(มุมหนึ่งของโดม)
“เข็มมีอะไรหรอคับ ถึงลากผมมาคุยตรงนี้อ่ะ ที่จริงเราคุยกันตรงข้างสนามก็ได้นี่”
“มันเสียงดังน่ะค่ะ คุยกันไม่รู้เรื่องหรอก ตรงนี้ล่ะดีแล้ว เป็นส่วนตัวดีด้วย” สาวน้อยพูดจาอย่างจัดจ้าน แต่ทิวไผ่เองได้แต่ยกมือขึ้นลบหัวม่อย ๆ แก้เขิน
“อาทิตย์นี่เข็มไม่มีซ้อมหลีดพอดี ไผ่ว่างมั้ยคะ” ดวงตาใสแป๋วดูเหมือนจะไร้เดียงสาจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังเคอะเขินและไม่กล้าสบตาด้วย
“คือ...วันอาทิตย์นี้มีแข่งครับ” หนุ่มหน้าเข้มตอบไปตามจริง
“ว้า....เสียดายจัง เข็มไม่ได้ดูตารางแข่งอ่ะค่ะ ขอโทษนะคะ งั้นเดี๋ยวเข็มจะมาช่วยเชียร์ไผ่เหมือนเดิมนะ”
“ครับ...เอ่อ...เข็มครับ ของขวัญ............” ทิวไผ่ยังไม่ทันได้พูดจบเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของปานฝันก็ดังขึ้นขัดจังหวะ
“...........”
“ขอตัวแป๊บนะคะ ไผ่” ‘โอ๊ย...จะโทรมาทำไมตอนนี้วะเนี่ย’ เธออุทานเบา ๆ อย่างหัวเสียก่อนจะหันไปกดรับโทรศัพท์ และเดินออกไปคุยห่าง ๆ
“โหล อีอ้อม มีไรวะ”
“.......อีเข็มมรึงอยู่ไหน........”
“..........”
ทิวไผ่ทำหน้าเหวอ ‘สาว ๆ สมัยนี้พูดเพราะแฮะ’
“เออ เมิงโทรมาได้จังหวะมากนะเว้ย เมิงรู้มั้ยว่ากรูทำไรอยู่”
“………เมิงกำลังปล้ำผู้ชายอยู่รึไง.... กรูมีเรื่องสำคัญ มรึงมาหากรูด่วนเลย……...”
“บ้านเมิงดิ ไม่ต้อง ๆ ....สำคัญอะไร ว่ามา เร็วเลย อารมณ์เสียนะเว้ย”
“.....ไอ้พี่บอยแฟนเมิงมันหิ้วอีเด็กมนุษย์ไปนั่งคั่วอยู่ร้านเหล้าหลัง ม. แน่ะ...สำคัญยัง เมิงรีบมาเลย ไปจัดการมัน.......”
“เออ ๆ ๆ กรูจะไปเดี๋ยวนี้แหละ ...บ้าชิบ.... ” ดวงหน้าสวยดูบูดบึ้งผิดไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
“เอ่อ ไผ่คะ วันนี้เข็มมีธุระสำคัญต้องไปทำน่ะค่ะ วันหลังค่อยคุยกันนะคะ เดี๋ยวคืนนี้เข็มโทรหาค่ะ” ปานฝันก็รีบเดินกึ่งวิ่งไปที่รถมอเตอร์ไซค์ขับออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ทิวไผ่จะร้องตามได้ทัน
“เข็ม เดี๋ยว...” ให้ตายสิ แล้วของขวัญนั่น จะเอาไงดีล่ะเนี่ย พูดกันยังไม่รู้เรื่องเลย ไอ้เราตอนแรกก็ซื่อบื้อรับไว้ซะ และจะหาทางทางคืนยังไงดีว้า ถึงจะไม่ให้เสียน้ำใจ ถ้าเก็บไว้ก็เหมือนเป็นการให้ความหวังซะมากกว่า แต่เข็มก็ดูน่ากลัวเกินไปจริง ๆ เอ้อ…เข็มไปเอาเบอร์โทรเรามาจากไหน...
“วีดวิ้ว ๆ ...ไอ้ไผ่มรึงทำอะไรเข็มวะ วิ่งแจ้นออกมาจากมุมอย่างนั้น นั่นแน่ ไม่เบานะเมิงเนี่ย” เสียงแซวดังมาจากกลุ่มเพื่อนทีมบาสของเขาที่นั่งพักรวมกันอยู่ข้างสนามหลังจากที่เห็นเขาเดินตามหลังเข็มออกมา
“บ้าน่า พวกเมิง ไม่มีอะไร แค่คุยกันเฉย ๆ”
“เฉย ๆ เจี้ยรายวะ เข็มวิ่งแจ้นอกมาอย่างนั้น หน้าตายิ่งดูไร้เดียงสาอยู่ด้วย เมิงค่อยเป็นค่อยไปดิ อย่าเพิ่งผลีผลามเดี๋ยวไก่ตื่น...”
ไร้เดียงสา …?
“ไก่ตื่นบ้านเมิงเดะ ไอ้พวกนี้นี่ กลับแล้วโว้ย แล้วเจอกัน....” ยังมีเสียงแซวตามมาอย่างไม่ยอมหยุด แต่หนุ่มหน้าเข้มไม่ได้หันไปสนใจแต่อย่างใด
...
“ฟ้า ถึงแล้ว ลงมาดิ นั่งเหม่ออยู่ได้หิวข้าวไม่ใช่เหรอ” ต้นข้าวเรียกให้สายฟ้าลงจากรถไฟฟ้าเมื่อรถมาจอดที่หน้าศูนย์อาหารหน้าหอพัก
“กินไรกันดี”
“แล้วแต่นายละกัน”
“มาแปลกแฮะ.....ป้าเอาข้าวกะเพราะหมูกรอบ 2 จาน ค้าบ...”
“นี่เป็นไรมากเปล่าเนี่ย เพื่อนชั้น ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้นี่น่า...กลางวันก็เห็นดี ๆ อยู่ ค่ำมาไหงเป็นงี้ไปได้อ่ะ” ต้นข้าวพูดพลางจ้องมองแววตาเหม่อลอยไร้จุดหมายของเพื่อนรักที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“เอ๊ะ รึว่า... ใช่ ชัวร์เลย อาการแบบนี้เป็นอื่นไปไม่ได้นอกเสียจาก.... อกหัก”
คำว่า ‘อกหัก’ จากปากเพื่อนรัก เหมือนหอกแหลมที่ปักลงกลางใจอย่างฉับพลัน แต่มันก็ช่วยปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์ได้อย่างน่าประหลาดใจ
“เฮ่ย อกหักบ้าไร ไม่มี้...นายพูดไรเนี่ย” ต้องปฏิเสธไว้ก่อน ‘เออ แล้วนี่บ้าเฮิร์ตอะไรนักหนาวะไอ้ฟ้า แกนี่’
“อ่ะ ข้าวมาแล้วกินกันเถอะ เหนื่อย จะได้ขึ้นห้องอาบน้ำ แล้วก็นอนซะที” ได้เวลาเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างทันทีทันใด ขอบคุณคุณป้าที่ยกข้าวมาเสิร์ฟได้ทันเวลาพอดีนะครับ
“เหอะ กระปรี้กระเปร่าขึ้นผิดหูผิดตาเชียว กลบเกลื่อนไรปะ” ต้นข้าวทำหน้างง ๆ
“กิน ๆ ๆ อย่าพูดมาก หิว” แต่เมื่อข้าวเข้าปากได้เพียงคำเดียวก็เหมือนมีก้อนอะไรแข็ง ๆ มาจุกอยู่ที่ลำคอ ของเขา การกลืนข้าวลงคอแต่ละคำดูชั่งจะยากเย็นซะเหลือเกิน
“อ้าว อิ่มแล้วหรอ ไหนบอกหิวมากมายไง ข้าวยังไม่พร่องจานเลย” ต้นข้าวเงยหน้าขึ้นถาม เมื่อเห็นสายฟ้าวางช้อน แล้วดื่มน้ำไปเกือบหมดแก้ว
“อิ่มอ่ะ สงสัยตอนกลางวันกินเยอะไปหน่อย” สายฟ้าพยายามตอบด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ แต่แววตากลับฉายแววหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด
“อืม คิดว่า นึกอยากจะเพี้ยนอะไรขึ้นมาอีก... เออ เดี๋ยวขึ้นห้องมีไรจะคุยด้วยหน่อยนะ” ต้นข้าวหันกลับไปลงมือกินข้าวในจานของตนเองต่อ
...
หลังจาก 2 หนุ่มกินข้าวเสร็จ เดินขึ้นมาบนห้องก็พบกับร่องรอยเสื้อผ้าชุดที่ทิวไผ่ใส่เล่นบาส กับร้องเท้าผ้าใบวางอยู่ที่ชั้น แต่ไม่เห็นร่างเจ้าของของมันแต่อย่างใด
‘สงสัยไอ้หมอนั่นลงไปกินข้าวมั้ง คงคลาดกันเมื่อซักครู่ ดี จะได้มีเวลาส่วนตัวคุยกับฟ้าได้’
‘ออกไปกินข้าวกับแม่สาวคนนั้นล่ะมั้ง เฮ่อ....ยิ่งคิด ยิ่งเห็น ยิ่งเจอ ยิ่งห่อเหี่ยว ถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันคงทำใจได้ง่ายหน่อย ...แต่นี่เจอกันเกือบจะตลอด 24 ชั่วโมงเชียวนะ’
บรรยากาศอึมครึม ชวนอืดอัดเข้าปกคลุมห้องอย่างรวดเร็วเมื่อประตูปิดลง 2 หนุ่มนั่งอยู่บนขอบเตียงของตนเอง หันหน้าเข้าหากัน ต้นข้าวพยายามจ้องหน้าเพื่อนรักแต่สายฟ้ากลับเอาแต่ก้มหน้า
“ฟ้า วันนี้ฟ้าเป็นอะไร บอกเราได้ไหม”
“ไม่มีอะไรหรอกต้น แค่เครียด ๆ นิดหน่อย” สายฟ้าก้มหน้าตอบเสียงเนือยเบา
“นี่เครียดอะไรบอกเราสิ เผื่อเราจะช่วยแบ่งเบาความทุกข์ของนายได้บ้าง”
“..........”
“ฟ้า เราเป็นเพื่อนกันนะ คบกันมาตั้ง 6 ปีกว่าแล้ว นายเป็นอะไรทำไมเราจะไม่รู้ นายเป็นแบบนี้เราไม่สบายใจรู้ไหม”
“ต้น......” เสียงหนุ่มน้อยร่างเล็กเริ่มสันเครืออย่างชัดเจน ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงตามแรงสะอื้น เป็นจังหวะ แรงขึ้น ๆ หยดน้ำใส ๆ หยดติ๋งลงพื้นห้อง
“เพราะนายนั่นใช่ไหม...”
“ต้น.....หยุดเถอะ เราขอร้องอย่าซักเราอีกเลย...ฮือออ” สายฟ้าโถมตัวเข้าสวมกอดเพื่อนรัก ปล่อยโฮออกมาอย่างสุดที่จะทานไหว
“เค้าไม่เกี่ยวอะไรด้วยหรอกนะต้น เค้าไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยวเลยซักนิด ...เรามันบ้า เราคิดไปเองคนเดียว เราผิดเอง อย่าโทษเค้าเลยนะต้น...”
ต้นข้าวกอดตอบเพื่อนรักของเขา หยดน้ำใส ๆ เริ่มที่จะเอ่อล้นออกมาคลอพร้อมที่หยดลงทุกเมื่อ หนุ่มร่างบางเงยหน้าขึ้นพยายามกลั้นน้ำตาไว้ให้มันไหลย้อนกลับอย่างสุดความสามารถ ไม่ได้สิ เวลานี้เพื่อนของเขาต้องการคนปลอบใจ
‘นายจะอ่อนแอไปอีกคนไม่ได้นะต้น นายต้องเข้มแข็งเข้าไว้’
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา...เค้าไม่เคยมีทีท่าอะไรกับเราเลยแม้แต่น้อย แต่เรากลับเหมารวมเอาว่ามิตรภาพและไมตรีที่เค้ามีให้ มันเป็นอะไรที่มากกว่านั้น ทั้งที่จริงมันไม่ใช่ ไม่ได้พิเศษอะไร มันก็เหมือนกับเค้ามีให้กับทุกคน แต่วันนี้เรารู้แล้ว ว่ามันไม่ใช่ เค้าก็แค่คนปกติคนนึง แต่เราพยายามจะดึงให้เค้ามาเป็นเหมือนเรา เรามันบ้า เรามันไม่ดี...เราจะทำลายชีวิตเค้ารึไง....” สายฟ้ายังคงพูดด้วยเสียงสะอื้น
“อืม...เราเข้าใจนะ ว่ามันยาก มันเจ็บ แต่ฟ้าต้องเข้มแข็ง รู้ไหม...นายยังมีเรานะฟ้า คนที่พร้อมจะเคียงข้างนายเสมอ” ต้นข้าวจับต้นแขนสองข้าง ของหนุ่มตัวเล็กกว่าผลักออกจากลำตัว เขาใช้นิ้วหัวแม่มือ ปราดหยดน้ำตาที่ไหลนองแก้มออกอย่างแผ่วเบา
“ต้น....เราตัดสินใจแล้ว เราจะตัดใจจากเค้าล่ะ เราสัญญา เราจะเข้มแข็งเราจะทำให้ได้...” เสียงพูดยังสะอื้นสั่นเครือไม่หยุด แต่แฝงไว้ด้วยความหนักแน่นและเด็ดเดี่ยว
“จ้า...พ่อคนเก่ง....งั้นก็หยุดขี้แงซักทีสิ ดูสิทำเสื้อเราเปียกหมดแล้ว มิหนำซ้ำเกือบพาลพาเราร้องไห้ไปด้วยอีกคน”
ต้นข้าวพูดลากเสียงเชิงล้อเลียน พลางใช่นิ้วหัวแม่มือหยิกสองแก้มป่องเปื้อนคาบน้ำตาของหนุ่มเพื่อนรักขยี้ไปมาเบา ๆ อย่างเอ็นดู
“ทำยังกับนายเป็นพี่ชายเรายังงั้นแหละ”
“อ๊ะ เป็นให้ก็ได้นะ ไอ้คุณน้องฟ้าจอมขี้แยสุดที่รักของพี่ต้น...”
“ไอ้พี่ต้นแก....บังอาจเรียกเราจอมขี้แย แบบนี้ต้องจับจี้เอวซะให้เข็ด”
“....ฮะฮะฮะ...” บรรยากาศตอนนี้ กลายเป็นเสียงหัวเราะทั้งน้ำตา แบบว่าขำ ๆ น้ำตาเล็ดไปซะแล้ว กว่าจะหยุดวิ่งไล่กวดกันได้ก็เล่นเอาหอบแฮ่ก ๆ กันไปทั้งคู่
“ไปอาบน้ำได้แล้วน้องฟ้าของพี่ เดี๋ยวไอ้หมอนั่นกลับมารู้ว่ามีคนขี้แงร้องไห้ขี้มูกโป่งจะโดนล้อเอานะ”
“จ้ะ ไอพี่ต้น...เดี๋ยวเหอะ ยังไม่หยุดเล่นอีกนะ....ไปอาบน้ำแล่ววว... ช่วยเก็บของด้วยละกัน กระจัดกระจายเกลื่อนห้องไปหมด”
“ค้าบ เจ้านาย...” ยอมเป็นเบ๊ซักวันวะ ยังไงก็ยังโล่งอกที่ทำให้เจ้าตัวเล็กหัวเราะได้ จะได้หายเศร้าได้บ้าง ไม่มากก็น้อยล่ะ
........สายน้ำเย็นฉ่ำจากฝักบัวซ่านเซ็นกระทบผิวกายจนเปียกชุ่ม ความเย็นจากสายน้ำแผ่ไปทั่วทุกอณูผิว ช่วยให้จิตใจที่ดูหดหู่ และเหี่ยวเฉาของสายฟ้าได้สดชื่นขึ้นมาบ้าง แต่จะให้กลับคืนสู่สภาพปกติเลยทีเดียวคงต้องใช้เวลาอีกซักระยะ นอกเสียจากว่า จะมียาสมานแผลขนานเอกค่อยเยียวยาแผลใจดวงน้อยของเขาให้หายวันหายคืนอย่างรวดเร็วเท่านั้น
ภายใต้ความมือสนิทที่ปกคลุมไปทั้งห้อง มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศครางอย่างแผ่วเบา และเสียงหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอของหนุ่มหน้าเข้มที่หลับใหลไปอย่างรวดเร็วเพราะความเพลียจากการแข่งบาสมาช่วงหัวค่ำ
แต่ยังมีแววตาดวงน้อยที่ยังเบิกโพลง กับความคิดสับสนวุ่นวายโลดแล่นไปมาอยู่ในหัวสมอง ‘อีกนานเท่าไหร่นะ อีกนานแค่ไหน ที่จะลืมเขาได้ มันยากเหลือเกิน’ สายฟ้ามองผ่าความมืดไปยังร่างแกร่งที่นอนอยู่บนเตียงฝั่งตรงข้ามอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ กว่าหนุ่มน้อยจะหยุดความคิดวุ่นวายและบังคับจิตใจที่ว้าวุ่นให้สงบลงได้ และย่างก้าวเข้าสู่ห้วงนิทราก็เลยเวลาสองยามเศษเข้าไปแล้ว
ยังมีสายตาอีกคู่ ที่ยังไม่ยอมหลับใหล เขาเฝ้ามองอาการกระสับกระส่ายของเพื่อนรักอยู่ท่ามกลางความมืดของรัตติกาล เมื่อเพื่อนของเขายังไม่หายทุกข์ใจ เขาจะหลับตาลงได้อย่างไร ‘นายต้องทำได้นะฟ้า เราเชื่อมั่นในตัวนาย นายต้องทำได้ อีกไม่นาน นายจะกลับมาเป็นสายฟ้าน้อย ผู้สดใสร่าเริงเหมือนเดิม’
‘แล้วไอ้หมอนั่น มีใครคนนั้นจริง ๆ น่ะหรือ ทำไมอยู่ดี ๆ ใจมันถึงวูบแบบนี้ล่ะ เพราะอะไร ....อ๊าก....ปลอบเพื่อนมาหยก ๆ กลับเป็นซะเองตรู’
เมื่อเห็นว่าเพื่อนตัวน้อยของเขา เข้าสู่ห้วงนิทรารมย์อย่างแท้จริง ต้นข้าวจึงถึงคราปิดเปลือกตาลงและผล็อยหลับไปอย่างง่วงงัน
…………………………………………………………………………………………………