ไปต่อกันเลยคร้าบบบ
*********************************************************************************
๑๖
พาทิศหลับตา ปล่อยจิตเข้าสู่สมาธิ
ฉับพลันเขาก็เห็นป้าจิตรานอนอยู่บนเตียงคนไข้ข้อมือพันผ้าไว้ ดูอ่อนแอเหมือนจะตายเสียแล้วตรงนั้น หล่อนมองออกนอกหน้าต่างอย่างทอดอาลัย กระทั่ง ใครคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา
“จิตรา ผมได้ข่าวว่าคุณเป็นอะไรเสียมากก็เลยเข้ามาหาคุณ”
ป้าจิตรานอนหันหลังไม่ยอมพูดอะไรกับชายหนุ่ม พาทิศสังเกตเห็นว่าแม้เขาจะไม่หล่อ ไม่ดูหล่อเหลาอย่างที่เป็นที่นิยมของหญิงสาว หากแต่เขาก็ดูดีงามสง่าในแบบของเขา ร่างกายสูงโปร่งแต่ไม่บึกบึนสมชายนัก สวมแว่นตาหนาเตอะอย่างที่จิตราเคยว่า เพราะเขาเป็นผู้หลงใหลในวรรณคดีวันๆอ่านอยู่แต่วรรณคดีเรื่องแล้วเรื่องเล่า ผมเผ้ายาว แต่เสยไว้ดูยุ่งเหยิงแบบคนไม่ดูแลตัวเอง กระนั้นการแต่งตัว และบุคลิกก็ทำให้พอดูออกว่าเป็นผู้ดีมีตระกูลอยู่เหมือนกัน
“คุณจะไม่คุยกับผมหน่อยหรือ อย่างน้อยเราก็เคยเป็นคู่หมั้นกัน”
“ดิฉันไม่เคยเห็นคุณเป็นคู่หมั้นค่ะคุณผ่านฟ้า” เสียงของจิตราแหบพร่า เป็นผลจากการกรีดร้อง ตวาดโวยวายอย่างไร้สติ ทำให้หล่อนดูน่ากลัวเสียเหลือเกิน “กลับไปเถอะค่ะ”
“ผมมาเยี่ยม แต่หากคุณต้องการอย่างนั้นละก็ตามใจ” เขาวางกระเช้าของขวัญลงบนโต๊ะข้างเตียง “ผมมาบอกคุณว่า ผมจะไม่แต่งงานกับใครอีกทั้งนั้นหลังจากถอนหมั้นคุณแล้วผมตั้งใจอยู่ที่เรือนเทาของหลวงพินิจราชอักษรไปตลอด รอจนกว่าคุณจะยอมไปอยู่กับผมที่นั่น”
คำว่าเรือนเทาทำให้จิตราพลิกตัวกลับมามองผ่านฟ้าเต็มตา คำคำนี้ดึงดูดความสนใจของจิตราได้มากพอๆ กับพาทิศหล่อนพูดด้วยเสียงแหบพร่านั้นอีกครั้งอย่างชัดถ้อยชัดคำดีทุกคำ
“ดิฉันไม่มีวันไปที่นั่นอีก และแนะนำให้คุณออกมาจากที่นั่นเสีย”
“คุณยังปักใจเชื่อของคุณอย่างนั้นหรือ”
“ดิฉันบอกคุณแล้ว หากคุณไม่เชื่อ ดิฉันจะไปบังคับให้เชื่อได้หรือคะ อย่างไรดิฉันก็ยืนยันคำเดิมค่ะ”
“เรื่องที่เขาลือกันบางครั้งมันก็อาจจะไม่จริงก็ได้” ผ่านฟ้าว่าเสียงเรียบๆ “ผมไม่เชื่อเรื่องวิญญาณ และไม่เชื่อว่าหลวงพินิจราชอักษรยังคงอยู่ที่บ้านหลังนั้น”
จิตราหลับตา ถอนใจแบบรำคาญเต็มแก่
“ดิฉันบอกคุณแล้วหลายครั้งค่ะ แล้วก็จะย้ำครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายว่า สิ่ง ที่อยู่ที่บ้านหลังนั้นไม่ใช่วิญญาณ...”
“...แต่เป็นจิตของผู้ตาย เป็นความทรงจำที่ฝังอยู่ที่นั่นไม่ยอมเสื่อมไปตามกาลเวลา” ฝ่ายฟ้าต่อประโยคจนจบ “ผมจำได้แม่นกว่าบทอาขยานเสียแล้วจิตรา แต่คุณจะเรียกมันว่าอย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่เชื่อ และไม่คิดว่าคนอื่นจะเชื่อด้วย โลกเราเปลี่ยนไปมากแล้วความเชื่อพวกนี้ควรจะหมดไปตั้งนานแล้วครับ”
จิตราไม่ตอบโต้ ได้แต่ลืมตามองเพดาน
“ผมจะทุบเรือนบ่าวที่ปล่อยร้างไว้นานเหลือเกิน แล้วจะสร้างโรงแรมบนพื้นที่นั้น สร้างคร่อมสระบัวของเดิม เปลี่ยนแปลงเป็นสระอโนดาต”
“อย่าค่ะ ดิฉันขอห้าม” หล่อนตะเบ็งเสียสุดเสียงเท่าที่เสียงของหล่อนจะอนุญาต “คุณไม่ควรเปลี่ยนแปลงอะไรในบ้านหลังนั้น เจ้าของบ้านเขายังอยู่”
ผ่านฟ้าไม่ฟัง เขายังพูดต่อไป
“อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย พูดเรื่องเราเถอะ ...คุณจะไม่เปลี่ยนใจจริงๆหรือ” ผ่านฟ้าเดินเข้ามา กุมมือของจิตราไว้ แต่หญิงสาวดึงมันออกช้าๆ ก่อนจะเอ่ยว่า
“ดิฉันไม่เคยรักคุณ ไม่รัก และจะไม่มีวันรักด้วย” หล่อนว่าเสียงสั่นเครือ “และดิฉันก็จะไม่มีวันแต่งงานกับใครอีกค่ะ ถ้าหากคุณบอกว่ารักดิฉันจริง ดิฉันจะต้องขอร้องว่า ออกจากบ้านหลังนั้นเสียเถิดค่ะ”
“ผมไม่เข้าใจ คุณมีเหตุผลอะไร ผมไม่โดนหักคอตายหรอก”
“บ้านหลังนี้มีเจ้าของ และเจ้าของเขายังไม่ไปไหน คุณเข้าไปอยู่อย่างนี้ถือว่ารบกวนเขา บุกรุกไปอยู่ในที่ของเขาที่คุณไม่ควรอยู่” หล่อนว่าเสียงเข้มเท่าที่เสียงแหบๆของเธอจะทำได้
“ผมเป็นทายาทของหลวงพินิจราชอักษร...”
“คุณไม่ใช่ทายาทของหลวงพินิจราชอักษรค่ะ” จิตราเถียงในทันที
“จิตรา” ผ่านฟ้าขึ้นเสียงเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจคุณ นามสกุลผมคือไพรัชกิจจาพันธุ์ และนั่นเป็นราชทินนามของเจ้าคุณพ่อของ หลวงพินิจราชอักษรสาแหรกตระกูลก็มีอยู่ เหตุใดคุณถึงบอกว่าไม่ใช่”
“ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ค่ะ คนที่เขาจะต้องมารับรู้เรื่องนี้ยังไม่มาเกิด หากมาเกิดแล้ว ความจริงทั้งหมดคงกระจ่าง”
ผ่านฟ้าคิดว่าจิตราคงเสียสติไปแล้ว เขาถอยห่างออกมาจากเตียงคนไข้
“คุณผ่านฟ้าดิฉันขอคุณจริงๆ คนที่เฝ้าบ้านหลังนั้นยังอยู่ เจ้าของบ้านเขายังไม่ยอมทิ้งบ้าน คนที่อยู่บ้านนั้นมา ไม่มีใครตายอย่างเป็นธรรมชาติสักคนหากไม่ตายด้วยอุบัติเหตุ ก็เป็นโรคร้าย หรือไม่จริงคะ”
พ่อของผ่านฟ้าตายด้วยโรคมะเร็งในสมอง ทั้งที่ไม่เคยมีอาการมาก่อน ปู่ของเขาประสบอุบัติเหตุจมน้ำตาย ก่อนหน้านั้นเขาไม่รู้ แต่ก็ว่ากันในครอบครัวเขาว่า ไม่ตายดี อย่างที่จิตราว่าจริงๆ
“เพราะพวกคุณไม่ใช่เจ้าของบ้าน เขารัก เขาหวงบ้านของเขามาก คุณเองก็จะเป็นรายต่อไป”
“จิตรา หลับเถิดนะคุณเพลียมากแล้ว คุณ... คุณคงป่วยมาก หลับเถิด ผมกลับก่อนก็แล้วกันครับ”
“คุณไม่เชื่อดิฉันหรอกค่ะ ดิฉันเข้าใจดี” จิตราหลับตาสนิท “ไปเถิดค่ะ ดิฉันเตือนคุณได้เท่านี้ ความไม่รู้บังตาคุณอยู่ ปัญญาคุณยังไม่เปิดรับ...”
ผ่านฟ้ารีบเดินออกไปทันทีทั้งที่จิตรายังพูดไม่จบ เขากลัว เพราะผู้หญิงคนนี้มีสองร่าง ร่างหนึ่งเปรี้ยว ก๋ากั่นไม่ยอมสยบให้โลก ไม่กลัวใครทั้งสิ้น ร่างนั้นคือร่างที่หนีตามผู้ชายไปจนท้อง ส่วนอีกร่างหนึ่งคือเหมือนร่างคนทรงคือพูดจาเลื่อนลอยไปปกติ หลายครั้งร้องไห้ หรือผวาตกใจไปเองราวกับมีสัมผัสที่หก หากแต่ผ่านฟ้าไม่เชื่อในสัมผัสที่หก เขาจึงคิดเสมอว่าจิตราเป็นผู้ป่วยทางจิตคนหนึ่งเท่านั้น ถามว่าร่างไหนของจิตราน่ากลัวกว่ากัน เขาคงต้องบอกว่าทั้งคู่เพราะเขาไม่อาจเข้าใจ และตามทันความคิดของทั้งสองร่างของจิตราได้เลย
ชายหนุ่มร่างสูงเปิดประตูก็ต้องผงะเมื่อพบเข้ากับจิตมาศน้องสาวของจิตรา “อ้าวน้อง มาพอดีพี่มาเยี่ยมจิตรากำลังจะกลับแล้ว ฝากดูแลด้วยเถอะนะ ขอโทษที่อยู่เสวนาด้วยไม่ได้ พี่มีธุระด่วนจ้ะ”
“ค่ะ ดิฉันยังไม่ทันสวัสดีก็ต้องบอกว่า ลาก่อนไว้เจอกันใหม่เสียแล้ว” หล่อนยิ้มให้ผ่านฟ้า ก่อนจะเดินเข้ามากับแฟนหนุ่มคนล่าสุดของหล่อน
“ครับไว้เจอกัน พี่ขอตัว” ผ่านฟ้าออกจากห้องไปในที่สุด
จิตมาศเดินตรงเข้ามาหาพี่สาว ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไร พาทิศก็เห็นลูกแก้วที่เป็นสัญญาณว่าเขาควรพาตัวเองออกจากนิมิตของป้าจิตราแล้วแม้ว่าเขาจะอยากรู้เพียงใดว่าเหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร แต่ความรับผิดชอบอยู่เหนือความอยากรู้ ในคราวนี้ลูกแก้วมาในรูปร่างของแหวนบนนิ้วของจิตมาศนั่นเอง เขาจึงรู้ว่านี่เป็นนิมิตไม่ใช่เหตุการณ์จริงที่เขากำลังเห็นและอยู่ดูต่อได้ เขาต้องออกไปจากนิมิตนี้
พาทิศรวบรวมจิตใจ คิดถึงห้องพระในเวลาปัจจุบัน เขานั่งสมาธิอยู่ที่พื้นไม้ ป้าจิตรานั่งอยู่ทางขวา เยื้องไปด้านหน้าเล็กน้อย พอลืมตาขึ้น ชายหนุ่มก็เห็นตัวเองอยู่ในเวลาปัจจุบัน แน่นอนแล้ว ไม่ผิดพลาด
“ยินดีด้วยค่ะที่กลับมาได้ แม้คุณจะอยากรู้แทบแย่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป” หล่อนยิ้มอย่างใจดี
“คุณป้า คุณป้ารู้เรื่องเรือนเทาด้วยหรือครับ”
“รู้ไม่หมดหรอกค่ะ แต่รู้บ้าง”
“รู้บ้าง... หมายความว่าอย่างไรครับ”
“ดิฉันสัมผัสจิตของเขาได้ค่ะ ตอนที่เคยไปที่นั่น” หล่อนหลับตาพูดอย่างใจเย็นตามแบบของหล่อน “อยากรู้หรือเปล่าคะว่า เกิดอะไรขึ้นต่อหลังจากที่ดิฉันออกจากโรงพยาบาล”
พาทิศพยักหน้า
“ดิฉันเปลี่ยนไปเป็นอีกคนโดยสิ้นเชิง ดิฉันรู้ว่าดิฉันทำผิด ทำบาปกับคุณพ่อคุณแม่ และลูกที่ยังไม่มีโอกาสได้เกิดของดิฉันมามาก ดิฉันจึงตัดสินใจบวชค่ะ บวชชีอยู่หลายปีจนกระทั่งต้องสึกออกมาเพราะยิ่งอยู่นานไป จิตดิฉันยิ่งเข้มขึ้น ดิฉันจับความคิดคนได้ สัมผัสได้ถึงจิตของคนหลายคนทั้งที่เสียแล้ว และยังมีชีวิตอยู่ ดิฉันอยู่ไปก็รู้ว่าตัวเองฟุ้งซ่าน เผลอทักโยม ทักสีกาหลายคนว่าเคยเป็นอะไรในอดีต และจะเป็นอะไรในอนาคตจนคิดว่าดิฉันควรหาทางดับทุกข์เพื่อบรรลุนิพพานหากจะเป็นชีต่อไป ไม่ใช่เอาตนมาเกี่ยวกับเรื่องทางโลก แต่ดิฉันก็ไม่สามารถทำจิตให้สงบได้ขนาดนั้น ดิฉันรู้ดีว่าบวชต่อไปก็จะเป็นนักบวชที่ดีในพระพุทธศาสนาไม่ได้ จึงสึกออกมาในที่สุดค่ะ
ต่อมาดิฉันกลับมาอยู่บ้าน ก็เกือบสี่สิบแล้ว น้องสาวดิฉันก็แต่งงานกับผ่านฟ้า ดิฉันว่าผ่านฟ้าคงทำเพื่อประชด แต่สุดท้ายเขาสองคนก็มีลูกด้วยกัน”
“คุณสร้อยฟ้า สร้อยสุวรรณ”
“ค่ะ จิตมาศท้องสามสิบกว่าดิฉันคิดว่าลูกจะไม่สมบูรณ์ แต่เปล่ากลับสมบูรณ์ดี สุขภาพแข็งแรงทั้งสองคนก็คิดว่าปาฏิหารย์น่าจะเป็นคนที่รอมาเกิดเพื่อให้เรื่องที่เรือนเทาจบๆไป ดิฉันดูจากลักษณะคิดว่าเป็นสร้อยฟ้า จึงขอแบ่งเบาภาระจิตมาศ เอาสร้อยฟ้ามาเลี้ยง เขาอยู่กับแม่เขานั่นแหละที่เรือนเทา ไม่ได้พรากลูกจากแม่ แต่เอามา สอนกายาวิปัสสนาทุกอย่างตั้งแต่เล็กๆ แต่เสียดายสิ่งที่เขารับไปได้มีเพียงความเชื่อเล็กๆน้อยๆ อย่างคนโบราณเท่านั้น ไม่ได้มีจิตที่แข็งแกร่ง หรือมีสัมผัสที่หกอย่างดิฉัน ดิฉันก็แน่ใจว่าไม่ใช่แม่สร้อย
ทีนี้แม่สร้อยเกิดหัวสมัยใหม่ในบางเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องเงินๆทองๆ ก็เลยไม่ให้จิตมาศกับสร้อยสุวรรณอยู่ที่เรือนเทา ซื้อบ้านกันใหม่ย้ายออกมา เปิดเรือนเป็นพิพิธภัณฑ์บ้าง ให้เช่าบ้างก็ไม่มีใครอยู่ได้ เพราะ อย่างที่ดิฉันบอก ยังมีคนเขาเฝ้าบ้านอยู่ไม่ไปไหน”
พาทิศขนลุกซู่
“สุดท้าย ดิฉันตัดสินใจบอกแม่สร้อย แต่จะเชื่อหรือก็เปล่า กลับบอกดิฉันว่าถ้าเป็นปัญหาก็แบ่งบ้านเป็นสองซีกเสียเลย เอาฝั่งอาถรรพ์อะไรนั้นปิดไว้เฉยๆ อีกฝั่งก็ให้คนมาซื้ออยู่เสีย ลงทุนสร้างกำแพงขาวกั้นบ้านเป็นสองฝั่ง ฉาบปูนลงน้ำมนต์อย่างดี กันผีไม่ให้มาอีกฝั่งหนึ่ง ทีนี้ความจริงมันไม่ใช่อย่างที่คนเขาเชื่อกันใช่ไหมคะคุณพาทิศ สิ่งที่ยังอยู่นั้นเป็นจิตไม่ใช่วิญญาณเหมือนในหนังในละคร เขามาปรากฏให้ใครเห็นเวลาที่เขามีอารมณ์รุนแรงคิดถึงเรื่องอดีต เป็นรูปของความทรงจำที่ยังฝังอยู่กับสถานที่ คนก็ทึกทักไปว่าเป็นผีปรากฏเป็นตัวๆ เดินไปเดินมาได้ จริงๆไม่ใช่ค่ะ
ทีนี้ไปสร้างกำแพงเข้า เขาจะทำลายได้หรือก็ไม่ เขาก็คือคนที่ตายไป เท่านั้นเอง ตอนอยู่เป็นอย่างไร ตอนตายก็เป็นอย่างนั้น ถ้าไม่มีอิทธิฤทธิ์อะไรตอนเป็น ตอนตายก็ไม่มีค่ะ ถ้าตอนเป็นเขาเคยเดินไปเดินมาเข้าประตูโน้นออกประตูนี้ได้ ตอนตายไปแล้วเขาก็ยังทำอยู่อย่างนั้น เพราะจิตเขาไม่ปล่อยวางไปเกิดในร่างใหม่ เขาก็เลยได้แต่วนเวียนอยู่ในฝั่งที่เขาตายเท่านั้น จะโผล่มาอีกฝั่งหนึ่งไม่ได้ แม่สร้อยเลยคิดว่ากำแพงน้ำมนต์ได้ผลผีไม่มาโผล่อีกฝั่งหนึ่ง เลยประกาศขายเสียเลย
แล้วคุณก็ไปซื้อบ้านหลังนั้นเข้าค่ะคุณพาทิศ ดิฉันเจอคุณที่งานเลี้ยงวันเกิดยายจิตมาศก็ไม่รู้หรอกว่าจะเป็นคุณ แต่ตอนคุณสำลักน้ำเท่านั้นแหละ ดิฉันพบว่าจิตคุณไม่อยู่ในร่าง แต่ไปผูกกับอีกจิตหนึ่งที่ยังอยู่ตรงนั้น ก็เลยรู้ทันทีว่าคุณคือคนที่มาทำให้เรื่องจบ มาทำให้คนที่อยู่บ้านนั้นไม่ไปไหน ได้คลายจิตของตัวเองที่ผูกไว้กับบ้าน ไปเข้าร่างใหม่ หรือไปเกิดใหม่ในที่สุดนั่นเอง”
“คุณป้าครับ ผมอยากรู้ว่าที่นั่นมีใครอยู่” พาทิศใจเต้นแรง รัวเร็วจน แทบอยากวิ่งกลับไปเรือนเทาของหลวงพินิจเสียเดี๋ยวนั้น เด็กหนุ่มที่เขาเห็น... เด็กหนุ่มตรงหน้าต่าง ร่างขาวสะอาดนวลเนียนคนนั้น เขารู้แล้วว่าเด็กหนุ่มคนนั้นคือใคร “คุณป้า... นั่นเส็งใช่ไหมครับ”
จิตราไม่ว่าอะไร หล่อนไม่พยักหน้า ไม่ส่ายหน้า แต่ไม่ตอบอย่างนี้
พาทิศตีความได้อย่างเดียวว่ามันคือความจริง เขาตกใจ... ตกใจจนแทบเป็นบ้า เขาเห็นผี หรือ? ... ไม่ซี มันเป็นจิตของเส็งที่ยังไม่ยอมหายไปตามกาลเวลาซีนะ จิตของเขา สัมผัสกับจิตของเส็งได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหมายความว่า
“คุณป้า” เขาถาม เสียงเบาสั่นเครือไม่แน่ใจว่าจะพูดออกไปดีหรือเปล่า “ผมคือหลวงพินิจราชอักษร กลับชาติมาเกิดหรือครับ”
“ดิฉันไม่ทราบค่ะ” หล่อนตอบในที่สุด แต่ไม่สบตาพาทิศ แปลว่า ใช่อย่างนั้นหรือ
“คุณป้าไม่ตอบ หมายถึงใช่หรือครับ”
“หมายถึงอาจใช่ และ ไม่ใช่ค่ะ ดิฉันไม่ทราบจริงๆ คุณต้องรู้ด้วยตัวเอง จะด้วยเขามาดลจิตคุณ หรือรู้เองโดยที่คุณระลึกได้เองก็แล้วแต่ ดิฉันไม่มีสิทธิ์ช่วยคุณค่ะ ถ้าอยากให้เรื่องที่คาราคาซังมากว่าร้อยปีจบลงแล้วละก็” จิตรานิ่งไปสักครู่ “เรื่องที่เล่ามาให้ฟังทั้งหมด ก็เพื่อให้คุณพาทิศเข้าใจว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไรหลังจากหลวงพินิจราชอักษรเสีย นั่นคือเหตุการณ์ตอนปัจจุบันแล้วค่ะ แล้วคุณพาทิศก็รู้เหตุการณ์ในอดีตในตอนเริ่มเรื่องแล้ว...”
“หลวงพินิจราชอักษรหมั้นกับคุณหยาด ซึ่งพาเส็งมาเป็นบ่าวที่เรือนเทา เส็งกับคุณหลวงเกิดความผูกพันกันกระทั่ง สี่เดือนก่อนจะแต่งงานกับคุณหยาด หลวงพินิจก็ออกจากบ้านไปหัวหินซีนะครับ”
“ค่ะ ทีนี้เหลือเหตุการณ์หลังจากนั้นคือ หลวงพินิจกลับมาจากหัวหินแล้ว เกิดอะไรขึ้นกระทั่งเขาตายนั่นละค่ะ ที่คุณพาทิศต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง พอรู้คำตอบ รู้เรื่องที่เกิดขึ้นโดยตลอดแล้วเราอาจรู้ได้ว่า จะแก้ปมของเรื่องที่มันเกิดแล้วไม่ยอมคลายลงกระทั่งล่วงเลยมากว่าร้อยปีนี้ได้อย่างไร”
“แล้วผมจะทำได้อย่างไรครับ” เขาถาม “ผมคุมจิตเข้าออกนิมิตได้ตามที่คุณป้าดลใจผมแล้ว แต่ผมยังระลึกเหตุการณ์นั้นเองไม่ได้”
“ค่ะ คุณต้องเพ่งเตโชกสิณ”
“ถ้าผมไม่เพ่งล่ะครับ” เขาว่า จิตราเลิกคิ้วอย่างสงสัยแต่ยังไม่ทันพูดอะไรชายหนุ่มก็กล่าวต่อไปในสิ่งที่เขาคิด “ถ้าผมไม่รอให้ระลึกเองได้ แต่ไปให้เขาดลจิตผมให้เห็นนิมิตอีกก็ได้ใช่ไหมครับ ถ้าผมเห็นนิมิตได้อีกครั้งจริงๆ คราวนี้ผมจะดึงตัวเองออกจากนิมิตก็ได้ใช่ไหมครับ”
“ดิฉันเห็นว่าได้ แต่คุณต้องมั่นใจว่าคุณจะดึงตัวเองออกมาจากนิมิตได้ในเวลาที่สมควร คือ หนึ่งคืนในการนอนหลับเท่านั้น”
“ผมจะรู้ได้อย่างไรครับ” เขาถามอย่างตื่นเต้น เหงื่อผุดขึ้นบนหน้าเป็นเม็ดอย่างที่เขาไม่เข้าใจ เขาตื่นเต้นอยากรู้ความจริง อยากให้เรื่องมันจบลงในที่สุด เสียทีหลังจากอยู่กับมันมาเกือบสองเดือนแล้ว
“กำหนดจิตก่อนเข้านิมิตค่ะคุณพาทิศ ดิฉันกำหนดให้คุณเห็นลูกแก้วในเวลาที่อยากให้คุณตื่น แต่ฝ่ายนั้นคงกำหนดให้คุณไม่ได้ เขาอยากให้คุณเห็นอะไรเขาก็เพียงแต่กำหนดจิตให้คุณเห็นเท่านั้น หน้าที่ของคุณคือ กำหนดเอาเองก่อนที่จะเข้าสภาวะไร้จิตสำนึกที่จะปล่อยให้เขาดลจิตคุณ เหมือนที่ดิฉันให้คุณฝึกกำหนดเวลาตื่นนอนทุกๆเช้าเท่านั้นค่ะ”
“ครับ ถ้าผมกำหนดว่า ให้ตื่นหลังจากเห็นนิมิตไปสิบชั่วโมงอย่างนี้ก็ได้ใช่ไหมครับ เหมือนพอสวิดิโอไว้หลังจากดูไปสิบชั่วโมง แล้วค่อยกลับมาดูใหม่อย่างนี้หรือครับ”
“ค่ะ แต่ต้องมั่นใจว่าทำได้จริงๆ”
“ผมทำได้ครับ” ชายหนุ่ม ลุกขึ้นจากพื้นไม้ จิตราก็ลุกตาม
“คุณจะไปไหนคะ”
“ผมจะขออนุญาตคุณป้ากลับไปนอนที่บ้าน เผื่อจะเกิดนิมิต ผมจะทำตามที่คุณป้าบอกทุกครั้งก่อนนอน และจะตื่นขึ้นมาทุกเช้า จะมาเล่าให้คุณป้าฟังว่าเห็นอะไรบ้างในแต่ละคืนจนกว่าจะหมดเรื่องนะครับ”
จิตรามองหน้าชายหนุ่มอย่างไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มจะทำได้จริงหรือไม่
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ แต่คุณพาทิศต้องอย่าลืมนะคะว่า เรื่องนี้มันร้ายแรงแค่ไหน ถ้าพลาดคุณจะหลับไปตลอด ไม่ตื่นมาอีกนะคะ”
“ครับแน่ใจครับคุณป้า ถ้าอย่างนั้นผมลา” เขาไหว้จิตรา ก่อนจะกล่าวขอบคุณแล้วรีบวิ่งลงมาเปลี่ยนเสื้อผ้า เก็บของแล้วออกไปเรียกรถแท็กซี่ เดินทางกลับเรือนเทาของหลวงพินิจราชอักษรเพื่อสะสางเรื่องที่เกิดขึ้นให้จบไปเสียที