12
ภาสกร ลากผ้าขนหนูไปตามท่อนแขนขาวละเอียดของหนุ่มน้อยตรงหน้า ไป ปากก็ชวนคุยไปไม่ให้หนุ่มน้อยเคอะเขิน สำหรับเขาเอง เขาไม่รู้สึกแปลกอะไร แต่กับนทีเขาสัมผัสได้จากลมหายใจที่ขาดเป็นห้วงๆ ว่าเด็กคนนี้คงเขินอายไม่น้อย เพราะ แม้แต่เพื่อนกันก็คงไม่มีโอกาสได้มาเช็ดตัว ลูบไล้ผ้าบางๆ ไปตามร่างกายของเพื่อนแบบนี้ แต่ทั้งเขา และนที ซึ่งก็ไม่ได้สนิทอะไรกัน กลับได้มามีโอกาส ใกล้ชิดกันขนาดนี้ ก็สัมผัสได้ว่าคงรู้สึกมีช่องว่างอยู่มาก แต่เขาก็ไม่ถืออะไร เพราะยังไงก็คิดเสียว่าเป็นผู้ชายเหมือนกัน
ชายหนุ่มคุยกับนที เรื่องนอน ตรวจร่างกายที่แล็บ แม้จะลังเลในตอนแรก แต่ก็สรุปแล้วว่า หนุ่มน้อยตกลงเข้ารับการตรวจจริงๆ ด้วยเหตุผลของภาสกรที่ว่า หากมั่นใจแล้วว่าไม่เป็นอะไร ก็จะได้กลับไปอยู่บ้าน และไปเรียนหนังสือได้ตามปกติ พอนึกถึงเรื่องโลกภายนอก นทีก็ไม่ลังเลอีกต่อไป
เช็ดตัวกันเสร็จแล้ว นทีก็ยังทำท่าอิหลักอิเหลื่อ ทำตัวไม่ถูกว่าจะพูดอะไรดี ทำอะไรดี ภาสกรจึงเป็นฝ่ายชวนคุยไปเรื่อย คุยกันไป กินข้าวหมูแดงกันไปก็เพลินจนเวลาล่วงเลยไปเยอะ ราวๆบ่ายสามโมงภาสกรก็โทรศัพท์บอกอาหมอมิ่งเมือง ว่านที ยอมเข้ารับการตรวจแล้ว ฝ่ายนั้นก็ยืนยันเวลารวมถึงสถานที่และข้อมูลรายละเอียดทั้งหมดให้กับภาสกร ซึ่งนำมาถ่ายทอดให้นทีฟังอีกต่อหนึ่งว่า ต้องทำอะไรบ้างตลอดขั้นตอนทั้งหมด คุยกันไปจนถึงเวลาเย็น จะชวนลงไปข้างล่างอีก ก็กลัวเหงื่อออกอีก นทีจึงตัดสินใจ นอนดูโทรทัศน์อยู่อย่างนั้น โดยที่คุณชายหนุ่มเลือกที่จะนั่งเขียนแบบ สำหรับงานแฟชั่นโชว์ที่ใกล้จะมาถึง อย่างเคร่งเครียดอยู่ในสายตาของผู้ป่วยบนเตียงที่ดูจะสนใจเขามากกว่าสนใจรายการในโทรทัศน์เสียอีก
ภาสกรรู้ดีว่า ยังไงเสีย อยู่ในห้องแคบๆ ก็น่าเบื่อเสียยิ่งกว่าไปเปิดหูเปิดตาที่ไหน จึงชวนนทีลงไปอยู่ที่สวนหย่อมนั้นอีกในวันเสาร์ วาดรูปกันช่วงเช้าที่ไม่มีแดด พอบ่ายๆ ก็หลบแบบเข้านั่งในศาลา ให้นทีตกแต่งรูปเก็บรายละเอียดพวกวิวทิวทัศน์ไป ภาสกรก็ทำงานกราฟฟิกกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุคไป บางครั้งก็มีให้นทียืมใช้เล่นอินเตอร์เน็ตบ้าง เมื่อเขาเริ่มรู้สึกเมื่อยและไม่อยากทำงาน
นทีไม่เข้าใจว่า ภาสกรไปรู้จักร้านอาหารอร่อยๆ จากไหนเยอะแยะ เพราะอาหารสามมื้อในหนึ่งวันของเขา ล้วนแต่มาจากร้านเด็ดๆที่ภาสกรอ้างว่าอยู่ใกล้โรงพยาบาลบ้าง เคยเห็นตามข้างทางบ้างก็ซื้อมาฝากอยู่เรื่อย จนต้องยกเลิกอาหารจากโรงพยาบาลไม่ให้มาเสิร์ฟอีก อาหารแต่ละมื้ออร่อยมากเท่าที่นทีเคยกินมา ไม่ว่าจะเป็นเมนูธรรมดาๆ อย่างข้าวมันไก่ ก๋วยเตี๋ยว ข้าวขาหมู หรือแม้แต่อาหารตามสั่ง หากเป็นภาสกรซื้อมาแล้ว ย่อมเป็นอาหารอันโอชะ เรียกได้ว่าเหมือนออกมาจากภัตตาคารอย่างนั้น
พอภาพวาดเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ภาสกรก็เพิ่งเห็นว่าหนุ่มน้อยมีฝีมือมากทีเดียว ต้นไม้ใบหญ้าดูพลิ้วสวย มีชีวิตชีวา พอๆกับใบหน้าของชายหนุ่มในภาพที่เขาเองรู้สึกราวกับว่ามันไม่ได้ออกมากจากปลายดินสอที่หนุ่มน้อยวาด หากเหมือนกับเอารูปถ่ายของเขามาทำ เอฟเฟคในคอมพิวเตอร์ให้ดูเป็นภาพขาวดำอย่างไรอย่างนั้น เพราะนทีเก็บรายละเอียดของใบหน้าเขาได้อย่างถูกต้อง สวยงามตรงกับความเป็นจริงไม่ต่างจากที่ภาสกรเห็นเวลา ส่องกระจก พอถามว่าทำไมไม่ทำขาย คำตอบก็เป็นเพียงคำถ่อมตัว ประเภท
“ผมไม่ได้เก่งอะไรอย่างนั้นหรอกครับ”
แต่ภาสกรรู้ดี เขาผ่านการเป็นแบบวาดรูปเหมือนมามาก ในวังของเขามีรูปเหมือนขนาดใหญ่ของ ท่านชายเรืองเดช หม่อมวิไลวรรณ และตัวเขาเองประดับอยู่มาก จากผลงานของจิตรกรหลายคนทั่วประเทศ เขาไม่รู้สึกว่าภาพเหล่านั้น บอกเรื่องราว หรือมีความรู้สึกอะไรแฝงอยู่ในภาพมากเท่าภาพที่นทีวาดภาพนี้เลย
ภาสกรจำไม่ได้ว่าตัวเองทำหน้าเศร้า เหงาขนาดนั้นหรือเปล่าเมื่อตอนเป็นแบบให้นทีวาด แต่พอผลงานออกมาราว 60 เปอร์เซ็นต์ในวันนี้ ใบหน้าของเขากลับดูเศร้าสร้อย อ้างว้างราวกับนั่งอยู่คนเดียวในสวนหย่อม ทั้งที่ความจริงมีคนจำนวนมากอยู่ในบริเวณนั้นด้วย นทีวาดติด นายฝรั่งคนนั้นมาด้วย ภาพของหนุ่มละติน อยู่ตรงมุมขวามือของภาพไม่มีความโดดเด่นอะไร จะใส่ลงไปก็ได้ ไม่ใส่ก็ได้ แต่นทีก็เลือกใส่เอาไว้ให้ดูราวกับถ่ายภาพไว้ คือมีรายละเอียดทุกอย่างอยู่ในนั้นตามสภาพความเป็นจริง
ด้วยเหตุนี้เอง ภาสกรจึงจำได้ทันทีเมื่อเห็นชายหนุ่มผิวเข้ม ผมหยักศกคนนั้นอีกครั้ง ที่ล็อบบี้ ที่ร้านอาหาร หรือแม้กระทั่งในลิฟต์ หนุ่มผิวเข้มไม่ได้แต่งตัวด้วยชุดของโรงพยาบาล ซ้ำยังมิได้มีลักษณะเหมือนผู้ป่วยเลยแม้แต่นิดเดียวอีกต่างหาก ภาสกรจึงคิดว่าน่าจะเป็นญาติของผู้ป่วยสักคนมากกว่า พูดถึงตอนเจอกันในลิฟต์ หนุ่มละตินคนนั้น เดินเบียดภาสกรเข้าไปในลิฟต์ก่อนทั้งๆที่ตัวเอง ก็เดินตามเขามาจากด้านล่าง อยู่ตั้งนานไม่มีทีท่าว่ารีบร้อน แถมเมื่อเข้าไปในลิฟต์กลับไม่กดชั้นที่ต้องการจะไปอีก ภาสกรจึงเป็นฝ่ายกดชั้นที่พักของนทีก่อน ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านในสุดของลิฟต์ จึงทำท่าเหมือนรู้ตัวว่าเหม่อลอยอยู่ แล้วกดชั้นที่อยู่ต่ำกว่าภาสกรไปชั้นหนึ่ง
พอชายหนุ่มเดินออกจากลิฟต์ ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรแต่ประตูลิฟต์ปิดเสียก่อนที่ ภาสกรจะได้ยินว่า หนุ่มคนนั้นพูดภาษาอังกฤษ หรือฝรั่งเศส หรือสเปนกันแน่ จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพราะวันต่อมาก็ไม่เจอเขาอีกแล้ว
ที่ภาสกรไม่รู้ คือเมื่อชายหนุ่มชาวต่างชาตินั้นลงจากลิฟต์แล้ว เขากดโทรศัพท์เรียกถึงทิฆัมพรทันทีพร้อมกับรายงานเสียเรียบร้อยว่าภาสกรลงชั้นไหน เมื่อเช็คดูแล้วพบว่าภาสกรเปิดประตูเข้าไปห้องไหนกันแน่ ก็สืบมาได้ว่าเป็นชั้นที่เป็นส่วนของห้องพักผู้ป่วยใน พอรู้ข้อมูลทั้งหมดชายหนุ่มก็ลงไปถามพนักงานต้อนรับว่า คนไข้ที่พักอยู่ห้องนั้น ชั้นนั้นชื่ออะไรเป็นใครมาจากไหน แต่แน่นอน ข้อมูลของคนไข้ย่อมเป็นความลับของทางโรงพยาบาล อีริค กอนซาเลซ จึงได้ข้อมูลมาได้เพียงเท่านั้น
แต่สำหรับทิฆัมพร ข้อมูลเท่านั้นแหละที่มีค่ามหาศาลสำหรับหล่อน เพราะหัวค่ำนั้นเอง หญิงสาวก็สั่งให้อีริคขับรถของหล่อนไปดูที่วังพัทยา พบว่าประตูรั้วเหล็กยังล็อคสนิทไม่มีวี่แววของเจ้าของบ้านว่ากลับมาพักที่บ้านแต่อย่างใด แม้แอบจอดรถดูจนเที่ยงคืนก็ยังไม่กลับมา เท่านี้ หญิงสาวก็แน่ใจแล้วว่าภาสกรไม่ได้กลับมานอนที่วัง แต่นอนค้างอยู่กับใครที่โรงพยาบาล ทิฆัมพรไม่ได้ต้องการข้อมูลส่วนที่ว่าคนที่โรงพยาบาลเป็นใครมาจากไหน เพราะเมื่อคิดดูแล้ว หญิงสาวก็ปะติดปะต่อ เรื่องทั้งหมด รวมกันได้ว่า ภาสกร แอบมาอยู่กับใครสักคนที่เขารู้จัก ที่โดนรถชน รวมถึงเสียค่ารักษาพยาบาลให้ ที่โรงแรมในพัทยานี้เอง ไม่มีเมีย กกอยู่ที่วังพัทยาแน่นอน
บ่ายๆ วันอาทิตย์ วันที่นทีต้องเข้านอนที่ห้องแล็บ ระหว่างที่สองหนุ่มกำลังนั่งกินแฮมเบอร์เกอร์ และ น้ำอัดลมกันอยู่ที่สวนหย่อมนั้นเอง เพื่อนสาวผิวคล้ำของนที ก็โทรศัพท์เข้ามา
“ไงยะ อยู่ที่โรงบาล เป็นไงบ้าง” เสียแหลมแสบแก้วหูดังขึ้นแทบจะทะลุออกมานอกโทรศัพท์ ทำเอาภาสกรที่นั่งอยู่ข้างๆพลอยได้ยินไปด้วย
“สบายดี แกล่ะเป็นไง ไม่โทรมาเลยนะ”
“สบายดีย่ะ ก็แหม ฉันจะไปมีเวลาโทรหาได้ยังไงมัวแต่ไปหาญาติบ้านนั้นบ้านนี้ แม่ก็เกิดอยากเที่ยวขึ้นมาก็เลยข้ามสะพานมาภูเก็ตกัน นี่ก็ได้ฤกษ์กลับแล้วนะ โทรมาบอกว่าได้กลับเย็นนี้แหละ เดินทาง สิบชั่วโมง ถึงพัทยาก็เช้าๆ ต้องเข้าบ้านก่อนคงไปหาแกได้สายๆ”
“เออไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ยังอยู่ดี”
“แหม ไงล่ะ ติดใจคุณภาสกรแล้วละซี” หนุ่มน้อยไม่รู้ว่าชายหนุ่มข้างๆจะได้ยินหรือเปล่า แต่ก็รู้สึกหน้าแดงขึ้นมา พอหันมามองภาสกร คนที่ถูกมองก็อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายไม่สบายใจหรือเปล่าที่อยู่ตรงนั้น
“ขอไปห้องน้ำ แปบเดียวครับ” ภาสกรตัดสินใจบอกไปอย่างนั้น แล้วก็ลุกออกไปปล่อยให้นทีคุยกับเพื่อนสาวอย่างเต็มที่ไม่ต้องเกรงใจเขา
“แกก็ พูดอะไรออกมา คุณภาสกรเขาจะได้ยินหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“แหม เดี๋ยวนี้ต้องเป็นกังวลเกรงใจเขาด้วยเหรอจ๊ะ” เสียงเพื่อนสาวยั่วล้อ นทีได้ยินเสียงคนโวยวายเป็นสำเนียงปักษ์ใต้ดังเข้าโทรศัพท์มา แต่เมื่อปุยฝ้ายไม่ได้สะดุ้งสะเทือน เดือดร้อนอะไรเรื่องนั้นก็คิดว่าคงไม่ใช่ญาติๆของหญิงสาวจึงไม่ได้ใส่ใจจะถาม
“ก็แหม เขาก็ช่วยฉันไว้”
“ตายจริง ทิ้งไว้ อยู่กับเขาแค่สามสี่วันเองมองเขาเป็นคนดีแล้วหรอพ่อคุณ” หญิงสาวยังคงล้ออยู่ไม่ขาดปาก
“ก็เขาเป็นคนดีจริงๆ” นที ไม่รู้ตัวว่ายิ้มออกมาได้อย่างไร แต่เพียงนึกถึง ชายหนุ่มคนนั้นก็อดยิ้มให้กับความดี และความเอาใจใส่ของเขาไม่ได้ นทีไม่รู้ตัวหรอกว่า กำลังรู้สึกดีกับชายหนุ่มคนนี้อย่างมากเสียแล้ว
“ไง แล้ววันๆทำอะไรกันบ้างล่ะ”
“ก็จะไปทำอะไรได้ อยู่โรงพยาบาล ไม่ได้อยู่ห้างเสียหน่อย...” แล้วหนุ่มน้อยก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างสาม สี่วันนี้ให้เพื่อนสาวฟัง ฝ่ายเพื่อนที่อยู่ฝั่งโน้น ได้ยินก็สบายใจ เพราะหล่อนกลัวแสนกลัวว่านทีจะทำตัวขวางโลกไม่ยอมรับอะไรจากคุณชาย แล้วถ้าเกิดมีเรื่องขัดแย้งกันขึ้นมา ถ้าคุณชายหนีหายไป ไม่รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลละก็ คนที่จะซวยคือหล่อน และ เพื่อนหนุ่ม เพราะจะไปเรียกร้องอะไรจากคุณชายย่อมไม่ได้เสียแล้ว
อีกอย่าง ความจริงที่ว่าคุณชายเป็นคนขับรถชนนที ก็ยังไม่มีใครกล้าเปิดเผยให้เด็กหนุ่มรู้ ด้วยกลัวว่าหากพูดความจริงออกไป ความสัมพันธ์ที่สวยงามที่ทั้งคู่กำลังมีให้กันนั้น จะสูญหายไปหมด
ภาสกรยืนมองนที จากที่ไกลๆ พอเห็นท่าทีที่สดใส พูดคุยกับเพื่อนอย่างมีความสุข ก็อดยิ้ม อย่างเอ็นดูไม่ได้ เขาอยากให้มันเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่อยากให้ความสัมพันธ์นี้มันถึงจุดจบเลย ทั้งๆที่ก็รู้ว่า พอเข้าแล็บแล้ว ผลออกมาว่าไม่เป็นอะไร ก็ต้องให้นทีกลับไปอยู่กับปุยฝ้าย ไปเรียน ไปมีเพื่อน มีชีวิตที่เขาเคยมี เหมือนก่อนที่ภาสกรจะหยิบยื่นชีวิตอีกแบบนี้ให้กับหนุ่มน้อย
แล้วเขาก็จะไม่ได้เห็นใบหน้าที่อ่อนเยาว์ สดใส แต่ซึมเศร้าได้ในเวลาเดียวกันนี้อีกเลย
ภาสกรก็ไม่รู้ว่า ทำไมเขาถึงต้องประคับประคองความสัมพันธ์ให้อยู่ในรูปแบบนี้ด้วย ความจริงหากเขาทิ้งเงินไว้ก้อนหนึ่ง เป็นค่ารักษาพยาบาล แล้วตัวเองก็ดำเนินชีวิตไปตามปกติ ไม่ต้องมาเป็นห่วง ไม่ต้องมาดูแลหนุ่มน้อยแบบที่เขาทำอยู่นี้ ก็ย่อมได้ แต่ไม่รู้ทำไม ทุกครั้งที่มองตาคู่เล็กแต่มีประกายสดใสของเด็กหนุ่มคนนี้ทีไร เขาก็ไม่อาจห้ามใจไม่ให้เข้าไปใกล้ ไม่ให้ไปดูแลเด็กคนนี้ได้สักครั้ง
ความรู้สึกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตของเขา จริงอยู่ภาสกรมีเพื่อน อยู่มากเมื่อตอนอยู่อังกฤษ แต่ก็ไม่เคยปฏิบัติกับเพื่อนคนไหน แบบที่ปฏิบัติกับหนุ่มน้อย แม้แต่กับ เจสสิกา แฟนสาวของเขาที่นั่น ภาสกรก็ยังไม่เคยเอาอกเอาใจ ดูแลขนาดนี้ พาลนึกไปถึงทิฆัมพร จริงอยู่ที่เขาต้องพาหล่อนไปโน่นไปนี่ ซื้อของ เลี้ยงข้าว เลี้ยงหนังหล่อน ตามคำสั่งของหม่อมวิไลวรรณ แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาเต็มใจ ใจจดใจจ่อที่จะดูแลทิฆัมพร เหมือนที่เขาเต็มใจ และใจจดใจจ่อที่จะได้ดูแลนทีเลย
ความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าอะไร ภาสกรไม่อาจตอบตัวเองได้
พอพิจารณาดู เขาก็พบว่าพี่น้องบางคู่ก็ดูแล รักใคร่กันแบบนี้ ไม่ต้องอื่นไกล บรรดา คุณลุง คุณป้าของเขานี่แหละ ต่างก็รักใคร่ เป็นห่วงเป็นไย ดูแลวิไลวรรณ น้องสาวคนสุดท้องของพวกเขาเป็นอย่างดี หรือแม้แต่ ญาติๆที่อายุใกล้เคียงกัน ก็สนิทสนม มีท่าทีต่อกัน คล้ายเขาและนที... อย่างนี้ละมัง ความรู้สึกแบบที่พี่มีต่อน้อง เพราะภาสกรไม่มีพี่หรือน้องนั่นเอง ถึงได้ไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองในรูปแบบนี้
ภาสกรเดินกลับเข้าไปที่ศาลาแต่ก็ไม่ได้นั่งติดกันนทีอย่างก่อนที่โทรศัพท์จะเข้า มอบความเป็นส่วนตัวในนทีสักครู่หนึ่ง
“เออ แล้วเดี๋ยว วันจันทร์สายๆฉันเข้าไปหาละกัน ไอ้เราก็อุตส่าห์เป็นห่วง กลัวจะเข้ากับคุณภาสกรเขาไม่ได้ เผลอ แป๊บเดียวกลายเป็นคู่ซี้กันไปแล้ว”
“อืม”
“เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันวางละนะ เจอกันจ้ะแก”
“เออ แล้วเจอกัน” นทีกดปุ่มวางสาย หันมายิ้มให้กับภาสกร ชายหนุ่มมีมารยาทพอที่จะไม่ถามว่าคุยอะไรกัน แต่นทีกลับรายงานเองเสียเสร็จสรรพว่าปุยฝ้ายโทรมาบอกว่าจะกลับวันจันทร์ และจะเข้ามาหาสายๆ
“นั่นซีนะ” ภาสกรเอ่ยขึ้น แต่ไม่ได้มองหน้าหนุ่มน้อย เพราะเกรงว่าจะทำหน้ายักษ์ใส่เขาเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ “พอคุณเข้าตรวจร่างกายคืนนี้ที่แล็บแล้ว คุณฝ้ายกลับมาแล้ว อาหมอปล่อยคุณกลับบ้าน คุณก็คงลืมผม”
ภาสกรหันหน้ามามองหนุ่มน้อย มองหน้าเขาราวกับประโยคที่เพิ่งพูดจบ เป็นประโยคคำถามที่รอคำตอบ แต่แม้ไม่ใช่คำถาม นทีก็เอ่ยตอบขึ้นด้วยเสียงต่ำๆ นุ่มๆตามแบบของเขา ทำเอาภาสกรอึ้งไปเหมือนกัน
“จะลืมได้อย่างไรล่ะครับ คุณเป็นผู้มีพระคุณของผม ที่ยังไงผมก็ต้องตอบแทนบุญคุณ ผมไม่วันลืมหรอกครับ” แล้วจบประโยคด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ภาสกรอดใจไม่ได้ ยื่นมือไปขยี้ผมหนุ่มน้อยด้วยความเอ็นดู
ไม่รู้หรอกว่า หนุ่มน้อยคนนี้หน้าแดง แทบเก็บความรู้สึกไว้ไม่ได้ มันรู้สึกอบอุ่นที่สุด... อบอุ่นจริงๆ
ห้องแล็บที่นทีมาอยู่คืนนี้ อยู่บนชั้นสูงๆ ของโรงพยาบาล ทั้งชั้นดูร้าง แทบจะไม่มีคน ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม ภาสกรเป็นคนประคองนทีขึ้นเก้าอี้เข็น พาร่างเด็กหนุ่มมาที่ห้องแล็บอย่างรวดเร็ว ทว่านุ่มนวลและมั่นคง เจ้าหน้าที่ที่เปิดประตูแล็บออกมาต้อนรับ เป็นหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบต้นๆ ใส่แว่น ใบหน้าดูคร่ำเคร่ง ผมบนศีรษะบอกลาไปแล้วกว่าครึ่ง ทำให้ดูแก่กว่าวัย อย่างช่วยไม่ได้ ใบหน้า บ่งบอกว่า มีความสนใจและสนิทสนมกับพวกเครื่องจักรต่างๆมากกว่าผู้คนกันเองเสียอีก
เห็นได้ชัดว่าดูประหม่าเวลาที่ต้องพูดคุยทักทายกับภาสกรและนที แต่เมื่อภาสกรกึ่งอุ้มกึ่งประคองหนุ่มน้อยขึ้นเตียงในแล็บนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่คนนี้กลับพูดอธิบายเกี่ยวกับอุปกรณ์ต่างๆในห้องนั้นอย่างละเอียดและกระตือรือร้น ราวกับกำลังแนะนำญาติสนิทของตน ให้สองหนุ่มรู้จัก
“เราจะวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ปริมาณออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย คลื่นสมอง และ การกระตุกของกล้ามเนื้อในระหว่างนอน นะครับซึ่งจะบ่งชี้ว่า คุณนทีเนี่ย มีความผิดปกติอะไรบ้างหรือเปล่าในขณะหลับโดยเจ้าเครื่องมือพวกนี้ จะเป็นสายแบบนี้ครับ” เจ้าหน้าที่ผมบาง คนนั้นชูสายพลาสติกใสๆ เส้นหนึ่งขึ้นให้นทีและภาสกรดู มันมีลักษณะไม่ต่างอะไรจากสายไฟ ปกติที่เราเห็นกันตามบ้าน หากแต่มีขนาดเล็กกว่า และใสมากๆเท่านั้น “สายพวกนี้ครับ มีมากหลายสิบสายทีเดียว ผมจะติดมันไว้ตามแขนขาของคุณนที เพื่อวัดการกระตุกของกล้ามเนื้อ แล้วก็จะมีติดที่ศีรษะเพื่อวัดคลื่นสมอง ที่หน้าอกวัดการเต้นของหัวใจ และ ที่จมูกเพื่อวัดปริมาณออกซิเจนที่ไหลผ่านเข้าร่างกาย อย่างที่ผมบอกไปแล้วครับนะ”
ภาสกร มองหน้านทีเพื่อสร้างความมั่นใจ
“มันจะเจ็บไหมครับ” ภาสกรถามแทนนที คำตอบที่ได้คือเสียงหัวเราะของเจ้าหน้าที่คนนั้น
“อู๊ย จะไปเจ็บอะไรล่ะครับก็แค่แปะไว้แล้วสายเหล่านี้ก็จะส่งข้อมูลไปยังเครื่อง ผมจะอยู่ห้องข้างๆคอยดูจอประมวลผลต่างๆ แล้วพอผมประเมินทุกข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ผมก็จะส่งไปให้คุณทีหลัง เท่านั้นเองครับไม่ต้องห่วง”
เจ้าหน้าที่พูดไปก็ติดสายต่างๆ ตามตัวนทีไป ภายในสิบนาทีต่อมา นทีก็กลายสภาพคล้ายหุ่นไซบอร์ก นอนอยู่บนเตียง มีสายโน่น สายนี่หลายสิบโยงไปทั่วตัวจนหนุ่มน้อยอดแซวเล่นๆ เมื่อเจ้าหน้าที่คนนั้น เดินออกไปอยู่ห้องข้างๆแล้ว
“ถ้าผมหลับลงพร้อมไอ้เจ้าสายพวกนี้อยู่บนตัว คุณช่วยให้รางวัลผมด้วยนะครับ”
อีริค กอนซาเลซ พารถคันสวยของทิฆัมพรกระโจนไปตามถนนสุขุมวิทมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพ พรุ่งนี้วันจันทร์ก็จริงแต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ทำงานกระนั้นเขาก็ยังต้องรีบบึ่งรถกลับกรุงเทพ ตามคำสั่งของทิฆัมพร หญิงสาวที่พูดถึงอยู่นี้นั่งกอดอกมองออกนอกหน้าต่าง ด้วยความรำคาญใจ แต่จะแสดงออกมากก็กลัว เสียบรรยากาศ อีริค เป็นคนที่ทิฆัมพรต้องยื้อไว้ก่อน ยังปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้ เพราะ บางสิ่งบางอย่างที่เขามี เป็นสิ่งที่หล่อนถูกใจ และไม่สามารถยอมให้ใครได้ไปได้เด็ดขาด
กระนั้น หล่อนก็อดหงุดหงิดกับคุณชายไม่ได้
“พี่ชาย นะพี่ชาย ไม่น่าเป็นเก้งเลย” ทิฆัมพรบ่นกระปอดกระแปด เมื่อตอนรู้ข่าวจากอีริค ว่า อะไรเป็นอะไร
มาตอนนี้ ก็ได้แต่ นั่งกระฟัดกระเฟียด งอนชายหนุ่มที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้นเสียด้วย อีริคก็รำคาญ แต่จะแสดงอาการไม่พอใจก็ไม่ได้ เดี๋ยวทิฆัมพรหลุดมือไปละแย่ เขาต้องกลับไปเป็นนายแบบมาดเซอร์มีงานบ้าง ไม่มีงานบ้างสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์กินแต่บะหมี่ข้างถนน เพราะขาดการสนับสนุนทรัพย์จากหญิงสาวเหมือนเดิม
“ฟ้า จะไปแวะที่ไหนกับผมก่อนไหม ไปฟังค์กี้กันก่อน ค่อยเข้าบ้านไหมครับ” ชายหนุ่มพยายามโน้มน้าวให้หญิงสาวอารมณ์ดีขึ้น
“ไม่ค่ะ อีริค กลับบ้านอีริค หย่อนอีริคลง แล้วเดี๋ยวฟ้าขับรถกลับบ้านเอง”
“อะไรกัน นี่เพิ่งทุ่มกว่าๆ ถึงบ้านไม่เกินสามทุ่ม ฟ้าจะรีบไปไหน”
“รีบนอน” หล่อนตอบสั้นๆ พอรู้ตัวว่าห้วนเกินไปก็ต่อประโยคไม่ให้ฟังดูน่าเกลียด “พรุ่งนี้จะไปวังผกากรอง”
“วังของคุณชายอะไรนั่นหรือ” ชายหนุ่มถาม โดยไม่หันมามองหน้าหญิงสาว คำว่า วัง ดูยิ่งใหญ่หรูหรา ในขณะที่ อีริค มีเพียงห้องเล็กๆ ในอพาร์ตเมนท์โทรมๆ แถวดินแดงเท่านั้น
“ใช่ จะไปหา หม่อมวิไลวรรณ”
“ไปเรื่องคุณชายหรือครับ ผมว่าอย่าไปยุ่งเลยดีกว่า เกิดเราเข้าใจผิด เขาไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เราจะเสียเปล่าๆ” ชายหนุ่มพยายามโน้มน้าว จิตใจ แต่ทั้งๆที่รู้ว่ายังไงก็ไม่ได้ผล ชายหนุ่มก็อดหงุดหงิดไม่ได้ว่า ทิฆัมพรช่างหัวดื้อ และไม่ยอมฟังใครเลยเสียจริง
“เอาเถอะ ฟ้ามีแผน ไม่ปล่อยให้ตัวเองแย่หรอกน่า”
***********************************************************************
จบแล้วล่ะครับสำหรับตอนนี้ ยำมาม่าที่หลอกให้กินมาเรื่อยๆ จะเริ่มปริมาณมากจึงถึงจุดพีคแล้วล่ะครับ แต่สัญญาว่าหลังจากนั้นไปจะเริ่มอ่านสบายขึ้นครับ เห็นหลายๆคนบอกว่าอึดอัด แต่อย่างที่บอกไปแล้ว(หรือเปล่า) ว่าเรื่องนี้จะดราม่าเยอะมาก อาจจะมากที่สุดเท่าที่เคยเขียนมาเลยก็ว่าได้ 5555
อย่าลืมติดตามนะครับ ตอนหน้าแอบมีกุ๊กกิ๊กเล็กน้อยก่อนมาม่าชามใหญ่ พุธหน้า อิอิ
ขอบคุณที่ยังติดตามนะคร้าบบ อย่าเพิ่งหนีกันล่าาา จุ๊บ