“ผมพูดภาษาไทยได้ครับ” ตาลุงญี่ปุ่นสุดอะโลนคนนั้นตอบกลับมาเป็นภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำ เล่นเอาผมเงิบไปเล็กน้อยเพราะเมื่อกี้เพิ่งเรียกเขาว่า ‘เหยื่อ’ มาหมาดๆ แล้วคนอย่างผมก็ไม่ใช่พวกพูดจาเบาซะด้วยสิ
…แต่บางทีเขาอาจจะฟังไม่ทัน หรืออาจจะฟังคำว่า ‘เหยื่อ’ เป็นคำอื่นก็ได้! อาจจะฟังเป็น ‘เยื่อ’ หรือ ‘เยื้อย’ อะไรทำนองนี้ ขอบคุณภาษาไทยที่ออกแบบหลักภาษามาได้ยากโคตรครับ กราบขอบพระคุณ...
“…พ…พูดไทยได้เหรอครับ” ผมย้อนถามอีกรอบพยายามทำใจดีสู้เสือ ท่องไว้ ท่องไว้ ว่าภาษาไทยแม่งยากจะตายห่า เด็กไทยยังตกแล้วตกอีก แล้วลุงเป็นญี่ปุ่นทั้งหน้าตาทั้งสำเนียงแบบนี้ ลุงจะเข้าใจภาษาไทยได้ดีไปกว่าสวัสดี ขอบคุณ ผมรักคุณ ลาก่อน ได้ยังไง!!
ลุงอะโลนยิ้มกว้างแล้วพยักหน้ารับ
“พูดได้ครับ ผมอยู่เมืองไทยมาสิบห้าปี ภรรยาของผมก็เป็นครูสอนภาษาไทย” ฉิบหาย...อยู่เมืองไทยตั้งสิบห้าปี แถมเมียเป็นครูสอนภาษาไทยอีกต่างหาก!!! อย่างงี้ก็เข้าใจคำว่าเหยื่อสิวะเนี่ย!!!
ผมเงิบไม่เล็กแล้วตอนนี้ เพราะอีกฝ่ายพูดไทยได้ ฟังไทยออก แม้จะมีสำเนียงแบบโกโบริๆก็เหอะ แต่ยังไงก็ยังเป็นภาษาไทยอยู่ดี!!
...กูอยากจะกลายเป็นหิ่งห้อยแล้วบินขึ้นสู่ทางช้างเผือกซะเดี๋ยวนี้!! ใครจะไปคิดว่าจะมาเจอคนญี่ปุ่นพูดไทยได้ฟังไทยออกนอกประเทศแบบนี้วะ!!!!...
แม้หัวใจผมจะลอยปิ๋วไปกับสายลม หน้าแตกละเอียดยิบๆ แต่เรามันคนไทยมีรอยยิ้มเป็นอาวุธเลยต้องส่งยิ้มแฉ่งไปหนึ่งที ตามด้วยคำเยินยอสรรเสริญถือเป็นการไถ่โทษ
“อ่า…ก…เก่งนะครับ! แหม! ภาษาไทยยากมาก แต่คุณลุงพูดภาษาไทยเก่งมากเลย! ภรรยาสอนมาดีสินะครับนี่!” แพ็กเกจคู่ชมทั้งลุง ทั้งเมียลุงเลยนะเนี่ยยยยย...ไม่เรียกว่าชะเลียก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว!!...
“ขอบคุณครับ มาครับ ผมจะถ่ายรูปให้” ลุงญี่ปุ่นว่าอย่างนั้น ผมก็เลยส่งกล้องให้ แล้วกลับไปนั่งบนเบาะข้างไอ้พี่ธัน ให้คุณลุงถ่ายรูปให้ 2-3 แชะ พอเอามาเช็คก็พบว่าลุงแกเก็บทั้งนายแบบสองหน่อและบรรยากาศในตู้โบกี้ราวกับรู้ว่าผมจะเอาความอลังการของรถไฟญี่ปุ่นกลับไปอวดคนที่บ้านอย่างไรอย่างนั้น
“มาเที่ยวกันสองคนเหรอครับ” ลุงถาม หลังจากส่งกล้องคืนให้ผม
“ครับ ลุงล่ะครับ กลับมาเยี่ยมญาติเหรอ”
“ผมกลับมาทุกปี แต่ปีหน้าว่าจะพาลูกมาเยี่ยมปู่กับย่าบ้างแล้ว แกไม่เคยมาเลย” หน้าตาแกดูเศร้าตอนที่พูดถึงเรื่องลูกให้ฟัง “ผมเห็นคนหนุ่มสาวต่างชาติพากันมาที่นี่ แต่ผมกลับไม่เคยพาลูกผมมา รู้สึกแปลกๆนะครับ” แกว่าอย่างนั้น ก่อนจะหันมายิ้มให้พวกผมอีกรอบ
“พวกคุณเที่ยวแค่ในโตเกียวหรือว่าไปต่างจังหวัดด้วยล่ะ” มาถึงคำถามนี้ ไอ้ผมผู้ซึ่งเป็นคนเตรียมแผนการเดินทางตั้งแต่วันแรกยันวันสุดท้ายก็ถึงกับยืดอกสามศอกขึ้นอย่างภาคภูมิ
“เที่ยวแค่โตเกียวครับ!!” แค่โตเกียวก็ยากแล้วนะเว้ยเฮ้ย! สำหรับการเที่ยวโดยใช้แค่รถสาธารณะอย่างเดียวในประเทศที่มีสายรถไฟหยึบหยับยั้วเยี้ยมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลกน่ะ!!
“ถ้าอย่างนั้นก็เที่ยวให้สนุกนะ”
รถไฟปิดประตูแล้ว คุณลุงแกอวยพรให้เล็กๆก่อนจะเดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง ไม่เกินอึดใจรถไฟก็เริ่มเคลื่อนตัวออกสู่โลกภายนอก จากอุโมงค์ทึบๆ วิวนอกหน้าต่างก็กลายเป็นทุ่งหญ้าทุ่งข้าวสารพัด ตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงกว่าๆของที่นี่ แดดยังสาดเข้ามา ดูแล้วร้อนไม่น่าจะหนาวถึงขนาดต่ำกว่าสิบองศาเลยแหะ
“มีแต่ทุ่งเหมือนปทุมฯ รังสิตอะไรอย่างงี้เลยอ่ะ” ผมหันมาออกความเห็นกับไอ้คนไทยที่นั่งข้างๆ มันได้แต่ยิ้ม ก่อนจะหันไปเก็บภาพบรรยากาศนอกโบกี้ต่อ เสียงประกาศเป็นภาษาญี่ปุ่นดังขึ้น ตามด้วยภาษาจีน และภาษาอังกฤษ พร้อมกับที่มอนิเตอร์เหนือประตูเชื่อมระหว่างโบกี้ที่เริ่มบอกเวลาการเข้าจอดสองสถานีตามลำดับคือสถานีนิปโปริที่ผมจะลง และสถานีอุเอโนะซึ่งเป็นสถานีปลายทาง ใช้เวลาเดินทางเกือบชั่วโมงนึง จริงๆนั่งสักสองชั่วโมงก็ได้ จะได้คุ้มค่าตั๋วสักหน่อย
เมื่อมอนิเตอร์ไม่ประกาศอย่างอื่นที่น่าสนใจอีก ผมก็เบี่ยงสายตามองออกไปนอกหน้าต่างรถแทน ตอนนี้ภาพทุ่งหญ้าทุ่งข้าวเริ่มกลายเป็นบ้านทรงญี่ปุ่นแบบที่เห็นบ่อยๆตามการ์ตูนปลูกเรียงรายเป็นพืดไปสุดลูกหูลูกตา ไกลลิบๆคือภูเขาที่ทอดตัวสงบนิ่งอยู่ใต้เมฆน้อยลอยบุ๋งๆ ช่างเป็นภาพที่งดงามเหลือจะบรรยายครับ ยิ่งรับรู้ว่าได้ออกมาเที่ยวเมืองนอกกับยอดรักแค่สองคนด้วยแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกกระดี๊กระด๊ายิ่งกว่าปลากระดี่ได้น้ำซะอี๊ก!!
ว่าแล้วก็ขอเช็คกราฟความรักของตัวเองและไอ้พี่ธันนิดนึง
“นั่นภูเขาฟูจิรึเปล่า” ผมชี้ชวนสุดเลิฟให้ดูภูเขาไกลๆ อันที่จริงก็คิดว่าไม่ใช่ล่ะครับ แต่...นี่คือบททดสอบของการชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ชี้ภูเขาก็ต้องเป็นภูเขา ชีวิตผัวอยู่ในกำมือเมียประหนึ่งลูกเจี๊ยบที่แค่บีบก็ตาย แค่คลายก็รอด!! วะฮ่าฮ่า!!
“นั่นมันภูเขาที่ไหน นั่นมันเทือกเขา” ...เอ่อออออ...ช่วยไม่ขัดกูได้มั้ย ช่วยเออออไปกับกูว่ามันคือภูเขาไฟฟูจิได้รึเปล่า ช่วยทำให้กูรู้สึกดี ช่วยทำให้กูรู้สึกฉลาด ช่วยทำได้มั้ย?...
“แล้วอีกอย่าง ภูเขาไฟฟูจิมันไม่ได้อยู่แถวนี้สักหน่อย มันอยู่ทางตะวันตกของญี่ปุ่นไม่ใช่เหรอ” นี่นอกจากมึงจะฟาดเกียรตินิยมเหรียญทองแพลตตินั่มมาจากคณะวิศวะฯคณะเดียวกับกูผู้ซึ่งจบมาด้วยเกรดเฉลี่ย 3.01 แล้ว มึงคงจะแอบไปเทคคอร์สภูมิศาสตร์อะราวด์ เดอะ เวิลด์มาด้วยสินะ!! รู้ลึกรู้ดีรู้จริงซะเหลือเกิ๊น!!
“เออ! ถ้างั้นภูเขาเมื่อกี้คงเป็นเทือกเขาบรรพต!!” ในเมื่อไม่ใช่ภูเขาไฟฟูจิก็เป็นบรรพตไปแล้วกัน!!
ไอ้พี่ธันหัวเราะเบาๆ แล้วโยกหัวผมไปมาอย่างแสนเอ็นดู
“อย่างอนหน่า อุตส่าห์พามาเที่ยวแล้ว” ผมแอบเหล่ตามองมันเล็กน้อย ก่อนจะสูดลมหายใจฟืดนึงเพื่อเป็นการคลายอารมณ์
“ดูนั่นสิ เหมือนบ้านโนบิตะมั้ย” แล้วไอ้พี่ธันก็ชี้ชวนผมให้หันไปสนใจสิ่งอื่น ตอนนี้บ้านคนเริ่มหนาตามากแล้วครับ คงเพราะวิ่งเข้าใกล้เขตเมืองเข้าไปทุกที บ้านแต่ล่ะหลังก็สไตล์ใกล้เคียงกัน เป็นสไตล์แบบบ้านโนบิตะ ณ โดราเอมอนแทบทุกหลัง
รถไฟชะลอตัววิ่งเข้าสู่ชานชาลาแล้ววิ่งเลยไป ไม่ยอมจอด คนที่ชานชาลาก็ยืนรอกันต่อไป มีเด็กนักเรียนญี่ปุ่นกลุ่มใหญ่ๆยืนคอยรถอยู่ แต่รถไฟขบวนที่ผมขึ้นดันไม่จอดซะงั้น สงสัยเพราะขบวนผมจะเป็นขบวนอภิสิทธิ์ชนนะครับ ฮุฮุฮุ
“ไม่ต้องทำหน้าอย่างงั้น ขบวนนี้เป็นรถด่วน” ไอ้หล่อข้างกายคงเห็นสีหน้าที่แสนภาคภูมิของผม มันก็เลยกระชากผมลงมารับรู้ความจริงสักหน่อย
...นอกจากมึงจะไม่เออออเทือกเขาเมื่อกี้ว่าเป็นภูเขาไฟฟูจิแล้ว มึงยังทำลายความรู้สึกกูไม่ยั้งเลยนะ!! กูคิดว่ากูบอกมึงแล้วว่าทริปนี้คือทริปกระชับความสัมพันธ์ที่มึงจะต้องดูแลหัวจิตหัวใจของกูมากเป็นพิเศษ! แล้วนี่อะไร!! นี่อะไร!! เหยียบโตเกียววันแรกมึงก็ขัดแข้งขัดขากูตลอด!!!...
เวลาประมาณสี่สิบนาทีไม่ได้ช้าอย่างที่คิด คงเพราะมีวิวทิวทัศน์แปลกตาที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตให้ดูไปตลอดทาง แถมมีคู่หูเดินทางที่กัดกันไปแง่งกันมาโอ๋กันบ้างเป็นบางระยะ รู้ตัวอีกที รถไฟก็ประกาศอีกรอบ ไอ้พี่ธันเริ่มชะเง้อชะแง้ คงเพราะใกล้ถึงแล้ว
“จะลงแล้วเหรอ” ผมถามเริ่มลุกลี้ลุกลนตามมัน
“อืม ป้ายหน้า” ผมขยับเตรียมตัวอย่างโคตรตื่นเต้น เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาเหยียบญี่ปุ่น ถึงแม้จะรู้จักประเทศนี้ตั้งแต่ยังเอ๊าะก็เหอะ
รถไฟวิ่งเข้าจอดเทียบชานชาลา ผมกับไอ้พี่ธันลุกจากเก้าอี้เดินไปเอากระเป๋าเน่าๆของเราสองคนออกจากที่วางแล้วยกมันลงจากรถไฟ
และของขวัญชิ้นแรกที่โตเกียวมอบให้ก็คือ…
…ลมหนาวหอบใหญ่พัดเข้ามาในสถานีรถไฟซะหัวแทบปลิว!!!...
...เห็นแดดเปรี้ยงๆนี่ไม่ใช่เล่นๆเลยนะมึงงงงงงง!! หนาวได้อีก!!!!...
“เดี๋ยวเราเอากระเป๋าไปเก็บโรงแรมก่อน แล้วค่อยไปหาอะไรกินแล้วกัน” ไอ้หล่อเสนอแนะ ผมก็พยักหน้าหงึกๆเห็นด้วย เพราะไฟลท์บินตอนเช้าได้กินข้าวไปมื้อเดียวบนเครื่องและตอนนี้ก็เริ่มหิวแล้วด้วย
เราสองคนช่วยกันลากกระเป๋าออกจากสถานีที่มีญี่ปุ่นชนทั้งคนธรรมดา นักเรียน มนุษย์สูท แม่บ้าน สารพัดจะเยอะ แค่เห็นคนเดินไปเดินมาขวักไขว่อยู่ตรงหน้าก็ให้ความรู้สึกว่าโคตรจะเมืองหลวงอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ในสถานีรถไฟก็กว้างขวาง สะอาดสะอ้าน มีร้านหนังสือ ร้านขายขนมปัง ร้านขายอาหาร แต่ไม่ยักกะเห็นคนเดินกินในสถานีทั้งๆที่ก็ไม่เห็นจะมีป้ายห้ามอะไรเลย แหม...ไม่เหมือนบางประเทศแถวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ตั้งอยู่บนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานะครับ ติดป้ายห้ามใหญ่เท่าฝาบ้าน หรือต่อให้แม่งทำเป็นบิลบอร์ดข้างทางด่วน แต่ข้อห้ามคือของหวาน ลิ้มรสแล้วอร่อยแม้ไม่อิ่มก็ตาม
กลับมาที่โตเกียวกันต่อ โรงแรมที่ผมจอง ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเท่าไหร่ เดินไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ โรงแรมนี้ผมเลือกเพราะไอ้โจมาเที่ยวกับพี่ปอมคราวก่อนแล้วใช้บริการที่นี่ มันว่าใกล้สถานีรถไฟสายหลักอย่างสายยามาโนเตะ(กรุณาจำสายรถไฟสายนี้ให้มั่นเลยนะครับ เพราะมันคือเพื่อนตายของผมและไอ้พี่ธันเลยทีเดียว!) และสายที่วิ่งด่วนจี๋กลับสนามบินนาริตะ สะดวกทั้งเดินทางในเมือง สะดวกทั้งเดินทางไปสนามบิน แถมราคาห้องก็ไม่ค่อยแพงเท่าไหร่ ผมก็เลยเอามั่ง
ผมส่งพ่อยอดขมองอิ่มไปเจรจากับฟร้อนท์ของโรงแรมพร้อมด้วยใบจองที่ปริ้นท์ออกมาจากอินเตอร์เน็ต ไอ้พี่ธันคุยอยู่แปบนึงก็เดินกลับมาบอกผม
“เขายังทำห้องไม่เสร็จ ให้เราทิ้งกระเป๋าไว้ แล้วเขาจะเอาขึ้นห้องให้” ผมพยักหน้ารับพอดีกับที่พนักงานโรงแรมสาวชาวญี่ปุ่นวิ่งมารับกระเป๋าเดินทางไปเก็บให้ ผมค้อมศีรษะให้ทีนึงแทนคำขอบคุณ แต่อีกฝ่ายโค้งอ่อนช้อยเสียจนผมเริ่มเขิน
พอกระเป๋าเดินทางสองใบของผมและมันอยู่ในมือพนักงานโรงแรมเรียบร้อย เราสองคนก็ตกลงใจจะแวะร้านขายข้าวหน้าของทอดทั้งหลายที่อยู่ข้างสถานีรถไฟเป็นที่พึ่งให้กระเพาะอาหารก่อนที่จะประเดิมสถานที่ท่องเที่ยวแห่งแรกในโตเกียว
...โตเกียวทาวเวอร์นั่นเอง!!!...
.................................................
“โอ้โฮววววว!!!!!” เสาเหล็กสีเหลืองอร่ามท่ามกลางท้องฟ้ามืดเร็วในช่วงฤดูหนาวทำเอาผมอ้าปากค้างตาโตด้วยความตื่นเต้น อากาศหนาวๆไม่อาจทำอะไรหัวใจของยอดนักผจญภัยอย่างนายถ้วยฟูได้หรอกครับ! ผมรีบวิ่งไปหาเจ้าเสาเหล็กสีอร่ามตานั่นทันที!!
ตัวโตเกียวทาวเวอร์ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นดินเหมือนอย่างหอไอเฟลแห่งฝรั่งเศสนะครับ(พูดเหมือนเคยไป แต่งบบานตะไท ผัวเลยยังไม่ยอมอนุมัติครับ) เสาเหล็กขนาดใหญ่นี้ตั้งอยู่บนฐานปูนขนาดประมาณตึก2-3ชั้น ภายในฐานของโตเกียวทาวเวอร์มีร้านขายของมากมาย หน้าประตูทางเข้าโซนขายของจะมีจุดขายตั๋วสำหรับคนที่อยากขึ้นไปชมวิวจากบนโตเกียวทาวเวอร์ ส่วนรอบฐานด้านนอกนั้น มีไฟจัดเป็นหย่อมๆตามพุ่มไม้ให้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก นอกจากนั้นก็มีแสงเลเซอร์ที่ยิงลงกับพื้นเขียนเป็นข้อความว่าโตเกียวทาวเวอร์เอาไว้ให้คนที่มาเหยียบที่นี่ระลึกว่าไม่ใช่หอไอเฟลนะจ๊ะ
และแน่นอนว่าไหนๆก็มาเหยียบแล้ว ก็ต้องถ่ายรูปกันสักหน่อย ทั้งถ่ายรูปคู่ ทั้งถ่ายโตเกียวทาวเวอร์เดี่ยวๆ แหงนหน้าถ่ายจนหลังจะเดาะ แต่ก็เก็บได้ไม่หมดเนื่องจากมันค่อนข้างสูง สุดท้ายเลยตัดใจถ่ายติดแค่ตีนโตเกียวทาวเวอร์ก็พอ
แล้วพอถ่ายรูปเดี่ยวโตเกียวทาวเวอร์แล้ว ก็ต้องถ่ายรูปเดี่ยวนักท่องเที่ยวจริงมั้ยครับ เพราะงั้น...
“ถ่ายให้หน่อย เอาหล่อๆนะ” ผมยื่นกล้องให้ไอ้ตากล้องกิตติมศักดิ์ มันยิ้มแล้วรับไปถ่ายรูปให้ผม ซึ่ง...ชื่นชอบการมีรูปเดี่ยวหลายๆใบครับ ฮ่าฮ่า! รูปคู่มีใบเดียวไว้แปะฝาบ้านก็พอแล้ว แต่รูปเดี่ยวต้องมีเป็นคอลเลคชั่นเอาไว้ตอนแก่ตัวไปจะได้กลับมาดูความสดใสในวัยเยาว์ยังไงล่ะครับ!!
ถ่ายไปถ่ายมาก็เริ่มรู้สึกว่าน้ำมูกไหล เพราะอากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆจนแทบเข้าขั้นหนาว ประเทศนี้มีลมเป็นอาวุธจริงๆครับ ลมพัดมาทีหัวใจก็วูบไปที ผมแอบเห็นสาวญี่ปุ่นใส่มินิสเกิร์ตคนเมื่อกี้ที่เดินผ่านหน้าผมไป ต้นขาเธอขนลุกจนกลายเป็นหนังไก่เลย
…ผู้หญิงนี่น้า อยากสวยจนต้องทรมานตัวเอง ไม่เหมือนผมที่หล่อธรรมชาติสรรค์สร้างไม่ต้องพยายามอะไร...
“จมูกแดงแล้วถ้วยฟู หนาวรึเปล่า” มัวแต่จ้องขาอ่อนผู้หญิงอื่น ผัวเลยเรียกสติด้วยการบีบจมูกของผมไปที
“ไม่เท่าไหร่” ผมยกหลังมือขยี้ปลายจมูกตัวเอง รู้สึกมีน้ำมูกใสๆติดมากับมือด้วยนิดหน่อยแต่ยังปากเก่งบอกว่าไม่เท่าไหร่
ไอ้พี่ธันส่ายหัวน้อยๆ เหมือนจะระอากับความแมนในเส้นเลือดของผม ก่อนที่มันจะยื่นมือมากระตุกที่ผ้าพันคอซึ่งผมเอามาคล้องไว้ที่คอเท่ห์ๆแบบในหนังมาเฟีย
“ไอ้นี่น่ะ เขาให้พัน ไม่ใช่ให้เอามาคล้องไว้เฉยๆ” มันไม่พูดอย่างเดียวแต่ตวัดผ้าพันคอสีดำของผมขึ้นพันรอบคอ
“เอ้า หันหลังมา” มันหมุนตัวผมให้หันหลังให้มัน ผมก็ว่าง่ายตามใจ แต่ปากถาม
“ทำไรอ่ะ” มันทำอะไรกับผ้าพันคอผมสักอย่างจนผมชักสงสัย...หรือแม่งจะหาเรื่องฆาตกรรมด้วยผ้าพันคอวะ? หึ! มันพลาดซะแล้วล่ะ ถ้าคิดจะฆ่าผมที่นี่ ทั้งโคนัน ทั้งคินดะอิจิ ไม่มีทางปล่อยมันให้ลอยนวลรอดพ้นเงื้อมมือกฎหมายแน่นอนนนนน...เดี๋ยวผมต้องหาทางทิ้งไดอิ้ง เมสเซจก่อน...เอาอะไรดี เอาอะไรดี...
“ผูกโบว์” เสียงไอ้หล่อข้างหลังตอบกลับมา ทำเอาผมที่กำลังจะหาทางทิ้งข้อความชี้ตัวผู้ต้องสงสัยถึงกับชะงักไปเล็กน้อย
“ผูกโบว์?” ผมทวนคำ แล้วก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าผ้าพันคอของผมถูกดึงแน่นๆอีกที ตอนนี้เลยระลึกได้ขึ้นมาว่าสิ่งที่มันกำลังทำนั้นยิ่งกว่าฆ่าผมด้วยผ้าพันคอซะอีก!!!
...ผูกผ้าพันคอเป็นโบว์!!! กูเป็นหนุ่มหล่อหน้าตาดีมีหน้ามีตาในสังคมนะโว้ย!! ไม่ใช่เด็กชายถ้วยฟูอยู่อนุบาลสามที่ใช้ความน่ารักมุ้งมิ้งเรียกแขก!!!...
“เฮ้ย!! ไม่เอา! ไม่เท่ห์!!!”
ไอ้พี่ธันหัวเราะเบาๆ แต่พอผมยื่นมือไปด้านหลังเพื่อแก้โบว์ผ้าพันคอออก ไอ้หล่อแต่ชอบทำตัวเนียนก็คว้ามือผมไปใส่ในกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตหนังของมันซะงั้น!
“อย่าโวยวายหน่า เดี๋ยวคนก็มองหรอก” มือมันกับมือผมจับกันอยู่ในกระเป๋าเสื้อหนังของมัน ทำเอาผมเริ่มจะเกรงสายตาคนรอบข้างที่นับหัวได้ไม่ถึงสิบ ทางนู้นมีคู่รักวัยรุ่นสาวมินิสเกิร์ตขาหนังไก่กับแฟนหนุ่มกำลังถ่ายรูปกันกระหนุงกระหนิงหนึ่งคู่ กับครอบครัวลูกเล็กเด็กแดงที่กำลังจะเดินเข้าไปในฐานของโตเกียวทาวเวอร์อีกครอบครัวนึง
มีคนนิดหน่อย และก็มืดขนาดนี้ คงไม่มีใครเห็นว่ามันกับผมเอามือซุกเข้าไปในกระเป๋าเสื้อด้วยกัน...แต่...ฮื้อ!! ไม่ได้! ภาพลักษณ์เสียหายหมด! แม่สั่งแม่สอนมาตั้งแต่เล็กว่าเกิดเป็นลูกหลานรัตนวิจิตรต้องรักนวลสงวนตัว
ผมกำลังจะดึงมือน้อยๆของผมออกจากกระเป๋าเสื้อหนังของมัน แต่แบบ...แต่แบบ...ในกระเป๋าอุ่นมากเลยยยยย...ทำไงดี ทำไงดี อยากเอามือออก แต่ก็ไม่อยากเอามือออก...กูแรดไปแล้วววววว...
“ไปเดินข้างในกัน” ว่าแล้วไอ้หล่อก็หลอกล่อถ้วยฟูตัวน้อยๆให้หันเหไปทางอื่นในตอนที่กำลังคิดไม่ตกว่าจะเอามือออกหรือไม่เอามือออกดี ผมเดินตามมันต้อยๆเข้าไปในฐานของโตเกียวทาวเวอร์ แล้วข้าวของร้านค้าที่มีอยู่ในนั้นก็ทำเอาผมลืมเรื่องจับมือกับมันซะสนิท
รวมถึง...ลืมเรื่องผ้าผันคอผูกโบว์ด้วย! อ๊ากกกกกกกก!!! นี่กูปล่อยให้มันทำอะไรลงไป๊?!!!...
......................................
ผมเดินตามหลังไอ้คนที่ช้อปกระจายภายในสี่ชั่วโมงแรกหลังจากเหยียบเท้าที่โตเกียว ที่ท้ายทอยของมันยังมีผ้าพันคอผูกเป็นโบว์คาเอาไว้อยู่เลย เราสองคนออกจากโตเกียวทาวเวอร์โดยที่ไม่ได้ขึ้นไปชั้นบนเพราะไอ้แสบเห็นราคาค่าขึ้นแล้วก็ได้แต่ปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่า
‘ของสูง จะสวยก็ต่อเมื่อดูไกลๆ จะขึ้นไปทำไมเล่า’
...ไม่อยากบอกเลยว่ากูรู้ว่ามึงงก มึงถึงไม่ขึ้น...
“เดี๋ยวเรากลับโรงแรมเลยแล้วกัน พรุ่งนี้จะออกไปวัดอาซาคุสะแต่เช้า” มันหันมาบอกแล้วควักเอาแผนที่รถไฟของโตเกียวออกมาดู ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยครับว่ามันจะเป็นคนนำผม อันที่จริงผมเองก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่ามันจะพาผมขึ้นรถไฟมาถึงโตเกียวทาวเวอร์ได้โดยสวัสดิภาพขนาดนี้ รู้ๆกันอยู่ว่าประเทศนี้ขึ้นชื่อเรื่องสายรถไฟมากมายแค่ไหน และเราก็รู้กันอยู่ว่าคนอย่างถ้วยฟูมันพึ่งไม่ค่อยจะได้ แต่มันก็ยังพาผมอาศัยรถสาธารณะจนมาเหยียบโตเกียวทาวเวอร์ได้นี่ก็นับว่ามันโตขึ้นมาก เพราะถ้าเป็นสมัยก่อนล่ะก็ ผมรับรองได้เลยว่าคงกลับไปนอนโรงแรมตั้งแต่เปลี่ยนสายรถไฟรอบแรกแล้ว
“มา ช่วยถือ” มันเก็บแผนที่ลงกระเป๋ากางเกงหลังจากดูสายรถไฟที่เราจะใช้กลับไปโรงแรมเรียบร้อยก็หันมาขอถุงในมือผมไปถือ
“ไม่เป็นไร ถ้วยฟูเดินนำเถอะ” สองมือผมเต็มไปด้วยถุงของฝากที่มันซื้อตั้งแต่วันแรก มีทั้งขนม ทั้งของที่ระลึก
“ฟูช่วย” มันไม่ยอมรับคำปฏิเสธ แต่ดึงถุงในมือผมข้างหนึ่งไปถือ แล้วออกเดินนำอีกครั้ง พวกเราสองคนใช้บัตรรถไฟแบบเติมเงินซึ่งคนซื้อก็คือไอ้แสบนี่ล่ะครับ ไปงมที่ตู้ขายตั๋วจนได้มา มันว่าพรุ่งนี้ค่อยใช้แบบบัตรรายวันเพราะต้องไปหลายที่
รถไฟตอนกลางคืนไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่แล้ว หรืออาจเป็นเพราะสายรถไฟที่เราใช้ไม่ค่อยพลุ่กพล่าน เพียงไม่นานก็มาถึงสถานีรถไฟใกล้โรงแรมของเราอีกครั้ง ถ้วยฟูแวะร้านขายของที่ขายตั้งแต่เครื่องสำอางไปยันของกินของใช้ ก่อนที่เราจะกลับขึ้นห้อง ซึ่งกระเป๋าเดินทางของเราสองคนมารออยู่แล้ว
“โฮ...ห้องเล็กมากกกกกก...” ไอ้แสบร้องทันทีที่เปิดประตูเข้าห้อง
นี่เป็นครั้งแรกที่เราสองคนได้เห็นห้องของโรงแรม ประเทศนี้ขึ้นชื่อว่าที่ดินแพง เพราะงั้นอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่ที่อาศัยก็เลยต้องย่อยขนาดลง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น อุปกรณ์อำนวยความสะดวกก็ครบครัน
“ถ้วยฟูไปอาบน้ำก่อนไป เดี๋ยวพี่จะเก็บของให้ แล้วเมื่อกี้แวะซื้ออะไรมา” เพราะว่าดึกมากแล้ว และอากาศก็หนาว ผมไม่อยากให้มันอาบน้ำช้าไปกว่านี้ ไม่ใช่เพราะกลัวว่ามันจะไม่สบายหรอกครับ แต่กลัวว่ามันจะขี้เกียจพาลเป็นไม่อาบต่างหาก
“ซื้อน้ำเปล่ากับขนม พี่ธันต้องกินน้ำก่อนนอนใช่มั้ยล่ะ กลัวโรงแรมไม่แจกน้ำ เลยซื้อมา ถึงที่นี่จะกินน้ำก็อกได้ แต่...กินจากขวดน่าจะดีกว่า” มันเปิดถุงให้ดูน้ำขวดใหญ่สองขวดในนั้น ถึงว่าล่ะ ผมเห็นมันรีบเดินกลับขึ้นมา ตอนแรกก็คิดว่ามันหนาว แต่ที่แท้มันคงหนัก
“ที่นี่มีแต่ขวดสองลิตร เลยซื้อมาสองขวดเลย” สองลิตร สองขวดก็สี่ลิตรเข้าไปแล้ว ถึงแม้จากร้านกลับมาถึงห้องจะไม่ไกล แต่ผมก็รู้ว่ามันหนัก ถ้วยฟูอาจจะเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง อาจจะทำอะไรไม่ค่อยคิดถึงคนอื่น แต่มันก็ไม่เคยปล่อยปละละเลยใครเหมือนกัน
...และที่สำคัญ มันไม่เคยลืมผม...
“พี่ธัน...” ผมได้ยินเสียงมันเรียกชื่อแผ่วเบาเมื่อผมก้มลงไปหามัน แล้วกดจูบลงกับริมฝีปากแดงๆที่มักจะมีรอยยิ้มหลากหลายให้ผมเสมอ เราสองคนจูบกัน ก่อนที่เป็นฝ่ายถ้วยฟูจะผละจากออกมาเล็กน้อย
“ขอวางของก่อน หนัก” ผมดึงถุงขวดน้ำออกไปโยนไว้บนเตียง ก่อนจะหันกลับไปเบียดมันเข้ากับฝาผนังอีกครั้ง
“อาบน้ำก่อน” มันต่อรองอีกครั้ง
“อาบพร้อมกัน” ผมบอกมัน แล้วก้มลงจูบข้างแก้ม มือกระตุกผ้าพันคอผูกโบว์ของมันออก แล้วซุกลงหาซอกคอขาวๆ ผมได้ยินเสียงมันครางฮือ แต่ก่อนที่มันจะว่าง่าย กลับยังทิ้งความแสบเอาไว้เป็นของส่งท้าย
“ถ้าพรุ่งนี้ตื่นไปวัดไม่ไหว ปีหน้าต้องพามาโตเกียวอีกรอบด้วย” ผมเงยหน้ายิ้มให้มัน แล้วกระตุกแขนมันเข้าห้องน้ำพร้อมคำสัญญา
“ถ้าถ้วยฟูให้พี่สองรอบ พี่พามาสองรอบเลย”つづく
ตามคำเรียกร้อง...ถ้วยฟูแอนด์สามีค่ะ!! 
และเนื่องจากบอกเอาไว้ตั้งแต่ตอนแรกว่าครั้งนี้เป็นเซอร์ไพรส์ เพราะฉะนั้น...มันจึงไม่ใช่แค่ตอนพิเศษ 1 ตอนจบ หรือ 2 ตอนจบ แต่มันค่อนข้างยาววววววว...
ตอนพิเศษพาร์ทนี้เขียนเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ญี่ปุ่น แต่ก็เขียนทิ้งเอาไว้แค่2หน้าเอง แล้วอยู่ดีๆช่วงนี้ก็คิดถึงโตเกียวขึ้นมา ก็เลยเอามาเขียนต่อ
แล้วตอนที่เขียนอยู่นี่ก็สนุกกับมันมาก เหมือนได้รำลึกความหลัง แล้วก็ขำกับคาแรกเตอร์ของถ้วยฟูด้วย เป็นเรื่องที่เขียนแล้วอารมณ์ดีมากๆ หวังว่าทุกๆคนจะอารมณ์ดีไปกับถ้วยฟูเหมือนบัวนะคะ
ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์ กำลังใจ ทุกความคิดถึงที่มีให้กับถ้วยฟูและพี่ธัน ขอบคุณพื้นที่บอร์ดด้วยค่ะ
เจอกันอังคารหน้าน้า