บทที่ 24.
'...ไปทำงานส่งอาจารย์ โปรเจคท์ใหญ่จบเทอม คงต้องค้างที่หอซักพักนะครับ...'
นายตุลหยิบกระดาษโน้ตที่ตัวเองเอามาแปะไว้ในห้องบนโต๊ะทำงานขึ้นมาอ่านซ้ำอีกรอบ อาทิตย์กว่าแล้วที่ไอ้เด็กบ้านั่นมันหายหัวไปจากบ้าน ที่จริงมันก็กลับมาเตรียมอาหารเย็นให้ตลอดไม่ได้ขาด แต่กลับมองหาตัวไม่เห็นมี ที่ทำงานก็ขอลาหยุด ด้วยเหตุผลว่าจะต้องทำโปรเจคท์ส่ง แถมไอ้คนที่เซ็นอนุญาตในใบลาก็ยังมีตำแหน่งเป็นถึงบอสใหญ่...ไม่ได้เอะใจอะไรเลย...
เพียงแต่....เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ขาดหายไป อะไรที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจ หรือจะเป็นข้อความในกระดาษแผ่นตรงหน้า ที่วางซ้อนกับกระดาษแผ่นก่อนหน้านั้น
"ทานข้าวเช้าด้วยนะครับที่รัก...แล้วก็คิดถึงคนทำซักนิดก็ยังดี" แล้วที่แปลกไป...มันคือความรู้สึก หรือแค่ข้อความ
บ้านทั้งหลังที่เคยเงียบก็ยังคงเงียบเหมือนแต่ก่อน แต่ทำไมไม่รู้....แค่รู้สึกว่ามันเงียบผิดปกติ ลองเปิดเข้าไปดูห้องของไอ้เด็กโย่งที่ปิดไฟสนิทเพราะเจ้าของห้องมันไม่อยู่ สายชาร์ตแบตโทรศัพท์มือถือวางทิ้งเอาไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ ถึงว่า...โทรไปไม่เคยติด ส่งข้อความไปก็เป็นสถานะรอส่ง คงเพราะโทรศัพท์ไอ้หมีมันใช้งานไม่ได้
.
.
.
.
"เป็นอะไรวะ หน้าตาดูไม่ได้!!" หมอขิมเหลือบมองเพื่อนตรงหน้าที่กำลังนั่งเขี่ยข้าวในจานตัวเองเล่น ก่อนจะหันไปสบตากับเพื่อนอีกคนที่ส่ายหน้าเหมือนจะบอกว่าไม่รู้เรื่องเหมือนกัน หลายวันมานี้ไอ้คุณเพื่อนนักออกแบบคนเก่งมาทำงานด้วยใบหน้าเรียบเฉย เหมือนไอ้คุณตุลในอดีตตอนที่ถูกยกเลิกงานแต่งงานไม่มีผิด
"ถามไอ้คุณบอสสิ ใช้งานไม่หยุด"
"อ้าวเวร!! งานเข้าซะงั้น" พิชญะรวบช้อนไว้ข้างจาน ก่อนจะยกน้ำขึ้นมาดื่มกลั้วคอ
"มีเรื่องกับนายแม่รึไง หรือคิดงานไม่ออก ไปเปิดขวดไหมล่ะชวนวายุไปด้วย" คำเชิญชวนดูน่าสนใจไม่น้อย ถ้าไม่ได้ยินชื่อใครบางคนต่อท้าย ทำเอาได้ยินเสียงถอนหายใจออกมายาวเหยียด แล้วไอ้คุณตุลหน้าเบื่อโลกมันก็วางช้อนที่เขี่ยข้าวลงข้างจาน
"มันไม่อยู่บ้าน ตามตัวไม่เจอ หายหัวไปไหนไม่รู้!!" เพื่อนสองคนหันมาสบตากันอย่างรู้ความ คงไม่ต้องถามหาเหตุผลแล้วล่ะมั้งว่าเป็นเพราะอะไรมันถึงได้มีอาการแบบนี้
"ลาหยุดงานไปซักอาทิตย์ได้แล้วมั้ง เห็นว่าไปทำโปรเจคท์ส่งท้ายเทอม" คนที่เซ็นใบลาให้ไปเริ่มรู้สึกว่าตัวเองงานเข้านิดๆ ตอนที่โดนไอ้คุณผู้ปกครองนักศึกษาทำงานพิเศษเหล่มองมาด้วยหางตา นึกสงสัยอยู่แล้วเชียวว่าทำไมมันถึงไม่ไปลากับเฮียตุลของมันเอง แถมรีบๆลนๆยังไงก็ไม่รู้ นับจากวันที่มาลางานก็หายหัวไปเลย
"ที่แท้ก็....!!? ก็โทรไปดิ ง่ายจะตาย" หมอขิมหัวเราะเบาๆกับตัวเอง ที่แท้ก็เป็นโรค'คิดถึง'แบบไม่รู้ตัว พอเสนอแนวทางไปแล้ว แทนที่จะได้เห็นสีหน้าสดชื่นของไอ้คุณเพื่อนมาดมากบ้าง..แต่มันก็กลับเหมือนเดิม..!!
"โทรไม่ติด มันไม่ได้เอาสายชาร์ตแบตไป" นี่ไง...สาเหตุที่ทำให้หงุดหงิด เพื่อนสองคนหันมาคลี่ยิ้มให้กัน..เหมือนจะเข้าใจโดยไม่ต้องพูดออกมา
"โธ่...!!ที่แท้ก็เด็กหาย" พิชญะเป็นฝ่ายที่กล้าพูดแบบไม่กลัวตายมาแต่ไหนแต่ไร ไม่งั้นมันสองคนก็คงทำงานร่วมกันมาไม่ได้จนถึงบัดนี้ แต่ดูเหมือนครั้งนี้จะไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบกลับ เนื่องจากเจ้าตัวมันกำลังเข้าข่ายเซ็งจิตอย่างรุนแรง
"ทะเลาะกันเหรอวะ" นายตุลส่ายหน้าแทนคำตอบ จะเอาเวลาที่ไหนไปทะเลาะกับไอ้หมีบ้านั่น ก็ตั้งแต่กลับมายังไม่ได้เจอหน้ามีแต่เอาของกินมาให้ นึกอยากจะด่ามันก็ไร้หนทาง จะได้ไปหาเรื่องทะเลาะกันตอนไหนล่ะ
"ว่าจะจับมันไปปล่อยป่า ไอ้เด็กเวรนั่น!!" ที่ด่าออกไปแบบนั้นก็เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเอง
ไอ้คุณหมอขิมที่เป็นฝ่ายทนมองไม่ได้หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดเบอร์ใครบางคนแล้วโทรออก ได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีอยู่ซักพัก ก่อนที่โทรศัพท์เครื่องนั้นจะถูกยื่นมาตรงหน้าให้งงเล่น
"รับไปดิ เครื่องน้องเอิง"
"น้องเอิงไหนว่ะไอ้ขิม!!?" กลายเป็นพิชญะอีกคนที่งง แต่แทนที่จะได้รับคำตอบไอ้เจ้าของโทรศัพท์มันกลับยักคิ้วหลิ่วตาแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้...แปลตามความหมายของคนที่รู้สันดานกันดีก็น่าจะเป็นคนที่ไอ้เพื่อนหมอมันกำลังจ้องอยู่ แล้วมันยังไงไปเกี่ยวกับเด็กของไอ้เพื่อนตุลได้...ไอ้สองตัวนี่มีลับลมคมในกับเพื่อนกับฝูง
แม้จะยังแปลกใจงุนงงและสงสัยอยู่บ้าง ว่าไอ้เพื่อนหมอมันมีเบอร์โทรของเด็กรุ่นน้องเพื่อนไอ้หมีใหญ่มันได้ยังไง แต่นายตุลก็รับโทรศัพท์มาจากมือเจ้าของก่อนจะลุกเดินเลี่ยงไปอีกทาง ปล่อยให้ไอ้คุณเพื่อนบอสเปิดโต๊ะสอบสวนไอ้หมอขิมอยู่สองคน
"โหลๆ พี่ตุลคร้าบ!!!!" เสียงตะโกนเรียกมาจากปลายสายดังออกมาให้ได้ยินขนาดว่ายังไม่ได้ยกขึ้นมาแนบหู
"น้องเอิงครับ..." เผลอเรียกชื่ออีกฝ่ายตามเจ้าของโทรศัพท์เครื่องนี้ไปเสียแล้ว นอกจากจะได้ยินเสียงตะโกนของน้องเอิงแล้ว เดาเอาว่าแถวนั้นยังมีลูกลิงประจำกลุ่มอีกสองคนวนเวียนอยู่แถวนั้นด้วย'พี่ตุลรับแล้วเว้ย!!!' เสียงตะโกนดังเข้ามาอีกรอบ ทำเอาคนหงุดหงิดทางนี้แทบหลุดขำก๊ากออกมา
"เอ่อๆ ขอโทษครับ คือพอดีผมทำนามบัตรพี่หาย แล้วก็ลืมไปว่าพี่ขิมกับพี่ตุลเป็นเพื่อนกัน!!" น้ำเสียงจากปลายสายดูตื่นเต้นมาก เหมือนคนกำลังแอบทำอะไรกันอยู่อย่างงั้น แต่เสียงโวยวายรอบข้างยังไม่ได้ลดระดับลงไป
"แล้วนั่นเกิดอะไรกันขึ้นล่ะ กำลังปั่นงานกันอยู่รึเปล่า" ทั้งที่อยากถามถึงใครบางคนแทบตายแต่ด้วยความที่ยังคงถือตัวก็เลยทำได้แค่ถามเลี่ยงๆ
"ปั่นงานอะไรล่ะพี่ ยังไม่ได้เริ่มเลยต่างหาก กำหนดส่งก็เดือนหน้าโน่น แต่ว่า...."
"มันมาแล้ว!!!" มีเสียงผู้หญิงตะโกนเข้ามาแทรก แล้วปลายสายก็เหมือนจะเงียบไปอึดใจ ใครบางคนที่กำลังมาฟังจากสรรพนามในการเรียกเดาเอาว่าไม่น่าจะใช่อาจารย์ประจำวิชา
"พี่ขิม..แค่นี้ก่อนนะครับ แล้วผมจะโทรหาตอนเย็น...
อย่าลืมนะครับ!!"ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
งงดิ...!! แล้วสายก็ถูกตัดไปแค่นั้น พร้อมกับใครคนนั้นที่กำลังจะมาถึง ยังไม่ทันจะได้ถามถึงอะไรยังไง สุดท้ายก็ดันทำเหมือนคุยกับไอ้หมอขิมซะงั้น นายตุลยืนจ้องโทรศัพท์ในมืออย่างไม่เข้าใจ แล้วคำลงท้ายที่ย้ำชัดเจนนั่นเพื่อจะบอกกับใคร..เจ้าของเครื่องหรือคนฟังทางนี้...
.
.
.
วายุวางอุปกรณ์วาดรูปของตัวเองลงบนโต๊ะแล้วย่อตัวลงนั่งทำตาเหม่อลอย หลายวันมานี้เทียวไปเทียวมาระหว่างมหาลัย ห้องไอ้คุณป๋า แล้วก็กลับไปที่บ้านก่อนที่เฮียจะกลับ ตามสัญญาที่ให้ไว้กับนายแม่ว่าจะไม่เจอหน้าเฮียเป็นเวลา 3 เดือน ถ้าทำได้ตามที่สัญญา นายแม่ก็จะยอมรับให้คบกันได้ โทรศัพท์ก็โดนยึดไปแล้วชั่วคราว หน้าก็ไม่ได้เห็นมาอาทิตย์กว่าแล้ว
อยากเจอก็ทำได้แค่ให้ไอ้คุณชายเอิงขับรถไปจอดแอบอยู่ข้างๆบ้านแล้วก็ลอบมองเข้าไป บางครั้งก็ได้เห็นหน้าให้พอชื่นใจ บางครั้งก็ได้เห็นแค่ท้ายรถกับหลังคาบ้าน ...เหมือนอะไรบางอย่างในชีวิตมันขาดหาย ยิ้มไม่ออก หัวเราะไม่เป็น ร้องไห้ก็ไม่ได้ เหมือนตัวเองดูคล้ายหุ่นไล่กาเข้าไปทุกทีๆ
"ไอ้วา..กลับบ้านซักหน่อยเหอะวะ คุณน้าคงไม่รู้หรอก" ไอ้คุณป๋าผู้มีอุปการคุณอำนวยความสะดวกเรื่องที่พักยื่นมือเข้ามาตบไหล่เหมือนจะให้กำลังใจ ...พวกมันสามตัวเป็นห่วงวายุรู้ดี แต่สัญญาลูกผู้ชายถ้าแค่นี้ทำไม่ได้ แล้วจะเอาอะไรมายืนยันความหนักแน่นของตัวเอง ...ที่สัญญาไว้ว่าจะดูแลลูกชายสุดที่รักของนายแม่ให้ได้...ใครจะไปเชื่อ
"อยากกลับ...แต่สัญญามันรัดคออยู่ คิดถึงจะตายอยู่แล้ว..." วายุบ่นเสียงอ่อย ดีที่อย่างน้อยๆแล้วก็ยังมีเพื่อนคอยรับฟังคอยให้กำลังใจ โชคดีที่ไม่ได้อยู่หงอยตัวคนเดียว ขืนต้องอยู่จำศีลตัวคนเดียวถึง 3 เดือน ไม่ทันครบกำหนดไอ้หมีตัวนี้คงบ้าตายก่อน
"พวกแกมาสุมหัวดิ!!!" เสียงไอ้หญิงหยกพูดขึ้นก่อนที่จะหันไปขยิบตาเรียกไอ้คุณชายกับไอ้คุณป๋าให้มาสุมหัว ไม่อยากจะรับรู้แล้วตอนนั้นว่าพวกมันจะวางแผนเล่นอะไรกัน อยากนอนก็นอนไม่หลับ รู้สึกเหมือนกำลังทรมานตัวเองจนเหนื่อย
"เออ!! ฉลาดเหมือนกันนี่หว่าไอ้หยก งั้นเอาตามนั้น" ไอ้คุณป๋ายกมือลูบหัวเพื่อนเบาๆ ไม่ได้เหมือนลูบด้วยความพิศวาสแต่เหมือนลูบหัวหมาแมวมากกว่า
"งั้น!!โทรเลยนะ" แล้วสุดท้ายก็เป็นไอ้ชายเอิงที่เดินแยกออกไปพร้อมกับโทรศัพท์ในมือ...คงไม่รอให้ถึงตอนเย็นอย่างที่บอกไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
.
.
นายตุลนั่งทำหน้าเซ็งจัดแบบยกกำลังสองอยู่ในห้องทำงานเหมือนคนที่เหนื่อยจัด หลังจากวางโทรศัพท์จากเพื่อนของไอ้เด็กโข่ง เรื่องราวทั้งหมดที่ได้ยินได้ฟังมาทำเอามึนตึ้บจับต้นชนปลายแทบไม่ถูก
พอลองกดไล่ดูเบอร์โทรเข้าย้อนดูก็พบว่าครั้งล่าสุดที่ไอ้หมีใหญ่มันโทรมามีการกดรับสายและระบุเวลาคุยเอาไว้ชัดเจน แต่...วันนั้นจำได้ว่าตัวเองลืมโทรศัพท์เอาไว้ข้างล่างยันเช้าไม่ได้ลงมาเอา ไม่คิดว่าเพียงแค่เผลอแวบเดียวก็ดันเกิดเรื่องเสียได้
เสียงถอนหายใจออกมายาวเหยียดพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง คงต้องกลับบ้านไปคุยกับนายแม่อีกรอบ เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังติดซีรีย์เกาหลีเรื่องไหนถึงได้ปั่นหัวลูกชายกับหลานคนโปรดได้ขนาดนี้ จัดฉากว่าตัวเองเป็นยัยป้าใจโหดในหนังที่กีดกันลูกสะใภ้ยาจก แล้วเฉดหัวออกจากบ้าน จนพระเอกต้องออกตามหาจนทั่ว..คุ้นๆซักเรื่องไหมล่ะ
...ดีนะไม่มีฉากให้ต้องวิ่งไล่ตามกันกลางกรุง ท่ามกลางอากาศประเทศไทยที่ร้อนจัดจนตับจะแล่บออกมาขนาดนี้
"คราวนี้แผนของแม่มีช่องโหว่ช่องเบ้อเร่อแล้วล่ะ!!!" พอพูดกับตัวเองจบ นายตุลก็ก็คว้ากุญแจรถที่วางอยู่บนโต๊ะเดินตัวปลิวออกไปจากห้อง สวนทางกับไอ้คุณบอสที่เพิ่งจะเดินขึ้นมาห้องตัวเองพอดี
"กลับเร็วเหรอวะวันนี้!!?"
"เปล่า!!! จะไปล่าไอ้หมีกลับมา!!" ทั้งที่เมื่อกลางวันยังทำหน้าเซ็งจะตายแล้วดูมันตอนนี้กลับมาทำหน้าเหมือนคนปกติได้แล้ว...สงสัยไปล่าสัตว์คราวนี้คงได้ข่าวดีติดไม้ติดมือกลับมาแทนแหงๆ
=======================
แง้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ปาดเส้นออกจากหน้า แล้ววิ่งจากไป
รีบมาลงเพราะกลัวเส้นจะอืดไปกว่านี้ ปวดตับจริงอะไรจริง
สั้นแต่เร็วนะเออ...ไปแระขอรับ
รีบไปปั่นตอนต่อไปอย่างเร่งด่วน 
วิ่งชะแวบบบบบ มาแปะรูปแล้วจากไป 
