[นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake  (อ่าน 273199 ครั้ง)

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
ตอนที่ 11

“ไง...อารมณ์ดีจริงนะแกตั้งแต่จะแต่งงงแต่งงานเนี่ย”

ปถวีเอ่ยทักน้องชายที่เดินหน้าตาผ่องใสเข้ามาทรุดตัวนั่งใกล้ๆ

“ก็งั้นละ พี่ลองดูบ้างดิ”

“อะ...ไอ้นี่! เดี๋ยวฉันก็ล้มงานแต่งแกข้อหาหมั่นไส้ซะหรอก”

“อะๆอย่านะพี่ กว่าจะมาถึงวันนี้ผมกลุ้มแทบแย่” อนลมองพี่ชายหาวปากกว้างอย่างคนอดนอนด้วยรอยยิ้ม

“ไปทำอะไรมาหาวแต่เช้าเลยพี่”

“อืม...เมื่อคืนอยู่กินเหล้ากับไอ้ไผ่ดึกไปหน่อย” ปถวียกมือขึ้นลูบต้นคอตนเองไปมา

“แล้วแม่โทรเรียกฉันมาทำไม รู้มั้ย”

“อ๋อ...เห็นว่าวันนี้จะไปสมาคมอะไรก็ไม่รู้ละพี่ แม่เขาอยากให้พี่ไปด้วยน่ะ”

“ไปทำไม ปกติก็ให้ลุงยิ้มขับรถให้นี่ แล้วจะเอาฉันไปทำไม” ปถวีขมวดคิ้วยุ่งเมื่อเห็นน้องชายทำหน้าทำตาเจ้าเล่ห์

“สงสัยจะพาไปโชว์ตัวละมั้ง” อนลหัวเราะไปตอบไป

“อย่ามามัวอมพะนำ เดี๋ยวก็เจอของแข็งหรอกไอ้นล บอกมาเร็วๆ” ขายาวๆของพี่ชายตั้งท่าจะหยันบั้นท้ายน้องชายไปไกลๆ

“อะ! อย่านะพี่ เดี๋ยวหายไม่ทันงานแต่งละยุ่งเลย”

“เร็วๆ”

“ก็ได้ๆ เห็นแม่เขาเปรยๆว่าถูกใจลูกสาวเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกด้วย คงน่ารักน่าเอ็นดูใช่หยอกแม่ถึงอยากให้พี่ได้เห็นละมั้ง เผื่อพี่จะถูกใจ แม่จะได้จับแต่งคู่ไปเลยไง ฮ้าๆ” อนลหัวเราะขำพี่ชายที่ทำหน้าตาเหมือนกินยาขม

“ฉันกลับละ ฝากบอกแม่ว่าฉันติดธุระกะทันหันวะ”

“เดี๋ยวพี่...” อนลดึงเสื้อพี่ชายแทบขาดติดมือเมื่ออีกฝ่ายตั้งท่าจะลุกหนี

“หนีไปแบบนี้เดี๋ยวก็ได้เจอฤทธิ์แม่เข้าหรอกพี่”

“ฉันไม่ชอบไปนั่งปั้นหน้ายิ้มแบบนั้นนะไอ้นล แกชอบแกก็ไปเองดิ”

“อ้าวพี่...ผมจะแต่งงานแล้ว แม่จะเอาผมไปไมอ่ะ”

“เฮ้อ”

อนลมองพี่ชายถอนหายใจยาวแล้วก็อดเห็นใจไม่ได้

“ก็แค่ไปๆตามใจแม่เขาหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกพี่ แม่คงไม่ขัดใจหรอกถ้าพี่ไม่ชอบจริงๆ ก็ดูผมสิ แม่ยังเข้าใจเลย”

ปถวีเหลือบตามองคนกำลังเกลี่ยกล่อมแล้วก็ถอนหายใจอีกรอบ

“เฮ้อ”

ฉันมีเมียแล้ว...ก็พี่เขยแกไงไอ้นล ไอ้ซื่อ!

“พี่...ไม่ไปแม่จะเคืองเอานา...” อนลยังกล่อมต่ออีกรอบ

“เออๆ” ปถวีจำใจรับปากก่อนจะล้มตัวลงบนกองหมอนใบใหญ่ที่วางเกลื่อนพื้น

เมื่อได้เวลาคุณศรีสอางค์ก็เดินอมยิ้มเอาใจลูกชายหน้าเป็นตูดให้ไปอาบน้ำอาบท่า ก่อนจะพากันออกไปยังสมาคมท่ามกลางสายตาของผู้เป็นสามีและลูกชายคนเล็กที่มองตามไปตาปริบๆ

“ทายสินล ว่าพี่แกจะอยู่ได้ถึงชั่วโมงมั้ย”

“สิบบาทเอาบาทเดียวเลยพ่อ ไม่ถึงชั่วโมงพี่ต้องรีบหาเรื่องเผ่นออกมาแน่นอน”

“หึๆ เฮ้อ...คุณศรีสอางค์นะคุณศรีสอางค์” คุณทรงยศพึมพำก่อนจะชักชวนลูกชายไปช่วยกันแต่งกิ่งต้นไม้ดัดสุดรักสุดหวง


XXXXX


“ไหว้พี่เขาสิลูก” คุณหญิงลออเอ่ยบอกลูกสาวตนเอง

ปถวีรับไหว้หญิงสาวรูปร่างโปร่งบางดูระเหิดระหง หากแต่ในความเพรียวบางนั้นกลับพกพาความมั่นใจมาเต็มร้อย ด้วยเสื้อผ้าที่สวมใส่ดูจะเน้นส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกายสมส่วนรับกันอย่างพอเหมาะพอเจาะไปกับใบหน้ารูปไข่สวย! ปถวีต้องร้องบอกกับตัวเองอย่างไม่ต้องหยุดคิด เพราะลูกสาวคุณละออเป็นผู้หญิงที่สวยแลดูมั่นใจในตัวเองอย่างหาตัวจับยากเชียวละ

แม่นี่ตาแหลมจริงๆ...

“หนูอร พี่เขาเรียนจบด๊อกเตอร์มาจากอังกฤษ น่าจะคุยกันรู้เรื่อง ถ้าหนูมีอะไรอยากให้พี่เขาช่วยก็บอกนะ ไม่ต้องเกรงใจ พี่ๆน้องๆกันทั้งนั้น” คุณศรีสอางค์ยิ้มเบิกบานพลางทำตัวเป็นสะพานเชื่อมสองฝั่งคลองเต็มที่

“น้องเขาเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีจากอังกฤษมาเหมือนกันนะวี” ปถวียิ้มรับคำบอกเล่าของมารดา แต่ในใจนั้นกลับว่างเปล่าไม่ได้สนใจรายละเอียดปลีกย่อยที่ผู้หลักผู้ใหญ่บรรจงพูดกรอกหูให้เห็นถึงความงามพร้อมสรรพของหญิงสาว

“นี่ถ้าหนูอรจะไปไหนก็ให้พี่เขาไปเป็นเพื่อนได้นะ คุณแม่จะได้สบายใจ ไปกับคนรู้จักกันเองกันทั้งนั้น ไปเรียนที่โน้นเลยไม่ค่อยมีเพื่อนที่นี้ไม่ใช่หรือหนูอร” เห็นลูกชายเอาแต่ยิ้มรับเงียบๆคนเป็นแม่ยิ่งได้ทีเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวทั้งคู่เต็มที่

“ขอบคุณคะคุณป้า แต่จะรบกวนพี่เขารึเปล่าคะเนี่ย” หญิงสาวหันมายิ้มเก๋ให้ชายหนุ่มเชิงถามความสมัครใจ

“ถ้าไม่ติดงานก็ยินดีครับน้องอร”ปถวียกยิ้มให้อย่างสบายๆ ขืนมากระโตกกระตากเอาตอนนี้ มีหวังแม่เอาเขาตายแน่ๆ

“ขอบคุณคะพี่วี ความจริงถนนหนทางในกรุงเทพก็เปลี่ยนไปมากเหมือนกันนะคะ น้องอรกลับมาบ้านแต่ละครั้งงงเลยคะ”

“ยุคก้าวกระโดดน่ะน้องอร อะไรๆมันก็ดูจะเร็วเกิน จนเราๆจะรับกันไม่ทันอยู่แล้ว แต่ก็แค่ในตัวเมืองใหญ่ละนะ ถ้าน้องอรขับรถเลยกรุงเทพไปไม่กี่กิโล สองข้างทางมันยังเป็นป่ารกชัฏอยู่เลย” ปถวียักไหล่ชวนให้หญิงสาวหัวเราะขำน้อยๆ

“แม่ไม่ยอมให้น้องอรขับรถไปไกลเกินว่าปากซอยหมู่บ้านตัวเองหรอกคะ แม่กลัวน้องอรจะขับหลงแล้วไปจูบท้ายใครเข้า”

“งั้นวีก็พาน้องอรไปเปิดหูเปิดตาบ้างสิ ไปแบบนี้คุณละออจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะเป็นคนคุ้นเคยกันทั้งนั้น จริงมั้ยคะคุณละออ” คุณศรีสอางค์หันไปพยักหน้ากับคุณหญิงละออที่ยิ้มรับอยู่ก่อนแล้ว จนปถวีแทบจะกลืนน้ำลายเหนียวๆไม่ลงคอ

“ฮะๆ” ปถวีหัวเราะเก้อๆ ก่อนจะหาทางเลี่ยงตอบไปอย่างถนอมน้ำใจ “คงต้องตอนที่ผมว่างจากงานละครับ ช่วงนี้ปลีกตัวไปไหนไม่ค่อยได้เลย”

“จ๊ะๆ คนทำงานก็แบบนี้ละคะคุณละออ” มารดาของปถวีหันไปหัวเราะน้อยๆกับคุณละออ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหลังบุตรชายเบาๆราวกับจะเอาใจ และภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้นักหนา

“ไว้ว่างแล้วลูกค่อยพาน้องเขาไปเปิดหูเปิดตาก็ได้ จะได้เที่ยวกันให้สนุก”

“ครับแม่ แล้วน้องอรอยากไปไหนละครับ” ปถวีพยักหน้ารับคำมารดา แล้วจึงหันไปถามหญิงสาว

“อรอยากไปศาลหลักเมืองนะคะ ตั้งแต่กลับมาก็อยากไปกราบซักครั้ง” อรอนงค์ยิ้มน้อยๆให้ชายหนุ่มที่พรั่งพร้อมไปด้วยรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติอย่างพึ่งใจอยู่เงียบๆ ทั้งๆที่ก่อนจะออกจากบ้านตามมารดามาที่สโมสรก็อิดออดอยู่ไม่น้อย แต่บุรุษตรงหน้าทำให้หญิงสาวต้องนึกขอบคุณมารดา เพราะเป็นผู้ชายในฝันที่ผู้หญิงร้อยทั้งร้อยก็อยากได้มาเป็นคนรัก หรือแม้แต่คู่นอนชั่วข้ามคืน

ปถวีนั่งคุยกับอรอนงค์อีกเกือบชั่วโมงก่อนจะขอปลีกตัวไปหามารดาเพื่อชวนกลับบ้าน หากแต่เพราะตาโตๆของคุณศรีสอางค์ทำให้ปถวีจำต้องสงบปากแล้วค่อยๆเลี่ยงไปรอมารดาในรถคันงาม

ไม่ใช่เขาจะไม่ถนัดในการเข้าสังคม แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะยืนฉีกยิ้มจนเหงือกแห้งให้ใครๆได้เห็น เพราะในใจของเขามันเหมือนมีเสี้ยนเล็กๆคอยทิ่มต่ำให้เสียวแปลบๆ โดยที่ไม่รู้จะหาอะไรมาบ่ง มาเขี่ย มาสะกิดให้หลุดออกมาได้


XXXXX


“ให้วาช่วยมั้ยคะพี่”

วารีแง้มประตูมองนทนทีกำลังก้มหน้าก้มตาจัดเตรียมเสื้อผ้าสำหรับไปสัมมนาที่พัทยา แต่สงสัยพี่ชายคนดีของวารีจะหมกมุ่นคิดอะไรบางอย่างถึงได้นิ่งเงียบจนกระทั่งวารีสาวเท้าเข้ามาใกล้ๆนั่นละ นทนทีถึงได้ตื่นจากภวังค์

“อะไรหึ” พี่ชายยิ้มเรียบเรื่อยขณะที่น้องสาวทรุดตัวนั่งลงข้างๆ พลางย่นจมูกนิดๆ

“เหม่อไปถึงไหนกันคะ วาถามว่าจะให้ช่วยอะไรมั้ยน่ะคะ” หญิงสาวเอื้อมมือหยิบเสื้อที่กองอยู่ขึ้นมาพับไปพลาง

“อะ...อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกวา คิดเรื่องงานเพลินๆน่ะ ผ้าแค่นี้พี่จัดเองได้ ว่าแต่เราเถอะ เรื่องเปลี่ยนงานเป็นยังไงบ้างละ ตัดสินใจรึยัง” นทนทีมองน้องสาวที่ทำท่าครุ่นคิดแล้วจึงค่อยๆระบายลมหายใจอย่างอึดอัดเล็กๆ

“ก็คงต้องย้ายไปทำงานกับคุณแม่พี่นลละคะ วาไม่อยากให้ท่านกังวล อีกอย่างท่านก็หวังดีด้วย ถึงที่ทำงานเก่าจะดีอยู่แล้วก็เถอะ ทำไงได้ละคะ ก็ทั้งคุณแม่คุณพ่อพี่นล พี่วีก็ด้วย ต่างเห็นดีเห็นงามกันไปหมด

แล้ววาจะพูดอะไรได้อีกละคะ” นทนทีอมยิ้มน้อยๆเมื่อฟังน้ำเสียงบ่นกระปอดกระแปด ก็อย่างว่า พอตกลงแต่งงานกันได้ชีวิตของวารีก็เหมือนเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันจนแทบตั้งตัวไม่ติด และบางครั้งก็เกิดอาการประหม่าอึดอัดตามมาบางเหมือนกัน

“ทางโน้นเขาคงเป็นห่วงเรานั่นละ นี่คงหาฤกษ์แต่งก่อนนลจะไปเรียนต่อ ก็อีกหกเดือนนี่นะ เป็นธรรมดาที่อยากให้ลูกสะใภ้มาอยู่ใกล้หูใกล้ตา วาก็เข้าใจใช่มั้ยละ?”

นทนทีขยี้เส้นผมนุ่มสลวยเบาๆก่อนจะไล่ให้วารีไปช่วยมารดาทำกับข้าวมื้อเย็น

จะว่าไปเรื่องนี้ก็แค่อนลเป็นห่วงว่าที่ภรรยาตัวเองซะมากกว่า ก็จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง แต่งงานกันยังไม่ทันไรก็ต้องไปเรียนต่อ แบบนี้ก็น่ากลุ้มใจใช่น้อยเสียเมื่อไร

เฮ้อ…แต่ยังไงพวกเขาก็เข้าใจกันดี ต่างฝ่ายต่างยอมรับกันและกันได้ ในขณะที่เขา...หรือแม้แต่ไผ่...ก็ไม่อาจไปถึงจุดนั้นได้

ไผ่ไปอยู่ที่ไหนกัน...

นทนทีตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง เพราะก่อนที่จะลงมือจัดกระเป๋า ประวิชโทรมาถามสารทุกข์สุกดิบตามปกติ แต่ไม่ปกติก็ตรงประโยคถัดมาเมื่อประวิชถามหาไผ่เอากับเขา

“ฉันติดต่อเจ้าไผ่ไม่ได้ นี่ก็จะกลับใต้แล้ว นทรู้มั้ยว่าเจ้านั่นไปไหน ฉันไปหาที่บ้านก็ไม่เจอ ถามแม่บ้านก็บอกว่าไม่รู้ มันแปลกๆ” ประวิชขมวดคิ้วย่น ขณะที่รอลุ้นคำตอบตัวโก่ง

ขอให้เจอทีเถอะ

“อ้าว ติดต่อไม่ได้เลยเหรอ งั้นเดี๋ยวฉันโทรหาดูอีกทีนะ แล้วจะโทรไปบอก”

นทนทีกดโทรศัพท์หาเพื่อนตัวเล็ก หากแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือเสียงบอกไม่มีสัญญาณตอบรับ จึงกดโทรไปยังเบอร์บ้าน และความจริงที่ได้รับรู้จากปากมารดาของไผ่ก็ทำเอานทนทีตกตะลึง

“ไผ่บอกว่าจะไปทำงานกับเพื่อนนะจ๊ะ แม่ก็ไม่รู้ว่าที่ไหน เจ้าตัวไม่ยอมบอกอะไรแม่เลย แค่บอกว่าจะโทรมาหาแม่บ่อยๆแค่นั้น ไม่รู้กินอะไรผิดสำแดงรึเปล่าถึงได้มีอาการแปลกๆ”

“แปลกยังไงครับแม่”

“ก็เงียบๆ แล้วก็กินเหล้าจัดมาก เห็นเป็นยังงั้นแม่ก็เลยปล่อยให้เขาทำตามใจตัวเอง ให้เขาสบายใจแล้วค่อยว่ากันใหม่ แต่แย่จริงๆนะลูกคนนี้ แม้แต่นทก็ไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟังเลยหรือลูก”

“มะ...ไม่ครับ ยังไงถ้าไผ่ติดต่อมา ฝากแม่บอกไผ่ด้วยว่า ผมเป็นห่วงให้โทรมาหาด้วยนะครับ”

“จ๊ะ”

สิ้นคำร่ำลา นทนทีก็รีบโทรกลับหาประวิชและถามถึงสิ่งที่กังวลอยู่ในใจออกไปทันที

“วิชมีเรื่องอะไรกับไผ่รึเปล่า” น้ำเสียงร้อนรนของนทนทีทำให้ประวิชขมวดคิ้วย่น แม้ไม่อยากจะพูดแต่ก็คงปิดไปไม่ได้ตลอดแน่ๆ คนตัวใหญ่จึงได้เล่าเหตุการณ์คราวๆให้ฟัง

นทนทีครางเครือในลำคอเมื่อได้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น และแล้วก็มีวันนี้จนได้ วันที่ความรู้สึกไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไปจนต้องระบายบอกให้เจ้าตัวรู้ แม้จะเสี่ยงกับผลลัพธ์ก็ตาม

ผลลัพธ์ที่เป็นอยู่นี่ไง

มือเล็กกำรอบโทรศัพท์แน่น แล้วจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นน้อยๆ

“แล้ววิชคิดยังไงกับไผ่ละ”

“นท!” ประวิชขึ้นเสียงเหมือนกับโมโหอะไรซักอย่าง หากแต่อีกฝ่ายก็ยังรอคอยคำตอบอย่างใจเย็น

“จะให้คิดยังไง! ไอ้ไผ่มันก็เพื่อนฉันนะ แล้วจะให้คิดอะไรอีกละ” เสียงดังๆที่มาตามสายพร้อมกับคำตอบที่อธิบายทุกอย่างได้ดี นทนทีจึงพยักหน้ารับรู้พลางเดินไปรับลมเย็นๆที่หน้าต่างแล้วกวาดตามองไปยังความมืดมิดภายนอก

“งั้นก็ปล่อยไผ่ไปซักพักเถอะ อย่าตามหาเลย เพราะถึงหาเจอแล้วนายจะทำอะไรได้ละ ในเมื่อความต้องการของพวกนายมันสวนทางกัน”

“นท...” ประวิชลากเสียงอย่างคนหงุดหงิด

“ให้ตายเถอะ! ถึงจะเป็นแบบนี้แต่ฉันก็ห่วงมันนะ”

“ฉันก็ห่วง แต่ไผ่ไม่ใช่เด็กเล็กๆนะวิช คงไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามไปหรอก” ถึงจะพูดปลอบเพื่อนไปแบบนั้น แต่ในใจก็อดหวั่นไหวไม่ได้ เพราะไผ่เล่นหายไปเงียบๆไม่บอกไม่กล่าว แต่เขาจะเก็บคำถามนี้ไว้ถามเพื่อนซี้อีกคน ปถวี!

“มันนั่นละ เป็นยิ่งกว่าเด็กอีก!” ประวิชกระแทกเสียงอย่างเหลืออดในความใจเย็นของอีกฝ่าย ขณะที่เขาร้อนเหมือนถูกไฟลน

“อย่างน้อยก็น่าจะบอกกันก่อนไปสิ จะได้รู้ว่าอยู่ในที่ๆปลอดภัย”

“ถ้าบอก นายคงไปหาแน่นอน ไปทั้งๆที่นายตอบสนองความรู้สึกของไผ่ไม่ได้ “

“แล้วจะปล่อยไว้แบบนี้รึไงนท!”

“ฉันรู้ๆว่านายเป็นห่วง แต่ความใจดีตามไปดูสารทุกข์สุขดิบของนายยิ่งจะทำให้ลำบากใจกันไปเปล่าๆ ปล่อยไปซักพักเถอะวิช”

ประวิชส่ายหน้ากับโทรศัพท์ อย่างไม่ยอมรับในคำพูดของเพื่อน เพราะถ้าเขาไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นว่าไผ่อยู่ที่ไหน เขาคงทำใจให้สงบไม่ได้

“มะ...ไม่นท ฉันกลัวเจ้านั่นจะไปทำอะไรที่ทำร้ายตัวเอง แล้วฉันจะรู้สึกผิดยิ่งกว่านี้นะนท”

“ประวิช ก่อนที่นายจะไปตามหาไผ่ ฉันว่านายหาตัวเองให้เจอก่อนดีกว่า หาจุดที่ตัวเองควรจะยืนอยู่ ใกล้...ไกลแค่ไหนของไผ่กันแน่ ตอนนี้ฉันอยากให้นายทำยังงั้น ส่วนเรื่องไผ่ เดี๋ยวฉันจะช่วยด้วยอีกแรง แต่ฉันคิดว่าไผ่คงอยู่ที่ไหนซักแห่ง ที่ๆจะช่วยให้ลืมความเจ็บปวดได้ และคนอย่างเจ้านั้นไม่ทำร้ายตัวเองหรอก ถึงนายจะไม่ได้รู้สึกรักแบบนั้น แต่ก็น่าจะเชื่อใจเพื่อนบ้างนะ”

ประวิชนิ่งเงียบแม้เพื่อนจะพูดจบไปแล้ว ควรจะอยู่จุดไหนน่ะเหรอ... ที่ผ่านมาก็อยู่ด้วยกันมาตลอด ไม่เห็นต้องคิดอะไรให้ยุ่งยากเลย แล้วจะให้เปลี่ยนแปลงอะไร...

แต่วันนี้ เจ้านั่นหายไปแล้ว เขาร้อนรนเหมือนมีไฟมาสุมในอก เขาหงุดหงิด กลัดกลุ้ม ไม่อาจสงบใจได้เลย เขาควรจะคิดเรื่องของเพื่อนคนนี้ให้จริงจังแล้วใช่มั้ย ไม่ใช่ปล่อยผ่านไปอย่างที่ผ่านมา

แล้วมันจะสายเกินไปรึเปล่านะ...


XXXXX


“เฮ้อ...เมื่อย” ทวีปบิดกายอย่างขี้เกียจเมื่อการสัมมนาในห้องประชุมใหญ่ของโรงแรมเมืองพัทยาจบลง

“ประธานนี่เขี้ยวเนอะนท” ร่างสูงหันไปกระซิบกระซาบกับนทนทีด้วยกิจกรรมวันนี้เริ่มต้นตั้งแต่มาถึงโรงแรมจนกระทั้งเย็น แถมพรุ่งนี้ยังมีประชุมต่ออีกครึ่งวันจึงจะปล่อยให้เป็นเวลาส่วนตัว ก่อนจะกลับในช่วงบ่ายของวันรุ่งขึ้น

“หึๆ” นทนทียิ้มขำกับท่าทางอีกฝ่ายแต่ไม่ต่อความยาวกับคำพูดเล่นของอีกฝ่าย

“เราไปเดินเล่นหาที่กินข้าวดีกว่า อย่ากินที่โรงแรมตามคูปองที่เขาแจกให้เลย ไม่สนุกหรอก มาถึงที่แบบนี้มันต้องไปย่ำราตรีกัน” ทวีปตบบ่าเล็กหนักๆก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ นทนทีเงยหน้ามองทวีปแล้วจึงขอตัวออกไปรับสาย

เทวัญเดินตามมาสมทบกับทวีปก่อนจะเหลือบมองนทนทีที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ไม่ไกล

“จะพากันไปไหนหึ ไอ้ต่อ อย่าพิเรนนะแก” เทวัญมองเพื่อนสนิทอย่างไม่ไว้ใจ

“โฮ้...อะไรจะห่วงปานนั้น แค่จะพาไปกินข้าวแถวชายทะเลแล้วค่อยพาไปดูคาบาเร่ต์ก็เท่านี้ละท่านประธาน” เสียงยางคางในตอนท้ายทำให้เทวัญนึกอยากจะยันเพื่อนให้ติดกำแพง

“งั้นเดี๋ยวไปด้วยกันนี่ละ ฉันเลี้ยงเอง” เทวัญยกนิ้วโป้งชี้ไปด้านหลังที่มีกลุ่มคนที่สนิทชิดเชื้อกับเทวัญรออยู่6-7คน

“งั้นเตรียมถูกล้มทับได้เลย” ทวีปยักคิ้วหลิวตาหัวเราะ

“แกจะกินจนพุงแตกตายฉันก็ไม่ว่าหรอกนะ ไอ้ต่อ!” เทวัญแดกดันเพื่อนแล้วจึงกวักมือเรียกกลุ่มที่รออยู่ให้เดินมาสมทบ

นทนทีเหลือบมองกลุ่มของเทวัญที่มาสมทบกันและกำลังรอเขาอยู่เพียงคนเดียว ก่อนจะกรอกเสียงใส่โทรศัพท์อย่างใจเย็น

“งั้นแสดงว่าตอนนี้นายส่งไผ่ไปอยู่ที่โน้นแล้วใช่มั้ย” นทนทีถามย้ำหลังจากที่ได้ฟังอีกฝ่ายบอกเล่าเรื่องของไผ่

“ใช่ แล้วไผ่มันขอร้องไม่ให้บอกเจ้าประวิชน่ะ มันอยากอยู่คนเดียวซักพัก”

“อืม...ฉันเข้าใจ ไงเดี๋ยวเรื่องนี้ค่อยคุยกันอีกทีนะวี ตอนนี้เพื่อนๆรอไปกินข้าวเย็นกันแล้วละ”

“เหรอ งั้นดึกๆจะโทรไปนะ แล้วนทนอนยังไงกันละ”

“ฉันนอนกับหัวหน้างานน่ะ...”

“สะดวกสบายรึเปล่านท ถ้าไงแยกไปนอนที่รีสอร์ทในเครือบ้านฉันก็ได้นะ เดี๋ยวจะโทรไปจองให้ แล้วให้คนขับรถไปรับไปส่งเอาก็ได้” ปถวีหว่านล้อมเหมือนวันก่อนเดินทาง

“ไม่ลำบากอะไรหรอก ที่โรงแรมนี่เขาก็สี่ดาวแล้วนะ อีกอย่างมาสัมมนาเขาก็อยากให้สนิทสนมกับคนในบริษัทเยอะๆ ขืนแยกไปนอนคงถูกเขม่นเอาน่ะสิ ไม่ต้องห่วงหรอก จะโทรหาเป็นระยะๆนะ” นทนทีตอบเสียงเรียบแม้จะเจ็บแปลบๆกับสิ่งที่ปถวีเสนอมาแฝงความไม่ไว้วางใจในตัวเขาก็ตาม

ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย...

“เอางั้นเหรอ”

“อือ”

“งั้นมีอะไรก็บอกนะ แล้วอย่าปิดโทรศัพท์ละ” แม้จะเป็นตอนนอนก็ตาม ปถวีคิดต่อในใจหากแต่ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ ก่อนจะวางโทรศัพท์นั่งครุ่นคิดถึงอีกฝ่าย

เขาไม่ไว้ใจไอ้ประธานบ้านั่นเลย ก็เจ้านั่นเล่นแสดงตัวออกมาอย่างโจ่งแจ้งว่าสนใจนทนที ทั้งยังมีโอกาสได้ใกล้ชิดสนิทสนม แล้วใจคน...ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่จะไม่รู้สึกอะไร

จะหวั่นไหวไปบ้างมั้ยนะ...

ปถวียกมือขึ้นขยี้ศรีษะตัวเองแรงๆก่อนจะลุกขึ้นเดินตึงๆไปคว้าเสื้อนอกเหวี่ยงพาดไหล่เดินออกจากห้อง

เขามีนัดพาอรอนงค์ไปดินเนอร์เย็นนี้


XXXXX


นทนทีมองผู้คนหนาตาที่เดินผ่านไปผ่านมาหลังจากทานอาหารเสร็จ ส่วนใหญ่จะหัวทองมากกว่าหัวดำซะอีก ยักกะไม่ใช่เมืองไทย ร่างโปร่งสูดอากาศเย็นๆพลางเดินตามเพื่อนร่วมงานที่เดินนำหน้า แม้จะกวาดตามองเห็นความอลหม่านของชีวิตรอบข้างแต่ไม่ได้ทำให้ใจเขารู้สึกมีชีวิตชีวา ความเงียบเหงากลับเข้ามารายล้อมอยู่รอบตัว และจู่โจมเข้ามาสัมผัสหัวใจให้ห่อเหี่ยว

เฮ้อ....ร่างโปร่งระบายลมหายใจเอาความอึดอัดออกมาจากใจ ระบายออกทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเขาอึดอัดเรื่องอะไรกันแน่ ทั้งๆที่พยายาม อดทน แต่ก็ยังไม่สามารถสื่อความรู้สึกให้ถึงใจของอีกฝ่ายได้งั้นเหรอ

ร่างสูงใหญ่ของประธานบริษัทจับจ้องมองคนที่ตัวเองชอบพอมองโน้นมองนี่อย่างไร้จุดหมาย ดูเหมือนคนไม่ได้เอาหัวใจมาด้วย ไปทิ้งไว้ที่ไหนกันเหรอ...

ฉันอยากจะเห็น...เห็นนทหัวเราะ และฉันก็อยากจะเป็นคนๆนั้น คนที่สามารถทำให้นทหัวเราะ อยากให้รอยยิ้มนั้นเป็นของฉัน...แต่...

คืนนั้นทำให้ฉันรู้ว่า แม้เพียงเศษเสี้ยวของเวลา นทก็ไม่มีให้ฉัน

ร่างสูงคิดด้วยหัวใจที่แห้งผาก แต่ถึงยังงั้นก็ยังอยากจะลองเข้าไป...เข้าไปหาหัวใจอันอบอุ่นของอีกฝ่าย

เทวัญเหยียดยิ้มก่อนจะก้าวเท้าเดินกลับไปหาร่างโปร่ง

“ใกล้ทะเลแล้วเหนียวตัวเหมือนกันนะ” เทวัญยิ้มให้นทนทีที่เดินตามหลังมาเรื่อยๆท่ามกลางแหล่งชุมชนผู้คนพุกพล่านและแสงไฟสว่างจ้าพร้อมกับกลิ่นควันอาหารริมทางเดิน

ร่างโปร่งบางเพียงแต่ยิ้มตอบทำให้ประธานใหญ่เลิกคิ้วมองอย่างค้นคว้า

“ถ้าไม่ใช่เรื่องงานเราคุยกันไม่ได้แล้วเหรอ?”

“...!มะ...ไม่ใช่นะครับ”

“แต่ดูนทเหมือนอึดอัดเวลาอยู่กับฉัน” เทวัญมองลูกน้องทำหน้าตาอิหลักอิเหลื่อ

แม้นทนทีจะระล่ำระลักปฏิเสธหากแต่อีกฝ่ายกลับถอนหายใจแล้วยิ้มเย็น ความรู้สึกของเขาคงส่งไปไม่ถึงใจเล็กๆของอีกฝ่ายละมั้ง...

“เอาเถอะ...ฉันจะไม่ถามว่าทำไมหรอก แต่อยากให้ทำตัวตามสบาย ไหนๆก็มาพักสมองทั้งที” เทวัญตบบ่าเล็กเบาๆ

“ฉันเข้าใจ ความรักมันฝืนใจกันไม่ได้”

คำพูดของเทวัญกระทบใจนทนทีจนต้องหยุดชะงัก พร้อมกับเลือดในกายวิ่งพล่านจากสายตาของคนผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ยิ่งทำให้นทนทีรู้สึก! รู้สึกว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องส่วนตัวของเขา แม้เขาจะพยายามปิดบังเท่าไรก็ตาม

แต่ในทางกลับกัน คนของเขาก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือด้วยนี่นะ...ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก...ที่จะรู้!


V
V
V

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
“ขะ...ขอโทษครับ” นทนทีสูดลมหายใจลึกๆ

“ขอโทษทำไม ไม่มีอะไรให้ต้องขอโทษซักหน่อย”

“...ผมแค่อยากอยู่กันอย่างเงียบๆนะครับ”

เทวัญเหลียวมองคนสารภาพสิ่งที่เก็บไว้ในใจเป็นครั้งแรก และลดความเร็วในการก้าวเดินให้เสมอกับอีกฝ่าย

“งั้นฉันทำไม่ดีไปแล้วใช่มั้ย”

“ปะ...เปล่านะครับ”

“หือ...” เทวัญเหล่มองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ

“ไม่ใช่ไม่กล้าคุยกับฉันเพราะเขาหรอกเหรอ” เทวัญรุกคนตัวเล็กด้วยเสียงเรียบเรื่อย เขาอยากรู้ความสัมพันธ์ของนทนทีราบรื่นดีมั้ย

“ออ...เรื่องนั้น...ไม่ใช่หรอกครับ ผมแค่รู้สึกเหนื่อยเลยไม่ค่อยอยากพูดอะไร อยากจะเดินดูไปเรื่อยๆก็เท่านั้นละครับ คุณเทวัญอย่ากังวลไปเลย” นทนทียิ้มแห้งแล้งให้อีกฝ่ายรู้สึกหัวใจกระตุก เพราะเขา...

“ก็นี่ละ...เขาเรียกว่ากังวล”

ร่างโปร่งมองใบหน้าประธานใหญ่ชั่วอึดใจก่อนจะพยักหน้ารับ แม้จะรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายแต่เขาก็ยังอยากให้เทวัญเป็นผู้ฟังและผู้ให้คำปรึกษาที่ดี เขาเห็นแก่ตัวกับคนๆนี้ไปรึเปล่า...

“ผมก็อยากทำให้คนที่รักผมมีความสุขนะครับ แต่ผมก็มีสิ่งที่ผมอยากทำ เวลาความคิดมันสวนทางกัน มันก็ทำให้วางตัวลำบาก”

เทวัญยกมือกุมท้ายทอยตัวเองพลางระบายลมหายใจออกมายืดยาว นี่เห็นเขาเป็นแค่ที่ปรึกษาเรื่องความรักไปแล้วเหรอ...ใจดำจริงๆนะนท พลางเหลือบมองใบหน้าเนียนด้วยความรู้สึกปลงๆ

“ไม่มีใครได้อะไรมาง่ายๆหรอก”

“แต่ก็อยากให้เขาเข้าใจ” นทนทีเหม่อมองไปยังกลุ่มที่เดินนำหน้าอย่างลอยๆ เหมือนอยากจะบอกผ่านไปยังคนที่ตอนนี้นั่งดื่มกินกับคนที่มารดาสนับสนุนอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ

“อย่าสร้างกรอบอะไรกับชีวิตมากนักเลย มันจะเหนื่อยและหนัก แล้วอีกอย่างเราก็ไปเปลี่ยนใครไม่ได้นอกจากตัวเราเอง” เทวัญก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเอง อย่างเขาไงที่ไม่สามารถทำให้คนที่มั่นคงอย่างนายละทิ้งอีกฝ่ายมารักได้ และเพราะไม่อยากเป็นไอ้พวกแพ้แล้วพาลจึงได้แต่เผื่อใจไว้อย่างเดียว

“คุณเทวัญ...” นทนทียิ้มรับเงียบๆ สิ่งที่เขาต้องการตอนนี้คืนคนที่เข้าใจ และผู้ชายคนนี้กำลังให้สิ่งที่เขาต้องการ หัวใจดวงน้อยๆจึงฟูพองโปร่งโล่ง เพราะไม่ต้องมีคำอธิบายอะไรให้ยืดยาว ก็รู้สึกเหมือนได้รับรู้ถึงความปรารถนาดีจากอีกฝ่าย

“ถ้ามันหนักนักก็โยนมันทิ้งไปบ้างเถอะ” เทวัญเปรยๆให้อีกฝ่ายได้ยินก่อนจะยิ้มกว้าง

“หัดเอาแต่ใจบ้างก็ดีนะ” ร่างโปร่งตาโตเมื่อได้ยินคำพูดให้ท้ายของอีกฝ่ายก่อนจะยิ้มกว้าง

“...แล้วถ้าผมเคยตัวจะทำยังไง ใครจะรับผิดชอบกันละครับ” นทนทีตอบพลางสูดลมหายใจเรียกกำลังใจตัวเองกลับมา

ปัญหามันต้องมีทางออกสิ ไว้เขากลับไปก่อนเถอะ จะขอเปิดอกคุยกับปถวีอีกครั้ง

“ถ้าไม่มีใครรับผิดชอบฉันรับเองก็ได้ หึๆ” ร่างสูงยังไม่วายจะหยอดคำให้อีกฝ่ายลังเล เทวัญจึงยิ้มเก๋เมื่อนทนทีทำท่ากระอักกระอ่วนใจ พลางหัวเราะแล้วเร่งให้อีกฝ่ายเดินไปสมทบกับกลุ่มที่เดินนำหน้า


เวลานี้คงไม่ใช่เวลาของเขา...เทวัญมองร่างโปร่งเดินนำไปข้างหน้า ถึงแม้เขาจะยังไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับนทนทีในวันนี้ แต่เขาก็ไม่ใจดีพอจะอวยพรให้อีกฝ่ายมีความสุขกับผู้ชายอื่น ด้วยความสัมพันธ์ที่คลอนแคลนนั้นอาจพังทลายลงมาโดยที่เขาไม่ต้องลงมือทำอะไรเลยด้วยซ้ำ

เขายังมีโอกาส...

ร่างโปร่งเดินเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มที่เดินรั้งท้ายในกลุ่มแล้วจึงยิ้มให้อย่างมีอัธยาศัย ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มรับก่อนจะหยุดมองไปยังอีกฝากของฝั่งถนนที่มีร้านขายของเล็กๆตั้งเรียงรายให้นทนทีต้องมองตาม

หน้าตาดีจัง รู้สึกจะชื่อเหนือมั้ง แต่อยู่แผนกประชาสัมพันธ์ของบริษัทแน่ๆ ที่รู้ก็เพราะเคยเป็นดาราหน้ากล่องมาก่อน เห็นสาวๆในบริษัทกรี๊ดกันเกรียวกราวช่วงแรกๆ

เด็กหนุ่มมีท่าทีสนใจร้านเครื่องประดับที่ทำด้วยมือก่อนก้าวเดินข้ามไป

“อะ! ระวัง” นทนทีตะโกนเสียงดังเมื่อเห็นรถยนต์พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วจากหัวโค้งของถนน ร่างโปร่งยื่นมือไปคว้าแขนอีกฝ่ายโดยสัญชาตญาณ และเงาดำทะมึนข้างหลังก็ยื่นมือมากระชากเอวเล็กปลิวไปปะทะแผ่นอกหนาพร้อมกับร่างเด็กหนุ่มที่ติดมือนทนทีตามมาด้วย

เสียงกระแทกดังตึงข้างหลังทำให้นทนทีหันหลังมองทันที ถึงแม้พวกเขาจะรอดตายจากรถยนต์อย่างหวุดหวิด แต่ร่างสูงใหญ่ของเทวัญที่ช่วยดึงพวกเขาไว้กลับถอยหลังไปชนรถมอเตอร์ไซด์ที่แล่นเข้ามาอย่างจัง

“โอ๊ย!” เสียงร้องของทวีปพร้อมกับการล้มลงของชายหนุ่มทั้งสามคนทำให้พนักงานบริษัทที่เดินนำหน้าวิ่งปรี่เข้ามาช่วยเหลือ

“คุณเทวัญ!” ทุกคนในกลุ่มร้องเป็นเสียงเดียวกันเมื่อเห็นประธานบริษัทล้มลงไปนอนกับพื้นถนนพร้อมกับเด็กหนุ่มสองคน หากแต่เด็กหนุ่มที่ล้มลงไปทับร่างสูงเคลื่อนตัวขยับลุกขึ้นได้อย่างรวดเร็วราวกับไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ในขณะที่ร่างสูงใหญ่กลับยังนอนนิ่งก่อนจะค่อยๆขยับตัวลุกนั่งอย่างช้าๆโดยมีทวีปปรี่เข้ามาประคอง

“เฮ้ย!ไอ้วัญ โอเคมั้ย” ทวีปตบแก้มอีกฝ่ายเบาๆราวกับจะเรียกสติให้กลับคืนมาพลางมองไปรอบๆตัวที่เริ่มมีผู้คนเข้ามามุ่ง และรถจักรยานยนต์ที่ล้มระแนระนาด มีเศษกระจกแตกกระจายบนพื้น พร้อมกับคนขับและคนซ้อนท้ายที่เดินกระย่องกระแย่งมาดูสภาพรถแล้วค่อยๆจับยกขึ้น ก่อนจะเดินมาทางเทวัญที่ยังนั่งมึน

“นี่คุณ ถอยมาได้ยังไง! เดี๋ยวก็ได้ตายกันหรอก” ชายหนุ่มเจ้าของรถจักรยานยนต์พูดด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์ ขณะมองเทวัญที่สลัดศีรษะเบาๆแล้วมองกลับมา ก่อนจะค่อยๆยกมือขึ้นโบกไปมา

“ขะ...ขอโทษครับ ผมหลบรถยนต์เลยถอยไปชนคุณเข้า” ร่างสูงพยายามจะลุกขึ้นยืนแต่ต้องนิ่วหน้าแล้วนั่งลงตามเดิม ก่อนจะยกมือขึ้นกุมซี่โครงด้านขวาของตัวเองพลางมองคู่กรณีที่ทะลอกปอกเปิกไม่น้อย

“ยังไงให้ผมช่วยเรื่องรถที่ต้องซ่อม อย่าเพิ่งโมโหเลยครับ ผมจะรับผิดชอบให้” เทวัญฝืนบอกให้ชายหนุ่มวัยรุ่นอารมณ์เย็นลง ก่อนจะกระซิบบอกให้เลขาคู่ใจช่วยจัดการเรื่องต่อให้

“คุณเทวัญ...”นทนทีมองชายหนุ่มที่ยังลุกขึ้นไม่ไหวอย่างเป็นห่วง ก่อนจะเหลือบมองเด็กหนุ่มคนต้นเหตุที่แสดงท่าทีวิตกกังวลไม่น้อยนั่งตัวสั่นอยู่ข้างๆ “โทรให้ทางโรงแรงส่งรถมารับไปโรงพยาบาลแล้วครับ รู้สึกยังไงบ้างละครับเนี่ย เจ็บตรงไหนบ้างครับ”

“เจ็บ...แถวๆซี่โครง แต่คงไม่เป็นไรมาก แล้วนทละเป็นอะไรรึเปล่า” เทวัญมองสำรวจไปตามตัวร่างโปร่งเป็นที่พอใจแล้วจึงมองไปยังเด็กหนุ่มตัวต้นเหตุด้วยสายตาดุแกมไม่พอใจ ทำให้นทนทีใจไม่ดีต้องรีบเอ่ยแทรกก่อนที่เจ้านายใหญ่จะระเบิดอารมณ์ด้วยความเจ็บ

“อย่าเพิ่งว่าอะไรกันเลยครับ เดี๋ยวค่อยๆขยับไปนั่งที่ริมฟุตบาทก่อนดีกว่า” นทนทีค่อยๆพยุงร่างสูงโดยมีเด็กหนุ่มพยายามยื่นมือสั่นๆมาช่วย แต่ร่างสูงกลับปัดมือออกให้คนอื่นเข้ามาช่วยพยุงแทน ทำให้เด็กหนุ่มหน้าเสียน้ำตาคลอเบ้า จนนทนทีที่เห็นต้องยิ้มให้กำลังใจ

“คนกำลังเจ็บก็โมโหแบบนี้ละ เดี๋ยวก็หาย ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ ไม่เป็นอะไรกันก็ดีแล้วละ” นทนทีเอ่ยเสียงเบาทำเหมือนว่าประธานใหญ่จะไม่ได้ยิน ซึ่งคนที่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินก็ตวัดสายตาให้เด็กหนุ่มสะดุ้งก่อนจะหันตัวตามแรงคนประคองไปนั่งพัก

เด็กหนุ่มขบริมฝีปากแน่นก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำจากตาออกอย่างลวกๆแล้วหันไปหาทวีปที่กำลังช่วยเหลือคู่กรณีเพื่อไม่ให้เรื่องต้องไปถึงตำรวจให้ยุ่งกันไปใหญ่

“ให้ผมออกค่าเสียหายเองนะครับพี่ต่อ” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นทำให้ทวีปหันมองคนหน้าตาโศกอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะยกมือขึ้นแตะแก้มเด็กหนุ่มที่มีแผลทะลอกให้เจ้าตัวสะดุ้งด้วยความเจ็บ

“ไม่ต้องหรอก ถือว่าเจ้านั่นซวยเองก็แล้วกัน” ทวีปหันมาตอบก่อนจะหยิบธนบัตรใบละพันส่งให้คู่กรณีห้าใบแล้วแสดงท่าทางขอโทษขอโพยอีกฝ่าย

เด็กหนุ่มมองคู่กรณีจูงรถจักรยานยนต์จากไปแล้วรีบล่วงกระเป๋าหยิบเงินส่งให้ทวีปอย่างร้อนรน

“บอกว่าไม่ต้องไง เรานั่นละเป็นอะไรรึเปล่าเดินเหม่อจนได้เรื่อง ไหนดูหน่อยซิ” ทวีปก้มมองอีกฝ่ายใกล้ๆด้วยแสงไฟตามถนนไม่ค่อยสว่างมากนัก

“นั่นไง มือไม้เลือดออกซิบๆเลย ข้อศอกก็เสื้อขาดด้วย ต้องไปล้างน้ำแล้วใส่ยานะเราน่ะ เจ็บข้างในอะไรรึเปล่า ต้องบอกนะ เดี๋ยวเลือดตกในละแย่เลย” ทวีปร่ายยาวด้วยรู้จักกับเด็กหนุ่มเหมือนพี่เหมือนน้องมาตั้งแต่เข้ามาทำงานในบริษัท

“มะ...ไม่ครับ แต่เพราะผม...ให้ผมช่วยอะไรบ้างเถอะครับ ค่ารักษาคุณเทวัญนั่นก็ด้วย” เด็กหนุ่มขบริมฝีปากด้วยกลัวอีกฝ่ายจะมาโวยวายทีหลัง

“มันคงยอมหรอก” ทวีปบอกกับตัวเองเบาๆแล้วจึงตบบ่าอีกฝ่ายหนักๆ

“เอาน่ะๆ ไม่เป็นไรหรอก ยังไงอย่าลืมกระเช้าผลไม้ซักกระเช้าสองกระเช้าไปเยี่ยมก็พอแล้ว ...เออฉันชอบกินสาลี่นะ อย่าลืม”

เลขาจอมทะเล้นพูดให้เด็กหนุ่มสบายใจแล้วจึงพาอีกฝ่ายตามประธานใหญ่ไปยังโรงพยาบาล


XXXXX

“เป็นยังไงบ้างครับ” นทนทีเอ่ยถามทวีปหลังจากที่ผู้บริหารคนอื่นกลับกันไปหมดแล้ว ส่วนเด็กหนุ่มคนต้นเหตุพอทำแผลเสร็จก็กลับไปพร้อมกับคนอื่นๆไม่กล้าเข้ามาหาเทวัญด้วยกลัวจะถูกต่อว่าหนัก

“หมอให้อยู่ดูอาการ รอผลตรวจซักวันสองวัน ถ้าไม่มีอะไรก็คงกลับพร้อมกลุ่มสัมมนาได้เลย” ร่างสูงโปร่งอธิบายให้นทนทีฟัง พลางมองไปยังประธานหนุ่มที่ส่งสายตาคล้ายจะพูดด้วย

“ไอ้ต่อ พรุ่งนี้มีคิวฉันบรรยายช่วงเช้าใช่มั้ย”

“เออ...แกยังจะไปอีกเหรอวะ”

“มาใกล้ๆนี่ม่ะ” เทวัญขยับเท้าไหวๆรับการกวนประสาทของอีกฝ่าย ทำให้คุณเลขาแสนฉลาดฉีกยิ้มแล้วเดินมาใกล้

“เดี๋ยวแกไปบอกให้รองประธานเข้าแทนฉันนะ แล้วแกก็สรุปสั้นๆมาให้ฉันดูด้วย” เทวัญมองทวีปพยักหน้า ด้วยเวลาเป็นงานเป็นงานเจ้านี่เก่งหาตัวจับยากเชียวละ เว้นแต่ทะเล้นไปหน่อยก็เท่านั้น

“นท ยังไงอยู่เป็นเพื่อนประธานหน่อยนะ เดี๋ยวฉันจะกลับไปเตรียมงาน พรุ่งนี้เช้านายไม่ต้องเข้าก็ได้ เดี๋ยวฉันบอกหัวหน้านายให้” ทวีปหันไปบอกโดยไม่ให้อีกฝ่ายได้ออกความคิดเห็น ทำให้เทวัญต้องเอ่ยแทรกเสียเอง

เขาไม่อยากอยู่ทำให้อีกฝ่ายอึดอัดใจ เพราะสุดท้ายเขาก็เป็นคนที่จะอึดอัดและจะเจ็บเสียเอง

“ไปจ้างพยาบาลพิเศษดีกว่า จะได้ไม่ลำบาก” เทวัญบอกทวีป แต่นทนทีกลับรู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวเกินไปที่นึกถึงแต่ความรู้สึกของตัวเองจึงส่ายหน้ากับคำพูดเกรงใจของเทวัญ

“ไม่เป็นไรครับคุณเทวัญ ผมอยู่ได้ ยังไงมีเพื่อนก็ยังดีกว่าอยู่กับคนไม่รู้จักกันนะครับ”

เทวัญมองร่างโปร่งนิ่งแล้วจึงลอบระบายลมหายใจ ก็คนรู้จักกันนี่ละที่ทำกันเจ็บเหลือเกิน

ทวีปให้พนักงานโรงแรมนำเสื้อผ้ามาให้นทนทีผลัดเปลี่ยน ในขณะที่แพทย์มาตรวจดูอาการบวมแถวๆซี่โครง นทนทีจึงหลบเข้าไปอาบน้ำ

มือขาวๆติดกระดุมเสื้อพลางกระหวัดคิดไปถึงร่างสูง ต้องนอนเฝ้าคุณเทวัญอีกแล้ว เขาควรจะบอกปถวีใช่มั้ย ก็รับปากอีกฝ่ายไว้แล้วนี่นะ นทนทีเหลือบมองโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงที่พาดไว้กับราวในห้องน้ำอย่างชั่งใจ แล้วจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาปถวี ศีรษะเล็กแนบหูกับโทรศัพท์อยู่นานจนเกือบจะตัดใจวางสายจึงได้ยินเสียงปถวีรับสาย

“นท...” น้ำเสียงแปลกใจของร่างสูงทำให้นทนทีเลิกคิ้วขึ้น

“ทำอะไรอยู่” ปถวีถามพลางพยักหน้าขออนุญาตน้องอรโทรศัพท์ ก่อนจะปลีตัวมายืนห่างๆ

“ยะ...อยู่โรงพยาบาลน่ะ” ปถวีขมวดคิ้วยุ่งเมื่อฟังจบ ก่อนจะถามอีกฝ่ายกลับเร็วๆ

“เป็นอะไร!”

“ปะ...เปล่า ฉันไม่ได้เป็นอะไร แค่ถลอกเล็กๆน้อยๆนะ แต่ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนคนเจ็บ”

ปถวีระบายลมหายใจ แต่กลับรู้สึกถึงความยุ่งยากอะไรบางอย่างในน้ำเสียงของนทนที ลางสังหรณ์ในตัวบอกเขาว่า มันต้องไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาแน่ๆ

“ใคร”

“คุณเทวัญนะ”

“...!” ปถวีสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ รู้สึกถึงเส้นเลือดในสมองเต้นตุบๆจนแทบจะระเบิดแตกออกมา ก่อนจะข่มเสียงถาม

“ทำไม...”

“วี...เขาช่วยฉันจนถูกรถชนน่ะ จะให้ฉันดูดายได้ยังไง” นทนทีรู้สึกถึงกลิ่นไอของความโมโหโทโสจากอีกฝ่ายส่งผ่านมาตามสัญญาณโทรศัพท์จนต้องกำเจ้าเครื่องมือสื่อสารไว้แน่น “ฉันอยากให้นายรู้เลยโทรมาบอก นายเข้าใจฉันใช่มั้ย” ร่างโปร่งทวงถามความรู้สึกของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เขาคิดผิดงั้นเหรอ?

“ฉันไม่ชอบนายก็รู้ แล้วคนอื่นมันไม่มีแล้วรึไงหึ!” ปถวีกระแทกเสียงใส่ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจดีแต่เขาก็ไม่ใจกว้างพอจะรับ เพราะเขาได้บอกความรู้สึกไปแล้ว จึงอยากให้อีกฝ่ายใส่ใจและหลีเลี่ยง แต่...ทำไมมันต้องเกิดขึ้นอีก ทำไมนทนทีถึงไม่รับรู้ว่าใจเขาร้อนรนขนาดไหนที่คนรักต้องไปหลับนอนห้องเดียวกับคนที่ตั้งใจจะแย่ง!

คิดถึงใจเขาบ้างมั้ย รึเขาใจดี ใจดีเกินไปที่ยังปล่อยให้นทนทีทำงานอยู่ที่นั่นถึงตอนนี้

“วี...เขากำลังเจ็บ ฉันทำให้เขาต้องเจ็บนะ แล้วยังเป็นคนทำงานร่วมกัน จะให้คิดแต่เรื่องของตัวเองไม่ได้หรอก แล้วฉันบอกนายเพราะฉันบริสุทธิ์ใจ ไม่อยากให้นายเอาไปคิดเองเออเอง” นทนทีรู้สึกถึงลำคอที่ตีบตันจนต้องโก่งคอเพื่อเค้นเสียง

“นท...ฉันไว้ใจนาย แต่ฉันไม่ไว้ใจคนอื่น เพราะฉะนั้นเปลี่ยนให้ใครก็ได้มาเฝ้าแทน นายทำแบบนี้ก็เข้าทางไอ้บ้านั่นนะสิ”

“วี!” ร่างโปร่งขึ้นเสียงใส่ด้วยรู้สึกทั้งเสียใจและน้อยใจ “มันไม่เห็นแก่ตัวไปเหรอทำแบบนั้น ฉันยังต้องทำงานอยู่กับพวกเขานะ ฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”

“นท! ถ้ามันยุ่งยากมากนักก็ลาออกมา อยู่ไปก็เป็นแบบนี้ละ มีเหตุให้มาอ้างอยู่เรื่อย!”

“ปถวี! ทำไมนายเป็นคนแบบนี้นะ นายไม่อยากให้ฉันโกหก ฉันก็บอกแล้วไง แล้วทำไมถึงไม่เข้าใจละ เห็นแก่ตัว!”

“ใครกันที่เห็นแก่ตัว คิดแต่เรื่องของตัวเอง” ปถวีเอ่ยย้อนให้อีกฝ่ายเสียงหลง

“นาย!...” นทนทีกัดฟันกรอด “แค่นี้นะ”

“นี่! อย่ามาตัดสายนะ ได้ยินมั้ย ไปเรียกให้เลขาตัวดีนั่นมาเฝ้าเลย ได้ยินมั้ย อย่ามาทำเงียบนะนท!”

นทนทีกดโทรศัพท์แนบกับหูแน่น ฟังอีกฝ่ายต่อว่าอย่างเงียบๆก่อนจะได้รับรู้รสชาติเค็มปร่าของน้ำตาตัวเองที่ไหลลงมาอย่างกักเก็บไว้ไม่อยู่ ความตั้งใจที่จะคุยจึงเลือนหายไปจากสมอง คุยไปก็คงไม่รู้เรื่องแถมยังจะทะเลาะกันไปใหญ่

พอแค่นี้เถอะ ร่างโปร่งคิดอย่างอ่อนล้า

“พี่วี!”

นิ้วขาวนวลกำลังกดตัดสาย หากแต่เสียงใสที่สอดแทรกเข้ามาก่อนสัญญาณจะตัดไปทำให้นทนทีสะดุ้ง ขมวดคิ้วก้มมองโทรศัพท์ในมือ

เสียงผู้หญิง...?

.
.
.
.
.

“พี่วี...เป็นอะไรคะ เสียงดังเชียว” น้องอรเดินคิ้วย่นเข้ามาหาชายหนุ่มที่ใช้เวลาโทรศัพท์นานจนหญิงสาวต้องเดินเข้ามาใกล้ เพื่อให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวว่าทิ้งเธอไว้นานจนเสียมารยาทไปแล้ว

“โกรธใครหรือคะ ทำหน้าเครียดๆ” หญิงสาวยิ้มละมุนให้ชายหนุ่ม ด้วยอย่างน้อยวันนี้ก็อารมณ์ดีเป็นพิเศษที่ชายหนุ่มพามาเลี้ยงอาหารเย็นแถมยังเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี

ปถวีที่เริ่มรู้สึกตัวว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยจึงปรับสีหน้าและกดอารมณ์ตัวเองให้เย็นลงพลางเอ่ยเสียงเรียบไม่ให้หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองกำลังหงุดหงิด หงุดหงิดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ใกล้ๆจนอย่างจะขยี้ให้แหลกคามือ

“อะ...อ๋อ นิดหน่อยนะ” ปถวีมองหญิงสาวยิ้มให้อย่างเปิดเผยความพึ่งพอใจในตัวเขาแล้วต้องถอนหายใจ

แม่นะแม่!

“แล้วคุยเสร็จแล้วใช่มั้ยคะ” หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้จนปถวีได้กลิ่นน้ำหอม

“ครับ น้องอรจะกลับเลยหรือว่าจะไปไหนต่อหรือเปล่า”

“อืม...เพิ่งจะสองทุ่ม พี่วีมีที่ไหนน่าสนใจบ้างมั้ยละคะ” อรอนงค์เลิกคิ้วโก่งขึ้นถามอย่างเก๋ไก๋ ดูแล้วน่ารักน่าใคร่กับสะพานที่หญิงสาวทอดมาอย่างไม่ปิดปัง

ปถวีนิ่งมองหญิงสาวอย่างชั่งใจชั่วครู่

แล้วเขาควรจะสนองความต้องการแก้อารมณ์หงุดหงิดนี้ดีมั้ย...นทนที!

V
V
V

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
ตอนที่ 12


“นท...หลับรึยัง”

เสียงเรียกเบาๆของประธานบริษัทดังขึ้นเมื่อร่างโปร่งบางปิดไฟนอนได้พักใหญ่ๆ หากแต่เสียงเรียกนั้นก็ทำให้เจ้าของชื่อจำต้องกลั้นใจรอฟังอีกฝ่ายโดยไม่คิดจะขานรับ ด้วยในสมองของเขาตอนนี้มันสับสนตีกันยุ่งเหยิง

เทวัญมองเงาสลัวๆของร่างโปร่งบางนอนนิ่งบนเตียงเสริมใกล้ๆแล้วต้องระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ สายตาคู่คมกล้าจึงเหลือบมองออกไปนอกระเบียงห้องที่มีแสงจันทร์ลอดผ่านเข้ามา ก่อนจะตวัดตากลับมามองคนนอนนิ่งอีกครั้ง

เขารู้สึกอึดอัด...เทวัญบอกกับตัวเองตั้งแต่นทนทีเดินออกมาจากห้องน้ำเมื่อเย็น แววตาคู่อ่อนโยนหม่นหมองจนสังเกตเห็นได้ง่ายๆ เกิดอะไรขึ้น... เพียงแค่คลาดสายตาไม่ทันไรก็ทำให้อีกฝ่ายมีอาการเหมือนแบกโลกไว้ทั้งโลกงั้นละ

“นท...”

“...!” เสียงที่ได้ยินใกล้จนแทบจะชิดติดใบหูทำให้นทนทีสะดุ้งพลิกตัวกลับไปมองเงาดำทะมึน

“คุณเทวัญ!”

“ก็ไม่ได้หลับนี่...” ร่างสูงใหญ่ทรุดตัวนั่งข้างๆร่างโปร่งที่ขยับตัวลุกนั่ง

“อยากได้อะไรหรือครับ”

“ไม่หรอก ไม่ได้อยากได้อะไร แค่อยากรู้ว่านทเป็นอะไร...” เทวัญมองแววตาฉงนสะท้อนแสงจันทร์ของอีกฝ่าย ก่อนจะประสานมือตัวเองบีบเข้าหากันแน่นแล้วคลายออก

“ฉันมองนทมานานนะ นานจนรู้ว่านทคิดอะไรอยู่” ร่างสูงตรองความคิดตัวเองชั่วอึดใจก่อนจะเอ่ยต่อ

“ทะเลาะกับเขามาเหรอ?”

“...คุณเทวัญ!” นทนทีครางเครือมองใบหน้าอีกฝ่ายนิ่ง

“ฉันไม่แปลกใจหรอก ถ้านทจะบอกว่าไม่สบายใจเพราะฉัน” เทวัญยิ้มบางๆให้คนที่สะดุ้งจนไหล่ไหวเพราะการคาดเดาของเขา

“เงียบแบบนี้แสดงว่าฉันพูดถูก” ร่างสูงเอ่ยพลางขยับตัวไปนั่งบนเตียงใกล้อีกฝ่าย

“คุณเทวัญ...อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลยนะครับ ผมคิดอะไรไม่ออก แล้วผมก็ไม่รู้จะหาทางออกกับเรื่องนี้ยังไง” มือเล็กเสยผมตัวเองหนักๆอย่างคนหงุดหงิด

“นท...” เทวัญถอนหายใจพลางลูบรอยช้ำบริเวณซี่โครงเบาๆ

“เป็นฉัน ฉันก็คงทำแบบเดียวกันนี้ละมั้ง” เสียงพึมพำเหมือนพูดกับตัวเองแต่ก็ตั้งใจให้อีกฝ่ายได้ยิน ทำให้นทนทีสะอึก

“ถึงเวลาที่นทจะต้องเลือกแล้วละ”

“เลือก...อะไรครับ!” นทนทีหันขวับมองร่างสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ หากแต่ใจคนฟังกลับเต้นระรัวด้วยรอยยิ้มอุ่นๆที่ส่งมาให้เหมือนจะปลอบประโลมอยู่ตลอดเวลา

“ก่อนจะให้นทได้เลือก ฉันก็ต้องมีข้อเสนอที่ดีให้นทได้ลองเปรียบเทียบดูก่อนสิ...จะฟังมั้ยละ”

ลางสังหรณ์บางอย่างร้องเตือนให้นทนทีขยับตัวอย่างอึดอัด เพราะเขารู้ รู้ว่าเทวัญจะพูดอะไร! แต่เขาต้องการคงความสัมพันธ์กับเทวัญไว้แบบนี้ หากวันใดที่อีกฝ่ายตัดสินใจเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองออกมา ทุกอย่างจะไม่มีวันเหมือนเดิม

“ฉันไม่น่าถามเนอะ และก็ไม่น่าเสนอตัวเลือกให้กับคนที่มีเจ้าข้าวเจ้าของ” เทวัญยิ้มฝืดเฝื่อนพลางกลืนก้อนแข็งๆอะไรบางอย่างลงคออย่างยากเย็น

“แต่เอาเป็นว่าช่วยฟังแล้วลองเก็บไปคิดดูหน่อยก็ดีนะ”

“อย่า...อย่าพูดเลยครับ” เสียงสั่นเครือของร่างโปร่งยิ่งทำให้ประธานใหญ่หนุ่มใจสั่นคลอนพลางดึงมือเล็กขึ้นมากอบกุม

“ฉันยินดีจะเป็นคนที่ใช่สำหรับนท ขอแค่โอกาส ให้โอกาสฉันได้พิสูจน์ตัวเอง แล้วฉันจะพิสูจน์ให้นทได้เห็นว่าฉันก็เป็นคนที่จิตใจมั่นคงไม่แพ้นทหรือใครๆเลย” ร่างสูงบีบมือเล็กเบาๆราวกับจะขอกำลังใจ

“เพราะฉันเองก็ต้องการความรักที่เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใครเหมือนกัน!”

ร่างโปร่งมองสายตาแวววาวแน่วแน่ของอีกฝ่ายด้วยหัวใจที่เต้นระทึก หากแต่ใจของเขานั้นก็มีเพียงคนเพียงคนเดียวที่ได้ไปแล้วเหมือนกัน

“...!ผม...ผม...มี...คนรัก...อยู่แล้วนะครับ” นทนทีตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเมื่อได้ฟังความรู้สึกจากอีกฝ่ายตรงๆ

“หึ...ฉันรู้มานานแล้ว อย่าย้ำให้ฉันรู้สึกเจ็บไปมากกว่านี้เลย” เทวัญดึงมือเล็กขึ้นมาแนบริมฝีปากตัวเองเบาๆ และไม่ยอมปล่อยเมื่ออีกฝ่ายพยายามชักมือกลับ

“ฉันให้ข้อเสนอไปแล้ว ถึงตานทต้องเลือกบางแล้วละ”

ศีรษะเล็กส่ายไปมาพยายามมองใบหน้าอีกฝ่ายฝ่าความมืดสลัว

“จะให้ผมเลือกอะไรละครับ ในเมื่อผมก็บอกไปแล้วว่าผมมี...”

“ก็เลือกว่าจะให้โอกาสฉัน หรือ...” เทวัญเอ่ยขัดขึ้นพลางนิ่งมองร่างเล็กชั่วอึดใจ

“ลาออกไปซะ”

“คุณเทวัญ!” นทนทีร้องครางอย่างเจ็บปวด

“อย่ามองฉันแบบนั้น ฉันไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนั้นหรอกนะ แต่...การตัดสินใจเลือกอย่างหนึ่งก็คือต้องทิ้งอีกอย่างไปโดยปริยายไงละ”

“ทำไม...?”

“เพราะถ้านทไม่เลือก ตัวนทเองนั้นละที่จะต้องเจอกับปัญหาแบบนี้ไม่จบไม่สิ้น”เทวัญกดริมฝีปากลงบนมือเล็กอีกครั้ง

“เพราะไม่มีใครต้องการให้คนที่ตัวเองรักอยู่ใกล้ศัตรูหัวใจหรอก แม้แต่ฉัน!”

“ทำแบบนั้นแล้วจะแก้ปัญหาได้หรือไงครับ” คนตัวเล็กส่ายศีรษะเอ่ยด้วยน้ำเสียงรัวเร็ว

“นั่นสิ...แต่นั่นเป็นเรื่องที่นทต้องตัดสินใจ เพราะฉันก็ไม่รู้ว่าระหว่างนทกับเขามีปัญหาอะไรมากกว่าเรื่องนี้หรือเปล่า แต่ที่ฉันพูดเรื่องนี้เพราะมันเกี่ยวกับตัวฉัน การไปอาจจะทำให้ทุกอย่างระหว่างนทกับเขาดีขึ้น แต่การที่นทยังอยู่ที่นี่ มันตอบได้อย่างเดียวว่าไม่มีทางดีสำหรับเขาอย่างแน่นอน เพราะมีฉันอยู่ไงละ ฉันถึงบอกว่ามันคือโอกาส”

“คุณเทวัญ ผม...”

ร่างสูงมองเห็นประกายแวววาวจากหยาดน้ำบนใบหน้าของเด็กหนุ่มที่เขารักใคร่ อยากจะปกป้องจากทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ทุกข์ทรมาน

แต่คนที่ทำให้ทุกข์ตอนนี้คงจะเป็นเขาเสียเอง...

“แต่ถ้านทคิดว่าถึงออกไปแล้วยังไม่สามารถทำให้เข้าใจกันได้ ฉันก็อยากให้นทลองมองฉันบ้าง ก็แค่นี้ละ” ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มบางเบา

“จะร้องไห้ทำไมกันหึ” ร่างสูงปล่อยมือเล็กพลางยกนิ้วแข็งของตัวเองขึ้นปาดหยดน้ำบนใบหน้าขาวนวล แล้วจึงดึงร่างที่เหมือนไร้น้ำหนักเข้ามาโอบกอดไว้กับแผงอกโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้มีปฏิกิริยาต่อต้าน

“นี่ฉันใจดีแล้วนะ ถึงให้นทได้เลือกน่ะ จะหาคนดีๆอย่างฉันได้ที่ไหนอีก เลือกฉันมาซะดีๆเถอะน่า ได้กำไรทั้งขึ้นทั้งล่องนา” เทวัญเอ่ยติดตลกเมื่อรู้สึกถึงร่างเล็กในอ้อมแขนสั่นเทิ้ม

“นท...”

“ผม...ขอโทษ” นทนทีตอบด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นแล้วซุกหน้าลงกับไหล่หนาพลางกลิ้งเกลือกใบหน้าจนผ้าบริเวณนั้นเปียกชุม

ถ้าเขาไม่มีคนอื่นอยู่ในใจ เขาก็คงจะไม่มองผ่านผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่พร้อมจะให้ความเข้าใจ ความภาคภูมิใจและโอกาสในชีวิต

เทวัญมองไหล่เล็กๆสั่นไหวก่อนจะโอบกระชับร่างที่อยู่ในห้วงคิดคำนึงมาตลอดแนบแน่น พลางหลับตาลงซุกหน้ากับซอกคอของอีกฝ่ายเงียบๆ

เขาไม่ใช่สำหรับนทนที!...

XXXXX

ฟองคลื่นขาวซัดสาดเข้าหาหาดทรายเป็นระลอกๆยามเช้าตรู่ ร่างโปร่งเพรียวลมของชายหนุ่มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับบรรดาเด็กเล็กๆ ซึ่งเป็นลูกของชาวประมงที่อาศัยอยู่ใกล้ๆโรงแรมที่ชายหนุ่มเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่กี่สัปดาห์ ออกมาวิ่งเล่นจับปูลมตั้งแต่ฟ้าเพิ่งเริ่มสาง

“พี่ไผ่ ดูสิๆ” เด็กผู้หญิงตัวน้อยร้องบอกชายหนุ่มอย่างดีใจที่สามารถไล่ตะครุบปูลมตัวกระจิดลิดได้

“น้องพลอย มันยังเล็กอยู่ ปล่อยมันไปเถอะ” ไผ่ตะโกนฝ่าเสียงคลื่น

“จ้า เดี๋ยวจะปล่อยแล้วจ๊ะ” เด็กน้อยกอบกุมปูอย่างทะนุถนอมก่อนจะนำมันไปปล่อยบนหาดทรายที่น้ำทะเลซัดสาดถึง ทำยังกับปูมันว่าน้ำได้เหมือนปลายังไงยังงั้น

ไผ่อมยิ้มบางเบาก่อนจะเหม่อมองไปยังท้องทะเลกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาแล้วค่อยๆสูดกลิ่นไอทะเลเฮือกใหญ่

ปถวีส่งเขามาทำงานโรงแรมที่ชะอำ จังหวัดเพชรบุรี สถานที่ๆไม่เคยมีความทรงจำของคนบางคนร่วมกับเขา และการเปลี่ยนไปของสิ่งรอบตัวทำให้ใจที่เคยร้อนรนสับสนสงบมากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถลบเลือนความรู้สึกถึงคนๆหนึ่งออกไปจากใจได้จนหมด

หึ...จะทำได้ยังไง เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์จะลบเลื่อนความรักฝั่งใจเป็นสิบปี

ศีรษะเล็กส่ายไปมาช้าๆบอกกับใจตัวเอง แต่จะให้ยืนอยู่ตรงนั้นอีก เขาก็ไม่สามารถปิดบังความรู้สึกรักใคร่ที่นับวันมันจะเพิ่มมากขึ้นจนเก็บไว้ไม่ไหว และผลจากการเก็บไว้ไม่ไหวมันถึงได้ออกมาเป็นแบบนี้ไง ผลที่เกิดจากการกระทำของเขา การกระทำที่ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ทุกข์ทรมานใจ ประวิชเองก็คงอยู่ไม่เป็นสุขเหมือนกัน เพราะอีกฝ่ายไม่ใช่คนใจดำ! ถึงได้คอยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เพื่อจะถนอมน้ำใจเขามาตลอด

เชอะ คงคิดว่าซักวันเขาจะเลิกรามือไปเองละมั้ง...คิดผิดไปแล้วเจ้าบ้าเอ๊ย...

เพราะเขาโลภมากอยากได้ความรักของอีกฝ่ายมาครอบครองฉันคนรัก ไม่ใช่ความสงสารที่เพื่อนมีให้ต่างหากเขาถึงได้ยอมอดทนมาจนมีวันนี้

ร่างโปร่งเดินเท้าเปล่าไปตามแนวหาดทรายขาวจนถึงบ้านพักริมทะเลใกล้ที่ทำงานที่ปถวีจัดหาไว้ให้

ไผ่หยุดยืนมองบริเวณรอบๆบ้านแล้วถอนหายใจ มีเพื่อนรวยมันก็ดีไปอย่าง

แต่ทว่า...ตอนนี้ความร่ำรวย ความสะดวกสบายไม่ได้ทำให้ใจของเขาหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานนี้ได้เลย...

ร่างโปร่งยกมือขึ้นกอดอกรับรู้ถึงความอบอุ่นของมือตัวเองอย่างเงียบเหงาในใจ

อีกนานแค่ไหนกันกว่าเขาจะลืม ลืมคนที่เขารักอย่างหมดหัวใจได้


XXXXX


“คุณปถวี เมื่อสักครู่มีโทรศัพท์จากคุณประวิชเข้ามาครับ” กันย์รายงานเมื่อปถวีกลับออกมาจากห้องประชุม

“เจ้านั่นว่าไง” ร่างสูงทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้พลางเอนตัวพิงพนักอย่างเหนื่อยๆ

เหนื่อยกับใจตัวเองที่ร้อนรนเหมือนมีไฟมารนตลอดเวลา

“ฝากบอกว่าอยากนัดทานข้าวด้วยนะครับ”

“หือ?...” ปถวีเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ร้อยวันพันปีไม่เคยจะอยากกินข้าวด้วยถ้าไม่มีไผ่หรือนทเป็นตัวเชื่อม

“อืม...เดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง มีอะไรอีกมั้ย”

“มีแฟ้มรายงานการเงินไตรมาสที่3 แล้วก็ร่างแผนการดำเนินงานบนโต๊ะให้คุณทราบ นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรแล้วครับ”

ปถวีพยักหน้ารับรู้แล้วจึงขยับตัวนั่งหลังตรงลงมือเปิดดูเอกสารตรงหน้า เสร็จแล้วจึงโทรนัดประวิชกินข้าวเย็น

เห็นจะมีอยู่เรื่องเดียวละตอนนี้ ที่จะทำให้เจ้ายักษ์หมัดหนักนั่นต้องถ่อสังขารมาหาเขา ร่างสูงเหยียดยิ้มมุมปากพลางใช้ลิ้นดุนเนื้ออ่อนบริเวณแก้มไปมาอย่างใช้ความคิด

จะทำยังไงกับเจ้านั่นดีละ...


XXXXX


ปถวีมาถึงร้านอาหารย่านปิ่นเกล้าตามเวลาที่นัดกับประวิชไว้ไม่ขาดไม่เกิน และเขาก็เห็นร่างสูงใหญ่ผิวคร้ามแดดของประวิชมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว หากแต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ หัวคิ้วของปถวีจึงย่นเข้าหากันเล็กน้อยแล้วคลายออกอย่างรวดเร็ว

มันโทรมได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ...หนวดเคราก็ไม่โกน!

“นี่...” ปถวีทรุดตัวนั่งตรงข้ามพลางยกลิ้นขึ้นไล้มุมปากไปมา อย่าคิดว่าฉันจะลืมว่าเคยชกปากฉันนะ

“ถ้าจะขอโทษตอนนี้ก็ยังได้นะ”

ประวิชนิ่งมองอีกฝ่ายทำหน้าเหมือนเด็กเกเรชั่วครู่แล้วจึงทอดหายใจยาว

“อืม...ฉันขอโทษ แต่นายก็ทำเกินไปไม่ใช่รึไง ที่โล่งโจ่งแบบนั้น”

บะ! ไอ้หมอนี่ ยังจะมาย้อน...

“แล้วที่นี่รู้รึยังละว่าฉันเป็นอะไรกับเจ้านั่น” รอยยิ้มยียวนกวนประสาทของปถวีทำให้ประวิชต้องถอนหายใจอีกรอบ นี่ถ้าไม่คิดจะขอความช่วยเหลือจากเจ้านี่เขาคงลุกเดินกลับไปแล้ว ไอ้เด็กขี้หวง!

ประวิชจำต้องพยักหน้ารับรู้ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่อย่างขื่นๆ ก่อนจะกลั้นหายใจรวบรวมความกล้าเอ่ยถามถึงเป้าหมายในการมาครั้งนี้

“นี่...นายได้...” คำถามถูกหยุดกระทันหันด้วยปถวีหันไปกวักมือเรียกเมนูอาหารจากเด็กเสิร์ฟ

“สั่งข้าวก่อนเถอะ แล้วค่อยกินไปคุยไป”

คนใจร้อนรนมองอีกฝ่ายยกยิ้มบางๆแล้วก้มมองเมนูในมือก็ต้องถอนหายใจอีกหลายเฮือก เหมือนถูกแกล้งยังไงยังงั้นสิน่า...

หลังจากอาหารถูกนำมาวางตรงหน้า ปถวีก็ยกช้อนยกส้อมตั้งอกตั้งใจกินโดยไม่ได้มองคนตรงข้ามว่ามีท่าทีอยากจะพูดด้วยขนาดไหน จนกินไปได้ค่อนจานนั้นละถึงได้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับอีกฝ่าย

“นทจะกลับวันไหน” ประวิชเอ่ยถามเสียงเรียบ

“พรุ่งนี้น่ะ แล้วนายละ คราวนี้อยู่กรุงเทพนานนะ”

“ก็จะกลับแล้วละ แต่...”

ปถวีมองอีกฝ่ายมีท่าทางเหมือนชั่งใจกับอะไรบางอย่าง แล้วจึงค่อยๆพูดออกมา

“ฉันจะไม่อ้อมค้อมนะ ขอถามนายเลยละกันว่ารู้มั้ยตอนนี้ไผ่ไปอยู่ที่ไหน” มือใหญ่กำช้อนแน่นด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะให้ความร่วมมือแค่ไหน

“นายก็อยู่ด้วยกันตลอดไม่ใช่เหรอ แล้วมาถามฉันนี่นะ”

นั่นไง...ไอ้หมอนี้มันเล่นแง่แล้วไง ประวิชคิดอย่างหัวเสีย แต่ก็ต้องข่มความหมั่นไส้อีกฝ่ายด้วยใจที่ห่วงใยอีกคน

“เลิกเฉไฉเถอะ ฉันว่านายคงรู้เรื่องจากปากนทแล้ว นายสนิทกับไผ่มากที่สุดฉันเลยมาถาม เจ้านั่นบอกนายมั้ยว่าไปไหน ฉันเป็นห่วง”

อย่าบอกนะ! ห้ามบอกเจ้านั่นเด็ดขาด คำพูดของไผ่ที่ยังก้องอยู่ในหัว ปถวีจึงได้แต่ปิดปากเงียบ ก่อนจะพรางพรูลมหายใจยาวเหยียด

“ฉันไม่รู้หรอก เจ้านั่นบอกแค่ว่าจะไปเที่ยวซักพัก แล้วก็หายไปเลย”

คำตอบของปถวีที่เป็นความหวังสุดท้ายทำเอาหัวใจพังๆตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม

จะหายไปแบบนี้จริงๆนะเหรอ ทั้งๆที่เคยอยู่ด้วยกันมาตลอด...

“...ไม่ได้บอกอะไรไว้เลย...เหรอ” ประวิชพึมพำเบาๆหากแต่อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าย้ำชัดคำพูดตัวเอง

“ถึงนายจะเป็นห่วงไอ้ไผ่มันแค่ไหน อยากเจอมันแค่ไหน ถ้าเจอแล้วจะทำอะไรได้ละฮึ ไหนลองบอกฉันมาหน่อยสิ”

“...”

“ฉันว่านายจะทำให้มันบ้ามากกว่าเดิมน่ะสิไม่ว่า” ปถวีดักคอ

“นาย! เพื่อนกันจะให้ดูดายได้ยังไง” ประวิชถลึงตามองอีกฝ่ายอย่างเคืองๆ

“หึ ดูดาย” ปถวีทวนคำพูดอย่างเหยียดๆ มันแสลงใจยังไงชอบกล กับไอ้ความใจดีไม่รู้เหนือรู้ใต้แบบนี้

เหมือนคนบางคนจนน่าหงุดหงิด!

“นี่! ไอ้ไผ่มันรักนาย มันอยากจะอยู่กับนาย มันอยากจะนอนกับนาย นายทำได้มั้ยละ ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าเอาคำว่าเพื่อนมาทำให้มันต้องเจ็บอีกเลย ปล่อยมันไปเถอะว่ะ ไม่ต้องไปตามหามันหรอก”

นิ้วมือใหญ่กดกำต้นขาตัวเองไว้แน่น ในขณะที่สมองรู้สึกมึนชา ไม่ว่าจะหันไปหาใครก็มีแต่คนบอกให้เขาหยุด และปล่อยไผ่ไป ทำไม! ความรู้สึกของเขา ความเป็นห่วงของเขามันทำร้ายไผ่จนต้องหนีไปให้ไกลเลยเหรอ ทั้งๆที่เขาไม่อยากให้เป็นแบบนี้ เขายังอยากเจอ อยากเห็นหน้า อยากอยู่ด้วยกัน

เขารู้สึกแบบนี้แล้วจะให้ลืม...เขาจะทำได้เหรอ เขาจะลืมคนที่อยู่เคียงข้างเขามาตลอดได้ลงคอเชียวเหรอ

ปถวีนิ่งมองอีกฝ่ายนั่งเงียบก่อนจะลุกขึ้นคว้ากระเป๋าเงิน “นายมันก็ไม่ต่างอะไรกับนท อยากได้ของทั้งสองอย่างไว้ในมือ ไม่ยอมเลือกอะไรซักอย่าง แม้ว่าคนที่เขารออยู่จะเจ็บแค่ไหนก็ตาม เห็นแก่ตัวกันจริงๆ!”

“นี่นาย!” ร่างสูงลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับอดีตนักมวยเก่าอย่างไม่เกรง

“หึ ก่อนจะมาโกรธฉัน ฉันว่านายหาคำตอบให้ตัวนายเองให้เจอก่อนดีกว่า ไอ้การไล่ตามอีกฝ่ายทั้งๆที่ใจตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าต้องการอะไรกันแน่น่ะ มันเอาเปรียบอีกฝ่ายชัดๆ หรือเพราะรู้ว่าเขารักเขาหลง จะทำยังไงกับเขาก็ได้งั้นเหรอ จะลากเขากลับมาตกนรกบนความสบายอกสบายใจของนายงั้นเหรอ กลับไปคิดให้หนักๆดีกว่า แล้วอีกอย่างนะ” ดวงตาคมกร้าวทอดมองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง

“อย่าเข้ามาก้าวก่ายเรื่องของฉันกับนทอีกเด็ดขาด!”

ร่างสูงในชุดสูทเดินลงส้นจากไป ทิ้งให้ประวิชทรุดตัวลงนั่งลงด้วยหัวใจที่เหี่ยวแห้ง ด้วยความหวังสุดท้ายได้หายไปตรงหน้า

“ไอ้บ้า! แม้แต่นายก็ยังไม่รู้แล้วฉันจะทำยังไงละ” มือใหญ่ยกขึ้นเสยผมแรงๆ

ไอ้ไผ่...แกไปอยู่ที่ไหนของแกวะ!


V
V
V

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
ตอนที่ 13

เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าดังแทรกคลื่นวิทยุเข้ามาภายในรถยนต์จนปถวีต้องเลิกคิ้วมองกลุ่มเมฆฝนตรงหน้า ก่อนจะหักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าบ้านใหญ่ และเมื่อรถจอดสนิทเม็ดฝนก็โปรยปรายลงมาให้ร่างสูงรีบเดินจ้ำเข้าบ้าน

“ไงลูก” คุณทรงยศเอ่ยทักบุตรชาย

“แม่ละครับ”

“อยู่หลังบ้านโน้น แล้ววันนี้จะค้างมั้ยละ”

“ค้างพ่อ เห็นแม่บอกว่าจะฝากเด็กไปทำงานกับวี เลยต้องคุยกันก่อน”

“เหรอ ไปรับฝากลูกเพื่อนมาอีกละมั้ง”

“ฮะๆ” ปถวีหัวเราะให้กับบิดาที่ส่ายหน้าอย่างไม่ค่อยเห็นด้วย

“ผมก็ว่างั้นละ เลยต้องมาคุยก่อนว่าจะให้ทำตำแหน่งอะไร”

“หึๆ โน้น...มาแล้วแม่เราน่ะ” ผู้เป็นบิดาพยักเพยิดหน้าไปทางภรรยาที่กำลังเดินตรงเข้ามาใกล้

“ไงลูก รถติดรึเปล่า” คุณศรีสอางค์ยกมือขึ้นลูบศีรษะลูกชายแล้วนำพาไปนั่งที่เก้าอี้รับแขก

“ไม่ค่อยติด แต่ดูท่าฝนจะตกหนักนะแม่”

“นั่นสิ แล้วนี่นลจะกลับบ้านกี่โมงละเนี่ย”

“ทำไมเหรอแม่”

“ก็เห็นว่าตอนเย็นจะพาหนูวาไปร้านคุณนิ่ม ฝนตกแบบนี้คงกลับมืดกลับค่ำ”

ปถวีพยักหน้ารับรู้ ด้วยร้านคุณนิ่มคือร้านตัดเสื้อประจำคนในบ้านเขานั่นเอง นี่เจ้านลคงพาน้องวาไปตัดชุดแต่งงานแน่ๆ

ไม่ค่อยเห่อเลยไอ้นล!

“ว่าแต่แม่จะฝากใครมาทำงานกับวีละครับ” ลูกชายวกเข้าเรื่องที่ถูกมารดาเรียกให้กลับบ้านวันนี้

“อืม...ก็จะใครละลูก หนูอรไงละ น้องเขาจบนอกมา แม่เลยอยากให้มาเป็นเลขาของลูก”
บุตรชายเลิกคิ้วขึ้นสบตามารดาแวบหนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้ายิ้มแย้มแบบไม่ต้องการคำตอบปฏิเสธก็ต้องลอบถอนหายใจแกมหนักใจ

“แล้วน้องอรเขาไม่ไปเรียนต่อแล้วหรือครับ”

“ไปจ๊ะแต่อยากหาประสบการณ์สักสองสามปี แล้วจะได้เลือกเรียนต่อสาขาที่ใช้ประโยนช์จริงๆน่ะ แม่เห็นว่าเข้าท่าดีเลยอยากให้มาทำงานกับลูก”

“แต่ผมมีกันย์เป็นเลขาอยู่แล้วนะแม่ ยังไงเป็นตำแหน่งอื่นได้มั้ย”

“หือ...เป็นผู้ช่วยเลขาก็ได้นี่ลูก ตำแหน่งตรงนี้น้องเขาจะได้หูตากว้างไกล ดูๆแล้วหนูอรเขาออกจะคล่อง รึลูกว่าไง”

“ก็ไม่เถียงหรอกครับ แต่เอาคนรู้จักมาทำงานอยู่ใกล้ๆจะปกครองกันลำบากรึเปล่า...”

“ไม่หรอกลูก...อย่าเพิ่งกังวลอะไรไปไกล ยังไม่ได้ให้โอกาสน้องเขาพิสูจน์ความสามารถเลย เอาน่า... อย่าให้แม่ต้องผิดคำพูดเลยนะ ถ้าไม่ไหวจริงๆแม่ก็ไม่ขัดหรอกลูก” คุณศรีสอางค์ยิ้มเอาใจลูกชายที่ทำหน้านิ่ง

คิดมากจริงลูก แม่อุตส่าห์หาผู้หญิงมาให้ดูถึงที่ก็เปิดใจดูซะหน่อยเถอะ ดูสิ จนป่านนี้ยังไม่เห็นคบใครเป็นตัวเป็นตน หรือจะเก็บเงียบอย่างเจ้าน้องชายเสียก็ไม่รู้

“...ลองดูก็ได้ครับ แต่ถ้ามีปัญหาแม่ต้องออกหน้ารับกับแม่ของน้องอรเองนะ” ปถวีตอบตกลงอย่างเสียไม่ได้ ยังไงแม่ก็ขอร้องมาทั้งที จะปฏิเสธก็ดูเหมือนร้อนตัวเรื่องนทนทีเกินไป คงต้องตามน้ำตามแม่ไปก่อนแล้วค่อยหาทางให้ไปทำตำแหน่งอื่น

“แล้วน้องอรเขาพร้อมมาทำงานวันไหนละครับ”

“อาทิตย์หน้าน่ะลูก แต่พรุ่งนี้แม่อยากให้วีพาน้องเขาไปดูลาดเลาที่บริษัทก่อน จะได้เตรียมตัวถูก”

“พรุ่งนี้!”

“ทำไมละลูก” คุณศรีสอางค์ขมวดคิ้วกับท่าทางพิกลของบุตรชาย

“ติดธุระอะไรหรือเปล่า แต่แม่ว่าลูกไม่มีประชุมหรือนัดกับคู่ค้าไว้นี่”

“อะ...นี่แม่เช็คเวลากับเจ้ากันย์ไว้แล้วเหรอครับ”

“อืม ไม่งั้นแม่จะบอกให้หนูอรเขาเตรียมตัวทันหรือลูก น้องเขาเป็นผู้หญิงนะ จะไปบอกฉุกละหุกได้ยังไง”

โฮ้...แม่! เอาแบบนี้เลยเหรอ ตั้งใจไว้แต่แรกแล้วนี่นา ปถวีคิดอย่างปลงๆ ถึงจะหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้ามาอ้างแม่ก็คงไม่ตัดใจแน่ๆ

อุตส่าห์สะสางงานให้ว่างพรุ่งนี้เพราะตั้งใจจะไปรับนทนทีที่พัทยา เป็นอันพับไป คงต้องไปเจอกันตอนเย็นแทน คิดแล้วก็ให้หงุดหงิดใจกับท่าทีของนทนที เล่นปิดโทรศัพท์ไม่คุยกับเขาอีกเลย ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ ให้ตายเถอะ...

คราวนี้เขาจะไม่ทนแล้ว จะต้องให้เจ้านั่นลาออกจากบริษัทไอ้บ้านั่นให้ได้ ยังไงก็ต้องให้ลาออก ไม่งั้นเขาอาจจะต้องสูญเสียสิ่งที่ทะนุถนอมไปตลอดกาล

แต่ก่อนจะทำอะไรตอนนี้เขาต้องเล่นงานเจ้าเลขาหน้าตายของเขาซะก่อน โทษฐานไม่ยอมบอกว่าแม่ตามมาเช็คตารางงานของเขาทำไม


XXXXX


“มานี่เลย”

ร่างสูงลูกเจ้าของบริษัทลากเลขาหน้าตายไปยังมุมอับลับหลังน้องอรที่เมื่อเช้าต้องขับรถไปรับมาเองกับมือ

แม่นะแม่ จะเอาจริงเหรอเนี่ย... ร่างสูงครางเครือก่อนออกจากบ้านไปรับหญิงสาว

“ทำไมไม่บอกว่าแม่ตามมาเช็คตารางงานฉัน” ปถวีกดเสียงถาม

“ก็ผมถูกสั่งห้ามไว้นี่ครับ”

คำตอบของเลขาทำให้ปถวีต้องสูดลมหายใจระงับอาการมือไม้กระตุก ทำซื่อไม่ค่อยถูกเวลาเลยนะแก

“นี่นายเป็นเลขาแม่ฉันรึไง เจ้ากันย์! ก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าฉันคบใครอยู่”

“ก็เพราะรู้ถึงได้ไม่บอกยังไงละครับ”

“หือ? ไหนลองบอกเหตุผลอันสูงส่งมาให้ฉันฟังซักข้อสิ ถ้าฟังไม่ขึ้น ฉันไล่ให้ไปทำงานถ่ายเอกสารแน่ๆ”

“ถ้าคุณแม่คุณรู้ว่าผมบอกคุณ ท่านอาจจะย้ายผมไปอยู่อื่น แล้วที่นี่คุณจะลำบากกว่านี้นะครับ” คำตอบตรงๆแถมทวงบุญคุณหน่อยๆทำเอาปถวีขบฟันแน่น

เออ...แกแน่!

“วันหลังช่วยกระซิบบอกให้ตั้งตัวหน่อยก็ดีนะ!”

สุดท้ายปถวีก็ต้องยอมลามือ แล้วถอนหายใจบอกอีกฝ่ายถึงการมาของอรอนงค์

“ไงก็สอนงานคุณอรอนงค์เขาด้วย จะให้เขาช่วยนายประสานงานกับฝ่ายต่างๆก็ทำไป แต่ถ้าจะมาเสนองานฉัน ก็ให้ผ่านนายมาละ เข้าใจมั้ย” ปถวีย้ำคนหน้านิ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปหาอรอนงค์

“ครับ...” กันย์รับคำแผ่วเบา ก่อนจะออกเดินตามเจ้านายไปอย่างเงียบๆ

จะเกิดอะไรขึ้นรึเปล่านะ...

หลังจากที่ปถวีส่งหน้าที่ให้กันย์พาอรอนงค์ไปแนะนำกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ชายหนุ่มก็นั่งทำงานไปพลางๆขณะรอให้หญิงสาวกับมา สายตาคู่คมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือเป็นระยะๆ

ปานนี้นทนทีคงกำลังเดินทางกลับมากรุงเทพ มาถึงแล้วจะโทรหาเขารึเปล่า หรือต้องให้เขาไปดักเจอที่บ้าน

ให้ตายเถอะ! เขาต้องคอยกังวลเรื่องแบบนี้ไปถึงเมื่อไรกัน!

เสียงเตือนจากโทรศัพท์มือถือที่ร่างสูงบันทึกเตือนความจำไว้ดึงความคิดให้กลับมาสู่แฟ้มงานตรงหน้า นิ้วมือใหญ่กดดูข้อความที่ตนเองบันทึกไว้

“อะ!...แย่ละสิ อุตส่าห์เตรียมของขวัญไว้แล้วเชียวนะ” ปถวีเคาะนิ้วกับโต๊ะหนาอย่างใช้ความคิด เครื่องลายครามที่เขาเตรียมไว้เป็นของขวัญวันเกิดให้กับประธานบริษัทคู่ค้าคนสำคัญยังตั้งอยู่ที่คอนโด เพราะทะเลาะกับนทนทีจึงลืมไปสนิทไม่ได้นำมาด้วย

“คงต้องให้เจ้ากันย์ตามไปเอาที่คอนโดแล้วละมั้งเนี่ย วันเกิดทั้งทีถ้าเลยวันก็ไม่มีความหมายนะสิ” ปถวีพึมพำ

“พี่วี” เสียงอรอนงค์เดินตามเลขาหนุ่มเข้ามาภายในห้องประธานบริษัทเมื่อได้เวลาเที่ยงพอดี

“คุณกันย์พาอรไปแนะนำหมดทุกทีแล้วละคะ” ริมฝีปากบางสีชมพู่อ่อนยิ้มระเรื่อ

“พี่วีจะทำงานต่อหรือเปล่าคะ ยังไงเดี๋ยวอรกลับเองได้คะ”

ปถวีกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเสียไม่ได้ ถ้าขืนทำแบบนั้นรับรองได้ว่าแม่ต้องโทรมาต่อว่าจนหูชาแน่ๆ

“เดี๋ยวไปส่งครับ แต่ก่อนหน้านั้นขอแวะไปทำธุระนิดนะ” ร่างสูงบอกหญิงสาวแล้วจึงหันไปสั่งเลขาต่อ

“เดี๋ยวนายตามฉันกลับไปคอนโดนะ ฉันเตรียมของขวัญให้คุณทินกรไว้ ยังไงฝากนายเอาไปให้เขาแทนฉันด้วย วันนี้วันเกิดเขานะ”

“ครับ”

ปถวีขับรถพาอรอนงค์ไปยังคอนโดโดยมีกันย์ขับรถตามติดมาด้วย เมื่อถึงที่หมายร่างสูงจำต้องเชื้อเชิญหญิงสาวขึ้นไปยังที่พักด้วย เนื่องจากจะทิ้งให้นั่งคอยอยู่ที่ ล๊อบบี้ข้างล่างคนเดียวก็ดูไม่ดีนัก เลยต้องพาขึ้นกันไปทั้งหมด

“น้องอรนั่งที่นี่ก่อนนะครับ” ปถวีบอกหญิงสาวเมื่อเปิดประตูเข้าไปภายในห้องชุด

“คะ” อรอนงค์พยักหน้ารับคำมองชายหนุ่มทั้งสองเดินหายเข้าไปภายใน ดวงตาคู่งามจึงได้ตวัดมองไปรอบๆห้องอย่างพอใจเงียบๆ เพราะแม้ไม่สะอาดเรียบร้อยแต่ก็ดูสมเป็นห้องของหนุ่มโสด รกตรงโน้นนิดตรงนี้หน่อย ริมฝีปากสีสดยกยิ้มกับตัวเองแล้วมองไปยังชุดโฮมเธียร์เตอร์ ข้างๆมีชั้นซึ่งดูแล้วน่าจะบรรจุทั้งแผ่นหนังแผ่นเพลงไว้แน่นเอี๊ยด ร่างเพรียวระหงจึงลุกขึ้นไปเมียงๆมองๆ

“โฮ้...นี่คงชอบดูหนังมากเลยสิเนีย...อืม เรื่องนี่น่าดูจัง” อรอนงค์หยิบออกมาดูได้ไม่กี่ชิ้น เลขาของปถวีก็เดินอุ้มกล่องใบใหญ่ที่ห่อไว้อย่างเรียบหรูออกมา ตามด้วยเสียงเจ้าของห้อง

“สนใจหรือน้องอร” ปถวีมองมือเล็กถือแผ่นหนังไว้สองสามแผ่น

“จะเลือกไปดูก็ได้นะ” ชายหนุ่มยิ้มให้หญิงสาวที่ยิ้มตอบกลับมาอย่างดีใจ

“งั้นอรไม่เกรงใจนะคะ”

“ครับ น้องอรเลือกไปก่อนเลยนะ ผมขอลงไปส่งเลขาก่อน แล้วจะขึ้นมารับไปส่งบ้าน”

ร่างสูงหันไปพยักหน้ากับเลขาแล้วจึงเดินออกจากห้อง ปล่อยให้หญิงสาวเลือกแผ่นดีวีดีไปตามใจชอบ

“นี่กันย์ พรุ่งนี้นายเตรียมไปรับนทนทีที่บริษัทเหมือนเดิมนะ เขากลับจากสัมมนาวันนี้แล้วละ” ปถวีเอ่ยขณะลงลิฟต์

“ครับ แล้ววันนี้คุณไม่ไปรับคุณนทแล้วจะกลับไปทำงานต่อหรือเปล่าครับ”

“...ไม่ละ เดี๋ยวไปส่งอรอนงค์แล้วฉันจะเลยไปบ้านใหญ่”

ปถวีเดินออกจากลิฟต์มาเปิดประตูให้เลขานำกล่องเครื่องลายครามวางลงบนที่นั่งข้างคนขับ เมื่อมองว่าเรียบร้อยแล้วร่างสูงจึงโบกมือให้อีกฝ่ายแล้วตัวเองเดินเลยไปยังร้านมินิมาร์กใกล้ๆเพื่อซื้อบุหรี่ตุนไว้ในกระเป๋า ทั้งๆที่ไม่ค่อยได้สูบ โดยไม่ได้สนใจรถแท็กซี่ที่เข้ามาจอดตามหลัง

หากแต่กันย์ที่กำลังหักพวงมาลัยเลี้ยวรถเพื่อออกไปยังถนนหน้าคอนโดกลับเหลือบมองกระจกมองหลัง เห็นชายหนุ่มร่างคุ้นตาลงมาจากรถแท็กซี่

“นท!” หากแต่เสียงแตรที่บีบไล่หลังมาทำให้ต้องเคลื่อนรถออกท่ามกลางความกังวลบางอย่างในใจ

สัญญาณเสียงเรียกหน้าประตูห้องพักดังขึ้น อรอนงค์จึงละมือจากการเลือกแผ่นหนัง

“พี่วีไม่ได้เอากุญแจไปด้วยหรอกเหรอ” หญิงสาวอมยิ้มรีบเดินไปเปิดประตู

“อ๊ะ!” เสียงร้องสองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน

“ขอโทษครับ” นทนทีผงะถอยหลังพลางเหลือบมองแผ่นป้ายหมายเลขห้องที่แปะติดผนัง ก็...ไม่ผิดนี่...แล้วทำไม?

“คุณ...” อรอนงค์เอ่ยค้างด้วยนึกไม่ถึงว่าจะเป็นใครอื่นนอกจากปถวี และเมื่อรู้สึกว่าชายหนุ่มตรงหน้ายืนนิ่งอย่างคนตกใจจึงได้ถามอย่างมีไมตรี

“มาหาพี่วีหรือเปล่าคะ” หญิงสาวอมยิ้มน้อยๆพลางลอบมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณาลักษณะท่าทางไม่ส่อไปในทางโจรจึงเบาใจ หากแต่อีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบจึงย้ำถามอีกครั้ง

“...มาหาพี่วีหรือเปล่าคะ”

น้ำเสียงเข็มขึ้นเล็กน้อยของหญิงสาวดึงสติที่ว่างเปล่าของชายหนุ่มให้กลับมา ก่อนจะเอ่ยตอบตะกุกตะกัก

“ครับ”

“พี่วีลงไปข้างล่างนะคะ เดี๋ยวก็ขึ้นมา” อรอนงค์มองกระเป๋าเดินทางในมือฝ่ายชายจึงคาดในใจว่าคงเป็นเพื่อนของปถวี

“เข้ามาคอยก่อนมั้ยคะ”

“มะ...ไม่ครับ” ขายาวก้าวถอยหลังช้าๆพลางค้อมศีรษะให้อีกฝ่าย ความกลัวบางอย่างกำลังเข้ามาเกาะในจิตใจ

พี่วี! ประโยคนี้เคยผ่านหูเขามาก่อน...เมื่อไม่นานนี้เอง!

ที่...พัทยา...

นทนทีขบริมฝีปากตัวเองแน่นด้วยกลัวมันจะสั่นระริกให้อีกฝ่ายเห็น

คำสัญญา! ปถวีคงไม่ผิดคำสัญญากับเขา...ก็อีกฝ่ายรับปากมาเอง

นทนทีเบิกตามองหญิงสาวสวยที่พกพาความมั่นใจไว้เต็มเปี่ยมบนใบหน้าด้วยอาการเหมือนคนง่อยเปลี้ยเสียขา ครั้งหนึ่งเขาเคยพบของใช้ผู้หญิงตกหล่นอยู่ในห้องๆนี้ ตอนนั้นเขาโมโหโทโสวาละวาทเสียไม่มีดี แต่ตอนนี้มันต่างกันสิ้นเชิง เขารู้สึกเหมือนหัวใจหลุดลอย เท้าไม่ได้เหยียบย้ำอยู่บนพื้น ทั้งๆที่เพียงแค่เห็น ทั้งๆที่ยังไม่ได้ฟังความจากอีกฝ่าย

วันหนึ่งเขาเคยคิดว่าทนได้เมื่ออีกฝ่ายไปฉาบฉวยกับคนอื่น แต่นั่นเพราะไม่เคยได้เห็น แค่เพียงรู้สึกและเก็บเงียบเอาไว้ แต่วันนี้ วันที่ต้องเห็นผู้หญิงดูดีมีชาติตระกูลคนหนึ่งเข้ามาอยู่ในห้อง ห้องที่เขาย่างเท้าเข้ามาจนนับครั้งถ้วน เขากลับรู้สึกทนไม่ได้ ไม่อยากเห็น แม้จะไม่รู้ว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เป็นใคร

“ผะ...ผมกลับก่อนดีกว่าครับ” นทนทีรีบหันหลังกลับเดินคอแข็งไปยังลิฟต์โดยไม่คิดจะมองหลัง เขากลัว...

กลัวอย่างไม่มีสาเหตุ

ดวงไฟแสดงการเคลื่อนที่ของลิฟต์ ที่ร่างโปร่งกำลังรอขยับจากชั้นล่างขึ้นมาหยุดตรงหน้าแล้วค่อยๆเปิดออก

“นท!”

“วี!”

ร่างสูงใหญ่มองคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอด้วยอาการตกใจเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ก่อนจะค่อยๆคลี่ยิ้ม ความโมโหที่มีหายไปในพริบตาเมื่อเห็นหน้าขาวเกรียมแดดหน่อยๆ

“นท...ไม่เข้าไปในห้องละ” ปถวีคว้าแขนอีกฝ่ายตั้งใจจะพากลับไปทางเดิม หากแต่การขืนตัวของนทนที สายตาคมจึงตวัดมองอย่างแปลกใจ

“อะไร?”

“ฉันกลับก่อนดีกว่า นายมีแขก” แขนเล็กพยายามแกะมือใหญ่ออก แล้วรีบกดลิฟต์ลงทันที

“นท!” อารมณ์ที่เหมือนจะดีเมื่อครู่เริ่มขุ่นมัวขึ้นมาทันใด มันอะไรกันวะ! ริมฝีปากได้รูปขบเม้นเข้าหากันแน่น ก่อนจะร้องอ๋อในใจแล้วระบายลมหายใจหนักๆ

“นั่นมันน้องอร มีธุระเลยต้องพามาด้วย เดี๋ยวจะพากลับแล้ว”

หากแต่ร่างโปร่งยังคงตั้งหน้าตั้งตาคอยลิฟต์ยิ่งทำให้ตบะของร่างสูงเริ่มลดน้อยลง และก่อนจะได้โมโหไปกว่านี้ มือใหญ่จึงกระชากแขนเล็กแล้วลากไปยังห้องพักโดยไม่ได้มองว่าอีกฝ่ายจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแค่ไหน

“ปล่อย...” เสียงร้องครางต้องหยุดลงเมื่อเหลือบเห็นร่างหญิงสาวยังยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องพัก คนที่ถูกลากจึงจำต้องก้าวเท้าให้ทันร่างสูงข้างหน้าแล้วปรับสีหน้าสีตาเสียใหม่

“น้องอร นี่นทนที...น้องอรเลือกหนังได้รึยัง จะได้ไปกัน” ปถวีพูดยาวติดกันเป็นพรืดไม่ให้หญิงสาวได้พูดแทรก ทำได้แต่เพียงพยักหน้าหงึกๆสลับกับมองเพื่อนชายที่ยืนอยู่ข้างหลังร่างสูงด้วยแววตาที่มีเครื่องหมายคำถามแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง หากแต่หญิงสาวก็เงียบแล้วหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องหยิบของที่ต้องการ

ปถวีกระตุกมือร่างโปร่งเมื่อคล้อยหลังหญิงสาว แววตาคมกล้าทำให้นทนทีต้องสงบปากสงบคำ

“รอฉันอยู่ที่นี่นะ ถ้ากลับมาไม่เจอน่าดู!” นทนทีจำต้องหลับตาลงฟังเสียงหนักๆเอ่ยกระซิบดังอยู่ข้างหูอย่างหมายมาด

“พี่วี” อรอนงค์ชูแผ่นหนังสองสามแผ่นก่อนจะก้าวผ่านชายหนุ่มหน้าสวยด้วยความรู้สึกกดดัน ต่างกับตอนที่พบเมื่อครู่ เพราะ... ลางสังหรณ์บอกกับตัวเองว่า ผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา!

ปถวีพยักหน้ารับ ก่อนจะเหลือบมองนทนทีที่พยายามจะไม่สบตาอย่างหงุดหงิด หากแต่มีอรอนงค์อยู่ด้วยจึงจำต้องรักษาท่าทีที่อยากจะกระชากหน้าขาวๆนั่นให้หันมามอง

อรอนงค์ฝืนยิ้มให้ร่างโปร่งแล้วจึงก้าวตามปถวีจากไป ทิ้งให้นทนทีค่อยๆขยับถอยหลังยืนพิงผนังห้องพลางถอนหายใจยาว

ใจเย็นๆใจเย็นๆนทนที ร่างโปร่งพูดปลุกปลอบใจตัวเอง มันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิดก็ได้

ร่างโปร่งเหลือบมองประตูที่ยังเปิดอ้ารอรับเขาเข้าไปภายใน หากแต่เขาจะกล้าก้าวเข้าไปมั้ย เขากลัว กลัวจะไปพบเห็นเศษซากอะไรเข้า กลัวจะเข้าไปรู้สึกถึงกลิ่นไอของคนอื่นที่ไม่ใช่เขา!

ปถวีรีบร้อนพาอรอนงค์ไปส่งท่ามกลางความสงสัยของหญิงสาวในอากัปกิริยาที่เงียบขรึมผิดไปจากทุกที หากแต่หญิงสาวก็ไม่คิดจะถามอะไรกับชายหนุ่ม ด้วยเวลาของเธอยังมีอีกเยอะในการเรียนรู้คนที่เธอพึงใจ

เพราะผู้ชายที่เพียบพร้อมไม่ใช่จะเจอกันได้บ่อยๆ!


“ขอบคุณคะพี่วี เจอกันอาทิตย์หน้าใช้อรได้เต็มที่เลยนะคะ” ปถวียกยิ้มตอบรับหญิงสาวเมื่อมาส่งถึงหน้าบ้าน ก่อนจะหักหัวรถกลับไปยังทางเดิม

แต่ทว่า...คนที่เขาสั่งนักสั่งหนาให้อยู่คอยกลับไร้ซึ่งตัวตนในห้องอันว่างเปล่า

“นทนที!”

V
V
V

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
ตอนที่ 14

“จะไปไหนหรือวา” นทนทีเอ่ยถามเมื่อเห็นน้องสาวเดินลงมาจากชั้นสองพร้อมเครื่องแต่งกายเตรียมจะออกไปข้างนอก

“คุณน้าให้พี่นลมารับวาไปหาที่บ้านค่ะพี่นท”

นทนทีพยักหน้ารับรู้แล้วยกยิ้มให้น้องสาว พลางมองใบหน้ารูปไข่ขาวนวลแต่งแต้มด้วยความสดใสอิ่มเอิบของคนกำลังมีความสุข ด้วยอาทิตย์ที่ผ่านมาบิดามารดาของอนลได้เข้ามาพูดคุยสู่ขอวารีเป็นทางการ และกำหนดวันตบวันแต่งคืออีกสองเดือนข้างหน้าไว้เสร็จสรรพ

“คุณแม่ของนลจะให้วาไปหาทำไมเหรอ”

“เห็นพี่นลบอกว่าคุณน้าจะให้วาไปเลือกคอร์สเจ้าสาวค่ะ” ผิวแก้มใสแดงเรื่อขึ้นจนพี่ชายอมยิ้ม “อย่ายิ้มอย่างนั้นสิค่ะพี่ วาก็ไม่อยากให้คุณน้าต้องมาลำบากเพราะวาหรอกนะค่ะ แต่...”

“พี่รู้ๆ” นทนทีรีบแย้ง ด้วยรู้ว่าคุณศรีสอางค์ออกตัวเป็นแม่งานจัดการทุกอย่างให้ จนกระทั้งวารีและอนลมีหน้าที่แค่ทำตามอย่างเดียว และอาจเพราะเป็นคนแรกในบรรดาลูกชายทั้งสามคน คุณศรีอางค์จึงดูจะกระวีกระวาดเป็นพิเศษ

“เสียงรถ? นลมาถึงแล้วมั้งวา”

วารีมองตามเสียงบอกของพี่ชาย ก่อนจะเดินออกไปรับอนลแล้วกลับเข้ามาในบ้าน

“ทำอะไรพี่นท?” อนลทักเสียงใสเมื่อเห็นว่าที่พี่เขยกำลังง่วนกับเอกสารบนโต๊ะรับแขกเตี้ยๆ

นทนทียิ้มรับแล้วจึงส่ายหน้าเหมือนไม่ได้สำคัญอะไร พลางมองชายหนุ่มเข้ามาทรุดตัวนั่งเก้าอี้ข้างๆ

“ทะเลาะกับพี่วีอีกแล้วเหรอครับ” รอยยิ้มแสนรู้ของอนลทำให้นทนทีรวบเอกสารใส่ซองแล้วทิ้งตัวพิงพนัก ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ยังไม่ได้พูดคุยกับปถวีอีกเลย ทั้งที่เขาน่าจะถูกอีกฝ่ายตามมาอาละวาดใส่ แต่ทุกอย่างกลับเงียบหาย คิดมาถึงตรงนี้ร่างโปร่งก็ระบายลมหายใจยาว ก็ดีแล้วละ เพราะเขาเองก็อยากมีเวลาคิดอะไรคนเดียวซักพักเหมือนกัน

“เปล่านี่” คำตอบราบเรียบจนอนลต้องเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ ก่อนจะยิ้มขำ

“ไม่ได้เห็นนานแล้วนะครับ เวลาที่พี่สองคนเขม่นกัน นึกถึงเมื่อก่อนผมยังขำอยู่เลย ก็พวกพี่น่ะ ทะเลาะกันไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมกันเลย”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนล ช่วงนี้พี่งานเยอะน่ะ เลยไม่ค่อยได้คุยกัน...ก็เท่านั้น” คนตอบหลบสายตาวูบวาบ

“พี่นทงานเยอะแบบนี้ เห็นทีผมจะได้พี่สะใภ้เร็วกว่าเดิมซะละมั้งครับ” อนลเอ่ยสัพยอกก่อนจะหยิบแก้วน้ำยกขึ้นดื่มด้วยท่าทีสบายๆ หากแต่คนฟังกลับตัวแข็งทื่อ

มือใหญ่วางแก้วน้ำมองเครื่องหมายคำถามบนใบหน้านทนที ลองทำหน้าแบบนี้แสดงว่าพี่เราไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลยสิท่า...เป็นเพื่อนกันยังไงคู่นี้

“ไม่รู้จริงๆเหรอครับ อย่าแกล้งให้ผมปล่อยไก่นา...” ดวงตาคู่อบอุ่นมีแววล้อเลียนอีกฝ่าย “ก็ถ้าพี่นทไม่ว่างบ่อยๆพี่วีของผมก็มีเวลาว่างให้แม่จับแต่งตัวไปนั่งเป็นหุ่น เที่ยวกับว่าที่พี่สะใภ้ที่แม่หาให้น่ะสิครับ ที่นี้ละ สมใจแม่ผมพอดีกัน”

คิ้วเรียวเลิกขึ้นกับคำบอกเล่าปนแขวะพี่ชายตัวเองด้วยใจเบาโหวง เหมือนมีลมพัดเร็วแรงอัดเข้ากลางอก

เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลย...ว่า...ปถวี...มีคู่หมาย!

แววตาอ่อนโยนปนขี้เล่นเปลี่ยนไปเมื่อเห็นอาการตกใจจนเก็บไว้ไม่มิดของว่าที่พี่เขย

“พี่นทไม่รู้จริงๆเหรอครับ?”

“อะ!...อืม...” คนตอบพยายามกลืนก้อนแข็งๆลงลำคออย่างยากลำบาก “ก็พักหลังมานี่ไม่ค่อยได้คุยกันน่ะ”

“หือ...อย่างนี้ก็แย่นะสิครับ เดี๋ยววันดีคืนดีพี่ผมแต่งงานแบบสายฟ้าแลบแล้วจะมาโกรธพี่ผมที่ชิงสละโสดไปก่อนไม่ได้นะครับ”

นทนทีฝืนยิ้มให้คนเล่า ก่อนจะถามต่อ “...นานหรือยังนล?”

“ก็ซักพักแล้วละ เป็นลูกเพื่อนสนิทแม่นั่นละครับ เพิ่งจะจบจากนอกมาด้วย ตอนนี้เลยมาทำงานกับพี่วีได้หลายวันแล้วละครับ” อนลถือโอกาสบอกเล่าให้คนที่ไม่รู้ได้รู้ หากแต่สิ่งที่อนลไม่รู้คือคำพูดตัวเองได้ทิ่มแทงใจอีกฝ่ายจนเหมือนมีน้ำอุ่นข้นไหลหลากออกมา

“สะ...สวยมั้ยละนล” ถึงจะเจ็บยอกแต่ก็ไม่ยอมให้ใครได้เห็นความไหววูบในดวงตาคู่ดำรียาว ได้แต่ฝืนแสร้งหัวเราะสัพยอกกลบเกลื่อน

อนลไม่ตอบแต่ยกนิ้วโป้งพร้อมฉีกยิ้มกว้างเหมือนรับประกันความสวยของหญิงสาวที่แม่หมายมั่นไว้เต็มที่

“สวยมากเลยครับ เห็นแม่เรียกน้องอรๆ ไม่ขาดปากซักวัน” อนลส่ายศีรษะเมื่อนึกถึงท่าทีของมารดา

น้องอร! นทนทีสะดุ้งกับชื่อที่อนลเอ่ย ลำคอแห้งผากกับความรู้สึกเย็นวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทำให้เจ้าตัวต้องกัดริมฝีปากแน่น

ผู้หญิงที่เจอในคอนโดปถวี...คนๆนั้นน่ะเหรอ...คือคนที่มารดาปถวีเลือกสรรไว้ให้ ตอนนี้เขาไม่แปลกใจเลยที่เจอผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่นั่น

อาการนิ่งเงียบของนทนทีทำให้อนลต้องลอบมองอีกฝ่ายอย่างค้นคว้าอีกครั้ง จนนทนทีรู้สึกตัวว่าถูกจับจ้องจึงเสพูดกลบเกลื่อน

“เหรอ...คงชอบละสิเจ้านั่น” ริมฝีปากบางยกยิ้มแห้งแล้ง

“ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่เห็นเข้ากันได้ดีจนแม่ผมยิ้มแก้มแทบปริทุกวัน นี่ถ้าทำได้แม่ผมคงอยากจัดงานแต่งควบสองไปเลยมั้งครับ” ท้ายประโยค อนลแสร้งค่อนขอดมารดาที่นั่งรอคอยให้บุตรชายพาว่าที่ภรรยาไปหาเสียที

“นล...นลจะพาวาไปบ้านไม่ใช่เหรอ รีบไปเถอะ เดี๋ยวแม่จะคอยนานนะ” นทนทีเอ่ยเตือนอย่างหวังดี ด้วยรู้ว่าตัวเองในตอนนี้ต้องการเวลารวบรวมสติซักพัก เพราะเรื่องที่ได้รับรู้ออกจะปัจจุบันทันด่วนชนิดที่เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อน

ทั้งๆตอนที่เก็บสัมภาระเตรียมตัวกลับกรุงเทพ หลังจากได้รับฟังข้อเสนอของเทวัญ เขารู้สึกอยากจะพบอยากจะเห็นหน้าปถวีเป็นคนแรก อยากให้มือใหญ่นั้นเข้ามาโอบกอดให้อะไรบางอย่างในร่างกายที่สั่นไหวกลับมาเหมือนเดิม ถึงแม้จะพึ่งทะเลาะกันมาก็เถอะ แต่พอได้เห็น...เห็นผู้หญิงคนนั้น เขากลับไม่กล้าพอที่จะพาตัวเองเข้าไปสู่อ้อมแขนนั้น อะไรบางอย่างในตัวหญิงสาวบ่งบอกให้เขารู้ว่า เธอไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น และก็เป็นอย่างที่รู้สึกเสียจริง

ตัวเลือกที่แสนสมบูรณ์แบบเกิดขึ้นมาแล้ว...นทนทีคิดอย่างเศร้าสลดในใจ

จะมีอะไร...เปลี่ยนแปลงไปมั้ยนะ หลังจากนี้?...


XXXXX


“คุณอร ยังไงการประชุมอาทิตย์หน้ากับไอทีกรุ๊ป ผมยกให้คุณอรเป็นคนเตรียมการทั้งหมดนะครับ แล้วถ้าติดขัดตรงไหนถามผมได้ทันทีเลย” กันย์แบ่งงานให้ผู้ช่วยเลขาสาวไปรับผิดชอบตามที่ได้รับคำสั่งมาจากท่านประธานหนุ่ม และเพราะไม่ต้องการให้อรอนงค์เข้ามาล่วงรู้เรื่องส่วนตัว หรือมีโอกาสใกล้ชิดตัวปถวีเกินความจำเป็น กันย์จึงต้องทำหน้าที่คอยป้อนงานให้หญิงสาวแทนเจ้านาย ซึ่งนำพาความไม่พอใจให้แก่อร
อนงค์ไม่น้อย

“ค่ะ” เสียงตอบรับหนักแน่น หากแต่เก็บงำความไม่พอใจไว้ลึกๆ ส่งผลให้กันย์นึกนิยมในตัวหญิงสาวไม่น้อย ด้วยหญิงสาวทำงานไม่ขาดตกบกพร่องแถมยังหัวไวฉลาด มีความรับผิดชอบ งานเป็นงาน เรื่องส่วนตัวก็ส่วนตัว นี่ถ้าไม่เพราะประธานเขามีคนรักอยู่แล้วละก็ คงได้เชียร์กันไปข้างหนึ่ง

แต่ชีวิตคนเรามันไม่ง่ายยังงั้นนะสิ

“ส่วนเย็นนี้ผมต้องไปข้างนอกกับประธาน ฝากทางนี้กับคุณอรด้วยนะครับ” เลขาหนุ่มนึกถึงช่วงเย็นวันนี้ ด้วยท่านประธานหนุ่มเกิดอาการตบะแตกจะไปรับคนรักที่บริษัท หลังจากอมพะนำอยู่นานสองนาน

“ไปไหนหรือค่ะ แล้วจะกลับเข้ามาอีกมั้ย คือถ้ามีใครติดต่อเข้ามาจะได้ตอบถูกน่ะค่ะ” อรอนงค์ยิ้มเย็นให้ชายหนุ่มที่ยิ้มแย้มตอบกับมาอย่างรู้ทัน

“ไม่เข้ามาแล้วครับ ส่วนไปไหนนี่ท่านประธานก็ไม่ได้บอกไว้น่ะครับ บอกแค่ให้ผมขับรถไปให้เท่านั้น” กันย์ส่งยิ้มให้หญิงสาวอีกรอบแล้วจึงหมุนตัวเดินไปยังห้องประธานบริษัทท่ามกลางการจับจ้องของอีกฝ่าย

อรอนงค์ถอนหายใจพิงหลังกับพนักเก้าอี้ เพราะถูกตาต้องใจในตัวชายหนุ่มผู้เป็นประธานบริษัท กอปรกับทางผู้ใหญ่ก็เห็นดีเห็นงาม จึงมานั่งหลังขดหลังแข็งทำงานด้วยหวังจะได้เรียนรู้นิสัยใจคอของอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนเธอจะถูกกันออกมากลายๆ อย่างน่าแปลกใจ จนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสูญเสียความมั่นใจในตัวไปมากโข

นี่เธอจะต้องทำยังไงให้ชายหนุ่มหันมามองเธอเต็มๆตา ไม่ใช่เพราะผู้ใหญ่คอยวางโปรแกรมให้!

ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเรียบเฉยเคาะประตูสองสามครั้งแล้วจึงผลักบานประตูเข้าไปยืนข้างๆเก้าอี้ประธานหนุ่ม ซึ่งใบหน้าตอนนี้ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะไปพูดจายอกย้อนกวนประสาทเด็ดขาด

“จัดการเรียบร้อยแล้ว?”

“ครับ”

“แล้ววันหลังไม่ต้องให้น้องอรเข้ามารายงานเรื่องนัดหมายกับฉันอีกละ”

กันย์พยักหน้ารับคำพลางนึกค่อนขอดในใจ เอาแต่ใจกันจริงๆ แค่เขาให้อรอนงค์เข้ามารายงานนัดหมายเมื่อเช้าเพราะติดธุระ ก็หน้าหงิดทั้งวัน นี่ถ้าฝืนใจมากนักก็หาเรื่องส่งคุณอรไปอยู่แผนกอื่นเลยดีกว่า เขาจะได้ไม่โดนหางเลขโดยไม่จำเป็นแบบนี้ ตัวเองอารมณ์ไม่ดีเองแท้ๆ

ประธานหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา และเพราะหน้าปัดบอกว่าอีกนานกว่าจะเลิกงาน มือที่กำลังจับปากกาเขียนหัวข้อการประชุมจึงโยนส่งๆอย่างต้องการระบายความอึดอัด

“ปะ...ไปเถอะ ขี้เกียจอยู่แล้ววันนี้”

“ไปไหนครับ”

ปถวีเหล่ตามองคนถามให้นึกคันมือคันไม้ยิบๆ

“ไปรับนทนที!”

“อีกนานกว่าคุณนทนทีจะเลิกงานนะครับ” คำตอบราบเรียบ ราบเรียบจนอีกฝ่ายต้องส่งสายตาขุ่นเขียวให้

“เพื่อรถติดไง”

คำแก้ตัวข้างๆคูๆจนกันย์ต้องส่ายหน้าช้าๆอย่างไม่เห็นด้วย

“ไปเร็วไปช้ามันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอกครับ ถ้าคุณยังใจร้อนและต้องการไปเพื่อจะทะเลาะกับอีกฝ่าย”

“รู้ดี!” สายตาคมตวัดมองอีกฝ่ายอย่างดุดัน “ฉันนี่นะอยากจะทะเลาะกับ...ให้ตายเถอะ!” ปถวีสบถเสียงดังกับความใจเย็นของเลขาคนสนิท

ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาเขารอเสียงโทรศัพท์เหมือนคนบ้า แต่ทุกอย่างก็เงียบหายเหมือนไร้ซึ่งตัวตนของอีกฝ่าย

มันจะเย็นชาเกินไปแล้ว คนเรารักกันถ้าเห็นผู้หญิงอื่นอยู่ในห้อง มันก็ต้องมีโวยวายบ้าบอคอแตก หรือไม่ก็มีปฏิกิริยาบึ้งตึงให้เห็นกันบ้าง ถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงจะรู้สึกดีกว่านี้ แต่นี่ไม่มีเลย...มันเพราะอะไรนทนที

หรือไม่เชื่อใจเขาแล้ว...

ร่างสูงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เขายอมให้นทนทีทำตามใจที่ตัวเองคิดมากเกินไปหรือเปล่า มากจนมันย้อนกลับมาเป็นหนามทิ่มตำให้เจ็บปลาบแปลบตลอดเวลา หรือมันถึงเวลาที่ต้องดึงเสี้ยนหนามนี้ออกก่อนที่มันจะกัดหนองลุกลามจนไม่สามารถรักษาได้


XXXXX
“ขึ้นรถ!”

เสียงดุดันเอ่ยขึ้นหลังจากกันย์นำพานทนทีที่แสดงท่าทางอิดออดไม่อยากพบเจอร่างสูงในตอนนี้ยิ่งเป็นการกระตุ้นต่อมโทสะของชายหนุ่มให้ลุกโชน

จะมาดีๆไม่ได้เลยรึไง!

“ทำไม! จะมาหาฉันนี่มันจะเป็นจะตายนักหรือไง” ปถวีค่อนขอดร่างโปร่งที่ขึ้นมานั่งเคียงข้างหลังจากกันย์เดินอ้อมไปประจำที่นั่งคนขับ ด้วยอากัปกิริยาของคนที่ขึ้นมานั่ง...นั่งอย่างเดียวแบบไม่ได้เอาปากมาด้วย ทำให้ปถวีกระชากแขนอีกฝ่ายเข้ามาใกล้จนได้เห็นสายตาขุ่นเคือง

“เปล่า”

คำตอบสั่นกุดมาพร้อมดวงตาแวววาวสะท้อนลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ยามเย็นทำให้ปถวีต้องกลั้นลมหายใจชั่วครู่ก่อนจะลอบระบายออกมาเบาๆแล้วรั้งไหล่เล็กเข้าไปหาจนเกยก่ายกับช่วงไหล่ของตน

“ทำไม?...โกรธฉันหรือไงถึงได้เงียบไปแบบนี้”

“เปล่า”

“นท”

“...” ร่างโปร่งเงียบงันจนด้วยคำตอบ เพราะเขาไม่ได้โกรธ ไม่ได้โกรธเลย เพียงแค่...หวั่นไหว หวั่นไหวเท่านั้น

“ไม่เชื่อฉันรึไง”

“...” นทนทีนิ่งงันเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยเหมือนล่วงรู้สิ่งที่อยู่ในใจ

“นท” สายตาคมเพ่งมองริมฝีปากซีดเซียวขบเม้นเข้าหากันอย่างชั่งใจ

“...ผู้หญิงคนนั้น คู่หมายนาย?” คำถามราบเรียบหากแต่ทำให้คนฟังต้องกระตุกพลางขมวดคิ้วมองลึกลงในดวงตาอีกฝ่าย

“ไปรู้มาจากไหน?”

“ใช่หรือเปล่าละ”

“ไม่ใช่”

“จริง?”

“นท!” ปถวีถอยห่างมองใบหน้าขาวอย่างขุ่นเคือง “นายไปรู้อะไรมากันแน่? น้องอรเขาก็มาฝึกงานของเขา ส่วนใครจะคิดยังไงฉันไม่รับรู้ด้วยหรอกนะ แล้วถ้านายจะเอาความคิดของคนอื่นมายัดเยียดให้ฉัน ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูด”

“แต่...แม่ของนาย...” พูดยังไม่ทันจบปถวีก็เอ่ยแทรกอย่างหัวเสีย

“ฉันรู้หละว่านายไปได้ยินมาจากใคร...ไอ้นลใช่มั้ย” สายตาคาดคั้นทำให้นทนทีจำต้องพยักหน้า

“จะบ้าเรอะ ไปเชื่ออะไรกับไอ้นล มันแหย่นายเล่นน่ะสิ ไปบ้าจี้ตามมัน ส่วนแม่เขาก็ทำแบบนี้ประจำหละ เวลาลูกหลานใครเข้าตา ก็เขาคิดว่าฉันยังไม่มีแฟนนี่ ทำไงได้ ก็ต้องปล่อยให้แม่เขาทำไป แล้วฉันก็ค่อยๆเลี่ยงจนแม่เขาหน่ายไปเองละ ว่าแต่นาย...” ปถวีพูดค้างไว้แล้วจ้องดวงตาคู่กลมรีของอีกฝ่าย “ไม่คิดจะหึงกันเลยเหรอ ถึงได้เย็นชากับฉันขนาดนี้”

คำถามเหมือนตัดพ้อกลายๆของปถวีทำให้นทนทีหน้าชาก่อนจะก้มหน้าลงมองบริเวณอกเสื้ออีกฝ่าย

ทำไมเขาจะไม่รู้สึก...แต่มันพูดไม่ออกและกลัวคำตอบที่จะได้ยิน ถ้าเป็นอย่างที่เขากลัวแบบนั้น เขายังจะรักษาหัวใจของเขาไม่ให้แตกสลายไปได้มั้ย เขาจะยังรู้สึกว่าเป็นนทนทีอย่างเช่นทุกวันนี้มั้ย ถ้าปถวีเลือกทำตามความต้องการของมารดา ถึงวันนั้นเขามิต้องเป็นเพียงคนๆหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของปถวีแล้วผ่านเลยไปหรอกเหรอ...

แค่คิดก็เจ็บแล้ว...

“คิดว่าฉันจะชอบน้องอรเขาจริงๆรึไง” มือใหญ่ยกขึ้นลูบไล้เส้นผมนิ่มสลวยก่อนจะย้ำถาม “ว่าไง”

ร่างโปร่งไม่ตอบหากแต่ค่อยๆเอียงศีรษะทุยซบลงบนอกแข็ง แล้วหลับตาตั้งใจฟังเสียงหัวใจอีกฝ่ายเต้นตุบๆ...ช้าบ้าง...เร็วบ้าง ก่อนจะระบายลมหายใจออกมาช้าๆ

แค่หัวใจนี้ยังเต้นอยู่...แล้วยังจะตั้งกำแพงให้สูงทำไมนักหนา ถ้าวันที่ข้ามไปได้ไม่มีคนที่รอคอยอยู่

การกระทำของนทนทีทำให้ความแข็งกร้าวของร่างสูงอ่อนลง

“นท...” นิ้วมือแข็งแรงยกขึ้นเกลี่ยไล้เส้นผมที่ลงมาปกปิดข้างแก้มให้อย่างเบามือ “เราไม่เหนื่อยกันรึไงที่ต้องมาทะเลาะกันแบบนี้”

กระแสเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามอย่างรักใคร่ พร้อมกับความอุ่นซ่านของนิ้วแข็งแรงทำให้นทนทีลืมตาแล้วพยักหน้ารับช้าๆ
ใช่เขาเหนื่อย เขาอยากรัก รักโดยไม่สนใจใครๆ

“งั้นมาเถอะ...มาทำงานกับฉัน แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น อย่าเป็นอยู่อย่างนี้เลย”

ประโยคที่หลุดออกมาจากริมฝีปากได้รูปทำให้นทนทีคิดถึงคำพูดของเทวัญ

การตัดสินใจเลือกอย่างหนึ่งก็คือต้องทิ้งอีกอย่างไปโดยปริยาย เพราะถ้านทไม่เลือก ตัวนทเองนั้นละที่จะต้องเจอกับปัญหาแบบนี้ไม่จบไม่สิ้น...

แต่ก่อนจะได้ตัดสินใจ เสียงโทรศัพท์มือถือของปถวีก็ดังขึ้นขัดคำตอบของร่างโปร่ง หากไม่ได้ผละตัวออกห่างด้วยมือใหญ่ยึดจับหัวไหล่มนไว้แน่นก่อนจะรับโทรศัพท์

“...ครับ”

“อรนะค่ะพี่วี” เสียงใสตอบกลับมาทำให้ปถวีขมวดคิ้วก้มมองใบหน้าขาวบนอก แล้วลอบพรางพรูลมหายใจ

“มีอะไรครับน้องอร"

เสียงขานรับของปถวีทำให้นทนทีเงยหน้าขึ้นมองปลายคางอีกฝ่ายทันที

“พี่วีค่ะ พอดีตอนนี้คุณแม่พี่อยู่ทานข้าวเย็นกับคุณแม่ของอร แล้วตกลงกันว่าพรุ่งนี้จะไปออกรอบเล่นกอล์ฟกันค่ะ คุณน้าเลยฝากให้อรโทรมาบอกให้พี่วีไปรับคุณแม่ที่บ้านด้วยนะค่ะ”

“พรุ่งนี้น่ะเหรอ” ร่างสูงพึมพำด้วยพรุ่งนี้เป็นวันหยุด เขาต้องการอยู่กับนทนทีอีกทั้งกอล์ฟคราวนี้เห็นทีจะเป็นกอล์ฟหาลูกสะใภ้ของแม่เขาซะมากกว่า “ขอบใจนะ แล้วยังไงพี่จะคุยกับแม่อีกทีนะครับ” คำพูดตัดบทของปถวีสร้างความขุ่นใจให้แก่อรอนงค์ แต่หญิงสาวก็ยิ้มรับกรอกเสียงใสลงในโทรศัพท์

“ค่ะ แล้วยังไงเจอกันพรุ่งนี้นะค่ะ”

“...ครับ”

ปถวีตัดสายแล้วหันหน้ากลับมามองคนในอ้อมแขน แววตาสั่นไหวของดวงตาคู่กลมดำ ทำให้ปถวีต้องเพิ่มแรงโอบกอดแล้วเขย่าเบาๆราวกับจะปลอบประโลม

“ไม่มีอะไรๆ” เสียงย้ำเบาๆ พลางกดริมฝีปากลงบนเส้นผมนุ่มหนักๆ อย่างให้ความมั่นใจจนนทนทีต้องพยักหน้ารับรู้ หากแต่ในใจกลับรู้นึกเบาโหวงอีกครั้ง

พวกเขาจะต้านทานกระแสความคิดคนรอบข้างไปได้ถึงไหนกันนะ...


XXXXX

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
ภาพผู้คนทั้งหัวดำหัวทองเดินเข้าออกผ่านหน้าเคาเตอร์ต้อนรับไม่ได้ขาดสาย บ่งบอกให้ผู้เป็นเจ้ากิจการรับรู้ว่า รีสอร์ทกำลังไปได้ดี หากแต่ผู้เป็นเจ้าของกลับไม่มีรอยยิ้มให้กับความน่าปลาบปลื้มนี้เลย

ไผ่...

ร่างสูงใหญ่ของประวิชนั่งทอดอาลัยบนเก้าอี้ทำงาน แม้จะมีแขกเหลื่อมาใช้บริการห้องพักเดินกันให้ขวักไขว้ กลับไม่ทำให้ใจของคนอยู่อย่างซักกะตายคึกคักขึ้นมาเลย ไม่ว่าจะลุยทำงานจนแทบไม่ได้หลับไม่นอน แต่ก็ยังคิด...คิดถึงคนที่เคยอยู่ข้างๆ ถึงตอนนั้นปากจะบอกว่าหนวกหูกับเสียงเจื้อยแจ้ว รำคาญกับการก้อล้อก้อติด แต่ตอนนี้เขาอยากได้ยินเสียงนั้นอีก อยากให้มีเงาของร่างเล็กๆมาผลุบๆโผล่ๆอยู่ไม่ห่าง

ไอ้คนขี้เกียจ...ไอ้คนไม่รับผิดชอบ...นึกอยากจะหายก็หายไป อยู่คุยกันก่อนสิโว้ย...

เสียงสบถพึมพำต่อว่าคนที่หายตัวไปอย่างพาลๆ ทำให้ลูกน้องที่นั่งอยู่ใกล้เหลือบตาขึ้นมองเจ้าของรีสอร์ทอย่างสนเท่ห์ จนเจ้าตัวรู้สึกนั่นละว่ายังมีคนอื่นอยู่ด้วยจึง ยกมือไม้ขึ้นลูบศีรษะตัวเองแรงๆ แล้วลุกขึ้นพาตัวเองไปยังบ้านพักส่วนตัว บ้านที่เคยมีคนเจ้ากี้เจ้าการคอยจัดโน้นแต่งนี้อยู่ไม่ขาด

ฮึ! ดีแต่ชอบคิด คนทำน่ะเป็นเขาทุกที ร่างสูงยกยิ้มฝืดเฝื่อนให้ตัวเองกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้น ผ่านมาเป็นเดือนแล้วยังไม่ได้ข่าวคราวเลย หมอนั่นไปอยู่ที่ไหน ลำบากลำบนหรือเปล่า ยิ่งกินอยู่ยากไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา ยังจะเรื่องรถเรื่องรา ใครจะคอยปราม...หึ! จับพวงมาลัยเป็นไม่ได้พ่อเหยียบมิด คิดมาถึงตรงนี้ พวกเขาทำอะไรด้วยกันมาตลอด ทำจนเป็นความเคยชิน จนไม่คิดว่าจะมีวันที่ต้องแยกจากกัน เขาไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้เลย ในเมื่อพวกเขาอยู่ด้วยกันก็มีความสุขดี แต่...

ฉันรักนาย! ได้ยินมั้ยว่าฉันรักนายอย่างคนรัก ไม่ใช่อย่างเพื่อน! เสียงก้องกังวานสะท้านความรู้สึกคนฟังเมื่อคิดถึง ยิ่งทำให้ประวิชเจ็บปลาบแปลบในอก

คนรักงั้นเหรอ...หัวคิ้วเข้มย่นเข้าหากันอย่างขบคิด

คนรักเขาต้องอยู่ใกล้กัน ทำอะไรด้วยกัน รู้สึกดีๆให้กัน แบ่งปันความทุกข์ความสุขของกันและกัน...

ให้ตายเถอะ! แล้วมันต่างอะไรกับเขาที่รู้สึกแบบนั้นกับไผ่ตลอดเวลาที่คบกันวะ ยกเว้นไอ้เรื่องบนเตียงนั่นน่ะ

ร่างสูงพรางพรูลมหายใจยาวอย่างหนักอกหนักใจ วูบหนึ่งที่คำพูดของนทนทีเข้ามาวนเวียนอยู่ในหัว
ฉันอยากให้ประวิชหาตัวเองให้เจอ ว่าควรจะอยู่ที่ตรงไหนของไผ่

ควรจะอยู่ตรงไหนงั้นเหรอ?...

คนเหม่อลอยตกอยู่ในภวังค์ความคิด สูดเอาสายลมเย็นที่พัดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างเฮือกใหญ่ แล้วหลับตาลงให้สายลมโลมไล้ใบหน้าราวกับจะให้พัดพาความรู้สึกเหงา เหงาจนจับถึงขั้วหัวใจผ่านพ้นไป ก่อนจะลืมตาขึ้นมองผ้าม่านลูกไม้สีฟ้าอ่อนแผ่วพลิ้วตามแรงลม ที่เจ้าตัวดีร่ำร้องนักหนาว่าจะเอาให้ได้ สุดท้ายก็ต้องควักกระเป๋าจ่ายตามใจคนทำหน้าหงิกถ้าไม่ยอมซื้อ และเจ้าของร่างเล็กก็ชอบมานอนคดตัวรับลมบนเก้าอี้ยาวติดหน้าต่างนี้ ทั้งๆที่ย้ำนักย้ำหนาว่าอย่ามานอนตากลม แต่ก็นอนให้ตัวเองเป็นหวัดเสียทุกทีไป เดือดร้อนให้เขาต้องมาป้อนข้าวป้อนน้ำ

เห็นมั้ยว่าเจ้านั่นดื้อขนาดไหน ปากเล็กๆแดงๆนั่นก็ชอบเถียงคำไม่ตกฝาก ผิวขาวๆนิ่มๆนั่นก็ชอบนัก ชอบไปตากแดดให้มันเกรียมดำเล่น กินก็เก่งแต่ไม่ยักจะอ้วน เวลานอนก็ชอบละเมอ แถมดิ้นอีกต่างหาก แต่เจ้านั่นก็ตัวหอม ยิ้มสวย แล้วก็ฉลาดเป็นกรด...

หึ...ถ้าฉลาดจริงก็น่าจะรอเขาหน่อย ไม่ใช่พูดๆแล้วก็ไป มันน่าจะมีวิธีที่ดีกว่าการหนีหายไปไม่ใช่เหรอ ปากเก่งแบบนั้นทำไมไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์มั่งวะ ไม่ใช่จะเอาอะไรก็จะให้ได้เดี๋ยวนั่น

ฉันคน...ไม่ใช่สิ่งของนะไอ้ไผ่! ให้เวลาฉันตั้งตัวบ้างได้มั้ย!

มือคนกลุ้มใจกำเข้าหากันแน่นแล้วค่อยๆคลายออก พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่กับสิ่งที่ไม่เป็นดังใจคิด

ให้ตายสิ! ทำไมถึงชอบทำให้เขาหัวปั้น วุ่นวายอยู่เสมอ แต่ทุกครั้งเขาก็โกรธไม่ลง ไม่เคยโกรธลง เหมือนอย่างครั้งนี้ ไม่ว่าไผ่จะพูดอะไรออกมา เขาก็ไม่คิดต่อว่าอีกฝ่าย หรือโยนให้เป็นความผิดของอีกฝ่าย ในทางกลับกันถ้าเขาไปตกที่นั่งแบบนั้น เขาจะทนได้อย่างที่เจ้านั่นทนรึเปล่า

เพราะที่สุดแล้ว สิ่งที่เจ้านั่นทำทุกอย่างก็เพื่อเขา...ถ้าเขาจะยอมรับความรู้สึกของอีกฝ่ายมาไว้ในใจซักนิด เรื่องก็คงไม่เป็นอย่างนี้

ไอ้ทึมวิชเอ๊ย! ร่างสูงต่อว่าความโง่เง่าของตัวเอง หากแต่ก็ย้ำถึงสิ่งที่ใจเขาต้องการในเวลานี้ได้ไม่ยาก และ...

แม้จะยังไม่ชัดเจน แม้จะยังคลุมเครือ แต่...

อีกครั้ง ขอเจอร่างเล็กนั่นอีกครั้ง ไอ้สิ่งที่ยังเลือนรางในใจคงจะแจ่มชัดขึ้นมาแน่นอน คิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าขาวนวลของคนที่เคยอยู่ไม่ห่างก็แจ่มชัดขึ้นมาในสมอง

กี่ครั้งแล้วที่ได้มองใบหน้านั้นตรงๆแล้วต้องถอดถอนใจจนเหนื่อย...กับหน้าขาวๆปากแดงๆเนื้อตัวนุ่มนิ่มหอมกรุ่นนั่น

ความคิดของประวิชสะดุดลงเมื่อมีอะไรบางอย่างวิ่งปราดเข้ามาในหัว อย่างกับมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่าน หัวใจดวงโตเริ่มเต้นถี่เร็วจนเจ้าของต้องยกมือขึ้นทาบหน้าอกตัวเอง

เขา...ริมฝีปากได้รูปครางออกมาได้เท่านั้น แล้วจึงยกโทรศัพท์ขึ้นโทรหานทนทีทันที ก่อนจะรออีกฝ่ายรับสายอย่างกระสับกระส่าย

“นท!” เสียงร่างสูงดีใจเมื่ออีกฝ่ายรับสาย

“วิช...เป็นยังไงบ้าง” นทนทีถามอย่างเป็นห่วง เพราะหลายๆครั้งที่เขาโทรไปถามสารทุกข์สุขดิบ อีกฝ่ายก็มีน้ำเสียงหงุดหงิดเหมือนคนไม่อยากคุยซะงั้น

“ก็ไม่สบาย นายก็รู้นี่ว่าเพราะอะไร”

“...อืม”

“นท...” ริมฝีปากหยุดชะงักก่อนจะกลั้นใจถามอย่างหวังในคำตอบ “ไผ่ติดต่อเข้ามาบ้างหรือยัง”

คำถามของประวิชทำให้นทนทีต้องเงียบงัน แล้วชั่งใจในสิ่งที่ตัวเองจะตอบออกไป เพราะเขารู้อยู่เต็มอกว่าไผ่อยู่ที่ไหน และเป็นฝีมือใครที่ส่งไป ก็คนที่ยังนอนหลับอยู่ข้างๆนี่ไง

“ยะ...ยังไม่ติดต่อมาเลย” เขาไม่ได้โกหกนะ ก็ไผ่ยังไม่โทรมาจริงๆ แต่เขารู้มาจากปถวีต้นเรื่องต่างหาก

“ไม่เลยเหรอ...” เสียงปลายทางแหบแห้งจนน่าใจหาย

“ฉันว่าไผ่ไม่เป็นอะไรหรอก คงแค่อยากจะอยู่เงียบๆ วิชอย่ากังวลเรื่องนี้เลย แล้วก็ไม่ต้องโทษว่าเป็นเพราะตัวเองด้วยนะ”

“อืม...แต่ฉันก็ยังอยากเจอไผ่จริงๆนะนท ขอฉันเจอหน้าเจ้านั่นอีกที ฉันอยากจะคุยกับมันก่อน”

“วิช...” นทนทีครางขึ้นในอก เขาควรจะบอกดีหรือเปล่า?

“ไม่เป็นไร ไว้นทรู้ข่าวแล้วรีบโทรบอกฉันนะ ฉันอยากเจอมัน อยากเจอมาก”

“อืม”

“เดี๋ยวเดือนหน้าฉันจะขึ้นกรุงเทพ แล้วจะแวะไปหานะ” ประวิชบอกกล่าวอีกฝ่าย แล้วจึงวางสายไป
พร้อมกับหัวใจที่แฟบลงทันตาเห็น

ไม่มีใครรู้เลยจริงๆเหรอ...

บ้าเอ๊ย! อย่าให้เจอนะ...


XXXXX


“ใครเหรอ” น้ำเสียงอู้อี้ดังขึ้น พลางรวบเอวเล็กเข้าไปกอด

“ประวิชน่ะ เสียงไม่ค่อยดีเลย” นทนทีเอ่ยอย่างเป็นกังวล

“...ปล่อยไปซักพักนั่นละ” ปถวีพูดแล้วซุกหน้าลงกับหมอนตามเดิม

“ไผ่เป็นไงบ้าง” ร่างโปร่งก้มมองคนยังหลับตาทำท่าไม่อยากลุกทั้งๆที่ก็สายมากแล้ว

“สบายดี วันก่อนเพิ่งโทรหา ก็เรื่อยๆของมันนั่นละ”

“เหรอ...แต่คราวนี้ไม่โทรหาฉันเลย”

“คิดมาก กลัวนายจะไปบอกเจ้าวิชมันนะสิ”

“...” ก็เกือบจะบอกอยู่...

ร่างสูงใหญ่นอนเปลือยเปล่าใต้ผ้าห่มที่จะหลุดมิหลุดแหล่จากตัว เพ่งมองวงหน้าขาวลอยเด่นแค่ช่วงมือเอื้อม ในเวลานี้ เวลาที่ไม่มีใครมาแทรกให้ขัดใจ เขารู้สึกสงบได้อย่างน่าประหลาด ถ้าเป็นอย่างนี้ตลอดไปจะดีขนาดไหน

“นท...” มาทำงานกับฉันเถอะนะ ประโยคท้ายยังไม่ทันได้หลุดออกจากปาก เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะอีกครั้ง “โธ่เว้ย!” สบถเบาๆก่อนจะเอื้อมมือขึ้นไปหยิบโทรศัพท์มาแนบหู ไม่น่าลืมปิดเลยจริงๆ

“ครับ...แม่”

“นี่กี่โมงแล้ววี แม่รอลูกอยู่นะ!”

ตายชัก! ลืมโทรบอกแม่ว่าไปไม่ได้ ปถวีครางอยู่ในคอ “อือ...วีลืมบอกแม่ว่าติดธุระ แม่ให้เจ้านลขับรถไปเถอะนะครับ”

“วี! แม่ไม่ได้บอกน้องไว้ น้องเลยไปธุระเรื่องแต่งงานกับหนูวาแล้ว ไม่รู้ละ วีออกมาหาแม่เดี๋ยวนี้เลย แม่รู้ว่าลูกไม่มีธุระเรื่องงานที่ไหน”

“แม่...วีอยู่กับเพื่อน นัดไว้...”

“เอาไว้คุยกันวันอื่นลูก แม่รอลูกนานแล้ว จะให้แม่เสียหน้ากับคนอื่นที่นัดไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วนะเหรอ”

“แม่...”

“ไม่ต้องมาแม่เลยวี”

“...” ปถวีเหลือบมองแผ่นหลังร่างโปร่งบางแน่วนิ่วก่อนจะถอนหายใจยาว

“ครับแม่”

ร่างสูงรับคำมารดาแล้วจึงวางโทรศัพท์ลงตามเดิม มือใหญ่คว้าเอวเล็กเข้ามากอดแน่นๆก่อนจะคลายออก

“แม่ให้ไปหาน่ะ...” สายตาคู่คมรอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย “นทอยู่นี่นะ เดี๋ยวบ่ายๆก็กลับแล้ว”

แขนเล็กยันตัวเองลุกนั่งพลางเสยผมอย่างลวกๆ ก่อนจะตอบเสียงราบเรียบทั้งที่ในช่องท้องเริ่มปั่นป่วน

“ไม่ละ เดี๋ยวติดรถนายกลับบ้านเลยดีกว่า แม่อยู่คนเดียวด้วย” นทนทีลุกขึ้นยืนหันมาฉีกยิ้มจำเป็นให้ร่างสูง แล้วจึงเดินเลยไปยังห้องน้ำให้ปถวีเดินตามเข้าไปโอบกอดด้านหลัง

“เย็นๆจะเข้าไปหานะ”

นทนทีพยักหน้ารับคำกับผนังกระเบื้องเงียบๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนรักของเขากำลังจะไปเจอผู้หญิงที่แม่หาให้ แล้วเขาควรจะลุกขึ้นมาชี้หน้าว่าอีกฝ่ายมั้ย ว่าผู้ชายคนนี้กำลังคบอยู่กับเขา มันทำได้หรือ? เพราะไม่ใช่ความผิดของผู้หญิงคนนั้นเลย ในเมื่อเธอไม่รู้เรื่องอะไร

ท่ามกลางสายน้ำเย็นฉ่ำ หากแต่หัวใจสองดวงภายใต้กลับเต้นแรงร้อนรน เหมือนมีไฟมาสุมอก เชือกที่พวกเขาร่วมกันผูกและยึดโยงหัวใจของเขาเข้าด้วยกัน กำลังจะขาดที่ละน้อยๆด้วยไฟที่พวกเขาเป็นคนเติมเชื้อ

V
V
V

ออฟไลน์ ปี้ปี้ปี้~PalmY

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2427
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +273/-1
ช็อคเว่ยยย

บีบบอารมณ์เว่ยยยย

เคลียดเว่ยยย T^T

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
ตอนที่ 15

ก๊อกๆ เสียงนิ้วเคาะลงบนโต๊ะทำงานเรียกสติของคนเหม่อลอยให้กลับมาอยู่กับกระดาษขาวไร้การขีดเขียนอย่างที่เจ้าตัวตั้งใจไว้แต่แรก แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองทวีปยืนอมยิ้มล้อเลียน

“ใจลอยไปถึงไหนน่ะนท”

“...อะ...อ๋อ...เปล่าเหรอ เผลอคิดเรื่อยเปื่อยน่ะ มีอะไรเหรอครับ”

“เย็นนี้ประธานนัดเลี้ยงรับรองลูกค้าไว้ นทต้องตามไปด้วยนะ เพราะคงมีการคุยกันเรื่องสัญญาคราวๆไว้เลย”

“แล้วหัวหน้าละครับ” นทนทีหมายถึงหัวหน้างานของตนที่โดยปกติจะรับหน้าที่ตรงนี้อยู่ตลอด

“อ๋อ...ถูกรองประธานขอตัวไปด้วยเย็นนี้เหมือนกัน”

นทนทีพยักหน้ารับช้าๆ “ช่วงนี้งานเข้าเยอะนะครับ”

“ใช่ๆ รับรองปีนี้โบนัส10เดือน” ทวีปพูดแกมหัวเราะพลางขยิบตาให้คนทำหน้าไม่เชื่อ

“อะ...ไม่เชื่อละสิ แต่ตอนนี้ที่แน่ๆท่านประธานสั่งเพิ่มจำนวนทุนศึกษาต่อให้กับพนักงานอีกหลายทุนเลยละ วันนี้ทางเจ้าหน้าที่บุคคลเสนอมาหลายรายคงจะผ่านทั้งหมดที่เสนอมานั่นละ แล้วเด็กทุนเก่าอย่างนายไม่คิดจะขอทุนต่อเหรอ”

“ยังไม่รู้เลยครับ แค่นี้ก็ยังทำงานใช้ทุนเก่าไม่หมดเลย”

“มันก็แค่ระยะเวลาละน่า ไม่ได้ต้องเอาเงินมาจ่ายซะหน่อย”

นทนทียิ้มรับทำนองตัดบท แค่นี้ก็ทะเลาะกับปถวีจะแย่แล้ว ขืนถ้าเขายังต้องทำงานแบบมีข้อสัญญาผูกมัดไปอีกซักห้าปีหกปี อีกฝ่ายคงเต้นเป็นเจ้าเข้าแน่ๆ

“แล้ววันนี้เพื่อนจะมารับอีกรึเปล่า พักนี้ไม่ค่อยเห็นหน้า” ทวีปมองร่างโปร่งเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจก่อนจะอมยิ้ม

“ทำไม? คุณทวีปคิดถึงคุณกันย์เหรอครับ เดี๋ยวผมโทรบอกให้ก็ได้นะ”

“...เฮ้ย!ไม่ใช่”

ท่าทางตกใจของอีกฝ่ายยิ่งทำให้นทนทีมั่นใจว่า ทวีปสนใจคุณเลขาหน้าตายแน่นอน ก็เห็นชอบแกล้งให้เขาโกรธประจำ ทำเป็นเด็กไปได้คุณทวีป

“ก็แค่ถามดู”

“เหรอครับ” ร่างโปร่งยิ้มตอบอีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยจะเชื่อ

“ช่างเถอะ ไงก่อนไปซักชั่วโมงก็เข้าไปคุยรายละเอียดกับประธานนะ”

“ครับ” นทนทีมองส่งร่างสูงที่จากไปอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ก่อนจะส่ายหน้ากับตัวเอง เขาเล่นแรงไปมั้ยเนี่ย


XXXXX


“คุณปถวีครับ...” เสียงเลขาคนสนิทพูดได้เพียงแค่นั้น ก็มีเสียงนุ่มนวลของมารดาดังขึ้นตามหลัง ร่างสูงที่กำลังอ่านรายละเอียดโครงงานจึงเงยหน้าขึ้นยิ้ม

“แม่...มาตรวจสอบอะไรวีรึเปล่าเนี่ย” ปถวีลุกขึ้นออกมารับมารดาแล้วพาไปนั่งที่ชุดรับแขก

“มาแบบไม่ให้เตรียมตัวเลยนะครับ”

“ก็ถ้าไม่มาแบบนี้จะรู้เหรอว่าลูกอู้งานรึเปล่า” คุณศรีสอางค์ยิ้มตอบบุตรชาย

“โธ่แม่ ไม่ได้อู้ซักหน่อย”

“จ๊ะ แม่รู้ว่าลูกแม่ขยัน เลยจะชวนไปกินข้าวเย็นนอกบ้านนี้ไง”

ปถวีเลิกคิ้วเข้มอย่างแปลกใจ ด้วยหากเป็นปกติเวลาจะไปทานข้าวนอกบ้านก็จะไปกันเป็นครอบครัว คราวนี้แม่มาแปลกแฮะ

“แล้วแม่คิดร้านไว้ยัง ถ้าไม่เด็ดวีไม่ไปนะเออ”

คำหยอกของลูกชาย คุณศรีสอางค์จึงส่งสายตาค้อนไปให้

“ถ้าลูกอยากกินแบบแปลกพิสดาร ขนาดห้อยหัวกินบนเครื่องบินรบขนาดนั้นละก็ เดี๋ยวแม่จะหาให้” ปถวียิ้มให้กับคำเหน็บแนบของมารดาก่อนจะโน้มตัวเข้าไปหอมแก้มขาวฟอดใหญ่

“โฮ้...ไม่ละแม่ เอากินแบบปกติน่ะดีแล้ว นี่ก็จะห้าโมงเย็น ไปเลยมั้ยครับ”

“ไปเลยสิจ๊ะ” ผู้เป็นมารดายิ้มตอบก่อนจะเอ่ยบอกในสิ่งที่ทำให้คนเป็นลูกอยากจะหันกลับไปนั่งทำงานต่อ “แม่ชวนหนูอรเขาไปด้วย แล้วก็เลยเข้ามาหาลูกนี่ละ ไปกับแม่คนเดียวเดี๋ยวก็จะเบื่อ”

“ ...!” แม่...ทำไมไม่บอกก่อนหน้านี้ละครับ ปถวีบ่นผู้เป็นมารดาในใจ แต่ก็ต้องทำหน้าปั้นยิ้มต่อไป

“ครับ” รับคำมารดาอย่างเนือยๆแล้วจึงแอบกระซิบบอกให้กันย์ไปรับนทนทีกลับบ้าน


Xxxxx


“คุณนทนทีออกไปแล้วค่ะ” เสียงพนักงานกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มทำให้กันย์พยักหน้ายิ้มรับคำตอบที่ฟังแล้วน่าหนักใจ ด้วยทุกครั้งที่มารับเขาจะไม่โทรมาบอกก่อน เพราะบอกแล้วอีกฝ่ายจะหาเรื่องหลบกลับเองเสียทุกทีไป

“ทราบมั้ยครับออก...” ยังไม่ทันได้พูดจบประโยค เสียงที่เจ้าตัวไม่อยากได้ยินก็ลอยดังมาจากข้างหลัง

“มาหานทเหรอครับคุณกันย์” ทวีปยิ้มอารมณ์ดี ในใจเต้นตึกตักด้วยไม่คิดว่าจะได้พบหน้าคนที่ตัวเองนึกถึงอย่างไม่คาดฝัน เพราะนทนทีไม่อยู่ที่บริษัทแล้ว

“ครับ” คนหน้าตายตอบสั้นกุด ก่อนจะหันหน้าไปหาพนักงานต้อนรับเพื่อจะถามต่อ แต่ก็ถูกขัดอีกจนได้

“น้องๆเขาไม่รู้หรอกครับว่านทไปไหน อยากรู้ถามผมสิครับ” คนหน้าทะเล้นออกตัวอาสาเต็มที

กันย์เหลือบมองร่างสูงตรงหน้าอย่างชั่งใจก่อนจะระบายลมหายใจช้าๆ ทำไมชอบเข้ามาวุ่นวายกับเขานักนะ

“แล้วเขาไปไหนเหรอครับ” ถามแบบนี้ก็เข้าทางร่างสูง ด้วยอีกฝ่ายยิ้มกว้างรอรับอยู่ก่อนแล้ว

“เดี๋ยวผมพาไปนะครับ” ท่าทางกุลีกุจอของร่างสูงทำให้กันย์นึกหมั่นไส้ตะหงิดๆ

“แค่บอกมาก็พอ ผมคงไม่รบกวนขนาดนั้นหรอกครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ยินดี ยังไงไปถึงคุณก็คงต้องไปรออยู่แล้วเพราะเขาคงยังคุยงานกันไม่เสร็จ ก็ทานข้าวด้วยกันซักมื้อนะครับ เห็นหน้ากันออกบ่อยแท้ๆ”

นี่ตั้งใจจะไม่บอกถ้าไม่ตอบตกลงใช่มั้ยเจ้านี่! สายตาขุ่นขวางเกิดขึ้นชั่ววูบก่อนจะหายไปในเวลาอันรวดเร็ว แล้วพยักหน้าตอบรับ

“เชิญคุณขับนำทางไปเลยครับ” คนทำหน้าตายบอกแล้วหันหลังเดินออกไปยังลานจอดรถ โดยมีร่างสูงเดินตามมาอย่างสบายอารมณ์ก็ให้นึกคันยิบๆในใจ จนกระทั่งถึงรถตัวเองอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมเดินไปไหน เอาแต่ยืนยิ้มให้คนที่เริ่มจะคันมือคันไม้เลิกคิ้วขึ้นถาม และก่อนจะได้เอ่ยปาก คนอมยิ้มวางแผนไว้ในใจก็เอ่ยตอบ ให้คนที่นึกระแวงอยู่แล้วร้องอ๋อ...ทันที

“ขอไปกับคุณกันย์เลยละกันครับ ขากลับผมกลับกับประธานได้ ประหยัดน้ำมันไงครับ”

เจ้าเล่ห์! กันย์นึกต่อว่าอีกฝ่ายในใจ แต่ก็ยอมให้ทวีปขึ้นมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อในรถ ด้วยจนปัญญาจะหาทางออก

“ขับตรงไปเลยครับ” ทวีปยิ้มกริ่มบอกทางให้อีกฝ่ายที่เริ่มตาขวางหน่อยๆด้วยอารมณ์คึกครื้น

“ร้านไหนละครับ” กันย์ถามจุดหมายด้วยไม่อยากฟังอีกฝ่ายคอยบอกทางเหมือนเขาเป็นมือใหม่หัดขับ

“ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ตึก MFC ครับ” ทวีปตอบแต่โดยดี ด้วยเขาขึ้นมาอยู่บนรถแล้วไม่ยอมลงไปง่ายๆแน่นอน โดยไม่รู้ว่าคำตอบของตนทำให้อีกฝ่ายขมวดคิ้วแปลกใจชั่ววูบ

“โลกกลมจริงๆ”


Xxxxx


ร้านอาหารญี่ปุ่นใจกลางกรุงเทพย่านธุรกิจใหญ่ เป็นสถานที่ที่เทวัญใช้เลี้ยงรับรองลูกค้า

“ได้ข่าวว่าประสพอุบัติเหตุตอนไปสัมมนาเหรอครับ” ประธานบริษัทคู่ค้าท่าทางอารมณ์ดีเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบกับเทวัญเมื่อการคุยเรื่องสัญญาผ่านพ้นไป

“นิดหน่อยนะครับ แค่ถลอกๆ”

“อย่างนี้วันหน้าผมก็ชวนไปออกรอบตีกอล์ฟได้แล้วสิครับ”

เทวัญหัวเราะแล้วจึงพยักหน้าตอบรับ พลางลูบต้นแขนที่เคยถลอกปอกเปิก นี่ถ้าไม่เพราะเจ้าเด็กนั่น เขาก็ไม่ต้องไปนอนให้หมอตรวจเป็นวันๆแบบนั้นหรอก ความคิดสะดุดลงเมื่อร่างโปร่งที่นั่งข้างๆขยับตัวไปมา

นทนทีมองสายตาเชิงถามของอีกฝ่ายก่อนจะบอกขอตัวไปห้องน้ำ ร่างสูงจึงพยักหน้ายิ้มรับมองตามร่างโปร่งบางเลื่อนประตูเปิดเดินออกไปจากห้องส่วนตัว แล้วจึงหันกลับมาสนทนากับบริษัทคู่ค้าต่อ

เมื่อนทนทีออกมาจากห้องเลี้ยงรับรองส่วนตัวของทางร้านก็พบผู้มาใช้บริการอื่นๆนั่งรับประทานอาหารบริเวณส่วนนอกค่อนข้างหนาตากว่าตอนที่เขาเข้ามา ร่างเล็กกวาดตามองผ่านๆก่อนจะก้มหน้าเดินไปยังห้องน้ำ โดยไม่ทันสังเกตที่มุมหนึ่งของร้านมีร่างสูงใหญ่ของปถวีนั่งเคียงข้างอยู่กับอรอนงค์ และมีมารดานั่งอยู่ตรงกันข้ามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ตรงนั้นว่างเข้าไปเลยครับ” ทวีปชี้ช่องจอดรถให้กันย์ขับเข้าไปจอด หากแต่เมื่อรถหยุดสนิทเจ้าของใบหน้าเฉยชากลับไม่มีทีท่าว่าจะลุกเข้าไปภายในร้าน จนทวีปออกอาการแปลกใจเสียเอง

“ไม่เข้าไปข้างในเหรอครับ”

“ไม่ครับ”

“อีกนานกว่าเขาจะคุยงานกันเสร็จ เข้าไปทานข้าวรอข้างในไม่ดีกว่าเหรอ หิ้วท้องรอแบบนี้เดี๋ยวเกิดโมโหหิวขึ้นมาไม่รู้ด้วยนะครับ” ทวีปยิ้มกริ่มให้กันย์ที่ส่งสายตาเย็นเฉียบมาให้หนาวๆร้อนๆเล่น

หึๆใครเขาอยากกินข้าวกับนายกัน ร่างโปร่งนึกค่อนขอดอีกฝ่ายในใจพลางลูบท้องตัวเองที่ตอนนี้ว่างเปล่าเหลือเกิน ถ้าเจ้านี้ไม่เสนอตัวมาด้วยละก็ คงเข้าไปหาอะไรทานไปแล้ว

ทวีปมองอีกฝ่ายที่ยังตั้งท่าไม่ไปไหนท่าเดียวอย่างจนใจในความดื้อดึงของอีกฝ่าย

“งั้นก็ตามใจครับ” ไม่พูดพร่ำทำเพลง ทวีปก็เปิดประตูเดินเข้าไปภายในร้านที่อยู่ส่วนหน้าของตึกสูงใหญ่ ทิ้งให้คนที่อยู่ในรถมองตามตาขวาง

“หึ!”


XXXXX


ร่างโปร่งของนทนทีจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ แล้วจึงเดินมองผ่านต้นไม้พลาสติกหนาใบไปยังส่วนหน้าของร้าน ซึ่งมีโต๊ะไว้รับรองลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการเป็นกลุ่มเล็กๆ ขาวยาวก้าวเรียบเรื่อยและหยุดชะงักลง เมื่อร่างสูงใหญ่คุ้นตาเข้ามาอยู่ในกรอบสายตาขณะเดินผ่านเสาต้นใหญ่

“วี...” ชายหนุ่มที่ร่างโปร่งครางเครือถึงกำลังยิ้มกว้างให้กับหญิงสาว และแม้จะอยู่ห่างจนไม่ได้ยินว่าคนทั้งคู่กำลังคุยกันเรื่องอะไร แต่สีหน้าสีตาที่บ่งบอกถึงความสุขก็ทำให้ใจเล็กๆของคนลอบมองกระตุกแรง

คุณศรีสอางค์...สายตาร่างโปร่งเพ่งพิจารณาหญิงสูงวัยมีอากัปกิริยาปลาบปลื้มไม่น้อยกับเหตุการณ์ที่เป็นอยู่ตรงหน้า และผู้หญิงคนนั้น...ไม่มีตรงไหนให้คิดตำหนิได้เลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะหน้าตาหรือชาติตระกูล ยิ่งนั่งใกล้ๆกันขนาดนี้ ดูยังไงก็สมกันยังกะกิ่งทองกับใบหยก สมควรอยู่หรอกที่คุณศรีสอางค์จะหมายมั่นปั้นมือ

ภาพบุคคลทั้งสามคนเข้ามาอยู่ในความนึกคิด ทั้งที่ดูเป็นภาพสุดแสนจะธรรมดาในสายตาของคนทั่วไป แต่สำหรับคนที่มีปมในใจมันก็เหมือนกับเข็มที่คอยตำยอกในใจดีๆนี่เอง

นทนทีละสายตาจากบุคคลทั้งสามที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนลอบมองอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองเริ่มลางเลือน

“สมบูรณ์แบบ...จนน่าอิจฉา” เสียงพึมพำลอดผ่านริมฝีปากแห้งผาก จะโทษใครได้งั้นเหรอ...ในเมื่อเขาเป็นคนเลือกชีวิตตรงนี้เอง เพราะทุกคนก็มีหน้าที่ หน้าที่ของแม่ หน้าที่ของลูก ไม่ช้าไม่เร็วเขาก็ต้องเจอเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้เหมือนกัน ไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อยที่เห็น แต่...กลัว กลัวสิ่งที่ยึดถือไว้ในเวลานี้จะไม่จีรังยั่งยืน

ขายาวพาร่างกายชาหนึบเข้าไปนั่งปั้นยิ้มรับลูกค้า หากแต่ดวงตาที่เคยสดใสกลับหม่นหมองจนเทวัญลอบมองอย่างเป็นห่วง

“เป็นอะไรรึเปล่า ดูหน้าตาไม่ค่อยสบาย” เสียงกระซิบของประธานหนุ่มดังขึ้นใกล้ๆหูร่างโปร่ง ริมฝีปากไร้สีเลือดจึงจำต้องคลีย้ำอย่างเสียไม่ได้

“เปล่านี่ครับ” คนถูกถามตอบเสียงเบา มองใบหน้าคมกวาดตามองมาอย่างประเมินในที ก่อนจะเสตอบ

 “คงหนาวแอร์มั้งครับ” มือเล็กยกขึ้นแบให้อีกฝ่ายมองความขาวซีดอันเกิดจากความเย็นแล้วจึงวางลงเท้ากับพื้นตามเดิม

คนทำท่าไม่เชื่อเอื้อมมือเข้ากอบกุมมือเล็กอย่างถือสิทธิ์ ให้เจ้าของมือเบิกตากว้างแต่ไม่สามารถชักมือกลับได้ในทันทีด้วยเกรงจะเป็นที่ผิดสังเกตแก่ผู้ร่วมโต๊ะ มีแต่ดวงตาเท่านั้นที่กำลังสั่นไหวด้วยกลัวจะถูกเห็นแม้จะมีโต๊ะบดบังอยู่ก็ตามที สัมผัสที่เย็นเฉียบของมือขาวนวลทำให้เทวัญขมวดคิ้ว

มันเย็นเกินกว่าจะบอกว่าเพราะแอร์แล้วนะนทนที...

“เดี๋ยวก็กลับแล้ว” เสียงกระซิบบอกของร่างสูงใหญ่ นทนทีจึงทำได้แต่พยักหน้ารับคำ

ร่างสูงโปร่งใบหน้าเรียบเฉยทอดตัวกับเบาะรถมองผ่านกระจกไปยังบริเวณหน้าทางเข้าของร้าน เฝ้ามองเป้าหมายว่าจะออกมาเมื่อไรอย่างใจเย็น แล้วจึงเหลือบมองที่นั่งว่างเปล่าข้างตัวที่เมื่อครู่ยังมีคนกวนโทสะนั่งอยู่

“บทจะมาก็มา บทจะไปก็ไป เอาแต่ใจกันจริงๆ” เสียงบ่นพึมพำไม่ทันขาดปาก ร่างสูงในชุดสูทของทวีปก็ปรากฏขึ้นและกำลังเดินรี่เข้ามาหา ในมือถือถุงหูหิ้วหลายใบ พอเข้ามาได้ระยะคนหน้าทะเล้นก็ฉีกยิ้มเผล่ให้คนนั่งในรถต้องขมวดคิ้วสงสัย

ก๊อกๆ เสียงเคาะกระจกรถทำให้กันย์ต้องปลดล็อกเปิดประตูให้อีกฝ่าย เพราะไม่งั้นคงเคาะกันกระจกแตกไปข้างหนึ่ง

“ขนมจีบครับ” เหมือนเส้นเลือดของคนหน้าตายจะปูดโปนขึ้นอย่างกระทันหันเมื่อมือใหญ่ยื่นส่งถุงเซเว่นอีเลฟเว่นให้ สายตาเย็นเฉียบจึงตวัดขึ้นมองขุ่นขวางทันที ให้มันน้อยๆหน่อย!

“ไม่ชอบเหรอ งั้นซาลาเปาก็มีนะ” เมื่อเห็นสีหน้าที่พร้อมจะเตะตัวเองออกไปจากรถได้ ร่างสูงจึงเปลี่ยนท่าทีเอาใจอีกฝ่ายทันที

ดุจริงวุ้ย...มีลูกมีหลานขอตัวนะ ถึงจะพูดแหย่อีกฝ่ายในใจแต่มือก็สาละวนหยิบแกะถุงของกินของว่างเป็นระวิง

“รอแบบนี้กลัวจะหิวก็เลยซื้อมาให้น่ะ ง่ายๆแบบนี้ทานได้มั้ย หรืออยากกินอย่างอื่น?” ทวีปเอ่ยรัวเร็ว ในขณะที่กันย์ยังนั่งนิ่งก่อนจะเอ่ยปากออกมาในที่สุด เพราะคนพูดก็พูดแบบไม่ได้ดูอารมณ์เขาเลย ตั้งหน้าตั้งตาแกะอะไรต่อมิอะไรออกมากองไว้เต็มหน้ารถจนน่าอ่อนใจในความหน้าด้านหน้าทน

“ทานได้ทุกอย่างละ ยกเว้นขนมจีบ”

“...!” เทวัญยิ้มเก้อๆให้อีกฝ่ายที่มองมาตาเขม่ง

ร่างโปร่งมองดูรอยยิ้มเก้อๆก่อนจะหยิบซาลาเปาอุ่นขึ้นมาจ่อใกล้ริมฝีปาก แล้วจึงค่อยเอ่ยถาม

“คุณทวีปทานแล้วรึยังครับ ยังไงคุณออกไปหาอะไรทานตามใจชอบได้เลยนะครับเพราะในรถคงไม่ค่อยสะดวกคุณ ไม่ต้องกังวลผมหรอกครับ” ถึงจะทะเล้นยียวนกวนประสาท แต่น้ำใจที่อีกฝ่ายมีให้ก็ยากที่ปฏิเสธ

ฟังดูเหมือนจะเป็นประโยคแล้งน้ำใจ แต่ความชุ่มเย็นที่แฝงมาด้วยเล็กๆน้อยๆก็ทำให้คนที่จนด้วยเกล้ามาตลอดยิ้มแก้วแทบปริ ได้เรื่องแล้วโว้ย...

“ไม่เป็นไร ก็ตั้งใจมาทานด้วยนี่ ทานสองคนมันอร่อยกว่าทานคนเดียวนะ” ทวีปยักคิ้วให้อีกฝ่าย แล้วจึงค้นๆในถุงต่อ

“Hotdogก็มีนะ อะ...น้ำ”

มือเรียวได้รูปจำต้องรับขวดน้ำเย็นฉ่ำพลางกวาดตามองความเรียบร้อยไม่มีรอยบุบรอยแตกหรือรูให้ใส่สิ่งแปลกปลอมเข้าไปอย่างรวดเร็วไม่ให้คนส่งสังเกตได้ ก่อนจะเปิดยกดื่ม

คนเราเดี๋ยวนี้ไว้ใจได้ซะที่ไหน


นี่ถ้าคนที่กำลังกุลีกุจอหยิบโน่นส่งนี้ให้รับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในหัวของร่างโปร่งตอนนี้คงปวดใจแกมหมั่นไส้น่าดู และคิดจับกดให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวไปซะเลย จะได้ไม่ต้องมานั่งกังวลให้เปลืองสมอง

V
V
V

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
เสียงโทรศัพท์ของคุณศรีสอางค์ดังขึ้นเมื่อผู้ร่วมโต๊ะอิ่มหนำพอดิบพอดี เจ้าตัวกดรับสายแล้วตอบรับเบาๆกับโทรศัพท์

“อืม...ถึงแล้วเหรอ ตรงไหน เดี๋ยวฉันออกไป”

“มีอะไรครับแม่” ปถวีเอ่ยถามเมื่อมารดาเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าตามเดิม

“อ๋อ...แม่ให้คนขับรถมารับนะลูก”

“อ้าว! ทำไมละ เดี๋ยววีก็ไปส่งแม่ไง”

“จะมาอ้าวอะไรละลูก แม่ไม่อยากให้เทียวไปเทียวมาเพราะถึงไปส่งแม่ลูกก็ไม่ค้างกับแม่หรอกใช่มั้ยละ เอะอะก็กลับไปนอนคอนโดของลูกท่าเดียวไม่รู้มีอะไรดี แล้วอีกอย่างต้องไปส่งหนูอรเขาด้วย ไปส่งแม่อีกจะเหนื่อยเปล่าๆ” คำพูดชักแม่น้ำทั้งห้าของคุณศรีสอางค์ทำให้บุตรชายถึงบางอ้อ

แม่เราเป็นนักวางแผนไปซะแล้ว...คนเป็นลูกคิดอย่างอ่อนใจ

“อร่อยมั้ยหนูอร ร้านนี้เขาขึ้นชื่อสูตรต้นตำรับจากญี่ปุ่นเชียวนะ”

“อร่อยค่ะ ของเขาสดดีนะค่ะ”

“จ๊ะ ว่างๆน้าก็มาทานบ่อย ไว้เรามาทานกันอีกนะหนูอร”

“ค่ะ” อรอนงค์ยิ้มรับพลางหันไปทางชายหนุ่มที่วันนี้ดูจะทำตัวเป็นลูกที่ดีของแม่เต็มที่

“พี่วีละค่ะ”

“อะ...อืม เอาสิ จะมาวันไหนก็บอกพี่ละกัน” แต่จะว่างไม่ว่างว่ากันอีกเรื่องนะ ชายหนุ่มนึกต่อในใจ แล้วคราวหน้าคงต้องหาเรื่องหลบเลี่ยงแม่ไว้ก่อนดีกว่า รู้สึกว่าอยากจะได้ลูกสะใภ้ซะเหลือเกิน

“งั้นแม่กลับก่อนนะ แล้วไปส่งน้องเขาดีๆนะวี” คุณศรีสอางค์หันมากำชับบุตรชายแล้วจึงลุกขึ้นเดินจากไป

“เราก็กลับกันเลยมั้ยน้องอร เดี๋ยวจะถึงบ้านดึก” ปถวีเอ่ยชวนหญิงสาวซึ่งพยักหน้าตอบรับ

ร่างสูงใหญ่เดินเคียงข้างหญิงสาวออกไปด้านนอก ในขณะที่กลุ่มคนจากห้องรับรองส่วนตัวของ

ร้านอาหารก็เดินจับกลุ่มออกมาเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างเดินมาบรรจบพบกันบริเวณทางออกหน้าร้านพอดิบพอดี

หือ.....เสียงครางรับรู้ในลำคอของเทวัญทำให้นทนทีปั้นหน้าไม่ถูก เพราะคนที่ยืนประจันหน้ากับกลุ่มของเขาคือปถวีและอรอนงค์

ปถวีเลิกคิ้วขึ้นมองร่างโปร่งที่มาพร้อมกับคณะอย่างค้นคว้า ก็เขาสั่งให้กันย์ไปรับกลับบ้านไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้โดยที่เขาไม่รู้ เจ้ากันย์ทำอะไรอยู่?

ริมฝีปากได้รูปของเทวัญเหยียดยิ้มเมื่อเห็นหญิงสาวที่มาพร้อมปถวีขยับเข้าไปยืนใกล้ร่างสูงอย่างไม่ขัดตา แต่ในทางกลับกันก็ดูเป็นการประกาศฐานะอยู่ในที ก่อนจะเหลือบตามองร่างโปร่งข้างกาย

อย่างนี้นี่เอง...

“สวัสดีครับคุณปถวี มาทานข้าวเหรอครับ” เทวัญส่งมือให้อีกฝ่าย ซึ่งทางฝ่ายนั้นก็จับตามมารยาทอย่างเสียไม่ได้ ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของเทวัญจะหันไปยืนส่งลูกค้าแล้วจึงหันมายิ้มให้หญิงสาวอย่างมีอัธยาศัยต่อโดยไม่สนใจสายตาดุดันที่มองมาและผ่านเลยไปยังคนข้างหลัง

“จะกลับแล้วหรือครับ”

“ค่ะ...เออ...?”

“เทวัญครับ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นมองร่างสูงตรงข้ามก่อนจะพูดต่อ “เพื่อนของคุณปถวีละครับ” คนพูดทำหน้าตายตีขลุมไปเรื่อย พลางฉุดคนยืนนิ่งเป็นหุ่นอยู่ข้างหลังให้ขยับขึ้นมายืนเสมอตนเอง

“ขอทราบชื่อคุณผู้หญิงหน่อยได้มั้ยครับ” ริมฝีปากได้รูปยิ้มให้หญิงสาวอย่างมีอัธยาศัย หากแต่ปถวีที่มองดูอยู่มันเหมือนการยิ้มเยาะเสียดสีเขาเสียมากกว่า

“อรอนงค์ค่ะ เรียกอรเฉยๆก็ได้คะ เป็นเพื่อนแล้วก็เลขาคุณปถวีด้วยค่ะ” หญิงสาวยิ้มละไมให้ชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานที่เพิ่งรู้จัก

เทวัญขยับทำท่าจะแนะนำนทนทีต่อ หากแต่อรอนงค์ยิ้มและเอ่ยออกตัวขึ้นมาก่อน

“คุณนทนที? จำอรได้มั้ยค่ะ ที่เจอกันที่คอนโดน่ะค่ะ” อรอนงค์จ้องมองนทนทีนิ่งแม้ริมฝีปากจะฉีกยิ้มอยู่ก็ตามที แรงกดดันที่มาพร้อมกับสายตาคู่สวยทำให้นทนทีรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง

“จะ...จำได้ครับ ต้องขอโทษด้วยที่วันนั้นทำให้ตกใจนะครับ”

“ไม่หรอกค่ะ ดีใจที่ได้พบกันอีกด้วยซ้ำ”

คำพูดที่ดูไม่เหมือนจะจงใจกระแทกแดกดันใคร แต่กับนทนทีมันเหมือนถูกหินหนักกระแทกเข้าใส่ใจอย่างแรง อะไรบางอย่างในแสงตาของหญิงสาวทำให้เขารู้สึกสั่นไหว จน...อยากจะหายตัวไปจากตรงนี้

“แล้วกลับยังไงกันค่ะนี่ ถ้าไปทางเดียวกันก็กลับด้วยกันมั้ยค่ะ” อรอนงค์ถามอย่างเอื้อเฟื้อ แต่ในความเอื้อเฟื้อนั้นให้ความรู้สึกคล้ายกำลังถูกจับจ้อง ล้วงลึกไปถึงความคิดความรู้สึกของอีกฝ่าย

“ขอบคุณคุณอรมากครับ แต่เดี๋ยวผมกลับด้วยกันนะครับ” เทวัญออกตัวแทนนทนทีพลางเหลือบมองใบหน้าบึ้งตึงของปถวี แล้วจึงลอบยกยิ้มกับตัวเอง

“เชิญคุณปถวีกับคุณอรตามสบายครับ” เทวัญผายมือให้ทางฝ่ายปถวีเดินออกไปก่อน หากแต่ชายหนุ่มกลับมีท่าทางกระอักกระอ่วนรีรอ เพราะถ้าไม่ใช่มารดาสั่งให้ไปส่งอรอนงค์ถึงบ้าน เขาคงกระชากร่างโปร่งตรงหน้ากลับคอนโดไปแล้ว แต่ถ้าทำอย่างที่คิด เรื่องของอรอนงค์คงไม่จบง่ายๆแน่ มารดาเขาคงเอาเรื่องและถือเป็นข้ออ้างให้ต้องใกล้ชิดกับหญิงสาวอีกแน่ๆ

จะทำยังไงดีละเนี่ย

ปถวีมองใบหน้าขาวนวลนิ่ง แต่อะไรบ้างอย่างในแววตาคู่อ่อนโยนไหววูบบิดเบี้ยวจนต้องเพ่งมองซ้ำ ความรู้สึกบางอย่างในตัวสะกิดบอกให้ร่างสูงรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังชั่งใจกับสิ่งที่เห็น...

อย่า...อย่าได้คิดเป็นอื่นเชียว! ปถวีนึกหมายมาดกับความคิดของร่างโปร่งจนแสงตาเรืองรอง ก่อนจะกลั้นใจพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“นทกลับกับเจ้ากันย์นะ คงอยู่แถวนี้ละ ...” ร่างสูงเอ่ยบอกทั้งๆที่ยังไม่แน่ใจว่าเลขาตัวดีอยู่แถวๆนี้หรือเปล่า แต่จะปล่อยให้ไปกับเจ้าประธานจอมเจ้าเล่ห์ก็เป็นไปไม่ได้แน่นอน

นทนทีมองใบหน้าเรียบเฉยติดจะบึ้งตึงแล้วจึงหันไปมองรอบๆตัว อันไร้ซึ่งวี่แววของคนที่อีกฝ่ายเอ่ยถึง

“ฮึ...” เสียงถอนหายใจเย้ยเยาะตัวเองดังขึ้น นี่เขาเป็นอะไรของผู้ชายคนนี้กัน! มือเล็กล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วกำจนสุดแรงเกิด

จะมาสั่งเสียอะไรกันนักหนา ในขณะที่ตัวเองก็กำลังทำอยู่แท้ๆ

“นท...” น้ำเสียงคาดคั้นรอคำตอบของปถวีทำให้นทนทีจำต้องพยักหน้ารับ ด้วยกลัวใจอีกฝ่ายจะระเบิดอารมณ์ออกมากลางสถานที่สาธารณะให้ได้เป็นข่าวหน้าสังคมเล่น

ร่างสูงส่งสายตากำชับกำชามาอีกรอบก่อนจะหันหลังออกไปยังลานจอดรถ โดยมีอรอนงค์เดินเคียงคู่จนไหล่แทบจะเกยกัน ถ้าควงแขนไปด้วยก็คงครบสูตรเป็นคู่รักดีๆกันนี่เอง

“นท...” เทวัญหันมองคนยืนเคียงข้างที่เฝ้ามองคนทั้งคู่เดินจากไปด้วยดวงตาว่างเปล่า ไม่มีความโกรธ เกลียด ชิงชังในแววตาคู่นี้ แต่ทำไมถึงให้ความรู้สึกหงอยเหงาได้มากมายจนอยากจะเอื้อมมือเข้าไปโอบกอด และปัดเป่าความทุกข์โศกให้หายไปจากแววตา

ร่างสูงของปถวีพยายามก้าวเท้ายาวๆเพื่อทิ้งระยะกับหญิงสาวที่ดูจะพยายามเดินเข้าประชิดติดกันมากเกินความจำเป็น กระทั่งถึงรถยนต์คันงามร่างสูงจึงเปิดประตูให้ตามหน้าที่แล้วตัวเองจึงหยิบโทรศัพท์โทรหาเลขาทันที

“นายอยู่ไหนน่ะ!”

กันย์กดรับโทรศัพท์ขณะยกน้ำขึ้นดื่ม ก่อนจะนิ่งเงียบเมื่อจับกระแสเสียงเครียดขึงของอีกฝ่ายที่ไม่ได้ปิดบังแม้แต่น้อย

“อยู่หน้าตึกMFC ครับ” คำตอบของกันย์ยิ่งทำให้ปถวีหัวเสียหนักขึ้นไปอีก

อยู่แค่นี้แล้วทำไมไม่โผล่หัวออกมาเร็วๆว่ะ แต่เพราะกลัวนทนทีจะกลับไปก่อนจึงได้แต่เก็บอารมณ์กรุ่นโกรธไว้แล้วรีบบอกจุดที่คนรักอยู่ทันที

“ไปหานทนทีเดี๋ยวนี้เลย เจ้านั่นอยู่หน้าทางออก แล้วพากลับบ้านให้ได้ ห้ามให้นทนทีไปกับเจ้าประธานบ้านั่นเด็ดขาด!...เห็นมั้ย! นายเห็นนทรึยัง”

เสียงดังลอดผ่านโทรศัพท์ให้คนฟังผงะหูหนี แล้วกวาดเอาของกินที่ทำให้ตัวเองเผลอตัวไม่ทันได้สังเกตสังกาเหตุการณ์ออกจากหน้าตัก พลางกวาดตามองไปรอบบริเวณ และพบร่างโปร่งบางของนทนทีเดินช้าๆไปกับประธานบริษัทอย่างที่ปถวีบอก ไม่ได้ผิดไปจากที่คิดจริงๆ

“เห็นแล้วครับ”

กันย์พับเก็บอุปกรณ์สื่อสารแล้วจึงหันมองคนนั่งข้างๆที่ยังเคี้ยวขนมจีบตุ้ยๆไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“ขอบคุณสำหรับวันนี้ ดินเนอร์จบแล้วละครับ” ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับร่างสูงโปร่งก็เปิดประตูเดินตรงไปยังคนทั้งคู่โดยมีทวีปเดินตามออกมาอย่างสบายๆ

“จะไม่ให้ไปส่งจริงๆหรือ มืดแล้วนะ แถมบริษัทก็มีนโยบายรับส่งพนักงานทำงานนอกเวลาอีกต่างหาก ฉันไม่อยากถูกค่อนขอดว่าไม่ใส่ใจพนักงานนา” เสียงเทวัญเอ่ยติดตลกเมื่อนทนทีออกตัวขอกลับเอง

คนถูกถามนิ่งเงียบไปพักใหญ่แล้วจึงระบายลมหายใจยาว “ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกครับ แต่ผมไม่อยากมีปัญหา...ไม่อยากมีปัญหากับใครเลย คุณเทวัญจะเข้าใจผมมั้ย” ดวงตาใสสั่นไหวจ้องมองอย่างรอคำตอบจนอีกฝ่ายต้องสูดหายใจเข้าเต็มปอด

“เข้าใจสิ เพราะเข้าใจถึงได้เป็นห่วง ไม่อยากให้อยู่คนเดียว นี่ถ้าร้องไห้โวยวายฉันจะสบายใจกว่านะ” ร่างสูงทอดเสียงอ่อนพลางกวาดตามองใบหน้าขาวนวลท่ามกลางแสดงสลัว ทั้งๆที่เคยคิดหมายมั่นปั้นมือ อยากได้มาครอบครองแม้จะต้องหักหาญน้ำใจกัน ก็คิดว่าจะทำ แต่พอได้สัมผัสถึงจิตใจของอีกฝ่าย เขากลับรู้สึกว่าตัวเองแพ้ยับไม่เป็นท่า ได้แต่เฝ้ามอง...และรอ...

นทนทียิ้มรับความปรารถนาดี แต่กลับส่ายศีรษะช้าๆ “ผมไม่ได้เป็นอะไร ห่วงกันเกินไปแล้วละครับ”

ไอ้คนที่บอกว่าไม่เป็นอะไร มันน่าห่วงกว่าคนที่รู้ตัวว่าเป็นซะอีกนะนทนที เทวัญส่ายหน้าไม่เชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมา

“ถ้าเชื่อ ฉันคงคุมพนักงานทั้งบริษัทไม่ได้หรอกนะ” มือใหญ่ยกขึ้นดีดหน้าผากมนดังเพี๊ย จนอีกฝ่ายเบ้ปากแต่ดวงตากลับมีแววขึ้นมากโข

ร่างโปร่งรู้สึกขอบคุณร่างสูงอยู่ในใจ ก่อนจะพยักหน้าน้อมรับความหวังดีของอีกฝ่าย

“ไว้วันไหนถ้าผมต้องขอความช่วยเหลือ ผมจะบอกคุณเทวัญ...” เสียงพูดหยุดชะงักก่อนจะพึมพำเหมือนบอกกับตัวเองต่อ

“อาจจะเร็วจนคาดไม่ถึงก็ได้”


เทวัญเลิกคิ้วเข้มกลับเสียงงึมงำในตอนท้าย ด้วยจับใจความไม่ได้ แต่อีกฝ่ายก็พูดตัดหน้าขึ้นมาก่อน

“แต่วันนี้ผมกลับเองดีกว่าครับ” การตัดสินใจของนทนทีทำให้เทวัญถอนหายใจดัง หึ! อย่างไม่เห็นด้วย จนร่างโปร่งต้องยกยิ้มปลอบและบอกเหตุผลที่อยู่ในใจ

“เพราะผมไม่อยากลากใครเข้ามาเพียงเพื่อประชด ถ้าผมจะรักหรือเลิกรัก ผมขอเลือกเอง” คำตอบแนวแน่และมั่นคงทำเอาเทวัญนิ่งงัน และยิ่งนึกนิยมชมชอบจิตใจของคนตรงหน้าจนอยากจะไขว้คว้ามาเติมเต็มช่องว่างที่ขาดหายไปของตนเสียจนเกือบลืมว่าเพิ่งถูกปฏิเสธมาไม่นาน ก่อนจะยกมือขึ้นยอมแพ้

“โอเคๆ แต่ฉันว่าถึงฉันตื้อยังไงก็คงไม่ได้แล้วละ...โน้น” เทวัญพยักเพยิดหน้าไปทางด้านหลังให้อีกฝ่ายหันมองตาม

เห็นร่างสูงโปร่งของกันย์เดินตัวปลิวเข้ามาใกล้ ตามหลังมาด้วยทวีปที่เดินยิ้มแย้มมาแต่ไกล

“สวัสดีครับ” กันย์เอ่ยกับเทวัญ แล้วจึงหันหน้ามาหานทนที

“กลับกันเลยมั้ย”

นทนทีพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายจนกันย์เองยังต้องเลิกคิ้วขึ้นแปลกใจ แต่ก็สำรวมอาการเอ่ยลาคนใกล้ตัว โดยมีเทวัญยืนค้อมศีรษะให้อย่างล้อเลียน

ชิ...ปลาไหลชัดๆ

ร่างสูงโปร่งทั้งสองเดินห่างไปไกลแล้วนั้นละ ทวีปจึงเอ่ยปากกับประธานบริษัท

“สวมบทเป็นพ่อพระแล้วรู้สึกดีมั้ยท่านประธาน” คนถูกแหนบแนมเหลือบมองเลขาปากดีอย่างหมั่นไส้เต็มแก่ ก่อนจะเอ่ยเสียงราบเรียบ

“ก็คงดีกว่าเป็นผีคอยตามหลอกตามหลอนเหมือนแกละมั้ง” พูดจบก็เดินฉับๆไปยังรถตัวเอง ทิ้งให้คนหาเรื่องสะอึกแล้วโวยวายวิ่งตาม

“รอด้วย! ฉันไม่ได้เอารถมา”


XXXXX


“เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ” อรอนงค์รีรอไม่ลงจากรถ ด้วยชายหนุ่มเพียงแค่พยักหน้าตอบรับอย่างเนือยๆ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยด้วยน้ำเสียงอึดอัด

“อรทำอะไรให้ไม่พี่วีไม่ชอบใจหรือเปล่าค่ะ”

ชายหนุ่มที่กำลังครุ่นคิดถึงคนอื่นเลิกคิ้วขึ้นเชิงสงสัย “ไม่นี่ น้องอรคิดมากไปแล้ว พี่แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง น้องอรเข้าบ้านเถอะ”

“...แต่พี่วีค่ะ” ริมฝีปากบางขบเม้นอย่างชั่งใจ

“อรรู้ว่าทั้งคุณแม่พี่วีและแม่ของอรกำลังคิดอะไรอยู่ แต่อรก็ไม่ได้คิดจะตามใจผู้ใหญ่จนกระทั่งลืมหัวใจตัวเองหรอกนะค่ะ ถ้าพี่วีอึดอัดกับการที่มีอรอยู่ใกล้ๆ พี่วีบอกอรเถอะคะ อย่างน้อยอรจะได้ช่วยหาทางออก ถ้าพี่วีบอกเหตุผลกับอรซักนิด อรไม่อยากถูกกันอยู่วงนอกทั้งๆที่อรก็อยู่ตรงนี้ พี่วีทำเหมือนอรเป็นตัวยุ่งหรืออะไรซักอย่างที่พยายามจะให้อยู่ห่างๆ อรแค่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้รู้จักกับพี่วี แต่ไม่ได้หมายความว่าอรต้องรัก หรือพี่วีต้องรักอรตามที่ผู้ใหญ่แนะนำนี่คะ อรอยากให้พี่วีเข้าใจอรด้วย” คำพูดฟังดูนุ่มนวลและเต็มไปด้วยความปรารถนาดีหากแต่แฝงความชาญฉลาดและโน้มน้าวให้คนฟังคล้อยตามได้อย่างไม่รู้ตัว ถ้าไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของผู้ต้องการให้บรรลุจุดหมายที่แอบแฝงอยู่ในใจ

“น้องอร...อืม...พี่ก็กังวลกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน” ชายหนุ่มยกมือขึ้นถูกขมับตัวเองไปมาอย่างใช้ความคิดเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถึงสิ่งที่อยู่ในใจเขามาตลอด

“เพราะพี่วีมีคนรักอยู่แล้วหรือเปล่าค่ะ ถึงได้กังวลเรื่องของอร” หญิงสาวชิงเอ่ยพลางยกยิ้มอ่อนโยนให้คนหน้านิ่วคลายกังวล

ปถวีนิ่งเงียบชั่วครู่แล้วเอ่ยอย่างติดๆขัดๆ “อืม...ก็แบบนั้นล่ะ”

“ว้าว...ว่าแล้วเชียว บอกอรได้มั้ยค่ะว่าใคร ปิดเงียบเชียว”

ท่าทางยิ้มแย้มของอรอนงค์ทำให้ชายหนุ่มคลายความระแวงไปมากโข แต่ก็ไม่คิดจะเปิดปากบอก “อย่าถามพี่เลย ไม่บอกหรอก เพราะยังไม่ค่อยจะเข้าที่เข้าทางเท่าไร” ปถวียกยิ้ม

“ค่ะ อรไม่ถามไปมากกว่านี้ก็ได้ ไว้อยากเปิดเผยตัวเมื่อไรบอกอรคนแรกนะค่ะ”

“หึๆ” ปถวีหัวเราะพลางถอนใจอย่างโล่งอกที่ทำความเข้าใจกับหญิงสาวได้อย่างไม่คาดฝัน ต่อไปเวลาไปไหนมาไหนด้วยกันจะได้สบายใจ

“ถ้าพี่วีเข้าใจอรแล้ว ต่อไปเราก็เป็นเพื่อนกันได้ใช่มั้ยค่ะ” อรอนงค์มองปถวีพยักหน้าแล้วยกยิ้มมุมปากรับคำด้วยความโล่งอก

เพราะเธอทำสำเร็จแล้ว!

“งั้นอรเข้าบ้านก่อนนะค่ะ”

ร่างสูงพยักหน้าอย่างอารมณ์ดีก่อนจะขับรถจากไป ท่ามกลางสายตาเรืองรองของหญิงสาว เพราะการตัดสินใจพูดในครั้งนี้ทำให้พี่วีลดกำแพงที่กางกั้นเธอไว้ต่ำลง ในเมื่อไปตรงๆไม่ได้ อรก็จะยอมเลือกทางอ้อม แม้มันจะช้าแต่ก็หวังผลได้สูง ไม่ว่าคนที่พี่วีอ้างถึงจะเป็นใครก็ตาม

ใช่มั้ยค่ะพี่วี!

เมื่อผละจากหญิงสาวได้ ปถวีจึงกดโทรศัพท์หากันย์เพื่อตามผล เขาไม่รู้ว่านทนทีจะยอมกลับไปกับกันย์ดีๆรึเปล่า เรื่องนี้ทำให้เขาหงุดหงิดใจไม่น้อย

“นทอยู่กับนายรึเปล่า!” เสียงถามรัวเร็วจนคนรับสายต้องส่ายหน้าไปมาช้าๆ

“ไม่อยู่ครับ”

“อะไรนะ! ฉันบอกแล้วไงว่าให้พานทกลับไปกับนายน่ะ”

“เดี๋ยวๆครับ ผมไปส่งคุณนทถึงบ้านแล้ว และตอนนี้ผมกำลังจะกลับบ้านผมนะ”

“...”

“แล้วไม่รีบบอก” คนหน้าแตกเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ แล้วจึงขอบใจเลขาคู่ใจก่อนจะเหยียบคันเร่งจมมิดรีบบึ่งไปยังบ้านของคนรักด้วยอาการโล่งอกแกมประหลาดใจในท่าทีเข้าอกเข้าใจอะไรง่ายๆของนทนที

และเพราะเป็นไปตามที่ตัวเองต้องการจึงไม่ได้สะกิดใจในท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของคนรักเลยแม้แต่น้อย ด้วยสายป่านของคนทั้งสองกำลังจะขาดลงในไม่ช้า...

ร่างโปร่งลงมาเปิดประตูให้ชายหนุ่มเพียงแค่ได้ยินเสียงรถมาจอดหน้าบ้าน เพราะเวลาแบบนี้ก็คงไม่มีใครแล้วละ แล้วอีกอย่างก็คงจะมาเช็คให้แน่ใจว่าเขากลับบ้านจริงรึเปล่าละมั้ง

ทั้งๆที่คิดอย่างหงุดหงิดแต่ในความหงุดหงิดก็แฝงไปด้วยความโล่งใจที่เห็นชายหนุ่มมายืนอยู่ตรงหน้า ความว้าวุ่นใจจึงถูกเก็บไว้จนมิดชิด

เพราะถ้าไม่เชื่อใจ ทุกอย่างก็คงจบ

“โทษทีนะ ต้องไปส่งน้องอรเขา ถ้าไม่ส่งฉันคงถูกแม่บ่นจนหูชาแน่ๆ” เสียงพูดบอกเล่าเร็วๆเมื่อเห็นหน้าคนรัก ทำให้นทนทีต้องพยักหน้าส่งยิ้มน้อยๆให้อีกฝ่าย

“แล้วยังจะมาอีกนะ ขับรถวกมาไกลจะตาย” นทนทีแสร้งขึ้นเสียงอย่างไม่จริงจังอะไร ขณะเดินนำชายหนุ่มขึ้นไปยังชั้นสองเมื่อปิดประตูลงกลอนเรียบร้อย

“...จะไม่ให้มารึไง” การลงน้ำเสียงหนักๆของปถวีทำให้นทนทีต้องเอี้ยวหน้ามอง

“เปล่า แค่ไม่อยากให้เหนื่อย...แล้วอีกอย่างฉันก็กลับมากับคุณกันย์ และถึงคุณกันย์จะไม่มาส่ง ฉันก็ตั้งใจกลับเองอยู่แล้ว บอกตรงๆว่าฉันไม่อยากทะเลาะกับนายเลย” ร่างโปร่งมองตรงไปยังคนรักนิ่งนาน จนปถวีขยับกายเข้ามาโอบกอดแน่นๆ

“แล้วฉันอยากทะเลาะนักรึไง”

น้ำเสียงราบเรียบเจือตัดพ้อ พร้อมกับความอบอุ่นของอ้อมกอดทำให้นทนทีพรางพรูลมหายใจยาวแล้วหลับตาลงสัมผัสความอ่อนโยนจากมือใหญ่ที่กำลังลูบไล้แผ่นหลังแผ่วเบาราวกับจะปลอบประโลมชั่วครู่ ก่อนจะผละตัวออกห่างเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้ม

“ไปอาบน้ำเถอะ มันดึกแล้ว”

รอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกอิ่มเอมใจทำให้ปถวียิ้มจนตาหยี เหมือนกับยกหินที่ถ่วงอยู่ในอกทิ้ง ริมฝีปากได้รูปจึงรีบฉกฉวยแก้มคนอาบน้ำก่อน แล้วยิ้มอารมณ์ดีเดินลงไปอาบน้ำตามที่อีกฝ่ายบอก

เพียงพ้นหลังร่างสูงไปไม่นาน เสียงโทรศัพท์ที่ได้รับข้อความก็ดังขึ้นข้างกายร่างโปร่ง ด้วยชายหนุ่มวางสิ่งของที่ติดตัวไว้บนเตียงอย่างลวกๆให้นทนทีคอยตามเก็บไปวางให้เป็นที่เป็นทางเหมือนทุกครั้ง

สายตาจึงเหลือบมองไปยังหน้าจอโทรศัพท์ที่ส่องสว่างด้วยมีข้อความเข้า และชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอก็ทำให้นทนทีที่พยายามสงบใจมาตลอดต้องเต้นระทึก

“น้องอร!” นทนทีพึมพำทวนชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ ดึกขนาดนี้ยังมีอะไรต้องติดต่อกันอีกเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะสนิทชิดเชื้อกัน


ร่างโปร่งรู้สึกเหมือนมีอะไรหนักๆมากระแทกศีรษะ แต่เพราะเคารพในความเป็นส่วนตัวของอีกฝ่ายจึงไม่คิดจะหยิบขึ้นมากดอ่านข้อความ ได้แต่รอ

รอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย

ร่างสูงเดินยิ้มกริ่มเข้ามาในห้องเมื่ออาบน้ำเสร็จ มือใหญ่ขยี้ผมเปียกชื้นของตัวเองแรงๆ ก่อนจะเห็นเสื้อผ้าที่ตัวเองถอดวางส่งๆไว้บนเตียงแล้วยิ้มแหยๆ เพราะอีกฝ่ายรักสะอาดจะตาย เมื่อเข้าไปรวบสิ่งของบนเตียงจึงเห็นข้อความบนโทรศัพท์ นิ้วมือใหญ่กดอ่านข้อความซักพักแล้วจึงอมยิ้มให้กับโทรศัพท์อย่างไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ จะทำให้คนข้างกายได้ยินเสียงอะไรบางอย่างในตัวขาดผึง!

แม้ในข้อความจริงๆแล้วมีเพียงคำว่า ราตรีสวัสดิ์ก็ตาม!


XXXXX

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
ตอนที่ 16

“ทวีป! นี่มันอะไร?” เทวัญขมวดคิ้วกับเอกสารแผ่นบางๆในแฟ้มเสนอเซ็นที่เลขาหนุ่มนำมาวางไว้ตรงหน้า

“ไม่ทราบเหมือนกันครับ ผมเองยังแปลกใจ” ทวีปตอบด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ “ประธานไม่ทราบมาก่อนหรอกหรือครับ?”

“ไม่...เคยแต่ให้เขาตัดสินใจ แล้วเขาก็ยังไม่มีท่าทีอะไรทั้งนั้นด้วย จู่ๆยืนใบลาออกแบบนี้ฉันก็งงเหมือนกัน” เทวัญเพ่งมองกระดาษในมืออย่างครุ่นคิด “เรียกนทนทีเข้ามาพบฉัน...เดี๋ยวนี้เลย” เทวัญมองทวีปรับคำแล้วเดินออกจากห้องเพื่อปฏิบัติตามคำสั่ง แล้วจึงก้มอ่านหนังสือขอลาออกจากงานของนทนทีอีกครั้ง โดยเจ้าตัวให้เหตุผลที่ลาออกว่า เพื่อไปประกอบอาชีพอื่น

นทนทีเลือกแล้วจริงๆเหรอ?

เลือกไอ้เด็กเห็นแก่ตัวนั่นจริงๆเหรอเนี่ย ริมฝีปากได้รูปขบเม้นเข้าหากันจนเป็นเส้นเดียว จนกระทั้งเสียงเคาะประตูดังขึ้น ร่างโปร่งบางของคนที่อยู่ในความคิดปรากฏตัวขึ้น แล้วค่อยๆก้าวเดินมาหาด้วยรอยยิ้มเงียบเหงาเหมือนรู้ตัวอยู่แล้ว

“นั่งสิ”

“ขอบคุณครับ”

“ฉุกละหุกเลยนะเนี่ยที่เห็นใบลาออกของนท”

“คะ...ครับ ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกคุณเทวัญเลย แต่ก็ฉุกละหุกอย่างที่คุณเทวัญพูดจริงๆละครับ” ตอบเสร็จก็นั่งก้มหน้ามองมือตัวเองด้วยไม่อยากเห็นแววตาร้าวรานของอีกฝ่าย

เทวัญมองอีกฝ่ายนั่งก้มหน้าก้มตาให้รู้สึกโหวงเหวงในอก “ถ้าไม่รู้จักกันฉันก็คงจะไม่ถาม แต่เพราะ...ขอถามเถอะนะ เพราะฉันไม่เชื่อเหตุผลในใบลาออกนี่หรอกนะ...” ร่างสูงนิ่งเงียบอย่างชั่งใจชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “นทเลือกเขาแล้วจริงๆใช่มั้ย”

“...” คนถูกถามส่ายหน้าช้าๆแทนคำตอบ ยิ่งทำให้เทวัญสงสัยเข้าไปใหญ่ แต่ก่อนที่เทวัญจะได้ถามต่อ อีกฝ่ายก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“ผมเลือกเขามาตั้งแต่แรกแล้วครับ” นทนทียิ้มเศร้าๆให้หนุ่มใหญ่ “และผมก็จะไปทำงานที่อื่นจริงๆอย่างที่บอกไว้ในใบลาออก”

“บริษัทของเขาน่ะเหรอ” เทวัญมองนทนทีส่ายหน้าอีกครั้ง “แล้วที่ไหน?”

“ยังไม่รู้หรอกครับ กำลังดูๆอยู่”

“...!” เทวัญมองใบหน้าขาวนวลตรงหน้าเหมือนเป็นเวลาชั่วกัปชั่วกัลป์ พร้อมกับความงุนงงที่โหมประดังเข้ามาในความคิด “ฉันไม่เข้าใจ? ถ้านทไม่คิดจะไปทำงานอยู่ข้างกายคนที่นทรัก แล้วนทลาออกจากที่นี่ทำไม ในเมื่อมันไม่ได้แตกต่างกันเลย การจะอยู่ที่นี่หรือที่อื่น”

นทนทีหลับตาลงค่อยๆหาคำตอบให้กับอีกฝ่ายและตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะลืมตาขึ้น หันหน้ามองผ่านกระจกที่กางกั้นไปยังท้องฟ้าโปร่งสีครามเหมือนต้องการส่งสื่อไปถึงใครซักคน ใครซักคนที่เข้าใจ

เสียงสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ แล้วตามมาด้วยเสียงสั่นเครือ

“ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมจะทำต่อไปนี้ จะเป็นการทำร้ายตัวเองทีหลังหรือเปล่า แต่เพราะผมต้องการความรู้สึกมั่นคงจากคนที่ผมรัก ผมถึงอยากจะวัดใจกับเขา”

“นทจะทำอะไร?”

“ผมจะไปทำงานไกลๆ ซักพัก”

“คิดอะไรง่ายๆแบบนั้น” เทวัญส่งเสียงเอ็ด แต่เห็นคนขบกัดริมฝีปากตัวเองแน่นก็ต้องถอนใจ “ที่ไหน...นท...คิดจะไปที่ไหนกันหึ”

“ที่ไหนก็ได้ครับ จะเหนือสุดใต้สุด หรือต่างประเทศได้ก็ยิ่งดี...มันหนักไปหมดแล้วตอนนี้” ท้ายประโยคร่างโปร่งงึมงำบอกกับตัวเอง

เพราะรักนี้ไม่อาจบอกใคร จึงหวั่นไหวหวาดหวั่นอยู่ลึกๆกับตัวแปรรอบข้างที่เข้ามากระทบ แม้จะทำใจไว้แล้วตั้งแต่ต้น แต่เมื่อถึงวันที่ต้องเจอกับผู้หญิงเพียบพร้อมทั้งหน้าตา ฐานะ และชาติตระกูล เขาถึงกับอยู่ไม่สุข เขากลัว กลัวว่าปถวีจะเลือกผู้หญิงคนนั้น เพราะทั้งคนทั้งสิ่งแวดล้อมช่างเป็นใจเหลือเกิน แล้ววันนั้นเขาจะเหลืออะไรเล่า นอกจากใจที่ผุๆพังๆ เขาถึงไม่อยากรอให้ถึงวันนั้น

เขาไม่อยากใช้ชีวิตที่เหลือเลือกจากคนอื่น เขา...พวกเขาถึงต้องเลือกเอง

“นท...” เทวัญครางเครือ รู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่างจากร่างโปร่งตรงหน้า “นั่นสินะ คำว่ารักคำเดียวมันพิสูจน์อะไรไม่ได้หรอก...เวลาต่างหากที่จะพิสูจน์ใจคน” คำพูดที่เอ่ยออกมาอย่างไม่เจาะจงถึงใคร ส่งผลให้นทนทีหน้าเจื่อน

“ผมขอโทษ”
“ขอโทษทำไม”

“ก็ที่ทำให้ยุ่งยากมาตลอด ถึงสุดท้ายก็ทำให้ยุ่งอีกจนได้ ถ้าคุณเทวัญไม่สะดวกผมรอจนกว่าจะรับคนเข้ามาทำแทนก่อนก็ได้ครับ งานจะได้ไม่สะดุด”

เทวัญส่ายหน้าช้าๆ “ไม่เป็นไร แต่ฉันเป็นห่วงมากกว่า จะไปไกลๆ แล้วคุณแม่ละ ไหนจะต้องไปอยู่คนเดียว โลกเรามันไม่ได้มีแต่คนดีๆหรอกนะ คิดดีแล้วเหรอ”

คำถามซึ่งมีแต่ความเงียบเป็นคำตอบยิ่งทำให้เทวัญกังวล และยิ่งกว่านั้นเขาจะทำใจปล่อยมือจากคนๆนี้ได้เหรอ ในเมื่อปลายทางที่มืดสนิทเริ่มเห็นเป็นจุดสีขาวจางๆ โอกาสกำลังจะมาถึงเขา เพราะถ้าสิ่งที่นทนทีกลัวเป็นจริง ปถวีไม่สามารถต้านทานกระแสของคนในครอบครัวได้ นทนทีก็คงได้แต่กล้ำกลืนความเจ็บไว้คนเดียว ผิดกับเขาซึ่งไม่มีผู้ใหญ่ให้ต้องย้ำเกรง เขาสามารถรักและดูแลอีกฝ่ายได้เต็มที่ แล้วนทนทีจะไม่มองเขาบ้างเชียวหรือ

เทวัญลอบระบายลมหายใจกับความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัว แม้จะเป็นการกระทำที่ดูเห็นแก่ตัว แต่ถ้ามันจะให้ได้หัวใจคนๆนี้มาครอบครอง เขายอม!

“ไปแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้แบบนี้ แล้วฉันจะปล่อยให้ไปได้ยังไง ยิ่งรู้ว่ากำลังกลุ้มใจให้ไปอยู่คนเดียวจะฟุ้งซ่านกันไปใหญ่มั้งนท ฉันไม่ค่อยเห็นด้วยเลย”

“แต่...ขอร้องละครับคุณเทวัญ ผมคงอยู่ตรงนี้ไม่ได้แล้วแน่ๆ จะให้ผมเห็น...” นทนทีตัดพ้ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ในขณะที่ร่างสูงยกยิ้มบางเบาปลอบใจ

“เปล่าๆ ฉันไม่ได้ห้ามไม่ให้ไป แต่ฉันมีวิธีที่ดีกว่านั้น”

“...ครับ?”

“บริษัทเราจะให้ทุนพนักงานไปเรียนไปอบรมสาขาอะไรก็ได้ที่จะนำมาพัฒนาหน้าที่การงานให้ดีขึ้น เพียงแต่ต้องเป็นการเรียนในประเทศ และนอกเวลาการทำงาน ถ้านทขอทุนตรงนี้เรียนต่อปริญญาเอก นทจะได้ไม่คิดมาก และมีเวลาได้คิดได้ไตร่ตรองแถมยังได้วิชาความรู้ติดตัวไปด้วยนะ ไม่สนใจหรือ?”

“แต่...ผมก็ยังต้องทำงานอยู่ที่นี่ ในกรุงเทพ ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” บ้านก็ใกล้กันแค่นั้น...

“ฉันไม่ได้ให้นททำตามระเบียบทุนนั่นซักหน่อย ฉันจะอนุญาตให้นทเลือกเรียนในต่างประเทศได้โดยไม่ต้องทำงานขณะยังเรียน จบเมื่อไรค่อยกลับมาทำงานใช้ทุนเหมือนที่ผ่านมา”

“...แต่ระเบียบ” นทนทีอ้ำๆอึ้งๆ

“ฉันเป็นคนออกระเบียบ อย่าลืมสิ”

“...มะ...ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่อยากให้คุณเทวัญไม่สบายใจเพราะผม...”

“นท!...ฉันจะไม่สบายใจมากกว่าถ้าปล่อยให้นทไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ให้อยู่ในสายตาฉันซะยังดีกว่า อย่างน้อยฉันจะได้ช่วยเหลือหากเกิดอะไรขึ้น...หรือว่านทไม่ไว้ใจฉัน”

“ปะ...เปล่าครับ” เสียงละล่ำละลักบอก ไม่ใช่ไม่เชื่อ เพราะอีกฝ่ายได้แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่เคยคิดเอาเปรียบหรือล่วงเกินแม้มีโอกาส แต่ถ้าตกลง ก็เท่ากับว่าเขากำลังเป็นฝ่ายเอาเปรียบเสียเอง

เอาเปรียบหัวใจที่ไม่สามารถแลกด้วยหัวใจตัวเองได้

“อย่าเลยครับ” พูดจบก็ได้ยินเสียงร่างสูงถอนหายใจ แล้วลุกขึ้นเดินมายืนพิงโต๊ะข้างคนตัวเล็ก ลำแขนภายใต้ชุดสูทเอื้อมเข้ามาแตะศีรษะแล้วลูบเบาๆ

“บอกแล้วไง ว่าให้เอาแต่ใจบ้างก็ได้ ไม่ต้องนึกถึงใจคนอื่นมากนักหรอก มัวแต่คิดว่าจะทำให้คนนู้นคนนี้ทุกข์ ตัวเองนั่นละจะทุกข์มากกว่า นท...การพยายามทำอะไรด้วยตัวเองมากเกินไปบางครั้งมันก็ดูไม่น่ารักนะ” เทวัญยิ้มเย้าคนหน้าโศกหวังจะทำให้อารมณ์ดีขึ้นบ้าง

“คุณเทวัญ...” ศีรษะเล็กก้มลงมองหน้าตักตัวเอง รับรู้ความอบอุ่นของฝ่ามือใหญ่อย่างเงียบๆแล้วจึงเงยหน้าขึ้นเหม่อมองท้องฟ้าโปร่งสีครามอีกครั้ง

ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ...


XXXXX

“นท วันเสาร์นี้ฉันขึ้นกรุงเทพ จะเข้าไปหาที่บ้านนะ ไปไหนรึเปล่า” เสียงขึ้นจมูกเหมือนคนเป็นหวัดดังมาตามสาย

“อืม ไม่ได้ไปไหนหรอก ว่าแต่วิชไม่สบายหรือเปล่า เสียงไม่ค่อยดีเลย”

“เป็นหวัดนะ ว่าแต่ได้ข่าวไผ่บ้างมั้ย”

“...” นทนทีชะงักก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ “ไม่เลยวิช”

“เหรอ”

เสียงรับคำหงอยๆทำให้ใจคนรู้ที่อยู่สั่นไหว ควรแล้วเหรอที่จะปิดบังกันอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ “เดี๋ยวสบายใจแล้วคงมาให้เห็นหน้าเองละ”
“ไม่เป็นไร แค่นี้ฉันรอได้” ก็เจ้านั่นยังรอฉันมาเป็นสิบปียังรอได้เลย...

“อืมแล้วเจอกันวิช”

หลังจากวางสายร่างโปร่งยังคงยืนนิ่งด้วยคิดไม่ตกว่าจะช่วยเหลือเพื่อนตัวเองยังไง ในเมื่อตัวเองยังเอาตัวไม่รอด

ขณะที่นทนทีกำลังกังวลใจ คนที่อยู่ไกลเป็นร้อยกิโลจากกรุงเทพก็ไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุขดังที่ใจต้องการ

คิดถึง...

ร่างคนตัวเล็กผิวขาวสะอาดนอนพลิกตัวไปมาบนเตียง อาการเหมือนคนหงุดหงิดไม่ได้ดังใจจนต้องข่มใจหลับตา เพื่อหยุดความคิดที่จะหยิบโทรศัพท์กดไปหาคนที่ตัวเองหนีจากมา

“...โธ่เว้ย...เขาไม่รักๆจำซักทีสิไอ้ไผ่ ยังจะคิดถึงเขาทำไม” เสียงหลับหูหลับตาบ่นระบายความอึดอัดแต่ดูเหมือนไม่ค่อยช่วยอะไรมากนัก เมื่อมือเล็กยกขึ้นขยุ้มสาบเสื้อตัวเองแรงๆ “หายซะทีสิ เจ็บไปก็ไม่มีใครเขามามองหรอกนะ”

ยิ่งนอนนิ่งก็ยิ่งคิดฟุ้งซ่าน ร่างเล็กจึงลุกขึ้นอย่างหัวเสียแล้วเดินกระทืบเท้าไปยังชายหาดหน้าบ้านพัก แล้วค่อยๆสาวเท้าเข้าหาฟองคลื่นขาวและเดินลึกลงไปจนน้ำท่วมเหนือศีรษะชั่วกลั้นลมหายใจ ก่อนจะพุ่งตัวขึ้นสู่ผิวน้ำหอบหายใจแรง

หยดน้ำพราวบนใบหน้าไหลผ่านพวงแก้มขาวสะท้อนแสงแวววาวจนแยกไม่ออกว่าคือน้ำทะเลหรือน้ำตากันแน่

XXXXX


“วันนี้นทนทีขอลาครึ่งวัน” เสียงเอ่ยหยั่งเชิงดูอาการเจ้านายของเลขาจอมทะเล้น สะกิดให้ประธานหนุ่มใหญ่ต้องเลิกคิ้วมองคิดอยากจะยันคนที่เป็นทั้งลูกน้องและเพื่อนกระเด็นไปให้พ้นหูพ้นตา

“แล้วไง” เทวัญแสร้งทำไม่สนใจท่าทางคอยืดคอยาวอยากรู้อยากเห็นจนออกนอกหน้าของอีกฝ่าย

“ก็ไม่แล้วไง แค่ตอนนี้ท่านประธานกำลังเป็นที่กล่าวขวัญถึงในความใจกว้างยังกะทะเลสาบแน่ะ”

“แล้วไม่ดีรึไง”

“ก็คงดีมั้ง ถึงขนาดเรียกประชุมแก้ระเบียบการขอทุนการศึกษาของพนักงานให้สามารถไปศึกษาต่อต่างประเทศได้ด้วยตัวเอง เหตุผลก็แสนจะดูดี อยากเปิดโอกาสให้พนักงานที่มีความสามารถได้มีโอกาสพัฒนาตัวเองและนำมาพัฒนาองค์กร โฮ้! อะไรจะดูดีขนาดนั้น” คนพูดยาวยืดหยุดมองใบหน้าคมเข้มก่อนจะยิ้มเป็นนัย “ทั้งๆที่ทำเพื่อคนเพียงคนเดียวแท้ๆ”

“แล้วจะทำไม ในเมื่อก็เป็นผลพลอยได้ของพนักงานอื่นด้วย” เสียงขุ่นขวางจนเพื่อนสนิทต้องยักไหล่

“ก็แค่จะเตือน อย่าให้เสียการปกครองก็แล้วกัน”

เทวัญมองเพื่อนแน่วนิ่งแล้วจึงยิ้มกว้าง “ทะเลสาบถึงจะกว้างใหญ่ซักแค่ไหนแต่มันก็ยังเค็มไม่ใช่เรอะไอ้ต่อ!”

ทวีปยิ้มรับคำพูดเปรียบเปรยนั้น ก่อนจะเดินเข้าไปรวบแฟ้มที่ลงนามเรียบร้อยแล้วนำออกไปจากห้อง

“เดี๋ยว...แล้วนทลาไปไหน รู้มั้ย” เทวัญมองรอยยิ้มสุดแสนจะกวนประสาทแล้วให้นึกเสียใจที่ถามเอากับเจ้านี่

“ก็ไปทำให้คนที่แอบหวังอยู่เงียบๆสมใจไงครับท่าน”

“ไอ้ต่อ!...นทไปไหน”

“ขู่จริงวุ้ย ไปสถานทูตครับ” ตอบพลางหรี่ตามอง ”โธ่เอ๊ย คนดีๆใกล้ตัวทำเป็นไม่เห็น ไปงมหาให้ยุ่งทำไมว่ะ” เสียงบ่นอุบอิบตอนท้ายแล้วรีบจ้ำอ้าวออกจากห้องก่อนจะมีสีแปลกๆมาประดับบนใบหน้า มือที่กำลังหยิบคว้าของใกล้ตัวจึงชะงักแล้วถอนหายใจดังๆ

“ไอ้บ้า...” ถึงจะบ่นแต่ในใจกลับรู้สึกอิ่มเอิบ นทนทีตกลงใจรับทุนและเลือกเรียนที่สิงคโปร์แทนการลาออก แค่นี้อีกฝ่ายก็ยังอยู่ในสายตาของเขา การโน้มน้าวใจจึงไม่ยากเย็นเกินไปหรอกน่า


XXXXX


“คุณนทอยู่ไหนครับ” เสียงกันย์พูดกรอกใส่โทรศัพท์ถามหาที่อยู่ของนทนทีด้วยไปรับที่บริษัทแล้วไปพบ

“อยู่แถวๆสาทรใต้น่ะ ไม่ต้องมารับหรอกกันย์ เดี๋ยวกลับเอง”

“ไม่เป็นไรครับ คุณปถวีให้รับคุณไปพบที่คอนโดครับ”

“...ก็ได้ ฉันจะรออยู่แถวนี้ละ”
นทนทีรออยู่ซักพัก รถยนต์คันคุ้นตาก็แล่นเข้ามาจอดเทียบฟุตบาทใกล้ป้ายรถประจำทางที่นั่งรออยู่ ร่างโปร่งรีบขึ้นรถพลางยิ้มให้อีกฝ่าย

“มีอะไรรึเปล่าถึงต้องมารับ”

“ไม่ทราบครับ คุณปถวีให้คุณไปรอที่คอนโดก่อนแล้วจะตามเข้ามา”

“ทำงานอยู่เหรอ งั้นรอไว้วันอื่นก็ได้นี่”

“เปล่าครับ ไปธุระกับคุณแม่เดี๋ยวก็กลับครับ” คำตอบที่ฟังดูง่ายๆไม่คิดว่าจะสะกิดใจคนฟัง จนกระทั่งสังเกตเห็นสีหน้าผิดปกติจึงได้แต่โทษตัวเองที่พูดอะไรโดยไม่คิด

“คุณนท...มันไม่ใช่...” เพราะรู้ว่าปถวีกำลังไปทานข้าวกับอรอนงค์โดยมีคุณศรีสอางค์เป็นฝ่ายชักชวนแกมบังคับทำให้คนใจเย็นอย่างกันย์อดรู้สึกหงุดหงิดแทนไม่ได้

หากแต่คนนั่งข้างๆกลับยิ้มเย็นกลบเกลื่อนเหมือนไม่ใส่ใจ ยิ่งผิดสังเกตจนอดพินิจพิจารณาอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ ข้อนิ้วขาวโปนจากอาการเกร็งแน่นบ่งบอกให้รู้ว่าคนยิ้มแห้งๆกำลังเก็บอารมณ์ความรู้สึกไว้เต็มเหนี่ยว ก่อนจะผ่านเลยไป สายตาคู่คมตวัดมองเอกสารในซองใส แล้วต้องมองซ้ำอีกครั้งด้วยตราที่ประทับอยู่บนเอกสารมันคุ้นตาซะเหลือเกิน

สายตาที่ดูเหมือนเย็นชาเบิกกว้างขึ้นชั่ววูบ ก่อนจะทอแสงอ่อนและปิดปากเงียบจนกระทั่งถึงคอนโดผู้เป็นนายด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง

นทนทีกำลังทำสิ่งเดียวกับที่เขาเคยทำมาก่อน และผลของมันก็คือเขาเช่นทุกวันนี้ไง

ความอ้างว้าง...

กันย์หันมองนทนทีเต็มตาเมื่อรถจอดสนิท จนคนถูกมองต้องเลิกคิ้วสงสัย

แม้จะดูดื้อดึงและยึดมั่นถือมั่นจนเกินพอดีในบางครั้ง แต่ในดวงตานี้ก็เต็มไปด้วยความจริงใจจนคนที่ได้ใกล้ชิดพลอยรู้สึกดีไปด้วย

ยังมีเวลา...ทุกอย่างมันยังไม่สายถึงขนาดจะต้องตัดใจหรอกน่า...

“มีอะไรครับ”

“ไม่มีอะไรครับ ผมจะไปส่งหน้าห้อง”

“มะ...ไม่ต้อง”

“ไปเถอะครับ”

นทนทีพยักหน้ารับอย่างแกนๆแล้วจึงเดินตามขึ้นไปยังห้องพักแม้จะรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งตัวก็ตาม

จะต้องคอย...คอยให้เขาไปหาคนอื่นก่อนแล้วถึงค่อยกลับมานะหรือ? แค่ได้ยินยังรู้สึกแย่ขนาดนี้ แล้วถ้าต้องเห็นต้องรู้ไปทั้งชีวิตจะทนได้เหรอนทนที?

กันย์เลิกคิ้วแปลกใจเมื่อเปิดประตูเข้าไปภายในพบท่านประธานหนุ่มยืนทำหน้าตึงรออยู่ใกล้โต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารเหมือนจัดรอไว้พักใหญ่

ทำยังไงถึงกลับมาได้ละเนี่ย? ไม่ใช่ว่าหลบกลับมาก่อนหรอกนะ เป็นจริงพรุ่งนี้เขาต้องเตรียมถูกคุณศรีสอางค์บ่นจนหลับกันไปข้างหนึ่งแน่ๆ

“ไปรับกันถึงไหนฮึ!” คำถามที่เป็นเหมือนคำทักทายของร่างสูงใหญ่ส่งผลให้กันย์เหลือบมองเจ้าซองเอกสารอย่างชั่งใจอีกครั้ง และ...

“แถวๆสถานทูตสิงคโปร์ครับ” คำตอบที่เหมือนฟ้าผ่าลงมาตรงหน้านทนที ทำให้เจ้าตัวหน้าถอดสี

“ไปทำอะไรแถวนั้น” เสียงถามเรียบเรื่อยทั่วไป แต่ปฏิกิริยาของนทนทีก็ทำให้ปถวีนึกแคลงใจทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจจะหาคำตอบ ก่อนจะเลิกคิ้วถามพลางสาวเท้าเข้าไปใกล้

“ว่าไง”

ไม่มีคำตอบจากคนทั้งคู่ แต่....

ปถวีมองตามสายตาเลขาตัวเองไปยังซองพลาสติกใสในมือนทนที อะไรบางอย่างในดวงตาของกันย์ทำให้เขาสะกิดใจและไม่รอที่จะถามเจ้าของซอง ด้วยเขาดึงมันออกมาดูเสียเองท่ามกลางความตกใจของร่างโปร่ง

หนังสือเดินทาง เอกสารสถาบันการศึกษา ภาพอาคารและห้องพักอาศัย ทั้งหมดอยู่ในมือปถวี

นทนทีมองคำถามในดวงตาของร่างสูงใหญ่แล้วต้องสูดลมหายใจลึกๆเหมือนเรียกกำลังใจให้ตัวเอง ไหนๆก็ต้องบอก แค่มันเร็วไปหน่อยก็เท่านั้นเอง ก่อนจะหันมองร่างสูงโปร่งที่เป็นเหมือนพี่กลายๆอย่างตัดพ้อ

“กลับไปเถอะ เดี๋ยวฉันจะบอกกับเขาเอง” นทนทีบอกกันย์เสียงเบา แล้วจึงหันไปเผชิญหน้ากับร่างสูงใหญ่ “มันยังไม่เรียบร้อยเลยไม่ได้บอกนาย”

“อะไร?” ร่างสูงเดินเข้าประชิดร่างเล็กด้วยใบหน้าถมึ-งทึง “อะไรที่นายยังไม่ได้บอก”
“ฉันได้ทุนบริษัทไปเรียนต่อที่สิงคโปร์นะ” นทนทีกลืนก้อนแข็งบางอย่างลงคออย่างยากลำบาก

“ไม่เห็นนายเคยพูดถึง แล้วทำไมต้องทำลับๆล่อๆ เหมือนจงใจปิดบัง”

“ไม่ได้ลับๆล่อๆซะหน่อย แค่ประธานอนุมัติเร็วกว่าที่คิด เลยฉุกละหุกก็ ก็แค่นี้” นทนทีละล่ำละลักบอกในขณะที่อีกฝ่ายหรี่ตามองอย่างครุ่นคิด จากที่อารมณ์ดีๆรีบหนีมารดากลับมาทานข้าวกับอีกฝ่าย ก็ต้องขุ่นขวางกับคำตอบที่ดูไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา

“หึ...ทั้งๆที่ฉันเคยขอให้นายมาทำงานกับฉัน เคยเสนอทุนให้เปล่าเสียด้วยซ้ำ แต่นายไม่รับ นายกลับไปรับทุนที่มีสัญญาผูกพันแบบนั้นอีก มันทำให้ฉันแปลกใจ ว่านายคิดอะไรอยู่กันแน่”

นทนทีนิ่วหน้าเมื่อมือใหญ่ตรงเข้าบีบต้นแขนอย่างคาดคั้น

“ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่นทนที! บอกฉันมาซิ”

“เจ็บ...ก็ไม่ได้อะไรทั้งนั้นละ ฉันอยากไปก็เท่านั้น”

“ไม่...” ปถวีส่ายหน้า “มันต้องมีอะไร ไม่งั้นจะต้องไปทำสัญญาผูกพันกับบริษัทเจ้านั่นอีกทำไม ถ้าไม่ใช่เพราะอยากอยู่ใกล้มัน!”

“...!” นทนทีเบิกตากว้างกับความคิดเลยเถิดของอีกฝ่ายจนต้องขบริมฝีปากตัวเองแน่น ทำไมต้องไปโทษคนอื่นด้วย!

“ใช่มั้ย!”

“...”

“ใช่มั้ย!” เสียงถามเหมือนตะโกนจนนทนทีต้องเงยหน้าขึ้นตอบด้วยน้ำเสียงเช่นเดียวกัน

“ไม่ใช่!”

“โกหก! อยากอยู่กับมันก็บอกมาเถอะ”

“ปถวี!” ริมฝีปากอิ่มแผดเสียงดังลั่นห้องจนร่างสูงชะงัก “ถ้ามันจะเป็นอย่างที่นายพูดก็เพราะตัวนายเองนั้นละ เพราะนายนั้นละ!” ร่างบางหอบหายใจแรงด้วยแรงอารมณ์เคืองโกรธ

V
V
V

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
โกรธที่อีกฝ่ายเอาแต่ตราหน้าว่าเขาร่าน ทั้งๆที่ไม่เคยคิดทำเลยสักนิด

“ฉัน?...ฉันทำอะไร ถูกจับได้แล้วอย่ามาโยนให้คนอื่นดีกว่า”

ร่างโปร่งบางเงยหน้ามองคนรักด้วยแววตาไหววูบ ริมฝีปากขบเม้นเข้าหากันแน่นก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ฉันไม่ได้ทำอะไรให้นายต้องมาจับผิดฉัน ฉันรู้ตัวว่าฉันทำอะไรอยู่”

“ถ้ารู้ตัว ก็ควรจะรู้สิว่าตัวเองควรอยู่ตรงไหนในฐานะคนรัก ไม่ใช่วิ่งโร่ไปทำงานกับคนอื่นให้ฉันคอยกังวลแบบนี้ หรือคิดจะเผื่อเลือก”

นทนทีสะบัดแขนให้หลุดจากการยึดจับทันทีที่วาจาเชือดเฉือนนั้นจบลง แต่มือใหญ่กลับเพิ่มแรงบีบจนต้องร้องคราง ก่อนจะโต้ตอบอย่างเผ็ดร้อน

“นั่นน่ะ มันนายหรือเปล่าที่คิดเผื่อเลือก!”

“นทนที!” เสียงตวาดลั่นของร่างสูงทำให้นทนทีเบือนหน้าหนี “ฉันทำเมื่อไรกัน ก็สัญญาแล้วไง”

“คำสัญญาใครก็พูดได้!” การสวนตอบของนทนทีทำให้สติปถวีขาดผึง และลากถูอีกฝ่ายไปเหวี่ยงทิ้งบนเตียงดังตุบ!

“ฉัน...ไม่...คิด...จะสัญญากับใครพล่อยๆ” น้ำเสียงหนักเอ่ยช้าชัดพลางก้าวขึ้นคร่อมร่างบางที่นอนล้มไม่เป็นท่าบนเตียงโดยไม่ยอมละสายตาจากใบหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะเลิกคิ้วหงุดหงิด

“มองอย่างนี้หมายความว่ายังไง” สายตาที่เต็มไปด้วยความคลางแคลงใจของนทนทีทำให้ปถวีฉุนโกรธหนักขึ้นไปอีก “ฉันไม่มีใคร!”

“ฉันพูดนายยังไม่เชื่อ แล้วนายพูดฉันต้องเชื่อด้วยรึไง”

“ห่ะ...นท!” คำพูดยอกย้อนจนใจคนฟังกระตุก และมองอีกฝ่ายเหมือนไม่เคยรู้จัก

ต่างฝ่ายต่างจ้องมองกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้จะไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมาแต่ในหัวกลับคิดไปสารพัดถึงสาเหตุที่ทำให้ต้องมีวันนี้

“ทำไม...เมื่อก่อนไม่ว่าฉันจะทำอะไร นายก็ยังเชื่อใจฉันเสมอไม่ใช่เหรอ แต่มาตอนนี้...ทั้งๆที่ฉันรับปากทุกอย่าง นายกลับไม่เชื่อ” ปถวีถามด้วยน้ำเสียงเรียบแต่หนักแน่น

นทนทีมองอีกฝ่ายด้วยใจเจ็บหนึบ ทั้งๆที่อยากจะหลับหูหลับตาเชื่อ แต่เขาหลับตาทุกวันไม่ได้ วันใดที่เขาลืมตาขึ้นมา มันก็จะเห็นและทรมาน

“เพราะเราโตขึ้น รู้จักคนมากขึ้น มีสังคมมากขึ้น จะคิดอะไรสั้นๆเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว การคิดว่าแค่ได้อยู่ด้วยกันมันไม่ใช่คำตอบทั้งหมดหรอกนะ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกัน”

นทนทีกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยต่อ

“นายกำลังมีคนที่เพียบพร้อมเข้ามาในชีวิต ฉันไม่รู้ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมั้ย ฉันถึงต้องไป”

“ใคร? ที่นายพูดถึง”

“...”

“อร...น้องอรน่ะเหรอ”

“แล้วใช่รึเปล่า”

“จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว ก็ฉันบอกแล้วไง น้องอรเขาเป็นแค่คนที่แม่ฉันเห็นดีเห็นงาม ฉันไม่ได้คิดอะไรกับน้องเขาเลย”

“วันนี้ไม่คิด แล้ววันข้างหน้าละ?” คำสวนของนทนทีทำเอาปถวีตาเป็นจะหลุดออกมาจากเบ้า

“นท!? ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกันเล่า ทำไมนายถึงชอบคิดอะไรในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงนักนะ ฉันอยู่ตรงนี้ อยู่ตรงหน้านาย มันยังไม่พออีกเหรอ ฉันละไม่เข้าใจนายเลย”

“มันคงยังไม่พออย่างที่นายว่าจริงๆนั้นละ ฉันถึงอยากพิสูจน์ว่าสิ่งที่นายพูดมาทั้งหมด” มือเล็กยกขึ้นปาดหยาดน้ำจากหางตาอย่างลวกๆก่อนจะเอ่ยต่อ “คำว่ารักของนายมันจะมั่งคงแค่ไหนกัน!” ท่ามกลางทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นใจให้นาย นทนทีนึกต่อในใจ

“...อะไรน่ะ!” น้ำเสียงเหี้-ยมเกรียมดังออกมาจากปากคนถูกประเมินราคาของหัวใจ ได้แต่เพ่งมองใบหน้าขาวนวลใต้ร่างด้วยอาการจุกเสียดและเจ็บหนึบในอก

“วี...ที่ผ่านมาฉันยังรอนายได้ แต่วันนี้ฉันจะให้นายรอฉันบ้าง!” ดวงตาที่เคยอ่อนโยนเปลี่ยนเป็นประกายกร้าว เมื่อต้องใช้แรงใจผลัดดันคำพูดทุกคำออกมาอย่างยากลำบาก ในขณะที่ร่างสูงเองก็เหมือนจะถึงขีดจำกัดของคำว่าอดทนเหมือนกัน

“นายจะเอาคืนว่างั้นเถอะ”

“ฉันไม่ได้เอาคืน! แต่ถ้าวันนั้นนายยังไม่เปลี่ยนไป ฉันจะเชื่อ จะเชื่อทุกคำที่นายพูดมา”

ปถวีมองคนรักเอ่ยเสียงเบาในตอนท้ายพลางส่ายหน้าช้าๆ

“ฉันไม่คิดจะรอให้วันนั้นมาพิสูจน์คำพูดของฉันวันนี้หรอกนทนที” เสียงกร้าวหลุดออกมาพร้อมรอยยิ้มหยัน

“หมายความว่าไง?”

“ก็หมายความว่า ฉันไม่ให้นายไปยังไงละ”

นทนทีจ้องมองดวงตาคู่คมกร้าวส่องประกายแวววาวล้อแสงไฟนิ่งงัน ปฏิกิริยาทางร่างกายของร่างสูงเปลี่ยนไปจนทำให้ต้องระแวง ผิดปกติ!

“นายไม่เคารพการตัดสินใจของฉัน!”

“ฉันเคารพมามากพอละ มากจนทำให้นายเหลิง คิดจะทำอะไรกับฉันก็ได้งั้นเหรอ คิดว่าฉันจะเออออไปด้วยทุกอย่างแม้กระทั้งจะถูกตีท้ายครัวงั้นเหรอ ฝันไปเถอะ”

เพี๊ยะ! ใบหน้าคมสะบัดหันไปตามแรงเหวี่ยงของฝามือเล็ก โดยคนตบไม่คิดจะออมแรง

“คิดเป็นอยู่แค่นี้ใช่มั้ย” น้ำเสียงสั้นสะท้านขึ้นจมูก ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยหยาดน้ำ หากแต่มันไม่ได้ลดทอนความเกรี้ยวกราดลงซักนิด

“ก็ถ้าไม่ทำให้คิด...ฉันจะคิดได้รึไง!” ร่างสูงตวาดกลับ มือใหญ่ยกขึ้นลูบแก้มสากช้าๆพลางใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้มลิ้มรสคาวเลือดจางๆด้วยดวงตาวาวโรจน์ “หลายครั้งแล้วนะ...ฉันจะทำยังไงกับนายดีเนี่ย!” ร่างสูงก้มลงจ้องตากับคนใต้ล่างเหมือนข่มขู่

“ปล่อย...ลุกออกไปนะ!” คนตัวเล็กกว่าพยายามดิ้นหนีให้หลุดจากการนั่งคร่อมของอีกฝ่าย

“อย่าดิ้นนะ! ทำไม?...จะรีบวิ่งโร่ไปให้มันซับน้ำตาให้รึไง”

“เออ! ไอ้บ้า...ปล่อยโว้ย” นทนทีรับสมอ้างด้วยความโมโหพลางปัดมือใหญ่ออกจากไหล่ และแสดงอาการรังเกียจความคิดอันต่ำช้าอย่างไม่ปิดบังอาการ ยิ่งกระตุ้นอารมณ์ร่างสูงจนอยากจะจับอีกฝ่ายมาหักเป็นสองท่อน

“ฝันไปเถอะ!”

“ปล่อย!” นทนทีร้องเสียงหลงเมื่ออีกฝ่ายกระชากสาบเสื้อจนได้ยินเสียงขาดออกจากกัน ก่อนจะได้ปริปากประท้วงก็ถูกมือใหญ่จับมัดด้วยเสื้อที่ขาดของตัวเองจนดิ้นไม่หลุด “ทำบ้าอะไรวี!” หัวใจดวงเล็กกระตุกเมื่อรู้สึกถึงไอเย็นกระทบโคนขาจากการกระชากถอดกางเกงและยึดตรึงไว้จนเจ็บของร่างสูงใหญ่
นทนทีมองอีกฝ่ายตาค้าง ด้วยรู้สึกถึงพละกำลังที่อีกฝ่ายตั้งใจออกแรงให้เขาได้เจ็บ ถ้าไม่นับครั้งแรกที่พวกเขามีความสัมพันธ์กันอย่างรุนแรงจนเลือกตกยางออก ปถวีก็ไม่เคยใช้กำลังบังคับให้เขาร่วมรัก แต่ตอนนี้ความรู้สึกในครั้งแรกนั้นกำลังจะห้วนกลับมา

“ปถวี! หยุด นายกำลังจะ...ข่ม...ขืน...ฉันนะ!” สะโพกมนพยายามขยับหลบมือแข็งกร้าวที่กำลังจาบจ้วง และสอดเข้าไปในรอยแยกเนินเนื้อแน่นตึง แต่ก็ดูเป็นความพยายามทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย

ร่างกายขาวนวลปรากฏขึ้นเต็มตาปถวี สายตาโกรธเกรี้ยวมองมาด้วยความชิงชัง แต่ก็ไม่ทำให้เลือดในกายของเขาสงบลง แม้ว่าสิ่งที่จะทำต่อไปนี้จะเป็นการทำร้ายคนที่ตัวเองบอกว่ารักก็ตามที

เพราะเขาไม่กลัวถ้าจะต้องถูกโกรธเกลียด แต่ถ้าจะต้องปล่อยให้อีกฝ่ายตีตัวออกห่างทั้งๆที่เขาไม่ยินยอม เขาทำได้หรือ เขาเคยให้ใครมาทำกับเขาแบบนี้ด้วยหรือ?เพราะฉะนั้น อย่าคิดว่าจะไปจากเขาได้ถ้าเขาไม่คิดจะปล่อย ถึงแม้จะต้องมัดอีกฝ่ายไว้กับเสา เขาก็จะทำ!

“เปล่าเลย...ฉันไม่ได้ข่มขืน แต่ฉันกำลังจะทำให้นายสำนึกว่านายกำลังคบอยู่กับใคร! นายควรจะฟังใคร! ถ้าไม่ใช่ฉัน! ถ้าฉันบอกไม่ให้ไปก็คือไม่ไป นทนที!”

ร่างสูงใหญ่กดคนตั้งท่าจะเถียงหัวชนฝาคว่ำหน้าลงกับที่นอน และปลดเข็มขัดตัวเองอย่างรวดเร็วก่อนจะโน้มตัวลงทาบทับแผ่นหลังเรียบเนียน แล้วจึงกระซิบเหี้-ยมเกรียมชิดริมใบหูขาว “ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปฉันไม่ให้นายไปทำงานที่นั้นอีก!”

“อะไรนะ!” ใบหน้าขาวซีดสะบัดเอี้ยวขึ้นมาคนซ้อนด้านหลังอย่างเอาเป็นเอาตาย “นายไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉันนะ แล้วอีกอย่างฉันทำสัญญาขอทุนเสร็จแล้ว เงินก็ถูกโอนเข้าบัญชีไปแล้วด้วย ถ้าฉันไม่ไปทำงานก็เท่ากับผิดเงื่อนไขการรับทุน ฉันจะถูกบริษัทฟ้องนะ!”

“ก็ให้มันฟ้องไปสิ!”

“ไอ้บ้า ใช่สิ คนถูกฟ้องไม่ใช่นายนี่ นายจะมาเดือนร้อนทำไมใช่มั้ยละ...โอ๊ย!” นทนทีร้องเสียงหลงเมื่อถูกกระชากต้นขาให้แยกออก รับร่างสูงที่สวนตัวเข้าแทรกจนเนินเนื้อแนบชิดไปกับความรุ่มร้อน ราวกับถูกไฟลวก สะโพกเล็กจึงกระตุกและขืนตัวออกห่าง แต่ยิ่งขืนก็ยิ่งเจ็บ จากปลายนิ้วแข็งแรงที่ยึดตรึงสะโพกเขาไว้แน่นจนเขียวเป็นจ้ำ

“ไม่เดือนร้อนเหรอ ทุกวันนี้ฉันไม่เดือนร้อนรึไงนทนที!?” ร่างสูงหอบหายใจดังจากการตะโกน “ฉันเดือนร้อนใจทุกครั้งที่นายไปกับคนอื่น นายไม่รู้รึไง...” ปถวีมองอีกฝ่ายอย่างคาดคั้น

“ไม่มีเหตุผลเลย! นายก็รู้ว่าไปฉันทำงาน ฉันไม่ได้ทำอย่างที่นายคิด ไม่เหมือนนายนี่! อย่าเหมาเอาว่าคนอื่นเขาจะทำเหมือนอย่างที่นายทำสิ...อย่า!” ร่างบางสะดุ้งเมื่อนิ้วมือของอีกฝ่ายกำลังชำแรกแทรกผ่านช่องทางแห้งผาก “วี! อย่างทำอย่างนี้ ถ้านายทำก็ไม่ต้องมาเจอะเจอกันอีกเลย”

“อ๋อ...นี่พูดเผื่อเลิกไว้เลยใช่มั้ย บอกแล้วไงว่าอย่าหวัง ถ้าฉันไม่ปล่อยให้ไป!”

“วี!” ร่างเล็กกว่าดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการพันธนาการ ข้อมือที่ถูกเสื้อของตัวเองมันไว้หนาแน่นแดงเถือกจนถลอกจากการฝืนขยับถูไถให้ปมผ้าคลายออก แต่ยิ่งขยับก็ยิ่งรู้ว่ามันเกินกำลังจะจัดการได้ด้วยแรงที่มี และยิ่งทำให้โมโหขึ้นไปอีก

“ฉันจะไป ค่อยดู! ฉันจะไปทำงาน นายห้ามฉันไม่ได้หรอก คอยดู!”

“นทนที!” ร่างสูงมองดูคนไร้กำลังต่อสู้ส่งเสียงเถียงจนคอโก่ง ดวงตาเจ็บร้าวมองมายิ่งทำให้รู้สึกเจ็บใจ เจ็บใจที่วันนี้เขาไม่ใช่ที่หนึ่งสำหรับนทนทีอีกแล้วหรือ “ก็ให้มันรู้ไปสิ” ร่างสูงพูดจบก็เอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์หัวเตียงกดหาเลขาตัวเองทันที

“กันย์ โทรแจ้งบริษัทที่นทนทีทำงานด้วยว่าเขาขอลาออก ถ้ายังมีข้อผู้พันใดๆก็ให้ทนายจัดการไปเลย เสร็จแล้วโทรบอกฉันด้วย” คำสั่งรั่วเร็วดังขึ้นอย่างไม่คาดฝันของปถวีทำให้นทนทีมองตาค้างก่อนจะตีโพยตีพายทันที

“นายทำยังงี้ไม่ได้นะ ฉันยังมีแม่มีน้องต้องรับผิดชอบ ให้ตายเถอะนายมันเห็นแก่ตัว ไม่ได้นึกถึงใจคนอื่นเลย นายมันทุเรศที่สุดเลยปถวี!”

“ไม่ต้องเอาคนอื่นมาอ้าง น้องวาเขาจะแต่งงานมีครอบครัวที่ดีอยู่แล้ว ส่วนนายแล้วก็แม่ของนายฉันเลี้ยงได้ คนที่เห็นแก่ตัวมันนายนั้นละ นายคนเดียวที่ยึดติดกับความยึดมั่นถือมั่นในใจของนาย จนนายลืมนึก ลืมนึกถึงฉันไปรึเปล่าว่าฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น ฉันมีทุกอย่างแล้ว สิ่งที่ฉันขาดคือคนที่เข้าใจ แต่นายไม่ยอมเข้าใจ นายทำไปทำไม...ในเมื่อสิ่งที่นายทำฉันไม่ต้องการ...”

“ปถวี!...” เสียงครางละเมอดังออกมาจากริมฝีปากบาง ทั้งๆที่เขาตั้งใจทำเผื่อคนๆนี้มาตลอด เขาอยากให้คนที่เขารักภูมิใจ แต่กลับถูกบอกปัดอย่างไม่มีเยื่อใยแบบนี้

นทนทีขบเม้นริมฝีปากอย่างคนถือทิฐิ ในเมื่อไม่ต้องการก็พอ!

“ฉันจะไป...แล้วฉันก็จะไม่ลาออกจากงาน” น้ำเสียงหนักแน่นแฝงความสะใจเมื่อพูดออกไปแล้วได้เห็นดวงตาคู่คมกล้าเบิกกว้างก่อนจะหรี่ลงอย่างหมายมาด

“อย่าหวัง!” ร่างสูงเอ่ยเสียงเหี้-ยมก่อนจะกระแทกสะโพกลงบนเนินเนื้อนิ่มด้วยแรงโทสะ

“โอ๊ย!” ร่างโปร่งร้องเสียงหลงระคนตกใจ กับการเสือกกายเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเหมือนตั้งใจทำให้เจ็บ “ไอ้บ้าเอ๊ย!” คำสบถพรั่งพรูออกจากริมฝีปากห่อเลือดด้วยขบกัดกั้นความจุกเจ็บที่กระแทกกระทั้นอยู่เบื้องหลัง ใบหน้านวลเอี้ยวมองร่างสูงที่ตอนนี้ไม่เหลือแววความอบอุ่นอ่อนโยนในดวงตา มีเพียงแสงไฟสีแดงวาววาบฉาบไปทั้งใบหน้าดูเหมือนคนไม่รู้จัก น้ำตาเม็ดโตจึงได้แต่ไหลเป็นสายอย่างไม่มีใครสนใจแม้แต่เจ้าตัว
ศีรษะเล็กสะบัดกลับไปซุกซบหมอน ให้น้ำตาเปียกชุ่มเป็นวงกว้างด้วยไม่อาจทนมองใบหน้าที่เต็มไปความกรุ่นโกรธของอีกฝ่าย ร่างกายอันชาหนึบไม่สามารถขืนกายหรือห้ามปรามการกระทำอันหยาบกระด้าง จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตารับความโกรธเกรี้ยวเข้ามาในตัวพร้อมกับใจที่เหมือนถูกบดขยี้ให้แหลกลาญคามือ

พายุร้ายโหมกระหน่ำพัดผ่านเพียงวูบเดียวก็สามารถทำให้ทุกอย่างที่อยู่รอบข้างพังทลายด้วยแรงอันมหาศาล ร่างโปร่งบางนอนอยู่บนเตียงถึงแม้จะได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการแล้ว หากแต่กลับนอนนิ่งไม่ไหวติ่ง มีเพียงน้ำตาเป็นสายเท่านั้นที่ยังบ่งบอกว่าร่างๆนี้ยังมีความรู้สึก รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

ดวงตาไร้แววมองร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังห้องน้ำ ก่อนจะกลับออกมาพร้อมผ้าชุบน้ำเย็น นำมาเช็ดร่องรอยและคราบของความโกรธเกลียดที่ตัวเองเป็นคนยัดเยียดให้ร่างเล็กจนต้องเจ็บช้ำ

ปถวีมองร่างคนรักนอนทอดกายหมดแรงต่อสู้ด้วยใจนึกสงสาร แต่...ก่อนที่จะมีวันนั้น วันที่ต้องเสียคนๆนี้ไป เขาจะยื้อไว้จนสุดกำลัง แม้สิ่งนี้จะกลับมาทิ่มแทงให้เจ็บยอกในอกก็ตาม ร่างสูงลูบศีรษะทุยไปมาก่อนจะก้มตัวลงกระซิบใกล้ใบหูเล็ก บอกทั้งๆที่ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะยอมเปิดโสตรับฟังหรือไม่

“นายทำให้ต้องมีวันนี้เองนะ...นทนที”

ดวงตาแห้งแล้งเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาลงจบการรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวพร้อมกับน้ำตาหยดสุดท้ายที่ไหลรินให้อีกฝ่ายเห็น

ทำไมถึงเป็นแบบนี้...


V
V
V

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
ตอนที่ 17

“ติดต่อนทได้มั้ย” ประธานหนุ่มใหญ่เอ่ยถามเลขาในห้องทำงานด้วยอาการร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด เพราะได้รับรายงานจากฝ่ายบุคคลว่านทนทีได้ขอลาออกกะทันหัน ถึงวันนี้ก็สี่วันเข้าไปแล้วที่เขายังไม่สามารถติดต่อนทนทีได้ มีแต่ส่งตัวแทนมาดำเนินการเรื่องทุกอย่าง และตัวแทนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นายกันย์ เลขาของปถวีนั่นเอง

มันต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ เพราะเมื่อซักถามเอาความกับเจ้าเลขาหน้าตายนั่น ก็ได้คำตอบเหมือนถามเอากับเครื่องตอบอัตโนมัติไม่มีผิด

“คุณนทนทีต้องการจะลาออกไปทำงานที่อื่นครับ”

ไม่มีทางเป็นอย่างที่เจ้านั่นพูดแน่ๆ ก็นทนทีตกลงรับทุนการศึกษาของบริษัท เหลือแค่รอให้งานแต่งงานของน้องสาวเสร็จสิ้น เจ้าตัวก็พร้อมจะเดินทางไปทันที ในเมื่อที่ทางได้ถูกเตรียมไว้พร้อมสรรพแล้ว

นทนทีไม่มีทางจะหายไปเฉยๆแบบนี้แน่ นอกจากจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าตัวจนทำให้ไม่สามารถติดต่อมาได้ และนี่เองที่ทำให้เขาเป็นห่วงจนนั่งไม่ติด

“ติดต่อไม่ได้ครับ ทางโน้นบอกว่านทนทีไม่ว่างรับสายครับ” ทวีปขมวดคิ้วยุ่ง เพราะโทรไปหาทางบ้าน มารดาของนทนทีกลับบอกว่าตอนนี้นทนทีไปทำงานที่บริษัทของปถวีแล้ว และได้ไปอาศัยปถวีอยู่ชั่วคราวเพื่อสะดวกในการเรียนรู้งานและเดินทางในช่วงแรก หนำซ้ำพอติดต่อไปยังบริษัทของปถวีก็ถูกคุณเลขาคู่ปรับของเขารับและปฏิเสธที่จะให้พูดคุยเสียทุกครั้งไป จนเขาเองก็กังวลไปด้วยกับการหายตัวไปของนทนทีเหมือนกัน

“มันแปลกมั้ยละไอ้ต่อ จู่ๆก็ลาออก ทั้งๆที่ทุกอย่างมันลงตัวหมดแล้วน่ะ” เทวัญเอ่ยถามเพื่อนเหมือนอยากหาคนปรับทุกข์

“ลองอีกแบบนี้คงถูกจับได้มั้ง” เทวัญตอบหน้าตาย

“หมายความว่าไง ถูกจับได้”

“ก็หมายความว่า คนรักเขาคงไม่อยากให้ไปเรียนต่อ แล้วนทก็คงตัดสินใจเองคนเดียว พออีกฝ่ายรู้เข้าก็เป็นอย่างที่เป็นนี่ไง”

“เฮ้ยๆให้มันน้อยๆหน่อย ถึงจะรักกันแต่ไอ้การกักขังไม่ให้พบเจอผู้คนแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอวะ”

“อันนี้มันก็แล้วแต่มุมมอง ใครมันจะไปเหมือนแกละ คนดีที่โลกลืม”
“ไอ้ต่อ!” เทวัญขึงตาใส่คนล้อเล่นไม่รู้จักเวล่ำเวลา แถมยังสาวไส้เขาออกมาอีก

“โอเคๆ แต่ว่าเป็นแบบนี้แล้วเจ้าเด็กยักษ์นั่นคงไม่ปล่อยให้เราได้คุยกับนทนทีแน่ๆ แล้วนายจะเอาไง ลุยเข้าไปมั้ย”

“ไม่ๆทำแบบนั้นนทอาจจะยิ่งลำบากกว่านี้ ลองให้คนตามดูพฤติกรรมซักพักแล้วค่อยคิดว่าจะเอาไง ส่วนเรื่องการผิดสัญญารับทุนของนทนทีบอกให้เจ้าหน้าที่เอาแฟ้มเรื่องนี้มาไว้ที่ฉัน ฉันจะจัดการเอง”

“ครับ...” ทวีปลังเลอยู่พัก ก่อนจะเอ่ยเตือนอย่างเพื่อนต่อเพื่อน “คิดดีแล้วเหรอที่เอาตัวเองเข้าไปแลกกับเรื่องผัวๆเมียๆแบบนี้ ทำไปมันอาจไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลยนะ เผลอๆตัวแกเองนั่นละที่จะเจ็บกว่าใครเพื่อน เมื่อก่อนฉันไม่คิดว่าแกจะจริงจังกับนทนทีขนาดนี้ถึงได้ปล่อยไปเรื่อยๆ แต่วันนี้ฉันอยากบอกกับแกให้ถอยออกมาหน่อยก็ดี ฉันไม่อยากเห็นแกผิดหวังอีก”

“ไอ้ต่อ...พอเลย ไม่ต้องพูด ฉันรู้ว่าฉันทำอะไรอยู่”

“เออ ถึงได้เตือนไง ไอ้ทำทั้งๆที่รู้ว่าเขาไม่คิดจะรักแกเนี่ย จะทำไปเพื่ออะไร จะไปไขว้คว้าไอ้สิ่งที่ล่องลอยทำไมกัน สู้หันกลับไปรักคนที่เขารักแกไม่ดีกว่าเหรอว่ะ”

“ใคร? ใครที่แกว่ารักฉัน มันอยู่ตรงไหนกันเหรอ” เทวัญสวนคำพูดยาวเหยียดของเพื่อนรักอย่างขวางๆ สิ่งที่จบไปแล้วเขาไม่ต้องการให้ใครมาขุดคุ้ย

อาการตาขวางของคนที่เป็นทั้งเจ้านายและเพื่อนรักทำให้ต้องถอนหายใจยาวด้วยตัดใจไม่พูดจะดีกว่า เดี๋ยวไฟจะลุกพาลมาติดเขาด้วย

“เออๆ เดี๋ยวเรื่องนทฉันจะตามให้ ได้เรื่องยังไงจะรีบบอก” ทวีปตัดบทแล้วจึงเดินออกไปทำหน้าที่เลขาหน้าห้องตามปกติ

เทวัญพยักหน้ารับแล้วจึงหลุบตามองพื้นห้อง บริเวณที่ตัวเองนั่งทำงานนิ่งเงียบ จนไม่ได้รู้สึกตัวว่าก่อนเลขาตัวเองจะเดินออกจากห้อง ได้หันหน้ากลับมามองชั่วอึดใจ ก่อนจะขมวดคิ้วย่นเพราะ

บริเวณที่ประธานใหญ่นั่งนั้น ถ้าเอาไม้บรรทัดไปขีดเป็นเส้นตรงในแนวดิ่งก็จะตรงกับเคาเตอร์ส่วนงานประชาสัมพันธ์ของบริษัทพอดิบพอดี

ที่ซึ่งมีคนๆหนึ่งยังรอคอยการให้อภัยอยู่นานแล้ว...


XXXXX


ใบหน้าบอกบุญไม่รับของนทนทีไม่ได้ทำให้กันย์รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจไปด้วยเลยแม้แต่น้อย เจ้าของใบหน้าเฉยชากลับตั้งหน้าตั้งตาสอนงานให้คนหน้าบึ้งอย่างไม่รู้สึกรู้สาที่เป็นสาเหตุให้ร่างโปร่งต้องมานั่งทำงานเป็นผู้ช่วยเลขา โต๊ะติดจนแทบจะเกยกันตามคำสั่งของประธานบริษัท ซึ่งก็คือปถวีนั่นเอง

“ฉันทำไม่ได้” นทนทีปฏิเสธเสียงแข็งเมื่อถูกสอนวิธีการจัดตารางนัดหมาย

“ลองอีกครั้งครับ ไม่เข้าใจตรงไหนผมจะได้อธิบายให้เข้าใจ” คุณเลขาผู้ช่ำชองพยายามใช้ความอดทนกับอาการแกล้งโง่บวกพาลของอีกฝ่ายตลอดหลายวันที่ผ่านมา

“ก็ทั้งหมดนั้นละ ฉันเป็นนิติกรนะ จะให้มาเป็นเลขา ฉันทำไม่ได้หรอก” นทนทีรวบแฟ้มตรงหน้าส่งคืนให้อีกฝ่ายอย่างหงุดหงิด

เขาถูกบังคับให้มาทำงานที่นี่ทั้งๆที่ยังไม่ได้ลาออกจากบริษัทเดิม อีกทั้งยังให้บอกมารดากับน้องสาวว่าเปลี่ยนงาน คนไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างมารดาและน้องสาวก็ดูจะดีใจที่พี่ชายมาทำงานกับครอบครัวของอนล ซึ่งกำลังจะเป็นทองแผ่นเดียวกัน ช่วงเวลาที่กลับบ้านไปเก็บของใช้ส่วนตัวนิดหน่อยนั้น มีปถวีคอยควบคุมไม่ให้เขาหลุดลอดไปจากสายตา ก็แน่ละ ถ้าเผลอเมื่อไรเขาก็ไปเมื่อนั้น เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ถึงได้ยึดแม้กระทั่งมือถือไม่ให้ติดต่อกับใคร แถมยังให้กันย์คอยตามประกบช่วงเวลาทำงาน พอเลิกงานเมื่อไรเจ้ายักษ์บ้าดีเดือดก็จะลากพากลับคอนโดกระดิกไปไหนไม่ได้เลย

เพราะตั้งแต่วันนั้นพวกเขาก็แทบไม่ได้พูดคุยกัน อย่างดีก็แค่ถามคำตอบคำ ทุกอย่างในหัวของเขามันว่างเปล่า รู้แต่ว่าไม่อยากอยู่ในสภาพนี้ เขายังมีสิ่งติดค้างกับเทวัญ ไม่รู้ว่าปานนี้ทางโน้นจะคิดกับเขายังไง ในเมื่อเขาหายไปเหมือนไม่รับผิดชอบในสิ่งที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว ร่างโปร่งพ่นลมหายใจยาวยืดให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความไม่พอใจกลายๆ

“คุณนทนที...” กันย์เรียกอีกฝ่ายเบาๆ “คุณน่ะทำได้ แต่คุณไม่คิดจะทำต่างหาก” คำพูดราบเรียบดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนทำให้อีกฝ่ายตวัดตามองอย่างขุ่นเคือง

“ก็นั่นสิ! ในเมื่อรู้อยู่แล้วทำไมถึงยังบังคับให้มาทำเล่า ให้ตายเถอะ นายนี่ทำให้เรื่องมันยุ่งจริงๆเลย” ร่างโปร่งกระแทกตัวกับเก้าอี้แรงๆพลางตั้งศอกขึ้นเท้าคางหันหน้าไปทางอื่น

กันย์มองอากัปกิริยาไม่รับฟังของอีกฝ่ายแล้วส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “ไม่หรอกครับ การไปโดยไม่พูดไม่จากันก่อนต่างหาก ที่จะทำให้เรื่องมันยุ่งจนถึงเวลาอยากแก้ไข ก็ทำไม่ได้แล้ว”

“ก่อนที่จะมาบอกฉัน นายไปบอกบอสนายก่อนดีมั้ย ว่าให้ฟังฉันบ้างน่ะ” เพราะอารมณ์หงุดหงิดเป็นทุนเดิม นทนทีจึงหันมาตวาดเอากับเลขาหนุ่มเสียงดัง จนผู้คนรอบข้างเริ่มหันมามอง

“แล้วคุณคิดแต่จะให้คนอื่นมาเข้าใจคุณฝ่ายเดียวงั้นเหรอครับ ลองลดทิฐิลงซักนิดสิครับ บางที่คุณอาจจะพบความสุขได้โดยที่คุณไม่ต้องขวนขวายเลยด้วยซ้ำ”

“หึ ...ฉันพยายามทำเพื่อเจ้านั่นมาแทบตาย แต่กลับถูกบอกว่ามันไม่มีความหมาย เขาไม่ต้องการ...
แล้วไอ้การนั่งนิ่งเป็นหุ่นให้เจ้านั่นจูงไปทางนั้นทีทางนี้ที มันจะมีความสุขขึ้นมาได้รึไง...นายกันย์!” นทนทีถลึงตาวาวโรจน์ ในขณะที่อีกฝ่ายยังยิ้มเย็น

“ความสุขมันหาไม่ยาก แต่มันจะยากถ้าเราตั้งข้อแม้ให้ตัวเองไว้สูงเกินไป”

“แต่ฉัน...” นทนทีพูดค้างไว้ด้วยคนในห้องใหญ่เดินทำหน้านิ่วคิ้วขมวดออกมา

“ทะเลาะอะไรกัน ดังไปถึงในห้องแล้ว” ปถวีเอ่ยเสียงเครียด กวาดตามองใบหน้าคนรักเชิงถาม หากสิ่งที่ได้รับกลับมาคือการหันหน้าหนีและหุบปากเงียบ ก่อนจะลุกขึ้นเดินหนี

“จะไปไหน” เสียงกร้าวดังไล่หลังไม่ทำให้คนหงุดหงิดหยุดเดิน หากแต่ตะโกนตอบกลับแบบไม่ยี่หระ

“ไปห้องน้ำ! จะตามไปมั้ย” น้ำเสียงเย้ยเยาะดังขึ้นทำให้ร่างสูงใหญ่ระบายลมหายใจอย่างอดกลั้น

“กันย์ ตามไป” สิ้นสุดคำสั่ง นทนทีก็หันขวับมองคนรักด้วยดวงตาขึงโกรธก่อนจะสะบัดหน้าเดินจ้ำเอาๆ โดยไม่ได้นึกเฉลียวใจเลยว่า ที่ๆตัวเองนั่งอยู่นั้น เคยมีใครนั่งมาก่อน และตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนเสียแล้ว

ปถวีมองคนรักเดินหายลับไปกับมุมห้อง พร้อมกับเลขาเดินตามไปติดๆ แล้วจึงหันหลังกลับเข้าไปในห้อง เมื่อประตูปิดสนิทไหล่กว้างมั่งคงกลับอาศัยประตูเป็นที่พักพิง สายตาคู่คมกร้าวปิดสนิทลงและยกหมัดขึ้นตีหน้าผากตัวเองหนักๆ

รู้ทั้งรู้ว่าทำแบบนี้แล้วผลมันจะเป็นยังไง แต่เพราะไม่สามารถปล่อยให้ไปได้ถึงต้องทำ...


XXXXX


“ขอโทรศัพท์” นทนทีเอ่ยขอเจ้าของห้องเสียงห้วนในเช้าของวันหยุดสุดสัปดาห์ ด้วยโทรศัพท์ในห้องถูกเจ้ายักษ์บ้าถอดสายออกจนหมด เหลืออยู่ก็แค่โทรศัพท์มือถือเครื่องเดียวที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง ที่เจ้าตัวเดินพกติดตัวไปไหนมาไหนด้วยตลอด

“จะโทรไปไหน” ปถวีเงยหน้าถามขณะชงกาแฟ

“ฉันต้องบอกนายทุกเรื่องรึไง ขอเวลาส่วนตัวให้ฉันบ้างได้มั้ย” ร่างโปร่งนั่งหน้าบึ้งอยู่หน้าโทรทัศน์ที่เปิดไว้เพียงแค่ฆ่าเวลา

“ก็ถ้านายเลิกคิดไปเรียนต่อก็นะ” มือใหญ่กระแทกถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะจนน้ำสีเข้มในถ้วยกระชอกล้นออกมาเปื้อนพื้น

“ไม่! ฉันจะไป” ร่างโปร่งเอ่ยโดยไม่หันไปมองคนข้างหลังที่เดินลงส้นตึงๆมาหา ศีรษะเล็กถูกมือใหญ่จับบิดขึ้นให้เงยหน้า

“นท ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้คิดอะไรกับน้องอร เขาเป็นเพื่อนที่เข้าใจอะไรได้ง่าย ง่ายกว่านายด้วยซ้ำ แล้วนายจะไปเพื่อพิสูจน์อะไรกันหึ ในเมื่อเขากับฉันไม่ได้คิดอะไรกัน”

“ปถวี...” นทนทีรู้สึกถึงความแสบร้อนในโพรงจมูก คำพูดที่ฟังดูเหมือนคำอธิบาย แต่กลับทิ่มแทงให้เขารู้สึกด้อยเสียจนไม่อาจสบตากับร่างสูงต่อไปได้ จึงจงใจตอบอีกฝ่ายเสียงเบา เพราะเขารู้สึกเจ็บจนแทบจะหมดแรงใจอยู่แล้ว

“ฉันจะโทรไปถามแม่ว่าจะทานอะไรมั้ย กลางวันนี้ฉันอยากกลับบ้าน”

ร่างสูงมองปฏิกิริยาของคนรักนิ่ง ก่อนจะยื่นโทรศัพท์ให้โดยไม่พูดไม่จา พลางทรุดตัวนั่งลงข้างๆเป็นการกำกับไปในตัว

ปถวีพานทนทีมาถึงบ้านสวนใกล้เที่ยง หากแต่ร่างสูงใหญ่ที่เดินออกมาต้อนรับทำให้นทนทีฉีกยิ้มกว้าง

ประวิช! ร่างโปร่งแทบจะกระโดดลงจากรถถ้าไม่ถูกมือใหญ่ฉุดรั้งไว้ก่อน

“อะไร?”

“ถ้านายอยากจะลากเจ้านั่นให้เข้ามาช่วย ก็เชิญเลย แต่ฉันไม่รับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นนะ” ร่างสูงโน้มตัวเข้าไปประซิบขู่ จนศีรษะทุยต้องสะบัดกลับมามองด้วยสายตาแวววาว

“นายมันบ้า...”

“แล้วมันเพราะใคร!”

ไม่มีคำตอบจะร่างโปร่งที่พยายามสะบัดตัวจนหลุดจากการจับกุมของอีกฝ่ายแล้วรีบลงจากรถตรงดิ่งไปหาประวิช

“ไม่รู้เลยว่านายจะมาหาวันนี้” นทนทีฉีกยิ้มกว้างให้เพื่อนสนิท

“ก็เล่นปิดโทรศัพท์ตลอดเลยนี่” ประวิชเอ่ยค่อนขอด

“เออ...โทรศัพท์มันเสียน่ะ” ตอบแบบขายผ้าเอาหน้ารอดเสร็จ นทนทีจึงเดินนำประวิชไปยังเก้าอี้ใต้ต้นมะม่วงข้างบ้าน โดยไม่เหลียวแลร่างสูงที่เดินเข้าบ้านไปร่วมวงสนทนากับน้องสาวซึ่งนั่งเรียงละมุดใส่กระจาดอยู่กับมารดา
ประวิชชายตามองปถวีแล้วจึงเลื่อนสายตากลับมาหานทนทีอีกครั้ง

“เพิ่งรู้ว่านายเปลี่ยนงานแล้วไปอยู่กับเจ้าวีมัน”

“ก็...ก็นะ คงแค่ช่วงนี้เท่านั้นละ” อาการกลบเกลื่อนของร่างโปร่งคงไม่มิดถึงทำให้เพื่อนสนิทขมวดคิ้วสงสัย

“มีอะไรกันรึเปล่านท”

ริมฝีปากบางยิ้มรับอ่อนระโหยด้วยปิดอะไรเพื่อนคนนี้ไม่ได้เลย ก่อนจะถอนหายใจยาวไม่รู้จะพูดอะไรออกมาถึงจะดี เพราะขืนเล่าไปก็จะเป็นการลากเพื่อนเข้ามารับรู้ปัญหา และก็ไม่รู้ว่ายักษ์สองตนนี้จะทำให้แผ่นดินรอบๆตัวเขาสะเทือนขนาดไหนด้วย

“นิดหน่อยนะ คนคบกันนี่” นทนทีเลี่ยงตอบ พลางทอดสายตามองสีเขียวของใบไม้ใบหญ้าอย่างครุ่นคิด จนเพื่อนตัวโตโน้มกายเข้ามาถามอย่างเอื้ออาทร ทั้งๆที่ตัวเองก็ยังจะเอาตัวไม่รอด

“อยากให้ฉันช่วยอะไรมั้ย” ประวิชทอดเสียงอ่อน

ศีรษะเล็กส่ายปฏิเสธช้าๆ “ปัญหาของตัวเองก็คงต้องแก้ด้วยตัวเอง ยิ่งลากใครเข้ามาเท่าไรก็ยิ่งจะแก้ยากขึ้นเท่านั้น ฉันคิดแบบนี้นะ ไม่รู้ว่านายจะโกรธฉันรึเปล่า”

ประวิชส่ายหน้าให้นึกสะท้อนใจ ก่อนจะก้มศีรษะมองตักตัวเองอย่างอ่อนล้า

“ฉันจะว่าอะไรได้ล่ะ ในเมื่อนายเลือกแล้วนี่ แต่ก็ดีนะ ที่นายรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร จะทำอะไรต่อไป” คำพูดปลงตกของประวิช ทำให้ร่างโปร่งดึงสายตากลับมาเพ่งพินิจมองเพื่อนตัวโต

“นายไม่รู้เหรอ?” นทนทีเว้นระยะชั่งใจมองคนตรงหน้า “นายยังคิดถึงไผ่อยู่เหรอ”

ร่างสูงใหญ่ไม่ตอบแต่กลับยกคอตกๆของตัวเองขึ้นเหม่อมองความว่างเปล่าตรงหน้า

อีกครั้ง ขอเจอแค่อีกครั้ง ขอให้ได้เห็นหน้าขาวๆนั้นอีกครั้ง เขาจะได้มั่นใจในความรู้สึกของตัวเอง ว่าจะอยู่หรือ...ไปกันแน่

คำถามในดวงตาคู่อ่อนโยนทำให้ประวิชหัวเราะลงคอขื่นๆ

“จริงๆแล้วฉันกลัวนะ กลัวว่าชีวิตนี้จะไม่ได้เจอเจ้านั่นอีก กลัวว่าเจ้านั่นจะไม่อยากเห็นหน้าฉัน แต่ฉันก็อยากเจอ ทั้งๆที่ยังกล้าๆกลัวๆแบบนี้”

“กล้าๆกลัวๆ...อะไร? นายกำลังคิดอะไรอยู่วิช”

“ฉันคิดไปสารพัด แต่สุดท้ายฉันก็ไม่แน่ใจว่าที่ฉันทรมานทุกวันนี้ เป็นเพราะฉันรักงั้นเหรอ? หรือเพราะแค่สิ่งที่คุ้นเคยหายไป”

“ประวิช” นทนทีคราง มองใบหน้าอันสับสนวุ่นวายของเพื่อนแล้วต้องทอดถอนใจ

การจากกันแบบนี้มันดีแล้วเหรอ...จากกันทั้งๆที่ยังรักยังห่วง จากกันทั้งๆที่ยังไม่ได้ล่ำลา แล้วชีวิตที่จะเดินต่อไปมันจะมีความสุขได้จริงๆน่ะเหรอ ในเมื่อยังมีสิ่งติดค้างอยู่ในใจ

นทนทีมองประวิชอย่างชั่งใจ ณ วันนี้เพื่อนตัวโตของเขามีสีหน้าอมทุกข์ มองไปตรงไหนของใบหน้าก็รู้สึกได้ถึงความโดดเดี่ยว เงียบเหงาจนน่าใจหาย แล้วควรแล้วหรือที่จะให้เพื่อนเป็นแบบนี้ไปตลอด ทางชีวิตของใคร ใครคนนั้นก็อยากเลือกเองทั้งนั้น แม้แต่เขาเองก็ตาม แล้วเขามีสิทธิ์อะไรไปปิดบัง เพราะอยากช่วยเหรอ... มันช่วยได้จริงๆงั้นเหรอ ใครจะให้คำตอบได้ละว่าสิ่งที่เขาทำในตอนนี้มันดีที่สุดแล้วสำหรับเพื่อน

ให้เขาได้ตัดสินใจกันเองดีกว่ามั้ยนทนที...ร่างโปร่งบอกกับตัวเองแล้วจึงพรางพรูลมหายใจยาว

“ประวิช เราถามอะไรหน่อยสิ”

“อืม”

“ไผ่มันชอบกินอะไร”

ร่างสูงใหญ่มองเพื่อนด้วยแปลกใจ แต่ก็ยอมตอบพลางยกยิ้มแยกเขี้ยว “ถ้าแบบดีดดิ้นจะกินให้ได้ก็ส้มโอสวนนายนี่ไง มาแล้วไม่ยอมเอาไปฝากมันเป็นได้ชักดิ้นชักงอ”

นทนทียิ้มรับแล้วจึงลุกขึ้นเดินเข้าไปในบ้านผ่านร่างสูงของปถวีที่ลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้อย่างใคร่รู้ ก่อนจะเดินไปยืนพิงกรอบประตูมองร่างโปร่งหยิบผลส้มโอ้ลูกโตพร้อมกับเขียนอะไรหยุกหยิกลงในกระดาษ เสร็จแล้วจึงอุ้มผลส้มโอเดินสวนออกไป

V
V
V

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
“ทำอะไรน่ะ”

“เปล่า” นทนทีตอบเสียงเขียว

“ก็เห็นเขียนอะไรอยู่”

“ไม่รู้ซักเรื่องจะได้มั้ย!”

“อย่าคิดว่าเจ้านั่นมันจะช่วยนายได้นะ” ปถวีขยับเท้าขวางประตูกันอีกฝ่ายออกไปกลายๆ
“หลบ! คิดเป็นแต่เรื่องเดียวรึไง” ตอบพลางกระแทกไหล่เข้าใส่ร่างหนาจนผงะถอยหลังแล้วรีบเดินกลับไปหาประวิชที่นั่งคอยอยู่

“อะ...ฝากเอาไปให้ด้วยนะ” ประวิชมองส้มโอในอุ้งมือเล็กส่งยื่นมาให้อย่างงงๆ

“อะ...อะไร? ให้ฉันเหรอ” ดวงตาคู่อ่อนล้าเบิกกว้างก่อนจะยื่นมือใหญ่สากรับผลส้มโอ สัมผัสแห้งกรอบผิดไปจากผิวส้มโอทำให้คิ้วเข้มขมวด แล้วจึงพลิกขึ้นดูสิ่งที่อยู่ภายใต้

กระดาษสีขาวแผ่นเล็กๆปรากฏในอุ้งมือ ตัวหนังสือเรียงกันเป็นระเบียบทำให้ต้องยกขึ้นมาอ่าน

“58 ชะอำบีชรีสอร์ท จังหวัดเพชรบุรี” ประวิชทวนข้อความในเศษกระดาษหลังจากรับมาจากเพื่อนตัวเล็ก

“ทำไมเหรอนท?” คนแปลกใจเงยหน้ามองร่างโปร่ง หากแต่ในแววตาที่มองมานั้นกลับฉายแววอาทรอย่างไม่ปิดบัง

“ไผ่อยู่ที่นี่”

“หะ...ห๋า!” เสียงตกใจพร้อมกับผลส้มโอในมือใหญ่หลุดลงไปกลิ้งบนพื้น แต่เจ้าตัวไม่คิดจะใส่ใจแม้แต่น้อยด้วยคำพูดของเพื่อนตรงหน้า

“รู้ได้ไง ไผ่โทรมาเหรอ” น้ำเสียงเบาหวิวเอ่ยถาม หากแต่หัวใจในอกกลับเต้นถี่เร็ว

“เปล่า...ไผ่ไม่ได้โทรมาเลย” นทนทีเงียบไปชั่วอึดใจแล้วจึงพูดต่อ “ขอโทษนะ แต่ฉันรู้ว่าไผ่อยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว”

“...นท!” ใบหน้าแดงก่ำส่ายไปมา “ทำไม” ริมฝีปากได้รูปเม้นเข้าหากันแน่น

“ส่วนหนึ่งเพราะอยากให้นายได้มีเวลาคิด ว่าตัวเองอยากให้เรื่องนี้จบลงแบบไหนกันแน่ และอีกอย่างคือไผ่ขอไว้”

“นท!...ไผ่มันขอไว้ แล้วฉันละ ฉันเฝ้าโทรมาถาม ฉันเฝ้าคอย แล้วนายไม่คิดจะนึกถึงฉันเลยรึไง ถึงได้ส่งเจ้านั่นไป”

นทนทีระบายลมหายใจหนักๆกับอาการโมโหของร่างสูงที่แม้แต่เขาเองก็เพิ่งเคยเห็น “ฉันมารู้เมื่อไผ่มันไปแล้ววิช”

“หมายความว่าไง”

“วิช ไผ่มันเสียใจนะ เข้าใจมันหน่อย วีเลยส่งไผ่ไปทำงานอยู่ที่นั่น ดีกว่าจะให้ไปอยู่ในที่ๆไม่รู้จัก โดยแลกกับคำขอร้องของไผ่เองที่ไม่อยากให้นายรู้น่ะ”

“อะไรนะ! นี่พวกนาย...พวกนายรู้กันมาตลอดเลยนี่!” ประวิชลุกพรวดขึ้นมองเพื่อนตัวเล็ก

“ขอ...ขอโทษ แต่อย่างที่บอกไปแล้ว” นทนทีเงยหน้ามองอีกฝ่าย

“แล้วทำไมถึงคิดจะบอกขึ้นมาล่ะ” ร่างสูงใหญ่โมโหจนหน้าดำหน้าแดง เพราะแม้แต่เพื่อนที่เขาไว้ใจกลับไม่เข้าข้างกันเลย และเพราะเสียงที่เริ่มดังทำให้ปถวีชะโงกหน้ามาเมียงมองก่อนจะสาวเท้าเดินเข้ามาหา

“ฉันคิดว่าฉันควรให้นายได้ตัดสินใจเลือกเอง เพราะถ้าจะเกิดอะไรขึ้น นั่นคือสิ่งที่นายเลือกไม่ใช่ฉันหรือคนอื่นเลือกให้ แล้วก็...ความรู้สึกดีๆที่พวกนายมีให้กันมันไม่น่าจะต้องจบแบบนี้ ฉันคิดแบบนี้นะ”

“นาย...ให้ตายเถอะ นาย...พวกนาย ทำกับฉันแบบนี้ได้ไง! เห็นฉันเป็นแบบนี้แล้วไม่รู้สึกอะไรเลยรึไง” เสียงระเบิดอารมณ์พร้อมกับการสาวเท้าเข้าหาเพื่อนสนิทของประวิช ทำให้ปถวีที่กำลังเดินเข้ามาหาขมวดคิ้วยุ่งพลางรีบจ้ำเดิน ด้วยประวิชที่เคยเป็นคนสุขุมปากหนัก แต่ในเวลานี้กลับเปลี่ยนไปยังกับหน้ามือเป็นหลังมือ

“ฉันโกรธจริงๆนะคราวนี้”

“ฉันรู้...” นทนทียอมรับคำต่อว่าของเพื่อนแต่โดยดี ก่อนจะยิ้มเศร้าๆให้ร่างสูงที่เข้ามายืนประชิด

“พวกนาย!”

ประวิชหันขวับมองต้นเสียง ดวงตาแดงก่ำวาวโรจน์เมื่อเห็นปถวีเดินมาหา

“แก...” ร่างสูงใหญ่ของประวิชเดินปรี่เข้าไปหา พอได้ระยะก็ปล่อยหมัดขวาเข้าใบหน้าคมคายทันที

“เฮ้ย!” ปถวีอุทาน ก่อนจะเบี่ยงหลบด้วยเป็นนักกีฬาเก่า ทำให้ได้รอยฟกช้ำน้อยกว่าที่คนต่อยตั้งใจ แต่ร่างสูงก็เซจนล้มไปนั่งจ้ำเบ้ากับพื้นดินแข็ง แล้วจึงเงยมองคนประทุษร้ายอย่างงงๆแกมโมโห

“อะไรกันวะ! แกต่อยฉันอีกแล้วนะไอ้วิช”

“ฉันถามแกแล้วนะ แต่แกโกหก แกเอาไอ้ไผ่ไปซ่อน แก...โธ่โว๊ย” ประวิชขยี้ศีรษะตัวเองแรงๆ แล้วจึงสาวเท้าเข้าหาคนที่กำลังลุกยืนลูบหัวคิ้วตัวเองไปมา

“แล้วไง ก็แกมันห่วยแตกถึงต้องเจอแบบนี้ไง เจ้าบื้อ!”

“อะไรนะ!” ร่างสูงใหญ่เดินตรงไปจะกระชากคอเสื้อ ซึ่งอีกฝ่ายก็ตั้งท่าพร้อมรับไว้เรียบร้อย หากแต่
นทนทีเข้ามาฉุกกระชากเพื่อนสนิทออกไปเสียก่อน ปถวีจึงทำได้แต่เพียงยืนจังก้ารอ

“ประวิช! อย่าทะเลาะกัน ขอร้องละ”

ปถวีมองคนรักยื้อยุดเพื่อนสนิทพลางเบ้ปากอย่างไม่พอใจ

“หึ! ถ้ามีเวลามาหาเรื่องกับฉันได้ละก็ แกเอาเวลาที่ยังพอมีไปหาไอ้ไผ่ดีกว่ามั้ย จากกรุงเทพไปเพชรบุรีก็ประมาณ 2 ชั่วโมง ไอ้ไผ่มันจะเก็บของหนีนายทันมั้ยเนี่ย” พูดจบปถวีก็ล้วงคว้าโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมากดๆ ทำให้คนที่ยืนมองอยู่ทั้งสองคนตาค้าง

“วี!” นทนทีอุทานพลางถลึงตามองคนพูด

“ไอ้บ้านี่” ประวิชกระชากแขนออกจากการเกาะกุมของนทนที แต่อีกฝ่ายก็ยึดไว้หนึบจนแทบจะกลายร่างเป็นตุ๊กแกได้

“วิช! ฉันว่านายรีบไปหาไผ่ก่อนเถอะ ถ้าพลาดวันนี้ฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว รีบไปตอนนี้ยังทันนะ!” นทนทีหลับหูหลับตากอดแขนอีกฝ่ายแน่น ในขณะที่ปถวียืนเลิกคิ้วกวนประสาทอยู่ไม่ห่าง

ประวิชขบเม้นริมฝีปากมองคนยืนกวนประสาท แล้วจึงหันกลับมามองคนข้างตัว พลางก้มหน้าสะบัดศีรษะอย่างขัดใจ เขายังต้องรีบไปลากตัวคนเอาแต่ใจมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน

สายตาเครียดขึงส่งสาดให้เพื่อนตัวโตอย่างหมายมาด

ฝากไว้ก่อนแล้วฉันจะกลับมาชำระให้หมดเลย

“นทปล่อย...” ประวิชแกะมือเล็กออกเบาๆ

เห็นท่าทีที่สงบลงของเพื่อน นทนทีจึงระบายลมหายใจยาวแล้วยอมคลายการยึดจับ ก่อนจะหันไปหาคนพาลที่ยืนมองมาด้วยอาการไม่สะทกสะท้าน

“เลิกยั่วโมโหซะที แล้วก็เก็บโทรศัพท์ด้วยวี!” ร่างโปร่งบางร้องบอกเสียงดัง แต่อีกฝ่ายกลับยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ พร้อมกลับหันไปยิ้มให้ประวิชพลางชูสองนิ้วแล้วกระดิกท้าทาย

“บ้าชิบ!” ประวิชสบถ แต่กลับหันหลังวิ่งไปยังรถยนต์ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปประจำที่นั่งคนขับ ร่างสูงตวัดสายตาอาฆาตฝากฝั่งไว้บนหน้าปถวีแบบเต็มๆ แล้วจึงสตาร์ทรถขับจากไป ทิ้งให้นทนทีถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่ได้ทะเลาะกันไปมากกว่านี้

ภาพรถยนต์จากไปจนลับตา ปถวีจึงลดโทรศัพท์ลงแล้วสาวเท้าเข้าหานทนที

“ไปบอกมันทำไม”

“เพราะเขาควรมีสิทธิ์ได้เลือกทางชีวิตของเขาเองไงละ”

“เหมือนนายนะเหรอ” ปถวีมองร่างเล็กนิ่งเงียบพลางเม้นปากแน่น “เห็นแก่ตัว!” บริภาษคนตาสลดเสร็จ ร่างสูงก็เดินหนีเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้คนที่ยังยืนอยู่ที่เดิมมองกลุ่มฝุ่นละออง อันเกิดจากเพื่อนตัวโตทำไว้ตอนกระชากรถออกนิ่งเงียบ หากแต่ในดวงตาคู่อ่อนโยนนั้นกลับคลอขังด้วยหยาดน้ำ

เขาควรจะทำยังไงดี...ทุกอย่างมันพันกันจนยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว
V
V
V

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
ตอนที่ 18

“พี่ไผ่...มาเร็ว น้ำเย็นนะค่ะ” น้องพลอยโบกมือไหวๆอยู่ในน้ำพร้อมกับกลุ่มเพื่อนอีกห้าหกคน

ไผ่ยิ้มรับคำชวนของเด็กหญิงตัวน้อย หากแต่ส่ายหน้าช้าๆแทนคำตอบ แดดเปรี้ยงขนาดนี้แต่เด็กๆก็ยังลงไปดำผุดดำว่ายกันสนุกสนานไปตามวัย แต่เขาคงต้องขอผ่าน ขอนั่งๆนอนๆใต้ร่มไม้แบบนี้ดีกว่า อีกอย่างขืนลงไปเล่นให้แดดมันเผาเนื้อตัวเมื่อไรเป็นได้ถูกบ่นจนหูแฉะแน่ๆ

“...!” ใบหน้าขาวอมชมพูสลดลงเมื่อคิดได้ว่า คนๆนั้นไม่มีอีกแล้ว นิ้วเรียวยกขึ้นเสยผมที่ลงมาปิดตาจากแรงลมอย่างลวกๆ ก่อนจะหันหน้าไปตามแนวหาดทรายที่ทอดยาวเลยสถานที่ทำงานของเขาออกไปจนสุดลูกหูลูกตา

ด้วยหาดทรายขาวสะอาด น้ำใสจนมองเห็นเม็ดทรายใต้พื้นน้ำ และไม่ไกลจากกรุงเทพมาก ทำให้โรงแรมรีสอร์ทแถวนี้คับคั่งไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งหัวดำหัวแดงกระจายอยู่ทั่วหาด ไม่ต่างอะไรกับชายทะเลทางใต้มากนัก

สายตาคู่กลมรีหรี่มองกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศกลุ่มใหญ่สะดุดตาเดินย่ำทรายย่ำน้ำทะเลตรงมาทางเขา แต่ก็ยังอยู่ในระยะไกล มองผ่านๆยังกะฝูงช้าง ก็เล่นใส่เสื้อสีดำๆทึบๆกันทั้งนั้น

ร่างโปร่งหันกลับไปมองกลุ่มเด็กๆที่ยังส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวในทะเล แล้วยกมือขึ้นป้องปากตะโกนฝ่าเสียงคลื่น

“กลับกันเถอะน้องพลอย เล่นนานไปแล้วเดี๋ยวจะไม่สบาย”

กลุ่มเด็กๆดูจะรู้หน้าที่ดีต่างพากันขึ้นมาจากน้ำ เดินหัวเราะกันคิกคักเข้ามาหาร่างโปร่งที่ยืนยิ้มรอรับ

“กลับบ้านกันดีๆนะ พรุ่งนี้วันอาทิตย์ใครทำการบ้านไม่เสร็จต้องทำให้เสร็จนะ ถ้าทำไม่ได้ไปหาน้าไผ่ที่บ้านนะ น้าไผ่จะสอนให้” ไผ่ยืนส่งพวกเด็กๆจนหายลับไปกับชายหาดแล้วจึงหันกลับไปมองสถานที่ทำงาน ด้วยพอไม่มีพวกเด็กๆเขาก็จะว่าง แต่เขาไม่อยากว่าง จึงคิดเดินกลับไปดูงานซะหน่อยก่อนที่จะเย็น

ไผ่เดินตรงไปยังนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ ด้วยระยะที่ใกล้กันจนเห็นว่าใครเป็นใคร ทำให้คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ เพราะหนึ่งในนั้นคือพนักงานที่โรงแรม

“มาทำอะไร” ริมฝีปากแดงสดพึมพำ เมื่ออีกฝ่ายสังเกตเห็นตนแล้วโบกมือไหวๆทักทาย

หากแต่คนที่เดินตามมาข้างๆพนักงาน หลังฝรั่งตัวโตเดินหลบลงทะเลไปทำให้ร่างโปร่งสะดุ้งเฮือก

“วะ...วิช!” เสียงอุทานดังลอดออกมาจากปาก หลังจากคนที่ตัวเองพึ่งจะนึกถึงจับโฟกัสตัวเขาได้พอดี

“...มะ...มาได้ไงเนี่ย” ไม่ต้องให้สมองสั่งการ เท้าเล็กๆก็รีบวิ่งพาตัวเองไปให้พ้นจากหน้าคนที่ทำให้ต้องเจ็บ! ต้องเสียใจ!

ประวิชหยุดชะงักเบิกตากว้างมองร่างโปร่งบางวิ่งหนีไปด้วยอาการหน้าตาตื่น ใจที่เต้นระทึกฟูพองคับอกเพียงได้เห็นเสี้ยวหน้าขาวเมื่อครู่ กลับแห้งเหี่ยวลงฉับพลัน ก่อนจะสาวเท้าวิ่งตามอย่างไม่คิดชีวิต

“ไผ่!...” ร่างสูงใหญ่ร้องตะโกนเรียกอย่างไม่อายคนรอบข้าง

พนักงานโรงแรมมองตามร่างสูงใหญ่วิ่งไล่กวดเจ้าหน้าที่คนใหม่อย่างเอาเป็นเอาตายพลางเกาหัวแกรกๆ

“หนีหนี้กันรึเปล่าฟะ” หนุ่มพนักงานโรงแรมร่างเล็กพึมพำด้วยสงสัยในอากัปกิริยาของคนทั้งคู่ แต่เพราะมีงานรออยู่ท่วมหัวด้วยเป็นช่วงฤดูการท่องเที่ยว พูดง่ายๆคือช่วงกอบโกยทิปจากลูกค้า จึงหันหลังเดินกลับก่อนจะหันกลับมาดูเป็นระยะๆ แม้จะไม่เหลือเงาของคนทั้งคู่แล้วก็ตาม มือเล็กล้วงลงในกระเป๋ากางเกงดึงธนบัตรใบละพันที่เพิ่งจะได้มาสดๆร้อนๆขึ้นมามองพลางอมยิ้ม

“วันนี้โชคดีแฮะ”


XXXXX


เส้นผมยาวระต้นคอปลิวกระจายปิดใบหน้า เมื่อเจ้าตัวพยายามเอี้ยวมองร่างสูงใหญ่ที่วิ่งไล่ตามมาจนแทบจะเอื้อมมือถึงอยู่แล้ว หัวใจดวงน้อยเต้นถี่แรงด้วยความกลัว กลัวที่จะเผชิญหน้ากับคนๆนี้อีก กลัวว่าใจดวงนี้จะไม่สามารถรับความผิดหวังได้อีกแล้ว

“ไผ่...ไอ้ไผ่หยุด จะหนีฉันทำไม” ประวิชตะโกนแข่งกับลมที่มาปะทะใบหน้า แผ่นหลังเล็กบางที่ห่างเพียงช่วงแขนแต่ไม่สามารถคว้าไว้ได้ยิ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิด

“อย่างคิดว่าจะหนีพ้นนะ จับได้ละน่าดู หยุดสิ!” เสียงสั่งดังก้องไปทั่วบริเวณแต่ไม่ทำให้ร่างเล็กข้างหน้าหยุดฝีเท้าลง หากกลับรีบวิ่งตรงไปยังบ้านพักของตน ยิ่งเป็นการบั่นทอนต่อมความอดทนของร่างสูงใหญ่ให้เหลือน้อยลงทุกที

“ไผ่...ฉันอยากคุยกับนายนะ หยุดก่อนสิ ฉันอยากคุย ได้ยินมั้ย!”

เสียงตะโกนหอบหนักๆดังไล่หลัง ขณะที่สองตามองเห็นบ้านพักตัวเองอยู่ไม่ไกล ร่างเล็กจึงวิ่งห้อเต็มเหยียด ทิ้งให้คนอยู่เบื้องหลังอึ้งมอง

“บ้าชะมัด! ปกติขี้เกียจออกกำลังแท้ๆ” ร่างสูงพึมพำขณะที่อีกฝ่ายถึงประตู พลางไขกุญแจเข้าบ้านด้วยความรวดเร็ว

ร่างเล็กกำลังจะลับหายไปพร้อมกับประตูที่กำลังจะปิดลง แขนยาวรีบเอื้อมไปสอดขวางทางจนกระแทกกับบานประตูโครมใหญ่

“อุ๊ก! ไผ่” ความเจ็บแปลบไม่ทำให้แขนแข็งแรงชักกลับ หากแต่ดึงดันจะแทรกตัวเข้าไปโดยที่อีกฝ่ายก็ยึดดันลูกปิดประตูอีกฝั่งไว้เต็มที

“ไผ่...เปิด...คุยกันก่อน อย่าทำแบบนี้”

“ไม่!ฉันไม่อยากคุยกับนาย กลับไปซะวิช” ร่างเล็กกัดฟันผลักดันประตูปิดเท่าที่แรงจะมี

ให้ตายเถอะ...ทำไมแรงเยอะนักวะ ประวิชนึกพลางนิ่วหน้าออกแรงดึงประตู เมื่อก่อนมีแต่ตามต้อยๆ แต่มาตอนนี้กลับผลักไสกันซะงั้น ทั้งๆที่ไม่เคยดูดายเรื่องของเขาเลยสักครั้ง สักครั้งเดียว...

อะไรบางอย่างแล่นปราดเข้ามาในหัวก่อนที่เจ้าตัวจะลงมือทดลองทำ เพื่อลองใจคนปากแข็งอีกฝากหนึ่งของประตู

ดูสิว่า มันหมดใจกันแล้วจริงๆหรือ

“โอ๊ยไผ่!...” เสียงร้องดังลั่นของร่างสูงทำให้คนที่กำลังผลัดดันชะงัก ก่อนจะผ่อนแรงลงให้อีกฝ่ายกระแทกประตู และแทรกกายเข้ามาภายในได้สำเร็จ

“นาย...นายเป็นอะไร” ร่างเล็กผงะถอยหลังมองอีกฝ่ายเต็มตา แม้จะเคยรู้สึกเจ็บช้ำกับคนๆนี้ แต่ความห่วงใยที่มีมันไม่เคยลบเลือน ดวงตาแข็งกร้าวจึงไหววูบให้คนที่เข้ามาใหม่สังเกตเห็น และได้รู้สึกถึงหัวใจตัวเองพองโตจนคับอกอีกครั้ง

ประวิชไม่ตอบคำถาม หากแต่สาวเท้าเข้าประชิดร่างเล็ก ริมฝีปากบางสีสดเม้นเข้าหากันแน่นเมื่อรู้ว่าถูกอีกฝ่ายหลอกลองใจให้เข้าแล้ว ขาเพรียวยาวจึงรีบพาตัวเองไปให้พ้นจากร่างสูงใหญ่ที่ยืนผงาดค้ำศีรษะอยู่ไม่ห่าง

“จะไปไหนอีกเล่า” ขาแข็งแรงกระโดดทีเดียวปิดทางหนีทีไล่ของอีกฝ่ายหมดสิ้น ร่างเล็กกว่าถอยหลังพลางจ้องตาอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยอย่างขลาดๆ

“นายรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นี่” ไผ่ถามเสียงสั่น หากแต่อีกฝ่ายไม่ตอบคำถาม

“ฉันอยากคุยด้วย”

“คุยอะไร...ก็คุยกันรู้เรื่องแล้วนี่” ฟันขาวเรียงเป็นระเบียบขบกัดริมฝีปากตัวเองจนแดงช้ำ

“นายเลือกแล้ววิช...เพราะฉะนั้นฉันไม่มีอะไรจะพูดกับนายอีก” ศีรษะเล็กส่ายไปมา

“ไม่...รู้เรื่องที่ไหน นายหนีมาแบบนี้”

“แล้วจะอยู่ให้นายตั้งแง่รังเกียจฉันรึไง!” ไผ่ตะโกนใส่แล้วจึงสะบัดหน้าไปทางอื่น

ประวิชมองใบหน้าขาวตัดกับดวงตาแดงก่ำแล้วต้องส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่ ฉันไม่เคยแม้แต่จะคิด” ร่างสูงกลืนก้อนแข็งๆลงคอ มองอีกฝ่ายก้มหน้าก้มตาไปยอมมองกันตรงๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงลำแขนเรียวที่ดื้อดึงไม่ยอมไปตามการชักจูง จนต้องออกแรงรวบร่างเล็กไปนั่งแปะที่โซฟาตัวใหญ่กลางห้องรับแขกเล็กๆ

“ไผ่หันมาทางนี้...คุยกันดีๆ” มือใหญ่เอื้อมจับศีรษะเล็กให้หันกลับมามองแต่ถูกปัดอย่างไม่พอใจ จนต้องถอนหายใจกับอาการพาลไม่ฟังเสียง แต่ก็อมยิ้มให้กับตัวเองในที่สุด

หายไปนานแต่นิสัยเอาแต่ใจแบบนี้ไม่ได้หายไปไหนเลยจริงๆ

“ฉันขอโทษ ที่พูดอะไรไม่คิดถึงใจนายเลย...ที่ผ่านมา” ประวิชประสานมือบนเข่าพลางก้มศีรษะมองการเขี่ยนิ้วไปมาของตนอย่างใช้ความคิด

“นาย...” ร่างสูงเอ่ยค้างไว้เท่านั้น แล้วจึงเงยหน้ามองเส้นผมสลวยด้านหลังของอีกฝ่ายนิ่ง

เขาทุกข์ใจเพราะไม่เห็น ไม่พบ ไม่เจออีกฝ่าย

เขาร้อนรน อิจฉาเมื่อเห็นอีกฝ่ายใกล้ชิดกับคนอื่น

เขาห่วงใยเมื่อยามร่างเล็กๆนั้นเจ็บไข้ และทั้งหมดนี้เขาไม่อยากให้เพียงเป็นแค่อดีต...

“อย่าหายไปอีกได้มั้ย” ประวิชเอ่ยเสียงอ่อนล้ามองใบหน้ามนค่อยๆหันกลับมาอย่างไม่ค่อยจะมั่นใจในสิ่งที่ได้ยิน

ร่างเล็กหัวเราะลงคอดังหึ! ก่อนจะยกยิ้มหยันพร้อมๆกับน้ำตาเอ่อขังอย่างไม่รู้ตัว

“แล้วนายจะให้ฉันอยู่ตรงไหนของนายกัน!”

“ก็อยู่เหมือนที่เราเคยอยู่ ทุกอย่างจะเหมือนเดิมไผ่” พูดออกไป ริมฝีปากได้รูปก็เม้มเข้าหากันด้วยคาดหวังในคำตอบ หากแต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าแล้วผุดลุกจนร่างสูงต้องรีบคว้าตัวไว้ ก่อนจะเสียหลักล้มคะมำไปด้วยกัน

“ไผ่!...ไผ่”

“ปล่อย”

“ไม่!”

ร่างเล็กพยายามพลิกตัวขึ้นมองหน้าอีกฝ่ายที่พยายามใช้ร่างกายตัวเองกดทับร่างเขาไว้ไม่ให้ดิ้นหนี แล้วพยายามเค้นเสียงตอบโต้

“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่อยากเหมือนเดิม! ถ้านายรักฉันไม่ได้ ขอร้อง...กลับไปซะวิช” ปลายเสียงสั่นสะท้านแทรกลึกไปถึงหัวใจดวงโต

ประวิชมองหยาดน้ำใสไหลล้นจากหางตาเป็นทางไปถึงตีนผม โดยที่มือขาวๆนั้นไม่อาจยกขึ้นปาดได้ด้วยถูกเขากดทับไว้ นิ้วแข็งกร้านจึงยกขึ้นเกลี่ยน้ำอุ่นให้อย่างเบามือ แม้จะถูกเบี่ยงหนีเหมือนรังเกียจก็ตามที

เขาทำให้ร่างเล็กนี่ต้องร้องไห้อีกแล้ว ร่างสูงถอนหายใจยาว เขามาที่นี่เพื่ออะไรถ้าไม่ใช่ต้องการให้คนๆนี้กลับไปอยู่ด้วยกัน แล้วมันสมควรเหรอ ที่ทำให้ต้องเสียน้ำตากันอีก

เขาทนไม่ได้...

“ฉันรักนาย...ไผ่ ฉันรักนาย” เสียงอ่อนโยนพูดปลุกปลอบขวัญร่างที่เริ่มสั่นเทิ้มจากแรงสะอื้น

ไผ่เบิกตากว้างมองคนพูดลื่นไหลโดยไม่มีท่าทางลังเล แล้วต้องกรุ่นโกรธด้วยแรงโทสะอีกครั้ง

“เอาความรักแบบเพื่อนของนายเก็บไปเถอะ ฉันไม่อยากได้!”

“ไผ่...” ประวิชพึมพำพลางเงียบเสียงลงด้วยจนคำพูด แต่ถ้าไม่พูด ไม่บอก ทุกอย่างก็จะเป็นเหมือนที่ผ่านมา

ช่างหัวคนอื่น ใครจะคิดยังไงก็ช่าง! ขอแค่ให้ความรู้สึกทรมานในใจตอนนี้หายไป เขายอม!

“ไผ่...ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าฉันรู้สึกกับนายอย่างที่นายต้องการหรือเปล่า แต่ถ้านายบอกให้ฉันอยู่กับนายไปตลอดชีวิต ฉันทำได้นะ” ประวิชพูดเสียงหนักแน่นพลางมองแววตาแดงก่ำชุ่มด้วยน้ำตาไหววูบ แล้วจึงค่อยๆไล้ปลายนิ้วโป้งใหญ่ปาดหยาดน้ำบนใบหน้าขาวอีกครั้ง

แค่ได้เห็นหน้าก็เหมือนได้ยกภูเขาหินออกจากอก สีมัวหมองรอบตัวต่างพากันจางหายกลายเป็นสีสันสดใสสดชื่นขึ้นมาทันตาเห็น เขา...แค่นี้เองที่เขาต้องการ

ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มกับตัวเอง แล้วก้มศีรษะลงแนบหน้าผากมนนิ่งสนิท “บอกฉันสิ จะให้ฉันทำอะไร”

คำถามของเพื่อนตัวโตทำเอาร่างเล็กนิ่งแข็งเป็นหิน มือไม้ที่ออกแรงผลักดันอีกฝ่ายกลับตกลงข้างตัว กระแสธารความเย็นไหลผ่านไปทั่วร่างก่อนจะค่อยๆอุ่นขึ้นจนใบหน้าขาวซีดแดงเรื่อ ได้แต่เพ่งมองใบหน้าคร้ามแดดที่ห่างกันเพียงปลายจมูกด้วยหัวใจระทึก

ประวิช...ร่างเล็กครางขึ้นในอกอย่างไม่อยากเชื่อว่าจะได้ยินคำถามนี้ออกมาจากปากคนที่ชอบเอ่ยอ้างความเป็นเพื่อนมาตลอด เขาไม่ได้หูฝาดฟังผิดไปใช่มั้ย ไผ่นอนนิ่งคิด ในขณะที่ดวงตากรอกมองมือใหญ่ยกขึ้นลูบเส้นผมอ่อนนุ่มไปมา สัมผัสอันอ่อนโยนที่ห่างร้างมานานทำให้หัวใจคนไม่แข็งแรงอ่อนยวบ ทิฐิอันเหมือนเกาะแก้วแสนบางที่เจ้าตัวพยายามสร้างขึ้นเพื่อปิดกันความเจ็บปวดตลอดมา ค่อยๆแตกร้าวเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำ

คำพูดที่จะมีความหมายก็ต่อเมื่อมันออกมาจากปากคนที่รัก ที่ไว้ใจเท่านั้น! ประโยคอันแสนเบานั้นจึงสามารถสั่นคลอนแรงทิฐิ และก่อให้เกิดความหวังเรืองรองขึ้นตรงหน้าร่างเล็กๆ หากแต่ความเจ็บช้ำที่ผ่านมาก็ทำให้เจ้าตัวเอ่ยขึ้นอย่างขลาดๆ

“นายจะไม่แต่งงาน?” เสียงเบาหวิวกระซิบถามคนหลับตาฟังคำขอนิ่ง

“ถ้านายต้องการ”

“แล้ว...นายจะอยู่กับฉัน อยู่กันแค่สองคนจนตายกันไปข้างหนึ่งได้มั้ย” เสียงสั่นๆของคนถามทำให้ประวิชลืมตาขึ้นมอง และดึงศีรษะออกห่างเพื่อมองใบหน้าขาวให้ชัดขึ้น

“อืม...ถ้านายไม่หนีฉันไปซะก่อนนะ” สิ้นคำตอบ ร่างสูงก็ได้เห็นน้ำตาทะลักทลายออกมาจากหางตาคู่แดงช้ำ

“อึก...” เสียงครางสะอื้นดังขึ้น คิ้วเข้มขมวดไม่เข้าใจ จนคนร้องไห้ต้องเค้นเสียงพูด

“ฉันอยากหนีซะที่ไหน! ก็นายไม่ต้องการฉันแล้ว ฉันจะหน้าด้านอยู่ได้ยังไง”

“ใครบอก...”

“ก็นายบอก บอกว่าเราเพื่อนกัน”

“...ก็ใช่ ฉันพูดเราเพื่อนกัน แต่ฉันบอกเหรอว่าฉันไม่ต้องการนาย ฉันเคยไล่นายเหรอไผ่”

“นาย! สรุปแล้วนายไม่เข้าใจเลยใช่มั้ยว่าฉันต้องการอะไรวิช” ร่างเล็กตะเบ็งใส่อีกฝ่ายจนหน้าดำหน้าแดง

“เข้าใจสิ...ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่านายต้องการอะไร รู้สึกยังไง ฉันถึงมาที่นี่” ร่างสูงมองดวงตาแดงก่ำ
ส่องประกายเกรี้ยวกราดฝ่าหยาดน้ำที่เอ่อขัง แม้จะไม่สามารถกลบกระแสความรักความห่วงใยที่ไม่ได้ห่างหายไปตามความห่างไกล แต่อะไรบางอย่างในตัวเขายังอยากย้ำให้มั่นใจ เพื่อเติมเต็มความรู้สึกที่ขาดหายไปให้เต็มอีกครั้ง

“นายยังรักฉันอยู่มั้ย”

ไผ่มองคนถามด้วยใบหน้าอุ่นวาบ ไม่คาดคิดว่าจะถูกถามเอาซึ้งๆหน้า กรามเล็กขบเข้าหากันแน่นอย่างฉุนโกรธ

“ขี้โกง ถามทำไม...ถามทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอก จะแกล้งกันใช่มั้ย”

ประวิชส่ายศีรษะมองริมฝีปากบางตะโกนต่อว่า มือแข็งแรงบีบข้อมือเล็กเบาๆอย่างไม่คิดจะโกรธเคือง ต่อให้ถูกชกซักกี่ครั้งเขาก็ไม่คิดจะโกรธ ด้วยมันคงเทียบกันไม่ได้กับความรู้สึกทุกข์ทรมานที่คนๆนี้ได้รับ จึงได้แต่นิ่งรอคำตอบจากอีกฝ่าย

ร่างเล็กที่ถูกคนตัวใหญ่บดบังไว้จนมิดมองอาการคนรอคำตอบอย่างเอาเป็นเอาตาย นี่ถ้าไม่ตอบไม่พูดคงต้องอยู่กันอย่างนี้ทั้งวันละมั้ง

ไอ้นิสัยแบบนี้เขาควรจะชังดีหรือเปล่า แต่ที่ผ่านมาก็เพราะไอ้นิสัยแบบนี้ละที่ทำให้เขารักอย่างหัวปักหัวปำ

เขารักจนไม่เหลือเผื่อใจให้ตัวเอง แล้วเขายังมีอะไรจะต้องเสียอีกเหรอ...ร่างเล็กๆขยับตัวคลายความเจ็บจากการทาบทับ ซึ่งคนตัวใหญ่ก็ให้ความร่วมมือแต่โดยดี

“รักสิ ฉันรักจนทรมานอย่างทุกวันนี้ไง” เสียงตอบขึ้นจมูก พลางมองดวงตาสีเข้มเต้นระริกกับคำตอบ ก่อนจะรวบรวมความกล้าให้ตัวเองอีกครั้ง

“ฉันจะถามนายอีกครั้งเดียววิช นายจะรักฉัน รักอย่างคนรัก…ได้มั้ย”

ประวิชมองใบหน้าที่เคยขาวนวลเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ปลายจมูกที่เคยเชิดรั้นแดงก่ำ ดวงตาคู่รียาวสะท้อนภาพเขาผ่านม่านน้ำบิดเบี้ยว ไม่หลงเหลือกลิ่นอายความสดใสอย่างที่เคยเห็น อย่างที่เคยรู้สึกเมื่อได้อยู่ใกล้ เขาทำให้คนที่รักเขามีสภาพเลวร้ายขนาดนี้เลยเหรอ

กับคำถามง่ายๆ แต่ยากที่จะตอบ ด้วยคำตอบนั้นคือคำมั่นที่เขาจะรักษาไว้ด้วยชีวิต และชีวิตที่เขารู้แล้วว่า เขาต้องการให้คนๆนี้อยู่ใกล้ๆ

“ได้สิ...ถ้าเป็นสิ่งที่นายต้องการ” ประวิชลูบแก้มนิ่มแผ่วๆ ในขณะที่อีกฝ่ายเบี่ยงหน้าหนีอีกรอบ

“แล้วนายไม่ต้องการ?”

คนตัวโตส่ายหน้าปฏิเสธคำถาม “ไผ่...ฉันเพิ่งจะนับหนึ่ง ในขณะที่นายนับสิบไปแล้ว ไม่รู้ว่านายจะเข้าใจฉันมั้ย แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันอยากให้นายรู้ไว้...นายสำคัญสำหรับฉันนะ สำคัญที่สุด”

“มากกว่าใครๆ?”

คำพูดต่อท้ายประโยคของคนนอนหวาดหวั่น เหมือนเป็นการบ่งหนามที่ทิ่มตำในใจตลอดมาออก

ประวิชไม่ตอบหากแต่พยักหน้ารับช้าๆ

ไผ่มองสีหน้าเข้มขึ้นของคนรักแล้วให้ใจเต้นระทึก ด้วยความหวังที่เคยคิดว่ามันได้พังทลายไปแล้ว กลับเป็นรูปเป็นร่างอยู่ตรงหน้า จนสามารถไขว้คว้ามาครอบครองได้สมใจ

ศีรษะเล็กพยักหน้าตอบรับหงึกๆ พลางยกมือสั่นระริกขึ้นปาดน้ำตาที่เอ่อล้นด้วยความดีใจอย่างลวกๆ ริมฝีปากอิ่มขยับยกยิ้มให้ร่างสูงด้วยไม่สามารถเก็บกักความรู้สึกตื้นตันไว้ได้

เพราะสิ่งที่ได้ยิน ได้รับรู้ในวันนี้ ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นจากความเคยชิน ความสงสาร หรืออะไรก็แล้วแต่ในความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่เขาจะขอผูกมัดผู้ชายคนนี้ไว้ด้วยความรู้สึกทุกๆอย่างที่อีกฝ่ายมีให้เขา

ถึงจะยังเป็นก้าวที่หนึ่ง แต่เขาจะทำให้มีก้าวที่สิบให้ได้ ขอแค่อีกฝ่ายพร้อมจะเริ่มต้น

เขารอมานาน รออีกหน่อยจะเป็นไรไป...

ประวิชมองไผ่ยิ้มทั้งน้ำตาแล้วต้องยิ้มตาม ความทุกข์โศกที่เคยตามติดเป็นเงาได้หายไปแล้ว หลงเหลือไว้เพียงความทรงจำให้ย้ำเตือนบอกกับตัวเองว่า จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ก่อนจะค่อยๆซบหน้าลงกับบ่าเล็กแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่

“อย่าหายไปแบบนี้อีกนะ”

คนตัวเล็กไม่ตอบ แต่โอบล้อมรอบตัวอีกฝ่ายด้วยอ้อมแขนขาวอย่างรักใคร่ จมูกโด่งรั้นกดแนบลงขมับชื้นเหงื่อแรงๆ ให้สมกับเหมือนได้หลุดพ้นจากหลุมดำขึ้นมาสูดอากาศโปร่ง หากแต่การรับรู้ถึงแรงกระตุกของร่างสูง ทำให้อ้อมกอดเล็กจำต้องคลายออกตามการผละออกห่างของอีกฝ่าย

มือใหญ่ยกมือขึ้นแตะขมับตัวเองอย่างงงๆ ก่อนจะค่อยๆขยับลุกขึ้นนั่งข้างร่างเล็กที่ลุกขึ้นนั่งตาม

“อะไร?” ไผ่ถามอย่างสงสัย

“...” ประวิชนิ่งเงียบไม่ตอบคำถามคนทำหน้างงกับปฏิกิริยาของตัวเอง ก่อนจะรู้สึกตัว

“...นาย...รังเกียจ?”

ร่างสูงหันขวับมองคนถาม ยกมือขึ้นจับลำแขนขาวบีบเบาๆพลางสั่นศีรษะ

“ปะ...เปล่า” คำปฏิเสธแต่คนฟังทำหน้าไม่เชื่อยิ่งทำให้ประวิชกระตุกร่างเล็กเข้ามาใกล้จนแทบจะเกยกัน

“ฉันไม่ได้รังเกียจนายนะ แค่รู้สึกแปลกๆก็เท่านั้นเอง” เสียงทุ้มตอบแผ่วเบา

“แปลกๆ...แปลกยังไง” ร่างเล็กขยับยกตัวขึ้นยืนด้วยเข่า พลางก้มหน้ามองใบหน้าสีเข้มของอีกฝ่ายอย่างพินิจพิจารณา จนหัวใจดวงโตแทบจะฟ่อลงในทันที ด้วยกลัวคนตรงหน้าจะเข้าใจผิด

“ไผ่...อย่าว่ายังงั้นยังงี้เลยนะ ฉันรู้ว่านายรู้สึกยังไง แต่ผู้ชายเหมือนกันฉันก็ต้องรู้สึกแปลกๆอยู่แล้วละ อยู่ๆก็...จูบ...แบบนี้ ถ้าเป็นคนอื่นเป็นได้ชกกันไปแล้ว ฉันไม่รู้ว่านายจะคิดยังไงกับเรื่องนี้นะ แต่...” ร่างสูงก้มหน้าลงมองพื้นในขณะที่มือใหญ่เอื้อมจับสะโพกมนไว้แน่น เหมือนกลัวอีกฝ่ายจะหายไปต่อหน้าต่อตาอีก

“ฉันยังไม่คุ้น...ฉัน...ฉันอยากให้นายเข้าใจฉันด้วย” เสียงพูดเอ่ยขึ้นอย่างตะกุกตะกัก แต่หากแม้นคนพูดจะเงยหน้ามองผู้ฟังซักนิด ก็จะพบว่าเรื่องที่ตัวเองลำบากใจนั้น เป็นเพียงเรื่องจิ๊บจ๊อยในสายตาอีกฝ่ายเท่านั้น ด้วยรอยยิ้มแฝงความเจ้าเล่ห์ที่ผุดขึ้นบนมุมปาก ทำเหมือนเรื่องที่ผ่านมาเป็นเพียงฝันร้าย และตอนนี้จอมวายร้ายของประวิชได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้ว

นายทำให้ฉันเสียใจมาตั้งนาน ฉันจะเอาคืนทั้งต้นทั้งดอกเชียวแก...

“ไม่...ฉันไม่เข้าใจ ในเมื่อฉันรักนาย ฉันก็อยากสัมผัสนาย ฉันผิดด้วยเหรอ ไหนบอกว่าฉันสำคัญกว่าใคร”

“ไม่...ไม่ได้ผิด” ประวิชรีบตอบพลางเงยหน้าขึ้นมองคนแสร้งทำหน้าตึงก้มหน้าลงประชิด จนลมหายใจอุ่นหน้ารินรดใบหน้า

ใบหน้าคมสันผงะถอยอย่างลังเลเมื่อหน้าขาวนวลค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้ ให้ร่างสูงต้องขยับกายถอยจนแผ่นหลังติดโซฟานุ่มไม่สามารถถอยได้อีก และร่างเล็กๆนั่นก็ดูเหมือนจะไม่ยอมหยุดจนกระทั่งกลีบปากบางประทับลงบนริมฝีปากได้รูปแผ่วเบาราวหยั่งเชิง ก่อนจะถอนออกรวดเร็วเฝ้ารอปฏิกิริยาของคนรัก

ประวิชได้แต่เบิกตากว้างมองใบหน้าขาวนวลห่างเพียงปลายขนตาด้วยอาการลังเลแกมลำบากใจ เขาไม่อยากขัดใจอีกฝ่าย แต่เขาคงต้องใช้แรงใจอย่างมากทีเดียวในการยอมรับความผูกพันทางกายแบบนี้

“ไผ่...ไผ่”

“หยุดพูด!” ร่างเล็กสั่งเสียงหนัก ก่อนจะแนบริมฝีปากตัวเองกับร่างหนาอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้มีลิ้นอุ่นๆสอดแทรกเข้าไปด้วย

คนตัวโตตะลึงงัน ยกมือขึ้นจับหัวไหล่ลาดมนไว้ ด้วยอีกฝ่ายได้โน้มกายเข้ากอดลำคอไว้แน่น คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยลิ้นเล็กๆนั้นกำลังเชิญชวนและต้องการการตอบรับอยู่ในที กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวอีกฝ่ายทำให้ประวิชเผลอสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างเคย และความคุ้นเคยก็ทำให้ลดความกระอักกระอ่วนในใจลง พร้อมกับปล่อยให้ความรู้สึกนำทาง

“อืม...” เสียงครางในลำคอหนาที่บ่งบอกถึงความพอใจยิ่งทำให้ร่างเล็กเบียดตัวเองให้อีกฝ่ายสัมผัสถึงกายอุ่นของตัวเองมากขึ้น

V
V
V

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
แม้จะเป็นผู้ชายแต่โครงร่างเล็กนี้ก็นิ่มนวลขาวผ่อง กอปรกับมีความรู้สึกรักและห่วงใยเป็นพื้นฐาน จากที่เป็นฝ่ายรับก็เริ่มเป็นฝ่ายรุกเร้า ต้องการรสสัมผัสจากริมฝีปากเล็กๆครั้งแล้วครั้งเล่า

การตวัดลิ้นสอดรับทำให้ไผ่ลืมตาขึ้นมองใบหน้าที่ผ่อนคลายลงของประวิช แล้วจึงค่อยๆทรุดตัวนั่งลงบนท่อนขาใหญ่

“อือ...” ศีรษะทุยถูกมือใหญ่กอบกุม เมื่อการสัมผัสเพียงริมฝีปากเริ่มไม่เพียงพอในความรู้สึก เสียงความเปียกชื้นดังขึ้นเบาๆเมื่อทั้งสองฝ่ายค่อยๆผละออกจากกัน แล้วพรางพรูลมหายใจยาว

“ยังรู้สึกแปลกๆอีกมั้ย” ใบหน้าขาวกระซิบถาม และอีกฝ่ายก็ส่ายหน้าเป็นการตอบ ส่งผลให้ร่างเล็กยิ้มกว้างแล้วซุกซบกอดคนตัวใหญ่แรงๆให้สมกับที่ใจถวิลหา

เนินนานจนประวิชต้องขยับต้นขาที่ถูกอีกฝ่ายนั่งทับให้เข้าที่เข้าทาง เสียงครางในลำคอเล็กทำให้ต้องก้มมองร่างให้อ้อมแขน แต่กลับไม่เห็นอะไรผิดปกตินอกจากริมฝีปากอิ่มสีสดเผยอระบายลมหายใจออกเบาๆ กับอาการหยุกหยิกไปมาเหมือนไม่สบายตัว

ศีรษะเล็กถูไถลำตัวหนาไปมา ประกายแห่งความสุขฉายชัดในดวงคู่กลมโต เขาไม่ต้องปิดบังความรู้สึกอีกต่อไปแล้ว นิ้วมือขาวค่อยๆไล้สัมผัสไปตามกล้ามเนื้อแข็งตึง กี่ครั้งแล้วที่เขาเฝ้าฝันว่าจะได้อยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงนี้ กี่ครั้งแล้วที่เขาจินตนาการถึงอีกฝ่ายจนต้องปลดปล่อยออกมา

แต่มันจะไม่เป็นเพียงแค่ความคิดอีกแล้ว เพราะมือนี้สัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนของเลือดเนื้อ ไม่ใช่ความว่างเปล่าอีกต่อไป

ร่างเล็กกดริมฝีปากลงแผ่นอกกว้างเบาๆหากแต่ย้ำหลายครั้ง จนเจ้าของแผ่น อกขยับตัว และรั้งใบหน้าขาวออกห่างให้ดวงตาทั้งคู่ประสานกันในความเงียบ ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจหอบถี่ของร่างที่นั่งอยู่บนท่อนขาใหญ่ ลิ้นเล็กสีสดแลบไล้ริมฝีปากตัวเองก่อนจะขบลงบนเนื้อแข็งผ่านเนื้อผ้า

“ไผ่!” มือใหญ่เข้ายึดตรึงศีรษะเล็กไว้ไม่ให้ขยับ แต่ดูจะไร้ผลเมื่อไม่กล้าออกแรงกระชาก ได้แต่เพียงประคองไว้ ยิ่งทำให้อีกฝ่ายอาจหาญยกตัวขึ้นไล้ลิ้นรอบริมฝีปากได้รูป แล้วผละออกก่อนจะกดลงไปอีกอย่างหมั่นเขี้ยว

แววตาสดใสเริงร่าผิดกลับเมื่อครู่แฝงแววเจ้าเล่ห์ ทำให้ประวิชเริ่มลังเลที่จะตามใจอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ ด้วยเห็นแววตาแบบนี้ทีไรเป็นต้องได้เรื่องทุกที ก่อนจะหาทางหนีทีไล่

“ผ...ไผ่...ลุกก่อน นายนั่งทับขาฉัน” ประวิชหาเรื่องเลี่ยง หากแต่รสสัมผัสนุ่มของริมฝีปากอิ่มทำให้ต้องหรี่ตาลงรับการพะเน้าพะนอของอีกฝ่าย

“อืม” เสียงครางรับในลำคอแต่ไม่ได้หยุดการกระทำ จำให้ร่างสูงต้องหาเรื่องเบี่ยงหนีอย่างรอมชอมอีกครั้ง

“ไผ่...นี่เจ้านทฝากส้มโอมาให้ด้วยนะ” ประวิชยิ้มเมื่อไผ่หยุดชะงักแล้วเงยหน้ามองอย่างค้นคว้าแกมสงสัย

“แต่ฉันลืมเอามา” ร่างสูงยิ้มแห้งๆ

“นท...ใช่! นทรู้ได้ยังไง...แล้วนายรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นี่ คนเดียวที่รู้ก็คือเจ้าวีนี่!” คนตัวเล็กถามในสิ่งที่คาใจมาตั้งแต่ต้น ในขณะที่ประวิชต้องพรางพรูลมหายใจยาวอย่างชั่งใจ

ไหนๆก็ไหนๆแล้วนะ...

“ก็นทมันเป็นแฟนเจ้าวีนี่ เขาจะบอกกันก็ไม่แปลกหรอก”

“แล้วใครบอกนาย”

“...นท”

คำตอบของประวิชทำให้ร่างเล็กเบิกตากว้าง “ฉันคิดว่าเจ้าวีจะปากโป้งซะอีก”

“หึ...” ประวิชคำรามในลำคออย่างนึกกรุ่นโกรธ เพราะเจ้านั่นทำให้เขาแทบจะขับรถชนคนตายมาตลอดทาง

“รักกันจริงนะเพื่อนนายคนนี้นี่ ปิดปากเงียบสนิทเลย”

เสียงบ่นอย่างเคืองๆทำให้ไผ่อมยิ้ม “ก็ฉันขอไว้นี่” ท่าทางไม่สบอารมณ์ของร่างสูงยิ่งทำให้ไผ่เกิดอาการหมั่นเขี้ยวอยากครอบครอง และรู้สึกถึงไออุ่นของอีกฝ่ายซะเดี๋ยวนี้ ร่างเล็กกดจูบแผ่วเบาลงบนมุมปากคนตัวโตอีกครั้ง แล้วค่อยๆย้ำไปทั่วใบหน้าให้อีกฝ่ายเบี่ยงหนีอย่างเกรงใจ

“ไผ่...พอ หยุดเถอะ เย็นแล้วไม่หิวเหรอ”

“อือ...หิว”

“งั้นลุกเถอะ ไปกินข้าวกัน”

ร่างเล็กยิ้มในแววตาให้ร่างสูงสะท้านหนาวๆร้อนๆเล่น ก่อนจะตอบคำถามให้ประวิชอึ้งไปหลายวินาที

“ฉันอยากกินนายมากกว่า”

“เฮ้ย!...หยุด...ไผ่ หยุดก่อน” ประวิชสะดุ้งเมื่อมือขาวลูบไล้ผ่านลำตัวลงไปกอบกุมกลางลำตัวเขาอย่างไม่ลังเล มือใหญ่รีบตะครุบหยุดการกระทำของอีกฝ่ายก่อนที่เจ้าน้องชายของเขาจะตื่นตัว

ประวิชก้มมองแววตาไหวระริกด้วยแรงอารมณ์ที่เขารู้จักดี แล้วต้องถอนหายใจดังเฮือก

ให้มันได้ยังงี้สิ ได้คืบจะเอาศอกกันเลยรึไง เจ้าดื้อนี่!

ไม่รอให้ประวิชได้ต่อว่าต่อขาน กลุ่มผมนุ่มสลวยก็ลงไปกองอยู่บริเวณกลางลำตัวพร้อมกับที่กางเกงยีนส์ตัวใหญ่ถูกปลดออก จนเห็นชั้นในสีดำภายใต้ผ้าเนื้อหนา

“นายคิดว่าฉันรอวันนี้มานานแค่ไหนกันวิช” เสียงพูดราบเรียบขณะจ้องมองสิ่งที่อยู่ภายใต้ชั้นใน ไรขนสีดำเรียงได้รูปบนเนินหน้าท้องก่อนจะหลุบหายไปใต้ผ้า ทำให้ใจคนมองสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น ลิ้นเล็กไล้เลียริมฝีปากแห้งผากแล้วค่อยๆกดแนบลงบนเนินเนื้อโปงพอง

ไม่รงไม่รอมันแล้ว...

“ไผ่!” ประวิชร้องเสียงหลง แล้วงัดใบหน้าขาวๆนั้นออกห่าง ก่อนจะละล่ำละลักบอกด้วยอาการหอบ ใจเต้นตุ้บๆ เพราะทั้งกระดากทั้งไม่เคยชินกับสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังเริ่ม

“รอก่อน...ฉัน” พูดได้แค่นั้น ร่างสูงก็รู้สึกถึงแรงดึงดันของศีรษะในอุ้งมือ จนต้องยอมปล่อยให้ริมฝีปากนุ่มได้สัมผัสกับส่วนกลางลำตัวอีกครั้ง เพราะขืนยื้อกันไปมีแต่จะทำให้ศีรษะของอีกฝ่ายเจ็บเท่านั้น แต่...

“ไผ่ฉันยังไม่พร้อม ขอเวลาฉันก่อนได้มั้ย อย่าเพิ่งวันนี้เลย” ประวิชตะล่อมบอก แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นมาพูด ด้วยนิ้วมือซุกซนกำลังดึงรั้งขอบชั้นในให้ต่ำลงจนสิ่งสงวนโผล่พ้นออกมาให้อีกฝ่ายได้เห็นเต็มๆตา จึงได้เงยหน้าขึ้นมามองด้วยแววตาถือดี

“ฉันก็ไม่ได้ฝืนใจนายซะหน่อย ถ้าไม่ชอบก็เดินออกไปสิ” ร่างเล็กบางสะบัดหน้าไปทางประตูพลางหันกลับมามองคนทำหน้าบึ้งอีกครั้ง

ในเมื่ออีกฝ่ายแบไพ่ในมือให้เห็น มีหรือที่ไผ่คนนี้จะไม่เอามาใช้ต่อรอง...

ประวิชมองใบหน้านวลแฝงความอวดดี ทั้งๆที่เมื่อกี้ยังร้องไห้อยู่แท้ๆ นี่ถ้าไม่ได้ดังใจเป็นไล่ตะเพิดกันเลยใช่มั้ย

“นายนี่มัน...” ประวิชบีบมือลงบนไหล่มนแน่น ด้วยสะกดอารมณ์กับความน่าหมั่นไส้ของอีกฝ่าย ก่อนจะร้องครางเมื่อความแข็งแกร่งถูกความนิ่มนวลโอ้โลม

“อือ...” เพราะไม่รู้จะหาทางหนีจากเหตุการณ์นี้ยังไง จึงได้แต่ปล่อยไปตามที่อีกฝ่ายต้องการทั้งๆที่ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจ

ท่อนขาที่ไม่ได้ถูกอีกฝ่ายนั่งทับยกขึ้นพลางจิกปลายเท้าลงบนพื้น ภายในช่องท้องเกร็งเครียดขมวดเป็นเกลียวจากแรงดึงดูดของริมฝีปากสีสดจนเกิดเสียงสะท้อนไปทั่วห้องที่เริ่มมืดสลัวลงจากการลาลับของดวงอาทิตย์

“อา...” จะเชี่ยวเกินไปแล้วเจ้านี่! ประวิชขมวดคิ้วเขม่นมองร่างที่อยู่กลางหว่างขาตนแล้วให้ใจหวิวๆกับภาพที่เห็น

ริมฝีปากเล็กกำลังครอบครองแก่นกายที่กำลังใหญ่โตขึ้นจากการคลั่งของเส้นเลือด ลิ้นสีแดงแลบไล้เลียรอยหยัก ก่อนจะอ้าปากกว้างให้ส่วนที่กำลังเจริญเติบโตสอดลึกเข้าไปภายใน

“ผะ...ไผ่” เสียงครางสั่นสะท้านจากการปรนเปรอของร่างเล็กทำให้ประวิชแอ่นกายสอดรับการกดลึก มือใหญ่ขยุ้มเส้นผมนุ่มสลวยพลางขยี้ไปมาด้วยแรงอารมณ์ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเจียนระเบิด ด้วยความเครียดที่รุมเร้ามานาน พอได้เคลียร์ปัญหาจนปลอดโปร่งโล่งใจ ร่างกายจึงต้องการการพักผ่อนหย่อนใจ จึงไม่น่าแปลกที่เขาคนนี้จะเสร็จสม ปล่อยความปรารถนาทุกหยาดหยดในโพรงปากของอีกฝ่าย ไม่ทันให้ได้ดึงรั้งริมฝีปากคู่สวยออกก่อน

“ไผ่ออก...อา!”

เสียงครางพร้อมกับอาการหอบหายใจหนักของประวิช ทำให้ไผ่เงยหน้าขึ้นทั้งๆที่ยังไม่ได้เช็ดหยาดน้ำสีขาวขุ่นออกจากปาก ซึ่งเจ้าตัวเองก็ดูไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยด้วยประกายตาเจิดจ้าแสดงออกถึงความสมใจในสิ่งที่รอคอยมานาน

ร่างกายนี้ หัวใจนี้ เขาต้องการทั้งหมด!

ประวิชทิ้งหลังผิงกับโซฟาแรงๆพลางหลุบตามองเจ้าตัวดี แผ่นอกหนาที่สะท้อนการเต้นของหัวใจเบาลงจึงได้เห็นคราบน้ำสีขาวเปรอะเปื้อนขอบปากอิ่มเต็มตา ก่อนจะตะลีตะลานหาผ้าใกล้ตัวมาเช็ด แต่มองแล้วมองอีกก็ไม่มีจึงต้องถอดเสื้อตัวเองออกมาเช็ดให้อย่างเร่งรีบแล้วต่อว่าอีกฝ่ายเสียงเบา

“ใครสั่งใครสอนให้ทำแบบนี้หึ คายออกมา อย่ากลืนลงไปสิ ให้ตายเถอะนายนี่จะเชี่ยวไปแล้วนะ” ผ้าในมือใหญ่เช็ดซับคราบน้ำบนริมฝีปากเล็กไปมา สายตาดุๆเมื่อครู่อ่อนลงเมื่อเห็นแววตาอีกฝ่ายสื่อความในใจจนหมดสิ้น

กลับมาแล้ว มันกลับมาแล้วแววตาที่เขาอยากเห็น แววตาที่เต็มไปด้วยชีวิต แววตาที่มีเขาเป็นที่หนึ่ง มีเขาเพียงคนเดียว หากแต่นิดเดียว นิดเดียวเท่านั้นที่เขาเห็นความตัดพ้อในนั้น

“ถึงฉันจะเชี่ยวยังไง แต่...” ไผ่จับจูงมือใหญ่ไปเกาะกุมสะโพกตัวเองก่อนจะค่อยๆลูบลงไปถึงบั้นท้าย

“สิ่งนี้เท่านั้นที่ฉันจะเก็บไว้ให้นาย”

“...!”

“นายต้องการมั้ย”

ประวิชเบิกตากว้าง ก่อนจะค่อยๆกดมือลงบนเนินเนื้อนิ่ม สายตากวาดมองไปทั่วร่างเล็กอย่างช้าๆ กี่ครั้งแล้วที่เขาสับสนกับริมฝีปากแดงๆหน้าขาวๆแขนขาเล็กๆนี้ ทั้งยังกลิ่นกายที่คุ้นเคย ทำให้เขาเฝ้าบอกตัวเองว่าเขาฟุ้งซ่านเพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยยอมปล่อยให้เขาไปเที่ยว แต่วันนี้เขารู้แล้วว่ามันไม่ใช่ เขาชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นเจ้านี่ รวมทั้งนิสัยดื้อๆนั่นด้วย

ประวิชพยักหน้าด้วยหัวใจพองโต หากแต่ประโยคต่อมาก็ทำให้คนคอยคำตอบดีใจเก้อ

“แต่ไม่ใช่วันนี้ไผ่...พอแค่นี้ก่อนเถอะ” จะเล่นเต็มขั้นกันตั้งแต่วันแรกเลยเรอะ ไม่ค่อยโลภเลยเจ้านี่! ร่างสูงคิดพลางยกคนตัวเบาออกจากหน้าขา แต่อีกฝ่ายกลับโถมตัวจนพากันล้มราบไปกับพื้นแข็งอีกครั้ง และครั้งนี้เจ้าคนตัวเล็กเจ้าเล่ห์เป็นฝ่ายขึ้นไปนั่งคร่อมคุมเกมแทน

“ไม่เอา วันนี้ละ” ไม่พูดเปล่า ไผ่ตลับชายเสื้อขึ้นก่อนจะเหวี่ยงออกไปทางศีรษะ ให้คนนอกใต้ร่างตะลึงตัวแข็ง

“ไผ่!” ประวิชร้องเสียงหลง แล้วยันตัวขึ้นมาห้ามปราบการถอดของอีกฝ่ายพัลวัน “อย่า...อย่าถอด เอาไว้ก่อนไง วันหลังนะไผ่นะ” ร่างสูงละล่ำละลักเอ่ย หากแต่ร่างขาวเปล่าเปลือยตรงหน้าทำให้ต้องกุมขมับ

เขาคิดผิดหรือเปล่าเนี่ย...

แววตาเจ้าเล่ห์กับอ้อมกอดตุ๊กแกที่พร้อมจะเกาะอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย ทำให้กายเนื้ออุ่นแนบสนิทเป็นเนื้อเดียว มือเล็กลูบไล้แผ่นหลังอีกฝ่ายหนักๆกระตุ้นอารมณ์ และก็ได้ผลเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่

“นายไม่คิดจะให้เวลาฉันหน่อยเหรอไผ่” เสียงถามเบาๆใกล้ใบหูนิ่ม ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังระดมจูบไหปลาร้าแข็งแรง

“ใครเขารอกัน!” เสียงตอบอู้อี้แต่ฟังได้ใจความทำให้ประวิชดึงร่างเล็กออกห่าง แล้วจ้องมองอย่างค้นคว้าก่อนจะเม้นริมฝีปากแน่น

เขายังมีสิ่งติดค้างอยู่ในใจอีกนิด

“ใคร?...ใครที่นายพูดหมายถึงอะไร” เพราะอีกฝ่ายบอกว่าเก็บสิ่งสำคัญที่สุดให้เขา แต่ไอ้ที่ทำผ่านๆ
มามันแค่ไหนกันแน่ อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แล้วเอาเวลาที่ไหนไป...ไปฝึกวิชากัน ก็ในเมื่อเขาเองยังแทบไม่ได้คบหาผู้หญิงที่ไหนเลย

“ใคร?...ก็ทั่วๆไปนั้นละ” ไผ่ตอบแกมงุนงง แล้วจึงเห็นประวิชส่ายหน้า

“ไม่ใช่ไอ้ผู้ชายที่จูบกันวันนั้นเหรอ”

“...จูบ...อ๋อ” ไผ่พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะรู้สึกเจ็บแปลบที่ต้นแขน

“ไอ้บ้านั่นใคร”

ไผ่นิ้วหน้า พลางนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เขาถูกคนทำหน้าตาดุตอนนี้ลากออกมาจากร้านเหล้าก่อนตอบ

“พะ...เพื่อน”

“ใครเขาจูบกับเพื่อนแบบนั้นกันเล่า” ประวิชถลึงตามองร่างเล็ก

“ก็มันช่วยไม่ได้นี่ ในเมื่อนายไม่รักฉัน ฉันก็หาของฉันไปเรื่อย” ไผ่ลอยหน้าลอยตาตอบด้วยโมโหอีกฝ่ายตงิดๆ ทำให้ประวิชโกรธจนหน้าดำหน้าแดง แต่เพราะสิ่งที่ไผ่พูดคือเรื่องจริงทำให้ต้องข่มใจเอ่ยร้องขอ

“ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว อย่าทำแบบนั้นอีกนะ อย่าทำ” คำขอร้องของคนตัวโตไม่ทำให้ร่างเล็กที่ลอบอมยิ้มตอบรับอย่างว่าง่าย เพราะริมฝีปากอิ่มกำลังยืดยื่นแสร้งชั่งใจให้คนมองแทบจะอกแตกตาย

และเพราะไม่ยอมตอบ ร่างสูงใหญ่จึงตวัดพลิกตัวขึ้นทาบทับมองอีกฝ่ายด้วยแววตาวาวโรจน์ ในขณะที่คนตัวเล็กมองกลับอย่างท้าทาย

“มันก็อยู่ที่นายนั่นละ ว่าจะให้ความร่วมมือกับฉันแค่ไหน”

คำตอบของร่างเล็กทำให้ประวิชรู้สึกว่าตัวเองได้ตกหลุมพรางที่อีกฝ่ายขุดไว้เสียแล้ว

ร้ายจริงๆ ประวิชส่ายหน้า เพราะถึงจะรักแต่เรื่องนี้เห็นที่จะต้องงัดข้อกันอีกนานล่ะเจ้าไผ่

“ยังไง”

ไผ่ยิ้มในดวงตากับคำถามของอีกฝ่าย “ก็ทำให้ฉันมีความสุขจนลืมคนอื่นไปเลยไง”

“แล้วถ้าฉันทำไม่ได้ละ”

ร่างเล็กแสร้งยกนิ้วขึ้นมานับเสียงดังเข้าหูเข้าตาอีกฝ่าย “น้องเอ็มก็น่ารัก...อืม...น้องซุงก็เก่ง อ้อ!...พี่สามก็ดี...แล้ว”

“นี่! หยุดพูด” ประวิชตะคอกใส่หน้านวลจนอีกฝ่ายหยุดชะงัก แต่...

“ยังมี...”

“บอกว่าอย่าพูดไง!”

“ก็นายอยากรู้เอง...” ไผ่มองอาการหึงปรอทแตกของอีกฝ่ายด้วยหัวใจฟูพอง ก่อนจะเอ่ยแหย่ต่อ หากประวิชไม่ทนให้อีกฝ่ายได้เอื้อนเอ่ยอะไรที่ทำให้แสลงใจออกมาอีก เพราะปากช่างพูดจาให้คนปวดใจถูกประกบปิดจนมิด ไม่เหลือช่องว่างให้เสียงเล็ดลอดออกมาได้อีก

ลิ้นอุ่นร้อนรุกรานโพรงปากเล็กจนกระทั่งมีน้ำใสๆเอ่อล้นออกมา ก่อนจะผละออกแล้วไล้นิ้วโป้งเช็ดเบาๆ

“ถ้าพูดอีกฉันจะฟาดก้นนายให้ลายจนไปโชว์ใครไม่ได้อีกเลย”

คำพูดอันเหนือความคาดหมายทำให้ไผ่แทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่

ตอนนี้เขามีความสุขเหลือเกิน ความพยายามที่ผ่านมาไม่ได้สูญเปล่าอีกแล้ว หากแต่ผลที่เขาได้รับมันช้าไปหน่อยก็เท่านั้น

ใบหน้าขาวนวลอมยิ้มก่อนจะยกศีรษะขึ้นประกบจูบดูดดื่ม และลิ้นอุ่นของอีกฝ่ายก็ให้การตอบรับจนย่ามใจล้วงมือไปกอบกุมแกนกายร้อนระอุพลางขยับไปมาให้อีกฝ่ายสะดุ้งโวยวายอีกรอบ

“ไผ่...หยุด ฉันบอกให้หยุดก่อนไง”

“ไม่”

“ไว้วันหลังเถอะน่า ขอฉันเตรียมใจก่อน”

“ไม่เอา”

“ไผ่”

“...”

“ไอ้ไผ่!


XXXXX

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
Chapter 19

นทนทีมองดูชุดแต่งงานสีงาช้างแขวนไว้ในห้องนอนของน้องสาวด้วยความรู้สึกอิ่มเอิบใจ พรุ่งนี้แล้วที่น้องวาจะเป็นฝั่งเป็นฝากับคนที่เขาไว้ใจว่าจะดูแลและปกป้องน้องสาวคนเดียวคนนี้ของเขาได้ ชั่วขณะที่ยืนมองดู ร่างโปร่งระหงของวารีก็เข้ามาโอบกอดพี่ชายอย่างรักใคร่

“วารักพี่นทค่ะ” วารีเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“พี่ก็รักวานะ” นทนทียกมือขยี้ผมนิ่มของน้องสาว ด้วยเขาเองก็รู้สึกใจหายไม่น้อย ผู้เป็นพี่ชายสลัดอาการแสบร้อนโพรงจมูก ก่อนจะเอ่ยถามอย่างห่วงใย

“เหนื่อยมั้ย”

“นิดหน่อยค่ะ มันตื่นเต้นมากกว่าพี่นท” วารียิ้มเขินๆ

นทนทีพยักหน้าพลางอมยิ้ม “งั้นก็รีบไปนอน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปแต่งหน้าทำผมที่โรงแรมไม่ใช่เหรอ”

“ค่ะ แต่วาไปคนเดียวที่ไหน แม่กับพี่ก็ต้องไปด้วยนี่นา” วารีแสร้งเอ่ยเตือนความจำ เพราะการทำพิธีในช่วงเช้าและฉลองสมรสในช่วงเย็นจะจัดขึ้นที่โรงแรมทั้งหมด เพื่อสะดวกกับหลายๆฝ่าย

“อืม ส่งวาเข้านอนพี่ก็จะนอนแล้วเหมือนกัน”

“แล้วพี่วีหลับไปแล้วเหรอค่ะ วันนี้เห็นช่วยพี่นททำทุกอย่างเลย เกรงใจพี่วีจริงๆค่ะ”

นทนทีเหลือบมองไปทางห้องนอนของตนเองก่อนจะลอบเบ้ปาก ตามควบคุมกันละไม่ว่า

“อืม” ร่างโปร่งพยักหน้า ด้วยถึงจะมีเจตนาแอบแฝง แต่ปถวีก็ช่วยงานอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังอาสาขับรถพาเจ้าสาวไปที่โรงแรมพรุ่งนี้ด้วย

“ส่วนเรื่องการ์ดที่พี่นทให้เชิญเพื่อนที่ทำงานเก่า วาส่งให้เรียบร้อยแล้วนะค่ะ”

นทนทีพยักหน้ารับรู้ก่อนจะคะยั้นคะยอให้น้องสาวเข้านอน แล้วค่อยๆพรางพรูลมหายใจยาว

เพราะเขายังมีเรื่องต้องขอโทษคุณเทวัญมากมาย แต่ที่ผ่านมาปถวีไม่เปิดช่องว่างให้เขาได้ติดต่ออีกฝ่ายได้เลย เขาจึงต้องอาศัยจังหวะนี้ ให้น้องวาส่งการ์ดเชิญคุณเทวัญและคุณทวีปมางานแต่งงาน เพราะถึงจะเจอปถวีแต่รายนั้นคงไม่กล้าออกฤทธิ์ออกเดชกลางงานแต่งงานแน่ๆ

นทนทีสาวเท้าเดินเข้าไปในห้องนอนของตน ก็พบร่างสูงใหญ่ยังไม่หลับด้วยยังคุยโทรศัพท์อยู่บนเตียง และเสียงเรียกชื่อกันไปมาทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคุยกับไผ่ ซึ่งแน่นอนว่าข้างกายของไผ่คงมีประวิชอยู่ด้วย เพราะหลังจากวันที่เขาบอกที่อยู่ของไผ่ให้ประวิชรู้สองสามวัน ไผ่ก็โทรมาสะอึกสะอื้นกับเขา บอกว่าสมหวังแล้ว ซึ่งเขาเองก็ดีใจที่ทั้งคู่เข้าใจกันได้ แม้ยังมีเรื่องที่ต้องปรับเข้าหากันอีกมากมาย แต่ขอแค่ทั้งคู่เต็มใจจะเปลี่ยนแปลงและอดทนเพื่อกันและกัน ทุกอย่างคงไม่ยากเกินความพยายาม

ปถวีวางสายจากไผ่แล้วจึงหันมองร่างโปร่งบางนั่งลงบนขอบเตียง

“ไผ่เพิ่งถึงกรุงเทพ แต่พรุ่งนี้บอกว่าจะมาช่วยงานแต่เช้า”

“เหรอ”

“จังหวะมีงานด่วนเข้ามาก็เป็นแบบนี้ละ”

นทนทีพยักหน้ารับ เพราะก่อนหน้านี้ประวิชโทรศัพท์มาขอโทษขอโพยไว้แล้ว ด้วยมีงานด่วนกะทันหันทำให้ขึ้นมาช่วยงานไม่ได้ แต่ก็ย้ำว่า ยังไงก็จะขึ้นมาร่วมงานให้ทัน

“แล้วไผ่ค้างบ้านประวิชเหรอ” นทนทีย้ำถามให้แน่ใจ

“อืม”

คำตอบของปถวี ทำให้ริมฝีปากอิ่มแย้มยิ้มเมื่อนึกถึงเพื่อนตัวเล็ก ที่พอสมใจหมายก็สะบัดทิ้งงานที่ชะอำกลับไปทำงานกับประวิชต่อทันที จนร่างสูงข้างๆปวดหัวเอ็ดตะโรไปพักใหญ่ กับบทจะไปก็ไป บทจะมาก็มาของเพื่อนจอมแสบ

ร่างโปร่งบางลุกขึ้นไปปิดไฟแล้วกลับมาล้มตัวลงนอนหันหลังให้อีกฝ่าย แต่ต้องขมวดคิ้วไม่พอใจเมื่อมือใหญ่รวบเอวเข้าไปกอดแนบแน่น เหมือนทุกคืนที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ ถึงแม้จะปัดป้องขัดขืนยังไง แต่อีกฝ่ายก็ฝืนและตอกย้ำให้รู้ว่า เขาไม่มีทางหนีไปไหนได้ถ้าอีกฝ่ายไม่ยินยอม

เมฆหมองขุ่นมัวที่พวกเขาเป็นคนสร้างขึ้นกำลังปิดกั้น ปิดบังความรักที่เคยมีให้กันจนเหมือนหลงอยู่ในเขาวงกตหาทางออกไม่เจอ

หากแต่จะลองเปิดตาเปิดใจให้กว้างขึ้นอีกซักนิด ดูสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างกระทำให้กันลึกๆแล้ว ก็เพราะรักคำเดียวเท่านั้นไม่ใช่หรือ

นทนทีเม้นริมฝีปากตัวเองแน่นก่อนจะโอนอ่อนผ่อนกายไปตามแรงมือของอีกฝ่าย เขาไม่อยากโกรธ หรือคิดจะเลิกรัก แต่จะมีอะไรมายืนยันความรู้สึกที่อีกฝ่ายมีให้เขาได้ละ อะไรที่จะมายืนยันบอกว่าเขาคือที่หนึ่งในหัวใจ ไม่ใช่เป็นเพียงเศษเสี้ยวเหลือต่อมาจากใคร ขอให้เขารับรู้ถึงสิ่งนั้นบ้างซักนิด...

แต่เขากลับไม่เคยรู้สึกถึงมันเลย

Xxxxx

ฟ้ายังมืดมิดแต่เสียงนกร้องแข่งกันดังระงมไปทั่วบริเวณ บ่งบอกให้รู้ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าแล้ว ผู้คนภายในบ้านหลังเล็กกลางสวนก็ดูจะชุลมุนไม่น้อยกับการเตรียมตัวไปยังสถานที่จัดงาน แสงไฟนีออนที่สาดส่องลอดผ่านประตูออกไปกระทบวัตถุจนเกิดเป็นเงาตะคุ่มๆก่อนจะดับแสงและเข้าสู่ความเงียบสงบอีกครั้งเมื่อทุกชีวิตกำลังดำเนินไปตามแผนที่วางไว้

นทนทีมองห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมที่ตอนนี้แปลสภาพเป็นสถานที่ประกอบพิธีสงฆ์ของคู่บ่าวสาว แล้วต้องถอนหายใจออกมานิดๆด้วยทุกอย่างฝ่ายชายเป็นคนดำเนินการ มันถึงได้ดูยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้ ทั้งๆที่ความจริงฝ่ายเขาควรจะเป็นคนจัดเลี้ยง แต่มันคงจะไม่สมเกียรติผู้ใหญ่ฝ่ายชายแน่ๆ เลยต้องลงเอยแบบนี้

ความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ จะดื้อแพ่งหยิ่งยโสไปก็รังแต่จะทำให้ทุกฝ่ายลำบากใจกันไปเปล่าๆ บางครั้งการยอมรับความช่วยเหลือจากคนอื่นก็ไม่ได้ทำให้เราดูด้อยหรือไร้ค่าไปเสียทุกครั้ง

เพราะคุณค่าของเราไม่ได้อยู่ที่เงินทอง

ร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีเทามองมารดาน้ำตาคลอขังขณะรดน้ำให้คู่บ่าวสาว ก่อนจะกวาดตามองแขกเหลื่อร่วมหลายร้อยคนแล้วให้นึกเหนื่อยแทนน้องสาว นี่ขนาดมีแต่ญาติสนิทมิตรสหายนะ แล้วงานฉลองสมรสตอนเย็นจะขนาดไหนกันเนี่ย เห็นปถวีบอกว่า แม่ไม่ค่อยอยากให้เอิกเกริกเชิญแต่คนสนิทๆ คิ้วได้รูปย่นเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อคิดถึงตรงนี้ คนสนิทที่ว่าก็ทำให้ต้องพิมพ์การ์ดแจกกันเป็นพันใบ ในขณะที่แขกทางฝ่ายหญิงมีไม่ถึงร้อยคน โลกของคนมีเงินนี่มันช่างต่างกับโลกแคบๆละแวกบ้านสวนของเขาจริงๆ

นทนทีมองคุณศรีสอางค์และคุณทรงยศยิ้มแย้มคุยกับแขกหลังรดน้ำให้คู่บ่าวสาว เห็นผู้ใหญ่ทั้งสองแล้วก็ให้รู้สึกรักและเคารพยิ่ง ด้วยน้องสาวของเขาได้รับการต้อนรับและดูแลเสมือนคนในครอบครัวอีกคนหนึ่ง จึงรู้สึกอุ่นใจและดีใจที่วันนี้เห็นน้องสาวนั่งเคียงคู่อยู่กับคนที่รัก

ร่างโปร่งพรางพรูลมหายใจก่อนจะฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของประวิชเข้ามาในกรอบสายตาพร้อมกับร่างเพรียวลมของไผ่ ขายาวจึงสาวเท้าฝ่ากลุ่มคนเข้าไปหา

“โทษทีมาสายไปหน่อย” ประวิชเอ่ยขึ้นเมื่อเข้ามาได้ระยะ

“แค่มาก็ดีใจแล้ววิช” ร่างโปร่งยิ้มรับ

“ก็เจ้านี่น่ะสิ ปลุกเท่าไรก็ไม่ยอมตื่น” ร่างสูงหันไปถลึงตาใส่คนหน้าเป็น

นทนทีมองตามสายตาประวิชแล้วให้รู้สึกโล่งอกกับสีหน้าสีตาของเพื่อนที่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มคล้ายระอากับท่าทางดุๆไม่ยอมเปลี่ยน

พอเขาอยู่ก็บ่นก็ว่า พอเขาหายไปก็เป็นเดือดเป็นร้อน ใจคนนี่มันยากจะหยั่งถึงจริงๆ

“คงเหนื่อยล่ะ เมื่อคืนมาถึงกรุงเทพดึกนี่” นทนทีแก้ตัวให้ไผ่เสร็จสรรพ ก่อนจะเห็นเพื่อนเขย่งตัวกวักมือเรียกคนที่อยู่ไกลออกไป

“วี!...วู้ ทางนี้” เสียงไผ่ตะโกนเรียกเพื่อนตัวโตให้หันมามอง จนคนตัวใหญ่อีกคนข้างๆต้องกระตุกแขนปรามให้เบาเสียง ก่อนจะเขม่นมองคนเดินมาใหม่

“มาซะสายเชียวนะไอ้ไผ่” ปถวีเอ่ยทัก พลางปรายตามองคนหน้าตึงที่ยืนอยู่ข้างๆร่างเล็ก ฉันต่างหากที่ควรจะโกรธไอ้ยักษ์! ปถวีนึกบ่นในใจกับสายตาวาวๆของอีกฝ่าย

“เออน่า...ไงก็มาล่ะ”

ปถวีมองเพื่อนตัวเล็กยิ้มจนตาหยี แล้วจึงหันไปหาประวิช

“ดีใจด้วยที่ไปทัน”

คนถูกแหย่ถลึงตามอง ก่อนจะเอ่ยเสียงเครียด

“ถ้านายทำแบบนี้อีกล่ะน่าดู”

“อันนี้มันก็อยู่ที่นาย ไม่ใช่ฉัน อีกอย่างฉันจะปฏิเสธคำขอร้องของเพื่อนได้ไง นายว่ามั้ย” ปถวีเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเชิงถาม ในขณะที่ประวิชขบกรามแน่น จนนทนทีเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเอ่ยแทรก

“ไผ่กับประวิชยังไม่ได้รดน้ำให้คู่บ่าวสาวเลย ไปรดน้ำก่อนดีกว่ามั้ย” นทนทีพยักพเยิดหน้าให้ไผ่พาประวิชออกไป แล้วจึงหันไปตีหน้ายักษ์ใส่ปถวี

“ได้แหย่ให้คนอื่นโมโหนี่มันสนุกมากนักรึไง”

“...” ปถวียักไหล่ให้เป็นการตอบคำถาม

“นายนี่มัน...แย่ที่สุด”

“ก็คงน้อยกว่านายล่ะ” ร่างสูงปรายตามองคนเบิกตากว้างก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนี

“จะไปไหน” มือใหญ่รั้งต้นแขนอีกฝ่ายไว้

“ไปหาข้าวให้เพื่อนกิน!” นทนทีมองอีกฝ่ายตาขวาง

ปถวีพยักหน้ารับก่อนจะเดินตามร่างโปร่งบางไป จนอีกฝ่ายต้องหันมาเอ่ยเสียงเครียด

“นายจะตามฉันไปทำไม แขกอื่นมีให้ดูแลอีกเยอะแยะ หายไปหมดแบบนี้ไม่ดีนะ”

“ไม่เป็นไร อยากหาอะไรรองท้องอยู่เหมือนกัน” ปถวีส่ายศีรษะพลางมองใบหน้าขาวอย่างพินิจ

วันนี้เขารู้สึกเหมือนมีอะไรมากวนใจให้ต้องกังวลอยู่ตลอดเวลา จนต้องคอยจับตามองนทนทีไว้ ให้รู้สึกอุ่นใจว่าอีกฝ่ายยังยืนอยู่ข้างเขา

นทนทีขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะหันหลังเดินกลับ ไม่คิดจะต่อความยาวสาวความยืดกับอีกฝ่ายอีก

กว่าพิธีช่วงเช้าจะเสร็จลงก็เกือบเที่ยง หากแต่เจ้าสาวก็ต้องเตรียมตัวสำหรับงานฉลองสมรสช่วงเย็นต่อทันที ทำให้คนที่เป็นพี่ชายและเจ้าบ่าวบ่นสงสารเจ้าสาวไปตามๆกัน เพราะข้าวปลาแทบไม่ได้แตะกันเลย

“วันสำคัญทั้งทีก็ต้องสวยที่สุดสิจ๊ะ” คำพูดของคุณศรีสอางค์เอ่ยปลอบใจหนุ่มๆที่กำลังเป็นห่วงเจ้าสาวขณะนั่งพักล้อมวงกันพร้อมหน้าพร้อมตาในเครือญาติ

“แล้วแม่ไม่ขึ้นไปพักหน่อยเหรอครับ” อนลถามมารดา ด้วยเปิดห้องพักของโรงแรมไว้สำหรับพักผ่อนหลายห้อง

“ไว้ก่อนลูก แม่ว่าจะไปกำชับทางโรงแรมเรื่องงานตอนเย็นอีกนิดน่ะ” คุณศรีสอางค์ยิ้มเลยผ่านหน้าปถวีไปยังบุตรชายคนเล็ก

ปฏิกิริยาของภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก ทำเอาคุณทรงยศอดยิ้มขันไม่ได้ ดูเอาเถอะ จนปานนี้แล้วยังงอนลูกตัวเองไม่เลิก

และอากัปกิริยาที่ไม่คิดจะปิดบังของคุณศรีสอางค์ก็ทำให้ผู้คนรอบข้างหันไปมองปถวีเป็นตาเดียว

ไปทำอะไรให้แม่โกรธ?

ร่างสูงที่ถูกมองอย่างสงสัยได้แต่ลอบถอนใจหนักๆ ก่อนจะเสหาเรื่องอื่นพูดกลบเกลื่อน

“เดี๋ยววีไปดูให้เองแม่” อาการพูดแกมเอาใจของบุตรชายคนรองทำให้คุณศรีสอางค์ปรายตามอง ก่อนจะค้อนให้เสียทีหนึ่ง จนลูกชายคนโตที่นั่งอยู่ข้างๆขำพรืดออกมาอย่างอดไม่ได้

“โธ่แม่...โกรธแบบนี้เดี๋ยวไม่สวยนา” พี่ใหญ่กระเซ้าพลางโอบแขนรอบลำตัวมารดา

“ใหญ่...แล้วมันน่าโกรธมั้ยละ น้องเราน่ะ ทำอะไรไม่คิดถึงหน้าแม่เลย” เสียงเข้มหากแต่ไม่จริงจังเท่าไรทำให้พี่ใหญ่ยิ้มรับคำบ่นแกมฉุนของมารดา

“ก็น้องมันไม่สบายใจ แล้วอีกอย่างตำแหน่งใหม่ก็ไม่ได้ด้อยกว่าเดิม จะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ”

นทนทีมองแม่ลูกคุยกันอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุที่ทำให้คุณศรีสอางค์เมินลูกชายคนกลางของตัวเอง

“แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่บอกแม่ก่อนสิ จะทำอะไรน่ะ น้องอรแม่รับฝากมาจากคุณละออนะ เล่นย้ายน้องเขาไปทำงานที่อื่นกะทันหันแบบนั้นแม่เสียหมด”

ชื่อของอรอนงค์ทำให้นทนทีหูผึ่งหันมองคุณศรีสอางค์ ก่อนจะค่อยๆหันไปมองปถวีที่นั่งเงียบ

“เจ้าวีมันก็บอกเหตุผลแม่ไปแล้วนี่ครับ อย่าโกรธเลยนะแม่”

“เหตุผลสมเหตุสมผลมากเลยลูกฉัน!” ผู้เป็นมารดากระแทกเสียงใส่ปถวีที่นั่งยอมรับคำต่อว่าต่อขานแบบไม่ปริปาก

“ก็ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่ครับแม่ คนมันไม่รักไม่ชอบ ให้อยู่ใกล้กันคงอึดอัดใจกันไปเปล่าๆ” พี่ใหญ่เอ่ยแย้งแทนน้องชายทั้งยิ้มๆ

“แม่ก็ไม่ได้บังคับนี่ลูก” คุณศรีสอางค์เอ่ยอย่างไม่เต็มปากเต็มคำ

“แต่แม่ก็หวังใช่มั้ยล่ะครับ” พอถูกลูกชายดักทาง นิ้วขาวอวบจึงบรรจงหยิกลงที่ต้นแขนแข็งทันที

“แม่เห็นว่าน้องอรเขาเป็นเด็กดี ให้รู้จักกันไว้ก็ไม่เห็นจะเสียอะไร แล้วดูซิ ส่งน้องเขาไปทำงานที่สาขาอื่นซะงั้น นี่ถ้าบอกว่าน้องอรทำงานไม่ได้หรือทำให้วุ่นวาย แม่จะไม่ขัดเลย แต่นี่บอกกับแม่ว่าไม่สบายใจที่จะให้น้องอรทำงานด้วย แม่ล่ะแก้ตัวกับคุณละออแทบแย่”

“หึๆ ไงเขาก็ไม่ติดใจแล้วนี่ครับ หรือแม่จะเลือกน้องอรแล้วย่อมให้เจ้าวีมันไปทำงานต่างประเทศล่ะครับ” มือใหญ่เขย่าตัวมารดาเบาๆ หากแต่คำพูดยอกย้อนก็ทำให้มารดาถลึงตามอง

“ยะ! พ่อมหาจำเริญ พ่อลูกบังเกิดเกล้า” คุณศรีสอางค์เอ่ยประชดพลางหันมองลูกชายคนกลางที่นั่งหน้าเหลือสองนิ้ว “แม่ก็ต้องเลือกลูกตัวเองสิ”

คำพูดของมารดาทำให้หัวใจคนเป็นลูกชุ่มชื้นเหมือนมีน้ำเย็นหลั่งไหลเข้ามาปลอบประโลมใจที่กำลังแห้งแล้ง ปถวีมองมารดาด้วยอาการตัวเย็นเฉียบ ก่อนจะค่อยๆยกยิ้มด้วยอาการตีบตันในอก

เพราะจะเรื่องร้ายเรื่องดี แม่พร้อมจะรับฟัง ลูกทำผิดซักกี่ครั้งแม่ก็ให้อภัยได้

ความรักของคนเป็นแม่นี้มากมายมหาศาลจนหาอะไรมาเปรียบไม่ได้จริงๆ
ปถวีหลับตาลงซึมซับความรู้สึกทั้งหลายทั้งปวงเข้ามาไว้ในอก น้ำตาแห่งความยินดีคลอขังในดวงตาคู่คมที่ตอนนี้ต้องการกำลังใจเหลือเกินให้กับหัวใจอันมืดมน

แม่ครับวันไหนที่ลูกพร้อม ลูกจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟัง...ปถวีนึกบอกตัวเองในใจแล้วลืมตาขึ้นมองมารดาที่ยังส่งสายตาตำหนิแกมฉุนมาให้อยู่ ริมฝีปากได้รูปคลียิ้มกว้างให้มารดาก่อนที่จะถูกสะบัดหน้าหนีอย่างหมั่นไส้ แล้วจึงเลื่อนสายตาไปยังร่างโปร่งบางที่มองกลับมาด้วยแววตายากจะเดาอารมณ์ความรู้สึก

“งั้นแม่ฝากใหญ่ไปกำชับเจ้าหน้าที่โรงแรมแล้วกัน แม่จะขึ้นไปดูหนูวาหน่อย” คุณศรีสอางค์สั่งเสร็จก็เดินฉับๆออกไป ทิ้งให้ผู้เป็นสามีและพี่ใหญ่อมยิ้มกันเป็นทิวแถว

“แม่เราก็แบบนี้ละ” คุณทรงยศหันไปเอ่ยกับบุตรชายคนกลาง

“พ่อก็ขอขึ้นไปพักซักหน่อยนะ นทพาแม่เราขึ้นไปพักด้วยนะเหนื่อยกันมาแต่เช้าแล้ว เดี๋ยวช่วงเย็นจะไม่ไหวเอา”

นทนทียิ้มรับคำบอกของคุณทรงยศ แล้วจึงลุกขึ้นพามารดาไปยังห้องพัก ทิ้งให้ปถวีมองตามด้วยไม่สามารถตามประกบไปได้ตลอดรอดฝั่ง

ร่างโปร่งพามารดาไปยังห้องแต่งตัวของวารีครู่ใหญ่ แล้วจึงนำไปพักยังห้องรับรอง

“แม่กินอะไรหน่อยมั้ย เมื่อเช้าเห็นแม่กินไปนิดเดียวเอง” ร่างโปร่งเอ่ยถามมารดาที่มีอาการอ่อนเพลียให้เห็นเล็กน้อย

“ไม่ค่อยหิวน่ะลูก” มารดายิ้มตอบ

“ไม่หิวก็กินเสียหน่อยนะแม่ เดี๋ยวนทกินเป็นเพื่อน” ไม่พูดเปล่านทนทีกดโทรศัพท์สั่งอาหารอย่างง่ายๆขึ้นมาทานในห้องไม่ทันให้มารดาได้ท้วง

จวบจนกระทั่งใกล้เวลาฉลองสมรสในช่วงเย็น นทนทีที่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสูทหูกระต่ายได้แยกตัวจากมารดาลงมาดูสถานที่จัดงาน และนี่คงเห็นเหตุผลที่ดีที่สุดแล้วสำหรับการแยกตัวมานั่งคิดอะไรเพียงลำพัง ได้อยู่กับตัวเองสักครู่ เพราะตลอดเวลาที่อยู่กับมารดาในหัวสมองเขาว่างเปล่า ทั้งๆที่ลึกลงไปแล้วมันกำลังปั่นป่วนสับสน

คำสนทนาระหว่างคุณศรีสอางค์และบุตรชายเมื่อกลางวันสะกิดให้เขาหยุดคิด หยุดคร่ำครวญ หยุดโทษใครๆ

ตอนนี้เขาต้องการเวลาสักนิดให้กับตัวเองจริงๆ ร่างโปร่งจึงเดินเตร็ดเตร่ไปตามสวนย่อมหน้าโรงแรม ก่อนจะทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ไม้สีซีดจากการกรำฝนกรำแดดใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้น้ำพุเล็กๆ แผ่นหลังตึงเครียดผ่อนคลายเมื่อพิงลงพนักเก้าอี้ เสียงพรางพรูลมหายใจดังกลบเสียงธารน้ำโดยที่เจ้าตัวดูจะพอใจไม่น้อยกับการได้ถ่ายเทเอาความรู้สึกหนักๆในอกออกไปเสียบ้าง

สายตาคู่อ่อนล้าทอดมองสีเขียวของใบไม้ใบหญ้าก่อนจะมองเลยไปยังถนนบริเวณทางเข้าซึ่งไม่ห่างจากที่เขานั่งมากนัก รถยนต์ราคาหลายล้านเริ่มทยอยเข้ามาเทียบท่าหนาตาขึ้น ด้วยจวนเจียนจะได้เวลาเริ่มงานทำให้ร่างโปร่งต้องยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองแรงๆ วันนี้เป็นวันมงคลของน้องสาว เขาควรจะนึกถึงและทำหน้าที่พี่ชายให้ดีที่สุดก่อนจะคิดถึงเรื่องของตัวเอง

นทนทีจึงลุกพาร่างกายอันหนักอึ้งไปยังทางเข้าของโรงแรมที่ตนเดินออกมา หากแต่ร่างสูงใหญ่ของคนสองคนที่เคยคุ้นตาเดินปราดเข้ามาตัดหน้าจนต้องหยุดชะงัก

“คุณเทวัญ!” ร่างโปร่งเบิกตากว้างด้วยไม่คิดจะเจออีกฝ่ายก่อนเริ่มเวลางานแล้วจึงหันมองทวีปที่ยืนฉีกยิ้มให้อยู่ไม่ห่าง

“นท! เจอจนได้ ฉันวนเดินหาอยู่ตั้งนาน” เทวัญไม่พูดเปล่าแต่คว้าต้นแขนอีกฝ่ายแน่นเหมือนกลัวจะหลุดมือ

“ระ...เหรอครับ คุณเทวัญครับผมอยากจะขอโทษเรื่องทั้งหมด คุณ...” นทนทีเอ่ยรัวเร็วจนหายใจแทบไม่ทัน ทำให้เทวัญต้องกระชับอุ้งมือดึงร่างโปร่งให้พ้นจากบริเวณทางเข้าและเป้าสายตาคน

เทวัญพาร่างโปร่งไปยังเก้าอี้ตัวเดิมที่นทนทีเพิ่งลุกเดินจากมา โดยมีทวีปเดินตามมาห่างๆ ร่างสูงกวาดตามองใบหน้านวลอย่างใคร่สงสัยแกมโล่งอก ที่อย่างน้อยบนใบหน้าขาวนี้ก็ไม่มีร่องรอยให้เห็นว่าถูกทำร้าย

“ฉันเป็นห่วง...” ท่าทีร้อนรนของเทวัญทำให้นทนทีรู้สึกผิดที่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่พยายามหาทางติดต่ออีกฝ่ายให้เร็วกว่านี้ แม้จะต้องทะเลาะกับปถวีอีกรอบก็เถอะ

“ผมรู้ๆครับ ผมขอโทษคุณเทวัญจริงๆ แต่มันมีปัญหาทำให้ผมติดต่อคุณไม่ได้เลย ผมถึงได้อยากเจอคุณวันนี้ อยากบอกว่าผมเสียใจมาก ผม”

“ฉันรู้แล้วนท อย่าโทษตัวเองอย่างนี้ นายไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนี้ฉันรู้” เทวัญเอ่ยขัดก่อนที่ร่างโปร่งจะพูดขอโทษออกมาอีก

นทนทีมองดวงตาคู่อ่อนโยนไม่เปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายแล้วให้นึกสะท้อนใจตัวเอง เป็นเพราะเขาไม่ตัดสินใจเลือกเสียทีจนทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องมารับรู้และลำบากลำบนไปด้วย

“คุณเทวัญครับ เรื่องทุนเรียนต่อที่ผมผิดสัญญาจะให้ฝ่ายกฎหมายดำเนินการยังไง ผมยินดีชดใช้ให้หมดทุกอย่างเลย ผมคงกลับไปทำงานกับคุณไม่ได้แล้ว”

“ไม่ๆนท ทุกอย่างยังเหมือนเดิม” เทวัญมองอีกฝ่ายชะงักงัน

“ทุกอย่างยังรอนทกลับไปสานต่อ ขอเพียงนทยังไม่เปลี่ยนความตั้งใจ ฉันจะเดินเรื่องทุกอย่างให้ ให้นทได้ไปเรียนต่อตามที่ต้องการโดยที่ปถวีจะมาขวางอีกไม่ได้อย่างครั้งนี้”

คำพูดของเทวัญทำให้นทนทีผงะร้อนรน เหมือนมีลมแรงพัดเข้ามาตีแสกหน้าจนงุนงง

“ยังเหมือนเดิม?”

“ใช่ ทุกอย่างรอแค่นทคนเดียวเท่านั้น” เทวัญพยักหน้าเพิ่มความมั่นใจให้อีกฝ่าย

“แต่คุณเทวัญต้องเดือนร้อนแน่ ผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เรื่องของปถวีผมจะจัดการเองครับ” นทนทีมองแววตาสีเข้มสะท้อนแสงวูบวาบ

“จัดการยังไงล่ะนท! ลำพังตัวคนเดียวนทจะหนีไปได้ยังไง ทุกวันนี้เขาก็จับตามองจนกระดิกทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ”

“คุณเทวัญ!...คุณรู้ได้ยังไง”

เทวัญมองริมฝีปากอิ่มสั่นระริกก่อนจะทอดถอนลมหายใจยาว “ฉันขอโทษ แต่ฉันเป็นห่วงเลยให้คนตามไปดูลาดเลา”

นทนทีพยักหน้ารับรู้เงียบๆ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มหยัน “ก็เป็นอย่างที่คุณรู้ล่ะครับ ขนาดจะไปห้องน้ำยังต้องมีคนตามไปเฝ้าหน้าห้อง!” ร่างโปร่งกระแทกเสียงใส่ตัวเองกลายๆ “เพราะงั้นผมถึงได้ให้น้องสาวส่งบัตรเชิญไปหาคุณ”

“แล้วนทจะต้องอดทนกับคนแบบนั้นต่อไปยังงี้เหรอ มันถูกแล้วหรือนทที่จะให้คนที่ไม่คิดจะเข้าใจเราทำกับเราแบบนี้ วันนี้นททนได้แต่วันหน้าละ นทจะยังมีความอดทนได้อย่างวันนี้มั้ย” เทวัญมองนทนทีตาแดงก่ำแต่ก็จนด้วยคำตอบ “นท...ให้โอกาสตัวเองดีกว่ามั้ย นทยังมีโอกาสนะ ไม่จำเป็นต้องอยู่รอให้ใครมาเลือกอนาคตให้ นทเลือกของนทได้เอง แล้วค่อยๆใช้เวลาที่ตัวเองมีคิดตรึกตรองว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่ ไม่ใช่การถูกครอบง้ำหรือบงการแบบนี้ นทชอบให้เป็นแบบนี้หรือ”

นทนทีส่ายหน้าแรงๆแทนตอบคำถาม

“ไปเรียนต่อเถอะนท แล้วฉันจะดูแลเรื่องทุกอย่างให้เอง ไปเรียนซะให้สบายใจแล้วค่อยคิดว่าจะยังเลือกเขาอยู่อีกมั้ย”

เทวัญกระชับมือเข้ากับต้นแขนร่างโปร่งอีกครั้งอย่างให้กำลังใจ และขอคำตอบจากอีกฝ่ายด้วยใจระส่ำ

“คุณนท! มาทำอะไรอยู่ตรงนี้”

เสียงตะโกนเรียกของกันย์กระชากความคิดทั้งหลายทั้งมวลของนทนทีให้หันกลับไปมองต้นเสียง

“กันย์!” อาการร้อนรนของนทนทีทำให้เทวัญขมวดคิ้วยุ่งไม่พอใจ ก่อนจะหันไปมองคนดูต้นทางแล้วพยักพเยิดหน้าส่งสัญญาณบอก

ทวีปพยักหน้ารับก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง พลางเดินเข้าไปขวางทางร่างสูงโปร่งที่ก้าวยาวๆเข้ามาด้วยอาการร้อนรนผิดไปจากเคย

“ไงครับ ไม่ได้เจอกันตั้งนานแน่ะ คิดถึงกันบ้างมั้ยเนี่ย”

“หลบไป” กันย์ส่งเสียงเย็นให้กับหน้าตากรุ่มกริ่มของอีกฝ่าย ตอนนี้เขากังวลใจเกินกว่าจะมีอารมณ์มาต่อปากต่อคำกับคนหน้าเป็น เห็นหายตัวไปนานจนต้องออกมาตามหา แล้วมาอยู่ที่นี่แบบนี้ถ้าปถวีมาเห็นละก็เป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ

“น่าๆให้เขาได้คุยกันแป๊บหนึ่ง คุณเล่นไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้คุยกันเลย เดี๋ยวก็เสร็จแล้วล่ะ”

“เสร็จพวกนายน่ะสิ” ร่างโปร่งตอบขุ่นขวางก่อนจะเดินหลบร่างหนาไปหานทนที แต่ก็ถูกอีกฝ่ายดักทางไว้ทุกครั้งจนหงุดหงิด

ทวีปมองสายตาจะกินเลือดกินเนื้อของอีกฝ่ายแล้วให้ขนลุก คนอะไรตาดุชะมัด ร่างสูงคิดพลางคว้าเอวแน่นตึงลากไปอีกทาง

“เฮ้ย! ปล่อย ทำบ้าอะไร นายทำแบบนี้เดี๋ยวก็ได้เป็นเรื่องหรอก” กันย์ร้องบอกคนที่กำลังพยายามถูลู่ถูกังลากเขาไปอีกฝากของหนึ่งของสวน

“เงียบๆสิคุณ เสียงดังแบบนี้เดี๋ยวใครเขาก็แห่กันออกมาดูหรอก รึอยากให้ใครๆเห็นกันล่ะ” ทวีปหันมายักคิ้วยียวนให้คนโกรธจนหน้าดำหน้าแดง

“นายนี่มัน...” กันย์เค้นเสียงลอดไรฟัน ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาแต่ทว่าเหี้ยมเกรียมในความรู้สึกคนฟัง

“พวกคุณคิดจะทำอะไรกันแน่”

“โฮ้ พวกผมไม่ใช่อาชญากรนะครับ ดูทำหน้าเข้าสิ เจ้านายผมก็แค่อยากให้นทไขว้คว้าเลือกโอกาสดีๆไว้เท่านั้นเอง” ทวีปยังยิ้มเย็นตอบ

“ล่อลวงนะสิไม่ว่า พวกคุณจะทำให้เรื่องมันยุ่งไปกว่าที่เป็นอยู่นะ คุณบอกเจ้านายคุณให้ถอนตัวจะดีกว่า ยังไงพวกเขาก็คบกันมานาน ถ้าจะเลือก นทนทีก็ต้องเลือกคนที่ตัวเองรักอยู่แล้วล่ะ”

“แล้วคนรักกัน เขาระแวงกัน เขาไม่เชื่อใจกันขนาดนี้เหรอครับคุณ ไม่มั้ง” ทวีปลากเสียงยานในตอนท้าย

“เขาก็มีเหตุผลของเขา พวกคุณเป็นคนนอกอย่าเข้ามายุ่งจะได้มั้ย”

“คุณก็คนนอก ดังนั้นอย่าเข้าข้างกันจนออกหน้าออกตานักสิครับ ให้นทเขาเลือกเองอีกกว่ามั้ง”

“พวกคุณ!...” ร่างสูงโปร่งสบถอย่างหัวเสีย ก่อนจะออกแรงดึงตัวเองให้หลุดจากการจับกุม หากแต่ทวีปก็เพิ่มแรงบีบรัดในขณะที่อีกฝ่ายเต้นเร่ายื้อยุดกันจนเหนื่อยหอบ และในที่สุดร่างสูงโปร่งก็เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงที่รัดแน่น จนแม้จะหายใจหายคอก็ยังลำบาก

“ปล่อย!”

“ไม่!” ทวีปยิ้มเจ้าเล่ห์ เรื่องอะไรจะปล่อย อุตส่าห์มีโอกาสได้กอดทั้งที จะกอดให้ช้ำไปเลย ทวีปไม่คิดเปล่าหากแต่ฉวยโอกาสหอมแก้มอีกฝ่ายไปในตัว

หมั่นเขี้ยวมานานแล้ว คนกอดรัดกดริมฝีปากกับผิวขาวๆอีกหลายครั้ง โดยเมินต่อเสียงกระฟัดกระเฟียด

ถูกต่อยก็คุ้มแล้ว...


XXXXX

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
เทวัญถอนสายตาจากเพื่อนที่หายไปพร้อมกับการบดบังของต้นไม้ใบหญ้า แล้วจึงหันกลับมามองวงหน้าขาวอีกครั้ง

“นท...บางครั้งการอดทนก็เป็นสิ่งที่สูญเปล่า หากคนที่นทให้ความสำคัญเขาไม่เห็นค่า”

ร่างโปร่งบางกระตุกเมื่อถูกจี้ใจดำ และเหมือนตอกย้ำในคำพูดของปถวี ว่าสิ่งที่เขาทำอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการแม้แต่น้อย แล้วเขาจะอยู่ไปเพื่ออะไร ใบหน้ามนเงยมองร่างสูงใหญ่ด้วยดวงตาหวั่นไหวพลางเม้นริมฝีปากตัวเองแน่นก่อนจะเอ่ยถามเสียงสั่น

“ผมยังมีสิทธิ์ไปเรียนต่อ?”

“แน่นอน”

“แล้วคุณไม่กลัวเหรอครับที่ต้องมาเดือนร้อนเพราะผม ปถวีคงไม่ยอมให้จบลงง่ายๆแน่”

“นท...ถ้ากลัวฉันจะมาที่นี่เหรอ”

นทนทีมองแววตามุ่งมั่นของเทวัญแล้วต้องถอนใจ เมื่อภาพตรงหน้ากลับมีใบหน้าของคนอีกคนหนึ่งเข้ามาซ้อนทับ

นทนทีส่ายศีรษะด้วยระทดระท้อใจ แต่ก่อนจะได้ตัดสินใจทำอะไรลงไป เสียงเรียกที่เสมือนเสียงฟ้าดังผ่าแทรกผ่านอากาศมาให้ร่างโปร่งบางตัวเย็นวาบ

“นท!”

“วี!” นทนทีผงะถอยหลังไปยืนข้างเทวัญโดยไม่ได้ตั้งใจ สายตาที่เหมือนมีกองไฟลุกโชนอยู่ยิ่งทำนทนทีผวาว่าจะเกิดเรื่อง

เทวัญก้าวออกไปยืนรับหน้าคนมาใหม่ด้วยอาการไม่สะทกสะท้าน ยิ่งทำให้ในอกของปถวีแทบระเบิด

นทนที! มันจะมากไปแล้วนะ เห็นหายไปนานให้เจ้ากันย์มาตามก็หายไปอีกคน แล้วมาเจอแบบนี้จะให้ฉันคิดยังไง จะให้คิดยังไงหึ มาแอบลักลอบพบกันแบบนี้!

“ฉันไม่คิดเลยว่านายจะทำ!” ปถวีมองร่างเล็กยืนหลังเทวัญด้วยความรู้สึกจุกแน่นในอก แล้วจึงตวัดสายตากลับไปมองหนุ่มใหญ่ที่กำลังเอ่ยเสียงเครียด

“ทำไมหรือครับ...แค่ออกมาคุยกับผมนี่มันผิดนักรึไงคุณปถวี” ยิ่งเทวัญออกรับแทนเท่าไรก็ยิ่งเหมือนเติมเชื้อไฟให้ปถวีมากขึ้นเท่านั้น

“มันก็คงไม่ผิด ถ้าคุณตอบตัวเองได้ว่าคุณมาเพราะบริสุทธิ์ใจ” คนมาใหม่จงใจเสียดสีแดกดัน

แต่คำพูดของผู้อ่อนวัยที่ฟังดูเหมือนยิ่งใหญ่ มันแฝงความอ่อนด้อยประสบการณ์จนน่าขำ ทำให้เทวัญหัวเราะลงคอดังหึ!

“ไอ้หน้าอ่อนเอ๊ย!” เทวัญสบถบอกตัวเองเบาๆหากแต่จงใจให้ร่างสูงที่ยืนจังก้าได้ยินด้วย

“ผมจะไม่มาเสียเวลาแต่งคำพูดสวยหรูกับคุณหรอกนะ เพราะมันไม่มีมาตั้งแต่แรกแล้ว แล้วจะถามไปทำไม” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ทว่าเน้นหนัก ก่อนจะเหลือบมองร่างโปร่งบางที่ทำหน้าตื่นๆแล้วจึงยกยิ้มปลอบใจ “แต่ฉันก็ไม่คิดจะบังคับขู่เข็ญให้มารักฉันหรอกนะ นทตัดสินใจเลือกสิ่งที่นทต้องการโดยไม่ต้องแคร์ฉันเลยก็ได้”

“พูดดีนี่แก” ปถวีเอ่ยเสียงลอดไรฟันก่อนจะสะบัดหน้ามองนทนทีที่เอาแต่ยืนนิ่งโดยไม่มีท่าทีว่าจะเดินข้ามมาหาเขา

“นี่น่ะเหรอสิ่งที่นายตอบแทนฉัน”

นทนทีถึงกับจุกเมื่อถูกมองด้วยสายตาประเมินค่า เขาไม่ได้ตั้งใจให้เข้าใจผิด เขาแค่อยากขอโทษคนที่คอยเกื้อหนุนเขามาตลอดเท่านั้น แต่กลายเป็นว่าเขาลากคนอื่นให้มาเดือนร้อนกับเขาด้วยซะแล้ว

“ไม่ใช่นะวี”

เทวัญมองคนหน้าขาวเผือกปฏิเสธแล้วให้นึกสงสารกับบรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ เขาจึงตัดสินใจพูดแทนอีกฝ่ายจะได้จบกันไปซะที

“อย่ามาทวงบุญคุณอะไรกันตอนนี้เลย ผมมารับนท ผมอยากให้เขาไปเรียนต่อดีกว่าทนอยู่อย่างวิตกกังวลแบบนี้ มันทรมานเขาเปล่าๆ”

“ทรมาน?” ปถวีทวนคำพูดเทวัญเสียงดัง ก่อนจะหันกลับไปมองร่างโปร่งด้วยดวงตาร้าวราน

“อยู่กับฉันมันทรมานนักหรือไง” ร่างสูงสาวเท้าเข้าหา

“ฉันยังทำเพื่อนายไม่พอรึไง นายถึงต้องไปร้องแร่แห่กระเชอให้คนอื่นมาช่วย” มือใหญ่ยืนออกไปหวังจะไขว้คว้าร่างคนที่ทำให้เขาโมโหมาเขย่าให้สมใจคิด หากแต่ถูกร่างหนาเข้ามาขวาง

ปถวีมองอีกฝ่ายตาขวาง “หลบไป แล้วก็กลับไปซะ อย่าได้มาทำตัวเป็นนักบุญผิดที่ผิดเวลาแบบนี้อีก”

หากเทวัญไม่คิดจะใส่ใจกับคำพูดของคนขึงโกรธ กลับหันไปจับต้นแขนร่างโปร่งบาง

“ไปเถอะนท พูดอะไรไปตอนนี้ก็ไม่รู้เรื่องหรอก” เทวัญกระชับต้นแขนหวังจะพานทนทีออกไปให้พ้นจากคนที่กำลังเหมือนหมาบ้าเข้าไปทุกที

“โอ๊ย!” เสียงร้องของนทนทีดังขึ้นเมื่อถูกปถวีกระชากร่างทั้งร่าง

“ฉันไม่ให้ไป! ถ้าอยากเรียนนัก...ก็ได้” ดวงตาคู่คมแดงก่ำโชนแสง

“แต่ฉันจะไปด้วย”

“วี...ไม่ใช่...ฉัน” นทนทีเอ่ยตะกุกตะกักไม่เป็นภาษา ด้วยแรงอารมณ์ของอีกฝ่ายมันสะเทือนใจเขาจนชาหนึบ

เขาไม่ได้ต้องการแบบนี้ ร่างโปร่งหรี่ตาลงด้วยเจ็บแปลบ หากความเจ็บก็ยังไม่ทำให้เขาสนใจได้เท่ากับภาพที่เห็นตรงหน้า ภาพของผู้คนแต่งชุดสุภาพงดงามทั้งชายหญิงกำลังเพ่งมองให้ความสนใจกับการทะเลาเบาะแวงของพวกเขา

“ปล่อยเขานะ เขาไม่อยากอยู่กับนายแล้ว ไม่เห็นเหรอ” เทวัญเสียงกร้าวเมื่อเห็นริมฝีปากคู่บางสั่นระริก ก่อนจะผลักอีกฝ่ายจนเซ

“คุณเทวัญ อย่า!” นทนทีร้องเสียงหลง แต่ไม่ทันเมื่อเห็นหมัดของปถวีต่อยสวนออกไปถูกบริเวณบ่ากว้าง และแรงเหวี่ยงก็ทำให้เทวัญเซผงะ

“วี! นายอย่าทำแบบนี้นะ” ร่างโปร่งร้องห้ามหากแต่ถูกมือใหญ่ผลักออกไปให้พ้นทาง แล้วจึงหันมาสั่งเสียงกร้าว

“คนหน้าด้านมันต้องเจอแบบนี้ละ ส่วนนาย...ถ้ากล้าถึงขนาดนัดแนะให้มาพากันหนีไปแบบนี้ คงรู้แล้วนะว่าถูกจับได้แล้วจะเป็นยังไง...ทั้งๆที่ฉันรักมากขนาดนี้แท้ๆ” ดวงตาแข็งกระด้างแฝงความร้าวรานจนคนถูกมองสะท้านในอก พลางเบิกตากว้างเมื่อเห็นคนที่เซไปหยกๆตั้งตัวได้และออกหมัดเสยเข้าสันกรามปถวีอย่างจัง

ใบหน้าคมหันไปตามแรงก่อนจะสะบัดศีรษะไล่ความมึนงง แล้วจึงไล้ลิ้นไปตามเนื้อเยื้ออ่อนๆข้างริมปากที่ตอนนี้ส่งกลิ่นคาวเลือดจางๆ

“ถุย” ร่างสูงพ่นน้ำลายปนเลือดก่อนจะปรี่เข้าไปหาอีกฝ่าย อาศัยเคยเป็นนักกีฬานักมวยสากลมาก่อนจึงออกหมัดได้ไม่พลาดเบ้า เสยเข้าข้างแก้มเทวัญเป็นการเอาคืนได้อย่างจังๆ และก่อนจะได้เข้าไปซ้ำนทนทีก็เข้าไปห้ามพลางดึงรั้งแขนกำยำไว้แน่น ให้ปถวีตวัดสายตามองด้วยความเคียดแค้น

“รักมันมากใช่มั้ย...จะไปกับมันใช่มั้ย!”

“ไม่ใช่นะ!”

“ไม่ใช่แล้วไอ้บ้านี่จะมาได้ยังไง”

“ฉันก็บอกแล้วว่าฉันแค่อยากขอโทษเขา”

“งั้นทำไมไม่บอกฉันละ บอกฉันสิ มาทำลับๆล่อๆทำไม”

“หึ! แล้วนายเคยฟังที่ฉันพูดบ้างรึเปล่า เคยคิดจะฟังมั้ย ทำแบบนี้พาลชัดๆ” นทนทีบริภาษโดยไม่คิดจะหลบสายตากร้าว

“ถ้าฉันพาลแล้วนายละ เรียกว่าอะไรที่ทำอยู่ตอนนี้”

“วี! มันจะมากไปแล้วนะ ตัวเองเคยทำก็อย่าคิดว่าคนอื่นเขาจะทำเหมือนตัวเองไปซะหมดสิ”

“นท! เราคุยกันเรื่องนี้แล้วนะ...แต่ช่างเถอะ คำพูดของฉันมันคงไม่ทำให้นายเอากลับไปคิดเท่ากับคำพูดของเจ้านั่นหรอก” ปถวีเม้นริมฝีปากตัวเองอย่างเย้ยหยันแกมท้อใจ รู้สึกเหมือนสิ่งที่เคยกำอยู่ในมือกำลังจะหายไป ความอบอุ่นที่เคยได้กอบกำกลับมีความหนาวเหน็บเข้ามาแทนที่

ถึงเวลาต้องปล่อยมือแล้วจริงๆหรือ ปถวีมองนทนทีชั่วครูแล้วจึงพุ่งเข้าใส่ร่างหนาของเทวัญอีกครั้ง

“ฉันจะปล่อยนายไป แต่แค่นายคนเดียวนะ เพราะเจ้านี่ฉันจะเอาให้ตายอยู่ที่นี่ล่ะ”

“...!” นทนทีผวาและหนาวเย็นถึงขั้วหัวใจเมื่อได้ฟัง ก่อนถลาไปกระชากแผ่นหลังอีกฝ่าย แต่กลับถูกปัดและผลักจนกระเด็นออกมาวงนอก จึงเห็นภาพชายหนุ่มสองคนกำลังชกต่อยกันเอาเป็นเอาตาย สะกดใจคนมองให้นิ่งงันไม่รู้แม้กระทั้งน้ำตาตัวเองไหลอาบแก้ม

“ไอ้หมาบ้า ดีแต่ใช้กำลัง ฉันไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนทถึงอยากไปเรียนต่อ!” เทวัญเอ่ยเยาะเย้ยเสียงหอบ ขณะยึดคอเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่น

“เอาเถอะ ถ้าเขาอยากไปฉันก็จะให้ไป แต่แกฉันจะเอาให้คลานไปไหนไม่ได้อีกเลย” ปถวีกระชากตัวเองออกจากการจับยึดจับแล้วจึงซัดตุบเข้าที่ท้องอีกฝ่ายจนตัวงอ

“คุณเทวัญ!” เสียงสองเสียงเอ่ยขึ้นพร้อมกันจากข้างหลัง ทำให้นทนทีหันไปมองและต้องร้องขอความช่วยเหลือ

“คุณกันย์ คุณทวีป! ช่วยกันแยกเร็ว”

ทวีปที่เห็นเทวัญลงไปนอนกองบนพื้นหญ้ารีบปรี่เข้าไปช่วยพร้อมกับกันย์ที่ไม่สามารถเก็บอาการให้นิ่งสงบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ เขารีบกลับมาดูเมื่อหลุดจากการเหนี่ยวรั้งของทวีป แต่สิ่งที่เห็นทำให้เขาตกใจ เพราะปถวีกำลังชกต่อยกับเทวัญอย่างไม่คิดจะอับอายต่อสายตาผู้คนที่เริ่มให้ความสนใจมากขึ้น ติดอยู่แค่ยังไม่มีใครคิดจะเดินเข้ามาดูใกล้ๆก็เท่านั้น

“หยุด! คุณปถวี คุณเทวัญ” เสียงทวีปร้องห้ามขณะยึดร่างเทวัญไว้ และมีนทนทีกับกันย์ยึดจับปถวีไว้แน่น

สภาพของชายหนุ่มทั้งสองไม่เหลือเค้าของผู้ร่วมงานมงคลอีกต่อไป ด้วยเสื้อผ้ายับย่นหน้าตามีรอยเขียวๆแดงๆกันคนละแห่งสองแห่ง

นทนทียึดร่างสูงไว้เต็มที่พลางเอ่ยเสียงหวาดๆเมื่อคนที่เขายึดจับไว้ออกแรงดึงตัวเองให้พ้นจากการเหนี่ยวรั้งสุดกำลัง

“หยุดวี อย่าทำแบบนี้”

“คุณปถวีใจเย็นๆครับ” เสียงกันย์เอ่ยช่วยด้วยอีกคน แต่ไม่ทำให้ร่างสูงสงบ กลับเหวี่ยงแขนเหวี่ยงขาหนักขึ้นไปอีก

“วี!” นทนทีร้องเสียงหลงกับความบ้าคลั่งของอีกฝ่าย “นายกำลังจะทำให้ที่นี่วุ่นวายแล้วนะ เห็นมั้ย!ใครๆเขากำลังมองอยู่”

“ปล่อย ช่างสิ! ใครมันจะเป็นยังไงฉันไม่สน...ไม่สนใจ เพราะไม่มีอะไรต้องแคร์อีกแล้ว” ท้ายประโยคปถวีพึมพำบอกตัวเองเบาๆ

“นายจะบ้าเหรอ ทำแบบนี้งานแต่งงานก็ล่มกันพอดี นายอยากให้เป็นแบบนั้นรึไง นายอยากเห็นนลเสียใจเพราะความไม่คิดของนายรึไง!”

“ใช่สิ! ฉันมันบ้า” ปถวีกระแทกเสียงใส่ก่อนจะสะบัดคนยึดจับทั้งสองกระเด็น แล้วสาวเท้าเข้าหาเทวัญที่มีทวีปประคองอยู่พลางปาดเลือดที่มุมปากออกแรงๆ

แต่ก่อนจะได้ไปถึง นทนทีก็กระโดดเข้าไปคว้าเอวหนาไว้แล้วหลับหูหลับตากอดอย่างไม่คิดชีวิต

“ขอร้องล่ะ ฉันขอร้องล่ะ”

“ไม่มีอะไรจะต้องพูดกันแล้ว ฉันจะไม่ห้ามอะไรนายอีก แต่บอกแล้วไง ฉันขออัดไอ้บ้านั่นให้หายแค้นก่อน”

“วี...” นทนทีครางเครือ ในใจเบาโหวงเหมือนไร้ที่ซึ่งยึดจับกับคำตอบของปถวี อิสระที่เขาเรียกร้องต้องการ แต่เมื่อถึงเวลาจะได้รับ เขากลับไม่มีรู้สึกดีใจแม้ซักนิด

นทนทีเงยหน้ามองอีกฝ่ายผ่านม่านน้ำตา ภาพลางเลือนของคนหน้าตาเจ็บแค้นทำให้รู้สึกสลดแกมเสียใจ

ที่คนๆนี้เป็นแบบนี้เพราะอะไร?

เพราะให้ความสำคัญ? เพราะรัก? เพราะหวงแหน? เพราะเขา…เพราะเขาใช่มั้ย?... ที่ทำให้ผู้ชายคนนี้คลั่งจนไม่คิดจะฟังใครอีกแล้ว

เขาลืมอะไรไปหรือเปล่าที่ผ่านมา

ทุกอย่างที่เขาอยากได้อยากเห็น มีครั้งไหนมั้ยที่อีกฝ่ายจะไม่รีบหามาให้

ความรัก ความหวังดีจากคนๆนี้ไม่เคยห่างหายไปไหนเลยไม่ใช่หรือ

ในเมื่ออีกฝ่ายเปิดอกให้ความรักเขามาแบบตรงๆ ถึงจะเหลวไหลไปบ้างก็เถอะ แต่นี่มันคือชีวิตคนจริงๆไม่ใช่หรือ ชีวิตที่ต้องช่วยกันประคับประคอง ไม่ใช่ฝากความหวังและทุกสิ่งทุกอย่างให้อีกฝ่ายเป็นคนรับผิดชอบอยู่เพียงฝ่ายเดียว

แล้วเขาล่ะ เปิดใจให้อีกฝ่ายเข้ามามากพอหรือยัง

ทั้งทิฐิ ความคาดหวัง ความมุ่งหมาย ทุกอย่างเขาเป็นคนคิดขึ้นมาเองทั้งนั้น และยังตั้งมั่นจะไปให้ถึงโดยไม่สนใจความรู้สึกของใครเลย
เขาคิดอะไรอยู่ เขาอยากให้ความรักครั้งนี้ไปทางไหนกันแน่ ถ้าไม่ใช่การอยู่ด้วยกันจนตายจากกันไปข้างหนึ่ง

‘แม่เห็นว่าน้องอรเขาเป็นเด็กดี ให้รู้จักกันไว้ก็ไม่เห็นจะเสียอะไร แล้วดูซิ ส่งน้องเขาไปทำงานที่สาขาอื่นซะงั้น นี่ถ้าบอกว่าน้องอรทำงานไม่ได้หรือทำให้วุ่นวาย แม่จะไม่ขัดเลย แต่นี่บอกกับแม่ว่าไม่สบายใจที่จะให้น้องอรทำงานด้วย แม่ล่ะแก้ตัวกับคุณลออแทบแย่’ คำพูดเสียดสีบุตรชายตัวเองดังก้องในหัวของนทนทีอีกครั้ง ก่อนจะรู้สึกถึงน้ำตาอุ่นร้อนของตัวเองไหลออกมาอีกครั้ง

“วี!” นทนทีกระชับแขนตัวเองแน่น แล้วจึงตัดใจเอ่ย “ อย่า! อย่าทำแบบนี้อีกเลย กลับเถอะ กลับกันเถอะนะ”

“ปล่อยนท ไอ้กันย์ปล่อยฉัน หรืออยากจะโดนด้วย” ปถวีออกแรงผลักกันย์ที่เข้ามาช่วยจับอีกครั้ง

“ไอ้เด็กเลว แสบนักนะแก” เสียงเทวัญลอยมากระทบโสตประสาทหูยิ่งทำให้ปถวียื้อลากคนยึดจับไปหาคนที่ยังถูกทวีปยึดไว้ไม่ปล่อย แต่ก่อนจะได้ฟาดปากกันอีกครั้ง นทนทีก็โพล่งออกมากลางปล้อง

“วี! ทุกอย่าง...ทุกอย่างที่นายอยากให้ฉันทำ ฉันจะทำให้ทุกอย่าง ฉันไม่ไปเรียนต่อแล้วก็ได้ ฉันจะไปทำงานกับนาย แต่นายอย่าทำแบบนี้อีกเลยนะ ฉันขอร้อง” นทนทีครางสะอื้นจนตัวโยนกับความตึงเครียดที่เกิดขึ้น

“นายกลับไปกับฉันเถอะนะ ฉันขอร้องล่ะ” ร่างโปร่งร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อายคนรอบข้าง “อย่าทำแบบนี้ ฉันไม่อยากเห็นนายเป็นแบบนี้...” นทนทีทุบกำปั้นลงแผ่นหลังอีกฝ่ายทั้งน้ำตา ทำให้ปถวีหยุดชะงักมอง

“นายอยากให้เป็นอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ นายอยากไปจากฉันไม่ใช่เหรอ ฉันก็ให้ไปแล้วไง” ปถวีเอ่ยเสียงเครือตัดพ้อ

“ไม่...ไม่ใช่ ฉันไม่ได้อยากไป ฉันอยากอยู่กับนาย...ฉันรักนายนะ ฉันรักนาย” นทนทีมองใบหน้าเขียวช้ำแล้วให้นึกเจ็บยอกในอก “พอเถอะนะ”

ปถวีมองคนรักสะอื้นไห้จนร่างทั้งร่างสั่นสะเทือนแล้วเหมือนมีอะไรมาทิ่มแทงในอก หมัดที่ง้างขึ้นหมายจะฟาดฟันฝ่ายตรงข้ามค่อยๆลดลงตกข้างตัว

“งั้นบอกฉันมาสิว่านายจะอยู่กับฉัน จะไม่หนีไปไหนอีก...ต่อหน้าเจ้านั่น บอกมันว่านายเลือกฉัน...เดี๋ยวนี้เลย”

สิ่งที่พูดเหมือนเป็นเงื่อนไขสุดท้ายที่อีกฝ่ายจะยอมรับฟัง ทำให้นทนทีรีบพยักหน้าหงึกๆแล้วหันหน้าไปมองเทวัญที่มีสภาพไม่ต่างกับปถวีนัก

“ขอโทษครับคุณเทวัญ ผมไม่ขอรับทุนเรียนต่อแล้ว ขอบคุณจริงๆกับสิ่งที่คุณมีให้ผม...ผม” ไม่ทันให้นทนทีได้พูดจบ ปถวีก็กระชากร่างโปร่งติดมือออกไปยืนห่างจากเทวัญ

สายตาที่มองฝ่ายตรงข้ามบ่งบอกถึงความห่วงแหนในสิ่งที่อยู่ในอ้อมแขน และไม่คิดจะยอมให้ใครมาพรากจากไปสะท้อนในดวงตาแวววาว จนคนที่สบตาด้วยรู้สึกใจกระตุก และย้อนมองตัวเอง วันที่ต้องสูญเสียสิ่งที่รักไปเขาได้ยื้อไว้จนสุดกำลังแบบนี้รึเปล่า สิ่งที่ได้สัมผัสจากชายหนุ่มหน้าอ่อนวันนี้ ทำให้เขารู้สึกแพ้ใจอีกฝ่ายอย่างราบคาบ

ความตึงเครียดของกล้ามเนื้อผ่อนคลายลงเมื่อทำได้แต่มองแผ่นหลังเล็กๆตามหลังคนรักจากไปแล้วจึงถอนหายใจยาว ให้คนเป็นทั้งเพื่อนทั้งเลขาตบบ่าเบาๆ

“มันจบแล้ว”

เทวัญไม่ตอบแต่พยักหน้ารับช้าๆแล้วจึงใช้หลังมือปาดเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก

“เจ็บฉิบ”

“หึๆ” ทวีปอมยิ้มก่อนจะถอยออกมามองสภาพเพื่อนเต็มตา “สภาพนี้คงเข้างานไม่ได้แล้ว...ปะ...กลับบ้านกันเถอะ”

เทวัญพยักหน้าแล้วจึงออกเดิน ทิ้งให้เพื่อนจอมกะล่อนยืนส่งจูบให้กันย์อย่างกวนๆก่อนจะรีบวิ่งตามไป ปล่อยให้คนยืนมองหลังไหวๆส่งสายตาดุๆไล่ตาม

ทวีปก้มหน้าวิ่งเหยาะๆไปหาเทวัญอย่างเบิกบานใจ เพราะเขารู้ว่า วันนี้จะไม่ใช่วันสุดท้ายที่จะได้พบกับอีกฝ่าย

ปถวีก้าวยาวเร็วจนแทบจะกลายเป็นลากนทนทีไปยังรถที่จอดรออยู่ แต่เสียงใสที่รั้งเรียกขัดขึ้น ทำให้ใบหน้าฟกช้ำหันกลับไปมอง เพียงชั่วพริบตาที่เห็นว่าเป็นใคร ท่าทีไม่ใส่ใจกับอาการรีบก้าวเท้ายาวๆมากกว่าเดิมก็เรียกความสนใจให้นทนทีเอี้ยวหน้าไปดู

“พี่วี!” อรอนงค์รีบก้าวให้หลุดพ้นจากการบดบังของตัวรถคันงาม เมื่อเห็นชายหนุ่มคนที่เด้งเธอไปทำงานสาขาอื่นอย่างไม่มีปีมีขลุ่ย ส่งผลให้แผนที่วางไว้ในใจพังทลายในชั่วพริบตา แถมยังไม่รู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไรอีกต่างหาก สร้างความตกใจแกมเคืองโกรธไม่น้อย เธอจึงมางานนี้ตามคำเชิญของคุณศรีสอางค์ด้วยอยากพูดคุยเป็นการส่วนตัว เพราะที่ผ่านมาเธอติดต่อปถวีไม่ได้เลย หากแต่ปฏิกิริยาของร่างสูงทำให้เธอหน้าตึง ด้วยอีกฝ่ายไม่คิดจะสนใจทักทายเธอแม้แต่น้อย กลับรีบพาเพื่อนขึ้นรถขับจากไปซะงั้น

“พี่วี!” อรอนงค์กัดริมฝีปากตัวเองอย่างเจ็บใจ นี่เธอแพ้แม้กระทั้งคนที่ยังไม่รู้จักเลยว่าเป็นใครด้วยซ้ำ!

XXXXX


“วี...” นทนทีเดินตามการจับจูงของร่างสูงเข้าลิฟต์ขึ้นสู่ห้องชุดของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกเหมือนมีตะกั่วถ่วงอยู่ในอก ทั้งยังห่วงหน้าพะวงหลังจากการทิ้งงานแต่งงานของน้องสาวออกมากลางคัน และแผ่นหลังเบื้องหน้าที่ยังไม่ยอมพูดยอมจาตั้งแต่ขึ้นรถกลับมายังคอนโด

“วี!” ร่างโปร่งอุทานเสียงเบาเมื่อนั่งลงยังขอบเตียงได้ นิ้วมือใหญ่ก็รีบแกะหูกระต่ายพร้อมทั้งกระดุมเสื้อโยนเหวี่ยงไปคนละทิศละทางจนเหลือแต่ตัวเปล่าๆ ก่อนจะถูกกดให้นอนราบขนานไปกับที่นอนนุ่ม ท่ามกลางสายตาตื่นๆแกมสับสนร่างสูงก็ถอดเสื้อผ้าตัวเองออกแล้วตามขึ้นมาทาบทับกกกอดอย่างเอาเป็นเอาตายไม่ใสใจกับอาการบาดเจ็บที่แสดงสีสันให้เห็นชัดเจน

“นายกำลังจะทำให้ฉันเป็นบ้า” ปถวีเงยหน้าขึ้นมองคนรักด้วยแววตาสั่นไหว

แม้จะรู้สึกเหมือนได้ของในมือที่หายไปกลับคืนมา แต่เขาก็กลัวว่ามันจะเป็นเพียงกลุ่มควันอุ่นๆที่พร้อมจะจางหายไปได้ทุกเมื่อ ซึ่งเขาไม่อยากอยู่กับความรู้สึกแบบนี้ตลอดไป

“ฉันคงไม่ใช่คนที่จะทำตามใจนายได้ทุกอย่าง และฉันคงไม่ใช่พระเอกที่ยอมให้หัวใจตัวเองเจ็บช้ำแล้วยืนมองคนที่รักมีความสุขอยู่ไกลๆในมุมมืด” ปถวีพูดเหมือนเย้ยเยาะตัวเอง “ฉันมันก็คงเป็นได้แค่นี้ แล้วนายยังจะรักฉันอยู่มั้ย ยังคิดจะอยู่กับฉันอีกมั้ย...นทนที” ปถวีเอ่ยเสียงกร้าวก่อนจะซุกซบศีรษะทุยกับบ่าเล็กอย่างจำนน

“ฉันพยายามแล้วนะ ฉันพยายามแล้ว และฉันก็คงทำได้แค่นี้ แค่นี้เอง”

นทนทีที่ได้แต่มองเพดานห้องจากการกอดรัดของอีกฝ่ายเอี้ยวหน้ามองเส้นผมดำขลับ แล้วจึงรับรู้ได้ถึงน้ำตาอันเย็นเยือกเอ่อล้นออกมาจากหางตาเป็นทาง ก่อนจะเอ่ยเสียงสั่น

“รู้มั้ย...บางครั้งที่ฉันโมโหฉันเคยคิดจะไปให้พ้นจากนาย แต่ฉันไม่เคยทำได้ ” นทนทีมองอีกฝ่ายค่อยๆหันหน้ามาสบตาด้วยดวงตาแดงก่ำ “เพราะฉันรักนายไงล่ะ ถึงจะไม่เคยพูดบอกนายมาก่อนหน้านี้เลย แต่ฉันก็รักนายมาตลอด” ลำแขนเรียวเหนี่ยวรั้งร่างหนาเข้ามากอดจนแนบสนิทด้วยอาการสั่นสะท้าน พลางหลับตาลงรับรู้เพียงไออุ่นของอีกฝ่ายด้วยไม่อยากเห็นคนที่เคยมีท่าทียโสอวดดีมีสภาพเหมือนคนจนตรอกเช่นตอนนี้ มันทำให้เขารู้สึกเจ็บในโพรงอก

“ฉันอยากอยู่กับนาย แต่ขอให้เชื่อใจฉันบ้าง...ได้มั้ย เพราะสิ่งที่นายกล่าวหามันทำให้ฉันเสียใจเหลือเกิน” ร่างโปร่งขบฟันแน่นเมื่อรู้สึกตีบตันในลำคอ

“ขอโทษ...ฉันขอโทษนท” ริมฝีปากได้รูปเม้นเข้าหากันแน่นด้วยมันกำลังสั่นระริก “แต่ฉันทนไม่ได้ ทนไม่ได้ที่จะเห็นนายไปอยู่กับคนอื่น คนอื่นที่เขาคงดีกว่าฉัน ให้ในสิ่งที่นายต้องการได้มากกว่าฉัน”

“วี...” เสียงครางรอดผ่านริมฝีปากแห้งผากสีซีด ก่อนจะหลับตาข่มกลั้นความรู้สึกเจ็บปวดทรมานอันเกิดจากความกลัวของอีกฝ่ายที่สะท้อนมาถึง

ทุกอย่างมันจะจบลงตรงนี้ กับการตัดสินใจครั้งนี้

“ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”

นทนทีจบคำพูดทุกสิ่งทุกอย่างด้วยริมฝีปากตัวเองที่บรรจงกดลงบนกลุ่มผมอีกฝ่ายหนักๆ ด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นในอกตอนนี้มันยากเกินกว่าจะกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดให้ตรงกับที่ใจรู้สึกได้

ปถวียกศีรษะขึ้นมองใบหน้าขาวซีดยกยิ้มให้เขาทั้งน้ำตา แล้วรู้สึกลำคอตีบตันพูดอะไรไม่ออกเสียดื้อๆ ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าประกบจูบอีกฝ่ายราวกับเพิ่งรู้จักกัน

ลิ้นอุ่นร้อนไล้เลียดูดกลืนริมฝีปากอิ่มซ้ำไปซ้ำมา ความอบอุ่นที่ถ่ายทอดผ่านสัมผัสของร่างกายกำลังบำบัดความทุกข์โศกในใจให้ค่อยๆจางหายไปพร้อมกับอุณหภูมิของร่างกายที่สูงขึ้น มือใหญ่ลากไล้ผ่านชายโครงเข้าบีบเคล้นแก้มก้นแน่นตึง แล้วจึงแยกเรียวขาขาวเปิดทางให้นิ้วแข็งเข้าไปสัมผัสช่องทางแคบแล้วจึงนวดคลึงเบาๆ ก่อนจะดึงดันกดกายตัวเองลงในความอุ่นร้อนด้วยเกินกว่าจะระงับความรู้สึกอันพุ่งพล่านนี้ได้

“อือ...” แขนเล็กเข้ายึดเกาะลำคอหนาไว้แน่น เพื่อหวังจะช่วยพยุงร่างกายตัวเองจากการกระแทกกระทั้นของอีกฝ่ายที่โถมแรงเข้าใส่จนไหวโยกไปทั้งร่าง

“อา...” ปถวีก้มหน้าลงซุกไซร้ลำคอขาวก่อนจะขบย้ำจนเกิดเป็นรอยปื้นสีแดงเด่นชัด แล้วจึงมองใบหน้าขาวซับสีเลือดที่ตอนนี้สะท้อนต้องแสงไฟจากการผุดพรายของหยาดเหงื่อหลับตาลงรับรู้ถึงการเชื่อมโยงและตอบสนองไปพร้อมๆกับเขา

เหมือนสิ่งที่ขาดหายไปถูกเติมให้เต็ม ทำให้ร่างสูงเกิดความรู้สึกอิ่มเอิบขึ้นในใจ จากความรักความศรัทธาที่ร่างเล็กนี้ได้มอบให้กับเขา เขาจะจำไว้จนวันตาย

“วี...” เสียงร้องครางเครือพร้อมกับการกดจิกปลายนิ้วลงบนผิวเนื้อหนักๆ ทำให้ร่างสูงขยับสะโพกสอดลึกและดึงรั้งบั้นท้ายมนขึ้นรับการเสียดสีกับหน้าท้องตึงเครียด ก่อนจะเพิ่มแรงกดถี่จนรับรู้ถึงอาการสั่นสะท้านและแรงกระตุกเป็นระลอกของร่างโปร่งจึงได้ก้มลงไปสัมผัสริมฝีปากบางแผ่วพลิ้ว พลางกระแทกกายส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดให้อีกฝ่ายรับรู้

“นท” ร่างสูงพึมพำทรุดตัวลงกอดก่ายร่างโปร่ง ริมฝีปากได้รูปกดจูบขมับชื้นเหงื่อหนักๆพลางหลับตาลงอย่างอ่อนล้า ปล่อยให้เวลาเดินไปเรื่อยๆเฝ้าฟังเสียงหัวใจของกันและกันเต้นเป็นจังหวะแสดงถึงการมีชีวิต

ชีวิตที่พวกเขาต้องช่วยกันประคับประคองในวันที่ยังมีกายเนื้อให้สัมผัส ให้รับรู้ถึงหัวใจที่ยังสื่อสารกันได้

ปถวีกระชับอ้อมแขนโอบกอดร่างโปร่ง อย่างหวังจะให้ความอบอุ่นจากร่างกายอีกฝ่ายขับไล่ความรู้สึกโหวเหวในอกให้มลายหายไป เมื่อไม่อาจนึกถึงวันที่ต้องห่างหายจากกันไปก่อนเวลาอันควร แล้วต้องยกยิ้มบางเบาเมื่อรู้สึกถึงแรงกอดรัดตอบกลับมา

ความรู้สึกเป็นสุขที่เอ่อล้นบนใบหน้าคมคายแม้ในยามหลับตาทำให้นทนทีพรางพรูลมหายใจยาวก่อนจะค่อยๆหลับตาลง รับฟังเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แล้วจึงปล่อยใจปล่อยกายตัวเองเข้าสู่หวงนิทราตามอีกฝ่ายไป โดยลืมไปแล้วว่าวันนี้คือวันอะไร

และกว่าจะรู้สึกตัวตื่นก็ล่วงเลยเข้าสู่เช้าวันใหม่ มือเล็กควานหาโทรศัพท์ของตัวเองบนหัวเตียงตามความเคยชิน เมื่อพบเพียงความว่างเปล่าจึงขยับตัวลุกขึ้นสะบัดศีรษะไปมาไล่ความง่วงงุน

“ลืมไว้ที่โรงแรมนี่นา” ร่างโปร่งพึมพำบอกตัวเองแล้วจึงค่อยๆหันไปมองคนตัวใหญ่ที่ยังหลับสนิทเป็นตาย หากแต่รอยบาดแผลฟกช้ำบนใบหน้าก็ทำให้นทนทีเบ้หน้าใส่ ก่อนจะส่งเสียงเรียก

“วี” นทนทีมองคนที่ยังนอนนิ่งแล้วจึงเอื้อมมือไปแตะหน้าผากวัดอุณหภูมิ แล้วจึงระบายลมหายใจเมื่อไม่มีความร้อนส่งผ่านมาให้รู้สึกว่าเกินพอดี

คงหลับลึกเหมือนคนอดนอนมานาน สายตาคู่อ่อนโยนจึงตวัดขึ้นมองหาโทรศัพท์มือถือของอีกฝ่าย แต่ไม่เห็นจึงจัดแจงตลบผ้าน่วมขึ้นมาห่มให้ร่างสูงอย่างเบามือแล้วจึงลุกเดินออกไปยังห้องรับแขกเพื่อใช้โทรศัพท์

ทว่านทนทีต้องยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองเบาๆด้วยก่อนหน้านี้ปถวีได้เอาเครื่องโทรศัพท์ไปทิ้งกันเขาโทรออกหมดแล้ว ร่างโปร่งจึงเดินกลับไปยังห้องนอนเพื่ออาบน้ำแต่งตัวแล้วออกมายืนมองคนหลับใหลชั่วขณะ ก่อนจะก้าวเข้าไปชิดขอบเตียงแล้วก้มหน้าลงแนบริมฝีปากตัวเองกับหน้าผากอีกฝ่ายเชื่องช้า ราวกับจะให้ประทับไว้ในใจตลอดกาล

ร่างโปร่งดึงตัวขึ้นแล้วหันหลังไปหยิบกระดาษเขียนข้อความอะไรบางอย่าง แล้วนำไปวางที่หัวเตียงก่อนจะค่อยๆพาตัวเองออกไปจากห้องพักอย่างเงียบเชียบ ไม่ให้คนที่นอนหลับใหลได้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมายับยั้งการจากไป
.
.
.
.
.
ร่างโปร่งบางลงจากรถแท็กซี่พลางมองลอดรั้วเข้าไปยังตัวบ้านที่ตนเองเคยมาชั่วอึดใจ แล้วจึงตรงเข้าไปกดกริ่งเมื่อเห็นรถยนต์คันงามของเจ้าของบ้านจอดนิ่งสนิทอยู่ในโรงรถ หัวคิ้วได้รูปย่นเข้าหากันเมื่อไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆจากคนในบ้านจึงกดกริ่งซ้ำ และรออยู่อีกซักพักจึงเห็นประตูบ้านขยับเคลื่อนเปิดออก

“คุณเทวัญ!

“นท!”


XXXXX

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
แสงเจิดจ้าลอดผ่านผ้าม่านหนาหนักเข้ามาสาดส่องให้ห้องทั้งห้องสว่างไสว และปลุกให้คนหลับใหลตื่นขึ้นมารับรู้ความว่างเปล่าข้างกาย

“อืม...” ความเจ็บร้าวทั้งบนใบหน้าและตามลำตัวทำให้ปถวีร้องครางพลางหรี่ตามองนาฬิกาตั้งโต๊ะข้างเตียงที่บอกเวลาใกล้เที่ยง ก่อนจะพลิกตัวกลับมองหาคนรักที่ตอนนี้ไม่อยู่ให้เห็นบนเตียง ร่างสูงจึงนอนนิ่งพยายามเงี่ยหูสดับรับฟังเสียงการเคลื่อนไหวรอบกาย

ในห้องน้ำ...ไม่มี

ห้องครัว...ไม่มี

ห้องรับแขก...ก็ไม่มี ไม่มีสัญญาณอะไรบ่งบอกให้รู้ว่านทนทียังอยู่ในห้องนี้เลย

เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่งก่อนที่ร่างสูงจะดีดตัวขึ้นมองไปรอบๆ

“นท...” ปถวียันกายลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะชะงักหยุดด้วยเจ็บยอกตามลำตัว มือใหญ่หยิบคว้าผ้าห่มขึ้นมาพันรอบเอวลวกๆแล้วจึงออกเดินสำรวจห้องตัวเองด้วยใจระทึก

“นท!” ร่างสูงส่งเสียงเรียกซ้ำหากแต่ไม่มีเสียงขานรับจากคนที่เขามองหา ความกระวนกระวายจึงเกิดขึ้นในใจ และทำให้ใบหน้าที่เริ่มสว่างไสวซีดลงเรื่อยๆ ปถวีหยิบเสื้อคลุมที่พาดบนพนักเก้าอี้ขึ้นมาสวมแทนผ้าห่ม แล้วจึงเดินออกไปยังห้องรับแขกอันว่างเปล่าไร้ผู้คน

ร่างสูงทิ้งตัวลงบนโซฟารับแขกพลางยกมือขึ้นกุมหน้าผากชื้นเหงื่อเย็นเฉียบ เขาเข้าใจอะไรผิดไปงั้นเหรอ...ศีรษะทุยเงยหงายมองเพดานห้องแล้วหลับตาลงรับรู้ความรู้สึกผิดหวังที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาทางปลายเท้าขึ้นมายังลำคอ

“แกร็ก!”

เสียงลูกบิดประตูหน้าห้องทำให้ปถวีสะดุ้งยกศีรษะขึ้นมองบานประตูค่อยๆเปิดอ้าออก ร่างโปร่งบางที่เขาตามหาเมื่อครู่เข้ามาอยู่ในกรอบสายตา เจ้าตัวที่สองมือยังถือถุงอะไรต่อมิอะไรให้พะรุงพะรังหันหลังปิดประตู แล้วจึงหันกลับมาสบตาร่างสูงที่นั่งนิ่งเงียบ คิ้วเรียวจึงเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ

“เพิ่งตื่นเหรอ” นทนทีวางถุงพลาสติกบนโต๊ะกระจก แล้วจึงขยับเข้าหาคนที่เอาแต่จ้องมอง “เป็นอะไร...เจ็บแผลเหรอ” มือเล็กเอื้อมไปสัมผัสแตะรอยช้ำบนใบหน้า พลางกวาดตามองสารรูปอีกฝ่าย “หือ...ยังไม่ได้อาบน้ำอีกเหรอ”
ไม่มีคำตอบจากร่างสูง นทนทีจึงทรุดกายนั่งลงเคียงข้างมองใบหน้าซีดขาวอย่างชั่งใจชั่วขณะ

“เป็นอะไร” นทนทีทอดเสียงถามอย่างนุ่มนวล

“ไป...ไปไหนมาเหรอ...ฉัน...ฉันตื่นมาไม่เห็น...นึกว่า...นายไปแล้ว” คำพูดตะกุกตะกักของปถวีทำให้นทนทีถอนใจยาวแล้วจึงคว้ามือใหญ่ขึ้นมากอบกุม

“ไม่ได้อ่านโน้ตบนหัวเตียงหรอกเหรอ” นทนทีมองอีกฝ่ายส่ายหน้าตอบ แล้วจึงบีบมือใหญ่เบาๆ “ฉันไปหาคุณเทวัญมา” พูดจบร่างโปร่งก็รับรู้ได้ถึงแรงกระตุกของอีกฝ่าย จึงนิ่งเงียบรอดูปฏิกิริยา

มือใหญ่กำเข้าหากันแน่นจนเห็นข้อนิ้วขาวปูดโปน ก่อนจะค่อยๆคลายออกแล้วเอ่ยปากถามด้วยเสียงแหบแห้ง

“ไปทำไมหรือ” ปถวีมองร่างโปร่งด้วยแววตาสั่นไหว เขาไม่ต้องการเป็นคนที่ทำให้นทนทีทุกข์ใจเสียเองอีกแล้ว

นทนทีมองคนรักเสียงอ่อนพลางโน้มกายเข้าหา แล้วกดริมฝีปากเข้ากับแก้มสากเบาๆ “ไปลาออกแล้วก็หางานทำน่ะสิ”

คำตอบของนทนทีทำให้ปถวีผงะกวาดตามองใบหน้าขาวนวลอย่างสงสัย “ก็...ก็นาย”

“ถึงฉันไม่ได้ไปทำงานที่นั่นแล้ว แต่ฉันยังไม่ได้ส่งใบลาออกให้คุณเทวัญเป็นเรื่องเป็นราวเลยนะ อีกอย่างฉันอยากไปจัดการเรื่องทุนที่ฉันผิดสัญญากับบริษัทด้วย”

“แต่ฉันให้กันย์เดินเรื่องแทนแล้วนี่”

“ฉันไม่เซ็นมอบอำนาจแล้วใครจะเดินเรื่องแทนได้ละ” นทนทีเอ่ยยิ้มๆ หากแต่อีกฝ่ายก็นึกค้านอยู่ในใจ

แล้วทำไมไม่ปลุกฉันล่ะ ร่างสูงเม้นปาก แต่ก็ไม่คิดจะเอ่ยออกมาให้ขัดเคืองใจอีกฝ่าย

“แล้วทางนั้นเขาว่ายังไง”

“ก็รับรู้เป็นทางการแล้ว ส่วนเรื่องสัญญาข้อผูกพันต่างๆเขาจะแจ้งให้ทราบวันหลัง” นทนทีบอกผ่านๆก่อนเอ่ยเสียงอ่อน “ขอโทษที่ไม่ได้บอก เห็นหลับสนิทเลยไม่อยากกวน อีกอย่างฉันอยากบอกคุณเทวัญด้วยตัวฉันเองด้วย” ดวงตาคู่อ่อนโยนมองลึกลงไปในดวงตาคู่คมเข้มเหมือนขอความเข้าใจจากอีกฝ่าย

ปถวีไม่ตอบแต่ยกมือขึ้นโอบไหล่เล็กเข้ามาใกล้ แล้วจูบลงบนกลุ่มผมหนาหนักๆ “อืม...” มันไม่สมควรเลยที่เขาจะไประแวงคนที่ตั้งใจอยู่เคียงข้าง

ถึงวันนี้ สิ่งที่ผ่านมาสอนให้เขารู้จักคำว่าความรักของคนสองคน ไม่ใช่ของคนเพียงคนเดียว มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ถูกใจเราไปเสียทุกอย่าง และในทางกลับกัน ทุกอย่างที่เราทำก็คงไม่ถูกใจอีกฝ่ายไปเสียทุกอย่างเหมือนกัน

“แล้วที่ว่าหางานใหม่ จะไปทำที่ไหนหรือ” ปถวีกดศีรษะอีกฝ่ายลงบนบ่าตัวเองแล้วเขี่ยเส้นผมนิ่มเล่นอย่างหนักใจ ด้วยต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะตัดใจให้คนรักไปทำงานที่อื่นอีกครั้ง แต่เพราะรัก เพราะไม่อยากเห็นคนที่รักเสียใจจึงได้แต่กล้ำกลืนความเอาแต่ใจไว้แม้จะไม่มิดเลยก็ตามที

นทนทีไม่ตอบแต่ขยับเอื้อมไปหยิบเอกสารในถุงพลาสติกบนโต๊ะออกมาคลี่ให้อีกฝ่ายดู

แค่เห็นฟอร์มบนกระดาษที่นทนทีกางให้ดูก็ทำให้ปถวีเก็บรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ เพราะมันคือฟอร์มของบริษัทสินวาณิชย์กรุ๊ป ที่เขาเป็นเจ้าของนั่นเอง

“ตอนฝึกงานทำไม่ดีไว้เยอะ ไม่รู้เขาจะรับเข้าบรรจุมั้ยเนอะ” นทนทีแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้พูด ในขณะที่อีกฝ่ายก็กระชับลำแขนดึงร่างโปร่งขึ้นมานั่งคร่อมบนตัก

“จะเอาตำแหน่งประธานบริษัทเลยมั้ยล่ะฮึ!”

“ไม่เอา...มีตำแหน่งอื่นอีกมั้ยล่ะ”

“อืม...งั้นก็ตำแหน่งเลขาประธานบริษัทดีมั้ย”

“ไม่ดี...เพราะประธานคนนี้ชอบมาวุ่นวายกับลูกน้อง”

“หือ?...แต่เหลือแค่ตำแหน่งนี้ตำแหน่งเดียวนะ” ปถวีเลิกคิ้วขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์แต่ไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบ ซึ่งก็ทำให้นทนทีหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคงเดาออกว่าเขาจะขอไปทำงานในส่วนไหนของบริษัท ต่อให้บังคับยังไงเขาก็ต้องหาเรื่องเฉไฉไปจนได้

“แล้วไปเอามาหรือ” ปถวีเอ่ยถามเข้าเรื่อง

“เปล่า คุณกันย์เอามาให้เมื่อก่อนขึ้นมานี่เอง”

“หือ”

“ก็ก่อนไปฉันโทรหาคุณกันย์ถามเรื่องขอผูกพันที่บริษัทเก่าว่าเขาเดินเรื่องไปถึงไหนแล้ว เลยถามข้อมูลเรื่องนี้ด้วย คุณกันย์เลยไปเอาใบสมัครที่ฝ่ายบุคคลมาให้”
ปถวีพยักหน้ารับรู้ความฉลาดรวดเร็วของเลขาอย่างพอใจ ก่อนจะดึงตัวคนรักเข้ามากอดแล้วประกบจูบหนักหน่วง หากแต่ความเจ็บแปลบที่ปากทำให้ต้องผละออกทำหน้าเบ้ เมื่อคืนไม่ยักกะเจ็บนะ

มือใหญ่ลูบใบหน้าตัวเองเบาๆแล้วจึงมองคนรักด้วยอาการเหมือนคนเพิ่งนึกอะไรออก “แล้วงานแต่งงานเป็นยังไงบ้าง?”

“ก็เรียบร้อยดี แต่ตอนนายโทรไปหาแม่นายช่วยบอกว่าทะเลาะกับคนเมาจนต้องหลบออกจากงานไปก็แล้วกัน จะได้เหมือนๆกัน”

“หือ?”

“ไม่หือละ เมื่อเช้าฉันโทรไปหาแม่ แม่ร้องไห้แล้วก็วุ่นวายกันใหญ่เลย เลยต้องโกหก ดีนะที่โทรไปหาก่อน ไม่งั้นพวกแม่ต้องไปแจ้งความคนหายแน่ๆ”

ปถวีนึกถึงหน้ามารดาตัวเองแล้วให้เย็นสันหลังวาบๆ นี่ถ้าแม่รู้ว่าหายตัวไปจากงานเพราะอะไรเป็นได้ถูกตีซ้ำ ทางที่ดีก็คงต้องทำตามอย่างที่อีกฝ่ายบอกเป็นเจ็บตัวน้อยที่สุด ร่างสูงจึงพยักหน้าตอบรับแล้วทิ้งน้ำหนักตัวลงโอบกอดร่างโปร่งไว้หลวมๆ

“ไม่หิวเหรอ จะเที่ยงแล้วนะ” นทนทีวาดวงแขนกอดกลับด้วยความรู้สึกโปร่งสบาย อย่างคนหายใจได้ทั่วท้องในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา

“หิว”

“งั้นไปอาบน้ำสิ แล้วจะได้มากินข้าว ฉันซื้อมาเยอะเลย เออ! จะได้ทายาด้วย”

ปถวีเงยหน้ามองแล้วจึงแนบหน้าผากตัวเองกับอีกฝ่าย ด้วยความรู้สึกที่อยากจะบอกให้คนที่เขารักรับรู้ถึงความรู้สึก ไม่ว่าจะเคยพูดมาซักกี่ครั้ง เขาก็อยากให้อีกฝ่ายฟัง

“ฉันรักนาย”

ดวงตาคู่อ่อนโยนสั่นไหวก่อนจะพยักหน้าตอบ “ฉันก็รักนายนะ”

ปถวีรับฟังด้วยหัวใจพองโต แต่ก็ต้องกลั้นใจพูดเรื่องที่ไม่อยากจะเอ่ย

“เรื่องน้องอรฉัน...” ไม่ทันให้พูดจบ นทนทีก็แนบริมฝีปากตัวเองทาบปิดปากอีกฝ่าย ให้ร่างสูงแปลกใจแต่ก็ตอบรับโดยดี และเมื่อผละออกห่างร่างเล็กจึงได้พูดออกมาเบาๆ

“ฉันเข้าใจแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรแล้ววี” นทนทีหลับตาลง ในตอนนี้เขาไม่ต้องการคำอธิบายอะไรอีกแล้ว ด้วยการกระทำของอีกฝ่ายมันชี้ชัดว่าเลือกเขา ให้เขาเป็นคนสำคัญมาตั้งแต่แรก เพียงแต่พวกเขาไม่เคยได้หันหน้าคุยกันอย่างจริงๆจังๆ จนเกือบต้องลาจากกันไปด้วยความไม่เข้าใจ

ร่างสูงพยักหน้ารับรู้อย่างใจชื้นก่อนจะเอ่ยถาม

“ยังอยากไปเรียนต่ออยู่มั้ย...”

“...ก็นะ แต่คงไม่ใช่ตอนนี้หรอก”

“อยากไปเมื่อไรบอกนะ ฉันเป็นห่วง”

นทนทีลืมตาขึ้นมองอีกฝ่ายยิ้มๆ “ยังไม่ทันไรก็ไล่กันซะแล้วเหรอ”

“ฮือ...” ปถวีพ่นลมหายใจเสียงดังอย่างขัดใจเล็กๆ

“ใครบอก แต่ถ้าอยากไปก็จะไม่ขัด”

“จริง?” นทนทีย้อนเสียงสูง หากแต่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกยังไง เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อพวกเขาได้ตัดสินใจร่วมกันแล้ว

“เดี๋ยวเหอะ!” ปถวีขย้ำแก้มก้นอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยวเมื่อรู้สึกว่าโดนแกล้ง จนร่างโปร่งนิ้วหน้าแต่ก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง

“ไปอาบน้ำเลย”

“อาบด้วยกัน”

“ไม่”

ปถวีไม่ต่อล้อต่อเถียงหากแต่ยกอีกฝ่ายจนตัวลอยพาไปยังห้องน้ำเสียดื้อๆ

เสียงหัวเราะต่อกระซิกดังลอดออกมาเป็นระยะๆ จากภายในห้องกว้างที่ตอนนี้สว่างไสวไปด้วยแสงเจิดจ้าที่สาดส่องเข้ามาจากทางระเบียง คล้ายจะต้อนรับกับความรักความเข้าใจที่คนทั้งสองมีให้กัน


XXXXX


ซองเอกสารถูกวางลงตรงหน้าปถวี ทำให้เจ้าตัวต้องเงยหน้ามองเลขาอย่างแปลกใจ ด้วยซองดังกล่าวยังไม่ได้ถูกเปิดออก
“อะไร”

“เอกสารจากบริษัท SIRI INTER ENTERTAINMENT GROUP” ส่งตรงมาจากเลขาคุณเทวัญสดๆร้อนๆเมื่อครู่ ประโยคท้ายกันย์ได้แต่นึกต่อให้ในใจด้วยกว่าจะไล่ทวีปกลับไปได้ก็เล่าเอาเหนื่อย

ปถวีมองซองเอกสารแล้วพยักหน้ารับรู้พลางชั่งใจกับซองเอกสารที่เห็น ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง

“นทเป็นยังไงบ้าง”

“เห็นว่าจะตามหัวหน้าฝ่ายไปพบลูกค้าบ่ายนี้น่ะครับ”

“เหรอ...แล้วจะกลับเข้ามามั้ย”

“ไม่ทราบครับ” คำตอบของกันย์ทำให้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ก่อนจะไล่เลขาหน้าตายออกไปจากห้องแล้วกดโทรศัพท์หาคนรักทันที

“จะกลับเข้ามามั้ย” ปถวีกรอกเสียงใส่โทรศัพท์

“ไม่เหรอ...งั้นให้รถไปรอรับนะ” ร่างสูงเงียบเสียงไปชั่วครู่แล้วจึงวางสายเพ่งมองโทรศัพท์อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“ดื้อ!” ปถวีบ่นคนรักที่เขาไม่สามารถโน้มน้าวให้มาทำงานเป็นเลขาหน้าห้องได้ จึงจำใจให้ไปทำงานที่ฝ่ายกฎหมายของบริษัทตามที่อีกฝ่ายร้องขอ

ร่างสูงจึงหันกลับมาสนใจซองเอกสารที่จ่าหน้าซองส่งตรงถึงเขาอีกครั้ง มือใหญ่ฉีกซองเอกสารออกอย่างไม่คิดจะปราณี แล้วจึงหยิบเอกสารภายในขึ้นมาอ่าน

ปถวีกวาดตาไล่อ่านข้อความตามเอกสารอย่างใช้ความคิดก่อนจะหรี่ตาขมวดคิ้วเข้าหากันอีกรอบ ด้วยข้อความในเอกสารคือการให้ชดใช้ทุนการศึกษาทั้งหมดที่นทนทีได้ทำสัญญาไว้หากผิดเงื่อนไข มันก็ไม่น่าแปลกใจอะไรในเมื่อผิดสัญญาก็จะถูกปรับเป็นจำนวนเงินกี่เท่าของเงินที่ยืมไปตามแต่ตกลง ซึ่งเขาก็เต็มใจจะชดใช้ให้แทนอยู่แล้ว หากแต่เอกสารหมายเหตุที่แนบท้ายสัญญามาด้วยทำให้ปถวีนึกฉุน ด้วยมันเป็นเงินค่าปรับค่าชดใช้ความเสียหายที่อีกฝ่ายหาเหตุมาใส่ไว้ ราวกับจะแกล้ง

เงินชดใช้ค่าเสียหายเนื่องจากไม่แจ้งให้บริษัททราบล่วงหน้าก่อนลาออก6เดือน

ค่าปรับผิดสัญญาการกู้ยืมทุนการศึกษาครั้งที่1

ค่าปรับผิดสัญญาการกู้ยืมทุนการศึกษาครั้งที่2

ค่าดำเนินการติดตามเรื่อง

ค่าเอกสารการทำสัญญา และค่าอะไรต่อมิอะไรที่อีกฝ่ายจะสามารถยัดใส่เข้ามาได้ตามมาเป็นห่างว่าว

“ไอ้บ้า” ปถวีสบถแล้วจึงแกะซองจดหมายเล็กๆที่แนบติดมาด้วยออกอ่าน

“ถึงคุณปถวี เงินค่าปรับในส่วนที่สอง บริษัทจะดำเนินการบริจาคมอบให้เป็นทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนขาดแคลนต่อไป จาก เทวัญ...ไอ้บ้าเอ๊ย!” ปถวีสบถอีกรอบก่อนจะขย้ำกระดาษปาส่งๆไปให้ไกลตัว

“จะเรียกมากกว่านี้ฉันก็จ่ายได้วะ”

ร่างสูงบ่นอย่างหัวเสียเหมือนถูกอีกฝ่ายท้าทาย เพราะถ้าเขาเอาสัญญาทั้งหมดไปให้นทนทีดูเมื่อไรเป็นต้องได้เรื่อง ด้วยเจ้าตัวคงจะรู้สึกผิดแล้วก็วิ่งลอกหางานพิเศษทำเพิ่ม หรือไม่ก็อาจจะขายที่ขายทางใช้หนี้รึก็ไม่รู้ ซึ่งเขาไม่ทำแบบนั้นแน่ๆและอีกฝ่ายก็คงรู้ดีอยู่แล้วถึงได้ทำออกมาในรูปแบบนี้

“เจ้าเล่ห์นักนะไอ้เฒ่า!”

---END---

เย้ๆๆๆ จบเเล้ว
ตาลายมากๆ
ไม่ค่อยได้ตรวจเท่าไร ถ้าตรงไหนผิด อ่านเเล้วงงๆ บอกได้นะ

ขอบคุณทุกคอมเมนท์ค่ะ

เดี่ยวเจอกัน พรุ่งนี้ ตอนพิเศษสองตอน

ออฟไลน์ ปี้ปี้ปี้~PalmY

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2427
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +273/-1
ไม่ผ่าน

จบไมเคลีย

ชะนีอรยังอยู่

คุณแม่ยังลากน้อง นี มาเอี่ยว รับมิได้

T^T

แล้วก็คำผิดเน้อเจ๊ (เรียกเจ๊ได้ปะ ปิ้งๆ)

เดือนใจ >> เดือดใจ ดิ T^T

ที่เหลือ ลืมหมดละ ๕๕๕
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-10-2009 23:46:56 โดย ปี้ปี้ปี้~PalmY »

ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
มาตามคำขอจริงๆ ขอจบได้จบ 5555

ดีใจที่ลงเอยกันได้ทั้งสองคู่เลยอะ ชอบมากๆๆๆๆๆ

รอดูตอนพิเศษจ้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Chanta

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
 :z3:

ห๋า.....จบแล้วเหรอ.....

 :serius2:

กำลังลุ้นอยู่เลย....
ว่าจะจบยังไง....

 :a5:

มึนเลย.....

ขอปิดคอมแล้วกลับมาใหม่.....

เผือว่าฝันไป.... :เฮ้อ:

LoveNineTeen

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณมากค่ะที่มาลงจนจบ แต่....ไม่เคลียร์อย่างแรง

ยัยอร..จะยอมรามือไหม

คุณพ่อ คุณแม่..จะยอมรับไหม

ยังเป็นการคบกันแบบปิดบังอยู่หรือ..น่าสงสาร



 

ออฟไลน์ Papoonn

  • inspiration <3
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ไม่เคลียร์ ๆๆๆๆๆ
คือแบบจบแบบนี้ 
แล้วพ่อแม่ น้องอร 
คนอื่น ๆ ว่าไง

งงงงงงงงงง   !

ออฟไลน์ kungyung

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1755
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
จบแล้วหรออออออออออออ???
เหมือนมันยังค้างๆคาๆยังไงไม่รู้อ่ะ

ออฟไลน์ kunkai

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3734
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-2
อ่านจบแล้วค้าบ

 :pig4:ค้าบ


แต่    จะรอตอนพิเศษนะค้าบ  :impress2:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-10-2009 11:42:18 โดย kunkai »

ออฟไลน์ thaitanoi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1451
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
จบจริงเหรอครับเนี่ย แต่ยังไงก็ได้อยู่ด้วยกันแล้วเพียง แต่พ่อกับแม่ยังไม่รับรู้ แล้วอรล่ะ  ถ้ามีตอนพิเศษก็มาลงอีกนะครับ ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
เย้ๆๆๆ เข้าใจกันแล้ว ค่อยหายใจได้โล่งหน่อยที่เรื่องมันจบแฮปปี้ 
แต่น่าเสียดายที่ยังต้องปิดเรื่องบอกคนในครอบครัวไม่ได้นี่ดิ ไม่งั้นสองคู่ชู้ชื่น พี่ได้พี่ น้องได้น้อง ฮิ้ววววว

ปล. อยาก + ให้คนโพสต์สัก 10 คะแนน ข้อหาคนอ่านขอ คนโพสต์จัดให้ กรี๊ดดดด สะใจมาก  :กอด1:

DexTunG

  • บุคคลทั่วไป
 :pig4: 

มีต่ออีกหรอป่าวครับ

รู้สึกว่ายังไม่เคลียนะครับ

 :z2:    :z2:

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
^
^
^
^
คุณน้องทุกท่าน มันจบเเล้วอะ :เฮ้อ:
คุณพี่ตาลายมากเมื่อคืน บ้าพลังเกินไป
เเละขอโทษสำหรับคำผิด

ส่วนเรื่องค้างเเละงง
ไว้จะให้พี่ sake เค้ามาเคลียร์เอง 555+ :z2:
อาจจะมีตอนพิเศษมาต่อก็ได้ ว้าวๆ

เเต่ตอนเจี๊ยบอ่านมันจะว่าค้างก็ไม่ค้างนะ จะว่าค้างก็ค้าง(รายของมึงวะ)

เอ่อ... เท่าที่เข้าใจ(เอง)เเละจิ้นต่อเนี่ย คุณหญิงเเม่ก็ถือว่าเชื่อเเละรักลูกอะนะ เเบบว่าตามใจเรื่องคนรัก
ส่วนอีน้องอร จงไปหาคนโสดเถอะ เเละเค้าก็ยอมเเพ้ไปเเล้วเน้อ

เดี่ยวคืนนี้มาต่อตอนพิเศษ 2 ตอน คู่ไผ่-วิช  :haun4:

ปล. ขอบคุณทุกคนค่ะ

ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
ยังนานนะค่ะ ดิฉันจะรอ

//ปูเสื่อกินขนมรออ่าน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด