รักนี้...ลิ้นกับฟัน ตอน 28 ธันวา (อัพ 28/12/2016) หน้า 67
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รักนี้...ลิ้นกับฟัน ตอน 28 ธันวา (อัพ 28/12/2016) หน้า 67  (อ่าน 1062444 ครั้ง)

ออฟไลน์ boboaje

  • ไม่ชอบหวาน ชอบครบรส
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-4
 :hao5:  ซึ้งค่ะ ยิ่งตอนถ้วยฟูคิดว่าธันวา จะลนลานบ้างไหม กลัวความแตกรึเปล่านั้น อึก กาซิกกาซี้ ซึ้ง

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
อิจฉาถ้วยฟูอ่ะ ธันวาาาาาาา

ออฟไลน์ punchnaja

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +383/-5
มโนว่าหนาวในขณะที่ไทยร้อนโพดไม่ออกจริงๆ555

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
รักถ้วยฟูกับพี่ธันจังเลย
เจ็ดปีแล้วยังฮันนีมูนกันได้สวีทเพียงนี้

ออฟไลน์ cowinsend

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 463
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
อะฮิ้ววววว ซึ้งเลย เขิลอ่ะนะ

ออฟไลน์ taran

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 325
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
พี่ธัน!!! พระเอกตลอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด  :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ shijino

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
รักคู่นี้ ถ้วยฟูธันวา  :heaven

ออฟไลน์ kkmm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 357
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2

ออฟไลน์ Bejae

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-2
โหยยยย หวานกันเกินไปแล้ววววว
อิจฉาตาร้อนนนน  :ling1:

ออฟไลน์ urmein

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 871
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-2
โอ้ยๆๆ
หวานนนนนนน
อิจฉาคนมีแฟนขี้เหนียว ><

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ bpyt

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
แหมมมม!!! ฟูฟู ถ้าผัวอย่างพี่ธันเรียกว่าขี้งก คงไม่มีใครสปอร์ตแล้วในโลกนี้ 55

ออฟไลน์ omuya

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2023
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +121/-9
ถ้วยฟู คิดถึงนะ กลับมาครั้งนี้ ก็ยังประทับใจ ^^

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8

ออฟไลน์ kataiyai

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +170/-1
อดอิจฉาถ้วยฟูไม่ได้เลย

ได้สามีดีชะมัด

ออฟไลน์ cinquain

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-0
3.1 ถ้วยฟูเกรียนอย่างฮา
มา 3.2 ใจหายแว๊บพร้อมถ้วยฟูตอนปัดกล่องนาฬิการ่วง
ดีที่เป็นกล่องเปล่านะคะ ^^
แหม อยากเห็นรูปใส่นาฬิกาคู่มาตงิดๆเลยค่ะ  :mew3:

ออฟไลน์ chaWice

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-0
ขอบคุณ คุณบัว
ทุกตัวอักษรของคุณยังสร้างความรู้สึกดีๆทุกครั้งที่ได้อ่าน
ทำให้ตกหลุมรักในตัวละครนั้นๆได้เสม
รออ่านนิยายจากคุณอยู่ตลอดค่ะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
อิจฉาถ้วยฟู พี่ธันออกจะไม่งก ถ้างกป่านนี้ถ้วยฟูกินแกลบละจะ 555555 พี่ธันออกจะพระเอกกกกก

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
พี่ธันนี่เพอเฟ็คแมนจริงๆเลยให้ตายสิ
น่ารักสุดๆ
ถ้วยฟูนางโชคดีจริงๆ ฮ่าๆๆๆ

ขอบคุณพี่บัวด้วยนะคะ

 :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-08-2014 12:28:41 โดย Rafael »

ออฟไลน์ badcow

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-10
โอ๊ยๆๆๆๆ อิจฉานังหนู(?)ถ้วยฟูจริงๆว้อยยย

ออฟไลน์ saruttaya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 926
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
พี่ธันทำหวานอีกแล้ว  :o8:
ซึ้งใจไปกับถ้วยฟูด้วย

ออฟไลน์ nekko

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +422/-4
รักผู้ชายสองคนนี้มากๆๆๆๆๆๆๆๆ   :o8:

อ่านตอนนี้ด้วยความฮาและซึ้ง


ขอบคุณคุณบัว :กอด1: :L2:

ออฟไลน์ NewYearzz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +346/-2
อ่านแล้วหัวใจพองฟูแล่วหันดลีบมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า "แช้วเราจะเจอเมื่อไหร่"

ขอบคุณสำหรับอีกตอนพิเศษแสนน่ารักนะครับ :L2: :pig4:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ถ้วยฟู น่าร้ากกกกกก

ออฟไลน์ evilheart

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-3
พี่ธันว์จะได้กินถ้วยฟูกี่รอบนะ :hao6:

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
ทริปนี้หวานมากกกกกกก :o8:

ออฟไลน์ j4c9y

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +178/-7
หวานนนนนกว่าเครป มีค่ากว่าRolex

ออฟไลน์ Horizon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1731
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-22

ออฟไลน์ Dezair

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1543/-8
NOV: รักนี้...ลินกับฟัน
By: Dezair
ตอนพิเศษ…รักนี้…อินโตเกียว!!
..............................................

4



   เป็นทริปที่อุดมไปด้วยสารอาหารหลักสำหรับคนรักนะครับ แหมมมมม...ไม่อยากจะแซวตัวเองแต่ก็ต้องแซวสักหน่อยว่านอกจากความรักมุ้งมิ้งที่เรามอบให้กันแล้ว ยังมีความรักลึกซึ้งที่เราแสดงต่อกันอีกต่างหาก งานนี้ 7 วัน ณ โตเกียวคงจะเป็นอีกหนึ่งทริปในความทรงจำที่จะอัดแน่นอยู่ในสมองซีกซ้ายซีกขวาซีกหน้าซีกหลังกันเลยทีเดียว!!



   หลังจากค่ำคืนบอกรักโคตรโรแมนติกที่โอไดบะ ผมก็ฉลองนาฬิการาคาแรงของขวัญจากไอ้พี่ธันตั้งแต่เช้าวันที่ 4 ของทริป ยอมรับแบบหล่อๆว่าเห่อนาฬิกาใหม่ชนิดอาบน้ำเสร็จยังไม่ทันใส่กางเกงในก็คว้านาฬิกามาใส่ก่อนแล้วล่ะครับ!



   “วันนี้ไปไหน” ไอ้พี่ธันถาม ตอนที่เราฟาดขนมปังเป็นอาหารเช้ารองท้องอยู่ในห้องพัก ผมไม่ได้ซื้อบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าจากโรงแรม แล้วร้านอาหารส่วนใหญ่ก็มักเปิดสิบโมงหรือสิบเอ็ดโมงเป็นต้นไป อาหารเช้าของพวกเราก็เลยเป็นพวกของกินง่ายๆที่ซื้อได้จากมินิมาร์ทใกล้ๆ



   “ไปอุเอโนะ จะได้ไปกินซูชิไหลๆ”



   “ซูชิไหลๆ?”



   “ซูชิที่ไหลมาตามสายพานไง” ไอ้หล่อส่ายหัวระอากับศัพท์วัยรุ่นของผม ก่อนที่เราสองคนจะยัดขนมปังเข้าปาก แล้วออกเดินทางไปยังสถานีอุเอโนะที่อยู่ใกล้ๆตอนเก้าโมงสี่สิบสองนาที (บอกเวลาโดยโรเล็กซ์ของปวินที่ได้รับจากธันวา อะฮิ้ววววววว)



…………………………………..





   สถานีอุเอโนะอยู่ถัดจากสถานีใกล้โรงแรมของพวกผมเพียงแปบเดียวเท่านั้นเองครับ อาศัยรถไฟสายยามาโนเตะเช่นเดิมเนื่องจากราคาถูกกว่ารถไฟใต้ดินอีกทั้งยังให้วิวทิวทัศน์ไปตลอดเส้นทางเพราะมันวิ่งบนดิน แล้วก็สามารถไปสถานีหลักๆอย่างชินจูกุ ฮาราจูกุ โตเกียว อากิฮาบาระโดยไม่ต้องเปลี่ยนสายรถไฟให้ยุ่งยากด้วย



   เป้าหมายหลักของผมที่มาที่นี่ก็อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าจะมากิน ‘ซูชิไหลๆ’ เพราะฉะนั้นพอออกมาจากสถานีรถไฟได้ ผมก็ข้ามมาฝั่งตรงข้ามเพื่อเดินไปยังตรอกขนาดใหญ่ชื่อ อาเมะโยโก ตามคำแนะนำของไอ้โจเจ้าของแพลนเที่ยวที่ผมจิ๊กของมันมาใช้



   ‘มึงออกมาจากสถานีอุเอโนะใช่มั้ย แล้วก็ข้ามมาฝั่งตรงข้าม เสร็จแล้วมึงก็เดินแถวนั้นอ่ะ มันมีร้านเยอะ เห็นร้านไหนมีรูปซูชิแปะหน้าร้านมึงก็เข้า’



   ...ช่างเป็นคำแนะนำที่แสดงถึงความเต็มใจในการแนะนำเป็นอย่างยิ่ง รับรองว่ากูจะต้องมีของฝากสะแด่วทรวงไปตอบแทนมึงแน่นอน! ฮึ!!...



   แต่...ยังไม่ทันจะได้เดินหาร้านซูชิไหลๆสมกับที่ตั้งใจ อะไรบางอย่างก็กระแทกตาผมเสียก่อน



   “เกาลัดดดดด...” แด่เหล่ากงเหล่าม่าที่เคารพรัก วันนี้เหลนถ้วยฟูเจอของโปรดของตระกูลเราด้วยคร้าบบบบ...



   “ไม่กินซูชิไหลๆแล้วเหรอ” ไอ้หล่อรั้งเสื้อผมไว้แล้วตั้งคำถามให้ผมสำนึกไปถึงประเด็นที่เรามาอุเอโนะในวันนี้



   “กิน แต่อันนี้เป็นออเดิร์ฟไง!” ผมรีบบอกลิ้นเกือบพันกับลิ้นไก่ ไอ้พี่ธันส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระถลาไปหาคนขายเกาลัดแล้วฟาดถุงใหญ่มาหนึ่งถุง 



เกาลัดร้อนๆกินตอนหนาวๆแบบนี้แม่งโคตรฟินเลยครับ ผมจ่ายเงินปุ๊บแกะกินปั๊บ! และแน่นอนว่าประเทศแห่งการเซอร์วิสมายด์นั้น การซื้อเกาลัดแล้วขายแค่เกาลัดอย่างเดียว ย่อมไม่ใช่พี่ยุ่นครับ เพราะพี่แกแถมที่แกะเกาลัดอันเล็กๆเป็นแผ่นพลาสติกบางๆ ด้านหนึ่งเป็นรอยบุ๋มสำหรับใช้นิ้วกด อีกด้านเป็นซี่พลาสติกแหลมๆไว้เจาะเปลือกเกาลัดครับ และ...ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อคุณซื้อเกาลัดที่นี่ เขาจะแถมกระดาษเช็ดมือแบบซีลในซองพลาสติกอย่างดีมาให้ด้วย แหม้! นี่มันจะคิดถึงผู้บริโภคมากไปล่ะนะ!!



   “อ่ะ” หลังจากส่งเข้าปากตัวเองไปสามเม็ด ผมก็แกะให้ไอ้หล่อกินมั่ง หลังจากเมื่อกี้มันเอาแต่สนใจร้านราเมงข้างๆร้านเกาลัด ซึ่งมีถ้วยราเมงชามเบ้อเริ่มที่มีตะเกียบคีบเส้นลอยอยู่กลางอากาศด้วยพลังเหนือธรรมชาติอะไรสักอย่าง



   “อร่อยเนอะ วันจะกลับค่อยซื้อไปฝากแม่ ป๋าพี่ธันก็ชอบกินเกาลัดใช่เปล่า เดี๋ยวซื้อสองถุงเลย” ผมบอกมัน พอกินอะไรอร่อยๆแล้ว เราก็อยากเอากลับไปฝากคนทางบ้านนะครับ



   “ยิ้มไรอีกล่ะ” ไอ้นี่เผลอเป็นไม่ได้ มองแล้วยิ้ม มองแล้วยิ้มตลอด...แล้วรอยยิ้มมึงนี่แม้แต่เด็กอนุบาลสามยังดูออกว่าเป็นรอยยิ้มแบบหวังในร่างกายกูชัดๆ!!!



   “เปล่า แล้วเราจะเดินไปทางไหนต่อดี”



   “ไปทางนี้แล้วกัน” ผมเห็นคลื่นมหาชนแห่ไปทางหนึ่ง ก็เลยเดินตาม และแน่นอนว่าไม่ผิดหวังครับ เพราะคลื่นมหาชนพาผมมาพบถนนคนเดินขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กที่มีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา แม้จะมองไม่เห็นป้ายบอกทาง แต่อะไรบางอย่างบอกผมว่านี่ล่ะ! เป้าหมายที่ผมพร้อมพุ่งชน!!



   … อาเมะ โยโก!!!...





………………………………..



   “ผลไม้น่ากินอ่ะ!!” ยังไม่ทันจะก้าวขาเข้ามาได้เกินสิบก้าว ไอ้แสบก็วิ่งถลาไปที่แผงขายผลไม้ซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายมือ ถนนคนเดินที่ถ้วยฟูพาผมมาเดินนั้น ดูท่าจะเป็นแหล่งที่มีชื่อเสียงพอสมควร เพราะมีผู้คนมากมายเดินกันขวักไขว่ ทั้งๆที่อากาศหนาวใช่ย่อย ทางด้านขวามือเป็นตึกขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ในขณะที่ทางซ้ายซึ่งเป็นจุดสนใจของไอ้แสบคือแผงขายผลไม้เมืองหนาว



   “เดี๋ยวตอนกลับค่อยซื้อก็ได้มั้ง ยังไงก็ต้องกลับมาสถานีนี้ใช่มั้ย” ผมบอกมัน เพราะขืนซื้อผลไม้เดินไปเดินมาคงได้ช้ำกันพอดี



   “อืม งั้นขากลับก็ได้”



   “แล้ว...ที่นี่เรียกว่าอะไร” ผมถาม เพราะเห็นถ้วยฟูไม่เล่าเหมือนเคย ปกติไปเที่ยวที่ไหน มันมักจะอธิบายเรื่องราวสั้นๆของสถานที่นั้นให้ผมฟังด้วย บางเรื่องผมรู้มาแล้ว แต่ผมก็เออออทำเป็นไม่รู้ จริงๆแล้ว แค่มันพาผมไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ในโตเกียวได้หลายวันขนาดนี้ ผมก็ดีใจมากแล้ว เพราะนั่นหมายความว่ามันต้องทำการบ้านมาหนักมาก ว่าจะพาผมไปที่ไหน พาไปยังไง ไปแล้วจะกินอะไร ถ้าจะกลับ จะต้องกลับแบบไหน



   ถึงผมจะชอบแซวมัน แกล้งมัน ดุมัน แต่...ผมยอมรับเลยว่าผมภูมิใจในตัวมัน ผมไม่คิดว่าทริปนี้ที่มันเป็นคนจัดตั้งแต่หาตั๋วเครื่องบิน หาโรงแรม วางแผนเที่ยวจะดำเนินไปได้ดีขนาดนี้



   “อยากรู้เหรอ” ไอ้แสบเหลือบตามองเหมือนเล่นตัว



   “อยากสิ”



   “ถ้าเล่าแล้วห้ามขัดด้วย”



   “ไม่ขัดหรอกหน่า เล่ามาเถอะ” ผมง้ออีกหน่อย มันก็ใจอ่อนเรียบร้อย



   “ที่นี่เรียกว่าอาเมะโยโก ชื่อเต็มๆคือ...เอ่อ...อ่า...” มันเริ่มตะกุกตะกัก ผมรู้ว่ามันจำไม่ได้ แต่ผมแกล้งทำเป็นไม่สนใจอาการตะกุกตะกักของมัน เพราะอยากรู้ว่ามันจะแก้ตัวไปแบบไหน



“...เอ่อ...ชื่อเต็มๆ...ก็...อ่า...อาเมะ&@*)!โยโก...” จังหวะสวรรค์มาถึงตอนที่มันเดินผ่านร้านขายขนมร้านหนึ่งที่ตะโกนเสียงดังเซ็งแซ่เรียกลูกค้า ไอ้แสบเลยดำน้ำไปอย่างรวดเร็ว ผมอยากขำมันอยู่ แต่อุตส่าห์สัญญาไปแล้วว่าจะไม่ขัดมัน เลยต้องทำเป็นหันมองไปทางอื่นแล้วกลั้นยิ้ม ในขณะที่หูก็ฟังมันเล่าต่อ



“ชื่อเต็มๆมันยาว จากนี้จะเรียกสั้นๆว่าอาเมะโยโก ที่เรียกที่นี่ว่าอาเมะโยโกก็เพราะว่าช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่นี่มีของจากกองทัพอเมริกามาขายเยอะ คล้ายๆเป็นตลาดมืดนิดๆ อาเมะในชื่ออาเมะโยโกมาจากคำว่าอเมริกานี่ล่ะ” ผมหันไปพยักหน้ารับรู้ ไอ้แสบก็เชิดหน้าอวดภูมิโยนเกาลัดเข้าปาก เห็นแล้วหมั่นเขี้ยวอยากดึงจมูกมันจริงๆ



   “แสดงว่าถนนตรงนี้ก็มีของขายมานานแล้วสินะ”



   “ใช่แล้ว!” มันตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ ใจผมอยากจะถามต่อว่าสมัยก่อน แถวนี้ขายอะไร แต่คิดว่าไอ้แสบต้องไม่ได้หาคำตอบมาแน่ๆ และถ้าคำถามไหนที่มันตอบไม่ได้ ทางเลือกของมันมีสองอย่างคือมั่วคำตอบมาให้ผม กับทำมึนไม่ได้ยินคำถาม และถ้าผมขืนถามย้ำ รับรองว่ามันจะเหวี่ยงใส่ผมแน่นอน



   อันที่จริง ผมก็อยากแกล้งถามคำถามที่มันไม่รู้คำตอบหรอกนะ แต่พอเหลือบเห็นมันเดินไปกินเกาลัดไปอย่างอารมณ์ดี ผมก็ไม่อยากให้มันทำคิ้วขมวดหน้าหงิกใส่เท่าไหร่ เอาไว้หมั่นไส้มันมากๆหน่อย แล้วค่อยหาเรื่องแกล้งมันก็ไม่สาย



เราสองคนเดินลึกเข้าไปในตรอกซึ่งยังคงมีคนหลั่งไหลเดินไปเดินมาทั้งๆที่อากาศหนาวจนแทบสั่น เสียงตะโกนเรียกลูกค้าจากพ่อค้าสองฝั่งถนนดังลั่น ข้าวของที่ขายในตรอกนี้มีตั้งแต่เสื้อผ้าเครื่องกีฬา นาฬิกา น้ำหอม เครื่องสำอาง เดินลึกเข้าไปอีกหน่อย ตรอกก็แยกเป็นสองทาง ทางหนึ่งดูเหมือนจะขายพวกของแห้งคล้ายๆเยาวราชบ้านเรา ส่วนอีกทางหนึ่งเป็นจำพวกร้านเสื้อผ้า และร้านอาหาร และเพราะเริ่มใกล้เที่ยงแล้ว เมื่อเช้าเราก็ทานมาแค่ขนมปัง เราก็เลยตัดสินใจเดินหาร้านซูชิตามที่ถ้วยฟูอยากกินเสียก่อน ซึ่งก็หาไม่ยากครับ เพราะแม้จะมีแต่ภาษาญี่ปุ่น แต่ก็มีรูปภาพติดอยู่หน้าร้าน บอกเมนูว่าซูชิที่จะเสิร์ฟบนสายพานนั้นมีซูชิหน้าอะไรบ้าง ถ้วยฟูตัดสินใจเลือกร้านหนึ่ง หลังจากเดินวนแถวนั้นแล้วเจอ 2-3 ร้าน



ร้านซูชิที่ถ้วยฟูเลือกเป็นร้านแคบๆที่มีสายพานวนเป็นวงกลมอยู่กลางร้าน พร้อมด้วยซูชิหลากหลายหน้าตาที่ไหลเป็นทาง ผ่านหน้าลูกค้าที่นั่งหันหน้าเข้าหาพ่อครัวซึ่งยืนอยู่กลางวงสายพาน เราสองคนเดินไปนั่งที่เก้าอี้ว่างสองตัว ตรงหน้ามีกระบอกใส่ตะเกียบและถ้วยซอสเปล่าวางเรียงเอาไว้ กระปุกใส่ขิงดอง กระปุกใส่วาซาบิ กระปุกใส่ผงชาเขียว และขวดซอสโชยุ ข้างๆมีที่กดน้ำร้อนและแก้วกระเบื้องสำหรับชาบริการตัวเอง ซึ่งแน่นอนครับว่าใครบางคนไม่เคยบริการตัวเองอยู่แล้ว



   มันทำหน้าตาเหรอหรามองลูกค้าชาวญี่ปุ่นที่นั่งข้างๆมัน ดูเหมือนเจ้าถิ่นจะรู้ว่าเราสองคนเป็นชาวต่างชาติ เขาส่งยิ้มให้ก่อนจะหยิบแก้วออกมาใส่ผงชาแล้วกดน้ำร้อนก่อนจะส่งให้พวกผมคนละแก้ว



   “แต๊งกิ้ว แต๊งกิ้ว!” มันยิ้มเผล่พร้อมขอบคุณคุณลุงสูงวัยชาวญี่ปุ่นที่มีน้ำใจคนนั้น คุณลุงหันไปชี้ที่ข้าวปั้นหน้าปลาแซลมอนที่กำลังไหลผ่านหน้ามันแล้วชูนิ้วโป้งเป็นสัญลักษณ์ ไอ้แสบก็รีบหยิบออกมาจากสายพานทันที



   “อันนี้...โออิชิ...ใช่มั้ย” ผมไม่รู้ว่ามันไปเอาภาษาญี่ปุ่นมาจากไหน แต่ทันทีที่ลุงญี่ปุ่นได้ยินมันพูด เขาก็ร้องโอ้ออกมาพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง



   “Oishii Oishii!!” มันหันมายิ้มให้ผมอย่างภาคภูมิใจ



   “เก่งปะล่ะ คุยกะลุงรู้เรื่อง” ผมได้แต่หัวเราะ ไอ้แสบไม่ทันรอฟังคำเยินยอจากปากผมมันก็ควานเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูป และแน่นอนว่าใช้ลุงญี่ปุ่นให้ถ่ายรูปให้มันกับผมด้วย พรสวรรค์ด้านนี้ต้องยกให้มันจริงๆ



   “ลุงถ่ายด้วยกันสิ เทค อะ พิคเจอร์ วิธ มี!” แล้วไอ้ถ้วยฟูก็ไม่ธรรมดาครับ มันหันไปชวนลุงญี่ปุ่นที่ท่าทางจะไม่เข้าใจภาษาอังกฤษให้ถ่ายรูปกับมัน ลุงมองหน้ามันงงๆ มันก็เลยชี้นิ้วไปที่ลุง ชี้นิ้วที่ตัวเอง แล้วชี้นิ้วมาที่ผม ก่อนจะสั่นโทรศัพท์ในมือเป็นเชิงให้ถ่ายรูปด้วยกัน ลุงญี่ปุ่นหัวเราะลั่น ก่อนจะหันไปเรียกพนักงานร้านมาช่วยถ่ายรูปให้เราสามคน



   “แต๊งกิ๊ว แต๊งกิ๊ว” มันหันไปบอกพนักงานร้านที่ส่งโทรศัพท์คืน ก่อนจะหันไปทางลุงญี่ปุ่นแล้วชวนคุยอย่างสนิทชิดเชื้อ



   “ลุง แต๊งกิ้ว...เจแปนนิสพูดว่ายังไง แต๊งกิ้วอ่ะ” คิดว่าลุงจะไม่เข้าใจคำถามมันใช่มั้ยครับ คนนึงพูดไทยคำอังกฤษคำ อีกคนฟังทั้งไทยทั้งอังกฤษไม่ออก ผมก็คิดว่างั้น...แต่...ผิดคาด...



   “A-ri-ga-tou”



   “อาริกาโต้ว?”



   “Un! Arigatou”



   “อาริกาโต้ววววว” มันลากเสียงยาวพยายามออกเสียงให้เหมือนเจ้าถิ่น ลุงหัวเราะแล้วชูนิ้วโป้งให้มันเป็นการชม ลูกค้าคนที่นั่งถัดจากลุงญี่ปุ่นชะโงกหน้ามาที่พวกผมบ้างแล้ว



   “Where are you come from?” ผู้หญิงญี่ปุ่นวัยทำงานเป็นคนถามด้วยสำเนียงติดญี่ปุ่นเล็กน้อย



   “ไทย!” ไอ้ถ้วยฟูตอบกลับไปพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง



   “Oh Taiwan?” ลุงญี่ปุ่นคนเดิมย้อนถาม



   “โน้ ไต้หวัน! ไทย!! ไทยแลนด์ แบ็งค็อก ตุ๊กตุ๊ก ต้มยำกุ้ง แอนด์ เอ่อ...โทนี่ จา! แอนด์ นิชคุณ!! ดู ยู โน้ว นิชคุณ! ไอ แอนด์ นิชคุณ คัม ฟรอม เดอะ เซม คันทรี่!!” คำขยายความทำเอาทุกคนเข้าใจในทันที ขนาดพ่อครัวที่ยืนอยู่หลังสายพานยังหัวเราะ แล้วแกก็ปั้นซูชิหน้าแซลมอนมาวางในจานไอ้ถ้วยฟูพร้อมกับรอยยิ้ม



   “Service!”



ไอ้ถ้วยฟูตาโต ก่อนจะหันมากระซิบกับผม



“เซอร์วิสแปลว่าฟรีปะ”



“อืม”



“แน่นะ”



“ร้านนี้คิดตามจาน ถ้าได้มาชิ้นนึงโดยไม่มีจาน แสดงว่าไม่คิดเงิน” ผมบอก มันทำตาโตก่อนจะรีบหันไปประจบพ่อครัววัยปลายด้วยภาษาญี่ปุ่นที่เพิ่งเรียนมาเมื่อกี้



“อา&%#@โต้ววววววว!!!” เน้นคำท้ายเสียงดังเลยนะมึง จำตรงกลางไม่ได้สิท่า!!!




……...............................

>>>หน้าต่อไปค่ะ>>>
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-08-2014 21:15:01 โดย Dezair »

ออฟไลน์ Dezair

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1543/-8


อิ่มแบบโคตรอิ่มจนอยากจะกลิ้งกลับโรงแรมแล้วนอนแผ่สามสลึงจริงๆครับ! แต่...เนื่องจากว่ายังมีหลายแหล่งช้อปปิ้งที่เรายังไม่ได้ไป ผมผู้ซึ่งรักการผจญภัยจะมาจอดแค่ไปเที่ยวอุเอโนะมาที่เดียวได้ยังไง!



หลังจากอิ่มท้องด้วยซูชิและอิ่มสมองด้วยความรู้ภาษาญี่ปุ่นจากคนญี่ปุ่นนิสัยโคตรน่ารักแล้ว เราสองคนก็กลับมาเก็บของที่โรงแรมก่อน แล้วค่อยออกไปช้อปกระจายกันต่อ โดยแพลนวันนี้คือการไปตะลุยย่านแผ่นดินทองนามว่ากินซ่าที่ว่ากันว่ามีร้านแบรนด์เนมเต็มเอียดสองข้างทางให้ได้ช้อปกันชนิดนอนตายตาหลับ!



ผมยังคงพาไอ้พี่ธันใช้บริการรถไฟสาธารณะสายยามาโนเตะเช่นเดิมมาโผล่ที่สถานียูรักกุโจะซึ่งสามารถเดินไปจนถึงย่านกินซ่าได้แบบสบายเท้าครับ



หากจะเปรียบฮาราจูกุเป็นแหล่งท่องเที่ยวสไตล์วัยรุ่นแล้ว กินซ่าก็ประมาณสถานที่ช้อปปิ้งของผู้ใหญ่ มีแต่ร้านแบรนด์เนมยี่ห้อดังเรียงรายสองข้างทางตลอดถนนสี่เลนที่มีรถวิ่งไปมาขวักไขว่ และไฮไลท์ที่ไม่ว่าใครมาที่นี่ก็ต้องมาถ่ายรูปก็คือเจ้านาฬิกา Wako นั่นเองครับ



นาฬิกาวาโกะเป็นนาฬิกาที่ประดับอยู่บนตึกทรงยุโรป และเจ้าตึกนี่ก็ดันอยู่ที่สี่แยกพอดี ใครไปใครมาก็เห็น แล้วใครสักคนก็เลยสถาปนามันให้กลายเป็นแลนด์มาร์กครับ



แต่งานนี้ ครั้นจะถ่ายนาฬิกาวาโกะอย่างเดียวก็เกรงว่าเจ้าโรเล็กซ์ที่ข้อมือจะน้อยใจ เลยต้องยกข้อมือข้างซ้ายขึ้นมาแนบหน้าให้ติดอยู่ในเฟรมด้วยชนิดที่ไอ้ตากล้องจำเป็นต้องยกกล้องลงทั้งๆที่ยังไม่ทันจะถ่าย



“ท่าอะไรน่ะ”



“ท่าอวดโรเล็กซ์” ไอ้หล่อหัวเราะแล้วเขกหัวผมเบาๆด้วยความรักและเอ็นดู



เราสองคนถ่ายรูปคู่อีกสองรูปโดยมีนาฬิกาวาโกะเป็นฉากหลัง ก่อนจะแวะเข้าห้างสรรพสินค้าชื่อดังที่มีรูปปั้นสิงโตหมอบรอขย้ำเหยื่อประดับอยู่ที่หน้าห้างฯ



เล่นฮวงจุ้ยกันขนาดนี้ ไอ้ถ้วยฟูคนนี้ก็เสียทรัพย์ให้ห้างฯนี้ตามระเบียบล่ะครับ! ตะปบกันตั้งแต่หน้าห้างฯแล้วมันจะไปเหลืออะไร้!!!



…………………………………..



   “เฮ้อ.......” พ่นลมหายใจออกประหนึ่งโล่งอก ผมเหยียดขาเพื่อไล่ความเมื่อย ขณะมองไปรอบร้านกาแฟที่เราเข้ามานั่งพักหลังจากตะลุยห้างสรรพสินค้าจนได้น้ำหอมมาห้าขวด เสื้อเชิ้ตไอ้พี่ธันอีกสามตัว และรองเท้าของผมอีกคู่



   “ปวดขาเหรอ” ไอ้หล่อเป็นคนเดินไปซื้อของกิน มันเดินกลับมาพร้อมกับถาดอาหารที่มีขนมปังและเครื่องดื่มสองแก้ว



   “เมื่อยเท้าเฉยๆ ซื้ออะไรมาบ้างอ่ะ” ผมขยับตัวนั่งตรงเพื่อสำรวจของที่ไอ้พี่ธันซื้อมา



   “มัจฉะลาเต้ร้อนแล้วก็แซนวิชแฮมสดกับไก่ราดซอสอะโวคาโด” มันยื่นแก้วให้ผม ของมันคงเป็นกาแฟตามเคย ส่วนแซนวิชแฮมสดที่มันพูดถึงนั้นหน้าตาน่าดูชมทีเดียวครับ



   “แฮมสดนี่คือแฮมดิบ?”



   “อืม เห็นว่าเป็นเมนูแนะนำน่ะ” ในเมื่อร้านแนะนำก็แสดงว่าแม่งต้องมีดี ผมรีบหยิบขึ้นมาจากจานอย่างไม่รอช้า ก่อนจะลองกัดเข้าไปคำนึง



   ...เฮ้ยยยยย!!! แค่แซนวิชแฮมดิบโง่ๆกับเนื้อไก่ต้มฉีกราดด้วยซอสอะโวคาโดเจือรสชาติเลมอนเปรี้ยวนิดหวานหน่อยนี่มันอร่อยเหาะเลยว่ะ!!!...



   “อร่อย ชิมดิ” หลังจากผ่านปากผมแล้ว ผมก็ส่งคืนให้ไอ้พี่ธันลองชิม ตามประสาเมียที่ดี มีอะไรต้องแบ่งกัน (แต่กูต้องได้ก่อน อิอิ)



   “อืม อร่อยดี” มันยังชม ว่าแล้วผมก็แอบเล็งว่าในนั้นมีวัตถุดิบอะไรที่มองเห็นได้มั่ง จะแอบจำกลับไปทำให้มันกินที่เมืองไทย...วุ้ย!! รักผัวจริงๆเลยกูนี่!!...



   “ขนมอย่างอื่นก็น่าจะอร่อย” ผมเหลือบตามองรอบร้านกาแฟซึ่งมีป้ายเมนูอยู่หลังเคาท์เตอร์สั่งอาหารให้ส่องว่ามีอะไรขายมั่ง



   “อยากกินอะไรล่ะ เดี๋ยวไปซื้อให้ มีพวกขนมเค้กด้วยนะ” พอมันพูดถึงเค้กแล้วผมก็รู้สึกเลี่ยนขึ้นมาในมโนสำนึก หลังจากบุฟเฟ่ต์เค้กวันนั้นแล้ว ผมก็ไม่คิดถึงขนมหวานประเภทเค้กอีกเลย



   “เอ่อ...เอาไว้ทีหลังแล้วกัน เดี๋ยวจะไปกินบุฟเฟ่ต์เนื้อย่างอ่ะ” ผมว่าอย่างนั้น แต่พอมันส่งแซนวิชกลับมาที่มือผม งานนี้ก็หมดทั้งนั้นแหละครับ ท้องมารซะอย่าง!



   เราสองคนนั่งพักพอหายเมื่อยก็ขึ้นรถไฟไปยังสถานีใกล้ๆเพื่อไปลองลิ้มชิมเนื้อย่างแบบบุฟเฟ่ต์ที่ว่ากันว่าถูกมากกกกกสำหรับเมืองค่าครองชีพสูงอย่างโตเกียวและเหมาะสมมากสำหรับแบ็กแพ็คหนุ่มๆอย่างพวกผมที่เอาเงินไปถมให้ร้านขายของหมดเรียบร้อย แฮ่!



……………………………………..



   บุฟเฟ่ต์เนื้อย่างไฟโชจน์ช่วงชัชวาลย์นั้นเป็นร้านที่อยู่ชั้นใต้ดินครับ ชั้นใต้ดินอีกแล้ว บอกแล้วว่าประเทศนี้เขาใช้พื้นที่กันคุ้มค่ามากมาย ร้านนี้เป็นร้านค่อนข้างใหญ่ มีชื่อเสียงทีเดียวในแง่ของความถูกและรสชาติใช้ได้ ซึ่งไอ้ความถูกนี่ล่ะครับที่ไม่ควรหาได้ในเมืองค่าครองชีพแพงแบบโตเกียว แม้ว่าพวกเราจะมาทานกันมื้อเย็น ซึ่งราคาจะแพงกว่ามื้อกลางวัน แต่คนก็ยังหนาตาอยู่ดี ต้องรอคิวตั้งเกือบครึ่งชั่วโมงแหน่ะ



พอถึงคิว พนักงานก็เดินนำพวกเราไปที่โต๊ะ แต่ละโต๊ะจะมีเตาย่างเป็นของตัวเอง โดยจะเป็นหลุมสี่เหลี่ยมอยู่กลางโต๊ะมีตะแกรงเหล็กไว้สำหรับให้เราเอาเนื้อลงไปย่าง จะเอาสุกเอาดิบแค่ไหนก็ตามศรัทธาได้เลย



“เดี๋ยวพี่ไปตักอาหารให้ ถ้วยฟูอยากได้อะไร” พอเราได้โต๊ะ อย่างแรกที่มนุษย์ขี้เกียจอย่างผมจะทำก็คือการทรุดตัวลงนั่งแหมะกับเก้าอี้ครับ ในขณะที่ไอ้หล่อแค่วางของแต่ยังยืนหัวโด่หัวเด่อยู่เลย



...อ่า...แต่มันก็เมื่อย...ข้อนี้ผมรู้ดี เพราะตอนเราขึ้นรถไฟมาที่นี่ ก็ต้องยืนมาตลอดทาง แถมเมื่อกี้ตอนมารอคิวหน้าร้าน เก้าอี้สำหรับนั่งรอก็เหลือว่างแค่ตัวเดียว มันก็ให้ผมนั่งอีก ในขณะที่มันต้องยืนตลอดเลย



“เดี๋ยวฟูตักเอง” ผมฮึดแรงใจขึ้นมาจากก้นบึ้งของความรักที่มีต่อมัน แล้วลุกขึ้นบอกอย่างมาดแมน แม้จะโคตรเมื่อยเท้าเพราะเราเดิน เดิน เดินและเดินมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา แต่จะให้ผมสบายคนเดียวแล้วมันต้องเสียสละตลอดนี่ก็ไม่ใช่ปวิน รัตนวิจิตรแล้วล่ะครับ



“แต่ถ้วยฟูเมื่อยไม่ใช่เหรอ พี่ไปตักให้”



“พี่ธันก็เมื่อย แล้วอีกอย่าง...พี่ธันทำงานอะไร? งานออฟฟิศใช่มั้ย แต่ฟูทำงานร้านอาหาร ใครมีสกิลในการเลือกผักเลือกเนื้อมากกว่ากัน” ผมถามอย่างตรงไปตรงมา ไอ้หล่อเลยถอนหายใจแล้วยอมปล่อยให้ผมไปลัลล้าที่ไลน์บุฟเฟ่ต์ตักเนื้อสัตว์และผักมาแต่โดยดี



…………………………………………



เสียงเนื้อกำลังสุกดังแทบจะตลอดเวลาที่ถ้วยฟูครองที่คีบคอยปิ้งอาหาร ในขณะที่ผมมีหน้าที่แค่ทานอย่างเดียวเท่านั้น



“ถ้วยฟู พี่ช่วยปิ้งมั้ย” ผมถาม เพราะเห็นมันคีบเนื้อเข้าปากน้อยกว่าที่มันคีบมาใส่จานผมเสียอีก



“ไม่เอา พี่ธันปิ้งไม่อร่อยเท่าฟูทำหรอก” ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะย้อนถามไอ้คนที่กำลังมุ่งมั่นอยู่กับการปิ้งอาหาร



“พี่ทำอาหารแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”



“ไม่ใช่แย่ธรรมดา แค่เอาเข้าไมโครเวฟยังเคยใช้ไฟแรงเกินจนแกงเดือดแล้วล้นออกจากถ้วยเลย แถมทำโจ๊กสำเร็จรูปก็ไม่อร่อย ไข่เจียวไข่ดาวไม่ต้องพูดถึง บอกเลยว่าถ้าพี่ธันไม่มีนายถ้วยฟูคนนี้ รับรองอดตาย” ได้ทีเผาแล้วเผาอีก ไอ้ถ้วยฟูจอมแสบทำเชิดหน้าตอนที่เยินยอตัวเองว่าถ้าผมไม่มีมัน ผมคงมีชีวิตอยู่ไม่ได้



ถึงผมจะยอมรับก็เถอะ ว่าถ้าไม่มีมันแล้วผมคงไม่มีความสุข แต่ไอ้จะยอมปล่อยให้ไอ้แสบยกหางตัวเองสูงลิ่วแบบนี้นานๆ ก็ไม่ใช่ผมหรอก



“แต่สมัยนี้ร้านอาหารเยอะแยะ ถ้าไม่มีถ้วยฟู พี่ก็แค่ไปพึ่งร้านอาหารก็เท่านั้นเอง” มือขาวที่กำลังคีบเนื้อสัตว์บนตะแกรงปิ้งชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่มันจะเหลือบตาตี่ๆขึ้นมองผม



“ระวังเหอะ กินมากๆจะหัวล้าน เพราะร้านพวกนั้นน่ะใส่แต่ผงชูรสทั้งนั้นแหละ!”



“ถ้างั้นก็สั่งแบบไม่ใส่ผงชูรสสิ” ผมบอกมัน คราวนี้ไอ้แสบเริ่มเลิกลั่ก ก่อนจะค้านเสียงแข็งขึ้นมาอีก



“แล้วพวกวัตถุดิบก็ไม่สะอาด! ทั้งผักทั้งเนื้อ ซื้อมาแบบไหนก็ทำทั้งแบบนั้น ไม่มีการล้างหรอก!!”



“พี่ก็เลือกกินเฉพาะร้านพวกผักออแกนิก แล้วเนื้อสัตว์ ถ้าปรุงสุกแล้ว เชื้อโรคก็ตายหมดอยู่แล้วล่ะ” ผมตอบ มาถึงตอนนี้ไอ้แสบเม้มปากแน่นแล้วทิ้งที่คีบลงกับจานดังเคร้ง! โชคดีในร้านค่อนข้างเสียงดังเพราะลูกค้าจำนวนมาก ทำให้โต๊ะเราไม่เป็นที่สนใจเท่าไหร่



“แต่ฟูทำอาหารอร่อยกว่าร้านพวกนั้น!!!” ไอ้แสบพูดเสียงแข็ง บอกให้รู้ว่าถ้าผมยังขืนขัดมันล่ะก็ รับรองว่าคงได้ล้มโต๊ะบุฟเฟ่ต์เนื้ออย่างมื้อนี้แน่ๆ ผมยิ้มบางแล้วพยักหน้ารับ



“ข้อนี้พี่ไม่เถียง” พอผมบอกออกไปแบบนั้น ถ้วยฟูก็คลี่ยิ้มกว้างอย่างพอใจ แล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจในตัวเอง



“ก็เถียงไม่ได้อยู่แล้วล่ะ! จะมีพ่อครัวคนไหนที่ทำอาหารอร่อยกว่านายปวิน รัตนวิจิตรคนนี้อี๊ก!!!”



“มีสิ” ผมพูด และแทบจะในทันทีที่มันตวัดสายตามามองผม



“ใคร?!! ใครที่พี่ธันว่าทำอาหารอร่อยกว่าฟู!!!”



“พ่อถ้วยฟูไง”



“อู้ยยยยยย...” ไอ้แสบครางเสียงอ่อน จากหน้าบึ้งตึงเมื่อกี้กลายเป็นหน้าสลดอย่างรวดเร็ว



“อันนั้น...ยกให้เป็นอร่อยที่สุดในจักรวาลเลย” มันทำหน้าเจี๋ยมเจี๊ยม แล้วคีบเนื้อสัตว์ปิ้งต่อไป



“ถ้วยฟูก็เรียนทำอาหารจากพ่อกับแม่ใช่มั้ย” ผมถาม ตอนที่มันคีบเนื้อหมูปิ้งสุกแล้วมาใส่จานผม



“อืม จริงๆพ่อแม่ก็สอนทุกคน แต่พี่ตวงกับปุยฝ้ายไม่ชอบทำอาหารน่ะ”



“แล้วถ้วยฟูชอบทำเหรอ” มันนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าไปมา



“ก็ไม่เชิงว่าชอบทำ แต่ว่า...เวลาเห็นคนอื่นกินแล้วเขาบอกว่าอร่อย มันรู้สึกดีน่ะ ยิ่งเวลาเห็นลูกค้ามากินข้าวที่ร้าน แล้วทุกคนมีความสุขกับการได้มาเจอกันที่โต๊ะอาหาร มีอาหารอร่อยๆให้กินด้วยกัน ได้พูดคุยกัน ถึงจะชั่วโมงสองชั่วโมง แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่คนทั้งโต๊ะจะได้สร้างความทรงจำดีๆด้วยกัน” ถ้วยฟูมักจะมีมุมที่คิดถึงคนอื่นแบบนี้เสมอ จริงๆแล้ว มันเป็นคนที่อ่อนโยนมาก ผมรู้ว่าร้านเตาถ่านที่มันได้รับจากพ่อและแม่นั้น มันไม่ได้อยากทำต่อ แต่เพราะไม่มีพี่น้องคนไหนอยากจะทำ และมันก็กลัวพ่อกับแม่จะเสียใจหากต้องปิดร้านไปเพราะไม่มีคนสืบทอด มันก็เลยทิ้งใบปริญญาไว้บนฝาผนัง แล้วขลุกตัวเองอยู่ในครัวของร้านนั้นสืบต่อแทนพ่อกับแม่



“แล้ว...ถ้วยฟูไม่อยากไปทำงานอย่างอื่นบ้างเหรอ”



“อืม...ก็คงเคยอยากมั้ง แต่พอตัดสินใจมาทำร้านเตาถ่านแล้ว ก็ไม่กลับไปคิดอีก แล้วก็เลย...ลืมไปแล้วล่ะว่าเคยอยากทำอะไร” มันตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ ไม่จริงจัง ข้อดีของการเป็นคนลืมง่ายของมัน คือการที่ทำให้มันมีความสุขกับปัจจุบันโดยที่ไม่ต้องโหยหากลับไปหาความอยากในอดีต



มันเหลือบตามองผมเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มบาง



“แต่ทุกวันนี้ ฟูก็มีความสุขดีนะ ทำร้านอาหารก็สนุกดี แล้วก็...อย่างที่บอก...เวลามีคนชมว่าอาหารอร่อย มันรู้สึกดี” ถ้วยฟูว่าอย่างนั้น ก่อนจะก้มลงคีบเนื้อย่างในจานตัวเองเข้าปาก



“อร่อยมั้ย” ผมถาม ถ้วยฟูเงยหน้ามอง ผมยิ้มให้มัน ก่อนจะพูดต่อ



“พี่ว่าอร่อยดีนะ เนื้อย่างที่ถ้วยฟูทำให้พี่ทานน่ะ” มันนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบสายตามองไปทางอื่นแล้วอมยิ้มจนแก้มตุ่ย



“ก็แค่ปิ้งเอง เนื้อจะอร่อยก็เพราะร้านเขาหมักดีหรอก” มันเถียงกลับมาเสียงเบา แต่หน้ามันแดงไปถึงหู บอกให้รู้ว่ามันเขินที่ถูกผมชม



“เนื้ออร่อยเพราะร้านหมักดีน่ะใช่ แต่ที่เนื้อ ‘อร่อยมาก’ เป็นเพราะถ้วยฟูปิ้งให้พี่ทานต่างหาก” ถ้าการที่มีคนชมอาหารที่มันทำว่าอร่อย แล้วทำให้มันรู้สึกดี ผมจะเป็นคนที่ทำให้มันรู้สึกดีไปตลอดเอง



“ทำให้พี่ทานบ่อยๆนะ”



“อืม” เสียงตอบกลับมานั้นแผ่วเบา ก่อนที่เราจะไม่ได้พูดอะไรอีก แม้ทั้งร้านจะอื้ออึงไปด้วยเสียงของลูกค้าโต๊ะอื่น แต่น่าประหลาดที่โต๊ะของเราเงียบ และมีเพียงเสียงของเนื้อย่างเท่านั้น



ทว่า...มันกลับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งของทริปนี้เลย

……………………………..



   เอาล่ะๆ!! คุณคงไม่คิดว่าการที่ผมตอบรับมันอย่างง่ายดายว่าจะอยู่เคียงข้างมัน และจะทำอาหารให้มันกินตลอดชีวิต นั่นจะหมายความว่าผมรักมันมากกกกก!! ไม่จริงเลยครับ!! ไอ้ที่ตอบอืม ตอบเออไปตอนนั้นนั่นก็แค่...ก็แค่เป็นจังหวะที่เคี้ยวแล้วกลืนเนื้อย่างในปากลงคอพอดี!! จริงๆแล้วผมไม่ได้ใจง่าย ไม่ได้ไร้ศักดิ์ศรี มีผู้ชายมาชมนิดชมหน่อยก็เขินอายถึงขั้นยอมตามเขาไปต้อยๆนะครับ! ถ้ามันไม่ลงทุนเกาะแข้งเกาะขาผมล่ะก็ ผมไม่มีวันอยู่กับมันหรอก รู้กันเอาไว้ซะด้วย!!



   เอ่อ...แต่...แต่ไม่ต้องไปบอกมันนะ ว่าผมมาเล่าว่ามันเกาะแข้งเกาะขาอ้อนวอนผม ผมกลัวมันอายน่ะ ที่ผมเอาเรื่องพวกนี้มาเปิดเผยว่ามันรักผมมากเพียงใด...เอ่อ...เอาเป็นว่า...เรื่องแบบนี้ เรารู้กันแค่นี้แล้วกันนะ เราจบเรื่องบุฟเฟ่ต์เนื้อย่างไฟบัลลัยกัลป์และเรื่องที่มันคุกเข่าอ้อนวอนผมไปเลยดีกว่าครับ!



ออกจากร้านมาได้ เราสองคนก็ตัดสินใจนั่งรถไฟตุเลงตุเลงหอบของที่ช้อปจากอุเอโนะและกินซ่าที่ถือติดมือไปแวะร้านบุฟเฟ่ต์เนื้อย่างกลับไปเก็บที่โรงแรมก่อน เพราะตามแพลนแล้ว เราจะไปเยี่ยมเยียนย่านอิเคะบุคุโระกันครับ



   “พี่ว่าถ้าเรายังซื้อแบบนี้ สงสัยต้องซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่มนะถ้วยฟู” ไอ้พี่ธันบอกตอนวางของกองรวมกันบนพื้นกลางห้อง ในขณะที่ผมถอดเสื้อกันหนาวออกมาฉีดสเปรย์ดับกลิ่นเนื้อย่าง แล้วผึ่งไว้กับโซฟาเดี่ยวริมหน้าต่าง แล้วจึงเดินตรงไปที่เตียงประหนึ่งถูกแรงดึงดูด



   “งั้นไม่ซื้อแล้วก็ได้...” ผมได้แต่บอกมันเสียงอ่อยๆ แล้วทรุดตัวลงนั่งบนเตียง พอได้นั่งพักแล้วก็รู้สึกถึงความล้าของฝ่าเท้าวิ่งขึ้นมาจู่โจมทีเดียวเชียว เพราะไหนจะตะลุยทั้งอุเอโนะ ตะลุยทั้งกินซ่า แม้จะได้นั่งเวลาแวะร้านกินข้าวกินขนม แต่ตอนนั่งพักแบบนั้นมันไม่ได้ถอดรองเท้าอ่ะครับ พอกลับมาถึงห้อง สลัดรองเท้าผ้าใบออกนี่รู้เลยว่าตีนบวมสุดๆ



ผมเอนหลังลงนอนแผ่กับเตียงอย่างหมดสภาพ ทั้งเหนื่อยทั้งอิ่มจนไม่อยากแม้แต่จะขยับตัวเลยสักนิด!



   “เหนื่อยเหรอ ถ้วยฟู” เสียงไอ้หล่อกว่าดังมาจากปลายเตียง ผมอยากผงกหัวขึ้นไปมองคนถามอยู่หรอก แต่ ณ ตอนนี้ที่กำลังอยู่ในท่าโคตรสบาย นอนแผ่บนเตียงนุ่ม เท้าไม่ต้องเหยียบพื้น ก็ทำเอาผมไม่มีแรงจะผงกหัวมองหน้าหล่อๆของมันให้ใจละลายได้อีก



   “อือ” ผมส่งสียงตอบกลับไป



   “ลุกขึ้นมาฉีดสเปรย์ที่ผมหน่อย เดี๋ยวกลิ่นก็ติดหมอน คืนนี้นอนไม่ได้หรอก” มันเดินไปหยิบสเปรย์ดับกลิ่นที่แวะซื้อจากร้านขายยามาฉีดใส่ตัวมัน ก่อนจะเดินมาดึงผมลุกขึ้นนั่งแล้วฉีดให้ ผมก็นั่งโงนเงนให้มันฉีดล่ะครับ พอสเปรย์ทำงาน ก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนเหมือนเดิม เพราะเมื่อกี้นี้รู้สึกเหมือนตัวเองกลายร่างเป็นเนื้อย่างยังไงอย่างงั้น



   “ไหวมั้ยถ้วยฟู วันนี้ไม่ต้องออกไปไหนแล้วดีมั้ย จะได้นอนพัก” มันถาม เพราะทันทีที่มันลุกเอาสเปรย์ไปวางที่โต๊ะข้างโทรทัศน์ ผมก็หงายหลังลงนอนผึ่งอย่างไม่มีหลักยึด



   “อือ” ผมรับคำอีกครั้ง ตาจะปิดด้วยความเหนื่อย ไอ้พี่ธันเดินกลับมาหาผมแล้ววางมือทาบลงบนหน้าผากด้วยความห่วงใยสุดประมาณ กลัวหาเมียใหม่ดีกว่านี้ไม่ได้สิท่า บอกแล้วว่ากูมันแรร์ ไอเทมนะเว้ยยยย...



   “ตัวไม่ร้อน...” มันพึมพำ แต่ผมได้ยิน อยากจะตะโกนใส่หน้ามันจริงๆว่าผมไม่ได้เป็นอะไร แค่เหนื่อย แค่อยากออเซาะ แค่อยากทำตัวอ่อนแอก็เท่านั้น แต่ในเมื่อสุดเลิฟห่วงใยกันขนาดนี้ ผมผู้ซึ่งถูกแม่สอนมาดีจะทำตัวโวยวายให้มันเสียน้ำใจไม่ได้



   ...รักผัวต้องขยันเอาใจผัว...บัญญัติแปะฝาบ้านข้อที่สองที่ผมท่องขึ้นใจ ส่วนข้อหนึ่งน่ะหรือครับ...แหม ไม่เห็นต้องถาม ข้อหนึ่งก็ต้องเป็น ‘รักถ้วยฟู ก็ต้องตามใจถ้วยฟู’ น่ะสิครับ!! แต่ไอ้หล่อไม่ค่อยทำตามกฎเท่าไหร่ เดี๋ยวผมว่างเมื่อไหร่จะปรับมันให้อานเลย!! โทษฐานผิดกฎที่ผมบัญญัติขึ้น!...



   “ไม่ร้อนหรอก แค่เมื่อยนิดหน่อยเอง แต่เห็นนาฬิกาเรือนนี้ แรงใจก็ฮึดขึ้นมาแปดสิบเปอร์เซ็น” ว่าแล้วก็ขออวดโรเล็กซ์อีกสักรอบนะครับ มันแบบ...มันแบบ...ประทับจิตประทับใจอย่าบอกใครเชียว!!!...



   ไอ้พี่ธันหัวเราะเบาๆ ก่อนย้อนถาม



   “แปดสิบเปอร์เซ็น? แล้วอีกยี่สิบล่ะ”



   “ซื้อแท็ก ฮอยเออร์ให้อีกเรือน คราวนี้ให้สองร้อยเปอร์เซ็นเลย! โอ๊ย!!” ถูกดีดหน้าผากไปดอก โทษฐานรีดไถ่ผัวขี้งก



   “ฝันไปเถอะ” เห็นมั้ย แค่มันถอยโรเล็กซ์ให้ผม ผมว่ามันคงเหมาของขวัญผมล่วงหน้าไปแล้วสิบปีด้วยซ้ำ อย่าหวังถึงพ่อแท็ก ฮอยเออร์ยอดขมองอิ่มซะให้ยาก



   “แต่...ยังไงก็ขอบคุณนะ ฟูชอบมากเลย” ผมเงยหน้าบอกมันแล้วแถมยิ้มให้อีกกระบุง ไอ้พี่ธันยิ้ม ก่อนจะก้มหน้าลงมาจูบผมเบาๆ



   “พี่ก็ดีใจที่ถ้วยฟูชอบ” ไม่อยากบอกมันเลยว่าที่ชอบที่สุดคือการที่เราสองคนใช้นาฬิกาแบบเดียวกัน ต่อให้มันเป็นแค่นาฬิกาตลาดนัด หรือจะราคาแค่หลักสิบหลักร้อย แต่ถ้าเป็นของที่มาจากใจมันแล้ว ผมก็ดีใจทั้งนั้น



   เราสองคนจูบกันบนเตียง จูบเบาๆไม่ลึกซึ้ง แค่เพียงแตะริมฝีปากเข้าหากันอย่างเชื่องช้า แต่...มันกลับทำให้หัวใจผมท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกมากมายที่มีต่อผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่ผมฝากชีวิตเอาไว้ ฝากหัวใจเอาไว้ ผู้ชายที่หน้าดุก็เท่านั้น โหดก็เท่านั้น



แต่...ก็เป็นผู้ชายที่รักผมมากที่สุด และผมเองก็รักผู้ชายคนนี้มากที่สุดเช่นกัน





つづく
เจอกันพุธหน้าค่ะ

ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์ คนติดตามและพื้นที่บอร์ดค่ะ

รู้สึกว่ามันจะหวานนนนนนน...ถือว่าเป็นเซอร์วิสล่ะกันเนอะ เนื่องจากว่าตอนหลักก็ไม่ค่อยจะสวีทกันเท่าไหร่ แต่ไหนๆเขามาเที่ยวกันแบบนี้ บัวก็ไม่อยากให้มีเรื่องหมองใจ (ที่สำคัญคือถ้วยฟูไม่น่าจะร่วมมือด้วยแน่ๆ เพราะนิสัยมันไม่น่าจะมีโมเม้นท์หมองๆเท่าไหร่ ฮ่าฮ่า)

ใครอยากเจอแบบหมองๆ เอาไว้รอของขวัญและพี่โตเนอะ คู่นั้นมีเรื่องหมองๆเย้อะ!! ฮ่าฮ่า

แล้วเจอกันพุธหน้าน้า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด