40
วันชนะโดนสมภพลากแขนไปที่บันไดหนีไฟที่มีคนเปิดเอาผ้าขี้ริ้ววางกั้นไว้ให้ประตูแง้มอยู่หน่อย คาดว่าคงเป็นพนักงานทำความสะอาดเพราะพอเข้าไปก็มีรถเข็นคันใหญ่ที่มีอุปกรณ์ทำความสะอาดจอดทิ้งไว้
“หนู...ทำไมยังติดต่อกับตั้มอยู่อีก เราคุยกันแล้วไม่ใช่หรือ” น้ำเสียงนั้นไม่เชิงอ้อนวอนหรือต้องการคำตอบ
“เอ่อ...คุณลุงครับ” วันชนะกลืนอะไรบางอย่างที่เหมือนจะติดอยู่ที่คอลงไปก่อนจะพูดต่อ “ผมกับตั้ม...เราไม่ได้ติดต่อกันมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วนะครับ”
“แล้วทำไม?” สมภพซักไซ้
วันชนะหลบสายตาที่ดูจะเหนื่อยต่อเรื่องนี้ของผู้อาวุโสกว่าตรงหน้า
นักขัตรู้สึกแปลกๆอย่างไรไม่รู้ ในใจมันโหวงเหวง เป็นห่วงพ่อ แต่ก็มีใบหน้าของวันชนะแทรกมา พลางคิดถึงวันชนะขึ้นมาอีกคน พอดีเห็นพ่อตัวเองลากต้นแขนวันชนะเข้าไปตรงประตูหนีไฟ ก็เลยเดินตรงไป
เอาเข้าจริงๆเขาก็ไม่กล้าที่จะลุกขึ้นต่อสู้เพื่อหัวใจตัวเองเท่าไรนัก วันชนะรู้สึกปั่นป่วนไปหมดกับสถานการณ์ที่เผชิญ นึกถึงคำพูดที่สมภพเคยพูดเอาไว้สมัยก่อนแล้วจิตใจเริ่มจะอ่อนแอลงทุกที สมภพพูดเอาไว้ถูกต้องทุกอย่าง นักขัตเป็นลูกชายคนเดียว คนเป็นพ่อเป็นแม่ย่อมหวังที่จะเห็นลูกของตนมีอนาคตที่ดี ไม่ออกนอกลู่นอกทาง วิถีที่ผู้ชายจะมีในสังคมนี้คือเรียนจบแล้วมีงานทำ จากนั้นก็หาผู้หญิงดีๆแต่งงานด้วยและมีลูก เป็นพ่อคนแม่คนที่จะต้องดูแลชีวิตที่ให้กำเนิดขึ้นมาเพื่อเติมเต็มคำว่าครอบครัวให้สมบูรณ์ ซึ่งนั่นจะทำให้สังคมขับเคลื่อนไปในทางที่ถูกที่ควร
“ผม...”
วันชนะเกือบจะยอมแพ้อีกครั้ง ถ้าไม่มีเสียงริงโทนจากมือถือดังขึ้น หน้าจอโชว์ชื่อบอส
วันชนะไม่ได้กดรับสายนั้น แต่เสียงของบอสที่พูดเมื่อวานดังขึ้นในหัว
‘คุณรักเขา แล้วเขาก็ยังรักคุณ ทำไมต้องยุ่งยากด้วย ทำไมต้องแคร์คนอื่นด้วย ขนาดผมเป็นคนอื่นผมยังไม่กล้าเข้าไปแทรกระหว่างคุณกับเขาเลย แล้วเรื่องอะไรคุณจะปล่อยให้ความรักของคุณมันหลุดลอยไป’
ความกล้าเกิดขึ้นได้อย่างประหลาด คนที่คอยแต่ก้มมองพื้นเงยหน้าขึ้นมั่นคง
“คุณลุงครับ...ผมกับตั้ม...เรารักกันครับ” เขามองหน้าสมภพด้วยความกล้าทั้งหมดที่รวบรวมได้
แต่คนตรงข้ามกลับไม่คิดอย่างนั้น มันคือสายตาของคนอวดดี...ลองดี
“แก!”
สมภพพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่โมโหเด็กรุ่นลูก แต่ที่สุดก็อดไว้ไม่ได้ แต่ก่อนที่มือข้างหนึ่งที่เงื้อขึ้นสูงจะได้ทำร้ายคนตรงหน้า สมภพก็รู้สึกเหมือนมีแรงกระแทกที่หน้าอกข้างซ้ายอย่างแรงและรวดเร็วจนต้องเอามืออีกข้างกุมเอาไว้ เข่าก็ทรุดลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง
“พ่อ!” นักขัตเข้ามาก็เจอตอนที่สมภพล้มลงกับพื้นมือกุมอกแน่นจนเสื้อยับย่น ขณะที่วันชนะยืนมองร่างพ่อของตัวเองล้มลงอย่างไม่แยแส ตั้งสติได้เขารีบวิ่งเข้าไปประคองร่างที่เกร็งกับพื้นนั่น
แต่ที่จริงแล้ว วันชนะตกตะลึงจนขยับเขยื้อนตัวไม่ได้
“แก!” สมภพชี้หน้าวันชนะอย่างรังเกียจ
“เกิดอะไรขึ้นวิน” นักขัตมองตามมือที่คนเป็นพ่อชี้หน้าวันชนะ “วินทำอะไรพ่อตั้ม!”
“ปะ...เปล่า...” ร่างตะลึงเอ่ยเสียงผะแผ่วพลางก้าวถอยหลังอย่างคนกลัวความผิด จนหลังชนกับรถเข็นที่จอดไว้ ฉับพลันนั้นล้อก็เลื่อนไปข้างหน้าตามแรงที่มากระทบพาร่างที่เอาหลังพิงพาหนะขนอุปกรณ์ทำความสะอาดนั้นติดลงไปทางบันไดชันด้วย
“วิน!” ด้วยไหวพริบและความไวอย่างที่เคยใช้ในกีฬาบาสเกตบอล และเพราะคนที่กำลังจะร่วงลงไปนั้นคือวันชนะ...คือคนรัก นักขัตถึงกับปล่อยมือที่ประคองร่างผู้ให้กำเนิดไปคว้าตัววันชนะเอาไว้
แต่กลับกัน...ร่างที่หงายหลังตกลงไปคือนักขัต!
“ตั้ม!” สองเสียงตะโกนเรียกพร้อมกัน
สมภพแทบจะกระโดดลงไปให้ถึงตัวลูกให้เร็วที่สุด แต่เพราะลำพังตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด เลยแทบจะคลานลงไปหาลูกในขณะที่วันชนะหมอบตะลึงอยู่กับที่มองร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่ที่ปลายบันไดข้างล่างนั่น
กว่าจะรู้สึกตัว วันชนะวิ่งออกไปขอความช่วยเหลือเหมือนคนคลั่ง จากนั้นจึงมีคนโทรเรียกรถฉุกเฉิน อุษาถึงกับทำอะไรไม่ถูก เมื่อทั้งลูกทั้งสามีต้องกลายเป็นคนป่วยอย่างกะทันหันอย่างนั้น
ที่หน้าห้องฉุกเฉิน
“หนู...เกิดอะไรขึ้น” อุษาพยายามเก็บอารมณ์เต็มที่ แต่ปากของหล่อนสั่นเทาอย่างปิดไม่มิด เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอาการไม่ได้ดีไปกว่าตนหล่อนก็ลูบที่บ่าวันชนะเบา ไม่ใช่เพราะหล่อนนึกเอ็นดูหรือเห็นใจวันชนะหรอก แต่เป็นเพราะพื้นนิสัยใจดีของหล่อนต่างหาก ในขณะที่ลึกลงไปตอนนี้หล่อนนึกเกลียดวันชนะที่เข้ามาปั่นป่วนครอบครัวของหล่อน
จนเมื่อประตูห้องเปิดออกมาพร้อมกับหมอเจ้าของไข้ อุษาก็ปราดเข้าไปหา
“คุณหมอคะ อาการพวกเขาเป็นยังไงบ้างคะ” หล่อนละล่ำละลักถาม
“สามีคุณปลอดภัยแล้วครับ ต่อไปอย่าให้มีเรื่องกระทบจิตใจเขาอีกนะครับ” นายแพทย์กล่าวแล้วก็ทำท่าหนักใจก่อนจะพูดต่อว่า “ส่วนอีกคน...เราต้องรอดูอาการหน่อยนะครับ เพราะสมองของคนไข้ได้รับการกระทบกระเทือน ส่วนแขนที่หักเราเข้าเฝือกให้แล้วครับ”
สิ้นคำหมอคนนั้นอุษาก็ทรุดลงกับพื้นทันที วันชนะรู้สึกเหมือนมีฟ้าผ่าลงมาที่ตัวจนชาไปหมด ก่อนที่ทั้งสองจะได้รับการปฐมพยาบาลโดยนางพยาบาลที่อยู่ตรงนั้น
“ผมขอโทษครับ” ไม่มีคำไหนดีไปกว่านี้อีกแล้วที่วันชนะจะสรรหามาพูดในเวลานี้ เขายกมือขึ้นพนมก่อนจะก้มลงกราบแทบตักของอุษา
หล่อนไม่ขยับหนีอย่างรังเกียจกริยานั้นของวันชนะ แต่หล่อนหลับตาไม่รับรู้...จะให้หล่อนให้อภัยเขาตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นตามมาด้วยเสียงเรียก “คุณหนูคะ คุณผู้ชายเรียกค่ะ”
“พี่เล็ก บอกป๊าทีว่าบอสนอนแล้ว” คนในห้องพยายามทำเสียงงัวเงียเต็มที่
“โธ่! คุณหนูคะ เดี๋ยวท่านก็มาตามด้วยตัวเองอีกหรอกค่ะ” หล่อนพูดให้เจ้านายน้อยรู้สึกเห็นในขณะที่ข่มขู่กลายๆ
เด็กหนุ่มถอนหายใจก่อนจะจำใจบอกผ่านประตูไปว่า “เดี๋ยวบอสลงไป”
พี่เลี้ยงที่ชื่อเล็กคนนั้นจึงยิ้มอย่างโล่งอกก่อนลงไปรายงานเจ้าของบ้าน
แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะทิ้งห้องไป เสียงมือถือของตัวเองที่ดังขึ้น
“ว่าไงคุณ โทรไปไม่เคยรับเลยนะ” บอสพูดประชดด้วยน้ำเสียงขี้เล่น
ปลายสายเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างที่มันดูตะกุกตะกัก ก่อนที่เสียงร้องไห้โฮจะดังผ่านมือถือนั้น
“คุณเป็นอะไรไปน่ะ” บอสกรอกเสียงลงไปอย่างเป็นห่วง “คุณอยู่ไหน”
แล้วเด็กหนุ่มก็วิ่งผ่านหน้าคนที่ต้องการพบตัวออกจากบ้านไป โดยไม่สนใจเสียงเรียก
พอบอสมาถึงโรงพยาบาลเขาก็ตรงไปหาวันชนะทันที พอไปถึงก็พบวันชนะนั่งเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง...หรือจะเรียกว่าหมดอาลัยตายอยากก็คงไม่ผิดนัก
“คุณไม่เป็นอะไรนะ” บอสปลอบ เห็นนักขัตนอนบนเตียงก็พอจะเข้าใจ “เขาคงไม่เป็นอะไรมากหรอก”
วันชนะไม่อยากมองหน้านักขัตด้วยซ้ำ เพราะมันตอกย้ำความผิดที่เขาทำลงไป
ประตูเปิดเข้ามาพร้อมกับร่างอ่อนระโหยของอุษา หล่อนเดินมาหยุดตรงหน้า
“หนู...วิน...กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมเขาก็ได้” หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง
“แล้วคุณน้าจะไหวเหรอครับ” วันชนะถาม
“สามีน้าดีขึ้นแล้วจ้ะ เดี๋ยวเขาก็คงจะมาอยู่เป็นเพื่อนน้าที่ห้องนี้แหละ” หล่อนพูด แต่พอเห็นสีหน้ายังไม่คลายกังวลของวันชนะหล่อนก็เอ่ยต่อว่า “วิน...น้ารู้นะว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าสักวันวินมีลูก...วินก็จะรู้ว่าพวกเรารู้สึกกันยังไงกับเรื่องที่วินกับตั้มกำลังเป็นอยู่”
วันชนะรู้สึกว่าตัวเองกำลังพ่ายแพ้อีกแล้ว เขาอยากรู้เหลือเกินว่าคนอื่นๆที่มีความรักนั้น กว่าจะได้มามันยากเข็ญเหมือนความรักของเขาหรือเปล่า
“ผมก็ว่าคุณกลับไปพักก่อนดีกว่านะ” บอสเห็นด้วยกับคำของอุษา
“ขอโทษนะที่เรียกออกมากลางดึก” วันชนะพูดขณะเดินริมถนนกับบอส พอได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกอาการเขาก็ดีขึ้น
“ไม่เป็นไร” บอสว่า “พ่อแม่เขารู้แล้วเหรอ”
“อืม” วันชนะเอ่ยเสียงแผ่ว “ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นโรคหัวใจ...”
บอสไม่ว่าอะไรต่อ แต่เขาเอื้อมมือว่าโอบไหล่วันชนะเอาไว้เป็นการปลอบโยน
“ขอบใจนะบอส” วันชนะหันมามองหน้าเขา “ทั้งคำพูดที่ทำให้ผมได้ทำตามหัวใจเรียกร้องและก็ขอบใจสำหรับตอนนี้...ถึงแม้ผลมันจะออกมาอย่างที่เห็น แต่อย่างน้อยตั้มก็ได้รู้ว่าผมยังรักเขาอยู่”
“งั้นเดี๋ยวผมไปส่งนะ” บอสว่า
“อย่าเลย เลี้ยวตรงมุมข้างหน้านี้ก็บ้านนายแล้วนี่ ไม่ต้องไปส่งหรอก” วันชนะว่า
บอสไม่รบเร้า
“เอางี้แล้วกันเดี๋ยวผมไปส่งบอสดีกว่า เด็กๆกลับบ้านดึกอย่างนี้กลับเข้าไปเดี๋ยวโดนป๊านายดุเอา เผื่อว่ามีผมไปส่งเขาอาจจะไม่ว่า”
“โอ๊ย! ป๊าผมนะ ถ้าจะให้ดุด่าใครล่ะก็ไม่เกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหมหรอก” บอสยักไหล่
จนแล้วจนรอดก็เป็นวันชนะที่มาส่งบอสเสียเอง เพราะบ้านเขาอยู่ใกล้กว่าแล้วในฐานะอาจารย์ของเขาวันชนะก็คิดว่าสมควรมากกว่าที่จะให้เขาเป็นฝ่ายไปส่ง แต่พอไปถึงที่ประตูใหญ่หน้าบ้าน
“คุณหนูอ้อมไปเข้าข้างหลังบ้านเถอะค่ะ” พี่เลี้ยงที่ชื่อเล็กที่ดูเหมือนจะรอการกลับมาของบอสอยู่แล้วแทรกตัวเข้ามากระซิบกระซาบ
เป็นที่รู้กันว่าพี่เลี้ยงหมายความว่ายังไง บอสพยักหน้า
“คุณ ผมไปก่อนนะ ตะกี้ผมออกบ้านมาเลยไม่ได้คุยกับป๊าก่อน เขาคงจะโกรธน่ะ”
“อืม นายไปเถอะ” วันชนะปั้นยิ้มให้เขาเห็นว่าอาการดีขึ้นแล้ว
แต่ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะได้แอบไปทางไหนเสียงแหบๆก็ดังแหวกอากาศมา
“ไอ้บอส! หยุดเลยนะ”
“ป๊า!”
พูดได้เท่านั้นแหละ บอสหน้าหันตามแรงกำปั้นที่คนเป็นพ่อชกให้ต่อหน้าต่อตาคนแปลกหน้าอย่างวันชนะ
“เมื่อไรลื้อถึงจะเชื่องเสียที” เสียงนั้นตวาดลั่นหน้าบ้าน
วันชนะรีบเข้าไปหาบอสขณะที่พี่เลี้ยงคนเดิมยืนหลับตาไม่กล้ามองอยู่ข้างๆ
“แล้วค่ำมืดดึกดื่นอย่างนี้ลื้อยังจะออกไปไหนอีก” ชายวัยกลางคนหน้าตาเต็มไปด้วยริ้วรอยที่เคยผ่านชีวิตตรากตรำคนนั้นยังกำหมัดตรงเข้ามาทั้งที่วันชนะก็อยู่กันบอสเอาไว้
“เฮ้! คุณ ฟังกันก่อนสิ” วันชนะยืนบังบอสเอาไว้
“ลื้อเป็นใคร เข้ามาในบ้านอั๊วได้ไง มาเกี่ยวอะไรด้วย พ่อจะทำโทษลูกมันไม่เกี่ยวกับคนอื่น หลีกไป!” พ่อของบอสชี้หน้าวันชนะ
“ผมเรียกเขาออกไปเองแหละ ผมเป็นอาจารย์ของเขา” พูดไปหวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้น แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น
“ลื้อเป็นอาจารย์ของมันอย่างนั้นเหรอ ดี! พรุ่งนี้ลื้อขนข้าวของออกไปจากโรงเรียนได้เลย อั๊วไล่ลื้อออก”
สิ้นเสียงแหบๆนั้นวันชนะก็หมดความอดทน อาจเพราะวันนี้เขาเพิ่งเจอเรื่องร้ายๆมา ความเครียดที่สะสมอยู่มากมายแต่กลับได้ระบายเพียงร้องไห้จึงไม่พอ
“คุณมันบ้าไปแล้ว คุณเป็นพ่อของเขาจริงรึเปล่า แบบนี้เขาไม่ได้เรียกทำโทษหรอกนะ ตีลูกอย่างกับตีนักโทษ ตีหมูหมา เขาเป็นคนนะ!” วันชนะเถียงปากสั่น
พอดีกับแสงจากไฟหน้ารถส่องเข้ามา พี่เลี้ยงที่ยืนตัวสั่นจึงรีบวิ่งไปเปิดประตู
“มีอะไรกันครับป๊า” ภัทรลงรถมาพร้อมกับหญิงสูงวัยอีกคนที่วันชนะคาดว่าจะเป็นแม่ของบอส
หากแต่พ่อของบอสไม่สนใจกลับตั้งใจต่อปากต่อคำกับวันชนะ
“ลื้อจะไปรู้อะไร มันเป็นความหวังของบ้านนี้ เป็นความหวังของวงศ์ตระกูล ดังนั้นมันจะทำตัวเหลวไหลไม่ได้”
“ไม่เห็นเขาจะเหลวไหลตรงไหน เรียนก็เก่งมาตลอด” วันชนะบีบมือบอสเสียแน่น “คุณเคยรู้ไหมว่าเด็กมันไม่อยากเป็นหมอ คุณก็ยังพยายามจะให้เขาเป็นให้ได้ แบบนี้มันจะดีเหรอ ที่คุณเป็นหมอไม่ได้คุณก็ทุกข์ทรมานไม่ใช่เหรอ แล้วคุณยังจะเคี่ยวเข็ญให้เขาเป็นในสิ่งที่เขาไม่ได้ชอบ คุณจะให้เขาเป็นทุกข์อย่างคุณด้วยใช่มั้ย”
“คุณ...พอเถอะ” บอสบีบมือวันชนะเพื่อเรียกสติ
จากนั้นทุกสิ่งรอบตัวก็เงียบกริบ หญิงสูงวัยที่ลงรถมากับภัทรเดินเข้าไปหาคนที่ยืนตัวสั่นอยู่ตรงหน้าวันชนะ
“กลับเข้าบ้านก่อนเถอะป๊า” ภัทรเดินไปแตะแขนคนเป็นพ่อ ก่อนจะหันมาทางวันชนะ “เล่าให้พี่ฟังได้มั้ยวิน”
จากนั้นวันชนะก็เล่าเรื่องให้ภัทรฟังโดยเริ่มตั้งแต่ตอนที่มาส่งบอสที่หน้าบ้าน แทนที่จะบอกว่าเป็นนักขัตที่เข้าโรงพยาบาล วันชนะกลับบอกเป็นญาติคนหนึ่ง
“วินไม่คิดจะเรียกพี่เหรอ” ภัทรชำเลืองไปที่บอส
บอสยักไหล่
วันชนะไม่ตอบคำถามนั้นของภัทรจนสุดท้ายภัทรก็พูดขึ้นว่า “ยังไงก็ขอบใจแทนบอสนะวิน ป๊าคงได้คิดมากขึ้น คนอย่างป๊าน่ะคิดว่าตัวเองเป็นใหญ่สุดในครอบครัว คำสั่งของตนเองเป็นเด็ดขาด บางทีอาจจะต้องให้คนอื่นมาชี้ทางสว่างให้เสียบ้าง”
“บอสไปนอนได้แล้ว” ภัทรสั่ง เขาเองก็ติดนิสัยชอบสั่งมาเหมือนกัน
หากคนถูกสั่งยังลอยหน้าลอยตา จนวันชนะส่งสัญญาณให้ทำตามเขาจึงยักไหล่ทีนึงแล้วลุกออกไปจากตรงนั้น
“พี่ภัทรมีอะไรจะคุยกับวินอีกหรือเปล่าครับ” วันชนะเตรียมท่าจะขอตัวกลับ เพราะเสร็จเรื่องแล้วความเหนื่อยล้าก็เริ่มกลับมามีอิทธิพลอีกครั้ง
“ไป พี่ไปส่ง” ภัทรชิงลุกขึ้นก่อน สายตาเขาฉายแววเครียดขึ้น
วันชนะกลับมาถึงอพาร์ทเมนต์อย่างคนสิ้นเรี่ยวแรง ร่างอ่อนระโหยนั้นทิ้งตัวลงที่นอนทันทีที่ไปถึง ก่อนที่สติจะเข้าสู่ห้วงหลับใหล เขายังคิดถึงคำพูดของภัทรตอนที่อยู่บนรถ
“วินบอกพี่ไม่หมด แต่พี่ไม่โกรธหรอกนะ...หวังว่าวินพร้อมเมื่อไรพี่คงจะได้รู้เรื่องทั้งหมด”
...คืนนั้นวันชนะหลับฝันถึงแม่อีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้ฝันถึงมานาน แม่ก็ยังมีรอยยิ้มเหมือนเคย
แต่คราวนี้วันชนะรู้สึกเหมือนมันเป็นยิ้มปลอบใจ...ที่มีให้สำหรับคนสิ้นหวังแล้ว
“แม่ ดูตั้มด้วยนะ” วันชนะพึมพำก่อนจะงัวเงียตื่นขึ้นมาพบว่าเป็นเวลาบ่ายแก่ๆของอีกวัน
ไม่ว่าจะยังไงเขาก็จะต้องไปหานักขัต แม้ว่าพ่อของเขาจะไม่ค่อยชอบใจนักก็ตาม แต่ถ้าหากเข้าไปอย่างมีสัมมาคารวะ...อย่างเด็กเข้าหาผู้ใหญ่ คิดว่าผู้ใหญ่คนนั้นก็คงจะใจอ่อนลงบ้าง คิดได้อย่างนั้นวันชนะก็รีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วไปหากระเช้าของฝากที่มีพวกโสมและของบำรุงร่างกายต่างๆเอาติดมือไปด้วย
...แต่พอเปิดประตูเข้าไปข้างในห้องที่คิดว่าจะเจอนักขัตนอนอยู่ตรงนั้น...
กลับเจอแต่เตียงที่ว่างเปล่า!