รักนี้...ลิ้นกับฟัน ตอน 28 ธันวา (อัพ 28/12/2016) หน้า 67
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รักนี้...ลิ้นกับฟัน ตอน 28 ธันวา (อัพ 28/12/2016) หน้า 67  (อ่าน 1110337 ครั้ง)

ออฟไลน์ kkmm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 357
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2

ออฟไลน์ Dezair

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-8
NOV: รักนี้...ลินกับฟัน
By: Dezair
ตอนพิเศษ…รักนี้…อินโตเกียว!!
..............................................
3.1



   แหม แหม...หวานน้ำตาลในเลือดพุ่งสมกับที่ฟาดบุฟเฟ่ต์เค้กมาใช่มั้ยล่ะครับ! นานๆทีผมก็อยากจะปฏิญาณรักบ้างอะไรบ้าง เอาล่ะ หลังจากทำมิชชั่นทัวร์ของเล่นไปเป็นที่เรียบร้อย ผมก็ฟาดกันดั้มออกมาจากโซนขายของเล่นชนิดที่ไอ้เด็กญี่ปุ่นแถวนั้นเงยหน้ามองผมอ้าปากค้างด้วยความอิจฉา



   งานนี้ผัวไม่ดุแม้ว่าผมจะซื้อมาเยอะมากกกกก...แต่มันแค่แนะนำมาประโยคเดียว



   “ถ้าเยอะเกินกว่าจะเอาขึ้นเครื่อง พี่จะจับโหลดให้หมด” นี่มึงจะโหดร้ายกับกันดั้มของกูมากไปแล้วนะ!! ถึงขนาดจะยัดลงกระเป๋าเดินทางให้มันกลิ้งกุ๊กๆอยู่ใต้ท้องเครื่องบินเชียวเหรอวะ!!!



   แม้จะมึนตึงเพราะปากมันเล็กน้อย แต่เนื่องจากอยู่นอกประเทศ ไอ้ผมจะทำตัวซ่ากับมันก็ใช่ที่ ยิ่งเวลาที่ต้องอาศัยแรงมันให้ช่วยหิ้วด้วยแล้ว อย่าทำตัวให้มันหมั่นไส้เป็นดีที่สุด 



และเพื่อให้มันอารมณ์ดีตลอดศกแม้ว่าผมจะกวนตีนเพียงใด ผมก็เลยเสนอแนะให้เราแวะเข้าไปหาอะไรรองท้องในร้านเบอร์เกอร์แห่งโลกใบนี้อย่างแมคโดนัลล์กัน ก่อนที่จะเอาของกลับไปเก็บที่โรงแรม แล้วค่อยออกมาเที่ยวอีกรอบ เพราะตอนนี้เป็นเวลาสามโมงเย็นนิดๆแล้ว บุฟเฟ่ต์เค้กที่กินไปตอนสิบเอ็ดโมงโดนย่อยจนกลายเป็นกากน้ำตาลตั้งแต่ผมยืนเลือกกันดั้มกล่องที่ห้าแล้วล่ะครับ



   “ถ้วยฟู กินอะไร”



เข้ามายืนในร้านเบอร์เกอร์ตัวเอ็มได้ ไอ้หล่อก็หันมาถามผม แหม...จะอวดว่ามึงพูดภาษาอังกฤษสั่งอาหารเป็นใช่มั้ยล่ะ! ไม่ต้องเว้ย! ระดับนายถ้วยฟูผู้เป็นแฟนคลับร้านเบอร์เกอร์ร้านนี้มาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยแถมยังมีสกิลภาษาอังกฤษดีเลิศพร้อมต้อนรับนานาชาติอาเซียนน่ะสั่งอาหารนอกประเทศเองได้!!



ผมยืดอกอย่างโคตรเท่ห์ก่อนจะหันไปส่งเสียงใส่พนักงานชาวญี่ปุ่นที่ยืนอยู่หลังเคาท์เตอร์อย่างคล่องแคล่วดูแล้วแม่งใครต่อใครต้องอิจฉาไอ้พี่ธันที่ได้แฟนอย่างผมแน่นอน!!



   “ไอ ว้อนท์ ซามูไร พอค!” แปลได้ใจความว่ากระผมอยากได้เบอร์เกอร์ซามูไรหมูฉึกๆ!!



   ทว่า...แม้จะส่งสำเนียงภาษาอังกฤษออกไปแบบจัดเต็ม แต่กลับเกิดเป็นความกริบสิบหกทิศรอบตัวผม พนักงานสาวมองนายถ้วยฟูคนนี้ตาแทบถลนอย่างที่ผมไม่เข้าใจว่าจะถลนไปทำไม? หรือคิดว่าคนหน้าตาดีอย่างผมจะต้องกินแต่เนื้อกิโลละหมื่นแปด แดกเศษเนื้อบดเอาขนมปังประกบไม่เป็น โน้ววววว!!!...ถึงจะหน้าตาดีมาตั้งแต่ออกจากท้องแม่ แถมมีผัวรวยเว่อร์ๆ แต่ผมก็กินง่ายอยู่ง่ายไม่เรื่องมากนะครับ!! แหม้! พูดไปแล้วก็รู้สึกว่าไอ้พี่ธันมันช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้คนหน้าตาดี มีหัวใจประเสริฐ แถมเลี้ยงดูง่ายอย่างผมเป็นแฟน



   “S…Samurai?!!” น้องนางพนักงานญี่ปุ่นย้อนถามด้วยน้ำเสียงตกใจไม่แพ้การทำตาถลน ตอนนี้ดวงตาคู่สวยๆของน้องเขายังถลนจ้องผมอยู่เลย นี่ตกใจจริงจังมากเลยนะเนี่ย



   “เยส! ซามูไร พอค!!!” ผมตอบกลับไปอย่างมั่นอกมั่นใจ แม้จะแอบคิดเล็กน้อยว่าอาจจะเรียงประโยคผิด แต่ผมว่ามันก็ไม่น่าจะผิด ถึงภาษาอังกฤษของผมจะป่วยเล็กน้อย แต่ตอนซื้อของที่วัดอาซาคุสะก็พิสูจน์แล้วว่าผมสื่อสารกับคนประเทศนี้ได้!!



   พนักงานยังคงทำตาโตอ้าปากค้าง ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงจากไอ้หล่อข้างกายดังขึ้นเบาๆ



“ถ้วยฟู...ก่อนสั่งน่ะดูเมนูรึยัง”



   “ดูเมนู? ทำไมต้องดู? แมคขายเบอร์เกอร์ไง เรื่องนี้เขารู้กันทั้งโลก” ผมหันไปตอบมัน แต่ไอ้พี่ธันกลับส่ายหน้าระอา



   “แมคขายเบอร์เกอร์น่ะใช่ แต่เบอร์เกอร์ซามูไรหมูไม่มีขายที่นี่”



   ...อะไรนะ?!!!!...ซามูไรหมูไม่มีขายที่นี่!!!!...



   จากตาตี่กลายเป็นตาเหลือก ผมเหลือบตาโตๆขึ้นไปมองที่ป้ายเมนูด้านหลังพนักงานทันที กวาดตาดูตั้งแต่ป้ายแรกยันป้ายสุดท้ายแล้ววกจากป้ายสุดท้ายกลับไปที่ป้ายแรกก็พบว่า...พบว่าไม่มีซามูไรหมูขายเหมือนเมืองไทย!!!!...ทำไมล่ะ! ที่นี่คือโตเกียว! ที่นี่คือญี่ปุ่น!! แล้วทำไมที่ญี่ปุ่นถึงไม่มีซามูไรหมูขาย แต่เมืองไทยมี!!!!...



   สายตาของผมตกลงมาสบกับสายตาของพนักงานสาวชาวญี่ปุ่นที่มองผมอย่างเอ๋อๆ ผมเองก็เอ๋อไปเหมือนกัน งานนี้เรียกหน้าแตกนอกประเทศแบบโคตรน่าอายชนิดอยากกลับเมืองไทยด่วนจี๋เลยทีเดียว!



   ผมได้แต่ส่งยิ้มแหยๆให้พนักงาน ก่อนจะรีบกระดึ้บไปหลบหลังไอ้หล่อ แล้วกระซิบบอกมันเป็นการผลักภาระ



   “สั่งเผื่อด้วยแล้วกันนะ” บอกแค่นั้นผมก็รีบเผ่นแน่บไปหาโต๊ะนั่งที่ไกลจากเคาท์เตอร์สั่งอาหารให้มากที่สุด พร้อมด้วยบทเรียนราคาแพงจากแดนอาทิตย์อุทัยที่ผมจะเก็บเอาไว้ในใจและจะไม่แพร่งพรายบอกลูกหลานแน่นอน



   ...เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าซามูไรหมูไม่มีขายในประเทศที่มีซามูไร...เข้าใจตรงกันนะ!...



....................................



   หลังจากปรากฏการณ์ ‘ซามูไร พอค’ ที่ผมทำให้คนเมืองซามูไรงงเป็นไก่ตาแตกแล้ว ผมกับไอ้พี่ธันก็พากันหอบหิ้วกล่องกันดั้มกลับมาเก็บที่โรงแรมก่อน ตอนแรกผมมีแพลนว่าจะอยู่ที่ร้านขายของเล่นจนเย็นและเดินเล่นแถวชินจูกุจนมืด แต่พอดีของเล่นที่ผมซื้อมามันทำให้เราเดินเล่นค่อนข้างลำบาก แล้วไหนๆก็ออกจากชินจูกุมาแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนแผนกะทันหัน



   “แล้วเดี๋ยวเราไปไหนต่อ” เก็บของ เข้าห้องน้ำเรียบร้อย ไอ้พี่ธันก็เดินไปค้นอะไรสักอย่างในกระเป๋าเดินทาง ปล่อยให้ผมนั่งพักเท้าอยู่บนเตียงไป



   “พระราชวังอิมพีเรียล”



   “ห๊ะ! ตอนนี้?!” มันหันมาย้อนถามเสียงตกใจ เหลือบตามองออกไปนอกหน้าต่างเห็นฟ้ายังไม่มืดเพราะเพิ่งจะสี่โมงหน่อยๆ แต่เพราะตอนนี้ที่นี่เป็นหน้าหนาว ไม่เกินหกโมงก็มืดราวกับทุ่มนึงเมืองไทย



   “ใช่ แล้วก็แวะดูตึกแถวนั้นด้วยเลย” มีพรายกระซิบ เอ้ย! ไอ้โจกระซิบมาว่าแถวๆพระราชวังอิมพีเรียลนั้น เป็นย่านธุรกิจสำคัญ มีตึกสวยๆมากมายให้ได้ถ่ายรูปเก็บมาอวดทางบ้าน



   ผมเห็นไอ้พี่ธันหยิบอะไรยัดใส่กระเป๋าเป้ของมัน แต่ก็ไม่ได้สนใจ มันเป็นพวกช่างดูแลอยู่แล้ว อาจจะเป็นผ้าพันคออีกผืน ถุงมือ ที่ปิดหู หรืออะไรก็ตามแต่ที่ถ้าหากผมเป็นอะไรขึ้นมามันจะจัดการผมได้โดยปลอดภัย



   ...เป็นไงล่ะ! อิจฉาความดีงามที่มันมีต่อผมล่ะสิ ฮี่ฮี่! เลือกผัวถูกก็แฮปปี้ตลอดชีวิตแบบนี้ล่ะครับ!...



   เราสองคนออกจากโรงแรมอีกครั้งตอนใกล้จะห้าโมง นั่งรถไฟสายยามาโนเตะมาลงที่สถานีโตเกียวซึ่งเป็นสถานีโคตรใหญ่ชนิดว่าถ้าหลงกันที่นี่ก็กลับไปเจอที่โรงแรมเลยสถานเดียว



   และเพราะว่ามันเป็นสถานีใหญ่ การจะหาทางออกจากสถานีไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับเมื่อประตูทางออกมีหลายทาง แถมแต่ละทางก็อยู่ห่างกันค่อนข้างไกล และไม่รู้ว่าจะด้วยโชคช่วยหรือบุญพาวาสนาส่ง มนุษย์นามว่าถ้วยฟูผู้นี้ก็พาผัวเดินหลงจนไปเจอเข้ากับ



   ...คาแรคเตอร์ สตรีท...



   “อุว้าววววววว!!!...” 



คาแรคเตอร์ สตรีทคือตรอกไม่เล็กชั้นใต้ดินติดกับสถานีรถไฟที่มีร้านขายของเล่นและร้านขายของพรี่เมียมจากภาพยนตร์ การ์ตูน และละครเรื่องดังที่มีฉายในโทรทัศน์ของญี่ปุ่นครับ!



   ...วินาทีที่ผมปรายสายตาไปทางซ้ายแล้วเห็นโมเดลตัวการ์ตูนจากหนังสือการ์ตูนเรื่องโปรด พอปรายมาทางขวาก็เห็นร้านขายกันดั้มอีก ผมก็รู้เลยครับว่าตอนที่โคลัมบัสค้นพบอเมริกานี่เขารู้สึกยังไง!!



...สุดจะบรรยาย!!! สุดจะบรรยายจริงๆ!!!!...



   “มีกันดั้มขายอีกแล้....ว...” ผมกำลังจะถลาไปหาร้านขายกันดั้มแต่ถูกดึงแขนเสื้อเอาไว้ซะก่อน



   “ไหนว่าจะไปพระราชวังอิมพีเรียล” ไอ้คนดึงเอ่ยปากถามเรียบๆ แต่กูเห็นหรอก...มึงแอบยิ้มที่มุมปากนะนั่น



   “ไปตอนกลางคืนจะเห็นอะไรเล่า! เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าพามาใหม่อีกรอบก็ได้ ตอนนี้ขอดูของก่อนนะ” ราวกับองค์นักช้อปของคุณแม่ปานดาวสถิตอยู่ในร่าง ร้านค้าสองฝั่งทางเดินมีแต่ของน่าซื้อทั้งนั้น ทั้งตัวการ์ตูนจากละครเรื่องดัง ทั้งของเล่นสารพัดอย่าง เดินอยู่ครึ่งชั่วโมงก็ได้ของฝากติดไม้ติดมือมาเล็กน้อย...แฮะๆ...อย่าถามว่าเล็กน้อยนี่มันเยอะแค่ไหน...เอาเป็นว่าไอ้พี่ธันบอกว่า



‘พี่คิดว่าเราน่าจะซื้อกระเป๋าเดินทางอีกใบไปเลย’ ...แหม! ทำเป็นพูดประชด กูมันคนญาติเยอะโว้ย!! ก็ต้องมีของฝากคนนั้นคนนี้(และตัวกูเอง)มากมายเป็นธรรมดา!!...



   นอกจากคาแรกเตอร์ สตรีทแล้ว ชั้นล่างถัดจากชั้นคาแรกเตอร์ สตรีทซึ่งอนุมานได้ว่าเจาะลึกลงไปใต้ดินเพิ่มอีกชั้นก็เป็นชั้นที่รวบรวมร้านอาหารเอาไว้มากมาย ทั้งร้านราเมงทีวีแชมเปี้ยน ร้านอาหารฝรั่ง สปาเก็ตตี้พิซซ่า หรือแม้แต่ร้านอาหารญี่ปุ่นก็มี บางร้านคนต่อแถวยาวเหยียดชนิดอ้อมไปอีกฝั่ง แต่เนื่องจากพวกผมขี้เกียจรอ และเริ่มหิว เราก็เลยเลือกร้านข้าวหมูทอดหรือทงคัตสึของโปรดของไอ้พี่ธันเป็นมื้อเย็น ก่อนที่จะได้ออกจากสถานีกันจริงๆแล้วล่ะครับ



   
............................


   สรุปคือ...ไม่ได้ไปพระราชวังอิมพีเรียล เพราะไหนจะช้อปปิ้งรอบที่ร้อย ไหนจะกินข้าว เราก้าวเท้าออกมาจากสถานีโตเกียวก็ตอนที่ท้องฟ้ามืดสนิทไปแล้วเรียบร้อย ไม่ต้องเดินไปจนถึงพระราชวังก้รู้ดีว่าคงไม่เห็นอะไร ดังนั้น ตอนนี้เราก็เลยเดินชมไฟจากอาคารสูงต่างๆที่อยู่รอบสถานีแทน



   “โอ้โฮ!!!” เสียงร้องของไอ้คนข้างกายทำเอาผมต้องเหลือบตามองตามมัน ถึงได้เห็นว่าสิ่งที่ไอ้แสบโอ้โฮคือไดโนเสาร์ตัวใหญ่ที่ถูกตั้งอยู่ในตึกใกล้ๆสถานี รอบสถานีโตเกียวเป็นอาคารสูงเพราะเป็นย่านธุรกิจสำคัญ บางตึกเป็นตึกออฟฟิศธรรมดา แต่บางตึกก็พอดูรู้ว่าเป็นห้างสรรพสินค้าด้วย อย่างเช่นตึกที่มีหุ่นไดโนเสาร์ตัวโตจัดโชว์อยู่นี่



   “พี่ธัน เข้าไปถ่ายรูปกัน” ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นชื่อตึกอะไร แต่เห็นมีคนญี่ปุ่นหลายวัยยืนถ่ายกับหุ่นไดโนเสาร์ตัวใหญ่กันในนั้น ผมก็เลยเออออไปกับไอ้คนตื่นตาตื่นใจเหมือนกับเด็กได้ของเล่น



   พวกผมถ่ายรูปกันพอเป็นพิธีแล้วก็ออกมาเดินชมบรรยากาศละแวกนี้ ซึ่งล้วนเป็นตึกสูงรูปร่างแปลกตา คนที่เดินแถวนี้มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นพนักงานกินเงินเดือนตามออฟฟิศในย่านนี้ ส่วนมากเป็นผู้ชายแต่ผู้หญิงวัยทำงานก็มีประปราย



    “สวยดีเนอะ” ถ้วยฟูพึมพำเบาๆให้ได้ยินกันสองคน ผมหันมองมันแล้วได้แต่ยิ้มเห็นด้วย



   “รู้เปล่า แถวนี้มีศาลของนักรบคนหนึ่งของญี่ปุ่นด้วยนะ นักรบคนนั้นถูกตัดคอที่ไหนสักแห่งในญี่ปุ่นนี่ล่ะ แต่หัวก็ยังบินกลับมาถึงโตเกียว ว่ากันว่านักรบคนนั้นแค้นมากที่ถูกฆ่า ทางการญี่ปุ่นเลยต้องสร้างสายรถไฟยามาโนเตะเป็นวงกลมเพื่อขังวิญญาณนักรบคนนั้นเอาไว้ในนี้ ไม่ให้ออกมาสร้างความเดือดร้อน แต่นักรบคนนั้นก็เป็นที่เคารพของคนที่นี่มากนะ แต่คนก็กลัว คนญี่ปุ่นนี่ประหลาดๆอ่ะ” มันเล่าหน้าตาดูจริงจัง



   “รู้ได้ไง”



   “ก็ถ้าเป็นคนขยันหาความรู้ใส่ตัว ก็จะรู้เรื่องพวกนี้” ไอ้แสบเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจจนจมูกจะชนท้องฟ้าอยู่แล้ว



   “จริงอ่ะ”



   “ไอ้โจเล่าให้ฟังอีกที มันบอกว่ามันอุตส่าห์หาเรื่องผีไว้เล่าให้พี่ปอมฟังตอนมาที่นี่ พี่ปอมจะได้ไม่กล้าแยกกับมัน” ไอ้แสบยอมเปิดปาก หน้าบูดซะจนผมหัวเราะแล้วโยกหัวมันเบาๆอย่างเอ็นดู เราสองคนเดินเรื่อยไปตามทางเดินริมถนน และคงเป็นเพราะอากาศหนาวๆ ไฟจากเสาที่สะท้อนกับกระจกตามอาคารสูง ถนนหนทางสะอาดสะอ้าน และเงียบสงบแม้จะอยู่กลางเมือง บรรยากาศดีๆที่ทำให้ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ไหล่เราสองคนชิดกัน และหลังมือของเราสองคนแตะกันโดยบังเอิญ



   ผมจับมือมันเอาไว้ มือถ้วยฟูเย็นเฉียบเพราะมันไม่ยอมใส่ถุงมือ มันอ้างแต่ว่าไม่เท่ห์ ไม่หล่อ ซึ่งครั้งนี้ผมยอมให้มันรักเท่ห์รักหล่อไม่ยอมใส่ถุงมือเพราะนั่นคือโอกาสที่จะทำให้ผมได้จับมือมันแบบนี้โดยมีข้ออ้างและมันก็ไม่ดื้อดึงเอามือออกจากมือผมด้วย



   “ไว้ปีหน้าเรามากันอีกนะ” อยู่ดีๆ ไอ้คนที่เดินกับผมเงียบๆก็เอ่ยปากขึ้นมา ทั้งๆที่ตายังมองไฟที่ประดับตามเสาและต้นไม้



   “อืม” ผมอยากบอกมันว่าไม่ว่ามันจะอยากไปที่ไหน ผมก็อยากไปที่นั่นทั้งนั้น ขอแค่มีมันอยู่ข้างๆ ขอแค่มันมีความสุข ต่อให้ต้องไปที่ทุรกันดารแค่ไหน ผมก็พร้อมไปกับมันเสมอ



   “ขอบคุณนะ” มันหันมาพูดแล้วยิ้มให้ผม รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของผมพองโตทุกครั้งที่เห็น รอยยิ้มที่บอกให้รู้ว่าถ้วยฟูกำลังดีใจ รอยยิ้มที่บอกให้รู้ว่าถ้วยฟูกำลังมีความสุข ผมชอบรอยยิ้มแบบนี้ ผมรักรอยยิ้มของถ้วยฟู



   “พี่ธัน...” ผมได้ยินเสียงมันเรียกแผ่วๆตอนที่ผมก้มหน้าลงไปหามันแล้วแตะริมฝีปากลงกับริมฝีปากของมันเบาๆ



   “...ตรงนี้มัน........” มันเป็นคนผละออกมาเตือนสติ ผมเหลือบตามองรอบกายเล็กน้อยแต่แถวนี้ไม่มีใครสักคนนอกจากพวกผมสองคน ผมก็เลยถือโอกาสก้มลงจูบมันหนักๆที่ริมฝีปากของมันอีกหนก่อนจะถอนออกมา



   “ถ้างั้นกลับห้องกัน...” ผมก้าวขาออกเดินแต่ถ้วยฟูไม่ยอมเดินตามจนผมต้องหันกลับไปมอง มันก้มหน้านิ่งแล้วยื่นมือออกมาข้างนึง



   “จูง...” มันพูดเหมือนออกคำสั่ง แต่ไม่ยอมสบตาผมสักนิด ท่าทางมันเหมือนเด็กๆเอาแต่ใจ แต่ก็เป็นการเอาแต่ใจที่น่ารักมากสำหรับผม



   ผมเดินกลับไปจับมือมันมาซุกในกระเป๋าเสื้อหนังของผม พร้อมด้วยมือผมที่ยังคงจับกับมือของมันอยู่ในนั้น มันอุ่นจนแทบร้อน แต่ทั้งอย่างนั้นมือเราสองคนก็ยังประสานกันแนบแน่น ทั้งๆที่เราไม่มองหน้ากันเลยสักนิด ถ้วยฟูเอาแต่มองไฟถนนข้างทาง ในขณะที่ผมก็มองท้องฟ้าแคบๆเพราะอาคารสูงบดบัง



   ...และอาจจะเป็นเพราะท้องฟ้าแคบๆ ถึงยิ่งทำให้รู้สึกว่าเรามีกันแค่สองคน...ท้องฟ้าแคบๆที่มองไม่เห็นดวงดาว มองไม่เห็นดวงจันทร์ แต่ทั้งอย่างนั้น...มันก็เป็นท้องฟ้าที่โอบล้อมเราสองคนเอาไว้ให้อยู่ด้วยกัน ให้เดินไปด้วยกัน และให้เคียงข้างกัน...



   ...ท้องฟ้าแคบๆที่สร้างโลกเงียบๆให้เราได้อยู่กันสองคน...


...............................   



   ไม่ต้องบอกเนอะ...ว่ามาเที่ยวเมืองนอกแต่เสือกกลับห้องซะเร็วนี่กลับมาทำไม และผมก็หวังว่าทุกท่านคงจะไม่ให้ผมมานั่งเล่าเรื่องในมุ้งอะไรนั่น อย่างอแงครับ เกรงใจกันบ้าง ผมเป็นนางเอกนะครับ! นางเอกที่ดีก็ต้องรักษาภาพพจน์ ผมเล่าไม่ได้หรอกว่ามันจูบตรงไหน มันเลียตรงไหน มันชักกระตุกตรงไหน แล้วที่สำคัญผมเป็นลูกมีพ่อมีแม่ไม่ได้เกิดจากกระบอกไม้ไผ่ ทำอะไรก็ต้องเกรงใจคุณหญิงแม่คุณชายพ่อด้วย




แต่...ถ้าทุกท่านอยากรู้จริงๆ เอาเป็นว่าผมเล่าย่อๆแล้วกันนะ ก็...เอ่อ...ไอ้พี่ธันมันก็...มันก็อ่อนโยน อ่อนหวาน แต่พอจะถึงจุดจุดนั้น มันดันรุนแรงและก็เต็มไปด้วยพละกำลังอันมากมายที่จะทำให้ถ้วยฟูผู้บอบบางคนนี้หลอมละลายไปกับมัน อิ๊วววววซ์!!  ง่ายๆว่าด้วยความเร่าร้อนของมายเลิฟนามว่าธันวา และเรือนร่างอันน่ารัญจวนของผม สุดท้ายมันก็เสร็จผมไปสามครั้ง เอ่อ...หมายถึง...เราเสร็จไปด้วยกันคนละสามครั้ง งานนี้ถ้าผมท้อง เรียกลูกในท้องผมว่า ‘น้องเจแปน’ ได้เลย



และหลังจากงานเมด อิน เจแปนแล้ว ไอ้พี่ธันก็ยังคงแรงดีไม่มีตกครับ มันสามารถนั่งตัวตรงเช็คของฝากทั้งหลายที่เราสองคนซื้อมาได้แบบไม่มีกังวลเรื่องสังขารเลยแม้แต่น้อย!!



   “ขาดของใครบ้างอ่ะ” ไอ้ตัวผมที่ต้องรองรับอารมณ์ใคร่นั้นเหน็ดเหนื่อยสุดประมาณ(พูดแล้วน้ำตาจะเล็ด) ได้แต่นอนคว่ำหน้าบนเตียงคุยกับไอ้คนที่นั่งบนพื้นเช็คข้าวของ นอกจากของเล่นที่ซื้อจากร้านขายของเล่นในย่านชินจูกุแล้ว ผมซื้อพวกเครื่องสำอางบำรุงผิวอะไรพวกนั้นมาด้วย เผื่อเอาไว้ฝากพวกผู้หญิง



   “ไม่ขาดแล้ว”



   “อ้าว แต่ของป๋า แม่วิ พี่สิงห์ พี่ตุล ยังไม่ได้ซื้อเลยนะ” ผมย้อนถามมัน



   “ก็ที่ถ้วยฟูซื้อเครื่องรางที่วัดนั่นไง”



   “เฮ้ย! นั่นมันเครื่องรางเล็กๆน้อยๆเอง ให้แค่นั้นไม่ได้หรอก!!” ผมรีบบอก ขืนกลับประเทศไปพร้อมกับเครื่องรางติดไม้ติดมือไปฝากพ่อแม่สามีนี่เกรงว่าภาพลักษณ์ของผมจะกลายเป็นลูกสะใภ้ขี้เหนียวน่ะสิ!! เสียชื่อมีผัวรวยหมด!!!...



   ดูเหมือนไอ้พี่ธันจะนิ่งไปนิด ก่อนที่รอยยิ้มบางๆจะจุดที่ริมฝีปากของมัน อ้าวเฮ้ย! มึงยิ้มอย่างงี้ทีไรกูเหนื่อยทุกทีเลยนะเว้ยเฮ้ย!



   “อ...อะไร...อะไรอีกอ่ะ...” ผมถามมันหวั่นๆ เมื่อไอ้หล่อเริ่มขยับตัวเข้ามาใกล้ผมมากกว่าเดิม



   “พรุ่งนี้ไปเที่ยวไหน” มันถามตอนที่พลิกร่างผมให้นอนหงาย แล้วคร่อมผมเอาไว้ครึ่งตัว...ฉิบหายล่ะ อย่าบอกนะว่า...



   “ก...ก็...ก็...ก็พระราชวัง...กับ...เอ่อ...เอ่อ...โอไดบะ...”



   “ไม่ต้องตื่นแต่เช้าก็ได้ใช่มั้ย”



   “ง่า...ก็...ก็...เอ่อ...”



   “ไม่ต้องตื่นเช้าก็ได้สินะ” กูยังไม่ทันตอบเลยโว้ย!!! แต่ไม่ทันแล้วครับ ถ้วยฟูตัวน้อยๆถูกไอ้พี่ธันเริ่มจัดการอีกรอบซะแล้ว



   ...หรือบางที...ผมควรตั้งเงื่อนไขกับมันไปเลย ถ้าหนึ่งครั้งต่อหนึ่งวัน ต้องพาผมกลับมาเที่ยวที่ญี่ปุ่นอีกรอบ ถ้าสองครั้งต่อวัน ต้องพาไปลอนดอน ถ้าสามครั้งต่อวัน ควบปารีสด้วย ถ้าสี่ครั้งต่อวันต้องพาบุกนิวยอร์ค ถ้าห้าครั้ง...มึงเอาโปรอันลิมิเต็ดไปเลยแล้วแลกกับการตามใจกู 365 วัน!!!!...แม่ง!! กูเป็นคนนะเว้ย ไม่ใช่ตุ๊กตายาง!!!!


...................................





ออฟไลน์ Dezair

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-8
   



สายวันที่สามประเดิมด้วยพระราชวังอิมพีเรียลที่เมื่อวานเรามากันไม่ทัน นั่งสายยามาโนเตะมาลงที่สถานีโตเกียวเพื่ออาศัยแรงขาพาเดินไปจนถึงพระราชวังอิมพีเรียลครับ จริงๆแล้วมีอีกสถานีนึงที่อยู่ใกล้กว่า แต่เนื่องจากสถานีนั้นต้องใช้สายรถไฟสายอื่นซึ่งมันแพงกว่า เพราะงั้น...อะไรประหยัดได้ก็ประหยัดครับ เราออกจากสถานีโตเกียวแล้วก็แอบแชะรูปคู่กันหน้าสถานีชื่อดังอันเก่าแก่แห่งนี้สักหน่อย



   สถานีโตเกียวเป็นสถานีใหญ่ สร้างแบบสมมาตรมั้งครับ เพราะผมเห็นมันเท่ากันทั้งซ้ายและขวา ตรงกลางเป็นหลังคาทรงพีระมิดแบบตัดปลายออกแทนที่ด้วยเสาระเบียงแทน ก่อนจะทอดหลังคายาวออกซ้ายขวาไปบรรจบกับหลังคาทรงโดมที่อยู่ทั้งสองฝั่ง ใต้หลังคาทรงพีระมิดคือนาฬิกากลมๆ ตัวอาคารเป็นอิฐสีแดงคล้ำๆ และพวกหน้าต่างเป็นทรงโค้งทั้งหมด ด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุโรปดั้งเดิม เมื่อมาอยู่ท่ามกลางหมู่ตึกทรงทันสมัยในละแวกใจกลางธุรกิจแล้ว เจ้าสถานีแห่งนี้เลยโดดเด่นสุดๆเลยล่ะครับ



   “นี่เป็นสถานีที่เก่าแก่มากๆ  ตัวอาคารน่ะสร้างมาเป็นร้อยปีแล้ว แต่ทำเลตรงนี้คนญี่ปุ่นใช้เป็นจุดจอดรถ จอดเกวียนมาตั้งแต่สมัยโบราณ เพราะงั้นมันก็เลยสำคัญมาตั้งแต่ยุคนู้นยันปัจจุบันที่ถือว่าสถานีนี้เป็นหลักกิโลเมตรที่ศูนย์ของรถไฟที่วิ่งออกจากโตเกียวไปจังหวัดอื่นๆ” ผมอธิบายอย่างโคตรทรงภูมิ ดูหล่อ ดูเท่ห์ และเป็นนักวิชาการอย่างที่ไม่มีใครคาดถึงทีเดียวล่ะครับ



   “ชินคันเซนก็วิ่งออกจากที่นี่ด้วยใช่มั้ย”



   “ใช่แล้ว!” คำถามง่ายๆใครก็รู้! มีคำถามยากกว่านี้มะ?! เอาแบบถามแล้วกูตอบได้ให้กูดูฉลาดอ่ะ!



   “แล้วนอกจากจะไปโอซาก้าแล้ว ชินคันเซ็นวิ่งไปที่ไหนอีกบ้างล่ะ”



   ...กูบอกให้เอาคำถามที่กูตอบได้!! ไม่ใช่คำถามตามใจมึง!!!...



   “ไปดูพระราชวังกันเหอะ!” ผมทำเป็นไม่ได้ยินคำถามของมันแล้วเปลี่ยนเรื่องซะเลย! เรื่องอะไรจะบอกให้เสียหน้าว่ากูไม่รู้คำตอบ!!



   “ไม่รู้เหรอ” ไอ้พี่ธันถาม ผมเหลือบตาไปมองมัน เห็นมันยิ้มบางที่มุมปากซึ่งผมตีความไปแล้วว่ามันยิ้มเยาะเย้ย!



   “จะรู้ได้ไง!! ไม่ได้มีผัวขับชินคันเซ็นนี่หว่า! ให้หาผัวใหม่ปะล่ะ!” มันหัวเราะเบาๆแล้วถาม



   “แน่ใจเหรอว่าอยากได้แฟนใหม่” ตามันวิบวับทำเอาผมนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืน ที่นอกจากผมจะสนองนี้ดมันแล้ว ผมยอมรับครับว่ามันเองก็สนองนี้ดผมได้ดีไม่แพ้กัน เอาง่ายๆว่าถึงจุดนี้ ถ้าผมต้องช่วยตัวเอง ก็ลืมนมลืมเนื้อได้เลย นึกถึงไข่ไอ้พี่ธันอย่างเดียว



   “อ้าว เงียบ...” มันแซว แล้วก้มหน้าลงมาใกล้หน้าผมมากกว่าเดิม



   “เมื่อคืนดีมั้ย” ถ้าไม่ดีกูยันมึงตกเตียงตั้งแต่แรกแล้วโว้ย!!! ไม่ปล่อยให้มึงทำถึงขนาดนั้นหรอก!!!



   ผมพยายามสูดลมหายใจลึกๆ ไม่ได้! คนอย่างถ้วยฟูจะให้ผัวมาบิ้วท์ซ้ายบิ้วท์ขวาปั่นหัวแบบนี้ไม่ได้! นายปวิน รัตนวิจิตรคนนี้จะต้องเป็นคนมีศักดิ์ศรีให้สมหน้าสมตาวงศ์ตระกูล หายใจเข้าถ้วยฟู! ใช่...แล้วก็หายใจออก...อย่างนั้น...หายใจลึกๆ...ดีมาก...ท่องเอาไว้ ศักดิ์ศรี ศักดิ์ศรี ศักดิ์ศรี



   “จะทิ้งพี่ไปหาแฟนใหม่จริงๆเหรอ” ก็ถ้ามึงยังพูดจาไม่รักษาน้ำใจกูแบบนี้ล่ะก็...ตำแหน่งสามีตามพฤตินัยที่มึงถืออยู่ก็จะหลุดโดยปริยาย กูบอกเลยว่าคนอย่างนายถ้วยฟูนั้นมีตัวเลือกอีกมากมายยยยยย



“...สำหรับพี่ ไม่มีใครดีกับพี่เท่าถ้วยฟู ถ้าไม่ได้ถ้วยฟู ใครจะทำอาหารอร่อยๆให้พี่ทาน ใครจะตามใจพี่ ใครจะพาพี่มาเที่ยวโตเกียว ถ้าพี่ขาดถ้วยฟูไป...พี่ต้องแย่แน่ๆ” ก็...ถ้ามึงจะพูดกันขนาดนี้ กูก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องไปมีผัวใหม่ เพราะกูรู้! สำหรับมึงแล้ว กูเป็นยิ่งกว่าอากาศ เป็นยิ่งกว่าน้ำสะอาด เป็นยิ่งกว่าปัจจัยสี่...ถ้าขาดกูไป ชีวิตมึงคงไม่ต่างอะไรกับเนื้อสักก้อนที่ไร้กระดูกและจิตใจ



   “เพราะงั้นถึงไม่ทิ้งไปไงล่ะ สำนึกในบุญคุณซะนะ!” ผมตบไหล่มัน



   “อืม ไม่ลืมบุญคุณของถ้วยฟูแน่นอน” มันย้ำพร้อมรอยยิ้มบางแบบที่ทำเอาผมเหล่ตามองมันเล็กน้อยอย่างไม่วางใจ ไอ้พี่ธันมันฉลาดนะครับ ไม่อย่างนั้นไม่ฟาดเกียรตินิยมเหรียญแพลตตินั่มมาจากคณะวิศวะฯหรอก!



   “ถ้วยฟูช่วยพี่ตั้งหลายอย่าง ทั้งคอยดูแลพี่ ทั้งใส่ใจพี่ บุญคุณของถ้วยฟู ยังไงพี่ก็ไม่ลืม”



   “แหม...ก็ไม่ขนาดนั้นหร้อกกกก...” ถูกชมซะขนาดนี้ ก็มีเขินเป็นธรรมดาเลยต้องปฏิเสธซะหน่อยให้พอเป็นพิธี เดี๋ยวมันจะหาว่าผมหน้าหนารับคำชมแบบไม่อายฟ้าอายดิน



   “เพราะงั้นพี่ก็เลยอยากทำทุกอย่างให้ถ้วยฟู อยากทำทุกอย่างให้ถ้วยฟูมีความสุข ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณ...ว่าแต่...เมื่อคืนดีมั้ย”



   “ดี เฮ้ย!!...” ฉิบ!!! เสียรู้มันจนได้!!! ผมยกมือปิดปากตัวเองแต่ก็หลุดคีย์เวิร์ดสำคัญไปซะแล้ว ไอ้พี่ธันอมยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างที่ทำเอาผมโคตรเคือง



   ...เห็นมั้ย เห็นมั้ย!! บอกแล้วว่ามันฉลาด!! มันเยินยอผมแล้วสุดท้ายก็รวบหัวรวบหางให้ผมยอมตอบในสิ่งที่โคตรน่าอายออกไป!!! ฮึ้ย!!!...



   “ถ้วยฟูว่าดี พี่ก็ดีใจ อ้าว...จะรีบเดินไปไหนล่ะ” ผมก้าวออกนำทันที ไม่รอแม่งแล้วครับ! จะล้อทำซากอะไร! ไอ้ท่ายากที่มันทำเมื่อคืนและผมก็ยอมให้มันทำนั่น อยู่กินเป็นผัวเมียกันมาตั้งหลายปี ทำท่านั้นเกิน 10 รอบแล้วโว้ย!! ไม่มีอะไรแปลกใหม่ก็ยังเสือกจะขุดมาพูดอยู่นั่น!! เข้าใจมั้ยว่าไม่มีอะไรแปลกใหม่และไม่ต้องรื้อฟื้นขึ้นมาพูดบ่อยๆ!



   ไอ้พี่ธันรีบวิ่งตามมา ก่อนจะชี้ชวนให้ผมดูโตเกียว ทาวเวอร์ที่อยู่ไกลลิบๆ แถมเสนอแพ็กเกจถ่ายรูปเดี่ยวให้ผมไม่อั้น ไอ้ถ้วยฟูคนนี้ก็ใจอ่อนกับผัวไปตามระเบียบ มาด้วยกันไม่รักกันแล้วจะให้ไปรักมนุษย์เกาะที่ไหนล่ะครับ จริงมั้ย



   เราถ่ายรูปกันที่หน้าพระราชวังอิมพีเรียลกันพอประมาณ เนื่องจากมีไม่กี่มุมให้ถ่าย เพราะพระราชวังนี้ยังคงเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ์และครอบครัว ซึ่งในแต่ล่ะปีก็จะเปิดให้ประชาชนเข้าไปด้านในเพียงแค่ช่วงปีใหม่เท่านั้นครับ หากเป็นวันปกติแล้ว ก็จะปิดประตูเงียบ ให้ถ่ายรูปได้แค่ด้านนอกริมถนนเท่านั้นเอง



   หลังจากเก็บภาพที่ระลึกหน้าพระราชวังอิมพีเรียลไปพอประมาณแล้ว เราก็เดินเลาะริมคูน้ำรอบพระราชวังขึ้นไปตามเนิน ใกล้ๆนี้มีฐานหอคอยเก่าแก่สมัยโชกุนอะไรสักอย่างตั้งอยู่ในสวนตะวันออกของพระราชวังอิมพีเรียล ให้เข้าไปเยี่ยมชมฟรีครับ และเพราะคำว่าฟรีนั่นเอง ผมก็เลยชักชวนมายเลิฟไปศึกษาดูของโบราณเอาไว้ประดับความรู้สักหน่อย



   ทางเข้าจุดที่เป็นที่ตั้งของหอคอยเก่านั้นเป็นประตูไม้แบบโบราณ คือเป็นประตูบานใหญ่ที่ขนาบสองฝั่งด้วยป้อมกำแพงซึ่งชั้นล่างเป็นหินซ้อนหลายๆก้อนขัดทั้งสี่ด้านให้เรียบเสมอกัน ส่วนชั้นบนเป็นปูน มีหลังคาปลายงุ้มขึ้นตามพิมพ์นิยมแบบญี่ปุ้นญี่ปุ่นนั่นเอง



เราก้าวผ่านประตูไม้เข้ามาก็ยังไม่พบอะไรที่เป็นสิ่งแสดงถึงความโบราณ ถนนปูอย่างดี สองฝั่งซ้ายขวาเป็นสวนใหญ่และต้นไม้ร่มรื่นเชียว เราเดินไปตามทางที่มีญี่ปุ่นวัยคุณป้าหลายคนเดินพูดคุยกันอยู่ข้างหน้า เดินไปได้หน่อยก็เจอเข้ากับกำแพงหินแบบญี่ปุ่นโบราณ คือการเอาหินก้อนใหญ่มาซ้อนหลายๆก้อนแล้วขัดเรียบทั้งสี่ด้านนั่นเอง ว่าแล้วก็เข้าไปจับๆแตะๆสักหน่อย



   แล้วเราก็ถ่ายรูปกันเล็กน้อย ก่อนจะพากันเดินลึกเข้าไปอีก คราวนี้ทางเดินเริ่มกลายเป็นการไต่เนิน เล่นเอาหอบเป็นหมาเลยทีเดียว แต่พอไต่ขึ้นไปจนสุดแล้ว สิ่งที่เห็นอยู่ไกลลิบๆก็ทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง



   “ฮูย!!! สวยยยย...” จุดที่เรายืนอยู่เป็นเนินสูงครับ เพราะงั้นก็เลยทำให้เห็นวิวไกลๆของโตเกียว ที่มีตึกสูงขึ้นเบียดเสียดอารมณ์เมืองหลวงแสนศิวิไลซ์นั่นเอง!



   “ตรงนั้นล่ะมั้ง ฐานหอคอยเก่าน่ะ” ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่พวกผมยืนคือหินก่อเป็นทรงสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่มากนัก พวกผมเดินตรงไปยังเจ้าฐานหินนั้น พอมองใกล้ๆแล้วเห็นชัดเจนว่าเป็นการนำหินก้อนใหญ่ๆมาวางเรียงซ้อนกันแล้วขัดให้เรียบแบบตัวกำแพงนั่นเอง



   “ขึ้นไปดูข้างบนกัน” เพราะสิ่งที่เหลืออยู่ตรงหน้าคือมีแค่ฐาน ทางขึ้นเป็นบันไดหินของเก่าซึ่งขั้นเล็กและชัน ซึ่งจากพื้นดินจนถึงจุดบนสุดของฐานก็สูงประมาณเมตรหรือสองเมตรเท่านั้น ด้านบนมีการสร้างรั้วกั้นเรียบร้อยให้พวกเราเดินขึ้นบันไดไปชมวิวจากฐานนั้นเอง และเพราะฐานนี้ถูกสร้างบนเนินอีกที ความสูงของมันก็เลยทำให้เราได้ดูวิวโตเกียวกันจุใจ



   เรายืนชมบรรยากาศกันสักครู่ก็ทนความหนาวของแรงลมแห่งโตเกียวไม่ไหว เลยพากันลงมาเดินเล่นถ่ายรูปบริเวณรอบๆที่ปรับภูมิทัศน์ให้กลายเป็นสวนหย่อมขนาดใหญ่ มีครอบครัวลูกเด็กเล็กแดงมาปิกนิกกันด้วย หลังจากถ่ายรูปพอเป็นพิธีแล้ว เราก็ออกเดินทางกันต่อครับ ออกจากสถานีโตเกียวนั่งรถไฟแปบเดียวก็มาถึงสถานีชิมบาชิ โดยเป้าหมายต่อไปคือการนั่งรถไฟไร้คนขับออกไปที่โอไดบะซึ่งเกิดจากการถมทะเลด้วยขยะนั่นเอง!!


つづく
(**เพราะว่าตอนนี้มันแอบยาวมากเลย เลยต้องแบ่งเป็น 3.1 และ 3.2 บัวจะเอา 3.2 มาลงในวันศุกร์นี้ค่ะ)
 

เวลาอ่านเม้นท์ประมาณว่า อ่านสเปอันนี้แล้วคิดถึงญี่ปุ่น อ่านแล้วอยากไปโตเกียว บัวดีใจมากเลยค่ะ
ตัวบัวค่อนข้างจะชอบโตเกียวมากๆ ถึงหลายๆคนจะบอกว่าโตเกียวค่อนข้างแห้งแล้ง คนไม่ค่อยสนใจกัน แต่บัวได้เจออะไรดีๆที่โตเกียวเยอะ ได้เจอคนนิสัยดีๆ เจอประสบการณ์ดีๆ เลยรู้สึกค่อนข้างจะถูกโฉลกกับโตเกียวเป็นพิเศษ (ไม่นับเรื่องที่ชอบผู้ชายสไตล์หนุ่มญี่ปุ่น อันนั้นยกเอาไว้ ฮ่าฮ่า)

เพราะงั้น ก็เลยอยากให้คนอ่านอ่านสเปอันนี้แล้วมีความสุขกับมัน เป็นสเปโลกสวย มุ้งมิ้ง ฟรุ้งฟริ้งตลอดเวลา (เขียนเองยังหมั่นไส้ถ้วยฟูเลย ไม่ไหวกะมันมากๆ ฮ่าฮ่า)

เจอกันวันศุกร์นี้ 3.2 นี่ทำเอาบัวตาร้อนผ่าวๆด้วยความอิจฉาถ้วยฟูเลยนะขอบอกกกกก

ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์และพื้นที่บอร์ดเช่นเคยค่ะ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
อ่านแล้วอยากไปบ้างงงง

ออฟไลน์ Bejae

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-2
อิจฉาถ้วยฟูค่ะ ณ จุดๆนี้
ได้สะมีดีแบบนี้มันน่าอิจฉาจริงงงงงง
อ่านแล้วอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นขึ้นมาทันทีทันใดเลยค่ะ  :impress2:

ออฟไลน์ Cardiac

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
อยากมีสามีแบบพี่ธันจริง ๆ เลย ฟู อิจฉานะ

ออฟไลน์ Maewjunsu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 325
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
ชาติที่แล้วถ้วยฟูทำบุญมาด้วยอะไรชาตินี้ถึงได้สามีดีเด่นอย่างพี่ธันไปครอบครองทั้งตัวและหัวใจแบบนี้ ถ้ารู้จะไปทำบุญแบบถ้วยฟูบ้างเผื่อจะได้สุดยอดสามีแบบพี่ธัน :mew3: :mew3:

ออฟไลน์ evilheart

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-3
ถ้วยฟูไม่มีทางจะตามสามีทันหรอก ใสๆ ซื่อๆ ต่อไปเถอะ 555

ออฟไลน์ kkmm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 357
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
ขอบคุณครับอสนุกมากเลย :3123:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
เลือกสามีถูก แฮปปี้ตลอดชีวิตจริงๆถ้วยฟู :m1:

อ่านแล้วอยากไปตามรอยสเปนี้เลยค่ะ  :pig4: นักเขียน


ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
ถ้วยฟูมันโชคดี
โอ๊ยยย อิจฉานางมาก
แบบพี่ธันมีขายที่ไหนอีกกกกกกกกกกก กร๊ากกกกก

ขอบคุณคุณบัวที่มาต่อนะคะ

RGB.__

  • บุคคลทั่วไป
อิจฉาถ้วยฟูววววววววววววววว
อ่านแล้วอยากไปญี่ปุ่นมว้ากกกกกกกกกก
ญี่ปุ่นนี่ประเทศในฝันเลย อยากไปมากกกก เก็บตังค์แปบ (น่าจะไม่แปบ555555)

ออฟไลน์ nekko

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +422/-4
น้องถ้วยฟูๆๆๆๆๆทำไมน่าอิจฉาเหลือเกิน


 :กอด1: :L2: :pig4:

ออฟไลน์ j4c9y

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +178/-7
น่ารักกกก  แต่ช่วงนี้หวานไปป่ะ อยากได้รสขม รสเผ็ดบ้างงงง

ออฟไลน์ badcow

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-10
เอาหนุ่มญี่ปุ่นมาจีบถ้วยฟูให้พี่ธันหึงบ้างจิ่ จีบย่านไหนดีที่โตเกียว

ออฟไลน์ shijino

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
ชักสงสัยว่า ถ้าพี่ธันทำแต้มขนาดนี้ ถ้วยฟูอาจจะได้เที่ยวรอบโลกในไม่ช้า 555  :z1:

ออฟไลน์ veeveevivien

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
 :pighaun: อิจฉา ถ้วยฟู มากกกกกกกกกกก อยากได้อย่างพี่ธัน  :mew6:

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3

ออฟไลน์ เก้าแต้ม

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1290
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-3

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ bpyt

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
กรี๊ดดดด!! นี่เราอ่านน้องฟูเป็นการหาแนวทางเที่ยวโตเกียวนะเนี่ย เราจะไปสิ้นปีนี้พอดี เผื่อจะไปตามรอยถ้วยฟู-พี่ธัน 555

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
อ่านในนมุมพี่ธันว์ ถ้วยฟูมันน่าร้ากน่ารัก
แต่พ่ออ่านมุมของมันเอง ถ้วยฟูมันน่าหมั่นไส้มาก :ruready

ออฟไลน์ boboaje

  • ไม่ชอบหวาน ชอบครบรส
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-4
อยากอิจฉาถ้วยฟูแล้วค่ะ :hao6:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
ซามูไรหมู 5555555555
ฮาถ้วยฟูมากกกกก
อ่านละอยากไปโตเกียววววววว

ออฟไลน์ Dezair

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-8
NOV: รักนี้...ลินกับฟัน
By: Dezair
ตอนพิเศษ…รักนี้…อินโตเกียว!!
..............................................

3.2



   “เราจะใช้สายรถไฟอันนี้ไปเกาะโอไดบะ เจ้าสายรถไฟอันนี้มีชื่อเล่นว่าสายนกนางนวลด้วย! ดูสัญลักษณ์มันดิ เหมือนนกใช่มั้ย” ผมพายอดรักเดินออกจากสถานีชิมบาชิของสายยามาโนเตะมาใช้สถานีของสายยูริคาโมเมะซึ่งเป็นชื่อมาจากนกนางนวลของญี่ปุ่นครับ



   ...แหม้!! กูนี่มันฉลาดจริงจริ๊ง!! ทั้งประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ทั้งสัตววิทยาญี่ปุ่น พ่วงด้วยหน้าตาหล่อเหลาที่พ่อแม่ให้มา บอกได้คำเดียวว่าถ้าไอ้พี่ธันไม่ภูมิใจในเมียมันคนนี้แล้วล่ะก็ เกิดแล้วตายอีกสิบชาติก็หาเมียแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว!...



   “ทำไมถึงใช้ชื่อสายว่านกนางนวลล่ะ” เอ่อ...เริ่มรู้สึกว่าตัวเองโง่ซะแล้วสิ มาอีกแล้วไอ้ประเภทคำถามที่กูไม่ได้หาคำตอบมา...



ผมกำลังจะเข้าตาจนแต่ไอ้หล่อแสนฉลาดก็เหมือนจะนึกออกในคำตอบของคำถามที่มันตั้ง



   “อ้อ หรือว่าเกาะโอไดบะอยู่ในทะเล แล้วสายรถไฟนี้ก็วิ่งไปที่เกาะ ก็เลยตั้งชื่อสายรถไฟตามนกที่มีอยู่แถบชายฝั่ง”



   “ใช่เลย!” ตามนั้นแหละ! กูก็คิดว่างั้น!



   ผมไม่ชวนมันคุยอีก ก้าวขึ้นบันไดเลื่อนที่พาขึ้นสู่จุดขายตั๋วของสถานี โดยไม่ลืมขยับชิดซ้ายด้วย ไอ้พี่ธันขึ้นตามมาก็ยืนชิดซ้ายต่อหลังผมเช่นกัน มีมนุษย์สูทชาวญี่ปุ่นเดินแซงไปทางขวาอย่างเร่งรีบ ผมมาเที่ยวที่นี่ได้หลายวันก็พบว่าคนญี่ปุ่นเป็นมนุษย์ใจร้อนมากทีเดียวครับ เดินเร็ว กินเร็ว พูดเร็ว วันแรกๆที่มาแล้วติดนิสัย ‘พี่ไทย’ ยืนขวางกลางบันไดเลื่อนนี่ผมถูกคนญี่ปุ่นหันมามองหน้าเหมือนจะด่าพ่อผมในใจด้วยล่ะ



   นับแต่นั้นด้วยความเป็นลูกกตัญญูกลัวพ่อที่อยู่เมืองไทยจะสะดุ้งเพราะถูกคนญี่ปุ่นด่าข้ามน้ำข้ามทะเล ผมก็เลยท่องทุกขณะจิตว่าขึ้นบันไดเลื่อนต้องชิดซ้าย ชิดซ้าย และชิดซ้ายเท่านั้น!



   “ทำไมต้องชิดซ้าย ทำไมไม่ชิดขวาอ่ะ” ผมเอี้ยวตัวมาถามยอดเลิฟที่ยืนอยู่ด้านหลัง



   “อืม...อาจจะใช้หลักเดียวกับตอนขับรถ ขับช้าชิดซ้าย ถ้าจะแซงก็แซงขวา”



   “เออ ก็จริง...” ตรรกะนี้ฟังขึ้นทีเดียว ถึงแม้จะใช้ไม่ได้ในมาตุภูมิของผมที่เรานิยมแซงได้ทุกเลนก็ตาม



บันไดเลื่อนพาเราสองคนขึ้นมาถึงจุดซื้อตั๋วรถไฟพอดี ผมผู้ซึ่งรับภาระอันหนักอึ้งก็ต้องเป็นคนไปซื้อตั๋วครับ ได้ตั๋วแบบ ‘วัน เดย์’ มาสองใบ เจ้าตั๋ว ‘วัน เดย์’ นี้คือตั๋วที่ทำให้เราสามารถใช้บริการรถไฟสายนี้จากสถานีนี้ไปลงสถานีไหนก็ได้ในเกาะ จะเป็นพวกย้ำคิดย้ำทำขึ้นๆลงๆกี่รอบก็ได้ จนกว่าจะหมดวันนั่นเอง



   ได้ตั๋วมาแล้ว เราก็พากันขึ้นสู่ชานชาลา สายรถไฟยูริคาโมเมะนั้นเป็นสายรถไฟสร้างใหม่ กรุด้วยกระจกมีประตูเลื่อนอัตโนมัติ นอกจากนั้นก็อย่างที่ผมบอกข้างต้นว่าเจ้ารถไฟสายนี้ขายไอเดียที่มันเป็น ‘รถไฟไร้คนขับ’!!    



และแน่นอนว่าในเมื่อเป็นรถไฟไร้คนขับ ที่นั่งหน้าสุดของรถไฟจึงเป็นที่หมายตาต้องใจสำหรับผมเป็นอย่างยิ่ง!!!



   หลังจากเล็งเอาไว้แล้วว่าประตูตรงไหนเปิดปุ๊บ สามารถวิ่งเข้าไปแย่งที่นั่งหน้าสุดของรถไฟได้โดยไว ผมก็หมายมั่นปั้นมือกับขบวนรถไฟที่กำลังจะเข้านี่มากครับ และทันทีที่รถไฟจอดเทียบท่า ประตูรถไฟเปิด คนในรถไฟแห่กันออก ผมก็รีบถลาเข้าไปแย่งที่นั่งหน้าสุดของขบวนทันที!!



   ...เยส!!! ที่นั่งเป็นของกู!!!...



   ...อ้าว! แล้วไอ้คนที่นั่งข้างๆนี่ใคร? ไม่ใช่ไอ้พี่ธันนี่หว่า!!!...



   ผมหันมองซ้ายมองขวาเมื่อพบว่าที่นั่งคู่หน้าสุดของรถไฟเป็นผมและสาวญี่ปุ่นที่มีแฟนหนุ่มยืนขนาบข้างคุยกันกระหนุงกระหนิงโลกนี้สีชมพู ในขณะที่แฟนหนุ่มของผม...



   ...อ้อ! อัปเปหิตัวเองมายืนหลังที่นั่งของผมนี่เอง!!...



   พอเบาใจแล้วว่าผัวตัวเองมีที่สิงสถิต ผมก็หันหน้าจะกลับไปมองทางตรงเหมือนเดิม แต่...อีตอนที่สายตาเลื่อนผ่านไปทางไอ้เด็กญี่ปุ่นคนหนึ่งที่ก้าวเข้ามาในรถไฟพร้อมแม่ของมัน อะไรบางอย่างในดวงตาเด็กคนนั้นทำให้ผมหยุดชะงัก





...สายตามันปะทะกับสายตาผม เราจับจ้องกันและกัน แม้เราจะคนล่ะชาติคนล่ะภาษา แต่ผมบอกได้เลยว่าในแววตาของมันนั้น บอกว่ามันหวังในสิ่งที่ผมได้!!!...



“ママ そこ座りたい。ไอ้เด็กนั่นหันไปงอแงกับแม่มัน ก่อนจะหันกลับมาสบตาผมอีกครั้ง เอาแล้วไง...นี่อย่าบอกนะว่ามึงอยากนั่งตรงกู ซึ่ง...ถ้ามึงจะนั่ง นั่นหมายความว่ากูต้องลุก กูจะอด กูไม่ได้ลิ้มรสประสบการณ์นอกประเทศที่หาไม่ได้ในบ้านเมืองกู



“ママ…” มันเริ่มแกว่งแขนแม่มัน ตีหน้าเศร้ารันทดประหนึ่งว่ากำลังอ้อนวอนขออะไรสักอย่าง ซึ่งผมรู้!!!...ผมรู้ว่ามันอยากได้อะไร แม้ว่าจะฟังในสิ่งที่มันพูดไม่รู้เรื่อง!!!!...



   “ไอ้แสบ แย่งแม้กระทั่งที่นั่งเด็ก” ไอ้หล่อที่ยืนอยู่ข้างหลังที่นั่งของผมก้มลงกระซิบข้างหู นั่นยิ่งทำเอาผมชักจะร้อนรนซะแล้ว ใจหนึ่งก็อยากแสดงน้ำใจให้เป็นที่ประจักษ์ไปสิบโลก แต่อีกใจ...อีกใจมันบอกว่าถ้าผมไม่ได้นั่งวันนี้ ก็ต้องรอไปอีกหลายปีกว่าผัวจะพากลับมาเที่ยวโตเกียวอีก จนถึงตอนนั้น รถไฟสายนี้อาจถูกเอาออกจากการขนส่งของญี่ปุ่นแล้วก็ได้!!



   “ม...ไม่ได้แย่งเว้ย! ฟังไอ้เด็กนั่นพูดออกเหรอ มันชี้มาทางนี้เพราะจะชมว่าคนนั่งตรงนี้หล่อน่ะสิ!” ผมเอี้ยวหน้าหันกลับไปเถียงมันด้วยหัวใจที่กำลังแบ่งเป็นสองฝ่าย ทำยังไงดีครับ! ทำยังไงดี!! ลุกดี หรือไม่ลุกดีล่ะ!!!



ในช่วงที่กำลังคิดไม่ตกว่าจะลุกหรือไม่ลุกอยู่นั้น สาวญี่ปุ่นที่นั่งข้างๆผมก็ดันลุกขึ้น แล้วหันไปกวักมือเรียกไอ้เด็กนั่นมานั่งแทน



ผมงี้ตาเหลือกมองน้ำใจอันประเสริฐสุดของสาวญี่ปุ่นหน้าตาอินโนเซ้นท์แล้วถึงกับร้อนรุ่มไปทั้งทรวง!!



   ฉิบหายล่ะ!...ผู้หญิงญี่ปุ่นจะแสดงความแมนเกินหน้าเกินตานายปวินคนนี้มากไปแล้ว! ผมมันคนไทยมาจากเมืองแห่งน้ำใจระดับโลก จะยอมให้ผู้หญิงสละที่นั่งให้เด็กทั้งๆที่ผู้ชายแมนทั้งแท่งอย่างผมนั่งตูดร้อนตูดแฉะต่อไปได้ยังไง ใครรู้เข้า จะชี้หน้าประณามว่าผัวไม่สั่งสอนเอาได้!!...



   และก่อนที่จะมีใครได้พูดอะไรอีก ผมก็แสดงความแมนอย่างน่ายกย่องด้วยการแตะแขนผู้หญิงญี่ปุ่นคนที่เคยนั่งข้างผมเมื่อกี้ ก่อนที่ตัวผมเองจะลุกสละที่นั่งให้เขา ผู้หญิงคนนั้นมองผมงงๆ แต่พอผมใช้ภาษากายผายมือลงที่นั่งซึ่งผมอุตส่าห์ฝ่าฟันจนได้มา แล้วขยับตัวออกมายืนข้างนอก ผู้หญิงคนนั้นก็เหมือนจะเข้าใจ เธอโค้งให้ผมทีนึงก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งแทน แฟนของเธอก็ส่งยิ้มให้ผมแทนคำขอบคุณเช่นกัน ผมได้แต่ยิ้มตอบแล้วเดินมายืนข้างไอ้พี่ธันแทน



   “หล่อมั้ย” ผมถามมันเสียงเบา พอได้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่สตรีงามแล้ว หัวใจผู้ชายหน้าตาดีอย่างผมก็พองฟูเหลือเกิน



   “เออ กับเด็กไม่ให้ กับผู้หญิงงี้อ่อนเป็นขี้ผึ้ง” อันนี้คือชมกูใช่มั้ย?...



   ผมถลึงตาใส่มันไปทีนึง รถไฟก็เริ่มเคลื่อนตัว และเพราะตำแหน่งยืนของผมอยู่ข้างหลังเบาะหน้าสุดของขบวน ดังนั้นวิวทิวทัศน์ที่ผมได้รับชมก็ไม่ต่างจากตอนที่นั่งเบาะเสียเท่าไหร่ นับว่าผมเลือกทางถูกจริงๆครับ เพราะถึงจะต้องยืนไปตลอดทาง แต่ก็แค่เมื่อยนิดหน่อยเท่านั้น ถ้าเทียบกับการได้โชว์แมนต่อหน้ามนุษย์ทั้งโบกี้แบบเมื่อกี้นี้



   รถไฟสายนี้เป็นสายที่วิ่งข้ามอ่าวโตเกียวไปยังเกาะโอไดบะซึ่งเป็นเกาะสร้างใหม่ที่เกิดจากการถมทะเลด้วยขยะ ในเกาะมีทั้งอาคารชุด โรงเรียน สถานีโทรทัศน์และห้างสรรพสินค้ามากมาย ชมวิวทิวทัศน์ซึ่งประกอบด้วยทะเล ทะเล และทะเลสองข้างทางได้อึดใจนึง รถไฟก็ข้ามมาเข้าเกาะเรียบร้อย เวียนจอดตามสถานีต่างๆ ในเกาะและสถานีที่คนลงเยอะที่สุดก็คือสถานีไดบะที่ผมลงนี่ล่ะครับ



   ที่สถานีนี้นอกจากจะมีห้างสรรพสินค้าแล้ว ยังมีจุดชมวิวเรนโบว์บริดจ์ ก็เจ้าสะพานแขวนที่พาดระหว่างฝั่งโตเกียวและเกาะโอไดบะนั่นล่ะครับ และนอกจากนั้นก็ยังมีเทพีเสรีภาพจำลองเอาไว้ให้ถ่ายรูปคู่แล้วมโนเป็นนิวยอร์คด้วยนะเออ!!



   เราสองคนเดินถ่ายรูปท้าลมหนาวและบรรยากาศสวยแบบแห้งๆของฤดูนี้อย่างเพลิดเพลิน ก่อนจะแวะเข้าห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้ๆเพื่อหาอาหารกลางวันกินกัน จากนั้นก็ข้ามมาอีกฝั่งของถนนซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ชื่อดังของญี่ปุ่นครับ



   อาคารสำนักงานใหญ่ของสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ เป็นอาคารสองตึกขึ้นคู่กันครับ บนสุดของตึกทั้งสองที่เชื่อมกันด้วยท่อนเหล็กนั้น มีลูกกลมๆขนาดใหญ่ที่บอกไม่ได้ว่ามันมีหน้าที่อะไร เนื่องจากเราเห็นแค่จากภายนอก ด้วยหน้าตาอาคารค่อนข้างจะดูล้ำก็เลยต้องถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเล็กน้อย นอกจากจะถ่ายรูปแล้ว เพื่อนของเพื่อนของเพื่อนบอกว่าที่นี่มีร้านขายของที่ระลึกจากละครและรายการต่างๆของสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ แล้วก็ยังมีจุดที่จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ที่ใช้ในการถ่ายทำรายการต่างๆด้วย! ซึ่งแน่นอนว่าฟรี งานนี้ผมก็เลยลากสุดเลิฟมาดูซะหน่อย



   เราไม่ได้สนใจพวกของพรีเมี่ยมเท่าไหร่นัก เพราะส่วนใหญ่ฟาดมาแล้วจากคาแรกเตอร์ สตรีทเมื่อวานนี้ ที่มีร้านออฟฟิซเชี่ยลของสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ไปเปิดที่นั่นเช่นกัน แต่จุดที่ผมสนใจคือโซนของการจัดแสดงของที่ใช้ในรายการโทรทัศน์ครับ!



   ภายในบริเวณจัดแสดงนั้น จะเป็นทางเดินที่พาเราเดินไปยังจุดต่างๆซึ่งจะมีข้าวของ แผ่นโปสเตอร์และป้ายรายการเรียงรายตามทางให้เราชม นอกจากนั้นก็มีรูปปั้นของตัวการ์ตูนเรื่องดังที่ออกอากาศทางช่องนี้ให้เราเข้าไปเกาะแกะถ่ายรูปด้วยได้ และที่สำคัญมีการสร้างหุ่นขี้ผึ้งของพิธีกรชื่อดังเอาไว้ให้ถ่ายรูปคู่ด้วย



    “เฮ้ย! อยากถ่ายกับลุงคนนั้นอ่ะ!!”



   “ลุงใส่แว่นดำน่ะเหรอ” มันหันมาถามผมที่กำลังกรีดร้องจะเข้าไปนั่งคู่กับหุ่นขี้ผึ้งพิธีกรอายุคราวพ่อที่นิยมใส่แว่นดำทุกครั้งที่ออกโทรทัศน์ ผมไม่รู้ว่าลุงชื่ออะไร ไม่รู้ว่าลุงทำรายการอะไร แค่คุ้นหน้าเหมือนเคยเห็นผ่านๆ แต่ว่าเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนบอกว่าลุงใส่แว่นนี่ดังมากกกกกในญี่ปุ่น



   “ใช่ๆ” บอกอย่างไม่อายปากว่าถ่ายไปอวดชาวบ้านชาวช่องเฉยๆ กะจะเอาไปแปะที่ผนังในร้านให้ดูโก้ๆ ถึงแม้ว่าลุงจะไม่เคยมากินข้าวที่ร้านผมก็ตาม



   “รู้จักลุงด้วยเหรอ” ไอ้พี่ธันถามยิ้มๆ



   “ไม่อ่ะ แต่รู้ว่าลุงดัง” มันหัวเราะร่วน เรายืนรอให้สาวญี่ปุ่นนางนึงไปแชะรูปกับหุ่นขี้ผึ้งของลุงเรียบร้อย ผมก็ถลาเข้าไปนั่งข้างบ้าง ไอ้พี่ธันกดมา 2 แชะกันเสียรูปนึง ก่อนที่เราจะออกเดินต่อ



ทางเดินนี้ไม่ยาวมากนัก เดินแบบส่องซ้ายส่องขวาไปเรื่อยประสาคนไม่รู้จักรายการของญี่ปุ่น ก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปกับอะไรเป็นพิเศษ  ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงทางออกแล้ว เราสองคนบอกลาสถานีโทรทัศน์ชื่อดังแห่งนี้ก่อนจะนั่งรถไฟไปลงอีกสถานีหนึ่งในเกาะที่ชื่อว่าสถานีอาโอมิ



ประเด็นที่ผมแวะมาที่นี่ก็เพราะที่สถานีแห่งนี้มีห้างสรรพสินค้าซึ่งภายในตกแต่งให้กลายเป็นเมืองสไตล์ตะวันตก ทำนองว่าผัวไม่พาไปเหยียบของจริงสักที มาดูของปลอมๆไปก่อนก็ได้ หน้าร้านแต่ละร้านจะถูกออกแบบให้เป็นอาคารสไตล์ยุโรปครับ กลางห้างมีวงเวียนน้ำพุขนาดใหญ่ให้ถ่ายรูปคู่เช่นเคย นอกจากนั้นเพดานของที่นี่ก็ทำเป็นท้องฟ้าที่เปลี่ยนสีได้คล้ายๆเดอะเวเนเชี่ยนแห่งมาเก๊าด้วย แม้ไม่ยิ่งใหญ่แต่ก็ตระการตามากสำหรับผมที่มักจะตื่นเต้นกับอะไรก็ตามในประเทศนี้



   “เฮ้ยๆ มีร้านเครปด้วยอ่ะ!” 



และแน่นอนว่าหนึ่งในแปดร้อยสิ่งมหัศจรรย์บนเกาะญี่ปุ่นนั้นคือร้านขายขนมหวานที่ผมขอมอบกายอุทิศใจให้ไปเลย! มีแทบทุกซอกทุกมุมของเมือง! แถมแต่ละร้านนี้ไม่ใช่กะโหลกกะลานะครับ! ทั้งหน้าตาขนม ทั้งวัตถุดิบที่ใช้ ทั้งรสชาติ ขอบอกว่าอื้อหือ! (และที่โอ้โฮสุดๆก็คือราคาครับ ผมล่ะใจหายฉิบเป๋งตอนจ่ายเงินแต่ละทีแบงค์พันเยนปลิวออกจากกระเป๋าให้วุ่น พันเยนนี่ก็สามร้อยสี่ร้อยบาทบ้านเรานะครับ! เรียกได้ว่าค่าครองชีพแพงถีบคอหอยเลยล่ะ!)



   ผมยืนเลือกเครปอยู่พักใหญ่เพราะอยากกินไปหมดทุกอัน แต่สุดท้ายก็ได้มาอันนึงเป็นสตรอเบอร์รี่ครีมสดที่โคตรน่ากิน!!!



   นอกร้านมีชุดโต๊ะเก้าอี้เล็กๆไว้บริการ ผมก็นั่งแหมะแล้วล่ะครับ ได้ของกินแล้วนี่หว่า



   “เป็นไง”



   “อร่อยมากกกกก” ผมพูดหลังจากกัดเข้าไปคำใหญ่ๆ ร้านมีช้อนพลาสติกให้บริการ แต่จะกินให้ถึงใจมันต้องมูมมามนิดๆ แถมนี่เป็นครีมสดอีกต่างหาก ให้มันเลอะหน้าบ้างติดริมฝีปากบ้าง จะได้ดูเซ็กซี่เอาใจผัว อิอิ



   “ช้อนน่ะถือไว้ทำไม ทำไมไม่ตักกินดีๆ” แต่กลายเป็นถูกผัวบ่นซะงั้น! เฮ้อ!! อย่างงี้แหละ!! อยู่กินกันมาเจ็ดปี น้ำผักต้มที่เคยชมว่าหวานก็กลายเป็นขมฉิบหายสินะ!



     “ไม่ชิมเหรอ อร่อยนะ” แต่แม้จะถูกผัวดุ ไอ้ถ้วยฟูคนนี้ก็ยังตามเอาใจผัวไม่ห่าง...ใครได้กูไปเป็นแฟนนี่มันโชคดีจริงจริ๊ง!!!...



   “ไม่” มันตอบสั้นๆ แล้วกระดกชาในขวดเข้าปาก



   “ลองหน่อยหน่า” ผมตักเนื้อเครป ครีมสด และสตรอเบอร์ขึ้นมาหนึ่งชิ้น...นี่กูเสียสละสตรอเบอร์รี่เลยนะเว้ยเฮ้ย!!



   “ไม่เอา”



   “นิดเดียว”



   “มะ...!!” ไม่ทันแล้วครับ ทันทีที่มันอ้าปาก ผมก็ยัดช้อนในมือที่อุดมไปด้วยของหวานเข้าปากมันทันที



   “เคี้ยวเลย เคี้ยวเข้าไปแล้วกลืน” อย่าคิดว่าผมจะปล่อยให้มันคาย ผมดันคางมันไว้ให้ปิดปาก ช้อนก็ยังคาอยู่ในปากมัน ไอ้พี่ธันถลึงตาใส่ผมแต่สุดท้ายก็ยอมเคี้ยวแล้วกลืนแต่โดยดี อะฮ้า!! งานนี้ถ้วยฟูชนะ!



   “อร่อยเปล่า” ผมถามมันยิ้มๆ ดีใจได้แกล้งสุดเลิฟ



   “หวาน” มันตอบสั้นๆแล้วรีบยกชาขึ้นเทกรอกปาก แต่ไม่วายหันมาคาดโทษกับผมเสียงเบา



   “คืนนี้ เจอหนักแน่” นั่นเรียกลงโทษเหรอมึง...แถวบ้านกูเรียกว่าให้รางวัลว่ะ ฮ่าฮ่า!!



   หลังจากอิ่มหมีพีมันกับเครปอร่อย ผมกับไอ้พี่ธันก็เดินเล่นต่อในห้างนั้นอีกเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจนั่งรถไฟกลับไปยังสถานีที่มีหุ่นเทพีเสรีภาพจำลองเพื่อชักภาพเป็นระลึกในยามเย็นที่เริ่มมืด และฝั่งโตเกียวรวมถึงเรนโบว์บริดจ์เริ่มมีไฟเปิดระยิบระยับ ถัดจากเรนโบว์บริดจ์ออกไป ที่เห็นไกลลิบๆเป็นแท่งนั่นก็โตเกียว ทาวเวอร์ที่เราไปเหยียบกันมาแล้ว



   อากาศหนาวๆ บรรยากาศสวยๆ กับคนรักรูปหล่อ...สุขใดไหนจะเกินนายปวิน ฮี่ฮี่!!



   “ยิ้มไร ตัวแสบ” ไอ้คนรักรูปหล่อหันมาถามตอนที่เรายืนท้าลมหนาวไหล่เบียดไหล่ชมวิวยามค่ำคืนอยู่บนระเบียงทางเดิน ข้างล่างเป็นทิวไม้มืดๆ แต่ก็ให้ความรู้สึกสงบเงียบ



   “ยิ้มหล่อ” ผมตอบอย่างแสนมั่นใจ ทำเอาไอ้คนข้างกายหัวเราะพรืด ก่อนจะจับหัวผมโยกไปมา...กูเดาว่ามึงโยกหัวกูด้วยความรักและเอ็นดู ไม่มีความหมั่นไส้ใดๆเจือปนใช่มั้ย?...



   “เออ หล่อ...หล่อตลอด...” มือมันเลื่อนลงมาดึงผ้าพันคอผมเล่น วันนี้ผมก็ยังคงยึดประโยชน์ใช้สอยของผ้าพันคอเหมือนเดิม คือให้ไอ้พี่ธันผูกเป็นโบว์ให้จะได้ไม่หลุด แถมยังอุ่นสบายไม่เจ็บคอด้วย ไม่เอาแบบคล้องเอาไว้เท่ห์ๆแล้วครับ หนาวจนตับจะแข็งขนาดนี้ ขืนยังจะอยากเท่ห์ด้วยผ้าพันคอ ผมอาจจบชีวิตที่เกาะญี่ปุ่นได้



   “ถ้วยฟู...” เสียงทุ้มดังแผ่วที่ข้างหูผม ตอนที่มันไม่ได้ยืนข้างๆอีกแล้ว แต่ยืนโอบผมจากด้านหลัง มือมันสองข้างค้ำอยู่กับราวเหล็กกั้น ทำให้ผมกลายเป็นอยู่ในวงล้อมของมันโดยปริยาย ผมควรรู้สึกอึดอัดแต่...เพราะเป็นมัน...เพราะเป็นธันวา...จากที่ควรจะอึดอัดเลยกลายเป็นอบอุ่นอย่างน่าประหลาด



   ไม่มีคำพูดอะไรระหว่างเราสองคน บางทีผมก็รู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกันก็ได้ แค่อยู่ข้างๆกัน แค่ยิ้มให้กัน แค่รับรู้กันและกันมันก็เพียงพอแล้ว



   แต่...ใครบางคนไปไกลกว่าการอยู่เคียงข้างกันมากครับ



   ไอ้คนที่ยืนซ้อนหลังผมมันควักอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเป้ของมัน



   มันไม่พูดอะไร แค่เพียงยื่นกล่องหนังสีเขียวออกมาตรงหน้าผม ตาผมเหลือบจ้องตัวอักษรสีทองสะท้อนแสงไฟวิบวับที่มุมกล่องพร้อมด้วยสัญลักษณ์รูปมงกุฎแล้วหัวใจก็ฟูเต็มอกสมชื่อผมจริงๆ



...กล่องแบบนี้...สัญลักษณ์แบบนี้!!!...



...โรเล็กซ์ชัดๆ!!!! อุว้าวววววว...



   “อะไรน่ะ” แต่ไอ้ครั้นจะกระตู้วู้กระโดดกอดคอผัวอย่างสุดแสนจะดีใจประหนึ่งเมียน้อยได้รางวัลจากเสี่ยเลี้ยงอันนี้ก็เกรงว่าภาพลักษณ์ของผมจะเสียหายย่อยยับเลยต้องเก็กใสซื่อพลิกตัวกลับไปสบตามันแล้วถามเหมือนหนูไม่รู้ หนูไม่เข้าใจ นี่มันคือกล่องอะร้ายยยย..



   “ปากถาม แต่ตานี่บอกเลยว่าอยากได้” ไอ้หล่อย้อนกลับยิ้มๆ



“ก็อยากได้หมดแหละ ถ้าผัวขี้เหนียวควักตังค์ซื้อให้” โทษฐานที่เดาใจกูออก โดนกัดไปสักดอกละกันนะมึง



ไอ้พี่ธันหัวเราะเบาๆแล้วขยี้หัวผมจนหัวจะฟูสมชื่อถ้วยฟูอยู่แล้ว ผมเกรงว่าหากปล่อยให้มันขยี้ไม่หยุดผมอาจจะต้องนั่งรถไฟกลับโรงแรมแบบหมดหล่อสาวญี่ปุ่นไม่เหลียวแล เลยยกมือปัดมือมันออก แล้วคิดว่าคนอย่างไอ้พี่ธันจะยอมให้ปัดมือมันออกจากหัวผมมั้ยครับ? ไม่! ตอบเลยว่าไม่! มันเบี่ยงมือหลบไปหลบมา ผมก็ปัดไปปัดมาเหมือนปัดแมลงวันออกจากหัวตัวเองนั่นแหละ



แต่...ปัดไปปัดมามือผมดันพลาดไปปัดโดนมือไอ้พี่ธันข้างที่ถือกล่องนั่นดังผลัวะ! และหลังเสียงดังผลัวะคือกล่องเล็กๆที่ประเมินราคาไม่ได้เพราะยังไม่ทันได้เปิดดูข้างในก็พลัดหลุดมือหล่นลงสู่ทิวไม้ใต้ระเบียงเบื้องล่าง



...หายวับไปในความมืดราวกับเล่นกล!!!!....



“เฮ้ยยยยยยยยยยย!!” ผมร้องเสียงดังลั่นด้วยความตกใจ อ้าปากค้างตาโต สมองรอยหยักน้อยประมวลผลอย่างรวดเร็วว่าต้องลงไปเก็บ!!! แม้จะต้องเหาะลงไปก็ต้องรีบลงไปเก็บเดี๋ยวนี้!!!!



กำลังจะสบัดตัวให้หลุดออกจากอ้อมอกแข็งแกร่งของสุดหล่อเพื่อถลาลงบันไดไปตามเก็บเพราะงานนี้อกแข็งแรงนี่สู้ไม่ได้กับของมีค่าในกล่องเมื่อกี้เลยแม้แต่น้อย   



   “ถ้วยฟู เดี๋ยวก่อน” แต่ไม่ทันจะขยับไปได้ไกล แขนผมก็ถูกรั้งเอาไว้



   “ไม่เดี๋ยวแล้ว!!! เกิดมีคนมาเก็บได้จะทำไง!!!” นั่นมันโรเล็กซ์เชียวนะเว้ย!!!! โรเล็กซ์เชียวนะมึง!!!!



   “ในนั้นไม่มีอะไรหรอก”



   “ไม่มีอะไรได้ไง!! นั่นมันกล่องโรเล็กซ์...” กำลังจะโวยวายอย่างร้อนใจ ของแพงที่อุตส่าห์ได้รับจากมันยังไม่ทันจะได้ยลโฉมจะมาพลัดพรากจากกันแบบนี้ไม่ได้!! เทวดาฟ้าดินอย่าใจร้ายกับลูกเล้ย!! ผัวขี้เหนียวไม่ได้ใจดีซื้อของแพงมาเซ่นไหว้กันบ่อยๆนะเว้ยยยยย



   “นั่นมันกล่องเปล่า”



   คำพูดของไอ้พี่ธันทำเอาผมชะงัก



   ...อะไรนะ!! กล่องเปล่า!!! หนอยยยย!! กูว่าแล้วเชียวว่ามึงที่ขี้เหนียวขนาดนี้จะใจป้ำซื้อของแพงมาสังเวยกูได้ยังไง!!!...



   “ของน่ะอยู่นี่” หลังจากก่นด่าในใจไปอย่างรวดเร็ว ไอ้พี่ธันก็ควักนาฬิกาขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง



   “อ้าว...”



   มันดึงผมกลับเข้าไปอยู่ในอ้อมอกอันอบอุ่นของมันตามเดิม แล้วบรรจงสวมนาฬิกายี่ห้อแพงเข้าที่ข้อมือข้างซ้ายของผม สัมผัสเย็นๆของตัวเรือนส่งขึ้นมาถึงขั้วหัวใจให้ผมสงบลงอย่างรวดเร็ว



   ...ก็แหงสิ! นาฬิการาคาแรงอยู่ดีๆก็ลอยมาเข้ามือแบบนี้ยิ่งกว่าถูกหวยซะอีก!!!...



   “ตอนแรกตั้งใจจะเซอร์ไพรส์ กะว่าให้เปิดมาเจอแต่กล่องเปล่าๆแล้วถ้วยฟูคงโวยวายว่านาฬิกาหาย ไม่คิดว่าจะถูกเซอร์ไพรส์เองแบบนี้” อย่าว่าแต่มึงเลย วินาทีที่กล่องหล่นหายไปในความมืด กูก็แทบทรุดยิ่งกว่าสมัยเด็กๆที่แม่เห็นสมุดพกซะอีก...



   “อันนี้ก็อย่าทำตกหายไปแบบกล่องล่ะ” มันหมุนนาฬิกาบนข้อมือผมไปมา นาฬิกาสีเงินเรียบๆแบบผู้ชายแต่แค่มองดูผมก็รับรู้ถึงความรักจากไอ้พี่ธันใส่ลงไปอย่างสุดซึ้ง อะฮิ้ววววว...



   “ซื้อให้เนื่องในวันอะไรเนี่ย ไม่ใช่วันเกิดสักหน่อย”



   “ก็...อยากให้” คำตอบโคตรหล่อเลยพ่อเจ้าพระคุณรุนช่อง อยากให้ก็เลยซื้อให้ เหมือนจะบอกว่าให้ด้วยใจไม่ต้องมีข้ออ้างเนื่องในโอกาสสำคัญใดๆ อู้ยยยย...ชาติที่แล้วกูทำบุญมาด้วยอะไรชาตินี้ถึงมีผัวดีเลิศประเสริฐศรีขนาดนี้!!



   ผมหมุนตัวหันหลังให้มันเพราะต้องแอบกลั้นยิ้มจนแก้มตุ่ย ปลื้มใจสุดฤทธิ์กับของขวัญที่ได้รับและเหตุผลที่มันซื้อให้ ก่อนจะยิงคำถามต่อสร้างความโรแมนติกไปในตัว



   “แล้ว...ทำไมซื้อนาฬิกาให้อ่ะ” ผมถามมัน แผ่นหลังผมแนบสนิทไปกับอกของมัน หัวใจสงบสุขอีกครั้งในอ้อมกอดของสุดที่รักที่เพิ่งใจป้ำมอบนาฬิการาคาแพงให้เป็นของขวัญ



   ...นาฬิกา...ตัวแทนของเวลา...เวลาของเราสองคนที่จะเดินไปพร้อมๆกันนับจากนี้และตลอดไป...วิ้ววววว!! ปวินยอมเป็นตุ๊ดเพราะความหมายของนาฬิกามันช่างโรแมนติกจับจิตตุ๊ดจริ๊งงงงง!!!...



   “เวลานัดกับใครจะได้มีนาฬิกาไว้ดูไง ได้ไม่เลท” แต่คำตอบที่ได้กลับมา ทำเอาตุ๊ดปวินเงิบเล็กๆจนต้องเอี้ยวหน้าหันกลับไปมอง



   ...มันกำลังจะโรแมนติกอยู่แล้วเชียว มึงเข้าใจมั้ยว่าเวลานี้ที่มีแค่เราสองและมึงก็เพิ่งให้นาฬิกากูมาหมาดๆท่ามกลางบรรยากาศโคตรดี แม้ไม่มีดนตรีไพเราะเป็นซาวด์แทร็กแต่ฟีลมันโรแมนติกมากๆ!! มึงควรจะพูดจาให้มันหวานหูให้สมกับกาลเทศะสิวะ!! รู้จักมั้ย?!! กาลเทศะอ่ะ!! ไม่ใช่มาพูดจาเป็นนักวิชาการอ้างประโยชน์ใช้สอยของของที่มึงให้!!!...



   ดูเหมือนมันจะมองหน้าตาเอือมระอาของผมออก เพราะไอ้พี่ธันหัวเราะเบาๆ แล้วโยกตัวผมไปมาเหมือนโอ๋เด็กสามขวบ



“ล้อเล่นหน่า ตอนแรกจะซื้อแหวน แต่ถ้วยฟูไม่ชอบใส่แหวน ก็เลยซื้อนาฬิกาให้” แน่สิมึง...ขืนใส่แหวนเดี๋ยวกลายเป็นประเด็น คนอื่นจะรู้เอาได้ว่ากูมีผัวเป็นของตัวเองแล้วเรตติ้งกูก็ตกพอดี...



   ผมรู้สึกถึงวงแขนที่โอบเข้ามากอด มันวางคางลงบนไหล่ของผม ก่อนที่มันจะเปิดแขนเสื้อข้างซ้ายของมันให้ผมเห็นนาฬิกาที่ข้อมือของมันซึ่งเหมือนกับเรือนที่มันเพิ่งให้ผมเมื่อกี้ แล้วเสียงทุ้มๆก็ดังที่ข้างหู



   “พี่รู้ว่าถ้วยฟูไม่ชอบใช้ของเหมือนใคร แต่พี่อยากใช้นาฬิกาแบบเดียวกับถ้วยฟู”



   ผมมองนาฬิกาบนข้อมือของมัน แล้วยกข้อมือตัวเองขึ้นเทียบ นาฬิกาแบบเดียวกัน ขนาดเดียวกัน และเข็มที่กระดิกไปพร้อมๆกัน



   ...ผมไม่รู้ว่ามันรู้สึกยังไงตอนซื้อ ไม่รู้ว่ามันรู้สึกยังไงตอนก่อนจะให้ มันสวมนาฬิกาของมันมาตั้งแต่เช้าหรืออาจจะตั้งแต่เมื่อวานนี้ ผมนึกออกแล้วว่าเมื่อวานที่ผมเห็นมันเอาอะไรบางอย่างใส่ในกระเป๋าเป้มันก็คือไอ้กล่องโรเล็กซ์นั่น มันคงคิดจะให้ผมมาตั้งแต่เมื่อวาน แต่ไม่มีโอกาส รอจนกระทั่งวันนี้ และเพราะเสื้อหนังแขนยาวทำให้ผมไม่ได้ใส่ใจจะดูว่านาฬิกาของมันเปลี่ยนไป



...มันจะตื่นเต้นรึเปล่า มันจะลนลานบ้างมั้ย มันจะกลัวผมเห็นก่อนมันจะให้รึเปล่า ผมไม่รู้...สิ่งเดียวที่รู้คือ...ไม่ว่าของที่มันให้จะมีราคาค่างวดเหรือไม่ ไม่ว่าของที่มันให้จะเป็นอะไร...แต่ทุกอย่างที่ผมได้รับ ล้วนมาจากใจของมันเสมอ...



   ผมพลิกตัว หันกลับไปซุกหน้าลงกับอกมัน สองแขนกอดรัดเอวมัน มือข้างขวากำข้อมือข้างซ้ายของตัวเองแน่น ฝ่ามือรับรู้ถึงเนื้อสัมผัสเย็นๆของนาฬิกาที่ได้รับจากมันแล้วหัวใจก็สั่นเหมือนตีกลอง



   “ถ้วยฟู...ร้องไห้ทำไม” เสียงของมันยังดังข้างหูผมอย่างอ่อนโยน ผมอยากบอกมันว่าผมไม่ได้ร้องไห้ ผมแค่น้ำตาไหล...แค่น้ำตาไหลเท่านั้นเอง...แต่ผมพูดไม่ออก คอตีบตันไปหมด



   “นาฬิกา...ชอบรึเปล่า” มันยังถามผมอีก ผมอยากบอกว่าชอบ...ชอบมาก...แต่แค่อ้าปากก็เอาแต่สะอื้น เลยได้แต่พยักหน้ากับอกมัน อ้อมกอดของมันโอบรัดแน่นจนผมแทบจะไม่รับรู้ถึงลมหนาวที่พัดผ่าน



   “พี่รักถ้วยฟูนะ” ผมอยากบอกว่าผมเองก็รักมัน แต่...แค่ได้ยินเสียงมัน แค่ได้รับรู้ถึงความอ่อนโยนของมันที่ไม่เคยหายไปตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก็ยิ่งทำให้น้ำตาผมไหลมากกว่าเดิม ผมได้แต่พยักหน้ารัวๆกับอกมันเหมือนเดิมเพื่อจะบอกว่าผมรู้ว่ามันรักผมและผมเองก็รักมันเหมือนกัน



   ...ผมรักมัน...รักมันไม่ว่ามันจะเป็นยังไง...ไม่ว่ามันจะดุผมสักเท่าไหร่...ต่อให้มันไม่ซื้ออะไรให้ผมเลยผมก็รักมัน รักมันที่มันอ่อนโยนกับผม รักมันที่มันทำทุกอย่างให้ผม...ผมรักมันจริงๆ...



   “ถ้วยฟูก็รักพี่ใช่มั้ย ถ้าอย่างนั้น...อยู่กับพี่ไปนานๆนะถ้วยฟู” ผมกลืนก้อนสะอื้นลงในคอ ก่อนจะตอบมันกลับไปด้วยเสียงอู้อี้   



   “จะอยู่ด้วยไปจนแก่เลย...”



   เป็นคำสัญญาต่อนาฬิกาและหยาดน้ำตา



   ...ผมรักผู้ชายคนนี้...ผู้ชายที่ชื่อธันวา...





つづく

เจอกันพุธหน้าค่ะ



วันนี้รู้สึกเหมือนอากาศอบอ้าวมากเลย มึนหัวมากจนต้องพึ่งไทลินอล ตอนที่อ่านแก้คำผิดนี่พยายามมโนว่าตัวเองอยู่ในโตเกียวตอนหน้าหนาวด้วยล่ะ ฮ่าฮ่า

บัวไปปั่นพาร์ท 4 ก่อน ดองมาสัปดาห์นึงแล้ววว

ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์ คนติดตาม และพื้นที่บอร์ดเช่นเคยค่ะ

ออฟไลน์ punthipha

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-0
   “จะอยู่ด้วยไปจนแก่เลย...”  :mew1: :mew1: :mew1: :man1: :man1: :man1:

ออฟไลน์ Maewjunsu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 325
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
โอ้ยยยยพี่ธันทำซึ้งทำเอาเกือบร้องไห้ตามถ้วยฟูไปด้วยเลย ขอพูดเหมือนเดิมว่าอิจฉาถ้วยฟูที่ได้ปั๋วโคตรๆดีอย่างพี่ธัน

ออฟไลน์ emmybblood

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2
หวานแรกของคู่นี้ รู้สึกงั้นนะ

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
อยู่ด้วยกันไปตลอดนะ ธันวาถ้วยฟู :กอด1:

อ่านตอนนี้ทั้งขำทั้งซึ้งเลย มันเป็นเพราะโรเล็กซ์จริงๆเชียว :hao7:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ปลื้มปริ่ม มันหวานอะ นานๆจะได้เห็นที

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด