NOV: รักนี้...ลินกับฟัน
By: Dezair
ตอนพิเศษ…รักนี้…อินโตเกียว!!
..............................................
3.1
แหม แหม...หวานน้ำตาลในเลือดพุ่งสมกับที่ฟาดบุฟเฟ่ต์เค้กมาใช่มั้ยล่ะครับ! นานๆทีผมก็อยากจะปฏิญาณรักบ้างอะไรบ้าง เอาล่ะ หลังจากทำมิชชั่นทัวร์ของเล่นไปเป็นที่เรียบร้อย ผมก็ฟาดกันดั้มออกมาจากโซนขายของเล่นชนิดที่ไอ้เด็กญี่ปุ่นแถวนั้นเงยหน้ามองผมอ้าปากค้างด้วยความอิจฉา
งานนี้ผัวไม่ดุแม้ว่าผมจะซื้อมาเยอะมากกกกก...แต่มันแค่แนะนำมาประโยคเดียว
“ถ้าเยอะเกินกว่าจะเอาขึ้นเครื่อง พี่จะจับโหลดให้หมด” นี่มึงจะโหดร้ายกับกันดั้มของกูมากไปแล้วนะ!! ถึงขนาดจะยัดลงกระเป๋าเดินทางให้มันกลิ้งกุ๊กๆอยู่ใต้ท้องเครื่องบินเชียวเหรอวะ!!!
แม้จะมึนตึงเพราะปากมันเล็กน้อย แต่เนื่องจากอยู่นอกประเทศ ไอ้ผมจะทำตัวซ่ากับมันก็ใช่ที่ ยิ่งเวลาที่ต้องอาศัยแรงมันให้ช่วยหิ้วด้วยแล้ว อย่าทำตัวให้มันหมั่นไส้เป็นดีที่สุด
และเพื่อให้มันอารมณ์ดีตลอดศกแม้ว่าผมจะกวนตีนเพียงใด ผมก็เลยเสนอแนะให้เราแวะเข้าไปหาอะไรรองท้องในร้านเบอร์เกอร์แห่งโลกใบนี้อย่างแมคโดนัลล์กัน ก่อนที่จะเอาของกลับไปเก็บที่โรงแรม แล้วค่อยออกมาเที่ยวอีกรอบ เพราะตอนนี้เป็นเวลาสามโมงเย็นนิดๆแล้ว บุฟเฟ่ต์เค้กที่กินไปตอนสิบเอ็ดโมงโดนย่อยจนกลายเป็นกากน้ำตาลตั้งแต่ผมยืนเลือกกันดั้มกล่องที่ห้าแล้วล่ะครับ
“ถ้วยฟู กินอะไร”
เข้ามายืนในร้านเบอร์เกอร์ตัวเอ็มได้ ไอ้หล่อก็หันมาถามผม แหม...จะอวดว่ามึงพูดภาษาอังกฤษสั่งอาหารเป็นใช่มั้ยล่ะ! ไม่ต้องเว้ย! ระดับนายถ้วยฟูผู้เป็นแฟนคลับร้านเบอร์เกอร์ร้านนี้มาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยแถมยังมีสกิลภาษาอังกฤษดีเลิศพร้อมต้อนรับนานาชาติอาเซียนน่ะสั่งอาหารนอกประเทศเองได้!!
ผมยืดอกอย่างโคตรเท่ห์ก่อนจะหันไปส่งเสียงใส่พนักงานชาวญี่ปุ่นที่ยืนอยู่หลังเคาท์เตอร์อย่างคล่องแคล่วดูแล้วแม่งใครต่อใครต้องอิจฉาไอ้พี่ธันที่ได้แฟนอย่างผมแน่นอน!!
“ไอ ว้อนท์ ซามูไร พอค!” แปลได้ใจความว่ากระผมอยากได้เบอร์เกอร์ซามูไรหมูฉึกๆ!!
ทว่า...แม้จะส่งสำเนียงภาษาอังกฤษออกไปแบบจัดเต็ม แต่กลับเกิดเป็นความกริบสิบหกทิศรอบตัวผม พนักงานสาวมองนายถ้วยฟูคนนี้ตาแทบถลนอย่างที่ผมไม่เข้าใจว่าจะถลนไปทำไม? หรือคิดว่าคนหน้าตาดีอย่างผมจะต้องกินแต่เนื้อกิโลละหมื่นแปด แดกเศษเนื้อบดเอาขนมปังประกบไม่เป็น โน้ววววว!!!...ถึงจะหน้าตาดีมาตั้งแต่ออกจากท้องแม่ แถมมีผัวรวยเว่อร์ๆ แต่ผมก็กินง่ายอยู่ง่ายไม่เรื่องมากนะครับ!! แหม้! พูดไปแล้วก็รู้สึกว่าไอ้พี่ธันมันช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้คนหน้าตาดี มีหัวใจประเสริฐ แถมเลี้ยงดูง่ายอย่างผมเป็นแฟน
“S…Samurai?!!” น้องนางพนักงานญี่ปุ่นย้อนถามด้วยน้ำเสียงตกใจไม่แพ้การทำตาถลน ตอนนี้ดวงตาคู่สวยๆของน้องเขายังถลนจ้องผมอยู่เลย นี่ตกใจจริงจังมากเลยนะเนี่ย
“เยส! ซามูไร พอค!!!” ผมตอบกลับไปอย่างมั่นอกมั่นใจ แม้จะแอบคิดเล็กน้อยว่าอาจจะเรียงประโยคผิด แต่ผมว่ามันก็ไม่น่าจะผิด ถึงภาษาอังกฤษของผมจะป่วยเล็กน้อย แต่ตอนซื้อของที่วัดอาซาคุสะก็พิสูจน์แล้วว่าผมสื่อสารกับคนประเทศนี้ได้!!
พนักงานยังคงทำตาโตอ้าปากค้าง ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงจากไอ้หล่อข้างกายดังขึ้นเบาๆ
“ถ้วยฟู...ก่อนสั่งน่ะดูเมนูรึยัง”
“ดูเมนู? ทำไมต้องดู? แมคขายเบอร์เกอร์ไง เรื่องนี้เขารู้กันทั้งโลก” ผมหันไปตอบมัน แต่ไอ้พี่ธันกลับส่ายหน้าระอา
“แมคขายเบอร์เกอร์น่ะใช่ แต่เบอร์เกอร์ซามูไรหมูไม่มีขายที่นี่”
...อะไรนะ?!!!!...ซามูไรหมูไม่มีขายที่นี่!!!!...
จากตาตี่กลายเป็นตาเหลือก ผมเหลือบตาโตๆขึ้นไปมองที่ป้ายเมนูด้านหลังพนักงานทันที กวาดตาดูตั้งแต่ป้ายแรกยันป้ายสุดท้ายแล้ววกจากป้ายสุดท้ายกลับไปที่ป้ายแรกก็พบว่า...พบว่าไม่มีซามูไรหมูขายเหมือนเมืองไทย!!!!...ทำไมล่ะ! ที่นี่คือโตเกียว! ที่นี่คือญี่ปุ่น!! แล้วทำไมที่ญี่ปุ่นถึงไม่มีซามูไรหมูขาย แต่เมืองไทยมี!!!!...
สายตาของผมตกลงมาสบกับสายตาของพนักงานสาวชาวญี่ปุ่นที่มองผมอย่างเอ๋อๆ ผมเองก็เอ๋อไปเหมือนกัน งานนี้เรียกหน้าแตกนอกประเทศแบบโคตรน่าอายชนิดอยากกลับเมืองไทยด่วนจี๋เลยทีเดียว!
ผมได้แต่ส่งยิ้มแหยๆให้พนักงาน ก่อนจะรีบกระดึ้บไปหลบหลังไอ้หล่อ แล้วกระซิบบอกมันเป็นการผลักภาระ
“สั่งเผื่อด้วยแล้วกันนะ” บอกแค่นั้นผมก็รีบเผ่นแน่บไปหาโต๊ะนั่งที่ไกลจากเคาท์เตอร์สั่งอาหารให้มากที่สุด พร้อมด้วยบทเรียนราคาแพงจากแดนอาทิตย์อุทัยที่ผมจะเก็บเอาไว้ในใจและจะไม่แพร่งพรายบอกลูกหลานแน่นอน
...เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าซามูไรหมูไม่มีขายในประเทศที่มีซามูไร...เข้าใจตรงกันนะ!...
....................................
หลังจากปรากฏการณ์ ‘ซามูไร พอค’ ที่ผมทำให้คนเมืองซามูไรงงเป็นไก่ตาแตกแล้ว ผมกับไอ้พี่ธันก็พากันหอบหิ้วกล่องกันดั้มกลับมาเก็บที่โรงแรมก่อน ตอนแรกผมมีแพลนว่าจะอยู่ที่ร้านขายของเล่นจนเย็นและเดินเล่นแถวชินจูกุจนมืด แต่พอดีของเล่นที่ผมซื้อมามันทำให้เราเดินเล่นค่อนข้างลำบาก แล้วไหนๆก็ออกจากชินจูกุมาแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนแผนกะทันหัน
“แล้วเดี๋ยวเราไปไหนต่อ” เก็บของ เข้าห้องน้ำเรียบร้อย ไอ้พี่ธันก็เดินไปค้นอะไรสักอย่างในกระเป๋าเดินทาง ปล่อยให้ผมนั่งพักเท้าอยู่บนเตียงไป
“พระราชวังอิมพีเรียล”
“ห๊ะ! ตอนนี้?!” มันหันมาย้อนถามเสียงตกใจ เหลือบตามองออกไปนอกหน้าต่างเห็นฟ้ายังไม่มืดเพราะเพิ่งจะสี่โมงหน่อยๆ แต่เพราะตอนนี้ที่นี่เป็นหน้าหนาว ไม่เกินหกโมงก็มืดราวกับทุ่มนึงเมืองไทย
“ใช่ แล้วก็แวะดูตึกแถวนั้นด้วยเลย” มีพรายกระซิบ เอ้ย! ไอ้โจกระซิบมาว่าแถวๆพระราชวังอิมพีเรียลนั้น เป็นย่านธุรกิจสำคัญ มีตึกสวยๆมากมายให้ได้ถ่ายรูปเก็บมาอวดทางบ้าน
ผมเห็นไอ้พี่ธันหยิบอะไรยัดใส่กระเป๋าเป้ของมัน แต่ก็ไม่ได้สนใจ มันเป็นพวกช่างดูแลอยู่แล้ว อาจจะเป็นผ้าพันคออีกผืน ถุงมือ ที่ปิดหู หรืออะไรก็ตามแต่ที่ถ้าหากผมเป็นอะไรขึ้นมามันจะจัดการผมได้โดยปลอดภัย
...เป็นไงล่ะ! อิจฉาความดีงามที่มันมีต่อผมล่ะสิ ฮี่ฮี่! เลือกผัวถูกก็แฮปปี้ตลอดชีวิตแบบนี้ล่ะครับ!...
เราสองคนออกจากโรงแรมอีกครั้งตอนใกล้จะห้าโมง นั่งรถไฟสายยามาโนเตะมาลงที่สถานีโตเกียวซึ่งเป็นสถานีโคตรใหญ่ชนิดว่าถ้าหลงกันที่นี่ก็กลับไปเจอที่โรงแรมเลยสถานเดียว
และเพราะว่ามันเป็นสถานีใหญ่ การจะหาทางออกจากสถานีไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับเมื่อประตูทางออกมีหลายทาง แถมแต่ละทางก็อยู่ห่างกันค่อนข้างไกล และไม่รู้ว่าจะด้วยโชคช่วยหรือบุญพาวาสนาส่ง มนุษย์นามว่าถ้วยฟูผู้นี้ก็พาผัวเดินหลงจนไปเจอเข้ากับ
...คาแรคเตอร์ สตรีท...
“อุว้าววววววว!!!...”
คาแรคเตอร์ สตรีทคือตรอกไม่เล็กชั้นใต้ดินติดกับสถานีรถไฟที่มีร้านขายของเล่นและร้านขายของพรี่เมียมจากภาพยนตร์ การ์ตูน และละครเรื่องดังที่มีฉายในโทรทัศน์ของญี่ปุ่นครับ!
...วินาทีที่ผมปรายสายตาไปทางซ้ายแล้วเห็นโมเดลตัวการ์ตูนจากหนังสือการ์ตูนเรื่องโปรด พอปรายมาทางขวาก็เห็นร้านขายกันดั้มอีก ผมก็รู้เลยครับว่าตอนที่โคลัมบัสค้นพบอเมริกานี่เขารู้สึกยังไง!!
...สุดจะบรรยาย!!! สุดจะบรรยายจริงๆ!!!!...
“มีกันดั้มขายอีกแล้....ว...” ผมกำลังจะถลาไปหาร้านขายกันดั้มแต่ถูกดึงแขนเสื้อเอาไว้ซะก่อน
“ไหนว่าจะไปพระราชวังอิมพีเรียล” ไอ้คนดึงเอ่ยปากถามเรียบๆ แต่กูเห็นหรอก...มึงแอบยิ้มที่มุมปากนะนั่น
“ไปตอนกลางคืนจะเห็นอะไรเล่า! เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าพามาใหม่อีกรอบก็ได้ ตอนนี้ขอดูของก่อนนะ” ราวกับองค์นักช้อปของคุณแม่ปานดาวสถิตอยู่ในร่าง ร้านค้าสองฝั่งทางเดินมีแต่ของน่าซื้อทั้งนั้น ทั้งตัวการ์ตูนจากละครเรื่องดัง ทั้งของเล่นสารพัดอย่าง เดินอยู่ครึ่งชั่วโมงก็ได้ของฝากติดไม้ติดมือมาเล็กน้อย...แฮะๆ...อย่าถามว่าเล็กน้อยนี่มันเยอะแค่ไหน...เอาเป็นว่าไอ้พี่ธันบอกว่า
‘พี่คิดว่าเราน่าจะซื้อกระเป๋าเดินทางอีกใบไปเลย’ ...แหม! ทำเป็นพูดประชด กูมันคนญาติเยอะโว้ย!! ก็ต้องมีของฝากคนนั้นคนนี้(และตัวกูเอง)มากมายเป็นธรรมดา!!...
นอกจากคาแรกเตอร์ สตรีทแล้ว ชั้นล่างถัดจากชั้นคาแรกเตอร์ สตรีทซึ่งอนุมานได้ว่าเจาะลึกลงไปใต้ดินเพิ่มอีกชั้นก็เป็นชั้นที่รวบรวมร้านอาหารเอาไว้มากมาย ทั้งร้านราเมงทีวีแชมเปี้ยน ร้านอาหารฝรั่ง สปาเก็ตตี้พิซซ่า หรือแม้แต่ร้านอาหารญี่ปุ่นก็มี บางร้านคนต่อแถวยาวเหยียดชนิดอ้อมไปอีกฝั่ง แต่เนื่องจากพวกผมขี้เกียจรอ และเริ่มหิว เราก็เลยเลือกร้านข้าวหมูทอดหรือทงคัตสึของโปรดของไอ้พี่ธันเป็นมื้อเย็น ก่อนที่จะได้ออกจากสถานีกันจริงๆแล้วล่ะครับ
............................
สรุปคือ...ไม่ได้ไปพระราชวังอิมพีเรียล เพราะไหนจะช้อปปิ้งรอบที่ร้อย ไหนจะกินข้าว เราก้าวเท้าออกมาจากสถานีโตเกียวก็ตอนที่ท้องฟ้ามืดสนิทไปแล้วเรียบร้อย ไม่ต้องเดินไปจนถึงพระราชวังก้รู้ดีว่าคงไม่เห็นอะไร ดังนั้น ตอนนี้เราก็เลยเดินชมไฟจากอาคารสูงต่างๆที่อยู่รอบสถานีแทน
“โอ้โฮ!!!” เสียงร้องของไอ้คนข้างกายทำเอาผมต้องเหลือบตามองตามมัน ถึงได้เห็นว่าสิ่งที่ไอ้แสบโอ้โฮคือไดโนเสาร์ตัวใหญ่ที่ถูกตั้งอยู่ในตึกใกล้ๆสถานี รอบสถานีโตเกียวเป็นอาคารสูงเพราะเป็นย่านธุรกิจสำคัญ บางตึกเป็นตึกออฟฟิศธรรมดา แต่บางตึกก็พอดูรู้ว่าเป็นห้างสรรพสินค้าด้วย อย่างเช่นตึกที่มีหุ่นไดโนเสาร์ตัวโตจัดโชว์อยู่นี่
“พี่ธัน เข้าไปถ่ายรูปกัน” ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นชื่อตึกอะไร แต่เห็นมีคนญี่ปุ่นหลายวัยยืนถ่ายกับหุ่นไดโนเสาร์ตัวใหญ่กันในนั้น ผมก็เลยเออออไปกับไอ้คนตื่นตาตื่นใจเหมือนกับเด็กได้ของเล่น
พวกผมถ่ายรูปกันพอเป็นพิธีแล้วก็ออกมาเดินชมบรรยากาศละแวกนี้ ซึ่งล้วนเป็นตึกสูงรูปร่างแปลกตา คนที่เดินแถวนี้มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นพนักงานกินเงินเดือนตามออฟฟิศในย่านนี้ ส่วนมากเป็นผู้ชายแต่ผู้หญิงวัยทำงานก็มีประปราย
“สวยดีเนอะ” ถ้วยฟูพึมพำเบาๆให้ได้ยินกันสองคน ผมหันมองมันแล้วได้แต่ยิ้มเห็นด้วย
“รู้เปล่า แถวนี้มีศาลของนักรบคนหนึ่งของญี่ปุ่นด้วยนะ นักรบคนนั้นถูกตัดคอที่ไหนสักแห่งในญี่ปุ่นนี่ล่ะ แต่หัวก็ยังบินกลับมาถึงโตเกียว ว่ากันว่านักรบคนนั้นแค้นมากที่ถูกฆ่า ทางการญี่ปุ่นเลยต้องสร้างสายรถไฟยามาโนเตะเป็นวงกลมเพื่อขังวิญญาณนักรบคนนั้นเอาไว้ในนี้ ไม่ให้ออกมาสร้างความเดือดร้อน แต่นักรบคนนั้นก็เป็นที่เคารพของคนที่นี่มากนะ แต่คนก็กลัว คนญี่ปุ่นนี่ประหลาดๆอ่ะ” มันเล่าหน้าตาดูจริงจัง
“รู้ได้ไง”
“ก็ถ้าเป็นคนขยันหาความรู้ใส่ตัว ก็จะรู้เรื่องพวกนี้” ไอ้แสบเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจจนจมูกจะชนท้องฟ้าอยู่แล้ว
“จริงอ่ะ”
“ไอ้โจเล่าให้ฟังอีกที มันบอกว่ามันอุตส่าห์หาเรื่องผีไว้เล่าให้พี่ปอมฟังตอนมาที่นี่ พี่ปอมจะได้ไม่กล้าแยกกับมัน” ไอ้แสบยอมเปิดปาก หน้าบูดซะจนผมหัวเราะแล้วโยกหัวมันเบาๆอย่างเอ็นดู เราสองคนเดินเรื่อยไปตามทางเดินริมถนน และคงเป็นเพราะอากาศหนาวๆ ไฟจากเสาที่สะท้อนกับกระจกตามอาคารสูง ถนนหนทางสะอาดสะอ้าน และเงียบสงบแม้จะอยู่กลางเมือง บรรยากาศดีๆที่ทำให้ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ไหล่เราสองคนชิดกัน และหลังมือของเราสองคนแตะกันโดยบังเอิญ
ผมจับมือมันเอาไว้ มือถ้วยฟูเย็นเฉียบเพราะมันไม่ยอมใส่ถุงมือ มันอ้างแต่ว่าไม่เท่ห์ ไม่หล่อ ซึ่งครั้งนี้ผมยอมให้มันรักเท่ห์รักหล่อไม่ยอมใส่ถุงมือเพราะนั่นคือโอกาสที่จะทำให้ผมได้จับมือมันแบบนี้โดยมีข้ออ้างและมันก็ไม่ดื้อดึงเอามือออกจากมือผมด้วย
“ไว้ปีหน้าเรามากันอีกนะ” อยู่ดีๆ ไอ้คนที่เดินกับผมเงียบๆก็เอ่ยปากขึ้นมา ทั้งๆที่ตายังมองไฟที่ประดับตามเสาและต้นไม้
“อืม” ผมอยากบอกมันว่าไม่ว่ามันจะอยากไปที่ไหน ผมก็อยากไปที่นั่นทั้งนั้น ขอแค่มีมันอยู่ข้างๆ ขอแค่มันมีความสุข ต่อให้ต้องไปที่ทุรกันดารแค่ไหน ผมก็พร้อมไปกับมันเสมอ
“ขอบคุณนะ” มันหันมาพูดแล้วยิ้มให้ผม รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของผมพองโตทุกครั้งที่เห็น รอยยิ้มที่บอกให้รู้ว่าถ้วยฟูกำลังดีใจ รอยยิ้มที่บอกให้รู้ว่าถ้วยฟูกำลังมีความสุข ผมชอบรอยยิ้มแบบนี้ ผมรักรอยยิ้มของถ้วยฟู
“พี่ธัน...” ผมได้ยินเสียงมันเรียกแผ่วๆตอนที่ผมก้มหน้าลงไปหามันแล้วแตะริมฝีปากลงกับริมฝีปากของมันเบาๆ
“...ตรงนี้มัน........” มันเป็นคนผละออกมาเตือนสติ ผมเหลือบตามองรอบกายเล็กน้อยแต่แถวนี้ไม่มีใครสักคนนอกจากพวกผมสองคน ผมก็เลยถือโอกาสก้มลงจูบมันหนักๆที่ริมฝีปากของมันอีกหนก่อนจะถอนออกมา
“ถ้างั้นกลับห้องกัน...” ผมก้าวขาออกเดินแต่ถ้วยฟูไม่ยอมเดินตามจนผมต้องหันกลับไปมอง มันก้มหน้านิ่งแล้วยื่นมือออกมาข้างนึง
“จูง...” มันพูดเหมือนออกคำสั่ง แต่ไม่ยอมสบตาผมสักนิด ท่าทางมันเหมือนเด็กๆเอาแต่ใจ แต่ก็เป็นการเอาแต่ใจที่น่ารักมากสำหรับผม
ผมเดินกลับไปจับมือมันมาซุกในกระเป๋าเสื้อหนังของผม พร้อมด้วยมือผมที่ยังคงจับกับมือของมันอยู่ในนั้น มันอุ่นจนแทบร้อน แต่ทั้งอย่างนั้นมือเราสองคนก็ยังประสานกันแนบแน่น ทั้งๆที่เราไม่มองหน้ากันเลยสักนิด ถ้วยฟูเอาแต่มองไฟถนนข้างทาง ในขณะที่ผมก็มองท้องฟ้าแคบๆเพราะอาคารสูงบดบัง
...และอาจจะเป็นเพราะท้องฟ้าแคบๆ ถึงยิ่งทำให้รู้สึกว่าเรามีกันแค่สองคน...ท้องฟ้าแคบๆที่มองไม่เห็นดวงดาว มองไม่เห็นดวงจันทร์ แต่ทั้งอย่างนั้น...มันก็เป็นท้องฟ้าที่โอบล้อมเราสองคนเอาไว้ให้อยู่ด้วยกัน ให้เดินไปด้วยกัน และให้เคียงข้างกัน...
...ท้องฟ้าแคบๆที่สร้างโลกเงียบๆให้เราได้อยู่กันสองคน...
...............................
ไม่ต้องบอกเนอะ...ว่ามาเที่ยวเมืองนอกแต่เสือกกลับห้องซะเร็วนี่กลับมาทำไม และผมก็หวังว่าทุกท่านคงจะไม่ให้ผมมานั่งเล่าเรื่องในมุ้งอะไรนั่น อย่างอแงครับ เกรงใจกันบ้าง ผมเป็นนางเอกนะครับ! นางเอกที่ดีก็ต้องรักษาภาพพจน์ ผมเล่าไม่ได้หรอกว่ามันจูบตรงไหน มันเลียตรงไหน มันชักกระตุกตรงไหน แล้วที่สำคัญผมเป็นลูกมีพ่อมีแม่ไม่ได้เกิดจากกระบอกไม้ไผ่ ทำอะไรก็ต้องเกรงใจคุณหญิงแม่คุณชายพ่อด้วย
แต่...ถ้าทุกท่านอยากรู้จริงๆ เอาเป็นว่าผมเล่าย่อๆแล้วกันนะ ก็...เอ่อ...ไอ้พี่ธันมันก็...มันก็อ่อนโยน อ่อนหวาน แต่พอจะถึงจุดจุดนั้น มันดันรุนแรงและก็เต็มไปด้วยพละกำลังอันมากมายที่จะทำให้ถ้วยฟูผู้บอบบางคนนี้หลอมละลายไปกับมัน อิ๊วววววซ์!! ง่ายๆว่าด้วยความเร่าร้อนของมายเลิฟนามว่าธันวา และเรือนร่างอันน่ารัญจวนของผม สุดท้ายมันก็เสร็จผมไปสามครั้ง เอ่อ...หมายถึง...เราเสร็จไปด้วยกันคนละสามครั้ง งานนี้ถ้าผมท้อง เรียกลูกในท้องผมว่า ‘น้องเจแปน’ ได้เลย
และหลังจากงานเมด อิน เจแปนแล้ว ไอ้พี่ธันก็ยังคงแรงดีไม่มีตกครับ มันสามารถนั่งตัวตรงเช็คของฝากทั้งหลายที่เราสองคนซื้อมาได้แบบไม่มีกังวลเรื่องสังขารเลยแม้แต่น้อย!!
“ขาดของใครบ้างอ่ะ” ไอ้ตัวผมที่ต้องรองรับอารมณ์ใคร่นั้นเหน็ดเหนื่อยสุดประมาณ(พูดแล้วน้ำตาจะเล็ด) ได้แต่นอนคว่ำหน้าบนเตียงคุยกับไอ้คนที่นั่งบนพื้นเช็คข้าวของ นอกจากของเล่นที่ซื้อจากร้านขายของเล่นในย่านชินจูกุแล้ว ผมซื้อพวกเครื่องสำอางบำรุงผิวอะไรพวกนั้นมาด้วย เผื่อเอาไว้ฝากพวกผู้หญิง
“ไม่ขาดแล้ว”
“อ้าว แต่ของป๋า แม่วิ พี่สิงห์ พี่ตุล ยังไม่ได้ซื้อเลยนะ” ผมย้อนถามมัน
“ก็ที่ถ้วยฟูซื้อเครื่องรางที่วัดนั่นไง”
“เฮ้ย! นั่นมันเครื่องรางเล็กๆน้อยๆเอง ให้แค่นั้นไม่ได้หรอก!!” ผมรีบบอก ขืนกลับประเทศไปพร้อมกับเครื่องรางติดไม้ติดมือไปฝากพ่อแม่สามีนี่เกรงว่าภาพลักษณ์ของผมจะกลายเป็นลูกสะใภ้ขี้เหนียวน่ะสิ!! เสียชื่อมีผัวรวยหมด!!!...
ดูเหมือนไอ้พี่ธันจะนิ่งไปนิด ก่อนที่รอยยิ้มบางๆจะจุดที่ริมฝีปากของมัน อ้าวเฮ้ย! มึงยิ้มอย่างงี้ทีไรกูเหนื่อยทุกทีเลยนะเว้ยเฮ้ย!
“อ...อะไร...อะไรอีกอ่ะ...” ผมถามมันหวั่นๆ เมื่อไอ้หล่อเริ่มขยับตัวเข้ามาใกล้ผมมากกว่าเดิม
“พรุ่งนี้ไปเที่ยวไหน” มันถามตอนที่พลิกร่างผมให้นอนหงาย แล้วคร่อมผมเอาไว้ครึ่งตัว...ฉิบหายล่ะ อย่าบอกนะว่า...
“ก...ก็...ก็...ก็พระราชวัง...กับ...เอ่อ...เอ่อ...โอไดบะ...”
“ไม่ต้องตื่นแต่เช้าก็ได้ใช่มั้ย”
“ง่า...ก็...ก็...เอ่อ...”
“ไม่ต้องตื่นเช้าก็ได้สินะ” กูยังไม่ทันตอบเลยโว้ย!!! แต่ไม่ทันแล้วครับ ถ้วยฟูตัวน้อยๆถูกไอ้พี่ธันเริ่มจัดการอีกรอบซะแล้ว
...หรือบางที...ผมควรตั้งเงื่อนไขกับมันไปเลย ถ้าหนึ่งครั้งต่อหนึ่งวัน ต้องพาผมกลับมาเที่ยวที่ญี่ปุ่นอีกรอบ ถ้าสองครั้งต่อวัน ต้องพาไปลอนดอน ถ้าสามครั้งต่อวัน ควบปารีสด้วย ถ้าสี่ครั้งต่อวันต้องพาบุกนิวยอร์ค ถ้าห้าครั้ง...มึงเอาโปรอันลิมิเต็ดไปเลยแล้วแลกกับการตามใจกู 365 วัน!!!!...แม่ง!! กูเป็นคนนะเว้ย ไม่ใช่ตุ๊กตายาง!!!!
...................................