ผมยันกายขึ้นจากที่นอนอย่างยากลำบากหลังจากที่หลับไปนานด้วยความเหนื่อยอ่อน...............เหลือบไปมองนาฬิกา เข็มชี้บอกเวลาเย็นย่ำ.............ความเครียดทำให้ผมหลับไปนานเพียงนี้เชียวหรือ...........แต่ถึงแม้จะได้นอนหลับพักผ่อนไปแล้วก็ตาม........จิตใจของผมก็ยังรู้สึกหดหูไม่เป็นปกติอยู่ดี.................
ถุงสัมภาระของนัทวางสงบนิ่งอยู่ที่มุมห้อง...........มันคือสายใยสุดท้ายระหว่างเรา............หากผมนำไปคืนเค้าในเย็นนี้........เราสองคนก็คงไม่มีอะไรติดค้างต่อกันอีกต่อไป............ตอนนี้ผมมาไกลจนเกินกว่าที่จะหันหลังกลับไปเสียแล้ว..............ที่ผ่านมา ไม่มีครั้งไหนที่ผมบอกเลิกกับนัทแล้วผมจะไม่รู้สึกเจ็บปวด............ลึกๆผมหวังอยู่เสมอว่าเค้าจะเป็นคนแรกและคนสุดท้ายสำหรับผม.........แต่นั่นคงเป็นเพราะว่าผมอ่านนิยายประโลมโลกมากจนเกินไป............ถึงคราที่ผมจะต้องยอมรับความเป็นจริงเสียที.............ชีวิตเกย์ก็เป็นแบบนี้แหล่ะ..........จะช้าหรือเร็ว.........ท้ายที่สุดก็ต้องเลิกกันอยู่ดี.........อย่าฝันเป็นเด็กไร้เดียงสาไปหน่อยเลย ว่าตัวเองจะได้รับการยกเว้นกั้งเอ๋ย............
น้ำอุ่นจากฝักบัวตกกระทบผิวกายเรียกความสดชื่นและสติสัมปะชัญญะคืนมาได้มากกว่าครึ่ง.............แม้ว่าตอนนี้ผมจะหายโมโหนัทแล้ว...........แต่เมื่อใคร่ครวญถึงเหตุและผล ผมก็ต้องเดินหน้าต่อ...........อยู่กันไปก็ไม่มีความสุขมากไปกว่านี้หรอก.........นานวันไปคนที่ต้องเจ็บคือผมอย่างไม่ต้องสงสัย........หากจะตัดเยื่อใย ผมควรต้องหนักแน่น..........ดังนั้นเมื่อจัดการแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว.......ผมจึงมุ่งหน้าไปที่หอพักของนัทด้วยความมั่นใจอย่างคนที่ผ่านการตกผลึกทางความคิดมาอย่างดีแล้ว.........
บรรยากาศที่หน้าหอพักของนัทเงียบสงัดทั้งที่เป็นช่วงค่ำ..........ผมยื่นถุงให้เค้าอย่างเย็นชาพยายามซ่อนความปวดใจเอาไว้ให้แนบเนียนที่สุด..........สีหน้าของนัทดูซีดเซียวอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน...........อากัปกิริยาดูลุกลี้ลุกลนจนทำให้รู้สึกอึดอัดรำคาญใจ...........เค้ายืนละล้าละลังไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมาทั้งที่ดูเหมือนมีบางอย่างจะบอก............
“พี่จะขึ้นไปช่วยเก็บของให้เสร็จ”...........ผมเอ่ยขึ้นมาเรียบๆเพื่อทำลายความอึดอัด.............ทีแรกนัทมีท่าทีตกใจเล็กน้อย แต่ก็เปลี่ยนเป็นผ่อนคลายในเวลาต่อมา............ผมยังคงจ้องหน้าเค้านิ่ง............อยากจะรู้นักว่าเมื่อนาทีวิกฤตมาถึง เค้าจะเลือกที่จะไม่ให้ผมขึ้นไป..........หรือเค้าจะเลือกทางเลือกสุดท้ายที่ผมยื่นให้...............
“ไปสิ..........นัทยังเก็บไม่เสร็จเลย”.............นัทเอ่ยปากรับคำอย่างรวดเร็วท่าทางมีความหวัง..............เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงทำหน้าตาให้ดูบึ้งตึงมากยิ่งขึ้น..............แค่จะขึ้นไปช่วยเก็บ ไม่ได้หมายความว่าจะคืนดีด้วยซะหน่อย...........อย่ามาทำหน้าระรื่นเรียกคะแนนสงสารเสียให้ยาก..........
แม้ว่าจะไม่มีคนเดินสวนทางมาเลย แต่นัทยังทำท่าลุกลี้ลุกลนเดิน (หรืออาจจะเรียกว่าวิ่งก็ได้) นำหน้าผมลิ่วๆขึ้นบันได...........จนในที่สุดผมก็คลาดกับเค้าที่ชั้นสาม...........ต่อมโมโหของผมเริ่มทำงานอีกครั้ง...........ดูเอาเถิด ถึงตอนนี้แล้วยังไม่วายที่จะกลัวคนรู้ว่าผมมากับเค้า.............แล้วถ้าบังเอิญคนอื่นมาเจอผมเดินบนหอพักต้องห้ามสำหรับบุคคลภายนอกนี่เพียงลำพังคนเดียว............ผมจะตอบเค้าว่าอย่างไร............ตอบว่ามากับนัทเหรอ........หึ............เค้ายังไม่เลิกนิสัยเดิม แม้กระทั่งในนาทีคับขัน.........เค้าก็ทิ้งผมเอาตัวรอดไปเพียงคนเดียวอีกตามเคย...............
ผมยืนละล้าละลังในความมืดที่ชั้นสามชั่วขณะ............นี่ผมควรจะเดินเข้าไปในชั้นสามซึ่งตอนนี้ประตูทุกห้องล้วนปิดสนิทไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตอยู่.........หรือเดินขึ้นไปที่ชั้นสี่.............หรือเดินกลับลงไปที่รถ...........ช่วยไม่ได้เลยจริงๆที่น้ำตาของผมจะรื้อออกมาที่ขอบตาอย่างแค้นใจ.............ความน้อยใจแล่นเข้ามาจุกอยู่ที่อก............ขนาดว่าผมกำลังโกรธเค้าอยู่.........เค้าก็ยังทิ้งผมเอาไว้อีกจนได้...............
ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเดินขึ้นไปที่ชั้นสี่ เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านัทน่าจะอยู่ที่ชั้นดังกล่าว............และเกือบจะชนกับเค้าเข้าอย่างจังที่ตรงหัวมุม............เค้าคงจะเห็นว่าผมหายไปนานจึงเดินกลับออกมาดู.............
“อ้าว........นึกว่าหายไปไหน”..........รู้อยู่แก่ใจ แต่นัทก็ยังแสร้งทำเป็นทักแก้เก้อ...............
“นัทพร้อมที่จะทิ้งพี่เอาตัวรอดเสมอเมื่อถึงคราวคับขัน”............ผมอดไม่ได้ที่จะค่อนขอดด้วยความขมขื่น.............นี่ถ้าหากต้องเผชิญอะไรที่เสี่ยงต่อการเปิดเผยสถานะของเราสู่สังคมแม้เพียงน้อยนิด..........คงไม่ต้องสงสัยว่านัทจะต้องทิ้งผมเพื่อเอาตัวรอดอย่างแน่นอน..........ทั้งๆที่คนพวกนั้นไม่ได้แคร์ด้วยซ้ำว่านัทจะมีสุขหรือทุกข์ยังไง.............ผมต่างหากที่รักและก็ห่วงใยเค้ายิ่งกว่าคนพวกนั้นอย่างเทียบกันไม่ได้.........แต่เค้ากลับเลือกแคร์คนในสังคมที่ไม่ได้แคร์เขาเลย........แทนที่คนที่รักและก็แคร์เค้ามากที่สุดคนนี้.........น่าน้อยใจในวาสนาของตัวเองเหลือเกิน............
“ก็พี่กั้งเดินช้าเองตะหาก”..........นัทเถียงข้างๆคูๆ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดีว่าอะไรเป็นอะไร............ผมคร้านที่จะต่อปากต่อคำจึงเดินเลี่ยงเข้าห้องไป..............ไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้ว สู้ทำหน้าที่ของตัวเองให้จบๆไปเสียดีกว่า..........อีกอย่างก็จะได้รู้ด้วยว่า ไอ้ข้ออ้างที่ว่า เก็บของๆ มาเป็นปีเป็นชาตินั้น..........ที่จริงแล้วเก็บจริงหรือเก็บหลอกกันแน่.........และก็ไอ้สมบัติบ้าบอพวกนั้น..........มันจะมีสักกี่รถสิบล้อกันเชียว.............ผมไม่อยากตัดสินอะไรลงไปโดยต้องให้ใครมาประนามว่าเป็นคนไร้เหตุผลในภายหลังหรอกนะ.................
ห้องของนัทดูรกรุงรังจนน่าตกใจ............ถ้าจะให้เรียกว่ารังหนูก็คงจะไม่กล่าวหนักจนเกินไปนัก.........ผมมองสำรวจดูรอบๆจนทั่ว...........กองหนังสือวางระเกะระกะ..........ที่นอนเหมือนไม่ใช่ที่นอน แต่เป็นที่เอาไว้สำหรับวางของมากกว่า..........เสื้อผ้าห้อยระเกะระกะดูไม่งามตาเอาเสียเลย............ผมเหลือบมองหาหลักฐานของการเก็บของที่เค้าชอบเอามาใช้เป็นข้ออ้าง..............พบว่ามีเพียงกล่องเล็กๆสองใบเท่านั้นที่บ่งบอกว่ามีการเก็บสิ่งของบรรจุลงไป.............นี่น่ะเหรอ ที่ว่าเก็บของ.........
เมื่อเทียบกับห้องของผมแล้วนับว่าต่างกันสุดขั้ว............แต่เค้าก็ยังพอใจที่จะขลุกอยู่ในนี้.........ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอยากจะมาเล่นเกมส์...........เอ๊ะ.......หรือว่าจะแอบมาแชทติ้ง..........ต่อมความหึงผมเริ่มทำงาน.............อย่างว่านั่นแหล่ะ ก็นี่มันห้องของเค้านี่ เค้าก็ย่อมต้องอยากจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่บ้าง..........แต่ก็ไม่น่าที่จะหาข้ออ้างบ้าๆบอๆมาโกหกกันให้เสียความรู้สึกเปล่าๆ.........
ผมเดินไปนั่งที่เตียงมองดูข้าวของเกลื่อนกลาดอย่างเหนื่อยใจ............ถ้าเค้าเก็บจริงดังที่บอก คงเสร็จไปนานแล้ว............แต่ก็คงยากที่จะเริ่มต้น เพราะมันรกเหลือเกิน........ขนาดผมเองก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเริ่มต้นเก็บอะไรก่อนหลังดี เพราะมันดูรกไปหมด......................
นัทหันไปนั่งเล่นเกมส์แก้เก้อ.............ถ้าหากมีคนรับผิดชอบแทนเค้าแล้ว เค้าก็จะโยนภาระทันที..........ไหนๆก็ได้เอ่ยปากว่าจะมาช่วยแล้ว ผมจึงกลั้นใจลุกขึ้น เริ่มต้นเก็บกวาดข้าวของลงกล่อง.......เริ่มจากกองหนังสือก่อนก็แล้วกัน...............
เราสองคนช่วยกันเก็บของเงียบๆ............จะมีคุยกันบ้างก็ต่อเมื่อนัทหันมาถามความคิดของผมเป็นบางครั้ง..............
“อันนี้จะเอาทิ้งไปดีมั้ย..........หรือจะเก็บเอาไว้ มันยังใช้ได้อยู่นะ”.............โอ...........พระเจ้า............ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า สิ่งที่เค้าลังเลใจว่าจะทิ้งหรือไม่ก็คือ นาฬิกาปลุกเก่าๆที่หน้าปัดหลุดออกจากตัวบอดี้ของมันแล้ว...............ผมชะงักมองด้วยความตะลึงตะลาน.............
“ทิ้งไปเถอะ............มันพังแล้วนี่”..............นัททำท่าลังเลสักพักจึงตัดใจทิ้งมันลงถุงขยะ........เค้าคงทำเพื่อเอาใจผมมากกว่า...........ไม่แน่ว่าถ้าเค้าอยู่คนเดียว..........ผมว่าเค้าคงเก็บมันลงกล่องไปอีกเหมือนกัน..............
“พี่กั้งเอาเสื้อตัวนี้ไปใส่สิ”............นัทเอ่ยปากยกเสื้อให้ผมหนึ่งตัว.........หึ...........แถมเงินให้ก็ไม่เอา...........เก่ายังกะขุดมาจากกองขยะ...........(หุหุ)..........ผมส่ายหน้าไม่รับสิ่งที่เค้ายกให้.......ทั้งขำทั้งโมโห.........เกือบลืมไปแน่ะว่ากำลังงอนอยู่นะ..........
“เอาทิ้งไปเหอะ............มันเก่าจะแย่อยู่แล้ว”...........ผมออกความเห็นปัดรำคาญ.............
“ไม่อ่ะ...........เก็บไว้บริจาคดีกว่า”...........นัทว่าพลางรวบรวมเสื้อผ้าเก่าๆพวกนั้นลงกล่อง.......เชอะ.........ขืนเอาไปบริจาค เค้าจะได้ด่าไล่หลังเอาน่ะสิ.............ทั้งเชยทั้งเก่าตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้ ยังจะเก็บเอาไว้อีก..........ถึงตอนนี้ผมจึงหวนนึกถึงคำพูดของมอลลี่ขึ้นมาในทันที..........
“นัทน่ะ.........ถ้าไม่ใส่จนขาดเค้าก็ไม่ทิ้งหรอก...........พ่อแม่เค้าสอนมาดีเนาะ”.........แต่ผมว่า จะมัธยัถส์ไปหน่อยม้างงง................
ผมเดินไปเก็บกวาดที่มุมห้องข้างตู้เสื้อผ้า ซึ่งเต็มไปด้วยบรรดาถุงพลาสติกที่นัทเก็บเอาไว้.........ผมค่อยๆหยิบขึ้นมาดู พบว่าส่วนมากเก่าจนยุ่ยไปแล้ว..........ไม่แปลกเลยที่นัทเค้ามีขวดดองตัวอย่างไปให้ผมเมื่อคราวที่เราไปน่านด้วยกัน...........เพราะเค้าชอบเก็บสะสมขยะไม่ทิ้งไปนี่เอง.........เฮ้อ...............
งานเก็บของดำเนินไปอย่างยากลำบาก ด้วยว่าผมไม่กล้าทิ้งโดยที่ไม่ถามความเห็นจากนัทเสียก่อน............จนเวลาล่วงเลยมาเกือบสามทุ่ม........สายฝนที่ถูกพัดพามากับลมร้อนก็เริ่มโปรยปรายลงมาเบาๆ..............ไม่อยากจะนึกสภาพเลยว่า ตอนนี้ตัวผมจะดูมอมแมมแค่ไหน................
หลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว เราสองคนนั่งมองกล่องเหล่านั้นด้วยความเหนื่อยอ่อน............ผมมองดูบรรดากล่องต่างๆด้วยความภูมิใจลึกๆ...........เห็นมะ...........ถ้าไม่มาคอยกำกับ จ้างให้ก็ไม่มีวันเสร็จ.............เมื่องานเสร็จ ความเงียบก็เข้ามาแทนที่........เราจ้องมองหน้ากันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ผมจะได้สติขอตัวกลับก่อน
“พี่จะกลับแล้วนะ”............ผมว่าพลางเก็บข้าวของลุกขึ้นเตรียมตัวจะกลับ..........นัทฉวยข้อมือผมเอาไว้แล้วผลักผมให้กลับไปนั่งที่เตียงเหมือนเดิม
“จะรีบกลับไปทำไม”..........เค้าว่าพลางโน้มตัวลงมากดให้ผมนอนราบลงไปกับที่นอน.......ผมมัวแต่ตกตะลึงในการกระทำของเค้าจนลืมที่จะปัดป้องใดๆ............นี่เค้าจะทำอะไร........
นัทกดผมไว้บนที่นอน แล้วพยายามถอดเสื้อและกางเกงของผมออก.............สายฝนข้างนอกหน้าต่างเริ่มหนักเม็ดมากขึ้นเรื่อยๆ............ถึงตอนนี้ผมพอจะรู้แล้วว่าเค้าคิดจะทำอะไร..........
ผมใช้แรงหนึ่งในสี่ของที่มีอยู่ปัดป้องการกระทำของเค้า (หุหุ)..........มันคงไม่น่าจะเรียกว่าการข่มขืนหรอกกระมัง...........เพราะมันเป็นการสมยอมอยู่บ้าง............ในที่สุดเมื่อเค้าไม่ละความพยายาม...........ผมจึงยอมโอนอ่อนผ่อนตามแต่โดยดี......อยากจะทำอะไรก็เชิญ...........นี่เค้าจะไม่คิดถึงจิตใจกันบ้างหรืออย่างไร...........อยากจะทำอะไรก็จะทำ อยากจะรักก็จะรัก ถ้าอารมณ์ไหนไม่ใยดีก็ทำเป็นเฉยเมยไม่ใส่ใจ.............แบบนี้เค้าเรียกว่าคนรักกันหรือไง...........ผมไม่ใช่สิ่งของที่จะให้เค้าทำตามแต่ความต้องการของเค้าฝ่ายเดียว..........ผมก็เป็นคนคนหนึ่งเหมือนกันกับเค้า.......มีความรู้สึกนึกคิด..........เมื่อไหร่เค้าถึงจะรู้จักคิดเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง..........ผมเหนื่อยกับคนอย่างเค้าเหลือเกิน............ผมเหนื่อยที่จะต้องมารักคนเห็นแก่ตัว.............
สายฝนยังคงพัดกระหน่ำที่นอกหน้าต่าง...............อารมณ์ปรารถนาของนัทยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด...........จวบจนฝนเม็ดสุดท้ายซาลงไป.........พร้อมกับลมหายใจที่รวยรินของเราสองคน..........
นัทลุกขึ้นเดินไปล้างเนื้อล้างตัว.............ปล่อยให้ผมนอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงอย่างอ้างว้าง..........เค้าหายไปสักพักแล้วเดินกลับมาเปิดไฟที่หัวเตียง...............
“ร้องไห้ทำไม”............นัทดูมีท่าทีตกใจเมื่อพบว่าผมกำลังนอนร้องไห้อยู่เงียบๆโดยไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา.............
ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะตอบคำถามใดๆนอกจากอยากจะร้องไห้..........นั่นสินะ............แล้วผมจะร้องไห้ทำไม............และผมก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกที่โดนพระเอกรังแกเหมือนในละครทีวีหรอก...........แต่คงเป็นเพราะว่าผมเหนื่อยเหลือเกิน..........เหนื่อยกับการที่ต้องโมโหกับสิ่งที่เค้าทำ..........เหนื่อยกับการที่ไม่เข้าใจเค้า...........เหนื่อยกับการที่เค้าไม่เคยเข้าใจผม............และเหนื่อยกับการที่เราสองคนต้องมารักกัน...........ผมจะสู้ต่อไปยังไงไหว ถ้าเราสองคนยังเป็นแบบนี้............ผมสู้ต่อไปคนเดียวไม่ได้หรอก...........ผมอยากได้กำลังใจจากเค้าบ้าง..........ผมไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่เค้าเห็นหรอกนะ..........บางครั้งผมก็อยากจบๆมันไปเสียที แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย........เพราะว่า.........ผมได้รักเค้าไปจนสุดหัวใจแล้ว............
นัทไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเมื่อเห็นผมร้องไห้..............เขาจึงเดินไปเอาน้ำดื่มมาให้ผมหนึ่งแก้ว..............
“ดื่มน้ำมั้ย”..........เค้ายื่นแก้วน้ำให้ผมท่าทางเก้ๆกังๆ
“ไม่”........ผมตอบเสียงเครือ..........
เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรดีขึ้น...........เค้าจึงหันกลับไปนั่งเล่นเกมส์ต่อ ปล่อยให้ผมนอนร้องไห้คนเดียวจนพอใจ......................
จนเวลาผ่านไปจวบจนน้ำตาหยาดสุดท้ายแห้งเหือด...........ผมจึงลุกขึ้นมาแต่งตัวเงียบๆ........ได้ร้องไห้แล้วค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย............มันคงอัดอั้นมานานจนทะลักออกมาเอง..........สาบานได้เลยว่าผมไม่ได้คิดจะบีบน้ำตาเลยแม้แต่น้อย............แต่บางทีมันอาจจะอยู่ในสายเลือดไปแล้วก็ได้นะ.....อิอิ.........บางทีนัทก็ชอบว่าให้ผมว่า.......เจ้ามารยา........แต่ชีวิตคนเราไม่ใช่ละคร ใครจะมานั่งปั้นหน้ามารยาอยู่ได้.........หรือใครจะกล้าเรียกคนที่ร้องไห้ตอนพ่อแม่ตายว่ามารยาบ้าง...........ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมก็จะยืดอกรับแต่โดยดี.............
เมื่อเห็นว่าผมจะกลับแล้ว นัทจึงรีบปิดคอมแล้วเก็บข้าวของเดินตามออกมา............ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเค้าจะตามผมกลับไปที่ห้องด้วย...........หุหุ..........ไม่เสียแรงที่ลงทุนร้องไห้ (ล้อเล่นนนนน กิ้วๆ)...........
ที่ลานจอดรถยังคงเงียบสนิท...........มีเพียงแสงไฟจากรถเข็นขายผลไม้จอดอยู่ไม่ไกลกับลูกค้าอีกสองสามคน...........
“อยากกินแตงโม”.........ผมเปรยออกมาเบาๆ.............
ไวเท่าความคิด..........นัทรีบวิ่งตุ๊บๆไปที่รถขายผลไม้ แล้วกลับมาพร้อมถุงแตงโม..........ผมรับถุงแตงโมจากเค้า แล้วเบือนหน้าแอบไปยิ้มเพียงคนเดียวด้วยควมพอใจ..............ต้องให้ได้อย่างนี้สิ............อิอิ...............