บอสทำทีว่ากลับพร้อมกับเพื่อนๆ หากแต่คล้อยหลังไม่นานเขาก็ปลีกตัวจากกลุ่มกลับมาหาวันชนะอีกครั้ง เด็กหนุ่มมีเรื่องติดค้างในใจที่ยังอยากรู้
‘พี่คงจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้วล่ะ อย่างนั้นพี่ฝากบอสดูแลเขาด้วยนะ’ เมื่อวานนักขัตพูดกับเขาอย่างนั้นแถมยังขยี้ผมเขาทำอย่างกับเขาเป็นเด็กเล็กๆ นั่นทำให้บอสไม่อาจจะปล่อยให้มันผ่านไปเฉยๆ
เพราะสายตานั่น...สายตาที่เหมือนของวันชนะยามที่มองเขา
สายตาที่มีแค่ความเอ็นดู
“อาจารย์ยังรักเขาอยู่ไม่ใช่เหรอครับ” เด็กหนุ่มข้างเตียงเอ่ยขึ้น
เมื่อคนบนเตียงคนป่วยไม่มีคำใดหลุดออกมา หากมีแต่รอยยิ้มที่ดูเหมือนจะปลงกับทุกสิ่งที่ทำให้ บอสแทบอยากจะจับร่างนั้นมาเขย่าๆให้ลุกขึ้นมาเผชิญกับความจริง
“ผมไม่รู้หรอกนะครับอาจารย์ ว่าระหว่างอาจารย์กับพี่ตั้มเคยเกิดอะไรขึ้น แต่ในเมื่อยังรักกันก็น่าจะ...”
“ไม่มีทางเหมือนเดิมแล้วบอส!” น้ำเสียงห้วนๆสวนขึ้นมาทันควัน และเป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มได้สัมผัสอารมณ์นี้ของวันชนะ
“คุณฟังผมนะ!” เด็กหนุ่มก็แรงขึ้นไม่ยอมลดราให้ คราวนี้เขาจับต้นแขนทั้งสองข้างของวันชนะแล้วเขย่าอย่างที่คิด ต่อให้วันนี้จะโดนเกลียดเขาก็ยอม “คุณรักเขา แล้วเขาก็ยังรักคุณ ทำไมต้องยุ่งยากด้วย ทำไมต้องแคร์คนอื่นด้วย ขนาดผมเป็นคนอื่นผมยังไม่กล้าเข้าไปแทรกระหว่างคุณกับเขาเลย แล้วเรื่องอะไรคุณจะปล่อยให้ความรักของคุณมันหลุดลอยไป”
“ออกไปนะ! ไม่ต้องมายุ่ง! นายมันก็แค่เด็กมัธยมจะไปรู้อะไร” วันชนะออกปากไล่อย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่พลางชี้นิ้วไปที่ประตู
“ใช่สิ! ผมมันก็แค่ไอ้เด็กมัธยมคนหนึ่ง ก็แค่เด็กคนหนึ่งที่มันรักคุณยังไงล่ะ” บอสแทบจะตะโกนใส่หน้าวันชนะ เพราะคำว่าเด็กที่เขาไม่ชอบให้ใครมาเรียก โดยเฉพาะกับวันชนะด้วยแล้ว
เสียงเอะอะที่ดังออกไปถึงข้างนอกทำให้นางพยาบาลคนหนึ่งที่เดินผ่านมารีบเข้ามาดู ทั้งคู่จึงได้สงบศึกลง
“น้องคะ ช่วยออกไปก่อนนะคะ” นางพยาบาลคนนั้นพูดกึ่งไล่ “ได้เวลาพักของคนป่วยแล้วค่ะ”
เหตุนี้บอสจึงโดนรุนหลังออกมานอกห้อง
“น้องคะ พี่ไม่รู้หรอกนะว่าทะเลาะอะไรกัน แต่ตอนนี้คนข้างในนั้นคือคนป่วยนะคะ เอาไว้ให้เขาออกจากโรงพยาบาลก่อนค่อยเคลียร์กันดีกว่าไหมคะ” นางพยาบาลคนนั้นพูดอย่างใจดี
“ผมขอโทษครับ” เสียงบอสอ่อนลง
นางพยาบาลใจดีเดินจากไปแล้ว แต่เด็กหนุ่มยังยืนพิงผนังตรงทางเดินอยู่ สักพักเขาก็กลับเข้าไปหาวันชนะอีกรอบ พอเปิดประตูเข้าไปก็พบสายตาเหนื่อยล้าของคนป่วยที่มองมาตั้งแต่ประตูเปิด
“ผมขอโทษ” น้ำเสียงบอสอ่อนลง เขาไม่กล้ามองหน้าวันชนะตรงๆ “เขาเคยบอกคุณใช่มั้ยว่าจะไม่ได้เจอคุณอีก”
คราวนี้ประกายตาของคนป่วยมีแววอยากรู้ขึ้นวูบหนึ่ง หากแต่เขาทำใจแข็งไม่ซักถามหรืออกอาการใดมากไปกว่านั้น
“มะรืนนี้เขาจะไปทำงานต่างประเทศแล้วนะ”
สิ้นเสียงของบอส วันชนะก็ไม่ได้ยินแล้วว่าเด็กหนุ่มพูดอะไรต่อ น้ำตาค่อยๆไหลอาบแก้มอย่างอ้อยอิ่ง
“ผมช่วยคุณได้เท่านี้ล่ะนะ” บอสวางกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆไว้ที่ข้างมือวันชนะ ในนั้นเป็นเบอร์โทรของนักขัตที่วันชนะไม่เคยถาม
น้ำตายังไม่เหือดแห้งเมื่อเด็กหนุ่มเดินหันหลังจากไป วันชนะหยิบโน้ตนั้นขึ้นมาดูแล้วขยำมันทิ้งไปพลางยิ้มอย่างสมเพชตัวเอง
นักขัตเดินซื้อข้าวของที่จำเป็นก่อนออกเดินทางที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆกับที่ทำงาน คนที่มาด้วยเป็นสาวสวยมากคนหนึ่ง หล่อนคือเพื่อนร่วมงานที่คอยแอบชอบนักขัตมาตลอด แต่นิสัยเจ้ากี้เจ้าการอย่างมีชั้นเชิงของหล่อนทำให้นักขัตไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรมากเกินกว่าเพื่อน จะว่าไปนักขัตเป็นคนหน้าตาดีมากย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีคนมาชอบพอมากมาย ทั้งที่แสดงออกว่าชอบชัดเจนและไม่ชัดเจน หญิงสาวรายนี้ก็เช่นกันเพียงแต่หล่อนรู้จักการวางท่าที การเข้าใกล้ตัวนักขัตได้จึงมีได้มากกว่าคนอื่น แต่เพราะหล่อนไม่เคยเอ่ย นักขัตจึงไม่ได้ปฏิเสธอย่างชัดเจน ดังนั้นเมื่อเลิกเวลางานหล่อนจึงไม่ได้คอยติดสอยห้อยตามเหมือนอย่างในออฟฟิศ แต่วันนี้พอดีบังเอิญสบจังหวะหล่อนก็มาเดินเหมือนกัน
เสียงริงโทนโทรศัพท์มือถือของนักขัตดังขึ้น มองชื่อที่โชว์ที่หน้าจอแล้วเขาจึงกดรับ
“ครับแม่”
นั่นจึงทำให้หญิงสาวเงียบเสียงลง เป็นครั้งแรกตั้งแต่เดินคู่กันมา
“จะลงมากรุงเทพฯเหรอครับ...ครับ....ได้ครับ” คุยประมาณห้า-หกนาทีถึงได้วางสายไป
“ตั้มคะ...”
หล่อนพูดได้แค่นั้นเพราะมีสายโทรเข้ามาอีก
หน้าจอโชว์เบอร์ที่ไม่ได้บันทึกชื่อแต่เขาก็กดรับ
“ครับ?”
“อยู่ที่ห้าง...”
ถึงนักขัตจะแปลกใจที่สายนั้นโทรเข้ามาถามหนึ่งประโยคแล้วอยู่ดีๆก็วางไปเสียดื้อๆ โดยที่เขาก็ตอบไปแบบงงๆ แต่เขาก็ไม่ได้โทรกลับไปถามให้ประจ่าง เพราะหญิงสาวที่เดินด้วยกันฉุดให้เดินไปดูนั่นดูนี่เสียก่อน
“ผมว่าพลอยซื้อของเยอะกว่าคนที่ต้องเดินทางอย่างผมเสียอีกนะครับเนี่ย” นักขัตบอกเป็นนัยให้หล่อนรู้ว่าเขาพอแล้ว
“แหม มะรืนนี้ตั้มไปแต่เดือนหน้ายังไงพลอยก็ต้องได้ตามไปอยู่ดีแหละคะ ซื้อไว้ตอนนี้ยังไงก็ไม่เสียหลาย” หล่อนไม่รู้ความนัยที่นักขัตบอกจึงยังฉุดแขนเขาเดินดูของไปเรื่อยๆซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อผ้าผู้หญิง
“อ๊ะ!” หญิงสาวอุทาน เมื่อเอื้อมมือไปจับเสื้อรูปทรงเก๋ไก๋พร้อมกับอีกมือที่เอื้อมมาจับพร้อมกัน ที่จริงอีกฝ่ายจับได้ก่อน
“ขอโทษค่ะ ดิฉันเลือกก่อนนะคะ” หญิงสาวอีกคนพูด มือยังจับที่เสื้อตัวนั้นไม่ปล่อย
“พูดงี้ได้ไง ฉันจับก่อนนะ” พลอยแหวทันที
“เอ๊ะ!” หญิงสาวอีกคนที่สวยไม่แพ้กันออกเสียงไม่พอใจ โดยมีหนุ่มหล่ออีกคนที่ท่าทางจะเป็นแฟนคอยปรามแต่หญิงสาวคนนั้นก็ไม่ฟังเสียง
“คุณคะ อย่าเถียงกันเลยค่ะ เสื้อตัวนั้นแพงมากเลยนะคะ แล้วก็นี่ค่ะยังมีอีกตัวนะคะเหมือนกันเดี๊ยะเลย” พนักงานร้านเข้ามาห้ามทัพ เพราะกลัวสินค้าจะเสียหาย
“ไม่!” ทั้งสองเสียงพูดแทบจะพร้อมกัน
“ฉันจะเอาตัวนี้เท่านั้น” พลอยเชิดหน้า “แพงเท่าไรฉันก็มีปัญญาจ่าย”
“ฉันก็จะเอาตัวนี้เหมือนกัน แพงเท่าไรฉันยินดีจ่ายให้สองเท่า” อีกฝ่ายไม่ยอม
นักขัตที่แวะดูที่แผนกเสื้อผ้าบุรุษได้ยินเสียงก็รีบเข้ามา “อะไรกันพลอย”
“ก็ผู้หญิงคนนี้น่ะสิคะ จะแย่งเสื้อของพลอยน่ะค่ะ พลอยเห็นก่อนนะคะ” หล่อนฟ้องทันที “ดูสิคะเนี่ย ท่าทางไม่น่าไว้ใจ พลอยกลัวจังเลยค่ะตั้ม เนี่ยเกย์เพื่อนสาวมันก็น่ากลัวนะคะ ก้ามปูซะขนาดนั้นตบพลอยทีหัวคงหลุดแน่เลยค่ะ” หล่อนทำท่าตัวสั่นให้เขาเอ็นดู
“ผมว่าใจเย็นๆ ค่อยๆคุยกันดีกว่านะครับ” ชายหนุ่มที่โดนกล่าวหาว่าเป็นเกย์เพื่อนสาวเอ่ยผ่าวง
“เงียบไปเลย!” ทั้งสองสาวพูดพร้อมกันอย่างกับนัด
“ยี้ นังเกย์สาว” พลอยทำท่าขยะแขยงเต็มทน
“นี่หล่อน เขาเป็นชายทั้งแท่งย่ะ” หญิงสาวคู่กรณีสวนทันควัน
“อ๊ะ รู้ได้ไงยะ สมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ อยู่กับหล่อนเขาอาจจะเป็นผู้ชายทั้งแท่งแต่พอไปอยู่กับผู้ชายคนอื่นเขาก็อาจจะ...” หล่อนพูดให้อีกฝ่ายตีความด้านลบเอาเอง
“เอ่อ...คุณคะ จะเถียงกันก็เถียงไปเถอะค่ะ ดิฉันขอเสื้อมาเก็บก่อนนะคะ” พนักงานคนเดิมตัวลีบบอก แล้วก็รีบเอามืออุดหูเมื่อสองสาวหันมากรี๊ดใส่หน้า
“พลอยพอเถอะ คนมองใหญ่แล้ว” นักขัตดึงแขนหญิงสาวพลางหันไปคุยกับคู่กรณี “คุณด้วยนะครับ ผมขอโทษแทน...”
“ตั้ม!” หญิงสาวคนนั้นชี้หน้า
“หลิน!” นักขัตจำได้ในบัดดล
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวอีกคนที่มีเรื่องด้วยเป็นเพื่อนนักขัต สุวรรณาเลยมีท่าทีที่อ่อนลงแต่ก็ยังไว้เชิง หากแต่พลอยยังวางท่าเชิด
“แฟนตั้มเหรอ” หลินเบาเสียงให้ได้ยินแค่สองคน
“ใช่” พลอยดันได้ยินอีก หล่อนเลยถือโอกาสแดกดันพลางจับแขนนักขัตอย่างแสดงตัว
ส่วนนักขัตรู้ว่าพลอยพูดไปด้วยอารมณ์เลยไม่ถือสา
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ สบายดีไหม” นักขัตถามไถ่
“ก็สบายดี แล้วทำไมถึงได้มากับ...” หล่อนหมายถึงนักขัตน่าจะมากับวันชนะ แต่ก็หยุดคำได้ทัน เพราะเวลาหลายปีที่ไม่ได้เจอกันอาจจะมีบางอย่างเปลี่ยนไปแล้วก็ได้ จึงเปลี่ยนเป็นพูดต่อว่า “...มากับผู้หญิงคนนี้” เป็นการพูดกระแทกกลายๆ
“ทำไม ฉันทำไม” พลอยเริ่มขึ้นเสียงอีกครั้ง
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่จะบอกว่าผู้หญิงคนนี้สวยม๊ากมาก...” ท้ายประโยคหลินลากเสียงยาวเหยียด
“เชอะ ฉันรู้ตัวหรอกย่ะ ว่าฉันสวย” พลอยรับสมอ้างถึงรู้ว่าอีกฝ่ายพูดประชดก็เถอะ
เสียงริงโทนมือถือของนักขัตดังขึ้นอีกครั้ง สองสาวจึงเงียบเสียง
เบอร์ไม่ได้ถูกบันทึกเบอร์เดิมโทรเข้ามาอีกครั้ง
“ครับ?” สีหน้าของนักขัตยิ่งแปลกใจมากขึ้นกว่าตอนรับสายครั้งแรก “ใครครับ?”
ไม่มีคำตอบผ่านโทรศัพท์
เพราะคำตอบอยู่ตรงหน้าแล้ว!
วันชนะยังถือมือถือแนบกับหู สายตามองไปยังนักขัตที่ยืนอยู่ข้างหน้า เขากรอกเสียงปนกับเสียงหอบฮักจากที่วิ่งมา “เราเอง ตั้ม”
“วิน” นักขัตตอบรับผ่านมือถือ แต่สายตาจับจ้องไปที่คนที่กำลังเดินเข้ามาหา
“ผมรักคุณ ผมยังรักคุณเต็มหัวใจ” สาวเท้าไปข้างหน้าเรื่อยๆ “จะอภัยให้ผมได้มั้ย”
จนวันชนะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านักขัตโดยไม่สนใจใครรอบข้าง นักขัตจึงได้กรอกเสียงลงไปในมือถือว่า
“ผมไม่อภัยให้วินหรอก” ดวงหน้าหล่อเหลาเริ่มมีรอยยิ้ม “วินไม่เคยผิด ผมไม่มีเรื่องอะไรจะต้องให้อภัย”
พลอยงงที่นักขัตกางแขนออกต่อหน้าคนมาใหม่ ขณะที่หลินยิ้มอย่างยินดีอยู่ข้างหลัง หล่อนไม่รู้หรอกว่าทั้งสองคนนี้มีเรื่องอะไรกันแต่ภาพที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นหล่อนเคยสัมผัสมาแล้วและก็รู้ว่ามันสวยงามเพียงไร
“เฮ้ย!” พลอยอุทานอย่างลืมตัวเมื่อชายหนุ่มอีกคนที่เดินมาหยุดยืนตรงหน้านักขัตโผเข้าหาอ้อมกอดนั้นและคนทั้งคู่ก็กอดกันแนบแน่นกลางห้างโดยไม่แคร์สายตาใคร
นักขัตกับวันชนะเหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งที่มีแต่เขาสองคน หลังจากกอดกันแนบแน่นและเนิ่นนานวันชนะก็เริ่มรู้สึกถึงสายตาหลายคู่และเสียงหัวเราะคิกคักจึงได้ดันตัวนักขัตออกแล้วยืนเก้อๆ
นักขัตเองก็รู้สึกแต่เขาไม่แคร์ นานเหลือเกินที่เขาไม่ได้สัมผัสความรู้สึกอิ่มเอิบแบบนี้
“ตั้ม!นี่ใครคะ” พลอยถามหน้าเหวอแต่เสียงก็กึ่งจะพาล
“วินครับ แฟนผม” นักขัตตอบอย่างเต็มเสียงพร้อมรอยยิ้ม
พอรู้คำตอบ หญิงสาวก็หลุดไปอยู่อีกโลก...คนเดียว
“หึ หล่อนน่ะสวยนะ แต่คงต้องไปเช็คสายตาเสียหน่อย เป็นไปได้ก็ตัดแว่นที่ติดเรดาร์แสกนเกย์ไว้ด้วยนะยะ จะได้ไม่ตาถั่ว” หลินกัดแรงอย่างไม่จริงจังก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับแฟนหนุ่มที่หล่อนบอกว่าเป็นชายแท้ทั้งแท่ง
“ไปกันเถอะค่ะมาริโอ้” เสียงหล่อนดี๊ด๊าที่ชนะศึก
“เราไปหาที่คุยกันเถอะ” นักขัตจูงมือวันชนะเดินฝ่าวงไทยมุงโดยไม่สนใจเสียงกรี๊ดของพลอยที่ดังแผดห้างไปทั้งชั้น