พวกผมเดินเล่นในศาลเจ้าอีกพอประมาณ แวะเวียนถ่ายรูปกับจุดห้อยแผ่นป้ายไม้สำหรับเขียนอธิษฐานซึ่งอยู่รอบต้นไม้ใหญ่กลางศาลเจ้า ตัวอาคารไม้มุมต่างๆที่ให้ความรู้สึกว่าเป็นแบบญี่ปุ้นญี่ปุ่นอดไม่ได้ที่จะได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก จนท้องเริ่มร้องโหยหวนด้วยความหิว ผมก็เลยเสนอร้านสุดเด็ดที่เพื่อนของเพื่อนของเพื่อนแนะนำมา
“ไปกินบุฟเฟ่ต์เค้กกัน”
“ห๊ะ!” ไอ้พี่ธันตาเหลือกตามสไตล์พระเอกมาดเข้มไม่นิยมขนมหวาน
ไม่ต้องตกใจไป ยอดรัก...กูเป็นเจ้าของสวนอาหารก็ต้องอยากไปกินอะไรที่มันแปลกหูแปลกตาจะได้เอามาพัฒนากิจการของตัวเองยังไงล่ะ! พูดไปนี่น้ำตาจะไหลกับความรักที่มีให้แก่กิจการของพ่อแม่ที่ตกทอดมาถึงมือผมจริงๆ
“บุฟเฟ่ต์เค้กแต่เช้าเนี่ยนะ?”
“เช้าที่ไหนเล่า สิบโมงกว่าแล้ว!” คนมันจะกิน ต่อให้ตีห้า กูก็ไม่คิดว่าเช้าหรอก!
ผมลากไอ้พี่ธันออกจากศาลเจ้าเมจิ ข้ามถนนมาอีกฝั่งที่หมายตาไว้ตั้งแต่แรก ถนนทาเคชิตะหรือที่พวกเราชาวไทยติดปากเรียกว่าฮาราจูกุนั่นล่ะครับ!
ถนนแห่งนี้เป็นถนนแคบๆขนาดประมาณรถวิ่งได้เลนเดียว ปากทางเป็นทางลาดลงบอกให้รู้ว่าถนนทาเคชิตะต่ำกว่าถนนที่พวกผมเพิ่งข้ามมาเมื่อกี้ชนิดที่ถ้าไอ้ถนนนี้อยู่ที่เมืองไทย รับรองได้ว่ามึงเจอน้ำท่วมแน่นอน
สิบโมงกว่าๆวันธรรมดาไม่ค่อยมีวัยรุ่นมากมายเท่าไหร่ แต่ก็พอเห็นเป็นกลุ่มๆเดินสวนผมไปสวนผมมาอยู่นี่ ร้านค้าในถนนนี้ส่วนใหญ่จะเน้นหากินกับดาราครับ สังเกตได้จากที่มีรูปดาราหนุ่มๆสาวๆแปะเรียงรายเรียกลูกค้าเป็นแนว นอกจากนั้นก็มีร้านขายเสื้อผ้า รองเท้าสไตล์วัยรุ่น และที่สะดุดตาผมยิ่งกว่าอะไรก็คือร้านขายเครป!
“ฮูย!! เครปก็น่ากินอ่ะ!!”
โดยเฉพาะโมเดลเครปที่อยู่ในตู้กระจกนี่ล่ะครับ ตัวเรียกลูกค้าชั้นยอด!! ต่อให้ตอนแรกไม่อยากกิน แม่งมาเห็นโมเดลหน้าตาฟรุ้งฟริ้งแบบนี้ ร้อยละเก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้าก็น้ำลายสอกันขึ้นมาทั้งนั้นล่ะครับ!
...สงสัยใช่มั้ย ว่าทำไมคนที่น้ำลายสอถึงขาดไปศูนย์จุดศูนย์หนึ่ง...
...นั่นก็เพราะ...
“พี่ว่าถ้ากินเครปก็ไม่ต้องกินบุฟเฟ่ต์เค้กหรอก” ผัวผมเองครับ ขนาดมีโมเดลของหวานตั้งอยู่หน้าร้านเป็นสิบประหนึ่งนางกวักโบกมือเรียกลูกค้า ไอ้พี่ธันยังขยาดกันหน้าตาเฉย! แถมยังมีหน้ามาชี้แนะว่าถ้ากินเครปก็ไม่ต้องกินเค้กอีกต่างหาก! เรื่องอะไรล่ะเว้ย!! คนอย่างนายถ้วยฟู ไม่เคยโลเล โมเม นอกใจอยู่แล้ว!!
“ไม่! จะกินเค้ก” ผมปฏิญาณหนักแน่น ก่อนจะออกเดินต่อแล้วทิ้งร้านขายเครปกับพ่อค้าหนุ่มสุดหล่อไว้ด้านหลัง
...เดี๋ยวก่อน...รอกูก่อน...กูต้องอยู่โตเกียวอีกหลายวัน มึงต้องเสร็จกูแน่เครป!...
ตามโพยที่ไอ้โจบอกมานั้น ร้านบุฟเฟ่ต์เค้กอยู่ไม่ไกลจากปากทางเข้าถนนทาเคชิตะเสียเท่าไหร่ แต่ทางเข้าร้านลึกลับเล็กน้อยจนถึงปานกลางเพราะต้องเดินเข้าตึกไหนสักตึกกดลิฟต์ขึ้นไปชั้นไหนสักชั้น ซึ่งไอ้โจเพื่อนยากแนะนำมาว่า
‘มึงก็ดูป้ายร้านอ่ะ มันแปะบอกไปทางไหนก็ไปทางนั้น’
เป็นคำแนะนำที่แลดูเต็มใจแนะนำเป็นอย่างยิ่งใช่มั้ยครับ แต่ในท้ายที่สุดด้วยอานุภาพแห่งรักและความภักดี ผมก็มาเหยียบอยู่หน้าประตูร้านบุฟเฟ่ต์เค้กที่ไอ้โจเคยพาพี่ปอมมากินจนได้
พนักงานร้านสาวหน้าตาคิคุอาโนเนะโค้งกายเหมือนผมเอาทองมาแจก แล้วส่งเสียงเป็นภาษาญี่ปุ่นใส่หน้าผมผู้ซึ่งแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่านอกจากเชื้อจีนจากเหล่ากงเหล่าม่า ผมและคำว่าญี่ปุ่นก็ไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงกันอีก
แต่...เพราะมากับยอดชู้นามว่าธันวา การที่ผมจะทำหน้าตาซื่อบื่อมันดูไม่เท่ห์ในสายตาคนรักเอาซะเลยครับ แม้จะไม่เข้าใจคำพูดของพนักงานสาวหน้าตาน่ารักเลยสักนิด แต่ผมก็ส่งเสียงตอบกลับไปอย่างคล่องแคล่ว
“ทู!” พร้อมชูสองนิ้วให้รู้ว่ากูมาแค่สองคน พนักงานสาวชะงักไปเล็กน้อยกับความคล่องแคล่วของผม(มั้ง) ก่อนจะฝอยภาษาญี่ปุ่นใส่หน้าผมต่อไป
…เอ่อ...การที่ผมพูดภาษาอังกฤษกลับไป แล้วยังพ่นภาษาญี่ปุ่นกลับมาใส่หน้าผมนี่คืออะไร...คือการบอกกลายๆว่าไม่ว่าคุณลูกค้าจะพูดภาษาอะไรมา กูผู้เป็นพนักงานก็จะพูดภาษาญี่ปุ่นค่ะ อย่างงั้นเหรอ แหม้! สุดยอดของความชาตินิยมจริงๆ!!
และในเมื่อภาษาญี่ปุ่นเป็นพืดยังลอยละล่องออกมาจากปากสาวน้อยพนักงานหน้าตาจิ้มลิ้ม ไอ้เรามันเป็นผู้ชายแมนๆมาจากประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องสุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ถูกพ่อแม่ครูบาอาจารย์สั่งสอนมาตั้งแต่ตีเท่าฝาหอยว่าห้ามทำร้ายผู้หญิง จะมาทำหน้าตางงงวยก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะน้อยใจที่เขาอุตส่าห์พูดมาตั้งยาว เราเสือกฟังไม่รู้เรื่อง เพราะงั้น...สิ่งเดียวที่ผมทำได้ก็คือ...
“อาฮะ! โอเค! เยส!!” สามคำกันตาย และพยักหน้าอย่างเดียว พนักงานเห็นการตอบโต้บทสนทนาของผมแล้วก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม คงคิดว่าผมฟังรู้เรื่อง ทั้งที่ในความจริงแล้ว ถ้ากูฟังรู้เรื่องกูไม่ตอบกลับไปเป็นภาษาอังกฤษหร้อก!!!
พนักงานสาวผายมือผมไปที่ตู้อะไรสักอย่างที่ตั้งอยู่หน้าร้าน คล้ายตู้เกมส์แถวบ้านเราอันป็นแหล่งสถิตของหนุ่มแว้นซ์สาว’ก๊อยซ์นั่นล่ะครับ ผมเดินตามไปดู เห็นหล่อนกดนิ้วจึกๆบนหน้าจอ ก่อนจะชี้ให้ผมดูว่ามันคือตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นเป็นเบือและเลข 2 พร้อมด้วยคำนวนเงินค่าบุฟเฟ่ต์สำหรับสองคนเสร็จสรรพ!!
...อู้ฮู!! นี่มันเครื่องคิดเลขเวอร์ชั่นพัฒนาหน้าตาชัดๆ!! โคตรจะน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับมนุษย์ชาวไทยที่ไม่เคยเห็นไอ้เครื่องพรรค์นี้มาก่อน ประหนึ่งถูกดีดน้ำมันพรายผมควักกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาหยิบแบงก์พันเยนส่งให้พนักงานไปสามใบแบบไม่มีอิดออดเลยแม้แต่นิด!!...
พนักงานสาวโค้งแช่มช้อยรับเงินไปใส่เข้าไอ้เครื่องไฮเทคเครื่องนั้น มันดูดแบงก์เข้าไปแล้วคายสลิปค่าบุฟเฟ่ต์ออกมาหนึ่งแผ่นและเงินทอนเป็นเศษเหรียญ หล่อนส่งทั้งหมดให้ผม ก่อนจะเดินนำผมไปที่โต๊ะ
ในร้านมีลูกค้าไม่มากคงเพราะเพิ่งจะเปิดร้าน แต่ที่น่าแปลกคือลูกค้าของร้านบุฟเฟ่ต์เค้กแห่งนี้มีตั้งแต่วัยรุ่นสาวกลุ่มใหญ่ๆ ไปจนถึงแก๊งค์วัยรุ่นผู้ชายสามสี่คนที่คะเนจากหน้าตาดูแล้ว แม่งไซด์ไลน์ต้องเป็นสมุนแก๊งยากุซ่าแน่ๆ แต่หัวใจมันคงจะเฮลโล คิตตี้มากจริงๆ ถึงได้นัดประชุมแก๊งค์กันในร้านบุฟเฟ่ต์เค้กแบบนี้
พนักงานพาพวกผมเดินผ่านไลน์ของหวานหน้าตาน่าอร่อยมากมายไปจนถึงโต๊ะ ก่อนจะพูดโนะๆเนะๆอีกหลายประโยค แล้วจึงจากลาไป และเมื่อเหลือเพียงเราสองแล้ว ไอ้พี่ธันก็ทำตัวรู้หน้าที่ครับ มันทรุดตัวลงนั่งแล้วเอ่ยปาก
“ไปตักก่อนไป” เรามันมาจากประเทศที่เกือบจะเอารายได้จากอาชญากรรมรวมเข้าไปใน GDP เพราะงั้นมันเลยต้องทำหน้าที่เป็นยามให้ก่อนในช่วงที่ผมไปตักอาหาร ในขณะที่ลูกค้าสาวญี่ปุ่นโต๊ะข้างๆหายกันไปทั้งโต๊ะ มีแค่กระเป๋าสพายจองที่เท่านั้น
เมื่อสามีทำตัวสุภาพบุรุษเสียสละให้ผมไปตักอาหารก่อน ผมก็เลยรีบแว่บไปที่ไลน์เค้กอย่างว่องไว ซึ่งก็สมกับที่ร้านนี้เรียกตัวเองว่าบุฟเฟ่ต์เค้กครับ เพราะมีให้เลือกทั้งเค้กแยม เค้กครีม ไหนจะพายอีกมากมาย และที่สำคัญมีการเบรกของหวานด้วยอาหารจำพวกแกงกะหรี่และข้าวสวย พาสต้า สปาเก็ตตี้ก็มีนะเออ! เลือดในกายผมลุกฮือ ผมสาบานว่ากลับเมืองไทยไปได้ ผมจะเปิดบุฟเฟ่ต์เค้กในนามร้านเตาถ่านสาขา 2! ต่อให้แม่จะไม่ยอม ต่อให้พ่อจะร้องไห้กับการเอาชื่อร้านมาปู้ยี้ปู้ยำ แต่ผมจะทำให้ได้!! ทุกคนช่วยไปอุดหนุนด้วยนะครับ!!
ผมตักเค้กมาห้าชิ้น แกล้มด้วยสปาเก็ตตี้ผัดแฮมอีกเล็กน้อยพร้อมด้วยน้ำอัดลมสำหรับดับเลี่ยนแล้วจึงกลับมาที่โต๊ะ
“พี่ธัน มีข้าวแกงกะหรี่ด้วยนะ แล้วก็มีกาแฟร้อนด้วย” ผมรู้ว่ามันชอบกินอาหารจานหลักมากกว่ามาโด๊ปของหวาน ตอนที่ไปตักอาหารก็เลยสอดส่ายสายตาดูของไม่หวานมาเผื่อมัน ไอ้หล่อพยักหน้ารับสั้นๆ ก่อนจะเดินตรงไปที่ไลน์อาหาร ผมมองส่งเล็กน้อยด้วยความห่วงใยกลัวว่ามันจะอ้วกใส่ขนมของเขาซะก่อนเนื่องจากเลี่ยนในกลิ่นหวาน แต่พอเห็นมันตรงดิ่งไปยังอาหารคาว ผมก็เลิกสนใจอีก หันมาลัลล้ากับขนมที่ตักมาดีกว่า
...น่ารัก น่ากิน น่าสวาปามที่ซู้ดดดดดด!!...
.....................................
หลังจากชิมเค้กทุกชนิดในร้าน ผมก็หิ้วปีกไอ้ถ้วยฟูออกมาด้วยสภาพที่ท้องมันกลมอย่างกับลูกแตงโม อยากบ่นมันอยู่หรอกครับว่ากินไม่ดูตัวเอง แต่พอเห็นสภาพมันที่สะโหลสะเหลแบบนี้แล้วก็นึกสงสารมากกว่าจะอยากดุ
“ไหวมั้ย” ผมถามไอ้คนกินไม่เจียม ตอนนี้มันยืนลิ้นห้อยสูดอากาศอยู่นอกร้าน ใกล้เที่ยงเข้าไปทุกทีแล้ว คนที่ถนนแห่งนี้ก็เยอะขึ้นตามไปด้วย
“ไหว...” มันตอบแต่ดูจากสภาพหน้ามันแล้ว มันคงงดของหวานไปสามเดือน ผมเปิดกระเป๋าเป้เอาขวดน้ำออกมาส่งให้มันจิบแก้เลี่ยน มันก็รับไปอย่างว่าง่าย
“แล้วเราจะไปไหนกันต่อ” ผมถามมันที่ดูสีหน้าจะดีขึ้นเล็กน้อยหลังจากได้อากาศเย็นๆพัดผ่านหน้า
“เดินกลับไปที่สถานีเมื่อกี้แล้วเดี๋ยวไปชินจูกุ” ผมพยักหน้ารับ ก่อนที่เราสองคนจะเริ่มออกเดินกลับไปทางเดิม ซึ่งแน่นอนว่าตอนที่ผ่านร้านเครปที่มันหมายตาไว้ตอนแรก ไอ้นี่ก็ยังชะเง้อคอยืดคอยาวมองจนผมต้องดึงแขนมันออกมา
เรากำลังจะเดินจนถึงปากทางอยู่แล้ว ถนนใหญ่อยู่ตรงหน้านี่เอง แต่...ไอ้ตัวแสบดันเหลือบไปเห็นอะไรดีๆ(สำหรับมัน)เข้า
“พี่ธันๆ เดี๋ยวๆ!!” มันชะงักแล้วรั้งแขนผมไว้ ผมหันกลับไปมอง เห็นมันกำลังจับจ้องไปที่ตรอกเล็กๆที่มีบันไดทอดตัวลงชั้นใต้ดิน ซึ่งผนังข้างบันไดมีรูปผู้หญิงสองคนโพสต์ท่าเหมือนกำลังถ่ายรูปด้วยกัน
“ข้างล่างนี่ต้องมีตู้ถ่ายรูปแน่เลยอ่ะ!” มันว่าอย่างนั้น แล้วมองรูปผู้หญิงที่ติดอยู่ข้างผนังด้วยสายตาวิบวับ...สรุปว่ามึงสนใจตู้ถ่ายรูป หรือสนใจผู้หญิง?...
“ลงไปดูกันเหอะ” มันเบี่ยงสายตาจากรูปผู้หญิงหันมาชวนผม และไม่ทันที่ผมจะเรียกมันเอาไว้ ไอ้แสบก็รีบก้าวขาลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว
...ถ้าเกิดข้างล่างเป็นรังยากุซ่า มึงจะขึ้นมาทันมั้ย ไอ้แสบ!!...............................
“อู้ฮู้!! นี่มันอาณาจักรโฟโต้กราฟฟี่ชัดๆ!!”
โคตรน่าตื่นตาตื่นใจเลยครับ!! ชั้นใต้ดินที่หัวใจพาปลายเท้าของผมลงมานั้น คือจุดที่อัดแน่นไปด้วยตู้ถ่ายรูปนับได้เกือบสิบเครื่อง ทุกเครื่องหน้าตาจะมุ้งมิ้งกว่าบ้านเรามากนัก เนื่องจากว่าจะมีรูปของสาวๆหน้าตาน่ารักติดอยู่ทั่วทุกตู้เป็นการเชิญชวนว่าตู้นี้ถ่ายออกมาแล้วคนถูกถ่ายจะออร่าปิ๊งปั๊งแบบนั้นแบบนี้ ผมเดินเหล่ตามตู้ บางตู้มีกลุ่มวัยรุ่นผู้หญิง 2-3 คนยืนออกันอยู่ข้างตู้ซึ่งเป็นหน้าจอมอนิเตอร์ให้แต่งรูปภาพที่เพิ่งถูกถ่ายครับ ผมแอบชำเลืองมองก็เห็นว่ามีการตกแต่งรูปภาพด้วยวิกได้ด้วย! แหม้!! ถ้ามันจะศิวิไลซ์แบบนี้ เห็นทีต้องลองสักหน่อย!
“เอาตู้นี้แล้วกัน!” ผมเลือกตู้ที่ดูหวานแหววที่สุดในบรรดาทุกตู้ รอบตู้ติดด้วยโปสเตอร์ภาพผู้หญิงสองคนในชุดสีชมพู้ ชมพู มีประกายวิ้งวั้งดูแล้วเชิญชวนให้เรารู้สึกว่าถ้าถ่ายรูปตู้นี้ ก็จะออกมาสไตล์นี้ล่ะ!!
...แล้วคิดถึงไอ้ผู้ชายไทยแท้ร้อยเปอร์เซ็นที่มากับผมสิครับ ถ้าไอ้โปสเตอร์ข้างตู้ไม่หลอกลวงผู้บริโภคแล้วล่ะก็ รูปที่มันถ่ายออกมาก็วิ้งกระจายแบบโปสเตอร์...หึ หึ หึ นี่จะกลายเป็นงานแบล็กเมล์ระดับชาติทีเดียว!!!...
“จะถ่ายเหรอ?!” ดูเหมือนไอ้พี่ธันจะรู้ตัวซะแล้วว่างานอาจงอกที่มัน ผมเลยต้องรีบมารยาสาไถทำหน้าเศร้าแล้วเอานิ้วเขี่ยที่ตู้ถ่ายรูปให้มันเห็นว่าผมอยากถ่ายจริงจริ๊ง!!
“ก็...ฟูไม่เคยเห็นตู้แบบนี้เลยอ่ะ...วันๆทำแต่งานในครัว เห็นแต่ตู้เย็น ตู้ล้างจาน ตู้เก็บผักเก็บเนื้อ พอได้มาเห็นไอ้ตู้แบบนี้ก็เลย...ก็เลยคิดว่ามันน่าถ่ายจัง...แต่จะถ่ายคนเดียว ฟูก็...ฟูก็มีแฟนอ่ะ! ฟูอยากถ่ายกับแฟน...” ตอนท้ายทอดเสียงเบาอย่างโคตรอ่อย อยากจะอ้วกกับคำว่า ‘ฟูอยากจะถ่ายกับแฟน’ จริงๆเลยว่ะ ให้ตายเถอะ! นี่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าอยากจะแกล้งมัน เอ๊ย! อยากจะถ่ายรูปกับมัน ผมไม่มีวันพูดอะไรแบบนี้เด็ดขาด!!
“จริงๆนะ ฟูอยากมีรูปถ่ายกับพี่ธันเป็นที่ระลึกว่าครั้งนึงเราเคยมาโตเกียวด้วยกัน เราเคยมาถ่ายรูปที่ฮาราจูกุด้วยกัน ตอนแก่ที่ไปไหนไม่ไหวแล้ว จะได้เอารูปพวกนี้มานั่งดู ...” น้ำตายังทำให้ผมหอบผ้าหอบผ่อนมาถึงโตเกียวได้ เพราะงั้นไอ้หน้าเศร้าๆก็ต้องทำให้ผมได้ถ่ายรูปในตู้นี้กับมันได้เหมือนกัน!!...
ไอ้พี่ธันมองหน้าผมแล้วเหลือบมองตู้ถ่ายรูปก่อนจะถอนหายใจเฮือก...ไอ้ถอนหายใจนี่ล่ะครับ บอกให้รู้ว่ามันติดกับผม!!...
“เอาตู้นี้เหรอ” มันถามถึงตู้ที่ผมกำลังเอานิ้วเขี่ยอย่างกับจะขอเลขซื้อหวย
“อือ” ผมพยักหน้ารับด้วยดวงตาอันหวานซึ้ง จะกระตู้วู้ตอนนี้ไม่ได้ เดี๋ยวไอ้พี่ธันรู้ว่าผมมีแผนชั่วจะเอารูปนี้ไปปล่อยให้ประชาชีทั่วล้าได้ยล แล้วมันจะไม่ยอมตกหลุมพรางที่ผมขุดเอาไว้
ไอ้หล่อจ้องผมแล้วยกนิ้วชี้หน้าเป็นการสั่ง(เสีย)
“ถ่ายแล้ว ห้ามเอาไปให้ใครดู เข้าใจมั้ย” มันคงรู้แล้วล่ะว่าชีวิตมันจะต้องเจออะไรถ้าหากก้าวเข้าไปในตู้ถ่ายรูปเครื่องนี้กับผม
ผมทำเป็นยิ้มหวาน แล้วรับคำอย่างจริงใจสุดๆ
“ไม่ให้ใครดูแน่นอน” มันถอนหายใจอีกรอบก่อนจะเดินเข้าไปในตู้ถ่ายรูป ทิ้งให้ผมมองตามด้วยความรักสุดฤทธิ์ที่มีให้กับมัน
...เรื่องอะไรกูจะเอาไปให้ใครดูล่ะ! กูจะอัปโหลดลงยูทูป แล้วถ้าใครอยากดูก็เข้ามาดูกันเองต่างหาก! นี่กูไม่ได้เอาไปให้ใครดูนะ! คนอื่นเขามากันเอง!! กูไม่เกี่ยว!!! คริ คริ คริ...
...............................
“ญี่ปุ่นนี่แม่งสุดยอดจริงๆ รูปนี้พี่ธันตลก ฮ่าฮ่า” ผมเหลือบตามองไอ้ถ้วยฟูที่กำลังกลั้นหัวเราะท้องแข็งกับรูปที่อยู่ในมือมัน ในขณะที่เรากำลังนั่งรถไฟจากสถานีฮาราจูกุไปยังสถานีชินจูกุซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน
...และไอ้สิ่งที่ทำให้มันกลั้นหัวเราะจนตัวงอก็คือไอ้เครื่องถ่ายรูปอัจฉริยะนั่นสร้างมาเพื่อผู้หญิงโดยเฉพาะ โดยเครื่องจะใส่บิ๊กอายให้ในรูปทันที แถมด้วยแก้มชมพู ปากชมพู...เอาง่ายๆว่ารูปออกมา ผมอุบาทจนอยากจะริบจากมือมันมาฉีกทิ้งทุกวินาที!
“เหมือนกะเทยเลยอ่ะ ฮ่าฮ่า” การเป็นกะเทยไม่ใช่เรื่องตลก แต่เพราะในรูปนั่นเป็นผมที่ถูกเครื่องจับใส่ตาดำใหญ่ๆ ใส่แก้มชมพู แถมไอ้ถ้วยฟูยังอุตริเติมวิกผมยาวให้อีกต่างหาก ผมถึงได้บอกว่าสนุกมันล่ะ!
“รับปากพี่แล้วนะว่าจะไม่ให้ใครดู” ผมย้ำ กันมันลืมอีกที ไอ้แสบเงยหน้ามองผมตาวิบวับ ดูแล้วไม่น่าวางใจเลยสักนิด
“เออหน่า...” ผมถอนหายใจ แล้วปล่อยให้มันเสพสุขกับรูปในมือต่อไป ส่วนตัวผมเริ่มมองดูข้างทาง เพราะจากสถานีฮาราจูกุมาสถานีชินจูกุนั้นค่อนข้างใกล้ ถ้าเอาแต่ดุไอ้แสบ เดี๋ยวได้นั่งเลยกันพอดี
“แต่พี่ธันก็แต่งหญิงขึ้นเหมือนกันนะ สวยดุสวยดุ โอ๊ย!” มะเหงกสักทีเถอะมึง ตอนแรกว่าจะไม่ดุแล้ว แต่เสือกพูดจาน่าโดนก็เอาสักหน่อยแล้วกัน! อย่าคิดว่าออกนอกประเทศแล้วกูจะดูแลอย่างเดียว กูดุได้เหมือนเดิม
เสียงประกาศบอกสถานีดังขึ้น บอกให้รู้ว่าป้ายหน้าคือสถานที่ที่พวกผมจะต้องลง ผมก็เลยดึงรูปในมือมันมาเก็บลงกระเป๋าเป้เพื่อเตรียมตัว ก่อนที่รถไฟจะวิ่งเข้าสู่ชานชาลาที่พลุ่กพล่านที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
...สถานีชินจูกุครับ..............................................
ชินจูกุ!! วู้ฮู้!!! ชินจูกุ!!!!!
ชินจูกุคือแหล่งที่รวมทุกอย่างเอาไว้ด้วยกัน มีตั้งแต่แนวโชห่วยไปจนถึงห้างสรรพสินค้าหรูๆ มีตึกสำนักงานเตี้ยๆและมีอาคารสูงเสียดฟ้า มองไปทางไหนก็เบลอตาไปหมดเพราะแม่งดูแน่นขนัดชนิดที่ว่าพอมุดหัวออกมาจากสถานีแล้วยืนงงจนอยากจะกรีดร้องว่ากูจะไปทางไหนต่อดี!!
“ไอ้โจบอกว่าตึกชื่อนี้มีของเล่นขาย”
จริงๆไอ้โจบอกว่าย่านนี้มีถนนที่มีแต่บาร์เกย์ด้วย แต่บังเอิ้น บังเอิญผมเป็นคนดี ไม่ฝักใฝ่ ไม่หมกหมุ่นกับเรื่องพวกนั้น อยู่ในศีลธรรมและขนบประเพณีอันดีงามของสยามประเทศ ผมก็เลยไม่สนใจหรอกครับ (จริงๆแล้ว ผมกลัวว่าไปเดินแถวนั้นแล้วไอ้พี่ธันจะถูกฉกไปจากอ้อมอก หล่อๆรวยๆดีๆแบบมันไม่ได้มีขายแบกับดินนะครับ! ต้องตบตีแย่งชิงกว่าจะได้มาอยู่ในกำมือ แถมต้องใช้เรือนร่างอันสยิวเสียวซ่านของผมในการทำให้มันหลงหัวปักหัวปำไปไหนไม่ได้อีก ดูสิครับ!! เหน็ดเหนื่อยแค่ไหนกว่าจะประคับประคองให้มันหน้ามืดตามัวอยู่กับผมได้นานขนาดนี้! แล้วเรื่องอะไรจะยอมให้มันมาเสร็จผู้ชายป้ายเหลืองที่ประเทศนี้ ให้ตายยังไงนายถ้วยฟูคนนี้ก็ไม่ย้อม!ไม่ยอม!!!)
ผมเปิดโทรศัพท์มือถือขึ้นมาให้ไอ้พี่ธันดูรูปที่ผมจิ๊กมาจากไอ้โจ ซึ่งแน่นอนว่ารูปที่จิ๊กมานั้นเป็นรูปถ่ายคู่ของไอ้โจกับพี่ปอมซึ่งมีชื่อตึกเป็นฉากหลังไกลลิบๆ แต่ผมตัดมาเฉพาะชื่อตึก แอบติดหัวไอ้โจมาหน่อยนึง
“ตึกนั้นรึเปล่า” ไอ้พี่ธันดูชื่อตึกแล้วมองซ้ายมองขวาก่อนจะชี้ไปที่ตึกฝั่งตรงข้ามที่มีสะพานลอยเชื่อมไปถึงพอดี
“ใช่ๆ!!”
ผมกำลังจะก้าวขาออกเดิน แต่ถูกดึงแขนเอาไว้ซะก่อน
“ผ้าพันคอจะหลุดแล้ว” มันเอ่ยปากบอก
“ถ้างั้นมัดให้หน่อย เอาแบบเมื่อวานก็ได้ หลุดยากดี”
“มัดแบบเมื่อวาน? ผูกโบว์น่ะเหรอ” ไอ้หล่อถามแซวๆ แต่ ณ จุดนี้ที่ยอดชายนายปวินมีจิตใจจดจ่ออยู่กับของเล่นที่จะไปสอยก็เลยเลิกสนใจความเท่ห์แล้วครับ
“เออๆ เอาแบบนั้นแหละ” ผมหันหลังให้มันช่วยมัดให้
“เอาโบว์มาผูกไว้ข้างหน้ามั้ย” มันถามยิ้มๆ
...ไอ้นี่...มึงจะทำให้กูดูน่ารักมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งมากไปแล้วนะเว้ย!!! กูหล่อนะโว้ยยยยย! ชอบดาวน์เกรดจากความหล่อของกูให้กลายเป็นความน่ารักเรื่อยเลย!!
แต่อย่าคิดว่าผมจะตีโพยตีพายให้เสียภาพลักษณ์ ระดับผมต้องปฏิเสธแบบผู้ดีเท่านั้น
“อย่าเลย แค่โบว์อยู่ข้างหลัง เมื่อวานยังโดนไปสองรอบครึ่ง ถ้าโบว์อยู่ข้างหน้า กลัวใจคนแถวนี้จะฟาดห้ารอบ” ไอ้พี่ธันหัวเราะแล้วล็อกคอผมเข้าไปใกล้แล้วกระซิบเบาๆแต่โคตรหื่นอย่างหาตัวจับยาก
“พรุ่งนี้ไม่ต้องตื่นเช้าใช่มั้ย คืนนี้เตรียมตัวได้เลย”
ผมเหล่ตามองมันแล้วตบอกตัวเองดังปั้กๆ!
“อย่าตายคาอกแน่นๆนี่แล้วกัน!” อย่าคิดว่ามึงจะหื่นเป็นคนเดียว กูก็หื่นไม่แพ้กัน!!!
มันหัวเราะลั่นแล้วลากคอผมออกเดิน แขนมันยังคล้องอยู่บนบ่าผม ไออุ่นจากร่างกายของมันถ่ายทอดมาถึงผม ลมหนาวพัดมาอีกแล้ว ลมแรงหอบเอาอุณหภูมิต่ำกว่าสิบองศามาปะทะร่างให้ผมหาโอกาสเบียดเข้าหาไอ้หล่อมากกว่าเดิม มันเหลือบตามองผม เราสบตากัน ยิ้มให้กันน้อยๆ มันรู้ว่าผมเขินที่ทำเหมือนอ้อนมันแบบนี้ แต่มันก็รู้ว่าไม่ควรพูดอะไรออกมา
จากหน้าสถานีไปจนถึงตึกที่ผมหมายตาใกล้นิดเดียว ถ้าวิ่งไปก็คงจะถึงในอึดใจ แต่...ท่ามกลางอากาศหนาว...ไออุ่นของร่างกายที่ถ่ายทอดให้กันกลับยิ่งเด่นชัดให้รับรู้ว่าเรายังอยู่ข้างๆกัน เจ็ดปีแล้ว...เจ็ดปีแล้วที่เราคบกัน และเรายังอยู่ข้างๆกันเหมือนเจ็ดปีที่ผ่านมา
แขนมันที่วางพาดบนบ่าผมโอบไหล่ผมเข้าหามันเบาๆ ก้าวเดินที่ช้าลงทำให้เราได้อยู่ด้วยกันมากขึ้น ทำให้เราได้รับรู้กันและกันนานขึ้น และผมหวังว่าอีกเจ็ดปีข้างหน้า และอีกเจ็ดปีต่อไป ต่อไป ต่อไป...เราจะอยู่ด้วยกันแบบนี้...
ผมหวัง ผมภาวนา และผมจะทำวันนี้ให้ดีพอที่อีกเจ็ดปีข้างหน้ามันจะยังคงอยากอยู่กับผม
ผมสัญญา
つづく
อะแหน่ะ! รอสองรอบในห้องน้ำกันใช่ม้ายยยยย เก็บเอาไว้ให้เขารู้กันสองคนบ้างเนอะ เล่าตลอดไม่ได้หรอก ฮ่าฮ่า 
สำหรับ “รักนี้ อิน โตเกียว” น่าจะมีทั้งหมดประมาณ 6-7 ตอน บัวพิมพ์ยังไม่จบ เลยบอกชัวร์ๆไม่ได้ แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะถึง 10 ตอนค่ะ และด้วยความที่มันเป็นสเปฯ เพราะฉะนั้นบอกเลยว่าไร้สาระตั้งแต่ต้นจนจบค่ะ ฮ่าฮ่า
ตอนแรกที่จะเอาลง ค่อนข้างกังวลมากๆ กลัวคนอ่านอ่านแล้วไม่อิน เพราะว่ามันไม่ใช่เมืองไทยก็ด้วย แล้วสถานที่ที่สองคนนี้ไปเกือบ 90 % ถึงจะมีอยู่จริงในโตเกียว แต่มันก็ไม่ใช่ลักษณะที่ใกล้เคียงกับบ้านเราเลย ทั้งวัด ทั้งแหล่งช้อปปิ้ง เพราะงั้น...ถ้าใครนึกไม่ออก เซิร์จถามอากู๋นะคะ แหะๆ
ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์ คนคิดถึงถ้วยฟูและพี่ธัน ขอบคุณพื้นที่บอร์ดด้วยค่ะ
เจอกันใหม่อาทิตย์หน้า
ป.ล. จะบอกว่า...ที่ถ้วยฟูเจอคนญี่ปุ่นพูดไทยได้ฟังไทยออกที่นาริตะในพาร์ทแรกนั้น เกิดขึ้นจริงกับบัวนะคะ T^T จำจนทุกวันนี้ จังหวะนั้นมันเงิบมากถึงมากที่สุดจริงๆ โลกเราไร้พรมแดนมากไปแล้ววววว กระทั่งคนญี่ปุ่น ก็ยังพูดไทยได้ฟังไทยออกด้วยเหตุผลที่ว่า “ผมมีภรรยาเป็นคนไทยครับ”