[12]
“อร่อยใช่ไหมหละ” ผมยื่นหน้าถามพี่ป่าน หลังจากที่พี่ป่านชิมคุ้กกี้ของไอ้ไผ่แล้ว
“อื้ม” พี่ป่านได้แต่พยักหน้าและหันไปยิ้มให้ไอ้ไผ่
“ผมบอกแล้วว่าอร่อยจริงๆ เหมาหมดเลยแล้วกันนะพี่ป่าน เดี๋ยวผมเอาไปเก็บให้” ผมไม่รอให้พี่ป่านคัดค้าน รีบยกขนมเข้าไปเก็บที่เคาน์เตอร์ทันที เพราะท่าทางของพี่ป่านก็บอกว่าพอใจกับขนมของไอ้ไผ่อยู่ไม่ใช่น้อย
“พี่อยากได้แบบใหม่ๆ ไผ่อบมาทุกวันได้ไหมหละ” ผมเดินกลับมาทันที่พี่ป่านถามไอ้ไผ่พอดี
“ไอ้ไผ่ก็เหนื่อยแย่สิพี่ป่าน ไหนจะเรียน ไหนจะงานที่ร้าน แล้วพี่จะให้มันอบขนมทุกวันอีก ไม่ไหวหรอกพี่” ผมตอบปฏิเสธแทนไอ้ไผ่เพราะแค่นี้มันก็ทำงานจนเหนื่อยพอแล้ว
“อย่างนั้นหรอ โอเคงั้นก็ไม่เป็นไร” พี่ป่านยักไหล่ ว่าไม่เป็นไร ทำให้ผมรู้สึกดีที่ช่วยปฏิเสธให้ไอ้ไผ่ ไม่อย่างนั้นมันก็คงเกรงใจจนต้องยอมอบขนมทุกวันแน่ๆ
“ผมก็ว่าจะขอพี่ป่านอบทุกวันเหมือนกันครับ เพราะขนมที่อบใหม่กลิ่นมันจะหอมกว่าที่เราเก็บไว้นานๆ” ไอ้ไผ่ยื่นหน้ามาบอกกับพี่ป่าน ทำให้ผมต้องมองจ้องมัน
“แล้วเราจะทำไหวหรือ” พี่ป่านถามอย่างเป็นห่วง ไม่ได้คิดต่อว่ามันเลย ถ้ามันจะไม่ทำตามที่พี่ป่านหวังไว้
“ไหวสิครับ เรื่องแค่นี้ สบายมาก” ไอ้ไผ่ยืดอกบอกกับพี่ป่าน แถมยังรับปากอย่างหนักแน่น จนผมไม่กล้าค้านอะไร ได้แต่เก็บความไม่พอใจไว้
“ไหวแน่นะ” พี่ป่านยังถามเพื่อให้เกิดความแน่ใจ
“ชัวร์ครับ ยังไงก็มีตินคอยช่วยด้วย ใช่ไหมติน” มันหันมายิ้มให้ผม พร้อมกับเกาะแขนผมไว้ ถึงจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ต้องพยักหน้าตอบรับไป
“งั้นก็ตามนั้น ลูกค้าต้องชอบขนมของไผ่แน่นอน” พี่ป่านบอก ก่อนจะเดินแยกออกมา ส่วนผมก็ได้แต่นั่งมองไปทางอื่น ที่ไม่ต้องเห็นหน้าไอ้ไผ่......เราก็กลัวว่ามันจะเหนื่อย แต่มันเองที่เป็นคนเสนอตัวไปสร้างความลำบากให้ตัวเอง
“ใจร้อน!” อยู่ๆไอ้ไผ่ก็พูดขึ้นมา ทั้งที่ผมก็ไม่ได้โวยวายอะไรนี่นา มาว่าผมใจร้อนได้ยังไง ทำให้ผมต้องหันไปจ้องหน้ากับมัน
“ใจร้อนยังไงไม่ทราบ” ผมถามมันแบบเน้นคำ
“ก็ที่เป็นอยู่นี่ไง...ใจร้อน” มันว่าพร้อมกับเอานิ้วชี้มาจิ้มที่หน้าอกผม บริเวณที่ตรงกับหัวใจ แต่ทำไมอารมณ์โมโหมันเมื่อครู่ของผม กลับเปลี่ยนเป็นอาการใจเต้นแบบนี้หละ แปลกจัง
“เราไปโวยวายอะไรหละ” ผมเริ่มหาทางออก เพราะถ้าปล่อยไว้นานผมเองนี่หละที่จะพูดอะไรไม่ออก
“ไม่ได้โวยวาย แต่นายก็ไม่พอใจใช่ไหมหละ” ไอ้ไผ่มันจ้องหน้าผมนิ่ง ทำให้ผมเถียงมันไม่ออก ก็ผมโมโหจริงๆนี่นา
“แล้วใครทำให้โมโหหละ” ผมสบัดหน้าหลบตามัน เพราะตอนนี้ผมเหมือนคนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่รู้เพราะอะไรกัน
“ตินชอบกินขนมที่ทำใหม่หรือขนมเก่าๆ” มันถามในสิ่งที่เป็นใครก็น่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว ใครบ้างหละที่จะไม่ชอบขนมใหม่ๆ
“ขนมทำใหม่ๆสิ” ผมตอบมัน แต่ก็ยังไม่ได้หันไปมองหน้ามันอยู่ดี
“เห็นไหมหละ ตินยังชอบกินขนมที่ทำใหม่เลย แล้วทำไมถึงจะเอาขนมเก่ามาให้ลูกค้าพี่ป่านหละ” มันถามผมด้วยหน้านิ่งๆ ทำให้ผมเองก็หาคำพูดมาเถียงมันไม่ได้ ก็อย่างที่มันพูด ผมเองยังอยากกินขนมที่ทำใหม่ แล้วคนอื่นทำไมจะไม่ชอบแบบนั้นหละ
“แต่นายไม่เหนื่อยหรือไง” น้ำเสียงผมอ่อนลง ก่อนจะถามเพราะความเป็นห่วงไอ้ไผ่
“ไม่เหนื่อยหรอก เพราะเรารู้ว่าตินต้องช่วยเราอยู่แล้วหละจริงไหม” มันยิ้มพร้อมกับกอดแขนผม เหมือนเด็กที่อ้อนเอาของเล่น
“รู้ได้ไงว่าจะช่วย” ผมเอามือดันหัวไอ้ไผ่ออกจากแขนผม พร้อมกับพยายามกลั้นยิ้มไว้ ไม่อยากให้มันรู้ว่าผมหายโมโหมันแล้ว ทั้งที่ใจจริงเจอมันอ้อนแบบนี้ ก็ทำให้ผมอดที่จะอมยิ้มกับความสดใสของมันไม่ได้
“เพราะตินใจดีนะสิ” มันเอามือข้างหนึ่งมารวบมือผมที่ดันหัวมัน ก่อนจะกอดแขนผมเช่นเดิม
“งานของนาย นายก็ทำเอง ไม่ช่วยเด็ดขาด” ผมพูดจบก็ต้องรีบเดินเลี่ยงออกมา เพราะตอนนี้นอกจากอาการใจเต้นแรงแล้ว หน้าผมก็เริ่มรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาเช่นกัน อีกทั้งกลัวจะกลั้นยิ้มไว้ไม่ไหวกับท่าทางของไอ้ไผ่ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“พรุ่งนี้มีเรียนเช้า แล้วจะมีเวลาทำขนมตอนไหนหละ” ผมถามไอ้ไผ่ตอนที่ช่วยมันปิดประตูร้าน
“ก็ตอนนี้ไง กลับไปก็ทำไว้ก่อนเลย” มันตอบกลับมาเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“นายจะไปทำที่ไหนหละ” ผมแกล้งถามมันไป เพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นคอนโดผมแน่นอน เพราะเตาอบอยู่ที่นั่น
“ห้องนายไง หรือนายไม่สะดวก” หน้ามันดูเจื่อนลงเล็กน้อย ที่ผมถามมันไปแบบนั้น
“ใช่นะสิ” ผมเดินไปขึ้นรถ โดยทิ้งให้ไอ้ไผ่ยืนค้างอยู่ด้านหลังคนเดียว.....ผมไม่อยากเสียหน้านี่ครับ ผมแกล้งมันไปว่าจะไม่ช่วย แล้วจะมาช่วยมันง่ายๆได้ยังไง มันก็ต้องมีการแกล้งกันเล็กน้อยก่อนสิ 555
ผมนั่งรออยู่ที่รถอยู่นานพอสมควร แต่ก็ไม่มีวี่แววที่ไอ้ไผ่มันจะตามผมมา ทำให้ผมเริ่มคิดว่าผมแกล้งมันแรงเกินไปหรือเปล่า คิดได้แบบนั้นทำให้ผมรีบลงจากรถแล้วเดินกลับไปหาไอ้ไผ่ที่หน้าร้านอีกครั้ง
แต่เมื่อผมไปถึงก็ไม่เจอไอ้ไผ่อยู่ที่หน้าประตูนั้น ทำให้ผมยิ่งกังวลเข้าไปใหญ่ ยิ่งว่าตัวเองที่ไม่น่าไปแกล้งมันเลย ทั้งที่ก็รู้ว่ามันเป็นคนคิดมาก ผมเริ่มออกตามหาไอ้ไผ่รอบๆบริเวณร้านเพราะคิดว่าป่านนี้มันคงเสียใจอยู่ลำพังแน่ๆ ผมวิ่งหาอยู่นานแต่ก็ไม่เจอไอ้ไผ่เลย จนเมื่อผมไม่รู้จะทำยังไงต่อ สายตาผมก็หันไปเห็นตู้โทรศัพท์สาธารณะ ที่ภายในนั้นมีคนที่ผมตามหาตัวอยู่
“ทำไมไม่ตามไปขึ้นรถ” ผมถามไอ้ไผ่ ระหว่างที่มันกำลังจะหยอดเหรียญในมือลงเครื่องโทรศัพท์นั้น
“นายกลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวเราต้องหาเตาอบให้ได้ก่อนนะ” มันหันมายิ้มให้ผม ไม่ได้มีท่าทางแสดงว่าไม่พอใจผมเลยแม้แต่น้อยที่ผมไม่ให้มันไปใช้เตาอบที่คอนโด
“แล้วนายจะหาจากไหน” ผมลองถามมันอีกครั้ง ทั้งที่ตอนนี้ความรู้สึกผิดของผมมันดันขึ้นมาแน่นทั้งหน้าอกผมแล้ว
“ว่าจะลองโทรหาคนรู้จัก เผื่อจะมีใครมีเตาอบบ้างนะ ไม่เป็นไรหรอก นายกลับไปก่อนเถอะ แค่นี้เราหาได้อยู่แล้ว” แม้หน้าของไอ้ไผ่จะยิ้มตอบผมมา แต่แววตาของมันก็มีความกังวลอยู่ในนั้น เพราะมันเองก็คงรู้อยู่แล้วว่าการจะหาเตาอบจากคนรู้จักมันยากขนาดไหน หรือพูดง่ายๆคือมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าคนรู้จักไม่ได้เปิดร้านขายขนม
“ไม่ต้องโทรหรอก....เราขอโทษ กลับไปทำขนมกันนะ เดี๋ยวเราเป็นลูกมือให้ จะได้เสร็จเร็วๆ” ผมจับมือไอ้ไผ่พร้อมกับออกแรงเล็กน้อยที่จะดึงมันออกมาจากตู้โทรศัพท์ น้ำเสียงของผมมันแผ่วเบาเพราะความรู้สึกผิดมันค้ำอยู่
“ไม่เป็นไรจริงๆติน ถ้านายไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร เราเข้าใจนายนะ” ไอ้ไผ่ยื้อตัวไว้ พร้อมกับบอกผม เพราะมันคงคิดว่าผมไม่สะดวกจริงๆ นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดหนักเข้าไปอีก
“เราสะดวกสำหรับนายเสมอ เพราะงั้นเรากลับไปทำขนมกันนะ” ผมออกแรงดึงอีกครั้ง พร้อมกันส่งยิ้มที่พยายามฝืนยิ้มให้ดูสดชื่นที่สุด
“นายหิวไหมติน” อยู่ๆไอ้ไผ่ก็ยิ้มให้ผม แล้วถามในประเด็นอื่นที่ไม่เกี่ยวกับก่อนหน้านี้เลย
“นิดหน่อย แล้วนายหละ” ผมถามย้อนกลับไปที่ไอ้ไผ่ ทั้งที่ยังไม่เข้าใจว่ามันถามเพราะอะไร
“งั้นระหว่างรออบคุ้กกี้ เดี๋ยวเราทำกับข้าวให้นายกินเอง ดีไหม” ตอนนี้มือของไอ้ไผ่ผสานเข้ากับมือผมที่กุมมือมันไว้ก่อนหน้านี้ พร้อมกับเมื่อผมเดินนำออกมามันก็เดินตามผมออกมาด้วย โดยที่มือของผมและมันยังคงผสานกันไว้แน่น รวมไปถึงรอยยิ้มของทั้งผมและไอ้ไผ่ที่ส่งให้กันเสมอเมื่อหันมามองหน้ากัน......ทำไมนะ ผมอยากให้รถผมจอดไกลกว่านี้จริงๆเลย..........
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หายไปหลายวันต้องขอโทษนะครับ

มาต่อให้แล้ว ฝากดูแลทิวไผ่ด้วยนะครับ