[คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50  (อ่าน 240252 ครั้ง)

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1534
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
อ๊ายยยยย

ฉากเช็ดตัว
จิ้นกระจายค่าาาาาาา

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
มีมารดี และ มารร้าย

ออฟไลน์ ♠♥♦♣

  • ex-ChCh13
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1612
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-7
:o8: หลงรักคุณชาย
 :beat:นังส์ฟ้า
ส่วนอีริคหล่อไม่เป็นไรอภัยให้ โฮะๆๆๆๆ :haun5:
กังวลกับคุณหญิงดาริกาแฮะ ถึงชีจะเป็นคนดีแต่คุณชายของเรานี่สิ จะก่อปัญหาให้เราหนักใจรึเปล่า :เฮ้อ:

ออฟไลน์ SuSaya

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-9
งานจะเข้าคุณชายมั้ยอ่ะ...ทิฆัมพรชีท่าทางจะไม่ยอมง่าย ๆ นะ :angry2:
แล้วตกลงคุณชายจะเอาไงกันแน่...นทีหรือคุณหญิง :-[

ออฟไลน์ maew189870

  • รักทุกคนนะคับ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 726
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
ต่อไปจะเจออะไรกันอีกหรือเปล่านะ

สงสารนทีอ่ะคับ

อย่าให้นทีเป็นรัยมากเลยนะคับ  เฉพาะหัวใจ

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
คุณชายเริ่มหวิวๆกะน้องนิดๆๆเเล้วป่าว
เเต่น้องน้ำนี่ หลงคุณชายเเล้วเเน่ๆๆๆ

ชอบมากๆๆๆๆค่ะ จะติดตามเสมอนะคะ

ยกนิ้วให้เลย ภาษาสวย อ่านง่าย อ่านเเล้วรู้ว่าน้องน้ำเค้าเขินจริงอะไรจริง

ชอบมากค่ะ

ออฟไลน์ 4559

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3978
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-8

ออฟไลน์ Purple_Sky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +354/-1
12


     ภาสกร ลากผ้าขนหนูไปตามท่อนแขนขาวละเอียดของหนุ่มน้อยตรงหน้า ไป ปากก็ชวนคุยไปไม่ให้หนุ่มน้อยเคอะเขิน สำหรับเขาเอง เขาไม่รู้สึกแปลกอะไร แต่กับนทีเขาสัมผัสได้จากลมหายใจที่ขาดเป็นห้วงๆ ว่าเด็กคนนี้คงเขินอายไม่น้อย เพราะ แม้แต่เพื่อนกันก็คงไม่มีโอกาสได้มาเช็ดตัว ลูบไล้ผ้าบางๆ ไปตามร่างกายของเพื่อนแบบนี้ แต่ทั้งเขา และนที ซึ่งก็ไม่ได้สนิทอะไรกัน กลับได้มามีโอกาส ใกล้ชิดกันขนาดนี้ ก็สัมผัสได้ว่าคงรู้สึกมีช่องว่างอยู่มาก แต่เขาก็ไม่ถืออะไร เพราะยังไงก็คิดเสียว่าเป็นผู้ชายเหมือนกัน
    ชายหนุ่มคุยกับนที เรื่องนอน ตรวจร่างกายที่แล็บ แม้จะลังเลในตอนแรก แต่ก็สรุปแล้วว่า หนุ่มน้อยตกลงเข้ารับการตรวจจริงๆ ด้วยเหตุผลของภาสกรที่ว่า หากมั่นใจแล้วว่าไม่เป็นอะไร ก็จะได้กลับไปอยู่บ้าน และไปเรียนหนังสือได้ตามปกติ พอนึกถึงเรื่องโลกภายนอก นทีก็ไม่ลังเลอีกต่อไป
    เช็ดตัวกันเสร็จแล้ว นทีก็ยังทำท่าอิหลักอิเหลื่อ ทำตัวไม่ถูกว่าจะพูดอะไรดี ทำอะไรดี ภาสกรจึงเป็นฝ่ายชวนคุยไปเรื่อย คุยกันไป กินข้าวหมูแดงกันไปก็เพลินจนเวลาล่วงเลยไปเยอะ ราวๆบ่ายสามโมงภาสกรก็โทรศัพท์บอกอาหมอมิ่งเมือง ว่านที ยอมเข้ารับการตรวจแล้ว ฝ่ายนั้นก็ยืนยันเวลารวมถึงสถานที่และข้อมูลรายละเอียดทั้งหมดให้กับภาสกร ซึ่งนำมาถ่ายทอดให้นทีฟังอีกต่อหนึ่งว่า ต้องทำอะไรบ้างตลอดขั้นตอนทั้งหมด คุยกันไปจนถึงเวลาเย็น จะชวนลงไปข้างล่างอีก ก็กลัวเหงื่อออกอีก นทีจึงตัดสินใจ นอนดูโทรทัศน์อยู่อย่างนั้น โดยที่คุณชายหนุ่มเลือกที่จะนั่งเขียนแบบ สำหรับงานแฟชั่นโชว์ที่ใกล้จะมาถึง อย่างเคร่งเครียดอยู่ในสายตาของผู้ป่วยบนเตียงที่ดูจะสนใจเขามากกว่าสนใจรายการในโทรทัศน์เสียอีก
    
    ภาสกรรู้ดีว่า ยังไงเสีย อยู่ในห้องแคบๆ ก็น่าเบื่อเสียยิ่งกว่าไปเปิดหูเปิดตาที่ไหน จึงชวนนทีลงไปอยู่ที่สวนหย่อมนั้นอีกในวันเสาร์ วาดรูปกันช่วงเช้าที่ไม่มีแดด พอบ่ายๆ ก็หลบแบบเข้านั่งในศาลา ให้นทีตกแต่งรูปเก็บรายละเอียดพวกวิวทิวทัศน์ไป ภาสกรก็ทำงานกราฟฟิกกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุคไป บางครั้งก็มีให้นทียืมใช้เล่นอินเตอร์เน็ตบ้าง เมื่อเขาเริ่มรู้สึกเมื่อยและไม่อยากทำงาน
    นทีไม่เข้าใจว่า ภาสกรไปรู้จักร้านอาหารอร่อยๆ จากไหนเยอะแยะ เพราะอาหารสามมื้อในหนึ่งวันของเขา ล้วนแต่มาจากร้านเด็ดๆที่ภาสกรอ้างว่าอยู่ใกล้โรงพยาบาลบ้าง เคยเห็นตามข้างทางบ้างก็ซื้อมาฝากอยู่เรื่อย จนต้องยกเลิกอาหารจากโรงพยาบาลไม่ให้มาเสิร์ฟอีก อาหารแต่ละมื้ออร่อยมากเท่าที่นทีเคยกินมา ไม่ว่าจะเป็นเมนูธรรมดาๆ อย่างข้าวมันไก่ ก๋วยเตี๋ยว ข้าวขาหมู หรือแม้แต่อาหารตามสั่ง หากเป็นภาสกรซื้อมาแล้ว ย่อมเป็นอาหารอันโอชะ เรียกได้ว่าเหมือนออกมาจากภัตตาคารอย่างนั้น
    พอภาพวาดเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ภาสกรก็เพิ่งเห็นว่าหนุ่มน้อยมีฝีมือมากทีเดียว ต้นไม้ใบหญ้าดูพลิ้วสวย มีชีวิตชีวา พอๆกับใบหน้าของชายหนุ่มในภาพที่เขาเองรู้สึกราวกับว่ามันไม่ได้ออกมากจากปลายดินสอที่หนุ่มน้อยวาด หากเหมือนกับเอารูปถ่ายของเขามาทำ เอฟเฟคในคอมพิวเตอร์ให้ดูเป็นภาพขาวดำอย่างไรอย่างนั้น เพราะนทีเก็บรายละเอียดของใบหน้าเขาได้อย่างถูกต้อง สวยงามตรงกับความเป็นจริงไม่ต่างจากที่ภาสกรเห็นเวลา ส่องกระจก พอถามว่าทำไมไม่ทำขาย คำตอบก็เป็นเพียงคำถ่อมตัว ประเภท
    “ผมไม่ได้เก่งอะไรอย่างนั้นหรอกครับ”
    แต่ภาสกรรู้ดี เขาผ่านการเป็นแบบวาดรูปเหมือนมามาก ในวังของเขามีรูปเหมือนขนาดใหญ่ของ ท่านชายเรืองเดช หม่อมวิไลวรรณ และตัวเขาเองประดับอยู่มาก จากผลงานของจิตรกรหลายคนทั่วประเทศ เขาไม่รู้สึกว่าภาพเหล่านั้น บอกเรื่องราว หรือมีความรู้สึกอะไรแฝงอยู่ในภาพมากเท่าภาพที่นทีวาดภาพนี้เลย
    ภาสกรจำไม่ได้ว่าตัวเองทำหน้าเศร้า เหงาขนาดนั้นหรือเปล่าเมื่อตอนเป็นแบบให้นทีวาด แต่พอผลงานออกมาราว 60 เปอร์เซ็นต์ในวันนี้ ใบหน้าของเขากลับดูเศร้าสร้อย อ้างว้างราวกับนั่งอยู่คนเดียวในสวนหย่อม ทั้งที่ความจริงมีคนจำนวนมากอยู่ในบริเวณนั้นด้วย นทีวาดติด นายฝรั่งคนนั้นมาด้วย ภาพของหนุ่มละติน อยู่ตรงมุมขวามือของภาพไม่มีความโดดเด่นอะไร จะใส่ลงไปก็ได้ ไม่ใส่ก็ได้ แต่นทีก็เลือกใส่เอาไว้ให้ดูราวกับถ่ายภาพไว้ คือมีรายละเอียดทุกอย่างอยู่ในนั้นตามสภาพความเป็นจริง
    ด้วยเหตุนี้เอง ภาสกรจึงจำได้ทันทีเมื่อเห็นชายหนุ่มผิวเข้ม ผมหยักศกคนนั้นอีกครั้ง ที่ล็อบบี้ ที่ร้านอาหาร หรือแม้กระทั่งในลิฟต์ หนุ่มผิวเข้มไม่ได้แต่งตัวด้วยชุดของโรงพยาบาล ซ้ำยังมิได้มีลักษณะเหมือนผู้ป่วยเลยแม้แต่นิดเดียวอีกต่างหาก ภาสกรจึงคิดว่าน่าจะเป็นญาติของผู้ป่วยสักคนมากกว่า พูดถึงตอนเจอกันในลิฟต์ หนุ่มละตินคนนั้น เดินเบียดภาสกรเข้าไปในลิฟต์ก่อนทั้งๆที่ตัวเอง ก็เดินตามเขามาจากด้านล่าง อยู่ตั้งนานไม่มีทีท่าว่ารีบร้อน แถมเมื่อเข้าไปในลิฟต์กลับไม่กดชั้นที่ต้องการจะไปอีก ภาสกรจึงเป็นฝ่ายกดชั้นที่พักของนทีก่อน ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านในสุดของลิฟต์ จึงทำท่าเหมือนรู้ตัวว่าเหม่อลอยอยู่ แล้วกดชั้นที่อยู่ต่ำกว่าภาสกรไปชั้นหนึ่ง
    พอชายหนุ่มเดินออกจากลิฟต์ ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรแต่ประตูลิฟต์ปิดเสียก่อนที่ ภาสกรจะได้ยินว่า หนุ่มคนนั้นพูดภาษาอังกฤษ หรือฝรั่งเศส หรือสเปนกันแน่ จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพราะวันต่อมาก็ไม่เจอเขาอีกแล้ว
    ที่ภาสกรไม่รู้ คือเมื่อชายหนุ่มชาวต่างชาตินั้นลงจากลิฟต์แล้ว เขากดโทรศัพท์เรียกถึงทิฆัมพรทันทีพร้อมกับรายงานเสียเรียบร้อยว่าภาสกรลงชั้นไหน เมื่อเช็คดูแล้วพบว่าภาสกรเปิดประตูเข้าไปห้องไหนกันแน่ ก็สืบมาได้ว่าเป็นชั้นที่เป็นส่วนของห้องพักผู้ป่วยใน พอรู้ข้อมูลทั้งหมดชายหนุ่มก็ลงไปถามพนักงานต้อนรับว่า คนไข้ที่พักอยู่ห้องนั้น ชั้นนั้นชื่ออะไรเป็นใครมาจากไหน แต่แน่นอน ข้อมูลของคนไข้ย่อมเป็นความลับของทางโรงพยาบาล อีริค กอนซาเลซ จึงได้ข้อมูลมาได้เพียงเท่านั้น
    แต่สำหรับทิฆัมพร ข้อมูลเท่านั้นแหละที่มีค่ามหาศาลสำหรับหล่อน เพราะหัวค่ำนั้นเอง หญิงสาวก็สั่งให้อีริคขับรถของหล่อนไปดูที่วังพัทยา พบว่าประตูรั้วเหล็กยังล็อคสนิทไม่มีวี่แววของเจ้าของบ้านว่ากลับมาพักที่บ้านแต่อย่างใด แม้แอบจอดรถดูจนเที่ยงคืนก็ยังไม่กลับมา เท่านี้ หญิงสาวก็แน่ใจแล้วว่าภาสกรไม่ได้กลับมานอนที่วัง แต่นอนค้างอยู่กับใครที่โรงพยาบาล ทิฆัมพรไม่ได้ต้องการข้อมูลส่วนที่ว่าคนที่โรงพยาบาลเป็นใครมาจากไหน เพราะเมื่อคิดดูแล้ว หญิงสาวก็ปะติดปะต่อ เรื่องทั้งหมด รวมกันได้ว่า ภาสกร แอบมาอยู่กับใครสักคนที่เขารู้จัก ที่โดนรถชน รวมถึงเสียค่ารักษาพยาบาลให้ ที่โรงแรมในพัทยานี้เอง ไม่มีเมีย กกอยู่ที่วังพัทยาแน่นอน

    บ่ายๆ วันอาทิตย์ วันที่นทีต้องเข้านอนที่ห้องแล็บ ระหว่างที่สองหนุ่มกำลังนั่งกินแฮมเบอร์เกอร์ และ น้ำอัดลมกันอยู่ที่สวนหย่อมนั้นเอง เพื่อนสาวผิวคล้ำของนที ก็โทรศัพท์เข้ามา
    “ไงยะ อยู่ที่โรงบาล เป็นไงบ้าง” เสียแหลมแสบแก้วหูดังขึ้นแทบจะทะลุออกมานอกโทรศัพท์ ทำเอาภาสกรที่นั่งอยู่ข้างๆพลอยได้ยินไปด้วย
    “สบายดี แกล่ะเป็นไง ไม่โทรมาเลยนะ”
    “สบายดีย่ะ ก็แหม ฉันจะไปมีเวลาโทรหาได้ยังไงมัวแต่ไปหาญาติบ้านนั้นบ้านนี้ แม่ก็เกิดอยากเที่ยวขึ้นมาก็เลยข้ามสะพานมาภูเก็ตกัน นี่ก็ได้ฤกษ์กลับแล้วนะ โทรมาบอกว่าได้กลับเย็นนี้แหละ เดินทาง สิบชั่วโมง ถึงพัทยาก็เช้าๆ ต้องเข้าบ้านก่อนคงไปหาแกได้สายๆ”
    “เออไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ยังอยู่ดี”
    “แหม ไงล่ะ ติดใจคุณภาสกรแล้วละซี” หนุ่มน้อยไม่รู้ว่าชายหนุ่มข้างๆจะได้ยินหรือเปล่า แต่ก็รู้สึกหน้าแดงขึ้นมา พอหันมามองภาสกร คนที่ถูกมองก็อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายไม่สบายใจหรือเปล่าที่อยู่ตรงนั้น
    “ขอไปห้องน้ำ แปบเดียวครับ” ภาสกรตัดสินใจบอกไปอย่างนั้น แล้วก็ลุกออกไปปล่อยให้นทีคุยกับเพื่อนสาวอย่างเต็มที่ไม่ต้องเกรงใจเขา
    “แกก็ พูดอะไรออกมา คุณภาสกรเขาจะได้ยินหรือเปล่าก็ไม่รู้”
    “แหม เดี๋ยวนี้ต้องเป็นกังวลเกรงใจเขาด้วยเหรอจ๊ะ” เสียงเพื่อนสาวยั่วล้อ นทีได้ยินเสียงคนโวยวายเป็นสำเนียงปักษ์ใต้ดังเข้าโทรศัพท์มา แต่เมื่อปุยฝ้ายไม่ได้สะดุ้งสะเทือน เดือดร้อนอะไรเรื่องนั้นก็คิดว่าคงไม่ใช่ญาติๆของหญิงสาวจึงไม่ได้ใส่ใจจะถาม
    “ก็แหม เขาก็ช่วยฉันไว้”
    “ตายจริง ทิ้งไว้ อยู่กับเขาแค่สามสี่วันเองมองเขาเป็นคนดีแล้วหรอพ่อคุณ” หญิงสาวยังคงล้ออยู่ไม่ขาดปาก
    “ก็เขาเป็นคนดีจริงๆ” นที ไม่รู้ตัวว่ายิ้มออกมาได้อย่างไร แต่เพียงนึกถึง ชายหนุ่มคนนั้นก็อดยิ้มให้กับความดี และความเอาใจใส่ของเขาไม่ได้ นทีไม่รู้ตัวหรอกว่า กำลังรู้สึกดีกับชายหนุ่มคนนี้อย่างมากเสียแล้ว
     “ไง แล้ววันๆทำอะไรกันบ้างล่ะ”
    “ก็จะไปทำอะไรได้ อยู่โรงพยาบาล ไม่ได้อยู่ห้างเสียหน่อย...” แล้วหนุ่มน้อยก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างสาม สี่วันนี้ให้เพื่อนสาวฟัง ฝ่ายเพื่อนที่อยู่ฝั่งโน้น ได้ยินก็สบายใจ เพราะหล่อนกลัวแสนกลัวว่านทีจะทำตัวขวางโลกไม่ยอมรับอะไรจากคุณชาย แล้วถ้าเกิดมีเรื่องขัดแย้งกันขึ้นมา ถ้าคุณชายหนีหายไป ไม่รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลละก็ คนที่จะซวยคือหล่อน และ เพื่อนหนุ่ม เพราะจะไปเรียกร้องอะไรจากคุณชายย่อมไม่ได้เสียแล้ว
    อีกอย่าง ความจริงที่ว่าคุณชายเป็นคนขับรถชนนที ก็ยังไม่มีใครกล้าเปิดเผยให้เด็กหนุ่มรู้ ด้วยกลัวว่าหากพูดความจริงออกไป ความสัมพันธ์ที่สวยงามที่ทั้งคู่กำลังมีให้กันนั้น จะสูญหายไปหมด
    ภาสกรยืนมองนที จากที่ไกลๆ พอเห็นท่าทีที่สดใส พูดคุยกับเพื่อนอย่างมีความสุข ก็อดยิ้ม อย่างเอ็นดูไม่ได้ เขาอยากให้มันเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่อยากให้ความสัมพันธ์นี้มันถึงจุดจบเลย ทั้งๆที่ก็รู้ว่า พอเข้าแล็บแล้ว ผลออกมาว่าไม่เป็นอะไร ก็ต้องให้นทีกลับไปอยู่กับปุยฝ้าย ไปเรียน ไปมีเพื่อน มีชีวิตที่เขาเคยมี เหมือนก่อนที่ภาสกรจะหยิบยื่นชีวิตอีกแบบนี้ให้กับหนุ่มน้อย
    แล้วเขาก็จะไม่ได้เห็นใบหน้าที่อ่อนเยาว์ สดใส แต่ซึมเศร้าได้ในเวลาเดียวกันนี้อีกเลย
    ภาสกรก็ไม่รู้ว่า ทำไมเขาถึงต้องประคับประคองความสัมพันธ์ให้อยู่ในรูปแบบนี้ด้วย ความจริงหากเขาทิ้งเงินไว้ก้อนหนึ่ง เป็นค่ารักษาพยาบาล แล้วตัวเองก็ดำเนินชีวิตไปตามปกติ ไม่ต้องมาเป็นห่วง ไม่ต้องมาดูแลหนุ่มน้อยแบบที่เขาทำอยู่นี้ ก็ย่อมได้ แต่ไม่รู้ทำไม ทุกครั้งที่มองตาคู่เล็กแต่มีประกายสดใสของเด็กหนุ่มคนนี้ทีไร เขาก็ไม่อาจห้ามใจไม่ให้เข้าไปใกล้ ไม่ให้ไปดูแลเด็กคนนี้ได้สักครั้ง  
    ความรู้สึกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตของเขา จริงอยู่ภาสกรมีเพื่อน อยู่มากเมื่อตอนอยู่อังกฤษ แต่ก็ไม่เคยปฏิบัติกับเพื่อนคนไหน แบบที่ปฏิบัติกับหนุ่มน้อย แม้แต่กับ เจสสิกา แฟนสาวของเขาที่นั่น ภาสกรก็ยังไม่เคยเอาอกเอาใจ ดูแลขนาดนี้ พาลนึกไปถึงทิฆัมพร จริงอยู่ที่เขาต้องพาหล่อนไปโน่นไปนี่  ซื้อของ เลี้ยงข้าว เลี้ยงหนังหล่อน ตามคำสั่งของหม่อมวิไลวรรณ แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาเต็มใจ ใจจดใจจ่อที่จะดูแลทิฆัมพร เหมือนที่เขาเต็มใจ และใจจดใจจ่อที่จะได้ดูแลนทีเลย
    ความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าอะไร ภาสกรไม่อาจตอบตัวเองได้
    พอพิจารณาดู เขาก็พบว่าพี่น้องบางคู่ก็ดูแล รักใคร่กันแบบนี้ ไม่ต้องอื่นไกล บรรดา คุณลุง คุณป้าของเขานี่แหละ ต่างก็รักใคร่ เป็นห่วงเป็นไย ดูแลวิไลวรรณ น้องสาวคนสุดท้องของพวกเขาเป็นอย่างดี หรือแม้แต่ ญาติๆที่อายุใกล้เคียงกัน ก็สนิทสนม มีท่าทีต่อกัน คล้ายเขาและนที... อย่างนี้ละมัง ความรู้สึกแบบที่พี่มีต่อน้อง เพราะภาสกรไม่มีพี่หรือน้องนั่นเอง ถึงได้ไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองในรูปแบบนี้

    ภาสกรเดินกลับเข้าไปที่ศาลาแต่ก็ไม่ได้นั่งติดกันนทีอย่างก่อนที่โทรศัพท์จะเข้า มอบความเป็นส่วนตัวในนทีสักครู่หนึ่ง
    “เออ แล้วเดี๋ยว วันจันทร์สายๆฉันเข้าไปหาละกัน ไอ้เราก็อุตส่าห์เป็นห่วง กลัวจะเข้ากับคุณภาสกรเขาไม่ได้ เผลอ แป๊บเดียวกลายเป็นคู่ซี้กันไปแล้ว”
    “อืม”
    “เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันวางละนะ เจอกันจ้ะแก”
    “เออ แล้วเจอกัน” นทีกดปุ่มวางสาย หันมายิ้มให้กับภาสกร ชายหนุ่มมีมารยาทพอที่จะไม่ถามว่าคุยอะไรกัน แต่นทีกลับรายงานเองเสียเสร็จสรรพว่าปุยฝ้ายโทรมาบอกว่าจะกลับวันจันทร์ และจะเข้ามาหาสายๆ
    “นั่นซีนะ” ภาสกรเอ่ยขึ้น แต่ไม่ได้มองหน้าหนุ่มน้อย เพราะเกรงว่าจะทำหน้ายักษ์ใส่เขาเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ “พอคุณเข้าตรวจร่างกายคืนนี้ที่แล็บแล้ว คุณฝ้ายกลับมาแล้ว อาหมอปล่อยคุณกลับบ้าน คุณก็คงลืมผม”
    ภาสกรหันหน้ามามองหนุ่มน้อย มองหน้าเขาราวกับประโยคที่เพิ่งพูดจบ เป็นประโยคคำถามที่รอคำตอบ แต่แม้ไม่ใช่คำถาม นทีก็เอ่ยตอบขึ้นด้วยเสียงต่ำๆ นุ่มๆตามแบบของเขา ทำเอาภาสกรอึ้งไปเหมือนกัน
    “จะลืมได้อย่างไรล่ะครับ คุณเป็นผู้มีพระคุณของผม ที่ยังไงผมก็ต้องตอบแทนบุญคุณ ผมไม่วันลืมหรอกครับ” แล้วจบประโยคด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ภาสกรอดใจไม่ได้ ยื่นมือไปขยี้ผมหนุ่มน้อยด้วยความเอ็นดู
     ไม่รู้หรอกว่า หนุ่มน้อยคนนี้หน้าแดง แทบเก็บความรู้สึกไว้ไม่ได้ มันรู้สึกอบอุ่นที่สุด... อบอุ่นจริงๆ

    ห้องแล็บที่นทีมาอยู่คืนนี้ อยู่บนชั้นสูงๆ ของโรงพยาบาล ทั้งชั้นดูร้าง แทบจะไม่มีคน ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม ภาสกรเป็นคนประคองนทีขึ้นเก้าอี้เข็น พาร่างเด็กหนุ่มมาที่ห้องแล็บอย่างรวดเร็ว ทว่านุ่มนวลและมั่นคง เจ้าหน้าที่ที่เปิดประตูแล็บออกมาต้อนรับ เป็นหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบต้นๆ ใส่แว่น ใบหน้าดูคร่ำเคร่ง ผมบนศีรษะบอกลาไปแล้วกว่าครึ่ง ทำให้ดูแก่กว่าวัย อย่างช่วยไม่ได้ ใบหน้า บ่งบอกว่า มีความสนใจและสนิทสนมกับพวกเครื่องจักรต่างๆมากกว่าผู้คนกันเองเสียอีก
    เห็นได้ชัดว่าดูประหม่าเวลาที่ต้องพูดคุยทักทายกับภาสกรและนที แต่เมื่อภาสกรกึ่งอุ้มกึ่งประคองหนุ่มน้อยขึ้นเตียงในแล็บนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่คนนี้กลับพูดอธิบายเกี่ยวกับอุปกรณ์ต่างๆในห้องนั้นอย่างละเอียดและกระตือรือร้น ราวกับกำลังแนะนำญาติสนิทของตน ให้สองหนุ่มรู้จัก
    “เราจะวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ปริมาณออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย คลื่นสมอง และ การกระตุกของกล้ามเนื้อในระหว่างนอน นะครับซึ่งจะบ่งชี้ว่า คุณนทีเนี่ย มีความผิดปกติอะไรบ้างหรือเปล่าในขณะหลับโดยเจ้าเครื่องมือพวกนี้ จะเป็นสายแบบนี้ครับ” เจ้าหน้าที่ผมบาง คนนั้นชูสายพลาสติกใสๆ เส้นหนึ่งขึ้นให้นทีและภาสกรดู มันมีลักษณะไม่ต่างอะไรจากสายไฟ ปกติที่เราเห็นกันตามบ้าน หากแต่มีขนาดเล็กกว่า และใสมากๆเท่านั้น “สายพวกนี้ครับ มีมากหลายสิบสายทีเดียว ผมจะติดมันไว้ตามแขนขาของคุณนที เพื่อวัดการกระตุกของกล้ามเนื้อ แล้วก็จะมีติดที่ศีรษะเพื่อวัดคลื่นสมอง ที่หน้าอกวัดการเต้นของหัวใจ และ ที่จมูกเพื่อวัดปริมาณออกซิเจนที่ไหลผ่านเข้าร่างกาย อย่างที่ผมบอกไปแล้วครับนะ”
    ภาสกร มองหน้านทีเพื่อสร้างความมั่นใจ
    “มันจะเจ็บไหมครับ” ภาสกรถามแทนนที คำตอบที่ได้คือเสียงหัวเราะของเจ้าหน้าที่คนนั้น
    “อู๊ย จะไปเจ็บอะไรล่ะครับก็แค่แปะไว้แล้วสายเหล่านี้ก็จะส่งข้อมูลไปยังเครื่อง ผมจะอยู่ห้องข้างๆคอยดูจอประมวลผลต่างๆ แล้วพอผมประเมินทุกข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ผมก็จะส่งไปให้คุณทีหลัง เท่านั้นเองครับไม่ต้องห่วง”
    เจ้าหน้าที่พูดไปก็ติดสายต่างๆ ตามตัวนทีไป ภายในสิบนาทีต่อมา นทีก็กลายสภาพคล้ายหุ่นไซบอร์ก นอนอยู่บนเตียง มีสายโน่น สายนี่หลายสิบโยงไปทั่วตัวจนหนุ่มน้อยอดแซวเล่นๆ เมื่อเจ้าหน้าที่คนนั้น เดินออกไปอยู่ห้องข้างๆแล้ว
    “ถ้าผมหลับลงพร้อมไอ้เจ้าสายพวกนี้อยู่บนตัว คุณช่วยให้รางวัลผมด้วยนะครับ”

    อีริค กอนซาเลซ พารถคันสวยของทิฆัมพรกระโจนไปตามถนนสุขุมวิทมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพ พรุ่งนี้วันจันทร์ก็จริงแต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ทำงานกระนั้นเขาก็ยังต้องรีบบึ่งรถกลับกรุงเทพ ตามคำสั่งของทิฆัมพร หญิงสาวที่พูดถึงอยู่นี้นั่งกอดอกมองออกนอกหน้าต่าง ด้วยความรำคาญใจ แต่จะแสดงออกมากก็กลัว เสียบรรยากาศ อีริค เป็นคนที่ทิฆัมพรต้องยื้อไว้ก่อน ยังปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้ เพราะ บางสิ่งบางอย่างที่เขามี เป็นสิ่งที่หล่อนถูกใจ และไม่สามารถยอมให้ใครได้ไปได้เด็ดขาด
    กระนั้น หล่อนก็อดหงุดหงิดกับคุณชายไม่ได้
    “พี่ชาย นะพี่ชาย ไม่น่าเป็นเก้งเลย” ทิฆัมพรบ่นกระปอดกระแปด เมื่อตอนรู้ข่าวจากอีริค ว่า อะไรเป็นอะไร
    มาตอนนี้ ก็ได้แต่ นั่งกระฟัดกระเฟียด งอนชายหนุ่มที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้นเสียด้วย อีริคก็รำคาญ แต่จะแสดงอาการไม่พอใจก็ไม่ได้ เดี๋ยวทิฆัมพรหลุดมือไปละแย่ เขาต้องกลับไปเป็นนายแบบมาดเซอร์มีงานบ้าง ไม่มีงานบ้างสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์กินแต่บะหมี่ข้างถนน เพราะขาดการสนับสนุนทรัพย์จากหญิงสาวเหมือนเดิม
    “ฟ้า จะไปแวะที่ไหนกับผมก่อนไหม ไปฟังค์กี้กันก่อน ค่อยเข้าบ้านไหมครับ” ชายหนุ่มพยายามโน้มน้าวให้หญิงสาวอารมณ์ดีขึ้น
    “ไม่ค่ะ อีริค กลับบ้านอีริค หย่อนอีริคลง แล้วเดี๋ยวฟ้าขับรถกลับบ้านเอง”
    “อะไรกัน นี่เพิ่งทุ่มกว่าๆ ถึงบ้านไม่เกินสามทุ่ม ฟ้าจะรีบไปไหน”
    “รีบนอน” หล่อนตอบสั้นๆ พอรู้ตัวว่าห้วนเกินไปก็ต่อประโยคไม่ให้ฟังดูน่าเกลียด “พรุ่งนี้จะไปวังผกากรอง”
    “วังของคุณชายอะไรนั่นหรือ” ชายหนุ่มถาม โดยไม่หันมามองหน้าหญิงสาว คำว่า วัง ดูยิ่งใหญ่หรูหรา ในขณะที่ อีริค มีเพียงห้องเล็กๆ ในอพาร์ตเมนท์โทรมๆ แถวดินแดงเท่านั้น
    “ใช่ จะไปหา หม่อมวิไลวรรณ”
    “ไปเรื่องคุณชายหรือครับ ผมว่าอย่าไปยุ่งเลยดีกว่า เกิดเราเข้าใจผิด เขาไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เราจะเสียเปล่าๆ” ชายหนุ่มพยายามโน้มน้าว จิตใจ แต่ทั้งๆที่รู้ว่ายังไงก็ไม่ได้ผล ชายหนุ่มก็อดหงุดหงิดไม่ได้ว่า ทิฆัมพรช่างหัวดื้อ และไม่ยอมฟังใครเลยเสียจริง
    “เอาเถอะ ฟ้ามีแผน ไม่ปล่อยให้ตัวเองแย่หรอกน่า”

***********************************************************************
จบแล้วล่ะครับสำหรับตอนนี้ ยำมาม่าที่หลอกให้กินมาเรื่อยๆ จะเริ่มปริมาณมากจึงถึงจุดพีคแล้วล่ะครับ แต่สัญญาว่าหลังจากนั้นไปจะเริ่มอ่านสบายขึ้นครับ เห็นหลายๆคนบอกว่าอึดอัด แต่อย่างที่บอกไปแล้ว(หรือเปล่า) ว่าเรื่องนี้จะดราม่าเยอะมาก อาจจะมากที่สุดเท่าที่เคยเขียนมาเลยก็ว่าได้ 5555
อย่าลืมติดตามนะครับ ตอนหน้าแอบมีกุ๊กกิ๊กเล็กน้อยก่อนมาม่าชามใหญ่ พุธหน้า อิอิ

ขอบคุณที่ยังติดตามนะคร้าบบ อย่าเพิ่งหนีกันล่าาา จุ๊บ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-03-2011 20:24:00 โดย Purple_Sky »

ออฟไลน์ JJHJJH

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +293/-2
จิ้มบวกซะ
กลัวจะจมน้ำมาม่าตายอ่าค่ะ ลดลงมั่งไม่ได้หรออออ  :3123:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-03-2011 20:31:52 โดย JJHJJH »

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
ถึงไม่ชอบมาม่าแต่ก็ไม่หนีไปไหน เพราะกลัวค้างคาในอารมณ์ที่ไม่ได้อ่านมากกว่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♠♥♦♣

  • ex-ChCh13
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1612
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-7
Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่12 ภ
«ตอบ #190 เมื่อ23-03-2011 21:11:56 »

นึกว่าชื่อตอนนี้จะเป็น "แค่เพื่อนเท่านั้นแต่มันเกินห้ามใจ" ซะอีก
นึกว่าคุณฟ้าม่วงจะเอาให้จบเพลง 555
*******edit*******
อ้าว นี่หลอกให้เรากินมาม่าหรอเนี่ย OMG!
แล้วนี่ยังเป็นมาม่าชามใหญ่สุด ใหญ่กว่าปางบรรพ์อีกหรอ MY GODDDDDDDDD
อย่าเพิ่งเลย ขอทำใจก่อนนนนน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-03-2011 21:37:57 โดย ChCh13 »

ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
อ่านนิยายในบอร์ดเยอะมาก กินมาม่าก็เยอะหลายชาม

กิน"คุณชาย"ไปอีกชาม กลัวเป็นโรคขาดสารอาหารจัง

ออฟไลน์ SuSaya

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-9
นังคุณฟ้าท่าทางจะก่อเรื่องอีกแล้วสิ...คุณชายรับนทีเป็นน้องบุญธรรมเลยดิ อย่างน้อยก็จะยังได้ดูแลต่อไปอ่ะนะ :กอด1:

imsingularfc

  • บุคคลทั่วไป
 :z6:ฝากสักทีให้นังฟ้าเหลือง
จะเกิดอะไรขึ้นกะน้องบ้างเนี่ย เป็นห่วงจัง
เป็นกำลังใจให้นะค่ะ

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป

Little Devil

  • บุคคลทั่วไป
ไม่ชอบมาม่า
ช่วยบอกล่วงหน้าด้วย จะได้หลบทัน

Rhythm

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ naja-kitase

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 470
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
ง่าาา
ถ้าจะจัดมาม่าชามใหญ่ๆมา ก็ควรจัดฉากกุ๊กกิ๊กหนักๆมาด้วยสิคะ จะได้สมดุลกัน
ไม่งั้นคนอ่านช้ำแย่เลย  :serius2:

แต่แอบงอนพาร์ทก่อนที่คุณชายแอบคิดถึงคุณหญิงดาริกาไรนั่นน่ะ งอนจริงๆนะ
ถ้าคุณชายไปชอบดาริกาจริง เราจะโป้งคุณชายจริงๆด้วย!!

ส่วนนางร้าย ก็ :beat: ไม่สิแบบนี้ดีกว่า  :z6: ฮ่าๆๆๆ


Rawint_PK

  • บุคคลทั่วไป
จะอะไรก็กินได้ทั้งนั้นแหละครับ
ขอให้อร่อยเป็นดี
อิอิ
คุณชายนี่น้าา
อ่อนโยนซะ...

ออฟไลน์ j4c9y

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +178/-7
ซี๊ดดดดดดดดดด   มาม่าแซ่บ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1534
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
คุณชายเริ่มหวั่นไหวอ๊ะป่าว
 :impress2: :impress2:

ออฟไลน์ Purple_Sky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +354/-1
13

     “ต๊าย สวยนะยะ” เสียงนี้จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากปุยฝ้าย
    สิบนาฬิกาของวันจันทร์ หล่อนเข้ามาถึงห้องพักของ นทีด้วยความสดใสร่าเริงตามแบบฉบับของหล่อน ทำเอาห้องสีขาว น่าเบื่อของหนุ่มน้อย มีสีสันสดใสแต่งแต้มขึ้นมาจนฉูดฉาดในพริบตา
   หญิงสาวปรากฏกายในชุดเสื้อแขนกุดสีดำ และกางเกงยีนส์ขาสั้นสีเข้ม มีผ้าพันคอสีแดงสด พาดไว้ที่คอ ทำตัวเป็นสาวแฟชั่น อย่างที่คิดอยากจะเป็น หล่อนกรี๊ดกร๊าด ทักเรื่องรูปวาดภาสกร ที่นทีจัดการเสร็จเรียบร้อย และ วางพิงไว้ที่โซฟารับแขก ก่อนที่จะถามความเป็นมาของเพื่อนหนุ่ม ผิวของสาวน้อย เป็นสีเข้มไม่ปรากฏความไหม้เกรียมบนผิวแต่อย่างใด ทั้งที่หลายคนมักจะมีรอยแดงจากการที่แดดเผา หรืออาจมีผิวคล้ำมัวหมองติดตัวเป็นของฝากจากการไปเที่ยวทะเลกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่รู้ว่าหญิงสาวคนนี้ดูแลตัวเองอย่างดีด้วยการทาซันบล็อก และหลีกเลี่ยงการเชิญกับแดดตรงๆ หรือเป็นเพราะหล่อนผิวดำเข้มอยู่แล้ว ต่อให้ออกแดดแค่ไหน ก็ไม่มีผลกระทบใดๆ นทีก็บอกไม่ได้
ได้แต่นึกอิจฉาในใจเท่านั้นว่า หากเขาไปออกแดดทางใต้เมื่อไหร่ วันต่อมาถ้าไม่ตัวแดงเป็นกุ้งสุก ก็ต้องไหม้เกรียมกลับมาด้วยเป็นแน่แท้
“แหม ทีฉันนะ ทั้งขอร้อง ทั้งขู่กรรโชก ทั้งจ้าง แกยังไม่เคยคิดจะวาดรูปให้เลย แล้วคุณภาสกรเขาเป็นใครมาจากไหนยะ มาทีหลังฉัน แกกลับลำเอียง ไปวาดรูปให้เขาก่อน” นทีรู้ดีว่าหญิงสาวพูดมากไปอย่างนั้น ใจจริงคงไม่ได้น้อยใจอย่างที่พูด แต่เขาก็อดปฏิเสธไม่ได้
 “คุณภาสกร เขาอุตส่าห์หาดินสอ กระดาษ ขาตั้งมาให้ฉันก็เลยตอบแทนวาดให้เท่านั้นเอง”
 “ย่ะ แต่คุณเขาก็ดีจริงๆนะอุตส่าห์หาอะไรต่ออะไรมาเอาใจด้วย” หล่อนว่าอย่างอารมณ์ดี พลางลากเก้าอี้จากโต๊ะกินข้าวมาข้างเตียง นั่งคุยใกล้ชายหนุ่ม แล้วโยนกระเป๋าสีดำใบใหญ่ไปไว้บนโซฟาอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะถามขึ้นมา ถึงชายหนุ่มที่เป็นหัวข้อสนทนาในครั้งนี้ “แล้วเขาไปไหนซะล่ะ”
“ไปทำงานล่ะมั้ง” นทีว่า แต่ความจริงคือไม่รู้เดาไปอย่างนั้นเอง เพราะพอเขาตื่นมาก็ไม่เห็นภาสกรเสียแล้ว
 “แต่ก็นะ ไหนๆ ก็วาดแล้ว ก็ถือเป็นของที่ระลึก เอาไว้ไปนอนดูต่างหน้าที่บ้านใช่ไหมล่ะ”
 นทีหน้าแดง จะหน้าแดงทำไมไม่รู้ กระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังตอบเพื่อนสาวอย่างอายๆ “ก็แล้วจะทำไม ฉันวาดแล้ว ฉันจะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของฉันไม่ใช่หรือไง”
 ปุยฝ้ายค้อนเพื่อนหนุ่มทีหนึ่ง ก็เหลือบไปเห็นว่าไม่มีถาดอาหารของโรงพยาบาลมาเสิร์ฟ จึงถามอย่างอยากรู้อยากเห็น คำตอบของหนุ่มน้อย คือ ภาสกรยกเลิกอาหารโรงพยาบาลไปแล้ว แล้วซื้อข้าวปลาอาหารมาขุนจนอ้วนด้วยตัวเองทุกวัน
 อย่างเช้านี้ แม้ตื่นมาแล้วภาสกรไม่อยู่ แต่ก็ยังมีน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋วางอยู่ที่โต๊ะข้างเตียงให้ชายหนุ่มรับประทานได้ในตอนเช้า นทีไม่ได้เล่าให้เพื่อนสาวฟังว่า พอไม่มีภาสกรคอยประคองไปเข้าห้องน้ำ หนุ่มน้อยก็จัดการ เดินขาเดียวไปเข้าห้องน้ำได้จนแล้วจนรอด แม้จะทุลักทุเลก็ตาม
 เวลาประมาณหกนาฬิกาของวันนี้ นทีตื่นขึ้นด้วยความที่ไม่คุ้นกับสถานที่อย่างห้องแล็บ และสายต่างๆ ที่ระโยงรยางค์อยู่บนตัว เจ้าหน้าที่ผมบางออกมาทักทายตอนเช้า แล้วก็เรียกพยาบาลมา ช่วยเข็นเก้าอี้เข็นกลับมาที่ห้องนี้ โดยภาสกรก็แย่งนางพยาบาล อาสาเข็นเก้าอี้ให้หนุ่มน้อยเองเหมือนทุกครั้ง
“คุณหลับเหมือนเด็ก มองดูนึกว่ามีเด็กน้อยหลับอยู่ข้างๆ” แม้จะงัวเงีย แต่นทีก็จำได้ว่าส่งค้อนอันใหญ่ให้ชายหนุ่มไปครั้งหนึ่ง
 ที่ว่านอนข้างๆ นั้นภาสกรไม่ได้พูดเกินจริงเลย
 เขานอนบนเก้าอี้โซฟาแต่ก็ไม่หลับ เพราะมัวแต่ห่วงหน้าพะวงหลัง ว่านทีจะหลับหรือเปล่า และพวกเส้นสาย เครื่องมือต่างๆ จะมีผลอะไรกับหนุ่มน้อยบ้าง แถมยังอยากสังเกตอาการของนทีเวลาหลับจริงๆจังๆดูสักครั้งว่า เขาเพ้อ หรือกระตุกบ้างไหมระหว่างหลับ เผื่อว่าอาหมอถามอะไร จะได้ตอบถูก
ก็พบว่านทีหลับง่ายมาก ขนตายาวหลับพริ้มเหมือนสาวน้อย มากกว่าเด็กหนุ่มไม่สงสัยเลยว่าที่นทีถูกเข้าใจผิดว่าเป็น ยายหนู อยู่บ่อยๆคงจะเป็นเรื่องจริง ยามหายใจเข้าออก หน้าอกของหนุ่มน้อยขยับขึ้นลงอย่างน่ากลัว ชายหนุ่มคล้ายจะหายใจดังเมื่อตอนหลับ ข้อนี้เป็นสิ่งที่ภาสกรสังเกตเห็น จึงมานั่งจ้องหนุ่มน้อยใกล้ๆ กลายเป็นว่าตัวเขาเองต่างหากไม่อาจบังคับใจให้หลับได้
ไม่รู้ว่าเป็นห่วงหนุ่มน้อย หรือรู้สึกเอ็นดูขึ้นมาก็ไม่รู้
ภาสกรพาหนุ่มน้อยกลับห้องก็บอกว่าจะไปซื้ออะไรให้กิน ก่อนจะอาบน้ำ แล้วออกจากห้องไป นทีไม่รู้ตัวว่าหลับไปหลังจากที่ภาสกรออกไปนานหรือเปล่า รู้แต่ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาก็ไม่พบภาสกรแล้ว มีเพียงน้ำเต้าหู้แก้วใหญ่ใส่ธัญพืช และ ปาท่องโก๋ ซาลาเปาวางอยู่ข้างๆแล้ว
 “อะไรล่ะยะ พูดถึงคุณภาสกรแล้วก็นิ่งไปอีกแล้วสองครั้งแล้วนะ นี่แกอย่าบอกนะว่า...” ปุยฝ้ายฉุดเพื่อนหนุ่มขึ้นมาจากห้วงความคิด คราวนี้เลยเป็นฝ่ายหนุ่มน้อยบ้างที่ค้อนใส่เพื่อนอย่างขัดใจ
“ไม่บอกอะไรทั้งนั้นแหละ”
“เออ ก็แหย่เล่นเท่านั้นเอง แล้วไง ผลที่ไปตรวจอะไรมานี่จะได้วันไหน” เพื่อนสาวถามแบบเปลี่ยนเรื่องทันที ไม่ให้นทีมีเวลาโกรธได้อีก
“จริงๆ ต้องรออาทิตย์นึง แต่คุณภาสกรเขาก็ใช้เส้นสายอะไรเขาเนี่ย ก็เลยจะรู้ผลภายในสองสามวันนี้แหละ”
“เออดี แต่แกก็คงหายดีมากแล้วนะ ฉันว่าคงไม่ได้เป็นอะไรหรอก เดี๋ยวก็ได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วเนอะ”
“อืม” นทีก้มหน้า... หายดีก็เท่ากับต้องออกจากโรงพยาบาลแล้ว แล้วออกไปแล้วจะไปอยู่ที่ไหน แฟลตของปุยฝ้ายเล็กเกินกว่าจะอยู่กันสองคน แต่จะให้หาที่ใหม่ ชายหนุ่มก็พอจะรู้ว่าไม่มีปัญญา เพราะนอกจากจะไม่มีเงินแล้ว ที่อยู่เดี๋ยวนี้ก็หายาก จะกลับไปอยู่กับพ่อเลี้ยง นทีก็บอกตัวเองเสียงดังลั่นในใจว่า ไม่ เราจะไม่กลับไปอีกแล้ว ขอนอนอยู่ข้างถนนก็ยังดีกว่าไปอยู่กับนายอดิสรณ์
“อ้าวๆ พูดเรื่องออกจากโรงพยาบาลก็เงียบอีกแล้ว ไม่อยากจากคุณภาสกรล่ะสิ” เพื่อนสาวว่า แต่คราวนี้ไม่ใช่ด้วยเสียงแหลมๆ แบบล้อเลียน แต่เป็นน้ำเสียงจริงจัง แบบที่หล่อนมักใช้เวลาคุยเรื่องคอขาดบาดตาย “ฉันไม่รู้ว่าแกจะตัดสินใจยังไงนะ แต่พอเรื่องมันใกล้เข้ามาแบบนี้ฉันก็อดลำบากใจแทนแกไม่ได้ แกจะไปอยู่ไหน คงไม่กลับไปหาคุณอดิสรณ์ใช่ไหม”
เมื่อเรื่องที่ปุยฝ้ายพูด มาตรงกับเรื่องที่เขาคิดพอดี นทีก็ไม่ลำบากใจที่จะพูดตอบ “ไม่กลับละ”
 “แล้วแกจะไปอยู่ไหน อยู่แฟลตกับฉัน ฉันก็คงต้องบอกว่าได้อยู่แล้ว แต่แกก็รู้ว่าห้องมันเล็กมากอยู่กันได้อาทิตย์เดียวแกก็คงอึดอัด ฉันก็คงอึดอัด ยังไงเสียฉันก็เป็นผู้หญิง แกก็เป็นผู้ชาย คงอยู่กันได้แปบเดียว แกต้องหาแผนสำรองแล้วนะ”
 “ฉันก็คิดอยู่ ฉันขออาศัยแกแค่พอให้กลับไปเดินได้เหมือนเดิมก็พอแล้ว แล้วฉันจะทำงาน ทำสองกะ สามกะก็ได้ จะเก็บเงิน อยู่หอแถวมหาลัย หรือไม่ฉันก็คิดไว้บ้างว่าจะลาออก”
“ลาออกได้ไง แกเรียนมา 2 ปีแล้ว ครึ่งทางแล้วนะโว้ย ออกตอนนี้เท่ากับฆ่าตัวตาย ถ้ายื่นเรื่องขอโอนมหาลัย ฉันก็ไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า ถ้าแกไม่จบตรี ยังไงเสียแกก็ไม่มีวันหางานทำได้หรอก อย่างมากก็งานใช้แรงงาน แล้วขอบอกตามตรงแบบเพื่อนที่จริงใจกับแกเลยนะ แกทำงานใช้แรงงานไม่ได้ แกก็รู้ตัวว่าแกไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนใครเขา แล้วตอนนี้ก็ยังมาเจ็บอีก”
 “ฉันรู้แล้ว แต่ค่าเทอมก็แพงอยู่ ฉันจะเอาเงินที่ไหนล่ะ”
 “พ่อแม่แกไม่มีสมบัติเลยหรือไง” ปุยฝ้ายถาม
 “เงินในธนาคารก็พอมี แต่ไม่กี่หมื่นกะว่าใช้คุณภาสกรเรื่องที่โรงพยาบาลนี่หมดแล้วก็คงหมดตัว บ้านอะไรต่ออะไรพ่อก็ยกให้คุณอดิสรณ์ไปแล้ว พินัยกรรมก็ไม่ได้ทำแบบในหนังหรอกนะ พ่อแม่ไม่ได้รวย”
 ปุยฝ้ายยกมือขึ้นกุมขมับ บ่งบอกว่า “เครียด” แล้วนะ แต่ก็ยังดีที่หล่อนไม่ได้แสดงออกให้เพื่อนหนุ่มรู้สึกแย่ลงไปกว่านั้นอีก ก็เลยแค่นั่งเงียบๆไปพักหนึ่งแล้วก็พูดขึ้นมาอีกที
 “เรื่องคืนเงินคุณภาสกร เขาคงไม่รีบหรอก แกเก็บไว้ส่งตัวเองเรียนก่อน เรื่องงานฉันฝากแกทำที่เดียวกับฉันได้ กะกลางคืน กลางวันเรียน กลางคืนแกก็มาทำงานกะฉัน เสาร์อาทิตย์ค่อยนอนทั้งวันทั้งคืนยังได้”
นทีเริ่มคล้อยตามเพื่อน อย่างไรก็ตาม เขาก็เป็นคนรักเรียน ที่บอกว่าลาออกนั้น พูดไปเพราะท้อใจเท่านั้น ให้ลาจริงๆ นทีก็คงทำไม่ได้
 “คุณภาสกรบอกว่า จะให้ฉันทำงานในบริษัทเขาแบบไม่กินเงินเดือน ครบพอค่ารักษาแล้วถึงจะให้เงินเดือน แต่ฉันยังคิดอยู่...”
 “คิดอะไร” ปุยฝ้ายสวนขึ้นมาทั้งๆ ที่เพื่อนหนุ่มยังพูดไม่จบประโยค
“คิดว่าจะเอาดีไหม ถ้าทำงานกับเขาก็เท่ากับเกาะเขาไปเรื่อย”
 “โอ๊ย จะคิดทำไมล่ะยะ เอาอย่างนี้ ฉันจะสรุปละ” เพื่อนสาวโวย เหมือนเวลาคุยเรื่องงานกลุ่มแล้วยืดเยื้อไม่ได้ข้อสรุปสักที “แกอยู่ที่นี่ จนผลออกแน่ใจแล้วว่ากลับบ้านได้ ก็ไปอยู่แฟลตกับฉัน ไปเรียนอะไรตามปกติ ไปทำงานให้คุณภาสกรพอขาหายแล้วอะไรแล้ว ก็ทำงานที่เดียวกับฉันไปด้วย แกก็จะมีเงินส่งตัวเองเรียนไปด้วย ใช้คุณภาสกรไปด้วย ถ้ามีมากๆหน่อยแกก็ค่อยหาที่อยู่ใหม่ จะได้ไม่ต้องเจอคุณอดิสรณ์อีก”
ใจจริง ปุยฝ้ายไม่อยากให้เพื่อนใช้หนี้คุณชายด้วยซ้ำ เพราะที่คุณชายจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลนี่ก็เท่ากับรับผิดชอบที่ขับรถชนนทีเองไปแล้ว ไม่ควรเอาจากชายหนุ่มอีก... นึกดูอีกที เพราะเหตุนี้คุณชายถึงไม่ให้เอาเงินมาใช้ไงล่ะ ถึงให้ไปช่วยทำงานที่บริษัท คงประเภทนั่งเรียงเอกสารอะไรไปเรื่อย พอพักหนึ่งก็ค่อยบอกนทีว่าใช้เงินครบแล้ว เท่านั้น ทีนี้ก็หายกันทั้งสองฝ่าย ทั้งภาสกรก็จะได้ให้เงินค่าเสียหายกับนทีโดยที่ไม่ได้เอาอะไรจากหนุ่มน้อยกลับคืน และนทีเองก็จะได้รู้สึกสบายใจ คิดว่าได้ใช้เงินคืนชายหนุ่มแล้วอย่างไรล่ะ
“อืม” เพื่อนหนุ่มรับคำอย่างว่าง่าย คงคิดว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วนั่นแหละ “เออจริงซี พูดถึงคุณอดิสรณ์ทำไมเขาไม่โทรหาฉันเลยล่ะ”
ปุยฝ้าย ทำท่าจะพูดว่า อ้าว ก็ฉันเล่าไปแล้วไม่ใช่หรือ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าคราวที่แล้วยังไม่ได้เล่าให้ฟัง เพราะตอนนทีถาม คุณชายยังอยู่ตรงนั้นหล่อนเลยไม่กล้าบอก พอภาสกรออกไปแล้ว หล่อนก็เปลี่ยนประเด็นไปคุยเรื่องอื่นแทน หล่อนจึงต้องเล่าเท้าความ ตั้งแต่ที่นทียังไม่ฟื้นที่หล่อนคุยโทรศัพท์กับคุณอดิสรณ์ครั้งล่าสุดให้เพื่อนหนุ่มฟัง นทีจับใจความได้ว่า ป่านนี้พ่อเลี้ยงของเขาคงอยู่ที่ฮ่องกง ทำเรื่องธุรกิจ หรือไม่ก็กำลังมี “ความสุขส่วนตัว” เล็กๆ น้อยๆ อย่างที่เขาได้ไปรู้มาโดยบังเอิญล่ะสิ
“แต่คิดดีๆ แปลว่าเขาคงจะกลับมาภายในอาทิตย์นี้ไม่ก็อาทิตย์หน้าใช่ไหม” เพื่อนหนุ่มถาม
“ก็ประมาณนั้นละ”
 “กลับมาเขาต้องหาฉันพลิกแผ่นดินแน่ๆ” นทีบ่นพึมพำ
“ก็ไม่แน่เขาอาจจะหายไปเลย ไม่มาสนใจแกก็ได้นี่”
“ไม่หรอก” นทีตอบอย่างมั่นใจ แม้จะใช้เสียงนุ่มๆ เบาๆก็ตาม แต่ชายหนุ่มมั่นใจในความคิดของตัวเอง “เขาคงคิดว่าฉันอาจจะทำลายเขาได้ เพราะเรื่องตื้นลึก หนาบางของเขานี่แหละ เขากำลังรุ่งโรจน์ในทางธุรกิจ เขาไม่ปล่อยฉันให้ลอยไปลอยมาอยู่ข้างนอกหรอก เขาถึงร้อนรนมากยังไงล่ะ ตอนที่โทรมาหาแก”
 ปุยฝ้ายจ้องมองเพื่อนหนุ่ม โดยไม่ได้พูดอะไรอีก ด้วยความสงสารสุดหัวใจ นทีเด็กหนุ่มน่ารัก ใสซื่อ ไม่เคยทำผิดคิดร้ายกับใคร ทำไมต้องมาเจอกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัดแบบนี้ด้วย ปุยฝ้ายสังเกตได้ว่า แม้เพื่อนหนุ่มจะอารมณ์ดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ขนาดไหนแต่ก็เทียบไม่ได้กับนทีที่หล่อนรู้จักก่อนที่ พ่อและแม่ของเขาจะตาย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคุณชาย ภาสกรสินะ หล่อนอดอมยิ้มนิดๆ ไม่ได้ ... ใครจะไปรู้ว่าจะเข้ากันได้ดีอย่างนี้ ทั้งๆที่นทีน่าจะต่อต้าน ไม่เชื่อฟัง กลับสนิทชิดเชื้อ พูดถึงทีไร ก็ทำยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ ไม่ก็เงียบไปแบบคิดถึง
แต่เพื่อนฉันก็น่าสงสารอีกอยู่ดี
ต่อให้รักแท้แพ้ใกล้ชิดอย่างไร ใกล้ชิดก็คงต้องแพ้สิ่งที่สังคมเรียกว่า ขนบธรรมเนียมประเพณีอยู่ดี อย่างไรเสีย ภาสกรก็เป็นคนที่มีหน้ามีตาในสังคม แฟนสาวก็เป็นถึงดารา รู้ๆกันอยู่ว่าอย่างไรก็ต้องแต่งงานกัน และอีกอย่างมาดแมน เนี๊ยบไปทุกอย่างอย่างคุณชายภาสกร น่ะหรือจะเหลียวแลนที จริงอยู่ว่าทำดีด้วย แต่ก็ทำเพราะรู้สึกผิดไม่ใช่หรือ... มิได้ทำด้วยใจพิศวาสในตัวนทีแต่อย่างใดเลย เพื่อนหล่อนคงต้องเสียใจหากถลำลึกไปมากกว่านี้ ปุยฝ้ายมองไม่เห็นทางใดจริงๆ ที่ภาสกร และนที จะลงเอยกันได้ในที่สุด
เสียงหาวดังขึ้นจากหนุ่มน้อยบนเตียง
“เอ้า หาวอะไร เพิ่งตื่นไม่ใช่หรือ”
“เมื่อคืนหลับไม่ค่อยสบาย ฉันรู้สึกเพลียๆ ของีบสักแป๊บนะแก ไม่ว่ากันนะ” นทีว่าแล้วก็หลับตาลงเสียอย่างนั้น
“ย่ะ จะว่าอะไรได้ล่ะ คนป่วยนี่” แล้วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ

ปุยฝ้าย นั่งอ่านแมกกาซีนที่เอามาด้วยจนจบแล้วก็ลุกขึ้นบิดตัวไปมาด้วยความเมื่อยล้า จากการนั่งรถจากพังงากลับมาชลบุรี หล่อนนึกอยากอาบน้ำ ก็เพราะอากาศมันร้อนเหลือเกิน ก็เลยไม่รีรอ เพราะมีเสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัวอะไรเรียบร้อยเตรียมมาในกระเป๋าอยู่แล้ว ก็เข้าไปอาบน้ำ
กลับออกมาอีกทีเพื่อนหนุ่มก็หลับปุ๋ยไปเสียแล้ว
นทีก็คือนที เหมือนชื่อนั่นแหละ บทจะสดใสก็ทอประกายล้อแสงแดด บทจะพิโรธก็ไหลเชี่ยวกรากเป็นคลื่นลมรุนแรง บทจะเศร้าก็เศร้าสร้อยดูมัวหมองแบบทะเลกลางคืน บทจะเงียบสงบก็สงบลงอย่างง่ายๆ อย่างนั้น ความเป็นศิลปิน ที่อารมณ์เปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็วตามสภาพแวดล้อม ทำให้หล่อนอดเป็นห่วงไม่ได้ หากเกิดเรื่องอะไรไม่ดีขึ้นมาอีกสักเรื่องสองเรื่อง นทีจะทนได้แค่ไหนกัน
“เรื่องอะไรไม่ดี” ทักทายหล่อนแทนนทีที่หลับปุ๋ยด้วยเสียงเคาะประตู
หญิงสาวไม่ได้เฉลียวใจจึงเปิดประตูออกไปอย่างไม่ได้คิดถามก่อนว่าเป็นใคร ปากก็เรียก “คุณชาย” ไปอย่างที่คิดว่าคงจะใช่
แต่ทว่า หล่อนกลับเป็นประตูรับสตรีสองคนที่ยืนทำหน้าเฉยชาใส่หล่อนราวกับว่าหล่อนเป็นเพียงมดแมลงอย่างไรอย่างนั้น คนหนึ่งหล่อนจำได้ว่าเป็นดารานางร้ายที่กำลังมาแรงในขณะนี้ เรียกตามที่คนเขาเรียกกันทั่วประเทศว่า
ฟ้า-ทิฆัมพร
ส่วนอีกคนหล่อนไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ดูจากการแต่งตัว ทรงผม บวกกับใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับคนที่หล่อนเพิ่งเอ่ยปากเรียกออกไปราวกับแกะ รวมไปถึงคำพูดของสุภาพสตรีท่านนี้ที่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเหมือนพูดกับอากาศธาตุด้วยแล้ว ปุยฝ้ายไม่จำเป็นต้องเดาเลยว่าสตรีวัยกลางคนดูสูงศักดิ์ผู้นี้คือใคร
“ฉันมาหา ลูก... ชายภาสอยู่ที่นี่ใช่ไหม”

***********************************************************************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-03-2011 20:51:45 โดย Purple_Sky »

ออฟไลน์ Purple_Sky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +354/-1
พูดคุย : วันนี้ขอคุยยาวๆนะครับ
คนที่กำลังสงสัยเรื่องคุณชายกับดาริกา ผมว่าอาจเป็นเพราะคนผู้อ่านส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงมังครับเลยไม่เข้าใจเรื่องนี้
คุณชายเป็นผู้ชายทั้งแท่งใช้ชีวิตไม่ต่างจากชายรักต่างเพศทั่วไปมานาน เขาได้รับการปลูกฝังมาแต่อ้อนแต่ออกว่าผู้ชายต้องชอบผู้หญิง ใช้ชีวิตแบบลูกเจ้าลูกนายทุกสมัยคือ เกิด-เรียน-บวช-แต่งงาน-ทำงาน-มีลูก-ทำงานจนเกษียณ และให้ลูกเลี้ยงต่อไปจนตาย คุณชายคงสับสนอยู่บ้างช่วงนี้ว่าตัวเองชอบนทีจริงๆรึเปล่า เพราะไม่เคยมีความรู้สึกนี้กับใคร พอเจอดาริกาที่บังเอิญหน้าคล้ายนทีก็เลยพยายามชักจูง โน้มน้าวให้ตัวเองเชื่อว่า ไม่ได้ชอบนทีแต่จะหันไปชอบดาริกาแทน ถือเอาว่าหน้าคล้ายกัน แทนกันได้แถมดาริกาก็เป็นผู้หญิงที่เหมาะสมจะลากเข้าแผนผังชีวิตของตนพอดี ไม่รู้ว่าจริงๆจะชอบผู้ชายก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกนักหากรับตัวเองได้... ประเด็นคือคุณชายไม่รู้ตัว และ เมื่อรู้ก็อาจจะรับความจริงไม่ได้...

ผู้อ่านที่อ่านปางบรรพ์มาแล้วจะรู้ว่าตัวละครทุกตัวของผมมีความหมายและมีหน้าที่ของตนในเรื่อง ดาริกาก็เช่นกัน และดราม่าทุกอย่างที่เข้ามาจะเป็นจุดพลิกทางชีวิตของตัวละครไปเรื่อยๆ ถ้าไม่มีดราม่าชีวิตของตัวละครจะเท่ากันหมด ดังนั้นผู้อ่านที่รู้จักทางงานของผมดีจะรู้ว่า ผมไม่สักแต่เขียนให้มีดราม่าไปเรื่อยๆอย่างไม่มีทิศทาง ทุกเหตุการณ์มีความสำคัญมีผลลัพธ์ที่ส่งให้เกิดอีกเหตุการณ์หนึ่งจนสุดท้ายจะคลี่คลายเองทั้งหมด (อย่างในปางบรรพ์)

ฉะนั้นคนที่ไม่ชอบดราม่าอาจต้องทำใจอยู่มากว่าคุณชายไม่มีเหตุการณ์อภินิหารเหนือธรรมชาติอย่างในปางบรรพ์มาใช้เป็นจุดเปลี่ยนเรื่อง ก็เลยต้องใช้พวกดราม่ากินอารมณ์มาแทน สัญญาว่ามีฉากหวานๆให้อ่านเยอะพอๆกับดราม่าเช่นกันครับในเรื่อง

ตอนหน้าจะเรียกได้ว่าเป็นจุดแตกหักจุดแรกในเรื่องหลังจากที่นทีถูกรถชนตอนเริ่มเรื่อง อันจะเปลี่ยนชีวิตของคุณชายและความสัมพันธ์ระหว่างคุณชายกับนทีไปอีกขั้นหนึ่ง (แต่เปลี่ยนไปทางไหนรอติดตามนะครับไม่บอกละ) ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างคุณชายกับดาริกา ขออุบไว้ก่อนครับ ติดตามกันเอาเองด้วยนะคร้าบบ

วันพุธเตรียมซดมาม่าชามยักษ์ก่อนนะครับ ฉากหวานๆจะค่อยๆตามมาหลังจากมาม่าช่วงนี้

ประกาศ
ผมตัดสินใจรวมเล่มปางบรรพ์แล้ว!
ตามไปอ่านรายละเอียด + ลงชื่อแสดงความต้องการซื้อหนังสือที่กระทู้ปางบรรพ์นะครับ - http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=15938.1020

ออฟไลน์ JJHJJH

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +293/-2
จะกลั้นใจรอมาม่ารสขมๆ ค่ะ
บวกเป็นกำลังใจให้ค่า

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
ไปลงชื่อจองปางบรรพ์ก่อน  อิ อิ 
ว่าแต่ฟ้าม่วงอย่าเพิ่งทิ้งทางสามสายไปน๊า  กำลังติดพันเลย

Rhythm

  • บุคคลทั่วไป

Mio

  • บุคคลทั่วไป

Little Devil

  • บุคคลทั่วไป
จะเสิร์ฟมาม่าแล้วเรอะ
+1

ออฟไลน์ zeit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
เอิ่มมมมมม ชีวิตของนทีก็สุดแสนจะรันทด

รอช่วงแตกหัก ว่าคุณชายคิดจะทำไง??

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1534
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
ลุ้นๆ รอตอนต่อไปค่า

ไม่รู้คุณหญิงแม่กะแม่นางร้ายนั่นมานทีเราจะโดนอะไรบ้างง่า

คุณชายอยู่ไหนคะ ปรากฏตัวด่วนคร่า ก่อนที่นทีเราจะโดนรังแก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด