14
คำแรก ที่ปุยฝ้ายนึกถึงเมื่อพิจารณาสตรีที่หล่อนเชิญมานั่งที่โซฟารับแขกก็คือ “สวย” สวยจริงๆ ไม่รู้ว่าที่สวยนี้สวยจากธรรมชาติ หรือสวยด้วยแพทย์กันแน่ แต่ไม่ว่าจะสวยอย่างแรกหรือสวยอย่างหลัง เมื่อมองดูแล้วก็ไม่อาจถอดตาจากสตรีคนนี้ได้ หล่อนแทบไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่าผู้หญิงคนที่ยืนอยู่ต่อหน้าหล่อนนั้นเป็นถึงแม่คนแล้ว หนำซ้ำ ยังเป็นแม่ของลูกที่อายุเฉียดสามสิบเสียอีก ทั้งๆที่สุภาพสตรีท่านนี้ก็ดูอายุไม่แก่กว่าลูกชายสักเท่าไร คงเพราะสบาย อยู่บ้านเฉยๆ ไม่ต้องมีเรื่องเครียด ไม่ต้องลำบากตรากตรำ ทำงานล่ะสิ ถึงสวยได้แบบคนดูแลตัวเองดีขนาดนี้
หม่อมแม่ของคุณชายภาสกรมีดวงหน้าขาวนวล คล้ายสาวเหนือ เสื้อผ้าที่ใส่ กรุยกราย บางเบาคล้ายเป็นผ้าห่มไว้เฉยๆ ผ้าสีครีมเข้ากับสีผิวของหล่อน และเครื่องประดับมุกที่เข้าชุดกันทั้งจี้ห้อยคอ แหวน ต่างหู กำไล ประกาศความ “รวย” ตัวใหญ่ๆ ให้เห็นจนไม่ต้องมีข้อสงสัยอะไร
คำต่อมาที่ตามมากับคำว่าสวยคือ “ดุ”
ปุยฝ้ายรู้ว่า พวกเจ้าพวกนายมักจะเข้มงวด ระเบียบจัด ค่อนแคะและ เสียดสีกันบ่อยๆ อย่างที่เห็นได้ตามละคร ไม่เคยนึกว่าต้องมาเจอ ตัวเป็นๆ อยู่ต่อหน้าหล่อนแบบนี้ หม่อม วิไลวรรณ ดูไม่เกรี้ยวกราดก็จริง แต่ทำหน้าตึงไม่ยิ้ม ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ อย่างมั่นใจว่า ฉันควบคุมทุกอย่างรอบๆ ตัวได้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่ฉันต้องการ แม้จะตั้งใจมาเจอลูกชาย แต่เมื่อไม่พบก็ไม่มีท่าทีผิดหวัง หรือหัวเสียแต่อย่างไร กลับทำหน้าเรียบเฉยเหมือนจะบอกว่า ถ้าฉันไม่เจอลูกชาย ก็คุยกับหล่อนละกัน
หญิงวัยกลางคนนั่งอย่างงามสง่า ไม่สนแก้วใส่น้ำเปล่าใสสะอาดที่ปุยฝ้ายวางไว้บนโต๊ะน้ำชา ตรงหน้าหล่อน และผู้ติดตาม พอวางแก้วน้ำลงแล้ว หญิงสาวก็ถอยออกไป ยืนกุมมือประสานไว้ตรงหน้าอย่างสำรวมอยู่ข้างเตียง ไม่กล้านั่งโซฟาหรือแม้แต่เก้าอี้ที่อยู่ห่างออกไปก็ตาม
หม่อม วิไลวรรณ เอ่ยปากพูดทำลายความเงียบที่น่าลำบากใจขึ้นก่อน
“เธอไม่เรียนหนังสือหรืออย่างไร”
ปุยฝ้ายตกใจ ไม่รู้ว่าเรื่องที่พูดขึ้นมาเกี่ยวข้องมากหรือน้อยกับที่หม่อมแม่ ของคุณชายภาสกรมาปรากฏตัวอย่างไม่คาดคิดที่นี่ แม้ไม่ค่อยเข้าใจคำถามนัก แต่หล่อนก็ตีความไปเป็นว่า วันนี้วันจันทร์แล้วหล่อนยังมาอยู่โรงพยาบาลแบบนี้ ไม่มีเรียนหรือ ก็ตอบไปตามที่ตนเข้าใจ
“เอ้อ จริงๆ มีเรียนค่ะ หนู...”หล่อนนิ่งไป ไม่รู้ว่าจะใช้สรรพนามใดดี แต่เอ่ยไปแล้วก็เลยตามเลย “หนูเรียนอยู่ ม. บูรพาค่ะ แต่วันนี้ เพิ่งเดินทางกลับมาจากต่างจังหวัดก็เลยถือโอกาสหยุดเรียนค่ะ”
หม่อมวิไลวรรณ มองหน้าหล่อนอย่างไม่มีอารมณ์ใดๆเหมือนเดิม
“อ้อ วันนี้ไม่ได้ไปเรียน... ถ้าอย่างนั้นวันที่ครูเขาสอนเรื่องมารยาทก็คงไม่ได้ไปเรียนเหมือนกันใช่ไหม ถึงมายืนค้ำหัวผู้ใหญ่อยู่แบบนี้” ถ้อยคำที่ผ่านปากออกมา แม้จะเป็นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่ได้ใช้น้ำเสียงเหยียดหยามแต่อย่างใด แต่ก็กรีดลึกลงในหัวใจของผู้ฟังจน หน้าแดงซ่านด้วยความอายจนแทบจะแทรกแผ่นดิน
อายก็อาย เจ็บก็เจ็บ แต่ปุยฝ้ายจะทำอะไรได้นอกจากทรุดตัวลงนั่งพับเพียบกับพื้น ไม่กล้าไปลากเก้าอี้ หรือนั่งโซฟาเพราะกลัวหม่อมจะหาว่าไปทำตัวเทียบเท่าผู้ใหญ่อีก
“อุ๊ย” คราวนี้คนที่พูดพลางหัวเราะคิกคักไปพลาง คือทิฆัมพรที่นั่งสงบเสงี่ยมอยู่ข้างๆมานาน จนปุยฝ้ายผิดสังเกตว่าเป็นนางร้ายได้อย่างไร นั่งเรียบร้อยขนาดนั้น พอหล่อนพูดขึ้นมานั่งแหละถึงรู้ว่า บทในโทรทัศน์จะร้ายอย่างไรก็ร้ายสู้ที่หล่อนกำลังแสดงอยู่ตอนนี้ไม่ได้ “ตายจริง คุณน้าไปว่าเขา เลยทำอะไรไม่ถูกนั่งพื้นเสียเลยเห็นไหมคะ นี่น้อง ขึ้นมานั่งโซฟาก็ได้จ้ะ พื้นโรงพยาบาลไม่เหมือนพื้นเสื่อที่บ้านนะจ๊ะ ใครต่อใครเดินเหยียบกันสกปรกค่ะน้อง”
พอปุยฝ้ายขึ้นมานั่งโซฟาตัวที่ไกลจากทั้งคู่ที่สุดด้วยสีหน้าของคนที่ถูกดูถูกจนหน้าชาไปทั้งหน้าแล้วทิฆัมพรก็พูดขึ้นอีก “เห็นไหม นั่งโซฟาสบายจะตาย ไม่ค่อยชินล่ะสิเรา เด็กต่างจังหวัดบางคนก็ไม่เคยนั่งโซฟานะคะ คุณน้า”
ทั้งที่เจ็บแสบจนแทบจะลุกขึ้นไปตบทิฆัมพรสักฉาดสองฉาด แต่ปุยฝ้ายก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั่งก้มหน้า ไม่มองหญิงสาว พอดีหม่อม วิไลวรรณพูดอะไรด้วย ก็เงยหน้าขึ้นมามอง
“เอาละ ในเมื่อตั้งใจจะมาคุยกับลูกชายแล้วเกิดไม่อยู่ขึ้นมา ฉันก็คงต้องคุยกับเธอละ” หล่อนว่า แม้จะไม่ตั้งใจทำร้ายให้บาดเจ็บด้วยคำพูดอีกแล้ว แต่ก็ยังทำหน้าเฉยเมย แบบไว้ตัว และใช้น้ำเสียงที่เย็นชา ก็ฟังแล้วอึดอัดเหมือนเดิม “ฉันไม่อ้อมค้อมนะแม่หนู ฉันมาที่นี่ เพราะได้ยินมาว่าลูกชายของฉัน คุณชายภาสกร เข้าออกโรงพยาบาลนี้บ่อยมาก”
ใครไปฟ้องเข้าละซี ปุยฝ้ายคิดในใจแต่ก็ได้แต่รับฟัง ด้วยท่าทีนิ่งเฉย
“เข้าออกปกติ ฉันไม่สงสัยอะไรหรอกนะ เพราะพักนี้คุณชาย มาพักอยู่ที่พัทยาด้วยเรื่องงาน เขาอาจจะเข้ามาพูดคุยกับ คุณมิ่งเมือง ที่เป็นสหายของ สามีฉันก็ได้ แต่ที่ฉันประหลาดใจก็คือ เขาไม่เข้าบริษัทมาหลายวันแล้ว จริงอยู่ที่ชายภาส ไม่ค่อยชอบทำงานในห้องเล็กๆ ส่วนใหญ่ทำอะไร ก็มักจะไปตามร้านกาแฟ แต่ที่ว่าเข้าๆออกๆ โรงพยาบาลนี่ คือเข้าตอนเย็น ออกตอนเช้า แถมไม่กลับไปนอนบ้านอีก มันก็แปลกใช่ไหม ฉันเลยคิดว่าลูกชายฉันคงจะมาอยู่เฝ้าใครที่โรงพยาบาลแน่ๆ พอมีคนเห็นแล้วไปเล่าให้ฟังว่าเป็นห้องนี้ ฉันก็ตามมา กะจะมาคุยกับลูกชายให้รู้เรื่อง... แต่ในเมื่อไม่เจอเขา ฉันก็อยากจะถามเธอ”
หม่อม วิไลวรรณ พักหายใจ เหลือบมองร่างที่นอนอยู่บนเตียงก่อนจะถามคำถามที่หล่อนค้างคาใจ “เธอกับแม่หนู คนที่นอนป่วยอยู่น่ะ มีความสัมพันธ์อย่างไร กับลูกชายของฉันกัน หือ”
อีกแล้ว ปุยฝ้ายหัวเราะในใจ แต่เท่าที่แสดงออกคืออมยิ้มที่มุมปากเพียงนิดเดียว สมัยนี้ผู้ชายคนไหน หน้าใสๆ อ่อนๆ หน่อยไว้ผมยาวตามสมัยนิยม จะยาวแค่ต้นคอ หรือยาวประบ่าก็ดูเป็นผู้หญิงได้สบายแล้ว ไม่ได้ต่างกับผู้หญิงเดี๋ยวนี้ที่หั่นผมสั้นกันจนดูเหมือนผู้ชาย บางคนสั้นแค่คอก็ยังดี แต่บางคนถึงกับตัดรองทรง หรือสกินเฮด โดยไม่จำเป็นต้องเป็นทอมกันแต่อย่างใด
นทีเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ถ้าวันไหนใส่เสื้อตัวใหญ่หน่อย ไม่รัดรูปจนเห็นว่าไม่มีหน้าอกหน้าใจ ใครๆก็เข้าใจผิดได้ไม่ยาก อย่างตอนนี้ นทีนอนคลุมผ้าห่ม มิดจนถึงคอ จึงไม่แปลกที่หม่อมวิไลวรรณจะเห็นเขาเป็นสาวน้อย ผมสั้นทันสมัยคล้ายกับทิฆัมพร
“เปล่าค่ะ เพื่อนหนู นที เป็นพ่อหนุ่มค่ะ ไม่ใช่แม่หนู นทีเป็นผู้ชายค่ะ”
ทิฆัมพรยิ้มที่มุมปาก หล่อนเข้าใจไม่ผิดจริงๆ สิ่งที่อีริคเห็นและเล่าให้หล่อนฟังเป็นความจริง ภาสกร มานอนเฝ้าผู้ชายที่นี่ ส่วนหม่อมวิไลวรรณ ถึงจะไว้ท่าเหมือนเดิม แต่ก็ ผงะไปบ้าง แม้จะเล็กน้อยแต่ก็พอจะดูออกว่า ตกใจไปบ้างเหมือนกัน ปุยฝ้ายรู้ตัวว่า ยังไม่ได้ตอบคำถามหม่อม กลัวจะถูกค่อนแคะออกมาอีก จึงพูดต่อประโยคให้อีกฝ่ายพอใจ
“เราสองคนไม่เคยรู้จักคุณชายมาก่อนเลยค่ะ แต่เพื่อนของหนู นที ถูกรถชน คุณชายก็เลยช่วยส่งเขามาที่โรงพยาบาล นทีเป็นเด็กกำพร้า พ่อกับแม่เขาเสียแล้วค่ะ แล้วเขาก็ไม่มีใคร ไม่มีเงิน พอทราบ คุณชายก็เมตตาเขามากช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่าย ค่ารักษาพยาบาลที่นี่ มาตั้งแต่นั้น แล้วนทีก็สัญญากับคุณชายแล้วค่ะว่าจะทำงานหาเงินมาใช้ให้ ไม่เอาเงินของคุณชายมาฟรีๆ”
การบอกสิ่งที่ไม่จริงบ้าง เพื่อให้หลายฝ่ายสบายใจ ก็ถือว่าเป็นทางออกที่ดีมากกว่าบอกความจริงที่จะทำให้ หม่อมวิไลวรรณหงายท้องเป็นลม คุณชายภาสกรก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย ...
แม้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะเป็นความผิดของชายหนุ่มก็ตาม แต่ปุยฝ้ายก็เห็นว่าเขาได้พิสูจน์ให้หล่อนมั่นใจแล้วว่าเขาสำนึกผิด และ พยายามที่จะแก้ไขมันให้ดีที่สุดแล้วเท่าที่ทำได้
หม่อมวิไลวรรณถอนหายใจ มองชายหนุ่มที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงอย่างสงสารอยู่พักหนึ่ง ก็หันกลับมาพูดกับปุยฝ้าย
“ได้ยินอย่างนี้ ฉันก็ค่อยสบายใจ” ท่าทีปั้นปึ่ง แบบไว้ตัว และอาการดูถูกทั้งหลายดูจะละลายไปบ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงกับพูดจาอย่างมีอัธยาศัยใจคอเป็นกันเอง “ฉันได้ยินมาว่า ชายภาสไปไหนมาไหนตลอด ไม่เข้าบริษัท เพื่อนไปหาที่วังตอนค่ำๆก็ไม่อยู่ เห็นเข้าออกโรงพยาบาล ก็เลยลองสืบดูรู้มาว่ามาอยู่กับผู้หญิง ฉันก็นึกว่าชายภาส แอบคบใครที่ฉันไม่รู้หรือเปล่า พอผู้หญิงคนนี้ป่วยถึงกับต้องมาดูแล ฉันก็เป็นห่วงลูกชาย กลัวว่าจะมีความสัมพันธ์อะไรลึกซึ้ง”
หวงลูก นั่นเอง ปุยฝ้ายนึกขำลึกๆ อยู่ในใจ
“แต่ก็อีกนั่นแหละ ถึงจะไม่มีอะไร แต่ชายภาสมาอยู่ด้วยทั้งวันทั้งคืนแบบนี้ ฉันว่าก็ดูแปลกๆ”
“แต่ฟ้าว่า พี่ชายคงไม่คิดอะไรกับน้องคนนี้หรอกค่ะ คุณน้า เห็นอยู่ว่าไม่น่าจะชอบน้องคนนี้ ถ้าจะต้องกลัว ก็ต้องกลัวน้องที่ชื่อ อะไรนะคะ ทีๆ”
“นที”
“นั่นล่ะ ค่ะ ถึงต้องห่วงหน่อย จะว่าไปถ้าไม่บอกว่าเป็นผู้ชาย ฟ้าคงคิดว่าเป็นสาวน้อย หน้าตาน่ารัก ไม่น่าไว้ใจล่ะค่ะ สวยกว่าน้องคนนี้อีก”
ปุยฝ้ายนับหนึ่งจะถึงพันอยู่แล้ว ตั้งแต่ทิฆัมพรเริ่มประโยค คำพูดของฝ่ายนั้น เหมือนตบหน้าหล่อนแรงๆ ด้วยซ้ำ ไม่พูดก็เหมือนพูดแหละว่า หล่อนน่ะไม่สวย ไม่น่าสนใจสักนิดเดียว อย่างนี้พี่ชายคงชอบได้ไม่ลงหรอก
“ตายแล้ว หนูฟ้า พูดอะไรอย่างนั้น เรื่องวิปริตแบบนี้ น้าไม่ชอบนะจ๊ะ" วิไลวรรณนิ่วหน้าแบบรับไม่ได้ ราวกับเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องต้องห้าม ที่เอ่ยขึ้นเมื่อไหร่ คนฟังจะขาดใจให้ได้อย่างไรอย่างนั้น
“แหมฟ้าก็พูดเล่นค่ะ อย่างพี่ชาย ไม่มีทางที่จะเป็น เกย์ เป็นตุ๊ด อะไรอยู่แล้วค่ะ” หญิงสาวยิ้มอย่างประจบ ประแจง วิไลวรรณค้อนใส่หญิงสาวอย่างหงุดหงิด กึ่งขัน แล้วหันกลับมาพูดกับปุยฝ้ายต่อไป
“ขอโทษนะหนู อย่าหาว่าฉันใจร้ายเลย แต่ถ้าพ่อหนุ่มคนนี้สบายดีแล้ว ฉันอยากขอให้ช่วยบอกลูกชายของฉันด้วยว่าให้แยกย้ายกันไปสู่ชีวิตปกติของแต่ละคนได้แล้ว ฉันไม่ว่าที่ลูกชายเอาเงินมาใช้กับการช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ ยังไงเสียก็คนไทยด้วยกัน แต่มาให้เฉยๆ ฟรีๆ ฉันไม่เห็นด้วย ครอบครัวเราต่อให้มีเงิน ก็ไม่ใช่ว่าจะเอามาให้คนอื่นที่ไม่รู้จักกันได้ง่ายๆ แบบนี้”
ปุยฝ้ายไม่กล้าแม้แต่จะสบตา ได้แต่ก้มหน้านิ่ง เหมือนถูกครูใหญ่ที่โรงเรียน ตอนประถม ดุ อย่างไรอย่างนั้น
“หนูว่า พ่อนทีจะใช้คืนให้ ฉันก็สบายใจว่าไม่ได้มาเกาะ ขอโทษนะ ฉันเจอเรื่องแบบนี้มาเยอะแล้ว ฉันอาจจะฟังดูร้าย แต่ฉันก็เป็นคนมองโลกในแง่ของความเป็นจริง มีออกถมไปนะพวกที่เห็นว่าพวกเรารวยหน่อยก็พากันมาเกาะแกะ คิดว่าจะได้อะไรไปง่ายๆ เอาเถอะ เงินแค่นี้ฉันไม่ติดใจ ดีกว่าเอาไปซื้อเหล้า ซื้อบุหรี่ เล่นการพนัน แต่ต้องขอร้องว่า ถ้าหายดีแล้วก็อยากให้แยกย้ายไป ตาชายมาขลุกอยู่แต่ที่นี่ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร มันจะกระทบต่องานของเขา”
พูดจบคราวนี้ หม่อมวิไลวรรณลุกขึ้นยืน ก่อนหน้าทิฆัมพรนิดเดียว เดินออกจากบริเวณนั้น จะกลับไป ง่ายๆ อย่างนั้นเอง หม่อมวิไลวรรณหันหน้ามามอง ปุยฝ้ายเป็นครั้งสุดท้าย
“ยังไงก็ฝากหนูด้วยนะ เรื่องที่ฉันขอไว้ ชายภาสเป็นคนขี้สงสาร คงกำลังเพลินว่าได้เพื่อนใหม่ ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน หนูก็เตือนเขาให้ด้วยแล้วกัน” หล่อนทำท่าจะจากไป แต่ก็ไม่ใจร้ายพอที่จะจากไปเฉยๆ แบบนั้น ยังพอจะมีน้ำใจที่จะหันมาหาหญิงสาว แล้วพูดว่า “ขอให้เพื่อนหนูหายไวๆ”
ปุยฝ้ายยกมือไหว้ เดินมาส่งที่หน้าประตู พอประตูปิดลง หล่อนก็น้ำตาคลอหันกลับมาเพื่อจะมองเพื่อนหนุ่มที่นอนหลับตานิ่งไม่รับรู้อะไรบนเตียง
แต่เปล่า นทีนอนนิ่งอยู่บนเตียงก็จริง แต่ดวงตาเบิกกว้าง รับรู้ทุกอย่างตั้งแต่แรก จนจบ แต่ที่ไม่แสดงตัวให้รู้ว่าตื่น ก็เพราะตกใจ และเสียใจ ซ้ำยังโกรธจนตัวสั่นที่ได้ยินคำสบประมาทต่างๆ ที่พร่างพรูมาจากผู้มาเยือนทั้งสองคน ไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไร เพียงปุยฝ้ายปิดประตูได้ไม่ทันจะสนิทดี เสียงจากข้างนอกก็ทำให้หล่อนสะดุ้ง
“ตาชาย มาพอดี แม่มีเรื่องจะคุยด้วย”
ได้ยินเสียงที่ชัดเจนของผู้ที่อยู่ข้างนอก นทีชันตัวลุกขึ้น พร้อมกับพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ ด้วยแรงที่ใช้ในการกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล ด้วยความแค้นใจ ในถ้อยคำดูถูกต่างๆ
“ฝ้าย ประคองฉันไปหน้าประตูที”
ภาสกร ตกใจแทบจะหงายหลัง เมื่อเดินออกจากลิฟต์มาพบกับบุคคลสองคนที่เขาไม่อยากพบมากที่สุด ในเวลานี้
“คุณแม่... ทิฆัมพร”
“ตาชาย” หม่อมวิไลวรรณเรียกลูกด้วยเสียงเดียวกับที่ใช้คุยกับปุยฝ้าย บ่งบอกว่า อารมณ์ของหล่อนไม่อยู่ในสภาพที่ดีพอ จะพูดเพราะๆ แบบแม่ลูกคุยกับเขาได้ “มาพอดีแม่มีเรื่องจะคุยด้วย”
“คุณแม่ คุณแม่มานานหรือยัง คุณแม่..”
“แม่เข้าไปในห้องนั้น หวังว่าจะพบแก แต่แกไม่อยู่ แม่พูดกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว รู้ว่าอะไรเป็นอะไร... ชายคิดอะไรอยู่”
ภาสกรไม่ตอบ ปุยฝ้าย กับนทีที่ยืนพิงประตูอยู่ได้ยินแทบจะทุกถ้อยคำของหม่อมวิไลวรรณที่เสียงดังเป็นนิสัยแม้จะโกรธหรือไม่โกรธก็ตาม
“ชายมาอยู่ที่นี่กับใครก็ไม่รู้ ในขณะที่ท่านพ่อประชวร คาดหวังว่าแกกำลังได้ดิบได้ดีกับการทำงาน แกกลับเอาเงินของท่านพ่อมาใช้กับเด็กที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้แบบนั้น เรื่องเอาเงินมารักษาให้ แม่ไม่ว่า แต่ถึงกับมาอยู่ มาเฝ้าแบบนี้ แม่ไม่พอใจ”
“คุณแม่ ชายว่าไปคุยกันที่บ้านเถอะครับ”
“ไม่ แม่อยากรู้ว่าลูกคิดอะไร แม่ไม่ไปไหนถ้าแม่ไม่รู้ความจริง คนอย่างแก ให้เฝ้าหนูฟ้าที่ป่วยนอนซมเป็นไข้อยู่บ้านแกยังเบื่อ นี่แกมาเฝ้าใครก็ไม่รู้ที่ไม่รู้จัก ไม่เกี่ยวดองกันไม่ว่าจะในรูปแบบใดๆแบบนี้ แม่ว่ามันต้องมีอะไร อยู่เบื้องลึกเบื้องหลัง แกชอบเด็กคนนั้นหรือ”
ใจเต้นแรงแทบจะหลุดออกมาอยู่นอกอก ทั้งภาสกร ทั้งนที
เด็กคนนั้นที่หม่อมวิไลวรรณหมายถึงอาจเป็นปุยฝ้าย แต่ทำไม ใจของภาสกรถึงกระหวัดไปคิดถึงแต่ภาพของนทีที่นอนป่วยอยู่ก็ไม่รู้ ภาสกรรู้สึกตัวเพียงครู่เดียวก็ดึงตัวเองกลับมา แล้วเข้าใจความหมายที่แท้จริงของหม่อมแม่ว่า คงหมายถึงปุยฝ้ายมากกว่า เพราะหล่อนคือความเป็นไปได้แค่อย่างเดียวที่จะหม่อมวิไลวรรณจะเข้าใจผิดไปได้
ต่างจากเด็กหนุ่มที่เขาคิดถึงอยู่เมื่อครู่ที่ใจจดใจจ่อ รอเหตุผลของ ภาสกรแม้ในใจจะนึกโกรงเคืองเขาบ้างบางเรื่อง ก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าบางทีเหตุผลง่ายๆ ที่ภาสกรมีตลอดเวลาที่มาเฝ้าไข้เขานั้น คือความผูกพันที่เกิดจากความใกล้ชิด ก็เป็นไปได้... จะผูกพันถึงขั้น ชอบหรือเปล่านทีไม่แน่ใจ
ที่แน่ๆ เขารู้สึกผูกพันกับภาสกร แม้เป็นเวลาเพียงไม่กี่วัน แต่ตื่นมาก็เจอเขา หลับก็หลับพร้อมเขา ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่ก็อยู่กับเขา มีเขาคอยดูแล คอยเอาใจ ด้วยเหตุผลที่นทีก็ไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่ นทีเองก็ไม่แน่ใจว่าความผูกพันที่เขามีต่อภาสกรนั้น จะเรียกว่า ชอบได้หรือเปล่า
“คุณแม่ คุณแม่ฟังชายก่อนนะครับ ผู้หญิงคนนั้นกับชายไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย แล้วชายก็ไม่ได้ชอบเขา เหตุผลที่ชายมาอยู่เฝ้าไข้เด็กผู้ชายคนที่ป่วยก็เพราะว่าเพื่อนของเขา ปุยฝ้ายน่ะครับ ต้องไปต่างจังหวัดไม่มีใครมาเฝ้าไข้ ผมก็ต้องอยู่ช่วยสังเกตการณ์เผื่อว่าทีอาการอะไรผิดปกติ ชายจะได้แจ้งแพทย์ได้ทัน”คำตอบของภาสกร มั่นคง และหนักแน่นราวกับซ้อมมาแล้วอย่างดี
“แต่มันธุระอะไรของแกที่ต้องไปเฝ้าไข้เขา เพื่อนคนอื่นเขาไม่มีหรือไง ตาชาย มันเรื่องอะไรที่แกจะต้องเป็นห่วงเป็นไยเด็กคนนี้ ช่วยเงินค่ารักษาเสียตั้งแต่ตอนแรก แล้วก็กลับวัง ดำเนินชีวิตไปตามปกติ ก็ได้ ทำไมต้องเข้าไปข้องเกี่ยว ทำไมต้องมาค้างมาเฝ้าไข้ ฉันไม่เข้าใจแกเลย”
คำถามของหม่อมวิไลวรรณคำถามเดียวทำให้คนที่ฟังอยู่ทุกคนสะอึก เพราะมันเป็นคำถามที่ทุกคนมีอยู่ในใจอยู่แล้ว ทั้งทิฆัมพร ทั้งปุยฝ้าย ทั้งนที เรียกว่าถามทีเดียว แทนคน อีกสามคนที่ก็อยากรู้เรื่องนี้ด้วยไม่แพ้กัน
‘ใช่ ทำไมล่ะ ทำไมเขาต้องสนใจเรามากขนาดนี้ด้วย เขาทิ้งเงินค่ารักษาช่วยมาตอนแรกก็ได้ แล้วก็จบ เขาก็ไปทำงาน ไปหาเพื่อนไปไหนต่อไหน เราก็นอนป่วยอยู่อย่างนี้ เงินพอก็พอ ไม่พอปุยฝ้ายก็คงจะย้ายเราไปอยู่ตามโรงพยาบาลรัฐบาล ทำไมกัน’ นทีอยากรู้ แม้จะถามไปแล้ว และได้คำตอบมาแบบที่ เขาไม่คาดคิดมาแล้ว แต่มันจะแค่นั้นหรือ... การที่คนช่วยคนไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล อย่างที่เขาบอกแค่นั้นหรือ
ภาสกรยังคงนิ่ง ยังไม่ตอบ ยังคงทบทวนอยู่ในใจว่าคำตอบคราวนี้จะเป็นแบบไหน เพราะมีเขาเท่านั้นที่รู้ว่าทำไม เขาไม่อยากให้นทีรู้จึงเคยตอบเลี่ยงๆ ไปครั้งหนึ่งแล้ว คราวนี้ เขาก็ไม่อยากให้แม่รู้ แต่จะตอบเลี่ยงๆ ไปได้อีกครั้งหรือ... ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่จะบอกความจริง
ชายหนุ่มสูดหายใจเข้า ลึก ยาวก่อนจะสารภาพต่อผู้เป็นแม่ ไม่ต่างอะไรจากตอนประถมที่สารภาพว่าสอบตก
“เพราะคนที่ขับรถชนเขา คือชายเองครับแม่”
เพียงวิไลวรรณได้ยินคำตอบ ขาแข้งก็หมดแรง ไม่ต่างอะไรจากผู้สูงอายุทั่วไป ที่ไม่ว่าจะได้ยินอะไรที่บาดหู ก็จะรับไม่ได้ เป็นลมเป็นแล้งกันทั้งนั้น วิไลวรรณ เซติดผนัง ใช้มือยันไว้ไม่ให้ล้ม แต่ก็ยังขาแข้งสั่นรับไม่ได้กับสิ่งที่ได้ยิน คนแรกที่ได้สติก่อนคือทิฆัมพร
“ว้าย คุณน้าเป็นลม” หล่อนควานหายาดม ในกระเป๋าถือ ก่อนจะยื่นให้หม่อมวิไลวรรณอย่างทำตัวไม่ถูก “พี่ชายคะ รีบพาคุณน้าไปที่รถเถอะ พากลับบ้านที่พัทยาก่อน”
ภาสกรตรงเข้าประคองหม่อมแม่ของตนตั้งแต่หญิงสาวยังพูดไม่จบประโยคพากันเดินไปที่ลิฟท์ อดใจไม่ได้ที่จะหันมามองประตูห้องพักผู้ป่วยใจนึกเพียงว่า นทีจะตื่นหรือยัง ปุยฝ้ายมาเยี่ยมหรือยัง หนุ่มน้อยจะหิวหรือเปล่าเท่านั้น ไก่ทอดเคเอฟซีในมือก็ยังอยู่ในมืออย่างนั้นไม่ได้ตกถึงท้องหนุ่มน้อยอย่างที่ตั้งใจ