๑๘
คุณหลวงจ้องหน้าเขาอยู่อีกอึดใจเดียว ก็กางแขนรั้งเขาเข้าไปกอด สองแขนกระหวัดพันอยู่รอบร่างของเขา แนบแน่นแทบจะกลืนกันเป็นคนเดียว ตอนแรกนั้นเส็งตกใจจนทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนตัวเกร็งปล่อยให้หลวงพินิจกอดร่างเขาไว้แน่น ใบหน้าซุกอยู่ที่ต้นคอ ลมหายใจเป่ารดลงไม่เป็นจังหวะ พอๆกับแรงสั่นของหัวใจ ที่ดังอยู่ทางด้านขวาของหน้าอกของเส็ง ความตกใจเปลี่ยนเป็นความอบอุ่น เป็นความรู้สึกที่เส็งเรียกไม่ถูก วาบหวิวไปหมดทั้งตัว
หากรักมันดีอย่างนี้ ก็คงไม่แปลกหรอกที่ใครต่อใครต่างก็อยากมีความรักกันทั้งนั้น
เส็งยืนตัวแข็งอยู่ได้อีกพักเดียวก็ยกมือขึ้นกอดที่แผ่นหลังแข็งแรงของคุณหลวงแนบหน้าของเขาลงชิดกับใบหน้าของคุณหลวงหนุ่มที่เขารักเหลือเกิน แปลกตรงที่ แม้ตรงนั้นจะเงียบ แต่ก็ไม่ได้เงียบถึงขนาดว่าสงัด ยังมีเสียงน้ำ เสียงลม เสียงจิ้งหรีดเรไร ร้องอยู่ให้ได้ยิน แต่สำหรับเส็งเขาไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงหายใจ และเสียงใจเต้นของตน และคุณหลวงสอดประสานกันไพเราะราวกับเสียงเพลงจากวงมโหรีก็ไม่ปาน
หลวงพินิจเงยหน้าขึ้นจากซอกคอขาวเนียนของเส็ง เลื่อนปากมาที่ใบหู แล้วกระซิบเบาๆว่า
“คิดถึงเส็งใจจะขาด อยากทำอย่างนี้กับเส็งมาตั้งนานแล้วรู้หรือเปล่า”
บ่าวหนุ่มขนลุกซู่ไปทั่วร่าง ความอบอุ่นจากร่างกายที่เบียดชิดแนบกันก็เทียบอะไรไม่ได้กับความอบอุ่นจากคำพูดของหลวงพินิจราชอักษร อ้อมแขนของเส็งกระชับเข้ากอดคุณหลวงแน่นกว่าเดิม แล้วจู่ๆน้ำตาก็พาลไหลลงมาอาบแก้มเสียเฉยๆอย่างนั้น
น้ำตาของเส็งคงจะไหลเปียกแก้มคุณหลวง ฝ่ายนั้นคงรู้สึกได้จึงผละออกจากร่างของหนุ่มน้อย สองมือที่ใช้เขียนกลอนรัก ยกขึ้นประคองใบหน้าของบ่าวหนุ่มอย่างทนุถนอม นิ้วโป้งทั้งสองข้างลูบผ่านใต้ดวงตาของบ่าวหนุ่ม เช็ดน้ำตาที่ไหลอยู่ตรงนั้นออกไปให้พ้นจากหน้า
“ร้องไห้ทำไมหรือ เราทำอะไรผิดไปหรือเปล่า”
“เปล่าขอรับ”
“แล้วร้องทำไม เราไม่สบายใจเลย” คุณหลวงจ้องเข้ามาในดวงตาของเขา แม้จะใฝ่ฝันให้ได้มีช่วงเวลาอย่างนี้ระหว่างเขาและคุณหลวงบ้าง แต่บ่าวหนุ่มก็ไม่อาจบังคับใจไม่ให้เขินอายจนหลบตาต่ำได้ หลวงพินิจยังประคองดวงหน้าของเส็งไว้ อย่างเบามือแฝงด้วยความรักใคร่ที่สัมผัสได้อย่างเป็นรูปธรรม
“บ่าวไม่คิดเลยขอรับว่าจะมีวันนี้... บ่าว คิดว่า บ่าวคงคิดไปเอง คุณหลวงคงจะไม่มีใจอะไรกับบ่าว มากกว่าความเอ็นดูที่นายพึงมีต่อบ่าวเท่านั้นขอรับ” เส็งสะอื้นออกมาเป็นคำพูด อธิบายความในใจให้หลวงพินิจได้รู้
“เส็ง ฟังให้ดีนะ” คุณหลวงลดเสียงลง “เรารักเส็ง รักมากกว่าใครทั้งหมดบนโลกนี้ และจะไม่มีวันใดที่เราจะหมดรักเส็งได้ ขอให้เส็งยึดคำของเราวันนี้เป็นเหมือนคำสัญญา ให้ระลึกไว้เสมอนะ ว่าเรารักเส็งจากใจจริง มิได้พูดไปเพราะอารมณ์ชั่วครู่ ชั่วคราว”
เส็งสะอื้น ร้องไห้ด้วยความตื้นตัน หลับตาแน่น แล้วก้มหน้าร้องไห้กับพื้นดินอย่างน่าสงสาร จนหลวงพินิจต้องดึงเขาเข้าไปกอดอีกครั้ง เส็งร้องไห้กับแผงอกของคุณหลวงหนุ่ม มีชายผู้เป็นที่รักกอดไว้กับร่างกายด้วยความรักและความทนุถนอม
“อย่าร้องเลยนะ น้ำตาไม่เหมาะกับเส็งเลยจริงๆ”
บ่าวหนุ่ม ยิ้มให้หลวงพินิจทั้งน้ำตา จนคุณหลวงหนุ่มต้องหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างห้ามไม่ได้ เขาจับมือเล็กๆ นุ่มนิ่มของเส็งไว้ในมือใหญ่แข็งแกร่งของเขา แล้วเดินจูงมือเส็งให้ออกเดินไป ทั้งคู่ไม่พูดจากันสักคำ ปล่อยให้มีแต่เสียงหรีดหริ่งเรไร ที่ร้องเพลงประสานให้ได้ฟังราวกับอยู่บนวิมานชั้นฟ้า หลวงพินิจจูงเส็งมาถึงท่าน้ำ ก็นั่งลงที่ริมน้ำปล่อยขาห้อยลงน้ำอย่างสบายใจ เส็งเองก็ทำตาม หากแต่แม้จะนั่งลงมั่นคงแล้วเพียงใดหลวงพินิจก็ไม่ยอมปล่อยมือเขาออกจากมือเส็ง
“คุณหลวง ปล่อยมือบ่าวเถิดขอรับ”
“ไม่ปล่อย” เขาว่าอย่างเด็กรั้นๆ “กว่าจะจับได้นี่ก็ต้องทนรอมานานแล้ว ได้จับเสียทีเรื่องอะไรจะปล่อยง่ายๆ”
เส็งก้มหน้างุด
“โธ่ คุณหลวงเดี๋ยวใครมาเห็นเข้าขอรับ”
“ก็ให้เห็นไปซี” เขาว่า “จะได้รู้ว่าเรารักเส็งแค่ไหน”
บ่าวหนุ่มยิ้มเขินเข้าไปใหญ่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามอง สายตาอบอุ่นของหลวงพินิจราชอักษรที่จับจ้องอยู่แต่บนหน้าของบ่าวหนุ่มไม่อาจถอนตาได้ ยามเส็งอายนั้น น่ารักยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมดบนโลกนี้เสียอีก
“รู้ไหมว่าดีใจแค่ไหนที่เห็นเส็งมารอที่ท่าน้ำ” เขาเริ่มพูดอีกครั้ง “นึกว่าจะ ตัดรักตัดสวาทตัดอาลัย ตัดสิ้นแล้วก็จากไปเสียอีก”
“ก็บ่าว...” เส็งก้มหน้า
“เส็งทำไมหรือ” หลวงพินิจ กระเถิบเข้ามาใกล้ จ้องหน้าเส็งด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปทั้งหน้า ด้วยอยากได้ยินประโยคต่อมาของเส็งเหลือเกิน
“ไม่มีอะไรขอรับ”
“ไม่มีได้อย่างไร เส็งพูดแล้วพูดต่อให้จบซี” คุณหลวงกระเซ้า
“ก็บ่าวไม่ได้ขุ่นข้องหมองจิตอะไรนี่ขอรับ” เส็งตอบเสียงเบา แทบจะไม่มีเสียงใดลอดออกมาจากปากบางแดงของเขาเลย หากหลวงพินิจไม่ได้อยู่ติดกับบ่าวหนุ่มอย่างนี้ คงจะไม่ได้ยินว่าเส็งพูดอะไร
“แล้วไม่ขุ่นข้องหมองจิตนี่มันหมายความว่าอะไรหรือ” หลวงพินิจยิ้มกว้าง ยังกระเซ้าแหย่เส็งอย่างกับเด็กหนุ่มแรกรุ่น
“แหมคุณหลวงละก็ บ่าวกระดากปากขอรับ”
หลวงพินิจยังยิ้มอยู่ไม่หุบยิ้ม แต่ก็แกล้งเส็งโดยการหันหน้าออกจากบ่าวหนุ่ม “ถ้ากระดากก็ไม่เป็นไรดอก เราคิดเอาเองก็ได้”
เส็งเงยหน้าขึ้นมองคุณหลวง ก็เห็นว่าอีกฝ่ายเบือนหน้าไปจากเขาเสียแล้ว จึงสูดหายใจเข้ารวบรวมความกล้า
“บ่าวจะบอกว่า ก็บ่าวรักคุณหลวงเหมือนกันนี่ขอรับ จะให้ตัดรักไปเสียได้อย่างไร” บอกไปแล้วก็เหมือน ยกเขาไกรลาศออกจากอก กระนั้นก็ยังขวยเขินจนต้องรีบก้มหน้างุดๆ ไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายที่หันมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“ว่าอย่างไรนะเส็ง เราไม่ได้ยิน”
“เอ้อ บ่าวบอกว่า บ่าวรักคุณหลวงขอรับ”
“ว่าอย่างไรนะ ว่าอีกทีซี”
เท่านี้ เส็งก็เข้าใจว่าคุณหลวงก็แค่แกล้งเขาเท่านั้นเอง จึงเงื้อมือทุบแขนหลวงพินิจสุดแรงเท่าที่จะทำได้
“โอ๊ย ทุบทำไมเล่า”
“คุณหลวง แกล้งบ่าวนี่ขอรับ”
“ก็อยากได้ยินเส็งบอกรักเราบ้างมิได้หรือ” คุณหลวงแกล้งตัดพ้อ
“แหม ครั้งแรกก็น่าจะพอแล้ว ให้บอกซ้ำบอกซาก บ่าวเขินนี่ขอรับ” เส็งว่าเสียงมุบมิบ แทบจะไม่ได้ยิน “อีกอย่าง...”
“อีกอย่างอะไรหรือ”
“บ่าวว่า คำว่ารัก มันเป็นคำสำคัญที่สุดเท่าที่คนเราจะบอกแก่กันได้ บ่าวไม่อยากพูดพร่ำเพื่อเหมือนกับคำปกติทั่วไปที่ไม่ได้มีค่าอะไรกว่าลมปากเท่านั้น เมื่อใดที่บ่าวพูด บ่าวก็จะต้องแน่ใจว่าบ่าวหมายความอย่างที่พูดจริงๆขอรับ”
หลวงพินิจนิ่งไป ไม่อยากเชื่อว่าคนพูดน้อยๆอย่างเส็งจะพูดอะไรออกมาได้มากขนาดนี้
“จ้ะ” หลวงพินิจว่า น่าแปลกที่คำว่าจ้ะคำเดียว กลับทำเอาเส็งขนลุกไปได้ทั้งตัว หลวงพินิจไม่เคยพูดจ๊ะจ๋ากับใครเลยสักคนเดียว ครั้งนี้เป็นครั้งแรก “เป็นอะไรขนลุกทั้งตัวเลย หนาวหรือ”
แขนของเส็งที่เบียดอยู่กับแขนหลวงพินิจคงจะทำให้คุณหลวงสัมผัสได้กระมังว่า อีกคนขนลุกซู่เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของเขา ไม่ใช่เพราะลมที่พัดผ่านมาพอดีอย่างนั้น
“ขอรับ”
หลวงพินิจเขยิบตัวเข้าชิดกับเส็งโอบแขนไปรอบตัวบ่าวหนุ่มแล้วดึงเข้ามาซบกับไหล่กว้างๆ ของเขา เส็งไม่ขัดข้อง แม้จะขวยเขินก็ตามแต่ก็อบอุ่นใจเกิดกว่าจะปฏิเสธได้ มือของหลวงพินิจลูบต่ำลงมากอดไว้ที่เอวขาวเนียนของเส็ง และค้างไว้ตรงนั้นไม่ยอมปล่อย
“คุณหลวงขอรับ”
“จ๋า”
เส็งขนลุกซู่อีกครั้ง
“เอ้อ คุณหลวงพูดจ๊ะ จ๋าอย่างนี้ บ่าวกระดากเหลือเกินขอรับ ไม่เคยได้ยินคุณหลวงพูดกับใคร มันไม่ชินขอรับ” เส็งว่า เสียงแทบไม่ออกจากลำคอ
“เอ้า ก็เราเก็บไว้พูดให้คนรักของเราฟังคนเดียวนี่ จะเคยได้ยินได้อย่างไรล่ะจ๊ะ” ผู้พูดไม่ได้รู้เลยว่า ผู้ฟังนั้นขวยเขินแค่ไหนเมื่อได้ยินทั้งคำว่า คนรัก ทั้งคำขาน จ๊ะ จ๋า จ้ะอยู่ในประโยคเดียวกัน เขินจนต้องกระถดตัวหนีจากคุณหลวงหนุ่ม อีกฝ่ายก็ได้แต่หัวเราะ แต่ก็ไม่ตามมาโอบ มากอดอีกด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะรำคาญเสียก่อน
“วันนี้ตอนที่คุณหลวงกลับมา คุณหลวงไม่ทักบ่าวเลยขอรับ คิดไปเองแล้วว่าคุณหลวงคงลืมบ่าวเสียแล้ว”
“แล้วกัน” เขาว่า “จะลืมได้อย่างไร ไป สิบวันเองนะ ต่อให้ไปเป็นเดือนก็ไม่ลืมดอก ที่ต้องทำปั้นปึ่งใส่ก็กลัวคุณพ่อคุณแม่ท่านผิดสังเกต คุณแม่ท่านเคยพูดครั้งหนึ่งแล้วว่าเราบ่นถึงเส็งบ่อยเหลือเกินกลัวท่านจะรู้ความจริง”
เงียบ ต่างฝ่ายต่างคิดอะไรไปเรื่อย
หากเจ้าคุณไพรัชกิจรู้... ไม่ต้องถึงเจ้าคุณไพรัชกิจหรอก หากคุณหญิงรู้เข้าจะเกิดอะไรขึ้น เรื่องแบบนี้ในสมัยของเส็งเป็นเรื่องที่ไม่มีใครจะมีวันเข้าใจ หากไม่เป็นด้วยตัวเอง ก็คงไม่มีทางที่จะเข้าอกเข้าใจและปล่อยให้ความสัมพันธ์เป็นไปอย่างนั้นได้เลย แล้วทำไมถึงจะไม่เข้าใจ สิ่งที่ทำอยู่นี่มันคือสิ่งผิดหรือเปล่านะ
แต่ หากมันจะผิด ก็ยอมละ เส็งคิด หากความผิดบาปมันก่อความสุขให้ได้มากขนาดนี้ อ้ายเส็งก็จะยอมทำผิดต่อไปอย่างนั้นแหละ
“เส็ง” หลวงพินิจทำลายความเงียบขึ้นมาในที่สุด
“ขอรับ”
“ดูอะไรโน่นซี” เขาชี้มือไปทางขวา เส็งก็มองตามมืออย่างไม่คิดอะไร
“อะไรหรือขอรับ” ทันทีที่เส็งหันหน้าออกจากคุณหลวง ชายหนุ่มก็แอบขโมยหอมแก้มเข้าฟอดใหญ่ ฝ่ายถูกหอมตกใจหันมามองแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร รู้ว่าหากพูดไปคุณหลวงก็ต้องย่อมหาอะไรมาอ้างได้อยู่แล้ว
หลวงพินิจยิ้มหวานเมื่อเห็นเส็งไม่ว่าอะไร
“เส็ง”
“ขอรับ”
“ขอนอนหนุนตักหน่อยได้ไหม” เขาว่าทำตาซึ้งเสียจนหนุ่มน้อยพยักหน้าเล็กๆ โดยไม่เอ่ยปากพูดอะไรออกมาเลย หลวงพินิจเห็นอย่างนั้น ก็นอนลงเอาหัวหนุนตักเส็งต่างหมอน เงยหน้ามองบ่าวหนุ่มอย่างรักใคร่ อีกฝ่ายก็ก้มมิงคุณหลวงทั้งรอยยิ้มเช่นกัน
“มีความสุขเหลือเกิน อยากเป็นอย่างนี้ทุกวันเลยจริงๆนะเส็ง”
บ่าวหนุ่มก้มหน้านิ่ง
“ขอรับ” ตอนแรกกะจะไม่พูดอะไรต่อแต่ปากมันทำงานไปก่อนสมองแล้ว เส็งจึงพูดออกมาว่า “บ่าวก็มีความสุขมากขอรับ”
“จริงหรือ” เขาว่า เส็งไม่ตอบ แต่เปลี่ยนท่าเอาแขนมาวางพาดหน้าอกหลวงพินิจ เหมือนจะโอบคุณหลวงไว้หลวมๆ ทั้งคู่ยิ้มให้กันอย่างมีความสุข เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกเหลือเพียงแต่เขาสองคนเท่านั้น ไม่มีใครหรืออะไรอีกเลย
คืนนั้นเป็นคืนสว่างแสงจันทร์สาดส่องได้เต็มรัศมีไม่มีเทฆมาบทบัง ทำให้ทั้งคู่เห็นใบหน้าของกันและกันในความมืดสลัวได้ชัดเจน จึงบอกกับตัวเองได้ว่าความสุขที่ตนมีนั้น ไม่ต่างอะไรกับอีกฝ่ายเลย ต่างฝ่ายต่างก็มีความสุขสงบ ยินดีเป็นอย่างยิ่งไม่ต่างกัน
“เส็งผอมลงนะ กินอาหารไม่อร่อยหรือ”
“ขอรับ คุณหลวงก็เหมือนกันนะขอรับ”
หลวงพินิจพยักหน้า
“กินแต่อาหารทะเล หน้าจะเป็นกุ้งอยู่แล้ว” สองหนุ่มหัวเราะ สิ้นเสียงหัวเราะหลวงพินิจก็พูดต่อ “เส็งเคยเห็นทะเลหรือเปล่า”
“ไม่เคยขอรับ”
“จริงหรือ ไว้เราลางานได้คราวหน้าจะพาเส็งไปทะเล ต่อลงไปถึงปีนัง และถ้ามีอัฐเหลือเยอะพอ จะพาข้ามไปถึงสิงคโปร์” หลวงพินิจว่า เส็งไม่ได้ก้มหน้าลงมามอง แต่มองเหม่อๆ ไปที่ละเมาะไม้ฝั่งตรงข้าม “เมืองสิงคโปร์สวยมาก ไม่มีอะไรเหมือนพระนคร บ้านเมืองเล็กๆน่ารักมาก มีทั้งฝรั่ง แขก จีนอยู่เต็มไปหมด ตอนเราไปเรียนเมืองฝรั่งก็ต้องลงไปเปลี่ยนเรือใหญ่ที่สิงคโปร์ก่อน”
“ทำไมหรือขอรับ”
“ก็เรือที่ออกจากสยามนั้น ต้องเป็นลำเล็กเพราะแม่น้ำเจ้าพระยามันไม่ลึกมาก แต่เรือเดินสมุทรที่ใช้ข้ามไปถึงยุโรปนั้นต้องเป็นลำใหญ่ ตอนเราไปเรียนที่ฝรั่งเศสก็ต้องเปลี่ยนเรือก่อน ทีนี้ เรือมันคนแน่นมากไปกันไม่ได้ก็ต้องรอลำต่อไป ต้องค้างแรมที่สิงคโปร์อยู่เกือบอาทิตย์ ตอนขาไปจำได้ว่ากันดารมาก แต่ขากลับมาเมื่อห้า หกปีมานี้เมืองเจริญขึ้นแทบจำไม่ได้ ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเจริญไปถึงไหน”
“แล้วทำไมจึงเจริญเร็วอย่างนั้นล่ะขอรับ”
“ก็เมืองสิงคโปร์อยู่ในทำเลที่เหมาะสม พวกจีน ญี่ปุ่นถ้าจะเอาสินค้าไปขายที่ยุโรปก็ต้องผ่านช่องแคบมะละกาไป จะเดินทางได้ง่ายกว่า ส่วนพวกชาวฝรั่งจะมาซื้อข้าว ซื้อเครื่องเทศของป่าจากเอเชียก็ต้อง มาผ่านที่สิงคโปร์เช่นกัน ทีนี้พอมีพ่อค้าหลายๆชาติมารวมกัน การทำมาค้าขายก็มีมาก ตรงนั้นจึงเจริญร่ำรวยอย่างไรล่ะ” คุณหลวงเล่า “อย่างที่บางรักนั่นแหละ มีฝรั่งหลายชาติมาอยู่ก็เลยเจริญกว่าแถบอื่น รถรางก็มีวิ่งผ่านตรงนั้นที่แรกเหมือนกัน”
เส็งจำได้ตอนคุณหลวงพาไปบางรัก แถวนั้นมีตึกฝรั่ง ร้านรวงอะไรเต็มไปหมด ทั้งฝรั่ง แขก จีน สยาม เดินกันวุ่นวายไปหมด โดยเฉพาะตรงตลาดบางรัก คนแน่นขวักไขว่จนเส็งแทบตาลายตอนเดินผ่าน
“บ้านเมืองเราก็กำลังจะเจริญ ถึงช้ากว่าสิงคโปร์แต่อย่างน้อย ก็กำลังจะเจริญละ” หลวงพินิจยิ้ม “อะไรที่ไม่มีก็กำลังจะมี บ้านเมืองเราได้ศิวิไลซ์เสียที”
“บ่าวแทบจะไม่เข้าใจอะไรที่คุณหลวงพูดเลยขอรับ” เส็งยอมรับอย่างขำขัน คุณหลวงก็ส่งยิ้มให้
“เดี๋ยวจะค่อยๆอธิบายวันหลัง วันนี้ขอคุยสบายๆแล้วกัน” เขาว่า ก่อนจะกุมมือเส็งที่พาดอยู่บนตัวเขาเอาไว้ ทั้งสองคนยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
“คุณหลวงไปหัวหินเป็นอย่างไรบ้างขอรับ เล่าให้บ่าวฟังได้หรือเปล่า”
เส็งเห็นหลวงพินิจ หน้าเจื่อนไปนิดหนึ่ง แต่เขาก็ตีสีหน้ากลับมาเป็นปกติในไม่กี่วินาทีเส็งจึงไม่ติดใจอะไร คุณหลวงเล่าให้ฟังว่า
“ไม่เป็นอย่างไรเลย พวกฝรั่งอยากกินอาหารทะเล อยากเที่ยวทะเลสยามก็พาไปเที่ยวเท่านั้น ที่ดีหน่อยก็คือเราได้พักกันที่บ้านของเพื่อนเจ้าคุณพ่อ ที่อยู่ติดทะเลได้ยินเสียงทะเลร้องครืนๆทั้งวัน แม้ตอนกลางคืนก็ยังได้ยิน เปิดหน้าต่างออกไปก็เห็นทะเลกว้างใหญ่สุดสายตา อยากให้เส็งไปอยู่ด้วย”
หลวงพินิจเงียบไปสักครู่
“หากเป็นกวีจะแต่งนิราศมาฝากสักบท แต่ยังไม่สามารถขนาดนั้น ขึ้นไว้ได้บาทหนึ่งว่า ครืนครืนยินเสียงคลื่นกระทั่งฝั่ง คล้ายดังเสียงพี่ร้องคะนึงถึง เท่านั้นก็แต่งต่อไม่ไหว” หลวงพินิจหัวเราะ
“คุณหลวงเก่งขอรับ” เส็งชม
“ยังไม่เก่งดอก หากเทียบกับกวีชั้นครูหลายๆท่าน”
“ก็จะเทียบทำไมเล่าขอรับ สำหรับบ่าวคุณหลวงเก่งมากแล้ว”
“ขอบใจนะเส็ง” เขาว่า “เส็งเป็นกำลังใจให้เราเสมอ เวลาเราเหนื่อยและท้อใจ”
เส็งนั่งยิ้ม
“แล้วเส็งล่ะ ทำอะไรบ้าง” หลวงพินิจถามบ้าง
“ก็อ่านวรรณคดีอย่างที่คุณหลวงสั่งไว้ขอรับ แล้วก็จัดห้องทำความสะอาดเรือนให้คุณหลวง”
“ไม่ใช้บ่าวคนอื่นทำเล่า จะเหนื่อยทำไม”
“บ่าวก็เป็นบ่าวนี่ขอรับ มิได้เป็นนายจะให้อยู่เฉยๆ ได้อย่างไร” เขาว่า
“แต่เป็นคนรักของนาย ก็เท่ากับเป็นนายแล้ว” หลวงพินิจว่า “ไม่อยากให้เส็งลำบากเลย”
“มิได้ดอกขอรับ” เส็งว่า “อย่างไรอ้ายเส็งคนนี้ก็ยังเป็นบ่าว ไม่กล้าทำตัวเป็นคางคกขึ้นวอดอกขอรับ”
“น่ารักถ่อมตัวอย่างนี้แหละนะเส็ง” หลวงพินิจชม ทั้งคู่นั่งอยู่ในความเงียบ และมืดสักพักเส็งก็อ้าปากหาววอด เพราะเริ่มง่วงเสียแล้ว
“ง่วงแล้วหรือจ๊ะ”
“ขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปนอนกันเถิด” หลวงพินิจลุกขึ้นจากตักของเส็ง “วันนี้ต้องแยกกันนอนก่อนนะ เจ้าคุณพ่อกับคุณหญิงแม่ยังอยู่ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะขอให้เส็งมาอยู่กับเรา จะขัดข้องหรือเปล่า”
“บ่าวไม่ขัดข้อง แต่เห็นว่าไม่สมควรขอรับ”
“เอ้า แล้วกันทำไมอย่างนั้นเล่า” หลวงพินิจขมวดคิ้ว
“ก็ถ้าบ่าวขึ้นนอนบนเรือนกับคุณหลวง ก็จะโดนครหานินทาได้ขอรับ” บ่าวลูกจีนอธิบาย
“เอ้า ทีแต่ก่อนก็ยังมานอนได้เลย”
“ก็ตอนนั้น บ่าวไม่ได้ทำอะไรนี่ขอรับ ใครจะว่าอย่างไรบ่าวก็ถือเสียว่าไม่ได้ทำ แต่หากคุณหลวงจะ...” เส็งนึกคำพูดไม่ออก “จะใกล้ชิดกับบ่าวถึงเพียงนั้นพอเกิดอะไรขึ้น ใครว่าอะไรบ่าวก็จะเถียงไม่ได้อีก”
“แต่ถ้าเราออกมาหากันอย่างนี้ เส็งกลับไปนอนทีหลังคนอื่น เขาไม่ยิ่งสงสัย ยิ่งว่ากันหรือ” หลวงพินิจย้อนถาม “หรือเส็งไม่อยากอยู่ใกล้เราหรืออย่างไร”
“ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ บ่าวเองก็อยาก แต่ก็ไม่อยากให้ใครคิดได้ว่าคุณหลวงลำเอียง”
“ไม่ได้ลำเอียงเสียหน่อย ก็เรารักของเรา บ่าวคนอื่นก็แค่บ่าว เส็งเป็นคนรัก เราก็ต้องปฏิบัติด้วยให้แตกต่างอยู่แล้ว” หลวงพินิจว่า “ใครจะว่าอะไรก็ช่างซี เราจะบอกว่าต่อไปนี้ให้เส็งช่วยเราเรื่องงานเอกสาร คอยคัดลอกหนังสือให้ รับใช้อยู่ใกล้ๆ ใครจะกล้าว่าอะไร”
เส็งเถียงไม่ออก จึงได้แต่เงียบคุณหลวงจึงถือว่าบ่าวหนุ่มตกลงอยู่กลายๆ ก็ลุกขึ้น ยื่นมือให้เส็งจับ ประคองคนรักของเขาขึ้น
“ไปนอนกันเถิด ดึกแล้วเดี๋ยวเราเดินไปส่งที่เรือนบ่าว”
หลวงพินิจเดินจูงมือเส็งมาจนถึงหน้าเรือน ไม่อาจไปส่งไกลกว่านั้นได้ หลวงพินิจไม่ยอมปล่อยมือ แต่ดึงมืออีกข้างมาจับไวด้วยกันทั้งสองข้าง
“พรุ่งนี้ทำซุปหอมใหญ่ กับสตูว์เนื้อให้รับได้ไหม อยากอาหารฝรั่งจะแย่แล้ว” เขาว่า
“ขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้นไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”
“ขอรับ” เส็งเดินจากคุณหลวงมา ได้สองสามก้าวคุณหลวงก็เรียกชื่อเส็ง พอบ่าวหนุ่มหันมาตามเสียงเรียกก็พบเข้ากับริมฝีปากของคุณหลวงที่โน้มลงมาประทับบนปากของเข้าพอดี
ริมฝีปากสวยเป็นรูปกระจับ สัมผัสแนบแน่นเข้ากับริมฝีปากบางเรียวของเส็ง มันประทับเข้าหากันตามสัณชาตญาณค้างนิ่งไว้อย่างนั้นไม่แยกออกจากกันด้วยรสจูบนั้นหวานกว่าน้ำผึ้งป่าในเดือนห้าของปี หวานกว่าน้ำตาลอ้อยที่ไม่ขัดสีอย่างน้ำตาลในปัจจุบัน หวานกว่าอาหารทิพย์ใดๆในโลก หลวงพินิจกอดร่างของเส็งไว้จูบแนบสนิทนานเท่าที่จะนานได้แล้วจึงถอนปากออก ไม่ลืมที่จะฝากจุมพิตบนหน้าผากเนียนสวยของหนุ่มน้อยเป็นของแถมก่อนจะบอกว่า
“ฝันดีนะ เส็ง”