บทที่ 23.
นายหญิงใหญ่ของบ้านเหลือบมองลูกชายคนโตที่กำลังป้อนข้าว ตักโน่นนี่ให้หลานสาวด้วยสายตาที่ยากจะประเมินได้ สายตาของคนเป็นแม่ที่เหมือนจะเหนื่อยกับอะไรบางอย่างแต่ไม่สามารถพูดออกมาให้ใครรับรู้ได้ แววตาที่ยังแฝงไปด้วยความห่วงใยแต่ด้วยความที่มีช่องว่างระหว่างวัย ทิฐิก็เลยเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
"แม่มีอะไรรึเปล่าครับ...?" นายตุลอดเปิดปากถามมารดาตัวเองไม่ได้ เพราะรู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองมาตลอดตั้งแต่ที่นายแม่ย่อตัวลงนั่งที่หัวโต๊ะก็ยังไม่ได้ละสายตาไปทางอื่น บางครั้งเห็นมีแอบถอนหายใจ ไอ้เราก็กลั้นใจรอฟังแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนต้องเอ่ยถามออกไปเสียเอง
นายแม่เหลือบมองมาพร้อมกับหรี่ตาและขมวดคิ้วเข้าหากัน แต่ก็แค่แวบเดียวแล้วก็ทำท่าเหมือนกับตัดใจเสียอย่างงั้น ได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจออกมายาวเหยียด ปล่อยให้สองพี่น้องหันมาสบตากันอย่างแปลกใจโดยมิได้นัดหมาย
"ตุล..ปีนี้เราอายุเท่าไรแล้วนะ..?" เอาล่ะซิ..เจอคำถามแบบนี้ทีไร ไอ้ตุลงานเข้าทุกที เหตุผลหนึ่งที่ไม่มีวันกลับบ้านที่แน่นอนก็เพราะนายแม่มักจะพาลูกสาวท่านคนนี้ หลานสาวเพื่อนคนโน้นมาให้พบสบตาอยู่เรื่อย หลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่านายแม่จะเลิกสนใจเรื่องหาคู่ให้ลูกชายคนนี้ไป ....แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้เริ่มขึ้นมาอีกได้
"ผมยังไม่อยากแต่งงานตอนนี้ครับแม่ ขอยืนยันคำเดิม..." คุณนายสุชาดายังคงหรี่ตามองมาทางลูกชายคนโตเหมือนกับมีอะไรบางอย่างในใจ แถมด้วยการค้อนอีกวงใหญ่โทษฐานที่รู้ทันในสิ่งที่ทางนี้ยังไม่ได้พูดออกไป
"แล้วเมื่อไหร่แม่จะได้อุ้มหลานซักทีล่ะ จะรอให้ยัยมิ้นท์โตแซงหน้าลูกตัวเองรึไง" ยัยมีนาหลุดหัวเราะพรืดออกมา ก่อนจะโดนฝ่ามือของพี่ชายผลักหัวไปทีด้วยความขุ่นเคืองที่ตัวเองโดนหัวเราะเยาะ ก่อนจะเอื้อมไปจับหัวหลานสาวโยกไปมาอีกรอบ
"แม่ก็รู้ว่าผมยังไม่มีเวลาดูแลใคร" แกล้งทำเป็นกลบเกลื่อนด้วยการรวบช้อนที่กำลังเขี่ยข้าวในจานไว้ที่มุมข้างหนึ่ง แล้วยกน้ำขึ้นมาดื่มกลั้วคอ..เตรียมตัวที่จะชิ่งหนีขึ้นไปบนห้อง
"ไม่ใช่ว่าตอนนี้มีใครมาคอยดูแลอยู่หรอกเรอะ"
"อุ๊บ!! แค่กๆ มะ...แม่ว่าไงนะ ใครดูแลอะไร!!?" สำลักซิครับท่าน น้ำแทบพุ่งออกมาจากจมูก ยิ่งหันไปเจอสายตาของนายแม่ที่จ้องมองมาเหมือนจะทะลุเข้ามาในใจก็ยิ่งทำให้คนทางนี้ยิ่งลนลาน..ทั้งที่รู้ว่าทำแบบนั้น จะยิ่งเป็นการส่อพิรุธ
"ก็แค่ลองถาม แม่เป็นห่วงเรานะตุล นี่ขนาดหลานวาไปออกค่ายลูกยังต้องหอบเสื้อผ้ามาค้างที่นี่ แล้วเกิดวันหนึ่งวายุแต่งงานมีครอบครัวไป เราจะทำยังไง..." นายตุลหันไปสบตาคนเป็นแม่เหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่างในประโยคคำถามที่ได้ยิน แต่คำว่า'แต่งงาน'ของใครบางคนมันก็พาให้คิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
"ไอ้เด็กนั่นมันจะแต่งงาน แล้วเกี่ยวอะไรกับผมล่ะครับ" ทั้งที่ถามกลับออกไปเสียงเรียบ แต่หารู้ไม่ว่าตัวเองกำลังนั่งคิ้วขมวดเข้าหากันเป็นปมโดยไม่รู้ตัว
"ไม่เกี่ยว...แล้วทำไมต้องทำเป็นโมโห!!?" คนที่ไม่รู้ตัวว่าโมโหสะดุ้งอีกครั้ง เหมือนหลุดออกจากความคิดของตัวเอง ก่อนจะกลบเกลื่อนด้วยการทำใบหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ในใจกำลังเต้นแรงด้วยความหงุดหงิด
"เปล่า..ไม่ได้โมโห..ผมคงเหนื่อย ขอตัวนะครับ!!" พอพูดจบก็รีบลุกออกมาจากโต๊ะโดยไม่สนใจเสียงเรียกของแม่และน้องสาว มุ่งหน้าตรงไปยังห้องของตัวเองทันที
แว่นที่สวมอยู่ถูกดึงออก ก่อนที่เจ้าของจะโยนมันลงบนโต๊ะหนังสือแล้วทิ้งตัวลงนั่งเหมือนคนที่กำลังเหนื่อยอ่อน ความรู้สึกบางอย่างที่กำลังกัดกินในใจ...ปฏิเสธไม่ได้ว่ากำลังโมโหและหงุดหงิด เพียงแค่คิดไปถึงภาพที่ไอ้เด็กโย่งมันอยู่ในชุดสูทสมตัว ยืนคู่กับใครบางคนที่อยู่ในชุดเจ้าสาว ทั้งที่รู้ว่าตอนนี้มันไม่มีทางเป็นไปได้แต่อะไรล่ะที่จะเป็นเครื่องรับประกันว่าจะไม่เป็นแบบนั้นในอนาคต ก็ในเมื่อตอนนี้ความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่เรียกว่าอะไรยังไม่รู้เลย
ดวงตาเหม่อลอยที่มองออกไปข้างนอกหน้าต่างห้องโดยไม่ได้ใส่แว่น เหมือนจะจ้องมองออกไป ณ สถานที่ที่อยู่ไกลแสนไกลเกินกว่าที่จะจับจ้องภาพต้นไม้ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองลืมโทรศัพท์เอาไว้ข้างล่าง แต่ก็ไม่อยากจะลงไปเอาตอนนี้เพราะขี้เกียจจะตอบคำถามสายตาของใครๆที่มองมา
....บางเวลาที่เรามองเห็นอะไรไม่ชัดบ้าง....ก็ดีเหมือนกัน....
.
.
ภายในห้องเรียนที่ถูกดัดแปลงให้เป็นที่พักชั่วคราวด้วยการขนย้ายโต๊ะและเก้าอี้ของนักเรียนไปไว้ที่มุมห้อง เพื่อให้คณะนักศึกษาค่ายอาสาได้ใช้นอนพักแบ่งเป็นสองห้องแยกชายหญิง หลังจากที่งานเลี้ยงเล็กๆจบลง ทุกคนก็ต่างพากันเข้านอนซุกหัวลงกับหมอนด้วยความอ่อนเพลียจากการทำงานมาทั้งวัน
ใครบางคนยังคงนอนลืมตามองเพดานห้องในความมืด...มือยังคงกำโทรศัพท์แนบไว้กับอกไม่ยอมปล่อยให้ห่าง สีหน้าราบเรียบ แต่หากมองให้ดีในแววตากำลังแฝงไปด้วยความหม่นหมอง ความกังวลใจและความกลัวอะไรบางอย่างกำลังกัดกินในใจ...ภาพที่ต้องแยกห่างจากกันในอดีตเหมือนตามมาหลอกหลอนให้ในอกมันปวดหนึบ...ยังไงก็ไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นอีกเด็ดขาด กว่าจะได้อยู่ใกล้กันมันช่างยากเย็น ไม่มีทาง...ไม่มีทางปล่อยมือจากของสำคัญอีกเป็นครั้งที่สองแน่
.
.
วันเดินทางกลับ
ชายเอิง ป๋าไม้ และหญิงหยก หันมาสบตากันเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ในเช้าวันนี้ ก็จะอะไรเสียอีกไอ้คุณเพื่อนวายุมันเล่นนั่งเหม่อ เดินเหม่อ ขนาดถอนหายใจมันยังเหม่อล่องลอยเหมือนโดนสูบวิญญาณออกไปจากร่าง ทั้งที่เมื่อวานมันยังลั้นลาทำตัวเริงร่าที่จะได้กลับบ้านไปเจอคุณเฮียของมันอยู่เลย แล้วพอมาตอนเช้า...สภาพเหมือนหมาหงอยอาการคล้ายคนไม่ได้นอนมาทั้งคืน นั่งถอนหายใจทิ้งเฮือกๆ โดยไม่สนใจว่าเพื่อนอีกสามคนจะคุยอะไรพูดอะไร หรือถามอะไร
ผลัวะ!!! เต็มที่กลางกบาล ฝ่ามือของไอ้คุณชายที่แบบว่าหมั่นไส้แกมรำคาญจนทนไม่ไหว ถามไปหลายคำมันก็มัวเหม่อลอยไม่ยอมหืออือ
"ไอ้วา!!! ต้องให้ตามหมอผีไหมวะเฮ้ย!!!"
"เจ็บนะเว้ย ตบมาได้!!!!" วายุยกมือลูบหัวตัวเองพลางบนงึมงำ สายตาเพิ่งจะมีคนอื่นสะท้อนอยู่ข้างในหลังจากที่เหม่อไม่รู้ตัวมาเป็นเวลานาน พอมองไปรอบๆ อีกทีก็ตอนที่ตัวเองขึ้นมานั่งประจำที่บนรถตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
"เออ!! จะตบให้กบาลแตกนี่ยังเมตตานะ ไม่งั้นจะให้ไอ้หยกจัดการ" ไอ้คุณชายทำขู่ด้วยการชี้ไปทางหญิงหยกที่กำลังยืนยักคิ้วข้างเดียวกวนส้น เอาหมัดต่อยมือตัวเองเหมือนเตรียมความพร้อมอะไรบางอย่างไว้แล้ว ในกรณีที่ยังไม่รู้สึกตัว...ก็ยังนับว่ามันเมตตาจริงๆนั่นแหละ
"โทษที คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ!!" วายุหันมายิ้มแหยๆ ให้เพื่อน เกรงว่าหากความเมตตาเข้ามาไม่ถึง อาจตายด้วยน้ำมือของไอ้หญิงหยกได้
"คิดอะไรขนาดนั้นวะ อย่าบอกนะว่า...ทะเลาะกับ...สุดที่รัก" ไอ้คุณป๋ามันยื่นหน้าเข้ามาถามได้จี๊ดใจคนฟังมากๆ แล้วดูมันเลือกใช้คำกันดิ'สุดที่รัก' ด้วยเหตุผลที่ว่ากลัวคนอื่นมาได้ยิน
"เปล่าๆ คิดเรื่องงานของอาจารย์ไง เรื่องโปรเจคท์ปลายเทอมที่ต้องส่ง คิดกันไว้หรือยังว่าจะวาดอะไร กลับไปนี่ต้องเริ่มแล้วนะเว้ย" ต้องรีบเปลี่ยนเรื่องให้ดูเป็นการเป็นงาน ลากเข้าเรื่องโปรเจคท์ปลายเทอมมันซะเลย งานที่อาจารย์สั่งให้ทำในหัวข้อ'ความฝัน'
"คิดอะไรจริงจังขนาดนั้น!!?" ไอ้สามตัวมันเหล่มองมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ก็เลยต้องแกล้งทำหน้าตาจริงจัง
"ก็ตามหัวข้อไง นึกขึ้นมาได้เมื่อคืนก็เลยติดลม" ยังๆ ไอ้หญิงหยกยังคงเหล่มองมาด้วยหางตา แต่พอทุกคนนึกตามเหตุผลที่บอกไป ก็พากันถอนหายใจเฮือกทำหน้าเหมือนคนใกล้ตายขึ้นมาเหมือนกันทันที
"คงต้องกลับไปนอนฝันก่อน อาจได้เลขงามๆ มาซัก 3 ตัว ฮ่าๆ" ความฝันของไอ้คุณป๋าทำเอาทุกคนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ แต่วายุทำได้แค่คลี่ยิ้มออกไปตามสถานการณ์ ยังคิดหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้..ความฝันที่ว่าจะเป็นจริงหรือหายไปแค่เพียงพริบตาที่ตื่นก็ยังไม่รู้
"แล้วแกคิดออกยังว่าจะวาดอะไรส่ง" เห็นว่าเพื่อนเครียดจริงจัง หญิงหยกก็เลยเอ่ยถามแต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าเรื่องงานส่งอาจารย์ที่ตัวเองได้ยินมามันคือสาเหตุที่ทำให้เพื่อนตัวเองมานั่งยิ้มจ๋อยๆอยู่แบบนี้
แทนที่จะตอบคำถามเพื่อน แต่วายุกลับเหม่อมองออกนอกหน้าต่างรถอีกครั้ง อาคารเรียนสีฟ้าอ่อนกระทบกับแสงแดดดูสดใสกว่าตอนที่มาครั้งแรกราวกับได้อาคารเรียนหลังใหม่ แต่สายตาของคนที่กำลังจับจ้องกลับกำลังคิดถึงคำพูดของใครบางคนเมื่อคืน...ผู้มีพระคุณที่เปรียบเหมือนแม่คนที่สอง..
'วายุ...นี่น้าเอง'"เอ่อ...คุณน้า สะ...สวัสดีครับ คือผมแค่จะแกล้งเฮียเล่น...!!" ข้อแก้ตัวที่คนพูด..ฟังแล้วยังรู้ว่ามันงี่เง่าที่สุด แต่ด้วยสถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้เป็นใครก็คงมึนตึ้บคิดอะไรไม่ออกพอๆกัน ปลายสายเงียบเสียงไปแล้ว ได้ยินเพียงลมหายใจที่บ่งบอกว่าปลายสายยังคงรอฟัง...ฟังคำแก้ตัวข้างๆคูๆ
วายุกำโทรศัพท์ในมือตัวเองแน่น เกิดความรู้สึกหวาดกลัวอะไรบางอย่างทั้งที่รอบข้างยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนลำคอมันแห้งผากขนาดที่ว่ากลืนน้ำลายลงไปยังฝืดเคือง ทั้งที่ทำใจมาก่อนแล้วว่าซักวันความลับจะต้องถูกเปิดเผย แต่...ต้องไม่ใช่แบบนี้ กลัวจะโดนจับแยก กลัวว่าเฮียจะโดนโกรธ กลัวไปสารพัด
"ผม....คุณน้าครับ...คือ.."
"ตั้งแต่เมื่อไหร่!!?" คำถามกลับสั้นๆที่ได้ยิน ทำให้คนฟังทางนี้รู้ตัวทันทีว่าข้ออ้างแก้ตัวในตอนแรก มันไม่มีความหมายอะไรเลย นายแม่เป็นคนฉลาดและเก่งกาจไม่งั้นคงไม่สามารถเลี้ยงลูกมาได้คนเดียวตั้งสองคน ก่อนที่จะแต่งงานใหม่
"คือผม...คุณน้าอย่าโกรธเฮียนะฮะ ผมเป็นคนเริ่มเอง เริ่มเองทั้งหมด" อ่อนใจจะหาข้ออ้างไหนมาแก้ตัว หากคนผิดยอมมอบตัวแล้วโทษจะลดได้ซักกึ่งหนึ่งก็คงดี
"วายุ!!!""ผมรู้...ผมรู้ว่ามันไม่ควร แต่คุณน้าครับ...ผมจริงจังจริงๆ" คำพูดง่ายๆซื่อๆของวายุที่ตอนนั้นกำลังจุกอกคิดอะไรไม่ออก ความรู้สึกผิดกำลังทิ่มแทงจิตใจเหมือนทรยศต่อความไว้ใจของผู้มีประคุณ แต่แค่อยากบอกว่าความรู้สึกที่มีต่อไอ้คุณเฮียไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่นอน
"แต่หลานยังเด็กนะ!!" หางเสียงที่ได้ยิน ฟังเหมือนเป็นกังวลมากกว่าจะดุด่า วายุหลับตาลงตอนที่แหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้าแล้วสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
"อาจจะเป็นเพราะตอนนั้น ผมยังเด็กกว่านี้..." เรื่องราวมากมายพรั่งพรูออกไปจากปากตามความจริง ทั้งที่ตอนนั้นตัวเองก็ยังไม่แน่ใจในความรู้สึก แต่ครั้งนี้คงต้องพูดออกไป เพราะกลัวว่าความรู้สึกที่ถูกแยกออกจากกันมันจะย้อนกลับมาอีก...ทนไม่ได้...คงได้ขาดใจตายเข้าสักวัน
.
.
"ไอ้วา!!!! หลับในรึไงวะ!!?" คราวนี้เป็นศอกของไอ้คุณป๋าที่สะกิดสีข้างให้รู้สึกตัว รถบัสของมหาลัยเคลื่อนตัวออกมาได้ซักพักแล้ว เห็นอาคารเรียนสีฟ้าหลังเดิมอยู่ไกลลิบ พร้อมกับเสียงโหวกเหวกของรุ่นพี่รุ่นน้องชาวคณะที่ร้องเพลงกันอยู่ท้ายรถ
"ไอ้คุณป๋าไม้ครับ เพื่อนวามีอะไรให้ช่วยหน่อย....นะ..." พอไอ้วายุมันฟื้นคืนสติ ก็หันกลับมาทำตาใสใส่เพื่อนที่นั่งข้างๆ ยังไงก็ต้องรวบหัวรวบหางให้มันช่วยให้ได้ล่ะว่ะ
.
.
.
วันนี้เป็นกำหนดกลับของไอ้เด็กโย่งที่ไปออกค่ายอาสา แต่ตอนที่เลี้ยวรถกลับเข้ามา บ้านทั้งหลังยังคงปิดไฟมืดสนิทไร้วี่แววว่าจะมีใครอยู่ข้างใน...หรือว่ายังไม่กลับ!!? เจ้าของบ้านไขกุญแจเปิดประตูบ้านเข้าไปด้วยความที่ยังสงสัย
อะไรบางอย่างในบ้านมันเปลี่ยนไป บนโต๊ะอาหารมีถ้วยสองสามใบปิดฝาเอาไว้อย่างดี ข้างในมีต้มจืด พร้อมกับข้าวอีกสองสามอย่างเตรียมเอาไว้...ที่สำคัญยังอุ่นๆ เพียงแต่ไร้วี่แววเจ้าของ มีเพียงกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆวางเอาไว้แทน
'...ไปทำงานส่งอาจารย์ โปรเจคท์ใหญ่จบเทอม คงต้องค้างที่หอซักพักนะครับ...'=========================
ลงตอนนี้เสร็จ..รีบตะกุยขาหน้าออกไปจากทู้อย่างเร่งด่วน
ไวไวเว้ยยยย รอกันด้วยเซ่!!!!!
(รีบไปปั่นตอนต่อไปหรอกนะเออ)
ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตาม เรื่องมีแตไวไวให้ซัดจนพุงกางเท่านั้น
เรื่องราวจะเป็นไงต่อไป...โปรดติดตาม...หงิง~~~