[ป า ง บ ร ร พ์] แจ้งข่าว คห.#1289
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [ป า ง บ ร ร พ์] แจ้งข่าว คห.#1289  (อ่าน 486561 ครั้ง)

MaeMoo

  • บุคคลทั่วไป
คุณหลวงเป็นอะไรไปคะ

ไปรับข้อมูลอะไรผิดๆ มารึเปล่า

จนตรอมใจ ผ่ายผอมลงไป

 :monkeysad:

ออฟไลน์ ❝CHŌN❞

  • เหงา เหงา :(
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1924
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-3
คุณหลวงเป็นอะไรไป

อ่านแล้วแอบสงสารเส็ง เผื่อใจไว้หน่อยนะลูก  :monkeysad:

จะเป็นยังไงต่อไปหละเนี่ย ค้างๆ  :serius2:


Lesses

  • บุคคลทั่วไป
คุณหลวงใจร้ายจัง ยิ้มให้ก็ไม่ได้ ทำให้น้องร้องไห้เลย สงสารน้องอีกแล้ว

ออฟไลน์ jobi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เป็นเรื่องแรกที่เคยอ่านสำหรับแนวนี้
ถูกใจมาก โดนใจสุดๆ
ยิ่งอ่านความอยากรู้ยิ่งเพิ่มพูน55+
อีตาคุณหลวงไปพบเจออะไรมา ทำไมถึงเปลี่ยนไป

ขอบคุณนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-12-2010 08:21:11 โดย jobi »

zeen11

  • บุคคลทั่วไป
มารอเส็งกับคุณหลวงค่ะ  :call: :call: :call:


ไรเตอร์อย่ารังแกเส็งมากน๊าาาาาาาาาาาาาา สงสารเส็ง :m15: :m15: :m15:

ออฟไลน์ Purple_Sky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +354/-1
๑๘

    คุณหลวงจ้องหน้าเขาอยู่อีกอึดใจเดียว ก็กางแขนรั้งเขาเข้าไปกอด สองแขนกระหวัดพันอยู่รอบร่างของเขา แนบแน่นแทบจะกลืนกันเป็นคนเดียว ตอนแรกนั้นเส็งตกใจจนทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนตัวเกร็งปล่อยให้หลวงพินิจกอดร่างเขาไว้แน่น ใบหน้าซุกอยู่ที่ต้นคอ ลมหายใจเป่ารดลงไม่เป็นจังหวะ พอๆกับแรงสั่นของหัวใจ ที่ดังอยู่ทางด้านขวาของหน้าอกของเส็ง ความตกใจเปลี่ยนเป็นความอบอุ่น เป็นความรู้สึกที่เส็งเรียกไม่ถูก วาบหวิวไปหมดทั้งตัว
    หากรักมันดีอย่างนี้ ก็คงไม่แปลกหรอกที่ใครต่อใครต่างก็อยากมีความรักกันทั้งนั้น
    เส็งยืนตัวแข็งอยู่ได้อีกพักเดียวก็ยกมือขึ้นกอดที่แผ่นหลังแข็งแรงของคุณหลวงแนบหน้าของเขาลงชิดกับใบหน้าของคุณหลวงหนุ่มที่เขารักเหลือเกิน แปลกตรงที่ แม้ตรงนั้นจะเงียบ แต่ก็ไม่ได้เงียบถึงขนาดว่าสงัด ยังมีเสียงน้ำ เสียงลม เสียงจิ้งหรีดเรไร ร้องอยู่ให้ได้ยิน แต่สำหรับเส็งเขาไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงหายใจ และเสียงใจเต้นของตน และคุณหลวงสอดประสานกันไพเราะราวกับเสียงเพลงจากวงมโหรีก็ไม่ปาน
    หลวงพินิจเงยหน้าขึ้นจากซอกคอขาวเนียนของเส็ง เลื่อนปากมาที่ใบหู แล้วกระซิบเบาๆว่า
    “คิดถึงเส็งใจจะขาด อยากทำอย่างนี้กับเส็งมาตั้งนานแล้วรู้หรือเปล่า”
    บ่าวหนุ่มขนลุกซู่ไปทั่วร่าง ความอบอุ่นจากร่างกายที่เบียดชิดแนบกันก็เทียบอะไรไม่ได้กับความอบอุ่นจากคำพูดของหลวงพินิจราชอักษร อ้อมแขนของเส็งกระชับเข้ากอดคุณหลวงแน่นกว่าเดิม แล้วจู่ๆน้ำตาก็พาลไหลลงมาอาบแก้มเสียเฉยๆอย่างนั้น
    น้ำตาของเส็งคงจะไหลเปียกแก้มคุณหลวง ฝ่ายนั้นคงรู้สึกได้จึงผละออกจากร่างของหนุ่มน้อย สองมือที่ใช้เขียนกลอนรัก ยกขึ้นประคองใบหน้าของบ่าวหนุ่มอย่างทนุถนอม นิ้วโป้งทั้งสองข้างลูบผ่านใต้ดวงตาของบ่าวหนุ่ม เช็ดน้ำตาที่ไหลอยู่ตรงนั้นออกไปให้พ้นจากหน้า
    “ร้องไห้ทำไมหรือ เราทำอะไรผิดไปหรือเปล่า”
    “เปล่าขอรับ”
    “แล้วร้องทำไม เราไม่สบายใจเลย” คุณหลวงจ้องเข้ามาในดวงตาของเขา แม้จะใฝ่ฝันให้ได้มีช่วงเวลาอย่างนี้ระหว่างเขาและคุณหลวงบ้าง แต่บ่าวหนุ่มก็ไม่อาจบังคับใจไม่ให้เขินอายจนหลบตาต่ำได้ หลวงพินิจยังประคองดวงหน้าของเส็งไว้ อย่างเบามือแฝงด้วยความรักใคร่ที่สัมผัสได้อย่างเป็นรูปธรรม
    “บ่าวไม่คิดเลยขอรับว่าจะมีวันนี้... บ่าว คิดว่า บ่าวคงคิดไปเอง คุณหลวงคงจะไม่มีใจอะไรกับบ่าว มากกว่าความเอ็นดูที่นายพึงมีต่อบ่าวเท่านั้นขอรับ” เส็งสะอื้นออกมาเป็นคำพูด อธิบายความในใจให้หลวงพินิจได้รู้
    “เส็ง ฟังให้ดีนะ” คุณหลวงลดเสียงลง “เรารักเส็ง รักมากกว่าใครทั้งหมดบนโลกนี้ และจะไม่มีวันใดที่เราจะหมดรักเส็งได้ ขอให้เส็งยึดคำของเราวันนี้เป็นเหมือนคำสัญญา ให้ระลึกไว้เสมอนะ ว่าเรารักเส็งจากใจจริง มิได้พูดไปเพราะอารมณ์ชั่วครู่ ชั่วคราว”
    เส็งสะอื้น ร้องไห้ด้วยความตื้นตัน หลับตาแน่น แล้วก้มหน้าร้องไห้กับพื้นดินอย่างน่าสงสาร จนหลวงพินิจต้องดึงเขาเข้าไปกอดอีกครั้ง เส็งร้องไห้กับแผงอกของคุณหลวงหนุ่ม มีชายผู้เป็นที่รักกอดไว้กับร่างกายด้วยความรักและความทนุถนอม
    “อย่าร้องเลยนะ น้ำตาไม่เหมาะกับเส็งเลยจริงๆ”
    บ่าวหนุ่ม ยิ้มให้หลวงพินิจทั้งน้ำตา จนคุณหลวงหนุ่มต้องหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างห้ามไม่ได้ เขาจับมือเล็กๆ นุ่มนิ่มของเส็งไว้ในมือใหญ่แข็งแกร่งของเขา แล้วเดินจูงมือเส็งให้ออกเดินไป ทั้งคู่ไม่พูดจากันสักคำ ปล่อยให้มีแต่เสียงหรีดหริ่งเรไร ที่ร้องเพลงประสานให้ได้ฟังราวกับอยู่บนวิมานชั้นฟ้า หลวงพินิจจูงเส็งมาถึงท่าน้ำ ก็นั่งลงที่ริมน้ำปล่อยขาห้อยลงน้ำอย่างสบายใจ เส็งเองก็ทำตาม หากแต่แม้จะนั่งลงมั่นคงแล้วเพียงใดหลวงพินิจก็ไม่ยอมปล่อยมือเขาออกจากมือเส็ง
    “คุณหลวง ปล่อยมือบ่าวเถิดขอรับ”
    “ไม่ปล่อย” เขาว่าอย่างเด็กรั้นๆ “กว่าจะจับได้นี่ก็ต้องทนรอมานานแล้ว ได้จับเสียทีเรื่องอะไรจะปล่อยง่ายๆ”
    เส็งก้มหน้างุด
    “โธ่ คุณหลวงเดี๋ยวใครมาเห็นเข้าขอรับ”
    “ก็ให้เห็นไปซี” เขาว่า “จะได้รู้ว่าเรารักเส็งแค่ไหน”
   บ่าวหนุ่มยิ้มเขินเข้าไปใหญ่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามอง สายตาอบอุ่นของหลวงพินิจราชอักษรที่จับจ้องอยู่แต่บนหน้าของบ่าวหนุ่มไม่อาจถอนตาได้ ยามเส็งอายนั้น น่ารักยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมดบนโลกนี้เสียอีก
    “รู้ไหมว่าดีใจแค่ไหนที่เห็นเส็งมารอที่ท่าน้ำ” เขาเริ่มพูดอีกครั้ง “นึกว่าจะ ตัดรักตัดสวาทตัดอาลัย ตัดสิ้นแล้วก็จากไปเสียอีก”
    “ก็บ่าว...” เส็งก้มหน้า
    “เส็งทำไมหรือ” หลวงพินิจ กระเถิบเข้ามาใกล้ จ้องหน้าเส็งด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปทั้งหน้า ด้วยอยากได้ยินประโยคต่อมาของเส็งเหลือเกิน
    “ไม่มีอะไรขอรับ”
   “ไม่มีได้อย่างไร เส็งพูดแล้วพูดต่อให้จบซี” คุณหลวงกระเซ้า
    “ก็บ่าวไม่ได้ขุ่นข้องหมองจิตอะไรนี่ขอรับ” เส็งตอบเสียงเบา แทบจะไม่มีเสียงใดลอดออกมาจากปากบางแดงของเขาเลย หากหลวงพินิจไม่ได้อยู่ติดกับบ่าวหนุ่มอย่างนี้ คงจะไม่ได้ยินว่าเส็งพูดอะไร
    “แล้วไม่ขุ่นข้องหมองจิตนี่มันหมายความว่าอะไรหรือ” หลวงพินิจยิ้มกว้าง ยังกระเซ้าแหย่เส็งอย่างกับเด็กหนุ่มแรกรุ่น
    “แหมคุณหลวงละก็ บ่าวกระดากปากขอรับ”
   หลวงพินิจยังยิ้มอยู่ไม่หุบยิ้ม แต่ก็แกล้งเส็งโดยการหันหน้าออกจากบ่าวหนุ่ม “ถ้ากระดากก็ไม่เป็นไรดอก เราคิดเอาเองก็ได้”
    เส็งเงยหน้าขึ้นมองคุณหลวง ก็เห็นว่าอีกฝ่ายเบือนหน้าไปจากเขาเสียแล้ว จึงสูดหายใจเข้ารวบรวมความกล้า
    “บ่าวจะบอกว่า ก็บ่าวรักคุณหลวงเหมือนกันนี่ขอรับ จะให้ตัดรักไปเสียได้อย่างไร” บอกไปแล้วก็เหมือน ยกเขาไกรลาศออกจากอก กระนั้นก็ยังขวยเขินจนต้องรีบก้มหน้างุดๆ ไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายที่หันมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
    “ว่าอย่างไรนะเส็ง เราไม่ได้ยิน”
    “เอ้อ บ่าวบอกว่า บ่าวรักคุณหลวงขอรับ”
    “ว่าอย่างไรนะ ว่าอีกทีซี”
    เท่านี้ เส็งก็เข้าใจว่าคุณหลวงก็แค่แกล้งเขาเท่านั้นเอง จึงเงื้อมือทุบแขนหลวงพินิจสุดแรงเท่าที่จะทำได้
    “โอ๊ย ทุบทำไมเล่า”
    “คุณหลวง แกล้งบ่าวนี่ขอรับ”
    “ก็อยากได้ยินเส็งบอกรักเราบ้างมิได้หรือ” คุณหลวงแกล้งตัดพ้อ
    “แหม ครั้งแรกก็น่าจะพอแล้ว ให้บอกซ้ำบอกซาก บ่าวเขินนี่ขอรับ” เส็งว่าเสียงมุบมิบ แทบจะไม่ได้ยิน “อีกอย่าง...”
    “อีกอย่างอะไรหรือ”
    “บ่าวว่า คำว่ารัก มันเป็นคำสำคัญที่สุดเท่าที่คนเราจะบอกแก่กันได้ บ่าวไม่อยากพูดพร่ำเพื่อเหมือนกับคำปกติทั่วไปที่ไม่ได้มีค่าอะไรกว่าลมปากเท่านั้น เมื่อใดที่บ่าวพูด บ่าวก็จะต้องแน่ใจว่าบ่าวหมายความอย่างที่พูดจริงๆขอรับ”
    หลวงพินิจนิ่งไป ไม่อยากเชื่อว่าคนพูดน้อยๆอย่างเส็งจะพูดอะไรออกมาได้มากขนาดนี้
    “จ้ะ” หลวงพินิจว่า น่าแปลกที่คำว่าจ้ะคำเดียว กลับทำเอาเส็งขนลุกไปได้ทั้งตัว หลวงพินิจไม่เคยพูดจ๊ะจ๋ากับใครเลยสักคนเดียว ครั้งนี้เป็นครั้งแรก “เป็นอะไรขนลุกทั้งตัวเลย หนาวหรือ”
    แขนของเส็งที่เบียดอยู่กับแขนหลวงพินิจคงจะทำให้คุณหลวงสัมผัสได้กระมังว่า อีกคนขนลุกซู่เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของเขา ไม่ใช่เพราะลมที่พัดผ่านมาพอดีอย่างนั้น
    “ขอรับ”
    หลวงพินิจเขยิบตัวเข้าชิดกับเส็งโอบแขนไปรอบตัวบ่าวหนุ่มแล้วดึงเข้ามาซบกับไหล่กว้างๆ ของเขา เส็งไม่ขัดข้อง แม้จะขวยเขินก็ตามแต่ก็อบอุ่นใจเกิดกว่าจะปฏิเสธได้ มือของหลวงพินิจลูบต่ำลงมากอดไว้ที่เอวขาวเนียนของเส็ง และค้างไว้ตรงนั้นไม่ยอมปล่อย
    “คุณหลวงขอรับ”
    “จ๋า”
    เส็งขนลุกซู่อีกครั้ง
    “เอ้อ คุณหลวงพูดจ๊ะ จ๋าอย่างนี้ บ่าวกระดากเหลือเกินขอรับ ไม่เคยได้ยินคุณหลวงพูดกับใคร มันไม่ชินขอรับ” เส็งว่า เสียงแทบไม่ออกจากลำคอ
    “เอ้า ก็เราเก็บไว้พูดให้คนรักของเราฟังคนเดียวนี่ จะเคยได้ยินได้อย่างไรล่ะจ๊ะ” ผู้พูดไม่ได้รู้เลยว่า ผู้ฟังนั้นขวยเขินแค่ไหนเมื่อได้ยินทั้งคำว่า คนรัก ทั้งคำขาน จ๊ะ จ๋า จ้ะอยู่ในประโยคเดียวกัน เขินจนต้องกระถดตัวหนีจากคุณหลวงหนุ่ม อีกฝ่ายก็ได้แต่หัวเราะ แต่ก็ไม่ตามมาโอบ มากอดอีกด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะรำคาญเสียก่อน
    “วันนี้ตอนที่คุณหลวงกลับมา คุณหลวงไม่ทักบ่าวเลยขอรับ คิดไปเองแล้วว่าคุณหลวงคงลืมบ่าวเสียแล้ว”
    “แล้วกัน” เขาว่า “จะลืมได้อย่างไร ไป สิบวันเองนะ ต่อให้ไปเป็นเดือนก็ไม่ลืมดอก ที่ต้องทำปั้นปึ่งใส่ก็กลัวคุณพ่อคุณแม่ท่านผิดสังเกต คุณแม่ท่านเคยพูดครั้งหนึ่งแล้วว่าเราบ่นถึงเส็งบ่อยเหลือเกินกลัวท่านจะรู้ความจริง”
    เงียบ ต่างฝ่ายต่างคิดอะไรไปเรื่อย
    หากเจ้าคุณไพรัชกิจรู้... ไม่ต้องถึงเจ้าคุณไพรัชกิจหรอก หากคุณหญิงรู้เข้าจะเกิดอะไรขึ้น เรื่องแบบนี้ในสมัยของเส็งเป็นเรื่องที่ไม่มีใครจะมีวันเข้าใจ หากไม่เป็นด้วยตัวเอง ก็คงไม่มีทางที่จะเข้าอกเข้าใจและปล่อยให้ความสัมพันธ์เป็นไปอย่างนั้นได้เลย แล้วทำไมถึงจะไม่เข้าใจ สิ่งที่ทำอยู่นี่มันคือสิ่งผิดหรือเปล่านะ
    แต่ หากมันจะผิด ก็ยอมละ เส็งคิด หากความผิดบาปมันก่อความสุขให้ได้มากขนาดนี้ อ้ายเส็งก็จะยอมทำผิดต่อไปอย่างนั้นแหละ
    “เส็ง” หลวงพินิจทำลายความเงียบขึ้นมาในที่สุด
    “ขอรับ”
    “ดูอะไรโน่นซี” เขาชี้มือไปทางขวา เส็งก็มองตามมืออย่างไม่คิดอะไร
    “อะไรหรือขอรับ” ทันทีที่เส็งหันหน้าออกจากคุณหลวง ชายหนุ่มก็แอบขโมยหอมแก้มเข้าฟอดใหญ่ ฝ่ายถูกหอมตกใจหันมามองแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร รู้ว่าหากพูดไปคุณหลวงก็ต้องย่อมหาอะไรมาอ้างได้อยู่แล้ว
    หลวงพินิจยิ้มหวานเมื่อเห็นเส็งไม่ว่าอะไร
    “เส็ง”
    “ขอรับ”
    “ขอนอนหนุนตักหน่อยได้ไหม” เขาว่าทำตาซึ้งเสียจนหนุ่มน้อยพยักหน้าเล็กๆ โดยไม่เอ่ยปากพูดอะไรออกมาเลย หลวงพินิจเห็นอย่างนั้น ก็นอนลงเอาหัวหนุนตักเส็งต่างหมอน เงยหน้ามองบ่าวหนุ่มอย่างรักใคร่ อีกฝ่ายก็ก้มมิงคุณหลวงทั้งรอยยิ้มเช่นกัน
    “มีความสุขเหลือเกิน อยากเป็นอย่างนี้ทุกวันเลยจริงๆนะเส็ง”
    บ่าวหนุ่มก้มหน้านิ่ง
    “ขอรับ” ตอนแรกกะจะไม่พูดอะไรต่อแต่ปากมันทำงานไปก่อนสมองแล้ว เส็งจึงพูดออกมาว่า “บ่าวก็มีความสุขมากขอรับ”
    “จริงหรือ”  เขาว่า เส็งไม่ตอบ แต่เปลี่ยนท่าเอาแขนมาวางพาดหน้าอกหลวงพินิจ เหมือนจะโอบคุณหลวงไว้หลวมๆ ทั้งคู่ยิ้มให้กันอย่างมีความสุข เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกเหลือเพียงแต่เขาสองคนเท่านั้น ไม่มีใครหรืออะไรอีกเลย
    คืนนั้นเป็นคืนสว่างแสงจันทร์สาดส่องได้เต็มรัศมีไม่มีเทฆมาบทบัง ทำให้ทั้งคู่เห็นใบหน้าของกันและกันในความมืดสลัวได้ชัดเจน จึงบอกกับตัวเองได้ว่าความสุขที่ตนมีนั้น ไม่ต่างอะไรกับอีกฝ่ายเลย ต่างฝ่ายต่างก็มีความสุขสงบ ยินดีเป็นอย่างยิ่งไม่ต่างกัน
    “เส็งผอมลงนะ กินอาหารไม่อร่อยหรือ”
    “ขอรับ คุณหลวงก็เหมือนกันนะขอรับ”
    หลวงพินิจพยักหน้า
    “กินแต่อาหารทะเล หน้าจะเป็นกุ้งอยู่แล้ว” สองหนุ่มหัวเราะ สิ้นเสียงหัวเราะหลวงพินิจก็พูดต่อ “เส็งเคยเห็นทะเลหรือเปล่า”
    “ไม่เคยขอรับ”
    “จริงหรือ ไว้เราลางานได้คราวหน้าจะพาเส็งไปทะเล ต่อลงไปถึงปีนัง และถ้ามีอัฐเหลือเยอะพอ จะพาข้ามไปถึงสิงคโปร์” หลวงพินิจว่า เส็งไม่ได้ก้มหน้าลงมามอง แต่มองเหม่อๆ ไปที่ละเมาะไม้ฝั่งตรงข้าม “เมืองสิงคโปร์สวยมาก ไม่มีอะไรเหมือนพระนคร บ้านเมืองเล็กๆน่ารักมาก มีทั้งฝรั่ง แขก จีนอยู่เต็มไปหมด ตอนเราไปเรียนเมืองฝรั่งก็ต้องลงไปเปลี่ยนเรือใหญ่ที่สิงคโปร์ก่อน”
    “ทำไมหรือขอรับ”
    “ก็เรือที่ออกจากสยามนั้น ต้องเป็นลำเล็กเพราะแม่น้ำเจ้าพระยามันไม่ลึกมาก แต่เรือเดินสมุทรที่ใช้ข้ามไปถึงยุโรปนั้นต้องเป็นลำใหญ่ ตอนเราไปเรียนที่ฝรั่งเศสก็ต้องเปลี่ยนเรือก่อน ทีนี้ เรือมันคนแน่นมากไปกันไม่ได้ก็ต้องรอลำต่อไป ต้องค้างแรมที่สิงคโปร์อยู่เกือบอาทิตย์ ตอนขาไปจำได้ว่ากันดารมาก แต่ขากลับมาเมื่อห้า หกปีมานี้เมืองเจริญขึ้นแทบจำไม่ได้ ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเจริญไปถึงไหน”
    “แล้วทำไมจึงเจริญเร็วอย่างนั้นล่ะขอรับ”
    “ก็เมืองสิงคโปร์อยู่ในทำเลที่เหมาะสม พวกจีน ญี่ปุ่นถ้าจะเอาสินค้าไปขายที่ยุโรปก็ต้องผ่านช่องแคบมะละกาไป จะเดินทางได้ง่ายกว่า ส่วนพวกชาวฝรั่งจะมาซื้อข้าว ซื้อเครื่องเทศของป่าจากเอเชียก็ต้อง มาผ่านที่สิงคโปร์เช่นกัน ทีนี้พอมีพ่อค้าหลายๆชาติมารวมกัน การทำมาค้าขายก็มีมาก ตรงนั้นจึงเจริญร่ำรวยอย่างไรล่ะ” คุณหลวงเล่า “อย่างที่บางรักนั่นแหละ มีฝรั่งหลายชาติมาอยู่ก็เลยเจริญกว่าแถบอื่น รถรางก็มีวิ่งผ่านตรงนั้นที่แรกเหมือนกัน”
    เส็งจำได้ตอนคุณหลวงพาไปบางรัก แถวนั้นมีตึกฝรั่ง ร้านรวงอะไรเต็มไปหมด ทั้งฝรั่ง แขก จีน สยาม เดินกันวุ่นวายไปหมด โดยเฉพาะตรงตลาดบางรัก คนแน่นขวักไขว่จนเส็งแทบตาลายตอนเดินผ่าน
    “บ้านเมืองเราก็กำลังจะเจริญ ถึงช้ากว่าสิงคโปร์แต่อย่างน้อย ก็กำลังจะเจริญละ” หลวงพินิจยิ้ม “อะไรที่ไม่มีก็กำลังจะมี บ้านเมืองเราได้ศิวิไลซ์เสียที”
   “บ่าวแทบจะไม่เข้าใจอะไรที่คุณหลวงพูดเลยขอรับ” เส็งยอมรับอย่างขำขัน คุณหลวงก็ส่งยิ้มให้
    “เดี๋ยวจะค่อยๆอธิบายวันหลัง วันนี้ขอคุยสบายๆแล้วกัน” เขาว่า ก่อนจะกุมมือเส็งที่พาดอยู่บนตัวเขาเอาไว้ ทั้งสองคนยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
    “คุณหลวงไปหัวหินเป็นอย่างไรบ้างขอรับ เล่าให้บ่าวฟังได้หรือเปล่า”
    เส็งเห็นหลวงพินิจ หน้าเจื่อนไปนิดหนึ่ง แต่เขาก็ตีสีหน้ากลับมาเป็นปกติในไม่กี่วินาทีเส็งจึงไม่ติดใจอะไร คุณหลวงเล่าให้ฟังว่า
    “ไม่เป็นอย่างไรเลย พวกฝรั่งอยากกินอาหารทะเล อยากเที่ยวทะเลสยามก็พาไปเที่ยวเท่านั้น ที่ดีหน่อยก็คือเราได้พักกันที่บ้านของเพื่อนเจ้าคุณพ่อ ที่อยู่ติดทะเลได้ยินเสียงทะเลร้องครืนๆทั้งวัน แม้ตอนกลางคืนก็ยังได้ยิน เปิดหน้าต่างออกไปก็เห็นทะเลกว้างใหญ่สุดสายตา อยากให้เส็งไปอยู่ด้วย”
    หลวงพินิจเงียบไปสักครู่
    “หากเป็นกวีจะแต่งนิราศมาฝากสักบท แต่ยังไม่สามารถขนาดนั้น ขึ้นไว้ได้บาทหนึ่งว่า ครืนครืนยินเสียงคลื่นกระทั่งฝั่ง คล้ายดังเสียงพี่ร้องคะนึงถึง เท่านั้นก็แต่งต่อไม่ไหว” หลวงพินิจหัวเราะ
    “คุณหลวงเก่งขอรับ” เส็งชม
    “ยังไม่เก่งดอก หากเทียบกับกวีชั้นครูหลายๆท่าน”
    “ก็จะเทียบทำไมเล่าขอรับ สำหรับบ่าวคุณหลวงเก่งมากแล้ว”
    “ขอบใจนะเส็ง” เขาว่า “เส็งเป็นกำลังใจให้เราเสมอ เวลาเราเหนื่อยและท้อใจ”
    เส็งนั่งยิ้ม
    “แล้วเส็งล่ะ ทำอะไรบ้าง” หลวงพินิจถามบ้าง
    “ก็อ่านวรรณคดีอย่างที่คุณหลวงสั่งไว้ขอรับ แล้วก็จัดห้องทำความสะอาดเรือนให้คุณหลวง”
    “ไม่ใช้บ่าวคนอื่นทำเล่า จะเหนื่อยทำไม”
    “บ่าวก็เป็นบ่าวนี่ขอรับ มิได้เป็นนายจะให้อยู่เฉยๆ ได้อย่างไร” เขาว่า
    “แต่เป็นคนรักของนาย ก็เท่ากับเป็นนายแล้ว” หลวงพินิจว่า “ไม่อยากให้เส็งลำบากเลย”
    “มิได้ดอกขอรับ” เส็งว่า “อย่างไรอ้ายเส็งคนนี้ก็ยังเป็นบ่าว ไม่กล้าทำตัวเป็นคางคกขึ้นวอดอกขอรับ”
    “น่ารักถ่อมตัวอย่างนี้แหละนะเส็ง” หลวงพินิจชม ทั้งคู่นั่งอยู่ในความเงียบ และมืดสักพักเส็งก็อ้าปากหาววอด เพราะเริ่มง่วงเสียแล้ว
    “ง่วงแล้วหรือจ๊ะ”
    “ขอรับ”
    “ถ้าอย่างนั้นก็ไปนอนกันเถิด” หลวงพินิจลุกขึ้นจากตักของเส็ง “วันนี้ต้องแยกกันนอนก่อนนะ เจ้าคุณพ่อกับคุณหญิงแม่ยังอยู่ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะขอให้เส็งมาอยู่กับเรา จะขัดข้องหรือเปล่า”
    “บ่าวไม่ขัดข้อง แต่เห็นว่าไม่สมควรขอรับ”
    “เอ้า แล้วกันทำไมอย่างนั้นเล่า” หลวงพินิจขมวดคิ้ว
    “ก็ถ้าบ่าวขึ้นนอนบนเรือนกับคุณหลวง ก็จะโดนครหานินทาได้ขอรับ” บ่าวลูกจีนอธิบาย
    “เอ้า ทีแต่ก่อนก็ยังมานอนได้เลย”
   “ก็ตอนนั้น บ่าวไม่ได้ทำอะไรนี่ขอรับ ใครจะว่าอย่างไรบ่าวก็ถือเสียว่าไม่ได้ทำ แต่หากคุณหลวงจะ...” เส็งนึกคำพูดไม่ออก “จะใกล้ชิดกับบ่าวถึงเพียงนั้นพอเกิดอะไรขึ้น ใครว่าอะไรบ่าวก็จะเถียงไม่ได้อีก”
    “แต่ถ้าเราออกมาหากันอย่างนี้ เส็งกลับไปนอนทีหลังคนอื่น เขาไม่ยิ่งสงสัย ยิ่งว่ากันหรือ” หลวงพินิจย้อนถาม “หรือเส็งไม่อยากอยู่ใกล้เราหรืออย่างไร”
    “ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ บ่าวเองก็อยาก แต่ก็ไม่อยากให้ใครคิดได้ว่าคุณหลวงลำเอียง”
    “ไม่ได้ลำเอียงเสียหน่อย ก็เรารักของเรา บ่าวคนอื่นก็แค่บ่าว เส็งเป็นคนรัก เราก็ต้องปฏิบัติด้วยให้แตกต่างอยู่แล้ว” หลวงพินิจว่า “ใครจะว่าอะไรก็ช่างซี เราจะบอกว่าต่อไปนี้ให้เส็งช่วยเราเรื่องงานเอกสาร คอยคัดลอกหนังสือให้ รับใช้อยู่ใกล้ๆ ใครจะกล้าว่าอะไร”
    เส็งเถียงไม่ออก จึงได้แต่เงียบคุณหลวงจึงถือว่าบ่าวหนุ่มตกลงอยู่กลายๆ ก็ลุกขึ้น ยื่นมือให้เส็งจับ ประคองคนรักของเขาขึ้น
    “ไปนอนกันเถิด ดึกแล้วเดี๋ยวเราเดินไปส่งที่เรือนบ่าว”
    หลวงพินิจเดินจูงมือเส็งมาจนถึงหน้าเรือน ไม่อาจไปส่งไกลกว่านั้นได้ หลวงพินิจไม่ยอมปล่อยมือ แต่ดึงมืออีกข้างมาจับไวด้วยกันทั้งสองข้าง
    “พรุ่งนี้ทำซุปหอมใหญ่ กับสตูว์เนื้อให้รับได้ไหม อยากอาหารฝรั่งจะแย่แล้ว” เขาว่า
   “ขอรับ”
    “ถ้าอย่างนั้นไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”
    “ขอรับ” เส็งเดินจากคุณหลวงมา ได้สองสามก้าวคุณหลวงก็เรียกชื่อเส็ง พอบ่าวหนุ่มหันมาตามเสียงเรียกก็พบเข้ากับริมฝีปากของคุณหลวงที่โน้มลงมาประทับบนปากของเข้าพอดี
    ริมฝีปากสวยเป็นรูปกระจับ สัมผัสแนบแน่นเข้ากับริมฝีปากบางเรียวของเส็ง มันประทับเข้าหากันตามสัณชาตญาณค้างนิ่งไว้อย่างนั้นไม่แยกออกจากกันด้วยรสจูบนั้นหวานกว่าน้ำผึ้งป่าในเดือนห้าของปี หวานกว่าน้ำตาลอ้อยที่ไม่ขัดสีอย่างน้ำตาลในปัจจุบัน หวานกว่าอาหารทิพย์ใดๆในโลก หลวงพินิจกอดร่างของเส็งไว้จูบแนบสนิทนานเท่าที่จะนานได้แล้วจึงถอนปากออก ไม่ลืมที่จะฝากจุมพิตบนหน้าผากเนียนสวยของหนุ่มน้อยเป็นของแถมก่อนจะบอกว่า
    “ฝันดีนะ เส็ง”

ออฟไลน์ Purple_Sky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +354/-1

    สตูว์เนื้อหอมกรุ่นฝีมือเส็ง วางอยู่บนโต๊ะหน้าตั่งไม้ในห้องลายครามไม่รู้เพราะอะไรคุณหลวงถึงมานั่งรอเส็งอยู่ที่นี่ บ่าวหนุ่มตามหานายแทบพลิกบ้านจึงรู้ว่ามาอยู่ในห้องนี้ มารู้เหตุผลทีหลังว่า คุณหลวงชอบห้องลายคราม เพราะเครื่องลายครามนั้นเป็นกระเบื้องมาจากจีน เหมือนหนุ่มน้อยที่เป็นลูกหลานจีนอย่างนั้น พอหนุ่มน้อยวางสตูว์ลง พร้อมข้าวสวยขาวหอมกรุ่น และซุปหอมใหญ่ เสร็จแล้ว หลวงพินิจก็ไล่บ่าวคนอื่นออกจากห้องไปหมด ปิดประตูไว้ไม่ให้ใครเข้ามาได้เห็นเขาอยู่กับเส็งเพียงสองคน
    “หอมทีเดียว มีคนช่วยทำหรือเปล่า”
    “ไม่มีขอรับ ทำเองหมดทุกขั้นตอนเลยขอรับ ตื่นมาเคี่ยวแต่เช้า หวังว่าจะไม่เหนียวเหมือนคราวที่แล้วนะขอรับ” หลวงพินิจหัวเราะ
    “เหนียวก็ชอบ” เขาว่า “เส็งมานั่งด้วยกันซี”
    บ่าวหนุ่มลุกมานั่งข้างๆอย่างว่าง่าย แต่หลวงพินิจกลับโอบเอวดึงเข้าไปนั่งชิดกันเสียแทบจะนั่งตักกันได้
    “ป้อนหน่อยซีแขนไม่มีแรงเลย”
    เส็งหัวเราะลงลูกคอเบา
    “คุณหลวงละก็อ้อนเป็นเด็กไปได้ รับเอ็งสิขอรับเดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
    “ไม่อาว ไม่กิน” หลวงพินิจแกล้งทำเสียงเด็ก “ถ้าเส็งไม่ป้อนเราจะยอมไม่กินเลย เอาซี”
    เส็งมองหน้าหลวงพินิจกึ่งขัน กึ่งระอาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากตักอาหารป้อนนายบ่าว หลวงพินิจรับประทานไปคำแรกก็ออกปากชม
    “อร่อย”
    เส็งตักป้อนอยู่หลายคำ จนคุณหลวงพูดขึ้นมา
    “เส็งจ๋า”
    “ขอรับ คุณหลวงอย่างจ๊ะจ๋าซีขอรับ เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้า”
    “ช่างเขาซี” หลวงพินิจหัวเราะ “เส็ง... ขอหอมได้ไหม”
    “คุณหลวง” เส็งอุทานออกมาเสียงดัง ก่อนจะรู้ตัวแล้วลดความดังของเสียงลง “กลางวันแสกๆ นะขอรับ”
    หลวงพินิจหัวเราะออกมาดัง
    “ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ ไม่ใช่ขอหอมแก้ม ขอหอมน่ะ หมายถึงหอมใหญ่ในซุป จริงๆต้องกินซุปก่อน มาถึงก็ป้อนแต่สตูว์อย่างเดียวเลย อยากกินซุปบ้าง”
    เส็งเขินจนหน้าแดง
    “คุณหลวงละก็ แกล้งบ่าวอีกแล้วขอรับ”
    “อะไร ไม่ได้แกล้งสักหน่อยเส็งตีความผิดเองนี่นา” เขาว่า “หรืออยากให้เราหอมจริงๆ”
    “คุณหลวงละก็!” เส็งโวย กำลังจะกระถดตัวออกห่างจากหลวงพินิจ แต่ไม่ทันแล้ว อีกฝ่ายโน้มตัวลงหอมแก้มเขาฟอดใหญ่ จนหนวดที่โกนไม่เกลี้ยงของคุณหลวงทิ่มแก้มแดงไปหมด
    “หอมนี้แล้ว ขอหอมนั้นนะ” เขาชี้ถ้วยซุป เส็งก็แกล้งไสถ้วยให้ส่งๆ อย่างงอนๆ จนอีกฝ่ายต้องตักซุปกินเอง แต่ถึงงอนอย่างไรเส็งก็ไม่ออกจากอ้อมแขนของหลวงพินิจ ก็มันอุ่นเสียขนาดนั้น จะหนีไปทำไมเล่า
    “เส็ง ไม่ต้องกินข้าวที่เรือนบ่าวนะ กินด้วยกันนี่แหละ” หลวงพินิจว่า “เช้านี้ไม่ค่อยหิว มันอิ่มใจแล้ว กายเลยอิ่มตาม”
    บ่าวหนุ่มหัวเราะ
   “ถ้าคุณหลวงยังพูดจาอย่างนี้อยู่อีก บ่าวคงกลืนอะไรไม่ลงขอรับ”
    “ทำไมล่ะ” หลวงพินิจกระเซ้า “อิ่มใจเหมือนกันหรือไร”
    “คุณหลวงละก็ ไม่ใช่ขอรับ” เส็งว่า แต่ไม่ทันได้พูดอะไรเพราะหลวงพินิจตักสตูว์ใส่ปากเขาเสียแล้ว เส็งเคี้ยวกลืนลงคอไปจะอ้าปากพูดหลวงพินิจก็ป้อนซุปเขาอีก จนอาหารแทบจะหมดพอดี เส็งจึงมีโอกาสพูด “วันนี้คุณหลวงจะไปไหนหรือเปล่าขอรับ”
    “ไม่ไป” เขาว่า “ทำงานอยู่ที่นี่ทั้งวันละ”
    “อย่างนั้นหรือขอรับ อย่างนั้นบ่าวขอไปหาผลไม้มาแกะให้คุณหลวงรับตอนบ่ายๆดีไหมขอรับ ได้ชื่นใจ” เขาว่า
    “ไม่ดีกว่า” หลวงพินิจราชอักษรบอก “อยู่ใกล้ๆเราช่วยเราทำงานดีกว่า ไม่มีอะไรอย่างอื่นทำไม่ใช่หรือ”
    “ขอรับ”
    “ดีละ ถ้าอย่างนั้น จะเรียกบ่าวคนอื่นมาเก็บจานชามแล้วนะ เดี๋ยวไปทำงานที่ห้องทำงานกัน” หลวงพินิจว่า เส็งก็รับคำ แต่ไม่ทันได้เรียกบ่าวผู้หญิงที่นั่งรอหน้าห้องมาเก็บข้าวของ หลวงพินิจ ก็พูดอะไรขึ้นมาอีก “เส็ง ก่อนทำงานขออะไรได้ไหม”
    “ได้ขอรับ หวังว่าไม่ใช่ขอหอมอีกนะขอรับ”
    หลวงพินิจหัวเราะ
    “เปล่าไม่ขอหอมแล้วคราวนี้ แต่ขอให้หอมบ้างต่างหาก” หลวงพินิจยิ้มอย่างขี้เล่นก่อนจะยื่นแก้มให้บ่าวหนุ่ม เส็งเขินอยู่แรกๆ แต่ก็ยื่นหน้าไปหอมแก้มหลวงพินิจราชอักษรเช่นกัน... จะมีอะไรที่เป็นสุขมากไปกว่านี้อีกหรือเส็ง?

   มะลิเดินไปที่เรือนบ่าวพร้อมด้วยภาชนะที่เก็บมาจากหลวงพินิจนั่งทบทวนอะไรในใจก็อดสงสัยไม่ได้ว่า สิ่งที่หล่อนได้ยินมาคืออะไรกันแน่ พอนึกไปว่าเรื่องมันอาจจะจริง ก็เกิดขนลุกขึ้นมา หล่อนไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังนายพูดอะไร เพราะรู้ว่าหากนายปิดประตูห้องแล้วนั่นหมายความว่าไม่อยากให้ใครมารู้เรื่องที่เกิดในห้องแต่สิ่งที่หล่อนบังเอิญได้ยินลอดออกมานอกประตูต่างหากที่ทำให้หล่อนรู้สึกกระดาก จะว่าขยะแขยงก็ไม่ถึงขั้นนั้น แต่แปลกๆในใจก้ำกึ่งระหว่าง ขยะแขยงกับแปลกใจ ปะปนกันจนขนลุก
    หลวงพินิจบอกเส็งว่า “ขอหอมหน่อย”
   อีกฝ่ายโวยวายว่า “คุณหลวง! กลางวันแสกๆนะขอรับ”
    อะไรล่ะนี่ หล่อนไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นมันจริงตรงกับสิ่งที่หล่อนคิดหรือเปล่า แต่ “หอม” นี่จะหมายถึงอะไรอื่นได้อีกถ้าไม่ใช่ว่า คุณหลวงกับเส็ง เป็นพวกลักเพศ เป็นชายรักชายหรือ
    มะลิขนลุก พยายามจะปัดความคิดนี้ออกจากใจแต่จนแล้วจนรอดก็ทำไม่ได้ จนแม้นั่งร้อยมาลัย ร้อยด้ายเข้าเข็มก็อดคิดไม่ได้ว่า นอกจากหอมแล้ว คุณหลวงกับเส็งจะ “ทำอย่างอื่น” กันด้วยหรือเปล่า ... อย่างร้อยด้ายเข้าเข็มนี้ จะทำได้อย่างไรในเมื่อผู้ชายมีแต่ “ด้าย” ไม่มี “เข็ม” ... หรือจะแทนรูเข็มที่แสนเล็กนี่ ด้วยรูอื่นหรือ
    หล่อนสะบัดสะบิ้งเมื่อนึกไปถึงรูอื่นที่ว่า ขยะแขยงเต็มทน
    “อะไรยะแม่ นั่งสะบัดอะไรอยู่ตั้งนานแล้ว” ชิด เพื่อนบ่าวคนสนิทของมะลิเอ่ยขึ้น อย่างอดใจไม่ได้
    “อู๊ยนางชิด ฉันไม่รู้จะพูดอย่างไร” หล่อนว่า “รู้หรือเปล่าว่าฉันไปได้ยินคุณหลวงพูดอะไรกับอ้ายเส็ง”
    แค่คำว่าคุณหลวงกับอ้ายเส็งเท่านั้น ชิดก็คลานเข้ามาหามะลิอย่างคนอยากรู้อยากเห็นเต็มที บ่าวคนอื่นๆใกล้ๆนั้นหันมามองอย่างสอดรู้เช่นกันแต่ไม่มีใครกล้าจะเข้ามานั่งฟังด้วย เพราะเข็ดเต็มทีกับประเด็น คุณหลวงและเส็งนี่ คราวที่แล้วก็ทำเอามั่นและแก้วทะเลาะกันแทบตาย มะลิกับชิดเห็นบ่าวคนอื่นสนใจ จึงเข้ากระซิบที่หูแทนพูดออกมาดังๆ
    “คุณพระคุณเจ้า อกอีชิดจะแตก” นางยกมือขึ้นแนบอกประกอบคำพูด ตาเบิ่งกว้างอย่างตกอกตกใจ “ตายแล้วขนาดนี้เทียวหรือนางมะลิ กลางวันแสกๆนี่นะ ไม่อายผีสางเทวดาหรือไร”
    “พวกหล่อนคุยอะไรกันน่ะ” แก้วลุกขึ้น เดินกรีดกรายเข้ามา “ได้ยินคำว่าอ้ายเส็ง อ้ายเจ๊กนั่นมันเป็นอย่างไร”
    ตั้งแต่คราวที่แล้วที่ทะเลาะกัน แก้วก็ไม่คุยกับเส็งอีก ที่เส็งผอมโซไม่ใช่เพราะอาหารไม่ถูกปาก แต่เพราะยายนอมกับแก้วรวมหัวกันแกล้งเส็งไม่เหลืออาหารไว้ให้เขากินต่างหาก มั่นจึงได้แต่ตักส่วนของตัวเองมาแบ่งเส็ง วันไหนหิวมากๆ ก็ต้องแอบสองแม่ลูกตำน้ำพริกอะไรกันเอง กินประทังหิวไปวันๆ เท่านั้น นอกจากนั้นแก้วยังไปคุยจนทั่วสร้างข่าวไม่ดีเกี่ยวกับเส็งมากมายจนเส็งแทบจะคุยกับใครไม่ได้เลยในบ้าน
    โชคดีหรือโชคร้ายไม่รู้ที่เขาได้รับอนุญาตไปอยู่เรือนใหญ่ จึงไม่ต้องทนอ้ำอึ้งคุยกับใครก็ไม่ได้ บางครั้งเส็งก็แอบร้องไห้ ได้แต่หวังลึกๆในใจว่าสักวันคุณหลวงกลับมาแล้วจะได้มีที่พึ่งทางใจ ได้มีความสุขกับใครเขาบ้าง
    มะลิกับชิดมองหน้ากันเลิ่กลั่กไม่กล้าตอบแก้ว
    “เอ๊ะ อีพวกนี้ เดี๋ยวกูได้ตบทั้งเข็มร้อยมาลัยนี่ดอก เล่ามาเดี๋ยวนี้นะ”
    เท่านั้นมะลิจึงต้องเล่าใหม่ให้แก้วฟังแต่แรก และอีกครั้งมั่นผ่านมาได้ยินเข้าพอดีอีก แก้วได้ยินก็ยกมือขึ้นทาบอกอาการเดียวกันกับชิดไม่ต่าง มั่นเองได้ยินเข้าก็ตกใจ จะก้าวขาหนีก็ทำไม่ได้เพราะอยากรู้เรื่องบ้างเช่นกัน
    “ตายแล้วนี่มันอะไร บ้านเมืองเปลี่ยนไปจะเหมือนเมืองฝรั่งหมดแล้ว ยังจะมีอย่างนี้อีก เดี่ยวนี้ผู้ชายไม่ต้องชอบผู้หญิงแล้วดอกรึ หันไปชอบผู้ชายด้วยกันเองแบบนี้ แถมยังมาพลอดรักอะไรกันกลางวันแสกๆอีก” แก้วโวย
    “นางแก้ว” มั่นเดินเข้ามา “ข้าว่าจะไม่ยุ่ง แต่ขอยุ่งหน่อยเถิด เอ็งพูดอะไรอย่างนั้น วันนี้เส็งมันทำซุปหอมใหญ่ไม่ใช่หรือมะลิได้ยินแต่หอมๆ ก็คิดไปเองหรือเปล่าว่าเป็นหอมอะไรอย่างนั้น”
    แก้วเชิดหน้าไม่สนใจคำพูดมั่น
    “มะลิ เอ็งได้ยินแน่ๆหรือว่าเป็นอย่างนั้น”
    ต่อให้แน่ใจ มะลิก็ไม่อยากให้เรื่องมันเลยเถิดไปกันใหญ่กว่านี้ จึงก้มหน้างุดตอบปฏิเสธ “ฉันได้ยินแต่หอมๆ อะไรนี่แหละจ้ะเลยคิดไปเองว่าเป็นหอม เอ้อ หอมแก้ม”
   “เอ้อ เห็นแล้วไหมล่ะ ทีนี้จะพูดจะจาอะไรกันก็ระวังหน่อย เดี๋ยวคุณหลวงรู้เข้าจะโดนโบยกันหมด พูดถึงเจ้าถึงนายกันอย่างนี้ได้หรือ บุญคุณที่เลี้ยงเราอย่างดีนี่ก็แค่ไหนแล้ว” นี่ล่ะนิสัยของคนสมัยเส็ง ความจงรักภักดีมันมีเปี่ยมอยู่ในใจบ่าวทุกคน พอพูดเรื่องบุญคุณเข้าหน่อยก็ไม่มีใครกล้าว่าร้ายอะไรนายของตน ต่อให้นายจะเลวร้าย ตัวเป็นบ่าวก็ต้องเข้าข้างช่วยเหลือนายทุกเรื่องไป
    ไม่ทันที่ใครจะได้เถียงอะไรอีก หลวงพินิจราชอักษรก็เดินขึ้นชานมาพอดี บ่าวทุกคนเห็นเข้าก็ตกใจรีบหมอบกับพื้นกันอย่างกลัวความผิด คิดว่าคุณหลวงรู้เรื่องทั้งหมด หลวงพินิจราชอักษรยืนเอามือไขว้หลัง กวาดตามองบ่าวทุกคน โดยไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง
    จนเส็งที่เดินเข้ามาด้วยข้างหลังเข้าใจดีแล้วว่า เหตุใดบ่าวไพร่ถึงกลัวคุณหลวงกันหมดอย่างนี้
    “พูดอะไรกันอยู่ งานการไม่รู้จักทำกัน” หลวงพินิจว่า บ่าวก็ก้มหน้างุดไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นตอบโต้ “เรามาเพื่อจะบอกว่า เส็งมันทำงานคัดลอกหนังสือที่สั่งไว้ก่อนไปหัวหินได้เรียบร้อยดีมาก จึงตบรางวัลให้เป็น เซเครแตร์ ประจำตัวเรา คอยทำงานที่มอบหมายทางด้านหนังสืออยู่ที่เรือนใหญ่ จะให้ทำงานดึกๆแล้วเดินมานอนที่เรือนบ่าวค่ำๆ มืดๆก็กลัวงูเงี้ยวจะฉกเอา เราจะให้เส็งนอนอยู่กับเราที่เรือนใหญ่ กางมุ้งนอนเฝ้าหน้าห้อง เช้ามาได้ทำงานกับเราที่โน่น เข้าใจหรือไม่”
    ทุกคนรับคำไม่มีใครกล้าออกความเห็นใดๆทั้งสิ้น
    “เวลาจัดอาหารไปให้ก็จัดไปสองที่เผื่อเส็งด้วย” จบประโยคนี้แก้วเงยหน้าขึ้นมอง ปากเกือบหลุดพูดว่า อย่างนี้ก็ถือว่าอ้ายเจ๊กเป็นนายเราอีกคนหรือเจ้าคะ แต่ก็ไม่ได้พูดออกมาได้แต่มองเส็งอย่างเคียดแค้น จงเกลียดจนชังเหลือแสน หลวงพินิจเห็นก็จ้องแก้วตาเขม็งก็กล่าวเสียงดังว่า “ใครมีอะไรจะขัดข้องหรือไม่”
    ไม่มีใครว่าอะไร หลวงพินิจจึงบอกต่อไปว่า
    “เอาละเส็ง เข้าไปเก็บข้าวของเอ็งแล้วรีบกลับไปทำงาน อย่าชักช้าเล่า งานไม่เสร็จจะโดนโบย” สั่งเท่านั้นหลวงพินิจราชอักษรก็เดินกลับเข้าบ้านไป ส่วนเส็งก็เดินเข้าไปเก็บของพยายามจะไม่สนใจสายตาใครทั้งนั้น ไม่มีใครพูดอะไรแต่เส็งแน่ใจมากว่าคนจะต้องนินทาเขาอย่างแน่นอนทันทีที่ก้าวเท้าลงจากเรือนบ่าวนี้
    
    เส็งอาบน้ำแล้ว ยืนดูหนังสืออยู่ที่ห้องหนังสือชั้นบนกำลังคิดว่าเล่มไหนหนอที่เขายังไม่ได้อ่าน จะได้อ่านให้หลวงพินิจฟัง แต่ไม่ทันจะเลือกได้นายหนุ่มหน้าคมสันก็โอบกอดเขาจากด้านหลัง บรรจงจูบไหล่เปลือยเปล่าของบ่าวหนุ่มน้อยค่อยจะเลื่อนปากมาจูบที่แก้มเนียนใส
    “คุณหลวงขอรับ บ่าวตกใจหมด”
    “ตกใจทำไม น่าจะรู้ไม่ใช่หรือว่าในบ้านนี้ คนที่ทำกับเส็งแบบนี้ได้มีแต่เราคนเดียวเท่านั้น” หลวงพินิจกระซิบข้างหู ก่อนจะเม้มขบติ่งหูเบาๆจนเส็งตัวสั่นไปหมดด้วยความเสียวกระสัน “เส็งจ๋า ที่รักของแสง”
    หลวงพินิจเรียกตัวเองด้วยชื่อจริง ยิ่งทำเอาเส็งตัวสั่นไหวไปทั้งตัว
    “รู้หรือเปล่าว่ารอเวลาอย่างนี้มานานแล้ว”
    เส็งไม่ตอบ ได้แต่ตัวสั่นไป หลวงพินิจแนบสนิทเข้าทางด้านหลังแบบนี้ อะไรต่อมิอะไรก็เสียดสีแนบแน่นกันจนเส็งหลับตาพริ้ม หลวงพินิจซุกหน้าลงที่ซอกคอขาวเนียน ก่อนจะกระซิบว่า
   “ไปที่ห้องเราเถิดนะ” ชายหนุ่มอุ้มเส็งขึ้นก่อนจะเดินออกไปเข้าห้องนอน วางลงบนเตียงสี่เสา รูดม่านลงปิด ดับแสงโคมไฟฟ้าก่อนจะขึ้นคร่อมอยู่เหนือร่างของเส็ง คุณหลวงหนุ่มก้มลงหอมแก้มอีกครั้ง ก่อนจะพูดว่า “เป็นของเรานะเส็ง”
      บทรักของหลวงพินิจนุ่มนวล เปี่ยมด้วยรัก รสสัมผัสไม่เหมือนที่เขาเคยอ่านจากบทอัศจรรย์ของวรรณคดีเรื่องใดเลย เป็นบทอัศจรรย์เฉพาะของเขากับหลวงพินิจราชอักษรสองคนแต่เท่านั้น

     “อิเหนาเริ่มแต่งถ้ำทอง    ให้แนบเนื้อนวลน้องต้องประสงค์
ก่ายกอดพลอดรักนวลอนงค์        ฟ้าดินก็คงเป็นใจ
พญาหงส์ลงสู่ถ้ำแล้ว       ไม่แคล้วเสียวกระสันหวั่นไหว
จนน้ำพุพุ่งเป็นสายฉับไว       ข้างในถ้ำทองสองเรา”

******************************************************************************************************

ทุกคนกำลังจะเกลียดคุณหลวงและที่ทำเส็งร้อง ผมต้องรีบช่วยคุณหลวงก่อน งิงิ
ที่คุณหลวงบอกว่าไม่มีอะไรที่หัวหิน มีใครเชื่อบ้างมั๊ยเอ่ย? ยกมือออ
ตอนหน้า เตรียมถ้วยเตรียมตะเกียบนะครับ ผมจะเสิร์ฟมาม่า รส "โป๊ะแตก" อร่อยๆ อิอิ

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย :-[ :-[ :-[

อ้่านไปเขินไปเจ้าค่ะ อาบแทน จ๊ะ จ๋า น่ารักเสียนี่กะไรคุณหลวงหละก็  เล่นเอาคนอ่านอายม้วนแทบตกเตียงนอนเลยทีเดียว
และแล้วก้เสร็จคุณหลวงจนได้นะเจ้าเส็ง  :haun4:


ว่าแต่ ก่อนมาม่า โป๊ะแตก  อยากได้มาม่าน้ำตก เลือดสาดอะค่ะ เลือด ข้าอยากเสียเลือดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด :haun4: :haun4: :haun4: :haun4: :haun4: :haun4:

+1เลยสำหรับตอนที่น่ารักที่สู๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-12-2010 22:16:06 โดย samsoon@doll »

pinkky_kiku

  • บุคคลทั่วไป
แย่หล่ะ คราวหน้าสงสัย เตรียมชามแบ่งไว้ได้เลย มาม่ามาแน่นอน
ที่คุณหลวงพูดไปเพราะไม่ให้เส็งกังวลรึเปล่า เฮ้อ จะเศร้าแล้วใช่ม๊ายเนี่ยะ
 :monkeysad: :monkeysad: ร้องไห้ไว้ก่อนล่วงหน้าเลย อิอิ :z2:

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
ชอบภาษาที่ใช้และการดำเนินเรื่องจริง ๆ โดยเฉพาะตอนย้อนเรื่องแบบนี้
รู้สึกว่ามันระรื่นหูไปหมด  กลอนก็ไพเราะนะเจ้าคะ
+1  ให้กับตอนหวาน ๆ รอรับมาม่าชามโตในตอนหน้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ayanae

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
ต้องมีอะไรเกิดขึ้นที่หัวหินแน่เลย
แต่ที่คุณหลวงไม่บอกเส็งเพราะกลัวเส็งกังวลหรือเปล่า
ตอนหน้าจะเศร้าแล้วหรือคะ  ขออย่าเศร้ามากนะคะสงสารเส็ง

ออฟไลน์ JJHJJH

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +293/-2
คุณหลวงหวานเว่อม๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก >//<
มาม่ามาแล้วเหรอ กาซิกๆ

ออฟไลน์ O_cha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
เชื่อแล้วครับ ว่าหวานกว่าน้ำผึ้งเดือนห้า

อ่านแล้วอินจนเขินตามเลย   :-[

zeen11

  • บุคคลทั่วไป
คุณหลวงนะคุณหลวง ทำเอาใจแป๊ว นึกว่าคุณหลวงจะหมดรักน้องเส็งซะแล้วววววววววววววว


กลับมาอีกที คุณหลวงหวานนนนนนนนนแบบน้ำตาลไม่ต้องมากๆๆ :haun4: :haun4: :haun4: :haun4:


แต่ไรเตอร์ขา เพิ่งสุขได้แค่ตอนเดียว จะมาม่าดราม่าอีกแล้วเหรอค่ะ โฮ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! :m15: :m15: :m15:

ออฟไลน์ kit

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1082
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +186/-3

• เส็งเห็นหลวงพินิจ หน้าเจื่อนไปนิดหนึ่ง แต่เขาก็ตีสีหน้ากลับมาเป็นปกติในไม่กี่วินาทีเส็งจึงไม่ติดใจอะไร
ต๊าย คุณหลวงไป’รับเสต็กกับฝรั่งก่อนจะกลับมาชิมสตูว์ฝีมือเส็งรึคะ   :sad4:
๑๐๓ + ๑ = ๑๐๔
ขอบคุณนะคะ คุณ Purple_Sky


ออฟไลน์ noina

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
+1ให้จ้า   หวานจริงอะไรจริงเนอะตอนนี้   แต่ตอนหน้าจะเศร้าอีกแล้วเหรอพี่   หน่าสงสารเส็งอ่ะ :m15: :m15: :m15:

ออฟไลน์ w1234

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 626
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1

MaeMoo

  • บุคคลทั่วไป
เก็บความหวานในครั้งนี้
เป็นกำลังใจหล่อเลี้ยง
สำหรับมาม่าในครั้งหน้า

เฮ้ออออ  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ ❝CHŌN❞

  • เหงา เหงา :(
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1924
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-3
ความหวานครั้งนี้จะทดแทนมาม่าครั้งหน้าได้รึเปล่าคะเนี่ย

ขอเศร้าก่อนล่วงหน้า  :monkeysad:

ปล. คุณหลวงทำเค้าเขินไปหลายที  :o8:

ออฟไลน์ Sorso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-3
และแล้ว...เส็งก็เสร็จคุณหลวง
555+

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ pp_song

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 863
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
 :-[ เขินแทนเส็งเลยอ่า

น่ารัก ..... :pig4:

ออฟไลน์ ┗◎┗◎

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2899
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +734/-7
เขินนน

คุณหลวงหวานมากกกกก

หวานเหมือนเอาน้ำเชื่อมมาราดทั่วตัว


ปล.ขำกลอน "ถ้ำทอง" เอิ๊กกๆๆๆๆ
 
+1

ออฟไลน์ Lady-Rabbit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 167
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
บทอัศจรรย์ แค่ไม่กี่ประโยคที่ตัดมาจากอิเหนานี่ก็จิ้นไปไกลแล้วค่ะ
เข้ากับอารมณ์เ้รื่องดีจริงๆ

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
เส็งมีความสุขก้ดีใจด้วย
แต่แอบห่วง บ่าวๆทั้งหลาย

ออฟไลน์ Purple_Sky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +354/-1
๑๙
   
   เส็งไม่รู้ว่า คนเรามีขีดจำกัดของความสุขหรือเปล่า แล้วหากมี... จะมีแค่ไหน จุดสูงสุดของความสุขจะอยู่เพียงที่เขามีอยู่ตอนนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เส็งนอนตะแคงข้างมีหลวงพินิจกอดซ้อนอยู่ด้านหลัง ร่างกายเปลือยเปล่าแนบชิดสนิทกันบนเตียง อุ่นไอจากกายของกันและกันมีมากจนไม่อยากผละออกจากกันสักนาที หลวงพินิจกระหวัดมือรอบเอวบางนุ่มนิ่มของเส็ง ใบหน้าแนบอยู่บนหน้าของบ่าวหนุ่ม ทั้งคู่นอนค้างอยู่ในท่านี้สักพักหนึ่ง หลับตาพริ้มราวจะบันทึกความทรงจำนี้ให้อยู่ในส่วนลึกที่สุดของสมองไม่ให้มีวันใดที่จะลืมไปได้สักนาที
    หลวงพินิจหอมแก้ม ก่อนจะบรรจงจูบซอกคอ และไหล่ขาวสะอาดของเส็ง บ่าวหนุ่มเองก็ชอบเหลือเกินเมื่อคุณหลวงทำแบบนี้ให้ จึงพลิกตัวหันเข้าหา ซุกหน้าเข้าร่างกายที่แข็งแรงกำยำของหลวงพินิจเพื่อหาไออุ่นหนุนอกแข็งแกร่งของนายผู้เป็นที่รักไว้
    เส็งหลับตาพริ้มแต่หลวงพินิจลืมตาอยู่ ไม่อาจถอดสายตาไปจากหนุ่มน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาได้
    “เจ็บหรือเปล่า” เขาถามขึ้นในที่สุด ด้วยเสียงแผ่วเบา คนถูกถามไม่ตอบ แต่ซุกหน้าเข้าหาร่างของหลวงพินิจแนบแน่นใกล้ชิดขึ้นอีกเท่าที่จะทำได้ เส็งอาจจะอาย หลวงพินิจเข้าใจจึงไม่คิดเซ้าซี้ ได้แต่กอดร่างนั้นไว้กับอกอยู่อย่างนั้นอีกพักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นอีกว่า “ขอให้เรามีสิทธิ์ทำแบบนี้กับเส็งคนเดียวนะ อย่ายอมให้ใครมาสัมผัสเส็งแบบที่เราทำ”
    มือของคุณหลวงลูบไปตามต้นแขนเส็งอย่างรักใคร่
    “ขอรับ” เขาพึมพำกับหน้าอกของคุณหลวงหนุ่ม
    “เส็งนิ่มไปทั้งตัว หอมเสียด้วย” เข้าจูบหน้าผากกลมมนอีกครั้ง “ไม่กล้าทำอะไรแรงเลย กลัวจะช้ำไปหมด”
    บ่าวหนุ่มหัวเราะ
    “เรานอนด้วยกันอย่างนี้ทุกคืนนะเส็ง” เจ้าของชื่อพยักหน้า หลวงพินิจก็กระซิบถามเบาๆที่ข้างหู “เหนื่อยหรือเปล่า”
    “ขอรับ”
    “งั้นหลับเถิดนะ”
    “ขอรับ” เส็งรับคำ “คุณหลวงขอรับ”
    “จ๋า”
    “บ่าวรักคุณหลวงขอรับ” เป็นครั้งแรกที่เส็งกล่าวคำนั้นก่อน และเป็นครั้งสุดท้ายที่หลวงพินิจได้ยิน หลวงพินิจราชอักษรซุกจมูกเข้ากับผมของเส็งที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ มีความสุขจนไม่อาจบรรยายออกมาได้ อยากอยู่อย่างนั้นไปนานแสนนาน
    “เราก็รักเส็ง” เขากระซิบเบาๆ “ไม่อยากปล่อยเส็งเลย อยากนอนกอดอยู่อย่างนี้ตลอดไป ไม่ลุกไปทำอะไรอีก”
    เส็งหัวเราะเบาๆ
    “บ่าวนอนแล้วนะขอรับคุณหลวง พรุ่งนี้เช้าจะตื่นทำกับข้าวไปใส่บาตรขอรับ พรุ่งนี้เป็นวันพระ”
    “จริงซี” เขาว่า “เราไปทำด้วยนะเส็ง”
    “ขอรับ”
    “ชาติหน้าได้เกิดมาเจอกันอีก เป็นคนรักของเราอีกนะเส็ง” เขาว่า  
    เส็งชอบคำว่า “คนรัก” มันฟังดูอ่อนหวาน นุ่มนวล ละเมียดละไม บ่งบอกชัดเจนว่า คนสองคนนี้เป็นคนที่รักกัน ไม่เหมือนคำว่า เมีย หรือ ผัว ที่แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของกันชัดเจน เส็งเป็นคนรักของคุณหลวง และคุณหลวงก็เป็นคนรักของเส็ง อย่างนี้จะไม่มีใครเป็นช้างเท้าหน้า หรือช้างเท้าหลัง ไม่มีใคร ใหญ่กว่าใคร มีแต่คนที่รักกันอย่างเท่าเทียมทั้งสองคนเท่านั้น
    เขาพยักหน้าเบาๆ
   “นอนเถิดหนายาหยีพี่จะกล่อม งามละม่อมมิ่งขวัญอย่าหวั่นไหว” หลวงพินิจกระซิบเบาๆที่ข้างหู
    “คุณหลวงจำได้ด้วยหรือขอรับ”
    “จำได้ซี ท่องมาเป็นพิเศษ เผื่อไว้ว่าหากวันไหนได้นอนกล่อมเส็งจะขับบทเห่กล่อมนี้ให้ฟัง เสียงไม่เพราะเท่าเส็งดอกนะ แต่ก็ตั้งใจร้อง”
   “เพราะที่สุดแล้วขอรับคุณหลวง” เส็งว่า
    “นอนเถิด กล่อมเรามาตลอดแล้ว วันนี้เราจะกล่อมเส็งเอง” หลวงพินิจว่าเห่กล่อมไปเรื่อย กระทั่งเสียงเงียบไปเส็งก็แอบลืมตาขึ้น กลายเป็นว่าหลวงพินิจหลับไปก่อนเขาเสียอีก
    “คงเหนื่อยกระมัง” เส็งนึกในใจ มองหน้าคุณหลวงยามหลับก็อดยิ้มไม่ได้ หน้าคุณหลวงนั้น “งามพร้อมดังเลขา” จริงๆ คือดูงดงามราวกับวาดรูปไว้ ตรงไหนวาดไม่สวยก็ลบออกแล้ววาดใหม่ จะวาดให้สวยงามสมบูรณ์แบบอย่างไรก็ได้ เห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้เลยว่า เส็งจะมานอนกอดคนที่บ่าวไพร่กลัวเกรงกันทั้งเรือนอย่างนี้ เสียงกระเส่าร้อง “เส็ง... เส็ง” ยังดังก้องอยู่ในหูไม่มีวันลืม บ่าวหนุ่มกระเถิบตัวขึ้นขโมยหอมแก้มหลวงพินิจไปเสียฟอดใหญ่
    “ขโมยหอมแก้มเขาตอนหลับอย่างนี้ จับมาลงโทษดีไหมนะ”
    “คุณหลวง” เส็งผละออกมา หน้าแดงก่ำ “ยังไม่หลับหรือขอรับ”
    หลวงพินิจลืมตาขึ้นหัวเราะ
    “จะหลับได้อย่างไร ก็เส็งเล่นหายใจรดหน้าอก รดต้นคอเราอยู่ เราไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะจะทำใจให้หลับได้”
    “คุณหลวง อย่าบอกนะขอรับ”
    “ไม่บอกหรอก จะทำเลย” เขายิ้มยั่ว ก่อนจะดึงเส็งขึ้นมาไว้บนตัว เหวี่ยงผ้าแพรผืนบางคลุมโปง มีแต่เสียงหัวเราะระริกระรี้ ดังอยู่ไม่ขาด ตามมาด้วยเสียงอื่นทื่ทำเอาจิตใจของหลวงพินิจกระเจิงไปไกล

    อีกเดือนกว่าต่อมา หลวงพินิจก็ไม่ยอมออกไปไหนเลย อยู่แต่กับเส็งทั้งวัน บอกว่าจะเร่งทำงานส่งกระทรวงธรรมการห้ามบ่าวไพร่คนไหนมายุ่ง พอหิวก็ให้เส็งไปยกสำรับจากโรงครัวมาให้ กินกันในห้องสองคนกระหนุงกระหนิงไม่มีใครกล้าขึ้นมาบนตึกใหญ่สักคน ความสุขของทั้งคู่ไม่จางหายไป หวานชื่นอย่างไรก็ยังเป็นอย่างนั้น ไม่ลดน้อยลงเหมือนคู่อื่นๆ
    วันนี้ เส็งออกมานั่งที่ท่าน้ำริมคลอง โปรยเศษข้าวที่ติดก้นหม้อให้ปลาน้อยใหญ่เป็นทาน ส่วนหลวงพินิจออกมานั่งทำงานอยู่ที่ศาลาริมสระบัว แต่ทั้งคู่ก็ยังพอเห็นกันได้ในระยะสายตา
    ที่ท่าน้ำนี้เองที่เส็งตื่นแต่เช้ามาใส่บาตรกับคุณหลวง
    เส็งยังจำได้คืนแรกที่นอนกับหลวงพินิจได้ กว่าจะได้นอนก็ดึกดื่นเต็มที กระนั้นเส็งก็ยังอุตส่าห์ตื่นมาแต่เช้าเพื่อทำกับข้าวใส่บาตร พอเส็งผละตัวออกจากคุณหลวงในตอนเช้า อีกฝ่ายก็คว้าข้อมือดึงบ่าวหนุ่มน้อยกลับมาบนเตียง
    “จะไปไหน”
    “ใส่บาตรไงขอรับคุณหลวง”
    “ไม่ไปไม่ได้หรือ อยู่อย่างนี้ต่ออีกหน่อยเถิดนะ”
    “ไม่ได้ขอรับ วันนี้วันพระนะขอรับคุณหลวง ทำอย่างนี้ไม่ได้แล้วขอรับ” บ่าวหนุ่มกระซิบอย่างร้อนใจ
    “โธ่เส็ง ก็อยู่ใกล้เส็งอย่างนี้ เราก็อยากอีกแล้วนี่นา”
    “คุณหลวง” เส็งโวยวาย “เมื่อคืนก็สองแล้วนะขอรับ อ้ายเส็งไม่ไหวแล้วขอรับคุณหลวง ไปแล้วเดี๋ยวไม่ทันพระบิณฑบาตขอรับ”
    เท่านั้น บ่าวหนุ่มก็รีบวิ่งหนี แต่คุณหลวงกลับวิ่งไล่ ทั้งที่ยังไม่นุ่งผ้าทั้งคู่ไล่จับกัน จนล้มลงไปบนเตียงอีกครั้ง ทั้งสองคนหัวเราะอย่างสนุกสนาน หลวงพินิจ หอมแก้มเส็งอีกแล้วก็พยายามเลื่อนปากลงมาต่ำกว่านั้น
    “คุณหลวง วันพระนะขอรับ” บ่าวหนุ่มน้อยอ้างเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่คุณหลวงจะหน้างอผละออกจากเส็งปล่อยให้บ่าวหนุ่มลุกขึ้นจากเตียง
    “ไม่รู้ละ เราจะทบไปรวมกับพรุ่งนี้”
    เส็ง แลบลิ้นใส่หลวงพินิจก่อนจะคว้าผ้าวิ่งเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ
    พออาบเสร็จนายบ่าวก็เดินออกจากเรือนมาพร้อมกัน หลวงพินิจนั่งอยู่ที่ศาลาริมน้ำ ปล่อยให้เส็งเดินไปโรงครัวคนเดียว พอถึงโรงครัวก็พบกับมะลิและชิด ที่มองเส็งแปลกๆราวกับไม่เคยเห็นหน้าเพื่อนบ่าวรุ่นน้อง
    “พี่มะลิ พี่ชิดทำอะไรอยู่จ๊ะ หอมเชียว”
    “แกงป่าหน่อไม้” หล่อนว่า “เอ็งจะเอาอะไร คุณหลวงหิวแล้วหรือ”
    “เปล่าจ้ะ คุณหลวงให้ทำกับข้าวใส่บาตรพระเช้านี้”
    มะลิพยักเพยิดไปทางแคร่ตัวใหญ่ที่วางอยู่ใกล้กันนั้น มีผักสดของกินอะไรต่อมิอะไรวางอยู่เต็มไปหมด
    “ของอยู่ตรงนั้น เอ็งจะทำอะไรก็ทำเถิดก่อนแก้วมันจะมาเห็น”
    เส็งยังไม่รู้เลยว่าแก้วเสียสติเพียงใดเมื่อเส็งได้ไปนอนกับคุณหลวงบนเรือนใหญ่เพียงสองคน กล่าวกับบ่าวไพร่ทุกคนว่าหากเจอเส็งเมื่อใดจะฆ่าทิ้งเสียดังนั้น ทั้งชิดทั้งมะลิจึงตกใจแทบจะทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นเส็งเดินมาหา
    เส็งไม่ใส่ใจ รวบรวมข้าวของประมาณหนึ่งเตรียมทำอาหารใส่บาตรกับคุณหลวง มะลิกับชิดอยู่ห่างจากเส็งมากที่สุดเท่าที่พวกหล่อนเคยเป็น ปกติหากเจอเพื่อนบ่าวคนนี้ หล่อนสองคนก็จะพูดโน่น พูดนี่อย่างคนช่างนินทา แต่คราวนี้ กลับเงียบไม่พูดอะไรเลย เส็งไม่ทันผิดสังเกตเพราะมัวแต่ขมักเขม้นทำกับข้าว พอทำเสร็จก็ขอตัวออกมาโดยไม่รู้เลยว่า สองบ่าวรู้สึกประหลาดเพียงใดกับเขา
    หลวงพินิจรออยู่ พอเส็งเดินเข้ามาก็ช่วยประคองยกของไปรอที่ท่าน้ำ รอพระพายเรือมาบิณฑบาต ก็ใส่บาตรรับพรกันไป หลวงพินิจลอบมองเส็ง บ่าวหนุ่มก็มองอีกฝ่ายเช่นกัน ยิ้มให้กันตรงนั้นทั้งๆที่รับพรอยู่ จนพระพายเรือออกไปแล้ว หลวงพินิจก็ชวนเส็งไปบางรัก ซื้อข้าวซื้อของฝรั่งมาไว้ที่บ้าน
    เขาว่าคนทำบุญร่วมกันจะได้เกิดมาเจอกันอีกชาติหน้า เส็งไม่รู้หรอกว่ามันจะจริง


    นึกถึงเหตุการณ์วันนั้นได้ไม่นานนัก เส็งก็รู้สึกว่ามีใครเดินมานั่งข้างๆ ด้วยความเคยชินก็พูดออกไปเองว่า
    “คุณหลวงหิวแล้วหรือขอรับ เดี๋ยวบ่าว...” พอหันหน้ามาก็กลับพบกับมั่นไม่ใช่คุณหลวง ก็ชะงักเก็บคำว่า เดี๋ยวบ่าวทำอาหารให้ไปรับพร้อมๆกัน ลงคอไปได้ทันท่วงที เพื่อนบ่าวรุ่นพี่นิ่วหน้าอย่างครุ่นคิดว่า เส็งพูดกับคุณหลวงราวกับว่าหลวงพินิจจะมานั่งข้างๆ กับบ่าวถึงขนาดนี้หรือ
    “ไงเส็ง เดี๋ยวนี้แทบไม่ได้เจอไม่ได้คุยกันเลย” มั่นว่า “สบายดีหรือ”
    “จ้ะ” เส็งสงวนท่าที เก็บปากไว้ไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น
    “ข้าไม่อ้อมค้อมล่ะนะ ข่าวพูดลือกันให้ทั่วว่าเอ็งไปบางรักกับคุณหลวง เดินคู่กันสนิทสนมทัดเทียบนายเลยหรือ” เส็งไม่ตอบ นิ่งเงียบไปเสียเฉยๆ มั่นก็ตีความเอาเองว่า สิ่งที่เขาพูดคงจะถูกต้องแล้ว “ข้าไม่รู้ดอกนะว่าเอ็งคิดอะไร จะทำอะไร ข้าก็ไม่ใช่นายไม่ใช่ญาติผู้ใหญ่จะว่ากล่าวตักเตือนก็เพราะหวังดี แต่ถ้าจะไม่ฟัง ก็เข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องของข้า”
     “ฉันนับถือพี่มั่นเป็นเหมือนพี่แท้ๆของฉันจ้ะ”
    “เอาเถิด ข้าจะเตือนเอ็งว่า บ่าวไพร่มันพูดกันหนาหูเรื่องเอ็งกับคุณหลวง เอ็งน่าจะรู้ว่าคุณหลวงไม่เคยโปรดใครเกินเอ็ง ขนาดเทิดถ้าจะให้ค้างที่เรือนใหญ่ก็มีบ้างวันสองวันเท่านั้นไม่เคยค้างอยู่ตลอดแบบนี้ แล้วไม่มีใครเห็นว่าเอ็งทำอะไร ไม่ทำอะไร ก็สงสัยกันว่าเอ็งกับคุณหลวงจะทำอะไรกันเกินเลยหรือเปล่า” มั่นว่าไม่หยุด จนมาถึงตรงนี้ก็ยังจะพูดต่อเส็งจะเถียงก็ไม่ได้ เลยได้แต่เงียบฟังเฉยๆ “มะลิมันก็เคยได้ยินเสียงเอ็งพูดจากับคุณหลวงมันบอกว่าไม่เหมือนบ่าวคุยกับนาย แล้วเมื่อคืนอ้ายฟักมันหนีเที่ยวกลับมาดึกก็เลยขึ้นท่าน้ำ ก่อนเขตเรือนเรา เดินเลาะมาทางหน้าเรือนเทา พออ้อมมาข้างหลังมันก็ได้ยินเสียงเอ็งกับคุณหลวง...”
    มั่นเงียบไม่รู้จะพูดต่ออย่างไร
    “เอ้อ... เสียงแบบแปลกๆ มันก็ว่าขนลุกไม่คิดว่าเอ็งจะกล้าเล่นสวาทกับคุณหลวงถึงบนเรือน” มั่นเงียบในที่สุด
    เส็งพอเงียบก็ไม่ตอบโต้หรือแก้ตัวอะไร ได้แต่นั่งเฉยเพราะไม่มีอะไรจะแย้งเพราะที่มั่นพูดนั้นเป็นความจริงทั้งหมด
    “ข้าไม่เชื่อ ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไรข้าก็เข้าข้างเอ็งมาตลอด แต่ข้าก็เคยเห็นสายตาของคุณหลวงเวลามองเอ็ง” เขาเงียบ “แล้วก็ท่าทาง การพูดจาไม่เหมือนกับเวลาพูดกับบ่าวคนอื่นๆ  อีกทั้งที่เอ็งพูดเมื่อครู่ น้ำเสียงที่เอ็งใช้มันไม่เหมือนเวลาบ่าวพูดกับนาย ข้าเองก็เลยชักไม่แน่ใจ”
     “พี่มั่น ฉัน...”
    “ข้าจะไม่ถามเอ็งดอกนะว่า เอ็งกับคุณหลวงทำอะไรกัน เป็นอะไรกัน แต่จะบอกว่าไม่ว่าจะทำอะไรอย่างที่ข้าคิด หรือคนอื่นคิดหรือไม่ อย่างน้อยๆความจริงเป็นอย่างไรก็ไม่มีใครพร้อมจะเชื่อ ต่างก็เชื่อแต่สิ่งที่ตัวเองคิดว่าใช่คิดว่าถูกกันทั้งนั้น เอ็งจะให้คนอื่นมองเอ็งไม่ดี ให้คนอื่นมองคุณหลวงไม่ดีหรือเส็ง” พี่บ่าวพูดอย่างจริงจัง จนเส็งอดหน้าเศร้าไม่ได้ “ข้าไม่รู้หรอกว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร แต่เอ็งต้องเลิก”
    “เลิกหรือ...”
    “ใช่ อย่าให้เรื่องถึงเจ้าคุณไพรัชกิจ เลยเทียว ไม่อย่างนั้นเอ็งได้ตาย คุณหลวงได้โดนเฆี่ยนเป็นแน่ แล้วอีกอย่าง เอ็งไม่สงสารคุณหยาดนายเก่าเอ็งหรือ”
คุณหยาด ต้องพูดถึงคุณหยาดอีกแล้วหรือ ทำไมทุกคนต้องพูดถึงคนคนนี้ทุกทีด้วย “คุณหยาดจะมาเป็นภรรยาของคุณหลวงที่นี่ หากเอ็งยังทำอย่างนี้ต่อไป หรือต่อให้เอ็งไม่ทำ แต่ปล่อยให้คนอื่นคิดอย่างนี้ต่อไป เอ็งคิดว่าผลดีจะตกอยู่ที่ใครบ้างหรือ”
    เงียบ เป็นความเงียบที่ยาวนานกว่าครั้งใดที่เส็งเคยคุยกับมั่น
    “ที่มาเตือนก็เพราะหวังดี ถ้าไม่อยากให้เข้าใจผิดกันมากกว่านี้ มาอยู่เรือนบ่าวเหมือนเดิมเถิด หรืออยู่ไม่ได้จริงๆก็ขอคุณหลวงออกจากเรือนเสีย ไปอยู่กับข้าที่ต่างจังหวัด ทำนา ทำไร่ช่วยกันกับข้า คงไม่ลำบากเท่าไรดอก”
    เส็งน้ำตาคลอ ไม่เขาจะไม่มีวันไม่จากคุณหลวง ไม่มีวันเด็ดขาด
    “พี่มั่น แล้วพี่มั่นไม่สงสารฉันบ้างหรือ”
    “ข้าไม่รู้ดอกเส็ง ว่าสิ่งที่เอ็งทำอยู่มันเป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่า แต่หากมันดีเหตุใดคนไม่เป็นกันทั้งพระนคร เหตุใดมีแต่เอ็ง และคนบางคนที่ยังต้องหลบๆซ่อนๆอยู่ทุกวันนี้ เพื่อผลดีต่อเอ็ง และคุณหลวงเอ็งต้องเลิก
    ให้คุณหลวงเขาได้มีลูกมีเมีย ออกหน้าออกตาให้สมเกียรติเถิด”
    พูดได้เท่านั้น มั่นก็ทำท่าจะลุกออกไป ปล่อยเส็งให้ทอดความคิดทบทวนอะไรไปเรื่อย กระทั่งเส็งมองเหม่อลอยไปทางต้นน้ำ ก็เห็นเรือจ้างลำหนึ่งลอยามกระแสน้ำมา พอเห็นคนที่อยู่บนเรือก็ตกใจไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกครั้งเร็วขนาดนี้ เส็งพูดชื่อของคนบนเรือที่ยิ้มให้เขาอย่างใจดีออกมาอย่างเผลอตัว จนมั่นไม่ได้ลุกไปไหนต้องกลับมารับคนคนนั้น
    “คุณหยาด” เส็งพูดได้เท่านั้นจริงๆ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-12-2010 20:22:02 โดย Purple_Sky »

ออฟไลน์ Purple_Sky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +354/-1
    สตรีในเสื้อแพรไหม โจงกระเบนสีเข้ากันเดินแช่มช้อยขึ้นมาบนท่าเรือ หล่อนยังงามอยู่ไม่ต่างจากที่เส็งเคยเห็นจนเบื่อ แต่หล่อนดูมีเรื่องทุกข์ มีเรื่องกังวลอยู่ในใจแววตาดูเศร้าหมองไม่เหมือนคนกำลังจะแต่งงานในอีก สองสัปดาห์เลย กระนั้นหล่อนก็ยังยิ้มอย่างสง่างามเมื่อเห็นเส็ง
    “ว่าอย่างไร พ่อคนเก่ง” หล่อนทักอย่างยั่วล้อ “อยู่สุขสบายดีหรือ ดูท้วมๆขึ้น จากครั้งที่แล้วที่เห็นคงกินดีอยู่ดีซีท่า”
    ดีมากขอรับ เส็งอยากตอบแบบนี้ ดีกว่าตอนอยู่กับคุณหยาดมากนักขอรับ หากความจริงตอบได้แต่เพียง “ดีขอรับ คุณหลวงเธอเมตตาบ่าวมากขอรับ” เท่านั้น
    “แหม ฉันไม่ดีกับเอ็งเลยกระมัง”
    “มิได้ขอรับ”    
   หยาดหัวเราะลงลูกคอเบาๆ ก่อนจะพูดว่า
    “แล้วคุณหลวงอยู่เรือนหรือเปล่ามาหาไม่ได้บอกล่วงหน้า มีเรื่องด่วนจะแจ้งให้คุณหลวงทราบ”
    “อยู่ที่ศาลาขอรับ บ่าวจะพาคุณหยาดไปหาขอรับ”
    เส็งลุกขึ้นจากพื้นไม้ ให้หยาดเดินนำหน้าไปเล็กน้อยแล้วจึงตามไปอย่างสงบเสงี่ยม พอถึงศาลา คุณหลวงคงเห็นหยาดมาแต่ไกลจึงไม่ได้มีสีหน้าประหลาดใจนัก รับไหว้หล่อนอย่างไม่สู้เต็มใจ เส็งเห็นอยู่เต็มตาว่าทั้งคู่ไม่ได้รักกันแม้แต่น้อย จะให้แต่งงานกันแล้วให้เขาถอยเปิดทางให้หรือ ทั้งที่หลวงพินิจก็รักเขาอยู่เต็มอก
    เส็งสังเกตว่าไม่ใช่เพียงแต่คุณหลวงเท่านั้น ที่มีสีหน้าเรียบเฉย คุณหยาดเองก็วางสีหน้าเรียบสนิทไม่ได้ยิ้มแย้มอย่างทุกครั้งที่เจอนายบ่าวของเขาราวกับมีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสองที่หัวหิน โดยที่เส็งไม่ได้รู้เรื่องด้วย
    “แม่หยาดมาหาฉันมีธุระอะไรหรือ” สรรพนาม “พี่” เปลี่ยนเป็น “ฉัน” อย่างห่างเหิน ทั้งมั่นทั้งเส็งต่างก็รู้สึกได้เช่นกัน “นั่งก่อนซี”
    หยาดนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับคุณหลวง
    “ดีฉันมีเรื่องมาแจ้งให้คุณหลวงทราบเจ้าค่ะ” หล่อนว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานนอบน้อมเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน เส็งแอบคิดในใจว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องแต่งงาน แต่คุณหลวงหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นก่อน ราวรู้ใจเส็ง
    “ถ้าจะมาย้ำว่าอีกสองอาทิตย์จะได้แต่งงานกันละก็ ไม่จำเป็นดอกนะ ฉันยังจำได้อยู่ขึ้นใจ”
    หยาดมองหลวงพินิจอย่างเคืองๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรตอบโต้ ยังคงคุมสติอยู่ได้ พูดเรื่อยๆไปในสิ่งที่หล่อนจะต้องมาพูด
    “คุณหญิงไพรัชกิจมาเยี่ยมคุณหญิงแม่ที่เรือนวันนี้เจ้าค่ะ พอดีมีคนบอกข่าวว่า ที่วัดพระเชตุพน จะมีเทศน์มหาชาติวันเสาร์ และวันอาทิตย์นี้ คุณแม่เห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ทำบุญใหญ่ก่อนวันแต่งงาน จึงให้ดีฉันเป็นเจ้าภาพกัณฑ์มัทรี พอดีว่าคุณหญิงไพรัชกิจก็เห็นดีด้วย ก็เลยบอกรับให้คุณหลวงเป็นเจ้าภาพกัณฑ์กุมารเจ้าค่ะ ทีนี้คุณหญิงไพรัชกิจกับคุณหญิงแม่เจอกันแล้วก็อยากคุยกันประสาแม่ๆ จึงวานให้ดีฉันมาแจ้งเจ้าค่ะว่า เริ่มเทศน์กัณฑ์กุมารตอนเวลาประมาณหนึ่งทุ่มดีฉันและคุณหญิงแม่จะทำเครื่องกัณฑ์ไปเตรียมการสำหรับกัณฑ์มัทรีหลังจากนั้นเล็กน้อย ทางคุณหลวงตอนแรกคุณหญิงไพรัชกิจก็จะเป็นฝ่ายเตรียมให้ ทีนี้เห็นว่าที่นี่มีเส็งอยู่ด้วย” หลอนหันมาทางเส็ง ประกอบคำพูด “เลยวานให้ดีฉันมาบอกว่า ให้เส็งช่วยเตรียมกับข้าวกับปลา เครื่องคาวหวานไปให้สมฐานะเจ้าภาพ ขอให้ทำสุดฝีมือเจ้าค่ะ”
    หลวงพินิจฟังเรื่องแสนยาวนี้จบ คิดว่าจะต้องนั่งเบื่อว่าต้องไปฟังเทศน์กับแม่หยาด แต่พอได้ยินชื่อเส็ง ก็นึกสนุกว่าจะมีงานใหญ่มาให้บ่าวหนุ่มคนรักทำไปอวดใครได้ออกหน้าออกตา
   “ดี เส็งได้แสดงฝีมือเต็มที่ เส็งจะขัดข้องหรือเปล่า” คุณหลวงจบประโยคก่อนจะทันได้พูด จ๊ะ
    “มิขัดข้องเลยขอรับ เต็มใจอย่างยิ่งเลยขอรับ”
    ได้ทำงานใหญ่แบบนี้ทั้งที เส็งนึกสนุกเหลือเกินนึกถึงตอนตรุษจีนเมื่อครั้งพ่อแม่ยังอยู่ ต้องเตรียมทำขนมจีบ ซาลาเปา ขนมเทียน ขนมเข่งอะไรกันวุ่นวายไปหมด แต่ถึงเหนื่อย ถึงวุ่นวายก็ยังสนุก งานนี้เส็งว่าก็คงสนุกเช่นกัน หากได้ไปกับคุณหลวงด้วย
    “ดีแล้ว ช่วยกันเตรียมงานไป แล้วก็คุมอาหารไปกับเราด้วยเสียเลยนะ ในวันงาน” หลวงพินิจยิ้ม
    หยาดเห็นหลวงพินิจอารมณ์ดี หล่อนก็อดอารมณ์ดีด้วยไม่ได้ จนเมื่อหลวงพินิจพูดประโยคต่อมาหล่อนถึงกลับไปอารมณ์ขุ่นมัวอีกครั้ง
    “แม่หยาดเสร็จธุระแล้ว จะให้มั่นไปส่งที่ท่าน้ำ”
    “ยังไม่เสร็จเจ้าค่ะ” หล่อนว่า เสียงเริ่มแข็งมาบ้าง “ดีฉันขอรบกวนเวลาคุณหลวงไม่นาน คุยกับคุณหลวงเป็นการส่วนตัว คงจะไม่ขัดข้องนะเจ้าคะ”
    ด้วยเหตุนี้ หลวงพินิจจึงมองหล่อนขวางๆ ก่อนจะบอกมั่นให้กลับเรือนบ่าวไปก่อน ให้เส็งรอเขาอยู่ที่ศาลานี้ ตัวเองเดินเข้าประตูหลังของบ้านไป ผ่านห้องครัว มาห้องนั่งเล่น แต่ไม่ได้นั่งลงกับตั่งไม้ แต่ยืนไขว้หลัง หันหลังให้หล่อนให้เห็นชัดเจนว่า ไม่อยากคุยกับหล่อนเพียงใด
    “คุณหลวงก็ทราบแล้ว ดีฉันคงไม่ต้องย้ำเรื่องงานแต่งงาน”
    “ไม่ต้องดอก”
    “คุณหลวงจะไม่หันมาพูดดีๆ กับดีฉันสักครั้งจริงๆหรือเจ้าคะ” หล่อนว่าเสียงสั่นคลอราวกับน้ำตาจะหลั่งออกมาเดี๋ยวนั้น “คุณหลวงไม่สงสารดีฉันบ้างหรือคะ ที่ต้องแต่งงานกับคนที่เขาไม่รัก”
    น้ำตาไหลรินอาบแก้มหยาดอย่างห้ามไม่ได้
    “ทำไมคะ ดีฉันไม่ดีตรงไหน เสื่อมเสียตรงไหน ต่ำต้อยตรงไหนคุณหลวงถึงไม่สนใจดีฉันบ้างเลย” หล่อนโพล่งออกมาอย่างควบคุมไม่ได้อีกต่อไป คำขานเจ้าคะอย่างเจียมตัว ลดมาเป็นเพียง คะ อย่างเพื่อน หรืออย่างคนรักใช้กันเท่านั้น “คุณหลวงทำท่าปั้นปึ่งกับดีฉันมาตลอด ตอนไปหัวหินก็ไม่คิดจะคุยกับดีฉัน แถมยังจะเรื่อง....” หล่อนเงียบไปสักพัก เรียบเรียงคำพูดแล้วจึงพูดต่อ “เราจะแต่งงานกันอยู่แล้วนะคะ คุณหลวงไม่คิดจะทำดีกับดีฉันบางเลยหรือ พี่แสงไม่คิดจะมองน้องในสายตาบ้างเลยหรือ”
    หลวงพินิจจะอ้าปากตอบ แต่หล่อนก็ว่าต่อไป
    “พี่แสงเคยสัญญากับน้องนะคะ ว่าจะอยู่กับน้อง อยู่กับน้องน้องตั้งแต่ก่อนไปเมืองนอก แล้วนี่อะไรคะ พี่แสงเป็นหลวงพินิจราชอักษร น้องเป็นแค่อีหยาด ต้องเรียก “คุณหลวง” ต้องเรียก “ดีฉัน” พูดเจ้าคะเจ้าขาราวกับเราอยู่คนละฐานะ ราวกับไม่ใช่เพื่อนเล่นกันตั้งแต่สมัยเด็กๆ แม้แต่อยู่เป็นเพื่อนพี่แสงยังทำตามสัญญาไม่ได้ ทุกวันนี้ เราปฏิบัติต่อกันไม่ต่างจากแค่คนรู้จักเลยนะคะ
    พี่แสงตกลงแต่งงานกับน้องทำไม ถ้าพี่แสงไม่รักน้อง หรือกลัวขัดใจเจ้าคุณไพรัชกิจ ถ้าเป็นเพียงเท่านั้น เราอย่าแต่งงานกันเลยค่ะ น้องเคยเชื่อนะคะ ว่าสักวันพี่แสงจะหันมาหาน้อง จะรักน้องบ้าง แต่นี่ อีกไม่กี่สิบวันจะแต่งงานกันอยู่แล้ว พี่แสงก็ยังไม่ไยดี น้องทำผิดอะไรคะ พี่แสงถึงไม่รักน้องบ้าง ไม่ไยดีน้องบ้างเลย ถ้าพี่แสงคิดว่ามีเพียงพี่แสงเท่านั้นที่ไม่อยากแต่งกับน้อง พี่แสงก็คิดผิดละค่ะ เพราะน้องเองก็ไม่อยากแต่งงานกับคนที่เขาไม่รักเราเหมือนกัน”
    “ว่าอย่างไรนะ” หลวงพินิจหันมา มีสีหน้ายินดีปรากฏอยู่บนหน้าอย่างซ่อนไว้ไม่มิด
    “พี่แสง...”
    “แม่หยาดไม่อยากแต่งหรือ ดีละ ถ้าอย่างนั้นพี่จะบอกเจ้าคุณพ่อให้ยกเลิกถอนหมั้นเสีย ไม่แต่งก็ได้จะได้ไม่เป็นการทำร้ายจิตใจกัน”
    “พี่แสง!” หยาด น้ำตาไหลรินอย่างห้ามไม่ได้อีกต่อไป “ทำไม ทำไมพูดถึงเพียงนี้ นี่ไม่เห็นใจน้องบ้างเลยหรือคะ”
    หลวงพินิจรู้สึกผิด เมื่อเห็นน้ำตาไหลรินออกจากดวงตาคู่สวยของแม่หยาดอย่างนั้น เขารู้สึกตัวว่าพูดแรงเกินไป แต่หากไม่พูดอย่างนี้ เรื่องมันจะจบได้อย่างไร หลวงพินิจตัดสินใจแล้วว่า จะต้องพูดให้รู้เรื่อง วันนี้เรื่องจะต้องจบไป เขาจะต้องพูดกับหยาดให้รู้เรื่อง ก่อนพูดกับเจ้าคุณพ่อ และคุณหญิงแม่ ว่าเขาจะไม่มีวันยอมให้ใครมาจับคลุมถุงชนอย่างคร่ำครึอีกต่อไป
    “แม่หยาด ไม่รักก็คือไม่รัก ถ้าไม่รักตอนนี้ ต่อให้เวลาผ่านไปแค่ไหนก็คือไม่รัก” เขาว่าก่อนจะหันหลังให้หยาดเพราะไม่อาจทนเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาอย่างนั้นได้ กลัวว่าจะเห็นใจ กลัวว่าจะเผลอไปมีใจให้หยาดเข้า
    แต่หยาดไม่ยอมแพ้ หล่อนตรงเข้ามากอดหลวงพินิจราชอักษรจากข้างหลัง “แต่น้องรักพี่แสงนะคะ ถ้าหากรักไปแล้ว ต่อให้เวลาผ่านไปแค่ไหน หรือเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็คือรัก เช่นกัน”
    หลวงพินิจแกะแขนของหยาดออก
    “พี่แสง...” หล่อนสะอื้นไห้
    “แม่หยาด ตัวเป็นหญิงมากอดชายก่อนแบบนี้ไม่งามนะ” เขาพูดเบาๆ
    “พี่แสง... แล้วเรื่องที่หัวหินล่ะคะ”
    “ไม่มีเรื่องอะไรที่หัวหินทั้งนั้น” หลวงพินิจราชอักษรพูดเสียงเข้ม “ไม่เคยมีเรื่องอะไรระหว่างเราเกิดขึ้นที่หัวหินทั้งนั้น ไม่เข้าใจหรือแม่หยาด”
    “เข้าใจแล้วค่ะ” หยาดว่า “ถ้าอย่างนั้นน้องก็ต้องขอขมาพี่แสงด้วย น้องรู้แล้วว่าไม่ว่าจะอย่างไรคงเปลี่ยนหัวใจพี่แสงไม่ได้ ไม่รัก ไม่แต่ง ก็แล้วกันค่ะ หลังงานเทศน์มหาชาติน้องจะบอกเจ้าคุณพ่อเองว่าน้องไม่แต่งกับหลวงพินิจราชอักษร เพราะน้องมีคนอื่นที่น้องรักอยู่แล้ว”
    “เอ้า ใครกัน เหตุใดไม่บอกแต่แรกว่ามีคนที่รักอยู่แล้ว” หลวงพินิจงุนงงตามหยาดไม่ทัน ได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
    คำตอบของหยาดทำเอาหลวงพินิจเงียบไป
    “ดีฉันไม่อยากแต่งงานกับหลวงพินิจราชอักษร เพราะดีฉันไม่ได้รักเขา และเขาก็ไม่ได้รักดีฉัน คนที่ดีฉันรักและอยากแต่งงานด้วยคือพี่แสง เพื่อนเล่นสมัยเด็ก ที่ดีฉันรู้จัก แต่ดูเหมือนเขาจะได้ตายจากดีฉันไปแล้วตั้งแต่เขาเดินทางไปฝรั่งเศส” หล่อนหลับตา น้ำตาหยดสุดท้ายไหลรินไปถึงคาง “กลับมาแต่หลวงพินิจราชอักษร ที่ดีฉันไม่เคยรู้จัก และไม่เคยเข้าใจ ดังนั้นดีฉันจะไม่แต่งงานกับใครเลย!”
    หล่อนว่าเท่านั้นก็ปาดน้ำตาเดินออกจากห้อง แล้วตรงออกจากเรือนขึ้นเรือจ้างจากไปในที่สุด
    หลวงพินิจราชอักษรนั่งลงบนตั่งไม้ยกมือกุมขมับ จริงอยู่ที่เขาไม่รักแม่หยาด จริงอยู่ที่เขาไม่สนใจว่าแม่หยาดจะคิดอะไร รู้สึกอย่างไรแต่เขาก็เป็นคนไม่ชอบถูกทำร้าย และไม่ชอบทำร้ายใครเช่นกัน ไม่ว่าจะทางกาย วาจา หรือใจก็ตาม แล้วดูเขาตอนนี้ซี เขาทำร้ายแม่หยาดได้ลงคอ เพื่อนเล่นสมัยเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร เพียงถูกคลุมถุงชนกับเขา เท่านั้น หล่อนก็แค่เล่นไปตามบท ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่า เขาไม่ได้รัก หรือห่วงใยหล่อนเลยแม้แต่น้อย
    แล้วหล่อนผิดอะไร เขาถึงต้องทำร้ายหล่อนได้ถึงเพียงนี้
    ถ้าเขาจะแค่แต่งงานไปตามบทเช่นกัน ไม่รักแต่ก็ไม่ทิ้ง ไม่เลิกเพื่อรักษาน้ำใจหล่อน หยาดคงจะดีใจและมีความสุข .... แน่หรือ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกน่ะหรือว่าสามีไม่ได้รักเลย หยาดเอง ก็คงเสียใจกล้ำกลืนฝืนทน อยู่กันแบบรอวันตายจากกันเท่านั้น แล้วเส็ง...
    เส็งเปิดประตูเข้ามา เห็นหลวงพินิจนั่งอยู่ท่าทางเคร่งเครียดก็เข้ามากอดเขาไว้ด้วยความรัก ด้วยความอบอุ่น
    ... แล้วเส็งเล่า ถ้าเขาแต่งกับหยาดเส็งก็คงเสียใจไม่แพ้กัน เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ เขาได้อยู่กับคนที่เขารัก หยาดก็ไม่ต้องฝืนอยู่อย่างไม่มีความสุข อย่างนี้ก็น่าจะดีสำหรับทุกฝ่ายแล้วนี่
    แปลกอย่างหนึ่งตรงที่ อ้อมกอดของใครคนหนึ่งมันช่างต่างจากอีกคนเสียนี่กระไร อ้อมกอดของใครคนนี้มันทำให้เขารู้ตัวว่า เขาไม่ได้ต้องการอ้อมกอดของใครอีกคนมากแค่ไหน อ้อมกอดของคนที่เขารัก เท่านี้ก็เพียงพอแล้วให้เขาหลุดพ้นออกจากภาวะตึงเครียด ไม่สบายใจ เขากอดเส็งตอบ นานมาก นานโดยที่เส็งก็ไม่คิดถามว่าเขาพูดอะไรกับหยาด ตลกตรงที่พูดระบายอารมณ์กับคนนับร้อยนั้นเทียบอะไรไม่ได้เลยกับการกอดคนที่รักและเข้าใจเราแค่คนเดียว
    หลวงพินิจกระซิบข้างหูเส็งด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ดวงตารื้นไปด้วยน้ำตา กระนั้นก็เป็นน้ำตาแห่งความสุขเช่นกัน “เราไม่ต้องแต่งงานกับแม่หยาดแล้วนะ”
    อย่างนี้แหละ อย่างนี้ดีแล้วสำหรับทุกฝ่าย หลวงพินิจคิดในใจ
    แต่หากมันดีจริง เหตุใดเขาถึงยังคิดถึงแม่หยาด เหตุใดถึงเป็นห่วงและรู้สึกผิดถึงเพียงนี้เล่า

******************************************************************************************************
รอบนี้เสิร์ฟมาม่าน้ำขลุกขลิก นิยายผมไม่มีร้องทีเดียวจบนะครับ
แต่น้ำตาจะซึมไปเรื่อยๆ เพิ่มดีกรี จนตาบวมกันไปข้างหนึ่ง 5555+ (ข้างหนึ่ง = ไม่คุณหลวง ก็เส็ง)
ส่วนไรท์เตอร์ ร้องไปแล้ว สองรอบ ให้บทบทเดียวที่แต่งยากที่สุดในเรื่อง ซึ่งอีกไม่นานทุกคนก็คงจะรู้ครับว่าตอนไหน

ปล. กลอนจากตอนที่แล้วผมแต่งเองครับ ไม่ได้เอามาจากบทพระราชนิพนธ์อิเหนา ยืมชื่อ "อิเหนา" มาใช้เฉยๆ อิอิ
ปล2 ขำคุณ Samsoon แอบหื่น ไม่สิ หื่นอย่างเปิดเผยนะครับ 555+
ปล3 คุณกิต ไม่ใช่เสต็กหรอกครับ แต่เป็น... หึหึ เดี๋ยวก็รู้ครับ
ปล4 คุณzombi ห่วงใครหรอค้าบบ
ปล5 คนอื่นที่ผมไม่เอ่ยชื่ออย่าน้อยใจนะคร้าบจะพยายามทักทายให้ครบทุกคนคร้าบบบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-12-2010 20:23:03 โดย Purple_Sky »

zeen11

  • บุคคลทั่วไป
ช่วงข้าวใหม่ปลามันหวานกันสุดๆ อ่านแล้วเขิน  :haun4:

แต่หวานตอนต้น ท้ายๆ เริ่มดีกรีเผ็ดๆ ขึ้นมาทีละหน่อยตั้งแต่นายมั่น+คุณหยาด เส็งเลยเหมือนเจอ 2 เด้งไปเลย แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นโป๊ะแตกทะเลเดือด ยังพอทำจายยยยยยยยยยยยยยยยยยยได้ค่ะ  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

กลัวใจแม่หยาดจริงๆ ท่าทางเธออาจจะไม่ยอดจบง่ายๆ เหมือนที่ปากว่า

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
 “โธ่เส็ง ก็อยู่ใกล้เส็งอย่างนี้ เราก็อยากอีกแล้วนี่นา”
 “คุณหลวง” เส็งโวยวาย “เมื่อคืนก็สองแล้วนะขอรับ อ้ายเส็งไม่ไหวแล้วขอรับคุณหลวง
 :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:

อร๊่างงงงงงงงงงงงคุณหลวงหละก็ บ่าวเขินจริงๆ อ่านแล้วยิ่มไปหน้าแดงไป พลางจิ้นว่า คนสมัยนั้นกับสมัยนี้ เวลา "ทำรัก" มันจะเหมือนกันไหมหละหนอ ไม่มีบรรยายให้อ่านหน่อยหรือเจ้าคะ อิชั้นหละอยากจะรู้จริงเทียว ว่ามันจะต่างกันแค่ไหน หุหุ เค้าป่าวหื่นจริงๆน๊า



อ่านมาตอนท้ายๆดูมั่นมันห่วงเส็งเนอะแอบชอบป่าว  แล้วเรื่องที่หัวหิวคือไรน๊า อยากรู้จริงๆเทียว


ไปแล้ว มาอ่านและ+1สำหรับตอนหว้านนนนนนนนนนนนนหวานนนนนนนนนนนนนนนปนมาม่านิดหน่อย o13

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-12-2010 21:33:43 โดย samsoon@doll »

pinkky_kiku

  • บุคคลทั่วไป
หยาดเป็นคนแรงอ่ะ นิสัยก็ไม่ไหวจะเคลียร์ เส็งเป็นแค่บ่าวจิเอาอะไรไปสู้เค้าเนี่ยะ
โอ๋ยยยยย  :z3: :z3: แต่ว่านะ หวานน้ำตาลเรียกพี่จริงๆนะเนี่ยะ  o18 o18

tawan

  • บุคคลทั่วไป

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด