20
นทีเดินลงจากตึกเรียน ก็ตรงไปยังรถสีขาวเงินคันสวยของภาสกร ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงที่คนขับใส่แว่นกันแดด เพื่อป้องกันสายตาจากแสงอาทิตย์ที่นับวันจะมีแต่โหดร้ายขึ้นทุกที คุณชายภาสกร อ่านหนังสือนิยายฝรั่งอย่างสนใจแม้นทีจะขึ้นรถมาแล้วก็ไม่อาจละสายตาจากหนังสือเล่มนั้นได้อยู่ดี
“อีกไม่ถึงอาทิตย์ผมก็สอบไฟนอลแล้วละ”
“เหรอ” ภาสกรรับคำ ก่อนจะคั่นหนังสือหน้าที่ค้างไว้ แล้ววางไว้ข้างๆตัวเอง เขารับไม้ค้ำของนทีมาส่งไปหลังรถ
“วันนี้ฝ้ายไม่ไปด้วยครับ เราไม่ต้องไปส่งฝ้าย” หนุ่มน้อยรายงาน ก่อนที่ภาสกรจะยื่นแซนวิช ทำเองให้ชายหนุ่ม
“ผมทำแซนวิชทูน่ามาเผื่อ วันนี้คุณเลิกเร็ว ผมจะพาไปกรุงเทพ”
“หา ไปกรุงเทพเลยหรือ” หนุ่มน้อยทวนคำ
ภาสกรหัวเราะก่อนจะตอบ
“ใช่ ไม่ถึงกับกรุงเทพดีหรอก อยู่ชานเมือง ขับรถชั่วโมงเดียวก็ถึง เป็นร้านอาหารของคนรู้จักผมเอง สวยมากเลยนะ เสียดายปุยฝ้ายไม่ได้ไปด้วย เป็นร้านอาหารไทย หลังๆนี้เราไม่ได้กินอาหารไทยกันเลยนี่นา”
การพบกันระหว่างเขาและภาสกร กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ทุกเช้า ภาสกรจะขับรถมาจอดรอหน้าแฟลต เมื่อหนุ่มน้อย และเพื่อนสาวเดินลงมาถึงข้างล่างก็จะพบรถของภาสกรจอดอยู่ทุกครั้ง นทีจำได้ว่าเขาเคยบอกภาสกร ทำนองว่า “เกรงใจ คุณไม่เห็นต้องตื่นแต่เช้าไปส่งผมเลย”
“คุณนั่งแท็กซี่ ไม่สบายขาก็ยังไม่หายดี นั่งรถผมไปนั่นแหละสะดวกกว่า” จะห้ามก็ห้ามไม่ได้ นทีก็ต้องปล่อยเลยตามเลย ดีเสียอีกที่ตื่นมาแต่เช้าก็ได้เจอภาสกรแบบนี้
พอเรียนเสร็จ เขาก็จะพบว่ามีรถของคุณชายหนุ่มจอดรออยู่แล้วที่ลานจอดรถ แรกๆ เพื่อนๆก็ตื่นเต้นกันใหญ่ที่รู้ว่านที และปุยฝ้ายรู้จักภาสกร ถามไถ่เรื่องส่วนตัวของคุณชายหนุ่มกันอย่างไม่เกรงใจ แต่เมื่อนานๆเข้ารู้ว่าอย่างไร นทีก็ไม่มีวันปริปากบอกเสียงพูดคุยเหล่านั้นก็เงียบไปเอง กลายเป็นเรื่องเคยชินสำหรับทุกคนในคณะไปแล้วว่า พอเลิกเรียนวันไหน นที และ ปุยฝ้ายก็จะมี “ราชรถ มาเกย” ไม่เคยขาดสักวัน
วันไหนที่มาไม่ได้ เพราะติดประชุม หรือกลับบ้านไปเยี่ยมท่านพ่อ ภาสกรก็จะส่งข้อความมาบอกว่ามารับไม่ได้
วันไหนที่ปุยฝ้ายและนทีเลิกพร้อมกัน ภาสกรก็จะรับทั้งคู่ไปส่งที่ร้าน Chez moi ที่ปุยฝ้ายทำงานเป็น พนักงานเสิร์ฟ ตัวคุณชายก็จะ นั่งจิบกาแฟ และกินเค้กกับนที ภาสกรเพิ่งมารู้ว่านอกจากข้าวที่นทีชอบที่สุดแล้ว ยังมีเค้กที่เจ้าตัวกินได้ทุกวัน ทั้งวัน อย่างไม่มีเบื่อน่าแปลกที่กินเท่าไหร่ก็ไม่เคยอ้วนสักที พอภาสกรถาม นทีก็ตอบว่า
“ไม่อ้วน แต่รู้สึกตัวหนัก ผมไม่เคยอ้วนแบบลงพุงสักที แม่บอกว่าระบบเผาผลาญทำงานดีเกินไป เลยไม่ค่อยเหลือมาสะสมในร่างกาย”
วันไหนที่ปุยฝ้าย และนทีเลิกไม่พร้อมกันแต่จะกลับด้วยกัน ภาสกรก็ไม่เบื่อที่จะนั่งอ่านหนังสือในรถ หรือเปิดเพลงฟังกับนที หรือเดินชมบรรยากาศของมหาวิทยาลัย จุดที่ภาสกรชอบที่สุด คือสระน้ำขนาดใหญ่ ใกล้กับอาคารเรียน ทั้งคู่สามารถนั่งคุยกันตรงนั้นได้เป็นชั่วโมงระหว่างรอปุยฝ้ายเลิกเรียน
“เวลาผมมีเรื่องทุกข์ใจ ผมก็มานั่งตรงนี้แหละครับ วันไหนแดดร้อนก็นั่งได้ไม่นาน วันไหนร่มเหมือนวันนี้ ผมนั่งได้เป็นวันเลย จนฝ้ายไล่ให้ผมไปเป็นเพื่อนกับสระน้ำแทน ไม่ต้องสนใจเขาแล้ว”
นทีเคยเล่าให้ภาสกรฟัง และยังจำได้ว่าคุณชายยิ้มให้อย่างเข้าใจแล้วบอกว่า “แล้วตอนนี้รู้แล้วใช่ไหม ว่าถ้ามีอะไรไม่สบายใจให้มาคุยกับผมได้”
วันไหนที่ปุยฝ้ายไม่กลับด้วยอย่างวันนี้ คุณชายหนุ่มก็จะพา นทีไปทานอาหารเย็นกันสองคน ค่ำๆก็พาไปส่งที่แฟลต รอจนแน่ใจว่าขึ้นห้องไปแล้วไม่มีปัญหาแน่ ก็กลับบ้าน เคยมีอยู่วันหนึ่งที่ทั้งปุยฝ้ายและ นทีเลิกเรียนเร็วอย่างวันนี้ ภาสกรก็พาทั้งคู่ไปที่บ้านของเขา ไปทำอาหารกินกันเองโดยแวะซื้อเครื่องปรุงจากซูเปอร์มาร์เก็ตกลับไปทำกินกัน
ถึงบ้านประมาณบ่ายๆ นทีนึกสนุกก็ขอคุณชายเป็นแบบวาดภาพเขากับทะเล แต่คุณชายหรือจะยอมในเมื่อเคยทนร้อนอยู่นิ่งอย่างเดียวขยับตัวไม่ได้มาแล้วครั้งหนึ่ง ก็ไม่ทนอีก ปุยฝ้ายจึงเสนอ โพสต์ท่านางแบบที่นอกชานนั้น มีพื้นหลังเป็นเกลียวคลื่นจากทะเลสีครามดูสวยงาม โดยไม่รู้สักนิดว่าจริงๆแล้ว การเป็นนางแบบมันยากลำบากขนาดไหน ตอนนั้นเอง ที่ภาสกรขอตัวมาทำกับข้าวในห้องครัว
ทำกับข้าวไปก็ได้ยินเสียงบ่น เมื่อย ร้อนไป จนนที มาเฉลยว่า วาดแต่รูปวิว ไม่ได้วาดปุยฝ้าย เพื่อนสาวผิวคล้ำก็กรี๊ดออกมาจน ภาสกรอดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมาในความเป็นเด็กของทั้งคู่ เมื่อชีวิตของภาสกรไม่เคยมีอะไรสนุก และเรียบง่ายแบบนี้ พอได้อยู่กับนที และปุยฝ้ายเขาก็รู้สึกเหมือนได้มีคนมาเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิต
ปุยฝ้ายมาช่วยทำกับข้าวอีกแรง อาหารจึงเสร็จเร็วกว่าที่คิด มื้อนั้นมีแกงเขียวหวานเนื้อ ผัดผัก และน้ำพริก กินกับผักสดแบบง่ายๆ แต่อร่อยมากเมื่ออยู่พร้อมหน้ากันทั้งสามคน พอทานอาหารเสร็จ ตกเย็นทั้งสามก็ออกไปเดินเล่นกันริมชายหาด ภาสกรไม่ยอมให้นทีเอาไม้ค้ำมาช่วยเดิน เพราะไปปรึกษา หมอมิ่งเมืองแล้วว่านทีควรเข้ารับการทำกายภาพบำบัด เพื่อให้กลับมาเดินได้อีกครั้งได้แล้ว ยิ่งขยาด จะยิ่งทำให้เดินไม่ได้สักทีนทีเองก็กลัวเรื่องนี้อยู่จึงยอมลงไปเดินที่ชายหาดโดยมีเพียงภาสกร ประคองไป นั่งบนพื้นทรายนุ่มๆ มีปุยฝ้ายวิ่งไปวิ่งมา ทำท่าเป็นนางเอกมิวสิกวิดิโอ ให้สองหนุ่มนั่งขำกันไป
เรื่องขาของนที กลายเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาในที่สุด
ไม่กี่วันมานี้ ภาสกรคะยั้นคะยอให้นทีไปเอกซเรย์กระดูกขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่หนุ่มน้อยปฏิเสธการดูแลพิเศษทุกอย่างจากภาสกร อ้างว่าที่ทำมาตลอดก็มากพออยู่แล้ว เขาสามารถไปรักษาที่คลินิกแถวบ้านได้แต่ภาสกรก็ไม่ยอม เพราะถือว่าหากขา และแขนยังไม่กลับมาเป็นปกติ ก็ยังถือว่าเขายังมีสิทธิ์ดูแลนทีในเรื่องนี้อยู่ เถียงกันไปเถียงกันมา จึงพบกันครึ่งทาง
ภาสกรพานทีไปเอกซ์เรย์ ที่โรงพยาบาลเล็กๆ ไม่แพงเหมือนโรงพยาบาลแรกที่เขาพาหนุ่มน้อยไป ผลปรากฏว่า กระดูกใกล้จะประสานกันเป็นปกติแล้ว ปัญหาอยู่ที่นทีไม่ได้เดินมาพักใหญ่แล้ว กระดูกที่ขาจึงกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ช้า ส่วนที่แขน หมอบอกว่าเกือบจะเป็นปกติแล้วเพราะชายหนุ่มสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระโดยไม่เจ็บ แต่จะยืดแขนมากๆไม่ได้เท่านั้น หมอบอกว่าแขนไม่มีปัญหา หากไม่ใช้แขนซ้ายยกของหนัก แต่ขาจะต้องรับน้ำหนักทั้งหมดของร่างกายจึงจำเป็นที่จะต้องมาทำกายภาพบำบัด
เมื่อคำสั่งออกจากปากของหมอ นทีก็ปฏิเสธภาสกรไม่ได้ จำใจต้องยอมมากายภาพบำบัดที่โรงพยาบาล โดยมีภาสกรคนเดียว หรือไม่ก็มีปุยฝ้ายด้วย มายืนให้กำลังใจ กลับแฟลตก็ต้องพยายามเดินลงน้ำหนักที่เท้า ถ้ามีภาสกรอยู่ด้วยชายหนุ่มก็จะบังคับให้เดินลงน้ำหนัก โดยมีคนออกคำสั่งเดินประคองไปด้วยเสมอ จนนทีสามารถเดิน ลงน้ำหนักที่ขาขวาได้บ้างแล้วโดยไม่ต้องเดินขาเดียวอย่างแต่ก่อน แต่อย่างไรก็ตาม นทีก็ต้องไปทำกายภาพบำบัดที่ รพ. อาทิตย์ละครั้ง จนกว่าจะเดินได้คล่องตัว
พอนทีเริ่มเดินลงน้ำหนักได้บ้าง คุณชายก็พาหนุ่มน้อยไปเดินห้างสรรพสินค้า ในวันอาทิตย์ที่ทั้งคู่ว่างตรงกัน ปุยฝ้ายบอกผ่าน เพราะต้องการทำงานเพิ่มในวันอาทิตย์ก็เลยไม่ได้ไปกับสองหนุ่มด้วย จริงๆแล้ว มีเพียงหล่อนที่รู้ว่าที่บอกอย่างนี้ก็เพื่อให้สองหนุ่มได้ไปไหนมาไหนด้วยกันสองคนให้บ่อยขึ้น โดยไม่มีหล่อนเข้าไปเป็นตัวกลาง
เพราะเพื่อนหนุ่มของหล่อนอาการดีขึ้นมาก กลับมาร่าเริง พูดมาก อัธยาศัยดีกับทุกคนอย่างเก่า แทบจะลืมกันไปแล้วว่าเคยมีช่วงเวลาที่ชายหนุ่มคนนี้เหงา เศร้าสร้อย ไม่สนใจใครอยู่ช่วงหนึ่ง เหตุผลที่นทียกมาบอกเพื่อนๆทุกคนคือ “อยู่โรงพยาบาลเสียนาน ได้มาเจอเพื่อนๆอีกก็ดีใจ”
แต่มีปุยฝ้ายคนเดียวที่รู้ว่า “มีความรักมากกว่ากระมัง”
สิ่งที่หญิงสาวผิวเข้มไม่รู้และไม่กล้าถามก็คือสถานะระหว่างเพื่อนหนุ่มของหล่อน และคุณชายตอนนี้ คืออะไรกันแน่ แน่ละทั้งคู่ไม่เคยจับมือถือแขน โอบกอด หรือเปลี่ยนสรรพนามให้สนิทสนมฟังดูเป็นแฟนกันแต่อย่างใด ยังคงเป็น “คุณชาย” และ “ผม” อยู่เหมือนเดิม และ ทั้งคู่ก็ยังรักษาระยะห่างระหว่างกันอยู่จะมีที่โอบบ่า กอดคอบ้างก็ตอนคุณชายทำกายภาพกับนทีที่บ้านของเขาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมายไปกว่านั้นจะให้เดินไปถามว่า “ไฮ! คุณชาย เป็นแฟนกับเพื่อนหนูหรือยังคะ?” ก็ไม่ใช่เรื่อง
ถามไปเกิดไม่ใช่ขึ้นมา นอกจากหน้าแตกแล้ว ยังจะกระทบถึงเพื่อนหนุ่มของหล่อนด้วย ดีไม่มีเกิดความสัมพันธ์ของทั้งคู่ต้องมาพังลงเพราะปุยฝ้าย หญิงสาวคงไม่มีวันให้อภัยตัวเองเป็นแน่
ภาสกรพานทีไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ อันเดอร์วอเตอร์เวิลด์ ในพัทยานี่เองจากนั้นจึงไปทานข้าว ดูหนัง จบลงที่พากลับไปส่งที่แฟลตอย่างทุกวันสำหรับนทีการไปเที่ยวแบบนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรจากการไปออกเดทสักเท่าไรนัก ต่างกันตรงที่ทั้งเขาและภาสกรเป็นผู้ชายเท่านั้นเอง
นึกถึงตอนไปเที่ยว ภาสกรก็เอ่ยปากพูดขึ้น
“คุณสอบแล้วก็ปิดเทอมใช่ไหม ให้ผมพาไปเที่ยวนะ ไปใต้กัน ไปภูเก็ตหรือไม่ก็กระบี่ก็ได้”
“ดีสิครับ” หนุ่มน้อยนึกสนุกแบบเด็กๆ ภาสกรยังไม่ลืมว่าพ่อของนที เคยเป็นมัคคุเทศก์มาก่อน และยังชอบพาครอบครัวของตนไปเที่ยวที่โน่นที่นี่กันเสียบ่อยเขาตั้งใจว่า จะทำให้หนุ่มน้อยคนนี้ได้มีความสุข เหมือนเมื่อครั้งเขายังเด็กๆ อีกสักครั้งหนึ่ง “ผมอยากไปเที่ยว ตั้งแต่พ่อแม่เสียก็ไม่ได้ไปไหนเลย อยู่แต่ที่พัทยา”
นี่ก็เป็นอีกข้อที่เปลี่ยนไป นทีพูดถึงพ่อและแม่ได้อย่างสนิทปากอีกครั้ง เหมือนพูดถึงเพื่อนหรืออะไรสักอย่างที่ทำให้มีความสุขขึ้นมา โดยไม่ต้องทำหน้าเศร้า และคิดคะนึงหาอีกเหมือนแต่ก่อน
“แต่เลือกได้ผมไม่อยากไปทางใต้เลยครับ ไปทะเลก็เหมือนอยู่พัทยา”
“งั้นผมให้คุณเลือกแล้วกัน คุณอยากไปไหนได้ทั้งนั้น อยากขึ้นเหนือไปดูวิวบนดอย หรือไปเขาใหญ่ หรือจะไปเที่ยวน้ำตกแถวกาญจนบุรี หรือ นครนายกก็ได้ ผมรู้จักทางดี”
“ดีจังเลย ผมอยากขึ้นเหนือเหมือนกัน ผมชอบอาหารเหนือที่สุดในโลกเลย” ชายหนุ่มว่าเหมือนเด็กๆ พอนึกถึงเรื่องจะได้ไปเที่ยว ตาก็เป็นประกายสดใสเหมือนย้อนไปเป็นเด็กชาย นที ตอนอายุสัก 10 ขวบ
“คุณชอบทุกอย่างเลยนะ นที ถ้าเป็นของกิน”
“คุณชายอย่าขัดซีครับ”
“ครับผม ว่าต่อเลยครับ ผมจะไม่พูดแล้ว” คุณชายล้อเลียน แต่นทีก็ไม่ได้สนใจ ยังวางแผนเที่ยวออกมาเป็นคำพูดต่อไป
“แต่ไปเหนือถ้านั่งรถก็เป็นสิบชั่วโมง ถ้าขึ้นเครื่องผมก็ไม่ชอบครับ กลัวแถมยังเสียเงินเยอะอีก ถ้าไปเขาใหญ่ เราไปปากช่องกันไหมครับ อยู่แบบคาวบอย เท่ดีไปสักสองสามวัน วันไหนก็ขึ้นไปเขาใหญ่ส่องสัตว์”
“เอ แต่หน้าร้อน ไปแถวนั้นร้อนตายเลยครับ”
“งั้นไปน้ำตกก็ได้ครับ ช่วง มีนา เมษา คนชอบไปน้ำตกนี่นา ผมอยากไปเที่ยวน้ำตกจัง ปกติถ้าไม่ขึ้นเหนือก็ลงใต้ ไม่ค่อยสนใจตามแถวนครนายก หรือกาญจนบุรีนัก”
“ถ้าขาคุณหายดีนะ ผมจะพาไป ถ้ายังไม่หายผมก็ไม่อยากให้คุณไป โยกเยก แถวน้ำตก ตกลงมาจะแย่” ภาสกรว่าด้วยความหวังดี ตามองถนน ไม่ได้เห็นเลยว่าหนุ่มน้อยมองหน้าตนอยู่ด้วยความไม่พอใจ
“ไปเหนือก็นั่งรถนาน ไปอิสานก็ว่าร้อน ไปน้ำตกก็อ้างขาผมไม่ดี ผมไม่ไปไหนแล้วก็ได้ครับ อยู่พัทยานี่แหละ ไปค้างบ้านคุณชาย 3 วันกลับไปนอนแฟลตต่อ ก็ดีครับเปลี่ยนบรรยากาศดี”
ภาสกรรู้ตัวว่าชายหนุ่มประชดก็อดไม่ได้ที่จะหันมาหัวเราะเบาๆ
“ทำงอนไปได้ เอาเถอะ ใกล้ๆแล้วผมจะคิดอีกที เอาเป็นว่าเป้าหมายคร่าวๆ คือไปกาญจนบุรี หรือนครนายกก็แล้วกันนะ”
“ครับผม”
ทั้งคู่ มาถึงร้านอาหารในเวลาไม่นานร้านนี้ชื่อร้านกลางบึง เป็นร้านอาหารที่อยู่บนสระขนาดใหญ่ที่มองดูก็รู้ว่าขุดขึ้นมาเอง ลักษณะเหมือนแพไม้ยกสูงขึ้นจากน้ำ มีโต๊ะที่ค่อนข้างจะไม่ค่อยเหลือว่างแล้ว เรียงรายไปตามขนาดของแพ บางมุมมีห้องเล็กๆพอนั่งเป็นส่วนตัวได้ เวลามาเป็นครอบครัว
ภาสกรคงจองโต๊ะไว้แล้ว เพราะพอมาถึงก็มีคนพาไปที่โต๊ะที่อยู่ริมแพ เห็นน้ำได้ชัดเจน และค่อนข้างไกลจากผู้คน
คุณชายหนุ่มไม่ยอมให้นทีเอาไม้ค้ำลงมาจากรถด้วย บังคับให้ค่อยๆเดินลงน้ำหนักที่เท้า เป็นการกายภาพบำบัดไปในตัว นทีสังเกตหลายคนมองเขาก็อายจนหน้าแดง แต่ภาสกร กลับยิ้มกว้าง ราวจะบอกว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว และช่วยประคองเขามาจนถึงโต๊ะ
สั่งอาหารเสร็จ นทีก็เอ่ยปากชมสถานที่
“สวยมากครับคุณชาย คุณชายเก่ง รู้จักสถานที่สวยๆเยอะแยะไปหมด”
หนุ่มน้อยมองสระบัว ที่มีหมู่แมลงบินตอมอย่างตาศิลปิน เห็นมุมนั้นก็สวย มุมนี้ก็สวยได้อย่างลึกซึ้ง ไม่เหมือนคนทั่วไป ที่ต่อให้มองว่าสวย ก็สวยแบบธรรมดา ถือว่ามากินข้าวเก็บบรรยากาศ
“นทีมองอะไรก็สวย”
เขายิ้ม ให้กับหนุ่มน้อยที่ยิ้มตอบ หากทำได้ นทีคงตอบพร้อมกับรอยยิ้มนั้นด้วยว่า “มันสวยก็เพราะมากับคุณชายนั่นแหละครับ”
แต่ก็เงียบไว้ พออาหารมา ก็กินอาหารไป คุยไปไม่กี่คำก็ได้ยินเสียงโวยวายดังขึ้น “เฮ้ยย ไอ้คุณชายนี่หว่า”
ทั้งภาสกร และนทีเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา เขาคนนั้นร่างสูงโปร่ง ผมเป็นสีฟาง แบบฝรั่งแต่ตาเป็นสีดำแบบคนไทย ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาด แกะกระดุมไว้สองสามเม็ด เพราะร้อนหรือต้องการโชว์แผงอกขาวเนียนล่ำสันก็ไม่อาจทราบได้ ขายาวใหญ่ด้วยมัดกล้าม อยู่ในกางเกงยีนส์แบบสบายๆ ก้าวยาวๆ ฉับๆ เข้ามาที่โต๊ะที่ทั้งคู่นั่งทานอาหารอยู่
“เฮ้ย ไอ้เตอร์นี่หว่า” ภาสกรก็เผลอพูดออกมาเสียงดังลุกขึ้นเดินเข้าไปหา หนุ่มร่างสูงคนนั้นเหมือนกัน พอถึงตัวต่างฝ่ายต่างก็รวบตัวอีกคนเข้าไปกอด ตบหลังกันเหมือนเพื่อนฝรั่ง
“ไปไงมาไง มาถึงนี่ครับไอ้คุณชาย ไม่ต้องอยู่เฝ้าหม่อมแม่ที่วังหรือ”
“มาถึงก็ปล่อยหมาออกมาเดินเล่นเลยนะ เรามากินข้าวกับเพื่อนรุ่นน้อง นายมาทำอะไรแถวนี้” ภาสกรเอ่ยตอบด้วยสรรพนามที่สุภาพเหลือเกินสำหรับคุยกับเพื่อน พอนทียกมือไหว้ชายหนุ่มที่ชื่อเตอร์ภาสกรก็ตัดสินใจแนะนำให้รู้จักกัน
“นี่นที เป็นเพื่อนรุ่นน้องที่เรารู้จัก นที นี่เพื่อนผม ชื่อเตอร์ เป็นเพื่อนสนิทกันอยู่ที่อังกฤษ เป็นรูมเมทผมมาสิบกว่าปีตอนอยู่ที่โน่น”
“รู้จักไส้พุง ไอ้คุณชายหมดครับน้อง” ชายหนุ่มที่ชื่อเตอร์ว่า “อยู่รอดมาได้เพราะฝีมืออาหารพ่อคนนี้แหละครับ ทำอาหารไทยเก่งเหลือเกิน”
นทียิ้มอย่างเห็นด้วย แม้มีโอกาสได้ทานกับข้าวฝีมือภาสกรแค่ครั้งสองครั้ง นทีก็มั่นใจว่า ชายหนุ่มคนนี้ทำกับข้าวเก่งจริงๆ
“แล้วเป็นไงบ้าง เฮ้ย นั่งก่อนซี ถ้าไม่รังเกียจจะมาทานด้วยกันไหม”
“ไม่รังเกียจนะ แต่วันนี้มากับลูกกับเมีย นั่งอยู่ตรงโน้น จำโรซาลีได้ไหม” คุณชายเข้าใจดีว่าหมายถึงแฟนสาวที่อังกฤษของเตอร์ ก็พยักหน้า “นั่นแหละมาไทยครั้งเดียวเท่านั้นติดใจบ้านเมือง ติดใจอาหารไทยไม่ยอมกลับอังกฤษ ทั้งที่แต่งงานมีลูกกันตั้งแต่อยู่โน่นแล้วนะ ก็หอบลูก หอบผ้าผ่อนมาอยู่นี่หมดเลย”
“เฮ้ย คาดไม่ถึงจริงๆ” ภาสกรทำหน้าทำตาว่าคำพูดกับสิ่งที่เขาคิดนั้นตรงกันจริงๆ “เห็นทะเลาะกันบ่อยๆ แต่งงานแล้วหรือ”
“นายกลับมาได้ สองสามปีก็แต่งแล้ว ตอนนี้ลูก ห้าขวบได้มั้ง” เตอร์ว่าต่อไป ไม่ได้สนใจว่านทีจะเข้าใจหรือไม่ “แล้วกับเจสสิกาแฟนนายล่ะ ติดต่อกันอยู่หรือเปล่า”
นทีเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินคำว่าแฟน ทำทีเป็นมองอย่างไม่คิดอะไร ทั้งที่ในใจรอฟังจนแทบกลั้นหายใจว่า ชายหนุ่มจะตอบอย่างไร
“ไม่ได้ติดต่อละ ตอนนั้นคบกันก็เข้าใจว่าเหงา อยู่ห่างบ้าน ก็เท่านั้น เราจะกลับเขาก็ไม่แลมาส่งที่แอร์พอร์ต พอกลับมาจะติดต่อมาบ้างก็ไม่มี เราติดต่อไปก็ไม่ว่างๆ ไม่ได้คุยกันสักทีก็เลยค่อยๆห่างกันไปเอง” ภาสกรว่า “แล้วลูกเมียอยู่ไหนล่ะ ฉันจะไปทักโรซาลี เสียหน่อย”
“ไว้วันหลังจะพาไปเยี่ยมวันนี้ลูกงอแง ไปจะอารมณ์เสียเปล่าๆ เอ้า เอานามบัตรไปวันหลังแวะมาเจอกัน” ภาสกรรับนามบัตรของชายหนุ่มก็อ่านคร่าวๆอย่างไม่ใส่ใจ แต่พอเห็นคำว่า จังหวัด นครนายก ก็สะดุดตา ย้อนกลับไปตั้งใจอ่านตั้งแต่บรรทัดแรก
“เฮ้ย เป็นเจ้าของรีสอร์ตเลยหรือ”
“ใช่ อยู่ใกล้ๆน้ำตกสาริกา ขับรถไปไม่เกินยี่สิบนาที โรซาลีเขาชอบบรรยากาศแบบ ทรอปิคอล เลยตัดสินใจอยู่กันที่นั่น ทีนี้เห็นว่าที่มันเยอะ ก็เลยทำรีสอร์ตมันเสียเลย เป็นโฮมเสตย์ แล้วก็รีสอร์ต ทำเป็นบ้านไม้เป็นหลังๆ บรรยากาศแบบธรรมชาติจริงๆ สนใจแวะไปเที่ยวไหมล่ะ”
“เฮ้ย สนซีวะ กำลังหาที่เทียวอยู่ว่าจะไป อาทิตย์ สองอาทิตย์หน้านี่ล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น จะแวะมาก็โทรบอกล่วงหน้าสองสามวันนะ จะจองที่ไว้ให้เอาที่วิวดีที่สุด ติดลำห้วยเล็กๆ น่าอยู่มาก เฮ้ย ขอตัวละไว้เจอกัน” พอเพื่อนหนุ่มของคุณชายผละออกไป ภาสกรก็ยิ้มให้กับนทีอย่างกระตือรือร้น
“นที ไปนครนายกกันนะ ชวนปุยฝ้ายไปด้วย ไปกันสามคน ผมพาเที่ยวน้ำตกเอง ได้ที่พักแล้ว ไม่ต้องหาแล้วก็สบายล่ะ” หนุ่มน้อยยิ้มให้กับชายหนุ่มตรงหน้า เขาไม่แน่ใจเสียแล้วว่า จะทนจนกว่าจะปิดเทอมไหวหรือไม่
***********************************************************************
ต่อแล้วนะคร้าบบบ ตอนนี้คุณชายกะนทีตัวติดกันแจเลยไม่รู้จะโดนจับแยกเร็วๆนี้รึเปล่าไม่รู้ 5555+ (ยังหรอกเนอะๆ)
ใครที่ยังไม่ได้ส่งเมลล์มาเรื่องโอนเงินของปางบรรพ์อย่าลืมไปอ่านรายละเอียดแล้วก็ส่งเมลล์มากันนะครับ
ขอบคุณที่ยังไม่หายกันไปไหนนะครับ
