[คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50  (อ่าน 240239 ครั้ง)

Rawint_PK

  • บุคคลทั่วไป
อืม...งานเข้าอีกแล้วหรือนี่..
แล้วจะเป็นยังไงกันบ้างละทีนี้
ไม่แย่ไปเลยหรือ...เฮ้อ..

LoveNineTeen

  • บุคคลทั่วไป
เนื้อเรื่องแนวนี้ มันต้องคู่กับดราม่าอยู่แล้ว ส่วนตัวเป็นคนชอบเสพดราม่า คงไม่มีปัญหาถ้าจะดราม่าเยอะ

มีความรู้สึกว่า ดาริกา นี้แหระจะทำให้ความรักของนทีกับคุณชายสมหวัง จะคิดไปเองหรือเปล่าต้องติดตามต่อไป ฮ่าๆๆ

ออฟไลน์ a_tapha

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4981
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +397/-1
เข้ามาอ่านรวดเดียวทันแล้วค่ะ
แล้วจะตามต่อไปนะค่ะ   o13

ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
ถ้าดราม่าแล้วสนุก อ่่านแลิวอิน คนอ่านก็ชอบค่ะ

แต่บางทีเจอดราม่าพร่ำเพรื่อ อ่านจนเฝือก็เบื่อได้เช่นกัน

เป็นกำลังใจให้ค่ะ และจอรลุ้นพุธนี้

ออฟไลน์ Purple_Sky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +354/-1
14

คำแรก ที่ปุยฝ้ายนึกถึงเมื่อพิจารณาสตรีที่หล่อนเชิญมานั่งที่โซฟารับแขกก็คือ “สวย” สวยจริงๆ ไม่รู้ว่าที่สวยนี้สวยจากธรรมชาติ หรือสวยด้วยแพทย์กันแน่ แต่ไม่ว่าจะสวยอย่างแรกหรือสวยอย่างหลัง เมื่อมองดูแล้วก็ไม่อาจถอดตาจากสตรีคนนี้ได้ หล่อนแทบไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่าผู้หญิงคนที่ยืนอยู่ต่อหน้าหล่อนนั้นเป็นถึงแม่คนแล้ว หนำซ้ำ ยังเป็นแม่ของลูกที่อายุเฉียดสามสิบเสียอีก ทั้งๆที่สุภาพสตรีท่านนี้ก็ดูอายุไม่แก่กว่าลูกชายสักเท่าไร คงเพราะสบาย อยู่บ้านเฉยๆ ไม่ต้องมีเรื่องเครียด ไม่ต้องลำบากตรากตรำ ทำงานล่ะสิ ถึงสวยได้แบบคนดูแลตัวเองดีขนาดนี้
หม่อมแม่ของคุณชายภาสกรมีดวงหน้าขาวนวล คล้ายสาวเหนือ เสื้อผ้าที่ใส่ กรุยกราย บางเบาคล้ายเป็นผ้าห่มไว้เฉยๆ ผ้าสีครีมเข้ากับสีผิวของหล่อน และเครื่องประดับมุกที่เข้าชุดกันทั้งจี้ห้อยคอ แหวน ต่างหู กำไล ประกาศความ “รวย” ตัวใหญ่ๆ ให้เห็นจนไม่ต้องมีข้อสงสัยอะไร
คำต่อมาที่ตามมากับคำว่าสวยคือ “ดุ”
ปุยฝ้ายรู้ว่า พวกเจ้าพวกนายมักจะเข้มงวด ระเบียบจัด ค่อนแคะและ เสียดสีกันบ่อยๆ อย่างที่เห็นได้ตามละคร ไม่เคยนึกว่าต้องมาเจอ ตัวเป็นๆ อยู่ต่อหน้าหล่อนแบบนี้ หม่อม วิไลวรรณ ดูไม่เกรี้ยวกราดก็จริง แต่ทำหน้าตึงไม่ยิ้ม ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ อย่างมั่นใจว่า ฉันควบคุมทุกอย่างรอบๆ ตัวได้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่ฉันต้องการ แม้จะตั้งใจมาเจอลูกชาย แต่เมื่อไม่พบก็ไม่มีท่าทีผิดหวัง หรือหัวเสียแต่อย่างไร กลับทำหน้าเรียบเฉยเหมือนจะบอกว่า ถ้าฉันไม่เจอลูกชาย ก็คุยกับหล่อนละกัน
หญิงวัยกลางคนนั่งอย่างงามสง่า ไม่สนแก้วใส่น้ำเปล่าใสสะอาดที่ปุยฝ้ายวางไว้บนโต๊ะน้ำชา ตรงหน้าหล่อน และผู้ติดตาม พอวางแก้วน้ำลงแล้ว หญิงสาวก็ถอยออกไป ยืนกุมมือประสานไว้ตรงหน้าอย่างสำรวมอยู่ข้างเตียง ไม่กล้านั่งโซฟาหรือแม้แต่เก้าอี้ที่อยู่ห่างออกไปก็ตาม
หม่อม วิไลวรรณ เอ่ยปากพูดทำลายความเงียบที่น่าลำบากใจขึ้นก่อน
“เธอไม่เรียนหนังสือหรืออย่างไร”
ปุยฝ้ายตกใจ ไม่รู้ว่าเรื่องที่พูดขึ้นมาเกี่ยวข้องมากหรือน้อยกับที่หม่อมแม่ ของคุณชายภาสกรมาปรากฏตัวอย่างไม่คาดคิดที่นี่ แม้ไม่ค่อยเข้าใจคำถามนัก แต่หล่อนก็ตีความไปเป็นว่า วันนี้วันจันทร์แล้วหล่อนยังมาอยู่โรงพยาบาลแบบนี้ ไม่มีเรียนหรือ ก็ตอบไปตามที่ตนเข้าใจ
   “เอ้อ จริงๆ มีเรียนค่ะ หนู...”หล่อนนิ่งไป ไม่รู้ว่าจะใช้สรรพนามใดดี แต่เอ่ยไปแล้วก็เลยตามเลย “หนูเรียนอยู่ ม. บูรพาค่ะ แต่วันนี้ เพิ่งเดินทางกลับมาจากต่างจังหวัดก็เลยถือโอกาสหยุดเรียนค่ะ”
   หม่อมวิไลวรรณ มองหน้าหล่อนอย่างไม่มีอารมณ์ใดๆเหมือนเดิม
   “อ้อ วันนี้ไม่ได้ไปเรียน... ถ้าอย่างนั้นวันที่ครูเขาสอนเรื่องมารยาทก็คงไม่ได้ไปเรียนเหมือนกันใช่ไหม ถึงมายืนค้ำหัวผู้ใหญ่อยู่แบบนี้” ถ้อยคำที่ผ่านปากออกมา แม้จะเป็นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่ได้ใช้น้ำเสียงเหยียดหยามแต่อย่างใด แต่ก็กรีดลึกลงในหัวใจของผู้ฟังจน หน้าแดงซ่านด้วยความอายจนแทบจะแทรกแผ่นดิน
   อายก็อาย เจ็บก็เจ็บ แต่ปุยฝ้ายจะทำอะไรได้นอกจากทรุดตัวลงนั่งพับเพียบกับพื้น ไม่กล้าไปลากเก้าอี้ หรือนั่งโซฟาเพราะกลัวหม่อมจะหาว่าไปทำตัวเทียบเท่าผู้ใหญ่อีก
   “อุ๊ย” คราวนี้คนที่พูดพลางหัวเราะคิกคักไปพลาง คือทิฆัมพรที่นั่งสงบเสงี่ยมอยู่ข้างๆมานาน จนปุยฝ้ายผิดสังเกตว่าเป็นนางร้ายได้อย่างไร นั่งเรียบร้อยขนาดนั้น พอหล่อนพูดขึ้นมานั่งแหละถึงรู้ว่า บทในโทรทัศน์จะร้ายอย่างไรก็ร้ายสู้ที่หล่อนกำลังแสดงอยู่ตอนนี้ไม่ได้ “ตายจริง คุณน้าไปว่าเขา เลยทำอะไรไม่ถูกนั่งพื้นเสียเลยเห็นไหมคะ นี่น้อง ขึ้นมานั่งโซฟาก็ได้จ้ะ พื้นโรงพยาบาลไม่เหมือนพื้นเสื่อที่บ้านนะจ๊ะ ใครต่อใครเดินเหยียบกันสกปรกค่ะน้อง”
   พอปุยฝ้ายขึ้นมานั่งโซฟาตัวที่ไกลจากทั้งคู่ที่สุดด้วยสีหน้าของคนที่ถูกดูถูกจนหน้าชาไปทั้งหน้าแล้วทิฆัมพรก็พูดขึ้นอีก “เห็นไหม นั่งโซฟาสบายจะตาย ไม่ค่อยชินล่ะสิเรา เด็กต่างจังหวัดบางคนก็ไม่เคยนั่งโซฟานะคะ คุณน้า”
   ทั้งที่เจ็บแสบจนแทบจะลุกขึ้นไปตบทิฆัมพรสักฉาดสองฉาด แต่ปุยฝ้ายก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั่งก้มหน้า ไม่มองหญิงสาว พอดีหม่อม วิไลวรรณพูดอะไรด้วย ก็เงยหน้าขึ้นมามอง
   “เอาละ ในเมื่อตั้งใจจะมาคุยกับลูกชายแล้วเกิดไม่อยู่ขึ้นมา ฉันก็คงต้องคุยกับเธอละ” หล่อนว่า แม้จะไม่ตั้งใจทำร้ายให้บาดเจ็บด้วยคำพูดอีกแล้ว แต่ก็ยังทำหน้าเฉยเมย แบบไว้ตัว และใช้น้ำเสียงที่เย็นชา ก็ฟังแล้วอึดอัดเหมือนเดิม “ฉันไม่อ้อมค้อมนะแม่หนู ฉันมาที่นี่ เพราะได้ยินมาว่าลูกชายของฉัน คุณชายภาสกร เข้าออกโรงพยาบาลนี้บ่อยมาก”
   ใครไปฟ้องเข้าละซี ปุยฝ้ายคิดในใจแต่ก็ได้แต่รับฟัง ด้วยท่าทีนิ่งเฉย
   “เข้าออกปกติ ฉันไม่สงสัยอะไรหรอกนะ เพราะพักนี้คุณชาย มาพักอยู่ที่พัทยาด้วยเรื่องงาน เขาอาจจะเข้ามาพูดคุยกับ คุณมิ่งเมือง ที่เป็นสหายของ สามีฉันก็ได้ แต่ที่ฉันประหลาดใจก็คือ เขาไม่เข้าบริษัทมาหลายวันแล้ว จริงอยู่ที่ชายภาส ไม่ค่อยชอบทำงานในห้องเล็กๆ ส่วนใหญ่ทำอะไร ก็มักจะไปตามร้านกาแฟ แต่ที่ว่าเข้าๆออกๆ โรงพยาบาลนี่ คือเข้าตอนเย็น ออกตอนเช้า แถมไม่กลับไปนอนบ้านอีก มันก็แปลกใช่ไหม ฉันเลยคิดว่าลูกชายฉันคงจะมาอยู่เฝ้าใครที่โรงพยาบาลแน่ๆ พอมีคนเห็นแล้วไปเล่าให้ฟังว่าเป็นห้องนี้ ฉันก็ตามมา กะจะมาคุยกับลูกชายให้รู้เรื่อง... แต่ในเมื่อไม่เจอเขา ฉันก็อยากจะถามเธอ”
หม่อม วิไลวรรณ พักหายใจ เหลือบมองร่างที่นอนอยู่บนเตียงก่อนจะถามคำถามที่หล่อนค้างคาใจ “เธอกับแม่หนู คนที่นอนป่วยอยู่น่ะ มีความสัมพันธ์อย่างไร กับลูกชายของฉันกัน หือ”
อีกแล้ว ปุยฝ้ายหัวเราะในใจ แต่เท่าที่แสดงออกคืออมยิ้มที่มุมปากเพียงนิดเดียว สมัยนี้ผู้ชายคนไหน หน้าใสๆ อ่อนๆ หน่อยไว้ผมยาวตามสมัยนิยม จะยาวแค่ต้นคอ หรือยาวประบ่าก็ดูเป็นผู้หญิงได้สบายแล้ว ไม่ได้ต่างกับผู้หญิงเดี๋ยวนี้ที่หั่นผมสั้นกันจนดูเหมือนผู้ชาย บางคนสั้นแค่คอก็ยังดี แต่บางคนถึงกับตัดรองทรง หรือสกินเฮด โดยไม่จำเป็นต้องเป็นทอมกันแต่อย่างใด
นทีเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ถ้าวันไหนใส่เสื้อตัวใหญ่หน่อย ไม่รัดรูปจนเห็นว่าไม่มีหน้าอกหน้าใจ ใครๆก็เข้าใจผิดได้ไม่ยาก อย่างตอนนี้ นทีนอนคลุมผ้าห่ม มิดจนถึงคอ จึงไม่แปลกที่หม่อมวิไลวรรณจะเห็นเขาเป็นสาวน้อย ผมสั้นทันสมัยคล้ายกับทิฆัมพร
“เปล่าค่ะ เพื่อนหนู นที เป็นพ่อหนุ่มค่ะ ไม่ใช่แม่หนู นทีเป็นผู้ชายค่ะ”
ทิฆัมพรยิ้มที่มุมปาก หล่อนเข้าใจไม่ผิดจริงๆ สิ่งที่อีริคเห็นและเล่าให้หล่อนฟังเป็นความจริง ภาสกร มานอนเฝ้าผู้ชายที่นี่ ส่วนหม่อมวิไลวรรณ ถึงจะไว้ท่าเหมือนเดิม แต่ก็ ผงะไปบ้าง แม้จะเล็กน้อยแต่ก็พอจะดูออกว่า ตกใจไปบ้างเหมือนกัน ปุยฝ้ายรู้ตัวว่า ยังไม่ได้ตอบคำถามหม่อม กลัวจะถูกค่อนแคะออกมาอีก จึงพูดต่อประโยคให้อีกฝ่ายพอใจ
“เราสองคนไม่เคยรู้จักคุณชายมาก่อนเลยค่ะ แต่เพื่อนของหนู นที ถูกรถชน คุณชายก็เลยช่วยส่งเขามาที่โรงพยาบาล นทีเป็นเด็กกำพร้า พ่อกับแม่เขาเสียแล้วค่ะ แล้วเขาก็ไม่มีใคร ไม่มีเงิน พอทราบ คุณชายก็เมตตาเขามากช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่าย ค่ารักษาพยาบาลที่นี่ มาตั้งแต่นั้น แล้วนทีก็สัญญากับคุณชายแล้วค่ะว่าจะทำงานหาเงินมาใช้ให้ ไม่เอาเงินของคุณชายมาฟรีๆ”
การบอกสิ่งที่ไม่จริงบ้าง เพื่อให้หลายฝ่ายสบายใจ ก็ถือว่าเป็นทางออกที่ดีมากกว่าบอกความจริงที่จะทำให้ หม่อมวิไลวรรณหงายท้องเป็นลม คุณชายภาสกรก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย ...
แม้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะเป็นความผิดของชายหนุ่มก็ตาม แต่ปุยฝ้ายก็เห็นว่าเขาได้พิสูจน์ให้หล่อนมั่นใจแล้วว่าเขาสำนึกผิด และ พยายามที่จะแก้ไขมันให้ดีที่สุดแล้วเท่าที่ทำได้
หม่อมวิไลวรรณถอนหายใจ มองชายหนุ่มที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงอย่างสงสารอยู่พักหนึ่ง ก็หันกลับมาพูดกับปุยฝ้าย
“ได้ยินอย่างนี้ ฉันก็ค่อยสบายใจ” ท่าทีปั้นปึ่ง แบบไว้ตัว และอาการดูถูกทั้งหลายดูจะละลายไปบ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงกับพูดจาอย่างมีอัธยาศัยใจคอเป็นกันเอง “ฉันได้ยินมาว่า ชายภาสไปไหนมาไหนตลอด ไม่เข้าบริษัท เพื่อนไปหาที่วังตอนค่ำๆก็ไม่อยู่ เห็นเข้าออกโรงพยาบาล ก็เลยลองสืบดูรู้มาว่ามาอยู่กับผู้หญิง ฉันก็นึกว่าชายภาส แอบคบใครที่ฉันไม่รู้หรือเปล่า พอผู้หญิงคนนี้ป่วยถึงกับต้องมาดูแล ฉันก็เป็นห่วงลูกชาย กลัวว่าจะมีความสัมพันธ์อะไรลึกซึ้ง”
หวงลูก นั่นเอง ปุยฝ้ายนึกขำลึกๆ อยู่ในใจ
“แต่ก็อีกนั่นแหละ ถึงจะไม่มีอะไร แต่ชายภาสมาอยู่ด้วยทั้งวันทั้งคืนแบบนี้ ฉันว่าก็ดูแปลกๆ”
“แต่ฟ้าว่า พี่ชายคงไม่คิดอะไรกับน้องคนนี้หรอกค่ะ คุณน้า เห็นอยู่ว่าไม่น่าจะชอบน้องคนนี้ ถ้าจะต้องกลัว ก็ต้องกลัวน้องที่ชื่อ อะไรนะคะ ทีๆ”
“นที”
“นั่นล่ะ ค่ะ ถึงต้องห่วงหน่อย จะว่าไปถ้าไม่บอกว่าเป็นผู้ชาย ฟ้าคงคิดว่าเป็นสาวน้อย หน้าตาน่ารัก ไม่น่าไว้ใจล่ะค่ะ สวยกว่าน้องคนนี้อีก”
ปุยฝ้ายนับหนึ่งจะถึงพันอยู่แล้ว ตั้งแต่ทิฆัมพรเริ่มประโยค คำพูดของฝ่ายนั้น เหมือนตบหน้าหล่อนแรงๆ ด้วยซ้ำ ไม่พูดก็เหมือนพูดแหละว่า หล่อนน่ะไม่สวย ไม่น่าสนใจสักนิดเดียว อย่างนี้พี่ชายคงชอบได้ไม่ลงหรอก
“ตายแล้ว หนูฟ้า พูดอะไรอย่างนั้น เรื่องวิปริตแบบนี้ น้าไม่ชอบนะจ๊ะ" วิไลวรรณนิ่วหน้าแบบรับไม่ได้ ราวกับเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องต้องห้าม ที่เอ่ยขึ้นเมื่อไหร่ คนฟังจะขาดใจให้ได้อย่างไรอย่างนั้น
“แหมฟ้าก็พูดเล่นค่ะ อย่างพี่ชาย ไม่มีทางที่จะเป็น เกย์ เป็นตุ๊ด อะไรอยู่แล้วค่ะ” หญิงสาวยิ้มอย่างประจบ ประแจง วิไลวรรณค้อนใส่หญิงสาวอย่างหงุดหงิด กึ่งขัน แล้วหันกลับมาพูดกับปุยฝ้ายต่อไป
“ขอโทษนะหนู อย่าหาว่าฉันใจร้ายเลย แต่ถ้าพ่อหนุ่มคนนี้สบายดีแล้ว ฉันอยากขอให้ช่วยบอกลูกชายของฉันด้วยว่าให้แยกย้ายกันไปสู่ชีวิตปกติของแต่ละคนได้แล้ว ฉันไม่ว่าที่ลูกชายเอาเงินมาใช้กับการช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ ยังไงเสียก็คนไทยด้วยกัน แต่มาให้เฉยๆ ฟรีๆ ฉันไม่เห็นด้วย ครอบครัวเราต่อให้มีเงิน ก็ไม่ใช่ว่าจะเอามาให้คนอื่นที่ไม่รู้จักกันได้ง่ายๆ แบบนี้”
ปุยฝ้ายไม่กล้าแม้แต่จะสบตา ได้แต่ก้มหน้านิ่ง เหมือนถูกครูใหญ่ที่โรงเรียน ตอนประถม ดุ อย่างไรอย่างนั้น
“หนูว่า พ่อนทีจะใช้คืนให้ ฉันก็สบายใจว่าไม่ได้มาเกาะ ขอโทษนะ ฉันเจอเรื่องแบบนี้มาเยอะแล้ว ฉันอาจจะฟังดูร้าย แต่ฉันก็เป็นคนมองโลกในแง่ของความเป็นจริง มีออกถมไปนะพวกที่เห็นว่าพวกเรารวยหน่อยก็พากันมาเกาะแกะ คิดว่าจะได้อะไรไปง่ายๆ เอาเถอะ เงินแค่นี้ฉันไม่ติดใจ ดีกว่าเอาไปซื้อเหล้า ซื้อบุหรี่ เล่นการพนัน แต่ต้องขอร้องว่า ถ้าหายดีแล้วก็อยากให้แยกย้ายไป ตาชายมาขลุกอยู่แต่ที่นี่ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร มันจะกระทบต่องานของเขา”
พูดจบคราวนี้ หม่อมวิไลวรรณลุกขึ้นยืน ก่อนหน้าทิฆัมพรนิดเดียว เดินออกจากบริเวณนั้น จะกลับไป ง่ายๆ อย่างนั้นเอง หม่อมวิไลวรรณหันหน้ามามอง ปุยฝ้ายเป็นครั้งสุดท้าย
“ยังไงก็ฝากหนูด้วยนะ เรื่องที่ฉันขอไว้ ชายภาสเป็นคนขี้สงสาร คงกำลังเพลินว่าได้เพื่อนใหม่ ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน หนูก็เตือนเขาให้ด้วยแล้วกัน” หล่อนทำท่าจะจากไป แต่ก็ไม่ใจร้ายพอที่จะจากไปเฉยๆ แบบนั้น ยังพอจะมีน้ำใจที่จะหันมาหาหญิงสาว แล้วพูดว่า “ขอให้เพื่อนหนูหายไวๆ”
ปุยฝ้ายยกมือไหว้ เดินมาส่งที่หน้าประตู พอประตูปิดลง หล่อนก็น้ำตาคลอหันกลับมาเพื่อจะมองเพื่อนหนุ่มที่นอนหลับตานิ่งไม่รับรู้อะไรบนเตียง
แต่เปล่า นทีนอนนิ่งอยู่บนเตียงก็จริง แต่ดวงตาเบิกกว้าง รับรู้ทุกอย่างตั้งแต่แรก จนจบ แต่ที่ไม่แสดงตัวให้รู้ว่าตื่น ก็เพราะตกใจ และเสียใจ ซ้ำยังโกรธจนตัวสั่นที่ได้ยินคำสบประมาทต่างๆ ที่พร่างพรูมาจากผู้มาเยือนทั้งสองคน ไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไร เพียงปุยฝ้ายปิดประตูได้ไม่ทันจะสนิทดี เสียงจากข้างนอกก็ทำให้หล่อนสะดุ้ง
“ตาชาย มาพอดี แม่มีเรื่องจะคุยด้วย”
ได้ยินเสียงที่ชัดเจนของผู้ที่อยู่ข้างนอก นทีชันตัวลุกขึ้น พร้อมกับพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ ด้วยแรงที่ใช้ในการกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล ด้วยความแค้นใจ ในถ้อยคำดูถูกต่างๆ
“ฝ้าย ประคองฉันไปหน้าประตูที”

ภาสกร ตกใจแทบจะหงายหลัง เมื่อเดินออกจากลิฟต์มาพบกับบุคคลสองคนที่เขาไม่อยากพบมากที่สุด ในเวลานี้
“คุณแม่... ทิฆัมพร”
“ตาชาย” หม่อมวิไลวรรณเรียกลูกด้วยเสียงเดียวกับที่ใช้คุยกับปุยฝ้าย บ่งบอกว่า อารมณ์ของหล่อนไม่อยู่ในสภาพที่ดีพอ จะพูดเพราะๆ แบบแม่ลูกคุยกับเขาได้ “มาพอดีแม่มีเรื่องจะคุยด้วย”
“คุณแม่ คุณแม่มานานหรือยัง คุณแม่..”
“แม่เข้าไปในห้องนั้น หวังว่าจะพบแก แต่แกไม่อยู่ แม่พูดกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว รู้ว่าอะไรเป็นอะไร... ชายคิดอะไรอยู่”
ภาสกรไม่ตอบ ปุยฝ้าย กับนทีที่ยืนพิงประตูอยู่ได้ยินแทบจะทุกถ้อยคำของหม่อมวิไลวรรณที่เสียงดังเป็นนิสัยแม้จะโกรธหรือไม่โกรธก็ตาม
“ชายมาอยู่ที่นี่กับใครก็ไม่รู้ ในขณะที่ท่านพ่อประชวร คาดหวังว่าแกกำลังได้ดิบได้ดีกับการทำงาน แกกลับเอาเงินของท่านพ่อมาใช้กับเด็กที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้แบบนั้น เรื่องเอาเงินมารักษาให้ แม่ไม่ว่า แต่ถึงกับมาอยู่ มาเฝ้าแบบนี้ แม่ไม่พอใจ”
“คุณแม่ ชายว่าไปคุยกันที่บ้านเถอะครับ”
“ไม่ แม่อยากรู้ว่าลูกคิดอะไร แม่ไม่ไปไหนถ้าแม่ไม่รู้ความจริง คนอย่างแก ให้เฝ้าหนูฟ้าที่ป่วยนอนซมเป็นไข้อยู่บ้านแกยังเบื่อ นี่แกมาเฝ้าใครก็ไม่รู้ที่ไม่รู้จัก ไม่เกี่ยวดองกันไม่ว่าจะในรูปแบบใดๆแบบนี้ แม่ว่ามันต้องมีอะไร อยู่เบื้องลึกเบื้องหลัง แกชอบเด็กคนนั้นหรือ”
ใจเต้นแรงแทบจะหลุดออกมาอยู่นอกอก ทั้งภาสกร ทั้งนที
เด็กคนนั้นที่หม่อมวิไลวรรณหมายถึงอาจเป็นปุยฝ้าย แต่ทำไม ใจของภาสกรถึงกระหวัดไปคิดถึงแต่ภาพของนทีที่นอนป่วยอยู่ก็ไม่รู้ ภาสกรรู้สึกตัวเพียงครู่เดียวก็ดึงตัวเองกลับมา แล้วเข้าใจความหมายที่แท้จริงของหม่อมแม่ว่า คงหมายถึงปุยฝ้ายมากกว่า เพราะหล่อนคือความเป็นไปได้แค่อย่างเดียวที่จะหม่อมวิไลวรรณจะเข้าใจผิดไปได้
ต่างจากเด็กหนุ่มที่เขาคิดถึงอยู่เมื่อครู่ที่ใจจดใจจ่อ รอเหตุผลของ ภาสกรแม้ในใจจะนึกโกรงเคืองเขาบ้างบางเรื่อง ก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าบางทีเหตุผลง่ายๆ ที่ภาสกรมีตลอดเวลาที่มาเฝ้าไข้เขานั้น คือความผูกพันที่เกิดจากความใกล้ชิด ก็เป็นไปได้... จะผูกพันถึงขั้น ชอบหรือเปล่านทีไม่แน่ใจ
ที่แน่ๆ เขารู้สึกผูกพันกับภาสกร แม้เป็นเวลาเพียงไม่กี่วัน แต่ตื่นมาก็เจอเขา หลับก็หลับพร้อมเขา ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่ก็อยู่กับเขา มีเขาคอยดูแล คอยเอาใจ ด้วยเหตุผลที่นทีก็ไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่ นทีเองก็ไม่แน่ใจว่าความผูกพันที่เขามีต่อภาสกรนั้น จะเรียกว่า ชอบได้หรือเปล่า
 “คุณแม่ คุณแม่ฟังชายก่อนนะครับ  ผู้หญิงคนนั้นกับชายไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย แล้วชายก็ไม่ได้ชอบเขา เหตุผลที่ชายมาอยู่เฝ้าไข้เด็กผู้ชายคนที่ป่วยก็เพราะว่าเพื่อนของเขา ปุยฝ้ายน่ะครับ ต้องไปต่างจังหวัดไม่มีใครมาเฝ้าไข้ ผมก็ต้องอยู่ช่วยสังเกตการณ์เผื่อว่าทีอาการอะไรผิดปกติ ชายจะได้แจ้งแพทย์ได้ทัน”คำตอบของภาสกร มั่นคง และหนักแน่นราวกับซ้อมมาแล้วอย่างดี
“แต่มันธุระอะไรของแกที่ต้องไปเฝ้าไข้เขา เพื่อนคนอื่นเขาไม่มีหรือไง ตาชาย มันเรื่องอะไรที่แกจะต้องเป็นห่วงเป็นไยเด็กคนนี้ ช่วยเงินค่ารักษาเสียตั้งแต่ตอนแรก แล้วก็กลับวัง ดำเนินชีวิตไปตามปกติ ก็ได้ ทำไมต้องเข้าไปข้องเกี่ยว ทำไมต้องมาค้างมาเฝ้าไข้ ฉันไม่เข้าใจแกเลย”
คำถามของหม่อมวิไลวรรณคำถามเดียวทำให้คนที่ฟังอยู่ทุกคนสะอึก เพราะมันเป็นคำถามที่ทุกคนมีอยู่ในใจอยู่แล้ว ทั้งทิฆัมพร ทั้งปุยฝ้าย ทั้งนที เรียกว่าถามทีเดียว แทนคน อีกสามคนที่ก็อยากรู้เรื่องนี้ด้วยไม่แพ้กัน
‘ใช่ ทำไมล่ะ ทำไมเขาต้องสนใจเรามากขนาดนี้ด้วย เขาทิ้งเงินค่ารักษาช่วยมาตอนแรกก็ได้ แล้วก็จบ เขาก็ไปทำงาน ไปหาเพื่อนไปไหนต่อไหน เราก็นอนป่วยอยู่อย่างนี้ เงินพอก็พอ ไม่พอปุยฝ้ายก็คงจะย้ายเราไปอยู่ตามโรงพยาบาลรัฐบาล ทำไมกัน’ นทีอยากรู้ แม้จะถามไปแล้ว และได้คำตอบมาแบบที่ เขาไม่คาดคิดมาแล้ว แต่มันจะแค่นั้นหรือ... การที่คนช่วยคนไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล อย่างที่เขาบอกแค่นั้นหรือ
ภาสกรยังคงนิ่ง ยังไม่ตอบ ยังคงทบทวนอยู่ในใจว่าคำตอบคราวนี้จะเป็นแบบไหน เพราะมีเขาเท่านั้นที่รู้ว่าทำไม เขาไม่อยากให้นทีรู้จึงเคยตอบเลี่ยงๆ ไปครั้งหนึ่งแล้ว คราวนี้ เขาก็ไม่อยากให้แม่รู้ แต่จะตอบเลี่ยงๆ ไปได้อีกครั้งหรือ... ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่จะบอกความจริง
ชายหนุ่มสูดหายใจเข้า ลึก ยาวก่อนจะสารภาพต่อผู้เป็นแม่ ไม่ต่างอะไรจากตอนประถมที่สารภาพว่าสอบตก
“เพราะคนที่ขับรถชนเขา คือชายเองครับแม่”
เพียงวิไลวรรณได้ยินคำตอบ ขาแข้งก็หมดแรง ไม่ต่างอะไรจากผู้สูงอายุทั่วไป ที่ไม่ว่าจะได้ยินอะไรที่บาดหู ก็จะรับไม่ได้ เป็นลมเป็นแล้งกันทั้งนั้น วิไลวรรณ เซติดผนัง ใช้มือยันไว้ไม่ให้ล้ม แต่ก็ยังขาแข้งสั่นรับไม่ได้กับสิ่งที่ได้ยิน คนแรกที่ได้สติก่อนคือทิฆัมพร
“ว้าย คุณน้าเป็นลม” หล่อนควานหายาดม ในกระเป๋าถือ ก่อนจะยื่นให้หม่อมวิไลวรรณอย่างทำตัวไม่ถูก “พี่ชายคะ รีบพาคุณน้าไปที่รถเถอะ พากลับบ้านที่พัทยาก่อน”
ภาสกรตรงเข้าประคองหม่อมแม่ของตนตั้งแต่หญิงสาวยังพูดไม่จบประโยคพากันเดินไปที่ลิฟท์ อดใจไม่ได้ที่จะหันมามองประตูห้องพักผู้ป่วยใจนึกเพียงว่า นทีจะตื่นหรือยัง ปุยฝ้ายมาเยี่ยมหรือยัง หนุ่มน้อยจะหิวหรือเปล่าเท่านั้น ไก่ทอดเคเอฟซีในมือก็ยังอยู่ในมืออย่างนั้นไม่ได้ตกถึงท้องหนุ่มน้อยอย่างที่ตั้งใจ

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
ให้อารมณ์เหมือนดูหนังน้ำเน่าทางช่องหลายสีจริง ๆ
แบบนี้ถ้าได้อยู่ใกล้ ๆ จะเอาหนอนยัดปากนังคุณฟ้าซักกำมือนึง
ปากเน่าได้ใจมากค่ะ  เน่าพอกับกายและใจหล่อนเลยจริง ๆ

ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
นังฟ้าตอแหลที่สุดเลยนะย่ะ ชงหาเรื่องอยู่เรื่อย

ออฟไลน์ zeit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
เอิ่ม จะเป็นไงต่อดีล้ะ นที?

คุณหญิงแม่ใจร้ายมาก

อีนังฟ้าหน้าตบมาก

ออฟไลน์ JJHJJH

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +293/-2
คุณชายยยยยยยยย นทีได้ยินหมดแล้วววววว >"<

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
กรี๊ดดดดด มาต่อเเล้ว รอว่าเมื่อไหร่จะถึงวันจันทร์ วันพุธ อยากอ่านทุกวันเลยค่ะ

สนุกมากๆๆๆๆๆๆของมากๆๆๆๆๆๆ

คุณชาย น้องนทีได้ยินหมดเเล้ว จะเกิดอะไรขึ้นเนี่ย
เกลียดคุณทิฆัมพรจริงๆ ส่วนหม่อมเเม่ก็พูดจาเฉือนเเบบนิ่มๆ


ขอบคุณคุณฟ้าม่วงค่ะ ชอบคุณมากจริงๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ parn11

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
ทีนี้จะทำยังไงดีละนที
ยากจะรู้จักกับคุณอดิสรณ์จะแย่อยู่แล้วคะ
ติดตามคะ

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1534
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
นทีรู้ความจริงว่าคุณชายเป็นคนขับรถชนคงจะเสียความรู้สึกมากทีเดียว

แต่ว่าน้าาา เมื่อไหร่คุณชายจะรู้ตัวซะทีล่ะว่าเริ่มรู้สึกพิเศษกะนทีแล้วอ่าาาา

ออฟไลน์ YMP

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1062
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-2
 :L2:

นทีจะทำเรื่องออกจาก รพ.เลยมั้ยเนี่ย

ปล.
มีโฆษณาไก่ทอดเจ้าดังแอบแฝงด้วย  :laugh:

zeen11

  • บุคคลทั่วไป
เนื้อเรื่องเข้มข้นน่าติดตามมากๆ ค่ะ o13 o13

นางคุ้ม

  • บุคคลทั่วไป
ชอบค่ะ นานๆได้อ่านนิยายรักที่ตัวเอกวัยทำงานบ้าง
ส่วนมากเป็นรักในวัยเรียนเสียเยอะ  เปลี่ยนแนวบ้างก็น่าติดตามดี

theblink

  • บุคคลทั่วไป
ตามอ่านรวดเดียวจนถึงตอนนี้เลยค่ะ อิอิ
ฉากหวานชอบจริงๆนะ  แต่ไม่รู้เราเป็นคนเดียวรึเปล่า ที่แบบว่า
ยินดีได้ไม่สุดหัวใจคือ.. มันดีใจนะ  แต่ก็ไม่ดีใจเลย....
ยังคิด  ยังกังวลเรื่องนายพ่อเลี้ยงนั่นอยู่ตลอดเวลาที่มีฉากน่ารักๆระหว่างคุณชายกับนที  เราว่าเราเครียดเรื่องนายนั่นยิ่งกว่าหม่อมแม่ หรือ ยัยทิฆัมพรเสียอีก
มันคล้ายกับเป็นความรู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจ
รู้สึกเกลียดนายนนั่น  ทั้งๆที่ยังไม่ออกมา   ยิ่งคิดว่าที่ผ่านมานทีต้องเจออะไรจากนายนี่บ้างก็ยิ่งสงสาร 
ถ้าตัีวละครตัวนี้ออกมาเมื่อไหร่  คาดว่าคงมีเรื่องทำให้ตับไตไส้พุ่งเราบิดเบี้ยวแน่นอน   เพราะแค่ตอนนี้ก็รู้สึกอึดอัดคับแค้นใจแทนนทีมากพอแล้ว

เราอยากให้คุณชายรับรู้เรื่องราวทั้งหมดของนทีัจังเลยค่ะ  เราเชื่อว่าคุณชายเป็นคนใจดี เป็นคนจิตใจดี  ถ้ารู้ชะตากรรมของนทีคงไม่ปล่อยเอาไว้เฉยๆ  คงต้องช่วยนทีจากเงื้อมมือของนายพ่อเลี้ยงได้แน่นอน

บาดแผลที่กว้างลึกในใจของนที  อยากให้คุณชายคนดี ผู้เพรียบพร้อม  ช่วยรักษาให้หายดีจังเลยค่ะ T T

ปล. รักคุณฟ้าม่วงมากเลย  ขอบคุณนะคะสำหรับนิยายสนุกๆ ^ ^  ใจดีมาอัพให้เร็ว ๆ หน่อยน้าค้า  โดยเฉพาะช่วงดราม่าจะได้ไม่มีใครลงแดงกัน ฮ่าฮ่า

Rawint_PK

  • บุคคลทั่วไป
เศร้าได้ตลอดเวลาสิน่า
เฮ้อ....
นี่แค่เริ่มต้นต้มน้ำใช่ไหมเนี่ย...
ยังไม่ได้ใส่เส้นใช่ไหม
โอย..
ชายจะเป็นลม

Rhythm

  • บุคคลทั่วไป

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจให้ครับ

ออฟไลน์ Purple_Sky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +354/-1
อัพผิดเรื่องครับแหะๆ ตามไปอ่านทางสามสายด้วยนะคร้าบ
คุณชายเจอกันวันจันทร์ครับ

ปล. ใครยังไม่ลงชื่อแสดงความจำนงให้รวมเล่มปางบรรพ์ อย่าาลืมตามไปนะครับ อยากได้จำนวนคร่าวๆแล้วจะได้สั่งพิมครับ :) ขอบคุณล่วงหน้าครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-04-2011 20:50:46 โดย Purple_Sky »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ KIMKUNG

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
มาต่อห่อยครับ  อิอิ

namwaan1992

  • บุคคลทั่วไป
ตามอ่านรวดเดียวจบ   ><

ฮ่าๆ    อยากอ่านอีกงับๆ    ชอบเรื่องนี้ม้ากกกกกกกกกกกกกก ก       ^^

มาต่อไวๆนะครับ  :'D

ออฟไลน์ Purple_Sky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +354/-1
15

เรียน หม่อมราชวงศ์ ภาสกร รชตานันต์

   ขอโทษคุณชายจากใจจริงที่ไม่สามารถอยู่รอ บอกข้อความทั้งหมดในจดหมายนี้ด้วยตัวเองได้ หากคุณชายโกรธ ก็ต้องขอโทษด้วย
   ผมรู้สึกว่าตัวเองหายดีแล้ว ไม่มีอาการอะไรแปลกๆ น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ ก็ออกมาโดยไม่ได้บอกคุณชายก่อน ผมไม่คิดจะกลับไปอีก ดังนั้นขอร้องคุณชายว่า อย่าได้ตามหาผมและให้ผมเข้ารับการรักษาอีกเลย ไม่ว่าผลทดสอบในคืนนั้นจะออกมาอย่างไรก็ตามคุณชายไม่มีอะไรติดค้างผมอีก ผมต่างหากที่ติดค้างคุณชาย เท่าที่กรุณาผมมาตั้งแต่วันแรก จนถึงในวันนี้ก็เป็นบุญคุณหาเปรียบไม่ได้จริงๆ
   ผมได้ยินที่คุณชายคุยกับหม่อมแม่ของคุณชายแล้ว ผมต้องขอโทษหากทำให้คุณชายต้องเดือดร้อนและมีปัญหากับครอบครัว ผมรู้เรื่องเกี่ยวกับเหตุผลที่คุณชายช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล และช่วยดูแลผมมาตลอดแล้วจากที่ได้ยินคุณคุยกับหม่อมแม่ของคุณ และจากที่ผมคาดคั้นมาจากปุยฝ้ายเอง ว่าเป็นไปเพราะต้องการชดเชยความผิดที่คุณชายเป็นคนขับรถชนผม ขอให้คุณชายอย่าได้รู้สึกผิด เพราะคุณชายได้แสดงให้ผมเห็นแล้วว่าคุณชายสำนึกผิด และ พยายามอย่างเต็มที่ที่จะแก้ไขความผิดนั้นแล้วจริงๆ
   หากคุณชายกังวลว่าผมจะโกรธเรื่องที่คุณชายปกปิดความจริงกับผมทั้งเรื่องรถชน และเรื่องที่คุณชาย เป็นหม่อมราชวงศ์ ก็ขอให้คุณชายรู้ว่าผมไม่โกรธ และเข้าใจคุณชายดี
   คุณชายเป็นผู้มีพระคุณสำหรับผมอย่างที่ผมเคยบอกไปแล้ว เพราะอย่างน้อย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม คุณชายได้ดูแลผมมาตลอดตั้งแต่ผมถูกรถชน ทำให้ผมได้รู้ว่ายังมีคนที่ดีต่อผมอยู่บ้าง อย่างน้อยก็อีกคนหนึ่ง
    ผมยังยืนยันคำเดิมว่า ผมจะไม่วันลืมคุณชายเลย จริงๆ


นที
   เจ้าของจดหมายอ่านทบทวนครั้งสุดท้ายแล้ววางจดหมายลงบนเตียง ก่อนจะได้ยินเสียงเพื่อนสาวพูดเบาๆ จากข้างหลัง
    “แกแน่ใจนะไอ้น้ำ ว่าจะทำแบบนี้”
   “แน่ใจ” เขาได้ยินเสียงตัวเองตอบกลับไป แทบจำไม่ได้ว่าเป็นเสียงของเขา เพราะมันสั่นเครือ ฟังดูเศร้าอย่างน่าแปลกใจ ทั้งๆ ที่เขากำลังจะจากที่ที่เขาเบื่อเต็มทีนี้ไปสู่โลกภายนอกที่สดใสและสวยงาม นทีบอกตัวเองว่าที่เป็นอยู่นี้ เพราะความกลัวว่าจะต้องกลับไปเจออดิสรณ์ และเรื่องราวร้ายกาจต่างหาก
   ห้องพักผู้ป่วยในห้องนี้ ดูคล้ายจะเป็นสถานที่ที่ป้องกันเขาจากความเจ็บปวดจากโลกภายนอกได้มาเป็นเวลา เกือบสองอาทิตย์ พอจะจากไปก็ใจหายเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงคนที่เคยมากิน อยู่ นอนหลับร่วมกันในห้องนี้แม้นิดเดียว
   ปุยฝ้ายประคองนที ที่อยู่ในชุดเสื้อยืด กางเกงยีนส์ของปุยฝ้าย มันเป็นเสื้อผ้าที่หล่อนจะเอามาเปลี่ยน แต่นทีขอใส่ไปก่อนเพราะไม่มีชุดแล้วจริงๆ ทั้งคู่เดินออกนอกห้องนี้ไปง่ายและเร็วเหมือนตอนที่เข้ามา หากแต่อะไรบางอย่างทำให้ ต้องหันกลับไปมองมันอีกครั้ง ด้วยความอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะจากมันไปจริงๆ

   ภาสกรนอนไม่หลับทั้งคืน ใจคิดถึงแต่ นที
    เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงต้องคิดถึงเด็กคนนั้นมากถึงขนาดนี้ด้วย ทั้งที่จริงๆแล้ว ความผูกพันเล็กๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างสี่ห้าวันที่อยู่ด้วยกันนั้น มันอาจจะดูน้อยนิดเกินไปด้วยซ้ำ ถ้าเทียบกับระยะเวลาที่เขารู้จักกับทิฆัมพร แต่ภาสกรก็ไม่เคยคิดถึงหญิงสาว มากเท่าที่เขาคิดถึงนทีอยู่ตอนนี้
    คุณชายหนุ่มพา หม่อมแม่กลับมาที่บ้าน ให้น้ำให้ท่าแล้วสักพัก หม่อมวิไลวรรณก็ถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด มีทิฆัมพรที่นั่งฟังอยู่อย่างประหลาดใจคอยปรนนิบัติหม่อมอยู่ข้างๆ พอเล่าจบ หม่อมวิไลวรรณก็พูดขึ้นมาคำเดียวว่า “อย่าให้ท่านพ่อทรงทราบเชียวนะ” จากนั้นสองสาวต่างวัยก็ไมพูดอะไรอีก ทิฆัมพรจัดแจงประคอง วิไลวรรณไปที่นอกชาน นั่งมองทะเลให้สงบใจ หม่อมวัยกลางคน มองขอบฟ้าด้วยตาละห้อย ไม่นึกว่าเรื่องราวแบบนี้จะเกิดขึ้นกับลูกชายที่แสนจะพร้อมสมบูรณ์ทุกอย่างของหล่อน ได้แต่หวังเพียงว่าเรื่องจะไม่บานปลายถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาล
   พอเย็นๆ สาวใช้ที่ตามมาจากวังผกากรองก็จัดแจงทำอาหารให้หม่อม ทิฆัมพรและคุณชาย ผลออกมาตรงกันว่าไม่มีใครเจริญอาหารเป็นพิเศษ เท่าที่ทำได้คือกินกันคำสองคำ หม่อมวิไลวรรณกำชับกับลูกชายระหว่างรับประทานอาหารเย็นนั้นด้วยว่า
   “แกอย่าไปยุ่งกับเขาเลยนะตาชาย ส่งเงินค่ารักษาไปก็พอ ถ้าไปใจดีกับเขามาก เดี่ยวเขาจะเรียกร้องค่าเสียหาย เราจะเสียเงินมากโดยใช่เหตุ”
   คนอย่างหม่อมวิไลวรรณ ต่อให้ต้องเสียเงิน เป็นแสนเป็นล้านกับการเข้าสปา หรือชอปปิ้ง ก็ย่อมทำได้โดยไม่ต้องคิดอะไร หรือจะให้บริจาคเงินเข้ามูลนิธิไหนก็ย่อมทำได้ หากหล่อนรู้สึกพอใจ และได้หน้าจากการกระทำนั้น
   แต่ถ้าหล่อนไม่ชอบ อะไรขึ้นมาละก็ สักบาท สักสตางค์เดียวก็ไม่เสียให้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม วิไลวรรณ ก็ไม่ชอบหน้าปุยฝ้าย หล่อนรู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้เป็นเหมือนคนจนๆทั่วไป คือเห็นคนรวยไม่ได้ ต้องจ้องแต่จะเอาเปรียบเรื่องเงินจนไม่เป็นอันทำอะไร ฉะนั้น การที่หล่อนสั่งให้ภาสกรไม่เข้าไปยุ่งกับหญิงสาวคนนี้ รวมถึงเพื่อนหนุ่มของหล่อน ก็เพื่อกันลูกจากการถูกเอาเปรียบ แม้ในใจจะรู้สึกไม่แน่ใจกับ เหตุผลข้อนี้เท่าไรนัก แต่ก็ไม่สามารถหาเหตุผลมาได้จนแล้วจนรอดว่า จริงๆแล้วหล่อนไม่อยากให้ลูกชายเข้าใกล้ สองคนนี้เพราะอะไร
   ทิฆัมพร ลากลับโรงแรม ตอนค่ำๆ หม่อมวิไลวรรณก็เข้าห้องไปนอนโดยไม่กล่าวอะไรกับลูกชายอีก ทิ้งให้คุณชายนอนตาโพลงอยู่ในห้องของเขาไม่ว่าจะพยายามข่มตานอนอย่างไร ก็ไม่อาจทำใจให้สงบลงได้เลย
เขานึกถึงใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของนที รอยยิ้มที่ยากจะมีให้เห็น แต่เห็นคราใดก็ให้รู้สึกอบอุ่น อารมณ์ดีอย่างช่วยไม่ได้ นึกถึงใบหน้า ที่มีความสุข ดวงตาที่เป็นประกายเวลาเขาเพลินเพลินกับการวาดรูป และ ผิวเนื้อนวลเนียน ยามภาสกรเช็ดตัวให้ นึกถึงเมื่อไหร่ก็รู้สึกคะนึงหา และคงทนไม่ได้ ถ้าจะไม่สามารถกลับไปมีโอกาสได้สัมผัสอะไรอย่างนั้นอีก
   แวบหนึ่งเขาคิดถึงคุณหญิงดาริกา มันช่วยไม่ได้ที่จะคิดถึงคุณหญิง เพราะดาริกามีใบหน้าคล้ายกับนทีเสียเหลือเกิน และ เพราะรายนี้เป็นหญิงสาว เมื่อภาสกรนึกถึงจึงไม่ได้รู้สึกแปลกแต่อย่างใด แต่พอนึกถึงนที ในลักษณะเดียวกับที่นึกถึงหญิงสาว ภาสกรก็อดแปลกใจตัวเองไม่ได้ว่า เหตุใดเขาถึงได้นึกถึงเด็กหนุ่มคนนั้นแทบจะตลอดเวลาได้
   หม่อมวิไลวรรณไม่ให้เขาไปพบกับนที เขาจะทำได้หรือ ในเมื่อจากมาไม่กี่ชั่วโมงก็คิดถึงแล้วแบบนี้ เขาไม่อยากจบความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นกับชายหนุ่ม นอกเหนือจากเหตุผลที่ว่าเขาต้องรับผิดชอบที่เป็นคนทำให้นทีบาดเจ็บแล้ว ภาสกรก็ต้องยอมรับว่า เขาเอ็นดูนทีมาก ราวกับคนที่เพิ่งมีน้อง แล้วกำลังเห่อเล่นกับเด็กอย่างนั้น อยากพบหน้า อยากทำให้เขายิ้ม อยากดูแล
   ยังไงเสีย หม่อมวิไลวรรณก็ไม่ได้อยู่กับเขาทั้งวันเสียหน่อย สายๆ จะแวะไปหานที ก็ย่อมทำได้
    เพียงคิดได้เท่านี้ ภาสกรก็หลับไป
   
    วันรุ่งขึ้น เป็นวันที่ยากลำบากอีกวันหนึ่งของภาสกร
   ชายหนุ่มน่าจะรู้ว่าเมื่อวิไลวรรณ ตัดสินใจอะไรแล้ว ทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่หล่อนคิดทุกประการ แต่เขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าวิไลวรรณจะทำได้ถึงขนาดนี้ แผนการอ้างว่าไปทำงานและแอบหนีไปหานทีตอนสายๆ พังทลายลงเพียงเขาก้าวลงมาจากห้องนอน
พอสิบโมงกว่าเขาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วเดินลงบันไดมาเพื่อรับประทานอาหารเช้า ก็ต้องตกใจแทบสะดุดขาตัวเองล้ม เมื่อเห็นวิไลวรรณ และทิฆัมพรพูดคุยกันอยู่หนุงหนิงที่นอกชาน ต่างฝ่ายต่างมีแก้วน้ำส้มอยู่ในมือ จานอาหารบนโต๊ะ เป็นเพียงจานเปล่าที่ทั้งคู่กินกันเสร็จแล้ว ภาสกรจึงได้แต่นั่งกินอาหารของตนในขณะที่หัวก็คิดไปว่าจะหาข้ออ้างอะไรที่จะหนีไปให้ได้
“อ้าวพี่ชาย ลงมาแล้วหรือคะ” ทิฆัมพรเอ่ยขึ้น ก่อนจะชวน วิไลวรรณเดินเข้ามาในห้องอาหาร ทั้งคู่แต่งตัวสบายๆ แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะแต่งแต้มใบหน้าด้วยเครื่องสำอาง ตามเคย
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณแม่”
“ตาชาย วันนี้อากาศดี๊ดี แม่เพิ่งจะชวนหนูฟ้าออกไปเที่ยวเกาะกันน่ะลูก” มาถึง หม่อมวิไลวรรณ ก็มุ่งเข้าสู่ประเด็นทันที เป็นข้ออธิบายไปในตัวเรื่องที่ทั้งคู่แต่งตัวกันง่ายๆ ไม่หรูหราอย่างเคย กันอย่างนี้
“เกาะหรือครับ”
“เกาะล้านน่ะจ้ะ แม่เห็นในทีวี สวยเชียว หนูฟ้าเขาก็เคยไป บอกว่าอากาศดีเชียวล่ะ ไปฟอกปอด ฟอกสมองกันหน่อย หลังจากผ่านเรื่องเครียดๆกันมามากแล้ว แม่ก็เห็นเป็นโอกาสอันดีที่ไหนๆ แม่ก็มาถึงพัทยาแล้ว ก็เลยจะไปเที่ยวกับหนูฟ้าเขา”
“อ้อ” ภาสกร ถือส้อมอยู่ในมือ มีไข่ดาวหนึ่งชั้นอยู่บนนั้น ไม่กล้าเอาเข้าปาก เพราะกลัวว่าประโยคต่อมาของหม่อมแม่อาจจะทำให้ไข่ชิ้นนี้ ติดคอได้
“แม่ก็เห็นว่า ชายคงไม่น่าจะมีงานด่วนเลยจะชวนชายไปด้วยกันน่ะจ้ะ”

คุก นี่คุกชัดๆ ภาสกรอดคิดไม่ได้เมื่อก้าวเท้าลงจากเรือโดยสาร ขึ้นที่เกาะล้าน เกาะนี้นั่งเรือมาไม่นานก็จริง แต่เรือจะเข้าและออกทุกๆสองชั่วโมง  เท่ากับว่า จากนี้ไปสองชั่วโมงภาสกรจะต้องติดอยู่กับ หม่อมวิไลวรรณ และทิฆัมพร ไม่มีทางหนีไปได้เลย ยิ่งเมื่อหญิงสาวปากแดงเจ้าความคิดพูดออกมาทำนองว่า “อุ๊ยดีจริง เรือเที่ยวสุดท้ายออกหกโมงเย็น คุณน้าคะ เราอยู่กันจนถึงตอนนั้นเลยก็ได้นะคะ” แล้วล่ะก็ ภาสกรยิ่งคิดอยากจะ รีบวิ่งขึ้นเรือกลับไปพัทยาเสียเดี๋ยวนั้น
แต่วิไลวรรณก็ดันหลังเขาขึ้นไปบนตัวเกาะแล้ว ภาสกรได้แต่มองเรือ ค่อยๆ แล่นห่างออกไป ห่างออกไปจนเขาต้องถอนหายใจ ช่วยไม่ได้ อย่างน้อย อีกสองชั่วโมงค่อยหาทาง หาข้ออ้างกลับพัทยาก็แล้วกัน
จริงๆ เกาะล้านก็เป็นเกาะที่สวยพอสมควร หากเขาเต็มใจจะมาละก็ ภาสกรจะต้องตื่นตาตื่นใจ กับทะเลที่โอบล้อมไปทุกด้าน และ ผู้คนที่มาเล่นน้ำบ้าง อาบแดดบ้าง กินอาหารทะเลสุดแพงริมหาดบ้าง แต่ในเมื่อใจเขากำลังจดจ่ออยู่กับอะไรอย่างอื่นอยู่ สิ่งต่างๆรอบตัวก็ดูเหมือนจะไม่มีความสำคัญอะไร แม้แต่ตอนที่เขาถูกทิฆัมพรและ หม่อมแม่ของเขา ลากไปกินอาหารทะเลที่ริมหาด เขาก็ไม่ได้เพลิดเพลินกับรสชาติที่แสนอร่อยของอาหารทะเลเท่าไรนัก ทั้งๆที่เขาเป็นคนชอบอาหารทะเลที่สุดก็ตาม
เขานึกถึงตอนที่พาคุณหญิงดาริกาไปกินอาหารทะเลริมหาดพัทยา คิดถึงสีหน้าของนทีตอนที่ได้กินอาหารที่เขาซื้อกลับไปฝาก ตาก็เหม่อลอยมองออกไปทางแผ่นดินใหญ่ เขามองไม่เห็นพัทยาจากมุมนี้ กระนั้น ภาสกรก็ไม่เคยรู้สึกอยากกลับไปพัทยามากเท่าครั้งนี้เลย
“เอ๊ะ นั่นคุณชายภาสกร มิใช่หรือคะ”
เสียงของสาวน้อยดังขึ้นจากทางขวามือของชายหนุ่ม พอเขาหันไปก็พบกับหญิงสาวที่เขากำลังนึกถึงอยู่เมื่อครู่ การปรากฏตัวของหล่อนทำให้อารมณ์ของภาสกรดีขึ้นจนเกือบจะตะโกนออกมาด้วยความดีใจ แต่แน่ละเท่าที่ภาสกรทำก็เพียงเรียกชื่อหล่อนเสียงเบา แล้วลุกยืนขึ้นต้อนรับเท่านั้น
“คุณหญิงดาริกา มาได้อย่างไรครับ”
“ดิฉันมาเที่ยวกับพวกพี่ๆ น่ะค่ะ” หล่อนยิ้มให้อย่างเป็นมิตร บุ้ยใบ้ให้เห็นชายหนุ่มอีกสองคนที่กำลังนั่งอยู่ที่ชายหาดประกอบคำพูด ใบหน้าของหญิงสาว ไม่มีเครื่องสำอางแต่งแต้มตามเคย หากแต่ดูสวย และสง่างามจนหลายๆคนในร้านต้องหันมามอง
“คุณหญิงครับ นี่หม่อมแม่ของผม และนี่ ทิฆัมพร คนรู้จักของครอบครัวน่ะครับ หม่อมแม่ ทิฆัมพร นี่คุณหญิงดาริกา เพื่อนร่วมงานของผมครับ”
    ภาสกรผายมือแนะนำ แวบหนึ่งทิฆัมพรทำหน้าไม่พอใจเมื่อได้ยินภาสกรแนะนำหล่อนว่าเป็นเพียงคนรู้จัก แต่ก็ปั้นหน้ายิ้มให้อีกฝ่ายได้อย่างแนบเนียน พอๆกับหม่อมวิไลวรรณ ที่ได้ยินคำว่าคุณหญิงก็ยิ้มออกมาอย่างสาวสังคม หากผู้หญิงคนนี้เป็นคนธรรมดาไม่มียศศักดิ์ละก็ หม่อมก็จะเพียงแค่ปรายตามอง แล้ววางหน้าเฉยเมย อย่างที่ทำกับปุยฝ้ายแต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นทั้งคุณหญิง เป็นทั้งคนดัง หม่อมจึงพูดจาปราศรัยด้วยเป็นอย่างดี
ดาริกาน้อมตัวไหว้อย่างงดงาม
“ไหว้พระเถอะลูก ทานอะไรหรือยังจ๊ะ เชิญนั่งก่อนซี”
“หนูทานแล้วค่ะ หม่อม กำลังจะเปลี่ยนชุดว่ายน้ำลงทะเล ต้องขอโทษด้วยนะคะ” หล่อนตอบเสียงใส พร้อมกับรอยยิ้มแบบเด็กเรียบร้อยทำให้ผู้เชิญไม่รู้สึกเสียหน้าแต่อย่างใด “เสียดาย พี่ๆก็เปลี่ยนชุดว่ายน้ำหมดแล้ว จะให้ขึ้นมาไหว้หม่อม เกรงว่าจะไม่เหมาะค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกลูก” วิไลวรรณพูดเสียงหวาน “ไม่ต้องพิธีรีตอง หรอกจ้ะ น้าก็มาพักผ่อนสบายๆ เชิญคุณหญิงตามสบายเถอะจ้ะ”
ตลอดเวลาทิฆัมพรไม่พูด ได้แต่มองคุณหญิงตรงหน้า เพราะนอกจากหล่อนสวยแล้ว กิริยา มารยาทก็งดงาม แถมยังรู้สึกราวกับเคยเจอที่ไหนมาก่อนอีกต่างหาก
ดาริกาลาวิไลวรรณ ทิฆัมพร และ ภาสกรจะลงไปที่ชายหาด ทันใดนั้น ภาสกรก็รีบฉวยโอกาส ออกห่างจากทิฆัมพรเอาไว้ได้เหมาะเจาะ
“งั้นขอผมเดินไปส่งคุณหญิงที่ชายหาดนะครับ”
ภาสกรกลัวดาริกาจะปฏิเสธทำนองว่าหล่อนเดินไปเองได้ หรือเกรงใจไม่อยากให้ภาสกรเหนื่อย แต่หญิงสาวกลับรับคำอย่างง่ายดาย ภาสกรแทบกระโดดกอดดาริกาด้วยความดีใจให้ได้ แต่ก็ได้แต่ยิ้มให้เล็กน้อยและเดินเคียงคู่กันไปที่ชายหาด
“ขอบคุณนะครับที่อนุญาตให้ผมเดินมาส่ง”
ดาริกายิ้มอย่างเข้าใจ
“คุณชายอึดอัดใช่ไหมล่ะคะ หญิงเห็นจากสีหน้าคุณชาย คงมีอะไรไม่ค่อยสบายใจสิคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อยทำนองว่า ไม่แน่ใจว่าควรจะเล่ารายละเอียดออกมาดี หรือควรจะเงียบเอาไว้เฉยๆไม่ต้องพูดอะไรก็ตัดสินใจไม่ถูก
“เล่าให้หญิงฟังเถอะค่ะ เพื่อจะช่วยอะไรได้”
“คือว่า...” ภาสกรเล่าให้หล่อนฟังเพียงว่ามีธุระด่วนที่พัทยา แต่ถูกทิฆัมพร และหม่อมแม่ลากมาที่เกาะล้านนี้แทน ทั้งๆที่ไม่ได้อยากจะมาด้วย แต่ก็กลับพัทยาไม่ได้ต้องรออีกอย่างน้อยก็ชั่วโมงครึ่งกว่าเรือโดยสารจะมารับ
“ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางนี่คะ”
“เอ๋ ...”
“คุณชายเห็นเรือลำนั้นไหมคะ” ดาริกาชี้เรือส่วนตัว ขนาดย่อมลำหนึ่งให้ภาสกรดู มันจอดอยู่ข้างท่าเรือที่ภาสกรขึ้นมาเมื่อตอนสายๆ เรือลำสวยมีชื่อนามสกุล สุวรรณฉาย เขียนเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษสีทอง ส่องประกายล้อแสงอาทิตย์อยู่ตรงนั้น ทำให้เขาเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรตั้งแต่ ดาริกายังไม่ได้อธิบาย “เรือของพี่ชายค่ะ ถ้าเป็นธุระด่วน หญิงจะให้พี่ขับเรือไปส่งก่อน”
“ผมว่าคงยังไม่จำเป็นขนาดนั้นมังครับ ผมรอเรือโดยสารดีกว่า...” ยังไม่ทันพูดจบ เสียงโทรศัพท์มือถือของคุณชายหนุ่มก็ดังขึ้น ภาสกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก็พบว่าเป็นหมายเลขที่เขาไม่คุ้นเคย แต่ก็รีบกดรับก่อนที่สัญญาณจะตัดไป
“สวัสดีค่ะ คุณชายภาสกร ดิฉันโทรมาจากโรงพยาบาล... นะคะ ต้องขอโทษด้วยถ้าหากรบกวน แต่ดิฉันมีเรื่องด่วนต้องแจ้งให้ทราบค่ะ”
“ว่าไงครับ เรื่องอะไรกัน” ภาสกรเหงื่อตก เกิดอะไรขึ้น มีอะไรเกิดขึ้นกับนทีกันหรือ
“ผลตรวจแล็บของ นายนที เสถียรลาภ ออกแล้วนะคะ คนไข้ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ คุณหมอลงความเห็นว่าให้ออกจากโรงพยาบาลได้ค่ะ”
“อ้อ” ภาสกรอุทานออกมาเพราะเรื่องกลับง่ายกว่าที่เขากลัว
“แต่ดิฉันต้องแจ้งให้ทราบอีกด้วยค่ะว่า...” เสียงนางพยาบาลเงียบหายไปพักหนึ่งก่อนที่หล่อนจะรวบรวมสติแล้วพูดประโยคที่ภาสกรไม่อยากได้ยินที่สุดในวันนั้น “คนไข้ หายตัวไปแล้วค่ะ”
“อะไรนะครับ” ภาสกรลืมตัว โพล่งขึ้นมาเสียงดังอย่างช่วยไม่ได้ จนคนหลายคนหันมามอง ดาริกายังยืนอยู่ข้างๆ ไม่ได้ลงไปเล่นน้ำกับพี่สีหน้าเป็นกังวล เมื่อเห็นท่าทีของชายหนุ่มเข้า “หายไปได้อย่างไรกัน”
“คือ พอเจ้าหน้าที่เข้าไปในห้องเพื่อแจ้งผลตรวจ ก็ไม่พบคนไข้แล้วค่ะ ข้าวของเก็บไปหมดแล้วมีเพียงจดหมายฉบับหนึ่งที่ดิฉันคิดว่าคุณชายควรจะมาอ่านเอง” นางพยาบาลยังพูดด้วยเสียงร้อนรนเรื่อยๆ
“ได้ครับ งั้นผมจะรีบเข้าไปที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย” ภาสกรวางสายจากนางพยาบาลคนนั้นแล้วก็ยกมือขึ้นกุมขมับ หันไปหาหญิงสาวที่ยังคงยืนอยู่ข้างๆ “คุณหญิงครับ เห็นที ผมคงต้องรบกวนพี่ชายของคุณหญิง ไปส่งผมที่พัทยาจริงๆ แล้วล่ะครับ”
ดาริกาไม่ถามอะไร นับว่าเป็นเรื่องดี เพราะภาสกรตอบไม่ถูก หล่อนเดินลงไปเรียกพี่ชายขึ้นมาจากทะเล โดยไม่ถามเหตุผลใดๆ ไม่กี่นาทีต่อมา  ภาสกรก็ขึ้นเรือ สุวรรณฉาย มุ่งหน้ากลับไปพัทยา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-04-2011 20:57:56 โดย Purple_Sky »

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
โอยยยย  ค้างค่ะ  บอกได้คำเดียว

ออฟไลน์ JJHJJH

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +293/-2
ชีวิตธรรมดาๆ ของคุณชายจบลงไปแล้วจริงๆ
ขอให้หานทีเจอน๊า >.<
บวกให้ค่า

ออฟไลน์ berlyn

  • Put Van The Man on the jukebox then we start to dance
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-2
ผิดที่คุณชายโกหกไม่พูดความจริงตั้งแต่ทีแรก เมื่อรู้ความจริงแล้ว ความรู้สึกว่าห่างไกลก็ตามมา

ชอบคุณชายเวลาที่อยู่กับ ที มากกว่าเป็น หม่อมราชวงศ์ ถ้าหม่อมแม่รู้ว่าลูกชายแอบหนีไปละก็ คงอกแตกตาย

ออฟไลน์ KIMKUNG

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
โอ้  อยากให้มาแวปางบรรพ์เลยอะ
อยากให้คุณชายเริ่มรักนที  ทีละนิด รักแบบขาดไม่ได้อ่าา 
โรแมนติกมากมาย  งิงิ

zeen11

  • บุคคลทั่วไป
ผู้ชายกลัวแม่นี่ไม่เท่ห์เลยอะ อยากให้คุณชายเป็นคนแข็งกว่านี้จัง  :เฮ้อ:

yunjaejoong

  • บุคคลทั่วไป
เอาล่ะมั้ยละ ชาย งานเข้าแล้วจะไปตามหานทีได้ที่ไหนน้อ อย่าลืมมาต่ออีกนะไรเตอร์ถ้ามาไวจะพาไปกินกุ้งเผาหมึกย่างที่เกาะล้านเลยเอ้า มาไว มาไว

Little Devil

  • บุคคลทั่วไป
เฮ้อ..

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด