ตอนที่ 19
ค่อนคืนแล้ว เรือนสามหลังที่ตั้งอยู่ภายในไร่ สมาชิกที่อาศัยอยู่ใต้ชายคาตอนนี้ต่างก็ตั้งวงล้อมสนทนาในเรื่องราวที่ต่างไป
ที่เรือนหลังใหญ่จิตราแสดงอาการไม่พอใจต่อว่าบุตรชายคนโตที่ยอมให้ลูกสาวนายศรถูกเนื้อต้องตัวควงขาควงแขนเดินรอบไร่ หล่อนมัวแต่ใส่ใจเรื่องนี้จนลืมนึกถึงเรื่องข้อผิดพลาดทางบัญชีของแม่นางและการที่บุตรชายคนเล็กยังไม่กลับมาที่เรือน
“หล่อนก็โวยวายมันได้ทุกเรื่องนะแม่จิตร จะหวงลูกชายไปถึงไหน ใจคอจะไม่ยอมให้ทั้งตาอาทีและตาอาทิตย์ได้พบเจอพูดคุยกับใครได้เลยงั้นรึ” จันทร์จวงติงน้องสาวเมื่อเห็นเจ้าตัวบ่นไม่ยอมเลิก
“พี่จันทร์ไม่ได้เห็นอย่างที่จิตรเห็นพี่จันทร์ก็พูดได้สิคะ จะให้จิตรตามตัวนังพิศมายืนยันมั้ยคะว่าหูตานังส้มมันจ้องลูกอาทิตย์ของจิตรอย่างกะจะกลืนกินไปทั้งตัว” จิตราเถียง อาทิตย์เพียงแต่นั่งฟังเงียบๆ ข้อนี้ไม่อยากจะแย้งมารดา เพราะสายตาของส้มที่มองตนเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่การที่หล่อนไปตบตีเด็กมันก็เกินไปนะ ตักเตือนว่ากล่าวก็น่าจะพอ” จันทร์จวงบอกต่อ ทราบว่าน้องสาวตบตีลูกสาวนายศรก็จากปากเพลินพิศที่หลุดปากเอ่ยชมเจ้านายที่เคารพว่าลีลาวาดฝ่ามือช่างสวยเสียกระไร
“น้อยไปสิคะนั่น ไอ้อีหน้าไหนที่มันมากล้ากับจิตรคิดว่าจิตรจะยิ้มสวยๆ ให้หรือคะ ไม่มีทาง” จิตราหน้าเชิดตามเดิม จันทร์จวงส่ายหน้าไม่อยากจะต่อความให้มากมาย เพราะเวลานี้ก็สมควรแก่การพักผ่อนแล้ว
“งั้นหล่อนก็นั่งคุยกับลูกหล่อนไปนะ ฉันขอตัวล่ะอยากจะงีบพักผ่อน” นางเอ่ยบอกน้องสาว กำลังจะลุกหนีแต่ก็พลันหยุดฟังสิ่งที่น้องสาวเอ่ยถามใหม่
“แล้วนี่ไอ้อาทีมันอยู่ที่นี่หรือเรือนนังแม่นางคะ ตั้งแต่กลับมาจิตรยังไม่เห็นหัวมันเลย”
“คงจะเรือนแม่นางนั่นล่ะ” จันทร์จวงตอบ ไม่ทันสังเกตอาการหลานชายข้างๆ ที่ตอนนี้ทำหน้าเฉาลงหน่อยๆ
“แน่หรือคะ ไม่ใช่ว่าเดินทะเร่อทะร่าให้ใครเขาลอบทำร้ายเอาอีกนะคะ” จิตราเอ่ยบอก แม้จะคงอาการหน้าเชิดตอนพูด แต่นั่นพี่สาวกลับมองว่าเป็นคำพูดที่น่าฟัง นางจึงเอ่ยยั่วล้อเล่นๆ
“ห่วงลูกชายขึ้นมาแล้วล่ะสิ”
“โอ้ย ยังไงก็เบ่งออกมาจะดุด่าว่าตียังไงก็ได้ขึ้นชื่อว่าลูกในไส้ หายหัวไปในตอนที่เกิดเรื่องไม่ดีแบบนี้แม่คนไหนมันจะไม่ห่วงคะ” จิตราเอ่ยบอกตามความรู้สึก เพิ่งรู้ว่าการทำอะไรเพื่อบุตรชายคนเล็กตลอดเวลาตั้งแต่ช่วงสายถึงบ่ายวันนี้นางไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายหรืออะไรเลย แต่ก็นั่นล่ะนางเป็นแม่เรื่องอะไรจะยอมงอนง้อลูกล่ะ เจ้าตัวต่างหากที่ควรจะอ่อนข้อและเดินมาขอขมาโดยพูดจาดีๆ กับหล่อนก่อน มันถึงจะถูก ด้วยความคิดแบบนี้จึงไม่อยากแสดงความห่วงใยอะไรออกมาให้ออกนอกหน้านัก ประโยคเมื่อครู่ที่เอ่ยไปจึงไม่วายใส่น้ำเสียงให้ดูว่าจริงๆ แล้วตนก็ไม่ห่วงหาอะไรมากมาย แต่หากทั้งพี่สาวและบุตรชายจะสังเกตคงจะเห็นเองแล้วแหละว่าหล่อนไม่ได้ร้อนรนที่จะไปตามฉุดกระชากลากดึงเหมือนอย่างที่เคยทำเช่นก่อนหน้า แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าหล่อนจะยอมญาติดีกับไอ้อีสองแม่ลูกที่หล่อนไม่ชอบหน้าหรอกนะ ถึงตอนนี้สองคนนั้นก็ยังคงเป็นแม่ลูกขี้ประจบสอพลอในสายตาหล่อนอยู่เช่นเดิม ถึงเวลาเหม็นขี้หน้าหรือออกอาการคันไม้คันมือหล่อนก็คงจะตามไปสั่งสอนเช่นเดิมน่ะแหละ วันนี้ที่ยอมหย่าศึกก็ถือซะว่าทำทานให้ขี้ข้าก็แล้วกัน
***************************************************************
ที่เรือนนายศรซึ่งตอนนี้นั่งล้อมวงสนทนากันพร้อมหน้าสามคนพ่อลูก ส้มรายงานเรื่องราวที่ตนเองโดนราวีจากจิตราวันนี้ให้ทั้งบิดาและพี่ชายฟัง ทั้งสองออกอาการโกรธแค้นจนอยากจะบุกมาสะสางเรื่องราวซะให้แตกหัก แต่พอฉุกคิดได้ว่าขืนทำอะไรบุ่มบ่ามตอนนี้หนทางที่จะกอบโกยผลประโยชน์จากไร่นี้คงจะตีบตัน เพราะที่ผ่านมายังกอบโกยกันไม่หนำใจ หากหนำใจเมื่อไหร่ไม่ว่าจะอีหัวหงอกหัวดำทั้งสองก็พร้อมจะจับฆ่าและฝังไว้เป็นผีเฝ้าไร่นี้ได้ทุกเวลา
“แล้วเราต้องทนให้มันโขกสับอย่างนี้นานมั้ยล่ะพ่อ ส้มเริ่มจะเกลียดขี้หน้าอีคุณจิตรจนไม่อยากจะให้ความเคารพมันแล้วนะ” ส้มออกอาการฮึดฮัด หากว่าเธอสามารถตอบโต้คนอย่างจิตราได้ป่านนี้คงได้ออกลีลาการวาดฝ่ามือไปแล้ว
“เถอะน่า ใจเย็นๆ ก่อนนังส้มถึงเวลาข้าคิดคืนทบต้นทบดอกให้เอ็งแน่” นายศรบอกอย่างมาดมั่น ที่จริงทุกวันนี้หากคิดจะฮุบเอาไร่นี้เป็นของตนมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก เพราะคนที่ชี้นิ้วสั่งโน่นสั่งนี่ในไร่ตอนนี้ก็มีแค่หญิงแก่สองพี่น้องเท่านั้น แต่ก็นั่นล่ะ ค่อยๆ สะสมบารมีการเป็นนายคนใหม่ให้ขี้ข้าที่นี่ยอมรับได้มากกว่าครึ่งซะก่อนก็น่าจะดีกว่า มันจะได้ไม่เสี่ยงนักต่อการโดนต่อต้าน ทุกวันนี้ก็มีบ้างแล้วกับไอ้อีขี้ข้าที่ไม่ชอบหน้าอีนังจิตรา ด้วยพฤติกรรมชอบโขกสับของมันเองน่ะแหละที่ทำให้มันโดนเอือมระอา ติดแต่อีแก่จันทร์จวงนี่สิ ไม่รู้มันจะทำตัวเป็นแม่พระไปถึงไหน ใครๆ ที่นี่ถึงต้องคอยจงรักภักดีมันอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง สงสัยว่าแผนการฮุบไร่นี้จะต้องกำจัดอีนี่ก่อนเป็นคนแรกซะล่ะมั้ง จากนั้นอะไรๆ ก็คงจะง่ายขึ้น แต่แหม๊ อีนี่มันดันมีทาสฉลาดเคียงข้างอย่างอีนังแม่นางนี่สิที่ทำให้การคิดทำการใดจะยุ่งยาก อีห่านั่นมันยอมก้มหัวให้อีนังจิตราก็จริงแต่กับคนอื่นมันก็ใช้บารมีนิ่งๆ ของมันข่มได้อยู่หลายคนเหมือนกัน ยิ่งกับสายตามันที่จ้องมองมาเมื่อตอนบ่ายก็แลดูว่าตอนนี้มันอาจจะจับจ้องพฤติกรรมอยู่ต่อจากนี้ ไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ หากจะทำอะไรที่เป็นเรื่องครึกโครมขึ้นมาตอนนี้
“ทบต้นทบดอกก็ขอแค่คิดกับอีจิตรนั่นก็พอนะคะ หรือจะพ่วงคุณจันทร์ไปด้วยก็สุดแต่พ่อกับพี่สิน แต่กับพี่อาทีกับพี่อาทิตย์ ส้มขอไว้นะคะ เพราะส้มรักส้มหวง” ส้มบอก ทำสายตาเคลิ้มขึ้นมาใหม่ตอนที่นึกถึงใบหน้าที่หล่อเหลาไปคนละแบบของสองพี่น้องที่หล่อนคิดว่าต้องได้คนใดคนหนึ่งมาเป็นคู่ผัวตัวเมียเมื่อเรียนจบ
“มึงจะเอาใครสักคนมึงก็เอาไปอีส้ม ห่าทำเป็นนางวันทองนะมึง” สินว่าน้องอย่างหมั่นไส้ สองคนจึงโต้แย้งกันไปมา ไม่ได้สนใจว่าตอนนี้บิดากำลังใช้สายตามาดร้ายจ้องไปยังทิศเรือนของผู้เป็นนาย
***************************************************************
ที่เรือนอิทธิ ซึ่งต่างก็เข้านอนแล้วทั้งหมด โดยอาทีก็นอนเคียงข้างอิทธิเช่นเคย สองหนุ่มน้อยคุยกันเบาๆ ท่ามกลางความมืดถึงเรื่องที่อยู่รอดแบบไม่โดนจิตราตามมาราวีตลอดวัน
“ก็บอกแล้วว่าเขากำลังเห่อพี่อาทิตย์” อาทีเอ่ยสรุปให้ นอนเบียดร่างเพื่อนซี้เมื่อรู้สึกอากาศเย็นโชยมาให้ได้สัมผัส
“หนาวเหรอวะ” อิทธิถามไม่ได้คิดถอยร่างหนี สองคนจึงนอนชิดกันภายใต้ผ้าห่มผืนอุ่น
“เรือนคนงานมันก็งี้แหละมันไม่ได้ปิดทางลมมิดชิดเหมือนเรือนมึงหรอก” เด็กหนุ่มเอ่ยบอกอีกเมื่อเห็นคนนอนชิดร่างไม่ตอบอะไร
“กูไม่ทันบ่นอะไรเลยไอ้ห่า” อาทีว่าให้ ขยับผ้าห่มให้เข้าที่ทั้งกับตนและคนนอนข้างๆ
“หนาวก็บอกไอ้น้องเดี๋ยวพี่กอดให้หายหนาว” อิทธิเอ่ยแซวอย่างนึกคะนองปาก เข้าใจว่าเพื่อนคงหนาวจริงๆ แต่ยังปากแข็ง ก็ดูสินั่นจัดผ้าห้มคลุมร่างให้วุ่นวาย
“ล้อกูนะมึงเดี๊ยะกูลักหลับซะนี่ ยิ่งชอบหลับก่อนกูอยู่” อาทีโต้กลับ ก่อนจะสะดุ้งเย็นวาบไปทั้งร่างเมื่อผ้าห่มถูกดึงออกไป
“ไอ้ห่าอิท กูหนาวนะมึงเอาผ้าห่มมา” เด็กหนุ่มพยายามยื้อแย่งผ้าห่มคืน อิทธินึกสนุกไม่คืนให้ สองคนจึงยื้อแย่งกันอยู่อย่างนั้นหัวเราะคิกคักจนหมดแรงและก็เพลียหลับตามๆ กันทั้งสองคน
รุ่งเช้าแม่นางออกมาหุงหาอาหารตามเดิม เอ่ยทักสองหนุ่มน้อยที่ตื่นออกมาพร้อมกันด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
“หยอกล้ออะไรกันเหรอเมื่อคืนดึกดื่นยังหัวเราะกันคิกคักๆ”
“ก็ไอ้อิทมันแย่งผ้าห่มผมน่ะสิแม่นาง ผมก็เลยต้องแย่งมันกลับ” อาทีรายงานก่อน แล้วก็แทบหัวทิ่มเมื่อโดนคนยืนข้างๆ ยกมือขึ้นตบท้ายทอยเชิงหยอกเหย้า
“ผ้าห่มใคร มาอาศัยกูนอนยังไม่สำนึกอีก” อิทธิเอ่ยว่าเล่นๆ ก่อนจะกระโดดลงจากเรือนเมื่อเห็นคนที่ตนว่ายกเท้าขึ้นจะเตะ
“ตบหัวกูแล้วหนีเหรอมึง ไม่ไหนไม่พ้นหรอก” อาทีกระโดดตามลงไปวิ่งไล่ แม่นางส่งเสียงร้องตามว่าให้ระวังหกล้มเอา แต่ดูท่าสองหนุ่มน้อยจะไม่สนใจ ยังคงวิ่งไล่เตะก้นกันอย่างสนุกสนานไปตามวัย กระทั่งอิทธิวิ่งชนกับร่างๆ หนึ่งเข้าเหตุการณ์จึงชะงัก
“พี่อาทิตย์” อาทีเอ่ยเรียกชื่อคนที่เพื่อนวิ่งชนร่าง หนุ่มน้อยยืนหอบเหนื่อยสังเกตการแต่งกายของพี่ชายที่ดูดีเกินกว่าจะสวมใส่เดินเล่นจึงเอ่ยปากถาม
“จะไปไหนน่ะพี่อาทิตย์ แต่ตัวซะหล่อเลย”
“กลับกรุงเทพฯ” อาทิตย์ตอบเสียงนิ่ง มองไปยังร่างคนที่วิ่งชนตนเมื่อครู่ที่บัดนี้ทำหน้าตาไม่รับรู้อะไรได้อย่างน่าหมั่นไส้
“อ้าว จะกลับวันนี้หรือคะคุณอาทิตย์” แม่นางเห็นอาการบุตรชายไม่สนใจคนมองหน้าจึงลงจากเรือนเดินมาทักทายแทน
“ครับแม่นาง ที่มานี่ก็กะจะมาลาแม่นางน่ะครับ” อาทิตย์เอ่ยบอกยิ้มๆ ไม่ทันสังเกตเห็นคนว่าบางคนแอบย่นหน้าใส่ ต่างจากอาทีที่มองเห็น ซึ่งจากการแค้นที่เอาคืนเพื่อนได้ไม่เต็มที่นักจากการวิ่งไล่เตะเมื่อครู่จึงเอ่ยขึ้นเพื่อหวังแกล้งเจ้าตัวทางนี้แทน
“ทำไมรีบกลับล่ะพี่อาทิตย์ ไอ้อิทมันยังอยากให้พี่อยู่ต่อเลย”
อิทธิหันมองหน้าเพื่อนทันควัน อาทียักคิ้วล้อเลียนที่ได้เห็นใบหน้าไร้แววยียวนของเพื่อน
“ปากหมานะมึงอาที ใครวะอยากให้พี่มึงอยู่ให้หนักท้องไร่” อิทธิโพล่งขึ้นอย่างไม่ไว้หน้า แม่นางติงบุตรชายด้วยสายตา แต่กับอาทิตย์เอ่ยโต้กลับเลยตรงๆ
“ฉันก็ใช่จะเชื่อคำพูดไอ้อาทีนักหรอก นายไม่ต้องรีบแสดงอาการเนื้อเต้นที่ฉันจะไปให้พ้นหน้าขนาดนั้นก็ได้นายอิทธิ”
“หูย สมกับเป็นคู่ปรับกันจริงๆ คนหนึ่งปากไวอีกคนก็โต้กลับ เอาเลยซัดกันเลย หนุกดี” จากอารมณ์ทะเล้นเมื่อครู่อาทีจึงคิดแหย่ทั้งพี่ชายและเพื่อนสนิทต่อ เมื่อเห็นทั้งสองต่างหันมามองด้วยแววตาดุๆ จึงทำท่าไม่รู้ไม่ชี้อะไร แม่นางแอบส่ายหน้า นึกถึงตอนเป็นเด็กที่สามคนนี้อยู่ต่อหน้ากันเหตุการณ์มันก็มักจะเป็นแบบนี้แหละยั่วล้อ ตอบโต้ และทะเลาะกันไปมากันได้ตลอด
“อิทธิลาคุณเขาสิลูก” นางชิงเอ่ยตัดบทเพื่อหย่าศึกก่อนที่มันจะลามปามไปกันใหญ่
“เขาไม่ได้ไปตายนี่แม่ อีกหน่อยเขาก็คงกลับมาราวีเราสองคนจนได้แหละหากเราไม่ชิงหนีจากที่นี่ไปก่อน” อิทธิยังคงเอ่ยอย่างไม่เก็บอาการชิงชังเช่นเคย อาทิตย์รู้สึกเดือดจึงไม่ยอมเช่นกัน ชายหนุ่มจึงยกมือชี้หน้าว่ากลับ
“ปากแบบนี้อย่าได้มีโอกาสไปอยู่กับฉันที่กรุงเทพฯ นะ จะพาพวกมาเฉือนลิ้นแล้วสับโยนให้ปลามันตอดเล่นในแม่น้ำเจ้าพระยาเลยจริงๆ”
“โหดแฮะพี่กู” อาทีเอ่ยแซวออกมาจึงโดนร่างแหไปอีกคน
“แกก็เหมือนกันไอ้อาที ห้องหับที่เรือนมีก็ไม่รู้จักไปนอน มาขลุกอยู่ที่นี่อยู่ได้ข้ามวันข้ามคืน แม่เขาเป็นห่วงนึกว่าโดนใครลอบทำร้ายเอาอีกจะรู้บ้างมั้ย”
“อย่างแม่น่ะนะเป็นห่วงผม เชื่อตายล่ะ” อาทีออกอาการเบ้ปากให้เห็น พี่ชายจึงอบรมอีก
“มันก็คิดอย่างนี้ไงเลยต่อต้านแม่ได้ตลอดเวลา”
“เลิกคุยเรื่องนี้เถอะ เบื่อจะฟัง” อาทีเอ่ยตัดบท หันไปบอกลาเพื่อนแล้วเดินหนีกลับไปทางเรือน ได้ยินเรื่องมารดาทีไรจิตใจภายในก็วุ่นวายได้ทุกที
“จะต้องให้แม่ก้มกราบเลยหรือไงถึงจะรู้ว่าท่านรักท่านห่วงไอ้ตัวดี” อาทิตย์เอ่ยตามหลังอย่างนึกหงุดหงิด ก่อนจะปรับอารมณ์หันมาสนใจคำถามจากปากแม่นาง
“แล้วนี่คุณอาทิตย์จะกลับยังไงหรือคะ”
“คงนั่งเครื่องแหละครับแม่นาง” ชายหนุ่มเอ่ยตอบ นึกหัวเสียอีกกับคำถากถางจากปากอิทธิ
“แม่งเบื่อคนรวยว่ะ”
“อย่าให้มันมากนักนะอิทธิ ระวังฉันทนไม่ไหวแล้วบอกใครต่อใครว่าเราเป็นอะไรกันนะ” ชายหนุ่มหันมาว่า ถึงตอนนี้นึกสะใจที่เห็นใบหน้าคนปากดีเริ่มเครียดตึง
“เป็นอะไรกัน หมายถึงอะไรหรือคะ” แม่นางเอ่ยถามอย่างงๆ อาทิตย์ได้ทีจึงทำทีเอ่ยขึ้น
“ก็เป็น…”
“อย่านะคุณอาทิตย์” อิทธิที่ยืนฟังอยู่รีบร้องห้าม ใบหน้าเด็กหนุ่มเริ่มมีสีซีดจนอาทิตย์สังเกตได้ เห็นฝ่ายนั้นพลาดท่ากลัวแบบนี้ก็ยิ่งได้ใจรุกหนัก
“ไม่อยากให้ฉันพูดก็เดินไปส่งฉันขึ้นรถที่เรือนสิ”
“ขาก็ไม่ได้ขาด ตาก็ไม่ได้บอด ทำไมผมถึงจะต้องเดินไปส่งคุณด้วยล่ะ” อิทธิปฏิเสธ นึกขัดใจที่มารดากลับเข้าข้างคู่กรณี
“อย่าให้มันมากนักเลยอิท เดินไปส่งคุณเขาเถอะไป”
“แม่” เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกมารดา เห็นสายตาเจ้าตัวสั่งว่าให้เชื่อฟังอย่าขัดจึงจำยอมเดินไปส่งอาทิตย์จริงๆ ระหว่างทางอาทิตย์ก็ไม่วายที่จะเอ่ยยั่วจุดประเด็นตอบโต้ขึ้นอีก
“สงสัยแม่นางคงอยากได้ฉันเป็นลูกเขยแล้วแน่ๆ ถึงสั่งให้นายเดินมาส่งฉัน”
“อย่าพูดจาเชิงดูถูกแม่ผมนะคุณอาทิตย์”
“ดูถูกตรงไหนไม่ทราบ”
“ก็เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรล่ะ สมองเสื่อมหรือไงถึงจำสิ่งที่ตัวเองพูดไม่ได้”
“ฉันจำได้ แต่ความหมายฉันไม่ได้หมายถึงดูถูก เข้าใจซะใหม่นะเมียรัก”
“ไอ้..”
“ไอ้อะไร อย่ามาหยาบคายกับฉันนะ ไม่งั้นนายโดนจูบกลางแสงแดดยามเช้านี้แน่ แล้วอย่าคิดว่าฉันไม่กล้านะ เพราะนายก็เคยพลาดท่าตอนท้าทายฉันวันนั้นมาแล้ว”
อิทธิยอมเงียบเสียง เกลียดแววตาร้ายข่มๆ ของอาทิตย์เป็นไหนๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมมารดาถึงใช้คนตนเดินมาส่งคนๆ นี้
“ไงไม่เถียงฉันต่อแล้วเหรอ ฉันไม่อยู่หลายเดือนระวังเหงาปากนะถ้าวันนี้ไม่รีบกักตุนเอาไว้”
“ผมไม่ได้โรคจิตเหมือนคุณนี่ที่พอใจกับการได้กลั่นแกล้งหรือโต้เถียงกับคนอื่น เรียนสูงซะเปล่า ชอบเรื่องอะไรไร้สาระ ส่งแค่นี้นะ ไม่อยากเข้าไปใกล้เขตเรือนคุณมากไปกว่านี้กลัวรังสีอำมหิตแม่คุณจะแผ่ซ่านมากระทบตัว”
เอ่ยจบหนุ่มน้อยก็หมุนตัวเดินกลับทางเดิมทันที อาทิตย์ได้แต่ถอนหายใจตามหลัง คิดตามว่าปากคออิทธินี่ร้ายเหลือเชื่อจริงๆ นี่ถ้ามีโอกาสไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วยกันจริงๆ พ่อจะจับกดสั่งสอนแม่งทุกเช้าเย็น คนอะไรยั่วโมโหได้ตลอดเวลา
โปรดติดตามตอนต่อไป