Capitolo sedici
บ่าวสาวเดินขึ้นนั่งบนที่ของตน เรียบร้อยแล้วตอนที่เป็นเอกใกล้จะอิ่ม พ่อแม่ของเมฆานั่งอยู่ทางขวาของลูกชาย ส่วนคุณน้าของประกายพรึกก็นั่งอยู่ทางซ้ายของหล่อน คุณพริ้ง เป็นน้องสาวแท้ๆของแม่ของประกายพรึก ก็เท่ากับว่าเป็นคุณยายของเวนิส โรม และมิลานนั่นเอง อายุของหล่อนคงจะอยู่ราวๆหกสิบกว่า กระนั้นก็ยังดูคล่องแคล่วดี ไม่หลงๆลืมๆเหมือนคนแก่ทั่วไป
หล่อนดูสง่า สูงศักดิ์ และงามอย่างเหลือเชื่อ ผมสีขาวโพลนทั้งหัวนั้น หวีเสยพ้นหน้าผาก แล้วปล่อยยาวลงมาเคลียบ่า แต่งหน้าไว้จัด แต่เมื่อเข้าแสงแดดจ้าอย่างตอนนี้ หล่อนจึงดูสวยรับกันดีกับเสื้อผ้าสีโอลด์โรสค่อนข้างเข้ม กรุยกรายแบบพวกคุณหญิงคุณนายทั่วไป กระนั้นท่าทางของหล่อนก็ไม่ได้แช่มช้อย เชื่องช้าอย่างที่ควรจะเป็นหากพิจารณาเพียงใบหน้า แต่กระฉับกระเฉง ออกจะโผงผางสักเล็กน้อย เมื่อหล่อนเลื่อนเก้าอี้ออก นั่งลงรับประทานอาหารที่จัดเอาไว้ให้ ด้วยกิริยาไว้ท่าหากแต่เป็นธรรมชาติ ไม่ดูแข็งเกร็งเกินไป
เป็นเอกตักพิซซ่าหน้าแฮมชีสเข้าปากเคี้ยวช้าๆ อย่างไม่เจริญอาหารนัก อยู่ที่นี่ เขากินแต่อาหารอิตาเลียน จนจะเลี่ยนตายอย่างที่บอกกับเวนิสไปไม่รู้กี่ครั้งแต่คนที่เข้าใจท่าทีของเขาที่สุดกลับเป็นเพื่อนหนุ่มของเขาต่างหาก โรมนั่งอยู่ทางซ้ายก้มลงมาเกือบจะชิดกับใบหน้าของเพื่อนหนุ่มเอ่ยถามว่า “ไม่อร่อยใช่ไหม”
“เลี่ยน” เป็นเอกตอบเบาๆ เมื่อต้องมาอยู่ต่อหน้าบรรดาญาติๆของเพื่อนก็ไม่กล้าวิจารณ์ตรงๆ จะเป็นการเสียมารยาทได้
“เอาซอสมะเขือเทศหรือซอสพริกไหม” เวนิสได้ยิน เขานั่งถัดไปทางขวาของเป็นเอก พอเดาท่าทางของชายหนุ่มบอกกับอ่านปากของเขาไปด้วยก็พอจะตามทันว่าคุยอะไรกันอยู่ “ผมสั่งให้ได้นะ”
“ไม่เป็นไรครับ” เป็นเอกตอบ “ผมทานได้เพียงแต่ไม่ชอบแล้วก็ไม่ชินเท่านั้น”
“ถ้าอยากได้ก็บอกมาแล้วกัน” เวนิสว่าทิ้งท้าย ก่อนจะหันไปคุยกับลูกสาวของคุณยายพริ้งต่อ
“พี่เอกฮะ” มิลานโผล่มาด้านหลัง เท้าแขนกับพนักเก้าอี้ก้มหน้าลงมาแทบจะซ้อนเกยไหล่ของเพื่อนสนิทของพี่ชาย “ไม่ทานพิซซ่าหรือฮะ ลานขอนะ”
“ไอ้ลาน แกก็ไปตักใหม่ซี” พี่คนโตของเขาดุ “เหลือตั้งเยอะแยะ”
“ผมขี้เกียจเดินนี่นา”
“งั้นพี่ไปเป็นเพื่อน” เป็นเอกเสนอตัว
“นั่งอยู่ตรงนั้นแหละ ขาจะไม่หายก็เพราะชอบเดินไปเดินมาอยู่นั่นแหละ” โรมดุ แล้วก็ลุกขึ้นเดินคู่ไปกับน้องชายกอดคอกันออกไปอย่างสนิทสนม เป็นเอกไม่รู้ตัวว่าเขามองตามไปจนแทบลับสายตา พอหันกลับมาที่จานอาหารก็พบว่าเวนิสกำลังนั่งจ้องเข้าอยู่
“มองตามใหญ่เลย อึดอัดหรือไงอยู่ตรงนี้”
“เปล่านี่ครับ” หนุ่มผมสั้นว่า “ก็เห็นสองคนนั้นสนิทกันดี ไม่คิดว่าจะสนิทกันมาก”
“เขาสนิทกันสองคน” เวนิสยิ้มมุมปาก “ผมเหมือนเป็นคนแปลกหน้าเวลาอยู่กับน้อง อย่างที่บอกแหละว่าผมหายไปอยู่เมืองนอกนาน โรมก็คงจะติดต่ออยู่แต่กับลานตลอด”
“อย่างน้อยคุณก็มีพี่น้องล่ะครับ” เป็นเอกก้มหน้า นึกขึ้นได้ว่าทำอย่างนี้ จะดูเป็นเด็กมีปัญหามากเกินไปจึงเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มทางขวา เห็นว่าเขาก็กำลังจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเป็นเอกไม่ได้เปลี่ยนจุดโฟกัสไปไหน
“คุณลูกคนเดียวหรือ”
“ครับ” เขาตอบสั้นๆ
“คุณก็รับผมกับเจ้าลานเป็นพี่น้องเสียซี” ชายหนุ่มพูดทีเล่นทีจริง
“แหมหน้าเหมือนกันมากเลยนะครับ ผมกับคุณเนี่ย”
เวนิสหัวเราะ เมื่อเห็นเป็นเอกทำหน้าล้อเลียนใส่ ไม่นานสองพี่น้องก็กลับมา มิลานรีบแย่งที่นั่งโรม เพื่อที่ตัวเองจะได้นั่งข้างเป็นเอก แล้วให้โรมนั่งเก้าอี้ตัวต่อไปแทนอย่างช่วยไม่ได้ สักพักพนักงานหนุ่มสาวในชุดสูทสวยก็พากันเดินออกมา เสิร์ฟไวน์แดงอย่างดีให้กับแขกทุกคนในนั้น
“ไว้ดื่มอวยพรให้คู่บ่าวสาวค่ะ” ญาติคนหนึ่งที่นั่งร่วมโต๊ะนั้นพูดขึ้นมา
“ใครจะเป็นคนอวยพรล่ะฮะ” มิลานถามอย่างสนใจใคร่รู้ เป็นเอกก็เงยหน้าขึ้น เลิกคิ้ว ตั้งใจฟังเช่นเดียวกันเพราะเขาเองก็อยากรู้
“ตามธรรมเนียมก็ญาติผู้ใหญ่คนสนิทที่เป็นผู้ชายจ้ะ แต่เหมือนว่างานนี้จะไม่มีนะแขกส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงหมดเลย ที่เป็นผู้ชายก็มีแต่เพื่อนแล้วก็ญาติห่างๆมากกว่า”
“ผมจะเป็นคนอวยพรเองครับ” เวนิสยิ้มให้ญาติของเขา
“ก็ดีจ้ะ ตอนนั้นคงไม่มีใครกล้า คงมัวแต่คิดว่าใครจะแก่กว่ากัน” ญาติของเวนิสหัวเราะเบาๆ
คุยกันไปอีกได้ไม่กี่คำ คุณพริ้งก็ลุกขึ้นชูแก้วไวน์ขึ้น เอาช้อนเล็กๆเคาะเบาๆ จากนั้นก็เริ่มกล่าวเสียงหล่อนดังกังวาน ฟังดูมีอำนาจในตัวเอง แม้จะสั่นเครือเพราะความชรา แต่ก็ฟังได้เข้าใจชัดเจนดีทุกคำ
“สวัสดีค่ะ งานวันนี้เป็นงานเลี้ยงแบบกันเองนะคะเราไม่มีพิธีรีตองใดๆทั้งนั้น เป็นงานกินเลี้ยงสังสรรค์กันปกติเพื่อเป็นเกียรติให้แก่คู่บ่าวสาวเท่านั้น แม้เจ้าตัวบอกว่าไม่อยากมีพิธี ไม่เข้าโบสถ์ ไม่รดน้ำสังข์ แต่เราก็จะมีพิธีกันเล็กๆตามแบบของเรากัน ดิฉันดีใจที่ประกายพรึกแต่งงานกับเมฆา เพราะเมฆาเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติดีครบถ้วน เขาขยันตั้งใจทำงาน เป็นเพื่อนที่ดี เป็นคู่รักที่ดีของประกายพรึกมาตลอด ไม่ได้รังเกียจความจริงที่ว่า หลานสาวของฉันเคยแต่งงานแล้ว อีกทั้งยังมีลูกแล้วถึงสาม นี่พูดกันตรงๆ” หญิงชราตวัดสายตามาที่หลานยายทั้งสามของหล่อน ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ดิฉันอยากจะขอให้เจ้าบ่าวและเจ้าสาวกล่าวอะไรสักหน่อยค่ะ”
เสียงปรบมือดังขึ้น เมฆาลุกขึ้นก่อนเป็นคนแรก
“ผมและดาวเราเริ่มจากการเป็นเพื่อนกันมาก่อน เรามาเจอกันที่คอกม้าข้างๆปราสาทโคโมนี่ ตอนนั้นยังไม่มีปราสาทเลยด้วยซ้ำ เรามีโอกาสได้คุยกันสองสามครั้ง ก็กลายเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากมาแต่นั้น ดาวเป็นคนดี เป็นผู้หญิงทำงาน มีลูกถึงสามคนแต่ก็เลี้ยงดูลูกด้วยตัวเองมาได้ถึงเท่านี้ ผมชื่นชมเขามากและมันก็ทำให้ผมอยากอยู่ใกล้เขาตลอดเวลา คอยช่วยเหลือแบ่งเบาภาระ และสร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะให้กับเขา
กระทั่งเรามีโอกาสได้ใกล้ชิดกัน มากถึงจุดที่ผมมั่นใจแล้วว่าผมไม่อาจจะรักใครได้อีกอย่างที่ผมรักประกายพรึกอีก ผมอยากจะบอกว่าผมรักดาวมาก เท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะรักผู้หญิงคนหนึ่งได้ ผมยอมรับได้ทุกอย่างที่ดาวเป็น ทุกอย่างที่เกี่ยวกับดาวและพร้อมจะดูแลและรักดาวอย่างนี้ตลอดไปครับ”
เสียงปรบมือกันเกรียวกราว ประกายพรึกยิ้มกว้างดวงตารื้นด้วยหยาดน้ำตา พูดกับเมฆาแผ่วเบาอย่างที่แขกคนอื่นคงไม่ได้ยิน แต่เป็นเอกอ่านปากได้ว่า
“ขอบคุณมากค่ะเมฆ ขอบคุณ”
พอเริ่มพูดน้ำเสียงของหล่อนก็ สั่นเครือราวกับว่าจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่ร้องไห้ออกมาเมื่อไหร่ก็ได้
“ขอบคุณค่ะ ดิฉันไม่มีอะไรจะพูดมากนอกจากจะบอกว่า ดิฉันรักเมฆเหลือเกิน ไม่ใช่รักแบบใจเร็วด่วนได้ ไม่ใช่รักเพราะดิฉันไม่มีใคร ดิฉันมั่นใจว่าเมฆคือคนที่ใช่สำหรับดิฉัน เขารัก เคารพและให้เกียรติดิฉันอย่างสุภาพบุรุษพึงปฏิบัติต่อสตรี เขายอมรับดิฉันอย่างที่ดิฉันเป็น เท่านี้ดิฉันก็ไม่ขออะไรจากเขาอีกเลยนอกจาก ขอความรักที่จริงใจอย่างที่ดิฉันมั่นใจเหลือเกินว่าเขาจะให้ฉันได้อย่างแน่นอน และดิฉันก็มั่นใจว่าดิฉันก็จะรักเขาได้ตลอดไปเช่นกันค่ะ”
แขกปรบมือดังลั่น หลายคนถึงกับซึ้งน้ำตาคลอ เป็นเอกหันไปสำรวจสีหน้าของเพื่อนหนุ่มก็พบว่า หนุ่มผมยาวที่มัดผมรวบไว้เป็นหางม้านั้น ยังมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้มีความไม่พอใจเจืออยู่บนใบหน้าอย่างที่เขาเป็นมาตลอด และอาจเป็นเพราะอำนาจของแสงแดด และมุมมองหรือเปล่าก็ไม่รู้ เป็นเอกเห็นว่า โรมายิ้มที่มุมปากเล็กน้อยด้วย
พอเจ้าสาวพูดจบ คุณพริ้งก็พูดขึ้นด้วยเสียงดังฟังชัดเช่นเคยว่า
“ดิฉันยินดีที่จะบอกว่าบัดนี้เป็นเวลาอันสมควรแล้ว ที่จะให้บ่าว สาวแลกแหวนให้แก่กันและกันเพื่อเป็นสามีภรรยากันอย่างสมบูรณ์ค่ะ”
เจ้าบ่าวเจ้าสาวแลกแหวนกันสวม ท่ามกลางเสียงปรบมืออันล้นหลามจากบรรดาญาติสนิท มิตรสหาย กระทั่งทั้งคู่แลกแหวนกันแล้ว เมฆาก็เข้าหอมแก้มภรรยาของเขาด้วยความรักทะนุถนอม เป็นเอกมองหน้าเพื่อนหนุ่มก็ไม่เห็นโรมจะขัดใจแต่อย่างใด กลับปรบมือให้ด้วยรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้า พอเสียงปรบมือเริ่มซาลง ชายหนุ่มก็ทำสิ่งที่เขาไม่คิดว่าเพื่อนของตนจะทำ
โรมาลุกขึ้นถือแก้วไวน์อยู่ในมือ ยืนนิ่งมองแม่ของตนและคู่ของของหล่อนด้วยแววตาที่ยากจะบอกได้ว่ารู้สึกอย่างไร เมื่อเขาเปิดปากพูดบรรดาแขกเหรื่อทั้งหลายก็พากันเงียบเสียงลง เสียงห้าว ทุ้มลึกของลูกชายคนกลางของเจ้าสาวนั้นก้องกังวานไปทั่วบริเวณ
“ผมขอให้คู่บ่าวสาวมีแต่ความสุขในชีวิตคู่ ขอให้รักกันนานๆ และเป็นคู่รักที่น่ารักของกันอย่างนี้ตลอดไปครับ” เขาเว้นวรรค ยกแก้วไวน์ขึ้น พูดเป็นภาษาอิตาเลียนว่า “Per cent’anni”
บรรดาแขกเอ่ยปากพูดตามกันออกเสียงถูกบ้างผิดบ้างแต่ทุกคนก็เปล่งออกมาจากใจจริงๆ มีเพียงสามหนุ่มลูกชายของคุณประกายพรึกเท่านั้นที่รู้ว่าคำที่โรมเปล่งออกมานั้น เป็นคำกล่าวอวยพรตามแบบของประเทศอิตาลี ให้คู่บ่าวสาวรักกันเป็นร้อยปี
ทุกคนในงานยกไวน์แดงขึ้นดื่ม เพื่อเป็นเกียรติแด่เจ้าบ่าว เจ้าสาว ที่กำลังประหลาดใจกันทั้งคู่ที่จู่ๆคนอวยพรกลับเป็นคนที่ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ที่สุด อย่างโรมไม่ใช่เวนิสอย่างที่คิดไว้
“Per cent’anni…” เสียงนั้นยังก้องดังอยู่ในหูของประกายพรึกราวกับว่าหล่อนเพิ่งได้ยินเจ้าของภาษาพูดมันออกมาอยู่เมื่อวานนี้เอง ทั้งที่เหตุการณ์ก็ล่วงเลยมาจนถึงบัดนี้เป็นเวลาเกือบสามสิบปีแล้ว
ประกายพรึกจำได้ดีว่า หล่อนก็ได้ยินคำนี้ในงานแต่งงานของหล่อนครั้งนั้นเหมือนกัน กระนั้นต่อให้บรรยากาศจะเหมือนกันเพียงใด คืองานเป็นกลางแจ้งเหมือนกัน คำกล่าวอวยพรเหมือนกัน อาหารที่เสิร์ฟ และการตกแต่งสถานที่จะคล้ายกัน แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างมาก และชัดเจนสำหรับเจ้าสาวที่กำลังยืนนิ่งไม่รู้ตัวอยู่อย่างนั้นก็คือ
ผู้ชายที่อยู่ข้างหล่อนคือเมฆา ไม่ใช่คาร์โล
และความรู้สึกที่อยู่ในใจหล่อนนั้นก็ต่างกันมากเช่นกัน ครั้งที่แล้วหล่อนมีความสุข สดชื่น เปรมปรีดิ์ ตื่นเต้น ระคน ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ครั้งนี้กลับเป็นความรู้สึกที่แปลกออกไปทั้งที่ความรู้สึกมันควรจะเหมือนกัน ประกายพรึกรู้สึกผิดต่อลูกชายทั้งสามอยู่เต็มอก และหล่อนก็คิดถึงคาร์โลเหลือเกิน
มองไปยังทะเลสาบก็เหมือนกับว่ามีชายคนหนึ่งที่หล่อนรักมากมาย เดินขึ้นมาจากท่าเรือ เหมือนว่าชายผู้ที่รูปร่างสูงใหญ่หน้าตาคล้ายเวนิส นิสัย ท่าทางเหมือนโรม สีผมกับดวงตาเหมือนมิลาน... สามีเก่าของหล่อน กำลังเดินตรงเข้ามาหาแล้วพูดสั่งขึ้นอย่างตัดพ้ออยู่กลายๆ เหมือนว่าเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด และเข้าใจหล่อนดีว่าหล่อนยังไม่ลืมเขา… เหมือนเขากระซิบเบาๆข้างหูหล่อนว่า
“Non amarmi...”
“ดาวคิดอะไรอยู่” เสียงของเจ้าบ่าวปลุกหล่อนออกมาจากห้วงความคิด หญิงสาวยิ้มหวานตอบกลับไปทันทีไม่ให้ดูมีพิรุธ แม้ว่าผู้คนรอบกายหล่อนก็สังเกตได้เช่นกันว่าหล่อนกำลังเหม่อลอยเพราะอะไรบางอย่างอยู่
“อ้อ สงสัยดาวคงเหนื่อยแหละค่ะ”
“อืม ไม่ควรเลย” ชายหนุ่มว่า “วันแต่งงาน ไม่น่าจะเหนื่อยเลยนะครับ”
“ขอโทษทีค่ะเมื่อคืนคงนอนไม่หลับ” หล่อนว่า มีเวลาคุณกับเขาได้ไม่นานเพราะหล่อนจะต้องลงจากเวทีมาเพื่อเต้นรำกับเขา แขกผู้ใหญ่บนนั้นลงมารอที่โต๊ะด้านล่างแล้ว เมฆาก็ลงมายืนที่พื้นสนามแล้ว มีเพียงประกายพรึกนั่นแหละที่กำลังยืนเหม่อลอยอยู่บนยกพื้นราวกับต้องมนตร์อะไรสักอย่าง
“ไปเถอะครับ เราต้องเต้น วอลซ์นะลืมแล้วหรือ” เมฆาเตือนสติ หล่อนจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ เดินลงมาจากเวที เข้าคู่พร้อมกับเจ้าบ่าวแล้ว นักดนตรีก็บรรเลงเพลงวอลซ์หวานชื่น จังหวะเอื่อยๆช้าๆ ทำให้คู่บ่าวสาวนั้นรู้สึกราวกับว่าลอยอยู่เหนือก้อนเมฆ เคลื่อนตัวไปตามจังหวะของทำนองเพลงจากสวรรค์ เมฆากระชับภรรยาของต้นเข้าแนบแน่นในอ้อมกอด ไม่ลืมจะกระซิบเบาๆว่า
“ผมรักดาว”
บรรดาแขกในงานส่งเสียงร้องยุให้เจ้าบ่าวจุมพิตเจ้าสาว ทั้งคู่พยายามปฏิเสธ แต่ก็ต้องทำตามเมื่อทนคำรบเร้าไม่ไหว เมฆาดึงร่างของประกายพรึกเข้าไปประทับรอยจูบบนริมฝีปากคู่สวยนั้น เนิ่นนานราวกับจะให้หมดวัน
พอบ่าวสาวเต้นรำเสร็จแล้ว แขกคนอื่นๆก็ลุกขึ้นเต้นด้วย เวนิสชวนญาติสาวของตนไปเต้นตามมารยาท ส่วนมิลานก็พยายามชวนคุณยายพริ้งไปเต้นอยู่อย่างเด็กๆ ทิ้งให้โรมอยู่กับเป็นเอกเพียงสองคน
“ไอไปห้องน้ำนะ” โรมว่า สีหน้าไม่มีพิรุธ เดินเลี่ยงออกมาจากงานเงียบๆ ตรงเข้าปราสาทไป
ชายหนุ่มผมยาวไม่ได้ไปห้องน้ำอย่างที่ว่า แต่ตรงเข้าไปในแกลอรี่ที่เดิมจะมีรูปวาดฝีมือเขาประดับไว้ หากแต่ตอนนี้ถูกยกออกไปตั้งไว้ในงานจนเกือบหมดแล้ว ห้องนั้นจึงเป็นห้องที่เกือบจะว่างเปล่า ... ว่างเปล่าเหมือนกับใจของเขาในตอนนี้
โรมดึงยางรัดผมออก โยนไปให้พ้นตัว ยกมือขึ้นขยี้ผมอย่างหงุดหงิดใจ ก่อนจะ ทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรงตรงมุมห้อง จู่ๆน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างควบคุมเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป
ในที่สุดแม่ก็แต่งงานกับเมฆา
ถึงเขาจะทำได้แนบเนียนเพียงใดตลอดเวลาที่อยู่ในงาน แต่เขาก็ยังรับไม่ได้จนแล้วจนรอดที่ต้องเสียแม่ไปให้กับชายหนุ่มที่ไม่น่าจะรักแม่ของเขาอย่างจริงใจเหมือนที่พูดในงานเลี้ยงเสียเลย เสียใจ แค้นใจ แทบตายก็ทำได้แค่นั่งดูทำเป็นชื่นชมยินดีไปด้วย ไม่อยากจะลุกขึ้นอาละวาดทำลายงานแต่งงานของแม่ตัวเอง อย่างที่เป็นเอกบอกนั่นแหละว่า ให้ตามใจแม่เสียบ้างก่อนที่จะไม่มีโอกาส
อย่างน้อยเขาก็ทำตามที่เป็นเอกบอกได้ก็แล้วกัน
คิดถึงเพื่อนหนุ่ม เขาก็เห็นเป็นเอกเดินตรงเข้ามาหา โรมปาดน้ำตาออกไป ไม่อยากให้เพื่อนหนุ่มเห็น ฝ่ายนั้นนั่งลงข้างๆไม่ทัก ไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่ จนเอื้อมมือมาวางบนเข่า บีบเบาๆอย่างให้กำลังใจเท่านั้น โรมก็ร้องไห้โฮออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“ยูหันไป ขอไอร้องไห้เสร็จก่อน” เป็นเอกอยากหัวเราะกับคำขอของเพื่อน แต่ก็ห้ามใจไว้เมื่อคิดว่าโรมคงเสียใจมาก คงอยากให้เขาปลอบใจมากกว่า
“ถ้าไม่อยากให้เห็นก็ได้ แต่ไออยากเห็นยูร้องไห้บ้าง อยากให้ยูได้ระบายออกมาบ้างนะโรม เพื่อนน่ะมีไว้ให้ระบาย ให้ช่วยเหลือยามทุกข์ใจไม่ใช่หรือไง”
หนุ่มผมยาวพยักหน้า ไม่รู้ตัวว่าซบหน้าลงร้องไห้กับบ่าของเพื่อนสนิทตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าเมื่อได้ทำแล้วก็ไม่อาจจะหยุดได้ง่ายๆ