อากาศก็เย็นลงทุกที............อยู่กรุงเทพมาตั้งเจ็ดเดือนแล้วยังหาแฟนไม่ได้อีก............เฮ้อ ทำไมชีวิตมันช่างแสนจะน่าเบื่อขนาดนี้นะ.........หุหุ...........
...
“ฮัลโหล.........มีอะไร” นัทรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเซ็งสุดขีด..............ผมชักโมโหขึ้นมาหน่อยๆเมื่อได้ยิน..............นี่ขนาดว่าผมไม่ได้โทรมาหาเค้าสองวันแล้วนะเนี่ย...........ผมเป็นคนน่าเบื่อมากขนาดนี้เลยหรือยังไง.............นี่เค้าเป็นบ้าอะไรของเค้ากันแน่ หรือว่าเป็นโรคกลัวโทรศัพท์.............ทีโทรคุยกับคนอื่นเห็นคุยเป็นคุ้งเป็นแควตั้งนานสองนานไม่มีบ่นสักคำ..............
“จะให้พี่ไปรับกี่โมง ไม่เห็นโทรมาบอกเลย”..........ผมถามกลับเสียงห้วน........เพราะตอนนี้ก็ชักจะมีอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน..............นี่มันธุระของเค้าไม่ใช่หรือ.............ตัวเองจะมาจัดฟัน จะให้ผมขับรถไปรับตั้งสองชั่วโมง.............ยังจะมีหน้ามาทำเสียงเบื่อหน่ายใส่อีกเหรอ.............
“ยังไม่รู้เลย..........วู้วววววววววว............ถามอยู่ได้ น่ารำคาญ.........จะกลับเมื่อไหร่เดี๋ยวก็โทรบอกเองนั่นแหล่ะ”..............เอ๋า.............แค่ถามแค่นี้มันน่ารำคาญตรงไหนวะ..........ผมทั้งรู้สึกงง และโมโห............มือที่กุมโทรศัพท์อยู่ สั่นระริกโดยไม่รู้สึกตัว........อยากจะด่ากลับให้สมแค้น แต่ตอนนี้สมองมันเต็มตื้นไปด้วยความน้อยใจจนพูดอะไรไม่ออก...........
“แล้วพี่ไม่มีสิทธิ์จะรู้อะไรเลยใช่มั้ย”..............ผมระเบิดเสียงใส่อย่างหมดความอดทน..........ตอนนี้ผมจะพูดอะไรก็ไม่ได้เลยสักอย่าง............จะทำอะไรก็ผิดไปหมด..............นี่เค้าเห็นผมอยู่ในฐานะอะไร.........ส่วนเกินของชีวิตของเค้าหรือยังไง..............
“ถ้าจะโทรมาหาเรื่องก็ไม่ต้องคุยกันเลยนะ...........แค่นี้นะ”...........นัททำท่าจะวางสาย.........แต่ตอนนี้ผมไม่ฟังเสียงอะไรแล้ว..........เค้าจะหนีหน้าผมด้วยวิธีนี้ไม่ได้.............อยากเลิกก็บอกมาตรงๆสิ........จะมาทำร้ายความรู้สึกกันต่อไปอีกทำไม...........คิดเหรอว่าผมจะอยากฝืนใจกับคนที่หมดรักกันแล้ว.............ผมไม่ใช่คนหน้าด้านแบบนั้นหรอกนะ.................ทำไมเค้าไม่พูดมันออกมาให้จบๆไปเลยล่ะ.........หรือคิดว่านี่เป็นการรักษาน้ำใจกันแล้วหรือยังไง...........เปล่าเลย..............มันเป็นการทำลายความรู้สึกที่ดีของผม ลงไปเรื่อยๆมากกว่า...........
“นี่..........พี่ยังพูดไม่จบนะ...........ห้ามวางสายนะ...........พี่ยังพูดไม่จบ”............ผมตะคอกใส่โทรศัพท์ด้วยความโมโหสุดขีด............ทำไมเค้าต้องเป็นฝ่ายหาเรื่องทุกครั้งที่ผมโทรมา............นี่เค้าจะไม่ยอมคุยกับผมดีๆเลยใช่มั้ย.............มิหนำซ้ำยังมากล่าวหาว่าผมโทรมาหาเรื่องเค้าอีกต่างหาก..........คิดได้ยังไง............
“มีอะไรอีกล่ะ….ว่ามาสิ”.............นัทย้อนกลับมาอย่างเย็นชา...........แม้คำสั่งของผมยังใช้ได้ผลอยู่บ้าง..............แต่น้ำเสียงของเค้าแสดงความดูแคลนจนผมสะท้านไปทั้งใจ................
“ทำไมนัทจะพูดดีๆกับพี่บ้างไม่ได้หรือไง............พี่โทรมาทีไรนัทต้องคอยหาเรื่องตลอด............พี่ไม่เข้าใจเลยจริงๆ”..............ผมพยายามกระตุ้นสามัญสำนึกในการใช้เหตุผล...........รวมถึงความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเค้า.............ถ้ามันยังคงหลงเหลืออยู่บ้างในตอนนี้............เค้าคงจะยอมคุยเปิดอกกับผมดีๆ..............ถึงแม้ว่าเค้าจะบอกเลิกกับผม ผมก็จะไม่เสียใจสักนิด..............แต่อย่ามาทำร้ายจิตใจกันด้วยวิธีการแบบนี้อีกเลย.............ผมเจ็บจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว............ยิ่งคิดถึงคำขอร้องในอดีตที่เค้าไม่ต้องการให้ผมทิ้งเค้าไป...........คิดถึงความพยายามของเค้าที่จะทัดทานผมเอาไว้ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด........ผมไม่น่าใจอ่อนกับคนคนนี้เลย...........
“ก็พี่กั้งอ่ะโทรมาทีไรก็ถามแต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำๆซาก..........ว่าจะกลับเมื่อไหร่............ทำไม............อะไร...........มันน่าเบื่อเข้าใจมั้ย”...........นัททำน้ำเสียงกระแนะกระแหนแดกดัน............มันช่างน่าอดสูใจเหลือเกินเมื่อได้ฟัง...............สาบานได้เลยว่าคู่รักที่ไหนๆ เค้าก็ต้องถามกันแบบนี้ทั้งนั้น..............ผมไปบีบคั้นกดดันเค้าที่ตรงไหน........เค้าจะไม่ให้ผมยุ่งกับเรื่องของเค้าเลยสักอย่างงั้นเหรอ............แล้วผมจะยังอยู่กับเค้าในฐานะอะไร...........แม้แต่คำว่าเพื่อนก็ยังจะดูดีเกินไปด้วยซ้ำสำหรับสิ่งที่เค้ากำลังทำกับผมตอนนี้...............
ผมนิ่งงันไปชั่วขณะกับคำพูดที่แสนร้ายกาจของนัทเมื่อครู่................เค้าช่างใจจืดใจดำกับผมได้ลงคอ.....เค้าไปขุดเอาคำพูดแดกดันที่แสนเจ็บแสบพวกนั้นมาจากไหน..............มันช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจคนที่ทั้งรักและเป็นห่วงเค้ายิ่งกว่าใคร อย่างผมได้อย่างเลือดเย็นยิ่งนัก.............
“ไม่มีอะไรแล้วใช่มั้ย...........จะวางสายแล้วนะ”.........เมื่อเห็นผมนิ่งเงียบไป นัทก็วกกลับเข้ามาที่การขู่จะวางสายอีกรอบ..............ผมได้สติจึงรีบร้องห้ามเอาไว้
“อย่าเพิ่งสิ...........เรายังคุยกันไม่จบนะ”..................แต่สายเกินไปเสียแล้ว.............สัญญาณที่ปลายสายถูกตัดเงียบหายไปพร้อมๆกับสิ้นเสียงห้ามของผม............
ผมกระหน่ำกดโทรศัพท์กลับไปที่เบอร์ของนัทราวกับคนเสียสติ............ไม่มีเสียงตอบรับนอกจากสัญญาณที่ทิ้งเอาไว้ให้ฝากข้อความ...........เมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะทำเช่นนั้น ผมจึงหันกลับมานั่งจมจ่ออยู่กับความคิดวนเวียนซ้ำซากเพียงลำพัง.................เค้ามีเหตุผลอะไรของเค้ากันแน่ที่ทำแบบนี้............จะว่ามีคนใหม่............นัทก็ไม่น่าจะเป็นคนแบบนั้น...........อีกอย่างเค้าก็เพิ่งจะไปได้แค่เดือนเดียว จะไปเจอใครได้ไวขนาดนั้น...........ยิ่งถ้าจะไปคบกับผู้ชายยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะเค้ากลัวคนอื่นจะรู้ว่าเค้าเป็นเกย์ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด................
แม้จะเสียใจและน้อยใจอย่างเหลือประมาณ แต่ไม่มีน้ำตาสักหยดไหลออกมาพอให้ผมได้ผ่อนคลายความรู้สึกลง...........ตอนนี้สมองของผมปั่นป่วนไปหมด............คงเป็นกรรมที่ผมได้เคยทำกับเค้าเอาไว้ในชาติปางก่อน.........ตอนนี้คงถึงคราวที่เค้าจะมาเอาคืนบ้างกระมัง...........ผมเดินไปหยิบเบียร์ในตู้เย็นมาเปิดดื่มเพื่อดึงจังหวะความคิดให้ช้าลง...........ดื่มอีกสักหน่อยอาจจะทำให้หลับได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องคิดมากฟุ้งซ่านกับเรื่องรกสมองพวกนี้.............
ผมงัวเงี่ยตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่พร้อมกับเสียปลุกจากโทรศัพท์............คงเป็นนัทนั่นแหละ.........เค้ามักจะโทรมาง้อหลังจากที่ทำให้ผมเสียใจเสมอ.............
“ฮัลโหล...........เดี๋ยวมารับนัทสักเที่ยงนะ”...............ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกสำนึกผิดเจืออยู่ในน้ำเสียงของเค้า...........และผมก็รับคำด้วยความเคยชิน............เหมือนคนสิ้นแล้วซึ่งหัวใจ.............
เหลือบไปมองนาฬิกาที่วางบนหลังทีวีบอกเวลาแปดโมงเศษ............ผมลุกงัวเงียขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวอย่างอ่อนระโหย...........นึกแปลกใจเหลือเกินว่าทำไมตัวเองถึงอดทนได้มากขนาดนี้.........หากเป็นคนอื่นอย่าว่าแต่ตะคอกใส่เลย.............แค่เพียงไม่ถูกใจเล็กน้อยผมก็พร้อมที่จะจรลีไปอย่างไม่ใยดี............แต่ทำไมกับนัท ความคิดนี้มันไม่เคยแจ่มชัดในหัวสมองของผมเลย..........นอกจากจะแว๊บเข้ามาทักทายอย่างพร่าเลือนบ้างในบางทีเท่านั้น............
ผมพยายามแต่งตัวให้ดูดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อเค้า...........ขับรถออกไปโดยไม่ได้ฝากข่าวสารเอาไว้กับใครทางนี้............ในใจอยากจะเดินทางไปให้ถึงไวๆเพื่ออะไรก็ไม่อาจทราบ...........แต่อย่างน้อยๆก็อยากให้ถึงที่นั่นราวๆเที่ยง................
ระยะทางเชียงใหม่ถึงแพร่เป็นเส้นทางขึ้นเขา สลับกับที่ราบบ้างเพียงช่วงสั้นๆ.............บรรยากาศสองข้างทางเขียวชะอุ่มเพราะอยู่ในช่วงต้นฤดูฝน.............ผมแวะปั๊มข้างทางเพื่อเติมน้ำมันเมื่อผ่านตัวเมืองลำปางมาได้เพียงเล็กน้อย............รู้สึกหิวขึ้นมาตะหงิดๆจึงเดินเกร่เข้าไปหาอะไรดื่มตรงร้านกาแฟที่ถูกตกแต่งเอาไว้อย่างน่ารักใกล้ๆ.......
“ขับรถทะเบียนอุบล มาไกลเหมือนกันนะคะ”............แม่ค้าขายกาแฟทักทายเป็นภาษาเมืองอย่างคนมีอัธยาศัยดี............ผมยิ้มตอบก่อนจะรับกาแฟจากเธอมาวางไว้ที่โต๊ะเล็กๆด้านข้างเพื่อนั่งเปลี่ยนอิริยาบถ..........
“อ๋อ........ไม่หรอกครับ..........ผมเรียนอยู่ที่เชียงใหม่แค่นี้เอง..........ว่าจะไปแพร่นะครับ.........ว่าแต่ว่าอีกไกลมั้ยครับกว่าจะถึง”..............ผมเอ่ยถึงชื่ออำเภอที่นัทอยู่เป็นการหาเรื่องชวนคุยเพื่อตอบแทนอัธยาศัยอันดีของเธอ พลางควักบุหรี่จากกระเป๋าขึ้นมาสูบด้วยความเคยชิน............
“ไม่ไกลหรอกค่ะ...........ขับรถไปอีกไม่ถึงชั่วโมงก็คงถึง”.............หล่อนว่าพลางยกแก้วน้ำเปล่ามาเสริฟ............
“ไปหาเพื่อนเหรอคะ”..........คงเป็นคำถามชวนคุยเรื่อยเปื่อยแก้เบื่อธรรมดา..............แต่มันกลับชนเข้าที่ใจผมอย่างแรง...............
“ไม่ครับ..........ผมไปรับแฟน”.............ผมตอบเบาๆแล้วแกล้งหันมองออกไปที่นอกร้าน...........หวังว่าหล่อนคงไม่สามารถมองทะลุแว่นกันแดดเข้ามาถึงดวงตาที่ว่างเปล่าของผมได้หรอกนะ..........หาไม่ หล่อนคงคิดว่าแววตาของผมมันช่างสวนทางกันเหลือกันกับประโยคคำตอบที่เพิ่งบอกออกไปเมื่อครู่.........
นัททำงานในโรงพยาบาลชุมชนในอำเภอเล็กๆ.............ผมขับรถหลงและโทรถามทางนัทหลายรอบจึงมาถึงที่หอพักในโรงพยาบาลได้..............
นัทออกยืนรอรับอยู่แล้วที่ระเบียงด้วยสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน............เมื่อผมนำรถเข้ามาจอดเค้าก็ผลุบหายเข้าไปในห้อง ปล่อยให้ผมเดินตามขึ้นไปเองเพียงลำพัง.............ทำแบบนี้อีกตามเคยสินะ.........ผมแอบนึกในใจ............
สภาพห้องของนัทเป็นเหมือนแฟลตที่พักทั่วไปของพนักงานในโรงพยาบาล.......แต่ก็โอ่โถงพอดูสำหรับคนเพียงคนเดียว............มีห้องรับแขก...........ครัว ห้องน้ำ..........และห้องนอนเล็กๆสองห้อง..........
ผมเดินตามนัทเข้าไปถึงห้องนอนก็พบว่าเค้ากลับขึ้นมานอนบนเตียงต่อ..............ท่าทางเค้าเหมือนเด็กที่เพิ่งจะทำผิดและโดนจับได้แต่ไม่ยอมรับผิด.........ไม่พูดไม่จา...........ทำเป็นซึมกระทือไม่ยอมสู้หน้า............ผมยืนมองเค้าด้วยความรู้สึกหลากใจ...............ไม่รู้สิ............ผมรู้แค่ว่าผมอภัยให้เค้าได้เสมอ...........นึกถึงสิ่งที่เค้าทำกับผมแล้วก็ชวนให้น้อยเนื้อต่ำใจยิ่งนัก...............แต่ความรักและความคิดถึงของผมที่มีต่อเค้านั้นมากกว่า............
นัทนอนหันหลังให้ผมและแกล้งทำเป็นนอนหลับต่อ...........แต่ผมสัมผัสได้ถึงความทุกข์ใจที่เค้ากำลังแบกมันเอาไว้............ผมรู้ว่าเค้ารักผม...........ผมรู้ว่าเค้ากดดันกับการพยายามเป็นในสิ่งที่เค้าไม่ได้อยากจะเป็น...........ผมไม่อยากให้เค้าเลือกทางที่ถูกต้องสำหรับศาสนา...........แต่ไม่ถูกต้องสำหรับความรู้สึกของผมและเค้า...........มันน่าจะมีทางออกที่ดีกว่านี้.............แต่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร..............ทำมันเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับเราด้วย..............หรือนี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่ต้องการลงโทษมนุษย์ผู้เปื้อนด้วยบาปหนาเช่นเราสองคน.........
ผมเดินย่องเข้าไปที่เตียงของนัท แล้วก้าวเท้าขึ้นไปนอนกอดเค้าจากทางด้านหลังอย่างแผ่วเบา ผมรู้ว่าเค้าไม่ได้นอนหลับอย่างที่เค้ากำลังพยายามจะทำ............ผมอยากจะกอดเค้าเอาไว้แบบนี้นานๆก่อนที่ผมจะไม่มีโอกาสได้ทำมันอีกต่อไป............ไม่มีคำพูดใดๆออกจากปากของเราสองคน.............มีเพียงแค่ความเงียบงันที่ชวนให้น่าหดหู่ใจ.............ผมซบใบหน้าเกลือกกลิ้งอยู่บนแผ่นหลังของนัทอย่างเป็นทุกข์..............ความรันทดใจทั้งหลายที่เคยแบกรับเอาไว้ ประดังประเดเข้ามาจนเกินจะต้านเอาไว้ได้............ผมจึงร้องไห้ออกมาเงียบๆ...............ผมรักเค้าเหลือเกิน.............ทำไมชีวิตของเราต้องเป็นแบบนี้ด้วย...........ทำไม.............