[นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake  (อ่าน 272741 ครั้ง)

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
ควรจะลงถี่นะครับสำหรับภาคนี้

เพราะว่าภาคนี้ค่อนข้างจะทะเลาะกันบ่อย ฉะนั้นมันจะทำให้คนอ่านเกิดอาการค้าง  :a5:
และหลายๆคนเกิดอาการค้างจนกู่ไม่กลับ ข้ามวันข้ามคืน ดังนั้นในกรณีของใครที่้เกิดอาการนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วงครับ
ซึ่งในกรณีนี้ก็คงร่วมถึงผมด้วย การที่คุณทำให้ค้าง ทำให้คนอื่นอ่านหลายๆคนต้องชอกช้ำไปพร้อมๆกันครับ
ดังนั้นเพื่อแก้การเกิดปัญหาจำพวกนี้ เราควรหลีกเลี่ยงการ "ค้าง" ไว้ให้มากที่สุดครับ

ปล. ไมวันนี้ตรูพิมพ์เพี้ยนๆวะ

ไม่เพี้ยนเลยค่ะคุณน้อง เพราะพี่เพี้ยนกว่า 55+
จัดให้ทันทีเลยค่ะ เข้าใจนะ ค้างๆเนี่ยมันอึดอัด เพราะเค้าก็ค้างจากเรื่องอื่นเหมือนกัน (มิกกี้เมื่อไหร่จะมา~~~~~)
เดี่ยวมาลงอีก วันละ 2-3 ตอนหรือมากกว่านั้น รึลงให้จบไปเลย555+ (เพี้ยนละ)

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ควรจะลงถี่นะครับสำหรับภาคนี้

เพราะว่าภาคนี้ค่อนข้างจะทะเลาะกันบ่อย ฉะนั้นมันจะทำให้คนอ่านเกิดอาการค้าง  :a5:
และหลายๆคนเกิดอาการค้างจนกู่ไม่กลับ ข้ามวันข้ามคืน ดังนั้นในกรณีของใครที่้เกิดอาการนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วงครับ
ซึ่งในกรณีนี้ก็คงร่วมถึงผมด้วย การที่คุณทำให้ค้าง ทำให้คนอื่นอ่านหลายๆคนต้องชอกช้ำไปพร้อมๆกันครับ
ดังนั้นเพื่อแก้การเกิดปัญหาจำพวกนี้ เราควรหลีกเลี่ยงการ "ค้าง" ไว้ให้มากที่สุดครับ

ปล. ไมวันนี้ตรูพิมพ์เพี้ยนๆวะ

เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยค่ะ อ่านภาคนี้แล้วทั้งค้าง ทั้งปวดใจ ทำไมเป็นแบบนี้ :z3:

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
^
^
^
คุณ dahlia เดี่ยวจะปวดใจกว่านี้  :z1:
เดี่ยวมาต่อให้ สามตอนรวด โหะโหะ

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
ตอนที่ 5

“พี่นท” เสียงเรียกแผ่วเบาของอนลทำให้นทนทีที่นั่งเหม่อลอยเรียกสติสตังกลับมาสนใจเรียงชมพู่ใส่กระจาดตามเดิม

“อะ...อะไรเหรอนล” นทนทียกยิ้มบางอย่างเก้อๆ

“ทะเลาะอะไรกับพี่วีรึเปล่าครับ...เมื่อวานเห็นกลับบ้านใหญ่ เดินกระทืบเท้าจนบ้านแทบพังแน่ะ ตอนกินข้าวก็เห็นคุยกันดีๆอยู่แท้ๆ” แววตาห่วงใยพี่ชายสะท้อนอยู่ในดวงตาคู่อ่อนโยนเป็นนิจ ทำให้นทนทีระบายลมหายใจออกมา

“อืม...ก็พี่ของนลน่ะ พอไม่ได้ดังใจก็เอะอะโวยวายจนพี่ไม่อยากจะคบด้วยแล้ว”

“อา...ทะเลาะกันจริงๆด้วย ทำเหมือนตอนเรียนมหา’ลัยเลย ตอนนั้นทะเลาะกันแทบทุกวัน แต่ตอนนี้ก็ญาติดีกันแล้วนี่ครับ อย่าโกรธกันนานเลยนะ ผมจะพลอยโดนหางเลขไปด้วย ขี้ยัวะยังกับอะไร รายนั้นน่ะ” อนลแกล้งถอนหายใจยืดยาวพลางชายตามองร่างโปร่งจัดเรียงผลไม้ใส่กระจาดไปขาย

นทนทีเงยหน้ามองเพื่อนอายุน้อยก่อนจะส่ายหน้าอย่างหน่ายใจ

“นลไม่ต้องกังวลไปหรอก พี่ก็ไม่ได้อยากจะทะเลาะด้วยหรอก แต่รอให้เขาหายโมโหก่อนค่อยคุยกัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอกน่ะ” นทนทีมองอนลช่วยหยิบโน้นจับนี่อย่างคล่องแคล้ว นี่มาบ่อยจนรู้งานไปเสียทุกอย่างก็ว่าได้

“ว่าแต่นลเถอะ วันหยุดแบบนี้ไม่อยู่บ้านนอนพักสบายๆบ้างเหรอ เห็นมาช่วยแทบทุกอาทิตย์เลย พี่เกรงใจนะ” นทนทียิ้มบาง

“ฮะๆ ไม่ต้องเกรงใจหรอกพี่ ผมได้กินกับข้าวอร่อยๆเป็นค่าจ้างอยู่แล้ว จะกินเกินค่าแรงตัวเองเสียด้วยซ้ำ” อนลยกมือขึ้นลูบผมตัวเองเก้อๆ

“ที่บ้านกับข้าวไม่อร่อยเหรอ?” นทนทีแสร้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ถามคนตัวโต

“อะ!...ก็...ก็อร่อยครับ” ร่างสูงสะดุ้ง พลางเหลือบมองอีกฝ่ายที่ดูจะรู้เท่าทันความคิด ก็ยิ่งรู้สึกวูบๆวาบๆไปทั้งตัว ก็เล่นจ้องตาใสขนาดนั้น

“โธ่...พี่นท” อนลลากเสียงอ่อนใจ ก่อนจะพรางพรูลมหายใจออกมา แล้วสูดกลับเข้าไปใหม่เหมือนคนตัดสินใจได้

“พี่นท...ผมรักน้องวานะครับ”

คำสารภาพตรงๆของอนลทำให้นทนทีต้องหยุดหายใจชั่วครู่ แล้วจึงค่อยๆเคลื่อนสายตาขึ้นประสานกับดวงตาคู่แน่วนิ่งที่จ้องมองมา

“ผมรู้ว่าพี่นทคิดอะไรอยู่ แต่คนที่มีฐานะอย่างผม ก็ไม่จำเป็นต้องคิดว่าเงินต่อเงินเสมอไปนะพี่” อนลหยุดนิ่งมองอีกฝ่ายที่ดูจะตั้งใจฟังความคิดของเขาอย่างเงียบๆ

“พี่นท...คนเราเวลาทำงานมากๆก็ยิ่งต้องการที่พัก ที่พักที่สามารถวางใจของเราได้อย่างสบายใจ น้องวาทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น”

“อืม...พี่ก็พอเข้าใจนลนะ” นทนทีพยักหน้ารับรู้ความรู้สึกของอนลอย่างหดหู่ใจ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคนทั้งคู่เฝ้าถนอมความรู้สึกดีๆให้กันมานานแค่ไหน ทำไมเขาจะไม่อยากสนับสนุนให้คนทั้งคู่ลงเอยกัน แต่ความคิดความรู้สึกของเขาคนเดียวมันไม่ทำให้คนทั้งคู่ครองรักกันได้อย่างราบรื่น...

“แต่นล...นลต้องการที่พักใจ แล้ววาละ วาพร้อมจะเป็นที่พักใจของนลมั้ย นล...แค่คำว่ารักมันไม่พอจะทำให้เราอยู่ได้อย่างสุขสงบอย่างที่เราหวังไว้หรอกนะ ทุกอย่างมันมีองค์ประกอบ มีสังคมรอบข้าง สังคมใกล้ตัว ครอบครัว นลบอกว่าวาเป็นที่พักใจของนล แล้วนลจะเป็นที่พัก ที่พึงพิงให้วาได้รึเปล่า” คำถามของนทนทีทำให้ใจที่ตั้งมั่นของอนลต้องสั่นคลอน

“พี่จะบอกว่า ถ้าน้องวาอยู่กับผมแล้วจะทุกข์ใจหรือพี่” อนลก้มหน้าลงมองพื้นไม้กระดานที่ถูกถูจนมันวาว รู้สึกเหมือนลูกโป่งถูกปล่อยลม “ทำไมเหรอพี่”

คำถามที่เอ่ยออกมาเพียงเบาๆทำให้นทนทียิ้มบางด้วยเห็นใจ แล้วจึงตัดใจพูดต่อ

“เพราะอะไรที่ต่างกันมากเกินไป มันยากที่จะปรับตัวเข้าหากัน ไม่ว่าจะเป็นตัวเองหรือคนรอบข้าง”

“แต่...”

“อืม... ถึงปรับได้แต่มันก็ต้องใช้เวลา ใช้ความพยายาม ความอดทน และถ้าเกิดท้อ เกิดเหนื่อย... ก็จะเสียใจกันทั้งคู่ นลพร้อมรับผลในสิ่งที่นลกำลังจะตัดสินใจรึยัง”

ร่างสูงก้มหน้าครุ่นคิดชั่วครู่ แล้วจึงยกสองมือขึ้นเสยผมไปด้านหลัง มองออกไปยังประตูหน้าบ้าน ที่มีร่างหญิงสาวอันเป็นที่รักกำลังเดินเข้ามา

“พี่นท ผมจะย่นระยะห่างให้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ ก่อนจะดึงน้องวาให้ไปร่วมหัวจมท้ายกับผม เพราะผมก็ไม่ต้องการจะเอาเปรียบคนที่ผมรักเหมือนกัน ถ้าผมสบายใจ เขาก็ต้องอยู่อย่างสบายใจเหมือนกัน แล้วถ้าผมทำไม่ได้ ผมก็จะไม่เอาน้องวาไปให้ใครเหยียบย่ำหรอกครับ เพราะเท่ากับผมให้ใครๆมาเหยียบลงในหัวใจผมเหมือนกัน” อนลส่งยิ้มนัยน์ตาโศกให้ร่างโปร่ง

“ขอบใจ...ขอบใจที่เข้าใจนะนล” นทนทียิ้มให้กับตัวเองก่อนจะก้มหน้าลงพูดลอยๆ

“พูดง่ายกว่าพี่นายเยอะเลยนี่ หึๆ” ร่างโปร่งยักคิ้วเหล่มองอีกฝ่าย

“โธ่พี่นท ผมไม่ดันทุรังให้ใครๆต้องลำบากใจหรอกครับ ผมเชื่อว่าถ้าผมค่อยๆพยายาม ทุกคนคงเข้าใจและให้โอกาสทั้งผมทั้งน้องวาได้พิสูจน์ความตั้งใจของพวกเรา”

“พี่ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น ว่าแต่นลไม่คิดจะไปเรียนต่อปริญญาเอกเหรอ เห็นเจ้าวีบอกว่าแม่นลบ่นอยู่ทุกวัน” นทนทีพิจารณาใบหน้าที่มีสีเข้มขึ้นเล็กน้อยของอีกฝ่าย

“ห่วงเหรอ?”

“ก็...ก็ห่วงสิครับ” น้ำเสียงแฝงความกังวลอยู่ไม่น้อยทำให้นทนทียิ้มพราย

“ทำหน้าที่ของเราให้สำเร็จก่อนดีมั้ยนล แล้วอย่างอื่นค่อยตามมาทีหลัง แม่จะได้สบายใจด้วย”

“พี่นท...ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่...” แต่มันก็ยังห่วงนี่พี่ หวงด้วย ไปเรียนโดยทิ้งน้องวาไว้แบบนี้ผมคงเรียนไม่รู้เรื่อง แล้วจะให้ผมตัดใจไปเรียนได้ยังไงละพี่นท เห็นผมนิ่งๆเย็นๆแบบนี้ เพราะผมอยากจะรอให้น้องวาโตและพร้อมจะร่วมชีวิตไปด้วยกัน แล้วตอนนี้น้องวาก็โตพอ มีความคิดความอ่านพอ แล้วจะให้ผมทิ้งไปเรียนตั้งเป็นปีๆแบบนั้น ผมก็คิดหนักเหมือนกันนะพี่

เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าปั้นยาก นทนทีจึงจำต้องหยุดไล่ต้อนอีกฝ่าย ที่เขาจำต้องพูดแบบนี้ก็เพราะต้องการให้อนลไปเรียนต่อ ด้วยไม่อยากรู้สึกว่าน้องสาวเขาเป็นสิ่งที่ถ่วงความเจริญของอีกฝ่าย เขาไม่อยากให้ใครๆมองในแง่นั้นเลย

“ไม่ต้องบอกพี่ตอนนี้ก็ได้ ค่อยๆคิดแล้วก็เอาไปปรึกษากับพ่อแม่ดูนะ เผื่อท่านจะมีความคิดดีๆให้นล คนเป็นพ่อแม่น่ะ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ ประสบการณ์ชีวิตก็มาก ถ้านลได้พูดคุยปรึกษากับท่านมากๆ นลน่าจะได้ทางออกที่ดีที่สุดนะ ใครที่เป็นพ่อเป็นแม่ย่อมต้องสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกเสมอละนล” นทนทียิ้มกว้างให้อนลที่มองตรงมา

“สิ่งที่ดีที่สุดไม่ใช่แค่สุขสบายกายเท่านั้น ต้องสบายใจด้วย ไม่มีพ่อแม่คนไหนสบายใจเมื่อเห็นสิ่งที่ตัวเองเลือกให้ลูกแล้วทำให้ลูกเป็นทุกข์นอนก่ายหน้าผากหรอกน่า...”

อนลรับฟังก่อนจะหันหน้าไปส่งยิ้มให้วารีที่เดินเอากระจาดผลไม้มาเก็บอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ก่อนจะระบายลมหายใจออกมาเบาๆ

“คุยกับพี่นทแล้วผมรู้สึกอายแทนพี่ชายตัวเองจริงๆ รายนั้นบอกให้ลุยลูกเดียว หึๆ” อนลยกยิ้มมุมปากนึกขำพี่ชายตัวเอง

“ก็สมเป็นเจ้านั่นแล้วนี่” นทนทีเค้นยิ้มด้วยในใจกระหวัดนึกอยากจับคนที่ถูกพาดพิงมาหักคอซะเดี๋ยวนี้

“พี่นทผมจะพยายามนะพี่ แต่วันนี้ขอผมอยู่กินข้าวเย็นด้วยนะครับ” ร่างสูงส่งยิ้มเรี่ยราดให้นทนทีหัวเราะขำอากัปกิริยาเหมือนตอนยังเรียนอยู่ไม่มีผิด

“คุยอะไรกันเป็นนานสองนานคะ” วารีที่เก็บกระจาดผลไม้เสร็จเดินเข้ามาหาสองหนุ่มที่นั่งจัดผลไม้ใส่กระจาดเตรียมขายช่วงบ่าย

“ก็คุยว่าวันนี้น้องวาจะทำกับข้าวอะไรกินตอนเย็นนะสิ” อนลหันไปยิ้มให้หญิงสาวขณะที่มือก็ยังคงทำงานไปด้วย

“พี่นลอยากทานอะไรเหรอคะ” วารีทรุดตัวลงนั่ง พลางเลื่อนกระจาดชมพู่ที่จัดเรียงเสร็จแล้วไปใกล้ตัว

“อืม...เอาเป็นแกงเขียวหวานไก่ก็ดีนะ ดีๆไม่ได้กินมานานแล้วด้วย เอาเผ็ดๆหน่อยนะน้องวา” อนลเหลือบมองหญิงสาวที่มองมาก่อนแล้ว ใบหน้านวลซับสีเลือดจางๆด้วยความร้อนของอากาศยามบ่าย แต่ดวงตายังคงความสดใสให้คนที่เห็นรู้สึกอยากยิ้มตาม

“ก็ถ้าพี่นลปอกมะพร้าวแล้วก็ขูดมะพร้าวให้ น้องวาก็จะแกงให้ทานคะ” วารียิ้มเย้าพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อบริเวณขมับ

“ได้ๆเดี๋ยวพี่เรียงชมพู่เสร็จ พี่จะไปปอกมะพร้าวไว้คอยน้องวาเลยละ แล้วห้ามเบี้ยวนา...”

“ฮะๆได้คะ เก็บร้านแล้วจะมาทำให้ทาน ตอนนี้ขอเอาผลไม้ไปขายก่อนนะคะ”

“วันนี้ขายดีนะ เห็นมาเอาไปหลายกระจาดแล้วนี่” นทนทีมองวารีกระเดียดกระจาดเข้าเอว

“ช่วงต้นเดือนก็แบบนี้ละคะพี่” วารีเดินไปหยิบส้มโอผลโตที่เก็บไว้ต่างหากออกมาจากชั้นวางของ

“แล้วจะเอาส้มโอไปทำไมเหรอวา ไม่ได้เอาไว้กินเหรอ” นทนทีถามน้องสาวด้วยช่วงนี้ไม่ค่อยมีส้มโอไว้ขายมากนักด้วยไม่ใช่น่าของมัน เห็นน้องสาวเก็บไว้ก็คิดว่าจะเอาไว้กินเอง

“คุณน้าคนสวยเขาสั่งไว้นะคะ วาเลยเก็บเอาไว้ให้ คงจะมาช่วงบ่ายๆนี่ละคะ” วารียิ้มบางก่อนจะเดินไปยังแผงผลไม้ที่มีมารดาเฝ้าอยู่

“อืม แล้วตอนเย็นพี่จะไปช่วยเก็บแผงนะ”

“ค่ะพี่”


XXXXX


“วา แม่เข้าบ้านก่อนนะลูก” มารดาวารีเอ่ยขึ้นเมื่อตะวันคล้อย

“คะ เดี๋ยวที่เหลือวาดูเองคะ” วารียิ้มส่งมารดาเดินกลับบ้าน แต่จริงๆไม่ได้กลับเข้าบ้านหรอก มารดาจะเดินเข้าไปในสวนโน้นแนะ ไปดูผลงานที่ให้คนงานทำไว้ตั้งแต่เช้านั่นละ

หญิงสาวคิดพลางเหลือบมองผลส้มโอลูกโตที่เก็บเอาไว้หน้าคุณน้าคนสวยที่วารีแอบตั้งฉายาให้ในใจ ทั้งๆที่ไม่เคยกล้าจะถามชื่อแซ่ เรียกแต่คุณน้าๆมาตลอดหลายปี แต่วารีก็ยินดีที่จะบริการอย่างเป็นมิตรและเต็มใจ เพราะคุณน้าคนสวยพูดเพราะ ใจดี แม้แรกๆจะดูเชิดหยิ่งอย่างคนมีฐานะ แต่ก็สู้อุตส่าห์ยิ้มไว้ ด้วยเพราะเป็นลูกค้าอย่างหนึ่งละ และถึงจะจู้จี้จุกจิกเลือกผลไม้ทีเป็นนานสองนาน ก็จะพยายามช่วยเลือกผลที่สวยๆดีๆให้ เพราะอยากให้ลูกค้าพอใจและกลับมาซื้ออีก นานเข้าก็แถมให้อีกด้วย ยังไงก็ของปลูกเอง ไม่ได้ผ่านพ่อค้าคนกลาง แถมยังไงก็ไม่จนขึ้นมาอีกหรอก และนั่นละทำให้คุณน้าคนสวยเริ่มยิ้มและพูดคุยด้วยบ่อยๆ ทั้งคุณน้าคนสวยก็ซื้อผลไม้เยอะมาก จนบางทีก็ตกใจว่าซื้อไปทำไมเป็นสิบโล พอถามไป ก็ได้รับคำตอบว่าซื้อไปฝากเพื่อน ของที่นี่อร่อย ทำเอาวารีปลื้มไปหลายวัน จนเดี๋ยวนี้เริ่มคุ้นเคยและสามารถทำได้มากกว่าการยิ้มให้กัน เพราะถูกชะตากันละมั้ง แต่วันนี้คุณน้าคนสวยยังไม่มาเลย รึจะติดธุระ แต่ส่วนมากถ้าไม่มาเองก็จะให้คนมาเอา รอหน่อยแล้วกัน...

วารีมองตะวันที่เริ่มทอแสงสีส้มอ่อน แล้วจึงก้มหน้าก้มตาทยอยเก็บของ รอพี่ชายมาช่วยขนเข้าไปเก็บในบ้าน

“หนู...” เสียงเรียกคุ้นหูทำให้วารีเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่

“คุณน้า! สวัสดีคะ” วารียกมือไหว้หญิงสูงวัยแต่ใบหน้ากลับไม่ได้สูงวัยตามไปด้วย วันนี้คุณน้าคนสวยสวมใส่ชุดสูทสีขาวนวลดูกระจ่างตา ทรงผมที่ถูกจัดแต่งมาอย่างดีมีประกายเฉดสีน้ำตาลอมแดงนิดๆ ริมฝีปากประดับรอยยิ้มน้อยๆทำให้ใบหน้าดูนุ่มนวลอ่อนโยน

“ขอโทษนะหนู พอดีน้ามีธุระเลยมาเอาของช้า จะเก็บร้านแล้วหรือจ๊ะ”

“คะ แต่หนูเก็บผลไม้ที่น้าสั่งไว้ให้อยู่นะคะ” วารียิ้มจนตาหยี ก่อนจะก้มหน้าลงไปหยิบผลส้มโอใต้โต๊ะ และหยิบกล้วยหอมทอง 2 หวี กับชมพู่ทับทิมจันทร์ 5 กิโลใส่ถุงให้ตามที่สั่งไว้ พร้อมกับเลือกกระท้อนผลโตในกระจาดแถมใส่ให้อีก 3-4 ลูก

“แถมอีกแล้ว ไม่ต้องหรอกหนู” คุณน้าคนสวยแสร้งทำตาดุ ก่อนจะหยิบธนบัตรส่งให้เป็นค่าผลไม้

“หนูอยากให้คุณน้าลองชิมดูนะคะ ช่วงนี้กระท้อนจะอร่อยมากเลยคะ ที่สำคัญทานแล้วไม่อ้วน” วารีแกล้งสัพยอกด้วยรอยยิ้ม จนอีกฝ่ายต้องหัวเราะตามไปด้วย

“คนอายุมากแล้วมันก็อย่างนี้ละหนู จะกินอะไรมันก็ต้องระวังกันนิด โรคมันเยอะน่ะหนู หนูก็ระวังอย่าทำกับข้าวมันๆให้คุณแม่ทานบ่อยๆนะ อายุมากแล้วทานของพวกนี้ไม่ค่อยดีกับสุขภาพ”

“คะ หนูก็ระวังอยู่เหมือนกัน ยิ่งตอนนี้เป็นโรคความดันสูงอยู่ด้วย”

“นั่นละ ต้องระวังมากๆเลยละ แล้ววันนี้ทำอะไรทานกันตอนเย็นละเนี่ย” หญิงสูงวัยชวนเด็กสาวคุยอย่างทอดเวลา

“ฮะๆเก็บร้านเสร็จก็จะเข้าไปทำแกงเขียวหวานไก่นะคะ”

“ทำยากนะนั่น เย็นแล้วไม่ลำบากทำเหรอจ๊ะ”

“อ๋อ พอดีมีคนขูดมะพร้าวไว้ให้นะคะ หนูเลยแค่ไปปรุงอย่างเดียว”

“หือ...อ๋อ หนูมีพี่ชายนี่นะ รักกันดีจังนะพวกหนูนี่ ไม่เหมือนลูกน้า อยู่ไม่ค่อยติดบ้านกันซักคน” หญิงสูงวัยพยักพเยิดหน้าไปทางบ้าน

“หึๆไม่ใช่พี่นทหรอกคะ พอดีวันนี้เพื่อนพี่นทมาเที่ยวบ้านเลยอาสาขูดมะพร้าวให้นะคะ” วารียิ้มพลางส่งเงินทอนให้

“เอ๋...เพื่อนพี่หรือแฟนกันจ๊ะ” เมื่อคุณน้าคนสวยแสร้งทำตาเหมือนรู้ทันเด็ก ทำให้วารีหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะปฏิเสธ

“ไม่ใช่หรอกคะ เพื่อนพี่ชายจริงๆคะ”

เมื่อเด็กสาวปฏิเสธอย่างแข่งขัน คุณน้าคนสวยก็เลิกคิ้วขึ้นมองอย่างแปลกใจ

“แล้วไม่มีแฟนกับเขาบ้างหรือจ๊ะ หนูหน้าตาออกจะน่ารัก”

“ก็...ก็ไม่มีหรอกคะ หนูภาระเยอะ ไม่อยากพาใครมารับภาระตรงนี้ด้วยหรอกคะ” หนูไม่มีแฟนจริงๆนะคะ ก็หนูกับพี่นลไม่เคยตกลงวาจาเป็นแฟนกันซักที แค่รับรู้ในการกระทำต่อกันเท่านั้นเอง

“หนู เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่เขาไม่ได้เรียกว่าภาระหรอกนะ เขาเรียกว่ากตัญญูจ๊ะ”

“คะ...ไว้หนูจะรอคนที่เขาเข้าใจหนูก็แล้วกันคะน้า” วารียกยิ้มให้คนน้าคนสวย

หญิงสูงวัยดูจะพออกพอใจในการสำรวมกริยาของเด็กสาว ก่อนจะจบบทสนทนาด้วยการหยิบถุงผลไม้ส่งให้คนขับรถที่ยืนรออยู่ห่างๆรับไปใส่รถยนต์

“ไปก่อนนะหนู ไว้น้าจะมาซื้อใหม่ เออ! จริงสิ จะถามว่าหนูรับจัดกระเช้าผลไม้ด้วยรึเปล่าจ๊ะ เอาที่หนูขายอยู่นี่ละ น้าจะเอาไปเยี่ยมคนป่วยหน่อย”

“อ๋อ...หนูจัดให้ได้คะ แต่ใครเป็นอะไรหรือคะ”

“เพื่อนน้าไปนอนให้หมอผ่าไส้ติ่งน่ะจ๊ะ ถ้าหนูจัดได้ งั้นพรุ่งนี้น้าจะให้คนขับรถมาเอาตอนเช้าๆนะจ๊ะ”

“คะ” วารีรับคำแล้วจึงเดินไปส่งถึงรถ ก่อนจะกลับมาเก็บแผงต่อจนเสร็จ อนลจึงเดินออกมาช่วยขนกระจาดกลับไปเก็บในบ้าน

“ไงน้องวา ขายดีมั้ย”

“คะ ก่อนเก็บร้านก็ขายได้หลายร้อยเลยคะ คุณน้าคนสวยมาที่ไร วันนั้นวารวยไปเลย” วารีหัวเราะให้ชายหนุ่มยกมือขึ้นขยี้ศีรษะอย่างเอ็นดู

“เห็นพูดถึงบ่อยๆ พี่ไม่เคยได้เห็นหน้าคุณน้าคนสวยของวาซักที”

“ก็พี่นลอยู่ในบ้านนี่คะ”

“เอาเถอะๆ วันไหนว่างๆพี่จะมานั่งขายด้วยซะเลย จะได้เห็นตัว ว่าแต่ไม่ลืมสัญญานะ แกงเขียวหวานไก่” อนลแสร้งหรี่ตาลงข้างหนึ่ง ทวงสัญญากับเด็กสาว

“ค๊า...ไม่ลืมหรอกคะ ว่าแต่ขูดมะพร้าวเสร็จยังหรอก”

“ฝีมือ แถมคั้นกะทิให้ด้วย”

“ว๊า ต้องกินขี้มือพี่นลเหรอ”

“เดี๋ยวเหอะ อร่อยแล้วอย่ามาขอให้ทำอีกละกัน”

สองหนุ่มสาวเดินคุยหยอกล้อกันไปจนเกือบถึงบ้านก็ได้ยินเสียงประวิชตะโกนไล่หลังมา

“อ้าว...พี่วิช มาหาพี่นทเหรอคะ” วารีเอ่ยทักเพื่อนพี่ชายที่หน้าตาเหมือนคนอดนอน

“จ๊ะ พี่นทของเราอยู่มั้ยละ” ประวิชดึงกระป๋องในมือหญิงสาวไปถือซะเอง

“อยู่คะ” วารีพยักหน้าพร้อมคำตอบ

ประวิชมองน้องชายคนที่ถูกเขาต่อยหน้าไปเมื่อคืน แล้วจึงลอบถอนหายใจ

“พี่ของนลมาด้วยรึเปล่า” ประวิชเอ่ยถาม

“ไม่ได้มาหรอกพี่ เห็นออกไปไหนตั้งแต่เช้าก็ไม่รู้” อนลยกยิ้มพลางส่ายหน้า “พี่วิช วันนี้อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันนะครับ น้องวาเขาจะแกงเขียวหวานไก่”

“หืม...จะอวดว่าตัวเองขูดมะพร้าวเองก็ว่ามาเถอะพี่นล” วารีแกล้งแซวจนอนลหมั่นเขี้ยวต้องยกมือขึ้นขยี้ผมให้หญิงสาวเอี้ยวตัวหนีเป็นพัลวัน

ทั้งสามเดินไปถึงบ้านจึงเห็นนทนทีเดินออกมาจากในบ้าน ใบหน้านวลเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นประวิชเดินตามมาด้วย แล้วจึงยกยิ้มบางเบาให้เพื่อนสนิท

“อยู่กินข้าวด้วยกันนะ” นทนทีเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แม้จะสังเกตเห็นร่อยรอยความอ่อนล้า วิตกกังวลในดวงตา

“อืม” ประวิชพยักหน้ารับคำเพียงแผ่วๆ

“งั้นไปนั่งคุยที่ใต้ต้นมะม่วงมั้ย เดี๋ยวปอกเขียวเสวยให้กิน” นทนทีพยักหน้าไปทางโต๊ะหินขัด แล้วจึงหันกลับไปส่งเสียงให้วารีและอนลที่เดินเข้าไปในครัวได้ยิน

“วา ข้าวเสร็จแล้วเรียกพี่นะ พี่นั่งอยู่หน้าบ้านนี่ละ” เมื่อน้องสาวส่งเสียงตอบมา นทนทีจึงเดินนำเพื่อนไปยังโต๊ะหินขัดใต้ต้นมะม่วงใหญ่
.
.
.


ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
ประวิชนั่งมองร่างโปร่งข้างๆปอกเปลือกมะม่วงอย่างไม่รีบร้อน เสร็จแล้วจึงเฉาะเป็นชิ้นใส่จาน นทนทีเหลือบมองเพื่อนตัวโตที่นั่งใบ้กิน ก่อนจะหยิบชิ้นมะม่วงยัดใส่มือใหญ่แล้วตนเองจึงหยิบขึ้นมากินบ้าง ร่างสูงใหญ่มองอีกฝ่ายกัดชิ้นมะม่วงเคี้ยวตุ้ยๆ จึงระบายลมหายใจออกมา พลางมองชิ้นมะม่วงในมือแล้วค่อยๆละเลียดกัดกินอย่างเงียบๆเหมือนจนด้วยคำถาม ทั้งๆที่ก่อนมาเขามีเรื่องจะถามมากมาย

“นี่...จะไม่ถามอะไรฉันเหรอประวิช” นทนทีทอดสายตาไปยังสวนหลังบ้าน ก่อนจะเหลือบตามองร่างสูงที่เบิกตากว้าง รอยยิ้มเปิดเผยของนทนทีทำให้ประวิชรู้ว่าอีกฝ่ายพร้อมจะตอบทุกคำถาม

“อยู่ๆฉันก็ไม่รู้จะถามอะไรนายดี” ประวิชหน้าก้มลงมองพื้น

“มันงงน่ะนท นายคบกับเจ้าวีแบบนั้นจริงๆเหรอ ฉันไม่อยากจะเชื่อ เมื่อก่อนนายยังไม่ชอบขี้หน้ากันเสียด้วยซ้ำ”

คำถามที่พรางพรูของประวิชทำให้นทนทีรู้สึกหนักอกไม่น้อย แม้จะเตรียมใจไว้แล้วก็ตาม ทำให้ร่างโปร่งวางชิ้นมะม่วงที่เหลือในมือ แล้วถอนหายใจออกมาหนักๆให้อีกฝ่ายได้ยินเสียง

“ก็ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วละ” นทนทีหันมายิ้มแห้งๆให้เพื่อนแล้วจึงเล่าต่อ

“ฉันมีความสัมพันธ์กับวีก่อนจะเรียนจบ หึๆ จะบอกว่าเรื่องมันเกิดขึ้นเพราะฉันก็ว่าได้ แต่อย่าถามมากกว่านี้นะ ฉันไม่เล่าหรอก” นทนทียิ้มกว้างพลางเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ทอดสายตาไปยังต้นไม้สีเขียวครึ้มในสวน

“แล้วพอมีครั้งที่หนึ่ง มันก็มีครั้งต่อๆมา แล้วก็ล่วงเลยมาจนเดี๋ยวนี้ละ” ร่างโปร่งบางก้มหน้ารอคอยอีกฝ่ายจะเอื้อนเอ่ยอะไรออกมา ถึงจะถูกรังเกียจ เขาก็น้อมรับแม้จะเสียใจก็ตามที

“นายปล่อยให้มันเลยตามเลยงั้นหรือนท” แววตาเต้นระริกของเพื่อนทำให้นทนทีต้องยกยิ้มปลอบใจตัวเองและเพื่อนตัวโต

“นายคิดว่าฉันเป็นงั้นเหรอ”

“ไม่...ไม่เลย” ประวิชส่ายหน้า

“ก็นั่นละ...แม้จะเริ่มต้นไม่ดีแต่มันก็มีความผูกพัน มีเยื่อใย อะไรหลายๆอย่างทำให้พวกเรายังคบกัน”

“นท...” ประวิชครางเครือ แล้วหลับตาลงอย่างต้องการทบทวนสิ่งที่อยู่ในหัว

“ฉันเป็นอะไรของนายกันเนี่ย เกิดเรื่องถึงขนาดนี้นายยังไม่ยอมเล่าอะไรให้ฉันฟังเลยเหรอ โธ่เว้ย!” ประวิชยกมือขึ้นบีบต้นแขนร่างโปร่ง เขาเสียใจ ณ เวลานั้นเขาอยู่กับนทนทีตลอดแต่เขาไม่เคยรู้เลย...แม้แต่ไผ่ยังรู้ แล้วเขามัวทำอะไรอยู่ถึงไม่สังเกตเห็น

“ประวิช เรื่องมันผ่านมาแล้ว แล้วฉันก็ไม่คิดจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นายฟังด้วยละ...ฉันไม่กล้าหรอก ใช่...ในตอนแรกฉันไม่กล้า แต่เมื่อผ่านไปฉันก็คิดว่า ฉันควรจะจัดการชีวิตของฉันเอง ถ้าคอยแต่อาศัยนายหรือคนอื่นๆไปเรื่อยๆ แล้วต่อไปฉันจะอยู่ได้ยังไง ฉันไม่อยากเป็นอย่างนั้นนะวิช และก็ไม่อยากให้นายโทษตัวเองด้วย”

“ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ฉันไม่นึกว่านายจะคิดแบบนี้ ฉันเป็นห่วงนายมาตลอด ฉันกังวลว่านายจะอยู่สุขสบายดีมั้ย แล้วนายยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น โดยนายจะบอกฉันว่า ท้ายที่สุดนายเต็มใจเป็นแบบนี้เหรอ ฉันไม่ยอมหรอก” ร่างสูงที่เริ่มคุมความคิดอันสับสนวุ่นวายใจไม่อยู่นิ่วหน้ากระสับกระส่าย ก่อนที่มือขาวนวลจะกุมลงบนมือใหญ่แล้วบีบเบาๆ

“วิช...ใจเย็นๆ แล้วมองฉันนะ” นทนทีมองลึกลงในดวงตาคู่ยุ่งเหยิง

“วิช...ฉันดีใจที่นายไม่เคยทอดทิ้งฉัน เป็นห่วงเป็นใยฉันมาตลอด แต่ฉันเป็นเพื่อนนายนะ ไม่ใช่โซ่ที่คอยล่ามนาย อย่ารับมาเป็นภาระตัวเองนักเลย” นทนทีมองเพื่อนนั่งนิ่ง เอาแต่นั่งจ้องหน้าเขา แต่ในหัวคงกำลังลำดับความคิดความรู้สึกอย่างช้าๆ พูดไปก็เพิ่งเคยเห็นประวิชเดือดเนื้อร้อนใจขนาดนี้ แต่เขาก็อยากให้ประวิชเข้าใจ ถึงจะเห็นแก่ตัวก็ตามที

“แต่ฉันเต็มใจจะรับภาระนี้นี่ นายสำคัญกับฉันนะ ถ้านายยังถูกเจ้าวีบังคับ นายบอกฉันสิ ฉันเต็มใจช่วยนายอยู่แล้ว” ประวิชยกมืออีกข้างขึ้นทาบมือเล็ก

“วิช...” นทนทีชั่งใจกับความคิดตัวเองก่อนจะเอ่ยบอกเพื่อน

“นายกำลังหวงฉัน เพราะนายอยู่ข้างตัวฉันตลอดเวลา แม้จะห่างกัน แต่นายก็คอยมาถามสารทุกข์สุกดิบไม่ได้ขาด แต่มาวันนี้ นายรู้สึกว่าที่ตรงนี้ถูกคนอื่นแย่งไป นายก็เลยรู้สึกไม่พอใจ เหมือนพี่หวงน้อง น้องหวงพี่ ฉันคิดถูกมั้ย” นทนทีตั้งคำถามที่เหมือนจะทะลุเข้าไปในใจร่างสูงฉับพลัน

“...!” ประวิชผงะก่อนจะนิ่งเงียบลง แล้วเริ่มค้นคว้าใจที่ร้อนรนของตัวเองชั่วครู่ ดวงตาคู่อ่อนโยนปิดสนิทแล้วเงยหน้าให้ลมเย็นๆโลมไล้

มุมปากได้รูปยกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะก้มศีรษะเอามือปิดหน้าแล้วขยี้แรงๆ

“หึๆ...ฉันอยากจะบ้าตาย...นายพูดโดนใจฉันที่สุดเลย ใช่...ฉันกำลังหวง ฮะๆ เพิ่งรู้นะว่าตัวเองหวง” ประวิชระบายลมหายใจยืดยาว แล้วจึงหัวเราะใส่ตัวเอง

“ฉันควรเคารพการตัดสินใจของนายใช่มั้ยนท” ประวิชวางใจตัวเองนิ่งก่อนจะบอกกับตัวเอง

ใช่...เขาไม่ใช่เจ้าชีวิตใคร

เขายื่นมือเข้าไปโอบอุ้มเพื่อนได้ แต่ไม่ใช่การเข้าไปบงการชีวิต!

นทนทีมองใบหน้าเศร้าหมองของเพื่อนเริ่มมีสีเลือดบนใบหน้า แล้วในรู้สึกโล่งอก ความรู้สึกหนักอึ้งเมื่อครู่จึงค่อยๆจางหาย แต่...เขาก็ยังผิดกับเพื่อนคนนี้อยู่ดี

“ฉันขอโทษวิช...”

ประวิชมองเพื่อนก้มหน้ามองพื้นให้รู้สึกเห็นใจ เมื่อสามารถลอยตัวเองอยู่เหนือความรู้สึกสับสน จึงมองเห็นความทุกข์ร้อนและปัญหาในทางที่เพื่อนเลือก

“เฮ้อ...จะขอโทษฉันทำไม ที่ผ่านมานายก็คงทุกข์ใจไม่น้อยใช่มั้ยละ” มือใหญ่ประสานกันที่เข่าพลางยืดตัวเพื่อสูดอากาศเย็นๆเข้าปอด

“หึๆก็สุกๆดิบๆไปตามเรื่องละนะ” นทนทีแยกเขี้ยวยิ้ม ก็ดูตอนนี้สิ ยังทะเลาะกันอยู่เลย

“นท” ประวิชเงียบไปชั่วครู่ใหญ่แล้วจึงกลั้นใจถาม

“นายรักเจ้าวีมันจริงๆหรอ”

นทนทีดูจะอึ้งไปกับคำถามไม่อ้อมค้อมของเพื่อน แล้วจึงพรางพรูลมหายใจออกมายืดยาว

“รักสิ...แต่ฉันไม่เคยบอกเจ้านั่นหรอกนะ” คำบอกกล่าวของเพื่อนทำให้ประวิชเลิกคิ้วถาม รักกันแล้วทำไมถึงไม่บอกความรู้สึกของตัวเองให้อีกฝ่ายรับรู้ละ คนเราถ้าไม่พูดไม่สื่อสารให้อีกฝ่ายรับรู้ แล้วจะไปเข้าใจกันได้ยังไง

คนนะไม่ใช่เทวดาจะได้รู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไง ต้องการอะไร

แต่อาการหรี่ตามองมาอย่างเจ้าเล่ห์ ทำให้ประวิชต้องหัวเราะออกมาอย่างสุดกลั้น

“บอกไปก็เหลิงกันพอดีนะสิ” หึ...แค่นี้ก็มีคนล้อมหน้าล้อมหลังจะแย่อยู่แล้ว ถ้ารู้ว่าฉันยินดีมอบกายถวายใจให้ มีหวังต้องเป็นลูกไก่ในกำมือเจ้าทึกนั่นแหงๆ

เจ้าคนเอาแต่ใจ เกิดมามีแต่คนคอยโอ๋ อยากได้อะไรเป็นต้องได้ เคยตัว! ฉันไม่ยอมหรอก เรื่องอะไรจะให้ถือไพ่เหนือกว่า แม้เรื่องอื่นไม่อาจเทียบได้ก็จริง แต่ใจเท่านั้นที่ฉันจะยึดให้เป็นของฉัน

ฉันไม่ยอมเป็นลูกไก่ในกำมือ แต่จะเป็นคนที่เดินไปพร้อมกันต่างหาก

แววตาหมายมาดของเพื่อน ยิ่งตอกย้ำในใจของร่างสูงใหญ่ให้รู้ว่าเพื่อนได้ตัดสินใจกับเรื่องนี้มาเนิ่นนานแล้ว แล้วเขาละ เขาจะต้องทำตัวยังไงกับเพื่อน เพื่อนที่ชอบเพศเดียวกัน คงจะถูกสังคมมองว่าแปลกประหลาดและวิภาษวิจารณ์ มีความกดดันอยู่ไม่น้อยเลย

ประวิชก้มหน้ามองมือแล้วบอกกับตัวเองว่า มือนี้จะคอยประคองและอยู่เคียงข้างตลอดไป... ร่างสูงเงยหน้ามองใบหน้าขาวนวล มือใหญ่ยกขึ้นโอบบ่าเล็กเข้ามาใกล้ตัวแล้วจึงเขย่าเบาๆ

“ฉันรักนาย รักอย่างเพื่อนที่พร้อมจะทำทุกอย่างให้เพื่อนได้” ประวิชยกยิ้ม

“ดีนะที่ได้มาคุยกับนายวันนี้”

“อืม...” นทนทียิ้มรับ พลางสวมกอดเพื่อนที่ไม่เคยทอดทิ้งตน

“ฉันก็เหมือนกัน ฉันกลัวนะ กลัวว่านายจะไม่ยอมรับฉัน ถ้าได้รู้” ร่างโปร่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงอู้อี้

“บ้าน่า...” ร่างสูงตอบรับแรงโอบกอดของเพื่อนด้วยน้ำตาที่คลอขัง เพราะนทนทีก็ใช่ว่าจะสบายใจที่ปิดเงียบมาตลอด

“ขะ...ขอบคุณ...ขอบคุณ” ร่างเล็กพยักหน้าหงึกหงัก ความอึดอัดคับข้องใจค่อยๆมลายหายไป เมื่อมีเพื่อนมารับฟังพร้อมทั้งให้ความเข้าใจ เขาจะไม่รู้สึกเดียวดายเคว้งคว้างอีกต่อไปแล้ว ก่อนจะคลายวงแขนที่กระชับแน่นออก

“แล้วนายมาคนเดียวเหรอ ไผ่ละ นัดกันมารึเปล่า” นทนทียกหลังมือขึ้นปาดจมูกที่เปียกชื้น

“จะชวนเจ้ายุ่งนั่นมาทำไม ขืนชวนมาเป็นไม่ได้คุยกันแบบนี้หรอก ชอบทำวงแตกเรื่อย เจ้านั่นน่ะ” ร่างสูงย่นจมูกแสร้งทำไม่ชอบใจ ทั้งๆในใจก็นึกกังวล แต่เรื่องนี้เขาอยากมาคุยและฟังจากปากนทนทีเองมากกว่า จึงไม่ได้บอกไผ่

เฮ้อ...ปานนี้คงไปนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อรอที่บ้านเขาแล้ว กลับไปเมื่อไรเป็นโดนซักยังกับเขาเป็นนักโทษก็ไม่ปาน ฐานที่ไปไหนไม่บอก มันเป็นเพื่อนหรือเป็นอะไรของเขากันแน่ฟะ!

“ว่าไปนั่น ไผ่เขาเป็นห่วงนายนะ” นทนทีเลิกคิ้วมองเพื่อนตัวโต ด้วยรู้ว่าไผ่รู้สึกยังไงกับประวิช แต่คนตรงหน้านี่สิ ดูถ้าจะยังไม่รู้สึกตัว ไผ่เองคงลำบากใจไม่น้อย เพราะจะเปิดเผยออกไปก็คงกลัวประวิชรับไม่ได้ แต่จะอยู่เคียงข้างก็คงทรมาน ยิ่งถ้าต่อไปประวิชมีครอบครัว แล้วไผ่จะไปอยู่ตรงไหนของใจประวิช

“เออ เรื่องนั้นน่ะรู้น่า” ประวิชลุกขึ้นยืนตามร่างโปร่ง เมื่ออนลส่งเสียงชวนกินข้าวมาจากในบ้าน

“แต่นท...วันข้างหน้าคงมีเรื่องให้นายต้องลำบากใจมากมาย อดทนนะ” ประวิชตบบ่าเล็กเบาๆ ในขณะที่นทนทีเข้าสวมกอดเพื่อนแนบแน่นอีกครั้ง

“นายก็ด้วยนะ” นทนทียกยิ้มเมื่ออีกฝ่ายขมวดคิ้วกับคำพูดของตน แล้วจึงส่ายหน้าช้าๆ กับตัวเอง ด้วยไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายความรู้สึกของเพื่อน เมื่อไผ่พร้อม ไผ่คงพูดกับประวิชเอง ตอนนี้อยู่ที่เวลาแล้วละ แล้วก็คงจะเป็นเวลานับถอยหลังซะด้วย

พอสบายอกสบายใจทำให้นทนทีกระหวัดนึกถึงคู่กรณีที่หายเงียบไปตั้งแต่เมื่อคืน ธรรมดาเป็นต้องตามมาอาละวาดไปแล้ว มันจะเหมือนเวลาสงบนิ่งก่อนมีพายุหรือเปล่าหว่า...

“ปะ...ไปกินข้าวกันเถอะ” ประวิชพยักหน้าตามคำชวนของนทนที แต่แสงไฟนีออนบริเวณหน้าบ้านก็สว่างพรึบขึ้นมาทำให้คนทั้งคู่หยุดชะงัก

“วาคงเปิดให้มั้ง” นทนทีมองไปรอบๆบ้าน ด้วยเป็นเวลาพลบค่ำวารีที่อยู่ในบ้านคงกดสวิตซ์เปิดไฟให้ เมื่อแสงไฟสาดส่องไปทั่วบริเวณหน้าบ้าน ร่างเล็กๆยืนเป็นเงาตะคุ่มๆก็ปรากฏขึ้นในสายตาของคนทั้งสอง

“อะ!” นทนทีเพ่งมองร่างเล็กที่ยืนนิ่งชั่วขณะ แล้วจึงค่อยขยับเดินเข้ามาใกล้

“ไผ่! นี่ ทำไมมาเงียบๆ” ร่างโปร่งเดินเข้าไปหา

“ไม่เห็นจะเงียบ ก็เดินมาธรรมดานี่” น้ำเสียงที่ร่าเริงดุจเดิมของไผ่ นทนทีจึงคลายความกังวล ด้วยปกติเพื่อนจะเดินส่งเสียงโหวกเหวกมาแต่ไกล

“นี่...มาไม่เห็นบอกเลย” ประวิชถามเมื่อไผ่เดินมาถึง จุดประสงค์เพราะเจ้านี่จะบ่นเป็นหมีกินผึ้งเวลามาเอง เขาต้องไปรับเสมอ อย่างน้อยที่ปากซอยหน้าบ้านก็เอา!

แต่สายตาที่ตวัดเหลือบแลมาทำให้ใจของประวิชหล่นวูบอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะกับเป็นปกติในฉับพลัน

“ก็ลองมาเองบ้างจะเป็นไร อาศัยจมูกคนอื่นหายใจมาตั้งนาน เขาคงเบื่อแย่”

“นี่พ่อคุณ เพิ่งจะรู้ตัวเรอะ” ประวิชแกล้งพูดสำทับ แต่ดวงตาที่ไหววูบและสลดลง ก็ทำให้ใจของประวิชสั่นอย่างแรง จึงขยับเข้าไปใกล้ร่างเล็ก

“ไม่เอาน่ะ ล้อเล่น ปะ...กินข้าวกัน น้องวาทำแกงเขียวหวานไก่ไว้ด้วย นายชอบใช่มั้ยละ” ประวิชดันศอกเล็กให้เดินนำหน้า แต่อีกฝ่ายกลับเดินตัวปลิวหนีห่างออกไป จนร่างสูงรู้สึกใจหายแวบ

“ฉันได้กลิ่นมาตั้งแต่ลงรถแล้ว หึๆ” ไผ่เหลือบมองร่างสูงแล้วจึงส่งยิ้มให้จนปากจะฉีกถึงหู ก่อนจะหันตัววิ่งเข้าไปในบ้านทำเหมือนคนหิวขนาดหนัก

ประวิชเลิกคิ้วให้กับแววตาที่เคลือบด้วยรอยยิ้มเกินจริง แต่เพียงเสี้ยววินาทีที่ปิดบังแววตาสิ้นหวังไว้ไม่มิดทำให้ใจเขากระตุก ไปเอาแววตาสิ้นหวังแบบนั้นมาจากไหนกัน เขาไม่เคยเห็น ไม่เคยเห็นมาก่อน

ไผ่เดินก้มหน้าก้มตาเดินเข้าไปในครัว ทักทายอนลกับน้องวาแล้วรีบเปิดหม้อแกงเขียวหวานไก่หยิบทัพพีตักใส่ถ้วย

ทัพพีที่หนึ่ง...

ทัพพีที่สอง...

ทัพพีที่สาม...ต่อไปไม่ต้องมาจำแล้ว...ฉันจะปล่อยนายไป จะไม่มายุ่งวุ่นวายในชีวิตนายอีก

ร่างบางกลั้นสะอื้นไว้ในอก แล้วรีบยกถ้วยแกงมาวางบนโต๊ะอาหาร ร่างสูงใหญ่ที่เดินตามเข้ามามองสบตาร่างเล็กที่ส่งยิ้มมาให้อย่างแปลกๆ

ไผ่ลอบชำเลืองมองนทนทีเดินเข้ามาสมทบ เขาไม่ได้หึงนทนทีเลยกับสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตัวก็คือ ประวิชไม่เคยรู้สึกกับเขามากกว่าคำว่าเพื่อน เขาก็ไม่ได้ต่างอะไรกับนทนที เขาสามารถอยู่เคียงข้างได้ แต่ไม่สามารถมาบรรจบกันได้

น่าจะพอได้แล้วละ...หยุดซะทีเถอะไอ้ไผ่เอ๊ย...ฝันลมๆแล้งๆอยู่ได้ทุกวัน

“ไผ่...เป็นอะไรรึเปล่า” เสียงกระซิบใกล้หู ทำให้ร่างเล็กจำต้องเงยหน้ามองประวิชแล้วฉีกยิ้มอีกรอบ

“เปล่านี่ หิวจนตาจะลายแล้ว เมื่อกี้ฉันนั่งรถเลยไปตั้งหลายป้ายแน่ะ เดินกลับมาเหนื่อยแทบตาย”

ประวิชมองไผ่อย่างค้นคว้าแล้วจึงฉวยถ้วยแกงในมือมาถือให้

“ฉันช่วย นายไปนั่งเถอะ” ร่างสูงรุนหลังไผ่ไปโต๊ะอาหาร โดยที่คนอื่นนั่งกันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว

ระหว่างทานข้าวประวิชคอยลอบชำเลืองมองร่างเล็กที่ดูจะตลกโปกฮาเกินเหตุ เห็นอะไรพูดอะไรเป็นหัวเราะร่วน มันทะแม่งๆพิกลจนทานเสร็จ ร่างสูงจึงได้ชวนไผ่กลับบ้าน

“กลับยัง ฉันไปส่ง” ประวิชมองหน้าไผ่เหมือนจะให้ลึกไปถึงใจว่าคิดอะไรอยู่ แต่อีกฝ่ายก็ยิ้มจนตาหยีตอบกลับมา

“อืม...ไม่ต้องหรอก พอดีฉันจะไปธุระที่อื่นด้วยน่ะ” ไผ่ลุกขึ้นเอ่ยลาเจ้าของบ้าน แล้วจึงเดินออกไปโดยไม่คิดจะรอประวิช ทำให้นทนทีมองตามด้วยความแปลกใจ

ไผ่...นทนทีครางเครือ เขาก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติของเพื่อนอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าไผ่มาเห็น...แล้วเข้าใจเขากับประวิชผิดไปหรอกนะ...นทนทีมองประวิชเดินตามหลังไผ่ไปติดๆก่อนจะถอนหายใจออกมา

“ไผ่...รอด้วย” ประวิชเดินมาทันแล้วเกี่ยวแขนเล็กให้หยุด

“ไปธุระที่ไหนละ ฉันไปส่งให้ ปะ...ไปที่รถ” ประวิชตั้งท่าจะลากร่างเล็กไปตามแรงมือ แต่ไผ่กลับจิกเท้าลงกับพื้นดินแน่นไปยอมไปตามคำชวน ในขณะที่ริมฝีปากก็ยกยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน

“ไม่เป็นไร ฉันไปหาเพื่อนนะ”

“เออ...ก็จะไปส่งให้ไง”

ไผ่หยุดยื้อกับมือใหญ่ เงยหน้ามองใบหน้าคมเข้มแฝงแววความอ่อนโยนให้นึกเจ็บยอกในอก อย่ามาให้ความหวังฉันในขณะที่ฉันกำลังจะทำใจเลิกรักนายเลยนะ...ถ้าสงสารฉัน ยังเห็นว่าฉันเป็นเพื่อน ก็ช่วย...ช่วยเลิกตามใจ เอาใจ แล้วก็มือที่อบอุ่นของนายก็ไปทำให้มันเย็นเฉียบซะบ้าง เวลามาถูกตัวฉันจะได้รู้สึกเย็นไปถึงขั้วหัวใจ

หึๆ ฉันไม่ชอบอากาศหนาว นายก็รู้นี่...ฉันจะได้ไม่เข้าไปใกล้นายไง

แต่ก่อนที่จะระเบิดความรู้สึกในใจออกมา ริมฝีปากบางสีสดก็ขบเข้าหากันแน่น แล้วจึงเอ่ยบอกปัดน้ำใจที่เหมือนน้ำกรดราดลงบนใจให้หลุดเป็นชิ้นๆ

“มันเป็นความลับ แล้วจะให้นายรู้ได้ยังไง...ไปนะ” ไม่รอให้ร่างสูงท้วง ร่างบางก็วิ่งออกไปยังถนนเรียกแท็กซี่แล้วจากไป ทิ้งให้ร่างสูงเดินกลับไปยังรถด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ

“เป็นอะไรรึเปล่าเจ้านั่น” ประวิชบ่นอย่างหัวเสีย

“ความลับบ้าบออะไรกัน บอกฉันไม่ได้น่ะ แบบนี้ฉันเป็นห่วงนะ” ร่างสูงพึมพำมองไปยังทางที่ร่างเล็กจากไปให้นึกหงุดหงิด ก่อนจะตัดใจหันหลังกลับเดินไปยังรถตนเอง

V
V
V

ออฟไลน์ โน๊อา

  • อยู่เป็นคู่ เช่น ฉันคู่เธอ
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
มาจิ้มก้น คนระห่ำ  :z13:

ออฟไลน์ ปี้ปี้ปี้~PalmY

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2427
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +273/-1
เหอะๆ

หายไปไหนไอ้วี !!!


ปล. ไอ้ปาล์มขอยึดคติเดิม

อาเมน !

.
.

Ps. ที่บอกว่าพิมพ์เพี้ยนๆ คือคำแทน คำพูดมันแปลกไงไม่รู้ ปกติตัวเองเป็นคนไม่มีสาระ (ป๊าดด ยอมรับแล้วหรอ)
๕๕๕

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
ตอนที่ 6


“ไผ่...” นทนทีแนบโทรศัพท์กับหูแน่นรอให้เพื่อนขานรับ ขณะตัวเองนอนมองเพดานบนเตียง ปฏิกิริยาของไผ่เมื่อตอนหัวค่ำทำให้นทนทีนึกเป็นห่วงความรู้สึกเพื่อน

“นท...มีอะไร” น้ำเสียงเหมือนคนดื่มเหล้า และเสียงเพลงที่ดังสอดแทรกเข้ามาในโทรศัพท์ ทำให้นทนทีผงะพลางขมวดคิ้ว

“อยู่ที่ไหนนะไผ่”

“อ๋อ อยู่ร้านเหล้าแถวรัชดาน่ะ”

“ไม่เห็นชวนกันเลย” นทนทีหลับตาลงอย่างอ่อนใจ ถ้าจะแย่แฮะเพื่อนเรา

“ไผ่...” นทนทเงียบไปชั่วอึดใจ แล้วจึงตัดสินใจพูดกับเพื่อน

“มีอะไรคับข้องใจก็บอกฉันน่ะ...ฉันเป็นห่วง”

คำพูดกินนัยของเพื่อนทำให้คนกำลังมึนเพราะฤทธิ์เหล้ายกมือลูบหน้าตัวเอง

“นท...ไม่นี่ ฉันไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย จะมาห่วงกันทำไม” ไผ่แนบหูกับโทรศัพท์อย่างเอาเป็นเอาตายด้วยเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มรอบตัว พลางหันหลังไปมองคนที่มาสะกิด แล้วยืดตัวขึ้นรับริมฝีปากอีกฝ่ายที่ฉกฉวยลงมาอย่างไม่ลังเล

“อืม...” มือเล็กผลักอกหนาออกห่างก่อนจะกรอกเสียงลงในโทรศัพท์

“นท แค่นี้ก่อนนะ เพื่อนฉันมาแล้วน่ะ” ร่างเล็กในมุมมืดของอารมณ์เลี่ยงที่จะคุย ด้วยกลัวจะเผลอระเบิดอารมณ์ตัวเองออกมา

“เดี๋ยวๆไผ่ ฉันมีเรื่องจะพูดด้วย”

“นท...ไว้ก่อนนะ เอาไว้ก่อน”

เสียงตอบกลับมาของเพื่อนทำให้นทนทีไม่สามารถปล่อยเรื่องนี้ให้ยืดยาวต่อไปได้

“เรื่องประวิชน่ะ ฉันอยากพูด” นทนทีรีบกรอกเสียงลงไป ด้วยกลัวเพื่อนจะตัดสาย

“นท...” ไผ่หลับตาลง แล้วจึงยกแก้วเหล้าขึ้นกรอกใส่ปากรวดเดียวหมด

เมื่อรู้สึกว่าเพื่อนนิ่งเงียบรอฟังทำให้นทนทีใจชื้นขึ้นมา

“ไผ่...ฉันรู้ว่านายรู้เรื่องของฉันกับวี และฉันก็รู้ว่านายรู้สึกยังไงกับประวิช แต่สิ่งที่นายเห็นเมื่อเย็นมันไม่ได้มีอะไรเกินกว่าคำว่าเพื่อนนะ จะวันนี้หรือวันหน้าประวิชก็คือเพื่อนฉันนะไผ่” นทนทียกมือขึ้นทาบหน้าผากตัวเอง

“นท...” ไผ่ส่ายหน้ากับโทรศัพท์พลางกำมือบนตักตัวเองแน่น ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่

“เมื่อเย็นนายโกหก...นายมายืนอยู่นานแล้วใช่มั้ยไผ่ แล้วนายก็แปลกไป ฉันกังวลนะ ฉันอยากให้นายพูดกับฉัน” นทนทีกรอกคำพูดรัวเร็วลงในโทรศัพท์

ดวงตากลมรีเบิกกว้างกับคำพูดตรงๆของเพื่อน ริมฝีปากขบเข้าหากันแน่นอย่างสะกดกลั้นเสียงสะอื้นไว้ในอกให้อยู่

“ไม่...นท...ฉันไม่ได้คิดอกุศลแบบนั้นเลย ฉันเข้าใจ และถ้านายบอกว่านายรู้ว่าฉันคิดยังไงกับเจ้าบ้านั่น นายก็ต้องรู้ว่าฉันรู้สึกแบบนั้นมานานแค่ไหนแล้ว” ร่างเล็กขาวนวลท่ามกลางแสงสลัวยกศอกขึ้นวางบนโต๊ะอย่างคนอมทุกข์

“ฉันดีใจที่ได้ยินนายพูดแบบนี้ แล้วก็รู้ว่านายชอบประวิชมาตั้งแต่เรียน”

“ใช่...ตรงเผงเลย มันเกือบสิบปีมาแล้วนะนท”

“งั้นไผ่บอกฉันได้มั้ย ถ้าไม่ได้เข้าใจฉันผิด แล้วนายกำลังคิดอะไรอยู่ ถึงได้ใส่หน้ากากหัวเราะร่าแบบนี้ มันปิดความเศร้าในตานายไม่มิดหรอกนะ”

“นท...นท...ฉัน...” เสียงเหมือนคนเริ่มคุมอารมณ์ไม่อยู่ทำให้นทนทีใจคอไม่ดี ลุกขึ้นนั่งพลางหันไปมองนาฬิกาบนหัวเตียงที่บอกเวลาห้าทุ่มกว่า

“ไผ่...”

“นท สิ่งที่ฉันเห็นวันนี้ ฉันไม่ได้หึงหรือหวง แต่มันทำให้ฉันเข้าใจแล้วว่า ฉันคงเป็นได้แค่เพื่อน ขนาดนายที่เจ้าวิชมันห่วงนักห่วงหนา เจ้านั่นก็ยังรู้สึกกับนายเพียงเพื่อน แล้วฉันละ ฉันที่ทำเรื่องให้มันหัวปั่นมาตลอด มันจะหันมารักฉันเชียวเหรอ”

“ไผ่...” นทนทีครางเครือกับสิ่งที่เพื่อนระบายออกมาด้วยสุ่มเสียงเหมือนคนจะร้องไห้แกมโมโห

“รู้มั้ย เจ้านั่นบอกว่าฉันสำคัญ...แต่ก็ไม่ได้มากกว่าใคร ฉันสำคัญเท่ากับคนอื่นๆ แล้วจะให้ฉันคิดหวังอะไรไปได้อีก มันก็แค่ผู้ชายธรรมดา จะหันมารักเกย์อย่างฉันเชียวเหรอ ฉันเป็นเกย์นท...ฉันเป็น แต่ก็ไม่อยากให้ใครรู้ โดยเฉพาะเจ้านั่น หึๆ นท...นายรู้มั้ยว่าฉันอุตส่าห์วางแผน รอแล้วก็ทำดีทุกอย่าง หวังจะให้เจ้านั่นโอนเอียงให้โอกาสฉันบ้าง แต่ดูสิ ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แล้วจะให้ฉันรออีกทำไม...”

นทนทีนิ่งเงียบฟังเพื่อนด้วยสะท้อนใจ เขาไม่สามารถทำอะไรได้เพราะทั้งคู่ก็คือเพื่อน ถ้าประวิชไม่มีใจให้ไผ่เขาจะไปว่าอะไรได้ นอกจากให้ไผ่ทำใจเท่านั้น

“นท...ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรคิดนอกลู่นอกทางกับเพื่อน แต่ต่อไปนี้ฉันจะทำใจนะ ฉันจะเป็นเพื่อนให้ได้ แต่ให้เวลาฉันหน่อยนะนท”

“ไผ่...ฉันจะไปหานะ ไผ่อย่าเพิ่งไปไหนนะ” คนเป็นห่วงพูดเสียงรัวเร็ว

“ไม่ต้องนท ฉันอยู่ได้ เพื่อนที่นี่เยอะแยะ” ไผ่ครางอู้อี้

เออ ฉันรู้ว่าเพื่อนนายเยอะ แต่ฉันไม่ไว้ใจอารมณ์นายเลย ยิ่งยอมรับว่าเป็นเกย์ออกหน้าออกตาแบบนี้ฉันกลัวใครจะมาหิ้วนายไปจริงๆ

“เอาน่ะ ฉันอยากไป” นทนทีตัดสายรีบลุกขึ้นไปแต่งตัว แล้วจึงไปเคาะประตูห้องนอนน้องสาวเพื่อบอกก่อนออกไปข้างนอก

ร่างโปร่งบางยืนห่อตัวเมื่ออากาศเย็นยามค่ำคืนกระทบผิวกาย มือเล็กล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาดูอย่างชั่งใจ แล้วจึงกดหาคนที่เพิ่งทะเลาะเมื่อวานด้วยใจตุ๋มๆต่อมๆ นานจนนทนทีคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมรับสาย แต่เสียงขานรับทำให้ใจชื้น

“อือ” เสียงไม่เหมือนคนเพิ่งตื่นนอน แต่เหมือนคนยังมีอารมณ์กรุ่นโกรธ ทำให้นทนทีย่นจมูก

“วี...ออกมาหน่อยได้มั้ย ไปรัชดากัน” นทนทีแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้กับท่าทีบึ้งตึงของอีกฝ่าย ตอนนี้ใจเขานึกห่วงไผ่มากกว่า เพียงแต่ไปคนเดียวมันอันตรายถึงจะเป็นผู้ชายก็เถอะ

“ไม่ ฉันไม่อยากไป” คำตอบกลับแบบทื่อๆ ทำให้นทนทีไม่คิดจะพยายามต่อ

“ไม่เป็นไรฉันไปคนเดียวก็ได้ นอนซะ” ร่างโปร่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“เฮ้ย! เดี๋ยวๆ” เมื่ออีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะง้องอน ปถวีจึงรีบตะโกนใส่โทรศัพท์ด้วยกลัวนทนทีจะวางสาย

“บอกก่อนว่ามีอะไร นึกยังไงถึงอยากไปเที่ยวตอนนี้”

“เปล่า ฉันไม่ได้อยากไปเที่ยว แต่ไผ่อยู่ที่นั่น ฉันเป็นห่วง เลยมาชวนนายไปด้วย ไปมั้ย” นทนทีเอ่ยชวนอีกรอบ ถึงจะทะเลาะกัน แต่เขาเองก็ไม่อยากจะปล่อยให้เรื่องของตัวเองคาราคาซังเหมือนกัน

ใช่ ถ้าได้เจอ ได้คุย ต้องเข้าใจกันแน่นอน ขอแค่ได้เริ่มเท่านั้น เขาถึงใช้โอกาสนี้ปรับความเข้าใจกับอีกฝ่าย และหวังว่าผ่านมาเกือบ24ชั่วโมงน่าจะทำให้ใจเย็นขึ้นมาบ้าง

“ไผ่เป็นอะไรเหรอ” น้ำเสียงกระตือรือร้นทำให้นทนทียกยิ้มบาง อย่างน้อยก็ยังมีเหตุผลอยู่บ้างละนะ

“ก็ถ้านายไปด้วยเดี๋ยวเล่าให้ฟังในรถ”

“นายอยู่บ้านใช่มั้ย”

“อืม อยู่ถนนหน้าบ้านนี่ละ” ร่างโปร่งยืนกอดอกมองรถแท็กซี่ผ่านไปคันแล้วคันเล่า

“กลับเข้าบ้านไปก่อนนท เดี๋ยวฉันไปรับ อีก10 นาทีนะ”

“อืม”

ร่างโปร่งยืนรอไม่ถึงสิบนาที รถยนต์โตโยต้าฟอร์จูนเนอร์สีดำวาวก็เข้ามาเทียบให้เขาเข้าไปนั่งในรถ

ปถวีมองร่างโปร่งขึ้นมานั่งคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงขับรถมุ่งตรงไปยังย่านรัชดาตามที่นทนทีบอก ใบหน้านวลที่ได้เห็นทำให้ปถวีไม่รู้จะทำหน้าขึงโกรธต่อไปดี หรือจะยิ้มให้เหมือนไม่ได้เกิดอะไรขึ้นเมื่อวานดี แต่ที่รู้ตอนนี้คือ อย่างน้อยความรู้สึกอึดอัดใจได้คลายลงเมื่อเห็นหน้า

ตอนรับโทรศัพท์เขาก็ชั่งใจอยู่ไม่น้อย ถึงจะโกรธจะโมโหแต่เขาก็อยากคุยด้วย อยากเห็นหน้า อยากอยู่ใกล้ มันทำให้เขารู้สึกอุ่นใจว่านทนทียังรักเขาอยู่ ถึงจะโกหกเขาก็ตามเถอะ เพราะการห่างกันทั้งๆที่ไม่เข้าใจ และยังมีไอ้บ้าคอยจ้องจะงาบอีก ให้ตายเหอะ ขืนยังไม่ได้คุยกันเขาคงอกแตกตาย

“นาย!” นทนทีที่นิ่งเงียบรอดูปฏิกิริยาของร่างสูงต้องร้องอุทานเมื่อเหลือบเห็นรอยเขียวช้ำเป็นปื้นแถวข้างแก้ม มือเล็กเอื้อมไปแตะแผ่วๆให้ใบหน้าคมคายเอี้ยวหนี

“เจ็บเหรอ?”

ปถวีเพียงแค่ชายตามองคนนั่งข้างที่มีสีหน้ากังวล ก็ให้นึกคันในหัวใจยิบๆ ใครละที่ชกเขา แถมยังขวางให้เพื่อนตัวโตเสยเข้ามาอีกหมัดน่ะ! ร่างสูงคิดเยาะตัวเองพรางเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มบวมไปมา

นทนทีถอนหายใจกับท่าทางเยาะๆไม่แยแสของอีกฝ่าย แต่มือกลับยังเขี่ยไรผมเพื่อเปิดดูผลงานของตนและประวิช

“ขอโทษ” เมื่อเวลาผ่านไป คำขอโทษของร่างโปร่งดูจะทำให้ปถวียอมรับมากขึ้นด้วยอาการถอนหายใจเฮือกใหญ่

“มันไม่จบแค่นี้แน่ ฉันต้องการคำอธิบายทั้งหมดนะนท แต่ตอนนี้เอาเรื่องของไผ่ก่อน มันเป็นอะไรเจ้านั่นน่ะ วันก่อนยังหัวเราะร่าอยู่เลย” ปถวีปรายตามองร่างเล็กพยักหน้ารับรู้ แต่ถ้าไม่ได้ตาฝาดเขาเห็นแววความพอใจอยู่บนสีหน้านั้น

“อืม...ไผ่กำลังเสียใจน่ะ ฉันไม่อยากปล่อยให้ไปกินเหล้าคนเดียวแบบนั้น มันอันตราย”

“เสียใจ...เสียใจเรื่องไอ้ยักษ์บ้าเลือดนั่นรึเปล่า” ปถวีมองท่าทางตกใจของอีกฝ่ายแล้วหัวเราะขึ้นจมูก

“นายรู้ได้ไง...” นทนทีถามอย่างแปลกใจ ถึงเขาจะรู้จากการสังเกตเอาเองแต่เขาก็ไม่เคยบอกปถวีเรื่องที่ไผ่รักประวิช ด้วยกลัวว่าไผ่จะไม่ชอบใจ หรือว่าจะสังเกตเห็นเหมือนเขา

“โธ่...นท เจ้าไผ่มันแสดงออกโจ่งแจ้งซะขนาดนั้น แล้วเมื่อสมัยเรียนยังเคยมาสารภาพบอกกับฉันอยู่เลย”

“ห๋า!” คำตอบของปถวียิ่งทำให้นทนทีแปลกใจเข้าไปใหญ่

“นี่รู้มานานแล้วเหรอ ไม่เห็นบอกกันเลย”

“ก็ไม่เห็นถาม ฉันก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งด้วยละ เรื่องส่วนตัวของมัน อยากเล่ามันก็เล่าออกมาเองละ”

นทนทีพยักหน้ารับ แม้จะนึกฉุนที่เพื่อนเลือกจะเล่าให้อีกฝ่ายฟังก็ตามที แต่จะว่าไปไผ่ก็สนิทกับปถวีมาก่อนเขาละนะ ร่างโปร่งนึกย้อนก่อนจะสะดุดใจกับอะไรบางอย่าง

“นี่...แล้วนายเล่าเรื่องของเราให้ไผ่ฟังรึเปล่า” นทนทีมองร่างสูงเหลือบมามองแล้วถอนหายใจอีกรอบ

“เจ้านั่นหูตาเป็นสับปะรด ไม่ต้องเล่ามันก็มาเข่นคอถามฉันเลยละ”

“หะ! เมื่อไรกัน”

“ก็หลังจากครั้งแรกที่ฉันมีอะไรกับนายนั่นละ ไผ่มันแทบจะถีบประตูเข้ามาหาฉันที่คอนโดแน่ะ”

“รู้ได้ไง” นทนทียังงงกับสิ่งที่ปถวีเล่า ทำให้ร่างสูงยิ้มกว้างก่อนจะตอบ

“ถามเหมือนฉันเลยว่ารู้ได้ไง มันก็ตอบกลับมาว่า เพราะมันเป็นเกย์ ฮะๆ ตอนนั้นฉันขำไม่ออกเลยละ”

“เป็นเกย์แล้วไง มันทำให้มีญาณทิพย์รึไงละ” นทนทีฉุนกึกที่อีกฝ่ายยังคงกั๊กไม่เล่าให้หมด

“เปล่า...แต่ไผ่มันสังเกตว่าวันนั้นนายหายไปกับฉันทั้งคืนแล้วไม่สบาย มันก็เลยมาเข่นคอเอากับฉันนั่นละ”

“เหรอ แล้วไผ่ไม่ว่าอะไรนายเลยเหรอ” นทนทีมองอีกฝ่ายตาแป๊ว ยังคาใจกับสิ่งที่รู้ ตอนนั้นเขาถูกปถวีข่มขืน ไผ่รู้แล้วยังเฉยได้อยู่เหรอ

“ใครว่าไม่ว่า มันขู่ฉันเลยละ ถ้าทำเล่นๆกับนาย มันจะเอาเกย์มารุมโทรมฉันน่ะ สยองมั้ยละ เห็นตัวเล็กๆแบบนั้นน่ากลัวเป็นบ้า”

นทนทีฟังจบแทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง ก่อนจะปรายตามองร่างสูงยักไหล่อย่างหมั่นไส้ น่าจะโดนซักทีสองทีนะ จะได้หายซ่าส์

“แล้วนายว่าไงละ” ปถวีเหลือบมองคำถามของคนตัวเล็ก ความขุ่นเคืองเหมือนจะหายไปเมื่อได้พูดคุยแล้วจึงอมยิ้มตอบ

“จะว่าไง ก็เป็นอย่างทุกวันนี้ไง”

นทนทีไม่ตอบแต่คงยังมองใบหน้าได้รูปมองตรงไปข้างหน้า ใช่...พวกเขาคบกัน

“นี่จะบอกว่า เพราะคำขู่ของไผ่นายเลยต้องทำรึไง” นทนทีแสร้งขึงตาเอ่ยถาม ทั้งๆที่ใจเต้นตึกตักกับคำตอบของอีกฝ่าย

“ตลกละ” คำต่อว่าสั้นๆของปถวี ทำให้นทนทีโล่งอก ร่างสูงจึงเอ่ยถามเรื่องราวต่อ

“แล้วเจ้าไผ่เสียใจเรื่องอะไรละ สารภาพแล้วอกหักรึไง”

“เปล่า...แต่พอจะจับใจความได้ว่า ไผ่เหนื่อยที่จะรอแล้วละ เห็นว่าทำดีให้ตายก็เป็นได้แค่เพื่อน คงเป็นไปไม่ได้มากกว่านั้น ไผ่ก็เลยจะตัดอกตัดใจน่ะ”

“เฮ้อ...” ปถวีถอนหายใจยาว

“ไอ้บ้านั่นมันแกล้งบื้อ หรือบื้อจริงๆฟะ” ร่างสูงเหลือบมองร่างเล็กข้างๆ

“แล้วนายจะทำยังไง”

“เรื่องแบบนี้ฉันทำอะไรไม่ได้หรอก นอกจากรับฟังแล้วก็คอยอยู่ข้างๆไม่ให้ทำอะไรนอกลู่นอกทาง” นทนทีเท้าแขนกับกระจกครุ่นคิด

“รีบไปเถอะ ฉันเป็นห่วงยังไงก็ไม่รู้” เพราะเพื่อนที่ไผ่อ้างเมื่อกี้จะเป็นเพื่อนแบบไหนก็ไม่รู้ ถ้าเป็นผู้ชายด้วยกันก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเป็นกลุ่มเกย์เขากลัวไผ่จะถูกฉวยโอกาส ยิ่งกำลังเสียอกเสียใจอยู่

เสียงเพลงดังกระหึ่มตลอดเส้นทางที่รถของชายหนุ่มผ่านไปยังร้านเหล้าเจ้าประจำ แสงสีเสียงและผู้คนมากหน้าหลายตาชวนให้คนไม่คุ้นเคยหน้ามืดตาลายหรือหัวใจวายตายด้วยหญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อยเดินกันขวักไขว่ กลิ่นบุหรี่ฉุนกึกแสบจมูกเมื่อเดินเบียดเสียดผู้คนเข้าไปหาเพื่อนตัวเล็กในร้านที่ไม่รู้ว่านั่งอยู่ตรงไหน เดินวนหาชั้นล่างหลายรอบไม่พบ ปถวีจึงเงยหน้ามองขึ้นไปยังชั้นสอง กวาดตามองไปตามระเบียงที่มืดสลัวมีเพียงแสงไฟดวงเล็กที่ส่ายไปส่ายมาพอให้สังเกตใบหน้าผู้คนได้ถนัดๆเพียงชั่วครู่

“นู้น!” ปถวีจับต้นแขนเล็กแล้วเดินนำไปยังชั้นสอง

นทนทีเพ่งมองตามหลังร่างสูงใหญ่ไปยังโต๊ะริมระเบียง เห็นเพื่อนตัวเล็กเกาะราวระเบียงโยกไหวไปตามจังหวะเสียงเพลงที่ดังกระแทกจนแก้วหูสะเทือน ถ้าเพียงแค่นั้นเขาจะรู้สึกโล่งใจมาก แต่ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่ซ้อนทาบอยู่ด้านหลัง ก้มหน้ากระซิบกระซาบแบบเกินพอดีทำให้รู้สึกไม่ชอบใจเล็กๆ

“ไผ่” ปถวีแทรกตัวเข้าไปสะกิดเพื่อนตัวดีท่ามกลางสายตาของคนในโต๊ะที่มองมาแบบไม่สู้ดีนัก

“อ้าว!วี” ร่างเล็กตัวเซเล็กน้อยเมื่อพยายามเบี่ยงตัวเองออกจากวงแขนชายหนุ่มที่ซ้อนตัวอยู่ด้านหลัง

“หลบ...หลบหน่อย”

นทนทีมองไผ่เดินตัวเซมาหาอย่างโล่งใจที่ยังเห็นเพื่อนอยู่ในร้าน นี่ขนาดรีบมาแล้วนะ ยังเมาแอ้ได้ขนาดนี้ แล้วยังแววไม่ชอบใจของเพื่อนไผ่ที่ตวัดมองมาอย่างหัวเสีย เหมือนพวกเขาเข้ามาขัดจังหวะยังไงยังงั้น ขอโทษเถอะ นี่มันเพื่อนฉัน เรื่องอะไรจะให้งาบได้ง่ายๆ แต่ร่างสูงใหญ่ที่มาด้วยก็ทำให้นทนทีใจชื้น และนึกขอบใจตัวเองที่ยังรอบคอบ ยอมลดทิฐิชวนปถวีมาด้วย

“เที่ยงคืนกว่าแล้วไผ่ กลับเถอะ” ปถวีตะโกนข้างหูไผ่ที่อาการเหมือนคนเมาไม่มีผิด

“ไม่เป็นไร ฉันอยู่กับเพื่อน นายจะไปไหนก็ไปเถอะ” ไผ่ปรือตาบอก มือก็ยกแก้วเหล้าซดไปด้วย

“แกเมาแล้ว กลับเถอะ นทมันเป็นห่วงแกนะไผ่ ถ้าแกอยากกินเหล้า เดี๋ยวฉันเหมาเหล้าในร้านกลับไปให้แกกินที่บ้านเลย” มือใหญ่ประคองเอวเล็กเมื่อทำท่าจะลงไปกองอยู่กับพื้น

“ม่าย...ฉันยังไม่อยากกลับบ้าน”

“งั้นไปคอนโดฉัน เดี๋ยวนั่งดื่มเป็นเพื่อน แกอยากคุยอะไรฉันจะฟังนะ”

“ม่าย...”

“ไผ่ กลับเถอะนะ” นทนทีเห็นเพื่อนเริ่มผลักอกปถวีออกห่างจึงรีบเข้ามาช่วยกล่อม

“ไม่อะ...นทฉัน...ไม่อยากกลับ” ไผ่ตั้งท่าจะหันหลังกลับไปสวมกอดกับเพื่อนแปลกหน้าที่พร้อมจะอ้าแขนรับ แต่ก็ถูกปถวีฉุดกระชากร่างเล็กเข้าไปปะทะแผงอก

“นี่!...ไผ่ ถ้าแกยังบ้าไม่เลิก ฉันจะโทรเรียกไอ้ประวิชให้มาดูสภาพแกตอนนี้เลย แกอยากให้มันเห็นตอนแกคั่วอยู่กับผู้ชายมั้ยละ” ปถวีเพ่งมองในดวงตาคู่ฉ่ำเยิ้มด้วยฤทธิ์แอลกอฮอร์

“จะลองดูไหม!”

ไผ่ขบริมฝีปากพลางกลั้นน้ำหูน้ำตาที่พาลจะไหล ก่อนจะผลักอกหนาออกห่างโดยแรง

“ไอ้บ้า! ไอ้เพื่อนอย่างแก...ไปตายซะ...ไป”

อยู่ๆชายหนุ่มที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ใกล้ๆก็ยื่นมือมาโอบเอวเล็กเข้าไปแนบตัว พลางก้มหน้าลงกระซิบถาม

“มีอะไรรึเปล่าไผ่ ให้ฉันช่วยเคลียร์มั้ย” ร่างสูงเหลือบมองปถวีอย่างหมายมาด

“เอ็ม...ไม่มี ไม่ต้องยุ่ง นี่เพื่อนฉัน...ฉันนะ” ไผ่ตอบเหมือนลิ้นพันกัน

“ไอ้ไผ่” ปถวีนึกฉุน กระชากไหล่เล็กให้หลุดจากจากยึดเกาะของชายหนุ่ม พลางส่งสายตาเอาเรื่องไปยังเจ้าของโต๊ะ

“ถ้ายังคิดว่าเจ้านี่เป็นเพื่อนก็อย่าคิดจะงาบมันเลย ฉันจะพามันกลับ” ไม่พูดพร่ำทำเพลง ปถวีก็ลากร่างคนเมาพร้อมคนรักออกจากโต๊ะท่ามกลางสายตาอาฆาตที่ทิ่มแทงมาตามหลัง

“ปล่อยนะโว้ย ไอ้บ้า ช่วยแกไม่เคยมีบุญคุณเลย!” ไผ่เตะขาเตะแข้งร่างสูงเป็นพัลวัน

“เมาจนหัวจะทิ่มแล้วยังปากเสียอีกนะแก” ปถวีบ่นขณะเหลือบมองคนรักเดินตามหลังมาไม่ห่าง

“จำไว้เลยแก...จำไว้” น้ำเสียงอ้อแอ้ทวงบุญคุณของไผ่ทำให้ปถวีส่ายหน้า ฉันน่ะจำคุณงามความดีของแกไว้ทุกหยาดหยดเชียวละไอ้ไผ่

ใครว่ะที่ขู่จะเอาเกย์มารุมโทรมฉันน่ะ

“คุยไปก็ไม่รู้เรื่อง!” ร่างสูงพึมพำขณะยัดไผ่ใส่รถยนต์

“คืนนี้ไปค้างคอนโดฉันก็แล้วกัน”

ร่างสูงเหลือบมองกระจกมองหลังที่พอร่างเล็กหาที่ซุกหัวนอนได้ก็หยุดอาละวาด นอนสงบนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วจึงหันไปถามนทนทีที่ขึ้นรถตามมา

“คืนนี้ไปค้างคอนโดฉันมั้ย”

นทนทีนิ่งมองร่างสูงก่อนจะพยักหน้ารับ พวกเขายังมีเรื่องที่ต้องเคลียร์กันอีกนี่นา...

XXXXX

มีต่อ
V
V

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
“นอนไปเลยนะแก” ปถวีทุ่มร่างเล็กลงบนเตียงอย่างเหลืออด พลางปรายตามองไผ่ขดตัวซุกศีรษะลงบนหมอน ปากก็พึมพำต่อว่าใครๆไปทั่ว

“ไอ้บ้า...บ้า...เขาไม่รัก...รักฉัน...ฮือ...อึก”

“เอาเข้าไป” ปถวีมองคนเมาจนพอใจแล้วจึงหันกลับไปมองนทนทีเดินถือขันน้ำพร้อมผ้าผืนเล็กเข้าไปวางใกล้ๆเพื่อน

นทนทีเอื้อมมือไปปลดกระดุมเสื้อเพื่อหวังจะให้เพื่อนหลับอย่างสบายตัว แต่มือเล็กของคนเมากลับ

ปัดออกโดยแรง จนคนหวังดีขมวดคิ้ว

“ไผ่...”

“นท...ปล่อยมันไว้อย่างนั้นละ ยุ่งกับเจ้านี่มาก เดี๋ยวได้เจอกำปั้นหรือหน้าแข้งมันไม่รู้ตัวหรอก พอตื่นมาก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้บอกจำไม่ได้ เราก็เจ็บฟรีไป” ปถวีพูดแดกดันคนเมา

“พูดยังกับเคยโดน” ร่างโปร่งตัดใจพลางดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างเพื่อน

“มันกับฉันไส้มีกี่ขดๆรู้หมดละ”

ร่างสูงตอบขณะเดินตามร่างโปร่งบางออกจากห้องพักรับรองแขกไปทรุดนั่งลงบนโซฟารับแขกกลางห้อง

“ไม่ง่วงเหรอ จะตีสองแล้วนะ” ร่างสูงเดินตามมานั่งข้างๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบขวดน้ำที่วางไว้บนโต๊ะยกขึ้นดื่ม

“ก็ง่วงเหมือนกัน แต่อยากคุยกับนายก่อน”

คำพูดของนทนทีทำให้มือใหญ่หยุดชะงัก แล้วจึงค่อยๆวางขวดน้ำลงตามเดิม

“ฉันรู้ว่านายโมโหนะ แต่อยากให้ฟังฉันหน่อย นายพร้อมจะฟังฉันรึยัง” นทนทีเงยหน้ามองปถวีอย่างมีความหวัง เขาผ่านอะไรมามากมายเกินกว่าตั้งทิฐิหรือแง่งอน มันมาไกลกว่านั้นแล้ว...เพราะเขาตั้งใจจะมองไปข้างหน้า...ข้างหน้าที่มีพวกเขาเดินไปพร้อมกัน ถึงใครๆจะลำบากใจหรือรับไม่ได้ก็ตามที

“อืม...” ปถวีพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะทิ้งศีรษะลงบนพนักเก้าอี้มองฝาผนังห้องอีกฝากหนึ่ง

“ทำไมถึงไม่บอกฉันตรงๆละ”

นทนทีนิ่งเงียบชั่วครู่ก่อนจะเปิดปากพูด เขารู้ สิ่งที่เขาทำ ทำให้อีกฝ่ายเสียใจ เขารู้สึกผิดและก็ไม่ได้อยู่อย่างสบายอกสบายใจเลยซักนิด

“ฉันขอโทษ...ตอนนั้นฉันคิดว่านายจะไม่เข้าใจแล้วก็คงโมโห ถ้าไม่ให้รู้ก็คงจะดีกว่า เพราะฉันก็แค่ไปอยู่เป็นเพื่อนคุณเทวัญที่ไม่สบายเท่านั้นเอง เขาหลับไม่รู้เรื่องตลอดทั้งคืน แล้วฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขาเลยนะ” นทนทีเหลือบมองคนตัวใหญ่ยกมือขึ้นซ้อนใต้ท้ายทอยด้วยอาการเงียบขรึม แต่ยังคงรับฟังเขาด้วยความสงบ สงบจนเขาใจสั่น

“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะค้าง ตอนแรกแค่ขับรถพาไปส่งเท่านั้น เพราะเลขาคุณเทวัญยังติดงานอยู่ แต่อยู่ๆเลขาที่รับปากจะตามมาดูแลต่อเกิดถูกดึงตัวไปดื่มเหล้าเมาแอ้ ฉันไม่ไว้ใจเลยอยู่ดูเอง เรื่องมันก็มีเท่านี้ละ”

ปถวีเหลือบมองคนตั้งอกตั้งใจอธิบาย ฟังแล้วอยากกระชากตัวมาฟาดซักทีสองที ไม่รู้เลยรึไงว่าถูกต้มแล้ว ไอ้เจ้าเลขานั่นคงจงใจเปิดโอกาสให้เจ้านายตัวเอง เขาฟังแค่นี้ยังคิดออกเลย นายไว้ใจคนเกินไปรึเปล่า...สายตาคมกริบหรี่มองร่างโปร่งที่มีท่าทางยอมจำนนรับโทษจากเขา และยิ่งเขาเงียบ อีกฝ่ายก็ยิ่งร้อนรนผิดกับเมื่อวันก่อนลิบลับ เห็นแล้วก็ให้รู้สึกพอใจอยู่ไม่น้อยหรอก จะบอกว่าเขาหายโมโหตั้งนานแล้ว ที่ยังหลงเหลือคือความกังวลและระแวง

ในขณะที่ร่างสูงคิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ แต่ร่างโปร่งบางกลับร้อนรนในอาการนิ่งเงียบเอาแต่เหม่อมองเพดาน

มันมีอะไรดีนักเหรอ ไอ้เพดานสีขาวๆนั่นนะ นทนทีคิดพลางเม้นริมฝีปากแน่น แล้วจึงตัดใจพยายามต่อ

“วี ถึงเขาจะคิดยังไงกับฉัน แต่เขาก็ไม่เคยล่วงเกินรุ่มร่ามกับฉันเลยนะ งานก็งาน เรื่องส่วนตัวก็เรื่องส่วนตัว ฉันถึงไว้ใจและทำงานกับเขาได้” ร่างโปร่งบางขยับเข้าไปใกล้ร่างสูงที่ยังนั่งนิ่งเหมือนขบคิดอะไรบางอย่าง

“ที่ฉันคิดว่านายจะไม่เข้าใจ ฉันดูถูกน้ำใจนายใช่มั้ย จริงๆแล้วนายเข้าใจฉันใช่มั้ย” นทนทีมองคนนั่งเงียบด้วยขอบตาร้อนผ่าว “ฉันขอโทษจริงๆ” นทนทีเอื้อมมือไปแตะลำแขนใหญ่อย่างกังวล

“วี...”

ปวถีฟังเสียงอ่อนระโหยจากคนรัก จึงค่อยๆหันหน้ามองดวงแดงที่เริ่มแดงก่ำของอีกฝ่าย

“ถามจริงๆนายคิดอะไรกับเขารึเปล่า” คำถามที่หลุดมาจากปากปถวี ทำให้นทนทีเบิกตากว้างและรู้สึกโกรธเคืองพาลน้ำหูน้ำตาจะไหล

ผู้ชายคนนี้มาบังคับฝืนใจเขา มาตามตอแย มาล่อลวง แล้วยังมาทำให้เขารัก ที่เขาเป็นแบบนี้เพราะคนๆนี้คนเดียว ถ้าเป็นคนอื่น แค่คิดเขาก็ขนลุกแล้ว แล้วจะให้เขาไปคิดแบบนั้นกับใครได้อีกละ เขาทำตัวไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นเชียวเหรอ

“นายถามฉันแบบนี้ได้ยังไง ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะนาย ฉันมีแต่นายคนเดียว ฉันเชื่อใจนายขนาดไหน นายไม่รู้เลยเหรอ ฉันไม่เคยถามนายด้วยซ้ำว่าเคยไปทำอะไรกับใครมา ทั้งๆที่ฉันรู้สึก แต่ฉันก็ไม่เคยถาม เพราะอะไรรู้มั้ย” นทนทีจ้องมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาแวววาว

“เพราะเราคบกันไง และเพราะเป็นผู้ชาย ธรรมชาติก็คงจะเรียกร้องอะไรบ้างหรอก ฉันจึงพยายามจะเข้าใจ แล้วทำไมยังถามแบบนี้กับฉัน...ฉันทำตัวร่านแบบนั้นเหรอ” ดวงตาคู่เล็กแดงก่ำเจ็บช้ำ แล้วตอบอย่างเหยียดหยันยิ้มเยาะตัวเอง

“ฉันไม่เคยคิดอะไรกับเขาเลย”

ก่อนจะพูดอะไรต่อ ปถวีก็รวบร่างเล็กที่สะอึกสะอื้นออกมาอย่างเหลืออดเข้ามากอด เขาถามเพื่อย้ำความมั่นใจให้ตัวเองเท่านั้น ไม่คิดจะกลายเป็นการดูถูกพฤติกรรมของอีกฝ่ายเลย เขาก็แค่หวง...ยิ่งมีไอ้บ้าคอยจ้องจองจะงาบอยู่ใกล้ๆเขาก็ยิ่งคิด และอยากรู้ว่าอีกฝ่ายยังมีใจภักดีกับเขาแน่วแน่อยู่รึเปล่า

“นท...ไม่ใช่นะ ฉันแค่อยากแน่ใจเท่านั้นเอง นายลองมาเป็นฉันสิ มีไอ้บ้ามาคอยตามตื้อคนรักของตัวเอง แล้วนายจะอยู่เฉยได้เหรอ”

ไม่มีเสียงตอบจากร่างเล็ก ทำให้ปถวีนึกเสียใจ และเหมือนมีชนักติดหลัง ร่างสูงจึงดูร้อนรนเสียเอง

“นท...ฉันคบกับนายคนเดียวเท่านั้นนะ ถึงมีคนอื่นผ่านเข้ามาบ้างแต่ก็ไม่เคยคิดอะไรลึกซึ้ง นายคงว่าฉันเห็นแก่ตัว ฉันก็ยอมรับ”

ปถวีนึกถอนหายใจเฮือกใหญ่ จะบอกได้ยังไงว่า มันมาเอง พูดไปคงถูกว่า ว่ามักง่าย แต่เดี๋ยวนี้ก็แทบไม่ได้ทำเรื่องมักง่ายแบบนั้นแล้วด้วย เพราะอะไรน่ะเหรอ

เพราะเขาเหนื่อยที่จะต้องปิดบังคนรักตัวเองไงละ มันไม่สนุกเลยนะที่ต้องคอยระแวงกลัวถูกจับได้ และเห็นใบหน้าคนรักชุ่มด้วยน้ำตา ร่างสูงจึงนึกฮึดขึ้นในใจ

“ฉันจะไม่ทำตัวมักง่ายแบบนั้นอีก”

คำสัญญาของร่างสูงทำให้นทนทีเงยหน้ามองด้วยความแปลกใจ เขาไม่เคยคิดจะขอให้อีกฝ่ายเลิกเพราะเขาร้องขอ ด้วยถึงขอ หากถ้าอีกฝ่ายไม่เต็มใจ ก็คงได้แค่คำสัญญาโกหกพกลม

แต่คำสัญญาที่ออกมาจากปากด้วยความเต็มใจของร่างสูงทำให้หัวใจของนทนทีพองโต เพราะถึงจะเข้าใจและยอมรับ หากแต่ใจเขาก็ต้องการเป็นหนึ่งเดียวในใจและกายของอีกฝ่าย ไม่มีที่สองที่สามตามมา

นทนทีโถมตัวเข้าสวมกอดร่างสูงแน่น ต่อไปเขาจะไม่ต้องเจ็บยอกในอกอีกแล้ว เพราะอีกฝ่ายเลือกเขา เลือกจะทำให้เขามีความสุขแทนความสนุกสนานชั่วข้ามคืนของตัวเอง

คิดไปเขาก็ยิ่งต้องขอโทษปถวี เพราะเขาเองก็โกหก ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงด้วยความหวังดี เมื่อถูกโกรธ ถูกโมโหก็สมควรแล้ว

อีกอย่างเขาควรยอมรับกับตัวเองซักทีว่า เขามีคนรักขี้หึง...

“ขอบคุณๆ แล้วก็ขอโทษนะ” นทนทีมองใบหน้าคมคายด้วยดวงตาอ้อนวอนขอให้อีกฝ่ายเข้าใจ แต่ในดวงตาคู่คมกลับมีแววความลังเลจนร่างเล็กใจเต้นไม่เป็นสุข

“วี...” ร่างโปร่งบางขยับตัวเข้าแนบชิด ก่อนจะค่อยๆขึ้นไปนั่งคร่อมตักของร่างสูงใหญ่แล้วมองใบหน้าที่เคยเห็นจนชินตา แต่ ณ เวลานี้เขากับรู้สึกห่างไกลจนใจเจ็บ

นี่ใช่มั้ย ที่เขาพูดว่า ยิ่งรักมากก็ยิ่งเจ็บมาก

ร่างเล็กโน้มศีรษะชิดใบหน้าที่เอาแต่นิ่งเงียบ แล้วจึงประกบริมฝีปากได้รูปแผ่วๆ อย่าทำให้รู้สึกเหมือนห่างไกลอย่างนี้ ต่อให้ทะเลาะกันแทบเป็นแทบตาย ก็ยังดีกว่าเฉยชา

“วี...” นทนทีครางเมื่อมือใหญ่เข้าเกาะกุมเอวและลำแขนแน่นจนต้องนิ่วหน้า

“อย่าทำแบบนี้อีก...อย่าทำให้ฉันระแวง...ถ้ามีอีกฉันจะไม่ให้นายทำงานที่บริษัทไอ้นั่นอีกเลย” ดวงตาแข็งกร้าวเปิดเผยให้เห็นชัดว่านี่คือสิ่งที่เขาได้ตัดสินใจแล้ว และไม่ต้องการคำต่อรองใดๆทั้งสิ้น

นทนทีมองใบหน้าเครียดขึงด้วยใจระทึก ก่อนจะพยักหน้าเงียบๆแล้วจึงสวมกอดรอบคอหนาราวกับจะเอาใจ

“อือ” นทนทีแนบริมฝีปากสีสดของตัวเองกับอีกฝ่าย ค่อยๆไล้เลียลิ้นอุ่นชื้นรอบริมฝีปากร่างสูง หากแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมตอบรับทำเพียงโอบประคองลำตัวเขาไว้หลวมๆ

ลิ้นอุ่นเล็กรุกล้ำแทรกเข้าไปในโพรงปากที่เผยอออกอย่างง่ายดาย เสียงดูดกลืนดังขึ้นเป็นจังหวะ แต่การตอบสนองก็ยังไม่มากอย่างที่น่าจะเป็น ร่างโปร่งบางจึงผงกศีรษะขึ้นมองใบหน้าคมคายด้วยความฉงน

ทำไม?

นทนทีเอียงคอพลางมองลึกลงในดวงตาคู่แข็งกร้าวที่ตอนนี้ทอดแสงอ่อนลงเหมือนจะรอ

รอให้เขาเป็นฝ่ายเริ่มและปลุกเร้าร่างกายที่ยังนิ่งสงบให้คุโชน

ร่างเล็กนิ่งเงียบ นับครั้งได้เลยนะที่เขาจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เพราะตลอดมาอีกฝ่ายจะมีความต้องการเหมือนคนโลภ จนเขาตั้งรับแทบไม่ทัน

สิ่งนี้จึงทำให้เขาลังเลแต่...

มือเล็กก็ลากผ่านเนื้อผ้าเข้าไปสัมผัสแผ่นอกแน่นตึง พลางกดจูบเบาๆหลายครั้งบนใบหน้าอีกฝ่าย

“จะทำตรงนี้เลยเหรอ” นทนทีเหลือบมองอีกฝ่ายที่เลิกคิ้วขึ้นเมื่อถูกถาม และด้วยกลัวอีกฝ่ายจะแกล้ง จึงก้มหน้าซุกอกกว้างเอ่ยด้วยน้ำเสียงอู้อี้

“ไปในห้องเถอะ”

ปถวีก้มมองเส้นผมหอมกรุ่นแล้วยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ นานๆทีก็อยากให้นทนทีอ้อนเขาเหมือนกัน น่ารักดีออก...

และเพราะคิดแบบนั้น ร่างสูงถึงยังได้นิ่งเงียบให้คนบนตักรบเร้า

“วี...ไผ่อยู่ด้วยนะ เข้าไปในห้องเถอะ” นทนทีพูดเสียงอ่อน เขายอมทำทุกอย่างแล้วนะ ใบหน้ามนเงยมองคางสากแล้วจึงยืดตัวขึ้นจูบ

“นะ”

น้ำเสียงอ้อนวอนร้องขอยิ่งทำให้ปถวีนึกอยากจะกระชากแข้งขาเล็กออกจากกัน แล้วฝั่งตัวเองลงไปในความอบอุ่นที่รออยู่เป็นนักหนา แต่ไม่ใช่ตรงนี้

เพราะคนตรงหน้าเขานี้คือคนรัก ไม่ใช่คู่นอนชั่วข้ามคืนที่นึกอยากจะทำที่ไหนก็ทำ ความมักง่ายและทิฐิจะกลายเป็นการเหยียบย้ำน้ำใจและศักดิ์ศรีของอีกฝ่าย โดยที่เขาจะไม่มีวันได้ความภักดีกลับคืนมาอีกเลยหากเขาทำ

ครั้งเดียวเท่านั่นที่เขาเคยทำ คือวันที่เขาทำให้คนๆนี้เป็นของเขา

อารมณ์ปั่นป่วนที่เกิดจากคนตรงหน้าทำให้ปถวีรีบกระชับคนบนตักแล้วยกขึ้นพาเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะใช้เท้าเขี่ยประตูปิด

เมื่อเข้ามาอยู่ให้ห้องนอน ปถวีมองนทนทีนั่งอยู่บนตักแล้วจึงดันตัวอีกฝ่ายลงไปนั่งคุกเข่าบนพื้นห้อง ให้ใบหน้ามนมองมาด้วยความสงสัย

หากอยู่ในห้องที่ปิดสนิทมิดชิด จะเล่นโลดโผนขนาดไหนก็ได้ทั้งนั้น ปถวีคิดอย่างคึกคะนอง

วันนี้เขาจะทำให้นทนทีร้องครวญคราง ให้สมกับที่ทำให้เขาต้องทรมาน โมโหไปสารพัด แถมยังถูกต่อยอีกด้วย

เพราะแสงตาคู่คมเป็นประกายพราวระยิบระยับทำให้พวงแก้มนทนทีแดงเรื่อ เดาความหมายในสัญญาณนี้ออก ก่อนจะกวาดสายตามองแผ่นอกไล่ลงมาที่กลางลำตัว ริมฝีปากสีสดขบเม้นเข้าหากันแน่นแล้วจึงเอื้อมมือไปปลดเข็มขัดหนังเส้นใหญ่ออกจากหน้าท้องแข็งเรียบตึง

นทนทีเงยหน้ามองคนนั่งบนเตียงอย่างลังเลเล็กๆ ทำให้ร่างสูงนึกเอ็นดูยกมือขึ้นลูบเส้นผมแล้วไล้ไปตามลำคอยังไหล่ลาด หากแต่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำพูดใดๆ

คนนั่งคุกเข่าบนพื้นจึงค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปใกล้สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ชั้นในสีขาวที่แม้ยังไม่ได้สัมผัสก็ออกอาการนูนพองให้เห็น นทนทีค่อยๆเลื่อนเนื้อผ้าที่ปกปิดออก แล้วใช้มือประคองก่อนจะก้มหน้าเข้าหาส่วนกลางลำตัวที่เริ่มเต็มไม้เต็มมือ ริมฝีปากเล็กประทับลงบนเนื้อเห่อคลั่งด้วยเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยงจนแข็งเป็นท่อน

จูบเบาๆของร่างโปร่งทำให้ปถวีต้องสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ มันช่างชักช้าเงอะงะจริงๆ แต่ร่างสูงก็ข่มใจเฝ้ามองริมฝีปากสีสดที่ค่อยๆครอบครองเขาเข้าไปในโพรงปากทีละน้อยๆจนสุด แล้วจึงรูดถอนใบหน้าออกห่างแล้วกดกลับเข้าไปอีกครั้ง

“อืม...” ปถวีเกร็งนิ้วมือขยำศีรษะเล็กขยี้ไปมา พลางกดสะโพกได้รูปเหยียดหยัดเข้าหาริมฝีปากที่กำลังทำหน้าที่อย่างตั้งใจ

“อะ! แฮกๆ” ปถวียกยิ้มเมื่อได้ยินเสียงสำลักของนทนที ก่อนจะก้มตัวดึงรั้งร่างโปร่งขึ้นมานั่งบนตักตามเดิมให้อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย

พอ...พอแล้วเหรอ?

“ขืนรอให้นายทำจนเสร็จ ฉันเป็นต้องเลือดคลั่งตายแน่ หึ! สอนเท่าไรไม่เคยจำได้เลย” คนตัวใหญ่ลากเสียงหนักๆพลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์

ถ้ามีเวลาก็ตั้งใจจะแกล้งต่ออยู่หรอกนะ แต่นี่มันข้ามวันใหม่มานานแล้ว อีกอย่างความอดทนของเขาก็มีจำกัดด้วยในตอนนี้

ปถวีกดจูบไปตามไหล่ลาด มือใหญ่เข้าขยำบั้นท้ายเนียนตึงมืออย่างไม่เกรงใจกับอาการสะดุ้งและเสียงร้องประท้วงตามมา

“เบาๆ” นทนทีขมวดคิ้วกับความเจ็บแปลบ แต่ก็โอนอ่อนเมื่ออีกฝ่ายเข้าปลดเปลืองเสื้อผ้าออกไปจากตัว

“อืม...” เสียงครางสมใจเมื่อมือใหญ่ได้สัมผัสเนื้อเนียนเรียบลื้นมือ ยอดอกสีแดงเข้มถูกร่างสูงบีบพลางคลึงเคล้นไปมาจนนทนทีต้องเปล่งเสียงร้องครางเครือ

“อะ...วี”

เสียงครางหวานหูชวนให้วาบหวิวความคิดกระเจิดกระเจิง ทำให้ร่างสูงขบฟันตัวเองแน่นแล้วเกี่ยวกระหวัดร่างเล็กให้ล้มลงบนฟูกนิ่ม แขนใหญ่เท้าคร่อมศีรษะเล็ก จ้องมองใบหน้าเนียนมองกลับมาด้วยแววตาเต้นระริก ก่อนจะหลุบตาก้มมองแผ่นอกราบเรียบสีนวลกระจ่างตา

นิ้วแข็งแรงกดลงบนเนื้อนิ่มแล้วลากไล้ไปตามสัดส่วนของร่างกายอย่างช้าๆ ร่างสูงเพ่งมองไปตามนิ้วมือตัวเองที่หยุดลงบนแกนกายร่างโปร่งบาง อารมณ์และความปรารถนากำลังถูกฟ้องด้วยร่างกายตัวเองทำให้นทนทีออกอาการเก้อเขินเล็กๆก่อนจะเอื้อมมือไปเกี่ยวบ่าหนาแล้วยกยิ้มมุมปากให้บางเบา

ปถวีหรี่ตามองแล้วกดมือลงคลึงเคล้นแกนกายร่างโปร่งหนักๆ

อย่ายั่วกันนักเลยน่า...แค่นี้ก็จะคลั่งอยู่แล้ว

“อืม!...” คนตัวเล็กสะท้านเมื่อถูกบีบเค้น และยิ่งต้องสะดุ้งเมื่อมือใหญ่ลากไล้ไปยังช่องทางด้านหลังโดยที่ยังจับจ้องมองใบหน้าเขาไม่ห่าง

“ทะลึ่ง” เมื่อถูกอีกฝ่ายสังเกตปฏิกิริยาบนใบหน้า พวงแก้มขาวก็ซับสีเลือดขึ้นมาร่ำไร แม้ไม่ชอบใจแต่ก็ไม่อาจห้ามปรามความคิดพิเรนของร่างสูง เพราะถึงห้ามก็คงจะบังคับทำให้ได้แล้วจะยิ่งอายเข้าไปใหญ่ จึงจำยอมให้อีกฝ่ายเฝ้ามองใบหน้าที่สะท้อนความรู้สึก เมื่อถูกนิ้วมือกระตุ้นให้ไหววูบ ก่อนจะหลบตาหนีเมื่อรู้สึกว่าถูกแกล้ง

“นท...อย่าหลบ มองฉันสิ ฉันก็จะมองนทเหมือนกัน”

คำพูดหว่านล้อมของปถวีทำให้นทนทีลืมตามองใบหน้าคมคายที่ล่อยเด่นอยู่ไม่ห่าง เรียวขาขาวที่กำลังถูกแยกเปิดโล่งให้อีกฝ่ายเข้ามาฝั่งอยู่ในร่างกาย นทนทีจึงเพ่งมองดวงตาคู่คมด้วยใจระส่ำ ก่อนจะแอ่นตัวรองรับความใหญ่โตที่ค่อยๆสอดใส่เข้ามาอย่างช้าๆ หากแต่สายตากับไม่ได้คลาดจากกัน แววตาที่สะท้อนความรู้สึกของกันและกัน มันมากกว่าความสุขสมทางรสเพศ

เพราะมันมีความรักความห่วงใยอยู่ในนั่น

“อือ...วี” นทนทีกดนิ้วลงบนต้นแขนแข็งแรงเพื่อลดอาการอึดอัดในตัว และขยับสะโพกให้สอดรับกับการกระแทกกระทั้นของอีกฝ่ายอย่างพอเหมาะพอเจาะ

เสียงสะท้อนของผิวหนังกระทบกันดังก้องในโสตประสาทของร่างสูง ยิ่งทำให้สะโพกแกร่งกดลงแนบแน่นรัวเร็ว จนร่างเล็กที่นอนทอดกายรองรับสั่นสะท้านจากการไหวโยก

“วี...วี” ลำแขนเรียวเล็กยื่นขึ้นสวมกอดลำคอหนาเมื่ออารมณ์ใกล้ถึงขีดสุด และจู่ๆมือใหญ่กลับยกขึ้นบีบรัดแกนกายที่เห่อบวมจนร่างเล็กสะดุ้ง

“อย่านะ!”

ไม่มีเสียงตอบรับ สะโพกแกร่งยังคงโถมกายลงช่องทางอุ่นแน่นไม่หยุด และเมื่อไม่ได้รับการปลดปล่อยร่างเล็กใต้คนตัวใหญ่จึงพลิกศีรษะไปมาราวกับทุกข์ทรมานแสนสาหัส นิ้วมือเรียวจิกลึกลงบนแผ่นหลังหนาและยิ่งลึกขึ้นจนเกิดเป็นริ้วรอยเมื่อร่างสูงเพิ่มแรงกระแทก

“วี...หยุด...ฉันไม่ไหวแล้ว” ดวงตาคู่สุกใสหรี่มองคนรักอย่างอ้อนวอน หากคนที่โยกกายกลับทำเพียงขมวดคิ้วนิ่วหน้ามองใบหน้านวลแดงก่ำด้วยอารมณ์ที่ถูกเก็บกดไว้

“ยัง...ยังไม่พอ”

“วี!” นทนทีเบิกตากว้างกับคำพูดที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

“วี...ไม่นะ...อือ!” ริมฝีปากบางครางเครือเมื่อจังหวะการสอดใส่เร็วขึ้นจนตัวโยน

“อา...อ๊ะ!” กำปั้นเล็กทุบลงแผ่นหลังกว้างเมื่ออีกฝ่ายยังดึงดันบีบรัดแกนกายที่คลั่งด้วยเลือดจนกลายเป็นสีแดงน่ากลัว

และก่อนจะมากเกินกว่าที่ร่างโปร่งบางจะรับไหว มือใหญ่จึงคลายออกและขยับรูดรั้งให้อารมณ์ที่ถูกกักกั้นไปถึงจุดหมายปลายทาง

“อ๊า!...” เสียงครางหลังอารมณ์ถูกปลดปล่อยทำให้นทนทีหอบหายใจแรง บนหน้าท้องราบเรียบเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำสีขาวขุ่น แต่หากร่างเล็กยังต้องรอรับการกระแทกกระทั้นของร่างสูงอีกสองสามครั้ง ภายในช่องทางอุ่นแคบจึงเต็มไปด้วยหยาดน้ำอุ่นๆไหลร้นออกเป็นทาง

“อืม...” เสียงครางอย่างสมใจพร้อมกับทรุดตัวลงทาบทับร่างเล็ก ฟังเสียงหัวใจที่ยังเต้นดังระทึกของกันและกันจนสงบลง ปถวีจึงเงยหน้าขึ้นมองคนที่หลับตาพริ้มใต้ร่างอย่างเงียบๆ

“นท” เสียงเรียกแผ่วเบาไม่ทำให้คนที่เคลิ้มหลับด้วยความเหนื่อยลืมตาตื่น นิ้วมือใหญ่จึงยกขึ้นเกลี่ยเส้นผมชื้นเหงื่อให้อย่างเบามือ หากแต่ดวงตาคู่คมกับยังมีแววความวิตกกังวลไม่ได้ห่างหาย

ถึงจะรักและเข้าใจอีกฝ่ายแค่ไหน หากแต่เมื่อเกิดความระแวงขึ้นมาแล้ว มันยากจะลืมเลือนกันได้ง่ายๆ

และถึงมันจะเป็นความเห็นแก่ตัวของเขาเองก็ตาม ที่ไม่อยากเห็นคนรักของตัวเองสนิทสนมกับใครที่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง

แล้วเขาจะทนให้ไอ้เจ้านายหูงอกหางงอกนั่นอยู่ใกล้คนรักเขาได้อีกนานแค่ไหนกัน...

---TBC---
 
เดี๋ยวมาต่อค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-10-2009 12:30:47 โดย jeab_u »

ออฟไลน์ ปี้ปี้ปี้~PalmY

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2427
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +273/-1
 :serius2:

อีกกี่ตอนจบอะ (น่าน มาถามเลยอีกกี่ตอนจบ ๕๕๕)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ thaitanoi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1451
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
คู่ของนทกับวี ทำท่าจะเข้าใจกันแล้ว เหลือแต่คู่ของไผ่กับวิชแล้วนะ ขอบคุณนะครับ

ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
ยังไม่เรียบร้อยเท่าไรเลย คลื่นใต้น้ำชัดๆ ไม่รู้วันไหนซึนามิจะถล่มนะ รอลุ้นค่ะ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
โอ๊ย แต่ละคู่ ทำปวดลำไส้มาก

คู่หนึ่งเริ่มเหมือนจะดี แต่ก็ยังไม่น่าใช่

อีกคู่ก็เริ่มไปกันใหญ่

:เฮ้อ:

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
ตอนที่ 7

“คุณปถวี...คุณอนลโทรศัพท์เข้ามาเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนครับ” กันย์เลขาหน้าห้องเดินเข้าไปหาประธานบริษัทที่เพิ่งประชุมกับกลุ่มผู้บริหารบริษัทเสร็จกลับเข้ามาในห้อง

“มีอะไรด่วนรึเปล่า” ปถวีถอดเสื้อนอกโยนลงบนโต๊ะทำงานตัวกว้าง

“บอกว่ามีเรื่องจะปรึกษาน่ะครับ”

“อืม” ปถวีพยักหน้าพลางครุ่นคิด ร้อยวันพันปีไม่เคยจะมาปรึกษา วันนี้ฝนท่าจะตกห่าใหญ่ซะละมั้ง ไอ้น้องชายผู้สุขุมผิดกับชื่อถึงได้คิดจะคุยกับเขา

“ตอนเย็นมีนัดอะไรอีกมั้ยกันย์” ร่างสูงเหลือบมองนาฬิกาติดฝาผนังห้องที่บอกเวลาบ่ายสามโมงพอดิบพอดี

“หลังจากนี้ไม่มีแล้วครับ”

“งั้นหมดเวลางานแล้วนายกลับได้เลยนะ” ปถวีพยักพเยิดหน้าให้เลขาคนสนิทหากแต่อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นเหมือนจะถามว่า แล้วหน้าที่การไปรับนทนทีกลับบ้านละ

“วันนี้เดี๋ยวฉันไปรับเขาเอง”

กันย์พยักหน้ารับรู้แล้วจึงขอตัวออกไปทำหน้าที่ของตนเอง แต่ก่อนจะก้าวขาพ้นออกจากห้องประธานไป

“เดี๋ยวๆ กันย์ ฝากโทรจองโต๊ะที่ร้านอาหารให้ด้วยนะ”

“ครับ”

พ้นหลังเลขาร่างสูงโปร่งผู้เก่งกาจ ปถวีจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาน้องชาย

“ไง มีอะไรจะคุยกับพี่ชายคนนี้ละ ไอ้น้องชายที่รัก” ปถวีลากเสียงยียวนกวนประสาท

“พี่...ดูทำเสียงเข้า คนเขาอยากจะคุยเป็นการเป็นงานแท้ๆนะ”

เพราะน้ำเสียงดูจริงจังของน้องชายทำให้ปถวีหุบยิ้ม แล้วจึงกรอกเสียงให้สมกับเป็นพี่ชายที่ดูพึ่งพาได้

“เอาละๆ ไม่ล้อแกละ มีอะไร” ปถวีทรุดลงนั่งแล้วเลื่อนเก้าอี้ให้หันหน้าไปทางหน้าต่างกระจกใสที่สะท้อนภาพท้องฟ้าสีครามเจิดจ้า

“พี่...เรื่องไปเรียนเมืองนอกน่ะ แม่ชักจะถามถี่ขึ้นทุกวัน ตอนนี้เห็นหน้าแม่แล้วไม่ค่อยสบายใจเลย”

“แล้วแกอยากไปมั้ยละ”

“ก็อยากจะไปเรียนให้จบละนะ แต่...” อนลนิ่งเงียบราวกับกำลังครุ่นคิด แต่ผู้เป็นพี่ชายก็ต่อประโยคให้จนจบ

“ห่วงน้องวาว่างั้นเถอะ” พอพี่ชายต่อความให้ อนลจึงพยักหน้ารับแม้อีกฝ่ายจะไม่เห็นก็เถอะ

“เรียนตั้งหลายปี ถึงจะบินกลับมาได้บ่อยๆ แต่ถ้าห่างกันนานๆฉันก็ห่วงนะพี่ ถึงพี่จะรับปากดูแลให้ก็เถอะ”

“แล้วแกจะเอาไงละ ขืนแกยื้อไว้อย่างนี้ ยิ่งนานแม่ยิ่งจะหัวเสียหนักนะ ลองคุยกับแม่ตรงๆมั้ยละนล”

“ฉันก็คิดแบบนั้น ตั้งใจจะคุยกับแม่เย็นนี้ แต่อยากคุยกับพี่ก่อน พี่...ฉันจะขอน้องวาแต่งงานก่อนไปเรียนนะ”

คำพูดท้ายประโยคทำเอาปถวีสำลักอากาศ

“ห๊ะ!”

“ทำไมต้องตกใจละพี่ ฉันรักของฉัน ถ้าให้ฉันไปเรียนทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราวกับน้องวา ฉันเรียนไม่รู้เรื่องแน่”

“แกจะบอกแม่เย็นนี้เหรอ”

“อืม”

“แต่แกไม่เคยพาน้องวาไปให้แม่เห็นหน้าค่าตามาก่อนเลยนะ ปุบปับไปบอกแบบนี้ แม่เขาจะเห็นดีเห็นงามไปกับแกเหรอไอ้นล” ปถวีเกาศีรษะแกกๆ

“โธ่...พี่ ที่ผ่านมาพี่ก็เห็น ฉันอยากพาน้องวาเข้าบ้านตั้งไม่รู้กี่หน แต่น้องวาก็บ่ายเบี่ยงตลอด พี่เห็นน้องวามาพร้อมๆกับฉัน ก็รู้นี่ว่าน้องวาเขาเจียมตัวขนาดไหน ทุกวันนี้ยังไม่เคยตกปากรับคำว่าคบกับผมเต็มปากเต็มคำเสียด้วยซ้ำ” อนลลงน้ำเสียงติดจะฉุนเล็กๆ

“ก็เห็นอยู่หรอกนะ” ปถวีรับพลางนึกไปถึงคนเป็นพี่ชายน้องวา พี่น้องคู่นี้นิสัยเหมือนกันจะตาย

“ฉันนึกหน้าแม่ไม่ออกเลยวะนล” ปถวีวกกลับมาคิดเรื่องของน้องชายต่อ

“แต่ฉันไม่รอแล้วพี่ ฉันจะบอกแม่วันนี้ละ ถ้าแม่ไม่รับ ฉันจะพาน้องวาไปอยู่กับฉันที่เมืองนอกเลย”

ปถวีหัวเราะในลำคอที่อยู่ๆน้องชายเกิดจะดื้อเพ่งขึ้นมา คงกังวลใจไม่น้อยหรอกถึงได้พูดจาประชดน้อยเนื้อต่ำใจขนาดนี้

“เอาละๆ เอาไงก็เอา ไม่พูดวันนี้วันหน้าก็ต้องพูดอยู่ดี แต่ค่อยๆพูดกับแม่เขาละ เดี๋ยววันนี้ฉันกลับบ้าน จะไปคอยเป็นลูกคู่ให้แกก็แล้วกัน เวลาแม่เป็นลมจะได้รับทัน”

“พี่!”

“ล้อเล่นๆ” ปถวีหัวเราะก่อนจะตัดสายแล้วกดโทรศัพท์ภายในเรียกเลขาหน้าห้องเข้ามา

“กันย์ ตอนเย็นฉันติดธุระที่บ้าน คงต้องให้นายไปรับนท ช่วยทีนะ”

“ครับ”

ไม่มีคำถามออกมาจากปากเลขาผู้เยี่ยมยุทธ์ และเพราะเป็นแบบนี้ถึงเป็นที่ถูกใจประธานหนุ่มนักหนา ไม่เรื่องมาก ไม่ขี้สงสัย แต่งานทุกอย่างทำได้ไม่มีที่ติ และเลขาที่ดีแบบนี้จึงต้องมีค่าจ้างที่สมน้ำสมเนื้อแน่นอน

“เออ...แล้วถ้าเห็นว่านทจะไปไหนกับเจ้าประธานบริษัทนั่นต่อ นายหาเรื่องพากลับบ้านไปเลยนะ”

“ครับ”

“เออ...อีกอย่าง ระวังเจ้าเลขาตัวดีของประธานนั่นไว้ด้วย แสบใช่ย่อยเชียวละ”

“ครับ” แก้มขาวเย็นกระตุกเล็กน้อยเมื่อนึกถึงชายหนุ่มจอมขี้เล่น ขี้เล่นจนเกินเหตุชวนน่าหมั่นไส้


XXXXX


ขายาวๆของทวีปหยุดชะงักเมื่อเห็นรถสีเงินคันคุ้นตาแล่นเข้ามาบริเวณลานจอดรถหน้าบริษัท และก่อนจะได้เห็นหน้าคนภายในรถคันงาม ร่างสูงรีบตรงดิ่งไปยังเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อกดโทรศัพท์ภายในต่อสายไปยังห้องประธาน

“ท่านประธาน ถ้าท่านประธานยังอยากจะพานิติกรหน้าหวานไปดินเนอร์เย็นนี้ โปรดใช้ทางด่วนพิเศษด้านหลังบริษัทนะครับ”

“ทะลึ่งอะไรของแกไอ้ทวีป นี่มันเวลางานนะ” เสียงเข้มกำชับดังมาตามสาย

“ตอนนี้ต้องขอเวลานอกด่วนจี๋ครับ เพราะผู้คุมเข้ามารออยู่ข้างล่างแล้วครับท่าน”

“หือ...ใคร?” เทวัญทำท่าครุ่นคิด

“อ๋อ...คุณเลขาหน้าสวยนั่นนะเหรอ”

“ถูกต้องแล้วครับ” ทวีปลากเสียงตอบก่อนจะชายตามองไปยังประตูกระจกด้านหน้าที่ปรากฏร่างสูงโปร่งเข้ามาในกรอบสายตา

“มาแล้วๆจะทำอะไรก็รีบทำนะท่านประธาน ผมจะไปรับหน้าให้”

“อย่ามาทำพูดดี อยากไปหาเขาจะแย่ละสิ ไอ้กระล่อน”

เสียงหัวเราะแฮะๆดังขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะวางสายแล้วรีบเดินเข้าไปดักหน้าดักหลังร่างสูงโปร่งสวมใส่ชุดสูทสีเข้ม ดูเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าพร้อมทั้งหน้าตาเรียบเฉยสนิทดังเดิม

“สวัสดีครับคุณกันย์” หน้าตากรุ่มกริ่มชวนให้ร่างโปร่งขาวหมั่นไส้นึกอยากบริภาษ แต่จำต้องสงบปากสงบคำเงียบเชียบฉีกยิ้มเย็นเชือดเฉือนไปแทน

“ครับ สวัสดี”

“นัดไว้หรือครับ”

“ครับ”

“แต่ผมเห็นนทนทีออกไปแล้วนะครับ”

คิ้วได้รูปโก่งโค้งขึ้นเล็กน้อยก่อนจะคลายลง แล้วส่งยิ้มเพียงแต่ปากให้คนช่างสอดรู้สอดเห็นตรงหน้า

“แต่เขาบอกจะรอผมนะครับ เขาไม่น่าจะไปโดยที่ไม่โทรบอกผมก่อน”

“เขาอาจจะรีบจนลืมก็ได้นะครับ” ทวีปยังยิ้มเย็นไม่ใส่ใจกับสายตาคมกริบที่หรี่ลงอย่างคนใช้ความคิด

“เขาไม่ใช่คนนิสัยอย่างนั้นหรอกครับ รายนี้น่ะเขาซื่อๆตามใครไม่ค่อยจะทัน โดยเฉพาะพวกชอบฉวยโอกาสกับความใจดีของเขาน่ะครับ”

ฉึก! โอ๊ยหนึ่งดอก เสียงร้องโอดโอยเหมือนมีอะไรมาปักลงกลางใจทำให้ทวีปยักมุมปากขึ้น หลอกด่ากันนี่หว่า แสบจริงๆ แต่ช้าไปแล้วคุณเลขาคนเก่ง เพราะฉันทำหน้าที่สำเร็จแล้วละ ป่านนี้ประธานหัวไวของฉันคงพาหนุ่มน้อยไปไกลแล้ว

“เหรอครับ สงสัยผมคงจะจำผิดคนละมั้ง ถ้างั้นผมไปตามนทให้เป็นการไถ่โทษที่ทำให้ต้องเสียเวลานะครับ” ทวีปทำท่าทีเอื้อเฟื้ออีกฝ่าย กันย์ตั้งท่าจะปฏิเสธความหวังดีจอมเสแสร้งนั่น แต่เพราะอาการสั่นของอุปกรณ์สื่อสาร ทำให้ชายหนุ่มจำต้องก้มหน้าล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากดรับสาย

“กันย์ ขอโทษทีนะ ฉันมีธุระด่วนต้องออกไปข้างนอกกับประธานน่ะ กันย์มาถึงไหนแล้ว ถ้าไงกันย์กลับไปได้เลยนะ อย่ารอเลย ฉันไม่รู้ว่าจะเสร็จกี่โมง” เสียงรีบร้อนของนทนทีดังขึ้นมาตามสัญญาณโทรศัพท์

“อ้าว!...ผมมาถึงได้สักพักแล้วครับ แต่ยังไม่ได้โทรหาคุณเท่านั่นเอง อีกสิบกว่านาทีถึงจะเลิกงานนะครับ” กันย์เหลือบมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะหันไปชำเลืองมองใบหน้าคมคายที่แฝงอะไรบางอย่างให้ต้องขบคิด

“ห๊ะ! เหรอ...ฉันเพิ่งออกมาเมื่อกี้นี้เอง แต่ออกมาด้านหลังเลยไม่เห็นนายนะสิ ขอโทษนะกันย์ เดี๋ยวฉันกลับบ้านเองนายไม่ต้องไปส่งฉันหรอก กลับไปพักเถอะ”

สิ้นเสียงนทนที ทุกสิ่งทุกอย่างที่กันย์สงสัยก็คลี่คลาย ไอ้บ้านี่มาถ่วงเวลาเขานั่นเอง และไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ กันย์จึงโค้งตัวให้อีกฝ่ายน้อยๆแล้วเดินตัวปลิวออกไปยังลานจอดรถ

“คุณไปทำธุระที่ไหนหรือครับ ถ้าคุณปถวีถามผมจะได้บอกถูก และก็จะได้ไม่ห่วงกันด้วยไงครับ” ร่างสูงโปร่งยิ้มเย็นปะเหลาะถามโดยไม่ให้นทนทีรู้ตัวว่ากำลังถูกหลอกถาม

“อ๋อ ฉันจะไปธุระที่ตึก SSTทาวเวอร์น่ะ เสร็จแล้วก็จะกลับบ้านเลย ไม่ต้องห่วงนะ แค่นี้ก่อน ฉันอยู่ในรถ”

“ครับ” กันย์เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า แล้วจึงมีมือใหญ่เข้ามาฉวยกระชับต้นแขนให้หยุดเดินได้ชะงัก

“มีอะไรหรือครับ” ร่างโปร่งมองใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างนึกหงุดหงิด เจ้านี้ทำให้เขาเสียเวลาและเสียงาน

“อ๋อ ไหนๆเพื่อนก็ไม่อยู่แล้ว ไปกินข้าวกับผมก็ได้นะครับ ผมเลี้ยงเอง” ทวีปทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ดันทุรังชวนคนหน้าตึงไปกินข้าว

หน้าด้าน! กันย์นึกบริภาษอีกฝ่ายในใจ ก่อนจะปั้นยิ้มแล้วตอบปัด

“ขอบคุณครับ แต่ยังอยู่ในเวลางานไม่ใช่หรือครับ” กันย์แสร้งมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง

“เหลือเวลางานอีกตั้งห้านาทีแน่ะ คงไม่ดีแน่ถ้าคุณจะออกไปกับผมตอนนี้ ลาก่อนครับ” ไม่รอให้ทวีปได้ต่อรอง ร่างโปร่งก็กลับเข้าไปอยู่ในรถแล้วถอยห่างจากไป ทิ้งให้คนที่ลงทุนเดินตามออกมานึกคันยุบยิบในหัวใจ

“รับมือยากจริงๆผับผ่าสิ”


XXXXX


“โห...ขาดพี่ใหญ่อีกคนเดียวก็พร้อมหน้าพร้อมตาแล้วสินะพ่อ” คุณหญิงศรีสอางค์หันไปยิ้มให้สามีเมื่อเห็นบุตรชายคนกลางและคนสุดท้องนั่งรับหน้าอยู่ภายในห้องรับแขก

“มันทำบริษัทขาดทุนรึไงถึงได้นั่งทำหน้าเหมือนกำลังสารภาพบาปแบบนั้น หึๆ” คุณทรงยศหัวเราะในลำคอก่อนจะพาตัวเองไปนั่งข้างบุตรชายคนกลาง

“แล้วเราละ” ผู้เป็นพ่อหันไปถามลูกชายคนเล็กที่กำลังยกแก้วน้ำจากแม่บ้านให้มารดา

“เปล่านะพ่อ ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับพ่อกับแม่ต่างหาก” อนลเหลือบมองมารดาแล้วจึงหันไปสบตากับพี่ชาย

“ให้ฉันออกไปก่อนมั้ยละ” ปถวีเอ่ยขึ้นเรียบๆแต่อนลกลับส่ายหน้าปฏิเสธ

“พี่อยู่ด้วยนี่ละ”

เพราะบรรยากาศชวนให้อึดอัดน่าสงสัยของบุตรชาย ทำให้ทั้งคุณทรงยศและคุณศรีสอางค์ต่างหันหน้ามาสบตากัน

“มีอะไรหรือลูก” คุณศรีสอางค์ยกมือขึ้นลูบศีรษะบุตรชายคนเล็ก

“แม่...เรื่องไปเรียนต่อผมก็อยากไปนะ แต่...ผมเป็นห่วงน้องวา” ไม่มีอรัมภบทเกริ่นนำให้ยืดเยื้อ อนลพุ่งเป้าไปยังสิ่งที่อยู่ในใจจนบิดามารดามองหน้ากันเลิกลัก

“ใครกันหรือลูก น้องวาที่ว่านั่น” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามในขณะที่มารดาขมวดคิ้วยุ่ง

“คนรักของผมเองครับ”

สิ้นเสียงตอบของอนลคุณทรงยศก็หัวเราะฮาออกมาทันที

“นั่นมั้ยละ พ่อว่าแล้วว่าลูกมันต้องซุกแฟนไว้ที่ไหนแน่ เห็นมั้ยๆ ผิดคำพ่อพูดมั้ยละ” แต่ด้วยสายตาดุเชิงห้ามปรามของภรรยาทำให้คุณทรงยศจำต้องกระแอมเก็บอาการไว้ชั่วคราว

“ลูกเต้าเหล่าใครละ ไม่เห็นเคยพามาให้พ่อให้แม่เห็นหน้าบ้าง”

“แม่เขาทำสวนค้าขายอยู่ห่างจากบ้านเราไปไม่มากครับ ส่วนพ่อเขาเสียไปแล้ว แล้วก็เป็นน้องสาวของพี่นทน่ะครับพ่อ”

“คนใกล้ตัวนี่เอง” ผู้เป็นบิดาพึมพำด้วยรู้ว่านทนทีเป็นเพื่อนสนิทของลูกชายตนเองมาตั้งแต่สมัยเรียน

“แล้วที่หายหัวไปไม่ค่อยจะเห็นหน้าก็เพราะไปคลุกจีบเขาอยู่ละสิเจ้านล”

“คุณยศ!” เสียงภรรยาปราบมาอีกรอบทำให้ฝ่ายสามีจำต้องปิดปากเงียบสนิท

“อย่าทำเสียเรื่องได้มั้ยคุณ”

“คุณก็ พ่อถามดูเฉยๆ” ชายสูงวัยยกมือขึ้นลูบศีรษะสีเทา พลางพยักหน้ายกหน้าที่ให้ภรรยาทำต่อไป ทำให้ปถวีที่มองเหตุการณ์อยู่นึกขำ

“เอาละนล แม่พอเข้าใจละว่าลูกอยากบอกอะไรกับแม่ ลูกห่วงคนรักของลูกจนไม่อยากไปเรียนต่อใช่มั้ย” คุณศรีสอางค์ก้มมองใบหน้าบุตรชายคนเล็กอย่างค้นคว้า

“ครับ” อนลพยักหน้ายอมรับ

“แต่คนเรามีหน้าที่นะลูก ถ้าทำหน้าที่ของเราได้ไม่ดี แล้วจะไปรับผิดชอบชีวิตคนอื่นได้ยังไง”

“ผมเข้าใจแม่นะ แต่ผมก็ไม่สบายใจเลยถ้าต้องทิ้งน้องวาไว้แบบนั้น”

“แต่เขาก็มีพี่ชายคอยดูแลอยู่ไม่ใช่เหรอลูก อีกอย่างถ้าลูกกังวลว่าความห่างไกลเพียงไม่กี่ปีจะทำให้ความสัมพันธ์เปลี่ยนไป แล้วลูกจะมั่นใจกับความรักครั้งนี้ได้ยังไงว่าจะประคับประคองกันไปได้ตลอดรอดฝั่ง” คุณศรีสอางค์มองลึกลงในดวงตาคู่คมหากแต่แฝงแววความอ่อนโยนต่างกับบุตรชายอีกสองคน

“ผมไม่ได้กลัวน้องวาจะเปลี่ยนไปนะแม่ ผมกลัวใครจะมาทำไม่ดีกลับน้องวาต่างหาก”

คุณศรีสอางค์เลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะข่มใจตอบลูกชาย

“แต่แม่ไม่เห็นด้วยหากลูกจะไม่ไปเรียนต่อเพราะเรื่องนี้”

“แม่! ผมจะไปเรียนต่อนะ แต่ผมอยากให้แม่เป็นผู้ใหญ่ไปสู่ขอน้องวาให้ผมก่อนครับ”

เมื่ออนลพูดจบทั้งคุณทรงยศและคุณศรีสอางค์ต่างหันหน้ามองกันและกัน ก่อนจะหันกลับมามองลูกชายคนสุดท้องอีกครั้ง

“จะแต่งกันไปได้ยังไง ลูกไม่เคยพามาให้พ่อแม่รู้จักเลยสักครั้ง มันจะไม่ข้ามหัวผู้ใหญ่ไปหน่อยหรือนล นิสัยใจคอเป็นยังไงก็ไม่รู้” ผู้เป็นมารดาร้องอุทานออกมาเป็นชุด ในขณะที่บุตรชายรีบโอบเอวมารดาเข้ามากอดแน่น

“แม่...แม่ฟังนลก่อนนะ น้องวาเขานิสัยดีครับ เพียงแต่บ้านเธอไม่ได้ร่ำได้รวยเหมือนบ้านเราเท่านั้นละแม่” อนลมองดวงตาแวววาวของผู้เป็นแม่ด้วยใจตุ้มๆต่อมๆ

“แต่ถ้าแม่อยากได้ลูกสะใภ้รวยๆ แม่คงต้องรอพี่ใหญ่กับพี่วีแทนแล้วละ เพราะผมทำไม่ได้แล้ว ผมรักน้องวา รักอยากจะให้เขามาเป็นภรรยาน่ะแม่”

คุณศรีสอางค์เพ่งมองใบหน้าบุตรชายคนเล็กเสียงแข็ง ในบรรดาลูกทั้งสามคน อนลเป็นลูกที่ไม่เคยทำให้ยุ่งยากใจ แต่มาวันนี้ ลูกชายแสนดีกำลังจะลุกขึ้นมาต่อรองเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง แถมยังดักทางไว้เสร็จสรรพว่าถ้าไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่เอาคนอื่นเหมือนกัน!

“แล้วถ้าแม่ไม่เห็นด้วยละ” ผู้เป็นมารดาหรี่ตามองบุตรชายนั่งหน้าถอดสี ในขณะที่ผู้สังเกตการณ์ก็ทำปากผะงาบๆเหมือนจะพูดอะไรออกมา

“แม่...” เสียงครางอ่อนระโหยดังขึ้นพร้อมทั้งเพิ่มแรงโอบกอดเอวมารดาด้วยใจที่อัดแน่นความสับสนไว้เต็มอก

“แม่...นลรักแม่นะ นลอยากให้แม่เจอกับน้องวาก่อนได้มั้ย แล้วแม่ค่อยตอบนล นะแม่นะ”

แม้ได้ยินเสียงครางเครือของบุตรชาย หากแต่ใบหน้าคุณศรีสอางค์ยังคงเรียบเฉยจนใจคนในที่นี้เต้นโครมคราม

“ถ้าเจอแล้วแม่ยังยืนยันคำเดิมละ นลจะทำยังไง จะเลือกอยู่กับแม่ หรือจะพากันหนีไปแบบนั้น”

คำถามของผู้เป็นมารดาทำให้อนลใจสั่น พร้อมทั้งเงยหน้ามองมารดาด้วยดวงตาแวววาว

“นลรักแม่นะ นลไม่หนีแม่ไปไหนหรอก ถึงแม่ไม่ชอบและนลก็ทำตามที่แม่ต้องการไม่ได้ แต่นลก็จะอยู่ใกล้ๆแม่นี่ละ ต่อให้ถูกเฉดหัวส่งก็เถอะ”

คำตอบของลูกชายทำให้คุณศรีสอางค์ต้องกลืนก้อนแข็งๆอะไรบางอย่างลงคอ ก่อนจะยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างหมายมาด ให้มันได้อย่างนี้สิ!

“งั้นวันเสาร์นี้พาน้องวาอะไรของเรามาให้แม่เจอหน้าก่อน แล้วแม่ค่อยตอบว่าจะทำยังไงต่อไป” คุณศรีสอางค์มองหน้าบุตรอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะเอ่ยอย่างกระแทกแดกดัน

“เลิกทำหน้าจะเป็นจะตายได้รึยังหึ!”

“แม่...รักแม่ที่สุดเลย” ร่างสูงเขย่งตัวขึ้นหอมแก้มมารดาฟอดใหญ่ แล้วจึงหันไปมองผู้เป็นบิดาและพี่ชายด้วยดวงตาเป็นประกาย

“ไว้พูดวันเสาร์ก็ไม่สายนะเจ้านล” หญิงสูงวัยโอบกอดลูกชายพลางยกมือลูบแผ่นหลังกว้างไปมา

“โธ่แม่ รับรองว่าถ้าแม่เจอน้องวา แม่ต้องถูกชะตากับน้องเขาแน่นอน”

“หึ...จะให้แม่ถูกชะตากับคนที่ทำให้ลูกแม่ไม่ยอมไปร่ำไมเรียนนะเหรอ”

“ฮึๆไม่ได้เป็นเพราะนังหนูนั่นหรอก เป็นเพราะลูกเรามันขี้หึงหลบในซะมากกว่า ฮ้าๆ” คุณทรงยศเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะแทรกภรรยาที่ทำหน้าบึ้ง

“คุณ...เรื่องลูกสะใภ้ให้ฉันจัดการเองได้มั้ยคะ”

“จ้าๆ พ่อยกให้แม่จัดการ ว่าแต่ตกลงกันได้แล้วก็ไปกินข้าวกันเถอะ อุตส่าห์อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันซักที”

“วันนี้ตาใหญ่จะมาหรือคุณ” คุณศรีสอางค์เลิกคิ้วโกงเรียวเล็กถาม

“อืม...เดี๋ยวก็คงมาถึง พ่อบอกให้มาเองละ จะได้คุยเรื่องงานกันด้วย”

“งั้นนลกับวีไปอาบน้ำอาบท่าแล้วลงมากินข้าวกับแม่นะ” ผู้เป็นมารดาหันไปสั่งก่อนจะเดินตามสามีขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน

ลับหลังมารดา ปถวีจึงเดินเข้ามากระเซ้าน้องชาย ด้วยบรรยากาศอึมครึมได้คลี่คลายไปในทางที่ดี

“รอรับแม่ซะเหนื่อยเลย” ปถวีแกล้งทำท่าหมุนหัวไหล่คลายกล้ามเนื้อ

“ฉันละกลัวใจแม่จะแย่ ยังจะมาพูดเล่นอีกนะพี่” อนลส่งสายตาค้อนขวับให้พี่ชาย

“เอาน่า...ลองแม่พูดมายังงี้ แกเตรียมโต๊ะจีนไว้ได้เลย”

ท่ามกลางคำพูดหยอกเย้าของพี่ชาย หากใจของอนลกลับยังมีบางอย่างที่ยังติดใจ มันง่ายเกินไปรึเปล่า...


XXXXX


“กินให้อิ่มนะนท กลับบ้านไปจะได้อาบน้ำนอนเลย” เทวัญตักหมูใส่จานข้าวนทนทีราวกับจะเอาใจและขอโทษขอโพยที่ต้องให้อยู่ทำงานจนมืดค่ำ

ความจริงเรื่องนัดเจรจากับคู่ค้าวันนี้ไม่จำเป็นต้องหอบหิ้วเอานิติกรของบริษัทมาด้วยเลย แต่เขาหาเรื่องและเจาะจงลากนทนทีมาเอง เพราะถ้าเป็นธรรมดาคงยากจะมากินข้าวนั่งคุยกันแบบนี้ ด้วยนทนทีมีบอดี้การ์ดที่พร้อมจะพาตัวกลับไปได้ทุกเมื่อ หากคนกินข้าวตรงหน้าเขาออกนอกเส้นทาง

“ขอบคุณครับ แต่ประธานไม่ต้องไปส่งผมหรอก มันคนละทางกันเลย เดี๋ยวผมกลับแท็กซี่สะดวกกว่า” ร่างโปร่งบางยิ้มละไมก่อนจะตักหมูในจานส่งเข้าปากเคี้ยวแก้มตุ่ยให้อีกฝ่ายรู้สึกพึงใจอยู่เงียบๆ

“เอาน่ะ ใช้งานหนักขนาดนี้ คงไม่ดีแน่ถ้าให้กลับเอง” เทวัญส่ายหน้าช้าๆพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม มองจานอาหารตรงหน้าที่ถูกจัดการจนเรียบ เห็นตัวเล็กๆแบบนี้กินเก่งใช่ย่อย

เมื่อเทวัญตั้งใจแน่วแน่ทำให้นทนทีรู้สึกอึดอัดใจใช่น้อย เหตุเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายพึงพอใจตัวเองอยู่ไม่น้อย จนทำให้ปถวีนำมาค่อนแคะถึงขนาดทะเลาะกัน เขาจึงไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมาอีก แต่จะปฏิเสธยังไงไม่ให้เสียน้ำใจกัน เขายังคิดไม่ออกเลย!

หลังจากชำระเงินค่าอาหารเสร็จเรียบร้อย ทั้งประธานและลูกน้องจึงเดินอ้อยอิ่งมายังรถที่จอดรออยู่ และจนแล้วจนรอดนทนทีก็นึกหาเหตุผลเพื่อเลี่ยงกลับบ้านเองไม่ออก จะบอกว่ามีแฟนขี้หึงก็ใช่ที่ เฮ้อ...

“ไม่สบายใจอะไรรึเปล่า เห็นเงียบไปตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว” เทวัญเพ่งมองใบหน้าขาวนวลท่ามกลางความมืดสลัวยามค่ำคืน

“รึฉันไม่ไปส่งจะดีกว่า”

คำถามตรงๆแทงใจดำจนนทนทีสะอึก แต่ก็ฝืนยิ้มแห้งแล้งให้อีกฝ่ายและไม่ได้ตอบคำถามนั้น

ปฏิกิริยาของร่างโปร่งบางทำให้เทวัญกระตุกยิ้มมุมปากแล้วจึงเหลียวมองไปรอบๆอย่างระบายอารมณ์ที่ไม่รู้ว่าจะโกรธหรือเสียใจดี แม้แต่เวลาเล็กๆน้อยๆเขาก็ไม่สามารถไขว้คว้ามาได้เชียวหรือ หากไม่ใช่เรื่องงาน!

“ถ้าคิดว่าไม่ปลอดภัยรีบโทรมานะ เดี๋ยวนี้แท็กซี่ก็ไว้ใจลำบากเหมือนกันถึงจะเป็นผู้ชายก็เถอะ” เทวัญเอ่ยขึ้นพร้อมระบายลมหายใจออกอย่างเชื่องช้า ถ้าจะต้องบังคับกัน เขาเลือกที่จะปล่อยให้อีกฝ่ายตัดสินใจดีกว่า เพราะถ้าได้มาแต่ตัวแต่ใจกลับอยู่ที่คนอื่น ไม่นานทุกอย่างก็จะสูญหายไปเหมือนอากาศ

เพราะรู้สึกโหวงเหวงในอกจนบอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะอะไร นทนทีจึงได้แต่ยืนเคว้งคว้างมองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นประธาน...คนที่ให้โอกาสทั้งการงานและชีวิตส่วนตัว ไม่มีเลยที่จะพูดกระแทกแดกดันให้อึดอัดใจ จนเขารู้สึกละอายเสียเอง แต่ก่อนจะได้ตอบอะไรออกไป ร่างสูงโปร่งของกันย์ก็ปรากฏขึ้นไม่ห่าง

“นท!...” เสียงเรียกของกันย์ทำให้คนทั้งคู่หันไปมอง

เทวัญขมวดคิ้วเมื่อเห็นหน้าผู้มาใหม่ นี่เจ้าเลขาตัวดีเขาเอาคนๆนี้ไม่อยู่เรอะ แต่ก็เอาเถอะ กลับไปกับเจ้านี่ก็ยังดีกว่าให้นทนทีโบกแท็กซี่กลับเอง

“กันย์! มาได้ไง” นทนทีครางเหมือนคนละเมอ

“ฉันมาทำงานแถวนี้เลยแวะมารับน่ะ จะกลับแล้วใช่มั้ย” กันย์หันไปก้มศีรษะเล็กน้อยให้ประธานหนุ่ม ถึงแม้จะเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น แต่ก็แสดงถึงเจตนาของเขาให้อีกฝ่ายได้รับรู้ไปเรียบร้อยแล้ว

และเพราะนทนทีเองก็ต้องการปลีกตัวกลับโดยบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น จึงพยักหน้าตอบรับพร้อมกับหันไปส่งยิ้มให้เทวัญ ยิ้มเพื่อปลอบประโลมใจตัวเอง

“ประธานขับรถระวังๆด้วยนะครับ” นทนทีบอกลาร่างสูงใหญ่แล้วจึงเดินตามกันย์ไปยังรถโดยไม่คิดจะหันกลับไปมองด้วยรู้สึกหนักใจพิกล และเมื่อเข้าไปนั่งเรียบร้อยจึงได้หันไปมองเลขาจอมเจ้าเล่ห์อีกครั้ง

“นายมีงานอะไรแถวนี้หรือ ดึกดื่นขนาดนี้แล้วนะ”
กันย์ยกยิ้มเย็นเหลือบมองคนทำหน้าตึงข้างๆ

“การพาคุณกลับบ้านอย่างปลอดภัยเป็นหน้าที่ที่คุณปถวีสั่งมานะครับ”

คำพูดอวดดีแบบเนิบนาบของคนที่กำลังขับรถทำให้นทนทีปวดหัวจี๊ด ก่อนจะกระแทกตัวลงผนังเก้าอี้

“แล้ววันนี้เจ้านายของนายไปไหนซะละ” นทนทีถามอย่างหน่ายใจ ด้วยพักหลังมานี้ปถวีมักจะสั่งให้กันย์มารับเขากลับบ้านตลอดถ้าเจ้าตัวติดธุระ ไม่ไว้ใจกันรึไงนะ

“เห็นบอกว่ามีธุระที่บ้านกะทันหันนะครับ ตอนแรกสั่งให้ผมโทรจองโต๊ะที่ร้านอาหาร...”

“อืม ไม่ต้องสาธยายเหมือนแก้ตัวแทนเจ้านายของนายหรอก ไม่ได้ตัวติดกันซะหน่อย แค่ถามดูเท่านั้นละ” นทนทีเอ่ยขัดขึ้นก่อนที่กันย์จะบรรยายเหตุผลร้อยแปดประการออกมา

“ไม่ได้แก้ตัวแทนนะครับ แต่คงเป็นเรื่องสำคัญมากน่ะครับ”

“นี่...” นทนทีเรียกชายหนุ่มที่ทำหน้าที่เลขานุการของปถวีอย่างค้นคว้า

“นายไม่เบื่อบ้างรึไงที่ต้องมาทำอะไรนอกเหนือหน้าที่แบบนี้น่ะ”

ร่างสูงโปร่งเหลือบมองใบหน้าขาวใสก่อนจะตอบเป็นการเป็นงานออกมา

“ผมเลือกที่จะทำตั้งแต่เข้ามาทำงานตรงนี้แล้วครับ คุณนทนทีไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก”

“หือ?” คำตอบของอีกฝ่ายยิ่งทำให้นทนทีฉงนหนักกว่าเดิม จนกันย์ต้องยกยิ้มบางอย่างเอ็นดูชายหนุ่มอายุน้อยกว่าผู้นี้ไม่น้อย

“ก่อนรับงานนี้ คุณปถวีให้ผมเลือกที่จะทำงานเป็นเลขาของเขาตามที่ท่านประธานใหญ่ส่งผมมา แต่เงื่อนไขการทำงานเป็นเลขาต้องรวมไปถึงการรับรู้ชีวิตส่วนตัว พร้อมทั้งปิดปากให้สนิทโดยแลกกับผลตอบแทนที่สูง กับบางสิ่งบางอย่างที่ผมร้องขอและคุณปถวีให้ได้ หากไม่เต็มใจ คุณปถวีจะส่งผมกลับโดยให้เหตุผลกับท่านประธานใหญ่เอง”

“แล้วนายเลือกจะทำตรงนี้ เพราะผลตอบแทนที่สูงงั้นเหรอ”

“ครึ่งหนึ่งครับ”

“แล้วอีกครึ่งละ”

“เหตุผลส่วนตัวขอไม่ตอบครับ” กันย์หันไปยิ้มเย็นตัดบทสนทนา ทำให้นทนทีหน้าตึงขึ้นมาอีกครั้ง จะบอกได้ไงว่า ก่อนที่จะตกปากรับคำทำงานตรงนี้เขาได้แอบไปดูคนรักของเจ้านาย และเพราะได้เห็นได้รับรู้ ถึงได้รับปาก

เพราะ...เขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าความรักของคนคู่นี้จะจีรังยั่งยืนท่ามกลางกระแสสังคมที่บีบคั้นได้หรือไม่
รักที่เขาเองก็อยากเอาใจช่วย...

และรักที่เขาเองไม่สามารถทำได้

V
V
V

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
ตอนที่ 8

นทนทีเหลือบมองนาฬิกาฝาผนังที่บอกเวลาสี่ทุ่มเศษหลังจากกันย์มาส่งเขาถึงบ้าน ร่างโปร่งล้มตัวลงนอนหากใจกลับกังวลไปถึงเพื่อนตัวเล็กที่เงียบหายไปตั้งแต่วันที่พวกเขาพาออกมาจากผับย่านรัชดา

เป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ แต่เห็นวีบอกว่าไม่ค่อยจะดีเท่าไร เพราะถ้าไม่อยู่คนเดียวเงียบๆก็กินเหล้าหัวราน้ำจนต้องไปลากตัวกลับ ก่อนที่ใครจะหิ้วไปซะก่อน

เป็นห่วงจริงๆเลยน้า...ร่างโปร่งรำพึงก่อนจะหยิบโทรศัพท์กดหาเพื่อนที่ไม่รู้ทำอะไรอยู่ที่ไหน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เพื่อนไม่อยู่ในสถานที่ๆล่อแหลมก็แล้วกัน

“ไผ่...” นทนทีผงะหูออกจากโทรศัพท์ ด้วยเสียงเพลงดังกระหึ่มที่สอดแทรกเข้ามา อีกแล้วเหรอเนี่ย

“ไผ่อยู่ที่ไหนน่ะ”

“ร้านเดิมนั่นละนท มีอะไรเหรอ โทรมาซะดึกเชียว” น้ำเสียงใสๆของเพื่อนทำให้นทนทีโล่งใจไปเปาะหนึ่ง อย่างน้อยก็ไม่ได้เมาละนะ

“เป็นห่วงเพื่อนต้องมีอะไรด้วยเหรอ”

“หึๆ เกินไปๆ ฉันยังไม่ตายหรอกน่า”

“แต่ไปผับวันเว้นวันแบบนี้ได้ตายแน่ๆไผ่”

“น่า...จะกลับแล้วละ ออกมาธุระเมื่อเย็นเลยถูกเพื่อนลากมาอีกทีน่ะ” ไผ่ป้องปากกับโทรศัพท์

“จริงๆนะ”

“จะโกหกทำไมละ”

“ไผ่...ให้ฉันไปนอนคุยด้วยมั้ย หรือนายจะมาค้างบ้านฉันก็ได้นะ หรืออยากไปเที่ยวพักผ่อนสบายๆบ้างก็ดีเหมือนกันนะไผ่” นทนทีเอ่ยอย่างกังวลกับเพื่อนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกันตัวคนนี้

“นท...ขอบใจที่เป็นห่วง แต่ฉันยังไหวอยู่” ไผ่บอกอย่างราบเรียบจนนทนทีอดสะท้อนใจไม่ได้ เพื่อนเขาคงทุกข์ใจแสนสาหัสกับความรักที่ไม่อาจแม้แต่จะเอ่ยออกไป

“แล้วไผ่ไม่ได้ติดต่อกับประวิชเลยใช่มั้ย วันก่อนก็โทรมาหาฉันบอกติดต่อนายไม่ได้”

“หึ ฉันยังไม่อยากเห็นหน้าเจ้านั่นซักพักละ เจอกันตอนนี้ฉันยิ่งเจ็บนะนท และก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรลงไปด้วย ขอเวลาฉันซักพัก แล้วฉันคงจะมองเจ้านั่นอย่างคนเป็นเพื่อนกันได้หรอก”

“อืม...แล้วรีบกลับบ้านนะไผ่ มันจะเที่ยงคืนแล้ว”

หลังจากมั่นใจว่าเพื่อนคงจะรีบกลับบ้านอย่างที่รับปากรับคำ นทนทีจึงวางสาย แต่ยังไม่ทันได้เก็บโทรศัพท์ เจ้าเครื่องเล็กๆที่ยังอยู่ในมือก็ร้องดังขึ้นมาอีก

“ประวิช?” นทนทีกดรับสายแล้วให้ตกใจกับน้ำเสียงที่ดูหงุดหงิดของเพื่อนตัวใหญ่

“คุยกับใครอยู่หึ ฉันกดหานายมือแทบหงิก”

“...คุย...คุยกับไผ่อยู่นะ เกิดอะไรหรือน้ำเสียงไม่ดีเลย” นทนทีเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก เพราะไม่เคยเห็นประวิชเป็นแบบนี้มาก่อน

“ดีเลย ตอนนี้เจ้านั่นอยู่ไหนหึ! ฉันโทรหาก็ไม่รับสายฉัน แต่รับสายนาย มันยังไงกันห๊า!” น้ำเสียงชวนเอาเรื่องของประวิชทำให้นทนทีนึกกังวลใจ

“คิดมากน่า...ไผ่คงไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์มากกว่า เพราะเมื่อกี้ฉันโทรไป ไผ่อยู่ในพับเสียงดังมากเลย” นทนทีเอ่ยอย่างประนีประนอม แต่ต้องนึกเสียใจเมื่อประวิชตอบสวนกลับมา

“ไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ฉันมาสามสี่วันนี่นะ บอกมานะนท มันเป็นอะไรของมัน” น้ำเสียงร้อนรนแกมโมโหผิดกับประวิชคนเดิม ทำให้นทนทีต้องคิดก่อนจะพูดอะไรออกไป เพื่อไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่

“คงกลุ้มใจอะไรอยู่ละมั้ง ฉันก็ไม่แน่ใจหรอกนะ แต่อย่าไปโกรธไผ่เลยนะวิช ให้ไผ่อยู่คิดอะไรซักพักเถอะ” แต่คำพูดของนทนทียิ่งทำให้ประวิชยิ่งอยากรู้ว่าเกิดอะไรกับคนที่เคยตามเขาเป็นเหงาตามตัวกันแน่

มีอะไรทำไมไม่เล่าให้เขาฟังละ...ตั้งแต่วันนั้น วันที่เขารู้สึกว่ายิ้มนั้นมันฝืดเฝื่อนพิกล

“นท...ฟังนะ ฉันขึ้นมาทำงาน และอยู่ๆเจ้านั่นดันทิ้งงานไปไม่บอกไม่กล่าวว่าเป็นอะไร แล้วอีกไม่กี่วันก็ต้องกลับใต้แล้ว นายจะให้ฉันเฉยอยู่ได้ยังไง” ประวิชฉุนกับน้ำเสียงฟังดูมีลับลมคมในของนทนที

“ฉันอยากคุยกับเจ้านั่น บอกมาว่าไผ่อยู่ที่ไหนหึ”

“ประวิชนี่มันดึกแล้ว ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันก็ได้มั้ง” นทนทีหว่านล้อมด้วยหวังให้ประวิชได้สงบใจก่อนที่จะคุยกับไผ่

“นท! ไม่ใช่ฉันไม่ไปหาเจ้านั่นที่บ้านนะ แต่ฉันไปแล้วไม่เคยเห็นหัวมันเลยต่างหาก บอกมานท ฉันจะได้คุยกันให้รู้เรื่อง ถ้าไม่อยากทำงานกับฉัน ฉันจะได้กลับใต้ไปคนเดียว ปล่อยให้สำเริงสำราญอยู่กรุงเทพนี่ละ”

“...”  โธ่ประวิช ฉันก็อยากบอกนะ แต่...

เมื่อนทนทีเงียบ ประวิชจึงถอนหายใจใส่โทรศัพท์ และยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน

“ให้ท้ายกันเข้าไปนะ เมื่อกี้เห็นบอกว่าอยู่ที่ผับ คงเป็นผับที่เจ้านั่นไปประจำใช่มั้ย”

“ประวิช...ไปก็คงไม่เจอเหรอ ไผ่คงกลับไปแล้วละ”

“แสดงว่าอยู่จริงๆ งั้นแค่นี้นะ”

“เดี๋ยวๆประวิช!” ไม่ทันให้ได้ร้องห้าม เพื่อนตัวโตที่ไม่เคยแสดงอาการวู่วามให้เห็นก็ตัดสาย แถมโทรไปก็ไม่ยอมรับ และจะโทรไปบอกไผ่ให้รู้ตัว เจ้าคนต้นเหตุก็ดันปิดเครื่องไปซะแล้ว ร้อนจนนทนทีต้องโทรหาปถวี

“ทำไงดีละ ถ้าไม่เจอกันก็คงดีหรอก” นทนทีเล่าให้ปถวีฟังด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“นท...เฮ้อ ลองเป็นแบบนี้อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดแล้วละ เราคอยหาทางแก้หลังจากนี้ก็แล้วกัน บางทีมันอาจไม่มีอะไรก็ได้นท” ปถวีตอบพลางเหม่อมองเพดานห้อง ให้จริงเถอะไอ้คู่นี้ ตัวเขายังเอาตัวเองไม่ค่อยจะรอดเลย...

“แต่...”

“นท...ปัญหาของเขา เราเข้าไปยุ่งมากไม่ได้หรอกนะ เรื่องบางเรื่องมันก็มีเวลาของมัน”

“ก็จริง แต่ก็อดไม่ได้ละ เพื่อนกันทั้งคู่ ต่อไปจะมองหน้ากันติดเหรอ”

“เอาน่ะ โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงกันแล้วนะ ถ้าคิดไม่ได้ก็ปล่อยไปเถอะ ว่าแต่วันนี้กลับดึกอีกแล้วเหรอ”

“อะ...อืม แต่ก็กลับๆกันย์นั่นละ” นทนทีเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปร่งๆด้วยอีกฝ่ายวกออกนอกเรื่องไม่ให้ทันตั้งตัว และเป็นเรื่องที่พูดกี่ครั้งก็มีแววว่าจะทะเลาะกันเสียทุกครั้งไป ทำแบบนี้เขาก็รู้สึกอึดอัดใจใช่เล่น...หากแต่อีกฝ่ายเพียงพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้เอ่ยพาดพิงอะไรออกมา กลับพูดไปถึงเรื่องที่ไม่คาดคิด ทำให้นทนทีต้องแอบโล่งใจหน่อยๆ

“วันนี้เจ้านลออกปากกับแม่ว่าจะไปขอน้องวาน่ะ”

“ห๊ะ!” ที่โล่งใจเมื่อกี้ขอคืนนะ ร่างเล็กนึกค่อนขอดอีกฝ่ายในใจ

“ไม่ห๊ะละ เรื่องจริง แล้วแม่ฉันก็ไฟเขียวแล้วด้วย” ปถวีเอ่ยข้ามประเด็นที่มารดาได้บอกไว้

“น้องวาอายุยังไม่ถึงยี่สิบห้าเลยนะวี!”

“น้องฉันมันใจร้องไง”

“เดี๋ยวฉันคุยกับนลเองดีกว่า ฉันไม่ค่อยเห็นด้วยเลย”

“อีกละ...ถึงนายจะเป็นพี่ก็ตามเถอะ แต่พวกเขาก็ไม่ใช่เด็กนะนท เจ้านลมันก็ทำงานทำการมาไม่น้อยกว่าฉันหรอก น้องวาก็เรียนจบทำงานแล้วด้วย”

“วี แต่มันเร็วไปนะ”

“เร็วไปสำหรับนายต่างหาก นายกำลังกังวลอะไรจนเกินเหตุ นายเอาความรู้สึกของนายเป็นตัวตัดสินแทนเขามากกว่า ปล่อยให้เขาเลือกชีวิตของเขาเองดีกว่ามั้ย” ปถวีเอ่ยอย่างปลอบประโลม

“นท น้องวาเข้มแข็งกว่าที่พวกเราคิดนะ”

“แต่...”

“ไอ้นลมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงไม่อยากได้มันเป็นเขยน่ะ” ปถวีถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ทำให้คนฟังนึกฉุนกึก

“นี่! ตั้งแต่เกิดมาเคยกังวลอะไรกับเขาบ้างมั้ย” นทนทีตะโกนใส่โทรศัพท์เมื่อได้ยินเสียงคนไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจอะไร แต่เขาสิที่กลัว กลัวว่าน้องสาวตัวเองจะตกที่นั่งลำบากกับความรักครั้งนี้

“นายไงละนท นายทำให้ฉันกังวลไปสารพัด จนอยากจับมัดไว้กับเสาเชียวละ”

“ทุเรศ!”


XXXXX


“วันนี้ถ้าไม่เจอฉันไม่กลับจริงๆด้วย” ประวิชกวาดสายตาไปรอบๆร้านเหล้ามืดสลัวมีเพียงไฟกระพริบหลากสีนำทางเพื่อหาคนที่เขาอยากพบ

“ถ้าเป็นเด็กจะจับฟาดให้ก้นลายเลย เหลวไหลจริงๆการงานไม่ทำ ดันมาเที่ยวสนุกอยู่ได้ โทรศัพท์ก็ไม่ยอมเปิด!” ประวิชบนพึมพำขณะมองหาร่างเล็กคุ้นตา แต่เดินวนไม่รู้กี่รอบก็ไม่เห็น ยิ่งทำให้คนที่หงุดหงิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วโมโหเข้าไปใหญ่

“รึว่ากลับบ้านไปแล้วจริงๆ” ร่างสูงชะโงกตัวข้ามผู้คนที่ยืนกันเบียดเสียดเข้าไปเพ่งมองบรรดาโต๊ะที่ตั้งอยู่ตามซอกหลืบของร้าน จนชะงักเข้ากับชายหนุ่มคู่หนึ่งนั่งกอดจูบอย่างไม่เกรงฟ้าอายดิน และเพราะเห็นเพียงแผ่นหลังผู้ชายตัวโตทำให้ประวิชละสายตาออกมา แล้วถอนหายใจอย่างไม่ทั่วท้อง

“เออ! เอาเข้าไป” ประวิชบ่นพึมพำ เห็นเพื่อนนั่งอยู่เต็มโต๊ะยังทำไปได้นะ แต่เจ้าพวกนั้นมองแล้วสติสะตังคงไม่คอยอยู่กับเนื้อกับตัวกันเลย ถ้าจะเมาจัด ก่อนจะปลีกตัวถอยห่าง ปลายหางตาจึงตวัดเห็นศีรษะคนตัวเล็กเบี่ยงหนีออกห่างผู้ชายร่างใหญ่ และใบหน้าขาวนวลตัดความมืดสลัวทำให้ประวิชชะงักค้าง ทุกสิ่งดูจะหยุดนิ่งชั่วขณะ

“ผะ ไผ่!” เสียงครางเครือไม่ผ่านจากลำคอ ทำให้ประวิชจุกแน่นไปทั้งอก และยิ่งรู้สึกถึงเส้นเลือดในสมองโป่งพองปวดจี๊ดๆ เมื่อเห็นคนที่เคยตามเกาะเป็นเงาตามตัวยิ้มละไมให้ผู้ชายที่เขาไม่รู้จัก แถมยังเงยหน้าขึ้นรับสัมผัสจากริมฝีปากอีกฝ่ายที่คอยวนเวียนปัดไปปัดมาไม่ได้ห่าง แล้วยังมือไม้ยุ่มย่ามเป็นหนวดปลาหมึกนั่นอีก

เฮ้ย! ประวิชร้องด้วยตกใจเมื่อเห็นชายหนุ่มส่งลิ้นเข้าไปลิ้มรสในช่องปากเล็กอย่างฉกฉวย

ทำอะไร ทำอะไรกันห๊ะ! ไปจูบกับผู้ชายได้ยังไง

“ไผ่!” เสียงเรียกอย่างตะคอกดังก้องไปทั่วบริเวณแม้จะมีเสียงเพลงจังหวะรัวเร็วกลบไปบ้าง ทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงสุดตัว และผลักชายหนุ่มที่กำลังนัวเนียออกห่างทันมีเมื่อเห็นว่าใครมายืนอยู่ตรงหน้า

“ประวิช!” ไผ่ลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคงไม่มีท่าทีว่าจะเมามายซักนิด ยิ่งทำให้เส้นเลือดในสมองประวิชแทบแตก

“มา...มาที่นี่ได้ยังไง” เสียงถามกระท่อนกระแท่นเหมือนเด็กถูกผู้ใหญ่จับได้ว่าขโมยขนมกิน

“ก็มาตามไอ้บ้าที่อู้งานกลับนะสิ” ประวิชเดินย่างสุขุมเข้าไปใกล้ร่างเล็กที่ยืนกระสับกระส่ายจนสังเกตได้ชัด

“แล้วเมื่อกี้นี้นายทำบ้าอะไรหึ!”

“อะ...ขอ...ขอโทษ” เพราะเสียใจไผ่จึงไม่ได้คิดถึงเรื่องงานเรื่องการในหัวเลยแม้แต่น้อย จนคนที่เป็นทั้งเพื่อน หัวหน้า และคนที่เขารักเอ่ยเตือนนั่นละ ถึงได้สะกิดต่อมความรับผิดชอบในตัว

“กลับบ้าน!” ประวิชตะคอกใส่ศีรษะเล็ก ขณะที่หางตาเห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เขานึกเขม่นในใจลุกขึ้นมาผลักอกออกห่างจากร่างเล็กอย่างถือวิสาสะ

ไผ่มองเห็นเค้าความวุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้นจึงแทรกตัวเข้าไประหว่างคนตัวใหญ่ทั้งสอง

“เอ็มๆ นี่เพื่อนฉัน อย่ามีเรื่องกัน” ร่างเล็กยึดแขนเพื่อนที่ตั้งท่าเอาเรื่องผู้มาใหม่ให้หมอบคาบาทา

“ถ้าเป็นเพื่อนก็อย่ามาเสือกเรื่องคนรักกันสิ คราวก่อนก็ทีแล้วนะไผ่” เอ็มหันไปขึ้นเสียงกับไผ่

ทั้งคำพูดและอาการถือสิทธิ์เป็นเจ้าข้าวเจ้าของของเอ็ม ทำให้ดวงตาที่อ่อนโยนเป็นนิจวาวโรจน์เหมือนสุมด้วยไฟกองใหญ่

“คนรักบ้าอะไรของนายห๊ะไผ่ จะเหลวไหลไปแล้วนะ” ประวิชเสียงดังพลางเพ่งมองริมฝีปากเล็กที่จับด้วยหยาดน้ำแวววาวสะท้อนแสงไฟก็ยิ่งนึกโมโห

“นายต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!” เพราะไม่ได้สำนึกถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย ทำให้ประวิชต่อว่าอย่างไม่ไว้หน้า

ไผ่มองใบหน้าโกรธขึงของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกแข้งขาอ่อนแรง ประวิชเห็นแล้ว เห็นว่าจูบอยู่กับผู้ชาย แล้วต่อไปประวิชจะคิดกับเขายังไง จะรังเกียจความรู้สึกของเขารึเปล่า เขายังไม่อยากจะคิดถึงเลย

“ฉันไม่ได้เหลวไหลนะ นายกลับไปเถอะ เดี๋ยวฉันกลับเองได้”

คำตอบของไผ่ทำให้ประวิชขบฟันแน่น แล้วกระชากแขนเล็กเข้าไปใกล้ตัว

“จะกลับไม่กลับ ถ้าไม่กลับก็ไม่ต้องมาให้เห็นหน้าเลยนะ คนไม่รับผิดชอบ!”

คำต่อว่าของคนรักที่ไม่เคยแม้แต่จะรับฟังความรู้สึก ดีแต่หลบเลี่ยง แล้วตอนนี้จะถือสิทธิ์อะไรมาสั่ง ริมฝีปากบางจึงขบกัดเข้าหากันอย่างถือทิฐิ

“ไม่ ฉันไม่กลับกับนายหรอก นายกลับไปคนเดียวเถอะ”

“ไผ่!” ประวิชแทบควันออกหูได้ เมื่อได้ยินไผ่ป่าวประกาศต่อหน้าต่อตา

ไม่เคยเลยที่ร่างเล็กๆนี้จะดื้อแพ่งกับเขาขนาดนี้ เพราะไอ้หนุ่มหน้าแหลมนี้เหรอ ร่างสูงใหญ่คิดด้วยหัวใจที่ร้อนรน

คนที่เคยตามเป็นดังเงา คนที่เคยยิ้มละไมให้เช้ายันค่ำ แต่วันนี้กลับเลือกคนอื่น ให้ความสำคัญกับใครก็ไม่รู้ แล้วเขาละ...หมอนี้เอาเขาไปไว้ตรงไหน ความรู้สึกเหมือนถูกแย่งสิ่งสำคัญไปทำให้ประวิชกระชากร่างเล็กเข้าประทะอก หากแต่ชายหนุ่มที่เอ่ยอ้างว่าเป็นคนรักของไผ่เข้ามายื้อไว้นั่นละ ประวิชจึงได้ประโคมหมัดเข้าใส่ลำตัวจนอีกฝ่ายทรุดตัวลงกุมท้องร้องโอดโอย ก่อนจะหันมาตีหน้ายักษ์ใส่คนตัวเล็กในอ้อมแขนที่ทำหน้าเหวอกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“จะกลับดีๆหรือจะต้องมีเรื่องกัน” คนใจเย็นอย่างประวิชหยิบขวดเหล้าขึ้นตีกับเสาข้างตัวให้แตกเป็นปากฉลามกันบรรดาวัยรุ่นในโต๊ะที่เริ่มห้อมล้อมเข้ามาใกล้

และไม่รอให้คนมีสีหน้าตกใจตอบ ประวิชก็ลากร่างแข็งทื่อไปยัดใส่รถ แล้วออกตัวกระชากพาให้ร่างเล็กหัวแทบกระแทกกับแผงคอนโซล พร้อมกับปรายหางตามองการ์ดของร้านออกมาเมี่ยงมองกันการทะเลาะวิวาทของแขกในร้านอย่างโล่งใจเล็กน้อย

ดีนะที่ออกมาก่อน ไม่งั้นได้จมบาทาการ์ดพวกนี้แน่
ร่างสูงขับพาคนที่ไม่ยอมพูดยอมจากลับไปยังบ้านของตน และต้องยื้อยุดกันอีกพัก กว่าจะพาคนตัวเล็กแต่แรงไม่น้อยเข้าบ้านได้

“ปล่อย!”

“นี่! ทำตัวให้ดีๆนะไผ่ ไม่งั้นฉันชกจริงๆด้วย” ประวิชตวาดเสียงดังอย่างเหลืออด หลังจากต้องเสียเหงื่อลากไผ่เข้ามาในบ้าน

“นาย! ทำไมต้องตะคอกด้วยเล่า เดี๋ยวพ่อแม่พี่น้องก็ตื่นกันพอดี นี่มันดึกแล้วนะ” ไผ่โก่งตัวเมื่อประวิชพาขึ้นบันไดไปยังห้องนอน ห้องที่เขาเคยมานอนค้างด้วยบ่อยๆ”

“ไม่ต้องห่วง พวกเขาไปเที่ยวเขาใหญ่กันหมดบ้านแล้ว” ประวิชตอบน้ำเสียงปนหอบ ขณะลากร่างเล็กเข้าไปคุยกันในห้องนอนจนได้

“เอ๊า! จะนั่งคุยกันดีๆมั้ย” ร่างสูงใหญ่จับบ่าเล็กกระแทกให้นั่งลงขอบเตียง แล้วลากเก้าอี้ใกล้มือมาให้ตัวเองนั่งลงตรงหน้า

“ไหน...เป็นอะไรว่ามาสิ ทำไมไปทำตัวเละแทะแบบนั้น” ประวิชลดเสียงลงเมื่อเห็นใบหน้าซีดขาวของอีกฝ่าย

“ไผ่...”

เสียงเรียกอ่อนโยนผิดกับเมื่อครู่ ทำให้ใจที่ยังไม่มีแม้แต่เกาะคุ้มกันบางๆต้องล้มเหลวไม่เป็นท่า ทำไมนะ ทำไมต้องมาเห็นเขาในสภาพแบบนี้ ต้องเห็นอะไรที่เขาไม่อยากให้เห็น รออีกหน่อยเขาก็ตั้งใจจะกลับไปเป็นเหมือนเพื่อนปกติอยู่แล้วแท้ๆ แล้วแบบนี้ทุกอย่างมันจะเป็นความลับไปอีกได้ยังไง ในเมื่อเห็นแล้ว รู้แล้วว่าเขาเป็นเกย์!

หยาดน้ำใสที่อยู่ๆก็เอ่อร้นออกมาจากดวงตาคู่ว่างเปล่าไร้แวว ทำให้ประวิชขมวดคิ้วยุ่ง ใจที่นึกโมโหอีกฝ่ายเมื่อครู่อ่อนยวบลง

“เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม ใครทำกันฮึ” มือใหญ่เข้าลูบศีรษะทุยเหมือนปลอบเด็กเล็กๆอย่างเก้ๆกังๆ ด้วยตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมายังไม่เคยเห็นน้ำตาสักหยดของคนตรงหน้าที่ดีแต่ลิงข้างไปวันๆ

คำพูดที่ฟังดูเหมือนปลอบใจกลับทำให้ไผ่ตวัดสายตามองอย่างโกรธเคือง พลางปัดมือใหญ่ออกจากศีรษะอย่างสะบัด

“เป็นอะไร” ประวิชยังคงทอดเสียงถาม แต่อีกฝ่ายกลับยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำมูกแรงๆแล้วนั่งเงียบไม่ยอมพูด จนร่างสูงต้องขยับลุกไปนั่งข้างๆ

“นี่นายจะไม่พูดกับฉันจริงๆเหรอ ฉันเครียดนะ นายเล่นหายหน้าหายตาไป การงานก็ทิ้งไว้ไม่บอกอะไรฉันเลย นี่อีกไม่กี่วันก็จะกลับใต้ แล้วนายจะให้ฉันเฉยอยู่ได้ยังไง” ประวิชทอดสายตามองอีกฝ่ายก้มหน้าก้มตามองมือตัวเองเหมือนจะให้มีอะไรงอกออกมาได้งั้นละ

“ฉัน...ขอโทษ” น้ำเสียงเอ่ยออกมาเบาหวิว แต่ก็ทำให้ประวิชโล่งใจที่อีกฝ่ายยอมเปิดปาก

“เห็นนทบอกว่านายไม่ค่อยสบายใจ ถ้ายังไม่อยากทำงานก็หยุดไว้ก่อน พร้อมเมื่อไรนายค่อยตามลงไปก็ได้ แต่บอกฉันก่อน อย่าหายไปแบบนี้สิ”

“อืม...”

คนตัวเล็กยอมรับแต่ดุษฎี ประวิชจึงยกมือขึ้นเขย่าไหล่มนเบาๆ หากแต่วงหน้าขาวที่เงยขึ้นมองอย่างตัดพ้อ ทำให้ใจแข็งๆของร่างสูงไหววูบ

ทำไม ...ทำไมพอเขาตีตัวออกห่างอีกฝ่ายก็วิ่งเข้าหา แต่พอเขาขยับเข้าใกล้อีกฝ่ายกลับกระเถิบหนี และที่สำคัญ เขาสามารถทำใจให้รักประวิชแบบเพื่อนได้จริงๆหรือ ในเมื่อเขาเฝ้ารักเฝ้าคอยมาเป็นสิบปี

เขาจะอยู่อย่างคนหน้าชื่นอกตรมได้เหรอ ยิ่งถ้าวันใดที่ประวิชมีครอบครัว แล้วเขาจะไปซุกอยู่ตรงไหน มันไม่มีทางจบอย่างที่หวังไว้หรอก เพราะจริงๆแล้ว เขาไม่ต้องการเป็นแค่เพื่อน...ไผ่คิดอย่างขมขื่น ก่อนจะเอ่ยถาม

“เห็นใช่มั้ย”

“อะไร?”

“เมื่อกี้ในร้านเหล้า นายเห็นใช่มั้ย” เมื่อร่างเล็กตอกย้ำให้นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ประวิชจึงรู้สึกปวดสมองจี๊ดๆอีกรอบ

“อย่าไปทำแบบนั้นอีกนะ ฉันไม่ชอบเลย” ประวิชเอ่ยราบเรียบในขณะที่อีกฝ่ายแทบควันออกหู

รักก็ไม่รัก แล้วมีสิทธิ์อะไรมาห้าม! ไผ่มองใบหน้าที่ไม่เคยจะยอมรับความรู้สึกของเขาอย่างโกรธเคือง ก่อนจะผลักอกหนาออกห่างแรงๆ

ในเมื่อไม่คิดจะรับรู้ความรู้สึกของเขา แล้วจะมาหวงไว้ทำไม!

“นายมันเห็นแก่ตัว!”

“เห็นแก่ตัวอะไร!” ประวิชฉวยข้อมือเล็กไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะลุกหนี

“นั่นมันเรื่องส่วนตัวของฉัน นายไม่มีสิทธิมาห้าม”

“แต่นั่นมันผู้ชายนะ นายเป็นเกย์รึไง”

“เออ! ฉันเป็นมาตั้งแต่เกิดแล้ว!” คำตอบสวนกลับของไผ่ทำให้ประวิชชะงัก แต่กลับรวมรวมสติได้ดีเกิดคาด ด้วยไม่ได้ต่างกับที่ใจลึกๆคาดไว้ แต่ที่โมโหเพราะเห็นอีกฝ่ายไปจูบกับผู้ชายต่างหาก!

“เป็นแล้วไงละ เป็นแล้วต้องมั่วด้วยรึไง ถึงได้ไปจูบกันแบบไม่อายฟ้าดินแบบนั้น”

“ฉันไม่ได้มั่วนะ อย่าพูดเหมือนรู้ดีหน่อยเลย!” ไผ่ตะโกนเถียงแม้จะรู้สึกเสียใจก็ตามที

“แล้วที่เห็นมันไม่ได้มั่วรึไง!”

เพี๊ยะ! เสียงฝ่ามือเล็กกระทบแก้มประวิชเข้าอย่างจัง จนเจ้าของใบหน้าเอียงวูบ หากแต่เจ้าตัวกำหมัดแน่นไม่คิดจะสวนกลับ เพราะร่างเล็กที่มองมาด้วยดวงตาแดงก่ำเหมือนจะทิ่มแทงให้ทะลุไปถึงไหนต่อไหน

“นายเคยรู้อะไรบ้างละ เคยตั้งใจรับรู้อะไรในตัวฉันบ้างละ! เห็นแค่นั้นนายก็ว่าฉันแล้วเหรอ คนใจแคบ!” ริมฝีปากบางต่อว่าอย่างโกรธเกี้ยว ก่อนจะสะบัดหน้าหนีด้วยอีกฝ่ายยังยึดจับข้อมือไว้แน่น

ร่างสูงใหญ่ที่มีอารมณ์เดือดดาลนั่งสงบสติอารมณ์ชั่วครู่ แล้วจึงถอนหายใจยาวพลางมองแผ่นหลังที่กระเพื่อมไหวจากการร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างเงียบๆ ใช่...เพราะเขาโมโหถึงได้ต่อว่าอีกฝ่ายอย่างไม่คิด ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นไผ่ไปสุงสิงกับใครเลยนอกจากเขา แล้วจะไปทำตัวแบบนั้นได้ยังไงถ้าไม่ได้รัก...ถ้าไม่ได้รัก...

หรือว่า...

จะรัก!

ประวิชสะดุดเข้ากับความคิดของตัวเองจนใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ก่อนจะเหนี่ยวใบหน้าที่ชุ่มด้วยน้ำตามามองอย่างตะขิดตะขวงใจ

“แล้วที่นายทำ...เพราะนายรักเขาหรือ ถึงได้จูบกันแบบนั้น” ประวิชมองอีกฝ่ายเบิกตากว้างอย่างตกใจทั้งคาดไม่ถึง

“ห๊ะ!” คำถามที่ไม่เคยคิดว่าจะหลุดออกมาจากปากคนที่เขารัก ทำให้ไผ่ไม่รู้จะหัวเราะร่าหรือร้องไห้ฟูมฟายดี แต่ที่แน่ๆในใจตอนนี้เขารู้สึกโกรธเหลือเกิน โกรธจนอยากจะกระชากอีกฝ่ายลงนอนแล้วขึ้นคร่อมฉีกทึ้งเสื้อผ้า และ...ชกไอ้ปากโสโครกนั่นจริงๆ

“หึ...ไม่ต้องรักก็ทำได้” ร่างเล็กตั้งใจตอบกวนโทสะคนตัวใหญ่

“ไผ่!”

ไผ่มองประวิชตาโตก่อนจะเหยียดยิ้มอย่างไม่ยี่หระ พอกันที ไม่ทงไม่ทนมันแล้ว เกือบสิบปีที่ผ่านมา มันยังไม่ทำให้นายรู้อีกหรือว่า ฉันรักใคร!

คนตัวเล็กบางจ้องมองใบหน้าเครียดอีกฝ่ายเขม่ง ก่อนจะถามอย่างแดกดัน

“แล้วอยากรู้มั้ยว่าฉันรักใคร” ไผ่ขยับเข้าใกล้ร่างสูงที่ผงะตัวออกห่างอย่างเกร็งๆ ยิ่งทำให้ไผ่ฉีกยิ้มแห้งแล้งขึ้นไปอีก

เห็นมั้ยไอ้ไผ่ ไอ้บ้าไผ่ เวลาแกทำท่าจะเปิดเผยความในใจทีไร เจ้าหมอนี้เป็นต้องหลีกหนีอยู่ร่ำไป แต่...

ในเมื่อไม่อยากรู้มากนัก ฉันก็จะยัดเหยียดให้รู้กันไปเลย!

“ฉันรักนาย ได้ยินมั้ยว่าฉันรักนาย รักมาตั้งนานแล้ว!” มือเล็กผลักอกหนาให้ล้มลงบนที่นอนนิ่ม ก่อนจะเคลื่อนตัวขึ้นไปนั่งทับหน้าท้องแข็งเรียบแล้วดึงทึ้งสาบเสื้อให้เปิดออกเห็นแผงอกตึงเครียด

“ไอ้ไผ่! หยุดนะ จะบ้าเหรอ อย่ามาเล่นแบบนี้นะ” ประวิชตกใจปัดมือเล็กออกพัลวัน หากแต่ไม่ได้ออกแรงจนทำให้ลำแขนขาวของเพื่อนต้องมีร่องรอยเขียวช้ำ

“ฉันไม่ได้เล่น แต่เอาจริงเลยละ” ไผ่มองอีกฝ่ายด้วยดวงตาเป็นประกายก่อนจะก้มตัวจนศีรษะชิดใบหน้าคมคาย และเอ่ยผ่านริมฝีปากที่ห่างกันเพียงปลายจมูก

“ฉันรักนาย” แม้ต่อแต่นี้ไปนายจะเกลียดฉันไปชั่วชีวิตก็ตาม

ริมฝีปากบางนุ่มเข้าประกบจูบกับริมฝีปากที่ตึงเครียด หากแต่ลิ้นอุ่นก็พยายามรุกล้ำเข้าไปในโพรงปากร้อนผ่าว

“ผะ...ไผ่...ไอ้ไผ่!” ประวิชตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนออกแรงผลักร่างบางกระเด็นไปกระแทกเก้าอี้ข้างเตียง ก่อนจะตะเกียกตะกายกระโดดข้ามไปอยู่อีกฝากหนึ่งของที่นอน

“โอ๊ย!” ไผ่ร้องเสียงหลงก่อนจะยกมือขึ้นกุมหน้าตัวเอง

“ฉันเพื่อนแกนะ!” ร่างสูงขึ้นเสียงใส่คนที่ยังล้มไม่เป็นท่าอยู่ที่พื้น จนใบหน้าขาวๆเงยขึ้นนั่นละ ถึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังป่ายจมูกตัวเองปอยๆด้วยมีเลือดจำนวนหนึ่งไหลออกมา

“ไผ่...” ประวิชกระโดดข้ามเตียงเข้าไปพยุงร่างเล็กด้วยเคยชิน หากแต่อีกฝ่ายกลับสะบัดตัว แล้วลุกขึ้นยืนถอยห่างอย่างทะนง

“ในเมื่อนายรักฉันอย่างคนรักไม่ได้ ก็อย่ามาทำดีกับฉัน อย่ามาห่วงฉัน เพราะอะไรรู้มั้ยวิช” ไผ่มองอีกฝ่ายอย่างยิ้มเยาะ

“เพราะมันทำให้ฉันเจ็บ”

ร่างสูงผงะไปกับคำสารภาพของเพื่อนสนิท คำสารภาพที่เขาพยายามไม่รู้ไม่ชี้มาตลอดเพื่อจะดำรงความเป็นเพื่อนไว้ให้นานเท่านาน แต่มาตอนนี้ เขาได้ฟังเต็มสองหูแล้วจะให้เขาทำตัวยังไงต่อไปดี

เพราะความรักความห่วงใยที่เขามีให้คนๆนี้ไม่เคยข้ามผ่านคำว่าเพื่อนแม้แต่น้อย แม้บางครั้งจะเคยรู้สึกหงุดหงิดจนเกือบจะเรียกว่าหวงหากอีกฝ่ายไปสนิทสนมกับคนอื่นจนออกหน้าออกตา แต่นั่นก็อาจเป็นเพราะเขารู้สึกยึดติดมากเกินไปต่างหาก เขาบอกกับตัวเองแบบนั้นเพื่อความสบายใจในการคบหา และเขาก็พอใจที่อีกฝ่ายไม่คิดจะก้าวข้ามเขตแดนนั้นด้วย

แต่วันนี้ไผ่ได้ล้ำเส้นแบ่งเขตแดนเข้ามาแล้ว ทุกอย่างจึงไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก แล้วเขาควรจะทำยังไงดี...

“ไผ่...”

ไผ่มองประวิชครางเสียงอ่อนระโหยเหมือนคนหมดแรง หากแต่เขาแหกกฎของความเป็นเพื่อนจนถอยไม่ได้แล้ว คางเรียวมนจึงเชิดขึ้นด้วยอาการสั่นระริก และนี่จะเป็นคำถามสุดท้ายที่จะทำให้เขาอยู่เคียงข้างหรือจากไป...จากไปตลอดกาล

“นายจะรักฉันได้มั้ย”

“...!”

“ได้มั้ย” ร่างเล็กถามย้ำด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน หากแต่ใบหน้าอีกฝ่ายกลับแสดงอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหมือนกำลังกินยาขมยังไงยังงั้น มุมปากบางจึงยกขึ้นอย่างสมเพชตัวเอง

ความรู้สึกของฉันมันทำให้นายทรมานขนาดนั้นเลยเหรอ...

“เพื่อน...เราเป็นเพื่อนกัน...ไผ่” เสียงประวิชพูดตะกุกตะกักยังไม่ทันจบ อะไรบางอย่างก็ลอยลิ่วเข้ามาใกล้จนต้องเอี้ยวศีรษะหลบฉับพลัน

ตุบ! ตุบ! เสียงหมอนใบเล็กใบใหญ่ร่วงหล่นพื้น ในขณะที่คนปาหอบด้วยความโกรธจนตัวโยน

“ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนแล้ว! ไม่ได้ยินรึไง” มือเล็กยังคงหยิบข้าวของใกล้มือปาใส่ จนอีกฝ่ายต้องเข้ามากอดรัดหยุดความบ้าคลั่ง

“ไผ่ หยุด อย่าทำแบบนี้”

“อย่ามาจับ!” ยิ่งสัมผัสถึงเลือดเนื้อจากร่างกายอุ่น ก็เหมือนถูกนาบด้วยเหล็กร้อนให้ใจเจ็บแสบ และรู้แล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่สามารถรับความรู้สึกของตัวเองได้ แล้วเขาจะมีหน้าอยู่เคียงข้างอีกฝ่ายได้เหรอ

“ปล่อย!” ไผ่ตะโกนจนสุดเสียงแล้วจึงสะบัดตัวหลุดพ้นจากการกอดรัด ออกมายืนมองร่างสูงใหญ่ด้วยแววตาที่ร้าวราน

ร่างเล็กกลืนก้อนแข็งๆลงคอ แล้วจึงสั่งให้ขาสั่นๆของตัวเองนำพาหัวใจอันหนักอึ้งวิ่งออกไปสู่เส้นทางที่มืดมิดยามค่ำคืน โดยไม่ได้ยินแม้แต่เสียงกู่เรียกให้กลับของอีกฝ่าย ทุกอย่างจึงตกอยู่ในความเงียบสงบ เพราะโสตประสาทของเขาไม่สามารถรับรู้สิ่งใดๆรอบกายได้อีก

มันจบแล้ว...คนที่เขาแอบรักมาเป็นสิบปี...

ร่างเล็กๆจากไปด้วยความเจ็บช้ำ หากแต่คนที่นั่งกองอยู่บนพื้นก็ไม่ต่างกัน เพราะร่างกายที่มีอยู่กลับกลวงโบ๋ไร้ซึ่งหัวใจ

หัวใจที่เหมือนจะลอยตามเงาเล็กๆจากไป

“โธ่เว้ย!”



--- TBC---

เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อจ้า
ขอบคุณทุกคอมเมนท์ :z2:

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
:serius2:

อีกกี่ตอนจบอะ (น่าน มาถามเลยอีกกี่ตอนจบ ๕๕๕)

ตอบคุณน้อง มี 19 ตอนจบค่ะ เเละอีกสองตอนพิเศษ คู่ไผ่กะวิช
อีกสามวันก็จบเเล้ว อิอิ

ออฟไลน์ ปี้ปี้ปี้~PalmY

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2427
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +273/-1
เอาวันนี้ พรุ่งนี้จบได้ปะ

๕๕๕๕๕๕

คุณน้องทนไม่ไหวแย้ววว  :z3:

น้ำตาซึมอะตัวเอง T^T

ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
เอาวันนี้ พรุ่งนี้จบได้ปะ

๕๕๕๕๕๕

คุณน้องทนไม่ไหวแย้ววว  :z3:

น้ำตาซึมอะตัวเอง T^T

เปลี่ยนจบคืนนี้เลยได้ปะ

ไม่ไหวจะเคลียร์ละ อ่านแล้วลุ้นสุดพลัง ต้องตามมาทุกวันเลย

ขอบคุณคุณคนโพสนะค่ะ

LoveNineTeen

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ kunkai

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3734
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-2
เข้ามาเครียดตอนดึก :เฮ้อ:
อยากอ่านต่อแล้วค้าบ

รอค้าบรอ
:pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ aiwjun

  • aiwjun
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
สงสารน้องไผ่จังเลย....เฮ้อ

เมื่อไรนายประวิชจะรู้ใจตัวเองเนี่ย

ชักโกรธแล้วน่ะ...ขัดใจจริง :เฮ้อ: :เฮ้อ:

DexTunG

  • บุคคลทั่วไป
จะเป็นยังงัยต่อนะ

 :z2:    :z2:

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
เอาวันนี้ พรุ่งนี้จบได้ปะ

๕๕๕๕๕๕

คุณน้องทนไม่ไหวแย้ววว  :z3:

น้ำตาซึมอะตัวเอง T^T

เปลี่ยนจบคืนนี้เลยได้ปะ

ไม่ไหวจะเคลียร์ละ อ่านแล้วลุ้นสุดพลัง ต้องตามมาทุกวันเลย

ขอบคุณคุณคนโพสนะค่ะ

จัดให้เลยคุณน้อง
คืนนี้นะ ..... ว่าเเต่อ่านกันไหวอะป่าว
.
.
.
จัดให้ๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ช่วงนี้อ่านแล้วเครียด  มีตอนหวาน ๆ คลายเครียดเปล่าค๊ะ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
โอ๊ยยยยยยยยยย ตูจะบ้า ทำไมแต่ละตอนอ่านแล้ว นอยด์ ได้อีก  :serius2:

ว่าแต่คืนนี้ลงจนจบจริงๆ เหรอค่ะ อย่าหลอกเขานะตัวเอง  :o8:


ออฟไลน์ Papoonn

  • inspiration <3
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
จบคืนนี้       !!!!!
19  ตอน    อ่านได้สบาย ๆ
> <   ;;     ภาค 2 นี้เศร้า  ๆ
แบบรู้สึกว่านทงี่เง่า    ==
คนเค้ารักกันอ่ะจะไปขวางทำไม
เห็นด้วยกับวี     เอาความคิดตัวเองไปตัดสินใจคนอื่น   555

มาอัพต่อด่วน   ๆๆๆ

 :call: :call: :call: :call: :call: :call:

ออฟไลน์ kungyung

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1756
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
ว้าวววววว จะลงให้จบคืนนี้เลยหรือคร้าบบบบบบบบ
น่ารักที่สู้ดดดดดดดดดดเลยอ่ะ
+1จัดหาเลยคร้าบบบบบบบบ

ออฟไลน์ ปี้ปี้ปี้~PalmY

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2427
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +273/-1
เอาวันนี้ พรุ่งนี้จบได้ปะ

๕๕๕๕๕๕

คุณน้องทนไม่ไหวแย้ววว  :z3:

น้ำตาซึมอะตัวเอง T^T

เปลี่ยนจบคืนนี้เลยได้ปะ

ไม่ไหวจะเคลียร์ละ อ่านแล้วลุ้นสุดพลัง ต้องตามมาทุกวันเลย

ขอบคุณคุณคนโพสนะค่ะ

จัดให้เลยคุณน้อง
คืนนี้นะ ..... ว่าเเต่อ่านกันไหวอะป่าว
.
.
.
จัดให้ๆๆๆๆๆ

จัดมาเลย คุณ พี่่

สื่อมิได้แคร์

ขนาดตรูไม่แคร์สื่อ

แล้วเราจะแคร์ใครทำไม ๕๕๕

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
ลงให้จนจบเลยนะค่ะ ตาลายกันมั้ยเนี่ย 55 :z2:


ตอนที่ 9

“จะพาวาไปไหนพี่นล” วารีเอ่ยถามขณะขึ้นรถมาได้ซักพัก ก่อนหน้านี้อนลได้ขออนุญาตมารดาพาออกไปทานข้าวเย็นนอกบ้าน แต่ก็ไม่ยอมบอกว่าจะไปที่ไหน

อนลหันมายิ้มให้หญิงสาวเหมือนปลุกปลอบ ก่อนจะเอ่ยบอก

“จะพาไปเที่ยวบ้านพี่เองละ ไม่ต้องทำหน้างงแบบนั้นหรอกน่า...” ร่างสูงอมยิ้ม แต่ก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่ต้องทำเหมือนหลอกอีกฝ่ายให้มาด้วยกัน คิดไปก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอก แต่ที่ผ่านมาเขาได้เคยพยายามแล้ว และสิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มเศร้าๆที่ปิดบังไม่มิดจนเขาต้องล้มเลิกความตั้งใจไปเอง แต่ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว เขาจะไม่ยอมให้น้องวาหลบเลี่ยงอีกเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเส้นทางของเขาและน้องวาคงไม่มีวันได้มาบรรจบกัน

“พี่นล วา...วา”

“พี่รู้ว่าน้องวาคิดอะไรอยู่ แต่พี่รักวานะ พี่อยากแต่งงานกับวา” อนลละมือจากพวงมาลัยไปกุมมือขาวนวล

“วาไม่รักพี่เหรอ”

“พี่นล!” หญิงสาวเบิกตากว้าง พลางขบริมฝีปากบางแน่นด้วยรู้สึกลำคอแห้งผาก

“รักพี่รึเปล่า” ชายหนุ่มถามย้ำด้วยใจระทึก เขารู้อยู่กับใจอยู่แล้วว่า น้องวารักเขา แต่น้องวากล้าพอที่จะฝ่าฟันอุปสรรคไปพร้อมกับเขารึเปล่า นั่นละที่เขากังวล เพราะหากเขาสู้อยู่คนเดียว ทุกอย่างจะมีความหมายอะไร

วารีเงยหน้ามองชายหนุ่มที่ตัวเองรักมาตั้งแต่ยังไม่เต็มสาวด้วยดวงตาแวววาว

หากวารับปากพี่นล แล้วหลังจากนี้จะทำให้พี่นลต้องอยู่ไม่สุข ทุกข์ทรมานไม่ว่าจะเพราะคนในครอบครัวหรือสังคมที่ต่างกันมากเกินไป

แล้วสองมือของพี่นลจะรับภาระตรงนี้ไหวเหรอคะ...วาไม่อยากเห็นพี่นลต้องทุกข์ใจเพราะความรักของวา

“วา...วาจะเอาความรู้สึกที่พี่มีให้วาทิ้งไปเฉยๆเหรอ วาจะไม่พยายามเพื่อพี่เลยเหรอ” อนลกุมมือเล็กมั่น ก่อนจะชะลอรถเข้าจอดข้างทาง

แววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและความหวังของชายหนุ่ม ทำให้วารีรู้สึกตีบตันเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอ

“พี่ก็เสียใจเป็นนะวา” อนลมองหญิงสาวที่ตนรักแน่วนิ่ง

พี่นล พี่นล...

หญิงสาวครางซ้ำไปซ้ำมาในหัว ก่อนจะกลืนบางสิ่งลงคอ

“วารักพี่นลคะ”

ในที่สุดวารีก็หลุดคำพูดที่กักเก็บไว้ในใจตลอดออกมา

“แต่วากลัว กลัวจะทำให้พี่นลรู้สึกต่ำต้อยที่มีคนรักไม่เท่าเทียม ไม่ได้เชิดหน้าชูตาครอบครัวพี่ได้เลย” วารีปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างหมดแรงอดกลั้น

“วา...” มือใหญ่เอื้อมไปโอบไหล่เล็กที่สะท้านไหวด้วยแรงสะอื้นเข้ามาแนบอก แล้วเขย่าเบาๆอย่างเห็นใจแกมสงสาร

“วา...พี่ไม่เคยอายที่รักวา แล้ววาจะมาคิดแทนพี่ได้ยังไง ไปกับพี่นะ แล้ววาค่อยตัดสินใจอีกทีก็ยังไม่สาย ทุกอย่างมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่วาคิดเอาไว้หรอก...นะ” ร่างสูงก้มลงแนบริมฝีปากกับเรือนผมนิ่มสลวย

หากแต่วารียังคงนิ่งเงียบ ดวงตาคู่กลมโตเหม่อมองอย่างไร้จุดหมายก่อนจะค่อยๆปิดลง เพื่อรวบรวมอะไรบางอย่างในใจ

ถ้าจากกันก็เจ็บ อยู่ด้วยกันก็เจ็บ งั้นวาขอเลือกที่จะอยู่ด้วยกัน วาจะผิดมากมั้ยคะพี่นท วารีกระหวัดคิดไปถึงพี่ชายที่เคยพูดเตือนสติมาตลอด ก่อนจะพยักหน้าตอบรับการพยายามครั้งแรกของตัวเอง

การพยักหน้ากับอกหนาที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา ทำให้ชายหนุ่มยิ้มออก แขนแข็งแรงจึงเพิ่มแรงโอบกอดร่างเล็กแน่นขึ้นชั่วอึดใจแล้วคลายออก พร้อมทั้งส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้หญิงสาว


XXXXX


รถคันงามพาชายหญิงทั้งสองมาจอดเทียบบริเวณมุขหน้าบ้าน ความรู้สึกมั่นใจของวารีก่อนมาถึงบ้านหายไปเกือบครึ่ง เมื่อเห็นที่พักอาศัยของคนรักซึ่งต่างกับบ้านของเธอจนไม่รู้จะเทียบกับอะไรดี ความแปลกใหม่กับสิ่งรอบตัวทำให้วารีประหม่ามองอนลแน่วนิ่งไม่ยอมลงจากรถ จนชายหนุ่มต้องเดินอ้อมมาเปิดประตูฉุดร่างบอบบางให้ลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคง และท่ามกลางการปลุกปลอบใจของคนทั้งคู่ ยังมีสายตาของชายหญิงสูงวัยในบ้านมองผ่านกระจกออกมาประสพพบเห็น

“น่ารักดีนะคุณ” นายทรงยศประมุขของบ้านเอ่ยอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่ภรรยาคู่ใจกลับมองภาพนั้นนิ่งเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ จนผู้เป็นสามีต้องขยับกายอย่างเก้อๆ แล้วจึงนั่งรอบุตรชายอย่างสงบ หากแต่ชั่วอึดใจต่อมาคุณทรงยศต้องตกใจเมื่ออยู่ๆภรรยาก็ลุกขึ้นเดินหันหลังจากไปอย่างเงียบๆ ทิ้งให้สามีต้องทำหน้าที่ตอนรับอย่างฉุกละหุก

“คุณ!...”

วารีเดินตามร่างสูงไปยังห้องโถงใหญ่ของบ้านที่มีโคมไฟคริสตัลห้อยระย้าเหมือนในหนังจนอดเหลือบมองความสวยงามนั้นไม่ได้ ก่อนจะชะงักเมื่อร่างสูงหยุดหันมาส่งยิ้มให้อุ่นใจ จนหญิงสาวรู้สึกใจชื้นขึ้นมามากโข แล้วก้าวเดินตามแผ่นหลังกว้างไปหยุดหน้าชุดเก้าอี้รับแขกลวดลายประณีต

อนลกวาดตามองไปที่เก้าอี้รับแขก ซึ่งเห็นบิดานั่งอยู่เพียงลำพัง ทำให้ใจของผู้เป็นลูกตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม แต่ก็ฝืนยิ้มให้บิดาก่อนจะแนะนำหญิงสาวให้รู้จัก

“น้องวา นี่พ่อของพี่นะ” อนลหันมาบอกหญิงสาวที่ยังก้มหน้ามองพื้น

วารีเงยหน้าขึ้นสบตากับประมุขของบ้านแล้วจึงค่อยๆพนมมือไหว้อย่างนอบน้อม

“สวัสดีคะคุณลุง”

คำเรียกขานของวารีทำให้คุณทรงยศเลิกคิ้วขึ้นสบตาบุตรชายแล้วลอบอมยิ้มกับความยำเกรงของเด็กสาว

“ชื่อแซ่อะไรละหึ” ชายสูงวัยเอ่ยถามอย่างมีไมตรี หากแต่รูปลักษณ์ภายนอกยังคงความเฉียบขาดของความเป็นผู้นำไว้อย่างครบถ้วน

“วารีคะ” หญิงสาวตอบขณะถูกอนลจับจูงไปนั่งเก้าอี้ใกล้ๆบิดา

“เรียกวาเฉยๆก็ได้พ่อ” อนลต่อท้ายให้เสร็จสรรพ

“อืม...เพิ่งจะได้เห็นหน้าเห็นตาก็วันนี้ละนะ” คุณทรงยศลอบพิจารณาเด็กสาวที่นั่งตัวเกร็ง ก่อนจะเหลือบมองลูกชายที่นั่งหน้าเหลือสองนิ้วอย่างนึกสงสารแกมหมั่นไส้ลึกๆ นี่พ่อนะโว้ย ไม่ใช่เสือใช่สางที่ไหน หน่อย...แค่พาแฟนมาบ้านทำอย่างกับจะมาตาย นึกค่อนขอดบุตรชายในใจแล้วจึงหันมายิ้มให้อีกฝ่าย

“ตามสบายหนูอยู่คุยกันก่อน อีกสักพักแม่บ้านเขาถึงจะตั้งโต๊ะ คงไม่เบื่อที่จะคุยกับคนแก่หรอกนะ”

“คะ” วารียิ้มด้วยรู้สึกโล่งใจเล็กๆกับอัธยาศัยไมตรีที่ชายสูงวัยมีให้ แต่...อีกคนละ อีกคนที่วารีนึกหวั่นเกรง

แม่ผัวกับลูกสะใภ้ วารีนึกกลัวประโยคนี้จริงๆ

“คุณแม่ละครับ” อนลถามเอากับบิดาด้วยแววตาไหววูบแกมสงสัย เพราะมารดาเป็นคนนัดให้พาวารีมาพบ แล้วไม่อยู่เจอแบบนี้ มารดาเขากำลังคิดจะทำอะไร

คุณทรงยศพยักพเยิดหน้าไปทางหลังบ้านก่อนตอบบุตรชาย

“เดินไปทางหลังบ้านแน่ะ เดี๋ยวคงออกมาเองละ” ผู้เป็นบิดาตอบอย่างรักษาหน้า แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคู่ชีวิตตนเองจะออกมาเมื่อไร หรือจะไม่ออกมาอีกเลยก็ยังคิดหนักอยู่

แม่... อนลรำพึงอย่างเสียใจไม่น้อย นี่แม่ถึงขนาดทนเห็นหน้าคนรักของเขาไม่ได้เชียวหรือ แต่เขาก็ถอยไม่ได้แล้ว

ชายหนุ่มจึงคิดจะบอกความตั้งใจของตนเองกับบิดาต่อหน้าคนรักอีกครั้ง หากแต่ปลายหางตากลับเห็นร่างไหวๆของผู้เป็นมารดาเดินออกมาจากเหลี่ยมมุมของเสา พร้อมกับแม่บ้านเดินถือถาดตามหลังมาด้วย

“แม่...” อนลครางในลำคออย่างแปลกใจ เพราะหลังจากมารดาเดินมาถึงก็พยักหน้าให้แม่บ้านหยิบแก้วน้ำส้มคั้นสดพร้อมน้ำเปล่าส่งวางไว้ตรงหน้าวารี

“แม่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าสาวๆเดี๋ยวนี้เขาคงชอบดื่มน้ำผลไม้ มากกว่าน้ำอัดลมละนะ” คุณศรีสอางค์ส่งยิ้มอบอุ่นให้เด็กสาวที่มองมาด้วยอาการตาค้าง

“คุณน้า!” คำอุทานเหมือนคนรู้จักกันของวารี ทำให้ทั้งอนลและคุณทรงยศหันมาหน้ามองกัน แล้วจึงหันไปมองเด็กสาวอีกครั้ง

“ไม่ไกลใช่ไหมละ บ้านน้าน่ะ” คุณศรีสอางค์วางแก้วน้ำส้มคั้นลงตรงหน้าเด็กสาว แล้วหันไปหยิบจานของว่างในถาดที่แม่บ้านถือตามมาวางอย่างคะยั้นคะยอให้หยิบทาน

“คะ...คะไม่ไกล” วารีพึมพำตอบไปอย่างไม่คาดคิดจะพบคุณน้าคนสวยที่นี่ ในขณะที่อนลลุกขึ้นไปจับจูงมารดามานั่งใกล้ๆผู้เป็นบิดา

“แม่ไปทำอะไรมาเนี่ย” อนลเอ่ยถามอย่างแปลกใจ ก็มารดาเขาหายไปนานจนเขาใจเสีย แล้วอยู่ๆก็ออกมาพร้อมแก้วน้ำส้มที่ดูท่าว่าจะคั้นมาเองอีกต่างหาก แถมหน้าตาท่าทางยังกับคนละคนกับเมื่อวันก่อน

“ก็ไปหาอะไรมาให้แฟนเราทานรองท้องนะสิ กว่าจะตั้งโต๊ะอีกตั้งนาน!” คุณศรีสอางค์ตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จนคนทั้งสามออกอาการอยู่ไม่สุข จะว่าโล่งอกก็โล่งอกอยู่ แต่ดูอากัปกิริยาเมตตาปราณีเด็กสาวมากกว่าปกติก็ทำให้คนที่นั่งอยู่ในเหตุการณ์คิดกันไปต่างๆนาๆ

วารีนั่งนิ่งตกตะลึงก่อนจะพนมมือยกไหว้มารดาของอนลเมื่อนึกขึ้นได้

“สวัสดีคะคุณน้า...หนูไม่รู้เลยว่าคุณน้าเป็นแม่พี่นล” วารีถามถึงสิ่งที่ค้างในใจ เพราะเธอเจอกับคุณน้าคนสวยอยู่บ่อยๆแต่กลับไม่เคยรู้ ทั้งๆที่อนลก็ไปบ้านเธอทุกอาทิตย์ เพียงแต่...เพียงแต่คลาดกันทุกครั้งไป แล้วถึงจะบังเอิญแต่คุณน้าก็ไม่มีท่าทางตกอกตกใจซักนิด เหมือนรู้ล่วงหน้าเลย!

“หือ...น้าก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าหนูเป็นแฟนของนล ก็ไม่เคยมาให้น้าเห็นหน้าค่าตากันเลย นี่ถ้าไม่มาวันนี้น้าก็คงไม่รู้ไปจนถึงเมื่อไรละฮึ” คุณศรีสอางค์แสร้งตอบ ทั้งที่คำตอบนั้นไม่น่าเชื่อถือเลยซักนิด หากแต่แฝงด้วยการติติงให้เด็กสาวจำต้องนิ่งเงียบ

“คือ...”

คุณศรีสอางค์มองเด็กสาวนั่งเงียบด้วยแววตาสั่นไหว ก่อนจะระบายลมหายใจออกมายืดยาว ด้วยรู้ทุกอย่าง รู้มานานแล้ว

“แม่รู้จักน้องวาแล้วเหรอครับ ไปรู้จักกันได้ยังไงละครับเนี่ย” อนลถามแทรกด้วยความสงสัยที่คับแน่นจนงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ยะ!” คุณศรีสอางค์หันไปกระแทกเสียงตอบบุตรชายอย่างหมั่นไส้ จนผู้เป็นลูกต้องเก็บสีหน้าสีตานั่งฟังมารดาตอบ


“ฉันเป็นแม่แกนะเจ้านล แกจะมีแฟนมีเมียทั้งทีไม่คิดจะพามาให้ที่บ้านรู้จักมักจี่กันบ้างเลยหรือไงห่ะ ต้องให้แม่คนนี้ไปเทียวหาเอง มันน่าโกรธมั้ยตานล”

“เปล่าๆนะแม่ ผมก็อยากจะบอกอยากจะพามาให้แม่รู้จัก แต่น้องวาเขา...เขากังวลเลยไม่กล้ามาน่ะครับ” ร่างสูงของบุตรชายลุกขึ้นเดินไปหย่อนก้นที่เท้าแขนเก้าอี้ตัวยาว พลางสวมกอดมารดาไว้หลวมๆราวกับจะเอาใจแกมขอโทษให้คุณศรีสอางค์ตวัดสายตาขึ้นค้อน

“เราน่ะไม่ได้ออกลิงออกข้างเหมือนพี่ๆเรา แล้วอยู่ๆชอบหายไปไหนคนเดียววันเสาร์อาทิตย์ แม่ถามก็บอกว่าไปนั่งเล่นที่บ้านพี่นทแถวๆนี้ แล้วจะไม่ให้แม่สงสัยได้ไงว่าบ้านพี่นทเราน่ะมีอะไรดี เลยลองไปแถวๆนั้นดู ก็เจอเรานั่งเป็นพ่อค้าขายผลไม้กับหนูวา ถึงได้รู้ว่าไปรักไปชอบลูกสาวบ้านนี้นี่เอง”

“แล้วแม่ไปถูกเหรอครับ นลว่านลไม่เคยบอกแม่นะว่าบ้านน้องวาอยู่ตรงไหน”

“ก็ถามพี่เรานะสิ พี่เราเป็นเพื่อนกับพี่ชายน้องวาไม่ใช่เรอะ” มารดาตอบตาใสในขณะที่อนลนึกไปถึงพี่ชาย พี่ชายที่ไม่ได้คิดถึงอะไรเลย คงจำไม่ได้แล้วละมั้งว่าแม่ถามไปทำไม ก่อนจะหันกลับมามองมารดาที่หันหน้าไปมองคนรักของตนซึ่งนั่งก้มหน้าอยู่อย่างสงบ

“แม่...ถ้าแม่รู้จักน้องวาแล้ว แม่จะรักน้องวาเหมือนลูกอีกคนหนึ่งได้มั้ยครับ” มือใหญ่เอื้อมไปบีบมือนิ่มสีขาวนวลของมารดาอย่างมีความหวัง ทำให้ใจของคนเป็นแม่เต้นผิดจังหวะ

โธ่...ลูก

“นล...ถ้าเป็นคนที่ลูกรัก แม่ก็จะรักด้วย รักให้เหมือนลูกของแม่คนหนึ่ง” คุณศรีสอางค์ส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้เด็กสาวที่เงยหน้ามองด้วยดวงตาแวววาว คงกังวลกันไปสารพัดสิเนี่ย ก็นะ...อยากปิดบังให้แม่รอแล้วรออีก กว่าจะพามาได้

“แม่! ขอบคุณ นลรักแม่ๆ” ร่างของบุตรชายตัวโตก้มลงกอดมารดาแน่นด้วยรู้สึกดีใจและขอบคุณมารดา

ใช่...แม่ของเขาเป็นคนมีเหตุผลเสมอนี่นา...ทำไมเขาถึงไม่เชื่อใจแม่ของตัวเองกันนะ

“ไม่ต้องมารักเลย ปล่อยให้แม่รอตั้งนานกว่าจะพาหนูวามาแนะนำได้ เห็นพ่อแม่เป็นยักษ์เป็นมารรึไงกันหึ” คุณศรีสอางค์หันมองสามีก่อนจะกวาดสายตาไปยังร่างบอบบางของเด็กสาว “มานี่ม่ะ มาใกล้ๆแม่หน่อย” คุณศรีสอางค์เอ่ยอย่างปราณี

เมื่อถูกเรียก วารีจึงค่อยทรุดตัวคลานเข่าเข้าไปหาผู้เป็นมารดาของคนรัก แล้วเข้าไปนั่งพับเพียบใกล้ๆ

“ต่อจากนี้ก็จะได้เป็นครอบครัวเดียวกันแล้วละนะหนูวา ฉันดีใจที่หนูตัดสินใจมาวันนี้ แสดงว่าหนูพร้อมจะเป็นคู่ทุกข์คู่ยากของลูกแม่แล้วใช่มั้ย” หญิงสูงวัยยกมือขึ้นลูบศีรษะเด็กสาวเบาๆ

“อย่าไปคิดถึงว่าใครรวยกว่าใคร ทรัพย์สมบัติแม่มีมากแล้ว สิ่งที่แม่อยากได้จริงๆคือคนที่จะอยู่เคียงข้างและเป็นที่พักใจให้เมื่ออีกฝ่ายต้องทุกข์ ไอ้เรื่องทรัพย์สมบัตินั่นเป็นเหมือนของแถมติดตัวมาเท่านั้น” หญิงสูงวัยหยุดมองเด็กสาวที่ก้มหน้ารับฟังด้วยอาการสั่นสะท้าน

“สิ่งสำคัญคือจิตใจต่างหาก จิตใจที่ดีงามของหนูจะทำให้คนที่อยู่รอบข้างมีความสุข อย่าอายความคุณงามความดีในตัวนะหนูวา ใครมองไม่เห็นแต่แม่เห็นนะ”

คำพูดที่มาพร้อมกับความปราณีทำให้ดวงตาคู่ใสบริสุทธิ์เอ่อล้นด้วยน้ำตา ไม่ต้องถามอะไรอีกแล้ว เพราะคุณน้าคนสวยได้ยอมรับผู้หญิงธรรมดาอย่างเธอเข้ามาเป็นคนในครอบครัวอย่างไม่มีเงื่อนไข

จะมีซักกี่คนที่โชคดีอย่างนี้

เมื่อความทุกข์ที่เก็บกดไว้นานได้ถูกชำระล้างจนปลอดโปร่ง น้ำตาแห่งความดีใจจึงไหลรินเป็นสาย ก่อนจะพนมมือกราบลงบนตักของคุณศรีสอางค์และคุณทรงยศด้วยความรู้สึกเคารพนบนอบ และต้องแปลกใจเมื่อเห็นมารดาของอนลถอดแหวนเพชรที่นิ้วก้อยใส่มือตนเอง

“ถือเป็นของรับขวัญจากแม่นะ”

หญิงสาวลังเลพลางหันไปมองคนรักด้วยไม่รู้ว่าควรจะรับของมีมูลค่าขนาดนี้ดีรึเปล่า แต่ก็เห็นชายหนุ่มอมยิ้มพยักหน้าให้รับไว้ วารีกำไว้แน่นหากคุณศรีสอางค์กลับดึงแหวนในมือสวมใส่ที่นิ้วนางข้างซ้ายให้อย่างพอเหมาะพอเจาะจนคนใส่หัวเราะถูกใจ

“พอดีเลยเห็นมั้ย รักษาไว้นะหนู วงนี้แม่ใส่ติดนิ้วมานาน ไม่ใช่เพราะมันแพงอะไรหรอก แต่เพราะชอบเพราะรัก แม่ถึงได้อยากให้หนูเก็บไว้”

“คุณน้า...”

“อา...ไม่น้าแล้วนะ ต้องคุณแม่แล้วนะจ๊ะ” คุณศรีสอางค์ยิ้มอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่รู้สึกถึงแรงกอดรัดของบุตรชายแน่นขึ้น

“นลดีใจที่ได้เกิดเป็นลูกแม่ แม่ของนลที่ไม่ได้มองใครด้วยเงินทอง”

“หือ...ถ้าแม่คิดแบบนั้น ลูกก็คงไม่ได้เกิดมาหรอกมั้ง”

“หือ!”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างสงสัยกับคำเปรยๆของมารดา

“ไม่ต้องหือหรอกเจ้านล พ่อก็เคยเล่าให้ฟังสมัยเรายังเด็กๆไม่ใช่รึ ว่าพ่อเคยเป็นเด็กวัดอาศัยข้าวก้นกุฏิมาก่อน ลืมไปแล้วละมั้งเนี่ย” คุณทรงยศมองลูกชายพลางหัวเราะในลำคอ ก่อนจะหันไปมองภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก

“ผมเพิ่งนึกได้ว่าที่คุณทำนี่เหมือนสมัยคุณพ่อเมื่อก่อนเปี๊ยบ”

“คุณปู่ทำไมหรือครับ” อนลเอ่ยถาม ด้วยปัจจุบันคุณปู่ได้เสียชีวิตไปแล้ว

“มันก็เหมือนดอกฟ้ากับหมาวัดละมั้งเจ้านล แม่ของเจ้ากลัวคุณปู่มาก เพราะตอนนั้นก็มีคู่หมายอยู่แล้วด้วย แต่สุดท้ายจะให้ฝืนแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักก็ไม่ได้ แม่ของลูกถึงได้สารภาพกับคุณปู่ แล้วคุณปู่ของลูกถึงได้แอบมาดูว่าที่ลูกเขยว่าเอางานเอาการขนาดไหน สุดท้ายคุณปู่ก็ยอมละนะ ตอนนั้นแม่ของลูกร้องไห้เป็นเขาเต่าเลยละ” คุณทรงยศพูดไปขณะปัดป้องภรรยาที่แอบหยิกต้นแขน

“นี่...คราวหน้าบอกพ่อบ้างนะ รู้อยู่คนเดียวแบบนี้พ่อก็ไม่มีส่วนร่วมอะไรเลยสิ ไม่สนุกเลยน่า...” เมื่อทุกอย่างดูจะลงตัวจบลงด้วยดี คุณทรงยศจึงเอ่ยกระเซ้าแหย่ภรรยาเบาๆ

“คุณ!...”

“หึๆ เอาละๆ แล้วนลละลูก จะไปเรียนต่ออย่างสบายใจได้รึยัง” ประมุขของบ้านหันไปถามบุตรชาย “ในเมื่อรับรู้ยอมรับเรื่องของลูกแล้วแบบนี้ ยังจะต้องให้พ่อกับแม่รีบไปขอหนูวาก่อนลูกไปเรียนต่ออีกมั้ย หรือจะรอให้ลูกเรียนจบกลับมาแล้วค่อยแต่งดี”

“แต่งเลยครับพ่อ!”

“หือ!”

คำตอบสวนตรงๆแบบไม่ต้องคิดของบุตรชายคนเล็กทำเอาทั้งทรงยศและคุณศรีสอางค์ต้องอึ้งกันไปตามๆ ด้วยไม่คิดว่าบุตรชายที่แสนดีจะเกิดใจร้อนขึ้นมากะทันหันแบบนี้

“ฮ้าๆฮ้าๆ” ผู้เป็นบิดาเผลอหัวเราะออกมาอย่างลืมตัวจนภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากแอบสะกิด

“ดูสิๆคุณ มันอยากมีเมียจนเต็มแก่ละ”

“คุณ! พูดเล่นอยู่ได้” คุณศรีสอางค์หันไปเอ็ดสามีแล้วจึงเอ่ยปากกับบุตรชาย

“นล...คิดดีแล้วเหรอ เรื่องของหนูวาพ่อกับแม่ก็ไม่ขัดข้องนะ แต่การแต่งงานได้ไม่กี่วันแล้วต้องแยกจากกันนานๆมันดูไม่ค่อยดีนะ นลไม่เห็นใจน้องเขาบ้างหรือลูก ไปทำหน้าที่ของตัวเองให้สำเร็จก่อนดีกว่ามั้ย”

“แม่ ไหนๆผมก็ตั้งใจจะให้พ่อกับแม่ไปขอน้องวาก่อนที่ผมจะไปเรียนต่อ ขอให้ผมได้ทำตามที่ตั้งใจไว้นะครับ ถึงจะดูเอาแต่ใจไปก็เถอะ”

“ฮ้าๆดูสิๆมันหวงว่าที่เมียมันน่าดู กลัวใครเขาจะมาตัดหน้าไปละสิ ฮ้าๆ”

“คุณทรงยศ!” น้ำเสียงเฉียบขาดทำให้ผู้เป็นสามีจำต้องหยุดหัวเราะโดยฉับพลัน ก่อนจะยิ้มแห้งๆให้ภรรยาสุดที่รัก

“เอาเถอะ...คนรักกันแม่ก็เข้าใจนะ แต่ต้องถามความสมัครใจของคนที่นลรักด้วยนะว่าจะเห็นด้วยมั้ย วาไงละหนูวา” คุณศรีสอางค์หันไปมองวารีอย่างขอคำตอบ

“คือ...หนูว่าไว้รอให้พี่นลเรียนจบก่อนดีกว่าคะ” วารีตอบพร้อมกับพวงแก้มสุกปลั่ง

“น้องวา!” อนลผลุดลุกเข้าไปนั่งใกล้ๆหญิงสาว แล้วจับมือเล็กนั้นขึ้นมาบีบเบาๆ “ทำไมละ”

“ไม่ว่าจะแต่งวันนี้หรืออีกสองสามปีข้างหน้าก็เหมือนกัน เพราะวาก็ยังรักพี่นลเหมือนเดิม”

“น้องวา...” อนลครางเครือกับรอยยิ้มอ่อนโยนที่หญิงสาวส่งให้ แต่ก็ไม่ทำให้ใจที่ร้อนรนสงบเย็นลงได้

“งั้นถ้ามันเหมือนกัน ก็แต่งซะก่อนพี่ไปเรียนนี่ละ”

“พี่นล!”

“นี่...ถ้าพี่ไปแล้วเรียนไม่รู้เรื่องก็เป็นเพราะน้องวานั่นละที่ทำให้พี่กังวล”

“อุ๊บ...ฮึๆๆ”

คุณศรีสอางค์หันไปค้อนสามีที่พยายามกลั้นหัวเราะยกใหญ่ แล้วถอนหายใจออกมาหลายเฮือกอย่างอ่อนใจ เห็นที่ต้องยกขันหมากไปขอซะวันนี้พรุ่งนี้ให้ทันใจลูกชายใจร้อนซะแล้วมั้ง

“คงต้องยอมลูกพ่อซะแล้วละมั้งหนูวา” คุณทรงยศยิ้มเย้าให้เด็กสาว ก่อนจะยื่นมือไปตบหลังลูกชายตนเองเบาๆ

“เอาละๆเรื่องนี้ให้ผู้ใหญ่เขาจัดการนะ เราน่ะเตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวไว้ได้เลย” บุรุษสูงวัยตอบตกลงก่อนจะหันไปพูดกับหญิงสาว

“หนูวาต้องไปเกริ่นให้คุณแม่ของหนูรับรู้ไว้ก่อนนะ แล้วอีกไม่กี่วันพ่อกับแม่จะไปทาบทามและคุยเรื่องกำหนดวันแต่งกันอีกที”

เมื่อทางฝ่ายชายตกลงกันจนเรียบร้อย วารีจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับคำเบาๆ

คุณแม่...พี่นท วาอยากให้มาอยู่ด้วยกันกับวาตรงนี้เหลือเกิน เพราะตอนนี้วารู้สึกแข้งขาอ่อนไปหมดแล้วคะ

วารีคิดคำนึงถึงคนในครอบครัว ก่อนจะถูกจับจูงไปยังโต๊ะทานอาหารเมื่อแม่บ้านมาบอกว่าตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้ว

พี่นท พี่เชื่อในปาฏิหาริย์แห่งรักมั้ยคะ วันนี้วาเชื่อแล้วคะว่ามีอยู่จริง


XXXXX

มีต่อ

V
V
V

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
ตอนที่ 10


“นี่!” นทนทีสะกิดเรียกปถวีที่กำลังนอนหลับตาอย่างเฉยเมยด้วยอารมณ์หงุดหงิด

“นายเรียกฉันออกมาแต่เช้าทำไมกันเนี่ย ไม่เห็นจะมีอะไรสำคัญอย่างที่บอกเลย” ร่างโปร่งผลุดลุกนั่งให้ผ้าห่มที่คลุมแผ่นอกเนียนเรียบไหลลงไปอยู่ที่เอว

ดวงตาคมหรี่มองคนหงุดหงิดหัวเสียชั่วครู่ ก่อนจะฉวยคว้าเอวอีกฝ่ายให้ล้มลงไปใกล้ๆแล้วยกกายขึ้นทาบทับ

“ขี้บ่น!”

“นี่! ก็ไม่เห็นทำอะไรเลยนอกจาก...จากเรื่องบนเตียงนี่นะ” นทนทีพยายามยื้อผ้าห่มจากมือคนที่พยายามดึงออก

“อือฮึ” ปถวีครางรับในลำคอ พลางจ้องมองดวงตาเกรี้ยวกราดแฝงความอ่อนล้าของอีกฝ่าย วันนี้เขาหนักมือไปจริงๆด้วย แต่มันจำเป็นละนะ ก็วันนี้เจ้านลมันต้องพาน้องวาไปหาพ่อกับแม่ ถ้านทนทีอยู่ด้วยคงต้องมีเรื่องไม่ชอบใจกันอยู่บ้างหรอก เอาเป็นว่าให้รู้ตอนสุดท้ายละดีที่สุด ก็หัวดื้อนี่นา! ร่างสูงก้มมองคนหน้าบึ้งตึงก่อนจะอมยิ้ม

“มีเรื่องจะปรึกษาด้วยจริงๆ นี่ฉันยังหอบหิ้วกลับมาให้นายดูเลย”

“อะไร?” อีกฝ่ายไม่ตอบแต่กลับเท้าแขนขึ้นไปคว้าขวดน้ำหัวเตียงยกดื่ม พลางหยิบกางเกงขายาวเนื้อนิ่มมาสวม แล้วจึงเดินไปหยิบเอกสารบนโต๊ะทำงานมากางให้คนนั่งบนเตียงดู

“โบชัวร์ทัวร์นำเที่ยว” นทนทีเอ่ยออกมาเบาๆเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมืออีกฝ่าย

“นายจะซื้อทัวร์ไปเที่ยวเหรอ”

“เปล่า...ไม่ได้ซื้อทัวร์หรอก แต่เอามาให้นายดูว่านายอยากไปที่ไหนแล้วเดี๋ยวฉันพาไปเอง”

นทนทีเงยหน้าจากโบชัวร์มองคนตรงข้ามนิ่ง เขามีเวลาไปซะที่ไหนกันเล่า! ถึงจะดีใจก็เถอะนะ แต่ว่าวันธรรมดาเขาก็ทำงานบริษัท วันเสาร์อาทิตย์ก็ต้องช่วยงานที่บ้าน แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปเที่ยวกัน อีกอย่างไอ้โบชัวร์ที่เอามาให้ดูนี่ก็เป็นโบชัวร์นำเที่ยวต่างประเทศทั้งนั้น แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายยินดีออกค่าใช้จ่ายให้ก็เถอะ แต่ก็รู้สึกเหมือนเกาะแฟนกินยังไงก็ไม่รู้

นี่ถ้ามีเงินเก็บตุนในกระเป๋าซักก้อน เขาคงสบายใจมากกว่านี้ เพราะถึงอีกฝ่ายจะออกค่าใช้จ่ายทุกอย่างให้แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เกาะอีกฝ่ายกิน ประมาณว่าอุ่นใจละนะ...

“แต่ฉันต้องทำงาน แล้วก็ช่วยงานที่บ้านนะวี จะเอาเวลาที่ไหนไป”

“ก็ลาพักร้อนซักสามสี่วัน แล้วงานที่บ้านนายเดี๋ยวให้เจ้านลมันทำแทนไปก่อน โอเคมั้ย อาทิตย์หน้าเราจะได้ไปกันเลย” ปถวียิ้มเย็น หากแต่อีกฝ่ายกลับส่งเสียงแว๊ดเข้าให้
“นี่! คิดมาได้ไง แล้วอาทิตย์หน้าฉันก็มีสัมมนาที่พัทยาด้วย ไปไม่ได้หรอก”

“สัมมนา...สัมมนาอะไร?” คิ้วเข้มขมวดยุ่ง

“สัมมนาของบริษัทนะสิ ไปวันศุกร์กลับวันอาทิตย์”

“ไม่เห็นนายเคยบอก”

“ก็...มันลืมนี่ แล้วอีกอย่างเพิ่งจะกำหนดสถานที่ได้ไม่กี่วันมานี่เองด้วย”

ปถวีมองร่างโปร่งบางแน่วนิ่ง หากแต่ในใจกกลับรู้สึกกรุ่นโกรธไม่น้อย เขาอุตส่าห์ตั้งใจจะพาไปเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศให้อีกฝ่ายได้ผ่อนคลายจากเรื่องต่างๆ รวมทั้งสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นไม่เข้าท่าในหัวนั่นด้วย การไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเสียบ้างน่าจะดีกว่าสิ่งแวดล้อมเดิมๆที่ทำให้นทนทีหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา แต่ดูเจ้าตัวจะไม่เคยรู้สึกถึงความหวังดีของเขาเลย...นี่เขาจะต้องรอไปจนถึงเมื่อไร

ทำไมเขาบอกให้เลี้ยวซ้ายแต่อีกฝ่ายกลับเลี้ยวขวา เขาบอกให้เดินตรงไปแต่กลับถอยหลัง...

นทนทีไม่เคยคิดจะทำตามใจเขาบ้างเลย เอาแต่คิดถึงแต่สิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง ควรทำ แล้วความรู้สึกของเขาเล่า เอาไปทิ้งไว้ตรงไหนกัน

ร่างสูงใหญ่ถอนหายใจยาวแล้วจึงหันหลังถอยไปนั่งที่ขอบเตียงพลางยกมือขึ้นเสยผมอย่างลวกๆ

“เจ้าประธานนั่นก็ไปด้วยใช่มั้ย”

อีกแล้ว...นทนทีครางอย่างเหนื่อยอ่อนในใจ ทำไมต้องลากคุณเทวัญมาเกี่ยวด้วย ก็คุยกันเข้าใจแล้วไม่ใช่หรือ หรือยังระแวง...

“อืม...ก็เขาเป็นเจ้าของบริษัทนี่” นทนทีตอบเรียบๆ ก่อนจะมองดูร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นหยิบเสื้อยืดตัวบางบนพื้นขึ้นมาสวม

“แต่งตัวเถอะ เดี๋ยวจะไปส่งที่บ้าน” ร่างสูงเอ่ยบอกโดยไม่ได้มองอีกฝ่ายที่มีสีหน้าเจื่อนลง

ถ้ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลง เรื่องแบบนี้ก็ยังคงวนเวียนเกิดขึ้นซ้ำๆซากๆใช่มั้ย... นทนทีมองแผ่นหลังกว้างที่หายเข้าไปในห้องน้ำอย่างเย็นเยือกในหัวใจ


XXXXX

เมื่อกลับมาถึงบ้านนทนทีก็ได้ทราบข่าวของน้องสาวจากปากมารดา ทำเอาเขาอึ้งไปเหมือนกัน ถึงจะรู้มาบางก็เถอะ

“แล้วแม่คิดว่ายังไงละครับ” นทนทีมองมารดาที่มีท่าทางครุ่นคิดไม่น้อย

“เรื่องรักใครชอบใครแม่ก็ไม่เคยคิดจะไปกำหนดกะเกณฑ์หรอก แต่ก็อย่างที่รู้ๆกันละนะ บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำได้รวยอะไร แม่เป็นห่วงน้อง คับที่อยู่ได้แต่คับใจมันอยู่ยากนะ เลยตั้งใจจะถามกับเรานั่นละ สนิทกับพ่อนลเขาไม่ใช่รึ”

เมื่อผู้เป็นแม่เอ่ยถามความคิดอ่าน นทนทีจึงต้องหยุดคิดตรึกตรองก่อนจะตอบอะไรออกไป

ถ้าพูดกันจริงๆเขาก็คิดเหมือนมารดานั่นละ แต่...ถ้าเขาออกปากไม่เห็นด้วย แล้วน้องวาจะรู้สึกเจ็บปวดแค่ไหนกัน แม้น้องสาวจะไม่ปริปากว่ากล่าวเขา และเผลอๆอาจทำตามอย่างว่าง่ายอีกต่างหาก แต่ลึกๆในใจคงเจ็บช้ำไม่น้อย

แล้วเขาจะทำไปทำไมกัน สู้ปล่อยให้น้องวาเลือกทางชีวิตด้วยตัวเอง ถึงแม้ภายหลังจะต้องเจ็บช้ำแต่ก็ได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว คำว่าเสียใจที่หลังคงไม่เกิดขึ้น...

“นลเขาเป็นคนดีมากนะแม่ ที่ผ่านมาแม่ก็คงเห็นแล้ว ทางคุณพ่อคุณแม่ของนล นทก็ไม่ค่อยได้พบเท่าไร แต่ท่านทั้งสองก็ดูเป็นคนมีเหตุมีผล ถ้าลองน้องวามาพูดเกริ่นแบบนี้แสดงว่าทางนั้นเขาคงเต็มใจรับน้องวาเข้าไปเป็นสมาชิกของบ้านเขาแล้วละ นทเลยคิดว่าให้น้องได้อยู่กับคนที่น้องรักคงดีกว่า เรื่องวันข้างหน้าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดละนะแม่”

“อืม นี่ถ้าน้องเราแต่งงานออกไป คิดๆแล้วแม่ก็ใจหายเหมือนกันนะ”

“โธ่แม่...แต่งงานแล้วก็ยังอยู่บ้านเราได้นี่แม่” นทนทีอมยิ้มเมื่อผู้เป็นแม่เกิดอาการเหงาล่วงหน้า

“มันจะไม่ดีนาลูก จะให้ลูกเขาเลี้ยงมาอย่างดีมานอนบ้านเราไปตลอด เขาจะไหวเหรอลูก ถ้าชั่วครั้งชั่วคราวก็ว่าไปอย่าง”

“ฮะๆมันก็คงจะจริง แต่ให้น้องวาอยู่บ้านเขาจันทร์ถึงศุกร์แล้วเสาร์อาทิตย์ค่อยกลับมานอนนี่ก็ได้นี่แม่ บ้านก็ไม่ไกลกันด้วย แม่จะได้ไม่เหงามากไงละ”

หญิงสูงวัยมองหน้าลูกชายก่อนจะถอนใจเบาๆ

“ทางโน้นเขาจะยอมหรือลูก”

“น่ะ...เดี๋ยวนทจัดการเอง” นทนทีเดินไปโอบกอดมารดาไว้หลวมๆพลางก้มลงหอมแก้มเสียฟอดใหญ่ให้คลายกังวล ก็เลี้ยงมากับมือละนะ ใจคนเป็นแม่ไม่ว่าจะรวยจะจนก็มีหัวใจเหมือนกัน ใจที่รักลูกอย่างไม่หวังสิ่งใดตอบแทน

ร่างโปร่งนั่งคุยกับมารดาจนค่ำ จึงได้เดินขึ้นบ้านไปยังห้องนอน แล้วล้มตัวลงบนเตียงอย่างเหนื่อยใจ

ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย ความรู้สึกหนักอกหนักใจ เหนื่อยไม่เสียทุกอย่าง นี่พวกเขาเข้าใจกันจริงๆหรือเปล่านะ

“ไอ้บ้าเอ๊ย!...ทำไมไม่ยอมเข้าใจกันบ้าง” นทนทีปาหมอนส่งๆไปที่พื้นอย่างหัวเสีย ก่อนจะนอนกลิ้งนอนเกลือกบนที่นอนไปมาจนเผลอหลับ


XXXXX

ท่ามกลางความรู้สึกมืดมัวในใจ ปถวีที่ไปส่งนทนทีถึงบ้านหากแต่ไม่ได้เลยกลับบ้านใหญ่อย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก เจ้าตัวหักหมุนพวงมาลัยพาตัวเองมุ่งสู่คอนโดที่เพิ่งออกมา แล้วงัดเอาเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ในตู้มาเปิดดื่มอย่างคนตายอดตายอยาก

จะต้องทำยังไง จะต้องให้ฉันทำยังไงฮึ!

ร่างสูงกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟาตัวยาว แล้วต้องขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณที่ประตูดัง

“ใคร?”

ติ๊งต๊องๆติ๊งต๊องๆ

เสียงสัญญาณดังย้ำรัวเร็ว ยิ่งทำให้ปถวีใจเต้น ด้วยคนที่กดแบบนี้มีคนเดียว นทนที! ร่างสูงจึงรีบลุกขึ้นไปเปิดประตู

“อะ!” คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่นทนทีอย่างที่คิด แต่เป็นเพื่อนสนิท ไผ่!

ร่างสูงระบายลมหายใจเบาๆก่อนจะเอี้ยวตัวให้อีกฝ่ายเข้ามาภายใน พลางสังเกตสังกาอีกฝ่ายที่เดินเข้ามาอย่างคนไร้วิญญาณ...เฮ้อ

“เอ๊า...นั่งสิ ซักแก้วด้วยมั้ย” ปถวีชวนคนหน้าตาอมทุกข์ดื่ม ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าหงึกๆ

ปถวีรอให้ไผ่กระดกน้ำสีเหลืองทองเข้าปากอึกใหญ่ ก่อนจะเปิดประเด็น

“เป็นอะไรไป หน้าเป็นตูดแบบนั้น” ร่างสูงเอ่ยถามถึงจะรู้สาเหตุเลาๆ

ได้ผล คนหน้าตูมหันขวับมาส่งสายตาเกรี้ยวกราดใส่

“จะหน้าเหมือนตูดเหมือนอะไรก็ช่างฉัน แต่ตอนนี้ฉันไม่ไหวแล้วว่ะวี” ไผ่ทิ้งตัวพิงผนักโซฟา พลางหลับตาไม่ให้เพื่อนเห็นแววตาร้าวรานเจียนแตกกระจาย

“ทำไม แกทนมาได้ตั้งนาน เพิ่งจะมาท้อเอาตอนนี้เรอะ” ปถวีที่รู้ความรู้สึกของไผ่มาโดยตลอดยกมือขึ้นเสยผม อย่าว่าแต่แกกลุ้มเลยวะ ฉันเองก็กลุ้มเหมือนกัน

ไผ่ลืมตาขึ้นเหลือบมองเพื่อนตัวโต ก่อนจะตัดสินใจเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟัง

“ฉันบอกรักไปแล้ว ฉันบอกรักประวิชไปแล้วไอ้วี!” คนตัวเล็กเปล่งเสียงดังด้วยอาการสั่นสะท้าน แล้วจึงขบริมฝีปากระงับอาการสั่นไหวภายในตัว

“สภาพแบบนี้เจ้านั่นคงรับรักนายไม่ได้ละสิ” ปถวีพูดแทงใจดำโดยไม่ต้องนึกเดาด้วยซ้ำ และไผ่เองก็ยกมือขึ้นปิดหน้าตาตัวเองอย่างหมดความอดทน

“...อึก!” ร่างเล็กข่มกลั้นเสียงสะอื้น ปลายนิ้วกดย้ำลงบนใบหน้าจนเห็นข้อขาวๆทำให้ปถวีมองตามด้วยความรู้สึกเห็นใจ

“ฉันอยากไปไหนไกลๆ นายช่วยฉันหน่อยได้มั้ย”

“แกจะไปไหนไอ้ไผ่ อยู่ที่นี่ละ ต่อให้ไปไกลแค่ไหนก็หนีใจตัวเองไม่พ้นหรอกนะ”

“แต่ฉันไม่ไหวแล้ว! ฉันไม่กล้าสู้หน้าเจ้านั่นเลย ไม่แม้แต่จะรับโทรศัพท์ที่เจ้านั่นโทรมา ฉันกลัว กลัวจะถูกรังเกียจไปมากกว่านี้ กลัวที่จะอยู่เคียงข้าง ฉันโกหกตัวเองไม่ได้อีกแล้ว ฉันกลับไปเป็นเพื่อนกับประวิชเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว ฉันก้าวล้ำเส้นไปแล้ว นายเข้าใจมั้ย!”

“ไผ่...” ปถวีครางเมื่อรับฟังสิ่งที่เพื่อนระบายออกมา

“อืม...ยิ่งใกล้ก็ยิ่งเจ็บ งั้นไปพักผ่อนหน่อยก็ดี แล้วนายอยากไปที่ไหนละ” ปถวีถามราบเรียบแต่กลับถูกอีกฝ่ายตะโกนตอบอย่างโมโหโทโสจนต้องผงะ

“บ้านนายมีธุรกิจอยู่ทั่วประเทศ ก็จับฉันยัดไว้ที่ไหนซักที่ไม่ได้รึไง! อึก...ฮือๆ” เหมือนทำนบแตก ไผ่ปล่อยให้น้ำตาตัวเองร่วงหล่นเป็นสายอย่างไม่อายคนตรงหน้า

“เออๆ เอาละๆ เดี๋ยวฉันดูให้” ปถวีมองอีกฝ่ายแล้วต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ เป็นหนักกว่าที่คิดแฮะ

“แล้วไปแบบนี้ตั้งใจจะไม่เจอหน้าเจ้านั่นอีกแล้วเหรอ”

“...ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าฉันจะทำยังไงต่อไป แต่ตอนนี้ฉันอยากไปในที่ใหม่ๆ ที่ๆไม่เคยมีความทรงจำร่วมกัน ไว้ฉันสบายใจเมื่อไรฉันคงรู้ว่าฉันจะจัดการกับชีวิตฉันยังไงดี”

“แล้วหายไปแบบนี้ถ้าเจ้าวิชถามจะเอายังไง”

“ห้ามบอกนะ! ห้ามบอกเด็ดขาดเลย ความใจดีครึ่งๆกลางๆแบบนั้นฉันไม่อยากได้อีกแล้ว ฉันไม่อยากให้เจ้านั่นเอาความเป็นเพื่อนมายื้อฉันไว้ให้เจ็บอีก นายเข้าใจฉันนะวี”

“เฮ้อ...เออ เอางั้นก็ได้ ไม่บอกก็ไม่บอก แล้วฉันจะดูสถานที่ให้ เอาที่ให้นายทำงานได้ด้วย จะได้ไม่ฟุ้งซ่านคิดมาก” ปถวีคำนวณไว้ในหัว ด้วยให้เพื่อนไปอยู่ในที่ๆเขารู้จักไปมาหาสู่ได้ ดีกว่าให้ไปแบบไม่รู้จุดหมายปลายทางจะอันตรายกันไปเปล่าๆยิ่งใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวอยู่

ปถวีมองเพื่อนนั่งสะอึกสะอื้น แก้วเหล้าที่อยู่ในมือถูกเติมให้เต็มทุกครั้งเมื่อน้ำสีทองพร่องลง จนสังขารรับน้ำเมาไม่ไหวแล้วนั้นละ ร่างเล็กๆจึงค่อยๆไถลตัวลงนอนตะแคงบนโซฟาทั้งคราบน้ำตา

ไอ้ไผ่...วันนี้มันมีจริงๆ วันที่ฉันต้องเห็นน้ำตาของคนบ้าจี้อย่างแก เคยเตือนแล้วว่าอย่าไปเอาอะไรกับไอ้ยักษ์หน้าตายนั่น มันทึมจะตาย...แกก็ยังหวังลมๆแล้งๆหลอกตัวเองอยู่ได้...

ทว่าวันนี้ฉันเองก็เพิ่งจะเข้าใจว่าทำไมถึงต้องทำ...ทำทุกอย่างให้คนๆนั้นอยู่ข้างกาย แต่ไอ้ไผ่ วิธีของแกกับของฉันมันไม่เหมือนกันว่ะ เพราะฉันจะไม่ให้อีกฝ่ายได้เลือกหรอก แต่ฉันนี่ละจะเลือกที่ๆอีกฝ่ายควรจะอยู่ให้เอง!

อย่าหวังว่าจะไปจากฉันได้...ถ้าฉันไม่ให้ไป!

ร่างสูงคิดในใจอย่างหมายมาดถึงคนที่นอนกระสับกระส่ายภายใต้หลังคาที่รายล้อมด้วยสวนผลไม้ร่มรื่น ก่อนจะช้อนแขนอุ้มร่างเล็กๆของเพื่อนไปนอนบนเตียงอย่างนึกกังวล

แล้วแกจะดีขึ้น...ไอ้ไผ่


V
V
V

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด