บทที่ 1.
คนที่นอนอยู่บนเตียงสะดุ้งพรวดขึ้นจากที่นอน เพราะดันไปเอื้อมมือคว้าใครบางคนที่อยู่ในความฝัน แต่พอลืมตาขึ้นมากลับคว้าได้แค่เพียงอากาศว่างเปล่าตรงหน้ากับแสงแดดอ่อนที่สาดส่องเข้ามา
..ฝันอีกแล้ว ไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไหร่ ที่ความฝันบ้าๆ นี่คอยมาปลุกให้ต้องลืมตาตื่นในตอนเช้าของวันใหม่ กลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือนกลิ่นแป้งเด็กที่ยังอ้อยอิ่งอยู่ที่ปลายจมูก สัมผัสนุ่มเนียนเหมือนเคยคุ้นว่าสัมผัสมาก่อน แต่ให้นึกแทบตายก็นึกไม่ออก ริมฝีปากที่คอยคลี่ยิ้มให้นั่นอีก
...ทำไมกัน ..ทำไมถึงมายืนอยู่ตรงหน้าแล้วก็วิ่งหายไปในยามที่อยากแตะต้องตัว
.
.
.
.
7.13 น. วันอาทิตย์ที่น่าจะได้เป็นวันหยุดธรรมดาเหมือนชาวบ้านทั่วไป สมควรจะได้นอนและตื่นตอนเกือบเที่ยง(เพราะความหิว)
แต่ตุลหรือนายตุน ยังคงนั่งคิดไม่ตกอยู่บนเตียง ยกมือข้างที่ไขว่คว้าอากาศขึ้นมาลูบหน้าตัวเอง พลางนึกก่นด่าสารพัด ทุกสิ่งทุกอย่างยังจำได้ติดตา ทั้งแก้มเนียนนุ่มหอมละมุนทุกครั้งที่ได้สัมผัส ตัวเล็กๆพอน่ารัก แต่ที่ทำยังไงก็นึกไม่ออก นั่นก็คือใบหน้าของเจ้าตัว
...ใครมันจะไปหลับลงในสภาพแบบนี้
ครืด ครืด
เจ้าโทรศัพท์คู่กายกำลังสั่นเหมือนรู้ว่าเจ้าของมันได้ตื่นลืมตาขึ้นมาแล้ว เอื้อมไปคว้าแว่นที่วางอยู่ข้าง ๆ กันขึ้นมาสวมก่อนอันดับแรก ส่องดูชื่อที่ขึ้นบนหน้าจอแล้วก็ต้องตาสว่าง เพราะเบอร์ที่ขึ้นที่หน้าจอ..'นายแม่' ใครจะไปกล้าทำเป็นมองผ่าน ต่อให้กำลังนอนหลับก็ต้องตะเกียกตะกายทำเสียงสดใสขึ้นมารับ นี่แหละฉายาที่มาของคำว่านายแม่..สุดโหด แต่น่าแปลก...ที่นายแม่โทรมาเช้าขนาดนี้
"ครับแม่"
"ให้เวลาครึ่งชั่วโมงนายตุล มารับแม่ไปบ้านแม่ษาด่วนที่สุด!!!" บ้านแม่ษา...!! ไปทำไมอ่ะ..?
จำได้ว่าตอนที่ยังไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ใน กทม. แม่ษาคือเพื่อนบ้านผู้ใจดี เป็นเพื่อนสนิทกับนายแม่(เพราะผมเองก็ไม่มีพ่อเหมือนกัน) ชอบทำขนมมาให้ แล้วก็คอยช่วยเอาตัวมาบังตอนที่โดนนายแม่ไล่ตี เวลาพาน้องๆ ไปเถลไถล จำได้ว่ามีลูกชายอยู่คนหนึ่ง ชอบมาตามติดตลอด...ไม่ได้เจอกันสิบกว่าปีได้แล้วมั้ง ป่านนี้คงโตเป็นหนุ่มไปแล้ว
"วันนี้วันหยุดของผมนะ..ขอซักบ่ายโมงได้ไหม...นะคร้าบบบ" แกล้งทำเป็นเสียงอ่อนลองใจดูก่อน แทนที่จะโดนด่าเหมือนทุกทีแต่ปลายสายนายแม่กลับเงียบผิดปกติ
"ฟังนะ...แม่ษาเสียแล้วตุล..." เสียงนายแม่บอกปนสะอื้นหนัก ๆ
แม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเลยก็ตาม แต่หลังจากที่ได้ยิน ก็ทำให้อึ้งไปหลายวิ ใบหน้าของผู้หญิงที่ใจดี รอยยิ้มที่มักจะมีให้คนรอบข้างเสมอ แต่ถึงอย่างงั้น แม่ษาก็เป็นผู้หญิงเแกร่งที่สามารถเลี้ยงลูกมาได้ด้วยตัวคนเดียว เพียงแค่มีรายได้จากเงินเดือนของอาจารย์ เสียงสะอื้นหนักๆของนายแม่ที่ได้ยินอดไม่ได้ที่จะน้ำตาซึมตาม นึกถึงหน้าเด็กผู้ชายตัวเล็กในความทรงจำตอนเด็ก ยิ่งขี้แยอยู่ด้วย จะเสียใจมากมายแค่ไหนหนอ...
"ผมอาจจะไปช้าหน่อย แต่ไม่น่าจะเกินชั่วโมงครับ!!"
.
.
.
.
งานถูกจัดขึ้นที่วัดไม่ไกลจากบ้านพักของอาจารย์มากนัก นายแม่เล่าให้ฟังพร้อมเสียงสะอื้นว่าแม่ษาเสียเพราะโรคประจำตัวที่เป็นมานาน พร่ำต่างๆนานาว่าไม่ยอมบอก จะได้ส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลดังๆในกรุงเทพ แม่เสียใจมากที่ไม่ได้ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกัน ตอนที่กลับมาเยี่ยมยายที่บ้านก็เพียงแค่ทักทายเหมือนจะห่างกันไป แต่พอต้องมาสูญเสียเพื่อนคนสำคัญไปแบบที่ตัวเองยื่นมือไปช่วยไม่ได้แล้ว ก็เลยเอาแต่โทษตัวเอง
"น้องต้องอยู่คนเดียวนะตุล ไม่มีใครเลย.." ผมขับรถเลี้ยวเข้ามาจอดในวัดก่อนจะวิ่งอ้อมมาประคองแม่ตัวเองเข้าไปในงาน พอเห็นรูปนายแม่ก็ยิ่งปล่อยโฮออกมายกใหญ่ จนคุณยายที่มารออยู่ก่อนแล้วต้องเข้ามาช่วยปลอบ
"ฝากด้วยครับยาย ร้องมาตลอดทาง.." ผมยกมือไหว้คุณยาย ท่านโบกมือเหมือนจะบอกว่าปล่อยไป ก่อนที่ผมจะขอตัวกะว่าจะไปจุดธูปกราบแม่ษาเป็นครั้งสุดท้าย
ตรงหน้ากระถางธูปมีเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนชั้นมัธยมปลาย กำลังนั่งจุดธูปแจกให้คนที่เข้ามาร่วมงาน เด็กหนุ่มตัวเล็กเหมือนคุ้นว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ดวงตาทั้งคู่แดงช้ำเหมือนคนที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก คงใจสลายซินะ ไม่ได้เจอกันตั้งสิบกว่าปีไอ้เจ้าเด็กขี้แยตัวเล็กก็ยังไม่เปลี่ยน ..ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดปลอบยังไงดี
"ไวไว...นี่เฮีย..."
หมับ!!
"เฮ้ยยยย...!!??" ตกใจดิ ใครก็ไม่รู้ย่องมากอดจากทางข้างหลัง ดีที่ยังยั้งปากเอาไว้ได้ ไม่ตะโกนลั่นศาลาวัด ใครมันบังอาจมากระทำมิดีมิร้ายแบบนี้ในวัดเว้ยเฮ่ย!!
พอหันกลับไปมอง ไอ้เด็กหัวเกรียนตัวโย่งมันก็เงยหน้าขึ้นมาซะก่อน อึ้งดิครับท่าน!! ไอ้แววตาโศก ๆ แบบนี้มันคุ้นเสียยิ่งกว่าคุ้น พอหันกลับไปที่ไอ้เด็กตาแดงที่นั่งจุดธูปเต็ม ๆ ตา ก็พบว่าที่เป็นแบบนั้นเพราะควันธูปคงเข้าตา อาการก็เลยเหมือนคนกำลังโศก เด็กมันก็เงยหน้าขึ้นมามองผมแบบงง ๆ ...เกือบเข้าไปกอดปลอบแล้วไหมล่ะ
เออ...จะว่าไปก็ลืมสังเกต มัวแต่คิดว่าลูกของแม่ษาเป็นเด็กม.ปลาย ทั้งเด็กที่มาช่วยเสิร์ฟน้ำ ช่วยยกของโน่นนี่ ก็เป็นเด็กม.ปลายทั้งงานเลยนี่หว่า ไม่น่าแปลกเพราะแม่ษาเป็นครูใจดีที่ทุกคนให้ความเคารพและรักมาแต่ไหนแต่ไร
"เฮียตุน...อึก!! ผมไม่เหลือใครแล้ว เฮีย...." นะ..น้ำเสียงแบบนี้ ชัดเลยเป็นไง!! เพราะสำนวนการเรียกชื่อเพี้ยนๆ แบบนี้มีอยู่คนเดียวที่ทำให้ชื่อตุล(ตุลา) กลายเป็นกักตุนไปซะ ไอ้เด็กตัวเล็กที่เคยเดินตามตูดต้อยๆ และมีมันคนเดียวที่เรียกผมว่าเฮียตุน...
ไหนอ่ะ...ไอ้เด็กที่คอยเดินตามหลังต้อย ๆ เอามือจับชายเสื้อผม
ไหนอ่ะ..ไอ้เด็กแก้มหยุ่นเหมือนเจลลี่ที่ผมชอบจับมันดึงไปมา
มันไปไหนแล้วอ่ะ...ไอ้หมาไวไวเด็กในสังกัดของเฮียอ่ะ
ทำไมไอ้เจ้าไวไวเด็กขี้แยตัวเล็กมันถึงได้กลายมาเป็นไอ้เด็กตัวโย่งที่กำลังกอดผมจากข้างหลัง แถมซบหน้าเอาขี้มูกมาป้ายไหล่....ไอ้เด็กเวร! ..ไอ้เด็กตัวเล็กที่คอยแหงนหน้าเรียก 'เฮียๆ' มันหายไปแล้ว(แด๊กอะไรเข้าไปว่ะ เด็กสมัยนี้!!?) นี่ถ้ามันไม่ได้อยู่ในชุดนักเรียน ก็คงไม่ต่างกับผู้ชายตัวโตๆ มายืนสะอึกสะอื้น หน้าตาดูไม่ได้อย่างแรง
"ฟืดดดด ผมจะทำไงดีล่ะเฮีย อึก!!"
"ไวไวเหรอ!!? ก่อนอื่น ช่วยออกไปห่างๆก่อนได้ไหมวะ" ไอ้เด็กม.ปลายตัวโย่ง มันพยักหน้าจนหัวโขกกับไหล่ ก่อนจะถอยออกไปยืนเอามือปาดน้ำมูกน้ำตาสารพัดบนใบหน้าออก ที่จริงกะจะหันไปเตะซักทีสองที แต่ตอนนี้งานเค้ากำลังเศร้ากันอยู่ ถ้าเกิดทำจริงนายแม่ได้เข้ามาบีบคอลูกชายอย่างกระผมตายคามือแน่
"เฮีย...ผมไม่มีแม่แล้ว..อึก!!" ไอ้เจ้าวายุ, วา หรือไวไว(ชื่อที่ผมตั้งเองตอบแทนที่มันชอบเรียกเฮียตุน ๆ อยู่ได้)
"ไปล้างหน้าล้างตาก่อนไป" มันตอบกลับด้วยเสียงสูดน้ำมูกพร้อมกับยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดหน้า เห็นแล้วก็ทุเรศลูกตา
"เฮีย..." ไอ้ไวไวมันยังยืนสะอื้น เข้าใจว่าเด็กที่อยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ แล้วต้องมาสูญเสียบุคคลอันเป็นครอบครัวที่รักไป มันเหมือนหัวใจที่โดนบีบจนแหลก ทางข้างหน้าที่จะเดินต่อเหมือนมืดมิดมองไม่เห็นอะไร จะเหลียวกลับมามองหาใครคนนั้นก็ไม่มีอีกต่อไปแล้ว
"ยังมีนายแม่กับเฮียไง เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวหรอก" คนฟังก็ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจแล้วคอยปลอบ
ต่อให้ตัวมันจะโตเป็นหมีควายยังไงแต่ข้างในมันก็คือเด็กม.ปลาย ที่อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะ เหมือนได้เห็นไอ้ไวไวขี้แยคนเดิม ผมอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปวางบนหัวมันแล้วขยี้ไปมาเหมือนตอนที่ยังเป็นเด็ก แต่อายุเท่านี้แล้วคงหยิกแก้มมันเล่นเหมือนเคยไม่ได้ ใครเค้ามองจะหาว่าแปลก ไอ้หมีไวไวมันพุ่งเข้ามากอดผมอีกรอบ ...และนั่นก็เป็นคำพูดทิ้งท้าย ที่กลายมาเป็นสัญญาผูกมัดคนพูดโดยไม่รู้ตัว...
หลายเดือนต่อมา...
หลังจากเสร็จสิ้นงานศพแม่ษา นายแม่ของผมก็จัดการเอาไอ้เด็กโย่งไปฝากไว้ที่บ้านยายเพราะมันยังเรียนไม่จบม.ปลาย ตอนแรกมันจะไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากใคร แต่เด็กม.ปลายไร้ญาติพี่น้อง มันจะเอาอะไรใส่ท้อง เอาเงินที่ไหนมาส่งตัวเองเรียนตามที่ตัวเองได้สัญญากับแม่ไว้ ว่าจะเรียนสูงๆ สุดท้าย..มันก็ไปไหนไม่รอด เมื่อเจอมุขบีบน้ำตาของนายแม่เข้าไป โดนจับไปฝากขังอยู่กับยาย โดยให้สัญญาว่าจะตั้งใจเรียนตอบแทนบุญคุณทั้งหมด
ครืด ครืด
เสียงสั่นของเจ้าอุปกรณ์สื่อสารที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงปลุกให้เจ้าของลืมตาตื่นจากฝัน สิ่งแรกที่เหลือบมองก่อนอื่นใดก็คือนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง สิบโมงกว่าในวันอาทิตย์ก็ยังถือว่าเช้าอยู่นะ ..แล้วใครบังอาจโทรมาตอนนี้
"ครับ!!" กดรับโดยไม่ได้ดูชื่อที่โชว์อยู่หน้าจอ เพราะคิดเอาไว้ว่าหลังจากทำเป็นพูดไม่รู้เรื่องใส่แล้วจะนอนต่ออีกซักงีบ
"แม่อยู่หน้าบ้าน ลงมาเปิดประตูให้หน่อย อย่าให้ต้องกดกริ่ง!!" ป๊าดดดดดดดด ลุกพรวดจากที่นอนซิครับท่าน นายแม่มาทำไม มาแบบไม่บอกกล่าวอีกต่างหาก ฟังจากน้ำเสียงน่าจะกำลังโกรธซะด้วย
เจ้าของบ้านที่ยังอยู่ในกางเกงนอนขายาวตัวเดียว คว้าเสื้อยืดแถวนั้นมาสวมทับ ก่อนจะลนลานวิ่งออกไปนอกห้อง เพราะเป็นบ้านชั้นเดียวพอเปิดประตูห้องได้ก็วิ่งพรวดๆ ไปถึงประตูหน้าบ้าน นายแม่ยืนกอดอกอยู่นอกรั้ว แล้ว...ไอ้เด็กโย่งที่ยืนยิ้มสะพายเป้อยู่ข้างๆ นั่นมัน...
"เฮียตุนคร้าบบบบบ" ไม่ต้องสงสัยว่าใคร ไอ้เด็กโย่งมันลากเสียงยาวโดดมาเกาะประตูรั้วพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง ไม่เหลือเค้าของใบหน้าเศร้าครั้งสุดท้ายที่เห็น
"แม่, ไวไวไหงมาด้วยกันได้อ่ะ"
"แม่พามาส่ง น้องจะมาอยู่กับตุลที่นี่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!!" สิ้นเสียงพูดของนายแม่ เจ้าข้องบ้านก็พยักหน้าหงึก ๆ กว่าจะรวบรวมสติคิดได้แล้วหันขวับไปทางคนพูดอีกรอบเหมือนกับว่าที่ได้ยินเมื่อกี้...ไม่น่าจะใช่เรื่องที่ได้ยินไปเมื่อกี้
.
.
"หืม!!!???? หมายความว่าไงอ่ะแม่!!!" ไอ้เด็กโย่งหน้าทะเล้นจะมาอยู่ที่นี่....ไม่จริงงงงงง หูฝาด!? หรือไม่ผมก็กำลังฝันไป!!!!????
==================================
แอบหลงมาเกาะขอบจอรอกันล่ะเซ่!! คริ คริ
ไอ้เด็กแก้มนุ่ม..มันใครกันล่ะหว่า หึหึ(เดากันได้ป่ะล่ะ)
ขอบคุณมากมายสำหรับกำลังใจ และการติดตาม
รักคนอ่านทู๊กกกกกคนนนน 