฟไลน์ Purple_Sky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +354/-1
เก็บกระทู้ไว้  -------โมดุฯ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน

ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

*************************************************************************************

Prima parte
L'inizio del viaggio
ส่วนที่หนึ่ง :
จุดเริ่มต้นของการเดินทาง


Capitolo uno

    ทันทีที่รถยนต์สีขาวสะอาด เลี้ยวพ้นหัวมุมของซอยที่ออกจะคับแคบ และวกวนที่แยกมาจากถนนใหญ่มาแล้ว สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็คือเสาโรมันแบบ
โครินเธียนขนาดใหญ่ สูงกว่าสองเมตรเป็นสีงาช้างดูขาวนวลตัดกันกับพื้นหญ้าสีเขียวขจีและภูเขาสีเขียวเข้มที่สลับซับซ้อนกันอยู่ด้านหลัง ด้านบนของตัวเสาเป็นคานที่ทำเป็นซุ้มโค้งอย่างทางเข้ามหาวิหารของประเทศตามแถบยุโรปตะวันตก มีตัวอักษรสีทองเขียนเป็นภาษาที่คนนั่งข้างคนขับอ่านไม่เข้าใจว่า “Palazzo di Loei” ข้างใต้มีอักษรตัวเล็กกว่าบ่งบอกว่าที่นี่ เป็น ”Resort and Homestay”
    “ถึงแล้ว ปาลัซโซ่ ดี เลย” เสียงห้าวดังขึ้นจากที่นั่งฝั่งคนขับ พอเห็นสีหน้าที่แสดงถึงความไม่เข้าใจของเพื่อนหนุ่มข้างๆ เขาก็แปลประโยคข้างต้นเสียให้เสร็จสรรพ “ปราสาทแห่งเลย รีสอร์ตของคุณแม่”
     เป็นเอก พยักหน้ารับสายตาไม่ได้จับจ้องอยู่ที่คู่สนทนาเพราะบรรยากาศด้านนอกนั้นช่างงดงามเกินกว่าจะเชื่อได้ว่ามีอยู่จริงในประเทศไทย
    “สวยมาก ไม่อยากเชื่อว่าอยู่ที่เลย นึกว่าอยู่โบโลญาเสียอีก”
    “เขาถึงรณรงค์ให้ท่องเที่ยวในไทยไงล่ะ ไม่ต้องไปถึงต่างประเทศ” ผู้พูดใช้เสียงห้าว ทุ้มลึกกล่าวอย่างขบขันแต่น้ำเสียงไม่ได้ขำด้วยตามแบบของเขา ชายหนุ่มลูกครึ่งไทยอิตาเลียนจับพวงมาลัยด้วยมือซ้าย แขนขวาเท้ากระจกที่เปิดกว้างไว้ มือเสยผมหยักศกยาวประบ่าสีน้ำตาลอ่อนคล้ายสีฟางที่ปลิวไสวไปตามสายลม ไม่ให้ตกลงมาปิดดวงหน้าที่แสนจะหล่อเหลาราวเทพบุตรของเขา
    ดวงตาสีน้ำตาลเข้มซ่อนตัวอยู่ใต้กรอบแว่นสีชาทำให้ไม่รู้ว่าบัดนี้แววตาของชายหนุ่มมิได้มีความตื่นเต้นสนอกสนใจทิวทัศน์รอบกายเหมือนเพื่อนหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ จมูกโด่งเป็นสันเชิดขึ้น อย่างรั้นๆ เขาไม่อยากมาเหยียบที่นี่ ถ้าเลือกได้ละก็เขาไม่มีวันนึกอยากมาที่นี่เลยแม้สักครั้งเดียวในชีวิต
    “โรม” เพื่อนหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆเอ่ยปากเรียกชื่อของชายหนุ่มลูกครึ่งอิตาเลียนอย่างสนิทปาก “อย่าบอกนะว่าปราสาทข้างหน้านั่งน่ะเป็นโรงแรมของยู”
    ปราสาทที่เป็นเอกว่า คือปราสาทหินสีน้ำตาลขนาดใหญ่งดงามโอ่อ่ามองเห็นต่ำลงไปเบื้องล่างจากเนินที่รถสีขาวสะอาดคันนี้กำลังแล่นผ่าน ข้างหน้าสองหนุ่มเป็นทางแยกมีป้ายปักไว้ ชี้ทางซ้ายว่าไป  Gran Palazzo ทางขวาเขียนว่า Villaggio dei Romani หรือหมู่บ้านโรมัน คือหมู่บ้านที่พักซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมองเห็นได้จากตรงนั้นนั่นเอง สังเกตได้ว่าแม้จะพูดภาษาไทยแต่ เป็นเอก และ โรมา จะใช้สรรพนามไอและยูเรียกแทนกันเสมอ เพื่อไม่ให้รู้สึกหยาบคายเมื่อต้องพูดกูมึง หรือห่างเหินเกินไปที่จะเรียกว่าคุณกับผม
    
    ชื่อโรมานี้ เป็นชื่อจริงๆของเขา เป็นเอกยังจำตอนที่ถามชื่อเพื่อนหนุ่มเมื่อเจอกันครั้งแรกในค่ายอาสาแห่งหนึ่งเมื่อราวหกปีมาแล้วได้
    เขาเอ่ยปากถามขึ้นก่อนว่า “หวัดดี คุณชื่ออะไร”
    “โรม” เพื่อนหนุ่มตอบสั้นๆ ดูไม่ค่อยเป็นมิตรนักในครั้งแรก
    “โฬม ดาราช่องเจ็ด หรือ โลม เล้าโลม” เป็นเอกถามทีเล่นทีจริง
    “โรม แบบโรมา เมืองหลวงของประเทศอิตาลี” เขาตอบ จากนั้นก็ง่วนเก็บของอะไรไปเรื่อย ไม่ได้สนใจว่าชายหนุ่มร่างสูงโปร่งข้างๆจะพูดอะไรต่อ
เป็นเอกมาพบทีหลังว่า ชื่อโรมไม่ใช่ชื่อเล่น แต่เป็นชื่อจริงของชายหนุ่ม ชื่อในบัตรประชาชนก็ใช้ชื่อนี้ เมื่อรู้ก็ประหลาดใจไม่น้อย
    “นายชื่อ โรมา ตรีโลกนาถ เลยหรือนี่”
    “ใช่ พ่อเป็นอิตาเลียน ถ้าใช้นามสกุลพ่อก็ โรมา โมเร็ตตี”
    เรื่องชื่อของเขาจึงกลายเป็นประเด็นพูดคุยกันในวันแรก เมื่อคนอื่นๆรู้ว่าเขาชื่อแปลกอย่างนี้ ก็กลายเป็นว่าแทบทุกคนในค่ายอาสา มานั่งล้อมชายหนุ่มฟังเรื่องเล่าว่า เขาเป็นลูกครึ่งอิตาเลียน พ่อของเขามาทำงานเปิดร้านอาหารอิตาเลียนเล็กๆ แถวซอยทองหล่อ ก็เจอเข้ากับแม่ รู้จักกันอยู่หลายปีจึงแต่งงาน ทั้งคู่ไปฮันนีมูนกันที่อิตาลี ชื่อของเขาจึงมีที่มาเป็นอย่างนั้น

    พอได้ยินเพื่อนหนุ่มถาม โรมา ก็ตอบว่า
    “นั่นละ ตัวที่ทำการโรงแรม แต่ว่าตอนนี้เข้าบ้านเอาของไปเก็บก่อน” ริมฝีปากอวบอิ่มขยับเล็กน้อย แต่เสียงที่ดังออกมากลับฟังดูเข้มคล้ายคนอารมณ์ไม่ดี หากไม่สนิทกันมากขนาดนี้เป็นเอกก็คงคิดว่าโรมากำลังอารมณ์เสียอยู่ แต่เปล่า โรมเป็นคนพูดน้อย ห้าวๆ เซอร์ๆ เดาใจยากอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทำให้ไม่ค่อยมีใครอยากจะคบหาเขานานนัก มีเป็นเอกเท่านั้นที่คบกันเป็นเพื่อนมาได้นานที่สุด เพราะนิสัยคล้ายๆกันกระมัง จึงเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย
    รถที่หนุ่มลูกครึ่งขับอยู่นั้นแล่นลงจากเนินไปทางขวา เบื้องหน้านั้นเป็นบ้านหลังเล็กๆ สีสันสวยงาม เรียงรายกันไปสองข้างถนนโดยไม่มีรั้วกั้น แต่ละหลังมีดอกไม้เมืองหนาวและต้นไม้เขียวขจีปลูกไว้ราวบ้านในเทพนิยาย โรมาขับรถลึกเข้าไปในหมู่บ้านอย่างไม่มีทีท่าจะหยุดผ่านบ้านหลังเล็กหลังน้อยหลายหลัง กระทั่งแล่นมาถึงทางแยกสามสายที่ด้านในสุดของหมู่บ้าน ป้ายด้านหน้าเขียนว่า พื้นที่ส่วนบุคคลห้ามเข้า
    แต่โรมก็ขับตรงเข้าไปไม่ได้เลี้ยวไปทางไหน
    ทำให้เป็นเอกสนใจมาดูซิว่าทางแต่ละสายนั้นจะนำเขาไปไหนได้บ้าง 
มองไปสุดทางทางซ้ายก็พบบ้านขนาดใหญ่หลังหนึ่ง เป็นบ้านสีน้ำตาลเข้มดูขรึมและสง่างามตั้งอยู่ข้างลำคลองที่มีคนพายเรือผ่านไปมา ในขณะที่ทางขวามือของเขานั้น เป็นบ้านอีกหลังที่ดูทันสมัย รูปร่างคล้ายตึกในปัจจุบันทาอิฐเป็นสีชมพูสวยด้านหลังเป็นทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตา เมื่อมองเห็นบ้านอีกสองหลังแล้ว เป็นเอกก็หันกลับมาด้านหน้าพบว่า ทางตรงกลางนี้นำเขามาสู่บ้านของโรม
    บ้านหลังนั้นทาสีเหลืองเข้มจนเกือบเป็นสีน้ำตาล มีระเบียงยื่นออกมาจากชั้นสอง หลังคาปูกระเบื้องสีน้ำตาลเข้ม ประตูทางเข้าบ้านด้านหน้านั้น มีเสา
ดอริกประดับไว้ เหนือบานประตูมีภาพกระจกสีรูปดาวที่สะท้อนแสงยั่วล้อดวงอาทิตย์ดึงดูดความสนใจให้เป็นเอกจ้องอยู่แต่มันอย่างเดียว
    พอเอารถเข้าจอดในลานจอดรถข้างๆเรียบร้อยแล้ว โรมาก็เปิดประตูลงจากรถ ก่อนที่เป็นเอกจะทำตาม เพื่อนหนุ่มบิดซ้าย บิดขวาไล่ความเมื่อยขบออกไปหลังจากขับรถมาจากกรุงเทพเสียหลายชั่วโมง เสื้อยืดและกางเกงยีนส์แบบธรรมดาๆนั้นดูดีเข้ากันกับบุคคลิกที่เงียบขรึมของชายหนุ่ม พาลให้เป็นเอกแอบคิดไม่ได้ว่า หากเพื่อนหนุ่มของเขาตัดผมเสียหน่อย แล้วหันมาใส่เสื้อเชิ้ตกางเกงแสลค ก็คงจะทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่านี้หลายเท่า
    แต่เป็นเอกก็ไม่เคยบอกความคิดนี้กับเพื่อนหนุ่มลูกครึ่ง เพราะรู้ดีว่านอกจากโรมจะไม่ฟังแล้ว อาจทำให้เขาอารมณ์เสียไปเลยทั้งวัน โรมไม่ชอบให้ใครพูดเรื่องผมของเขา
    ทันทีที่ลงจากรถ เป็นเอกก็เดินอ้อมมาด้านหลัง เปิดกระโปรงรถ ยกกระเป๋าเสื้อผ้าของเขาลงมา ก่อนที่โรมจะเดินมาสมทบแล้วยกกระเป๋าผ้าของตัวเองบ้าง ตาก็เหลือบมองเพื่อนหนุ่ม ด้วยความขันในใจ เป็นเอกดูตื่นเต้นราวกับได้มาเที่ยวต่างประเทศอย่างไรอย่างนั้น เขาดูกระตือรือร้น และตื่นตัวตลอดเวลาราวกับว่าพลังงานของเขาจะไม่มีวันหมดไปอย่างนั้น
    เป็นเอกเป็นหนุ่มไทย หน้าตาธรรมดาๆ ดวงตาสองชั้นหางชี้ขึ้นเล็กน้อยด้วยความที่มีเชื้อสายจีน หากแต่ผิวเข้มเหมือนคนไทยทั่วไปทำให้เขาดูดีมากในสายตาของสาวฝรั่ง จมูกโด่งแต่ไม่เป็นสันเหมือนของโรมดูเข้ากันกับปากสีชมพูบางเฉียบ ที่ประดับไว้บนคางเรียวเล็ก ผมตั้ดสั้นคล้ายรองทรงสูง เซ็ตตั้งๆไว้เลี่ยงการมีผมตกมาปรกหน้าให้รำคาญในวันที่อากาศร้อนๆ เพื่อนหนุ่มสวมเสื้อแขนยาวสีขาว คอวีพอดีตัว กางเกงยีนส์ธรรมดาๆ และรองเท้าผ้าใบคู่หนึ่งเท่านั้น ดูเป็นชายหนุ่มที่หากเดินผ่านตามทางทั่วไปก็คงไม่มีใครสังเกตเห็น
    เดินคู่กับเขาทีไร คนก็มักจะมองเขาก่อนแล้วจึงมองเป็นเอกเสมอ แต่ท้ายที่สุดแล้วหลายคนจะชอบเป็นเอกมากกว่าเขา แม้ชายหนุ่มจะมีอะไรหลายๆอย่างคล้ายกับเขา แต่สิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างแตกต่างคือ เป็นเอกจะช่างพูดช่างจาตลอดเมื่อสนิทกับใครสักคนเข้าแล้ว ต่างจากเขาที่จะสนิทหรือไม่สนิทก็พูดน้อยพอกัน
    โรมา เดินนำเพื่อนหนุ่มไปไขประตูบ้าน แล้วก็ลากกระเป๋าผ้าเข้าไปวางไว้ริมประตูอย่างไม่ใส่ใจ ถอดแว่นกันแดด วางไว้บนเคาน์เตอร์หน้าห้องครัว ก่อนจะเดินกลับออกมา ยื่นมือเข้าไปช่วยถือสัมภาระของเพื่อนหนุ่มแต่ไม่ทันจะได้ช่วยถือ ก็ถูกปฏิเสธเบาๆว่า “ไอถือเองได้” เขาจึงยักไหล่น้อยๆ ก่อนจะเดินนำกลับเข้ามาในบ้าน เป็นเอกตามเข้ามาในไม่กี่นาทีปิดประตูบ้านแล้วก็เดินเข้ามาด้านในให้พ้นจากบานประตู
    บ้านหลังนั้นตกแต่งอย่างธรรมดา ซ้ายมือเป็นห้องนั่งเล่น จัดไว้ง่ายๆ มีโซฟาสีงาช้างวางหันหน้ามาหาประตูหน้าตัวหนึ่ง อีกสองตัววางหันข้างให้ประตูอยู่ริมซ้ายและขวาของตัวยาว ตรงกลางเป็นพรมทอมือเป็นรูปของเจ้าแห่งทวยเทพ
จูปิเตอร์ของชาวโรมัน หรือซีอุสของกรีก มีโต๊ะน้ำชาที่เป็นแก้วใสวางทับไว้ ข้างๆมีโต๊ะเล็ก วางนิตยสาร และหนังสืออ่านเล่นไว้ระเกะระกะ ฝั่งประตูบ้านมีโทรทัศน์จอแบนตั้งอยู่บนเฟอร์นิเจอร์ไม้ ที่วางไว้หน้า หน้าต่าง ที่หากมองออกไปด้านนอกก็จะเห็นรางปลูกดอกเพ็ตทูเนียสีชมพูอมส้มสวย
    ทางขวามือ เป็นโต๊ะอาหาร ขอบไม้ตรงกลางเป็นกระจกมองเห็นพรมถักรูปเฮสเตีย หรือ ฮีร่า เทพชายาเอกของจูปิเตอร์ ตรงข้ามโต๊ะกินข้าวเป็นเคาน์เตอร์สีขาวสะอาด แบ่งห้องกินข้าวออกจากห้องครัว มีตระกร้าใส่ผลไม้ปลอมตั้งไว้ราวกับบ้านตัวอย่างในหมู่บ้านจัดสรร ทางขวามือของห้องกินข้าวมีประตูที่จะเปิดไปที่ใดเป็นเอกก็ยังไม่รู้ขณะนั้น สภาพบ้านและข้าวของต่างๆ ดูใหม่ไปหมดแสดงให้เห็นว่าเจ้าของบ้านไม่ค่อยได้มาอยู่บ้านนี้เลย
    กระนั้นเจ้าของคงพอรู้บ้างว่าอะไรอยู่ตรงไหน เขาเดินไปเปิดตู้กับข้าวก่อนจะหันมาหาเพื่อนหนุ่ม เอ่ยปากถามสั้นๆว่า
    “ชาหรือกาแฟ”
    “น้ำเปล่าก็พอ” เขาตอบ ก่อนจะถือวิสาสะนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ปูเบาะสีโอลด์โรสตัวที่อยู่ใกล้เขาที่สุด โรมาฟังคำตอบของเพื่อนหนุ่มก็รินน้ำเปล่ามาตั้งไว้ให้ ก่อนจะกลับไปเปิดเครื่องทำกาแฟสำหรับตัวเอง หนุ่มลูกครึ่ง รวบผมหยักศก สีน้ำตาลนั้นไว้ง่ายๆที่ท้ายทอย เปิดให้เห็นโครงหน้าเรียวสวยก่อนจะเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามเป็นเอก
    “อาบน้ำก่อนไหม ออกมาแต่เช้า”
    “ไม่อาบ แต่อยากนอน” เขาตอบสั้นๆ
    “ถ้าอย่างนั้น จะพาไปห้องนอนก่อนก็ได้ กว่าน้องไอจะมาถึงก็คงค่ำๆ ไฟลท์มันมาถึงบ่าย นั่งรถมาอีกก็คงสักทุ่มสองทุ่ม ตอนนั้นค่อยไปหาคุณแม่ที่
กรัน ปาลัซโซ กินข้าวเย็นที่นั่น” โรมว่าอย่างเหนื่อยอ่อน บิดคอไปมาดังกร๊อบแกร๊บราวกับตัวเองเป็นตุ๊กตาไม้อย่างไรอย่างนั้น
    “อื้มดีแล้ว จะของีบสักหน่อย” เป็นเอกลุกขึ้น ยกกระเป๋าตามเพื่อนหนุ่มไป ฝ่ายนั้นเดิมนำไปก่อน ปากถามว่า
    “จะนอนข้างบนหรือข้างล่าง”
    “ข้างล่างก็ดีนะ จะได้ไม่ต้องขึ้นบันได” เขาว่า โรมาไม่ได้ถามอะไรอีก เพียงแต่เดินนำเขาไป ผ่านทางเดินเล็กๆ มาจนถึงประตูห้องนอนชั้นล่างที่อยู่ด้านหลังห้องนั่งเล่นพอดี เขาเปิดประตูให้เป็นเอก “ห้องเล็กหน่อย นอนได้หรือเปล่า”
    ห้องนอน ทาสีกาแฟใส่นม เป็นสีน้ำตาลอ่อนดูสบายตา เมื่อเดินเข้าไปเตียงจะอยู่ด้านขวาของประตู ด้านซ้ายเป็นตู้เสื้อผ้า ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ พอๆกับห้องนอนของเป็นเอกที่คอนโด ชายหนุ่มวางกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ข้างตู้เสื้อผ้า กระโดดขึ้นเตียง ก่อนจะเปิดม่านหน้าต่างที่หัวเตียงมองออกไปเห็นบ้านสีน้ำตาลแก่นั้น รวมถึงตัวคลองที่ยาวเรื่อยมาผ่านหลังบ้านนี้ด้วย ชายหนุ่มร้องโอ้โหแล้วมองมาที่ประตูราวกับเด็กที่เห็นอะไรสวยๆงามๆแล้วก็จะมองหาพ่อแม่ว่า มองดูลูกด้วยความเอ็นดูอยู่หรือเปล่า เห็นโรมยืนเท้าเอวมองอยู่ มีแววประกายในดวงตา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เป็นเอกก็เข้าใจดีว่าท่าทางอย่างนี้คือ “ยิ้ม” ของโรม
    “ยิ้มอะไร” เขาถาม แต่ตัวเองก็ยิ้มบ้างเหมือนกัน
    “เหมือนเด็ก” โรมาว่าเสียงเบาๆติดอยู่ที่กระเดือกราวกับไม่เต็มใจผ่านช่องปากออกมา “ยูไม่โตสักทีนะเอก หกปีที่แล้วเป็นยังไง ตอนนี้ก็อย่างนั้น”
    “เอ้า” ชายหนุ่มร้อง “ตอนนี้ก็ยังเด็ก”
    “ยี่สิบห้าแล้วนี่นะ”
    “ใช่ ยังไม่สามสิบ จะรีบทำตัวขรึมไปก็เท่านั้นเอง ชีวิตช่วงนี้ช่วงสุดท้ายของวัยหนุ่มต้องร่าเริงซีวะ” เป็นเอกหัวเราะ “ให้เงียบๆ ติสต์แตกแบบยูจะเอาหรือ วันๆอยู่กันเงียบๆ ยูกับไอจะกลายเป็นต้นไม้สองต้นที่ปลูกติดกันไปเสีย”
    โรมายิ้มแบบที่คนอื่นยิ้มกันในที่สุด ส่ายหัวเบาๆก่อนจะเดินออกจากห้องไป เป็นเอกเห็นเขาปิดประตูก่อนจะกล่าวว่า “นอนซะ” แล้วชายหนุ่มก็กลับมาอยู่คนเดียวในห้องนั้น มองอะไรรอบๆไม่นานก็หลับไปด้วยความที่นอนไม่พอเพราะ เมื่อคืนนอนดึกเกือบตีหนึ่ง แล้ววันนี้ต้องตื่นตั้งแต่ หกโมง
    ที่เขามาที่รีสอร์ต ปาลัซโซ่ ดี เลย นี้ก็เพราะแม่ของโรมเป็นคนชวนแท้ๆ หากไม่ใช่เพราะเจ้าของไม่ชวนมาอยู่ฟรีเนื่องในโอกาสที่หล่อนจะจัดงานแต่งงานกับคนรักคนใหม่ที่นี่แล้วละก็ เป็นเอกคงไม่มีวันได้เข้ามาเหยียบที่นี่ ใครๆก็รู้กันดีว่ารีสอร์ต และโฮมสเตย์ที่หรูหรา แต่งสไตล์อิตาเลียนแห่งนี้ มันแพงแสนจะแพงแค่ไหน เอาง่ายๆว่า ถ้าจะซื้อน้ำที่ห้องรับรองก็คงมีแต่น้ำแร่จาก เทือกเขาแอลป์ ขวดละร้อยหรือเกือบร้อยแล้ว ไม่ต้องคิดถึงค่าอาหาร หรือค่าที่พักเลย ชายหนุ่มจึงไม่เคยคิดจะมาที่นี่ แม้จะอยากแค่ไหนก็ตาม
    ปาลัซโซ่ ดี เลย เพิ่งจะมาดังไม่นานมานี้ เพราะใช้เป็นสถานที่ถ่ายภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ด้วยความที่สวยทั้งสถานที่ ทั้งสิ่งก่อสร้าง และแปลกใหม่อย่างที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นในไทย ทำให้รีสอร์ตแห่งนี้ กลายเป็นปลายทางแห่งใหม่ของนักท่องเที่ยว ในเอเชียที่ไม่อยากไปไกลถึงยุโรปเพื่อดูของจริง รวมไปถึงพวกเศรษฐีทั้งหลายในไทย ที่อยากจะมาพักสมอง ฟอกปอดที่นี่ด้วย
    เป็นเอกจะมาอยู่ที่นี่ หนึ่งสัปดาห์เต็มก่อนงานแต่งงานของคุณ ประกายพรึก แม่ของโรม เขาไม่เคยพบหล่อนสักครั้งก็จริงแต่มารดาของโรมก็มีน้ำใจพอที่จะกล่าวเชิญ รูมเมทร่วมคอนโดของลูกชายให้มาอยู่ฟรีกินฟรีที่นี่ แล้วร่วมเป็นแขกในงานแต่งของหล่อนด้วย ที่เป็นเอกต้องมาก่อนเป็นอาทิตย์ก็เพราะ หล่อนเคยได้ยินเรื่องฝีมือการจัดสถานที่ต่างๆของเขามาจากลูกชาย เป็นเอกจึงได้มางานนี้เพื่อเตรียมสถานที่ก่อนวันงาน แม้ไม่ต้องลงมือทำทุกขั้นตอน แค่ตกแต่งสถานที่ที่ใช้เลี้ยงฉลองแต่งงานให้คุณประกายพรึกเท่านั้น เป็นเอกก็คิดว่า เขาคงจะเหนื่อยมาก เพราะบริเวณรีสอร์ตแห่งนี้มันช่างกว้างใหญ่เหลือเกิน
    อีกอย่างคุณประกายพรึกบอกเขาเองทางโทรศัพท์ว่า หล่อนอยากจะรู้จักเขาเสียเหลือเกินในฐานะผู้ที่เคี่ยวเข็นให้ลูกชายคนกลางเรียนจบจนได้
    “อยากเจอลูกเอก ว่าจะขอมาเป็นลูกชายอีกคน”
    มารดาของโรมาไม่รู้เลยว่าคำพูดของหล่อนจะเป็นจริง เมื่อเป็นเอกได้รู้จักลูกชายคนโต และคนเล็กของหล่อนในเวลาต่อมา ผูกพันกับลูกทั้งสามของหล่อนจนแทบจะได้มาเป็น “ลูก” อีกคนจริงๆ

*************************************************************************************
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2019 19:49:41 โดย BaoBao »

shizame

  • บุคคลทั่วไป
มาเจิมเรื่องใหม่ค่ะ

จะตามรอชายหนุ่มอีก2คนว่าจะถึงคิวออกมาเมื่อไหร่  :)

เนื้อเรื่องน่าติดตามค่ะ แค่ตอนแรกก็ชวนให้อยากรู้แล้วว่าจะเกิดอะไรต่อไป

ออฟไลน์ kazhiki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +140/-2
มาลงบ่อยๆนะคะ ท่าทางจะน่ารักดี ขอบคุณมากค่า

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
ทั้งสามเลยหรอ อิอิ ซักอยากอ่านต่ออีกแล้วซี่ เป็นกำลังใจให้นะคะคณฟ้าม่วง

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
เอ๋อออ  ทางสามสายเพราะมีหนุ่มสามคนนี่เอง
ตอนที่อ่านตอนแรกบรรยายลักษณะและคุณสมบัติของโรมซะ  หืมมม
ทำให้เราเข้าใจไปว่า  ทางสามสายเป็นแบบนี้เลยนะ
ทางสายแรก  โรมต้องเป็นแฟนเรา
ทางสายที่สอง  โรมต้องเป็นสามีเรา
ทางสายที่สาม  โรมต้องเป็นคู่ชีวิตเรา

กร๊ากกกกก  วิ่งหลบตรีนออกจากกระทู้ก่อน

ออฟไลน์ kit

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1082
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +186/-3


ขอบคุณนะคะ คุณ Purple_Sky


ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
เรื่องจะมาม่าไหมหว่า
ขออ่านด้วยคนครับ

ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2
สามคน สามทาง
แล้วใน 3 คนมีใครร่วมทางกันมั้ย
รึไม่มี ถึงได้ชื่อว่าทางสามสาย
 :z3: คิดเยอะแล้วมั้ยตรู
 :pig4: Purple_Sky


สองเรื่องสองรสเลย ดีค่ะๆ
สู้ๆ นะคะ เป็นกำลังใจให้ (มาลงบ่อยๆ ลงเรื่อยๆ หุหุหุ  :กอด1:)

monamano

  • บุคคลทั่วไป

ประกายพฤกษ์

น่าจะสะกดแบบนี้นะครับ

แต่ถ้าไม่ใช่ก็ต้องขอโทษด้วยครับ


โจ๊กกุ้ง

  • บุคคลทั่วไป
เป็นเอกน่าร้ากกกก  ว่าแต่สามพี่น้องจะแย่งกันป่าวหว่า แต่นายโรมานี่ไม่เห็นมีท่าทีไรเลย รอดูต่อไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [PREMIERE] ทางสามสาย: Prima parte - capitolo uno 20/02/11 - 22.00
« ตอบ #9 เมื่อ: 22-02-2011 17:11:08 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






MiNiRooM

  • บุคคลทั่วไป
ตามมาอ่านแล้วค่ะ
T____T
เปิดหน้าเอาไว้แล้วต้องออกไปทำธุระแบบด่วนๆ
กลับมารีบมาอ่านเลย
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ


ออฟไลน์ Purple_Sky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +354/-1
เอาภาพประกอบสวยๆมาฝากครับ เผื่อเพื่อนๆนักอ่านคนไหนที่จินตนาการไม่ถูกจะเห็นภาพฉากในเรื่องมากขึ้น อิอิ


ภาพเสาแบบโครินเธียนครับ เป็นเสาที่สวยที่สุดในบรรดาเสาโรมันทั้งหมด

ซุ้มทางเข้ารีสอร์ทเป็นอะไรประมาณนี้ครับ

กรัน ปาลัซโซ หน้าตาคล้ายๆอย่างนี้ล่ะครับ อิอิ

ภาพชนบทของเมืองโบโลญาครับ เป็นเมืองที่สวยมากทีเดียวว่าไหมครับ :]

ส่วนอันนี้เป็นทิวทัศน์ของจังหวัดเลยบ้านเรา ผมว่าสวยกว่าโบโลญาอีกครับ 555+
บ้านของสามหนุ่มครับหาแบบที่ใกล้เคียงกับจินตนาการมาครับผมม

เวนิส

โรม

มิลาน
บ้านใครสวยกว่ากันเอ่ย ผมชอบบ้านของมิลานมากๆครับ น่าอยู่อิอิ ส่วนบ้านของโรมนี่หาได้แทบจะตรงกับที่จินตนาการไว้เลยยย อย่าลืมติดตามเรื่องนี้นะครับผม รับรองว่าสนุกมากๆแน่นอนครับ :]

ปล. ประกายพรึกสะกดแบบนี้ถูกแล้วครับ เดิมผมก็สะกดผิดเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ขออนุญาตอธิบายศัพท์หน่อยพอให้เป็นความรู้ไว้ไม่เข้าใจผิดกันนะครับ “ประกายพรึก” เป็นชื่อของดาวศุกร์ที่ขึ้นตอนเช้า(ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น) ส่วนที่ขึ้นตอนกลางคืนเรียก ประจำเมือง คำว่าประกายพรึกเป็นคำประสมจากภาษาเขมรครับ ประกาย มาจาก ผกาย แปลว่า ดาว ส่วนพรึก แปลว่าเช้าครับ ตรงตัวเลย “ดาวเช้า” ถ้าเป็นประกายพฤกษ์จะกลายเป็นดาวต้นไม้แทน ฮาเรยยย อิอิ

ปล2 @คุณ iforgive ชอบหนุ่มติสต์แบบโรมหรอครับ 555+ เดี๋ยวเจอพี่ชาย น้องชายของโรมแล้วอย่าเปลี่ยนใจนะครับ 555+
ปล3 @คุณเบาๆ คิดมากไปนิดนึงจริงๆครับ 555+
ปล4. วันนี้ลงคุณชายตอนใหม่ด้วยครับ อย่าลืมไปให้อ่านเรื่องนู้นด้วยน้าาา อิอิ เรื่องนี้อัพทุกวัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ครับผมมม

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
บ้านสามหลังสามสไตล์  น่าอยู่กันไปคนละแบบ  คงเหมาะกับบุคลิกของแต่ละคน
ตอนนี้เริ่มไม่อยากครอบครองโรมไว้แล้วล่ะ  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยไปนะ
แต่ชักอยากตั้งฮาเร็มเก็บหนุ่มลูกครึ่งไว้เป็นส่วนตัวดีกว่า  คริ คริ  เอ หรือว่าเป็นนายเอกเรื่องนี้ดีหว่า

โจ๊กกุ้ง

  • บุคคลทั่วไป
รูปงามมากๆเลยค่ะ  ถ้าเราเป็นนายเอกเรื่องนี้คงเลือกไม่ถูก รวบหมดเลยทั้งสามคนดีกว่า ฮ่าๆ แต่ว่าเค้าอยากอ่านต่อแล้วอ่า

anajulia

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586

แจกบวกให้รุปประกอบ  อิอิ

ออฟไลน์ berlyn

  • Put Van The Man on the jukebox then we start to dance
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-2
โรม...เย็นชา

มิลาน ทันสมัย

เวนิส ชุ่มฉ่ำดุจสายน้ำ

อย่างนี้รึเปล่าคะ^6^ รออ่าน อีกสองหนุ่มบุคคลิกจะตรงอย่างที่คิดไว้หรือเปล่า

fOnfOn :D

  • บุคคลทั่วไป
สามหนุ่ม สามมุม

เลือกไม่ถูกอ่ะ

nuewanda

  • บุคคลทั่วไป
คือจะอธิบายยังไงดี
ชอบบ้านมิลานที่สุด
แต่ถ้าให้เลือก 1 หลังเป็นของตังเอง จะเลือกบ้านของเวนิส
โดยมีบ้านของโรมเป็นบ้านครอบครัวในฝันเพราะดูแล้วอบอุ่น

งงมั๊ยคะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

คนแต่งบอกว่าสนุก งั้นคนอ่านก็ต้องติดตามค่ะ   :o8:

ออฟไลน์ kit

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1082
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +186/-3

วั้ย นี่ค่ะ Butler.....ดูแลทั้งสามบ้านสามเจ้าของเลยค่ะ

คุณโรมไป pirate มาจาก Hotel Hassler เทียวนะคะ อิอิ
ขอบคุณนะคะ คุณ Purple_Sky


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






MaeMoo

  • บุคคลทั่วไป
มาต้อนรับเรื่องใหม่ด้วยคนนะคะ

ท่าทางจะต้องวุ่นวายไม่น้อยเลยทีเดียว

ออฟไลน์ Purple_Sky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +354/-1
Capitolo due

    กว่าเป็นเอกจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็หกโมงกว่าแล้ว เขาขยี้ตาอย่างงัวเงียยกมือขึ้นเกาหัวด้วยความมึนงงว่าอยู่ที่ไหน พอปรับตัวให้รับรู้เรื่องทั้งหมดได้แล้ว ชายหนุ่มก็มองออกไปนอกหน้าต่าง พระอาทิตย์ฤดูหนาวตกดินไปแล้ว แต่แสงสีส้มอ่อนๆของมันยังคงหลงเหลืออยู่บนท้องฟ้า ย้อมผืนไหมสีน้ำเงินบริเวณนั้นเป็นสีม่วงเข้มดูสวยจับใจ แสงเพียงเท่านั้น ไม่ทำให้ทัศนียภาพของ ปาลัซโซ่ ดี เลย ดูอึมครึมไม่น่าดูแต่อย่างใด แต่กลับทำให้มันดูสวยงามน่าประทับใจมากยิ่งขึ้น
    นึกขึ้นได้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ทำไม ก็นึกถึงคำพูดของเพื่อนหนุ่มว่า “สักทุ่มสองทุ่ม ตอนนั้นค่อยไปหาคุณแม่ที่ กรัน ปาลัซโซ่ กินข้าวเย็นที่นั่น”
     ก้มมองนาฬิกาก็พบว่า เข็มยาวชี้ที่เลขหก เข็มสั้นเลยเลขเดียวกันนั้นไปสักหน่อยแล้ว ก็ตาลีตาลานออกมานอกห้องนอน
    ที่ห้องนั่งเล่น เป็นเอกเห็นแสงจากจอโทรทัศน์ส่องสว่างอยู่ในห้องมืดๆ ก็เอื้อมมือไปเปิดไฟ เพื่อนหนุ่มที่นั่งดูรายงานสารคดีท่องเที่ยวอยู่ก็หันมามอง เป็นเอกประหลาดใจที่พบว่าเพื่อนของตน อยู่ในเสื้อเชิ้ตสีเข้มพอดีตัว กางเกงขาแคบสีดำสนิท สวมรองเท้าหัวแหลมอย่างจะไปงานเลี้ยงเต้นรำที่ไหน ผมหยักศกยาวเคลียบ่า รวบตึงเป็นหางม้าไว้ด้านหลังอย่างเรียบร้อย ดูประหลาดตาเมื่อคิดว่าเพื่อนหนุ่มไม่เคยทำผมอย่างนี้ หากดวงหน้าคมสันนั้น ไม่มีคิ้วเข้ม และไรหนวดจางๆละก็ โรม จะกลายเป็นหญิงสาวคนหนึ่งไปเลย มิใช่ชายหนุ่มที่ทั้งเซอร์ เท่ และสำอางค์ไปในตัวอย่างนี้
    โรมา เห็นเพื่อนหนุ่มตื่นนอนแล้วก็เอ่ยเบาๆ
    “ตื่นแล้วหรอ ไปอาบน้ำอาบท่าไป ได้ไปกินข้าวแล้ว” เป็นเอกพยักหน้า แต่ยังตะลึงกับภาพที่เห็นอยู่จึงยังไม่ได้ลุกไปไหน จนผู้ถูกมองรำคาญถึงกับถามอย่างไม่พอใจนิดๆว่า “มองอะไรหรือ หน้าไอมีอะไรติดหรือเปล่า”
    “เปล๊า” ชายหนุ่มยักไหล่ “แปลกตา ไม่เคยเห็นแต่งตัวแบบนี้”
    “ก็เห็นเสีย” เขาว่า “แม่ไม่ชอบผมยาว ถ้าไม่ไปอย่างนี้ก็คงโดนตัดผมเสียตั้งแต่หน้า กรัน ปาลัซโซ่”
    เป็นเอกกลั้นใจไม่ให้ขำ แล้วก็กลับไปอาบน้ำแต่งตัว เป็นชุดที่คล้ายกันกับเพื่อนหนุ่ม ทั้งสองไม่เสียเวลาพูดคุยอะไรให้มากความ ขึ้นรถของหนุ่มลูกครึ่งขับตรงไปที่กรัน ปาลัซโซ่ทันที
    
    ตึกตรงหน้าที่เป็นเอกเห็น เป็นปราสาทขนาดย่อม ทำจากหินสีน้ำตาลดูเก่าแก่แต่ก็สวยงามประตูเป็นประตูไม้ เปิดเอาไว้ตลอดเวลา ด้านนอกประดับประดาไปด้วย เสาโครินเธียนขนาดใหญ่เหมือนกันกับซุ้มทางเข้ารีสอร์ต ปราสาทหลังนี้ดูใหญ่โตโอ่โถง สร้างเลียนแบบมาจากมหาวิหารสักแห่งในอิตาลีกระมัง โรมาอธิบายว่าที่นี่ เป็นตัวโรงแรมไว้พักแบบห้องเดี่ยว ห้องคู่ และห้องสูท ไม่กี่สิบห้องเพราะจริงๆที่นี่เน้นเป็นรีสอร์ทมากกว่า คนมาพักที่ปราสาทใหญ่นี้ จะเป็นพวกทัวร์มาเป็นหมู่คณะหรือพวกสัมมนาก็ได้ หากเป็นคู่รักหรือมากับครอบครัว ก็จะอยู่กันที่ วิลัจโจ เดอี โรมานี มากกว่า นอกจากนั้นที่ตัวตึกยังมีห้องประชุม ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ฟิตเนสเซ็นเตอร์ สระว่ายน้ำ ด้านหลังมี กานาล หรือคลองขุดผ่าน มีเรือ
กอนโดลา คอยรับส่งระหว่างกรัน ปาลัซโซ กับ วิลัจโจ และ บ้านเดี่ยวของลูกชายทั้งสามของคุณประกายพรึกด้วย
    โรมบอกว่า
    “ถ้าวันไหน ไอไม่อยากออกมาจากบ้านพัก แล้วยูอยากเที่ยวหรือมากินข้าว ว่ายน้ำ ชมสวนอะไรก็แล้วแต่ ขึ้นกอนโดลาที่ท่าหลังบ้านได้ เขาพามาส่งที่นี่ เป็นปลายทาง เรือออกลำแรก แปดโมง ลำสุดท้ายสามทุ่มทุกวัน”
    ก่อนจะเข้าไปในตัวอาคาร เป็นเอกขอให้เพื่อนหนุ่มพาเดินดูทั่วๆ ได้คิดไว้ล่วงหน้าว่าจะจัดสถานที่ในงานแต่งของคุณประกายพรึกอย่างไรดี ในเมื่อโรมยังไม่หิว เป็นเอกก็ยังไม่หิว ทั้งคู่จึงตกลงเดินดูสวนก่อนจะเข้าไปข้างใน
    ผ่านป้าย “Giardino” จาร์ดีโน่ สีขาว ที่มีเถาไม้เลื้อยไปแล้ว เป็นเอกก็เห็นว่า บรรยากาศในสวนนั้นดูร่มรื่น มีรั้วไม้ปลูกไว้คล้ายเข้าวงกต เมื่อเข้าไปแล้วต้องเดินหาทางออกเอง หรือย้อนกลับทางเดิมก็ได้ แต่จะไม่มีแผนที่บอก ตามมุมต่างๆจะมีรูปปั้นหินอ่อนสลักเป็นเทพ เทพี หลายๆองค์ประดับไว้ บางจุดก็มีม้านั่ง ไว้ให้นั่งคุยกัน เป็นเอกเห็นคู่รักสองสามคู่ นั่งคุยกันอยู่เป็นระยะก็อดคิดในใจไม่ได้ว่า
    “หากมีแฟนสักคน จะพามาที่นี่”
    ตรงกลางของเขาวงกต มีน้ำพุอันหนึ่งตั้งอยู่ ด้านบนเป็นเทพที่เป็นเอกไม่คุ้นตา เขาพอจะรู้จักเทพของกรีกโรมันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ทุกองค์จนจำได้ว่าองค์นี้เป็นใคร โรมาเห็นเพื่อนหนุ่มมองอย่างสนใจก็เอ่ยปากบอกว่า “ไดโอนิซุส เทพแห่งเหล้าองุ่น การละคร และ งานสังสรรค์ ที่นี่ก็เลยจัดแต่งานเลี้ยงอยู่ได้ทั้งปีไม่ขาดแขกเลยยังไงล่ะ” เป็นเอกพยักหน้าอย่างเข้าใจ โรมาก็พาเพื่อนหนุ่มออกมาจากข้างเขาวงกต ไม่ได้โผล่ไปออกฝั่งตรงข้ามกับปราสาทใหญ่ เขาให้เหตุผลว่า “สุดสวนก็จะเป็นทางกลับกรุงเทพ หรือถนนกลับ หมู่บ้านโรมันแล้ว”
    ด้านข้างเป็นลานหญ้ากว้างๆ มองเลยไปเป็นลำคลอง และรอบๆมีต้นไม้ใบหญ้า ดอกไม้นานาพรรณปกคลุมอยู่
     “สวยจัง”
    “ก็นะ ข้อนี้ไม่เถียงหรอก”
    “ไอเดียใครหรือ” เขาถามอย่างไม่แน่ใจว่าควรถามหรือเปล่า “ทั้งตัวโรงแรม รีสอร์คบ้านต่างๆ บริเวณรอบๆ คอนเสปต์ อะไรต่อมิอะไรไอว่ามันสร้างสรรค์มากเลยนะ”
    “ก็ คุณแม่จำลองบางส่วนมาจากบ้านพ่อที่โน่น”
    “อ้อ” เป็นเอกเริ่ม ตะหงิดในใจเล็กๆแล้วว่า เขาไม่น่าถามออกไปเลย
    “บางส่วนเป็นไอเดียของคุณเมฆา แฟนใหม่แม่”
    จนแล้วจนรอดโรมก็ไม่เรียก “แฟนใหม่แม่” ว่า “พ่อเลี้ยง” แม้ว่าอีกสัปดาห์เดียวก็จะแต่งงานกันออกหน้าออกตาแล้ว คงถืออคติแบบเด็กๆว่า ไม่มีใครจะมาแทนที่พ่อได้อย่างนั้นกระมัง
    เป็นเอก รู้สึกโกรธตัวเองที่ถามออกไปอย่างนั้น เพราะโรมาเงียบไปในที่สุด ไม่พูดอะไรอีกเลย กระทั่งท้องฟ้ามืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากโคมที่รายรอบบริเวณเท่านั้นที่ทำให้เป็นเอก เห็นสีหน้าของเพื่อนหนุ่มได้ชัดเจน
    “เข้าข้างในได้หรือยัง ป่านนี้คุณแม่ลงมาแล้ว” เขาพูดเบาๆอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักแต่ก็คงรู้ว่า ไม่ใช่ความผิดของเป็นเอกที่พูดเรื่องนั้นขึ้นมา เพื่อนหนุ่มคงไม่ตั้งใจจะทำร้ายจิตใจเขานักหรอก โรมาลุกขึ้น แล้วส่งมือให้เพื่อนหนุ่มช่วยดึงให้ลุกขึ้นมา อย่างกับว่า เป็นเอกอ่อนแอเหลือเกิน
    โรมาเป็นของเขาอย่างนี้ การแสดงออกเล็กๆน้อยๆแบบนี้ แปลว่า ขอบคุณ หรือขอโทษ เพราะสำหรับเขา สองคำนี้เหมือนจะไม่รู้ว่าพูดอย่างไร เขาไม่เคยพูดออกมาให้เป็นเอกได้ยินสักคำเดียว แต่ชายหนุ่มก็เข้าใจว่าเพื่อนต้องการ ขอโทษที่ทำหงุดหงิดใส่เขา
    สองหนุ่มเดินเข้าไปในห้องโถงของปราสาทใหญ่ พบว่าหัวหน้าพนักงานต้อนรับ เดินคล่องแคล่วเข้ามาหาอย่างไม่มีรอ ยกมือขึ้นสวัสดีแล้วพูดว่า “คุณโรมกับเพื่อนใข่ไหมคะ คุณผู้หญิงบอกว่าจะลงมาสายสักสิบนาทีค่ะ ให้ไปรอที่โต๊ะได้เลย” หล่อนยิ้มอย่างรู้งาน ก่อนจะผายมือไปทางห้องอาหาร โรมาและเป็นเอก เดินเข้าห้องอาหารนั้นไปอย่างว่าง่าย
    สิ่งแรกที่สะดุดตาเป็นเอกมากที่สุดในห้องนั้น ไม่ใข่การประดับห้องให้เหมือนกับสวนกลางแจ้งที่เพดานเป็นลายดาว มีโคมระย้าห้อยและต้นไม้ปลอมประดับอยู่รอบห้อง หรือ โต๊ะสี่เหลี่ยมปูผ้าขาวเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ มีแขกเหรื่อทั้งเด็กผู้ใหญ่ ไทยเทศเต็มไปหมดทั้งที่ไม่ใช่หน้าเทศกาล ไม่ใช่แม้แต่บริกรชายหญิงที่แต่งชุดสวยเสียเต็มยศหน้าตาดีกันทุกคนเดินไปมาในห้องนั้น เสิร์ฟอาหารอย่างคล่องแคล่ว แต่กลับเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ใต่ร่มไม้ขนาดใหญ่ที่มุมห้อง บริเวณนั้นเป็นที่ที่นักดนตรีนั่งบรรเลงบทเพลงอย่างไพเราะ ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศ ชายหนุ่มผู้นั้นนั่งเล่นแกรนด์ เปียโนอยู่อย่างคล่องมือราวกับเพียงนั่งพูดคุยกับเพื่อนสนิทเท่านั้น ปลายนิ้วเรียวสวยไล่ไปตามแป้นอย่างนุ่มนวลส่งเป็นเสียงเพลงที่ไพเราะเสนาะหู ดึงดูดให้เป็นเอกจับจ้องอยู่ที่เขาผู้เดียวไม่อาจถอนตาไปที่อื่นได้เลย
    ชายหนุ่มคนนั้น เป็นหนุ่มฝรั่งไม่ผิดแน่ หากแต่คงเป็นชาติยุโรปตะวันตกเฉียงใต้ พวก อิตาเลียน โปรตุเกส สเปน มากกว่าอังกฤษ หรืออเมริกัน แม้จะนั่งอยู่แต่เป็นเอกก็ดูออกว่าเขาเป็นคนที่รูปร่างสูงใหญ่ หุ่นดี อย่างคนรู้จักดูแลตัวเอง ใบหน้านั้นคมเข้มไม่มีที่ติ หนวดเคราขึ้นเป็นตอสั้นๆ ดูเขียวครึ้มมาดแมน ผมสีดำหยักศกหากแต่ใส่มูส หรือเจลหวีไว้เรียบติดหนังศีรษะ เรียบร้อยเข้ากับชุดสูทเต็มยศที่เขาใส่ คิ้วเข้มยาวจากหัวตา จรดหางตา เป็นรูปสวยราวกันมาอย่างดี ดวงตากลมโตเป็นสีดำขลับอย่างผมของเขา ขนตายาวสวย จมูกโด่งเป็นสันอย่างหนุ่มยุโรปเต็มตัว ริมฝีปากหยักอวบอิ่ม ไม่ได้คลี่เป็นรอยยิ้มกว้าง กระนั้นใบหน้าของหนุ่มผู้นั้นก็หล่อเหลาเสียจนดูเหมือนยิ้มไปเองเสียอย่างนั้น
    เป็นเอกรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่โรมจับต้นแขนเขาดึงไปทางโต๊ะ โต๊ะหนึ่ง
    “เอ้า ไม่นั่งหรือไงใจคอจะยืนไปทั้งคืนหรือ”
    เป็นเอก ยิ้มแหยๆ พอหันกลับไปมองหนุ่มผู้นั้นก็หันมาพอดี อย่างที่ไม่ได้นัดมาก่อน เขาคลี่ยิ้มให้เป็นเอก อย่างกันเอง ชายหนุ่มก็ยิ้มตอบ แต่ก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ ตามที่โรมลากไป ไม่ทันได้ปราศรัยกันมากกว่านั้น
    ไม่กี่นาทีต่อมา ประกายพรึกแม่ของโรมก็มาถึงห้องอาหาร ถ้าไม่มีใครบอกก็คงไม่มีใครรู้ว่าหล่อนเป็นแม่คนมาแล้วถึงสาม!
    ชุดราตรีสีดำแบบไม่หรูหรานัก สวมอยู่บนผิวสองสีของหล่อน ผมดำยาวสลวยปล่อยตรงลงมาล้อมกรอบหน้าราวกับผืนฟ้ายามราตรี ดวงตาสองคู่ของหล่อนนั้นก็เหมือนชื่อหล่อนนั่นแหละมันสวยสุกใสเป็นประกายราวสาวแรกรุ่น เครื่องสำอางค์แต่งไว้บนหน้า บางๆอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ก็ทำให้หล่อนดูสวยอ่อนเยาว์ไม่เหมือนหญิงรุ่นเดียวกับหล่อนทั่วไปที่มักแต่งหน้าจัดๆ หวังว่าจะให้ดูเด็กแต่กลับทำให้ดูเป็นสาวใหญ่เสียยิ่งกว่าเดิม
    “สวัสดีครับคุณแม่” โรมยกมือไหว้ ไม่มีรอยยิ้มประดับอยู่บนหน้า เป็นเอกไม่รู้เรื่องนักแต่เดาเอาเองว่าคงไม่พอใจที่หล่อนกำลังจะแต่งงานใหม่กระมัง โรมไม่เคยบอกว่าเขาเสียใจ ไม่เคยบอกว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เพียงแต่เดินเข้ามาหน้าเศร้าๆในวันหนึ่ง ที่คอนโดของทั้งคู่ ชายหนุ่มถอดเสื้อโยนไปกองไว้ที่ตะกร้าแล้วพูดเบาๆเพียงว่า “อาทิตย์หน้า แพ็คกระเป๋าไป เลย คุณแม่จะแต่งงานใหม่อยากให้ยูช่วยจัดสถานที่หน่อย” เท่านั้น
    มาวันนี้ แม้ความไม่พอใจจะเด่นชัดอยู่บนหน้า แต่โรมก็มีมารยาทพอที่จะไม่พูดอะไรให้แม่ของเขาเสียหน้า พอเพื่อนหนุ่มยกมือไหว้ เป็นเอกก็ไหว้ตาม
    “ไหว้พระเถอะลูก” หล่อนคลี่ยิ้มอย่างใจดี “นี่ใช่ไหม หนูเอกที่เล่าให้ฟัง”
    หนุ่มลูกครึ่งพยักหน้า
    “ดีจังเลยที่หนูมา แม่อยากเจอมานานแล้ว ขอบใจมากนะลูกที่เคี่ยวเข็ญให้โรมมันเรียนจบได้น่ะจ้ะ”
    เป็นเอกยิ้มนิดๆที่มุมปาก “ยินดีมากครับคุณแม่ เป็นเพื่อนกันก็ต้องช่วยเหลือกัน แล้วผมก็ไม่ได้ทำอะไรมากนักหรอกครับ โรมเองก็เก่งด้วย”
    “แต่โรมเขาพูดให้ฟังไม่หยุดเลยจ้ะว่าเป็นเพราะหนู” โรมา ก้มหน้างุดดูอายๆที่เพื่อนหนุ่มรู้ว่าถูกเอาไปพูดให้แม่ฟังอย่างกับเด็กประถม ที่ต้องบอกแม่ทุกอย่างว่าทำอะไรมาบ้างในแต่ละวัน “ทานอะไรมาหรือยังจ๊ะ สั่งอาหารเลยก็ได้นะ” 
   “สั่งเลย ไม่ต้องเกรงใจ” โรมว่า ดีดนิ้วเรียกพนักงานหนุ่มที่อยู่ใกล้ๆ บริกรคนนั้นหยิบเอาเมนูมายื่นให้โรม ที่ส่งต่อให้เป็นเอกอย่างเอาใจ “พาสต้าที่นี่ก็อร่อยดีนะ Fettucini a la Carbonara อร่อยมาก ชอบไม่ใช่หรือ”
    เป็นเอกอ่านเมนูไปสักพักก็สั่งอาหารมารับประทาน พออีกสองคนสั่งของตัวเองเรียบร้อยแล้วบริกรหนุ่มคนนั้นก็เดินกลับไปที่ครัว ทิ้งให้ทั้งสามคนคุยกัน ทำความรู้จักกันต่อไป
    “สวยไหมจ๊ะ หนูเอก ปาลัซโซ่ที่นี่”
    “สวยมากครับ” เขายิ้มตอบ “ผมชอบมาก ยังชมกับโรมเขาอยู่เลยครับว่า บรรยากาศสวยถูกใจมาก ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีที่อย่างนี้ในไทยด้วย”
    “แหมแขกมาพักชอบกันแม่ก็ดีใจ” ประกายพรึกพูดต่ออย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรว่า “เสียดาย พ่อแม่หนูไม่มาด้วย คราวหน้าเชิญมาพักได้เลยนะจ๊ะแม่จะลดราคาให้เต็มที่เลย”
   เท่านั้นเป็นเอกก็หน้าซีด ไม่ตอบอะไร เขาน่าจะชินกับคำถามทำนองนี้เสียแล้วแต่ก็ทำใจให้เป็นปกติไม่ได้ เขาเป็นลูกกำพร้า พ่อแม่เสียแต่เด็กๆ เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพ่อแม่เขาหน้าตาเป็นอย่างไร มีเพียงรูปเก่าๆไว้ให้ดูต่างหน้าเท่านั้น
    โรมเห็นหน้าเพื่อนหนุ่มก็รู้ว่าแม่ของเขาพูดเรื่องไม่น่าพูดเสียแล้ว
    “คุณแม่ครับ!” เขาดุแม่เบาๆ “เป็นเอกเป็นลูกกำพร้า พ่อแม่เขาเสียแต่เด็ก ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วนี่ครับ”
    “ตายจริง” คุณประกายพรึกหน้าตาตื่น “แม่ลืมไป พูดไม่ทันคิดจ้ะขอโทษด้วยนะหนูเอก”
    เป็นเอกก้มหน้านิ่งใจคิดถึงแต่ปมด้อยข้อนี้ของเขา ใครพูดถึงขึ้นมาอย่างนี้ เขาก็ต้องเสียใจทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ยิ่งมาเห็นแม่ลูกคุยกันอย่างสนิทสนมอย่างนี้ชายหนุ่มยิ่งสะเทือนใจ ขอตัวออกมาเข้าห้องน้ำโดยไม่ได้สนใจว่าสองแม่ลูกจะคุยอะไรกันอีก

    เป็นเอกทำธุระเสร็จก็เดินออกมา เขาล้างหน้าล้างตา ส่องกระจกเรียบร้อยดี ก็เดินใจลอยออกมาที่หน้าต่างบริเวณทางเดินที่เปิดกว้างออกสู่ภายนอก ทางออกจากห้องน้ำชั้นสอง มองออกไปเห็นสวนสวยหน้าปราสาทใหญ่ มองเลยไปเป็นเนินสูง ถนนยาวออกจากบริเวณนั้น พาไปยังถนนที่มุ่งหน้ากลับกรุงเทพ ฉากหลังนั้นเป็นทิวเขาเขียวชอุ่มดูสวยงามแม้ในความมืด
    บนท้องฟ้าสีดำสนิท ดารดาษไปด้วยแสงดาวอย่างที่คงไม่มีโอกาสเห็นที่กรุงเทพ เป็นเอกจำได้ว่าคุณป้าเคยบอกเขาเมื่อนานมาแล้ว “พ่อกับแม่อยู่บนโน้น คอยมองลงมาดู และให้กำลังใจเอกเสมอ”
    เขาถอนหายใจ มันไม่ใช่ความผิดของคุณประกายพรึกเลยที่พูดถึงพ่อแม่ของเขาขึ้นมา หล่อนไม่รู้ก็ถือว่าไม่ผิด เขาเสียอีกโตเป็นหนุ่มป่านนี้แล้วควรทำใจให้ได้เสียที ไม่ควรโกรธคุณประกายพรึกเลย เขาแอบรู้สึกว้าเหว่ในใจ ไม่เคยมีใครมาดูแลเอาใจใส่ ให้ความอบอุ่นเขาเลย ด้วยเหตุนี้เด็กชายเป็นเอก จึงโตมาเป็น นายเป็นเอกอย่างคนขาดความอบอุ่น ตั้งปณิธานว่าอยากจะมีใครสักคนให้เขาคอยดูแล เอาอกเอาใจจะได้ไม่ต้องว้าเหว่เหมือนตน
    เขาแทบไม่รู้ตัวว่า มีชายคนหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ข้างๆเขา มือเท้าที่ขอบหน้าต่างอย่างเดียวกับที่เป็นเอกทำ
    “Che notte più bella, eh?” น้ำเสียงที่แสนอบอุ่นเอ่ยขึ้น

*************************************************************************************

อิอิ เจอแม่ของโรมแล้วชอบกันไหมครับ แล้วก็ หวังว่าจะเดากันไม่ผิดนะครับว่าชายหนุ่มที่นั่งดีดเปียโนคนนั้นเป็นใคร ตอนหน้า(พรุ่งนี้) มาเฉลยครับผม
ปล. คุณเบอร์ลินเดาคร่าวๆได้ตรงดีครับผม ติดตามต่อไปนะครับ
ปล2 คุณกิตรูปสวยเชียวครับ 555+
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-02-2011 22:02:55 โดย Purple_Sky »

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: [ท า ง ส า ม ส า ย] capitolo due บ&#
«ตอบ #22 เมื่อ25-02-2011 22:18:59 »

บรรยายซะได้บรรยากาศมาก ๆ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในสถานที่นั้นเลย
หนุ่มนักเปียนโนนั่นน่าจะเป็นพี่ชายหรือน้องชายของโรม  รอเฉลยพรุ่งนี้
อยากบอกว่าชอบอารมณ์ของเรื่องนี้มาก ๆ นะคะ
มันแตกต่างจากปางบรรพ์และคุณชายโดยสิ้นเชิง  คนละรสชาดเลย
+1
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-02-2011 22:22:34 โดย iforgive »

anajulia

  • บุคคลทั่วไป
^
^
^
เห็นด้วยกะพี่ไอฟอร์กิฟ
เรื่องนี้อ่านแล้วรู้สึกสบายกว่ามากๆ มากกกกกกกกกมากเลยค่ะ

และ...อยากรู้จักคุณคนที่เล่นเปียโนแล้วสิคะ >//////<

ออฟไลน์ kit

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1082
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +186/-3

• หวังว่าจะเดากันไม่ผิดนะครับว่าชายหนุ่มที่นั่งดีดเปียโนคนนั้นเป็นใคร
ว้าย หล่อ & perfect อย่างนั้น
จะเป็นใครไปได้คะ

.

.

.

.

นอกจาก Claude, Cloud, หรือ เมฆา....ว่าที่เจ้าบ่าว
ถึงจะคู่ควรกับคุณ Morning Star อิอิ

๑๖๙ + ๑ = ๑๗๐
ขอบคุณนะคะ คุณ Purple_Sky



โจ๊กกุ้ง

  • บุคคลทั่วไป
หนุ่มที่ดีดเปียโนใช่พี่คนโตรึเปล่าคะ  คุณแ่ม่ท่าทางจะเข้ากับลูกสะใภ้ได้ดีนะ อิอิ รอตอนหน้าค่ะ

ออฟไลน์ berlyn

  • Put Van The Man on the jukebox then we start to dance
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-2
ชอบอะไรที่เป็นอิตาลีมากคะ ถึงขนาดคลั่งไคร้เลยทีเดียว

หนุ่มที่มาทักคงเป็นเวนิส ใช่ไหมคนเดียวกันกับที่เล่นเปียโน^

ออฟไลน์ Purple_Sky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +354/-1
Capitolo tre

     “Che notte più bella, eh? Troppa maravella per mettere una faccia triste come questa” เสียงทุ้มลึก แต่นุ่มนวลเอ่ยขึ้นเบาๆข้างๆ ทันทีที่ได้ยินเป็นเอกก็หันไปสำรวจผู้พูดทันที
    เขากระพริบตาถี่ๆด้วยความประหลาดใจ นี่มันหนุ่มนักเปียโนคนนั้นนี่! เขามองออกนอกหน้าต่างไม่ได้หันมามองที่เป็นเอก คล้ายจะรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะตั้งใจเริ่มบทสนทนากับเขา ภาษาที่เขาได้ยินนั้นเป็นภาษาอิตาเลียน หรือเปล่า เป็นเอกไม่แน่ใจนัก เขาไม่ค่อยคุ้นนักกับภาษานี้ แต่พอจะจับคำว่า notte ที่แปลว่ากลางคืน และคำว่า bella  ที่แปลว่าสวยได้ จึงอุ่นใจว่าอย่างน้อยมันก็น่าจะเป็นภาษาที่เขาคุ้นเคย เคยได้ยินจากเพื่อนหนุ่มบ้างแม้จะไม่เข้าใจนักก็ตาม ถ้าต้องสื่อสารกันด้วยภาษานี้จริงๆ คงไม่ถึงกับไม่รู้เรื่อง
   “Scusa, Io non parlo Italiano ขอโทษครับ ผมพูดภาษาอิตาเลียนไม่เป็น” หนุ่มน้อยพูดออกไปอย่างตะกุกตะกัก นึกได้เป็นคำๆอย่างคนไทยทั่วไปจะจำได้จากการเรียนภาษา ประโยคพื้นฐานแบบนี้ โรมาเคยสอนเขามาจนขึ้นใจแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสฝึกพูดให้คล่องเท่านั้น ครับ โปรดพูดอังกฤษเถอะครับ “Inglese per favore”
    อีกฝ่ายยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง
    “Sorry, I thought you were Italiano” สำเนียงของเขาแปร่งหู พูดเหมือนขึ้นจมูก คำว่า you ก็ออกเสียงเหมือน อีอู ตัว r ท้ายพยางค์ก็รัวเสียง ร. แผ่วเบา เป็นสำเนียงภาษาอังกฤษที่แปลก และเพราะที่สุดสำหรับเป็นเอกผู้ที่หัวเราะลงคอเบาๆ เขาเหมือนคนอิตาเลียนที่ไหนเล่า “I said: What a beautiful night, Too marvelous to put on such a sad face like that”
    ผมบอกว่า คืนนี้ช่างสวยงามอะไรเช่นนี้ งามเกินกว่าที่จะทำหน้าเศร้าขนาดนั้นนะครับ ชายหนุ่มหันกลับไปมองฟ้าอีกครั้ง เป็นเอกรู้สึกประหม่าเป็นครั้งแรกต่อหน้าคนแปลกหน้า ปกติชายหนุ่มจะคุมสถานการณ์ได้ดี ไม่เคยตกใจจนทำตัวไม่ถูกอย่างนี้สักครั้ง อาจเป็นเพราะชายหนุ่มตรงหน้าหล่อเหลาเหลือเกิน หรืออาจเป็นเพราะเขาเป็นชาวต่างชาติที่พูดภาษาอังกฤษแทบจะฟังไม่รู้เรื่องก็ได้ เป็นเอกถึงยืนตัวแข็งพูดไม่ออก บอกไม่ถูกอย่างนี้
   กว่าจะรู้ตัวว่าเสียมารยาท ก็เกือบสายไปที่เป็นเอกจะเอ่ยตอบว่าเขาเพียงคิดอะไรนิดหน่อยเท่านั้น “Oh, yes I um... It’s just… I have something on my mind, you know… to think about.”
    “Maybe that thing on your mind was kinda melancholy then ถ้างั้น บางทีสิ่งที่คุณคิดอยู่น่ะ คงจะเป็นเรื่องน่าเศร้ามากซีนะ” เขาว่า ทำเอาเป็นเอกหัวเราะลงลูกคอก่อนจะ ส่ายหัวเบาๆ “I guess it wasn’t something too serious, was it? Look how you can laugh now. ผมว่าคงไม่ใช่เรื่องจริงจังมากนักใช่ไหม คุณหัวเราะได้แล้วนี่นา”
    “Ahuh” เป็นเอกยิ้มตอบ “Just some immature, crazy things that I can’t get out of my head. ก็แค่เรื่องบ้าๆ แบบเด็กๆ บางเรื่องที่ผมยังเอาออกจากหัวไม่ได้เท่านั้นเองล่ะครับ”
    “Then let it go” ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยมันไปเถอะครับ “You should atleast smile to yourself for a night like this. Look around. Isn’t the place beautiful? the palace, the fountain, the trees, the flower… gorgeous, right? This place was built for people to relax, not to be so stressed. And wasn’t to relax the reason why you escape from Bankok? อย่างน้อยคุณก็น่าจะยิ้มให้ตัวเองบ้างนะครับ สำหรับค่ำคืนอย่างนี้ ดูรอบๆตัวคุณซี ที่นี่มันไม่สวยเลยหรือ
ทั้งปราสาท น้ำพุ ต้นไม้ ดอกไม้ ...สวยใช่ไหมล่ะครับ เขาสร้างไว้ให้คนมาพักผ่อน ไม่ใช่ให้มาเครียด แล้วมาพักผ่อนน่ะไม่ใช่เหตุผลที่คุณหนีมาจากกรุงเทพหรือไง”
     เป็นเอกคล้อยตาม คำพูดของชายหนุ่มช่างน่าฟังเหลือเกิน ยามเขาพูดเขาจะเลิกคิ้ว โบกไม้โบกมือไปมาอย่างออกรส ทำให้เป็นเอกอดบันเทิงใจไม่ได้ จึงยิ้มออกมาที่มุมปากอย่างว่าง่าย
    “Good” ชายแปลกหน้าพลิกตัวเอาหลังพิงขอบหน้าต่าง มองหน้าเป็นเอกอย่างเพ่งพิศ ก่อนจะกล่าวเบาๆว่า “A smile suits your face more. Tonight is so pretty as I said and this place is too marvelous. You should take advantage of it. รอยยิ้มเหมาะกับหน้าคุณมากกว่า คืนนี้มันสวยมากนะ อย่างที่ผมบอกแล้ว แล้วสถานที่นี้มันก็สุดยอดจริงๆ คุณควรจะดื่มด่ำกับมันนะครับ”
     ชายหนุ่มผละออกไปในที่สุด เป็นเอกโพล่งขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ว่า
    “Wait! Please don’t go…  Atleast, Let me know your name first.เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป อย่างน้อยก็ให้ผมรู้ชื่อคุณก่อนเถอะครับ”
    แต่หนุ่มคนนั้นไม่เสียเวลาหยุดตอบ เขาโบกมือให้ทั้งที่ไม่ได้หันหลังกลับมา พูดเป็นภาษาอิตาเลียนที่หนุ่มไทยแปลไม่ออกอีกครั้งว่า “La vita è buona, approfittarne”
    
    เป็นเอกกลับมาที่ห้องอาหารอีกครั้งในใจเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น ลืมความน้อยเนื้อต่ำใจเรื่องพ่อแม่ไปเสียสิ้นเมื่อพบกับหนุ่มอิตาเลียนคนนั้น ชายหนุ่มเดินผ่านประตูด้วยยิ้มกรุ้มกริ่ม แต่พอพ้นบานประตูห้องอาหาร มาเห็นคนที่นั่งอยุ่กับคุณประกายพรึกเท่านั้น เขาก็ตกใจจนอ้าปากค้าง
    นายหนุ่มอิตาเลียนคนนั้น นั่งคุยกับคุณประกายพรึกอย่างออกรส... เป็นภาษาไทย! พอเห็นเป็นเอกเดินมาใกล้ คนแม่ก็พูดว่า
    “หนูเอกมาพอดี นี่ลูกชายคนโตของแม่เอง ชื่อเวนิสจ้ะ”
    หนุ่มคนนั้นหันมามองเขา ไม่มีสีหน้าตกใจอะไรเลย มีเพียงรอยยิ้มแบบเด็กถูกจับได้ว่าทำผิดมาให้เท่านั้น แสดงว่าเวนิสอะไรนี่ รู้มาก่อนแล้วซีว่าเขาเป็นคนไทย ทำไมหลอกให้พูดภาษาอังกฤษเสียตั้งนานสองนาน ล่ะเนี่ย!
    พออ้าปากพูด ภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำก็ดังลอดปากหนุ่มคนนั้นออกมา
    “สวัสดีครับ คุณเอก” หนุ่มร่างสูงลุกขึ้นยิ้มให้ มีแววตลกเจือมาในน้ำเสียงเห็นได้ชัดว่าตั้งใจหลอกเขาพูดภาษาฝรั่งจริงๆด้วย มาทำเป็นบอกว่าคิดว่าเขาเป็นคนอิตาเลียน เขาเหมือนอิตาเลียนที่ไหนล่ะ! จงใจแกล้งกันชัดๆอย่างนี้
    “สวัสดีครับ คุณเวนิส แหมเป็นคนไทยหรอกรึครับ หลอกให้พูดอังกฤษด้วยเสียนาน” เป็นเอกว่าอย่างหาเรื่อง แต่มีน้ำเสียงไม่จริงจังนัก อีกฝ่ายจึงหัวเราะ
    “ก็คิดว่าเป็นอิตาเลียนจริงๆนี่นา เห็นคุยกับโรมสนิทกันดี” เขาว่า “พอบอกว่าไม่พูดอิตาเลียนก็เลยคิดว่าคงเป็นฝรั่งชาติอื่น ขอโทษที่ไม่ได้พูดไทยด้วย”
    “นี่พูดเรื่องอะไรกัน” โรมขมวดคิ้วถามอย่างงงงัน
    “L'ho incontrato sulla mia strada. Abbiamo parlato un po '. Ho pensato che fosse filippino o giapponese, così ho parlato in inglese con lui.” เวนิสตอบโรมเป็นภาษาอิตาเลียนรัวเร็วจนเป็นเอกฟังไม่ทัน ตบท้ายด้วยประโยคที่ขึ้นเสียงสูงอย่างประโยคคำถาม “il tuo amico?”
    โรมก็อุตส่าห์ตอบ ให้เป็นเอกไม่เข้าใจอีกว่า
    “Sì, per molto tempo”
    “E lui ti piace?” พี่ชายถามต่ออย่างรวดเร็วกะว่าไม่ให้ใครฟังทันทีเดียว
    “non del tuo affari!” โรมตะคอกตอบ
    “นี่พอทีทั้งคู่นั่นแหละ เห็นไหมว่าเอกเขาฟังไม่รู้เรื่อง” ผู้เป็นแม่ยกมือขึ้นห้ามอย่างอดรนทนไม่ได้อีกต่อไป “แม่บอกแล้วว่าถ้าอยู่ต่อหน้าแม่ให้พูดภาษาไทย แม่เป็นคนไทยนะ ตาเว ตาโรม แม่ไม่ใช่พ่อแก และที่นี่ไม่ใช่อิตาลี”
    ทั้งคู่หน้าสลด
    “ขอโทษครับคุณแม่” เวนิสว่า “ผมไม่ได้ตั้งใจ อยู่กับน้องแล้วก็เป็นอย่างนี้ทุกที ผมแค่เล่าให้โรมฟังว่าผมเจอเอกเขาข้างนอกไม่รู้ว่าเป็นคนไทย คิดว่าเป็นฟิลิปปินส์ หรือไม่ก็ญี่ปุ่นก็เลยพูดอังกฤษด้วย”
    “แล้วประโยคสุดท้ายแกถามอะไร ฮึ ตาเว” คนเป็นแม่มองลูกอย่างรู้ทัน
    “เอ้อ” เวนิสอ้ำอึ้ง แต่โรมกลับแย่งตอบเสียเอง
    “พี่ถามว่า เป็นเพื่อนกันหรือ ผมก็บอกว่าเป็นมานานแล้วเท่านั้นละครับ”
    พอดี บริกรมาเสิร์ฟอาหารที่โต๊ะคนเป็นแม่จึงไม่ได้ซักอะไรต่อ แต่หันมาพูดกับเป็นเอกอย่างกันเอง
    “อย่าไปถือสาตาสองคนนี้เลยนะลูก เขาพูดอะไรกันตามความเคยชิน ไม่ได้นินทาว่าร้ายอะไรหนูหรอกนะจ๊ะ”
    “เอ้อ ครับ” เป็นเอกยิ้มให้คนแม่ “ผมไม่ถือหรอกครับ เข้าใจดีว่าอย่างโรมคงไม่ตั้งใจพูดอะไรให้ผมไม่เข้าใจ ผมกับมันไม่เคยมีอะไรปิดบังกันอยู่แล้วละครับ”
    เป็นเอกมองเลยเพื่อนหนุ่มไปยังพี่ชายของเขา เห็นเวนิสยิ้มมาให้ ก็อดทำหน้าบึ้งใส่ไม่ได้ เป็นเอกยังไม่เลิกคิดว่า หนุ่มลูกครึ่งคนนี้คงคิดลองภูมิภาษาเขา อย่างฝรั่งหลายๆคนที่คิดว่าคนไทยไม่รู้เรื่องภาษาอังกฤษ เจอเข้าคงจอด แต่ขอโทษนะ เห็นแล้วละซีว่า ผมไม่กระจอกงอกง่อย อย่างที่คุณเจอมาหรอก!
    “คุณเวนิส กับโรม ชื่อเป็นเมืองที่อิตาลีทั้งคู่เลย ลูกคนสุดท้องก็คงชื่อคล้ายๆอย่างนี้ใช่ไหมครับ” เขาตั้งข้อสังเกต “เป็นเมืองที่อิตาลี ไม่ฟลอเรนซ์ ก็คงจะเป็นมิลาน”
   “จ้ะ หนูเอกละเดาเก่ง ชื่อมิลาโน กำลังกลับมาจากมิลานเสียด้วย”ประกายพรึกหัวเราะชอบใจ “เห็นบอกว่าไฟลท์เลื่อน ตอนแรกว่าจะลงที่ขอนแก่นแล้วต่อรถมาเสียคืนนี้ แต่พอเปลี่ยนไฟลท์มาเป็นลงที่กรุงเทพแทนแล้วอย่างนี้ คงค้างอยู่คืนหนึ่งก่อนพรุ่งนี้หายเหนื่อยแล้ว บ่ายๆก็คงมาถึงจ้ะ”
    โรมเลิกคิ้ว หายเหนื่อยหรือ? เจ้ามิลาน ถ้าได้ลงกรุงเทพละก็มีหวังได้ไปอยู่แถว สีลม อตก. ยันเช้าแน่ ถ้าแม่หวังจะได้เจอมันพรุ่งนี้ละก็ คงได้เจอค่ำๆหน่อย ไม่มีทางที่จะมาถึงนี่ในตอนบ่ายได้เลย
    “คุณมิลานกลับมาจากมิลาน” ตลกดีนะเมื่อต้องเรียกชื่อคนกับชื่อสถานที่เหมือนกันอย่างนี้ “เขาไปเที่ยวหรือครับ”
    “เดินแบบจ้ะ” หล่อนยิ้ม “มิลานเป็นนายแบบ ได้ไปเดินแบบที่มิลานแฟชั่นวีค เสร็จงานตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วสงสัยหาเรื่องอยู่เที่ยวต่อ”
    เป็นเอกทำปากห่อคล้ายจะร้องอ้อ เป็นนายแบบ คงจะหล่อและหุ่นดีมากซีท่า เขาหันไปมองโรม พิจารณาใบหน้าของเพื่อนหนุ่มก็คิดในใจว่า ถึงโรมจะห่างไกลคำว่า “นายแบบ” แต่เขาก็หล่อเซอร์ มีเสน่ห์ในแบบของเขา ส่วนเวนิส รายนั้น ทั้งหล่อมาดแมน ดูสง่าอย่างชายชาตรี ยังไม่ได้เป็นนายแบบเลย สงสัยมิลานคนนี้จะหล่อมากกระมัง
    ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร อาหารก็มาเสิร์ฟถึงที่โต๊ะพอดี ต่างคนต่างก้มก็ลงกินมื้อเย็นของตัวเอง มีเพียง โรมและเป็นเอกที่กินอาหารหนักอย่างพาสต้า ในขณะที่คุณประกายพรึกกินสลัด ซูชินี่ แบบเบาๆ และเวนิสก็เพียงแค่จิบไวน์แดงอย่างดีเท่านั้น ไม่แตะอาหารอะไรเลย และเพราะจิบแต่ไวน์แดง ปากจึงว่าง ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเป็นเชิงถามแบบไม่ค่อยต้องการคำตอบที่แท้จริงนัก เหมือนเป็นการเปิดประเด็นคุยมากกว่า “นี่คุณเป็นเอก รู้จักกับโรมนานแล้วหรือครับ”
    “ครับ หกปีแล้ว” เป็นเอกตอบอย่างไม่ใส่ใจจะอธิบายยาวกว่านั้น
    “รู้จักกันได้ยังไงหรือ อยู่คณะเดียวกันที่มหาวิทยาลัยหรือครับ” เขายิ้มให้เป็นเอกเหมือนเคย แต่ความรู้สึกน่าทึ่งในความหล่อเหลา และอบอุ่นใจในความเป็นกันเองนั้นหายไปแล้ว เป็นเพียงความขวางหู ขวางตารำคาญใจแทน
    “เรียนที่เดียวกันครับ ผมเรียนสถาปัตย์ฯ เวลาจะออกจากมหาลัย โรมจะต้องขับรถผ่านคณะผมทุกครั้ง” ตึกคณะศิลปกรรมศาสตร์อยู่ถัดจากตึกสถาปัตย์ลึกเข้าไปในมหาวิทยาลัย ซึ่งประตูทางออกนั้นอยู่หน้าตึกคณะที่เป็นเอกเรียนโรมจะต้องผ่านทุกวันจริงๆ แต่ถ้าเป็นแค่นั้นก็คงไม่ได้คุยกันหรอก “ทีนี้ผมกับโรมเคยเจอกันมาก่อนที่ค่ายอาสา เพราะว่านอนข้างกันน่ะครับ ทำกิจกรรมอะไรก็อยู่กลุ่มเดียวกัน พอมาเจอที่มหาลัยอีกก็สนิทกันไปเลย”
    “แล้วหอเอก ก็อยู่ก่อนถึงคอนโดผม” โรมแย่งพูดขึ้นมาบ้าง “เคยขับรถผ่านเห็นเดินหน้าดำอยู่ข้างถนน ก็เลยลองถามดูว่าบ้านอยู่ไหนพอรู้ว่าไปทางเดียวกันก็เลยกลับด้วยกันทุกวัน”
    “อ้อ” เวนิสว่า “โลกมันก็กลมดีนะครับ แต่เอ เห็นคุณแม่เคยเล่าให้ฟังว่าแกเรียนจบได้เพราะคุณคนนี้ไม่ใช่หรือ อยู่คนละคณะ ทำไมถึงมาช่วยอะไรกันได้ล่ะ ทีแรกนึกว่าเรียนคณะเดียวกันเสียอีก”
    “เอกเขาขยันเขียนแบบตึก” โรมบอก “วันไหนไปค้างหอเอกเล่นๆ ก็จะเห็นเอกทำงานดึกๆดื่นๆตลอด มาคิดว่า เออ ไอ้เราวาดแต่หน้าคน ต้นไม้ ดอกไม้ สบายกว่าตั้งเยอะ ยังไม่ยอมทำ เลยได้แรงฮึดทำงานส่งครูจบออกมาพร้อมกัน”
    ความจริงแล้วโรมเรียนก่อนเขาปีหนึ่ง แต่ว่าไม่จบปีสุดท้ายจนมาเจอเขาถึงได้จบออกมาพร้อมกัน เหตุนี้แหละคุณประกายพรึกถึงได้ขอบใจเป็นเอกเอามากมาย จะไม่ให้หล่อนห่วงได้อย่างไร ลูกชายคนโตจบเศรษฐศาตร์จากฮาร์วาร์ด คนกลางเรียนศิลปะ แถมวาดรูปแค่อย่างเดียวยังเรียนไม่จบ ลูกคนเล็กก็ไม่เรียน วันๆถ่ายแบบ เดินแบบ ถ่ายโฆษณา หล่อนจะวางใจให้ลูกคนโตเลี้ยงตัวเองรอดคนเดียว แล้วน้องๆ ไม่ประสบความสำเร็จแล้วกลายเป็นภาระได้อย่างไร
    “แม่ละแทบจะตกเก้าอี้ตอนเจ้าโรมเขาโทรมาบอกว่ารับปริญญาวันไหน” หล่อนยิ้มกว้าง “ตอนแรกไม่เชื่อนะ นึกว่าอำ ถามไปถามมาเออจบจนได้จริงๆ ตอนหลังมาสัมภาษณ์ว่าไปทำอีท่าไหนถึงเรียนจบได้ทั้งๆที่ไม่มีวี่แววเลย ก็เลยรู้ว่าได้เพื่อนดี คบกันมา 6 ปีแล้ว เอกคงรู้ใช่ไหมลูก ว่าตาโรมน่ะชอบเก็บตัวมีเพื่อนเป็นผ้าใบ กับพู่กัน”
    เป็นเอกยิ้ม แม่ของเพื่อนหนุ่มพูดอะไรตรงไปตรงมาเหลือเกิน
    “แม่ละก็ เดี๋ยวเอกก็เลิกคบผมเสียหรอก” โรมก้มหน้าทำปากมุบมิบ
    “แหม ก็เล่าสู่กันฟัง” หล่อนยิ้ม “เชื่อไหมแม่ว่าอะไรไม่เคยฟังสักคำ แต่ถ้าเป็นหนูเอกนะ เขาจะเชื่อแทบจะทุกพยางค์ที่เปล่งเสียงออกมาเลยล่ะ เนี่ยถ้าหนูเป็นผู้หญิง แม่ไปขอมาแต่งกับลูกแม่แล้ว”
    “คุณแม่!”
    ประกายพรึกหัวเราะชอบใจ “แต่แต่งงานไปน่ะ มันเลิกกันได้ มันหย่ากันได้ อยู่กันแบบเพื่อนนี่แหละจ้ะ ยืดยาวดี แม่ละฝากโรมมันไว้กับเอกเลยนะลูก”
    “โถ ผมก็ไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอกครับ”
    “ใครว่าล่ะ เอกเก่งด้วย ดีด้วย ทำงานหาเงินส่งเสียตัวเอง เรียนก็เกรดดี งานก็ไม่เคยขาด ปากกัดตีนถีบ ช่วยตัวเองมาจนได้ดีขนาดนี้  ถ้าเป็นคนอื่น ไม่พ้นติดยา ไม่ก็พนัน ไม่ก็มีเมียไปตั้งแต่เรียนไม่จบแล้ว ครองตัวดีมากได้ขนาดนี้ ไอถึงนับถือ” เป็นโรมที่พูดขึ้นทุกคำพูดของชายหนุ่ม หลุดออกมาเบาๆผ่านริมฝีปาก แทบจะไม่มีใครได้ยินนอกจากคนที่ตั้งใจฟังจริงๆ เป็นเอกฟังอย่างนั้นก็ทำตัวไม่ถูก เพื่อนหนุ่มไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนตั้งแต่เขาเคยคบกันมา
    จู่ๆก็มีคนเดินเข้ามาที่โต๊ะพูดด้วยเสียงร่าเริงอย่างหนุ่มอารณ์ดีว่า  
    “กินกันจะหมดแล้วหรือ” ตอนแรกเป็นเอกนึกว่ามิลาน แต่พอหนุ่มคนนั้นก้มลงจุ๊บแก้มประกายพรึกท่ามกลางสายตาขุ่นมัวของลูกชายแล้ว เป็นเอกก็แน่ใจว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน นี่สามีใหม่ของหล่อนต่างหาก หน้าเด็กไม่ต่างจากลูกเลย เป็นเอกไม่แปลกใจสักนิดว่าทำไมเพื่อนหนุ่มผมยาวของตนถึงไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานใหม่ครั้งนี้
    หนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลาอย่างนี้มีสาวๆให้เลือกทั้งเมือง เหตุใดจึงจะมาเลือกสตรีวัยเกือบห้าสิบลูกสามอย่างประกายพรึกเล่า หากว่าไม่ได้ต้องการมาหลอกเอาทรัพย์สมบัติของหล่อน!

ออฟไลน์ Purple_Sky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +354/-1
 
Capitolo Quattro

    เขาคนนั้น คงจะอายุไม่เกินสามสิบ   ในขณะที่เป็นเอกแน่ใจว่าประกายพรึกคงจะเกินสี่สิบห้าแล้ว เขาเข้าใจโดยที่ไม่ต้องบอกเลยว่าทำไม ทั้งเวนิส ทั้งโรมถึงได้มองพ่อเลี้ยงปานจะกินเลือดกินเนื้ออย่างนั้น ใครเล่าจะยอมรับได้ว่า จะต้องมาเรียกชายที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับตัวเองว่า “พ่อ”
     เวนิสลุกขึ้นเดินอ้อมมานั่งข้างเป็นเอก ให้พ่อเลี้ยงของตนนั่งข้างๆแม่ไปอย่างไม่เต็มใจนัก
    “ดาว ทานไม่รอผมเลยน้อยใจจะแย่ ก็รู้นี่ครับว่างานผมเยอะคงตามมาช้าหน่อย” เขาตัดพ้ออย่างหนุ่มน้อยพึงกระทำต่อหญิงสาวแรกรุ่น ราวกับสตรีตรงหน้าอายุไม่ถึงสิบห้า ทั้งที่หล่อนก็คงจะอายุเกือบๆห้าสิบแล้ว!
    “แหม ก็ดาวไม่รู้นี่คะ” หล่อนหัวเราะคิก “คิดว่าคงจะทำงานข้างบนแล้วก็สั่งขึ้นไปทานเหมือนทุกคืน ก็เลยทานสลัดรองท้อง รอขึ้นไปทานมื้อดึกพร้อมกับเมฆน่ะค่ะ”
    “ผมต้องมาทานกับดาวซี วันนี้ลูกๆ...” พอเห็นสายตาของโรม ชายที่ดูท่าจะชื่อเมฆ ก็ตบประโยคใหม่อย่างสวยงาม “ของดาวมา ผมก็ต้องมาต้อนรับ”
    เขายิ้มมุมปากก่อนจะทักว่า
    “เว นี่เจอแล้ว สองคนนี้คงเป็นโรม กับมิลานใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดคำว่ามิลานต่อหน้าเป็นเอกอย่างเข้าใจผิด แม้ปากจะกล่าวอย่างมั่นใจ แต่แววตากลับไม่แน่ใจนัก ก็เป็นเอกดูไม่เหมือนฝรั่งเลยแม้แต่น้อย จะว่าเหมือนประกายพรึกก็ไม่เหมือนสักนิด
    “อุ๊ยไม่ใช่ คนผมยาวน่ะโรมค่ะ แต่ว่าคนผมสั้นนี่เพื่อนตาโรม ชื่อเป็นเอก”
    “อ้อ” ชายหนุ่มว่า “ขอโทษนะครับที่เข้าใจผิด”
    ดวงตากลมโต ปากบางได้รูป และรอยยิ้มขาวสะอาดราวกับแผงไข่มุกอย่างนั้น เป็นเอกไม่ประหลาดใจหรอก หากประกายพรึกอยากจะได้เจ้าของมัน มาเป็นของหล่อนคนเดียว เป็นเอกยิ้มให้ จะยกมือไหว้ก็ไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้า แก่กว่าเขาพอที่จะเป็นพี่ให้ไหว้ได้หรือเปล่า!
    “หนูเอกจ๊ะ นี่คุณ เมฆา คนที่แม่จะแต่งงานด้วยไงจ๊ะ” หล่อนยิ้มอย่างเขินอายไม่ต่างจากสาวๆ “เมฆคะ นี่เป็นเอก มัณฑนากรที่ดาวเคยเล่าให้ฟัง เขาจะมาตกแต่งสถานที่ให้”
    “อ้อ” เมฆาร้องออกมา ยื่นมือมาให้เป็นเอก เชคแฮนด์ ชายหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย อุ่นใจที่ไม่ต้องชั่งใจอีกต่อไปว่า จะไหว้หรือไม่ไหว้คนตรงหน้านี้ดี “ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์มาช่วยงาน”
    “ยินดีครับ” เป็นเอกยิ้มแหยๆ หันไปสบตาโรมก็รู้ว่าเพื่อนหนุ่มส่งสายตาเขียวขุ่นมาให้ ราวกับต้องการจะสื่อสารในใจว่า “อย่าไปหลงคารมมันเชียวนะ”
    “ได้ยินว่าคุณเก่งมาก ผมก็ดีใจครับที่งานแต่งงานของผมจะกลายเป็นงานที่เพอร์เฟคที่สุด ได้สมฐานะของดาวเขา” เมฆายิ้มอย่างจริงใจ ทว่าโรมกลับพูดแทรกขึ้นมาด้วยความขัดใจว่าชายตรงหน้าไม่ได้รักแม่เขาจริง
    “เอกคงทำสุดฝีมือครับ คุณเมฆาจะต้องชอบแน่ๆ ไหนๆงานแต่งก็แต่งแค่ครั้งเดียวในชีวิต ไม่ได้แต่งกันได้บ่อยๆจริงไหมครับ นอกจากว่าคุณเมฆาจะอยากแต่งอีกครั้ง” จริงๆโรมกะจะพูดว่า โดยเปลี่ยนใจจากแม่ผมไปแต่งกับคนอื่นอีกละก็ แต่กลัวจะเป็นการหักหน้าแม่เกินไป จึงต่อประโยคว่า“อย่างนั้นเอกคงต้องออมแรงหน่อยไว้ไปตกแต่งสถานที่ให้งานหน้าต่อ”
    สีหน้าของเมฆาขรึมขึ้นเล็กน้อย แต่ประกายพรึกกลับไม่รู้เรื่องยังยิ้มแย้มพูดต่อไปอย่างคนอารมณ์ดี “แหมตาโรม เมฆเขาคงไม่แต่งหลายครั้งหรอกจ้ะ ครั้งเดียวเราก็ต้องเชิญแขกมากมายแล้ว”
    “ครับ” เมฆาฝืนยิ้ม พยายามตีสีหน้าให้บึ้งตึงน้อยที่สุด
    “คุยเรื่องงานแต่ง เราคงไม่มีรดน้ำหรือทำอะไรแบบไทยๆหรอกนะจ๊ะ มีงานเลี้ยงอย่างเดียวตัดเค้ก แล้วก็เลี้ยงโต๊ะจีนเท่านั้น หนูเอกว่าจัดในนี้ดีไหม หรือว่าจะขึ้นไปดูห้องประชุมที่ชั้นลอย แม่ว่าห้องนั้นจะใหญ่กว่านี้ แล้วก็จุแขกได้มากกว่านี้นิดหนึ่งน่ะจ้ะ” ประกายพรึกกอดแขนเมฆาแล้วกล่าวขึ้นมาเรียบๆ ก่อนจะจิ้มชิ้มซูชินี่ส่งเข้าปากอีกคำ
    “ผมยังตอบไม่ได้ครับเพราะยังไม่ได้เห็นสถานที่เลย” เป็นเอกเอ่ยขึ้นกลางๆ เขายังให้คำตอบไม่ได้จริงๆ แต่ไม่เห็นด้วยนักที่จะจัดงานในห้องอุดอู้ขนาดนี้ ทั้งๆที่บรรยากาศนอกปาลัซโซ่ ออกจะสวยงาม ควรใช้ทัศนียภาพให้เป็นประโยชน์กว่านี้จะดีกว่า
    “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้แม่ให้ตาเว พาลูกเอกทัวร์รอบรีสอร์ตดีไหมจ๊ะ จะได้รู้ด้วยว่าอยากจะจัดงานตรงไหนอย่างไร”
    เวนิสเงยหน้าขึ้นจากแก้วไวน์แดง ส่งยิ้มให้เป็นเอกที่ไม่คิดจะยิ้มตอบ
    “ทำไมคุณแม่ไม่ให้ผมพาเอกดูเองล่ะครับ” โรมว่าอย่างฉุนๆเล็กน้อย “เป็นเอกก็เพื่อนผม จะรบกวนพี่เวทำไม”
    “เอ้า ก็พรุ่งนี้โรมจะไปเยี่ยมคุณลุง คุณป้ากับแม่นี่จ๊ะ ลืมแล้วหรือ” ประกายพรึกยังพูดอย่างยิ้มแย้มอยู่ได้ไม่มีความหงุดหงิดให้เห็นมาตลอดชั่วโมงกว่า ที่เป็นเอกเจอหล่อน นึกชื่นชมว่าผู้หญิงคนนี้ช่างเป็นคนที่อารมณ์ดีเสียจริง “ตาเวก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว เลยวานให้ช่วยพาเดินเที่ยวหน่อยแม่ว่า เวเขาคงไม่คิดว่าเป็นการรบกวนหรอกใช่ไหมจ๊ะ”
   เวนิสวางแก้วไวน์ลง หลังจากหยิบขึ้นมาแกว่งให้กลิ่นไวน์แดงจากฝรั่งเศสลอยขึ้นจมูกอย่างด่มด่ำมาพักใหญ่แล้วก็พูดขึ้นเบาๆว่า “ผมยินดีครับคุณแม่”
     เป็นเอกมองเวนิสขวางๆ จะบอกได้อย่างไรว่าเขาไม่อยากไปกับชายคนนี้เลยให้ตายเถอะ ความประทับใจแรกมันสำคัญมากจริงๆ เมื่อเป็นเอกรู้สึกขุ่นเคืองเวนิสตั้งแต่คืนแรกอย่างนี้แล้ว ยากนักที่จะให้เขาทำใจชอบชายหนุ่มผู้นี้ได้
    โรมคงทนเห็นแม่ของตนหยอกล้อกับพ่อเลี้ยงต่อไปไม่ไหว จึงรีบขอตัวกลับบ้านนอนหลังจากเมฆาเข้ามาร่วมวงด้วยได้ไม่ถึงสิบห้านาที โดยอ้างเพียงว่าขับรถมาไกลเหนื่อยมากอยากจะพัก คนแม่ก็ตามใจปล่อยให้ลูกชายคนรองกลับบ้านไปนอนเสีย เมื่อโรมจะกลับเป็นเอกจะทำอะไรได้นอกจากยอมกลับบ้านไปกับโรม ทั้งที่วางแผนไว้ว่าจะนั่งสูดอากาศบริสุทธิ์อยู่ในสวนหน้าปาลัซโซ่สักพักก่อน
    ชายหนุ่มเดินออกจากปาลัซโซ่เมื่อลับตาแม่แล้วก็แสดงท่าทางฉุนเฉียวออกมาอย่างไม่ปิดบัง ก้าวลงบันไดหินสามสี่ขั้นหน้าตัวปราสาทแล้วก็ยืนเท้าเอวมองฟ้าอย่างไม่สบอารมณ์ เป็นเอกรู้ดีว่าต่อให้เขาเป็นเพื่อนที่สนิทกับโรมแค่ไหน แต่หากเป็นเรื่องในครอบครัวแล้ว เขายังถือว่าห่างเหินเกินว่าจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวจึงไม่พูดอะไร แต่ตบบ่าเพื่อนหนุ่มเบาๆเท่านั้น
    หนุ่มลูกครึ่งหันมา ยิ้มให้กับเพื่อนของตนอย่างฝืนทำเต็มที
   “ยูขึ้นรถไป ไอขับให้เองกลับบ้านไปนอนเถอะอย่าคิดอะไรเลย”
    โรมพยักหน้า นึกขอบใจเป็นเอกที่ไม่ถามอะไร คนที่เข้าใจเขามากที่สุดจะเป็นใครได้ถ้าไม่ใช่เป็นเอก เหตุนี้เองโรมถึงได้รักเพื่อนของเขาคนนี้มากที่สุด
    “ขอบใจ” เขากล่าว แล้วก็ทำตามที่เป็นเอกบอกอย่างว่าง่าย โยกเบาะข้างคนขับให้เอนหลังลง มือประสานกันไว้ใต้ท้ายทอย มองดูท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยหมู่ดาวอยู่เงียบๆ ตลอดทางที่เป็นเอกขับรถกลับไปบ้านพักของเพื่อนหนุ่มของเขา
    “มีอะไรระบายหรือเปล่า” เป็นเอกถามเบาๆ ตามองทางไม่มองคู่สนทนาของเขา ทำให้โรมไม่รู้สึกเหมือนถูกคาดคั้นเอาความจริงอะไรนัก จึงตอบอย่างเต็มใจกลับไปว่า
    “ไอไม่อยากให้แม่แต่งงานกับไอ้เมฆานั่น”
    “อื้ม” เป็นเอกรับคำ “ไอเข้าใจดี ยูคงไม่อยากให้ใครมาแทนพ่อ”
    “ไม่ใช่แค่นั้นหรอกเอก ไอ้นั่นน่ะ อายุเท่าพี่เวเองนะ ยี่สิบแปดเองนะโว้ย แม่ไอจะห้าสิบแล้ว มันห่างกันเกินไป” เขาว่าอย่างอัดอั้นตันใจ “ผู้ชายหนุ่มๆ ดีๆ ที่ไหนเขาจะมาชอบคนแก่อย่างแม่ไอวะ”
    “ยูพูดเหมือนดูถูกแม่” เป็นเอกออกความเห็น “คุณประกายพรึกเขาอาจจะดีมากจนทำให้เมฆาไม่สนใจอายุ และรูปลักษณ์ก็ได้มั้ง คนเรารักกันมันไม่ได้อยู่แค่รูปร่างหน้าตา อายุอะไรอย่างนี้เท่านั้นนี่นา”
    “ก็จริง แต่ห่างกันยี่สิบปีเนี่ย มันไม่เยอะไปหรือ อายุเท่าลูกเลยนะ”
    เป็นเอกถอนใจ
    “สรุปโกรธแม่งั้นซีที่ไปรัก ผู้ชายเด็กกว่า”
    “ใช่” โรมตอบขวางๆ “ไม่รู้แม่คิดยังไง มันหวังสูบเลือดสูบเนื้อแม่อยู่แล้ว อายุห่างกันขนาดนี้ มาหลอกเอาสมบัติใครเขาก็ดูออก พูดกันให้แซ่ด แม่ก็น่าจะรู้ทันอยู่ว่าเขาหลอก ก็ยังจะยอม”
    “แม่ยูคงจะเหงานั่นแหละ” เป็นเอกว่าเบาๆ “ยูอยู่คอนโดกะไอ น้องยูอยู่เมืองนอก ถ้าให้เดา พี่ยูก็คงแยกมาอยู่ต่างหากด้วย ลูกๆไม่อยู่กับเขาสักคน พ่อยูก็ไม่อยู่แล้ว คุณประกายพรึกก็คงจะเหงา ว้าเหว่ อยากหาที่พึ่งทางใจน่ะ”
    เงียบไปสักพัก จนรถแล่นมาจอดหน้าบ้านของโรมพอดี
    “ถ้าแม่มีความสุข ไอก็คงต้องยอมใช่ไหม” เขาหันมาหาเป็นเอก พูดอย่างคนที่มีอารมณ์ความรู้สึกอย่างที่นานๆครั้งจะทำ “ไอไม่ควรขัดความสุขแม่ใช่ไหม”
    เป็นเอกพยักหน้า
    “ต่อให้มันไม่เหมาะสมก็ตามหรือ”
    “ต่อให้มันไม่เหมาะสมก็ตาม” เป็นเอกตอบเบาๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเข้าไปในบ้าน โรมกระชากยางรัดผมออกจากหางม้า สะบัดหัวแรงๆให้ผมตกลงมายุ่งกระจายอยู่บนกรอบหน้าตามเดิม
    “รำคาญ รัดผมจนตึงหนังหัวไปหมด ไอจะอาบน้ำละนะยูอาบทีหลังเหมือนเดิมละกัน” เพื่อนหนุ่มลูกครึ่งอิตาเลียนว่า
    “ตามใจ” เขาตอบเพื่อนหนุ่มก่อนจะตะโกนไล่หลังไปว่า “แต่มัดผมอย่างนั้นก็ดูดีนะเว่ย โรม ไอชอบ”
    เป็นเอกไม่เห็นว่าโรมหยุดชะงักไปนิดหนึ่ง ยิ้มที่มุมปากก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัว เดินเข้าห้องน้ำไป

      เป็นเอกอาบน้ำทีหลังโรม และอาบนานเสียด้วยกว่าจะออกมาอีกครั้งก็เกือบยี่สิบนาที ชายหนุ่มอาบน้ำนานอย่างนี้เสมอหากต้องการผ่อนคลาย ต่างจากโรมที่มักจะอาบเร็วตลอดไม่ว่าจะอยู่อารมณ์ไหนพอย้ายจากหอมาอยู่กับโรมแล้ว เป็นเอกจึงตกลงกับเพื่อนหนุ่มว่าเขายอมอาบทีหลังโรม เพราะยังไงฝ่ายนั้นก็อาบเร็วอยู่แล้วไม่ต้องรอนานอะไร
    ชายหนุ่มนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินออกจากห้องน้ำมาก็ชะโงกหน้ามองที่ห้องนั่งเล่นมองหาเพื่อนว่ารู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง แต่ก็พบเพียงห้องว่างเปล่า จึงสรุปว่าเพื่อนของเขาคงขึ้นห้องนอนไปแล้ว เลยกลับไปแต่งตัว ใส่เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นอย่างพร้อมจะนอนแล้ว เป็นเอกเดินขึ้นไปดูที่ชั้นบนก็พบว่าเพื่อนหนุ่มนอนหลับไปแล้วจริงๆ แต่เขากลับยังไม่ง่วงเสียเลยเพราะเพิ่งนอนไปตื่นหนึ่งก่อนกินข้าวเย็น จึงคิดหาอะไรทำสักพักก่อน
    เขาตัดสินใจเปิดประตูออกจากบ้านไปทางด้านหลัง
    แม้จะเป็นเวลากลางคืนแต่บริเวณนั้นก็ไม่ได้น่ากลัวแต่อย่างใด แสงไฟจากในตัวบ้าน และแสงจันทร์ในคืนนั้นส่องสว่างเสียจนเป็นเอกเห็นแทบจะทุกอย่างรอบกาย คลองสายเล็กๆ ไม่กว้างนักทอดตัวอยู่ด้านหลัง หากข้ามคลองไป ฝั่งตรงข้ามก็คือละเมาะไม้ดูโปร่งกินพื้นที่กว้างไปจนถึงฉากหลังที่เป็นภูเขาสูงทะมึนยาวไปจรดที่บ้านสีชมพูและยังดูเหมือนจะยาวต่อไปหลังบ้านนั้นถึงทุ่งกว้างใหญ่อีกด้วยมองไปทางซ้ายก็พบว่า คลองสายนี้ ทอดยาวไปจนอ้อมหลังบ้านหินสีน้ำตาลหลังใหญ่ดูสูงสง่านั้นและจากคำบอกเล่าของโรม มันคงทอดตัวไปจนถึงกรันปาลัซโซ่อีกด้วย
    เมื่อตามองเลยไปถึงบ้านหลังใหญ่นั้น เป็นเอกก็เห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่หลังบ้านบนม้านั่งที่หันหน้าไปยังลำคลอง อุ้มกีต้าร์ตัวใหญ่ไว้ในมือ ดีดเป็นทำนองที่ไพเราะเสียจากเป็นเอกอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ทั้งๆที่ก็รู้ว่าผู้ที่กำลังเล่นอยู่นี้คือใคร เดินไปเพียงไม่กี่ก้าวเขาก็ได้ยินเสียงุ้มลึกร้องเพลงคลอกีต้าร์มาเป็นเพลงที่เขาเคยฟังผ่านหูทว่าไม่รู้ว่าคือเพลงอะไร จับคำร้องได้ประมาณหนึ่งเท่านั้น
    “...ฉันรักเธอโดยที่ไม่รู้จัก... และฉันรักเธอตั้งแต่แรกพบหน้า”
    เป็นเอกรู้ตัวอีกทีก็มาหยุดอยู่ไม่กี่ก้าวจากชายหนุ่มเจ้าของบทเพลงที่แสนไพเราะนั้น พอหนุ่มผู้นั้นเห็นว่ามีคนแปลกหน้าคนหนึ่งเดินเข้ามาหา เขาก็หยุดเล่น หยุดร้อง วางกีต้าร์ลงเพ่งมองอย่างพินิจ พิจารณาว่าเป็นใครกันแน่
    “ผมเอง เป็นเอก” เขาเอ่ยเบาๆ
    “อ้อ” เจ้าของบ้านร้องออกมา ลุกขึ้นยืน แล้วก็ผายมือเชิญให้เป็นเอกนั่งลงข้างๆ ชายหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย “เชิญนั่งครับ”
    “ผมแปลกใจเหลือเกินว่านอกจากจะเล่นเปียโนได้รื่นหูดีแล้ว คุณยังร้องเพลงได้เพราะมาก และเล่นกีต้าร์เก่งเหลือเกินด้วย” เป็นเอกเอ่ยชม “หัดมานานหรือยังครับ”
    “เปียโนนี่เรียนมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ว่ากีต้าร์นี่เพิ่งจะเริ่ม” เขายิ้มตอบ เป็นเอกจึงสังเกตได้ว่า ผมที่เปียกด้วยมูสเมื่อครู่ บัดนี้ เปียกชื้นนิดๆด้วยน้ำ และชุดสูทเต็มยศก็เปลี่ยนมาเป็นเสื้อคอกลม กางเกงขาสั้นธรรมดาๆเท่านั้น แสดงว่าอาบน้ำมาแล้วเรียบร้อย
    “เก่งจังครับ แล้วเล่นอะไรได้อีกหรือเปล่า”
    “ผมเล่นไวโอลิน” หนุ่มรุ่นพี่ตอบ “ไว้มีโอกาสจะเล่นให้ฟัง”
    เงียบกันไปพักหนึ่งเวนิสก็ถามขึ้นมาอีกว่า “โรมล่ะไม่ออกมาด้วยกันหรือ”
    “หลับไปแล้วล่ะครับ” เป็นเอกตอบ “ผมนอนไม่หลับก็เลยออกมาเดินเล่น ไม่คิดว่าจะได้ยินเพลงอะไรเพราะขนาดนี้”
    พูดจบประโยค ลมก็พัดมากระทบผิวหนังเปลือยเปล่าที่มีเพียงเสื้อกล้ามบางๆเท่านั้นที่ให้ความอบอุ่นได้ ชายหนุ่มตัวสั่นระริก
    “ใส่เสื้อกล้ามบางๆออกมาเดินตอนกลางคืน กลางเขาอย่างนี้น่ะหรือ”เวนิสส่ายหัว แววยียวนอย่างในห้องอาหารกลับมาแล้ว จะให้เป็นเอกมองว่าเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์นานกว่านี้สักหน่อยก็ไม่ได้ “ไม่รู้หรือไงว่าเลยน่ะเป็นจังหวัดที่หนาวที่สุดในเมืองไทย”
    “ไม่รู้ซีครับ ก็ในบ้านมันอุ่นนี่ ถ้ารู้คงไม่ใส่แต่เสื้อกล้ามออกมาหรอก”
    หนุ่มลูกครึ่งหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยถามว่า “จะเข้าไปข้างในไหม” พอเห็นว่าเป็นเอกส่ายหัวปฏิเสธก็พูดต่อ “งั้นเดี๋ยวผมมา”
    หายไปพักเดียว ก็กลับมาใหม่ พร้อมถ้วยเซรามิกควันฉุยสองแก้วและผ้าห่มหนาๆพาดบ่ามาด้วย เวนิสยิ้มให้แม้รอยยิ้มจะดูอบอุ่น จริงใจเพียงใด เป็นเอกก็ยังขุ่นเคืองเรื่องที่ชายหนุ่มลองภูมิภาษาเขาที่กรัน ปาลัซโซ่อยู่ดี
    “ผมชงช็อกโกแลตร้อนทิ้งไว้เหยือกหนึ่ง รินมาเผื่อ ดื่มเสียจะได้หายหนาว” เขายื่นถ้วยนั้นให้ เป็นเอกก็รับไปก่อนจะกล่าวขอบคุณ “แล้วนี่ห่มเสียเดี๋ยวจะไม่สบาย”
    “ไม่เป็นไรครับผมเกรงใจ สักพักก็กลับแล้ว”
    “ไม่ได้ คุณเป็นเพื่อนน้องผมก็เท่ากับเป็นน้องผมด้วย อีกอย่างคุณต้องมาจัดงานแต่งให้แม่ผมถ้าปอดบวมตายไปเสียก่อนแม่ผมจะเอาใครไปจัดงานให้ล่ะครับ” เวนิสยื่นผ้านั้นให้อีกครั้ง แต่เป็นเอกก็ยังไม่รับ ชายหนุ่มจึงกระหวัดผ้าผืนนั้นรอบตัวหนุ่มน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วบ่งบอกชัยชนะ
    มันน่าซัดหมัดเข้าสักเปรี้ยงที่ปลายคางเสียจริง!

*****************************************************

เมื่อวานเหมือนเว็บจะล่ม ผมเข้าไม่ได้เลยพยายามเท่าไหร่ก็ไม่ได้ ก็เลยไม่ได้มาลงวันนี้เลยลงทีเดียว 2ตอนเลยครับ
อย่างที่หลายๆคนตั้งข้อสังเกต เรื่องนี้ผมตั้งใจเขียนให้อ่านง่ายๆมากกว่า “คุณชาย” แต่ให้มีกลิ่นอายของความเป็นอิตาลี และภาษาอิตาเลียนเข้ามาเจือให้เรื่องน่าสนใจขึ้นเล็กน้อย ถ้าใครที่ชอบเกี่ยวกับอิตาลี (อย่างคุณเบอร์ลิน) ก็หวังว่าจะถูกใจนะครับ

คุณเบอร์ลินเดาถูกอีกแล้ว จริงๆเป็นผู้ช่วยผมเขียนเรื่องนี้หรือเปล่าครับ555+

อาทิตย์หน้าเจอกันคงตื่นตาตื่นใจกับภาพสวยๆของรีสอร์ตด้วย แล้วถ้าใครเริ่มหลงรักเวนิสละก็ อาทิตย์หน้าจุใจแน่ครับ

วันพรุ่งนี้จะอัพคุณชายด้วย อย่าลืมไปอ่านนะคร้าบ

:]

โจ๊กกุ้ง

  • บุคคลทั่วไป
คุณพี่ชายมีเสน่ห์มากๆเลยอ่ะ แต่เราชอบโรม :o8: อิอิ  อยากรู้จังว่ามิลานจะเป็นแนวไหน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด