บทที่ 10.
เพื่อนสามคนหันมาสบตากันอย่างแปลกใจ เมื่อมองดูใบหน้าอิ่มเอิบดูมีความสุขจนมันล้นออกมาเป็นรอยยิ้มจนหน้าบานของวายุ ตั้งแต่เช้าแล้วที่เจ้าตัวมันหมกมุ่นอยู่กับสมุดวาดภาพของตัวเอง แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พอทุกคนชะโงกหน้าไปมองก็ต้องแปลกใจไปตามๆกัน เพราะแทนที่จะได้เห็นใบหน้าของมนุษย์ในจินตนาการของเพื่อนช่างเพ้อ แต่ภาพตรงหน้ากลับกลายเป็น'กุ้ง' ใช่!! ตัวกุ้งที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไปตามท้องตลาดหรือในชามต้มยำ แล้วไอ้คุณวายุมันไปพิศวาสอะไรกับกุ้งล่ะครับท่าน!!
"ใช่แล้ว!! ฉันว่าสาวที่วายุมันหมายปอง ต้องชื่อกุ้งชัวร์ๆ" ไอ้หญิงหยกดีดนิ้วตัวเองดังเป๊าะ พร้อมด้วยสีหน้ามาดมั่นว่าคำตอบของตัวเองต้องถูกแน่นอน
"คณะเรามีคนชื่อกุ้งด้วยเหรอวะ ไม่ใช่มั้ง..?" ชายเอิงยกมือขึ้นเท้าคางตัวเองกับโต๊ะพลางทำสีหน้าครุ่นคิด
"หรือจะเป็น คณะอักษรตึกข้างๆ?" หนุ่มไม้ผู้คาดเดาคนสุดท้าย ทำท่าประกอบด้วยการชี้นิ้วโป้งไปข้างหลังตัวเอง เป้าหมายคือคณะอักษรศาสตร์ที่เค้าร่ำลือกันว่ามีหญิงงามที่ชายหนุ่มตามใฝ่หา
"ไม้รู้จักคนชื่อกุ้งคณะนั้นเหรอ!!?" เพื่อนทั้งสองคนที่กำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเองหันขวับมามองเหมือนมีความหวัง แต่แล้วคำตอบก็คือการส่ายหัวพร้อมกับสีหน้าจ๋อยอย่างน่าสงสาร
"ปั๊ดโธ่!! พูดเหมือนรู้มากนะไอ้นี่!!" ไม้เอี้ยวตัวหลบขาหน้าของสาวเดียวในกลุ่มที่เหวี่ยงมาได้อย่างหวุดหวิด รู้กันอยู่ว่ามันมือหนักขืนโดนเข้าไปมีหวังมึนไปทั้งวัน
"เพื่อนวา!! เลิกฝันกลางวันซักครู่ แล้วช่วยให้ความกระจ่างกับพวกเราซะดีๆ อย่าให้ต้องใช้กำลัง!!" ชายเอิงเดินเข้าไปโอบไหล่คนที่กำลังนั่งวาดรูปเพลินๆ แม้ว่าใบหน้าจะคลี่ยิ้ม แต่คนมองก็รู้ดีว่าแววตามันไม่ได้ยิ้มไปด้วย นั่นแหละข้อที่น่ากลัวไอ้พวกนี้
"ความกระจ่างอะไรวะ!!?" วายุทำเป็นเนียนถามกลับ พับสมุดวาดรูปของตัวเองเก็บเรียบร้อย เพราะขืนให้พวกมันเปิดดูของที่ซ่อนอยู่ข้างในคงได้ความแตกแน่
"ทำไมต้องกุ้ง!!?" ไอ้หญิงหยกเอานิ้วจิ้มที่สมุดเหมือนจะบอกให้รู้ว่าที่อยากรู้คือกุ้งตัวปัญหาที่ว่า ส่วนไอ้สองคนที่เหลือมันก็ช่างช่วยเหลือกันดีเหลือเกิน ขยับเข้ามานั่งขนาบข้างไม่ยอมให้หนีไปไหนได้
"ก็..กุ้งไง แค่อยากลองกินกุ้งตัวใหญ่ๆซักครั้ง" วายุแกล้งทำหน้าหงอยเข้าไว้ มิเช่นนั้นไอ้พวกนี้มันจะได้ต่อความยาวสอบสวนหาข้อเท็จจริงไม่เลิก แล้วมันก็ได้ผล..เพราะทั้งสามคนรู้ดีว่าไอ้วามันไม่มีใคร ไม่มีพ่อแม่ เป็นเพียงเด็กที่บ้านน้าเอามาเลี้ยง ไม่มีเงิน ไม่มีสมบัติติดตัวซักกะอย่าง
พอเห็นสีหน้าสลดของพวกมัน คนที่พูดปดออกไปก็เริ่มรู้สึกผิด ยังไม่ทันจะได้ดูอะไร ไอ้ชายเอิงก็เป็นคนแรกที่โผเข้ามากอด(แต่มันจะดีและซาบซึ้งมาก ถ้ามันไม่กดหัวลงไปแนบกับกลิ่นเต่ารักแท้ของมัน ไอ้เพื่อนเลว!!) ยังไม่ทันจะดิ้นหลุดไอ้ไม้ก็เข้ามาสมทบอีกรอบ ทำเอาคนโดนกอดแทบจะขาดอากาศหายใจตายเสียให้ได้
"ไอ้หยก!! ช่วยด้วย!!!! จะขาดใจตายแล้ววววว" สาวเดียวของกลุ่มอย่างไอ้หยกที่กำลังนั่งซึ้ง ถึงกับเปิดปากหัวเราะก๊าก หมดความเป็นหญิง ณ บัดนั้น ส่วนไอ้สองตัวพอมันเห็นว่าแกล้งแบบนี้แล้วได้ผลมันก็ยิ่งกอดแน่นกว่าเดิม
"แหม!! ไอ้เพื่อนรัก ถ้าอยากกินขนาดนั้นก็บอกป๋าดิ!!" ป๋าไม้ทำเป็นซึ้งแกล้งบีบน้ำตาเหมือนญาติผู้ใหญ่เสีย
"แกจะพาไปเลี้ยงรึไง ไอ้ป๋าไม้!!?" ไอ้หยกหันมาถามทั้งที่ยังหัวเราะไม่เลิก
"เปล่า!!?..จะพาไปนั่งตกกุ้งที่แม่น้ำหลังบ้านน่ะ อยากกินก็ต้องหาเอาเองดิ โอ๊ย!!ไอ้เอิง เจ็บนะเว้ย!!" ไอ้คุณป๋าโดนชายเอิงตบกะโหลกไปที ทำเอาทั้งโต๊ะระเบิดหัวเราะอีกรอบ
"ไม่ต้องไปฟังป๋าขี้เมาพูดให้หูผุหรอกวะ วันนี้ไปกินกันเดี๋ยวเลี้ยงเอง" พอได้ยินแบบนั้นหญิงหยกกับป๋าไม้ก็โดดตบมือเฮฮากันใหญ่ที่จะได้ลาบปากมื้อเย็น ก่อนที่ทั้งหมดจะมุ่งประเด็นไปเป็นการหาร้านอาหารที่มีกุ้งอย่างที่ต้องการ
วายุเหลือบมองเพื่อนแต่ละคนอย่างซึ้งใจ แต่ก็ยังรู้สึกผิดที่เผลอโกหกออกไปแบบนั้น ทั้งที่พวกมันไม่ได้มีเจตนาร้าย อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองโชคดีอีกแล้วที่มาเจอเพื่อนดีๆแบบนี้ แต่...มันคงยังไม่ถึงเวลาที่จะบอกความจริงอะไรบางอย่างออกไป คงทำได้แค่กล่าวขอโทษขอโพยพวกมันในใจเท่านั้น
"เอ่อ!! เอาเป็นวันอื่นได้ไหม วันนี้ต้องไปบ้านคุณน้าวะ งานวันเกิดหลานสาวนะ" สามคนที่กำลังจะกำหนดพิกัดร้านอาหารที่ต้องการได้ หันมามองแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
"ตลอดอ่ะ วายุไม่เคยมีเวลาให้ป๋าซักวัน เชอะ!!" ไอ้คุณป๋าไม้มันทำเป็นสะบัดบ๊อบใส่ทั้งที่หัวเกรียนเห็นแล้วน่าโดดยันมากกว่าน่าสงสารอีกนะนั่น ก็จะให้ทำยังไงล่ะครับท่าน อีกเดี๋ยวไอ้คุณเฮียก็จะมารับแล้วด้วย
"งั้นเราไปกินกันแล้วถ่ายรูปซากกุ้งมาให้ โทษฐานที่ไอ้คุณวามันไม่ว่างเอง" โห่ยยยยยย...ไอ้ไวไวขอถอนคำพูดที่สรรเสริญพวกมันเมื่อกี้ให้หมด นิสัยเหอะ!!! ดูแต่ละคนมันยกมือเห็นด้วย แล้วชำเลืองมองมาด้วยหางตา ประหนึ่งว่ากระผมได้ทำผิดร้ายแรง ไรหว่า!! ไหงสถานการณ์มันพลิกผันแบบนี้เล่า!!
"จำไว้เลย นิสัยวะ!!..."
"วายุ!!!!"
เสียงเรียกคุ้นหูที่ดังขัดขึ้นก่อนที่ไอ้ไวไวจะได้เปิดปากเอาคืนเพื่อนตัวแสบแต่ล่ะคน สายตาทุกคู่ของเพื่อนร่วมกลุ่มหันไปมองที่ข้างหลังทางเดียวกัน พอเจ้าของชื่อหันกลับไปมองก็พบกับใบหน้าเจ้าของเสียงที่กำลังเดินเข้ามาใกล้... อย่าบอกนะว่า..ไอ้ไวไวกำลังฝันกลางวัน ก็คนตรงหน้าที่เห็นมันคือ...
"เฮีย!! มาได้ไงอ่ะ!!" วายุผลุดลุกขึ้นจากโต๊ะแทบจะวิ่งเข้าไปหาเสียเอง ตอนแรกนึกว่าไอ้คุณเฮียจะโทรเรียกให้ไปรอที่หน้ามหาลัย แล้วไหงมาโผล่ที่นี่ได้ แถมยังเดินเข้ามาหาที่ตึกคณะอีก...ไอ้คุณเฮียจะทำให้ดีใจเกินไปแล้วนะ
"ว่าจะโทรเรียก แต่พอดีขับรถเข้ามาแล้วเห็นเราพอดี ก็เลยขี้เกียจจะโทร" คนที่เพิ่งเดินเข้ามาบอกตามความจริง ก่อนจะเหลือบมองไปทางโต๊ะที่ไอ้เด็กโย่งเพิ่งจะลุกมา สายตาสามคู่กำลังมองตรงมาทางนี้อย่างสงสัย นายตุลพยักหน้าส่งสัญญาณเหมือนจะบอกว่ายังมีเพื่อนอีกสามคนรออยู่
"เอ่อ!! ทุกคนนี่เฮียตุล เออ..!! พี่ตุลเจ้าของบ้านที่อยู่ด้วยตอนนี้นะ ลูกชายของคุณน้า" เด็กทั้งสามคนยกมือไหว้ตามมารยาท ก่อนจะแนะนำตัวเองเรียงไปตั้งแต่เด็กผู้ชายผมยาวที่รวบไว้ข้างหลังชื่อแปลกว่าเอิง ถัดมาก็หนุ่มไม้ และหญิงสาวคนเดียวของกลุ่มที่ดูเหมือนจะห้าวๆในตอนแรก แต่ก็ส่งยิ้มหวานมาให้ด้วย
"พี่ตุลเป็นหมอรึป่าวคะ เผื่อหยกป่วยจะได้แวะให้ช่วยรักษา" เสียงโห่หัวเราะดังขึ้นเกรียวกราวตอนที่น้องหยกพูดจบ ทำเอาคนที่เพิ่งถูกมองว่าเป็นหมอหัวเราะตามไปด้วย อาจจะเป็นเพราะบุคลิกที่ผอมเพรียว ตัวขาวซีดเพราะไม่ค่อยได้ออกไปโดนแดดโดนลม บวกกับแว่นตาที่สวมอยู่บนใบหน้า ก็เลยทำให้ถูกเข้าใจผิดไปแบบนั้น
"ถึกอย่างไอ้หยกอ่ะนะ ปีหนึ่งๆเข้าโรงพยาบาลก็เพราะไปมีเรื่องชกต่อยกับใครเค้ามากกว่าเหอะ" เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกรอบ ส่วนไอ้ป๋าไม้ปากเสียที่ดันพูดสิ่งที่ทุกคนคิดออกมา มันก็เลยโดนสันหนังสือฟาดกบาลเข้าให้เต็มๆ
"พี่ไม่ได้เป็นหมอหรอกครับ แค่พนักงานบริษัทไส้แห้งคนหนึ่งเท่านั้นเอง" นายตุลชิงพูดก่อนที่สงครามย่อยๆจะเกิด แอบสงสารคนที่กำลังจะโดนสาวเดียวของกลุ่มเชือด
"แหม..!! หยกแค่ล้อเล่นเองค่ะ" น้องหยกหันมาบอกอย่างอายๆ ก่อนจะหันไปแยกเขี้ยวใส่เพื่อนในกลุ่มที่ยังคงนั่งกุมท้องกลั้นหัวเราะไม่เลิก
"ไปกันเถอะเฮีย ขืนไปช้าได้โดนคุณน้าบิดพุงแน่ๆ" วายุรวบของตัวเองบนโต๊ะมาถือไว้
"พี่ไปนะครับ ไว้ว่างๆก็ไปเที่ยวหาไว....วายุที่บ้านได้นะ" เด็กทั้งสามคนยิ้มให้พร้อมกับยกมือไหว้อำลาอีกรอบ วายุยังไม่วายหันกลับมาสั่งเรื่องไปกินกุ้งอีกรอบ แล้วมันก็โดนแกล้งเมินใส่อีกรอบ ถึงได้วิ่งกลับตามหลังเฮียของมันไป ทิ้งเสียงหัวเราะแว่วๆของสามตัวแสบดังตามหลัง
พอเข้ามานั่งในรถได้ ไอ้เด็กโย่งก็หันมายิ้มให้ราวกับว่ามีเรื่องอะไรน่ายินดีนักหนา แถมยังหันมามองทางฝั่งคนขับเป็นระยะๆ โดยไม่พูดอะไร ทำเอาคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาขับรถเสียสมาธิเอาได้ง่ายๆ จำต้องเปิดปากถามออกมา ไม่งั้นไอ้ไวไวมันคงได้เหลียวมองมาจนคอเคล็ด
"มองอะไรนักหนา แล้วจะยิ้มทำไม มีเรื่องอะไรดีๆ รึไง!!?" วายุหันไปยิ้มกริ่มให้อีกที จะว่าไปก็ยิ้มมาตลอดทางจนปวดแก้มไปหมด ทั้งที่อยากจะส่ายหน้าแทนคำตอบ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเพียงแค่เก็บสิ่งดีๆ เล็กๆน้อยๆวันละนิดแบบนี้ได้ ก็ทำให้อารมณ์ดีไปได้ทั้งวัน
"ว่าแต่...เฮียนึกยังไงถึงเข้าไปรับผมที่คณะได้ล่ะ" อดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ เพราะปกติไอ้คุณเฮียไม่ชอบที่ที่มีคนเยอะๆ 'มันวุ่นวาย' เฮียแกเคยบอกอย่างงั้น
"ก็ว่าจะจอดข้างหน้า แต่ดันเผลอเลี้ยวเข้ามหาลัยไปแล้ว ก็ต้องเลยตามเลยนะซิ!!" คำตอบที่ได้ยินทำเอาไอ้ไวไวหัวใจฝ่อเลยครับท่าน นึกอยากตบปากตัวเองขึ้นมาซะทันทีทันใด รู้งี้ไม่ถามก็ดีหรอก
"โห่ยยย..ผมก็นึกว่าเฮียจะใจดี ไม่อยากให้ไอ้ไวไวต้องเดินไกล..." อุตส่าห์ดีใจเหอะ!!! ประโยคสุดท้ายที่ต่อในใจ ก่อนจะหันกลับไปนั่งพิงกับเบาะรถ ทำหน้าเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก ไม่ได้หันไปเห็นว่าคนที่กำลังขับรถกำลังแอบกลั้นหัวเราะอย่างขำๆ
.
.
นึกย้อนกลับไปก่อนที่จะขับรถใจลอยเลยเข้าไปในมหาลัย เรื่องที่คุยกับเพื่อนพิชเมื่อวันก่อน ไอ้คุณเพื่อนที่ยังคงตามวนเวียนมาสถิตอยู่ที่ห้องทำงานคนอื่นไม่ยอมกลับห้องตัวเอง มานั่งทำหน้าตาเหมือนหมางง ช่างสงสัยถามโน่นนี่เกี่ยวกับไอ้ไวไวมากมายไปหมด
"เด็กนั่นเป็นคนยังไงน่ะ..?" คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาร่างแบบเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนพูด ก่อนจะเหลือบมองตามสายตาไปทางเดียวกัน ไอ้เด็กนั่นที่ว่าก็คือนักศึกษาที่มาทำงานพิเศษ เพราะห้องทำงานชั้นสองจะเป็นกระจกแบบพิเศษที่คนอยู่ในห้องจะมองเห็นข้างนอกได้
"วายุรึ!!? " พิชญะพยักหน้าเมื่อโดนถามกลับ คิ้วของเพื่อนและหุ้นส่วนขมวดเข้าหากันเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ก่อนที่เจ้าตัวจะวางดินสอในมือลง แล้วหมุนเก้าอี้มองไปทางห้องพนักงานที่ชั้นล่าง สายตาจับจ้องไปที่ใบหน้าของบุคคลที่ถูกถามถึงแล้วมุมปากของไอ้คนมาดเยอะมันก็คลี่ยิ้มออกมาได้อย่างง่ายดาย
"ไอ้เด็กนั่นมันก็กวนประสาทบ้างบางเวลา แต่เรื่องทำงานไว้ใจได้ไม่ต้องห่วง ออกจะซื่อเกินไปด้วยซ้ำนะ.." นายตุลเผลอคลี่ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวตอนที่พูดออกมา แล้วพอนึกถึงตอนที่โดนไอ้เด็กโย่งมันกวนประสาทก็ชักจะคันมือคันไม้ ลืมไปว่ายังมีสายตาของเพื่อนอีกคนจ้องมองอยู่อย่างพิจารณา
"ตุล..! รู้อะไรไหม บางครั้งความรู้สึกคนเรามันก็ยากที่จะเข้าใจ แต่เพียงแค่ตัวเรายอมรับมันได้ เรื่องก็จะง่ายขึ้นเยอะ" คำพูดแปลกๆที่ได้ยินทำเอาคนฟังหมุนเก้าอี้กลับมามอง คิ้วเริ่มขมวดเข้าหากันอีกรอบด้วยความที่ไม่เข้าใจความหมายของมัน
"พูดอะไรวะ..!!? ไม่เห็นจะเข้าใจ!!" พิชญะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมกับถอนหายใจออกมายาวเหยียด 'ซื่อบื้อ!!' คือคำด่าที่คิดเอาไว้ในใจ แต่ไม่กล้าพูดออกมาในสถานการณ์จริงจังแบบนี้
"ก็พูดตามที่เห็น กระจกบานนั้นมันสะท้อนภาพคนที่จ้องมองมันด้วยนะ ไม่ใช่เอาไว้ให้มองทะลุลงไปข้างล่างแค่อย่างเดียว" นายตุลหันกลับไปมองผนังที่เป็นกระจกสีทึบด้านหลังตัวเองอีกรอบ แล้วมันก็จริงอย่างที่ไอ้คุณเพื่อนมันว่า แม้จะเป็นแค่เงาไม่ชัดเจนเหมือนกระจกที่เอาไว้สะท้อนภาพ แต่ก็สามารถมองเห็นตัวตนของคนที่นั่งจ้องมันได้
"ไอ้พิช!!" ได้ยินเสียงถอนหายใจยาวเหยียดดังมาอีกรอบ พอหันกลับไปมองไอ้คุณเพื่อนก็กำลังจะเดินออกไปทางประตูห้อง เหมือนจะปล่อยให้เจ้าของห้องได้อยู่กับความคิดของตัวเอง
"สายตาตัวเองที่เอาแต่ไล่ตามคนอื่นน่ะ ลองมองดูมั่ง น่าสงสารอีกฝ่ายว่ะ!! เฮ่อ!!~~~~ซื่อบื้อจริงๆเพื่อนเรา!!" ตอนแรกก็ตกใจกลัวว่าไอ้คุณเพื่อนพิชมันจะคิดอะไรแปลกๆ แต่พอได้ยินคำด่าตามหลังก่อนที่มันจะปิดประตูหายหัวออกไปจากห้อง คนทางนี้ก็เลยของขึ้นแทน ปล่อยมันไปคราวหน้าค่อยสอยพุงคืนซักทีสองที
'สายตาตัวเอง' อย่างงั้นรึ จะให้มองยังไงก็เห็นแค่ไอ้แว่นคนหนึ่งที่กำลังคลี่ยิ้มน้อยๆ ทอดสายตามองหาใครบางคนที่กำลังเที่ยวเดินแจกยิ้มให้ชาวบ้านเค้าไปทั่ว ทุกวันนี้ที่หอบงานมาทำที่บริษัทได้ก็เพราะไอ้หน้ากวนประสาทของไอ้เด็กโย่งนั่น แต่...ฝ่ายนั้นยังคงเป็นเด็ก เกินกว่าจะเปิดเผยออกไปได้ว่าความรู้สึกลึกๆคืออะไร ทุกวันนี้พอรู้สึกว่าจะเผลอตัว ก็ต้องดึงสติกลับมาตลอด
นายตุลทิ้งตัวลงกับพนักพิงก่อนจะถอนหายใจออกมายาวเหยียด เพราะมัวแต่คิดทบทวนเรื่องนั้น กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เลี้ยวรถเข้าไปในมหาลัยของไอ้หมีไวไวมันไปแล้ว กะว่าจะไปจอดที่หน้าคณะแล้วค่อยโทรเรียก แต่ด้วยความบังเอิญหน้าตึกที่จอดรถ ยังไม่ทันจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก็เห็นแผ่นหลังคุ้นตาของมันเสียก่อน แล้วด้วยความเผลอตัว(อีกนั่นแหละ) ก็เลยเปิดประตูรถออกไปเรียกมันแล้ว
"เฮียๆๆๆ เดี๋ยวก็เลยทางเลี้ยวเข้าบ้านหรอก!!!" เสียงเรียกจากคนที่นั่งข้างๆทำให้สติกลับมาจนได้ แล้วก็จริงอย่างที่ว่าถ้าปล่อยให้รถแล่นไปเรื่อยๆ คงจะต้องขับวนกลับมาใหม่อีกรอบแน่
"วันนี้เหนื่อยเหรอเฮีย กลับบ้านแล้วผมนวดให้เอาไหม" วายุเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง แต่อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าแทนคำตอบพร้อมกับเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่
"เราเองก็เหนื่อย จะมานวดให้เฮียทุกวันทำไม เอาใจกันขนาดนี้อยากได้อะไรรึไง!!?" ไอ้คุณเฮียหันมาทำหน้ากวนๆ แล้วเอ่ยถาม ตอนที่เลี้ยวรถไปจอดที่หน้าบ้านคุณน้า พร้อมกับเสียงหัวเราะแบบโฉดๆที่ได้ยินเป็นประจำ
..นี่ถ้าเป็นคนอื่นมาถามไอ้ไวไวแบบนี้ คงได้โดนโกรธไปแล้ว แต่เพราะเป็นเฮียตุลถาม คนฟังถึงได้หันมายิ้มตอบอย่างไม่คิดจะเกรงกลัว (แต่มืออีกข้างก็เตรียมจับประตูรถพร้อมพุ่งตัวออกไปอย่างเร็ว)
"ที่ผมอยากได้...ก็...เฮียไง" เมื่อเจอคำถามปูทางมาขนาดนี้ มีรึที่ไอ้หมีมันจะไม่คว้าเอาไว้ ทั้งที่หลับตาปี๋เตรียมตัวเตรียมใจโดนกำปั้นของไอ้คุณเฮียแน่ๆ ซักที่หนึ่งของร่างกาย แต่พอทำใจกล้าลืมตาขึ้นมา ก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งนิ่งไม่โวยใส่เหมือนทุกที คนขออย่างไอ้ไวไวก็พลอยนิ่งตามไปด้วย แต่..ในอกมันจุก สุข และลุ้น ลุ้นว่าความรู้สึกของตัวเองที่ส่งไปจะถึงมือผู้รับแล้ว
"อะไรล่ะ..ของที่อยากได้จากเฮียนะ!!?" คำถามที่ย้อนกลับมา พร้อมกับแววตาที่มองมาแบบนิ่งๆ ไม่หลบหลีกหนีเหมือนแต่ก่อน ทำเอาคนทางนี้แทบอยากจะเปิดประตูรถออกไปร้องตะโกนด้วยความยินดี แต่ก็กลัวว่าจะโดนจับส่งโรงพยาบาลด้วยข้อหาไอ้โรคจิต
ไอ้วายุศักดิ์กำลังใจเต้นตึกตัก!!! อาการเหมือนคนที่อยากยิ้มออกมากว้างๆ โผเข้าไปกอดคนตรงหน้าแน่นๆ แล้วกระซิบบอกของที่อยากได้กับเจ้าตัว แต่ติดตรงที่ว่าตรงนี้มันคือหน้าบ้าน!!! บ้านของคุณน้าแม่ของไอ้คุณเฮีย ถึงจะอยากทำแบบนั้นก็ทำไม่ได้นะซิ!!! แต่....!!! สถานการณ์แบบนี้ไอ้ไวไวจะเข้าข้างตัวเองได้ไหมครับท่าน แต่ถึงอย่างนั้น...ก็คิดไปแล้วล่ะ!!!!
อ๊ากกกกกกกก...ผมกำลังสุขใจจนเหมือนจะเป็นบ้าแล้วครับแม่!!!==========================
แอบมาลงเนียน ๆ ตอนเย็นหลังเลิกงาน แหะ แหะ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม
ไม่รู้ว่าไวไวมันกำลังจะมีเคราะห์ หรือว่ากำลังจะมีความสุขกันแน่