NOV: รักนี้...ลินกับฟัน
By: Dezair
ตอนพิเศษ…รักนี้…อินโตเกียว!!
..............................................
4
เป็นทริปที่อุดมไปด้วยสารอาหารหลักสำหรับคนรักนะครับ แหมมมมม...ไม่อยากจะแซวตัวเองแต่ก็ต้องแซวสักหน่อยว่านอกจากความรักมุ้งมิ้งที่เรามอบให้กันแล้ว ยังมีความรักลึกซึ้งที่เราแสดงต่อกันอีกต่างหาก งานนี้ 7 วัน ณ โตเกียวคงจะเป็นอีกหนึ่งทริปในความทรงจำที่จะอัดแน่นอยู่ในสมองซีกซ้ายซีกขวาซีกหน้าซีกหลังกันเลยทีเดียว!!
หลังจากค่ำคืนบอกรักโคตรโรแมนติกที่โอไดบะ ผมก็ฉลองนาฬิการาคาแรงของขวัญจากไอ้พี่ธันตั้งแต่เช้าวันที่ 4 ของทริป ยอมรับแบบหล่อๆว่าเห่อนาฬิกาใหม่ชนิดอาบน้ำเสร็จยังไม่ทันใส่กางเกงในก็คว้านาฬิกามาใส่ก่อนแล้วล่ะครับ!
“วันนี้ไปไหน” ไอ้พี่ธันถาม ตอนที่เราฟาดขนมปังเป็นอาหารเช้ารองท้องอยู่ในห้องพัก ผมไม่ได้ซื้อบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าจากโรงแรม แล้วร้านอาหารส่วนใหญ่ก็มักเปิดสิบโมงหรือสิบเอ็ดโมงเป็นต้นไป อาหารเช้าของพวกเราก็เลยเป็นพวกของกินง่ายๆที่ซื้อได้จากมินิมาร์ทใกล้ๆ
“ไปอุเอโนะ จะได้ไปกินซูชิไหลๆ”
“ซูชิไหลๆ?”
“ซูชิที่ไหลมาตามสายพานไง” ไอ้หล่อส่ายหัวระอากับศัพท์วัยรุ่นของผม ก่อนที่เราสองคนจะยัดขนมปังเข้าปาก แล้วออกเดินทางไปยังสถานีอุเอโนะที่อยู่ใกล้ๆตอนเก้าโมงสี่สิบสองนาที (บอกเวลาโดยโรเล็กซ์ของปวินที่ได้รับจากธันวา อะฮิ้ววววววว)
…………………………………..
สถานีอุเอโนะอยู่ถัดจากสถานีใกล้โรงแรมของพวกผมเพียงแปบเดียวเท่านั้นเองครับ อาศัยรถไฟสายยามาโนเตะเช่นเดิมเนื่องจากราคาถูกกว่ารถไฟใต้ดินอีกทั้งยังให้วิวทิวทัศน์ไปตลอดเส้นทางเพราะมันวิ่งบนดิน แล้วก็สามารถไปสถานีหลักๆอย่างชินจูกุ ฮาราจูกุ โตเกียว อากิฮาบาระโดยไม่ต้องเปลี่ยนสายรถไฟให้ยุ่งยากด้วย
เป้าหมายหลักของผมที่มาที่นี่ก็อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าจะมากิน ‘ซูชิไหลๆ’ เพราะฉะนั้นพอออกมาจากสถานีรถไฟได้ ผมก็ข้ามมาฝั่งตรงข้ามเพื่อเดินไปยังตรอกขนาดใหญ่ชื่อ อาเมะโยโก ตามคำแนะนำของไอ้โจเจ้าของแพลนเที่ยวที่ผมจิ๊กของมันมาใช้
‘มึงออกมาจากสถานีอุเอโนะใช่มั้ย แล้วก็ข้ามมาฝั่งตรงข้าม เสร็จแล้วมึงก็เดินแถวนั้นอ่ะ มันมีร้านเยอะ เห็นร้านไหนมีรูปซูชิแปะหน้าร้านมึงก็เข้า’
...ช่างเป็นคำแนะนำที่แสดงถึงความเต็มใจในการแนะนำเป็นอย่างยิ่ง รับรองว่ากูจะต้องมีของฝากสะแด่วทรวงไปตอบแทนมึงแน่นอน! ฮึ!!...
แต่...ยังไม่ทันจะได้เดินหาร้านซูชิไหลๆสมกับที่ตั้งใจ อะไรบางอย่างก็กระแทกตาผมเสียก่อน
“เกาลัดดดดด...” แด่เหล่ากงเหล่าม่าที่เคารพรัก วันนี้เหลนถ้วยฟูเจอของโปรดของตระกูลเราด้วยคร้าบบบบ...
“ไม่กินซูชิไหลๆแล้วเหรอ” ไอ้หล่อรั้งเสื้อผมไว้แล้วตั้งคำถามให้ผมสำนึกไปถึงประเด็นที่เรามาอุเอโนะในวันนี้
“กิน แต่อันนี้เป็นออเดิร์ฟไง!” ผมรีบบอกลิ้นเกือบพันกับลิ้นไก่ ไอ้พี่ธันส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระถลาไปหาคนขายเกาลัดแล้วฟาดถุงใหญ่มาหนึ่งถุง
เกาลัดร้อนๆกินตอนหนาวๆแบบนี้แม่งโคตรฟินเลยครับ ผมจ่ายเงินปุ๊บแกะกินปั๊บ! และแน่นอนว่าประเทศแห่งการเซอร์วิสมายด์นั้น การซื้อเกาลัดแล้วขายแค่เกาลัดอย่างเดียว ย่อมไม่ใช่พี่ยุ่นครับ เพราะพี่แกแถมที่แกะเกาลัดอันเล็กๆเป็นแผ่นพลาสติกบางๆ ด้านหนึ่งเป็นรอยบุ๋มสำหรับใช้นิ้วกด อีกด้านเป็นซี่พลาสติกแหลมๆไว้เจาะเปลือกเกาลัดครับ และ...ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อคุณซื้อเกาลัดที่นี่ เขาจะแถมกระดาษเช็ดมือแบบซีลในซองพลาสติกอย่างดีมาให้ด้วย แหม้! นี่มันจะคิดถึงผู้บริโภคมากไปล่ะนะ!!
“อ่ะ” หลังจากส่งเข้าปากตัวเองไปสามเม็ด ผมก็แกะให้ไอ้หล่อกินมั่ง หลังจากเมื่อกี้มันเอาแต่สนใจร้านราเมงข้างๆร้านเกาลัด ซึ่งมีถ้วยราเมงชามเบ้อเริ่มที่มีตะเกียบคีบเส้นลอยอยู่กลางอากาศด้วยพลังเหนือธรรมชาติอะไรสักอย่าง
“อร่อยเนอะ วันจะกลับค่อยซื้อไปฝากแม่ ป๋าพี่ธันก็ชอบกินเกาลัดใช่เปล่า เดี๋ยวซื้อสองถุงเลย” ผมบอกมัน พอกินอะไรอร่อยๆแล้ว เราก็อยากเอากลับไปฝากคนทางบ้านนะครับ
“ยิ้มไรอีกล่ะ” ไอ้นี่เผลอเป็นไม่ได้ มองแล้วยิ้ม มองแล้วยิ้มตลอด...แล้วรอยยิ้มมึงนี่แม้แต่เด็กอนุบาลสามยังดูออกว่าเป็นรอยยิ้มแบบหวังในร่างกายกูชัดๆ!!!
“เปล่า แล้วเราจะเดินไปทางไหนต่อดี”
“ไปทางนี้แล้วกัน” ผมเห็นคลื่นมหาชนแห่ไปทางหนึ่ง ก็เลยเดินตาม และแน่นอนว่าไม่ผิดหวังครับ เพราะคลื่นมหาชนพาผมมาพบถนนคนเดินขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กที่มีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา แม้จะมองไม่เห็นป้ายบอกทาง แต่อะไรบางอย่างบอกผมว่านี่ล่ะ! เป้าหมายที่ผมพร้อมพุ่งชน!!
… อาเมะ โยโก!!!...
………………………………..
“ผลไม้น่ากินอ่ะ!!” ยังไม่ทันจะก้าวขาเข้ามาได้เกินสิบก้าว ไอ้แสบก็วิ่งถลาไปที่แผงขายผลไม้ซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายมือ ถนนคนเดินที่ถ้วยฟูพาผมมาเดินนั้น ดูท่าจะเป็นแหล่งที่มีชื่อเสียงพอสมควร เพราะมีผู้คนมากมายเดินกันขวักไขว่ ทั้งๆที่อากาศหนาวใช่ย่อย ทางด้านขวามือเป็นตึกขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ในขณะที่ทางซ้ายซึ่งเป็นจุดสนใจของไอ้แสบคือแผงขายผลไม้เมืองหนาว
“เดี๋ยวตอนกลับค่อยซื้อก็ได้มั้ง ยังไงก็ต้องกลับมาสถานีนี้ใช่มั้ย” ผมบอกมัน เพราะขืนซื้อผลไม้เดินไปเดินมาคงได้ช้ำกันพอดี
“อืม งั้นขากลับก็ได้”
“แล้ว...ที่นี่เรียกว่าอะไร” ผมถาม เพราะเห็นถ้วยฟูไม่เล่าเหมือนเคย ปกติไปเที่ยวที่ไหน มันมักจะอธิบายเรื่องราวสั้นๆของสถานที่นั้นให้ผมฟังด้วย บางเรื่องผมรู้มาแล้ว แต่ผมก็เออออทำเป็นไม่รู้ จริงๆแล้ว แค่มันพาผมไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ในโตเกียวได้หลายวันขนาดนี้ ผมก็ดีใจมากแล้ว เพราะนั่นหมายความว่ามันต้องทำการบ้านมาหนักมาก ว่าจะพาผมไปที่ไหน พาไปยังไง ไปแล้วจะกินอะไร ถ้าจะกลับ จะต้องกลับแบบไหน
ถึงผมจะชอบแซวมัน แกล้งมัน ดุมัน แต่...ผมยอมรับเลยว่าผมภูมิใจในตัวมัน ผมไม่คิดว่าทริปนี้ที่มันเป็นคนจัดตั้งแต่หาตั๋วเครื่องบิน หาโรงแรม วางแผนเที่ยวจะดำเนินไปได้ดีขนาดนี้
“อยากรู้เหรอ” ไอ้แสบเหลือบตามองเหมือนเล่นตัว
“อยากสิ”
“ถ้าเล่าแล้วห้ามขัดด้วย”
“ไม่ขัดหรอกหน่า เล่ามาเถอะ” ผมง้ออีกหน่อย มันก็ใจอ่อนเรียบร้อย
“ที่นี่เรียกว่าอาเมะโยโก ชื่อเต็มๆคือ...เอ่อ...อ่า...” มันเริ่มตะกุกตะกัก ผมรู้ว่ามันจำไม่ได้ แต่ผมแกล้งทำเป็นไม่สนใจอาการตะกุกตะกักของมัน เพราะอยากรู้ว่ามันจะแก้ตัวไปแบบไหน
“...เอ่อ...ชื่อเต็มๆ...ก็...อ่า...อาเมะ&@*)!โยโก...” จังหวะสวรรค์มาถึงตอนที่มันเดินผ่านร้านขายขนมร้านหนึ่งที่ตะโกนเสียงดังเซ็งแซ่เรียกลูกค้า ไอ้แสบเลยดำน้ำไปอย่างรวดเร็ว ผมอยากขำมันอยู่ แต่อุตส่าห์สัญญาไปแล้วว่าจะไม่ขัดมัน เลยต้องทำเป็นหันมองไปทางอื่นแล้วกลั้นยิ้ม ในขณะที่หูก็ฟังมันเล่าต่อ
“ชื่อเต็มๆมันยาว จากนี้จะเรียกสั้นๆว่าอาเมะโยโก ที่เรียกที่นี่ว่าอาเมะโยโกก็เพราะว่าช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่นี่มีของจากกองทัพอเมริกามาขายเยอะ คล้ายๆเป็นตลาดมืดนิดๆ อาเมะในชื่ออาเมะโยโกมาจากคำว่าอเมริกานี่ล่ะ” ผมหันไปพยักหน้ารับรู้ ไอ้แสบก็เชิดหน้าอวดภูมิโยนเกาลัดเข้าปาก เห็นแล้วหมั่นเขี้ยวอยากดึงจมูกมันจริงๆ
“แสดงว่าถนนตรงนี้ก็มีของขายมานานแล้วสินะ”
“ใช่แล้ว!” มันตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ ใจผมอยากจะถามต่อว่าสมัยก่อน แถวนี้ขายอะไร แต่คิดว่าไอ้แสบต้องไม่ได้หาคำตอบมาแน่ๆ และถ้าคำถามไหนที่มันตอบไม่ได้ ทางเลือกของมันมีสองอย่างคือมั่วคำตอบมาให้ผม กับทำมึนไม่ได้ยินคำถาม และถ้าผมขืนถามย้ำ รับรองว่ามันจะเหวี่ยงใส่ผมแน่นอน
อันที่จริง ผมก็อยากแกล้งถามคำถามที่มันไม่รู้คำตอบหรอกนะ แต่พอเหลือบเห็นมันเดินไปกินเกาลัดไปอย่างอารมณ์ดี ผมก็ไม่อยากให้มันทำคิ้วขมวดหน้าหงิกใส่เท่าไหร่ เอาไว้หมั่นไส้มันมากๆหน่อย แล้วค่อยหาเรื่องแกล้งมันก็ไม่สาย
เราสองคนเดินลึกเข้าไปในตรอกซึ่งยังคงมีคนหลั่งไหลเดินไปเดินมาทั้งๆที่อากาศหนาวจนแทบสั่น เสียงตะโกนเรียกลูกค้าจากพ่อค้าสองฝั่งถนนดังลั่น ข้าวของที่ขายในตรอกนี้มีตั้งแต่เสื้อผ้าเครื่องกีฬา นาฬิกา น้ำหอม เครื่องสำอาง เดินลึกเข้าไปอีกหน่อย ตรอกก็แยกเป็นสองทาง ทางหนึ่งดูเหมือนจะขายพวกของแห้งคล้ายๆเยาวราชบ้านเรา ส่วนอีกทางหนึ่งเป็นจำพวกร้านเสื้อผ้า และร้านอาหาร และเพราะเริ่มใกล้เที่ยงแล้ว เมื่อเช้าเราก็ทานมาแค่ขนมปัง เราก็เลยตัดสินใจเดินหาร้านซูชิตามที่ถ้วยฟูอยากกินเสียก่อน ซึ่งก็หาไม่ยากครับ เพราะแม้จะมีแต่ภาษาญี่ปุ่น แต่ก็มีรูปภาพติดอยู่หน้าร้าน บอกเมนูว่าซูชิที่จะเสิร์ฟบนสายพานนั้นมีซูชิหน้าอะไรบ้าง ถ้วยฟูตัดสินใจเลือกร้านหนึ่ง หลังจากเดินวนแถวนั้นแล้วเจอ 2-3 ร้าน
ร้านซูชิที่ถ้วยฟูเลือกเป็นร้านแคบๆที่มีสายพานวนเป็นวงกลมอยู่กลางร้าน พร้อมด้วยซูชิหลากหลายหน้าตาที่ไหลเป็นทาง ผ่านหน้าลูกค้าที่นั่งหันหน้าเข้าหาพ่อครัวซึ่งยืนอยู่กลางวงสายพาน เราสองคนเดินไปนั่งที่เก้าอี้ว่างสองตัว ตรงหน้ามีกระบอกใส่ตะเกียบและถ้วยซอสเปล่าวางเรียงเอาไว้ กระปุกใส่ขิงดอง กระปุกใส่วาซาบิ กระปุกใส่ผงชาเขียว และขวดซอสโชยุ ข้างๆมีที่กดน้ำร้อนและแก้วกระเบื้องสำหรับชาบริการตัวเอง ซึ่งแน่นอนครับว่าใครบางคนไม่เคยบริการตัวเองอยู่แล้ว
มันทำหน้าตาเหรอหรามองลูกค้าชาวญี่ปุ่นที่นั่งข้างๆมัน ดูเหมือนเจ้าถิ่นจะรู้ว่าเราสองคนเป็นชาวต่างชาติ เขาส่งยิ้มให้ก่อนจะหยิบแก้วออกมาใส่ผงชาแล้วกดน้ำร้อนก่อนจะส่งให้พวกผมคนละแก้ว
“แต๊งกิ้ว แต๊งกิ้ว!” มันยิ้มเผล่พร้อมขอบคุณคุณลุงสูงวัยชาวญี่ปุ่นที่มีน้ำใจคนนั้น คุณลุงหันไปชี้ที่ข้าวปั้นหน้าปลาแซลมอนที่กำลังไหลผ่านหน้ามันแล้วชูนิ้วโป้งเป็นสัญลักษณ์ ไอ้แสบก็รีบหยิบออกมาจากสายพานทันที
“อันนี้...โออิชิ...ใช่มั้ย” ผมไม่รู้ว่ามันไปเอาภาษาญี่ปุ่นมาจากไหน แต่ทันทีที่ลุงญี่ปุ่นได้ยินมันพูด เขาก็ร้องโอ้ออกมาพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง
“Oishii Oishii!!” มันหันมายิ้มให้ผมอย่างภาคภูมิใจ
“เก่งปะล่ะ คุยกะลุงรู้เรื่อง” ผมได้แต่หัวเราะ ไอ้แสบไม่ทันรอฟังคำเยินยอจากปากผมมันก็ควานเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูป และแน่นอนว่าใช้ลุงญี่ปุ่นให้ถ่ายรูปให้มันกับผมด้วย พรสวรรค์ด้านนี้ต้องยกให้มันจริงๆ
“ลุงถ่ายด้วยกันสิ เทค อะ พิคเจอร์ วิธ มี!” แล้วไอ้ถ้วยฟูก็ไม่ธรรมดาครับ มันหันไปชวนลุงญี่ปุ่นที่ท่าทางจะไม่เข้าใจภาษาอังกฤษให้ถ่ายรูปกับมัน ลุงมองหน้ามันงงๆ มันก็เลยชี้นิ้วไปที่ลุง ชี้นิ้วที่ตัวเอง แล้วชี้นิ้วมาที่ผม ก่อนจะสั่นโทรศัพท์ในมือเป็นเชิงให้ถ่ายรูปด้วยกัน ลุงญี่ปุ่นหัวเราะลั่น ก่อนจะหันไปเรียกพนักงานร้านมาช่วยถ่ายรูปให้เราสามคน
“แต๊งกิ๊ว แต๊งกิ๊ว” มันหันไปบอกพนักงานร้านที่ส่งโทรศัพท์คืน ก่อนจะหันไปทางลุงญี่ปุ่นแล้วชวนคุยอย่างสนิทชิดเชื้อ
“ลุง แต๊งกิ้ว...เจแปนนิสพูดว่ายังไง แต๊งกิ้วอ่ะ” คิดว่าลุงจะไม่เข้าใจคำถามมันใช่มั้ยครับ คนนึงพูดไทยคำอังกฤษคำ อีกคนฟังทั้งไทยทั้งอังกฤษไม่ออก ผมก็คิดว่างั้น...แต่...ผิดคาด...
“A-ri-ga-tou”
“อาริกาโต้ว?”
“Un! Arigatou”
“อาริกาโต้ววววว” มันลากเสียงยาวพยายามออกเสียงให้เหมือนเจ้าถิ่น ลุงหัวเราะแล้วชูนิ้วโป้งให้มันเป็นการชม ลูกค้าคนที่นั่งถัดจากลุงญี่ปุ่นชะโงกหน้ามาที่พวกผมบ้างแล้ว
“Where are you come from?” ผู้หญิงญี่ปุ่นวัยทำงานเป็นคนถามด้วยสำเนียงติดญี่ปุ่นเล็กน้อย
“ไทย!” ไอ้ถ้วยฟูตอบกลับไปพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง
“Oh Taiwan?” ลุงญี่ปุ่นคนเดิมย้อนถาม
“โน้ ไต้หวัน! ไทย!! ไทยแลนด์ แบ็งค็อก ตุ๊กตุ๊ก ต้มยำกุ้ง แอนด์ เอ่อ...โทนี่ จา! แอนด์ นิชคุณ!! ดู ยู โน้ว นิชคุณ! ไอ แอนด์ นิชคุณ คัม ฟรอม เดอะ เซม คันทรี่!!” คำขยายความทำเอาทุกคนเข้าใจในทันที ขนาดพ่อครัวที่ยืนอยู่หลังสายพานยังหัวเราะ แล้วแกก็ปั้นซูชิหน้าแซลมอนมาวางในจานไอ้ถ้วยฟูพร้อมกับรอยยิ้ม
“Service!”
ไอ้ถ้วยฟูตาโต ก่อนจะหันมากระซิบกับผม
“เซอร์วิสแปลว่าฟรีปะ”
“อืม”
“แน่นะ”
“ร้านนี้คิดตามจาน ถ้าได้มาชิ้นนึงโดยไม่มีจาน แสดงว่าไม่คิดเงิน” ผมบอก มันทำตาโตก่อนจะรีบหันไปประจบพ่อครัววัยปลายด้วยภาษาญี่ปุ่นที่เพิ่งเรียนมาเมื่อกี้
“อา&%#@โต้ววววววว!!!” เน้นคำท้ายเสียงดังเลยนะมึง จำตรงกลางไม่ได้สิท่า!!!
……...............................
>>>หน้าต่อไปค่ะ>>>