บทที่ 8.
อืม....อุ่น สบาย นุ่มนิ่มเหมือนในฝัน แล้วทำไมรู้สึกเหมือน...เตียงมันแคบไปจนดิ้นขยับไปไหนไม่สะดวก แต่เดี๋ยวนะ!!! ไอ้แก้มนุ่มอุ่นที่นึกว่าสัมผัสในความฝัน เฮ้ยยยย ย ย ย ย ย ย ......
ไอ้ตุลขอไว้อาลัยให้กับตัวเองเป็นเวลา 3 วินาทีเหอะ ก่อนจะลุกพรวดขึ้นมานั่งตาเหลือก แม้ว่าจะสายตาสั้น แต่ด้วยระยะเผาขนขนาดนี้ ต่อให้ไม่ต้องหยิบแว่นมาใส่ก็เห็นภาพได้อย่างชัดเจน หน้าของไอ้เด็กโย่งที่แนบติดกับจมูก สัมผัสถึงเนื้ออุ่นที่ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงหาใช่ความฝัน ...เอาอีกแล้วซิ อ๊ากกกก!!! ดีนะที่เจ้าตัวมันยังไม่ตื่นลืมตา จะได้หาเรื่องชิ่งลุกไปก่อน
"ไอ้ตุล!! ไอ้บ้าเอ๊ย!! ตุ๊ยๆ" หอมเข้าไปได้แก้มสากๆของผู้ชายด้วยกัน ต้องรีบไปแปรงฟันบ้วนปากก่อนเหอะให้ตาย!!
คนที่ตื่นก่อนพยายามตะเกียกตะกายลุกออกไปจากเตียงแคบๆให้เบาที่สุด กลัวว่าหากไอ้หมีโย่งที่ยังนอนหลับมันลืมตาขึ้นมา แล้วเกิดรับรู้สภาพเมื่อกี้ขึ้นมา ไอ้คุณเฮียคนนี้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ดันคิดไปได้ยังไงว่าไอ้ไวไวมันเป็นหมอนข้างแล้วยังจะกลิ้งไปซุกมันอีก โธ่!! ชีวิตไอ้คุณเฮีย!!
.
.
ไอ้คนที่แกล้งนอนนิ่งอยู่บนเตียงค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นสำรวจความปลอดภัย พอเห็นแผ่นหลังของใครอีกคนลับหายออกไปนอกห้อง วายุถึงค่อยผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก นี่ถ้ารู้ว่าไอ้ไวไวมันตื่นก่อน ตั้งแต่ตอนที่เฮียแกซุกตัวเข้ามา แถมยังเอาจมูกมาชนที่แก้มอีกหลายครั้ง...คงไม่ได้ตายดีแน่ โดนซ้อมอีกแหงๆ ตะ...แต่ว่า...ความรู้สึกสุขจนล้นอกนี่มัน...มันน่ายอมเสี่ยงตายดูซักครั้งนะ
"ไอ้คุณเฮียโหด!!"
วายุพึมพำกับตัวเอง รู้สึกเจ็บจี๊ดที่มุมปากเนื่องจากแผลที่โดนเมื่อคืนมันคงจะอักเสบ อยากจะยิ้มแทบตาย แต่ก็ทำได้แค่ทำแววตาไหวระริกเป็นประกาย เหมือนกับคนที่มีความสุขจนจุกอก นอนเหลือบตามองเพดานอยู่สักพัก นับหนึ่งถึงร้อยในใจ พอครบถึงค่อยลุกตามคนที่ตื่นก่อนออกไปข้างนอก
"เฮียตื่นแล้วก็ไม่ยอมเรียกผมมาด้วย" เฮียตุลที่เปิดประตูบ้านออกไปนั่งสูดอากาศยามเช้าที่ข้างนอกเพียงแค่หันมา แล้วหันกลับไปมองที่หน้าบ้านอย่างเก่า
"ที่นี่..ยังเหมือนเดิม" วายุย่อตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ว่าง ฝังตรงข้ามหน้าบ้านมีร้านค้าแผงลอยเล็กๆ ที่มักจะมาตั้งขายกับข้าว อาหารเช้า หรือไม่ก็พวกขนมปัง น้ำเต้าหู้ เพราะหากเดินเท้าต่อไปอีกไม่ถึง 300 เมตรก็จะเป็นโรงเรียนที่เปิดสอนตั้งแต่ประถมถึงมัธยมปลาย ยังดีที่วันนี้เป็นเช้าวันเสาร์ จึงไม่ค่อยมีเสียงแตรรถและคนที่มาส่งลูกหลานไปโรงเรียนเหมือนวันธรรมดา
"บางครั้ง..เวลาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งหรอกเฮีย" คนที่กำลังนั่งเหม่อมองไปที่หน้าบ้าน ชำเลืองสายตากลับมามองคนพูดที่นั่งอยู่ข้างๆ เหมือนได้เห็นบรรยากาศเหงาๆรายล้อมอยู่รอบตัว สายตาที่มองตรงไปข้างหน้าเหมือนกำลังมองความทรงจำในอดีตของตัวเอง เกินกว่าจะมองเห็นสิ่งที่เป็นปัจจุบันตรงหน้า
นายตุลเหลือบมองไปรอบๆบริเวณบ้าน เหมือนได้เห็นเด็กหญิงเด็กชายวัย 6-8 ขวบ วิ่งเล่นกันอยู่ที่หน้าบ้าน เสียงหัวเราะ ร้องไห้ และเสียงโวยวายของผู้ใหญ่ที่ทำโทษยามที่เด็กๆทะเลาะกันเอง เด็กชายตัวเล็กแก้มป่องที่เอาแต่เดินจับชายเสื้อของพี่ชายใหญ่สุดทั้งที่ตัวเองเพิ่งจะโดนแกล้งมา แทนที่จะติดพี่สาวใจดีที่คอยปลอบอยู่เสมอ...มาคิดถึงเอาป่านนี้..
"เพ้อแต่เช้า!! หิวแล้ว.. ไปหาอะไรกินกันเหอะ!!" อารมณ์กำลังได้ที่ ก็โดนกระชากกลับมาอย่างเร็วจนแทบจะตามไม่ทัน หันกลับมาอีกทีไอ้คุณเฮียเดินหายเข้าไปในบ้านและกลับมาพร้อมกับกุญแจรถในมือ
"เฮียจะเอารถออกเหรอ เดินไปก็ได้นะ แค่นี้เอง" เจ้าถิ่นของที่นี่เอ่ยปากห้ามเอาไว้ เพราะระยะเวลาเดินจากบ้านไปจนสุดประตูรั้วโรงเรียนไม่ได้ไกลมาก แล้วอีกอย่างคนที่ออกมาซื้อของแถวนี้ในวันหยุดส่วนมากก็เดินเท้า หรือไม่ก็จักรยาน
"กระเป๋าตังค์อยู่ในรถต่างหาก จะเอาออกไปทำไมให้เปลืองน้ำมันล่ะ!!?" คนที่เดินถือกุญแจรถมาเก้อ ทำเป็นกลบเกลื่อนได้อย่างแนบเนียน แถมตอนเดินออกไปที่รถยังไปสะดุดเข้ากับกิ่งไม้แห้งให้อับอายอีก คงจะร่วงลงมาเมื่อคืนซินะ นี่ไงสาเหตุของเสียงหลอนเมื่อคืน..คิดแล้วก็เจ็บใจไม่หาย!!
"เฮียไม่ต้องหรอก เดี๋ยวมื้อนี้ผมเลี้ยงเอง!!" วายุตะโกนบอก แต่ไอ้คุณเฮียก็เหมือนไม่ยอมฟัง แถมยังทำเหมือนไม่สบอารมณ์อะไรซักอย่างแต่เช้า แบบนี้มันต้อง...จัดไปชุดใหญ่
"เฮ้ย!! เดี๋ยวดิโว้ยยยย" ไม่ทันล่ะครับท่าน ไอ้ไวไวมันวิ่งมาคว้าข้อมือ ก่อนจะออกแรงฉุดให้เดินตามไปได้อย่างไม่ยาก
พอออกมาที่ตลาด(อันที่จริงเรียกว่าหน้าบ้านก็ได้) แม่ค้าแถวนั้นก็ทักทายอย่างเป็นกันเอง คงเป็นเพราะตอนที่แม่ษายังอยู่เป็นที่รักใคร่ของทุกคนแถวนั้น ตัววายุที่เป็นลูกชายเพียงคนเดียวก็เป็นเด็กดี คำถามเดิมๆซ้ำๆ อย่างเช่นว่า ‘เป็นยังไงบ้าง’ หรือ ‘ไปอยู่ที่ไหนมา’ กับคำบ่นของแม่ค้าที่บอกว่าคิดถึง ทำเอาคนโดนทักแทบจะเดินฉีกยิ้มไปได้ตลอดทาง ทั้งที่ยังจูงข้อมือของใครอีกคนให้ตามมาด้วย
“เฮียจำป้าโจ๊กได้ไหม” ไอ้ไวไวหันกลับมาถาม แถมทำเนียนไม่ยอมปล่อยมือ ทางนี้ก็ไม่กล้าสะบัดแขนออกกลัวว่าจะกลายเป็นจุดสนใจ ต้องปล่อยให้ไอ้เด็กโย่งเดินนำต่อไป
“จำได้ซิ แกยังขายอยู่ไหม..?” ป้าโจ๊กจริงๆแล้วมีชื่อว่าป้ามะขาม แต่ด้วยความที่แกขายโจ๊กมานานทุกคนก็จะเรียกแกติดปากว่าป้าโจ๊กๆ คุณป้าตัวอวบอ้วนแต่ใจดี ขายโจ๊กเหมือนไม่เอากำไร ใส่ทุกสิ่งอย่างที่คนสั่ง แล้วไม่คิดเงินเพิ่ม
“ตอนนี้แกเปิดเป็นร้านอาหาร ตอนเช้าและตอนเย็นขายโจ๊ก ตอนเที่ยงขายอาหารตามสั่ง” ไวไวหันมาบอกพร้อมกับเดินนำไปหยุดที่หน้าร้านข้าวที่เสียงดังพอประมาณร้านหนึ่ง ที่อยู่เกือบจะถึงหน้าประตูโรงเรียน
“อ้าว!!! นั่นมันวายุไม่ใช่เหรอลูก มาๆเข้ามานั่งข้างในก่อนเร็ว!!!” ทั้งที่ร้านแกกำลังวุ่นวาย ป้าโจ๊กแกก็ยังหันมาเห็นลูกค้าหน้าประจำของแกเข้าจนได้ แถมยังใช้กระบวยตักข้าวกวักให้เข้าไปนั่งในร้านที่มีลูกข้าแน่นขนัด
“ของผมเอาเหมือนเดิมครับ แล้ว..เฮียอ่ะ ใส่ไข่ด้วยป่ะ!!?” วายุฉีกยิ้มให้คุณป้าพร้อมกับสั่งเมนูของตัวเอง ก่อนจะหันมาถามอีกคนที่ยังคงยืนนิ่ง เหมือนกำลังเลือกเครื่องที่จะใส่ในโจ๊กของตัวเอง อาการคิดหนักจนคิ้วขมวดเข้าหากันก็เลยไม่ทันได้เห็นว่าคุณป้าเจ้าของร้านหันมายิ้มให้ลูกค้าหน้าประจำอย่างนึกเอ็นดู
“เอา...ทุกอย่างพิเศษไข่ด้วยครับ” ป้าโจ๊กแกยิ้มให้หลังจากที่ลุ้นรอฟังอยู่นาน
“สรุปว่า..เหมือนเดิมสองชามนะ” วายุพยักหน้ายืนยัน ก่อนจะกระตุกแขนให้อีกคนเดินตามไปหลังร้าน เนื่องจากลองประเมินด้วยสายตา ไม่น่าจะมีที่ว่างให้นั่ง และเนื่องจากได้รับสิทธิ์พิเศษเป็นทั้งลูกค้าประจำ และเป็นเพื่อนของลูกชายเจ้าของร้าน ก็จะได้รับอนุญาตให้ไปนั่งที่โต๊ะหลังบ้านได้ตอนที่ร้านกำลังอยู่ในสภาวะฉุกเฉินเยี่ยงนี้
ซักพักโจ๊กสองชามหอมกรุ่นก็ถูกยกใส่ถาดมาวางตรงหน้า ไอ้คนที่ลืมตัวไปว่าปากตัวเองยังเจ็บเพิ่งจะมารู้ตัวเอาตอนที่ต้องห่อปากเป่าของร้อนตรงหน้าตัวเอง แค่เผลอตัวชิมไปแค่ช้อนเดียว ถึงกับสะดุ้ง เพราะมุมปากที่แตกยังคงเจ็บระบม แถมกระพุงแก้มคงจะไปโดนฟันด้วย มันก็เลยเจ็บคูณสอง
“อูยยยย แสบอ่ะ” แล้วดูไอ้คุณเฮียดิ นั่งคนโจ๊กของตัวเองสบายใจซะเหลือเกิน ไม่แม้จะเหลือบมองไอ้ไวไวซักนิดว่ามันกินไม่ได้ครับท่าน
“มองอะไร? ของตัวเองมีก็กินไปดิ!!” ไอ้คุณเฮียยกชามโจ๊กของตัวเองหลบเหมือนกลัวว่าจะโดนแย่ง โทษทีเถอะคร้าบบบ ช่วยมองหน้าไอ้ไวไว แล้วดูทีเหอะว่าขนาดของตัวมันเองยังกินลำบากแล้วจะเอาปัญญาที่ไหนไปแย่งของคนอื่นมาอีก
“ใจร้ายชะมัดเหอะ!!” คนที่กำลังนั่งเป่าควันชามโจ๊กของตัวเองชำเลืองมอง เมื่อได้ยินเสียงบ่นพึมพำ เห็นไอ้หมีโย่งไวไวมันทำหน้างอ พร้อมกับคนโจ๊กในชามเหมือนไปโกรธใครมาซักชาติ แล้วก็สังเกตเห็นจนได้ รอยช้ำตรงมุมปากที่เกิดเพราะความที่ไม่ได้ตั้งใจ (จริงๆนะ)
“เอามานี่ดิ!!”
“อ้าว!! เฮียยังจะมาแย่งผมอีก...ทำไม...ล่ะ..!!?” วายุแทบจะโดดคว้า ตอนที่มีมือดียื่นมาคว้าชามโจ๊กตรงหน้าตัวเองไป ยังไม่ทันจะโวยวายได้จบประโยค ชามโจ๊กของไอ้คุณเฮียที่เป่าจนอุ่นพอประมาณก็ถูกเลื่อนมาตรงหน้า ทำเอาคนปากเจ็บนั่งทำหน้างงไปอึดใจ ก่อนจะอมยิ้มกับตัวเอง
“ยังจะเรื่องมากอีกไหม!!? หรือจะไม่กิน!!?” นายตุลเหลือบมองใบหน้าอมยิ้มของไอ้เด็กโย่งอย่างไม่สบอารมณ์ นี่ถ้าไม่ติดว่ารอยตรงปากตัวเองเป็นคนทำ จะไม่ยอมใจอ่อนให้ขนาดนี้หรอกนะ
“ถ้าเฮียใจดีแบบนี้บ่อยๆนะ..?” ไอ้เด็กโย่งพูดพร้อมกับจ้องมองมาด้วยแววตากรุ้มกริ่ม..ไอ้เด็กเวร!!! ใครเค้าสอนให้มองผู้ชายด้วยกัน ด้วยแววตาแบบนั้นวะ!!!
“แล้วจะทำไม..?” น้ำเสียงเหมือนหาเรื่อง ไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกสลดเลยแม้แต่น้อย ไอ้ไวไวมันยังคงยิ้มกริ่ม แถมด้วยการตักหมูในชามตัวเองมาให้สองสามชิ้น
“ก็ถ้าเฮียใจดี ผมก็จะดีใจมากๆไง” วายุตักโจ๊กที่พร้อมกินขึ้นมาแตะที่ปากตัวเอง แต่สายตายังคงจับจ้องไปที่คนตรงหน้า อยากจะบอกว่าโจ๊กที่ตัวเองเคยกินอยู่ประจำ แต่วันนี้มันกลับอร่อยที่สุดในโลก
“พูดมาก!! กินๆเข้าไปก่อนที่จะเปลี่ยนใจเอาคืน” พอโดนตวาดแบบนั้นเข้า ไอ้หมีไวไวมันก็ยกแขนขึ้นมากั้นชามโจ๊กตรงหน้าตัวเองเอาไว้ ประหนึ่งโจ๊กข้าใครอย่าได้มาแตะ กลายเป็นไอ้หมีเพี้ยนตัวเดิมแทนไอ้เด็กอารมณ์ศิลปินที่ชอบพูดจาให้คนฟังนึกแปลกใจอยู่เรื่อย
นายตุลส่ายหน้าพร้อมกับเปิดปากหัวเราะ ทั้งเอือมระอากับความรั่วแบบไม่ตั้งตัวของมัน แล้วยังจะมีความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นในใจยามที่สบกับสายตาของไอ้เด็กโย่งที่มองมา น่าแปลกที่ไม่ได้รู้สึกรังเกียจแต่กลับขยับเข้าไปใกล้โดยที่ตัวเองก็ยังไม่รู้ตัว
วันนั้นทั้งสองคนเดินทางกลับตอนบ่าย หลังจากที่แวะไปเที่ยวบ้านคุณยายและฝากท้องมื้อกลางวันไว้ที่นั่น รอยช้ำที่ปากไอ้เด็กโข่งโดนคนที่บ้านสอบสวนอย่างหนัก ถามหาที่มาเหมือนโดนผู้ก่อการร้ายลักพาตัวไปยังไงอย่างงั้น กว่าจะลากสังขารออกมาได้ ทั้งสองคนก็ต้องยกนิ้วไขว้กันข้างหลังไปหลายรอบ เพราะโกหกคำโตไปหลายคำ
พอถึงบ้านต่างก็แยกย้าย ไอ้ไวไวไปทำการบ้านที่ต้องส่ง ส่วนไอ้คุณเฮียที่ปิดมือถือทิ้งไว้ในรถโดนกระหน่ำโทรเข้าไม่ต่ำกว่ายี่สิบสาย
“เฮีย...ผมอุ่นกับข้าววางไว้บนโต๊ะแล้วนะ อย่าลืมออกมากินด้วยนะ” กับข้าวที่ได้มาจากบ้านคุณยายเมื่อตอนกลางวัน ถูกจัดใส่จานไว้อย่างดี ก่อนที่วายุจะเดินมาเคาะประตูห้องเจ้าของบ้านสองสามครั้ง เพื่อเรียกบอกให้คนที่เข้าไปขลุกอยู่ในห้องรู้ตัว
“กินไปก่อนเลยไม่ต้องรอ..” เสียงตะโกนที่ตอบกลับมาทันที ทำเอาคนที่กำลังจะตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปชะงัก คนที่อยู่ในห้องคงไม่รู้ ว่าใครมีใครบางคนยืนนิ่งมองบานประตูตรงหน้าอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานกว่าที่จะขยับหมุนตัวกลับไปในห้องของตัวเองเงียบๆ
ความรู้สึกบางอย่างที่มันซุกซ่อนอยู่ในใจมานาน เริ่มก่อตัวขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย ไม่ต้องเร่งเร้า ไม่ต้องรีบร้อน ขอแค่ให้มันเป็นไปในแบบที่เป็นอยู่ ขอแค่ได้อยู่ใกล้ให้พอได้เอื้อมมือไปคว้าตัวได้ถึง ต่อให้ไม่ต้องพูดออกมาทั้งหมด แต่ในใจต่างก็รับรู้กันได้ไม่ยาก
=======================
แอบมาลง นึกอยากกินโจ๊กบ้างอะไรบ้าง แหะ แหะ
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตาม