กลายเป็นว่าวันเสาร์ นั้นเป็นวันที่วุ่นวายที่สุดเท่าที่เส็งเคยเห็นตลอดเวลาที่อยู่เรือนนี้มา บรรดาบ่าวไพร่วิ่งวนทำขนม ขต้มกันวุ่นวายไปหมด คุณหลวงเองก็มาคุมอยู่ที่เรือนบ่าวคอยดูว่าเอาอะไรไม่เอาอะไร อะไรเหลืออะไรขาดได้จัดการถูก
ที่ใต้ถุนเรือนบ่าว บ่าวไพร่แยกกันเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งทำขนมกง ตำแป้งกันแล้วเอามานวด ลงทอดน้ำมันเสียงดังฉ่าไปหมด ออกมาเป็นกงสวย มะลิและชิดคอยเป็นแม่งาน หยิบฟืนเข้า เอาฟืนออก ให้ไฟร้อนแต่พอดี ไม่ให้ไหม้เกรียมเกินไปจนดูไม่สวย แต่ก็ไม่ใช่ว่าไฟอ่อนเสียจนแป้งไม่สุก อีกส่วนของโรงครัวมีแก้วและยายนอมคอยนวดแป้งทำข้าวเม่า ใส่น้ำตาล ใส่มะพร้าวที่มีบ่าวไพร่คอยขูดอยู่นวดเข้าเป็นห่อใส่กล้วยไข่ที่ต้องมีคนคอยช่วยปอกเปลือกส่งให้ นางแก้วทำหน้าที่ปั้นให้สวยเพียงอย่างเดียว แล้วส่งให้ยายนอมลงทอดในกระทะเพราะ
“กวนแป้งเดี๋ยวมือเลอะ” แต่ไม่ขูดมะพร้าวเพราะ “มือข้าได้ลอกหมด มือหยาบๆอย่างพวกเอ็งก็ขูดไปซี” แล้วก็ไม่ยอมทอดเพราะว่ากลัว “น้ำมันกระเด็นเดี๋ยวเสียโฉมหมด”
ในโรงครัวทำขนมกันไป ตรงแคร่ข้างเรือนบ่าว ทางปากทางสวน หลวงพินิจนั่งอยู่กับเส็ง บ่าวหนุ่มน้อยและบรรดาบ่าวสาวอีกสองสามคนที่เส็งเป็นคนฝึก นั่งแกะมะละกอเป็นลายราชสีห์ กินรี คนธรรพ์ อย่างลายตามวัดตามโบสถ์ที่เส็งเคยอยู่มา
“ไม่ต้องสวยมากนะเส็ง” หลวงพินิจกระซิบข้าหูบ่าวหนุ่มเบาๆ ตอนที่บ่าวไพร่ไม่เห็นกัน “เดี๋ยวใครแถวนี้จะอิจฉาอีก”
เส็งหัวเราะเบาๆแต่ก็ไม่เสียสมาธิ นั่งแกะมะละกอต่อไป
บรรดาบ่าวผู้ชายยกกระจาดใส่ผลไม้ในสวนมา หลวงพินิจก็เลือก เอามะม่วง มะไฟ เผือก มันเท่าที่มี แล้วก็หันมาปรึกษาเส็งว่าลูกไหนสวย ลูกไหนไม่สวย ลูกไหนใหญ่เล็กอย่างไร บ่าวหนุ่มก็ตอบไปเท่าที่รู้ สุดท้ายหลวงพินิจก็ให้บ่าวไปหา อ้อย หาแตงโม ส้มโอมาเพิ่ม
“เอ แล้วนี่มีใครซื้อเครื่องบริขารหรือยัง”
“บ่าวซื้อมาแล้วขอรับ” มั่นว่า ตอบ
“บ่าวเอาไว้ที่ท่าน้ำแล้วขอรับ มีเด็กนั่งเฝ้าไว้อยู่อะไรที่ทำเสร็จแล้วบ่าวให้ทยอยไปไว้ที่โน่นให้หมดแล้วขอรับ” เส็งช่วยเสริม หลวงพินิจก็พยักหน้าพอใจ บอกขอบใจที่ช่วยแบ่งเบาภาระ
“แล้วผ้าไตรเล่า มีใครเตรียมผ้าไตรหรือยัง”
“ตาย ยังขอรับ” เส็งว่า “บ่าวลืมไป ขอโทษขอรับคุณหลวง”
“ไม่เป็นไรดอกของมันลืมกันได้ ดีที่นึกได้แต่เนิ่นๆ มั่นให้ตามีไปหามาซีว่าที่ไหนมีผ้า มาทำผ้าไตรบ้าง” วุ่นวายกันไปจนเย็นมากแล้วก็เหมือนงานใกล้จะเสร็จทุกฝ่าย หลวงพินิจราชอักษรก็ขึ้นเรือนไปอาบน้ำ เรียกเส็งกลบเกลื่อนว่า
“มาเตรียมเสื้อเตรียมผ้าให้ที”
หลวงพินิจเข้าอาบน้ำพร้อมเส็ง ใต้สายน้ำที่พรมลงมาเย็นสดชื่น ลูบไล้เนื้อตัวจนสะอาดก็ออกมาเช็ดตัวให้บ่าวหนุ่ม ประแป้งให้แล้วก็ผลัดกันแต่งตัวให้อีกฝ่าย เส็งสวมเสื้อป่านของคุณหลวงได้เกือบพอดี แม้ใหญ่ไปสักหน่อยแต่ก็ดูไม่น่าเกลียด
“วันนี้เส็งน่ารัก”คุณหลวงเดินเข้ามาใกล้คล้ายจะโน้มตัวลงมาจูบ บ่าวหนุ่มทุบอกหลวงพินิจเบาๆ
“วันพระนะขอรับ”
“อีกแล้ว วันพระแล้วจะชมไม่ได้หรือ”
“ได้นะมันได้ขอรับ แต่ไม่เห็นต้องเข้ามาใกล้ขนาดนี้ด้วยนี่ขอรับ มันไม่งาม” เส็งพยายามผลักหลวงพินิจออก แต่อีกฝ่ายก็ยังเดินเบียดเข้ามา
“ทำไมล่ะวันนี้ยังไม่ได้กอดเส็งเลย” เขาว่า
“กอดนะขอรับ” บ่าวหนุ่มหน้าแดงปล่อยให้คนรักกอดด้วยความรักใคร่ ไม่กอดตอบเพราะเคร่งครัดอย่างมากเรื่องวันพระ
“จะเคร่งอะไรหนักหนา ไม่ใช่พระเสียหน่อยกอดแค่นี้เอง” หลวงพินิจไม่ยอมปล่อย “กอดแล้วจูบได้หรือเปล่า”
“คุณหลวงขอรับ!” เส็งโวย แล้วก็ผลักคุณหลวงออกไปได้ในที่สุด
“เส็ง เจ็บนะ” เขาแกล้ง แต่ซ่อนสีหน้าอมยิ้มไว้ไม่มิดเส็งจึงจับได้ว่าเพียงแกล้งเท่านั้น จึงไม่ได้เข้าไปดูว่าเจ็บจริงหรือเปล่า “เสื้อยับแล้วเส็ง”
เส็งเห็นอย่างนั้นก็ถอนใจเดินเข้ามาช่วยจัดเสื้อของคุณหลวง เจ้าของเสื้อยิ้มอย่างมีความสุขก่อนจะก้มลงหอมแก้มบ่าวหนุ่ม
“คุณหลวงละก็” เส็งผละออก “แกล้งบ่าวอีกแล้ว จะไม่เข้าใกล้แล้วนะขอรับหากยังแกล้งอยู่อีกอย่างนี้”
“โถ่ ก็เรารักของเรานี่จ๊ะ” หลวงพินิจว่า นั่งลงบนเตียงก่อนจะตบที่ข้างๆให้เส็งเดินมานั่ง แต่พอบ่าวหนุ่มจะนั่ง ชายหนุ่มกลับเลื่อนตัวมา รั้งเส็งเข้าไปนั่งตัก
“คุณหลวงขอรับ ปล่อยขอรับ ทำอย่างนี้ไม่ได้ วันพระนะขอรับ”
“ทำอะไรเล่า... ให้นั่งตักเฉยๆนี่นา” เขาว่า
เส็งไม่พูดอะไรแต่ก้มหน้าพึมพำทำนองว่า ก็ของคุณหลวงมันโดน เบาๆแต่ก็ไม่ได้มีทีท่าจะลุกออกไป หรือขัดขืนแต่อย่างใด
“วันนี้มีความสุข เหนื่อยแต่มีความสุข”
“เพราะอะไรล่ะขอรับ” เส็งถามเบา ขืนตัวไม่ยอมแนบชิดกับหลวงพินิจ พยายามเบี่ยงก้นมานั่งที่ต้นขาสักข้างหนึ่ง
“ก็วันนี้แม่หยาดจะบอกเจ้าคุณไพศาลนะซีว่า จะไม่แต่งกับเรา” หลวงพินิจยิ้มออกมาอย่างดีใจ “เจ้าคุณก็ต้องยอมเพราะเป็นวันดี เราได้ไม่ต้องแต่งงาน แล้วก็อยู่กับเส็งด้วยกันอย่างนี้สองคนตลอดไป”
หลวงพินิจว่า เขาเคยเล่าให้เส็งฟังถึงความเป็นมาแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับหยาดในวันที่หยาดมาบ้าน ถ้ามีอะไรที่ไม่ได้เล่าก็เรื่องที่หัวหินเท่านั้น เส็งได้ยินก็อดมีความสุขไม่ได้ เอนหลังลงมาแนบกับร่างของหลวงพินิจ ไม่สนอีกแล้วว่าอะไรมันจะสัมผัสโดนอะไร ปล่อยให้หลวงพินิจกอดเขาไว้อยู่ในท่านั้น คุยกันเบาๆอีกสองสามประโยคแล้วก็ลุกออกไป นั่งเรือไปที่วัดทันที
พอหลวงพินิจราชอักษรไปถึงศาลา พระท่านก็เทศน์จบกัณฑ์มหาพนพอดี บ่าวไพร่ช่วยกันยกเครื่องกัณฑ์ ทั้งขนม ผลไม้มาไว้ ส่วนพานหมากประจำกัณฑ์ก็ยกเข้ามาพร้อมพานผ้าไตร พานหมากอยู่หน้า พานผ้าไตรอยู่หลัง ปูเสื่อเบาะหมอนนั่งพอจุดธูปเทียนบูชาเสร็จแล้ว เจ้าคุณ และคุณหญิงไพรัชกิจจาก็มาถึงกันพอดี พร้อมด้วยเทิดและพ่อของเขา คุณหลวงหนุ่มสบตาเทิด ก็เห็นอีกฝ่ายหลบตาไป จึงตีความได้ว่าเทิดคงยังกระดากอยู่ไม่หายเรื่องที่หัวหิน ก็ไม่ได้พูดไม่ได้ทักอะไร
เส็งนั่งอยู่ข้างหลวงพินิจ ก็รู้สึกอุ่นใจได้มาฟังเทศน์ฟังธรรมทำบุญร่วมกันอย่างนี้ก็รู้สึกดี อุ่นใจหนักหนาว่า ชาติหน้าได้เกิดมาพบกันอีก พระท่านให้ศีลแล้วก็ว่าจุลณียบท เทศน์กัณฑ์กุมารไป
เนื้อหาของกัณฑ์นี้กล่าวเตือนสติให้ญาติ โยมที่มาฟังรู้ถึงความรับผิดชอบของตน อย่างพระกัณหา พระชาลี ที่แม้จะเกลียดจะกลัวชูชกอย่างไรก็ต้องยอมให้พระเวสสันดรยกให้เขาไปเป็นทาส เพื่อรับผิดชอบในหน้าที่ ที่ต้องเป็นส่วนหนึ่งในการบำเพ็ญปุตรทานของพระเวสสันดร เพื่อให้พ่อได้บำเพ็ญกุศลแล้วตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไปในอีกไม่กี่ชาติภพ ตอนที่พระเวสสันดรกล่าวให้โอวาทลูกที่ลงไปซ่อนตัวอยู่ในสระน้ำเกี่ยวกับ สำเภาโลกีย และโลกุตรที่เรียกกันว่าแหล่สำเภาทองนั้น ก็เท่ากับสอนให้คนที่มาฟังเทศน์ ยึดมั่นอยู่ในคุณความดี ไม่หวั่นไหวต่ออุปกิเลสที่มาขัดขวางไม่ให้ไปถึงนิพพานเหมือนกับสำเภาโลกุตรที่มั่นคงมุ่งสู่จุดหมายแม้ต้องฝ่าฟันพายุสักเพียงใดก็ตาม
ตอนที่พระกัณหา พระชาลีขึ้นจากสระแล้วตรงเข้ากอดพ่อร้องไห้นั้นเส็งถึงกับต้องน้ำตาไหลด้วยความที่ซึ้งในความรักที่พ่อมีต่อลูกขนาดนี้ โดยเฉพาะตอนบรรยายว่า น้ำตาพระเวสสันดรหยดลงหลังลูก และน้ำตาของลูกหยดลงเบื้องเท้าของพ่อแล้ว เส็งก็พาลคิดถึงเตี่ยเขาไม่ได้
เส็งเหลือบไปมองคุณหลวงก็เห็นว่าฝ่ายนั้นก็มองเขาอยู่เช่นกัน สายตาที่แสนจะอบอุ่นจับต้องอยู่ที่เขา คงรู้ว่าบ่าวหนุ่มน้อยร้องไห้กระมังจึงคอยจ้องให้เส็งเหลือบมา พอเส็งเหลือบไปเห็นปุ๊บ คุณหลวงก็ส่งยิ้มมาให้ ยิ้มที่ให้กำลังใจเส็งทุกครั้งที่เขาทุกข์ใจ
พระท่านเทศน์ไม่จบกัณฑ์ดี แม่หยาดก็มา แต่งตัวมาเต็มยศ พร้อมด้วยเจ้าคุณพ่อ และคุณหญิงแม่ หล่อนเดินตามหลังทั้งคู่มา มีบ่าวไพร่คอยถือเครื่องกัณฑ์มาอยู่ข้างๆ ทั้งหลวงพินิจ ทั้งเส็งเห็นเหมือนกันคือ หยาดดูไม่สบาย หล่อนยกมือปิดปากไว้ตลอดเวลา คอยออกห่างจากบรรดาอาหาร เครื่องกัณฑ์ต่างๆ อย่างขยะแขยงรังเกียจ หลวงพินิจถึงกับตกใจ เพราะ อาการอย่างนี้มัน....
จิตใจของหลวงพินิจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกต่อไป เขาไม่ได้ฟังอีกว่าพระท่านเทศน์ว่าอย่างไรบ้าง รู้แต่ว่าเมื่อจบกัณฑ์เขาก็ตรงเข้าไปถวายเครื่องกัณฑ์มีเส็งและเทิดคอยช่วยอยู่ใกล้ๆ พอถวายเสร็จ ปี่พาทย์ก็บรรเลงไป จากนั้นบ้านพาศาลเสนีย์ก็เข้ามาในศาลา จุดธูปเทียนเตรียมฟังเทศน์ พระท่านต่อมาก็ขึ้นธรรมมาสน์ ให้ศีลแล้วกล่าวจุลณียบทเทศน์กัณฑ์มัทรี
ผู้ฟังกัณฑ์มัทรีส่วนมากจะสะเทือนใจตอนที่นางมัทรีวิ่งหาลูก และร้องไห้จนสลบเมื่อพบว่าลูกได้ถูกให้เป็นทานไปแล้ว แต่ที่แม่หยาดสะเทือนใจถึงขั้นร้องไห้ คือตอนที่พระเวสสันดร ต่อว่านางมัทรีที่หายตัวไปทั้งวัน ทั้งๆที่พระเวสสันดรไม่ได้โกรธแต่ต้องทำเพื่อเบี่ยงประเด็นไม่ให้นางสนใจเรื่องลูก นางมัทรีเสียใจที่ต้องโดนคนที่รักด่าว่าให้เสียน้ำใจยิ่งนัก
หยาดคิดถึงตัวเองและคุณหลวงจนอดกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้
เทศน์เสร็จแล้ว จะถวายเครื่องกัณฑ์ หยาดก็ถวายได้เพียงพานหมาก และผ้าไตร พอถึงขนม ผลไม้หล่อนก็ขอตัวออกมาจากศาลา บอกว่าไม่ใคร่สบายนัก ไม่มีใครสงสัยอะไรมีเพียงหลวงพินิจเท่านั้นที่ไม่สบายใจเสียเลย
เสร็จทุกอย่างแล้วบ้านไพรัชกิจ และบ้านไพศาลเสนีย์ก็ออกมาจากศาลามาพบกันใกล้ๆนั้นเอง คุณหญิงทั้งสองพูดคุยกันสัพเพเหระ ส่วนเจ้าคุณก็แลกเปลี่ยนความคิดเรื่องบ้านเมืองกันอย่างทุกครั้ง มีเพียงหลวงพินิจและหยาดที่ต่างคนต่างเงียบไม่ดุยอะไรกัน
นั่งคุยไปสักพักก็มีคนของวัด เดินเอาอาหารมือค่ำมาเลี้ยง เป็นข้าวต้มหอมกรุ่น ต่างคนต่างก็รับมาถ้วยหนึ่ง หลวงพินิจหยิบมาส่งให้เส็งกลัวบ่าวหนุ่มน้อยจะไม่กล้าหยิบเอง ก็บังเอิญได้ยินเสียงคุณหญิงไพศาลพูดขึ้นเสียงแหลม
“เอ แม่หยาดเป็นอะไร ทำหน้ากระอักกระอ่วน เขาอุตส่าห์ทำมาให้กินก็รับไปซี จะเสียมารยาทเปล่าๆ”
หลวงพินิจราชอักษรเห็นหญิงสาวทำท่าคล้ายจะอาเจียนก็เกิดกลัวอะไรขึ้นในใจ หยาดทำท่าเช่นนี้อยู่แล้วก็พูดขอตัว ว่า เหม็นหมูเหลือเกินไม่อาจทนกลิ่นได้วิ่งออกไปจากตรงนั้น หลวงพินิจก็วิ่งตามไป เจ้าคุณและคุณหญิงทั้งสองบ้านมองหน้ากันอย่างฉงนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ไม่เข้าใจท่าทีของลูกของตน ตอนนั้นเองที่ความกลัวก่อขึ้นในใจเส็งมากเหลือเกิน บ่าวหนุ่มน้อยหันมองไปตามทางที่คุณหยาดวิ่งไป ก็เห็นเทิดชะเง้อมองอย่างอยากรู้เช่นกัน
เส็งไม่รู้หรอกว่า เกิดอะไรขึ้นกว่าจะรู้ก็คืนนั้นแหละ หลังจากที่กลับบ้านและเข้านอนกับหลวงพินิจแล้ว
คุณหลวงหนุ่มตามไปเห็นหยาดยืนอยู่ในที่หลับตาคน กำลังโก่งคอจะอาเจียนอดสงสารไม่ได้ก็เดินเข้ามาช่วยลูบหลัง ไม่ถามอะไรทั้งสิ้นเพราะรูปการณ์มันฟ้อง กระนั้นแม่หยาดก็อุตส่าห์เงยหน้าขึ้นบอกชายหนุ่มทั้งที่ฝ่ายผู้ฟังไม่ได้ถาม และไม่ได้อยากรู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย
“ดีฉันแพ้ท้องมา สองสาม วันแล้วเจ้าค่ะคุณหลวง!”
********************************************************************************************************
ปล. แก้คำครับผิด ผมพิมพ์ผิดไปเองขอน้อมรับความผิดไว้เต็มๆครับ ตรวจแล้วก็ยังพลาดอยู่ ดี
ตอนที่อยู่หัวหินหยาดบอกว่า "อีกสองเดือน..." จะแต่งนะครับไม่ใช่สองสัปดาห์
พอกลับมาจากหัวหิน คุณหลวงได้กับเส็งแล้ว เดือนกว่าๆ ต่อมาหยาดก็มาหาที่เรือนเทา หลวงพินิจบอกว่า "ถ้าจะมาย้ำว่าอีกสองสัปดาห์จะแต่ง..." เท่ากับว่า
อยู่หัวหิน เหลือ 2 เดือน
กลับมาอยู่บ้านเวลาผ่านไป เดือนกว่าๆ
ก็เลยเหลือ 2 อาทิตย์นะครับผม
คอนเฟิร์มว่า หยาดท้องจริงๆครับ
ขอโทษคร้าบบบ ฮืออออ