แรงแค้นใต้เงารัก [อวสาน 17-5-54]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แรงแค้นใต้เงารัก [อวสาน 17-5-54]  (อ่าน 374335 ครั้ง)

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
เข้ามานั่งรอคุณบอยค่ะ อิอิ

Bboyseries

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 23

กลางดึกสงัด เสียงแม่นางกรีดร้องภายในห้องทำอิทธิถึงกับลุกจากที่นอนคว้ามีดทำครัววิ่งไปดูเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น
“แม่ แม่เป็นอะไร” หนุ่มน้อยนั่งลงวางมีดไว้ข้างตัวแล้วจับร่างมารดาเขย่าถาม เมื่อแสงไฟกลางห้องที่เอื้อมมือไปเปิดตอนมาถึงส่องให้เห็นใบหน้ามารดาชุ่มไปด้วยเหงื่อพร้อมอาการอย่างคนวิตก
“แม่ฝันร้ายอิท แม่ฝันร้าย” แม่นางเอ่ยบอกบุตรชาย ฝันร้ายที่ว่ามันช่างน่ากลัวนัก ในภาพฝันนางมองเห็นบุตรชายโดนกลุ่มชายฉกรรจ์รุมจ้วงแทงจนร่างพรุนไปหลายแผลจนร่างทรุด ก่อนที่พวกมันจะหันมาเงื้อมีดดาบในมือขึ้นสูงหวังฟันลงที่ร่างของนางบ้าง นางจึงส่งเสียงกรีดร้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนนี้
“มันเป็นแค่ฝันน่ะแม่ แม่นอนต่อนะ” อิทธิเอ่ยปลอบมารดาหลังจากที่ถามไถ่จนได้ความถึงภาพฝันที่มารดาตนเห็น
“แม่คงนอนไม่หลับแล้วอิท ในฝันมันช่างน่ากลัวนัก ทำไมแม่ถึงฝันแบบนี้ก็ไม่รู้” แม่นางเอ่ยบอกนึกถึงภาพอันสะเทือนใจ นึกถึงตอนเห็นบุตรชายร่างชุ่มไปด้วยเลือดก็แทบน้ำตาไหล ที่สุดนางจึงพนมมือขึ้นกล่าวอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์
“เจ้าประคุณเอ้ย ขอให้สิ่งที่ลูกช้างนิมิตเห็นเป็นเพียงภาพฝันจริงๆ ด้วยเทอญ อย่าให้เกิดเภทภัยอันตรายใดๆ กับบุตรชายลูกช้างเลย” ด้วยความเป็นห่วงบุตรชายนางจึงอ้อนวอนสิ่งศักสิทธิ์เพียงแค่นั้น อนิจจา นางลืมไปแล้วหรือว่าภาพสุดท้ายก่อนที่นางจะกรีดร้องแล้วสะดุ้งตื่น คมมีดในมือกลุ่มชายฉกรรจ์มันเงื้อจะฟาดฟันมาที่ใคร!
อิทธิเห็นมารดาตกอยู่ในอาการเช่นนั้นก็รู้สึกไม่จะสบายใจเพิ่มขึ้น ตลอดคืนตั้งแต่ล้มตัวลงนอนก็ใช่ว่าจะหลับตาลงได้ เพราะจากเหตุการณ์ที่ตนบุกไปชกต่อยกับนายสินทำให้นึกระวังทุกสรรพเสียงที่แฝงเร้นมาในความมืด จากที่ไม่เคยนอนเคียงคู่อาวุธ ในตอนก่อนเข้านอนเด็กหนุ่มจำต้องแอบหยิบมีดทำครัวของมารดาไปไว้เคียงร่าง โดยไม่อาจที่จะข่มสายตาให้หลับได้ เพราะนึกระแวงว่านายศรอาจจะลอบมาทวงแค้นคืนให้กับบุตรชาย ทุกยามที่หูได้ยินเสียงสวบสาบมือน้อยก็คอยแต่จะเอื้อมไปจับอาวุธคมไว้มั่น  ไม่ได้คิดชะล่าใจว่าเสียงนั่นอาจเกิดจากสัตว์เลื้อยคลานเลื้อยผ่านพงหญ้า อาการระวังตัวเช่นนี้หนุ่มน้อยเป็นอยู่ตลอดคืนกระทั่งได้ยินเสียงมารดากรีดร้องเมื่อครู่นั่นล่ะจึงได้ถืออาวุธอย่างมีดทำครัวถลาไปดูเหตุการณ์ นึกเบาใจที่เป็นเพียงแค่ความฝันที่ทำให้มารดากรีดร้อง แต่ก็ไม่สบายใจอยู่บ้างเพราะคงวามฝันที่มารดาเล่าให้ฟังใช่ว่ามันจะไม่มีทางเป็นจริง ถ้าตราบใดที่ตนและมารดายังไม่ย้ายออกจากไร่แห่งนี้
“ทำไมถือมีดมาด้วยล่ะอิท” แม่นางเอ่ยถามบุตรชายเมื่อหลังจากอ้อนวอนสิ่งศักสิทธิ์แล้วมองเห็นมีดเล่มคมที่นางใช้ทำครัวประจำวางอยู่ข้างตัวฝ่ายนั้น
“อิทนึกว่ามีคนลอบมาทำร้ายแม่” อิทธิตอบ น้ำตาจะไหลเมื่อเริ่มรู้สึกผิดต่อสิ่งที่ตัวเองกระทำลงไปเพราะอารมณ์วู่วาม นี่เขาทำพลาดมหันต์เลยสินะที่นึกแต่จะระบายแค้นแทนเพื่อนรัก แต่กลับลืมนึกถึงความปลอดภัยของคนที่รักและหวังดีกับตนมากที่สุด
“มันเป็นแค่ฝันอย่างที่อิทว่าจริงๆ น่ะแหละ แม่ขอโทษนะที่ทำอิทไม่สบายใจ” แม่นางกลับมาเป็นฝ่ายเอ่ยปลอบบุตรชายบ้าง นางยังไม่ทราบเรื่องที่บุตรชายได้ไปมีเรื่องชกต่อยกับบุตรชายนายศร จนฝ่ายนั้นตกอยู่ในอาการช้ำใน
อิทธิโผเข้ากอดร่างมารดา น้ำตาเด็กหนุ่มไหลพรากอาบแก้ม เพราะเริ่มคิดไปต่างๆ นานา กลัวเหลือเกินว่าความเป็นอยู่ของมารดาหลังจากนี้จะอยู่ในอันตราย
“แม่ อิทว่าเรารีบออกไปจากที่นี่เถอะนะ ไม่ต้องรอให้อิทเรียนจบหรอก” หนุ่มน้อยเอ่ยบอกมารดาปนเสียงสะอื้น ลำพังตัวเขาเองพอจะรับมือได้อยู่หรอกกับอันตรายจากเหล่าอันธพาล แต่กับมารดานี่สิ กลัวเหลือเกินว่านางจะแพ้ภัยคนพวกนั้นจนเกิดเหตุที่อาจทำให้เขาต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
“ไม่เอาน่าอิท เป็นอะไรไปอีกหึ ก็เราคุยกันเรียบร้อยแล้วนี่นา มันอีกไม่นานเลยนะลูกที่ลูกจะเรียนจบ ตั้งใจเรียนสอบเอาเกรดดีๆ มาให้แม่ชื่นใจเถอะนะ ยังไงซะถึงวันนั้นแม่ก็จะพาอิทไปจากที่นี่จนได้แหละ” แม่นางกอดกระชับร่างบุตรชายเอ่ยปลอบ อิทธิไม่อาจจะพูดอะไรได้อีกเพราะกำลังสะอื้นหนักกับความรู้สึกผิดและหวาดกลัวว่าตนกับมารดาจะไม่มีโอกาสไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ผืนแผ่นดินอื่น!

*******************************************************

เช้าวันใหม่ เป็นวันแรกของสัปดาห์ที่จะต้องไปโรงเรียน อาทีบอกกับลุงไกรว่าตนจะซ้อนท้ายจักรยานของอิทธิไปโรงเรียนเอง แต่แล้วก็รู้สึกขัดใจเมื่อมารดาพาร่างออกมาพูดกระทบกระทั่งเชิงขัดขวางตามเดิม
“ชอบตกระกำลำบากนักนะไอ้อาที มีรถขับไปส่งดีๆ ไม่ชอบ ไอ้เด็กอิทธินั่นมันมีดีอะไรนักหนาแกถึงติดมันนัก”
“แม่อย่าชวนผมทะเลาะแต่เช้าได้มั้ยครับ ผมกำลังจะไปโรงเรียนนะครับ ผมต้องเรียนหนังสือทั้งวัน ผมต้องการสมาธิ” หนุ่มน้อยเอ่ยตอบมารดา นึกถึงช่วงเวลาที่พี่ชายตนอยู่ที่นี่ ในตอนนั้นดูจะเป็นช่วงเดียวที่ได้เทียวไปเทียวมาหาเพื่อนซี้ได้อย่างสบายใจยิ่งกว่าตอนนี้
“งั้นแกก็รีบไปสิ แต่ให้นายไกรขับรถไปส่งนะ ฉันห้ามแกไปกับไอ้อิทธิ” จิตราบอกเสียงดุ นานแล้วที่ห่างหายจากการราวีไอ้อีขี้ข้าที่นางนึกชัง วันนี้รู้สึกครึ้มๆ อยากเล่นบทร้ายพิกล ใครอย่ามาทำอะไรขัดหูขัดตาเชียวหล่อนจะด่าให้หูชาไปสามวันเจ็ดวัน
“โธ่เอ้ย ไอ้เราก็นึกว่าจะดีขึ้น ที่ไหนได้เหมือนเดิมไม่มีผิด” อาทีบ่นเปรยๆ ก่อนจะยอมเดินหน้าบึ้งตึงไปยังรถรับส่ง ก่อนหน้าที่มารดาเพลาๆ การราวีลงหน่อยก็เคยนึกแอบดีใจว่าเจ้าตัวจะละทิ้งนิสัยจอมบงการ แต่ที่ไหนได้ พอพี่ชายเขาไม่อยู่ ทุกอย่างก็เหมือนเดิม
“เออ ไม่เคยเลยที่จะเห็นความหวังดีของฉัน การที่ฉันปกป้องแกไม่ให้ลดตัวไปใกล้ชิดกับลูกคนงานฉันผิดนักเรอะ ฮึ่ย!” จิตราส่งเสียงแว้ดๆ ตามหลังรถบุตรชายที่เคลื่อนตัวออกไปแล้ว รู้สึกขัดใจจนอยากหาที่ระบายอารมณ์ พอสายหน่อยจึงส่งเสียงเรียกเพลินพิศเพื่อไปจัดการราวีแม่นางที่เรือนสำนักงานอีกครั้ง พอไปถึงก็ไม่รีรอที่จะตรงเข้าไปหาเรื่องว่ากระทบกระทั่ง โดยยกเรื่องโต๊ะทำงานมาเปิดประเด็น
“นั่นโต๊ะทำงานหล่อนหรือกองขยะยัยแม่นางทำไมมันโสโครกสกปรกอย่างนั้น”
“ก็ไม่ได้รกอะไรนี่คะ ดิฉันก็เก็บเช้าเก็บเย็นอยู่ตลอด” แม่น่างเอ่ยตอบ จะว่าไปโต๊ะของนางดูเป็นระเบียบกว่าโต๊ะใครๆ ในเรือนสำนักงานแห่งนี้เสียด้วยซ้ำ การทักท้วงของจิตราบ่งบอกได้ชัดเจนว่านางกำลังโดนราวีดังเช่นแต่ก่อนอีกแล้วแน่ๆ
“ต๊าย! ดูมันยอกมันย้อนสิคะคุณจิตร จัดการมันเลยค่ะ เดี๋ยวพิศช่วย” เพลินพิศเอ่ยเสี้ยมเจ้านายทันที เนื้อกายเต้นระริกตั้งแต่ได้ยินเจ้านายบอกว่าจะมาทำอะไรที่นี่แล้ว พอสบโอกาสเสี้ยมจึงใส่จริตเต็มที่
“งั้นมึงก็ไปไล่คนงานในนี้ออกไปข้างนอกให้หมดสิอีพิศ กูจะได้จัดการได้คล่องมือหน่อย” จิตราหันมาสั่งสาวใช้ เพลินพิศหน้าบานรับคำแล้วเดินเชิดไปสั่งคนงานให้ออกไปข้างนอกกันก่อนบอกเจ้านายตนมีประชุมลับๆ กับผู้คุมบัญชี
“คุณจิตรคิดจะมารังแกดิฉันแบบนี้ไม่ได้นะคะ ดิฉันทำอะไรผิดเหรอคะถึงได้มาเรื่องกันแต่เช้า” แม่นางเอ่ยว่าในตอนที่คนงานออกไปข้างนอกกันหมดแล้ว ภายในเรือนสำนักงานแห่งนี้จึงเหลือแต่นางที่กำลังยืนเผชิญหน้ากับจิตราและเพลินพิศที่ตอนนี้ได้หันไปหัวเราะเยาะให้กันเองพลางเอ่ยสนทนากัน
“ดูสิอีพิศ กูยังไม่ทันทำอะไรเลยมันก็กลัวจนหน้าถอดสีซะแล้ว โอ้ย กูจะสงสารดีมั้ยนะ” เจ้านายเริ่มก่อนสาวใช้รีบเอ่ยเสริม
“จริตมันน่ะสิคะคุณจิตร มันแสร้งกลัวเพื่อให้คุณจิตรเวทนามันเหมือนที่มันทำกับคุณจันทร์ไงคะ อย่าไปสงสารมันค่ะ ตอนนี้ไม่มีใครรู้ใครเห็น โอกาสงามๆ แบบนี้หายากนะคะ ถ้าคุณจิตรไม่อยากให้มือแปดเปื้อนหนังหน้ามันเดี๋ยวพิศจัดการให้ก็ได้ค่ะ”
“ก็ดีนะ งั้นมึงไปจัดการมันก่อนไป เดี๋ยวกูจะยืนดูซิว่าฝีมือมึงยังสมกับเป็นคนสนิทกูอยู่มั้ยอีพิศ”
จิตราเอ่ยสั่งสาวใช้แล้วหันมามองแม่นางเหยียดๆ ซึ่งขณะนี้ได้ถอยร่นไปหน่อยๆ ตอนที่เห็นสาวใช้ของหล่อนย่างสามขุมเข้าหา
“อย่านะเพลินพิศ หล่อนจะทำกิริยาป่าเถื่อนแบบนี้กับฉันไม่ได้นะ ฉันกับหล่อนไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน” แม่นางเอ่ยกับสาวใช้เจ้านายขณะที่ถอยร่างหนีการรุกราน
“ต๊าย! พูดจายังกะเป็นผู้ดีมาก่อนนะยะอีแม่นาง แบบนี้อีพิศขอตบให้จริตผู้ดีออกจากร่างหล่อนทีเถอะ” เพลินพิศถลาร่างเข้าใส่แม่นางหลังจากเอ่ยจบ ถือโอกาสที่ฝ่ายนั้นยังไม่ทันตั้งตัวยกฝ่ามือขึ้นฟาดไปบนใบหน้าเจ้าตัวถึงสองฉาดซ้ายขวา
“ต๊าย! งามมากอีพิศ สาใจกูนักเชียว” จิตราเอ่ยชมให้กำลังใจสาวใช้พลางหัวเราะออกมาอย่างสะใจที่เห็นใบหน้าแม่นางหันสะบัดไปตามแรงตบ ส่วนเพลินพิศพอได้รับคำชมก็ดีใจจนเนื้อเต้นจึงหันมาใส่จริตยกมือไหว้ขอบคุณผู้เป็นนาย หลังทำเสร็จคิดจะหันกลับไปจัดการแม่นางต่อ แต่คราวนี้ก็ต้องเป็นฝ่ายร้องกรี๊ดหน้าหงายบ้างเมื่อโดนฝ่ามือแม่นางตบสวนกลับมาซ้ายขวาเช่นกัน
“ฉันสุดจะทนกับพฤติกรรมหล่อนแล้วล่ะเพลินพิศฉันถึงต้องทำแบบนี้” แม่นางเอ่ยว่าเสียงเข้ม หายใจฟึดฟัดเพราะแรงโกรธ คิดว่าสาวใช้เพลินพิศไม่มีสิทธิ์ทำกับหล่อนแบบนี้
“อีแม่นางมึงตบกู มึงตาย” เพลินพิศโกรธเนื้อกายสั่นที่โดนฝ่ามือตบสวนกลับมาจนแสบระบม ที่สุดจึงพุ่งร่างเข้าคิดจะขย้ำคนตรงหน้าให้แหลกคามือ แต่เกมกลับพลิกผันเมื่อแม่นางสุดจะทนแล้วกับการโดนราวีเกินกว่าเหตุแบบนี้ ทันทีที่ร่างของเพลินพิศพุ่งถึงตัวนางจึงจับร่างนั้นนอนราบลงบนโต๊ะทำงานแล้วจัดการฟาดฝ่ามือใส่ยั้งปากก็ว่า
“หล่อนเองก็ขี้ข้าไม่ต่างจากฉัน อย่ามากล้ากับฉันให้มันมากนักจำไว้”
จิตรายืนอ้าปากค้างมองร่างสาวใช้หน้าหันสะบัดจากแรงฟาดฝ่ามือของแม่นางจนเลือดไหลกลบปาก เมื่อเห็นดังนั้นจึงได้สติพุ่งเข้าไปดึงร่างแม่นางออกมาจับล็อคไว้
“อีพิศลุกเร็ว กูจับมันไว้แล้วจัดการเอาคืนเลย” หล่อนส่งเสียงบอกสาวใช้ แม่นางเริ่มใจเสีย เพราะคิดว่าเพลินพิศจะต้องถอนทุนคืนจากนางมากกว่าที่นางทำหล่อนเป็นแน่ ด้านเพลินพิศพอได้ยินเสียงเจ้านายบอกก็ใจชื้นบ้างจึงพยามยันกายลุกขึ้นพาใบหน้าสะบักสะบอมเดินมายังร่างคนที่ตบตนไม่ยั้ง
“มึงทำกูได้เลือด มึงก็ต้องได้เลือดด้วยอีแม่นาง” สาวใช้เอ่ยว่าก่อนจะยกมือขึ้นฟาดฉาดแรกเข้าเป้าสมใจจนเหยื่อหน้าหันสะบัด
“ดีมากอีพิศ เอามันให้หนักกว่าที่มันตบมึงอีกเร็ว” จิตราเอ่ยออกคำสั่ง พลางออกแรงจับเหยื่อไว้มั่น
“ได้ค่ะคุณจิตร มันทำพิศเจ็บ พิศก็ต้องจัดการมันอยู่แล้ว” เพลินพิศได้ใจกำเริบขึ้นเมื่อเห็นคนทำตนเลือดกลบปากไม่มีทางสู้ สาวใช้เงื้อมือขึ้นฟาดลงไปอีกสุดแรงเสียงดังเพี๊ยะ!และแทนที่จะดีใจกลับหัวใจแทบวายเมื่อพบว่าใบหน้าที่รับแรงตบจากตนไปเต็มๆ ครั้งนี้คือใบหน้าเจ้านายนั่นเอง
“กรี๊ดดด! อีพิศ มึงตบกู” จิตราร้องลั่นด้วยความตกใจปนเจ็บใจที่ตัวเองเป็นฝ่ายโดนฝ่ามือสาวใช้ซะเอง เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะแม่นางได้ก้มหลบฝ่ามือนั่นที่เหวี่ยงมาจากมือสาวใช้ คนที่รับเคราะห์แทนจึงเป็นหล่อนซะเอง
แม่นางเป็นอิสระในตอนที่จิตราปล่อยร่าง นางเห็นฝ่ายนั้นใช้มือไปประคบประหงมใบหน้าตัวเอง จึงถอยร่างออกมา สักพักมองเห็นสาวใช้ถลาไปก้มลงกราบแทบเท้าผู้เป็นเจ้านายก็นึกสมเพช ก่อนจะสาแก่ใจเล็กๆ ที่เห็นผู้เป็นเจ้านายเงื้อมือขึ้นตบหน้าบ่าวของตัวเองซะเอง
“แค่นี้มึงก็ตบพลาด มึงอย่าอยู่เลยอีพิศ” จิตราอาละวาดใส่สาวใช้เพื่อระบายอารมณ์โกรธจนไม่ทันสังเกตเห็นว่าว่าคนที่ตัวเองตั้งใจมาราวีกำลังยืนส่ายหน้ามองการกระทำของหล่อน
แม่นางเดินเลี่ยงหนีออกจากเรือนสำนักงานโดยปล่อยให้บ่าวกับเจ้านายราวีกันเอง เหตุการณ์นี้ช่างเป็นแรงขับให้นางอยากออกไปให้พ้นจากไร่นี้ให้เร็วที่สุดได้ดีนัก รอให้บุตรชายนางกลับมาจากโรงเรียนก่อนเถอะ บางทีนางอาจจะบอกเจ้าตัวใหม่ก็ได้ว่าเป็นไปได้มากที่นางจะพาเจ้าตัวออกจากไร่นี้เร็วกว่ากำหนด

*******************************************************

ทางด้านอิทธิหลังเลิกเรียนก็มีเหตุวุ่นวายเช่นกัน เมื่อปั่นจักรยานกลับไร่อยู่ดีๆ ก็มีชายฉกรรจ์สามนายออกมาจากป่าข้างทางแสดงท่าทีอันธพาลหาเรื่องด้วยการจับร่างเจ้าตัวเหวี่ยงลงจากจักรยานแล้วคนหนึ่งจับร่างล็อคไว้ ส่วนอีกสองคนใช้เหล็กในมือที่เตรียมกันมาพังทุบจักรยานเสียจนผิดรูปไม่สามารถใช้งานได้ พอสมใจจึงพากันยกจักรยานที่พังแล้วเหวี่ยงหายเข้าไปในป่า ก่อนคนที่จับร่างไว้จะยอมปล่อย
“ไอ้พวกเลว พวกมึงเป็นใครวะมาทำรถกูแบบนี้ได้ไง” หนุ่มน้อยตวาดถามคนกลุ่มนั้นเมื่อร่างเป็นอิสระ ไม่อาจฝืนกลั้นน้ำตาแห่งความเจ็บปวดที่เห็นจักรยานคู่ใจพังลงต่อหน้าต่อหน้าแล้วถูกจับโยนหายไปในพงหญ้าข้างทาง
“พวกกูเป็นใครไม่สำคัญหรอก แต่นี่มันแค่เริ่มต้นโว้ยไอ้เด็กน้อย ต่อไปมึงกับแม่มึงเจอหนักกว่านี้แน่หากว่ายังอวดดีอวดเก่งกันอยู่ หึหึ” ชายหน้าเหี้ยมที่สุดในกลุ่มเอ่ยบอก แล้วแสยะยิ้มให้อย่างน่ากลัวพลางยกท่อนเหล็กมาแตะที่แก้มให้รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกก่อนจะพากันหัวเราะร่าผละไป ถึงตอนนี้อิทธิจึงรีบวิ่งเข้าไปดูจักรยานคู่ใจที่กลายเป็นเพียงเศษเหล็กนอนหมกอยู่ในพงหญ้า เด็กหนุ่มค่อยๆ เอามือลูบคลำไปยังส่วนต่างๆ นึกถึงภาพที่เคยใช้งานมันเพื่อไปในทุกที่แล้วน้ำตาก็ร่วงเป็นสาย คงไม่มีอะไรที่จะสร้างความปวดใจได้เท่ากับการมองเห็นของที่รักโดนทำลายต่อหน้าต่อต่อตาแล้วไม่อาจเข้าไปช่วยได้ สำนึกสุดท้ายของความเสียใจหนุ่มน้อยได้ฉุกคิดถึงถ้อยคำของเหล่าอันธพาลวัยฉกรรจ์ที่กล่าวคาดโทษถึงมารดาของตนด้วย
“แม่” หนุ่มน้อยยกมือปาดน้ำตาทิ้ง เมื่อความรู้สึกเป็นห่วงมารดามาบดบังความรู้สึกอาลัยณ์จักรยานคู่ชีพ ที่สุดเด็กหนุ่มจึงลุกขึ้นวิ่งดึงใบไม้ใบหญ้าพร้อมกิ่งไม้ต่างๆ นาๆ ที่พอจะเอามาปกคลุมจักรยานตนให้พ้นจากการมองเห็นโดยง่าย นาทีนี้เขาคงต้องรีบกลับเรือนให้เร็วที่สุดเพื่อไปให้เห็นกับตาว่ามารดาตนนั้นปลอดภัยดีอยู่ ส่วนจักรยานคันนี้ค่อยคิดกลับมาเอาไปซ่อมแซมภายในวันหลัง

*******************************************************

เกือบมืดที่อิทธิกลับถึงเรือนเพราะต้องเสียเวลารอรถรับส่งเพื่อนั่งมาลงปากทางไร่นานหลายนาที ทันทีที่ไม่เห็นร่างมารดาอยู่ที่เรือนจึงวิ่งเข้าไปยังเรือนสำนักงานหวังว่าจะพบเจ้าตัวที่นั่นแต่แล้วก็ผิดหวัง เด็กหนุ่มออกอาการร้อนรนถามไถ่คนงานที่ยังไม่กลับ โดยหารู้ไม่ว่าตอนนี้มีสายตานายศรกำลังลอบมองอยู่อย่างเยาะๆ พลางเอ่ยออกมาอย่างสาใจ
“สงสัยพวกนั้นคงจัดการขู่มันเรียบร้อยแล้ว มันถึงต้องมาร้อนรนวิ่งพล่านหาแม่มันแบบนี้”
ทางด้านอิทธิถามไถ่คนนั้นคนนี้สุดท้ายก็ได้คำตอบที่คนบอกคาดเดาเอาว่ามารดาของตนน่าจะอยู่ที่เรือนหลังใหญ่ เพราะเมื่อช่วงสายของวันนี้จิตราตามมาอาละวาดเจ้าตัวถึงที่นี่ แล้วเจ้าตัวก็ตบตีกับเพลินพิศจนเพลินพิศสะบักสะบอม คิดว่าจันทร์จวงน่าจะเรียกไปชำระความ
“แม่” หนุ่มน้อยเอ่ยเรียกมารดาเสียงเบา นึกเป็นห่วงขึ้นมาอีกหลายเท่าจึงรีบวิ่งกระหืดกระหอบกลับไปยังเรือนหลังใหญ่ พรวดพราดขึ้นไปบนเรือนทันทีเมื่อไปถึงแล้วได้ยินเสียงจิตรากำลังอาละวาดใส่มารดาตนจริงๆ ภาพแรกที่เห็นต่อหน้าทำเอาหนุ่มน้อยตัวชา นั่นคือจิตรากำลังเงื้อมือขึ้นจะตบหน้ามารดาตน จึงตวาดเสียงห้ามลั่นเรือน
“อย่าแตะต้องแม่ผมแม้แต่ปลายเล็บนะคุณจิตร!”
โปรดติดตามตอนต่อไป

ขออนุญาตแจ้งข่าวสักนิดนะครับ สำหรับนิยายเรื่องนี้ซึ่งกำลังจะจบลงแล้วในอีกไม่กี่ตอน
หากใครสนใจอยากจะเก็บสะสมผลงานในรูปแบบพ็อคเก็ตบุ๊ค เปิดจอง 16 เมษายนนี้ครับ พร้อมอีกสองผลงานที่จะทำการเปิดจองพร้อมกันคือ Ten & Champ ซึ่งกำลังจะจบลงแล้วเช่นกัน และอีกหนึ่งผลงานคือ รู้ไหม? หัวใจฉันตามหา หากใครยังคิดถึงการินทร์และรณวีย์ และบรรยากาศบนภูปลายสายอยู่ก็ตามเก็บความประทบใจได้เช่นกัน ย้ำอีกครั้งนะครับว่า 16 เมษายนนี้เปิดจองพร้อมกันทั้งสามเล่ม ส่วนผลงานเก่าๆ ก็ยังสามารถสั่งซื้อได้อยู่ครับ นั่นคือ ติวรักสุดใจนายเกเร / Real Love Story และ ไฟรัก รายละเอียดต่างๆ อ่านเพิ่มเติมที่กระทู้นี้
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=23710.0
หรือจะ pm มาสอบถามเพิ่มเติมได้ครับ ส่วนด้านล่างเป็นปกนิยายทั้งหมดครับ








ขอบคุณครับ


 


darajoy

  • บุคคลทั่วไป
อ๊ายเรื่องราวกำลังเข้มข้นสุดๆ ไปเลย

ตกลงแม่นางกับอิทจะย้ายออกไปแล้วใช่ไหมเนี่ย

Y2Y

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องนี้ใกล้จะจบลงในไม่กี่ตอน...จริงอ่ะ ทำไม น้องอิท กะ พี่อาทิตย์ยังไร้วี่แวจะหวานแหวว กันเลยง่า

ออฟไลน์ j4c9y

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +178/-7
คุณจิตรเมื่อไหร่หะ!

เมื่อไหร่จะหยุดพฤติกรรมแบบนี้

ออฟไลน์ primmi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 242
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
จะจบอีกไม่กี่ตอน!!!~ ช๊อค
แอบเดาว่าเป็นแซดเอนดิ้งป่าวอ่ะ ไม่ก็จบภาคแรก 555
เพราะดูแล้วเหมือนเรื่องยังไม่คืบไปไหนเลย
พระเอกก็ยังไม่มีวี่แวว ความแค้นอะไรก็ยังดูไม่ถึงจุดแตกหัก
ลุ้นๆให้มีภาค2หล่ะกัน อยากอ่านต่อ 5555

ออฟไลน์ จันทร์ผา

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-2
หวังว่าฝันแม่นางคงไม่เป็นจริงนะ

lazewcielo

  • บุคคลทั่วไป
ห๊ษ จะจบแล้ว
อิทธิกับอาทิตย์ยังไม่เคลีบร์กันเลยน้า

ฝันของแม่นางขอให้มันเป็นเพียงแค่ฝันไปเถอะนะ

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
หุหุ
อยากได้เป็นหนังสือจริงๆเลย
เรื่องนี้เข้มข้นมาก

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16
 :เฮ้อ:บรรยายแต่ละเรื่องไม่ถูก



 :t3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
จะจบแล้วเหรอคุณบอย
ง่ะ ยังดราม่าอยู่เลย ^^;

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
อยากได้จัง หนังสือแต่ละเรื่องนี้น่าเก็บสะสมจริงๆ

LifeTime

  • บุคคลทั่วไป
 :m16:
ตามราวีได้ตลอดเวลา ไร้เหตุผลจริงๆ ยัยคุณจิตรนี่  :beat:

ออฟไลน์ hotladyanyavee

  • ขึ้นจากเกาะ มาใช้ชีวิตบนอ่าวนาง มันก็อินดี้ไปอีกแบบ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2384
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-10
เห็นแล้วอยากได้ แต่ตอนนี้ที่อ่านอิทธิกำลังจะได้รบภัย หรือการสูญเสีย น่าสงสารอะ

ออฟไลน์ BExBOY

  • กัญชาเป็นยาเสพติด โปรอ่านฉลากก่อนสูบ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
จะจบในไม่กี่ตอน?   :a5:

ยังไม่ทันได้เห็นบทหวานอิทกับพี่อาทิตย์เลยน้า ~
อึ่งไปสิบวิ....

คุณจิตร  :beat:

ไปจากไร่นี้เถอะแม่นาง :sad4: อยู่ต่อคนอ่านได้แค้นคับอกตายแทนซะก่อน ฮ่าๆ

Bboyseries

  • บุคคลทั่วไป

ตอนที่ 24

“ไอ้อิท” อาทีเอ่ยเรียกชื่ออิทธิก่อนใครในตอนที่เห็นเด็กหนุ่มเดินตรงมายังร่างของมารดาของตนเอง

“เสนอหน้ามาจนได้นะไอ้เด็กไพร่” จิตราแว้ดตามมาหลังจากลดมือลง อิทธิไม่สนใจมากนัก หนุ่มน้อยดึงร่างมารดาออกมาห่างจากฝ่ายนั้น หันมองหน้าแต่ละคนคล้ายอยากได้คำตอบว่านี่มันเรื่องอะไรกันทำไมคนบนเรือนนี้ถึงยอมให้จิตรามาพิพากษามารดาของตนด้วยวิธีนี้

“พาแม่เรากลับเรือนไปก่อนอิทธิ ฉันชักจะเวียนหัวกับเหตุการณ์แล้ว” จันทร์จวงเอ่ยบอกหนุ่มน้อยในจังหวะที่เจ้าตัวหันมาสบตาเป็นเชิงตั้งคำถาม หญิงชรารู้สึกหน้ามืดจริงๆ กับเรื่องราววุ่นวายที่กำลังจะบานปลายตอนนี้ แต่จะโทษใครได้ล่ะก็นางเองแหละที่ให้บ่าวรับใช้ไปเรียกตัวแม่นางมาเพื่อสืบความในเรื่องที่น้องสาวนางถลาเข้ามารายงานว่าเจ้าตัวไปตบตีสาวใช้อย่างเพลินพิศจนใบหน้าบวมช้ำ

ตอนแรกก็คิดว่าน้องสาวคงจะใส่ความเช่นเดิมแต่พอเห็นใบหน้าของสาวใช้ที่โดนกล่าวอ้างก็อดที่จะตกใจไม่ได้ เป็นไปได้เหรอว่ารอยบวมช้ำบนใบหน้าของสาวใช้อย่างเพลินพิศจะเป็นฝีมือของแม่นางคนที่ไม่น่าจะร้ายใส่ใครเป็น

วินาทีแรกที่แม่นางพาร่างมาบนเรือน นางก็ต้องออกโรงหย่าศึกไปรอบหนึ่งแล้วตอนที่จิตราก็ถลาเข้าไปตบตีฝ่ายนั้น พอศึกสงบจึงได้เอ่ยถามไถ่ถึงเหตุการณ์ว่ามายังไงไปยังไงถึงได้มีเรื่องมีราวกันขึ้นมาอีก ทั้งๆ ที่เคยอยู่กันอย่างสงบมาได้หลายวัน และคนแรกที่แถลงการณ์ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก น้องสาวแท้ๆ ของนางเองน่ะแหละที่เปิดปากบอกว่าตัวเองแค่เดินตรวจงานในเรือนสำนักงานอยู่ดีๆ พอเจอโต๊ะทำงานที่รกราวกองขยะของแม่นางก็เลยตำหนิไปตามหน้าที่เจ้านาย แต่อีคนโดนตำหนิมันกลับทำท่าทีไม่พอใจโต้ตอบกลับอย่างโอหังว่าโต๊ะทำงานของมัน มันทำงานคนเดียว จะรกยังไงคนอื่นก็ไม่น่าที่จะมายุ่ง และด้วยความที่เพลินพิศบ่าวคนสนิทนั้นภักดีต่อตัวเองมากนักก็เลยออกโรงโต้กลับว่าคำพูดและการทำนั้นไม่สมควร สองคนตอบโต้กันไปมาสุดท้ายสาวใช้ของหล่อนก็พลาดท่าเสียทีโดนอีกฝ่ายเข้าทำร้ายตบตีอย่างที่เห็น


“จริงรึแม่นาง” คำถามนี้นางเอ่ยถามอีกหนึ่งคู่กรณีที่รับฟังเรื่องราวจากปากน้องสาวนางด้วยท่าทางนิ่งๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาเพียงสั้นๆว่าขอให้นางใช้วิจารณญาณของคนมีเหตุมีผลคิดทบทวนเอาเองว่าคนอย่างตนจะเริ่มกระทำสิ่งร้ายๆ นั้นได้อย่างนั้นหรือ ถ้าไม่โดนราวีจนสุดจะทนก่อน และเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาคงจะช่วยให้นางหาคำตอบได้ง่ายขึ้น

คำแถลงการณ์เพียงเท่านั้นแหละที่ทำน้องสาวนางปากสั่นตัวสั่นถลาเข้าคิดจะเงื้อมือตบตีฝ่ายนั้นอีก นางก็กำลังคิดจะห้ามแต่ก็ไม่ทันเสียงของเด็กหนุ่มที่กำลังยืนจ้องตาอยู่ตอนนี้

“อย่าหาว่าผมก้าวร้าวเลยนะครับคุณจันทร์ ก่อนที่ผมจะพาแม่ผมกลับเรือน คุณจันทร์โปรดบอกผมมาได้มั้ยครับว่ามันเกิดอะไรขึ้นทำไมคุณจิตรถึงได้คิดจะทำร้ายแม่ผมอีก” อิทธิเอ่ยถามหญิงเจ้าของไร่ แต่ยังไม่ทันที่ฝ่ายนั้นจะตอบก็โดนอีกคนที่ส่งเสียงแว้ดใส่ซะก่อน

“หาว่าฉันคิดทำร้ายแม่แกเหรอไอ้เด็กไพร่ แล้วทีแม่แกมาทำร้ายคนของฉันล่ะ หันไปใช้ตาดำๆ ของแกมองดูอีพิศซิว่าที่สภาพหน้ามันเป็นแบบนั้นเพราะฝีมือใคร”

เสียงนั่นเป็นเสียงจิตรา อิทธิหันไปมองใบหน้าสาวใช้ของเจ้าตัว ตกใจไม่น้อยที่เห็นว่านั่นบวมช้ำ แต่นั่นมันจะเป็นฝีมือมารดาตนจริงๆ น่ะหรือ

“แม่บอกอิทสิว่ามันไม่จริง” เด็กหนุ่มหันมาถามมารดา ก่อนจะใจหายกับคำตอบที่ได้รับ

“จริงอิท แต่แม่อธิบายได้นะ”

“นั่นยังไงล่ะมันยอมรับแล้ว คราวนี้พี่จันทร์อย่าห้ามจิตรนะคะที่จิตรจะทวงความยุติธรรมให้บ่าวของจิตร” จิตราเอ่ยขึ้นทันควันในตอนสิ้นคำของแม่นาง และขณะที่ทุกคนยังงงๆ กับเหตุการณ์หล่อนก็ถือเวลานั้นถลาเข้าไปฟาดฝ่ามือใส่ใบหน้าแม่นางทันที

ใบหน้าแม่นางหันสะบัดไปตามแรงตบ อิทธิตกใจจนตัวชาที่เห็นมารดาถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตาอีกครั้ง หนุ่มน้อยหันมามองคนกระทำ นึกชิงชังจนเก็บกลั้นไม่ไหวจึงยกมือผลักเจ้าตัวให้ถอยออกจากร่างมารดาตนสุดแรง

จิตรากรี๊ดลั่นในตอนที่ร่างเซถอยหลังจากการโดนผลัก อารมณ์ร้ายของหล่อนปะทุถึงจุดเดือดทันทีจึงรีบพยุงตัวไว้แล้วถลาเข้าไปเงื้อมือฟาดใส่ใบหน้าคนที่ทำร้ายตน แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเหยื่อที่เข้ามารับฝ่ามือหล่อนคือบุตรชายของหล่อนเอง

“อาทีลูก” จันทร์จวงเผลอร้องเรียกชื่อหลานชายอย่างตกใจในตอนที่เห็นใบหน้าเจ้าตัวหันสะบัดไปตามแรงฟาดฝ่ามือของผู้เป็นมารดา ด้านอาทีความเจ็บปวดแค่นี้ไม่สามารถลดทอนความรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนได้จึงรีบเอ่ยบอกให้เจ้าตัวพามารดากลับไปที่เรือนในเดี๋ยวนี้
อิทธิยอมฟังคำเพื่อนเมื่อเห็นจิตราแสดงท่าทีร้ายกาจออกมาอีก หนุ่มน้อยดึงแขนมารดาเตรียมหันหลังลงจากเรือน แต่แล้วก็ต้องตกใจในเสียงร้องของฝ่ายนั้น

เหตุที่แม่นางร้องลั่นเรือนเพราะบัดนี้เส้นผมของนางโดนจิตราคว้ากระชากไว้พร้อมคำขู่กรรโชก

“วันนี้กูไม่ได้เห็นเลือดหัวทั้งแม่ทั้งลูกก็อย่ามาเรียกกูอีจิตร”

เอ่ยเสร็จจิตราก็ออกแรงดึงเส้นผมทั้งกระจุกในอุ้งมือเพื่อพาร่างของเจ้าของไปยังเสาเรือนใกล้ๆ การกระทำของหล่อนนั้นรวดเร็วเสียจนใครก็ไม่อาจคาดคิด หลายสายตาต่างอึ้งไปกับความร้ายกาจของหล่อนที่แสดงออกมาให้เห็นด้วยสีหน้าและแววตาที่ไร้ซึ่งความปราณีใดๆ แม้คนที่โดนลากไปจะร้องโอดโอยอ้อนวอนขอให้ปล่อย ทุกคนมารู้สึกตัวอีกทีก็ในตอนที่หญิงร้ายผู้นั้นกำลังจะจับศีรษะเหยื่อโขกเข้ากับเสาเรือน สาวใช้ที่อยู่บนเรือนด้วยต่างกรี๊ดลั่นยกมือปิดตาเพราะคิดว่าจะเห็นภาพอันสะเทือนใจ แต่สามคนที่ไม่ยอมให้ภาพนั้นเกิดขึ้นง่ายๆ ต่างก็วิ่งไปจับร่างของคนร้ายกาจเอาไว้ ส่งเสียงห้ามกันจ้าละหวั่น

“จิตรา! หล่อนอย่าทำอะไรอุกอาจบนเรือนหลังนี้นะ ปล่อยแม่นางเดี๋ยวนี้” แม้เรี่ยวแรงจะมีน้อยตามวัยแต่จันทร์จวงก็เข้าขวางการะกระทำอันร้ายกาจของน้องสาวนางสุดใจขาดด้วยการยกมือแกะอุ้งมือที่เกร็งจิกบนเส้นผมของแม่นางให้หลุดออก แต่ก็ช่างยากนักเมื่อจิตราไม่ยอมปล่อยง่ายๆ

“แม่ พอเถอะครับ หยุดร้ายกาจผิดมนุษย์ซะทีเถอะ” อาทีอีกคนที่ช่วยดึงร่างมารดาของตนให้ห่างออกจากเสาเรือน ส่วนอิทธินั่นได้เข้าช่วยจันทร์จวงแกะกรงเล็บจิตราออกจากเส้นผมมารดาตน น้ำตาไหลด้วยความสะเทือนใจเมื่อเห็นมารดาตนร้องโอดโอยจากอาการเจ็บหนังศีรษะ

“ถอยออกไป ใครก็อย่าได้มายุ่ง กูบอกแล้วไงว่าหากวันนี้เลือดหัวอีแม่ลูกคู่นี้ไม่ออกมาให้กูเห็น ก็อย่ามาเรียกกูอีจิตร” จิตราตวาดขึ้นอีก ออกแรงฮึดฮัดให้ทุกร่างที่เข้ารั้งตัวกระเด็นหลุดหนีห่าง และคนแรกที่เซถลาล้มไปก็คือจันทร์จวง

“ว้าย! คุณจันทร์” เสียงบ่าวไพร่ที่เปิดตามามองเหตุการณ์ร้องกันระงมในตอนที่เห็นร่างเจ้านายชราร่างหงายล้มฟาดกับพื้นเรือน หลายสายตาเห็นนางพยายามจะลุกขึ้นแต่สุดท้ายก็ล้มชักกระตุกสองสามครั้งก่อนฟุบหมดสติทั้งๆ ที่สายตายังเบิกโพลงอยู่อย่างน่ากลัว

“ป้าจันทร์ ป้าจันทร์ ป้าเป็นอะไร” อาทีละความสนใจจากมารดาถลาเข้ามาจับร่างผู้เป็นป้าเขย่า เด็กหนุ่มเห็นร่างนั้นนอนแข็งทื่อตาค้างก็แทบช็อคกลัวว่าเจ้าตัวจะเป็นอะไรในสิ่งที่ไม่อยากให้เป็น น้ำตาหนุ่มน้อยไหลออกมาอาบแก้มเป็นสายพลางร้องตะโกนให้บ่าวไพร่เข้าช่วยจ้าละหวั่น

จิตราหยุดอาการบ้าคลั่งไว้ชั่วคราวแล้วหันมาสนใจอาการพี่สาวบ้าง ภาพที่เห็นทำเอาหล่อนแท็บช็อคเช่นกันจึงยอมปล่อยร่างของแม่นางให้เป็นอิสระแล้วถลาเข้ามาพยุงร่างพี่สาวเขย่าถามพลางร้องห่มร้องไห้

“พี่จันทร์ พี่จันทร์ พี่จันทร์ฟื้นสิคะ พี่จันทร์เป็นอะไร จิตรขอโทษ จิตรขอโทษ”
“แม่ แม่พาป้าจันทร์ไปหาหมอนะครับแม่ ผมเป็นห่วงป้าจันทร์ ผมกลัวอ่ะแม่ ผมกลัว” อาทีร้องห่มร้องไห้อ้อนวอนมารดา สติหนุ่มน้อยตอนนี้หลุดกระเจิดกระเจิงจนเกินจะกู่กลับ เพราะหากผู้เป็นป้าเป็นอะไรไปจริงๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าตนเองจะอยู่ในไร่นี้ได้ยังไง

จิตราเองก็ใช่ว่าจะต่างจากบุตรชาย หล่อนเองก็ร้องห่มร้องไห้พลางออกปากสั่งให้คนงานเตรียมรถเพื่อที่จะพาพี่สาวหล่อนไปโรงพยาบาลในเมือง

ส่วนอีกด้านหนึ่งแม่นางกับอิทธิเองก็กำลังนั่งกอดกันกลม โดยต่างคนก็ต่างร้องไห้สายตาทั้งคู่มองมายังร่างของผู้มีพระคุณที่นอนแข็งทื่อตาเบิกโพลงเฉกเช่นคนไร้ซึ่งชีวิต ในใจสองคนอยากจะเข้ามาดูอาการอย่างใกล้ชิดนัก แต่ก็ไม่อาจทำได้เพราะยังหวั่นใจว่าจิตราจะร้ายเข้าใส่ดังเช่นเหตุการณ์เมื่อครู่นี้อีก

“แม่ คุณจันทร์จะเป็นอะไรมั้ยแม่” อิทธิเอ่ยถามมารดาปนสะอื้น ในนาทีนี้นึกห่วงใยผู้มีพระคุณเหลือล้น ซึ่งก็ไม่ต่างจากมารดาเท่าไหร่นักที่ไม่สนใจเก็บเผ้าผมที่กระเซอะกระเซิงจากการโดนจิกกระชากให้เข้ารูป นางปล่อยให้น้ำหูน้ำตาไหลอาบสองแก้มเป็นสาย ไม่อาจตอบบุตรชายได้เต็มปากนักว่าเจ้าของไร่นี้จะเป็นอะไรได้แค่ไหน แต่จากอาการที่นางเห็นน่ากลัวนักว่าฝ่ายนั้นอาจจะช็อคจนสิ้นลมไปแล้ว

ข่าวที่จันทร์จวงถูกหามร่างส่งโรงพยาบาลในตัวเมืองสร้างความสะทือนใจให้กับเหล่าคนงานกันถ้วนหน้า หลายคนร้องห่มร้องไห้ร่ำร้องขอตามไปดูอาการ หลายคนรีบจุดธูปเทียนกราบไหว้เจ้าป่าเจ้าเขาเจ้าที่เจ้าทางและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่อยู่ในไร่ส่มแห่งนี้ ให้ช่วยปกป้องคุ้มครองผู้มีพระคุณได้มีลมหายใจต่อไปเพื่อเป็นใบบุญให้หลายชีวิตได้อาศัยร่มเงา แต่กับสามคนนี้ข่าวที่ได้ยินดูจะเป็นข่าวดีนักแล

นายศร นายสิน และส้ม นั่งจับวงล้อมกันกลางกองไฟในเวลาค่อนคืน ต่างคนต่างหัวเราะอย่างรื่นเริงทันทีที่ได้ยินข่าวว่าหญิงชราเจ้าของพื้นดินในไร่นี้ถูกหามร่างส่งโรงพยาบาล อาการสินที่ว่าแย่ๆ แต่แรกกลับดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ทันทีที่ได้ยินข่าวที่ว่า จึงสามารถพาร่างกายมานั่งจับกลุ่มกับบิดาและน้องสาวได้

“โชคมันช่างเข้าข้างพ่อของพวกเอ็งดีแท้ไอ้สิน นังส้ม อยู่ดีๆ อีแก่จันทร์จวงมันก็มาล้มเจ็บหรืออาจจะตายแล้วก็ได้ในตอนที่ข้ากำลังคิดจะฮุบเอาไร่ของมัน เป็นแบบนี้ก็เท่ากับว่าคนที่ข้าต้องเปลืองสมองคิดแผนจัดการก็มีแค่อีบ้าจิตราเพียงคนเดียว ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องยากนัก เพราะคนที่นี่ไม่ได้จงรักภักดีกับอีนี่เท่าไหร่ การที่มันจะล้มหายตายจากไปคงไม่มีใครที่จะตามสืบความให้วุ่นวาย หนำซ้ำอาจจะดีใจจนช่วยกันปิดเรื่องซะด้วยซ้ำ ไม่คิดเล้ย ว่าเรื่องราวมันจะเข้าลงเอยง่ายๆ แบบนี้” นายศรเอ่ยบอกกับบุตรสาวและบุตรชายที่นั่งตีสีหน้าระรื่นรับฟังก่อนจะหัวเราะชอบใจตุนเอาไว้ให้พอ เพราะหลังจากนี้อาจจะต้องมีแกล้งเล่นบทโศกเสร้าเสียใจไปกับการจากไปเจ้านายผู้ใจดี ซึ่งทั้งหมดคิดว่ามันต้องเป็นเช่นนั้น เพราะจากการลอบสืบถามจากผู้เห็นเหตุการณ์ทุกคนต่างก็เล่าว่าภาพสุดท้ายที่ได้เห็นจันทร์จวงมันช่างน่ากลัวนักเพราะนางดั่งเหมือนคนช็อคตายเฉียบพลันแล้วจริงๆ
ที่เรือนอิทธิและแม่นาง สองคนต่างกระวนกระวายเรื่องที่ผู้มีพระคุณถูกหามส่งโรงพยาบาล จนลืมนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ตัวเองเคยกลัดกลุ้มก่อนหน้า โดยอิทธินั้นลืมเสียสนิทว่าตัวเองโดนเหล่าอันธพาลรุมรังแกจนเสียจักรยานคันรักไป ส่วนแม่นางเองก็ลืมเรื่องหนักใจเกี่ยวกับที่บัญชีโดนลักลอบแก้ไขตัวเลขไปเสียสิ้นเช่นกัน สิ่งที่ทั้งสองสนทนากันตอนนึ้งเป็นเรื่องของจันทร์จวงไปซะหมด

“แม่ คุณจันทร์คงไม่เป็นอะไรใช่มั้ยครับ”

“แม่ก็สุดจะคาดเดาอิทเอ้ย แต่คนดีๆ อย่างท่านคงไม่เป็นอะไรหรอกลูก”

“แต่มันน่ากลัวนะแม่ ตอนที่อิทเห็นท่านชักกระตุกแล้วหมดสติไป”

“อย่าไปจำภาพนั้นเลยลูก มันไม่ดีหรอก มาช่วยกันภาวนาให้ท่านหายเป็นปกติเถอะนะ”

“อิทกราบไหว้สิ่งศักดิ์ไปทุกทิศแล้วแม่ อิทใม่อยากให้คุณจันทร์เป็นอะไร ท่านมีพระคุณกับอิทมากนัก”

“แม่ก็เหมือนกันลูก แต่อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดนะ”

สองคนโผเข้ากอดกัน รู้สึกร้อนรนอยากทราบข่าวของเจ้านายเจียนใจจะขาด แต่ก็ทำได้แค่รอ เพราะตอนนี้คงไม่สมควรนักที่จะพาร่างเฉียดเข้าใกล้กับจิตราอีก

หลังจากที่พาพี่สาวถึงมือหมอได้จิตราก็เดินไปเดินมารอฟังผลจากการตรวจอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน หล่อนตัดสินใจเก็บเรื่องที่พี่สาวเข้าโรงพยาบาลไว้ไม่บอกกับบุตรชายคนโตอย่างอาทิตย์เมื่อตอนแรกที่ติดต่อไปหาเจ้าตัวเพื่อจะแจ้งข่าวแต่เจ้าตัวบอกกำลังอ่านหนังสือหนักเพื่อเตรียมตัวสอบหวังคว้าเกียรตินิยมมาให้ชื่นชม แน่นอนที่สุดว่าหล่อนเองก็หวังว่าจะให้พี่สาวหล่อนยินดีกับหล่อนด้วย ใช่สิ พี่สาวหล่อนต้องไม่เป็นอะไร เจ้าตัวอยู่ในความดูแลของหมอของพยาบาลแล้วนางต้องปลอดภัย และหากว่านางจะเป็นอะไรไป คนที่จะรับผิดชอบเรื่องนี้ได้ก็คือไอ้อีแม่ลูกคู่อับปรีย์นั่น ซึ่งหากพี่สาวหล่อนหมดลมหายใจไปจริงๆ ก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้หากหล่อนจะให้พวกมันสองคนชดใช้การสูญเสียครั้งใหญ่หลวงนี้ด้วยชีวิตของพวกมันเช่นกัน!
เวลาผ่านไปนานยังไม่มีใครออกมาจากห้องตรวจสักคน จิตราออกอาการวุ่นวายจนรู้สึกขัดใจต่อสิ่งรอบตัว ที่สุดไม่มีอะไรให้ระบายจึงหันมาตวาดใส่บุตรชายที่นั่งสะอื้นเบาๆ อยู่หน้าห้อง

“แกจะร้องไห้อีกนานมั้ยไอ้อาที ป้าแกยังไม่ตาย แค่ช็อคสิ้นสติ แกจะมาคร่ำครวญอะไรนักหนาห๊ะ!”

“ผมเป็นคน ผมมีหัวจิตหัวใจ ผมไม่ใช่แม่นี่ ที่ป้าจันทร์เป็นแบบนี้ก็เพราะแม่น่ะแหละรู้เอาไว้ด้วย” อาทีเอ่ยเถียง ยังจำภาพความร้ายกาจถึงขีดสุดของมารดาได้ดี มันช่างน่ากลัวอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนนัก แม้ที่ผ่านมาเจ้าตัวอาจจะร้ายแต่ทุกคราก็ไม่ถึงขั้นจิกกระชากลากผมใครไปทำทารุณให้ได้เห็น

“อย่ามาโทษฉัน คนที่แกควรจะโทษคือไอ้อีสองแม่ลูกนั่น แกก็เห็นว่าพวกมันรังแกแม่แก แกยังจะคิดเข้าข้างมันอีกเหรอไอ้ลูกเวร” จิตราด่าว่าเมื่อรู้สึกผิดหวังที่จนป่านนี้บุตรชายยังไม่คิดเข้าข้างตนอีก ก็เห็นอยู่ตำตาว่าหล่อนโดนไอ้เด็กเปรตอิทธิผลักจนหัวแทบคำมำ หากมันไม่ทำโอหังอย่างนั้นหล่อนจะร้ายถึงจุดเดือดมั้ย!

“แล้วเหตุการณ์ที่วุ่นวายมาจนป่านนี้ใครเป็นฝ่ายเริ่มล่ะ หากแม่ไม่เริ่มราวีแม่นางกับไอ้อิทตั้งแต่ต้น ไร่เราคงไม่ร้อนเป็นไฟจนป้าจันทร์ต้องมาล้มเจ็บแบบนี้หรอก ทีกับนายศรนายสินแม่ทำไมไม่ร้ายใส่พวกมันบ้าง พวกมันน่ะเลวกว่าแม่นางกับอิทธิเป็นไหนๆ เคยคิดจะเปิดตจามองบ้างมั้ย วันๆ จ้องแต่จะรังแกคนดี ส่วนคนไม่ดีปล่อยให้มันขี้รดบนรังคาได้ทุกวี่ทุกวัน ผมไม่อยากจะว่าแม่โง่นะ แต่วันนี้ผมสุดจะทนแล้ว”

“ไอ้อาที ไอ้ๆๆๆ” จิตราปากคอสั่นกับคำด่าว่าของบุตรชาย ว่าจะตอบโต้กลับก็ไม่ทันการณ์เมื่อเจ้าตัวพาร่างเดินหายไปแล้ว หล่อนจึงได้แต่ยืนกำหมัดแน่นมองตามหลังด้วยอารมณ์นึกฉุน

ขณะยืนโกรธบุตรชายจนอกแทบระเบิด ทางด้านหลังก็มีเสียงเปิดประตูห้องจิตราจึงหันไปมองพบหมอและพยาบาลเดินกันมาด้วยสีหน้าไม่สู้จะดีนัก หล่อนจึงปรี่เข้าไปถามถึงอาการพี่สาว คำตอบที่ได้ทำเอาแทบทรุดลงกับพื้น

 “ทำใจดีๆ นะครับ ตอนนี้ผู้ป่วย………”

โปรดติดตามตอนต่อไป



LifeTime

  • บุคคลทั่วไป
 :เฮ้อ:
คนอย่างคุณจิตรนี่จะสำนึกได้ตอนไหน???

ออฟไลน์ j4c9y

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +178/-7
กรี๊ดดดดดดดดดดด


คุณจิตรนี่ไม่มีความใจเย็นเลยสักนิด

Bboyseries

  • บุคคลทั่วไป

แอบบมาสปอยล์ว่าตอนนี้เบาๆ ตอนหน้า จัดหนักสำหรับคอมาม่า  o18

รอติดตามนะครับ

ออฟไลน์ จันทร์ผา

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-2
ลุ้นระทึก ตอนหน้าต้องหาผ้าเช็ดหน้ามาเตรียมไว้ละ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






littleFiNgeR

  • บุคคลทั่วไป
คนอย่างคุณจิตรเนี่ยนะไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ไม่เสียอะไรไปซักอย่างก็ไม่รู้สึกหรอก ดีนะคนรอบข้างไม่มีใครเป็นแบบนี้ ไม่งั้นนะ...ฮึ่มๆๆ สงสัยตอนหน้าจะได้ใช่ผ้าเช็ดตัวแทนผ้าเช็ดหน้าแหง่มๆ เฮ้อ!

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
เฮ้อ!
บ้านนี้ร้อนอย่างกับไฟ

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
โอ๊ยย อ่านเรื่องนี้แล้วหัวใจจะวาย
วุ่ยวายตั้งแต่เริ่มเรื่องยันจะจบ
มันจะมีซักตอนไหมที่ Happy

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16
เวรกรรมของอีจิตรา เพราะจิตใตของมันที่ร้อนจนหาอะไรมาดับไม่ได้

เรื่องราวต่างๆมันเลยเหมือนเดิมกับเหตุการณ์ในอดีต

จิตใจชั่วร้าย ไร้เมตตาปราณี มองคนในแง่ร้าย

มองๆดูแล้วไม่มีอะไรดีเลยอีเหี้ยนี่ :z6:

ออฟไลน์ primmi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 242
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
เดาว่าอีจิตรต้องไปใส่ร้ายให้อาทิตย์ฟัง
อาทิตย์มาทำร้ายอิทธิ อิทธิกับแม่นางหนี ไร่โดนนายศรยึด อาทิตย์รู้ความจริง
แล้วจะจบยังไงหว่า โอ้ยยย อ่านแล้วปวดตับปวดไต

ออฟไลน์ hotladyanyavee

  • ขึ้นจากเกาะ มาใช้ชีวิตบนอ่าวนาง มันก็อินดี้ไปอีกแบบ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2384
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-10
อย่าบอกนะว่าป้าจันทร์ ตายนะ เรื่องชัดจะดราม่าขึ้นทุกวัน

Bboyseries

  • บุคคลทั่วไป

ตอนที่ 25

“ทำใจดีๆ นะครับ ตอนนี้ผู้ป่วยยังไม่ได้สติ เกิดจากอาการช็อคเฉียบพลันน่ะครับ เป็นอาการของโรคหัวใจชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากการทำงานผิดปกติของเซลล์หัวใจ โรคนี้ตรวจพบยากมาก เพราะอาการจะไม่แสดงออก แต่หากมีอะไรมากระตุ้น จะทำให้เหมือนกับคนหัวใจหยุดเต้น เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ การเต้นของหัวใจจึงผิดปกติ ถ้าไม่มีสิ่งกระตุ้นก็จะไม่เป็นไร หากมีสิ่งกระตุ้น เช่น ดีใจมากหรือเสียใจมากก็จะเกิดอาการช็อคจนไม่ได้สติแบบนี้ ซึ่งเสี่ยงมากกับการเป็นผู้ป่วยนิทรา ไม่ทราบว่าก่อนหน้านี้ ผู้ป่วยไปพบเจอเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ต้องเกิดอาการช็อคแบนี้มาหรือครับ แต่อย่าเพิ่งกังวลมากไปนะครับ ทางเราจะพยายามเต็มที่เพื่อทำให้ผู้ป่วยฟื้นและไม่ต้องเป็นผู้ป่วยนิทรา แต่คงไม่ใช่วันสองวันนี้”

นั่นคือถ้อยคำของแพทย์ผู้ตรวจอาการ เจ้าตัวเดินผ่านไปแล้วจิตราถึงกับร่างทรุดลงบนพื้นจริงๆ ทั้งรู้สึกผิด ทั้งรู้สึกสงสารต่ออาการพี่สาว หล่อนส่ายหน้าไปมาอย่างคนไม่อยากจะเชื่อว่าพี่สาวหล่อนเป็นมากขนาดนี้ นี่ถ้าหล่อนรู้ว่าพี่สาวหล่อนเป็นโรคหัวใจหล่อนก็คงจะเอาในใส่นางมากกว่านี้ เห็นเป็นลมหน้ามืดบ่อยๆ ก็เพียงคิดว่าเป็นไปตามวัย ใครจะรู้กันเล่าว่านางมีโรคร้ายแฝงอยู่ภายในร่างกายด้วย แต่ไม่สิ หล่อนจะมานั่งสำนึกผิดอยู่เพียงคนเดียวแบบนี้ไม่ได้ คนที่ทำให้หล่อนต้องร้ายจนพี่สาวหล่อนต้องช็อคสิ้นสติแบบนี้คือไอ้อีแม่ลูกคู่นั้น พวกมันสองคนต้องรับผิดชอบเรื่องนี้

เมื่อคิดได้เช่นนั้นสองมือหญิงร้ายก็ยกขึ้นปาดน้ำตาทิ้งยันกายลุกขึ้นอย่างมาดมั่น นาทีนี้หล่อนจะมัวอ่อนแอไม่ได้ ถึงเวลาที่หล่อนจะต้องเด็ดขาดกับกับอีแม่ลูกอับปรีย์คู่นั้นซะที คิดอีกทีการที่พี่สาวหล่อนหลับใหลไม่รู้เรื่องราวแบบนี้มันก็ดีไม่น้อย เพราะหล่อนจะได้จัดการขับไล่ไอ้อีขี้ข้าที่หล่อนนึกเกลียดไปให้พ้นจากไร่นี้ได้สะดวก มันสมควรแก่เวลาแล้วล่ะทีหล่อนจะทำเช่นนั้น

“ขอโทษนะคะพี่จันทร์ที่จิตรต้องถือเอาโอกาสนี้เฉดหัวไอ้อีแม่ลูกคู่นั้นไปให้พ้นจากไร่ของเรา”

หล่อนหันไปทางห้องที่คิดว่าร่างพี่สาวคงกำลังนอนหลับอย่างสงบอยู่แล้วออกก้าวเดินฉับไปกลับไปยังรถที่ลุงไกรขับมาส่ง ไปถึงก็เอ่ยออกคำสั่งให้คนขับนำพาตนกลับไปที่ไร่
อาทีมองเห็นร่างมารดาก้าวขึ้นรถก่อนที่รถจะขับเคลื่อนออกไปก็นึกแปลกใจว่าทำไมมารดาไม่อยู่รอดูอาการป้าของตน หรือว่าเจ้าตัวจะทราบอาการแล้ว ใช่สิ ป่านนี้แล้วหมอน่าจะออกมาจากห้องตรวจแล้ว คิดได้เช่นนั้นหนุ่มน้อยก็ไม่รอช้าที่จะวิ่งกลับไปทางห้องตรวจเพื่อขอพบนายแพทย์ที่ตรวจอาการป้าของตน เด็กหนุ่มสนใจในอาการของผู้เป็นป้ายิ่งกว่าสิ่งใดจนไม่ได้ใส่ใจว่าขณะนี้มารดาของตนกำลังไปที่ใด

จิตรากลับมาที่ไร่ได้ก็ตรงไปยังเรือนนายศรสั่งการให้เจ้าตัวไปเกณฑ์คนงานชายที่ร่างกายกำยำมาให้พอสำหรับการไปรื้อถอนเรือนของแม่ลูกที่หล่อนนึกชัง ด้วยอารมณ์ที่กำลังร้ายกาจจนขาดสติหล่อนจึงไม่สนใจอาการฟกช้ำของสิน ซึ่งสินเองพอได้ยินคำสั่งการแบบนั้นก็เปรียบเป็นยาวิเศษอีกหม้อที่ช่วยรักษาอาการฟกช้ำ หนุ่มอันธพาลฮึดร่างกายรับคำบัญชาการทันที ไม่ต่างจากนายศรที่แทบจะกระโดดลงจากเรือนเพื่อไปเกณฑ์พรรคพวกอย่างว่าง่าย การที่จิตราทำแบบนี้ก็เท่ากับว่าตนเองจะได้กำจัดแม่นางไปให้พ้นไร่นี้ได้ง่ายขึ้นแบบไม่ต้องเปลืองสมองคิดหาทาง

ชายหัวหน้าคนงานหันมาสั่งบุตรสาวให้อยู่เฝ้าเรือนแล้วรีบพาบุตรชายไปเกณฑ์เหล่าสมุน ด้านจิตรามองตามยิ้มอย่างสมใจคิดว่านายศรนั่นช่างรู้ใจและจงรักภักดีกับหล่อนมากนัก เอ่ยปากสั่งยังไม่ทันไรฝ่ายนั้นก็กระตือรือร้นทำตาม และการที่หล่อนมัวแต่ยิ้มสมใจจึงไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มเยาะหยันแกมสมเพชที่ส้มแอบยิ้มส่งให้อยู่ไม่ไกลตัว

“ไร่จะโดนฮุบยังไม่รู้สำนึกอีกอีแก่” สาวน้อยเอ่ยขึ้นตามหลังเมื่อจิตราเดินตามบิดาและพี่ชายของตนไป

ด้านแม่นางและอิทธิ แม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้วแต่ก็ต่างพากันนอนไม่หลับ ด้วยเพราะอยากจะรู้ข่าวของผู้มีพระคุณ

“เราตามไปที่โรงพยาบาลดีมั้ยแม่” อิทธิเอ่ยเสนอขึ้น เมื่อคิดว่าจะทนร้อนใจแบบนี้ไปเพื่ออะไร

“แม่ก็อยากไปอิท แต่นี่มันค่ำมืดขนาดนี้เราจะเอารถที่ไหนออกไปกัน”

แม่นางหันมาเอ่ยตอบ ทั้งสองถอนหายใจปลงตกว่าคงต้องรอให้ฟ้าสางนั่นล่ะถึงจะรับรู้อาการของจันทร์จวง

ระหว่างที่นั่งปลงตกกันอยู่นั้น สองคนก็ต้องตกใจเมื่อมีเสียงดังโครมบนหลังคาเรือน

“เสียงอะไรแม่ ต้นไม้ล้มทับหลังคาเรือนเราเหรอ” อิทธิเอ่ยถามมารดาอย่างตกใจ แม่นางเองก็คิดว่าเป็นเช่นนั้นจึงรีบฉุดแขนบุตรชายออกมานอกชายคาเรือน เพราะเรือนของตนใช่ว่าจะแข็งแรงนัก หากเป็นต้นไม้ล้มทับลงมาจริงก็ไม่ควรที่จะอยู่ภายใน

สองคนวิ่งหน้าตาตื่นออกมาได้แค่ชานเรือนก็ต้องตกใจซ้ำสองเมื่อบัดนี้ที่ลานกว้างหน้าเรือนพบจิตราพาร่างนายศรนายสินและคนงานชายวัยฉกรรจ์หลายนายมายืนจังก้าจ้องมอง

“โผล่หัวออกมาแล้วเหรออีพวกไพร่ วันนี้พี่จันทร์ไม่สามารถคุ้มกะลาหัวของพวกแกได้อีก ก็ถึงคราวที่ฉันจะจัดการกับพวกแกให้เด็ดขาดซะที”

จิตราเอ่ยขึ้นก่อนใคร สิ่งที่ออกมาจากปากของหล่อนทำให้แม่นางและอิทธิคิดเป็นห่วงจันทร์จวงจนลืมนึกถึงเรื่องตัวเอง ที่สุดแม่นางจึงเอ่ยปากถามก่อน

“คุณจิตรหมายความว่ายังไงคะ คุณจันทร์เป็นอะไรคะ คุณจันทร์เป็นอะไร”

“หนอยอีไพร่ แกไม่ต้องมาสะเออะถามถึงพี่สาวฉัน แกสมควรห่วงตัวแกเองและลูกชายแกเถอะว่าคืนนี้พวกแกจะไปมุดหัวนอนกันอยู่ที่ไหน นายศร พาพวกไปจัดการรื้อเรือนมันให้หมด อย่าให้เสามันเหลือไว้ทิ่มตาฉันแม้แต่ต้นเดียว” จิตราตวาดตอบกลับมาก่อนจะออกคำสั่งให้เหล่าบริวารที่ติดตามมาเข้าไปพังทลายเรือนหลังที่ตั้งอยู่ตรงหน้า

ถึงตอนนี้สองแม่ลูกจึงได้สติว่าภัยกำลังจะมาถึงตัวจึงรีบแยกร่างกันเข้าขวางคนหลายคนที่กรูเข้ามายังเรือน โดยฝั่งอิทธิได้เผชิญหน้ากับนายสินและสมุนส่วนแม่นางเองต้องต้านทางฝั่งนายศรและสมุนเช่นกัน

สองแม่ลูกเอ่ยห้ามบุคคลทั้งหมดกันจ้าละหวั่นว่าห้ามเข้ามาทำอะไรเรือนของพวกตน แต่อนิจจา เสียงห้ามของพวกเขาหรือจะสู้เสียงสั่งการของจิตรา
“อย่าไปยึกยักเพราะพวกมัน เข้าไปจัดการพังมันให้สิ้นซาก หากมันสองคนขัดขวางนัก ก็จับมันลงมาจัดการกระทืบซะให้จมไปกับพื้นเรือนของพวกมันซะ”

คำสั่งการของจิตรานั้นกระตุ้นให้นายศรและนายสินฮึกเหิมกว่าใครเพื่อน ทั้งสองจึงกรูเข้าไปกระชากร่างของเจ้าของเรือนที่ตั้งท่าปกป้องที่คุ้มกะลาหัวอยู่ลงมาแล้วจับโยนให้ร่างกระแทกกันเองกลิ้งไปตามพื้นดินพื้นหญ้า

“พวกมึงจัดการพังเรือนมัน ส่วนมันสองคนกูกับลูกจะจัดการเอง” นายศรเอ่ยสั่งสมุนแล้วหันมาย่างเท้าสามขุมเข้าหาแม่นางซึ่งกำลังพยายามยันกายลุกขึ้น อิทธิเห็นภาพนั้นจึงคิดจะคลานมาขวางการจู่โจม แต่หนุ่มน้อยก็ไม่อาจทำอย่างที่หวังเมื่อปลายเท้าโดนมือแข็งๆ กระชากกลับไปจนร่างครูดไปกับพื้นหญ้า เด็กหนุ่มร้องโอ้ยเพราะรู้สึกเจ็บแสบกับการโดนเส้นหญ้าคมและกิ่งไม้แห้งบาดเข้าตามแขนขา

“อิท!” แม่นางร้องตามร่างบุตรชายที่โดยอุ้งมือของสินกระชากเข้าที่ปลายเท้าลากไปตามพื้นดินพื้นหญ้า ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะปล่อยร่างเจ้าตัวให้เป็นอิสระแล้วจัดการเตะเข้าที่ชายโครงหนึ่งครั้งจนบุตรชายนางร้องโอ้ยขดตัว

“มึงทำกูกระอักมาแล้วไอ้อิทธิ ถึงคราวนี้กูขอเอาคืนบ้างเถอะ” สินเอ่ยลอดไรฟันออกมาก่อนจะจัดการเตะซ้ำเข้าที่ชายโครงของอิทธิที่กำลังนอนขดตัวอยู่อีกหนึ่งครั้ง แม่นางแทบใจสลายกับภาพที่บุตรชายของตนนอนขดตัวอย่างคนฝืนอาการเจ็บปวดตามร่างกาย นางคิดจะลุกวิ่งเข้าไปหาเพื่อปกป้อง แต่ก็ทำไม่ได้เมื่อโดยมือบางมือดึงกระชากเส้นผมเอาไว้จนต้องแหงนหน้าบรรเทาแรงรั้ง เจ้าของมือคือนายศรที่กำลังนั่งลงเอ่ยแสยะยิ้มใส่หน้า

“เอ็งไม่ต้องห่วงลูกเอ็งหรอกแม่นาง เอ็งห่วงเอ็งจะดีกว่า”

“นายศรจะทำอะไรฉัน ปล่อยฉันกับลูกไปเถอะ ทำไมต้องมาทำกันแบบนี้ด้วย” แม่นางเอ่ยอ้อนวินเสียงสั่น ลำพังนางเจ็บคนเดียวนางคงไม่อ้อนวอนแบบนี้ แต่นี่อีกฝั่งหนึ่งบุตรชายของนางกำลังระบมจากฝีมือของบุตรชายคนที่กำลังกระชากเส้นผมนางตอนนี้

“แกสองคนวอนให้วันนี้มันเกิดขึ้นเองนะอีแม่นาง ฉันพยายามไล่ให้แกออกไปจากไร่นี้ดีๆ แต่แกยังดื้อด้านที่จะเกาะกินใบบุญพี่สาวฉันอยู่ วันนี้พี่สาวฉันลุกมาปกป้องพวกแกไม่ได้ พวกแกสองคนจึงต้องมาพบจุดจบแบบนี้แหละ นายศรจับหน้ามันหันไปให้มันเห็นเรือนที่คุ้มกะลาหัวมันพังทะลายลงต่อหน้าต่อตาซิ”

จิตราเอ่ยขึ้นบ้างหลังจากยืนสาแก่ใจในภาพต่างๆ ที่เห็นเป็นนาน เบื้องหน้าตอนนี้เรือนทั้งหลังกำลังถูกคนงานวัยฉกรรจ์หลายนายรื้อถอนและทำลายไปแล้วบางส่วน ส่วนที่พื้นอีกฝั่งไอ้เด็กไพร่อย่างอิทธิก็นอนขดตัวงอพูดจาไม่ออกจากการจุกเสียดที่โดนนายสินกระทืบจนกระอัก และที่ปลายเท้าตอนนี้อีแม่นางก็กำลังโดนนายศรกระชากผมแหงนหน้าให้หันมองเรือนทั้งหลังของมันถูกทำลาย มันคงไม่มีอะไรที่จะสาแก่ใจหล่อนไปมากกว่านี้อีกแล้ว

แม่นางสะอื้นไห้อย่างคนใจสลายที่เห็นเรือนทั้งหลังที่ตนอาศัยอยู่กับบุตรชายอย่างอบอุ่นกำลังพังทลายจนไม่เหลือโครงเรือน ข้าวของต่างๆ ถูกรื้อมาทุบทิ้ง เสื้อผ้านาง ตำราเรียนของบุตรชายถูกฉีกทำลายจนย่อยยับไปต่อหน้า นาทีที่เห็นชายคนหนึ่งหยิบชุดนักเรียนของบุตรชายขึ้นมาเตรียมฉีกทิ้งนางพยายามฝืนร่างกายคิดจะคลานไปเข้าขวาง แต่แล้วก็ทำไม่ได้เมื่อนายศรออกแรงดึงรั้งเส้นผมนางจนกลัวว่าหากดิ้นต่อไปหนังศีรษะอาจจะหลุดติดมือไปได้

สุดท้ายนางจึงยอมยกมือพนมเอ่ยอ้อนวอนทั้งน้ำตาว่าอย่าให้ชายคนนั้นทำอะไรเช่นนั้นเลย คำอ้อนวอนของนางดังไปถึงหูอิทธิที่กำลังนอนจมซบพื้นอยู่ หนุ่มน้อยฝืนร่างกายหันมามองทางมารดา จิตใจที่เคยแกร่งแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ ตอนที่เห็นเจ้าตัวยกมือไหว้อ้อนวอนคนงานชายไม่ให้ทำลายชุดนักเรียนของตน เด็กหนุ่มอยากจะลุกไปห้ามมารดาให้หยุดทำเช่นนั้น แต่ทุกครั้งที่ขยับร่างกายก็โดนปลายเท้าของอันธพาลอย่างสินเตะเข้าจนเจ็บไปทั้งร่างกาย

“ไม่!!! อย่า! ฮือๆ อย่าทำชุดนักเรียนลูกฉัน อย่า! ฮือๆ” แม่นางส่งเสียงโฮหนักเมื่อเห็นชายผู้นั้นไม่ฟังคำอ้อนวอนด้วยการเตรียมจะทำลายชุดที่นางภูมิใจทุกครั้งที่เห็นบุตรชายสวมใส่ แล้วที่สุดเสียงร้องไห้ของนางก็สามารถหยุดการกระทำของชายผู้นั้นได้ นางยิ้มทั้งน้ำตาที่เห็นชุดนักเรียนของบุตรชายยังไม่ถูกทำลายไป

“ฮึ่ย! ขัดใจกูนัก จะสนใจทำไมกับเสียงเห่าหอนของอีนี่ มานี่กูจัดการเอง” จิตรารู้สึกโกรธกับอาการใจอ่อนของคนงาน หล่อนก้าวฉับๆ ไปแย่งเสื้อผ้าชุดนั้นมาถือไว้ในมือ หันมาแสยะยิ้มให้แม่นางเอ่ยบอก
“คนอื่นใจอ่อนให้มึง แต่สำหรับกูมึงอย่าหวัง ดูชัดๆ อีแม่นางนี่คือสิ่งที่มึงหวงแหนให้ลูกชายมึงใช่มั้ย ดูชัดๆ ว่ากูจะทำอะไรกับมัน”

จิตราเตรียมจะฉีกทำลายเสื้อผ้าในมือ แม่นางยกมือไหว้อ้อนวอนทั้งน้ำตาอีกรอบ

“คุณจิตรคะ ดิฉันขอล่ะค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างคุณจิตรก็สั่งให้คนงานทำลายไปหมดแล้ว เรือนดิฉันก็ไม่เหลือ ข้าวของดิฉันก็พังทลาย ดิฉันขอชุดนักเรียนนี้ให้ลูกชายดิฉันนะคะ ได้โปรดเถอะค่ะ อีกไม่เท่าไหร่อิทมันก็จะเรียนจบแล้ว และเราสองแม่ลูกก็จะไปจากที่นี่ทันที ดิฉันขอนะคะ ดิฉันขอ”

อิทธิฮึดร่างกายที่เจ็บเจียนตายเอ่ยร้องบอกมารดาว่าหยุดขอร้องกราบไหว้คนชั่วช้าเถอะ เพราะยิ่งทำพวกมันก็ยิ่งได้ใจ จิตราได้ยินเช่นนั้นจึงเดินมาทางหนุ่มน้อยบ้าง หล่อนนั่งลงใช้มือกระชากผมทางด้านหน้าของฝ่ายนั้นให้มองมาที่มือของหล่อนที่ถือชุดนักเรียนนั่นไว้ถลึงตาบอก

“ปากดีนักใช่มั้ยไอ้เด็กไพร่ ดี งั้นแกก็จงดูซะ ฉันจะทำลายชุดอันมีเกียรติของแกนี่ต่อหน้าต่อตาแกนี่แหละ อย่าหวังเลยว่าแกจะได้เรียนจบแล้วมีอนาคตมาเทียบเท่าลูกชายฉัน แกมันลูกขี้ข้าก็สมควรมีอนาคตอย่างลูกขี้ข้า จำเอาไว้” เอ่ยจบหล่อนก็จับใบหน้านั่นกระแทกซบพื้นหญ้า แล้วลุกขึ้นจัดการใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีฉีกกระชากทำลายชุดนักเรียนทั้งชุด กระทั่งหลายชิ้นส่วนได้ตกลงต่อหน้าต่อตาของเจ้าของชุด

อิทธิทนกล้ำกลืนความเสียใจที่ชุดอันมีเกียรติของตนถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่อหน้า การกระทำครั้งนี้ของจิตราสร้างความชิงชังและอาฆาตแค้นให้เกิดในใจหนุ่มน้อยจนยากที่จะให้อภัยได้ หากว่าตนมีชีวิตรอดนับจากวันนี้ ก็จะถือเอาว่าหากมีโอกาสไถ่ถอนแค้นทั้งหมดคืนผู้หญิงอย่างจิตราจะต้องได้รับการสนองกลับอย่างเจ็บปวดกว่านี้หลายเท่าพันเท่า

“อิทลูก แม่ขอโทษ แม่ขอโทษ” แม่นางมองเห็นแววตาบุตรชายที่นอนมองเศษชิ้นเสื้อผ้าหล่นลงตรงหน้าก็ใจสลาย นึกสงสารเหลือเกินกับแววตาหนุ่มน้อยที่คลอด้วยหยดน้ำตา นางผิดเองที่ไม่พาบุตรชายออกไปจากไร่นี้ นางผิดเองที่ดันทุรังอยู่เพื่อตอบแทนบุญคุณผู้มีพระคุณ นางผิดเองที่นางเลือกที่จะอุ้มท้องเจ้าตัวเพื่อมาคลอดในไร่แห่งนี้ นางผิดเองที่ไม่เคยปกป้องเจ้าตัวได้เลยในยามคับขัน
เศษผ้าชิ้นสุดท้ายหล่นลงต่อหน้าอิทธิ จิตราแสยะยิ้มมองดูอย่างสาสมใจ เสียงร้องไห้สะอื้นของแม่นางเป็นแรงขับให้หล่อนยกเท้าขึ้นเหยียบเศษผ้าซ้ำให้มันจมไปกับผืนดิน เสียงโครมครามของเรือนทั้งหลังที่พังทลายจนไม่เหลือเสาให้เห็นเป็นดั่งฉากตลกขบขันให้หล่อนเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเมื่อได้ชม พอๆ กับนายสินและนายศรที่ต่างผสมโรงเปล่งเสียงหัวเราะกับผู้เป็นนายจนเสียงนั่นดังสนั่นลั่นไร่ ก่อนจะเงียบลงเมื่อมีหนึ่งเสียงตวาดขึ้น

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น หยุดกันเดี๋ยวนี้นะใครไม่หยุดฉันยิงไส้แตกแน่”

เสียงนั่นเป็นเสียงของอาทีที่กำลังยืนจังก้าอยู่พร้อมปืนยาวในมือ หนุ่มน้อยมาที่นี่ได้เพราะสังหรณ์ใจว่ามารดาของตนคงจะตามมาอาละวาดเพื่อนของตนเป็นแน่เพราะในตอนแรกที่ได้รับรู้อาการของผู้เป็นป้าก็เกิดอาการช็อคใจหาย และคิดว่ามารดาของตนคงจะเป็นเช่นนั้น และหากให้เดาตอนที่เห็นมารดาขึ้นรถลุงไกรออกมาจากโรงพยาบาลเจ้าตัวก็น่าจะตามมาราวีนี่นี่เป็นแน่จึงรีบตามออกมา เจอหน้าบ่าวไพร่ที่เรือนก็ถามไถ่ว่าเจ้าตัวไปไหนเพื่อความแน่ใจ และลุงไกรก็เป็นคนตอบว่าเจ้าตัวมาที่เรือนนายศร จึงได้ตามมาแต่ก็พบเพียงบุตรสาวนายศรอยู่เพียงลำพังจึงเค้นถามเรื่องราว โชคดีที่ฝ่ายนั้นเปิดปากบอกทุกอย่างจึงได้ถือวิสาสะขึ้นเรือนนายศรแล้วฉวยคว้าปืนยาวติดมือเพื่อตรงมาห้ามการกระทำอันป่าเถื่อนของมารดา แต่ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมาช้าไป เพราะภาพที่อยู่ตรงหน้า เรือนทั้งหลังที่เคยตั้งเด่นได้พังทลายลงจนไม่เหลือซาก หนำซ้ำเจ้าของเรือนทั้งสองคนยังอยู่ในสภาพสะบักสะบอม ร้องห่มร้องไห้กันอย่างน่าเวทนา

“เรื่องนี้แกไม่เกี่ยวไอ้อาที กลับเรือนไปซะ แล้วนั่นแกไปเอาปืนผาหน้าไม้มาจากไหน” จิตราสั่งและถามบุตรชาย ตกใจหน่อยๆ ที่เห็นเจ้าตัวถืออาวุธอันตรายเข้ามาแบบนี้

“นั่นมันปืนพ่อนี่” สินหันไปเอ่ยกับบิดา ตกใจเช่นกันที่เห็นอาทีส่งสายตาดุดันมาที่กลุ่ม

“ใช่ปืนนายศร นายถอยไปจากร่างเพื่อนฉันเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันยิงนายคนแรกแน่” อาทีหันมาเอ่ยสั่งสินพร้อมยกปืนเล็งเข้าใส่ สินจึงรีบถอยฉากหนีอย่างร้อนรนไปหลบหลังบิดาที่ปล่อยแม่นางให้เป็นอิสระแล้วยืนยิ้มเยาะอยู่เพียงคนเดียว

“พ่อยิ้มอะไร ไอ้อาทีนั่นมันจะยิงผมนะ” สินเอ่ยถามบิดาอย่างข้องใจ นายศรจึงเฉลยด้วยการหันไปเอ่ยกับคนเล็งปืน
“คุณอาทีใช้ปืนเป็นด้วยเหรอครับ”

อาทียิ้มเยาะกับกับคำถามก่อนจะยกปลายกระบอกปืนขึ้นฟ้าแล้วลั่นไกหนึ่งนัดเสียงดังปังกัมปนาท ส่งผลให้ทุกร่างที่อยู่ในเหตุการณ์ก้มหมอบหลบกันพัลวัน ไม่เว้นแม้แต่จิตรา

“ฉันเป็นลูกหลานชาวไร่ ทำไมฉันจะไม่หัดใช้ปืนผาหน้าไม้เอาไว้” อาทีเอ่ยบอกแล้วสั่งให้เจ้าของปืนที่ตนถืออยู่ถอยร่างออกห่างจากแม่นางเช่นกัน จิตราเหลือจะทนกับการกระทำอันอุกอาจของบุตรชายจึงเอ่ยเสียงดังขึ้น

“ทุกคนไม่ต้องไปฟังคำไอ้ลูกไม่รักดีของฉัน ตราบใดที่ฉันอยู่ที่นี่ก็อย่ากลัวกับคำสั่งของมัน เพราะหากมันคิดจะยิงใครแม่มันนี่แหละจะเข้าขวางก่อน ดูซิว่ามันจะกล้าฆ่าคนที่เบ่งมันออกมามั้ย”

อาทีชะงักไม่น่าเชื่อว่ามารดาตนจะเป็นไปได้ขนาดนี้ หล่อนไม่เคยคิดระแวดระวังว่ากลุ่มคนที่หล่อนกางปีกปกป้องอาจจะแว้งกัดหล่อนเข้าสักวันหรือ หนุ่มน้อยสู้สายตากับมารดาตัดสินใจเอ่ยขึ้น

“ผมเคยคิดมาตลอดว่าผมกับแม่จะเข้าใจกันได้สักวัน ผมเคยคิดว่าจริงๆ แม่ก็รักผมเท่าๆ กับพี่อาทิตย์ ผมเคยคิดว่าแม่จะเลิกร้ายกาจกับแม่นางและไอ้อิทเพราะคำสอนของป้าจันทร์ ผมเคยคิดจะกราบขอโทษแม่หากว่าแม่จะยอมฟังคำป้าจันทร์จริงๆ แต่แล้ววันนี้สิ่งที่ผมคิดมันก็ไม่มีทางเป็นจริง แม่รู้อะไรมั้ยว่าผมเคยภูมิใจที่เกิดมาเป็นลูกแม่ ผมอยากบอกแม่ว่าเองก็รักและเคารพแม่ ผมอยากขอขมาแม่ใจแทบขาดในทุกตอนที่ผมพูดไม่ดีกับแม่ แต่แม่ไม่เคยเปิดโอกาสให้ผมเลย กระทั่งวันนี้ วันที่ผมเห็นแม่ของผมร้ายกาจจนเกินกว่าที่มนุษย์ปุถุชนทั่วไปจะเป็นกัน แม่กางปีกปกป้องคนอื่นตลอด แม่ลืมแล้วหรือว่าที่ยืนต่อหน้าแม่ตอนนี้เป็นลูกชายแม่ เป็นคนที่แม่ควรเข้าข้างมากกว่าใคร แม่ทำแบบนี้มันก็เปรียบเสมือนแม่ได้ฆ่าลูกชายคนนี้ทิ้งแล้ว แล้วเมื่อเป็นอย่างนี้ ผมมีเหตุผลอะไรมั้ยที่ผมจะต้องไม่กล้าทำในสิ่งที่คนทั่วไปมองว่ามันบาปมหันต์ แม่สั่งทุกคนให้ถอยไปยังเขตเรือนหลังนี้ซะ ไม่อย่างนั้นผมคิดว่าผมกล้าที่จะยิงปีกที่แม่กางปกป้องทุกคนทิ้ง ผมเชื่อว่าการที่ผมปกป้องคนดีๆ ไม่ให้ถูกรังแกคงจะช่วยลดโทษบาปที่ผมต้องชดใช้ในนรกได้หากว่าผมจำเป็นที่จะต้องเด็ดปีกแม่ทิ้งจริงๆ”
แม้ถอยคำจะเด็ดขาดแต่ทว่านัยน์ตาเด็กหนุ่มกลับไหวระริกด้วยหยดน้ำที่เอ่อล้นเต็มขอบตา ยอมรับว่าเอ่ยเองก็สะเทือนใจเองกับคำพูดของตน แต่ในเมื่อมารดาของตนเห็นใครต่อใครดีกว่าตนไปซะหมดและสถานการณ์มันก็บังคับให้ต้องสร้างบาปมหันต์ให้ตัวเองแบบนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้

“แกกล้าเอ่ยกับฉันขนาดนี้เลยเหรออาที แกคิดเหรอว่าฉันไม่รักแก ที่ฉันด่าฉันว่าฉันทุบฉันฉันตีก็เพราะแกเองก็ชอบพาตัวเองลงมาเกลือกกลั้วกับไอ้อีขี้ข้าชั้นสวะนี่ แกไม่รู้หรอกว่าก่อนแกจะเกิดอีแม่นางนี่มันเข้ามาออเซาะขออาศัยใบบุญป้าของแกอย่างไร้ซึ่งศักดิ์ศรี ฉันเจอคนที่คิดจะมาปอกลอกป้าของแกมาเยอะต่อเยอะและฉันก็กำราบมาจนเหนื่อยอ่อนกว่าที่ป้าของแกและฉันจะได้มาเป็นเจ้าของไร่นี้ให้แกได้เกิดมามีลมหายใจ ให้ใครต่อใครได้เพิ่งใบบุญ ไร่นี้มันไม่ใช่สมบัติติดตัวป้าแกหรือแม่แก แต่มันเป็นไร่ที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของแม่แกกับป้าแกที่ช่วยกันถากพงหญ้าไถท้องไร่จนเกิดเป็นขุมสมบัติให้แกได้มีใช้มีสอย แล้วมีเหตุผลอันใดที่ฉันจะต้องญาติดีกับคนที่คิดเข้าปอกลอกโดยการอ้อนวอนว่าขออยู่อาศัยทำงานแลกเงินด้วย ดูท่าทีวันแรกฉันก็รู้แล้วว่ามันหวังมากกว่านั้น ป้าแกเป็นคนใจอ่อน ฉันรู้ว่าอีนังแม่นางนี่มันรู้จุดนี้ ฉันถึงต้องคอยกำราบมันไง แล้วอย่างนี้แกคิดว่าฉันผิดมหันต์เหรอกับการที่ฉันปกป้องแกไม่ให้ลดตัวลงมายุ่งกับพวกมัน”

จิตราเองก็เอนไหวไปไม่ต่างกัน เพราะเบื้องลึกแล้วหล่อนเองก็ไม่ได้นึกชิงชังบุตรชายไปซะทีเดียว แต่การกระทำของเจ้าตัวและเหตุการณ์ทุกอย่างมันบังคับให้นางต้องร้าย ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้มายินว่าลูกจะทำร้ายแม่บังเกิดเกล้าได้ลงคอ

“จะกี่วัน กี่เดือน กี่ปี แม่ก็ยึดแต่ความเชื่อนี้มาโดยตลอด ไม่เคยเลยสักครั้งที่แม่จะเปิดตาเปิดใจมองว่าแท้จริงแล้วคนที่ห่วงครอบครัวเราและไร่ของเรามากที่สุดก็คือสองคนที่แม่รุมรังแกเช้าเย็นนี่แหละ พูดตรงๆ เถอะ หากแม่นางไม่เข้ามาคุมบัญชีแทนนายศร แม่คิดมั้ยว่าขุมสมบัติที่แม่หวงนักหวงหนามันอาจมลายไปแล้วก็ได้”

ประโยคหลังของอาทีตรงเข้ากระแทกใจนายศรสุดขั้ว จนมีท่าทีขยับ ปลายกระบอกปืนในมืออาทีจึงหันไปหาเจ้าตัวทันที

“อย่าคิดที่จะทำอะไรนายศร ไม่อย่างนั้นฉันยิงนายแน่ ถอยไป พาสมุนของนายกลับไปให้หมด” อาทีตวาดลั่นใส่ ส่วนจิตราเกิดทิฐิอยากเอาชนะบุตรชายจึงเอ่ยขึ้น
“นายศรไม่ต้องไปกลัวมัน มันจะกล้าทำร้ายแม่มันอย่างที่มันเอ่ยก็เอา ฉันจะยืนปกป้องทุกคนอยู่ตรงนี้ จะดูซิว่าลูกชายฉันมันจะกล้าทำอย่างที่พูดมั้ย”

สายตาหญิงร้ายส่งไปท้าทายบุตรชาย ภายใต้ถ้อยคำท้าทายนัยน์ตาหล่อนก็เอ่อล้นด้วยน้ำตาอยู่เช่นกัน

อาทีกำกระบอกปืนในมือแน่น ส่งสายตาไหวระริกมาจ้องร่างมารดาเช่นกัน ในเมื่อสถานการณ์มันบังคับแล้ว มือน้อยจึงค่อยๆ หันกระบอกปืนมาทางคนยืนท้าทาย
แม่นางตาเบิกโพลงกับภาพที่เห็น ไม่! นางจะปล่อยให้เด็กน้อยอย่างอาทีมีบาปมหันต์ติดตัวไม่ได้ วินาทีสุดท้ายก่อนจะเห็นกระบอกปืนเล็งมาที่ร่างจิตราเต็มลำ นางจึงตัดสินใจลุกขึ้นแล้ว……..



โปรดติดตามตอนต่อไป

Bboyseries

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 26
แม่นางตาเบิกโพลงกับภาพที่เห็น ไม่! นางจะปล่อยให้เด็กน้อยอย่างอาทีมีบาปมหันต์ติดตัวไม่ได้ วินาทีสุดท้ายก่อนจะเห็นกระบอกปืนเล็งมาที่ร่างจิตราเต็มลำ นางจึงตัดสินใจลุกขึ้นแล้วรีบปัดปลายกระบอกปืนในมือหนุ่มน้อยไปทางอื่นแทนการจ้องใส่ร่างมารดาเจ้าตัว
“อย่าค่ะคุณอาที มันบาปนักนะคะ อย่าทำแบบนี้เลย”
อาทีน้ำตาไหลพรากในตอนที่ปลายกระบอกปืนหันไปทางอื่นแล้ว ทั้งแรงเก็บกดที่มีต่อมารดาและรู้สึกเต็มตื้นที่หญิงผู้ที่ไม่ใช่มารดาแท้ๆ นึกเป็นห่วงตนเกรงว่าจะมีบาปติดตัวมหันต์มากกว่าผู้ให้กำเนิดที่พยายามยั่วยุให้ตนทำบาปอยู่ทุกลมหายใจ
“ผมขอโทษแม่นาง ผมมาช้าไป ผมมาช้าไป” หนุ่มน้อยกอดปลอบร่างแม่นางร้องไห้สะอื้นหนักเมื่อเห็นสภาพผมเผ้ากระเซอะกระเซิงของเจ้าตัว ก่อนจะรีบทรุดนั่งดูอาการของเพื่อนรักบ้าง โดยการนั่งคุกเข่าวางปืนในมือลงแล้วจับร่างนั่นมานอนหนุนตักเพราะคิดว่าเจ้าตัวคงจะยังลุกไม่ไหว
“แข็งใจไว้ไอ้อิท กูจะพามึงไปหาหมอ แข็งใจไว้นะ แข็งใจไว้” เด็กหนุ่มบอกเพื่อนให้แข็งใจแต่ตัวเองนั้นน้ำตาไหลเป็นสายในยามที่เห็นเพื่อไอสำลักออกมาเป็นลิ่มเลือด แม่นางอีกคนที่ใจสลายเป็นเสี่ยงๆ ตอนเห็นอาการบุตรชายพยามยามฝืนใจพูด นางใช้มือเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากปากบุตรชายอย่างสั่นเทิ้มเพราะเกร็งมือกลัวว่าเจ้าตัวจะเจ็บ
ทางฝั่งกลุ่มของจิตราที่ยืนมองสถานการณ์นิ่งๆ ที่สุดนายศรจึงเอ่ยถามผู้เป็นนาย
“เอาไงดีครับคุณจิตร”
“ปล่อยให้พวกมันคร่ำครวญกันอยู่ตรงนี้แหละ วันนี้สาแก่ใจฉันแล้วพวกนายศรทำดีมากแล้วฉันจะมีรางวัลให้ทุกคน ไป แยกย้ายกันกลับ”
จิตราเอ่ยบอกแล้วเดินนำแยกไปก่อน หล่อนหยุดเดินในตอนที่เดินไปเคียงร่างสองคนที่กำลังสะอื้นไห้กอดร่างคนเจ็บ ตอนนั้นบุตรชายของนายแหงนหน้าขึ้นมามองหล่อน หล่อนจึงอดที่จะมองกลับไม่ได้ สองคนสู้สายตากันด้วยแรงทิฐิในใจสักพัก สุดท้ายผู้เป็นมารดาจึงเป็นฝ่ายเดินเชิดหน้าหนีไป
“สินไปเอาปืนข้ามา” นายสินเอ่ยสั่งบุตรชายในตอนลับหลังจิตราไปแล้ว สินเดินไปยังปืนกระบอกที่วางอยู่ข้างๆ ตัวอาทีอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วก็ต้องชะงักเมื่ออาทีคว้ากระบอกปืนเล็งมาที่ร่างกายส่วนล่างของตนก่อนเจ้าตัวจะลั่นไกใส่ขาขวาจนร่างทรุดลงร้องโอดโอยดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บ
“ไอ้สิน” นายศรเห็นภาพนั้นก็ตกใจจนตัวชาก่อนจะตั้งสติวิ่งไปประคองร่างบุตรชาย อาทีส่งร่างอิทธิให้กับแม่นางแล้วลุกยืนขึ้นเล็งปลายกระบอกปืนมายังร่างของนายศรบ้าง
“นัดนั้นเพื่อไอ้อิทส่วนนัดนี้เพื่อแม่นางและก็เรือนหลังนี้” หนุ่มน้อยเอ่ยบอกนิ่งๆ จ้องเขม็งไปที่ร่างเหยื่อตัดสินใจลั่นไกปืนอีกครั้งตอนที่ปลายกระบอกชี้ตั้งลำได้ที่
“อย่า!” นายศรร้องเสียงหลงยกมือขึ้นบังร่าง ไม่คาดคิดว่าจิตใจเด็กน้อยในสายตาตนจะเด็ดเดี่ยวถึงเพียงนี้ นาทีต่อมาพอได้ยินเพียงเสียงคลิ๊กจึงค่อยๆ ลดมือลงส่งสายตามองกลับมาที่กระบอกปืน พบว่าอาทีนั่นได้ลั่นไกแล้วจริงๆ แต่โชคยังเข้าข้างตัวเพราะกระสุนนั้นได้หมดไป
อาทีใจเสียหน่อยๆ ที่กระสุนปืนเกิดหมดขึ้นมาตอนนัดสำคัญ เด็กหนุ่มมัวแต่จ้องลำปืนจึงไม่ได้สนใจว่าตอนนี้นายศรกำลังลุกพรวดตรงเข้ามายังร่างพร้อมยกมือคิดตะบันหมัดใส่
“อย่าทำอะไรลูกฉันนะนายศร!” เสียงของจิตราดังแผดลั่นมาห้ามจังหวะนั่น ส่งผลให้นายศรรีบลดมือลง พอๆ กับที่เจ้าของเสียงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า
“ฉันได้ยินเสียงปืน นึกแล้วต้องเกิดเหตุร้าย พาลูกชายของนายไปรักษาตัวซะ ส่วนลูกฉันฉันจัดการเอง” จิตราเอ่ยบอกเสียงเข้ม ส่งสายตาของผู้เป็นนายไปยังบ่าว นายศรยอมเก็บความคับแค้นไว้ หันไปสั่งให้สมุนพยุงร่างบุตรชายเดินกลับไปยังเรือน
ลับหลังคนทั้งหมด จิตราหันมามองหน้าบุตรชาเอ่ยบอก
“อย่ากล้าให้มันมากนักไอ้อาที ถ้าฉันไม่กลับมาแกรู้มั้ยว่านายศรจะทำอะไรกับแก”
“ขอบคุณสำหรับพระคุณ หากมีโอกาสจะทดแทนให้” อาทีเอ่ยตอบกลับไปด้วยท่าทีและน้ำเสียงห่างเหิน หนุ่มน้อยละความสนใจจากมารดา โยนปืนในมือทิ้งไปแล้วนั่งลงไปพยุงร่างของอิทธิยืนขึ้นพาเดินหายไปพร้อมแม่นาง จิตรามองตาด้วยหางตาแวบหนึ่ง ก่อนจะหันมามองภาพซากเรือนเบื้องหน้า อยากจะแสยะยิ้มให้เช่นเคยนักแต่จากแววตาและคำพูดห่างเหินของบุตรชายเมื่อครู่ทำให้นางไม่อาจทำเช่นนั้นได้

*****************************************************************************

อาทีพาร่างอันบอบช้ำของเพื่อนและแม่นางมาขอให้ลุงไกรขับรถไปส่งโรงพยาบาล ลุงไกรเองก็กุลีกุจอช่วยเต็มที่ ซึ่งการกระทำทั้งหมดอยู่ภายใต้สายตาของเพลินพิศที่ซุ่มดูอยู่
ที่โรงพยาบาลระหว่างที่อิทธิโดนเข็นร่างเข้าไปปฐมพยาบาล อาทีกับแม่นางก็กำลังนั่งปรึกษาหารือถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยลุงไกรเองก็ยังไม่ยอมห่างไปไหนเพราะเป็นห่วงเจ้านายตัวน้อยกลัวว่าหากจะเรียกใช้รถแล้วจะลำบาก
“ไอ้อิทมันคงแค่บอบช้ำ หมอปฐมพยาบาลมันหน่อยเดี๋ยวมันก็หายครับแม่นาง แม่นางอย่ากังวลเลยนะ” อาทีเอ่ยปลอบมารดาของเพื่อน นึกเห็นใจที่เจ้าตัวยังสะอื้นไห้ไม่หยุด
“ดิฉันขอบคุณคุณอาทีมากนะคะที่ช่วยเหลือทุกอย่าง หากคุณอาทีไม่มาช่วยดิฉันกับอิทก็อาจจะแย่ไปมากกว่านี้” แม่นางยกมือไหว้เด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความซึ้งใจ รองลงมาจากจันทร์จวงก็คงเป็นหนุ่มน้อยผู้นี้ล่ะมั้งที่เป็นห่วงเป็นใยนางและบุตรชายด้วยความจริงใจ
“แม่นางอย่าไหว้ผมสิครับ เดี๋ยวผมอายุสั้นเอา อันที่จริงผมน่าจะไปถึงเร็วกว่านั้นนะครับ เรือนแม่นางจะได้ไม่ถูกรื้อ” อาทีรีบจับมือคนคนที่อาวุโสกว่าตนไว้ในตอนที่เห็นเจ้าตัวยกไหว้ ถึงตอนนี้แม่นางจึงเริ่มคิดหนักเรื่องหาที่อยู่อาศัยจึงเอ่ยออกมา
“ต่อไปดิฉันคงจะอยู่ในไร่นั้นไม่ได้แล้ว ตอนนี้ดิฉันก็ยังไม่รู้เลยว่าจะพาอิทไปอยู่ทีไหน”
“นี่ถ้าป้าจันทร์ยังได้สติอยู่ท่านก็คงจะช่วยพวกเราได้เนาะ” อาทีเอ่ยถึงผู้มีพระคุณที่ยังไม่รู้ว่าจะฟื้นขึ้นมารับรู้เรื่องราวนี้เมื่อไหร่ เด็กหนุ่มบอกเล่าอาการของฝ่ายนั้นให้คนตรงหน้าฟังแล้ว แม้เจ้าตัวจะมีท่าทีตกใจแต่ก็เอ่ยปลอบเขาให้สบายใจว่าสักวันคนดีๆ อย่างป้าของเขาต้องฟื้น
“มันเกิดอะไรขึ้นหรือครับคุณอาที แม่นาง พอจะเล่าให้ผมฟังได้มั้ยครับ” ลุงไกรเอ่ยถามขึ้นเมื่อยืนฟังสองคนคุยกันแต่ยังจับเรื่องราวไม่ถูก อาทีจึงเอ่ยระบายเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง ชายชราผู้มีหน้าที่ขับรถรู้สึกเห็นใจในชะตากรรมของผู้หญิงที่เลี้ยงลูกมาเพียงคนเดียวอย่างแม่นางจึงเอ่ยเสนอ
“อย่าว่าอย่างนี้อย่างนั้นเลยนะ แม่นางพาลูกชายไปพักกับญาติฉันก่อนมั้ย อยู่ไม่ไกลจากที่นี่นักหรอก พวกเขาก็ทำไร่เหมือนกันแต่เป็นไร่ลำไย เดี๋ยวฉันจะฝากฝังให้”
แม่นางกับอาทีมองหน้ากัน ต่างก็รู้สึกตื้นตันใจที่มีอีกมือหนึ่งยื่นเข้ามาช่วยเหลือ
“ขอบคุณลุงไกรมากที่เมตตาฉันกับลูก ฉันจะขออาศัยเพียงไม่นานหรอกค่ะ ฉันขอให้อิทมันเรียนจบแล้วฉันก็จะพาลูกไปตั้งหลักปักฐานที่อื่นโดยรบกวนญาติลุงไกรต่อ ขอบคุณนะคะ ขอบคุณลุงไกรมาก”
แม่นางตัดสินใจก้มลงกราบเท้าผู้ที่เอ่ยให้หนทางอันมืดสนิทสว่างขึ้น อาทีซึ้งใจในท่าทีของฝ่ายนั้นที่นอบน้อมต่อผู้มีพระคุณได้เสมอตัว นี่น่ะหรือคนที่คิดจะฮุบเอาไร่ที่มารดาและป้าของตนถางพงหญ้ากันมา ช่างน่าอดสู่ในความคิดมารดานัก

****************************************************************************

บรรยากาศที่ไร่ในเช้าวันใหม่ ลุงไกรกลับมาทำหน้าที่เป็นคนขับรถรับส่งจิตราตามเดิม เกิดความกระอักกระอ่วนใจที่จะตอบว่าตอนนี้บุตรชายคนเล็กของเจ้านายอยู่ที่ไหนในตอนที่โดนฝ่ายนั้นถาม
“อย่ามาโกหกอะไรฉันนะนายไกร เพราะเมื่อคืนนังพิศมันเห็นว่านายไกรขับรถพาไอ้อาทีกับไอ้อิทธิและอีแม่นางหายไป” จิตราเอ่ยคาดคั้นโดยยกเอาสิ่งที่เพลินพิศรายงานมาข่มขู่ว่าลุงรับใช้ผู้นี้อย่าคิดเอ่ยปดต่อตนเด็ดขาด
ลุงไกรใช้เวลาคิดหลายนาทีว่าจะตอบเจ้านายว่ายังไง เพราะหากจะเล่าความจริงว่าตนเป็นคนขับรถพาทั้งเจ้านายน้อยอย่างอาทีและอิทธิที่หมอบอกให้กลับไปพักต่อที่บ้านได้พร้อมแม่นางไปหลบพักพิงที่ไร่ญาติของตนในอำเภอใกล้ๆ กันก็คงจะไม่ได้ เนื่องจากว่าเจ้านายน้อยอย่างอาทีขอร้องเอาไว้อย่าบอกใคร ด้วยเพราะเป็นกังวลเหลือเกินว่ามารดาตนจะตามมาลากตัวตัวเองกลับเรือนนรกนรกในวันสองวันนี้อีก ที่หนุ่มน้อยเรียกเรือนที่อยู่มาตั้งแต่เด็กอย่างนั้นเพราะตอนนี้ป้าผู้แสนดีไม่ได้อยู่ปกครองแล้ว การที่มารดาตนเป็นใหญ่ภายในเรือนในตอนนี้ เรือนหลังนั้นมันจะต่างอะไรกับสิ่งที่เอ่ยเรียกล่ะ
“คงไม่มีใครมาถามผมหรอกครับคุณอาทีเพราะไม่น่าจะมีใครเห็นผมขับรถมาส่งคุณอาทีในตอนดึกแบบนี้” ตอนนั้นชายชราตอบไปว่าอย่างนั้น จึงไม่ได้เตรียมคำตอบเอาไว้ ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าหูตาอีนังบ่าวเพลินพิศมันจะไวได้ขนาดนี้
“ถึงถึงอย่างนั้นก็เถอะ เกิดแม่ผมถามลุงไกรก็โกหกอะไรไปก่อนละกันแล้วพรุ่งนี้เย็นๆ ค่อยมารับผม ผมจะกลับไปเก็บข้าวของทั้งของผมและก็ของไอ้อิทและแม่นางพอที่จะเหลือให้เก็บมาอยู่ที่นี่ชั่วคราว”
นั่นเป็นคำสั่งสุดท้ายของบุตรชายเจ้านายก่อนที่ตนจะแยกตัวกลับมาที่ไร่
“ว่ายังไงล่ะ ลูกชายฉันอยู่ที่ไหน” จิตราตวาดถามอีกในตอนปัจจุบัน การไม่เห็นเงาบุตรชายอยู่ในเขตไร่ครั้งนี้มันต่างจากทุกๆ ครั้งนัก เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนมันคล้ายจะเป็นจุดแตกหักให้ฝ่ายนั้นนึกจงเกลียดจงชังหล่อนจนพาลคิดไปว่าเจ้าไม่อยากจะพบหน้าหล่อนแล้วจริงๆ จึงได้หนีหายไปแบบนี้
“ผมไม่ทราบครับคุณจิตร ผมแค่ขับรถไปส่งคุณอาทีไอ้อิทและแม่นางถึงโรงพยาบาลแล้วผมก็กลับมาครับ จากนั้นคุณอาทีไปไหนต่อผมก็ไม่อาจจะทราบได้”
ลุงไกรเอ่ยบอกออกไปในที่สุด รู้สึกโล่งใจที่เจ้านายไม่คาดคั้นอะไรต่อ  โดยหารู้ไม่ว่าเจ้าตัวมีแผนการเตรียมสั่งให้คนงานพลิกแผ่นดินเมืองเหนือลากตัวบุตรชายหล่อนกลับมาเอ่ยขอขมาหล่อนอยู่
ด้านอาที อิทธิ และแม่นาง ในเช้าวันแรกที่ได้อาศัยอยู่พื้นดินต่างถิ่นก็ยังไม่ชินนัก สามคนอาศัยอยู่เรือนหลังเล็กๆ ท้ายไร่ซึ่งเป็นเรือนว่างที่ลุงไกรบอกว่าทุกทีที่กลับมาเยี่ยมญาติเรือนนี้ก็จะเป็นที่พักพิงของเจ้าตัว หากจะเปรียบไปมันก็เป็นเรือนของเจ้าตัวน่ะแหละ เพียงแต่นานๆ ทีจะได้กลับมาอยู่เท่านั้นเอง
ของใช้ในเรือนไม่มีอะไรมากนัก มีเพียงที่นอนหมอนมุ้ง ผ้าห่ม และก็ตุ่มน้ำ ซึ่งเสบียงอาหารมื้อแรกก็เป็นญาติของลุงไกรเองซึ่งเป็นผู้หญิงที่เอามาส่งให้พร้อมถามไถ่ถึงเรื่องราวต่างๆ ตามประสาคนเป็นเจ้าของถิ่น ซึ่งทั้งสามคนก็เล่าตามจริงบ้าง บิดเบือนบ้าง เพราะไม่คิดที่จะตั้งหลักปักฐานอยู่ถาวร
อาการมื้อแรกทานกันอิ่ม แม่นางก็ช่วยเก็บสำรับผู้ที่นำส่ง โดยปล่อยให้สองหนุ่มน้อยแยกตัวออกมาคุยกันตามลำพัง อาทีนั้นต้องคอยพยุงอิทธิเดินเพราะกลัวว่าเจ้าตัวจะเดินเองไม่ไหว
“กูยังไงไหวไอ้อาที กูคงไม่ตายง่ายๆ หรอกหากว่ากูยังเอาเลือดของคนชั่วๆ มาล้างตีนแม่กูไม่ได้” อิทธิเอ่ยบอกเสียงนิ่ง อาทีเข้าใจความรู้สึกจึงได้แต่เอ่ยปลอบ
“รักษาตัวให้หายดีก่อนเถอะไอ้อิท ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลยนะ”
 “”กูขอบใจมึงมากนะอาทีที่มันยืนอยู่ข้างกูกับแม่มาโดยตลอด” อิทธิหันมาเอ่ยกับเพื่อนรัก รู้สึกซึ้งใจอย่างยากที่จะหาใดเปรียบ อาทีเห็นนัยน์ตาคนมองหน้าไหวระริกจึงดึงร่างเจ้าตัวเอามากอดเอ่ยขึ้น
“ตราบใดที่กูยังอยู่ กูไม่ปล่อยให้ใครมารังแกมึงกับแม่นางง่ายๆ หรอกไอ้อิท”
อิทธิปล่อยให้น้ำตาแห่งความซึ้งใจไหลอาบบ่าของเพื่อน หากว่าไม่มีคนๆ นี้ป่านนี้ตนกับมารดาจะมีลมหายใจอยู่ถึงตอนนี้หรือปล่าก็สุดจะคาดเดา
“อย่าร้องไห้สิวะ เสียหมดเลยนะมึงไอ้เสืออิท” อาทีเอ่ยติดตลกเพื่อให้เพื่อนรักมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเช่นเดิม และมันก็ได้ผลเมื่ออิทธิผละร่างออกมาแล้วตบศีรษะตนเล่นเบาๆ เอ่ยแซวขันๆ
“ไอ้ห่ากูจะทำซึ้งหน่อยก็มาขัด”
“รอซึ้งเอาตอนกูตายดีกว่า ตอนนั้นกูคงลุกมาขัดใจมึงไม่ได้” อาทีเอ่ยว่าอย่างคะนองปาก อิทธิเองก็ไม่ได้คิดติดใจในคำพูด ที่สุดสองหนุ่มก็เดินคู่กันไปชมท้องไร่ที่ไม่คุ้นเคยกันสองต่อสอง ส่วนทางด้านหลังมีสายตาแม่นางมองตามอยู่ นางกำลังจะผุดรอยยิ้มให้กับภาพที่เห็นบุตรชายมีความสุข แต่แล้วสายตานางก็เจอกับภาพที่ชวนขนลุกจนต้องร้องว้ายออกมาเสียงหลงแล้วปล่อยให้จานที่ถืออยู่ในมือตกหล่นกระจาย
ภาพที่สายตานางเห็นคือร่างหนุ่มน้อยที่เดินคู่กับบุตรชายของนางไร้ซึ่งศีรษะ!


Bboyseries

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 27
จิตราเข้ามาดูอาการของพี่สาวที่โรงพยาบาล บังเอิญมาพบกับนายศรและส้มที่พาสินมารักษาผ่าตัดเอาลูกกระสุนออกจากขา หล่อนจึงต้องรับภาระดูแลค่าใช้จ่ายให้และขอร้องนายศรว่าให้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับ อย่าคิดบอกใคร หรือแจ้งตำรวจให้ทำอะไรบุตรชายหล่อน นายศรได้โอกาสรีดไถเงินเกินจำนวนค่ารักษาพยาบาลบุตรชายจึงทำซะ จิตราไม่กล้าขัด เพราะเป็นห่วงอนาคตบุตรชายคนเล็กอยู่เช่นกัน จึงยอมจ่ายๆ ไปตามที่ขอ พอนายศรได้เงินสมใจก็พาบุตรสาวและบุตรชายกลับไปหัวเราะเสียงดังลั่นเรือนที่หลอกไถเอาเงินจิตรามาได้ เรื่องนี้นายศรเองก็ไม่คิดจะแจ้งตำรวจหรือบอกใครอยู่แล้ว การทำอะไรให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายไม่ใช่สันดานของเขา ในเมื่อไอ้เด็กอาทีมันกล้ามาแหย่หนวดเสือขนาดนี้ เสือร้ายตัวนี้ก็พร้อมจะขย้ำมันให้ร่างแหลกเละคามือเช่นกัน
“พ่อ พ่อคงไม่คิดทำอะไรพี่อาทีนะ” ส้มที่ยังไม่รู้ถึงความคิดของบิดาเอ่ยถามขึ้น สินที่ฟังอยู่โมโหน้องสาวที่จนป่านนี้ยังหวังลมๆ แล้งๆ กับไอ้สองพี่น้องนั่นจึงตวาด
“อีส้ม! ให้มันน้อยๆ หน่อยนะมึง หนอยความผิดที่มึงปากโป้งบอกไอ้อาทีว่ากูกับพ่อบุกไปพังเรือนเพื่อนรักมันจนมันคว้าเอาปืนมายิงขากูเนี่ยกูยังไม่คิดบัญชีกับมึงเลยนะอีน้องอกตัญญู”
“เอ๊ะ! พี่สิน อย่ามาว่าฉันแบบนี้นะ ก็ฉันรักของฉันนี่ อะไรที่ทำให้พี่อาทีและพี่อาทิตย์ได้ทำไมฉันจะไม่ทำ” ส้มเอ่ยแย้ง สินถลาจะเข้าตบหน้าสั่งสอนเพราะโมโห แต่นายศรตวาดห้ามไว้
“หยุด! ไอ้สิน เอ็งจะมาตบตีน้องเอ็งทำไม มันอุตส่าห์หยุดเรียนพาเอ็งไปโรงพยาบาล เป็นพี่น้องกันต้องรักกันสิ จะมากัดกันเหมือนหมาทำไม เอ็งน่ะควรจะเก็บแรงไว้เพื่อล้างแค้นดีกว่า จะมาเสียเหงื่อเพราะอีส้มมันเพื่ออะไร”
“ล้างแค้น หมายความว่ายังไงอ่ะพ่อ พ่อจะทำอะไรพี่อาที” ส้มเกาะแขนบิดาเขย่าถามเอาความจริง นายศรรู้ตัวว่าพลั้งปากไปจึงรีบแก้ต่างให้ตัวเอง
“ที่ข้าบอกว่าล้างแค้นข้าหมายถึงการวางแผนเตรียมฮุบไร่นี้โว้ยอีส้ม ข้าไม่ทำอะไรคนที่เอ็งรักเอ็งชอบหรอกน่า”
“จริงๆ นะ” ส้มถามเพื่อความแน่ใจ พอเห็นบิดาพยักหน้ายืนยันก็ออกอาการเบาใจแล้วรีบโผเข้าสวมกอดฝ่ายนั้นเอ่ยบอก
“ไม่ใช่เฉพาะพี่อาทีนะ พี่อาทิตย์ด้วยพ่อก็ห้ามทำอะไร เพราะสองคนนี้ส้มกำลังตัดสินอยู่ว่าเอาใครมาเป็นลูกเขยพอดี”
ทางด้านหลังน้องสาวสินแอบส่ายหน้ากับอาการเพ้อฝันที่ได้ยินอย่างนึกสังเวชใจ เรื่องอะไรเขาจะปล่อยให้ครอบครัวนังจิตรามันเหลือโครตเหง้าไว้ตำตาตำใจ สู้จัดการเสียให้สิ้นซากไม่ดีกว่ารึ

***************************************************************************************
   
หลังจากเยี่ยมดูอาการจันทร์จวงเสร็จจิตราก็กลับมายังเรือน หล่อนนั่งเคว้งอยู่บนเรือนเพียงลำพัง ดูทุกอย่างรอบกายตอนนี้มันเงียบเหงาไปหมด บ่าวไพร่ที่เคยอยู่เต็มเรือนตอนที่พี่สาวหล่อนอยู่บัดนี้ไม่มีร่างใครย่างกายมาให้หล่อนเห็นเลย จะมาทั้งทีก็ต้องรอให้หล่อนเรียกใช้ หล่อนถามไถ่หาสาวใช้คนสนิทอย่างเพลินพิศก็ได้คำตอบชวนฉุนว่าเจ้าตัวกำลังหายาสมุนไพรประคบประหงมให้รอยบวมตามใบหน้าหายเป็นปกติ จึงไม่สะดวกมารับใช้ชั่วคราว นั่งเคว้งได้สักพักหล่อนก็ตัดสินใจเดินไปยังห้องบุตรชายคนเล็ก คิดเอาว่าจะพบร่างเจ้าตัวนอนหลับพักผ่อนอยู่ แต่พอเปิดประตูเข้าไปห้องนั้นก็ว่างเปล่าไม่มีซึ่งเงาของใคร หล่อนหันมองสำรวจรอบห้อง ห้องที่หล่อนไม่เคยคิดจะเข้ามาเยี่ยมเยียนบุตรชายเลยหากไม่ได้เข้ามาหาเรื่องต่อว่าตบตี ยอมรับว่ารู้สึกเหงาหงอยอย่างพิลึกเมื่อรับรู้ได้ว่าตอนนี้เจ้าตัวหนีหายไปไหนแล้วก็ยังไม่อาจรู้ได้ หล่อนยังไม่ได้ใช้คนงานในไร่ตามหาหรอก เพราะยังหวังว่าบุตรชายจะกลับมาเอง แต่แล้วการที่หล่อนก้าวเข้ามาในห้องนี้แล้วพบกับความว่างเปล่าอารมณ์หดหู่ใจก็เข้าจู่โจมหล่อนไม่น้อย หล่อนหันไปมองภาพถ่ายใบเล็กของบุตรชายที่อยู่ในกรอบรูปไม้สลักลวดลายวิจิตรที่ตั้งอยู่บนหัวเตียง ตัดสินเดินไปนั่งลงบนขอบเตียงแล้วเอื้อมมือไปหยิบมาดู ภาพถ่ายใบนั้นบุตรชายหล่อนกำลังร่าเริงนัก หล่อนไม่รู้ว่าใครเป็นถ่ายภาพนี้ให้เจ้าตัว รู้แต่ว่ามันสามารถสร้างรอยยิ้มบางๆ ให้หล่อนได้ยามจ้องมอง
   เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังอยู่ภายนอกห้องทำให้จิตราหยุดสนใจกับภาพบุตรชาย หล่อนวางมันไว้ที่เดิม แล้วลุกเดินออกไปนอกห้องเพื่อไปดูว่าใครมา
   “อาที” หล่อนเอ่ยครางชื่อบุตรชายเบาๆ ในตอนเห็นร่างนั้นชะงักหยุดเดินแล้วเงยหน้าขึ้นมองหล่อน ใบหน้าบุตรชายหล่อนตอนนี้ช่างบึ้งตึงนัก โธ่ลูกน้อยของแม่ คงจะโกรธแม่สินะ วันนี้เถอะเราจะได้ปรับความเข้าใจกันนะลูกนะ หล่อนนึกในใจเมื่อคิดอยากจะปรับความเข้าใจกับฝ่ายนั้นจริงๆ สองขาจึงเดินออกมาหาร่างบุตรชายที่ยังยืนจ้องมองหล่อนด้วยสายตาชิงชังอยู่ แปลกจังวันนี้หล่อนไม่รู้สึกโกรธเกลียดแววตานั่นเลยแม้แต่นิด ตรงกันข้ามหล่อนรู้สึกอยากจะดึงร่างนั่นเข้ามากอดมาหอมและเอ่ยขอโทษในสิ่งที่ทำลงไปพร้อมเอ่ยปรับความเข้าใจกันเหลือทน
   ร่างบุตรชายเดินถอยหนีช้าๆ แววตาเจ้าตัวยังคงมองมาแบบเย็นชาเช่นเคย หล่อนจึงเผยยิ้มน้อยๆ เพื่อเป็นสัญญาณบอกว่าวันนี้หล่อนไม่ได้ร้ายกาจอย่างคืนนั้นแล้ว แต่รอยยิ้มของหล่อนท่าจะไม่เป็นผลเมื่อร่างบุตรชายหมุนตัวเดินกลับออกไปทางชานเรือนคล้ายไม่อยากสนทนากับหล่อน ร่างนั้นเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นตอนหล่อนเร่งฝีเท้าเดินตาม จนเมื่อเห็นเจ้าตัวกำลังจะลงจากเรือนไปจึงยอมตะโกนบอก
   “อาที ฟังแม่ก่อนลูก แม่ขอโทษ” คำพูดของหล่อนได้ผล หล่อนดีใจยิ่งนักที่ร่างบุตรชายยอมยืนนิ่งๆ อยู่ตรงเชิงบันไดก่อนเจ้าตัวจะหันมาส่งยิ้มให้หล่อนจางๆ
   จิตรารู้สึกสุขล้นในใจที่ได้รับรอยยิ้มแรกจากบุตรชายคนเล็ก หล่อนรีบเดินตรงไปหาร่างนั้น แต่แล้วก็ใจหายอีกเมื่อเจ้าตัวหมุนตัวพาร่างวิ่งลงบันไดเรือนไป
   “อาทีรอแม่ก่อนลูก” หล่อนส่งเสียงเรียกแล้วรีบวิ่งตามไป ใจหายวาบเมื่อไปถึงบันไดร่างของบุตรชายได้อันตรธานหายไปแล้ว ทำไมถึงได้หายไปเร็วแบบนี้ล่ะ หล่อนอดสงสัยไม่ได้ ก่อนจะตกใจจนสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงวัตถุบางอย่างตกกระทบพื้นภายในห้องที่หล่อนเดินออกมาเมื่อครู่ ในใจนึกสังหรณ์อะไรบางอย่างจึงรีบวิ่งกลับไปดู ทันทีที่พบวัตถุที่หล่นลงพื้นขนทุกเส้นในร่างกายของหล่อนต่างก็พร้อมใจกันลุกชันอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อวัตถุที่นอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้นห้องเป็นกรอบรูปที่ใส่ภาพบุตรชายคนเล็กหล่อนเอาไว้
   “ไม่จริง ไม่จริง ไม่จริ๊ง” ร่างหล่อนทรุดลงกับพื้นร้องกรี๊ดโวยวายเมื่อคิดว่าภาพบุตรชายที่หล่อนเห็นเมื่อครู่คงไม่ใช่ร่างที่มาหาแบบที่เป็นมนุษย์ปุถุชน เสียงร้องของหล่อนเรียกให้บ่าวไพร่วิ่งขึ้นมาดูเหตุการณ์ หลายคนต่างเข้าพยุงหล่อนที่กำลังโวยวายคล้ายคนเสียสติ ก่อนจะกรี๊ดลั่นครั้งสุดท้ายแล้วเป็นลมหมดสติไป
   จิตรารู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งพบบ่าวไพร่ปรนนิบัติพัดวีอยู่ก็ลุกขึ้นถามคนโน้นทีคนนี้ทีว่าตอนขึ้นมาบนเรือนเดินสวนกับบุตรชายคนเล็กของหล่อนหรือไม่ ทุกคนที่โดนถามต่างส่ายหน้าปฏิเสธและบอกว่า ไม่เห็นเลยว่าบุตรชายนางมาที่นี่ คำตอบเหล่านั้นทำหล่อนปากคอสั่นเพราะทั้งกลัวและทั้งหวาดวิตกไปต่างๆ นานา บอกบ่าวไพร่ว่าห้ามทิ้งให้หล่อนอยู่บนเรือนคนเดียวโดยเด็ดขาด พลางใช้ให้บางส่วนโทรศัพท์ไปแจ้งบุตรชายคนโตของหล่อนให้ขึ้นมาที่นี่ด่วน

******************************************************************************    
   
อาทิตย์ตกใจที่ได้ฟังข่าวร้ายจากคนทางไร่ที่ติดต่อมาบอกว่าป้าของตนเข้าโรงพยาบาลและมารดาของตนหวาดกลัวที่จะอยู่คนเดียว ถามไถ่ว่ามารดาหวาดกลัวอะไรก็ไม่มีใครให้คำตอบได้สักคน สุดท้ายชายหนุ่มจึงหยุดเรียนอีกครั้งเพื่อทางกลับมาดูอาการผู้เป็นป้าและอยู่เป็นเพื่อนมารดาของตน
   ทางด้านอิทธิและอาทีหลังจากเดินเที่ยวมุมโน่นมุมนี้ของไร่ก็กลับมายังเรือนที่พัก ไม่ได้เอะใจอะไรที่เห็นญาติของลุงไกรยังคงนั่งสนทนากับแม่นางอยู่ คิดเพียงว่าสองคนคงจะคุยกันถูกคอจึงอยู่คุยกันยาว เพราะเชื่อว่าความนอบน้อมของแม่นางคงจะผูกมิตรกับผู้ที่นำเสบียงมาส่งได้ไม่ยาก
   “มาเหนื่อยๆ กินน้ำกินท่าซักหน่อยนะพ่อหนุ่มน้อย” หญิงผู้นั่นยื่นขันน้ำให้อาทีเป็นคนแรก หนุ่มน้อยรับมาดื่มแล้วส่งต่อให้เพื่อนดื่มตาม สุดท้ายอิทธิจึงเป็นคนยื่นขันน้ำคืนให้กับเจ้าของพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณ อาทีเองก็เช่นกัน แม่นางลอบยิ้มกับภาพความนอบน้อมของเด็กที่ตนรักทั้งสอง เผลอยกมือขึ้นลูบเส้นผมอาทีอย่างลืมตัวด้วยเพราะยังติดตาอยู่กับภาพที่เห็น อิทธิทำหน้าฉงนเมื่อเห็นมารดาตนทำแบบนั้นกับหลานเจ้าของไร่จึงแกล้งแซว
   “ลูบหัวผิดคนหรือเปล่าแม่ นั่นมันหัวไอ้อาทีหลานคุณจันทร์นะไม่ใช่ผม”
   แม่นางได้สติจึงคิดจะยกมือไหว้ขอโทษหลานชายเจ้านาย แต่แล้วก็ทำไม่ทันเมื่ออาทีรีบคว้ามือไว้แล้วเอ่ยบอก
   “แม่นางนี่จะแช่งผมให้ตายเร็วๆ ใช่มั้ยเนี่ย ไหว้ผมจัง”
   “อย่าพูดแบบนี้สิคะคุณอาที ฟังดูไม่ดีเลยนะคะ” แม่นางเอ่ยบอกออกมาเมื่อฟังถ้อยคำจากปากหนุ่มน้อยตรงหน้าแล้วรู้สึกไม่สบายใจ
   “เด็กมันก็พูดไปอย่างเองแหละแม่นาง อย่าคิดอะไรมากน่า สบายใจเถอะนะ เออ แล้วฉันขอตัวกลับก่อนล่ะ เดี๋ยวจะแวะเอาเสบียงมาส่งให้ใหม่ แรกๆ ก็อย่างนี้ล่ะนะ ต่อไปเดี๋ยวฉันจะให้คนงานมาต่อเติมที่ทางสำหรับทำครัวให้เผื่อแม่นางอยากจะทำกับข้าวกินเองบ้าง”
   “แค่นี้ก็เป็นพระคุณแล้วค่ะพี่ดวง” แม่นางยกมือขึ้นไหว้อีกหนึ่งผู้มีพระคุณ ฝ่ายนั้นบอกไม่ต้องไหว้บ่อยๆ หรอก เพราะตนก็เคยตกทุกข์ได้ยากมาก่อน ช่วยๆ เพื่อนมนุษย์ด้วยกันไปได้บุญได้กุศลดี
หญิงชื่อดวงเดินจากไปแล้ว แม่นางจึงหันมาถามหนุ่มน้อยทั้งสองตรงหน้าว่าไปไหนกันมา สองคนเอ่ยรายงานอย่างตื่นเต้นถึงสิ่งใหม่ๆ ผู้คนใหม่ๆ บนไร่แห่งใหม่นี้ให้ฟัง เล่าไปก็แย้งกันอย่างสนุกสนาน มันเป็นภาพที่ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมากจากความหดหู่ในเหตุการณ์ก่อนหน้าที่ได้พบเจอมา แต่ภาพที่นางเห็นเพื่อนรักบุตรชายไร้ซึ่งศีรษะนี่สิทำให้นางกังวลใจตามมา ขอให้เพียงภาพที่นางตาฝาดทีเถอะ
“แล้วนี่ลุงไกรจะมารับคุณอาทีกี่โมงกันหรือคะ” นึกภาวนาเสร็จแม่นางก็เอ่ยถามขึ้น นึกถึงตอนที่ต้องกลับเรือนอาทีก็มีสีหน้าเรียบเฉยขึ้นมาอีก เอ่ยตอบคำถามอย่างเนือยๆ
“ลุงไกรแกหลบสายตาแม่ได้ตอนนั้นก็คงตอนนั้นแหละครับแม่นาง”
“มึงไม่น่ามาลำบากกับกูและแม่เลยนะอาที” อิทธิเอ่ยบอกเพื่อน เพราะนึกเห็นใจกับการที่เจ้าตัวมาระหกระเหินกับตนและมารดาแบบนี้
“คับที่น่ะมันอยู่ได้แต่คับใจมันอยู่ยากนะโว้ย” อาทีหันมาตอบ สามคนจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีก ได้แต่นั่งมองหน้ากันปลงๆ กับชะตากรรมที่กำลังเผชิญอยู่ร่วมกัน

*******************************************************************************
อาทิตย์กลับถึงไร่ในตอนมืดแล้ว หลังรับคำรายงานจากบ่าวไพร่ของมารดาเสร็จชายหนุ่มก็รีบนั่งเครื่องบินกลับมาเพราะร้อนรนอยากมารับรู้เรื่องราวต่างๆ จนใจจะขาด เสียดายที่ตอนนี้ผู้เป็นบิดาได้ไปดูงานที่ต่างประเทศ ไม่อย่างงั้นตนก็คงจะชวนมาด้วย เพราะฟังจากสิ่งที่บ่าวไพร่รายงานอาการของผู้เป็นมารดาให้ฟังก็น่าเป็นห่วงนัก
ชายหนุ่มขึ้นเรือนได้ก็ตรงไปยังห้องพักมารดาเพื่อดูอาการทันที ภายในนั้นมีหญิงรับใช้นั่งอยู่สองสามนาง ส่วนมารดานั่นกำลังนอนน้ำตาซึมสะอื้นเล็กๆ อยู่บนเตียงนอน ช่างเป็นภาพที่น่าสะเทือนใจนัก นี่มันเกิดอะไรขึ้นตอนที่ตนเดินทางกลับกรุงเทพฯ มารดาตนยังร่าเริงแช่มชื่นดีอยู่ นี่เพียงไม่กี่วันทำไมถึงได้มานอนสะอื้นไห้แบบนี้
“แม่” ชายหนุ่มส่งเสียงเรียกพลางเดินเข้าไปหาร่างมารดา จิตราพอได้ยินเสียงบุตรชายคนโตก็รีบลุกนั่งแล้วโผเข้าซบอกเจ้าตัวสะอื้นไห้หนักตอนที่เจ้าตัวนั่งอยู่บนเตียงด้วยแล้ว หล่อนละล่ำละลักบอกบุตรชายถึงเรื่องที่หล่อนเจอ
“อาทิตย์ น้อง น้อง น้องมาหาแม่ น้องมาหาแม่ มันน่ากลัวอาทิตย์ มันน่ากลัว”
“แม่ใจเย็นๆ นะครับ ค่อยๆ เล่าให้ผมฟังนะครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น” อาทิตย์พยายามปลอบใจก่อนจะสั่งให้สาวใช้ทั้งหมดออกไปนอกห้อง เพื่อที่จะคุยกับมารดาได้สะดวกขึ้น
“ไม่ ไม่ อย่าไปไหนกัน อยู่กันเยอะๆ อยู่กันเยอะๆ ผีไอ้อาทีมันจะได้ไม่มาหลอก” จิตรารีบเอ่ยบอกคล้ายคนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อาทิตย์ตกใจในสิ่งที่ได้ยินจึงรีบถามเอาความ
“แม่ แม่พูดอะไร ไอ้อาทีมันเป็นอะไร ทำไมแม่พูดว่ามันเป็น เอ่อ อย่างนั้น”
“น้องมันมาหลอกแม่ มันมาหลอกแม่ มันอาฆาตแค้นแม่ที่แม่ไปทุบตีด่าทอมัน อาทิตย์ แม่กลัว แม่กลัว อย่าทิ้งแม่ไปไหนนะ อยู่กับแม่ อยู่กับแม่นะอาทิตย์” สติของผู้เป็นมารดายังไม่กลับมาอยู่กับตัว อาทิตย์จึงหันไปถามกับบรรดาสาวใช้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นทำไมมารดาตนถึงได้เป็นแบบนี้
“คุณอาทีหายตัวไปค่ะ ป่านนี้ยังไม่กลับมาที่ไร่เลย แต่คุณจิตรบอกว่าเห็นคุณอาทีมาหา มายืนถลึงตาใส่ มาแสยะยิ้มให้ แล้วก็หายไปค่ะ ท่านเลยคิดว่า คุณอาที เอ่อ…” หญิงรับใช้ที่รายงานเรื่องราวไม่กล้าพูดต่อไป แต่เพียงเท่านี้อาทิตย์ก็พอจะเข้าใจเรื่องราวนี้ แต่เรื่องราวก่อนหน้านี้ล่ะ เหตุการณ์ที่ว่าป้าของตนต้องเข้าโรงพยาบาล และน้องชายของตนได้หายตัวไป มันเกิดอะไรขึ้นที่ไร่นี้กันแน่ ชายหนุ่มหันไปถามหญิงรับใช้ในเรื่องนี้ต่อ เพราะตอนนี้สติของมารดายังคงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงอาการกายสะท้านสั่นของเจ้าตัว
“เรื่องที่คุณจันทร์เข้าโรงพยาบาลดิฉันว่าคุณอาทิตย์ถามคุณจิตรเองดีกว่านะคะ ดิฉันคงไม่กล้าเล่าเรื่องราว เดี๋ยวคุณจิตรจะหาว่าดิฉันใส่ความ ส่วนเรื่องที่คุณอาทีหายไป เห็นคนงานในไร่ลือกันว่าค่ำคืนนั้นได้ยินเสียงปืน เลยวิ่งมาแอบซุ่มดู พบว่าเรือนแม่นางโดนทุบทิ้ง ตอนนั้นคุณจิตรกับคุณอาที นายศร นายสิน อิทธิ แม่นาง อยู่ตรงและคนงานชายอีกกลุ่มหนึ่งอยู่กันตรงนั้น อิทธิกับแม่นางและนายสินนั่นเหมือนโดนทำร้าย ส่วนคนถือปืนคือคุณอาที ซึ่งกำลังทะเลาะกับคุณจิตร แล้วสุดท้ายเธอก็พยุงร่างอิทธิและแม่นางหายไปน่ะค่ะ”
หญิงคนเดิมรายงานตามเรื่องราวที่หล่อนได้ฟังมาอีกทีหนึ่งจากการจับกลุ่มสนทนาของเหล่าคนงาน อาทิตย์คิดตามยังรู้สึกงงๆ อยู่เพราะเรื่องราวมันยังไม่ปะติดปะต่อเท่าไหร่ กำลังจะเอ่ยปากถามอีก แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อมารดาผละออกจากร่างตนกระโจนลงจากเตียงแล้วโผเข้าบีบคอหญิงรับใช้ที่เอ่ยเล่าเรื่องราวเมื่อครู่จนเกิดการกรีดร้องกันวุ่นวาย
“อีไพร่ มึงเล่าอะไร มึงใส่ความกูเหรอ มึงกำลังว่ากูทำให้พี่กูเข้าโรงพยาบาลเหรอ มึงว่ากูทำให้ลูกชายกูหนีไปด้วยใช่มั้ย มึงอย่าอยู่เลย กูจะเฉดหัวมึงออกไปจากที่นี่เหมือนที่กูเฉดหัวอีนังแม่นางกับลูกชายมันน่ะแหละ อีอัปรีย์ อีสถุน อีชั่ว อีๆ” จิตราเอ่ยอาละวาดอย่างคนไร้ซึ่งสติจนเป็นที่น่าหวาดกลัวของหญิงรับใช้ทั้งหมด โดยเฉพาะนางที่โดนบีบคอนั่นตกใจจนหน้าซีดตัวสั่น ร้องห่มร้องไห้ออกมาก่อนจะลุกวิ่งหนีไปตอนที่อาทิตย์มาช่วยแกะมือมารดาเจ้าตัวออกจากลำคอได้สำเร็จ
“กรี๊ด! ผีคุณอาที!” เสียงหญิงรับใช้ผู้นั้นกรีดร้องอยู่ตรงชานเรือน พลางเอ่ยเรียกหนึ่งชื่อให้ทุกคนในห้องต้องลุกวิ่งไปมอง พบร่างหญิงรับใช้นางนั้นนอนสลบซบแทบเท้าร่างของอาทีที่กำลังยืนมึนงง
“ไอ้อาที” อาทิตย์เอ่ยครางเรียกชื่อน้องชายในขณะที่หญิงรับใช้สองคนกระโดดกอดกันกลม วิ่งไปหลบกันอยู่มุมห้อง เพราะหลงเชื่อตามคำบอกเล่าของจิตราไปแล้วกว่าครึ่ง ด้านจิตราวิ่งเข้าซบร่างบุตรชายคนโต ร้องไห้โฮละล่ำละลักเอ่ย
“อาทิตย์ บอกน้องหน่อยว่าแม่ขอโทษ แม่ขอโทษ บอกน้องอย่าตามหลอกตามหลอนแม่เลย บอกน้องหน่อยลูก บอกน้องหน่อย”
อาทียืนมองภาพตรงหน้ารู้สึกฉงนหนักขึ้นอื่น นี่มารดาเขาเป็นอะไร ภาพแบบนี้เกิดมาเขาไม่เคยได้เห็น แล้วนั่นพี่ชายเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หนุ่มน้อยหันมองสบตาพี่ชาย อาทิตย์เองเมื่อเห็นแววตาที่น้องชายจ้องมองจึงเอ่ยทัก เพราะไม่ได้หลงเชื่อไปกับคำบอกมารดา
“แกไปไหนมาอาที”
“ขอโทษนะ ผมไม่มีเวลาตอบ ต้องไปเก็บของ” อาทีเอ่ยตอบเสียงแข็ง เลิกสนใจอาการมารดา เพราะคิดกว่าเจ้าตัวคงกำลังเล่นละครออเซาะพี่ชายของตน หนุ่มน้อยมาที่นี่ได้เพราะลุงไกรขับรถไปรับตามสัญญานั่นเอง
“เก็บของ แกจะไปไหน” อาทิตย์เอ่ยถามเสียงดุ จิตราพอเห็นสองพี่น้องสนทนากันจึงเริ่มคลายอาการหวาดกลัว สติหญิงร้ายเริ่มกลับมาเข้ารูปเข้ารอยในตอนที่ได้ยินน้ำเสียงที่มากด้วยทิฐิของบุตรชายคนเล็กที่เอ่ยตอบพี่ชายกลับมาว่า
“ไปให้พ้นจากเรือนนรกนี่ไง ในเมื่อป้าจันทร์ไม่อยู่ มันก็ไม่ใช่ที่ๆ ผมจะอยู่อีกต่อไป”
“ไอ้อาที นี่แกจะโอหังมากไปแล้วนะ แกจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ตราบที่ฉันยังมีลมหายใจอยู่”
เสียงมารดาเอ่ยว่าขึ้นในน้ำเสียงเดิมทำเอาอาทิตย์เกิดอาการประหลาดใจ นี่มารดาของเข้าสติกับมาอยู่กับตัวแล้วหรือ ใจหนึ่งก็ยินดี แต่ใจหนึ่งก็ฉงนเป็นหวาดกลัวว่ามารดาตนจะมีปัญหาทางจิต ส่วนหญิงรับใช้ทั้งสองต่างเมื่อเห็นสถานการณ์แปรเปลี่ยนไปจึงรีบวิ่งไปพยุงร่างอีกหนึ่งหญิงรับใช้ที่นอนสลบอยู่ลงจากเรือนไป
“แม่ แม่หายแล้วเหรอ” อาทิตย์หันมาถามมารดาในตอนที่เหลือเพียงตนกับฝ่ายนั้นและน้องชายที่ยืนสนทนากันอยู่
“แม่ไม่ได้เป็นอะไร ในเมื่อน้องแกยังไม่ตาย แม่ก็ไม่เห็นจะต้องกลัวมัน” จิตราตอบกลับ อาทิตย์เกิดอาการเครียดหนักกับอาการเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของเจ้าตัว แต่อาทีนั้นกลับสนใจแต่คำว่าตายที่ได้ยินจึงเอ่ยถาม
“แม่หมายถึงใครตาย”
“ก็แกน่ะแหละ นรกมันจะมาลากคอแกไปอยู่ด้วยแกรู้ตัวบ้างมั้ย เป็นไงล่ะ บาปกรรมมันมีจริง แกจะยิงแม่แก ยมบาลถึงจะมาเอาตัวแกไปลงโทษ” จิตราว่ากลับ เมื่อจิตใจกลับมาครบสมบูรณ์จึงเริ่มนึกแค้นเคืองถึงเหตุการณ์ที่คิดว่าบุตรชายจะยิงตัวเองจริงๆ
“แม่ แม่พูดอะไรครับ” อาทิตย์เอ่ยถาม ถึงตอนนี้จริตหญิงร้ายจึงเริ่มทำงานดังเดิม หล่อนรีบจุดไฟให้บุตรชายร้อนตามว่าเหตุที่ป้าของเจ้าตัวต้องเข้าโรงพยาบาลก็เพราะรับไม่ได้ที่คนงานที่สนิทอย่างแม่นางนั้นแผลงฤทธิ์ร้ายออกมาให้เห็นด้วยการโกงกินรายได้ของไร่
“ป้าของลูกตามอีแม่นางมาสืบความ มันไม่ยอมรับท่าเดียว ป้าของลูกก็เลยเอาบัญชีออกมาตรวจจนต่อหน้าต่อตามันบอกว่าบัญชีนี้มันชี้ชัดอยู่แล้วว่ามันโกง ให้มันยอมรับซะดีๆ ไม่อย่างนั้นป้าของลูกจะแจ้งตำรวจมาจับมันไปสอบสวนเอง พอมันได้ยินคำว่าตำรวจมันก็เลยโมโหโผล่หางต่อว่าป้าของลูกพลางเข้าทำร้ายจนป้าของลูกต้องช็อกหมดสติไป แล้ววิ่งหนีกลับเรือนคิดจะหอบผ้าหอบผ่อนหนี แม่ก็เลยสั่งให้นายศรและพวกล้อมจับ และพังเรือนมันเพราะแม่แค้นที่มันทำกับป้าของลูกแบบนี้ มันกำลังจะโดนพวกนายศรจับได้ แต่น้องชายของลูกนี้มาช่วยมันไว้ทัน แม่ล่ะเจ็บใจนักที่อธิบายเหตุการณ์อะไรๆ ให้ฟังน้องชายลูกก็ไม่ฟังท่าเดียว มันเชื่อว่าอีแม่นางเป็นคนดี มันเชื่อว่าไอ้อิทธิเป็นคนดี มันหาว่าแม่ร้ายกาจเกินมนุษย์ มันจะยิงแม่ มันจะทำร้ายแม่ แม่ถึงต้องยอมให้มันพาไอ้อีแม่ลูกคู่นั้นหนีไป แต่เมื่อช่วงหัววันวิญญาณมันกลับมาหลอกมาหลอนแม่ มันคงเป็นเวรเป็นกรรมที่มันคิดจะฆ่าแม่น่ะแหละ ท่านยมบาลเลยจะมาเอามันไปชดใช้กรรมในนรก ท่านคงจะมาเตือนให้แม่ทำใจว่าแม่จะต้องสูญเสียมันไป แม่ถึงต้องมาหวาดกลัวอยู่แบบนี้ แต่ตอนนี้มันกลับมาแบบเป็นร่างคนก็ดีแล้ว อาทิตย์สั่งน้องลูกมากราบขอขมาแม่เดี๋ยวนี้ถ้าไม่อยากให้มันโดนท่านยมบาลลากคอมันไปชดใช้บาปกรรมในนรก”
นั่นคือถ้อยคำทั้งหมดที่หล่อนเอ่ยให้บุตรชายคนโตฟัง หล่อนเชื่อเหลือเกินว่าบุตรชายจะเชื่อหล่อน แม้เจ้าตัวจะหันไปถามน้องชายอยู่ก็ตาม
“ที่แม่บอกฉันมันเป็นเรื่องจริงเหรออาที”
“ผมจะไม่เปลืองน้ำลายอธิบายอะไรแล้วทั้งนั้น เพราะผมพูดผมเอ่ยอะไรไปในใจพี่ก็คงเข้าข้างแม่มากกว่าผม ผมคงไม่กล้าบอกว่าแม่โกหกหรอก เพราะเดี๋ยวผมจะบาปหนักอีก กลัวเหลือเกินว่าท่านยมบาลจะมาลากตัวผมไปชดใช้กรรมเร็วขึ้น ขอตัวนะครับ” อาทีเอ่ยตอบอย่างหนักแน่นแกมประชดประชันมารดา เขากำลังจะไปจากที่นี่ ไปใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ไม่เคยให้ร้ายกับเขาแม้จะไม่ใช่สายเลือดเดียวกันก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะอธิบายอะไร รอให้ป้าของเขาฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่โน้นแหละเขาถึงจะกลับมาที่นี่
หนุ่มน้อยเดินเดินไปทางห้องตัวเองเมื่อเอ่ยจบ จิตรามองตามอย่างนึกโกรธ บุตรชายโอหังคนนี้ของหล่อนจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นตราบใดที่เจ้าตัวไม่ก้มกราบและขอขมาหล่อน
“อาทิตย์ อย่าให้อาทีไปไหนได้เด็ดขาดจนกว่ามันจะมากราบเท้าขอขมาแม่”
หล่อนเอ่ยสั่งบุตรชายคนโตเสียงหนักแน่น อาทิตย์เครียดหนักกับเรื่องราววุ่นวายที่ต้องเผชิญ ชายหนุ่มมองสบตาวาวโรจน์ของมารดาสักพักจึงเดินตามน้องชายไปและเข้าขัดขวางไม่ให้เจ้าตัวเก็บของใส่กระเป๋าได้ง่าย สองคนยื้อแย่งของกันไปมาก่อนจะลามปามเป็นชกต่อยกันในที่สุด ผลัดกันรุกผลัดกันรับจนข้าวของในห้องกระจุยกระจาย สุดท้ายอาทีก็พลาดท่าเสียทีโดนพี่ชายจับมือไพล่หลังหาเชือกมามัดเอาไว้จนสำเร็จ

Bboyseries

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 28
“ปล่อยผมนะพี่อาทิตย์ พี่จะมามัดผมไว้แบบนี้ไม่ได้นะ” อาทีเอ่ยสั่งพี่ชายเสียงแข็งตอนโดนเจ้าตัวจับมัดไว้กับเสาของเตียงนอน อาทิตย์ยืนขึ้นจ้องหน้าเอ่ยบอก
   “ใช่ว่าฉันอยากจะถามแบบนี้หรอกนะ แต่ดูทุกอย่างมันวุ่นวายไปหมด ดูเหมือนแกกับแม่จะเกิดปัญหากันขั้นแตกหัก ฉันว่าแกอยู่นิ่งๆ แบบนี้แหละดีแล้ว รอฉันเคลียร์ปัญหาทุกอย่างให้กระจ่างก่อน แล้วฉันจะมาปล่อยแก”
   อาทีมองจ้องหน้าพี่ชายอย่างเคืองแค้น เด็กหนุ่มงดตอบโต้เพราะกำลังคิดหาทางที่จะพาตัวเองหลุดพ้นจากพันธนาการนี้ให้ได้ เขาจะต้องกลับไปหาอิทธิกับแม่นางก่อนรุ่งสางเพราะได้สัญญากับสองคนนั้นไว้แล้ว เขาจะต้องรีบเก็บของใช้ที่จำเป็น รวมถึงตำราเรียน และชุดนักเรียนไปเผื่ออิทธิ เพราะทั้งเขาและฝ่ายนั้นยังมีหน้าที่เรียนหนังสือกันอยู่ ถึงแม้จะโดนปัญหาหนักๆ ทับถมมาตอนนี้เพียงไร แต่อีกไม่กี่อึดใจทั้งเขาและเพื่อนรักกำลังจะเรียนจบ ไม่มีทางที่เขาจะยอมให้สิ่งใดมาตัดอนาคตทั้งเขาและเพื่อนได้ตอนนี้ คิดแล้วก็ช่างน่าสมเพชนัก ทั้งมารดาและพี่ชายคงจะมองเลยข้อสำคัญนี้ไปสินะ ในใจคงคิดแต่กำราบเขาให้อยู่ภายใต้โอวาทจนลืมใส่ใจในเรื่องที่ใครบางคนที่ไม่ใช่ผู้ให้กำเนิดใส่ใจเขา แน่ล่ะหนุ่มน้อยกำลังนึกถึงแม่นาง คนที่เอ่ยบอกทั้งเขาและอิทธิว่ายังไงซะก็อย่าให้ปัญหานี้มาทำให้ต้องหยุดเรียนจนไม่มีสิทธิ์สอบกัน
   “ดีมากลูกอาทิตย์ อย่าปล่อยมันจนกว่ามันจะเอ่ยขอขมาแม่” จิตราเดินมายืนเคียงร่างบุตรชายคนโต อาทีมองจ้องหน้าคนทั้งสองอย่างนึกชิงชัง เอาเถอะ ถ้าคิดว่าเชือกแค่นี้จะต้านเขาอยู่ก็ลองดู
   “ออกไปจากห้องผมให้หมด ผมไม่อยากเจอใครตอนนี้” หนุ่มน้อยเอ่ยปากไล่คนทั้งสองให้ออกไปจากห้องเพื่อที่จะได้มีเวลาหาทางกำจัดเชือกบ้าๆ นี้ออกจากแขนทั้งสอง
   “ช่วยตัวเองไม่ได้แล้วยังอวดเก่งอีก มันน่านัก” จิตราเกิดอารมณ์โมโหขึ้นมาอีก ถลาเข้าใส่ร่างคนไล่ ร้อนถึงอาทิตย์ที่ต้องรั้งตัวไว้แล้วฉุดไปนอกห้อง
   “ปล่อยมันอยู่ของมันแบบนั้นแหละแม่ ให้มันได้คิดเองของมันคนเดียว ผมว่าแม่ไปนอนพักเถอะนะ” ชายหนุ่มเอ่ยบอกมารดา ยกแม่น้ำทั้งห้ามาเกลี้ยกล่อมจนเจ้าตัวอยู่อยู่ในอาการสงบและยอมกลับเข้าห้องพักโดยง่าย
   หลังมารดากลับเข้าห้องพักไปแล้วชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินลงจากเรือนเพื่อไปยังเรือนของแม่นางและอิทธิที่ได้ทราบว่าถูกรื้อถอนทิ้ง ส่วนการไปเยี่ยมป้าของตนคิดว่าพรุ่งนี้ค่อยเดินทางไปน่าจะสะดวกกว่า
พอลงมายังลานหน้าเรือนชายหนุ่มก็นึกสงสัยเมื่อเห็นร่างของลุงไกรยืนซุ่มอยู่จึงเดินเข้าไปถาม
“ดึกดื่นป่านนี้มาซุ่มดูอะไรลุงไกร”
ลุงไกรตกใจที่พบร่างบุตรชายคนโตของเจ้านายแทนร่างบุตรชายคนเล็ก เหตุที่ชายชรามาซุ่มอยู่แบบนี้เพราะรอที่จะไปส่งเจ้านายน้อยที่ไร่ญาติของตนตามที่เจ้าตัวสั่งให้รอ
“ปะ เปล่าครับ” ชายชราอึกอักตอบ ยังคงภักดีต่อคำสั่งของเจ้าน้อยอยู่ว่าห้ามเอ่ยบอกใครถึงเรื่องที่อยู่ใหม่ของเจ้าตัว
“เปล่าอะไร ก็ผมเห็นลุงไกรยืนซุ่มอยู่” อาทิตย์ถามอีก จ้องหน้าหาพิรุธ ลุงไกรจึงรีบเอ่ยเอาตัวรอด
“ผมก็มาดูมาเผื่อว่าคุณจิตรจะเรียกใช้น่ะครับ ช่วงนี้คุณจันทร์อยู่โรงพยาบาลเผื่อแกอยากจะไปเยี่ยม”
“ค่ำมืดดึกดื่นป่านนี้หมอที่ไหนเขาจะให้เยี่ยม กลับไปพักผ่อนเถอะไป ถ้ามีอะไรเดี๋ยวผมให้คนไปตามเอง” อาทิตย์ขี้เกียจหาความเพราะยังคลายปมเรื่องราวต่างๆ ไม่ออก จึงไม่อยากหาเรื่องให้หนักสมองเพิ่มเพิ่มเติม ลำพังอาการเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของมารดาก็ทำชายหนุ่มเครียดพออยู่แล้ว
“แล้วคุณอาทีล่ะครับ” ลุงไกรตัดสินใจถามถึงเจ้านายน้อยของตน นึกห่วงขึ้นมาแล้วว่าทำไมป่านนี้เจ้าตัวยังไม่ลงมา จะว่าเก็บของนานก็ไม่น่าใช่เพราะเจ้าตัวบอกจะเอาเฉพาะที่จำเป็น
“ถามถึงน้องผมทำไม” อาทิตย์จับพิรุธอีก
“ปะ เปล่าครับ งั้นผมขอตัวนะครับ” ลุงไกรรีบปฏิเสธแล้วรีบเลี่ยงหนีไปก่อน ไม่อยากที่จะมองสบตาคนจับพิรุธในตอนนี้นัก
ชายชราเลี่ยงไปหลบในเงามืด รอให้ร่างของบุตรชายคนโตเจ้านายเดินหายไปนอกเขตเรือน จึงค่อยๆ ย่องออกมาจากที่ซ่อน หันซ้ายแลขวา เห็นช่องทางสงบจึงค่อยย่องขึ้นเรือนไป เพื่อตามสืบว่าเจ้านายน้อยของตนทำไมยังไม่ลงมาตามสัญญา เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงฟ้าก็จะสางแล้ว และตนคงจะมาลักลอบทำอะไรแบบนี้ไม่ได้อีก เนื่องจากคิดว่าคงติดภาระที่จะต้องขับรถรับส่งจิตราและอาทิตย์ไปโรงพยาบาลทั้งวัน
บนเรือนเงียบสงบ บัดนี้ไม่มีร่างใครให้เห็น ชายชราค่อยเดินไปยังห้องของคนที่ตนตามสืบเมื่อได้ยินเสียงกุกๆ กักๆ ภายในนั้น ถึงหน้าประตูก็ส่งเสียงเรียกเบาๆ
“คุณอาทีครับ คุณอาที อยู่ข้างในมั้ยครับ”
อาทีพอได้ยินเสียงของลุงไกรก็ดีใจจนต้องรีบส่งเสียงตอบว่าตนถูกมัดอยู่ภายในห้องนี้ ให้รีบเข้ามาแก้มัดให้ที ชายชราพอได้ยินคำบอกก็รีบเปิดประตูทีไม่ได้ล็อกเอาไว้เข้าไป นึกสงสารและเห็นใจที่เห็นเจ้านายน้อยโดนพันธนาการไว้ จึงรีบตรงเข้าไปเพื่อช่วยพลางบอก
“โธ่ คุณอาที ทำไมคุณจิตรกับคุณอาทิตย์ถึงทำกับคุณอย่างนี้ล่ะครับ ป่านนี้แม่นางกับอิทธิเป็นห่วงแย่แล้วครับที่เห็นคุณยังไม่กลับไป”
อาทีกำลังจะเอ่ยตอบ แต่แล้วก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อเงยหน้าขึ้นมองไปทางประตู เห็นร่างมารดาของตนยืนถือไม้ขนาดเหมาะมือจ้องมองร่างของคนที่พยายามแก้มัดให้ตนอยู่
“กูนึกแล้วว่ามึงต้องโกหกกูไอ้แก่ไกร”
เจ้าตัวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหี้ยม ก่อนจะยกไม้ในมือขึ้นสูงเตรียมหวดลงมา
 “ลุงไกรระวัง แม่อย่า!” อาทีร้องบอกทั้งชายชราและร้องห้ามมารดาของตนเสียงดังลั่น ในตอนที่เห็นว่าทั้งสองได้หันไปเผชิญหน้ากันแล้ว
ลุงไกรหมอบร่างเพื่อจะหลบท่อนไม้ขนาดเขื่องในมือเจ้านายที่เจ้าตัวหวดลงมาเต็มแรง อาทีหลับตาลงทันใดเพราะไม่อาจทนเห็นภาพสะเทือนใจได้ หนุ่มน้อยคิดว่ายังไงซะชายชราตรงหน้าก็หลบท่อนไม้ในมือมารดาตนไม่พ้น แต่แล้วเหตุการณ์กลับไม่ร้ายแรงเท่าที่คิดเมื่อมีหนึ่งเสียงดังขึ้นซะก่อน
“อย่าแม่ ทำแบบนี้ทันเท่ากับฆ่าคนเลยนะ” เสียงนั่นเป็นเสียงของอาทิตย์ในตอนที่ทั้งลุงไกรและอาทีหันมามอง พบว่าชายหนุ่มรายนั้นกำลังยื้อแย่งท่อนไม้ออกจากมือมารดา
จิตรายื้อแย่งไม่ยอมปล่อยท่อนไม้โดยง่าย หล่อนกรีดร้องโวยวายว่าจะเอาเลือดหัวทุกคนที่มันกล้าโกหกและทรยศหล่อน
“แม่ แม่ใจเย็นๆ ก่อนสิครับ ทำไมแม่ถึงเป็นไปได้ขนาดนี้แล้ว” อาทิตย์ใจหายกับอาการโวยวายด้วยท่าทีร้ายกาจของมารดา มันช่างเหมือนผีป่ามาสิงร่างเจ้าตัวยังไงอย่างนั้นในตอนนี้
“ลุงไกร แกะมัดผมก่อนเร็ว” อาทีถือโอกาสที่ทั้งพี่ชายและมารดายื้อแย่งท่อนไม้กันอยู่เอ่ยสั่งชายชราตรงหน้า ไม่ได้อยากสนใจอาการมารดาตอนนี้นัก เชื่อเหลือเกินว่าที่เจ้าตัวเป็นคนร้ายอย่างขาดสติตอนนี้คงเป็นเพราะพยามต่อต้านความผิดที่ตัวเองได้เป็นต้นเหตุให้พี่สาวต้องนอนเป็นผู้ป่วยนิทรา
พอร่างเป็นอิสระได้หนุ่มน้อยก็รีบเก็บคว้ากระเป๋าแล้วเก็บของอย่างลวกๆ ปล่อยให้ทั้งมารดาและพี่ชายยื้อแย่งท่อนไม้กันอยู่แบบนั้น เมื่อเก็บทุกอย่างเสร็จสรรพก็เอ่ยชวนลุงไกรออกไปนอกห้องทันที
“ไอ้อาทีแกจะไปไหน นี่แกไม่ห่วงแม่เลยหรือไง” อาทิตย์ส่งเสียงตามหลังน้องชาย เผลอผ่อนแรงที่กำลังยื้อแย่งท่อนไม้จากมารดา จิตราถือจังหวะที่บุตรชายเผลอผลักเจ้าตัวล้มลงแล้ววิ่งถือท่อนไม้ไล่ตามสองคนที่วิ่งลงบันไดเรือนไป
“ระวังตกบันไดครับคุณอาที” ลุงไกรเอ่ยบอกเจ้านายน้อยของตนอย่างอดห่วงไม่ได้เมื่อเห็นเจ้าตัวอุ้มกระเป๋าวิ่งลงบันไดเรือนแบบไม่คิดชีวิต
“ลุงไกรเร็วๆ เข้าเถอะ แม่ตามมาแล้ว” อาทีหันมาบอกคนเตือนเมื่อมองกลับมาเห็นร่างของมารดาวิ่งตามมาพร้อมท่อนไม้ในมือและเสียงขู่กรรโชก
“หยุดกันเดี๋ยวนี้นะ แกสองคนจะโอหังกับฉันมากไปแล้ว”
อาทีและลุงไกรไม่มีเวลาหันมาสนใจเสียงขู่ สองคนวิ่งลงไปยังลานหน้าเรือนแล้วตรงกันไปที่รถ ลุงไกรหยุดชะงักทำหน้าตาตื่น อาทีเอ่ยถามอย่างร้อนรน
“ลุงไกรเปิดประตูรถสิ หยุดยืนทำไม”
“กุญแจครับคุณอาที กุญแจรถอยู่ไหนก็ไม่รู้” ลุงไกรเอ่ยบอกเสียงตระหนก พลางคลำหากุญแจตามร่างกาย อาทีหน้าเสียตกใจไปด้วยเมื่อมองกลับไปทางด้านหลังเห็นร่างมารดากำลังวิ่งลงจากบันไดเรือนมา พร้อมกับกับร่างพี่ชายที่ตามมาด้วยอีกคน
“แย่แล้วลุงไกร แม่จะมาถึงเราแล้วทำไงดี” หนุ่มน้อยเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน เชื่อแน่ว่าหากทั้งตนและชายชราตรงหน้าโดนไล่ล่ามาถึงตัวและโดนจับเอาไว้ คราวนี้คงจะพากันรอดลำบาก เพราะดูมารดาของตนจะควบคุมอารมณ์ร้ายไม่อยู่แล้ว
“มันคงหล่นตอนผมวิ่งมาแหละครับ” ลุงไกรเอ่ยบอกแล้วหันไปมองทางที่วิ่งมา แล้วก็เห็นพวงกุญแจตัวเองหล่นอยู่บนพื้นหญ้าจริงๆ สิ่งนั้นวางนิ่งอยู่ที่พื้น ซึ่งเหนือพื้นไปอีกไม่ไกล จิตราก็กำลังเดินส่งสายตาดุดันพลางตวาดมาให้ได้ยิน ยกท่อนไม้ในมือชี้หน้าว่า
“โชคมันไม่เข้าข้างไอ้ไพร่ทรยศและไอ้ลูกบาปหรอก วันนี้แหละกูจะเอาเลือดหัวพวกมึงออกมาล้างตีนขอขมาที่มาโอหังกับกู”
“ลุงไกรอย่าเพิ่งไปกลัว อยู่ตรงนี้นะถือกระเป๋าผมไว้ ผมวิ่งเร็วกว่าลุงไกร เดี๋ยวผมวิ่งไปหยิบกุญแจเอง” อาทีเอ่ยบอกแล้วยกกระเป๋าให้กับชายชราตรงหน้าตัดสินวิ่งกลับไปเอากุญแจที่ตนมองเห็นอยู่เช่นกัน
จิตรามองร่างบุตรชายวิ่งกลับมาจึงมองก้มต่ำที่พื้นบ้าง เห็นชัดว่ามีกุญแจหนึ่งพวงวางอยู่ตรงหน้า มันคงเป็นกุญแจรถสินะ ดีล่ะ ตอนนี้หล่อนอยู่ใกล้สิ่งนั้นมากกว่าบุตรชายนัก ไอ้อาทีแกได้ก้มขอขมาฉันพร้อมเลือดหัวขอแกแน่
หญิงร้ายนึกคิดในใจแล้วเร่งฝีเท้าเดินมายังพวงกุญแจนั่นบ้าง ลุงไกรมองเห็นนึกเป็นห่วงเจ้านายน้อยเหลือทนจึงเอ่ยร้องบอก
“คุณอาทีเร็วครับ คุณจิตรเห็นกุญแจแล้ว”
อาทีเงยหน้าขึ้นมองเห็นร่างมารดาเร่งฝีเท้ามายังกุญแจเช่นกัน สายตาคู่นั้นของมารดาจ้องมาที่ตนคล้ายจะปีศาจร้ายจ้องจะทำร้ายเหยื่อยังไงยังงั้น เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้าวิ่งเร็วขึ้น คิดว่ายังไงซะตนคงจะไปถึงพวงกุญแจเร็วกว่ามารดา
อาทิตย์ใจหายกับภาพที่เห็นจนเข่าอ่อนเดินต่อไม่ไหว ภาพที่ว่าคือมารดาเดินเงื้อท่อนไม้ในมือตรงไปยังร่างของน้องชายตนที่กำลังวิ่งมาคล้ายจะมาเอาอะไรสักอย่าง ชายหนุ่มได้แต่ภาวนาไม่ให้สองคนวิ่งมาบรรจบกันได้ เพราะกลัวว่าจะเจอภาพสะเทือนใจ
อาทีมองเห็นร่างมารดามาถึงพวงกุญแจนั่นก่อนตนก็ใจหายที่ตนทำไม่สำเร็จ เด็กหนุ่มไม่มีเวลาชะงักเพราะหากวัดตามระยะทางถ้าได้พุ่งร่างไปหยิบเอาพวงกุญแจตอนนี้ก็น่าจะทัน คิดได้ดังนั้นหนุ่มน้อยก็จึงตัดสินใจพุ่งร่างไปหยิบคว้าเอาพวงกุญแจมาถือไว้ในมือได้สำเร็จ แต่อนิจจา ภาพตอนนี้ที่ทั้งอาทิตย์และลุงไกรมองเห็นคือร่างของหนุ่มน้อยกำลังล้มศีรษะคะมำอยู่แทบเท้ามารดา
จิตราแสยะยิ้มอย่างสมใจ ด้วยแรงแค้น แรงทิฐิ และแรงเก็บกดต่างๆ ที่เก็บสะสมในใจมาจนอกจะระเบิด หล่อนปล่อยให้จิตใจส่วนร้ายเข้าครอบงำความรู้สึกทั้งหมด ส่งผลให้หล่อนลืมไปชั่วขณะว่าที่ก้มคะมำแทบเท้าหล่อนตอนนี้คือบุตรชายของหล่อนเอง ท่อนไม้ในเมื่อถูกเงื้อขึ้นสูงอีกครั้ง ก่อนหล่อนจะตัดสินใจฟาดมันลงมากะให้โดนร่างของผู้ที่คะมำอยู่ตรงหน้า อาทิตย์หัวใจแทบวายกับภาพที่เห็น ลุงไกรเองก็เข่าทรุดลง

โปรดติดตามตอนต่อไป



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด