จากที่เคยคิดว่าเรื่องนี้คงจะตอนเดียวจบเพราะเขียนเพื่อคริสต์มาสโดยเฉพาะ ตอนนี้เกิดอยากจะเขียนเรื่องรับวันวาเลนไทน์แต่คิดคู่ใหม่ไม่ออก จะเขียนของคู่อื่นก็หัวไม่แล่นชอบกล งั้นก็ขอดันคู่พี่รงค์กับน้องรักอีกทีก็แล้วกันนะคะ พอดีเขียนได้ครึ่งเดียวเลยมาแปะก่อนเพราะตาจะปิดแล้ว ยังไงจะมาลงครึ่งหลังให้ในไม่เกินวันวาเลนไทน์ก็แล้วกันนะ
Happy Valentine's Day แก่ทุกคนค่า 
++------++
ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ในวันวาเลนไทน์ภายในห้องประชุมสีสดใสที่อยู่ถัดเข้ามาจากด้านหน้าของบริษัทรับออกแบบและก่อสร้างแห่งหนึ่ง ผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหกต่างเริ่มปิดสมุดบันทึกหลังจากการประชุมสิ้นสุดลง โดยที่สองในหกคนเป็นลูกค้าซึ่งมาว่าจ้างให้ทางบริษัทออกแบบร้านอาหารให้
“ถ้างั้นก็ตามนั้นนะครับคุณประวิตร ถ้าหากได้แบบที่แก้ไขแล้วรบกวนส่งไปให้ผมดูด้วย”
“ได้ครับคุณดนัย ถ้าระหว่างนี้มีอะไรก็ติดต่อกับณรงค์เขาได้เลยครับ แล้วเดี๋ยวเขาจะมาอัพเดทผมทีหลังเอง”
สายตาของชายหนุ่มที่ชื่อ ‘ดนัย’ เบนจากประวิตรซึ่งเป็นผู้จัดการด้านการพัฒนาธุรกิจมาที่ณรงค์ซึ่งเป็นซีเนียร์ดีไซเนอร์แทน จากนั้นก็หยักมุมปากขึ้นยิ้มให้ ประกายหยาดเยิ้มในแววตาของอีกฝ่ายทำเอาณรงค์ขนลุกซู่ แต่ด้วยมารยาทก็ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงยิ้มแห้งๆ กลับ
“สิบเอ็ดโมงครึ่งแล้วสิ เดี๋ยวพวกผมขอตัวก่อนดีกว่า วันนี้ขอบคุณคุณประวิตรมากนะครับ”
ชายหนุ่มอีกคนที่มากับดนัยและเป็นหุ้นส่วนธุรกิจเอ่ยขึ้น อิสราซึ่งเป็นจูเนียร์ดีไซเนอร์และนั่งใกล้ประตูที่สุดจึงลุกไปเปิดประตูให้ลูกค้าทั้งสองได้เดินออกไปก่อน ส่วนประวิตรและสมาชิกทีมที่เหลือค่อยเดินตามออกมา แต่ก่อนที่จะออกจากบริษัท ดนัยก็ยังหันกลับมาทางณรงค์อีกครั้งและยื่นมือมาลูบต้นแขนเขาเบาๆ เล่นเอาชายหนุ่มแทบสะดุ้ง
“เอาไว้เดี๋ยวเราโทรคุยกันอีกทีนะครับคุณณรงค์ หรือว่าจะนัดปรึกษานอกเวลางานก็ได้ เย็นนี้ผมก็ว่าง เราจะได้มีเวลาคุยกันเยอะหน่อย”
ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้พูดเสียงดัง แต่สมาชิกที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ได้ยินกันทุกคน ยุพดีกับอิสราเหลือบตามองกันแล้วก็กลั้นยิ้ม ขณะที่ประวิตรซึ่งอาวุโสกว่าตีหน้าตายและทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ฝ่ายณรงค์นั้นไม่อยากคิดว่าถ้าหลวมตัวตอบรับไปแล้วทั้งสองจะได้ใช้เวลา ‘คุย’ หรือว่าทำอะไรกันแน่ จึงพยายามกลบอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้วยิ้มตอบสุดชีวิต
“เดี๋ยวผมจะรีบแก้แบบแล้วอีเมล์ไปให้ก็แล้วกันนะครับ แล้วตอนนั้นเราค่อยนัดประชุมทีมกันอีกที”
ดนัยแสร้งทำริมฝีปากยื่นเล็กน้อยเหมือนขัดใจ แต่แววตายังคงลามเลียจนณรงค์แทบจะอยากเดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด ใช่ว่าเขาจะไม่เคยโดนเกย์ด้วยกันส่งสายตาเชิญชวนมาก่อน แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเวลากลางวันและระหว่างที่กำลังทำงานแบบนี้ นี่ถ้าหากอีกฝ่ายจะตรงสเป็คเขาอย่างน้อยสักเจ็ดในสิบส่วน ณรงค์ก็คงไม่ตะขิดตะขวงใจมากนัก แต่โชคร้ายที่เขาไม่ได้ชอบเกย์ที่ออกท่าทางตุ้งติ้งชัดเจนแบบนี้เสียหน่อย
ประวิตรดูจะอ่านความกระอักกระอ่วนของลูกน้องหนุ่มออก จึงยื่นมือเข้าช่วยด้วยการกระแอมและตัดบท “ผมจะเดินไปส่งคุณดนัยกับคุณโรจน์ที่ชั้นล่างก็แล้วกันนะครับ พวกลูกทีมผมจะได้เริ่มแก้แบบตามที่คุยกันไว้เดี๋ยวนี้เลย”
ณรงค์ค่อยระบายลมหายใจยาวด้วยความโล่งอกเมื่อลับหลังคนทั้งสามแล้ว แต่แล้วเสียงหัวเราะคิกคักของยุพดีกับอิสราก็ดึงให้เขาหันไปขมวดคิ้ว
“ผึ้ง อ๋อง หัวเราะอะไรกัน?”
“หูยยยย ไม่ยักรู้ว่าพี่ชายเราก็เนื้อหอมเนอะผึ้ง ว่ามั้ย?”
อิสราหันไปถามเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับยิ้มยิงฟัน ยุพดีจึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย นัยน์ตากลมโตเป็นประกายวิบวับด้วยความขำ “นั่นสิ ผึ้งว่าถ้าเมื่อกี้พี่รงค์ยอมเออออไปกับเขาเย็นนี้นะ เผลอๆ พวกเราอาจจะไม่ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งแก้แบบร้านกันใหม่ก็ได้นา”
ณรงค์นึกถึงสายตาของดนัยตอนทำตาเยิ้มมองเขาทั้งในห้องประชุมและเมื่อไม่กี่นาทีก่อน จากนั้นก็ขนลุกเกรียวขึ้นมาอีก
“คงไม่ไหวมั้งผึ้ง แล้วพี่ก็ไม่ชอบพวกที่ออกสาวชัดแบบนั้นซะด้วยสิ…”
ชายหนุ่มไพล่นึกไปถึงใครอีกคนซึ่งเป็นแบบที่เขา ‘ชอบ’ มากกว่า ไม่ว่าจะนัยน์ตาคมดุที่มักทำให้คนมองไม่กล้าสบตา ผมสั้นหยักศกสีน้ำตาลอ่อนที่ลื่นนิ้วยามได้สัมผัส แล้วยังท่าทางเอาจริงเอาจังเวลาทำงานจนคนในบริษัททั้งนับถือและขยาดไปพร้อมกัน จากนั้นริมฝีปากบางก็ผุดยิ้มขึ้นมา
ทั้งสามเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานโดยที่ยุพดีซึ่งเดินนำหน้ายังไม่หยุดหันไปแซวณรงค์ “แหมพี่รงค์ก็ ออกสาวนิดหน่อยแต่หน้าตาเขาก็ใช้ได้อยู่นา อีกอย่างไหนๆ วันนี้ก็วันวาเลนไทน์ทั้งที เผื่อคืนนี้พี่รงค์จะได้ไม่ต้องหง่าวอยู่ที่ห้องคนเดียวไง อุ๊บ!”
สาวน้อยอุทานอย่างตกใจเพราะชนเข้ากับแผ่นอกของคนที่เดินสวนมาอย่างจัง เมื่อจะหันไปขอโทษ นัยน์ตากลมโตก็เบิกกว้างเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคือใคร ณรงค์ซึ่งเดินตามหลังยุพดีมาพร้อมกับอิสรารู้สึกว่าลมหายใจสะดุดเมื่อเห็นชายหนุ่มในชุดสูทที่กำลังขมวดคิ้วมองสาวน้อย
“...You alright?”
เสียงถามเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงออสเตรเลียชัดแจ๋วทำเอาสาวน้อยยิ่งหน้าตื่น ร่างเล็กบางรีบชักเท้าถอยจนเกือบเหยียบเท้าอิสราที่ยืนอยู่ข้างหลัง “คุณไรอัน! ขอโทษค่ะ ผึ้งไม่ทันมองทางก็เลยชนเข้า ขอโทษจริงๆ นะคะ”
“It’s ok. But watch where you go next time.”
ไรอันเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ซึ่งความจริงแล้วนั่นเป็นเสียงปกติของเขายามที่ไม่ได้ใช้อารมณ์ แต่กลับยิ่งทำให้ยุพดีกับอิสราเกร็งมากขึ้นอีก ทั้งสองจึงก้มศีรษะแล้วสาวเท้ากลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองอย่างรวดเร็ว ไรอันเหลียวมองตามทั้งสองด้วยแววตาที่แฝงเศษเสี้ยวของความงุนงง จากนั้นก็หันกลับมาสบตากับณรงค์ที่ยิ้มให้อยู่ก่อนแล้ว
คราวนี้ใบหน้าของหนุ่มลูกครึ่งขมวดคิ้วคล้ายจะถามคนตัวสูงกว่าว่า ‘ยิ้มทำไม?’ ณรงค์จึงตอบให้โดยไม่ต้องรอให้เปล่งเสียงถาม
“เวลาพูดยิ้มมั่งสิคุณ พวกเด็กๆ จะได้ไม่กลัว อีกอย่างเล่นพูดภาษาอังกฤษใส่เขาก็ยิ่งไม่กล้าตอบเข้าไปใหญ่สิ”
ไรอันเพียงแต่ทำเสียงหึขึ้นจมูกเมื่อได้ยินคำแนะนำ จากนั้นก็เดินผ่านคนตัวสูงกว่าเพื่อไปที่ประตู “What I do or say is none of your business.”
ณรงค์มองตามหลังผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งที่เดินออกไปจากบริษัท จากนั้นก็ทำเสียงขึ้นจมูกบ้าง แต่ด้วยท่าทางเหมือนน้อยใจมากกว่าอย่างอื่น
เขาก็แค่พูดแนะนำดีๆ เท่านั้นเอง ทำไมจะต้องตัดบทกันอย่างเย็นชาแบบนี้ด้วยล่ะ นี่พวกเราสองคนกำลังคบกันอยู่นะ
...ต่อให้เวลาอยู่นอกบริษัทก็ใช่ว่าจะสวีทหวานแหวใส่กันก็เถอะ...
ณรงค์ส่ายหน้าแล้วก็เดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน กระเป๋าเอกสารที่ไรอันถือติดตัวเมื่อครู่ทำให้เขาเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังจะออกไปประชุม และหากโชคดี บ่ายๆ ไรอันก็อาจจะกลับมาบริษัทให้เขาได้เห็นหน้าสักแวบก่อนกลับบ้าน หรือไม่ก็อาจจะต้องเป็นช่วงหลังเลิกงานเลยเพราะไรอันอาจติดประชุมสองหรือสามที่ซ้อนก็เป็นได้
ยุพดีซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามชะเง้อข้ามพาร์ติชันมาส่งเสียงถามเมื่อเห็นณรงค์ที่โต๊ะ “เมื่อกี้พี่รงค์คุยกับไรอันด้วยเหรอ? โดนว่าอะไรหรือเปล่าพี่? ทำไมหน้าหงอยอย่างนั้นล่ะ?”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าสีหน้าเขาจะแสดงออกชัดเจนจนรุ่นน้องสังเกตได้ทันทีแบบนั้น
“เขาจะว่าพี่ทำไมล่ะ พี่ไม่ได้ทะเล่อทะล่าเดินไปชนเขาเหมือนใครบางคนนี่”
ยุพดีทำแก้มอูด “แง้...พี่รงค์อ้ะ อย่ามาแซวน้องนุ่งสิ ก็ที่ผึ้งเดินชนเขาก็เพราะมัวแต่คุยกับพี่รงค์นั่นแหละ”
ณรงค์นึกอยากยื่นมือไปยีหัวรุ่นน้องสาวด้วยความหมั่นไส้ขึ้นมาติดหมัด “เราซุ่มซ่ามเองจะมาโทษพี่ได้ไง รีบๆ ทำงานไปเลย เราน่ะมีโปรเจ็กต์ค้างอยู่ไม่ใช่หรือไง?”
ยุพดีทำปากยื่นก่อนจะยอมนั่งลงและเริ่มทำงานแต่โดยดี แต่ณรงค์ก็รู้ว่าที่อีกฝ่ายยังแสร้งทำสีหน้ากระเง้ากระงอดเพราะอยากแหย่เขาเล่นมากกว่า นี่ถ้าหากยุพดีรู้สาเหตุที่แท้จริงที่เขาทำหน้าไม่สบอารมณ์เมื่อครู่ว่าเป็นเพราะอะไร ไม่แคล้วเขาคงโดนถามโน่นถามนี่ไม่หยุดแน่
...เพราะพี่เพิ่งโดนแฟนทำท่าเย็นชาใส่มาน่ะสิผึ้งเอ๊ย เฮ่อ...
ณรงค์ผ่อนลมหายใจแล้วก็แสร้งทำเป็นพลิกดูสมุดจดบันทึกการประชุม เขากับไรอันอาจจะไม่เคยบอกใครในบริษัทก็จริง แต่ว่าทั้งคู่ก็เริ่มสนิทสนมกันมากกว่าฐานะเพื่อนร่วมบริษัทมาได้พักสั้นๆ แล้ว โดยที่จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์นี้ก็มาจากคืนคริสต์มาสอีฟของปีก่อนนั่นเอง
เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านั้น ไรอันถูกส่งมาจากบริษัทแม่ที่เมลเบิร์นให้ทำหน้าที่ผู้บริหารร่วมกับหุ้นส่วนชาวไทยอีกสามคนที่ประจำตำแหน่งอยู่แล้ว ความที่ยังหนุ่มและมีบุคลิกที่ค่อนข้างใจร้อนและขี้โวยวายหากไม่ได้งานตามที่ต้องการ ทำให้พนักงานในบริษัทไม่ค่อยกล้าเข้าหน้าด้วยนัก อีกอย่างไรอันเองแม้จะฟังและพูดภาษาไทยได้แต่ก็ชอบสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงออสเตรเลียที่ถนัดมากกว่า ถึงแม้ณรงค์จะต่างจากคนอื่นๆ ตรงที่เขาไม่ได้กลัวไรอันและออกจะชอบมองเวลาอีกฝ่ายแสดงท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยงด้วยซ้ำไป แต่ก็ไม่เคยมองอีกฝ่ายมากไปกว่า ‘ผู้บริหารหนุ่มหน้าตาดีที่บุคลิกน่าสนใจ’ ก็เท่านั้น
แต่แล้วจุดเปลี่ยนก็เกิดขึ้นเมื่อณรงค์ไปเที่ยวผับเดียวกับไรอันโดยบังเอิญในคืนคริสต์มาสอีฟเมื่อปลายปีที่แล้ว เขาได้เข้าไปช่วยเหลืออีกฝ่ายที่เมามายจนมีเรื่องทะเลาะวิวาทและพากลับไปที่ห้อง แต่ถอไรอันสร่างเมาในตอนเช้าก็เข้าใจผิดว่าโดนเขาทำมิดีมิร้ายจนต้องอธิบายอยู่เป็นนาน การพบกันในผับเฉพาะทางแห่งนั้นทำให้ทั้งคู่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเกย์เหมือนกัน ณรงค์จึงถือโอกาสชวนไรอันไปดูไฟเทศกาลในเมืองด้วยกันในตอนหัวค่ำก่อนจะพาไปส่งที่คอนโด และตั้งแต่วันนั้นมา เขาก็จะคอยโทรไปชวนอีกฝ่ายออกไปทานข้าวหรือดูหนังด้วยกันทุกวันหยุด ดังนั้นถึงแม้จะยังพูดไม่ได้เต็มปากว่าทั้งคู่ตกลงคบกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่ณรงค์ก็คิดว่าการที่ไรอันไม่ได้ปฏิเสธเวลาเขาชวนไปไหนมาไหน และบางทียังยอมให้เขาดูแลเทคแคร์ได้คือการรับรู้ว่าเขา ‘คิดยังไง’ กับเจ้าตัว และยอมรับน้ำใจของเขาไปกลายๆ แล้ว เพราะโดยนิสัยที่เป็นคนตรงๆ อย่างไรอัน ถ้าหากไม่ชอบตัวเขาหรือสิ่งที่เขาทำให้ก็คงจะบอกออกมาตรงๆ แล้วอย่างแน่นอน
แม้ว่าเวลาที่ไรอันอยู่นอกบริษัทจะไม่ถึงกับเปลี่ยนบุคลิกจนเป็นคนละคน แต่อีกฝ่ายก็ดูจะผ่อนคลายขึ้นเวลาอยู่ใกล้เขา เพราะถึงอย่างไรณรงค์ก็รู้แล้วว่าเขาก็เป็นเกย์ รวมทั้งความลับอื่นๆ ที่เจ้าตัวพยายามปกปิดไว้แต่เขาดันไปรู้เข้าอีก ทั้งเรื่องที่ไรอันสายตาสั้นมากหากไม่ใส่คอนแทคต์เลนส์ เรื่องที่มีชื่อเล่นซึ่งรู้กันเฉพาะในครอบครัวว่า ‘รัก’ หรือเรื่องที่เวลาโมโหหรือประหม่าแล้วจะแทบไม่ยอมพูดภาษาไทยทั้งที่พูดได้และชัดด้วย และก็เพราะความน่ารักเหล่านี้ที่เขาได้รู้อยู่คนเดียวนี่แหละ ณรงค์ถึงได้รู้สึกว่าถูกหนุ่มลูกครึ่งดึงดูดให้หลงเสน่ห์มากขึ้นทุกวัน
แต่ว่า...ไรอันจะรู้สึกอย่างเดียวกับเขาบ้างหรือยังนี่สิ...
ชายหนุ่มคิดแล้วก็ได้แต่ละเหี่ยใจ ไม่เคยนึกมาก่อนว่าจะต้องมารู้สึกว้าวุ่นกับปัญหาหัวใจเหมือนวัยรุ่นเอาตอนที่อายุกำลังจะขึ้นเลขสามแบบนี้ แถมอีกฝ่ายยังอายุน้อยกว่าและมีตำแหน่งสูงกว่าเขาในบริษัทเสียอีกด้วย อย่างน้อยถ้าไรอันแสดงออกให้รู้ว่าเขาไม่ได้หลงคิดเรื่องของทั้งคู่ไปคนเดียว ณรงค์ก็คงไม่รู้สึกโหวงๆ ในอกขนาดนี้ ถึงแม้ว่าเขาเองก็จะปกปิดอาการได้ดีจนคนรอบตัวดูไม่ออก ยกเว้นเมื่อครู่ก่อนที่ยุพดีเพิ่งทักไปก็ตาม
++------++
ช่วงพักกลางวันณรงค์ออกไปกินข้าวกับยุพดีและอิสราซึ่งเป็นรุ่นน้องในทีมเช่นเคย เมื่อหมดเวลาพักก็กลับขึ้นมานั่งทำงานกันต่อ เนื่องจากงานที่ทีมเขาต้องรับผิดชอบในตอนนี้ไม่ได้มีแค่โปรเจ็กต์ร้านอาหารของดนัยเพียงงานเดียว ณรงค์จึงต้องเรียกยุพดีกับอิสรามาคุยกันก่อนจะแบ่งงานให้ช่วยทำ โชคดีของเขาที่รุ่นน้องทั้งสองค่อนข้างจะหัวไวและสู้งาน ทำให้เขาไม่ค่อยต้องปวดหัวเหมือนเพื่อนร่วมบริษัทคนอื่นที่มีลูกทีมให้ต้องดูแลเหมือนกัน
ณรงค์นั่งทำงานไปเรื่อยๆ จนสี่โมงกว่าก็ยังไม่เห็นไรอันกลับเข้ามา ชายหนุ่มจึงปลงว่าสงสัยเย็นนี้คงไม่มีหวังได้ชวนไปดินเนอร์ด้วยกันแน่แล้ว เขารู้ดีว่าตัวเองไม่ได้เตรียมตัวอย่างที่ควรทำสักเท่าไหร่ทั้งที่วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ ขนาดเพื่อนร่วมบริษัทบางคนที่มีคนรักทำงานอยู่ที่อื่นยังได้รับเค้กหรือดอกไม้ที่มีเมสเซนเจอร์วิ่งมาส่งให้ ทำให้เขานึกอยากเตะตัวเองที่ไม่ทันคิดได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าน่าจะเตรียมหาอะไรให้ไรอันบ้าง อย่างน้อยก็เพื่อตอกย้ำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขา ‘จริงจัง’ กับความสัมพันธ์ในตอนนี้
แต่เลิกคิดเรื่องจะโทรไปสั่งเค้กหรือดอกไม้ให้มาส่งเอาป่านนี้ได้เลย...นอกจากจะเสี่ยงที่เจ้าของจะไม่ได้รับเพราะไม่กลับเข้าบริษัทแล้ว ถ้าเกิดมีใครในนี้รู้ว่าเขาเป็นคนส่งให้เอง มีหวังโดนหนุ่มลูกครึ่งเล่นงานปางตายแน่...
ณรงค์พักมือที่กดเมาส์จนเมื่อยไหล่แล้วก็บิดคอไปมาเพื่อคลายกล้ามเนื้อ จู่ๆ ก็นึกถึงสมัยเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ที่ยังติดบุหรี่ขึ้นมา ตอนแรกเขาก็แค่ลองสูบตามเพื่อนที่คณะเวลาไปกินเหล้าด้วยกัน แต่ไปๆ มาๆ ก็เริ่มสูบเองจนกระทั่งชิน นี่ถ้าหากเขาไม่ได้เลิกบุหรี่ตั้งแต่เมื่อสี่ปีที่แล้ว สงสัยวันๆ คงได้ลงไปสูบบุหรี่คลายเครียดเวลาคิดงานไม่ออกที่หน้าตึกวันละหลายรอบแหงๆ
ชายหนุ่มร่างสูงตัดสินใจลุกไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าให้สดชื่น และบางทีอาจจะลงไปหาซื้อน้ำอัดลมเย็นๆ จากร้านสะดวกซื้อใต้ตึกขึ้นมาดื่ม โชคดีที่บริษัทของเขาไม่ค่อยเข้มงวดกับพนักงานเรื่องทานขนมหรือน้ำที่โต๊ะทำงานนัก เพียงแต่อย่าให้เลอะเทอะหรือเป็นอาหารที่ส่งกลิ่นรบกวนคนอื่นเป็นใช้ได้
ภายในห้องน้ำชายซึ่งมีห้องน้ำย่อยอยู่สี่ห้องนั้นว่างโล่ง อ่างล้างหน้าและโถสุขภัณฑ์ทั้งสามที่ตั้งอยู่คนละฟากของผนังสะอาดเอี่ยมไร้คราบราวไม่เคยถูกใช้ นอกจากนี้ในห้องน้ำยังมีกลิ่นหอมของสเปรย์ดับกลิ่นเพราะแม่บ้านจะคอยเข้ามาทำความสะอาดทุกสองชั่วโมง กลิ่นหอมที่เข้มข้นจนเกือบฉุนทำให้ณรงค์รู้ว่าแม่บ้านคงเพิ่งจะทำความสะอาดเสร็จไปหมาดๆ นี่เอง ชายหนุ่มเดินไปที่อ่างล้างหน้าแล้วก็รองน้ำจากก๊อกขึ้นลูบไปบนหน้าและลำคอ ความเย็นของกระแสน้ำทำให้เขาค่อยรู้สึกว่าความอ่อนเพลียเมื่อครู่ก่อนลดเลือนลงบ้าง
เสียงประตูห้องน้ำด้านหน้าที่ถูกผลักเข้ามาทำให้ณรงค์เหลือบตาขึ้นดูว่าเป็นใคร และเมื่อสบตากับเขา หนุ่มลูกครึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามาก็ชะงักฝีเท้านิดหนึ่ง จากนั้นก็เดินมาล้างมือที่อ่างข้างๆ กัน
ณรงค์ยืดตัวตรงขึ้นพลางดึงกระดาษจากม้วนที่แขวนอยู่ใกล้ตัวขึ้นมาซับน้ำบนหน้า นัยน์ตายังคงจับจ้องคนข้างตัวไม่วางตา แต่ว่าไรอันก็ไม่ได้หันกลับมาสบตาเขาสักแวบเดียว อีกฝ่ายเพียงแต่สะบัดมือที่ล้างเรียบร้อยแล้วก่อนจะยกขึ้นเสยผมที่ยุ่งเพราะออกไปโต้ลมข้างนอกมาให้กลับเป็นทรงเท่านั้น เสื้อแจ็คเกตสูทสีเข้มยังไม่ถูกถอดออก แต่ว่าเนคไทถูกถอดเก็บไปแล้วและกระดุมเชิ้ตเม็ดแรกถูกปลดจนเห็นแอ่งไหปลาร้าได้ ผิวบริเวณโหนกแก้มและคอซึ่งปกติเป็นสีงาช้างเรื่อสีเลือดฝาดจางๆ ซึ่งณรงค์เดาว่าคงเพราะแดดภายนอกที่แรงมากนั่นเอง แต่นั่นก็ช่วยทำให้ใบหน้าคมเข้มที่ปกติดูเย็นชาของหนุ่มลูกครึ่งมีชีวิตชีวามากขึ้น
“กลับมาแล้วเหรอ?”
“...ก็อย่างที่เห็น”
ในที่สุดวันนี้ไรอันก็ยอมพูดกับเขาเป็นภาษาไทยเสียที ถึงนั่นจะแสดงออกถึงความสนิทสนมในระดับที่มากกว่ากับพนักงานคนอื่น แต่ณรงค์ก็ยังรู้สึกว่าน้ำเสียงนั้น ‘เย็นชา’ เกินไปสำหรับเขาอยู่ดี
ชายหนุ่มยืนเอามือข้างหนึ่งยันอ่างล้างหน้าไว้พลางหันไปหาไรอันทั้งตัว ส่วนอีกมือยกขึ้นเท้าเอว ไรอันจึงเหลือบตามองเขาแล้วก็เลิกคิ้วเหมือนไม่แน่ใจว่าเขาจะทำอะไร ณรงค์จึงค่อยก้มหน้าแล้วถอนหายใจ
“ถึงจะอยู่ในบริษัทก็จริง แต่เวลาที่อยู่กับผมสองคนแล้วไม่มีคนอื่นแบบนี้ คุณไม่ต้องเล่นบทผู้บริหารกับผมก็ได้นี่ รัก”
ไรอันเกร็งไหล่ขึ้นทันทีเมื่อได้ยินชื่อเล่นของตัวเอง “How many times have I told you not to call me by that name?”
ณรงค์ขมวดคิ้ว กลับไปใช้ภาษาอังกฤษอีกแล้ว...นี่เขาพูดอะไรผิดตรงไหนละเนี่ย...
“ก็นี่มันชื่อเล่นจริงๆ ของคุณนี่นา อีกอย่างเราเป็นแฟนกันแล้วนะ ผมเรียกคุณด้วยชื่อเล่นไม่ได้หรือไง?”
หนุ่มลูกครึ่งขมวดคิ้วและหันกลับมาหาคนตัวสูงกว่าทั้งตัว “That doesn’t mean you can say it so freely.”
คราวนี้ณรงค์ชักจะอารมณ์ขึ้นบ้าง ถึงแม้ปกติเขาจะใจเย็นแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไรเวลาคนที่ชอบพูดจาไม่มีเหตุผลหรอกนะ
“ผมไม่อยากทะเลาะกับคุณเพราะเรื่องนี้นะ ผมแค่อยากจะบอกว่าไหนๆ เราก็กำลังคบกันอยู่ คุณทำตัวตามสบายมากกว่านี้เวลาอยู่กับผมที่บริษัทก็ได้”
ไรอันอ้าปากเตรียมจะโต้ตอบ แต่ณรงค์ได้ยินเสียงฝีเท้าสองคู่ที่เดินมาทางห้องน้ำเสียก่อน ชายหนุ่มจึงรีบฉุดหนุ่มลูกครึ่งให้เข้าไปหลบในห้องน้ำที่อยู่ด้านในสุดด้วยกันแล้วก็ล็อกประตูทันที แต่เมื่อเหลือบตาลงมองก็เห็นไรอันถลึงตาเหมือนอยากจะกัดคอเขาให้รู้แล้วรู้รอด
“What the hell are you doing!?”
อีกฝ่ายคำรามโดยกดเสียงไว้ในคอ แต่ว่านัยน์ตาก็ไม่ได้คลายดีกรีความดุดันลงเลย ณรงค์จึงเพิ่งนึกได้ว่าไม่มีเหตุผลที่เขาสองคนจะต้องเข้ามาหลบในห้องน้ำเสียหน่อยในเมื่อไม่ได้ทำอะไรนอกจากคุยกัน ต่อให้มีคนที่ไม่รู้เรื่องเดินเข้ามา ใครคนใดคนหนึ่งก็แค่ทำหน้าตายแล้วเดินออกไปจากห้องน้ำก่อนซะก็สิ้นเรื่อง
เมื่อไม่รู้ว่าจะแก้ตัวอย่างไรดี ณรงค์จึงทำได้เพียงยักไหล่ราวจะตอบว่า ‘ช่วยไม่ได้’ แต่พอเห็นอีกฝ่ายเผยอริมฝีปากเหมือนจะพูดอะไรอีก ณรงค์ก็รีบห่อปากทำเสียง ‘ชู่’ เบาๆ ขณะเดียวกันก็ยกนิ้วชี้ข้างหนึ่งขึ้นทำสัญญาณให้เงียบไปด้วย ไรอันจึงต้องยอมหุบปากอย่างไร้ทางเลือก
“ห่าแม่ง ผ่านปีใหม่มาได้ไม่เท่าไหร่งานยุ่งฉิบหาย สงสัยคืนนี้ต้องอยู่ดึกอีกแหงๆ”
“อ้าว? แล้วพี่ดอนไม่ต้องกลับไปกินข้าวกับเมียเหรอ วันนี้วันวาเลนไทน์นา”
“พี่ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่ะ แต่โดนสั่งมาว่าต้องทำแบบห้องให้เสร็จสำหรับพรีเซนต์ให้ลูกค้าพรุ่งนี้เช้า นี่ก็พยายามจะเร่งให้มันเสร็จก่อนหกโมงอยู่แต่ไม่รู้จะทันไหม นี่ถ้าวันนี้ต้องทำโอทีมีหวังโดนเมียงอนแหงๆ”
เสียงพูดคุยและเสียงการทำกิจกรรมที่โถสุขภัณฑ์ด้านนอกทำให้ณรงค์นึกขอบคุณแม่บ้านที่เข้ามาฉีดสเปรย์ดับกลิ่นชนิดเข้มข้นไว้ให้ก่อน เขากับไรอันที่อยู่ในห้องน้ำด้านในสุดจึงไม่ได้กลิ่นไม่พึงประสงค์ แต่ว่าบทสนทนาที่เพิ่งได้ยินก็กระทบใจเขาอย่างจัง จริงด้วยสิ เขาเองก็กำลังตั้งใจว่าจะถามไรอันเรื่องนี้อยู่พอดีเลยนี่นา ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายพูดจาชวนทะเลาะเสียก่อนน่ะ
“เย็นนี้คุณว่างหรือเปล่า?”
ณรงค์กระซิบถามเสียงเบา ความที่ทั้งสองยืนเบียดกันชิดมากโดยหันหน้าเข้าหากัน ลมหายใจอุ่นๆ ของณรงค์จึงตกลงระหน้าผากของไรอันไปโดยปริยาย และเขาก็ไม่แน่ใจว่าผิวแก้มของไรอันยังไม่หายแดงเพราะการที่เพิ่งออกไปตากแดดมา หรือว่าเพิ่งจะแดงขึ้นมาใหม่กันแน่
“ถามทำไม?”
ณรงค์กลอกตา “ก็วันนี้วันวาเลนไทน์ ใครๆ ก็ไปดินเนอร์กับแฟนกันทั้งนั้น ผมก็อยากชวนคุณไปดินเนอร์ด้วยกันมั่งน่ะสิ”
คราวนี้หนุ่มลูกครึ่งหรี่ตาสีน้ำตาลอ่อนลงพลางจ้องเขาเขม็ง “แค่เพราะใครๆ ก็ทำกัน เราก็เลยต้องทำตามบ้างงั้นเหรอ?”
ณรงค์ไปต่อไม่ถูกเมื่อได้ยินคำถามนั้น หนุ่มลูกครึ่งจึงเพียงหันหน้าหลบสายตาเขาพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่นเหมือนไม่พอใจ เสียงการเคลื่อนไหวจากด้านนอกบอกให้รู้ว่าเพื่อนร่วมบริษัททั้งสองที่เพิ่งทำธุระเสร็จได้ย้ายมาล้างมือที่อ่างแล้ว และโชคดีที่ขอบประตูด้านล่างของห้องน้ำที่เขากับไรอันยืนอยู่ต่ำพอจะบังรองเท้าของพวกเขาได้ แต่ณรงค์ก็ยังคิดว่าควรจะปลอดภัยไว้ก่อนด้วยการดันไรอันให้ขยับเข้าไปข้างในอีกนิดและและใช้ร่างตัวเองคร่อมบังอีกฝ่ายไว้
ไรอันตวัดสายตาขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง แต่แล้วก็สะบัดหน้ากลับไปอย่างเดิมเพราะรู้ว่าหากส่งเสียงเดี๋ยวคนข้างนอกจะรู้ว่าในห้องน้ำไม่ได้มีคนอยู่แค่คนเดียว ณรงค์จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ที่ทำให้อีกฝ่ายต้องมาลำบากกับเขาไปด้วยโดยไม่จำเป็น
ความใกล้ชิดชนิดที่อกชนอกทำให้ณรงค์เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง ถึงจะเริ่มคบกันแล้วก็จริง แต่ทั้งคู่ก็ไม่เคย 'ใกล้ชิด' กันขนาดนี้มาก่อน เขารู้ดีว่าตอนนี้ไรอันพยายามดันตัวเองจนแทบจะกลืนเข้าไปในผนังแล้วถ้าทำได้ แต่ยิ่งเดาได้ว่าอีกฝ่ายทำอย่างนั้นเพื่อสร้างระยะห่าง ณรงค์ก็ยิ่งแกล้งด้วยการเบียดตัวเองเข้าหามากขึ้นอีก
ร่างกายท่อนล่างของณรงค์ที่กำลังบดเข้าหาสะโพกของเขาทำให้ไรอันตัวแข็งและทำตาโต ใบหน้าที่เมื่อครู่เริ่มคืนสีปกติกลับเรื่อสีแดงปลั่งขึ้นมาอีกครั้ง
“What the fuck are you…umph!!”
หนุ่มลูกครึ่งคำรามโดยไม่ลืมกดเสียง แต่ยังพูดไม่ทันจบประโยคก็ถูกณรงค์ก้มหน้าเข้าหาแล้วกลืนคำพูดที่เหลือไว้ด้วยริมฝีปากเสียก่อน ร่างสูงไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ปฏิเสธด้วยการเบียดร่างกายเข้าหามากขึ้นและไล้เรียวลิ้นเข้าในริมฝีปากที่เผยออย่างไม่ได้ตั้งตัวอยู่แล้ว
หวาน...
ณรงค์คิดในใจ รสชาติที่ติดอยู่บนปลายลิ้นของไรอันซึ่งเขาสัมผัสได้จางๆ ให้ความรู้สึกเหมือนน้ำผึ้งมะนาว ทั้งหวานและอมเปรี้ยวอ่อนๆ ในคราเดียวกัน หากไม่ใช่เพราะไรอันเพิ่งดื่มเครื่องดื่มนี้มาก่อนเข้าบริษัท ก็คงจะเป็นเพราะเพิ่งอมลูกอมรสนี้มาอย่างไม่ต้องสงสัย
รสชาติหวานหอมที่ไม่คาดคิดและไม่เคยลิ้มลองทำให้ณรงค์เผลอไผล ชายหนุ่มเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นช้อนท้ายทอยอีกฝ่ายไว้เพื่อให้แหงนหน้าขึ้นรับริมฝีปากเขาถนัดขึ้น ขณะที่มืออีกข้างเลื่อนลงไปรั้งเอวผอมเข้าหา ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าร่างในอ้อมแขนสั่นน้อยๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้จูบตอบเขาเสียทีเดียว แต่ความอบอุ่นจากร่างกายที่ได้สัมผัสก็ทำให้เขานึกถึงภาพเรือนร่างเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายตอนที่เมาไม่ได้สติและต้องให้เขาเช็ดตัวให้เมื่อคืนคริสต์มาสอีฟที่ผ่านมา และภาพที่ผุดขึ้นมาในความทรงจำก็ทำให้เขารู้สึกว่าโลหิตในตัวสูบฉีดพลุ่งพล่านจนหัวใจเต้นแรงไปหมด
กระทั่งตรงนั้นของเขาก็ยังมีความรู้สึกตามไปด้วย...
ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของณรงค์ทำให้ไรอันลืมตาโพลง ความเคลิบเคลิ้มที่ถูกปลุกปั่นจากริมฝีปากอันเร่าร้อนหายวับไปในพริบตาด้วยความตระหนก หนุ่มลูกครึ่งรวบรวมกำลังกลับคืนสู่ร่างกายที่อ่อนเปลี้ยแล้วก็รีบผลักณรงค์ออก จากนั้นกำปั้นเน้นๆ ก็ถูกซัดเข้าที่ท้องอีกฝ่ายเต็มแรง
"อุ๊บ!!!"
++---TBC---++
ค้างไว้ตรงนี้ไม่เป็นไรเนอะ เนอะๆๆ (อิป้าวอนซะแล้ว) 