พิมพ์หน้านี้ - [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: jeaby@_@ ที่ 22-09-2009 14:02:03

หัวข้อ: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 22-09-2009 14:02:03
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง
ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,
ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  
ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  
ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ
กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว
ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  
ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะ
เสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น
คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว
ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย
และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย
เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ
ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ
ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  
โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

----------------------------------------------------------------------------------
 
เรื่อง Untitle ได้รับการอนุญาตจากพี่ Sake ให้มาโพสในเล้าเป็ดเท่านั้นค่ะ


 ภาค 1 / ตอนที่ 1


“ทำไมมันยังไม่โผล่หัวมาอีกวะ” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ก้มมองนาฬิกาที่ตอนนี้บอกเวลาสิบโมงกว่าเข้าไปแล้ว

“คู่อื่นเขาไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว” เสียงสบถยังคงดังต่อไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่เห็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งผมสีน้ำตาลเข้มซอยสั้นเข้ากับรูปหน้าเรียว
กำลังวิ่งกระหืดกระหอบผ่านประตูใหญ่หน้ามหาวิทยาลัยมาหาเขา
 
“มัวไปทำอะไรอยู่” พอได้ระยะ ประวิชก็สวดคำบ่นใส่เจ้าของร่างโปร่งที่ยืนกระหืดกระหอบทันที
 
“ขอโทษๆ” นทนทีรีบขอโทษขอโพยเพื่อนตนเองยกใหญ่ก่อนจะบอกเล่าความล่าช้าร่วมชั่วโมงนี้

“นัดเจ๊แดงให้มาเอาส้มโอที่สวนตอนตีห้า กว่าเจ๊เขาจะมาก็ปาเข้าไปหกโมงเช้าแนะ แล้วกว่าจะช่วยกันขนขึ้นรถ คิดเงินอีกก็เกือบเก้าโมงเช้าแล้ว”

“พอๆ เข้าใจแล้ว” ประวิชรีบห้ามก่อนที่นทนทีจะสาธยายเหตุผลต่อไปอีก
 
“คราวหน้าโทรมาบอกก่อนแล้วกัน” ยังคงหลงเหลืออารมณ์หงุดหงิดจากการรอคอยในน้ำเสียง
 
“อืม……………..แต่ฉันไม่มีมือถือนี่” ประโยคต่อมาของนทนทีทำให้ประวิชที่กำลังเตรียมอุปกรณ์การถ่ายรูปให้พร้อมสำหรับงานที่เขาจะไปหันขวับมามองร่างโปร่งทันที

“โทรศัพท์บ้านก็ได้นี่” ประวิชแยกเขี้ยวตอบกลับไปทันที

“ใครจะวิ่งไปวิ่งมาโทร คนต้องทำมาหากิน” คำตอบพร้อมยิ้มยียวนกวนประสาทของคนตัวเล็กกว่าทำให้คนตัวโตคอตกไหล่ตกจนด้วยคำพูด

“เอาเถอะๆ ไปกันได้แล้ว นายหิ้วกระเป๋านี่ก็แล้วกัน” เจ้าตัวยื่นกระเป๋าเก็บอุปกรณ์กล้องให้เพื่อน ส่วนตนเองเอากล้องมาคล้องคอเตรียมพร้อมทำงานทันที

“แล้วคราวนี้เราต้องไปสัมภาษณ์ใคร” เพราะตนเองมาไม่ทันประชุมแบ่งสายการทำงานของชมรมหนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัย นทนทีจึงถามเอากับเพื่อนที่เป็นทั้งคู่บัดดี้ในการทำงานครั้งนี้และเป็นเพื่อนสนิทซี้ปึกของเขาด้วย

“ชมรมมวยสากล” คนตอบพลางเหล่มองเพื่อนที่เดินตามหลังตนมา เห็นเหงื่อตามไรผมยังไม่แห้งหายไป ใบหน้าซับสีเลือดจาง ๆ จากการเร่งรีบยังคงสังเกตเห็นได้ชัดเจน ถึงเขาจะหงุดหงิดใส่คนๆนี้บ่อย ๆ แต่เขาก็ไม่เคยโกรธจริงๆจังๆ เลยสักที ก็เจ้าหมอนี่มันลูกกตัญญูชัด ๆ พ่อเสียไปตั้งแต่ยังไม่เข้ามหาวิทยาลัย ตัวเองเลยต้องช่วยแม่ทำงานตัวเป็นเกลียว

“หรอ” เสียงตอบอย่างแกนๆ ของนทนทีทำให้ประวิชหยุดเดิน
 
“อย่าคิดมาก งานชมรม จะแลกกับคนอื่นเดี๋ยวเขาจะหาว่าเรื่องมาก”

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่” ถึงจะปากจะบอกว่า ไม่ได้ว่าอะไร แต่หน้าตาคนตอบไม่บ่งบอกว่า ปกติเลยสักนิด

“เอาเถอะ เดี๋ยวฉันสัมภาษณ์เจ้าหมอนั่นเองก็แล้วกัน” ประวิชหาทางแก้ปัญหาให้ เขารู้ที่มาของความกังวลนี้ดีเพราะเห็นนทนทีเจอหน้าเจ้าหมอนั่นทีไรเป็นต้องมีเรื่องให้ลับฝีปากกันทุกครั้ง พูดผิดหูกันนิดเดียวก็กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตจะวางมวยกันอยู่หลายครั้ง ยิ่งพักหลังๆ มานี่ยิ่งหนักข้อขึ้นทุกวัน ขิงก็ราข่าก็แรงปานนั้นเลยละ ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้สาเหตุของการไม่ชอบขี้หน้ากันอย่างรุนแรงนี้เลย
 
“ดีๆ” นทนทีเห็นด้วยกับทางแก้ปัญหานี้ พลางยิ้มกว้างให้กับคนตรงหน้าอย่างขอบใจ เขาคบหาประวิชเป็นเพื่อนตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยปีแรก จนนี่ก็ปีสุดท้ายแล้วก็ยิ่งสนิทกันมาก หลายครั้งเวลาที่เขาไม่สบายใจก็ได้คนตัวโตที่เดินนำหน้าอยู่คอยรับฟังปัญหาของเขา ถึงจะทำท่ารำคาญโมโหใส่เขาแต่เขาก็รู้ว่าประวิชไม่ได้โกรธเขาจริงจังหรอก พูดดีๆด้วยเดี๋ยวก็หาย เขาดีใจที่ได้รู้จักเป็นเพื่อนกับคนตัวโตคนนี้ผิดกับคนตัวโตอีกคน คิดถึงแค่นี้อารมณ์ก็ขุ่นมัวขึ้นมาทันที
 
“ทำไมมันไม่ไปเกิดแถวตะเข็บชายแดนเดินเหยียบกับระเบิดตายไปเลยนะ” จะได้ไม่ต้องมาเห็นหน้าให้กวนบาทาอย่างทุกวันนี้ เจ้าตัวยังคงบ่นอุบอิบเบาๆ

“อะไรเหรอ” ประวิชได้ยินเสียงนทนทีพูดแว่วๆ

“เปล่า”

“รีบไปเถอะ เสร็จแล้วจะได้ไปกินข้าวกัน” คนเดินตามหลังพยักหน้าหงึก ๆ ตอบรับ

งานของชมรมหนังสือพิมพ์ครั้งนี้คือการติดตามสัมภาษณ์นักกีฬาของมหาวิทยาลัยที่จะไปแข่งขันงานกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ในอีกสามเดือนข้างหน้า และครั้งนี้ประวิชกับนทนทีต้องรับผิดชอบทำข่าวนักกีฬาชมรมมวยสากลตั้งแต่เริ่มแข่งคัดตัวเพื่อเป็นตัวแทนไปแข่ง จนจบเลยทีเดียว
 
“ประวิช เย็นนี้ไปเที่ยวบ้านเรามั้ย เราเก็บส้มโอกับชมพู่ไว้เผื่อนายด้วย”

“ถ้าไปก็ต้องค้างละ มันไกล ไปกลับไม่ไหวหรอก” คนตัวโตบ่นถึงระยะทางจากบ้านนทนทีกับบ้านของตนเอง

“แค่พุทธมณฑลนี่เอง บ่นไปได้”

“ก็ไกลนี่”

“จะไปมั้ยละ”

“ไป”

ถึงที่ทำการชมรมมวยสากล ทั้งคู่เดินเข้าไปภายในอาคารก่ออิฐฉาบปูนชั้นเดียวแบ่งพื้นที่เป็นสองส่วน ด้านหน้าไว้สำหรับเป็นที่ทำการธุรการทั่วไป ด้านหลังเป็นโรงยิมพร้อมอุปกรณ์ออกกำลังกายเพียบพร้อม ทั้งสองแจ้งความประสงค์กับประธานชมรมเพื่อขอเก็บภาพและสัมภาษณ์นักกีฬาภายในชมรม ซึ่งก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ประวิชถ่ายภาพภายในอาคารเพื่อเป็นข้อมูลประกอบแล้วจึงพากันไปบริเวณโรงยิม มีสมาชิกในชมรมมาซ้อมและออกกำลังกายอยู่หลายสิบคน เสียงตบมือของประธานชมรมทำให้ทั้งคู่เป็นเป้าสายตาโดยปริยาย

“วันนี้เรามีเพื่อนชมรมหนังสือพิมพ์มาเยี่ยมชมกิจกรรมของเรา พร้อมทั้งขอสัมภาษณ์และติดตามกิจกรรมชมรมของเราไปจนกว่าจะจบงานกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย เพราะฉะนั้นสมาชิกทุกคนโปรดให้ความร่วมมือด้วยนะครับ………พวกเราจะดังกันใหญ่แล้วน่ะ” เริ่มต้นกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเป็นการเป็นงานดูน่าเลื่อมใสแต่ลงท้ายอย่างขี้เล่นเป็นกันเอง ทำให้นทนทีหัวเราะออกมาเบาๆ

จบประกาศที่ไม่มีพิธีรีตองของประธานชมรมมวยสากล สมาชิกในชมรมก็หันกลับไปทำกิจกรรมของตนต่อไป นทนทีกวาดสายตาไปรอบโรงยิมอันคึกคักดูมีชีวิตชีวา
ด้วยหยาดเหงื่อและเสียงเหนื่อยหอบจากการซ้อมของหนุ่มน้อยใหญ่ทั่วโรงยิม นอกจากสมาชิกชมรมแล้วยังมีนักศึกษาหญิงมาคอยให้กำลังใจเพื่อนของตนอยู่ไม่ห่าง พลันสายสายตาสะดุดเข้ากับกลุ่มนักศึกษาหญิงสี่ห้าคนกำลังหัวเราะกับชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่สวมชุดวอร์มสีเทาอ่อนออกกำลังกายเบาๆ อยู่มุมด้านหนึ่ง ชายหนุ่มกางแขนออกแล้วก้มตัวให้ปลายนิ้วสัมผัสกับปลายเท้าอีกข้างสลับกันไปมา แล้วยืดตัวขึ้นบิดตัวไปทางซ้ายทีขวาที ปากก็พูดคุยกับหญิงสาวกลุ่มนั้นไปด้วย
ท่าทางจะสนุกถึงจะไม่ได้ยินก็เถอะ สังเกตจากใบหน้าที่ดูมีความสุขจนออกนอกหน้าขนาดนั้น

นทนทีเบ้ปากโดยไม่รู้ตัว ยังไม่ทันที่เขาจะเบือนหน้าหนี ชายหนุ่มที่เขานึกค่อนแคะก็หันหน้ามาสบตากับเขาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพอดี สายตาที่มองมาเหมือนจะถามว่า มองหาอะไร ก็ทำให้เขาฉุนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ จึงรีบเสเดินไปหาประวิชก่อนที่จะเผลอหลุดอะไรออกไป

“ทำหน้ากวนโอ๊ยจริงๆ” ร่างบางบ่นพึมพำ

“นายสัมภาษณ์ไปเรื่อยๆนะ ฉันจะเก็บภาพตาม” ประวิชเห็นนทนทีเดินเข้ามาใกล้จึงบอกแนวการทำงาน พลางขมวดคิ้วเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายหงิกงอ

“อะไรอีกละ”

“เปล่า”

“ออ….” เสียงลากยาวเมื่อเหลือบมองไปฝั่งตรงข้ามที่พวกเขายืนอยู่ก็เห็นต้นเหตุที่ทำให้เพื่อนเขาหน้าหงิก เขาไม่แปลกใจเลยที่มีหญิงสาวมาล้อมหน้าล้อมหลังชายหนุ่มคู่อริเพื่อนเขาแบบนั้น โครงหน้าได้รูปสมชาย คิ้วเข้มรับกับดวงตาสีนิลรียาว จมูกก็โด่งเป็นสัน ริมฝีปากไม่หนาบางเกินไปเหยียดยิ้มเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ ผิวสีอ่อนไม่ขาวซีดอย่างคนมีเชื้อสายจีนทั่วไป จากการประเมินคร่าวๆ ของเขา น่าจะสูงเกิน 180 เซนติเมตร แขนขายาวเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสมส่วน แม้แต่เขาซึ่งเป็นผู้ชายด้วยกันยังต้องยอมรับว่า....มันหล่อ

ไม่ใช่แค่มีรูปเป็นทรัพย์เท่านั้น เจ้าหมอนั่นยังคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดเลยทีเดียว แค่วันแรกที่เข้ามาเรียนก็ทำเอาหนุ่มๆสาวๆ ทั่วบริเวณต้องเหลียวมองเป็นทางเดียว ก็เล่นขับรถสปอร์ตเห็นยี่ห้อก็รู้ว่าราคามันแพงสุดๆ แถมยังเปลี่ยนรถยังกับเปลี่ยนเสื้อผ้า ข่าวคนดังรูปหล่อ สาวตรึม มักเข้าหูมาให้ได้ยินอยู่เรื่อยๆ ว่ากันว่าที่บ้านทำธุรกิจค้าขายระหว่างประเทศ สินค้ามีตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ แถมด้วยธุรกิจเรือเดินสมุทรอันดับต้นๆ ของประเทศ ยังไม่นับธุรกิจบริการทำเล่นๆ
ไม่กี่แห่งอย่างโรงแรม รีสอร์ทแถวทางใต้อีก พูดง่ายๆ ว่าจะผลาญเงินยังไงขนหน้าแข้งพ่อแม่ก็ไม่ร่วง ยังไม่หมดแค่นี้ ยังมีน้องชายรูปหล่อไม่แพ้พี่ตามเข้ามาเรียนในปีถัดมา ทำเอาสาวๆ กรี๊ดแทบสลบเวลาเห็นพี่น้องคู่นี้อยู่ด้วยกัน แต่ที่น่าแปลกใจสำหรับเขาคือไอ้หนุ่มรูปร่างหน้าตาดีท่าทางเจ้าสำอางค์กลับเข้าชมรมมวยสากล เห็นชกกันหน้าตาแตกบ่อยๆ นั้นละทำให้ชื่อ นายปถวี อนันต์วาณิช ฝังอยู่ในสมองเขา

“อย่าไปสนใจทำหน้าที่ของนายไป ทางโน้นฉันจัดการเอง” ประวิชเตือน
 
นทนทีเลือกสัมภาษณ์สมาชิกที่เป็นตัวเก็งไปเรื่อยๆ จนคนสุดท้ายที่นั่งยกดัมเบลหนักๆ อยู่ไม่ไกลจากคู่อริเขานัก
ประวิชเก็บภาพเสร็จจึงให้สัญญาณบอกนทนทีว่าตนจะไปสัมภาษณ์นายปถวีแล้ว เจ้านั่นก็เป็นหนึ่งในตัวเก็งด้วยเหมือนกัน นทนทีทรุดตัวนั่งข้างๆ ชายหนุ่มที่ยกดัมเบล สายตามองตามเพื่อนตนเดินเข้าไปหาชายหนุ่มคู่อาฆาต

“ผมประวิช ขอเวลาคุยด้วยได้มั้ยครับ” ร่างสูงใหญ่ของประวิชเมื่อเข้าไปยืนใกล้ปถวีแล้วแทบไม่เห็นความแตกต่างของทั้งคู่ เพราะคนถูกสัมภาษณ์เองก็มีความสูงไล่เลี่ยกับประวิชจะต่ำกว่าก็นิดหน่อยเท่านั้น

“ได้สิ” น้ำเสียงขี้เล่นตอบกลับมาทำให้ประวิชคลายความกังวลลง

“ช่วงนี้ซ้อมหนัก………”

“อ้าว! นายสัมภาษณ์เองเหรอ เห็นถ่ายภาพมาตลอดเลยนี่” ประวิชถามค้างได้แค่นั้นเพราะถูกชายหนุ่มแทรกขึ้นมากลางคัน

“อ้อ…ทางนั้นเขาเหนื่อยแล้ว ฉันสัมภาษณ์ก็เหมือนกันละ” ประวิชพูดตัดบท

“อืม…คิดว่าหลบหน้า” อีกฝ่ายยังต่อความยาวสาวความยืด จากจุดที่นทนทีนั่งอยู่นั้นทำให้ได้ยินทุกประโยคที่ทั้งคู่พูดโต้ตอบกัน แต่ประโยคสุดท้ายทำให้เขาไม่อาจทนนั่งเฉยได้อีก ขาก้าวไปโดยไม่ต้องคิดหยุดตรงหน้าชายหนุ่มคู่อริทันที

“ฉันหลบใคร” เสียงเข้มเน้นหนักทุกคำบ่งบอกว่าคนถามเหลือความอดทนไม่มากนัก

-------TBC------

เรื่องนี้มี 2 ภาค+ตอนพิเศษค่ะ เจี๊ยบชอบเรื่องนี้มากๆ เลยขออนุญาตพี่ sake มาลงที่นี่ด้วย หวังว่าคงจะชอบเหมือนกันนะ
รับรองความสนุก หุหุหุ
 :impress2:
มาอีดิทให้อ่านง่ายขึ้น ขอบคุณมากๆค่ะที่บอก เเหะๆ ปกติชินกะอีกเเบบ


*** ขออนุญาตแก้ไขคำห้อยท้ายของชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อ  แต่หากผู้แต่งมีเรื่องแจ้งเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขชื่อเรื่องได้ตามปกติค่ะ
 ทิพย์โมบอร์ดนิยาย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] " UNTITLE " By Sake ตอนที่1
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 22-09-2009 17:45:42
:z13: จิ้มเจียบก่อน กลัวไม่ได้รีแรก  :laugh:

พอตามอ่าน เรื่องนี้เค้าอ่านแล้วอะ  :z1:

ได้เจาะไข่รีล่างด้วย
v
v

หัวข้อ: Re: [นิยาย] " UNTITLE " By Sake ตอนที่1
เริ่มหัวข้อโดย: Hanna~ ที่ 22-09-2009 17:53:49
 :z13:

จิ้มๆต่อจร้า


,,

เค้าไปโกรธอะไรกันมาน๊าา   :fire:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] " UNTITLE " By Sake ตอนที่1
เริ่มหัวข้อโดย: WEERACHOT ที่ 22-09-2009 18:07:54
กดเข้ามาอ่านอย่างลังเล เพราะกลัวอ่านไม่ทัน  :z2:


ขอแนะนำหน่อยน่ะครับ :  คืออยากให้เว้นวรรคคำพูด กับตอนบรรยายอารมณ์อ่ะครับ มันดูติดกันไปหน่อย

ผมอ่านแล้วมันอึกอัดอ่ะ



ตัวอย่าง



“เอาเถอะๆ ไปกันได้แล้ว นายหิ้วกระเป๋านี่ก็แล้วกัน” เจ้าตัวยื่นกระเป๋าเก็บอุปกรณ์กล้องให้เพื่อน ส่วนตนเองเอากล้องมาคล้องคอเตรียมพร้อมทำงานทันที

(เว้นวรรค)

“แล้วคราวนี้เราต้องไปสัมภาษณ์ใคร”

(เว้นวรรค)

เพราะตนเองมาไม่ทันประชุมแบ่งสายการทำงานของชมรมหนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัย นทนทีจึงถามเอากับเพื่อนที่เป็นทั้งคู่บัดดี้ในการทำงานครั้งนี้และเป็นเพื่อนสนิทซี้ปึกของเขาด้วย“ชมรมมวยสากล” คนตอบพลางเหล่มองเพื่อนที่เดินตามหลังตนมา เห็นเหงื่อตามไรผมยังไม่แห้งหายไป ใบหน้าซับสีเลือดจาง ๆ จากการเร่งรีบยังคงสังเกตเห็นได้ชัดเจน ถึงเขาจะหงุดหงิดใส่คนๆนี้บ่อย ๆ แต่เขาก็ไม่เคยโกรธจริงๆจังๆ เลยสักที ก็เจ้าหมอนี่มันลูกกตัญญูชัด ๆ พ่อเสียไปตั้งแต่ยังไม่เข้ามหาวิทยาลัย ตัวเองเลยต้องช่วยแม่ทำงานตัวเป็นเกลียว

....


ลองดูน่ะครับ ผมแค่เสนอเท่านั้นเอง อิอิ
เป็นกำลังใจให้คนโพส คนเขียน......จะรออ่านตอนต่อไป :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] " UNTITLE " By Sake ตอนที่1
เริ่มหัวข้อโดย: LiuXin ที่ 22-09-2009 18:17:07
เรื่องนี้นานมากจริงๆค่ะ

ชอบเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ สนุกๆ

แต่เหมือนคุณsakeลงอยู่แค่เรื่องสองเรื่อง แล้วหายไปเลย
อยากอ่านผลงานของคุณsakeเรื่องอื่นบ้างอะ o18
หัวข้อ: Re: [นิยาย] " UNTITLE " By Sake ตอนที่1
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 22-09-2009 19:36:56
น่าสนุกอ่ะค่ะ  อ่านแค่เริ่มต้น ก็น่าลุ้นแล้ว

รอๆตอนต่อไปนะคะ  :o8:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] " UNTITLE " By Sake ตอนที่1
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 22-09-2009 20:02:14
ตอนที่ 2

“ฉันหลบใคร” เสียงเข้มเน้นหนักทุกคำบ่งบอกว่าคนถามเหลือความอดทนไม่มากนัก

“ไม่ใช่รึ” อีกฝ่ายถามกลับด้วยท่าทางกวนประสาทเต็มที

“งั้นก็ทำหน้าที่ของนายไปสิ กินแรงเพื่อนอยู่ทำไม หรือทำแค่นี้ก็เหนื่อย ผู้ชายจริงรึเปล่าวะ” ชายหนุ่มหันไปหัวเราะกับเพื่อนสาวข้างๆ เรียกสายตาวาวโรจน์จากนทนทีได้ทันใด

“นายมีอะไรฉันก็มีเหมือนนายทุกอย่างนั่นละ” คำตอบเผ็ดร้อนไม่แพ้สายตาที่เหมือนมีกองไฟลุกโชนอยู่ข้างใน ถ้าชกหมอนี้ให้คว่ำไปตรงหน้าได้ ไอ้อาการคันในหัวใจของเขาคงหายไป ด้วยคนตัวใหญ่กำลังกวาดไล่สายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนประเมินคำพูดของเขาอยู่ เพราะถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกัน ความสูงก็ไม่ได้ต่างกันมาก แต่รูปร่างเขาก็ไม่ได้กำยำล่ำสันกลับดูโปร่งบาง ยิ่งผิวสีนวลอ่อนๆ ยิ่งทำให้ดูเพรียวบางยิ่งขึ้นไปอีก

“เชิญ” ก่อนที่นทนทีจะตัดสินใจทำอะไร คำเชิญให้เริ่มทำงานของปถวีดังขึ้น ทำให้เขาข่มใจดึงสมุดจดออกมาเตรียมสัมภาษณ์ ประวิชขยับเข้ามาจะพูดอะไรบางอย่างแต่เขาปรามด้วยสายตาไป ให้ประวิชเก็บภาพไปตามปกติ สำหรับเจ้าหมอนี่มันต้องเขา

“เป็นสมาชิกชมรมมวยสากลนานเท่าไรแล้ว”

“เกือบสามปี”

“อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้เข้าชมรมนี่ละ”

“ได้ชกหน้าคนฟรีๆ ไม่ต้องเสียค่าปรับ แก้โรคหงุดหงิดได้ชะงักก็มีแต่ที่นี่ละ”

“นายเข้าชมรมนี้เพื่อได้ชกหน้าคนระบายความหงุดหงิดของตัวเองรึไง”

“แน่นอน อ้อ……อีกอย่างสาวๆ เขาก็ชอบหุ่นแมนๆ นักกีฬาแบบนี้ด้วย นี่เป็นเหตุผลหลักเลยนะ” คนตอบพลางขยิบตาให้บรรดาสาวๆ ข้างๆ ได้หน้าแดงหลบตาเป็นพัลวัน

“ช่วยตอบคำถามให้มันดูมีเนื้อสมองหน่อยได้มั้ยนาย” ประวิชที่ถ่ายภาพเหมือนจะเห็นเส้นเลือดปูดบนหน้าผากนทนทีขึ้นมาทันใด

“ก็มันจริงนี่ ฉันพูดผิดตรงไหนนายเองก็เคยกินแห้วเพราะนายมัน…….” ปถวีพูดทิ้งค้างไว้พลางใช้สายตามองรูปร่างเขาแทนคำตอบ
 
เหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ยึดเขาไว้ขาดกระจุย หน้าตาตอนนี้ถึงได้แดงก่ำด้วยความโกรธ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าปถวีหมายความว่าอะไร
ใช่! เขาเคยชอบพอนักศึกษาหญิงคนหนึ่ง เธอเป็นผู้หญิงสวยเฉี่ยวแค่เห็นครั้งแรกก็โดนใจเขาเลย ทำให้เขาตามเทียวไล้เทียวขื่อเหมือนวัยรุ่นใจร้อนทั่วไป
ที่ตกหลุมเสน่ห์ความน่ารักอ่อนหวานเข้าอย่างจัง แรกๆ ก็ดูเหมือนเธอจะมีใจให้ ยอมไปไหนมาไหนด้วยกันบ้าง แต่ไม่รู้ทำไมพักหลังๆ เขาเหมือนจะถูกหลบหน้าจนกลายเป็นติดต่อไม่ได้อีกเลย เขาเศร้าและทำใจอยู่นานพลางคิดปลอบใจตัวเองว่าผู้หญิงเขาคงไม่อยากปฏิเสธตรงๆ ถึงได้หายหน้าไป ตั้งแต่นั้นเขาก็เลิกตามตื้อ เรื่องมันน่าจะจบแค่นั้น แต่ความลับมันไม่มีในโลกจริงๆ ข่าวสาวเจ้าไปชอบหนุ่มเนื้อหอม ก็เจ้าบ้าที่อยู่ตรงหน้าเขานี่ไง มันทำให้หัวใจเขาแค่กระตุก แต่ที่มันเหยียบย่ำหัวใจกันมันอยู่ตรงนี้ คุณเธอเอาเขาไปป่าวประกาศเพื่อยืนยันความโสดสนิทของเธอว่า...
 
“เปล่านะ ฉันไม่ได้คบกับตานทนทีน่ะ เขาเป็นแค่เพื่อนร่วมห้องเฉยๆ มีทำรายงานด้วยกันบ้าง ถ้าเขาจะคิดเข้าข้างตัวเองก็ช่วยไม่ได้ สเป็กฉันมันต้อง สมาร์ท ทอล์ล แอนด์ แฮนซั่ม ไม่ใช่หน้าจืดหุ่นขี้ก้างแบบนั้น” เขาต้องทนกับสายตาของหลายๆ คนที่คอยบุ้ยใบ้ชี้นิ้วมาทางเขาเหมือนจะให้คนอื่นรู้ว่า ไอ้นี่ไงที่โดนสาวดาวคณะทิ้งอย่างกับขยะ และที่จำติดตามาจนทุกวันนี้ ก็คือสายตาของเจ้าหมอนี่ที่มองดูเขาเหมือนจะบอกว่า นายมันไม่มีน้ำยา ซึ่งสายตานั้นกำลังมองเขาอยู่

“จะเอาไง” ร่างโปร่งบางหมดความอดทนปาสมุดจดใส่หน้าอีกฝ่ายทันที ปถวีรับไว้ก่อนที่สมุดจะกระแทกหน้าเขาให้ได้แผล

“มีอะไรให้เอาบ้างละ” พูดจาสองแง่สองง่ามยิ่งทำให้นทนทีเดือดปุดๆ ก้าวเท้าเข้าไปหาแต่ถูกประวิชยึดไว้

“พวกนายมันพอกันทั้งคู่เลย กลับเถอะ” เห็นท่าไม่ดีประวิชจึงรีบชวนเพื่อนออกจากพื้นที่นี้ก่อน เพราะถ้ามีเรื่องกันพวกเขาเสียเปรียบ ที่นี่มันไม่ใช่ถิ่นเขา แค่ลองนึกนับจำนวนบาทาก็หนาวแล้ว
 
“ไอ้บ้า!” นทนทียื้อไม่ยอมให้ประวิชลากออกไป

“โธ่ๆ ถ้ายังเจ็บใจเรื่องผู้หญิงละก็……นั่นเป็นไง” ปถวีพยักหน้าไปทางเวทีมวย

“ถ้านายชนะฉันหลีกทางให้ก็ได้”

“ไอ้ทุเรศ” ร่างโปร่งยืนตัวสั่น รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่เคยชกมวยหรือเล่นกีฬาอะไรเลย ชกไปก็มีแต่จะเป็นกระสอบทรายให้หมอนี่ซ้อม ใครจะไปตกลง

“ไอ้การชกมวยตามกติกาฉันไม่ถนัดหรอก” นทนทีพูดเสียงเย็นทำให้คนที่ยืนตรงหน้าเขาเลิกคิ้วถาม ร่างโปร่งเดินเข้าไปประชิด

“แต่ถ้าแบบนี้ละก็………..ได้เลย” เสียงแหวกอากาศเกิดขึ้นเร็วเกินกว่าใครจะคาดคิดว่าหน้าแข้งของนทนทีหวดเข้ากลางหว่างขาปถวีเข้าอย่างจัง

“อุ๊ก!” คนตัวใหญ่งอตัวมือกุมส่วนสำคัญไว้ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน นทนทีก็หวดหมัดเสยเข้าปลายคางอีกฝ่ายเต็มแรง

“นี่สำหรับคนปากหมาอย่างแก” เขาไม่รอดูอาการคนตรงหน้ารีบเดินออกจากอาคารโรงยิมทันที โดยมีประวิชยืนละล้าละลังตะโกนขอโทษคนในชมรมแล้วรีบวิ่งตามออกมา

สะใจ…..สะใจเขาจริงๆ อยากชกมันมานานแล้วตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันเลย

**********************************

ก่อนที่บิดาเขาจะเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุรถชน บ้านเขาทำธุรกิจเต็นท์รถฐานะค่อนข้างดีทีเดียว แต่เมื่อพ่อจากไปแม่ไม่สามารถดูแลธุรกิจเต็นท์รถได้จึงต้องขายกิจการให้คนอื่นไป แม่กลับไปทำสวนอันเป็นมรดกตกทอดของตายาย เงินได้จากการขายกิจการแม่ก็เอามาลงทุนปรับปรุงสวน แต่การทำสวนมันก็ไม่ดีอย่างที่คิด ผลไม้ราคาตกบ่อยๆ แต่ก็พอจะเลี้ยงครอบครัวที่มีกัน 3 คนแม่ ผมและน้องสาวได้ จนเขาสอบติดคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยรัฐชื่อดัง แม่ก็กลุ้มใจอีกว่าจะมีเงินพอส่งเขารึเปล่า เขาจึงไปยื่นเรื่องขอกู้เงินเรียนจนได้ร่ำเรียนมาจนถึงทุกวันนี้ และวันแรกของการเหยียบย่างเข้าสู่รั่วมหาวิทยาลัยก็อับโชคสุดๆ เมื่อโดนรถของเจ้าบ้าปถวีเฉี่ยว เพราะมัวคุยกับสาวจนไม่มองทาง แทนที่จะขอโทษกลับมีผู้หญิงในรถออกมาโวยวายว่าเดินไม่มองหรืออยากจะเรียกค่าทำขวัญ แถมยังถามว่าจะเอาเท่าไร แหมๆ ไอ้ตอนนั้นก็หยิ่ง ถ้ารู้ว่าต้องมาเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับเจ้านี่ละก็ จะไปแจ้งความเรียกค่าตกใจให้จมหูเลย แต่ตอนนั้นทำได้แค่ตะโกนว่าอย่างเจ็บแค้น

“เก็บเงินคุณไว้เถอะ” แล้วลากสังขารที่ถลอกปอกเปิกไปห้องพยาบาล โดยมีเจ้าผู้ชายตัวสูงใหญ่ยืนมองโดยที่ไม่พูดอะไรซักคำ ตั้งแต่นั้นเขาจำหน้าไอ้คนใจดำได้ขึ้นใจและจะไม่มีวันญาติดีด้วยเด็ดขาด ขนาดเจ้าหมอนั่นเรียนอยู่คณะเศรษฐศาสตร์ยังมีเหตุให้ต้องมาเจอกันอยู่เรื่อยๆ และเจอกันทีไรเขาก็ไม่พลาดที่จะแสดงออกหรือพูดจาให้รู้ไปเลยว่า ฉันเกลียดขี้หน้าแกรู้ไว้ซะด้วย วันนี้เป็นวันที่เขารู้สึกโล่งใจที่ได้ระบายความคับข้องใจกับนายปถวีเป็นที่สุด

*****************************************************************

“ไงพี่ชาย ถึงกับซมซานกลับมานอนบ้านใหญ่เชียวหรอ” อนล น้องชายที่เกิดห่างกับปถวีเพียงปีเดียวทักพี่ชายตนที่นอนเอกเขนกบนกองหมอนใบใหญ่ในห้องนั่งเล่น ปกติพี่ชายเขาจะอาศัยอยู่คอนโดสุดหรูแถวประตูน้ำ เสาร์อาทิตย์ถึงจะกลับมานอนบ้านใหญ่ที่พุทธมณฑล เขามองพี่ชายที่ค่อยๆ ขยับศรีษะหันมามองเขาด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ แต่ใบหน้านั้นก็ยังดูดีอยู่ดี จมูกโด่งๆ ตาคมๆ ริมฝีปากบางได้รูป กับร่างกายสูงใหญ่แต่ไม่หนาจนดูเทอะทะ ถึงเป็นพี่น้องกันแต่เขากลับมีรูปร่างบางกว่า

“วอนนะแก” ปถวีปาหมอนส่งๆ ไปทางน้องชาย อนลรับมาหมุนเล่นบนปลายนิ้วอย่างสบายอารมณ์ พลางทรุดนั่งลงใกล้ๆ พี่ชายตน

“ยังจะทำปากดี ไอ้หนูพี่หายดีแล้วรึไง”

“ชิ” คนถูกถามสบถอย่างไม่สบอารมณ์

“อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิพี่…..ไปกวนเขาเองนี่ เจอเขาสวนกลับแค่นี้ทำเป็นเคือง”

“แกลองมาโดนบ้างมั้ยละ แทบตายนะแก”

“ฮะ…ฮ้าๆ” อนลระเบิดเสียงหัวเราะเต็มที

“เจอกันคราวหน้ามีเฮแน่แก”

“พี่!” น้องชายทำหน้าตกใจกับคำอาฆาตของพี่ชาย

“พี่จะยกพวกไปรุมกระทืบเขารึไง พวกพี่นักมวยทั้งนั้นนะ เดี๋ยวก็ได้ตายคาบาทาหรอก”

“มันกล้าทำก็ต้องกล้ารับผลของมันด้วยสิวะ”

“โหพี่….คนละไซส์กันเลย น่าสงสารแย่ เห็นผอมๆบางๆแบบนั้น”

“ไปห่วงมันทำไม คนที่เจ็บอยู่นี่” ปถวีชี้นิ้วที่อกตัวเอง

“พูดไปก็พอกันละ เจอกันทีไรเห็นกัดกันทุกที” อนลทำหน้าตาเบื่อหน่ายเหมือนเห็นเหตุการณ์ของทั้งคู่เป็นเรื่องปกติ

“ฉันไม่เคยอยากเข้าใกล้เจ้าบ้านั้นเลยนะ เจอหน้าก็เชิดใส่ พูดจาฝากลมมาด่าฉันบ่อยๆ แล้วเรื่องอะไรจะยอมถูกด่าฟรีๆ มันก็ต้องตอบโต้กันบ้างสิ แล้วครั้งนี้ฉันก็อายขายขี้หน้าเขาไปทั่ว คอยดูจะเอาคืนให้พูดไม่ออกเลย” เจ้าตัวพูดไปปาหมอนใส่ผนังห้องระบายอารมณ์หงุดหงิด

“แล้วไปยืนเป็นรูปปั้นให้เขาเตะเขาต้อยได้ไง เป็นนักมวยซะเปล่า”

“ใครจะไปคิดว่าไอ้หน้าจืดนั่นจะทำเรื่องห่ามๆแบบนี้กันเล่า”

“หน้าเขาออกจะสวย ไปว่าเขา”

ปถวีทำหน้าถมึงทึงใส่น้องชายที่ดูท่าจะไม่เข้าข้างเขาซักเท่าไรเลย

“ไม่รู้ไม่เคยมอง ผู้ชายบ้าอะไรสวย มีแต่กระเทยนั้นละ แล้วถ้าหมอนั้นจะเป็นกระเทยฉันก็ไม่แปลกใจหรอก”

“เหอะ….แล้วแต่จะคิดผมไม่อยากยุ่งด้วยหรอก ทะเลาะกันเหมือน……”

“ไอ้นล…เดี๋ยวเถอะแก หุบปากไปเลย จะไปไหนก็ไปเลย” น้องชายเขารีบกระเถิบตัวหนีหน้าแข้งที่กำลังลอยมาอยู่ใกล้ๆก้านคออย่างรวดเร็ว พอพ้นรัศมีก็หันกลับมา
 
“ขี้ฉุนจริงๆ ไปดีกว่า รักษาไอ้หนูพี่ให้ดีๆละกัน ระวังจะโดนซ้ำสองนะพี่” ว่าแล้วก็รีบวิ่งหนีเพราะพี่ชายขี้โมโหกำลังคว้าแจกันใกล้มือเงื้อมาทางเขา เสียงหัวเราะของน้องชายยังคงดังผ่านประตูเข้ามาให้ได้ยิน

“ไม่มีซ้ำสองแน่เพราะฉันจะไปตืบมันก่อน”

************************************************
 
“กลับก่อนนะนท” เสียงเพื่อนหญิงในชมรมคนสุดท้ายบอกลาเขากลับบ้าน

“บาย เดี๋ยวเสร็จเราก็จะกลับเหมือนกัน” เขายังคงอยู่เรียบเรียงเขียนบทความที่ได้สัมภาษณ์มาเมื่อวันก่อน จนนาฬิกาข้อมือส่งเสียงเตือนบอกเวลา

“ทุ่มกว่าแล้วกลับดีกว่ามั้งเรา” นทนทีเริ่มกังวลถึงบ้านที่มีแต่ผู้หญิงอาศัยอยู่ จึงรีบเก็บของใส่กระเป๋า ปิดไฟล๊อกกุญแจห้องแล้วก้าวยาวๆ ลงบันไดเพื่อจะออกจากอาคารไปยังถนนสายหลักภายในมหาวิทยาลัย ยังไม่ทันจะก้าวพ้นออกจากตัวอาคารก็ได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮาดังมาแต่ไกล ทำให้เขาหันไปมองแล้วต้องรีบดึงตัวเองหลบไปในเงามืดของตัวอาคาร

สมาชิกชมรมมวยสากลเดินกันเป็นกลุ่มใหญ่คงเพิ่งเลิกจากการซ้อม เขารอจนกลุ่มนั้นเดินผ่านไปจึงค่อยก้าวออกมา ทางไปชมรมมวยสากลต้องเดินผ่านอาคารที่เป็นที่ทำการชมรมหนังสือพิมพ์ก่อน ฉะนั้นตั้งแต่เกิดเรื่องคราวนั้นทำให้เขาต้องคอยระมัดระวังคนพวกนี้ ก็เขายังไม่อยากนอนจมกองบาทาพวกนั้น และวันนี้ประวิชก็ไม่อยู่แต่ก็โล่งใจหน่อยหนึ่งที่ในกลุ่มนั้นไม่มีคู่อริของเขาอยู่ด้วย เขาเริ่มก้าวเดินอีกครั้งไปตามถนนเห็นเงาตะคุ่มๆ ของนักศึกษาที่ยังคงมีให้เห็นบ้าง

“ประตูใหญ่ปิดสองทุ่มต้องรีบแล้ว” ร่างโปร่งพึมพำก่อนจะรีบก้มหน้าก้มตาเดินจนชนเข้ากับคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า

“โอ๊ย! ขอโทษ เฮ้ย! แก” เขารีบกระโดดถอยหลังกลับทันทีเมื่อเห็นหน้าคนที่เขาชน

“ไง” ปถวีเดินก้าวช้าๆ ไม่เร่งรีบเข้าหาร่างโปร่ง “ดีใจที่เจอฉันรึไง” เขามองร่างตรงหน้าเดินถอยกลังไปเรื่อยๆ อย่างสบอารมณ์

“มีอะไร” นทนทีเห็นริมฝีปากคนตัวใหญ่ยักขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ฟังคำถามเขา

“วันก่อนโดนนายเอ็นดูไว้มาก วันนี้ก็เลยจะมาขอบคุณสักหน่อยนะสิ” เขายังคงก้าวเท้าอย่างสุขุมไปเรื่อยๆ เหมือนเสือที่จ้องคอยตะครุบเหยื่อ สายตาไม่คลาดไปจากใบหน้านวลแม้แต่น้อย

“วันก่อนยังเก่งอยู่เลย วันนี้เดินหนีทำไมกันละ” ปากยิ้มแต่นัยน์ตากลับมีกองไฟลุกโชนอยู่ ถึงจะสู้กันตัวต่อตัวไม่ต้องเทียบดูก็รู้ว่าเขาสู้ไม่ได้เลย แล้วจะโง่อยู่ให้ถูกต่อยทำไม วิ่งสิ! เท้าเร็วดังใจคิด พอหันหลังกลับได้ก็วิ่งหนีสุดชีวิตทันที แต่เสียงฝีเท้าหนักๆ ที่ไล่กวดตามมาใกล้ๆ ทำให้รู้ว่าเขาคงหนีภัยครั้งนี้พ้นยากซะแล้ว




หัวข้อ: Re: [นิยาย] " UNTITLE " By Sake ตอนที่1
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 22-09-2009 20:24:13
ตอนที่ 3

“โอ๊ย!” มือใหญ่จับไหล่เขากระชากไปด้านหลัง แรงกระชากทำให้เขาล้มลงไปนอนกลิ้งบนพื้นถนนที่ตอนนี้ไม่มีใครสัญจรผ่านไปมาเลย ร่างใหญ่ตามมาติดๆ คว้าคอเสื้อเขากระชากจนกระดุมหลุดกระเด็น ภายใต้แสงนีออนเป็นระยะๆ ทำให้เห็นร่างคนตัวใหญ่นั่งคร่อมร่างเล็กกว่าได้เพียงสลัวๆ
ปถวีมองคนที่ตัวเองคร่อมไว้ทำหน้าตาตื่นตกใจสุดขีด เห็นแล้วสะใจชะมัด ครั้งที่แล้วเขาไม่ทันระวังตัวถึงได้ถูกเจ้านี่เตะได้ง่ายๆ แต่คราวนี้มันไม่เหมือนกันแน่ ชายหนุ่มง้างหมัดเตรียมปล่อยลงกระแทกหน้าคนใต้ร่าง
 
โดนแน่ นทนทีคิดมือทั้งสองข้างพยายามดันคนตัวโตออก แต่มันไม่ขยับพยายามกระแทกเข่าใส่หลังก็ไม่ถึง ท่าทางดิ้นรนสุดชีวิตทำให้ปถวียิ้มอย่างพอใจ

“ไม่รอดแน่แก”

“อย่า” นทนทีร้องเสียงหลงหลับตาเบือนหน้าหนีจากสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ร่างทั้งร่างเกร็งเครียดจนหลังแอ่นโค้ง มือข้างหนึ่งดันอกอีกฝ่ายไว้ อีกข้างยกขึ้นปิดหน้าตนเองตัวสั่นเทิ้ม

ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ปถวีหยุดชะงัก พลางเพ่งพินิจคนตรงหน้าอีกครั้ง ริมฝีปากได้รูปขบกันแน่น ใบหน้าสีอ่อนที่ยามนี้เด่นสว่างท่ามกลางความมืดสลัว ทำให้หวนนึกถึงคำพูดของน้องชาย หน้าเขาออกจะสวย หมัดที่กำแน่นคลายลง เอื้อมมือไปปัดแขนที่ปิดหน้าขาวไว้ ดวงตาแดงก่ำจ้องมองเขาด้วยความตื่นตกใจสายตาวาววับมองกลับด้วยความงุนงง ริมฝีปากสั่นๆ ขบกันจนเป็นเส้นตรง ในสมองเขาเริ่มลังเล ทำไม คำถามเกิดขึ้นในใจเขาทันที เขารู้สึกเหมือนกำลังจะชกผู้หญิงยังไงยังงั้น ให้ตายเถอะ เขาไม่กล้าชกเจ้าบ้านี่

“ชิ” เขาสบถอย่างหัวเสีย รู้สึกแบบนี้แล้วจะไปชกลงได้ไงกันเล่า ทำหน้าเหมือนเด็กเล็กๆ โดนรังแก แล้วแบบนี้มันจะไปรู้สึกว่า ได้ชกผู้ชายที่ตัวเองแค้นนักแค้นหนาได้ไง

นทนทีมองคนตรงหน้าอย่างงงๆ ทำไมจู่ๆ เจ้าหมอนี่ถึงหยุดไปเฉยๆ แต่ไม่ทันได้คิดหาเหตุผล เขาถูกฉุดกระชากให้ลุกขึ้นอีกครั้ง มือใหญ่ปิดปากเขาไว้แน่นพลางดันให้เดินไปข้างหน้าอย่างทุลักทุเล

“เดินไป” เสียงกระซิบเหี้ยมๆข้างหู ถึงกับทำให้คนถูกยึดไว้เย็นเฉียบไปทั้งตัว โดนชกซะยังดีกว่า เจ้าตัวโตนี่กำลังคิดจะทำอะไรกับเขา ยิ่งเดินลึกไปจนสุดถนนก็ยิ่งทำให้เขากังวลหนัก อาคารตรงหน้าคือโรงยิมของชมรมมวยสากล ปถวีรวบตัวเขาไว้ด้วยแขนข้างเดียวไขประตูเข้าไปภายใน

“มานี่เลย” เขาถูกผลักให้เข้าไปในห้องเก็บอุปกรณ์ มืดๆ มีเพียงแสงสว่างจากไฟนีออนตามท้องถนนสาดส่องเข้ามา ไม่ทันได้สำรวจปถวีก็ตามเข้ามากดร่างติดผนังห้อง

“แกได้ดังไปทั่วแน่”

“อะไร….จะทำบ้าอะไร” เสียงหวาดกลัวสุดขีดสร้างความพอใจแก่เจ้าของเงาทมึนที่ทาบอยู่ด้านหลัง
 
“ปล่อยนะโว้ย” ยิ่งสะบัดตัวเพื่อให้หลุดจากการยึดเหนี่ยวก็ยิ่งถูกกดติดผนังจนใบหน้าแดงช้ำตามแรงกดแรงกด อะไรบางอย่างถูกยัดใส่ปาก

“อือ…” คนตัวเล็กกว่าร้องประท้วงทันทีเมื่อมือใหญ่ข้างหนึ่งเลื่อนมาปลดกระดุมเสื้อออกจนหมดแล้วกระชากหลุดจากตัว เสียงกึกกักดังเมื่อชายหนุ่มเอี้ยวตัวเหมือนหาอะไรบางอย่าง และสิ่งนั้นก็เข้ามาพันธนาการแขนทั้งสองข้างที่ถูกบิดไขว้หลังไว้

“เจ้าบ้าจะทำอะไร บ้าไปแล้วรึไง!” นทนทีคิดอย่างหวาดวิตกแต่ปถวีกลับเบาใจเมื่อมัดมือคนที่ดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตายได้สำเร็จแล้วลากไปอีกด้านหนึ่งของห้องอย่างคนคุ้นเคยพื้นที่ เขาผลักร่างนั้นล้มลงบนฟูกสำหรับเล่นกีฬา

“อุ๊ก!” ถึงจะมีฟูกรองรับแต่แรงเหวี่ยงทำให้ต้องครางออกมาด้วยความเจ็บ ปถวีตามลงไปนั่งข้างๆ

“ทำใจไว้ได้เลย” มือใหญ่ตบเบาๆ บนแก้มช้ำนั้นอย่างหยอกเอิน

“ไอ้บ้า” เสียงตะโกนด่าในใจของนทนทียิ่งทำให้คนที่นั่ง หัวเราะกับท่าทีกระฟัดกระเฟียดของเขา

ถูกมัดมือไขว้หลังไว้แล้วยังนอนอยู่แบบนี้ทำให้ร่างโปร่งไม่สามารถช่วยเหลือตัวได้เลย เขาเริ่มงอตัวเมื่อมือของอีกฝ่ายปลดกางเกงเขาดึงออก การกระทำนั้นยิ่งทำให้เขางอตัวฝืนกายเต็มที่แต่ชั้นในสีขาวก็หลุดตามออกมาในที่สุด ตอนนี้บนร่างกายเขาไม่มีอาภรณ์ปกปิดสักชิ้นเดียว

“ฉันจะทำให้นายได้อายยิ่งกว่าที่ฉันเคยอายอีก นายนทนที” เขาก้มตัวกระซิบข้างใบหูเล็ก ลมหายใจอุ่นเป่ารดใบหน้าคนที่นอนสั่นสะท้าน ก่อนจะลุกผละจากร่างเปลือย เฝ้ามองร่างขาวๆ รีบกระถดตัวหนีแล้วยันตัวเองลุกนั่งอย่างทุลักทุเล ดวงตาแวววาวด้วยน้ำใสๆ คลอขังสะท้อนกองไฟกองน้อยๆในดวงตานั้นเป็นอย่างดี เขาเดินไปหยิบเสื้อและกางเกงที่ถูกเขาถอนโยนส่งๆ ไปขึ้นมาแล้วเดินไปยังประตูห้อง ก่อนจะหันกลับมามองร่างขาวนวลท่ามกลางแสงสลัวๆอีกครั้ง

“โชคดีนะ” คำอวยพรประชดนั้นทำให้นทนทีลุกวิ่งเข้าใส่ร่างสูง แต่ยังไม่ทันถึงตัวก็ถูกปิดประตูใส่ยังผลให้ตัวเขากระแทกเข้ากับประตูอย่างจัง แต่เขาจะหยุดแค่นี้ไม่ได้ เขาต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้เพราะเขารู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง

“ไอ้บ้า เปิดประตูนะโว้ย” เสียงอู้อี้หลุดรอดออกมาเพียงเล็กน้อย เขาใช้ไหล่กระแทกประตูแรงๆ หวังจะให้มันเปิดออก แต่ประตูถูกล๊อกจากด้านนอก เขาถอยหลังเล็กน้อยก่อนจะยกเท้าถีบประตูแรงๆ หลายครั้งจนเหนื่อยหอบ

“บ้าเอ๊ย” เสียงสบถอย่างอ่อนแรงก่อนจะทรุดตัวลงกองอยู่ข้างประตู เขาจะทำยังไงดี พรุ่งนี้ต้องมีคนมาเปิดใช้ห้องอุปกรณ์นี้แน่ แล้วก็จะเจอเขาแก้ผ้าเป็นชีเปลือยอยู่กลางห้อง แค่นึกถึงวันพรุ่งนี้ว่าจะต้องเจออะไรบ้างก็ทำเอาเขาน้ำตาร่วงแล้ว

“จำไว้เลยแก คราวหน้าฉันจะไม่แค่เตะกล่องดวงใจแกแต่จะกระทืบมันเลย” ถึงจะคิดอาฆาต แต่ตอนนี้จะทำยังไงละ เขามองไปรอบๆ ห้องสี่เหลี่ยมทึบด้วยจนปัญญาจะช่วยตัวเอง ห้องนี่หน้าต่างก็ไม่มี มีเพียงกระจกบานเกล็ดที่อยู่สูงๆ ไว้ระบายอากาศ จะทำยังไงดี เขาคิดจนมึนไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไร แต่อากาศที่เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ ทำให้เขาเพ่งมองนาฬิกาที่ข้อมือตัวเอง ตีสองกว่า อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าแล้ว แม่กับน้องคงเป็นห่วงเขาแย่ถ้ามีโทรศัพท์มือถือซักเครื่องก็ดีสิ ที่ผ่านมาเขาเสียดายเงินเกินกว่าจะตัดใจซื้อได้ ร่างบางเอาแต่คิดวนไปวนมาจนเผลอหลับไปเมื่อใกล้สว่างด้วยความอ่อนเพลีย

*************************************

แสงสว่างร่ำไรยามรุ่งเช้าลอดผ่านกระจกบานเกล็ดเข้ามาภายในห้องแคบทาบทับร่างขาวที่นอนซกตัวเปล่าเปลือยบนฟูก หลับจนไม่รู้สึกตัวจนกระทั้งเสียงดัง “ปัง!” เหมือนเสียงกระแทกอะไรบางอย่างใกล้ตัวปลุกให้เขาตื่นด้วยอาการสะดุ้ง สายตากวาดไปรอบๆผ่านแสงสลัวๆ

“ได้เวลาขึ้นเขียงแล้วหรอ” คิดอย่างสมเพชตัวเองที่ไม่สามารถช่วยตัวเองจากเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้เลย

“จำไว้นะแก” คิดย้ำความอาฆาตคู่อริที่ปานนี้นอนหลับสบายใจเชิบบนเตียงนุ่มที่บ้านแล้ว

“อะ….” ความรู้สึกโล่งบริเวณแขนทำให้เขาขยับมือ เชือกที่พันธนาการไว้หลุดกองอยู่ข้างตัว เขารีบดึงเศษผ้าออกจากปากพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ ไม่มีใครอยู่ในห้อง แล้วเชือกมันก็ไม่มีทางหลุดออกเองได้แน่นอน เขาสำรวจข้อมือตัวเองที่เขียวช้ำด้วยความมึนงง กองผ้าสีขาวๆดำๆบริเวณปลายเท้าเรียกสายตาเขาให้หยุดนิ่งชั่วขณะ ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา เขารีบตะเกียกตะกายไปคว้าเสื้อผ้าตนเองมาใส่อย่างรวดเร็ว

“ถ้างั้น…..”

เจ้าของร่างโปร่งรีบพาตัวเองไปยังประตูที่กักขังเขาไว้ มือเอื้อมไปที่ประตูพลางกลั้นหายใจแล้วผลักออกทันที เหมือนโลกสว่างสไวอยู่ตรงหน้าทันที แสงสว่างยามเช้าเริ่มทาทาบจับขอบฟ้า สายลมเย็นพัดผ่านผิวหน้า เขาไม่ต้องแก้ผ้าโชว์ใครให้ได้อายไปทั่วมหาวิทยาลัยแล้ว แต่ทำไมเขาถึงรอดมาได้ง่ายๆ เหมือนจงใจปล่อยตัวขนาดนี้ นี่เขากำลังถูกเหยียดหยามอยู่ใช่มั้ย จะบอกว่า นี่แค่เบาะๆ คราวหลังอย่าซ่าส์ จะเจอมากกว่านี้ใช่มั้ย

“ไอ้บ้าเอ๊ย” เสียงสบถพร้อมก้าวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเขาจะหันมามองคงได้เห็นร่างสูงใหญ่ยืนพิงกำแพงมองตามเขาวิ่งออกไป

เสียงถอนหายใจยืดยาวของร่างสูงดังขึ้นเมื่อลับร่างโปร่ง เขากะจะทำให้อีกฝ่ายอับอาย แต่ความกังวลบางอย่างทำให้เขาไม่ได้ตรงกลับบ้านหลังจากจัดการขังนทนทีได้สำเร็จ เขากลับนั่งอยู่หน้าประตูห้องฟังเสียงคนข้างในกระแทกประตูเพื่อให้เปิดออกอย่างเอาเป็นเอาตาย จนภายในห้องเงียบสนิทนั้นละเขาจึงเปิดประตูเข้าไปดู

ร่างบางขาวๆ นอนซุกตัวบนฟูกใบหน้าเปื้อนไปด้วยฝุ่น เปลือกตาปิดสนิท ขนตายาวตรงดำเป็นแพร จมูกโด่งเชิดอย่างคนหัวดื้อยังคงแดงระเรื่อ ริมฝีปากอิ่มสีสดดูเย้ายวนคนมองโดยที่เจ้าตัวยังไม่รู้สึกตัว จากที่คิดจะชกให้ฟันร่วงก็เปลี่ยนเป็นทำให้อับอายแทน สุดท้ายเขาก็ทำไม่ลงสักอย่างเพราะอะไรก็ไม่รู้ละ วันนี้เอาคืนแค่นี้ก่อนค่อยดูพฤติกรรมกันไป แต่ถ้ายังไม่เข็ดคงต้องวางโปรแกรมดัดนิสัยกันบ้างแล้ว
สรุปรวบยอดความคิดได้เสร็จก็เดินตามออกไป วันนี้ไม่เข้าเรียนละ อดนอนมาทั้งคืนไม่ได้อะไรเลยเพราะเจ้าบ้านั่นทีเดียว

*******************************

“นักศึกษาที่ยื่นเอกสารขอกู้ยืมเงินโครงการเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาโปรดมาติดต่อเจ้าหน้าที่การเงินดังมีรายชื่อต่อไปนี้”

นทนทีกวาดสายตาอ่านประกาศนั้นจนจบแล้วจึงค่อยถอนหายใจออกมา เขามีรายชื่อในนั้น ปีนี้เป็นปีสุดท้ายแล้วที่เขาจะกู้เงินเรียน พอเรียนจบก็จะได้ทำงานเต็มที่แม่เขาคงสบายขึ้นและยังช่วยส่งน้องสาวคนเดียวของเขาเรียนต่อได้อีก เท้าเดินไปที่เคาเตอร์สำหรับนักศึกษากู้ยืมเงิน ด้านหน้าเคาเตอร์มีคนมาติดต่อเจ้าหน้าที่อยู่ก่อนแล้วจึงนั่งรอ พลางมองไปรอบๆ ร่างสูงใหญ่คุ้นตายืนพิงกำแพงใกล้เคาเตอร์เพิ่ม-ถอน หน่วยกิต

“ปถวี” เขาครางชื่อนั้นออกมา ตั้งแต่เจอดีคราวก่อนทำให้ต้องคอยหลบเลี่ยงเจ้ายักษ์บ้าดีเดือดตนนี้ตลอด ขืนเจอกันบ่อยๆ เขาคงอดไม่ได้ ถึงจะเจอเรื่องแบบนั้นมาก็ตามเถอะ ท่าทางถือดีมั่นใจในตัวเอง ทั้งรูปร่างหน้าตาชวนสาวหลงแถมบ้านรวยมาก่อนเกิดอีก คิดไปก็อดอิจฉาบุญวาสนาของเจ้าหมอนั่นไม่ได้
เขาค่อยๆสำรวจใบหน้านั้นอย่างช้าๆ เส้นผมดำสนิทตัดซอยตามสมัยนิยมด้วยฝีมือช่างชั้นเยี่ยม ใบหน้าคมคายหล่อเหลาสันกรามแกร่งได้รูปรับกับจมูกโด่งสวยเป็นอย่างดี ผิวสีเข้มเล็กน้อยจากการเล่นกีฬากอปรกับช่วงขายาวเข็งแรงทำให้ดูเป็นชายเต็มตัว เขามองปถวีเอามือซุกกระเป๋ากางเกงอีกข้างกำม้วนกระดาษเคาะกับต้นขาตนเองเพื่อรอเวลาเจ้าหน้าที่เรียกหา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะเริ่มหงุดหงิด คิ้วขมวดย่น ปากเม้มสนิทเป็นเส้นตรงกับการรอคอยครั้งนี้ หน้าตาเอาแต่ใจสุดๆ ที่นี่ไม่ใช่บ้านนายนะจะบอกให้ ตามคิวโว้ย เขานึกขำกับท่าทางเหล่านั้นพร้อมกับแขวะร่างสูงไปด้วย

จู่ๆคนที่เขานึกค่อนขอดก็หันขวับอย่างกับรู้สึกถึงการมองของเขาทำให้หลบตาไม่ทันจึงสบสายตาคู่นั้นเข้าอย่างจัง ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายวูบหนึ่งพลางมองเคาเตอร์ที่เขาติดต่ออยู่ คิ้วเลิกขึ้นก่อนจะเป็นปกติ เขารู้สึกว่าใบหน้าตัวเองร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
 
ปถวีสาวเท้าเข้าไปหาอดีตคู่อริที่ตอนนี้เป็นได้แค่ลูกแมวเชื่องๆ จากการอบรมสั่งสอนของเขา

“พักนี้ไม่ค่อยได้เห็นหน้าเลยนี่” เขาเอ่ยทักร่างโปร่งที่นั่งรอเจ้าหน้าที่เรียกแต่เจ้าตัวกลับเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเหมือนไม่อยากจะเสวนาด้วย

“ทักแล้วก็ไม่ยอมพูดแล้วมองฉันทำไมกัน” เขาเลิกคิ้วถาม

“ไม่ได้มองซักหน่อย”

“โกหก”

“นี่” นทนทีเผลอกระแทกเสียงใส่

“คุณนทนที อุดมไพศาล เชิญที่เคาเตอร์ค่ะ” เสียงเจ้าหน้าที่เรียกเป็นสัญญาณช่วยห้ามทัพพอดี นทนทีรีบลุกไปด้วยไม่อยากอยู่ใกล้คนตัวใหญ่นานกว่านี้
เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองเหลือตัวนิดเดียวเวลาอยู่ต่อหน้าคนๆ นี้

ปถวีมองปฏิกิริยาของคนที่รีบร้อนเดินไปแล้วยักไหล่ “คงจะเข็ดละมั่ง ก็ดีให้มันรู้บ้างว่าใครเป็นใคร”

นทนทีรู้สึกถึงสายตาคู่คมยังคงมองมาทางเขา ร้อนๆ หนาวๆ ยังไงพิกล เขาเองก็อดแปลกใจกับการกระทำของชายหนุ่มอยู่เหมือนกัน แทนที่จะชกเขาให้หายแค้นกับจับเขาแก้ผ้าขังไว้ แต่ก็ปล่อยเขาในตอนเช้า ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ทางที่ดีอยู่ห่างๆ ไว้ดีกว่า ไว้ใจไม่ได้

----TBC----

ขอบคุณทุก reply ไว้จะลงบ่อยๆนะจ้ะ

สำหรับคนที่เป็นเเฟนนิยายพี่ sake จากบอร์ดอื่น เดี่ยวพี่เค้าจะมีเรื่องใหม่เเล้ว เย้ๆ
ไว้จะขอมาลง ถ้าผลตอบรับเรื่องนี้ดี 555+

ปล. มันอ่านง่ายขึ้นมั้ยอะค่ะ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] " UNTITLE " By Sake ตอนที่1
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 22-09-2009 20:25:29
 :z1: :z1: :z1: :z1:



เค้า จา ทาม อาราย กันน่ะ


อยากรู้ ง่ะ


เอามาไห้อ่าน ต่อ ไวไว เน้ออ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] " UNTITLE " By Sake ตอนที่1-3
เริ่มหัวข้อโดย: LiuXin ที่ 22-09-2009 20:57:51
กริ้ดดดดดดด
นอกจากเรื่องนี้ คุณsakeยังมีเรื่องอื่นอีกหรอเนี่ยะ อยากอ่านนนนนนนนนนนนนนนนน

ภาวนาให้คุณjeab_u เอาเรื่องใหม่ของคุณsakeมาลงเร็วๆ :call:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] " UNTITLE " By Sake ตอนที่1-3
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 22-09-2009 20:57:57

เข้ามา  :mc4: นิยายใหม่ค้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

หนึ่งเคยอ่านแล้ว!

แสดงว่าสนุก

ต้องติดตามซะแล้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

เจ้สอง  :bye2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] " UNTITLE " By Sake ตอนที่1-3
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 22-09-2009 21:37:05
มารออ่านตอนต่อไปนะคะ น่าสนใจดี :a2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] " UNTITLE " By Sake ตอนที่1-3
เริ่มหัวข้อโดย: ~NeMeSiS_PURE~ ที่ 23-09-2009 02:19:04
แวะมาจิ้มนิยายเรื่องใหม่ ๆๆ

สงสัยเรื่องนี้จะนานจริง ๆ เพราะเพียวไม่เคยอ่าน แต่........พี่หนึ่งเคยอ่าน  :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] " UNTITLE " By Sake ตอนที่1-3
เริ่มหัวข้อโดย: rannie ที่ 23-09-2009 10:35:02
เข้ามาเจิม ให้น้องสาวคนสวย   :mc4:

ขยัน ๆๆ อัพน่ะ เดี๋ยวพี่จะมาอ่านอีกรอบน่ะ   o13

ปล. ไปทำงานก่อนน่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] " UNTITLE " By Sake ตอนที่1-3
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 23-09-2009 10:38:51
ว้าวๆ ตอนสองตอนสาม มาแบบรวดเร็วทันใจ

สนุกอ่ะ ชอบบบบบบบบ

มาแนวคู่กัดอย่างนี้  น่าลุ้นดี

ขอบคุณนะคะ  o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] " UNTITLE " By Sake ตอนที่1-3
เริ่มหัวข้อโดย: zingiber ที่ 23-09-2009 11:06:36
แค่เริ่มอ่านก็สนุกแล้ว เข้ามาต่อบ่อยๆนะคะ  :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] " UNTITLE " By Sake ตอนที่1-3
เริ่มหัวข้อโดย: Hanna~ ที่ 23-09-2009 17:00:36
 :L2:

แล้วเข้ามาอัพบ่อยๆนะคับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] " UNTITLE " By Sake ตอนที่1-3
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 23-09-2009 23:17:41
ตอนที่ 4

ภายในชมรมหนังสือพิมพ์เต็มไปด้วยเอกสารวางซ้อนทับกระจายอยู่ทั่วห้อง บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงระเบงเซ็งแซ่ของสมาชิกรวมตัวอยู่บริเวณโต๊ะใหญ่กลางห้องก่อนจะหันไปมองผู้เข้ามาใหม่

“วิเชียร” เสียงร้องทักด้วยความดีใจของสมาชิกส่งผลให้ผู้มาใหม่ระบายยิ้มกว้าง นทนทีซึ่งนั่งรวบรวมเอกสารอยู่มุมห้องเงยหน้ามองแล้วฉีกยิ้ม
 
“ไผ่”

วิเชียรหรือเรียกเล่นๆ ว่าไผ่ เป็นหัวหน้าชมรมกิจกรรมนักศึกษาซึ่งเขาคิดว่าเหมาะสมมาก ด้วยเจ้าตัวมีอัธยาศัยไมตรีดี ร่าเริงตลอดเวลา เข้ากับผู้คนได้ง่ายเป็นที่รักใคร่ชอบพอของเพื่อนๆ ใบหน้าที่มีรอยยิ้มติดอยู่เป็นนิจทำให้ผู้พบเห็นต้องพลอยยิ้มตามโดยไม่ตั้งใจ ด้วยรูปลักษณ์โปร่งบางกอรปกับมีเชื้อสายจีนเจ้าตัวถึงมีสีผิวขาวอมชมพูน่ามอง นทนทีละงานตรงหน้าเดินไปหาเพื่อนสนิท

“ที่มานี่มีอะไรให้ช่วยอีกรึไง” เสียงประวิชที่เดินตามมาดังขึ้น นทนทีส่งยิ้มแหยๆ กับคำทักทายของประวิช มันก็จริงอย่างที่ประวิชพูดนั้นละ เจอหน้าไผ่ทีไรเป็นต้องถูกขอร้องให้ช่วยงานทุกที

“พวกนายอย่าคิดถึงฉันในแง่ร้ายขนาดนั้นสิ” เขาหัวเราะเบาๆ พลอยทำให้ลักยิ้มที่ซ่อนอยู่ข้างแก้มปรากฏออกมาชวนมอง

“วันนี้จะชวนไปเที่ยวต่างหาก”

“ไปไหน” นทนทีถามกลับอย่างสงสัย

“ไปแดนซ์กัน”

“งานชมรมยังสุมหัวไม่พออีกรึไง เห็นว่ากำลังเริ่มเตรียมงานประจำปีของมหาลัยอยู่ไม่ใช้รึไง” ประวิชที่ไม่เห็นด้วยกับคำชวนจึงพูดประชดคนหน้าขาวอมชมพู ยังผลให้เจ้าของหน้าขาวขมวดคิ้วไม่พอใจทันที แต่ก็ยังฝืนชักชวนต่อไป

“เรื่องนั้นฉันวางแผนงานไว้หมดแล้วไม่ต้องห่วง”

ประวิชที่ยืนฟังอยู่ส่ายหน้าระอาทันที เห็นพูดแบบนี้ที่ไรเป็นต้องวิ่งหน้าเริ่ดมาให้ช่วยทุกที

“เอานะ ถือว่าไปพักผ่อนสมอง ไปนะ “ ไผ่พยักหน้าหงึกหงักชวน

“ก็ดีเหมือนกัน ไม่ได้ไปนานแล้ว นานๆ ทีก็ไปด้วยกันเถอะ” นทนทีตอบตกลงพลางชวนเพื่อนตัวใหญ่ไปด้วย

“อือ” คำตอบแบบจำใจ ทำให้ทั้งสองคนที่รอลุ้นยิ้มกว้างออกมาทันที

“งั้นเจอกันที่ร้านตอนสี่ทุ่มนะ” ไผ่บอกชื่อร้านแล้วจึงกลับออกไป ประวิชหันกลับมามองคนข้างๆ ที่ยังยืนอยู่ที่เดิม

“แล้วนายไม่ต้องรีบกลับบ้านหรือวันนี้”

“นานๆที เดี๋ยวโทรไปบอกแม่ว่ากลับดึก”

ปกติเขาไม่ค่อยไปเที่ยวสถานที่แบบนี้เท่าไรเพราะเขาจะกลับบ้านลำบากแล้วอีกอย่างก็เปลืองเงินมากอยู่ แต่ไปเต้นแก้กลุ้มบ้างก็ดี ช่วงนี้เขารู้สึกเครียดๆ นึกถึงหน้าเจ้าปถวีทีไรปวดกระเพาะทุกที

***********************************

สถานที่พวกเขานัดเจอเป็นร้านดังแถวรัชดาย่านสถานบันเทิงยอดฮิตของบรรดาวันรุ่นนักศึกษาที่มาเที่ยวกันอย่างหนาตาทุกค่ำคืน ภายในร้านมืดสลัวมีเพียงแสงไฟหลากหลายสีกระพริบสลับกันไปมาพร้อมด้วยจอทีวีขนาดยักษ์ฉายภาพบรรดาหนุ่มสาวที่เด่นสะดุดตาภายในร้านขึ้นโชว์ให้บรรดาผู้ที่ยังไม่เข้ามาใช้บริการได้เห็น กอปรกับเสียงเพลงอันดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณเหมือนแต่ละร้านจะเปิดประชันกันเพื่อเรียกลูกค้าเข้าร้านตนให้มากที่สุด

ร้านที่นทนทีกับเพื่อนนัดเจอแน่นขนัดไปด้วยวัยรุ่นตั้งแต่หัวค่ำ เสียงเพลงจังหวะเร็วๆ ช่วยทำให้อารมณ์คึกคักได้ไม่ยาก นทนทีมองฝ่ากลุ่มควันหนาทึบอันเกิดจากบุหรี่ที่มีทางระบายออกได้เพียงเล็กน้อยไปรอบๆร้าน แสงสลัวจากไฟดวงเล็กดวงน้อยทำให้ความสามารถในการมองเห็นลดลง ภาพบรรดาวัยรุ่นกำลังเต้นออกท่าทางกันอย่างสนุกสนานสร้างบรรยากาศครึกครื้นพาให้เต้นตามกันไปอย่างไม่เคอะเขิน

“ทำไมไผ่ยังไม่มาซะที นัดกันสี่ทุ่มนี่” ประวิชยื่นหน้าเข้ามาถามใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นเป่ารดใบหน้านวล ด้วยต้องตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงเพลงที่เปิดกันดังจนแก้วหูสะเทือน

“โอ๊ะ!” นทนทีถูกกระแทกจนเซไปปะทะร่างหนาของประวิชด้วยพื้นที่ว่างถูกแทนที่ด้วยผู้คน

“ขอโทษครับ” คนชนหันมาขอโทษขอโพยก่อนจะหันกลับไปเต้นท่าประหลาดๆต่อ ยิ่งดึกคนยิ่งแน่นจนแทบไม่มีที่ยืน บรรดานักฉวยโอกาสพวกขี้หลีจะอาศัยช่วงเวลานี้เดินเบียดเนื้อนวลสาวไปทั่ว สาวคนไหนรู้ทันก็กระทุ้งศอกใส่ให้ได้จุกกันไป

“เดี๋ยวก็มา คงรอเพื่อนอยู่”

“มาชวนแล้วยังให้เรามารออีก” ประวิชบ่นอย่างเซ็งในพฤติกรรมคนๆนี้ เสียงบ่นไม่ขาดคำเจ้าของร่างโปร่งดูผอมบางเดินยิ้มกว้างเบียดเสียดผู้คนเข้ามาหาพวกเขา

“ขอโทษ มั่วแต่เสริมหล่อนานไปหน่อย” ไผ่อ้อมแอ้มขอโทษเมื่อเจอกับแววตาวาวๆของร่างหนาตรงหน้า

“ดุเป็นหมาเลย” เขาพึมพำเบาๆกับตัวเอง แต่รู้สึกคนตัวใหญ่จะหูดีเหมือนหมาจริงๆถึงได้ถลึงตามองเขา

“ฉันชวนเพื่อนมาด้วยหลายๆคนสนุกดี” ไผ่รีบเปลี่ยนประเด็นเผื่อจะลดดีกรีความร้อนแรงในดวงตาคู่นั้นลงบ้าง

“ใครละ” นทนทีถามพลางมองไปข้างหลังไผ่ด้วยไม่เห็นใครตามมา

“โน้นๆ มาแล้ว” นทนทีมองตามไปทางที่ไผ่ชี้

“ให้ตายเถอะ” เสียงสบถใส่ตัวเองเมื่อเห็นร่างสูงของปถวีพยายามฝ่าผู้คนเข้ามา เขาลืมไปได้ยังไงว่าปถวีก็เป็นเพื่อนสนิทของไผ่เช่นกัน ไผ่นะไผ่ ชวนใครไม่ชวนดันไปชวนคู่อริเขา ถึงจะเป็นเพื่อนสนิทกันแต่ก็รู้ว่าเขาไม่ถูกกับหมอนั้น อยากจะตบปากตัวเองอยู่ครามครันที่ไม่ถามก่อนว่าใครจะไปด้วย

ร่างสูงใหญ่สวมเสื้อผ้าที่ไม่ต้องเห็นยี่ห้อก็รู้ว่ามันแพงขนาดไหนจากแบบเสื้อที่สวมใส่ ตลอดทางที่ปถวีเดินผ่าน บรรดาสาวใจกล้าทั้งหลายต่างส่งสายตาให้หรือไม่ก็สะกิดให้เพื่อนข้างๆมองหนุ่มรูปหล่อที่ไม่ได้มาเพียงลำพังยังพกพาหนุ่มหล่ออีกสองคนตามติดมาด้วย คนหนึ่งเขารู้จักพูดคุยกันบ่อย อนล น้องชายของปถวีนั่นเอง แต่อีกคนเขาไม่รู้จักคงเป็นเพื่อนของปถวีละมั้ง

ประวิชหันไปมองหน้าเพื่อนตนทั้งสองด้วยความรู้สึกต่างกัน อีกคนเขามองอย่างเข้าใจความรู้สึกว่าไม่อยากพบเจอผู้มาใหม่ แต่กับอีกคนเขาแทบจะเข้าไปหักคอจิ้มน้ำพริกเลยทีเดียว หาเรื่องดีนัก ไผ่เองก็คงรู้ว่าประวิชกำลังนึกหักคอเขาอยู่จึงเขย่งตัวตะโกนข้างหูคนตัวโตที่กำลังทำหน้าดุ
 
“ก็แค่ไม่กินเส้นกัน รู้จักกันไปเดี๋ยวก็ดีกันเองละ ไอ้วีมันก็ดีไม่ได้เลวร้ายจนคบไม่ได้ซะหน่อย เชื่อฉันสิ”

ความใกล้ชิดจนแทบจะแนบสนิทไปทั้งตัว กลิ่นหอมอ่อนละมุ่นโชยปะทะจมูก จนคนตัวโตกว่าเผลอสูดดมโดยไม่ตั้งใจ

“เออ” ร่างสูงกระแทกเสียง

“ถ้าเกิดเรื่องก็รับผิดชอบเองก็แล้วกัน” เจ้าตัวพูดตัดบทก่อนจะผละออกห่างร่างขาวๆจอมหาเรื่องตรงหน้า ทำให้คนที่ยืนอยู่หน้ามุ่ย
 
“ก็เห็นคราวก่อนเจ้านททำพิษใส่ ไม่เห็นไอ้วีมันจะโวยวายอะไรเลยนี่หว่า”

นทนทีที่ได้ยินถึงกับเบือนหน้าหนีไม่กล้าบอกเพื่อน ที่เจ้าบ้าปถวีไม่โวยวายก็เพราะแอบทำไปแล้วนะสิ แต่เขาก็ได้แต่สงบปากสงบคำกับเรื่องนี้

ชายหนุ่มทั้งสามต่างพาตัวเองเข้ามาถึงโต๊ะจนได้ จากที่ต้องพยายามเบียดเสียดผู้คนเข้ามา
 
ปถวีไล่สายตามองบรรดาเพื่อนของไผ่ ตอนตอบตกลงคำชวนเขาก็ไม่ได้ถามไผ่ว่าจะชวนเพื่อนกลุ่มไหนมาเที่ยวคราวนี้ ถ้าสะดุดใจสักนิด เขาคงปฏิเสธคำชวนทันที

นทนทีมองอนลเพื่อนรุ่นน้องที่กำลังเดินเข้ามาใกล้

“พักนี้ไม่ค่อยได้เจอพี่เลยครับ” อนลตะเบ็งเสียงทักแข่งกับเสียงเพลงรอบๆ

“ช่วงนี้ต้องเข้าชมรมบ่อยๆนะนล”

“หรอครับ คิดว่าโกรธพี่แล้วพาลน้องด้วยซะอีก”

“ไม่หรอก พี่น้องกันก็ใช่ว่าจะนิสัยดีเหมือนกัน” นทนทีอดเหนบแหนมไม่ได้
 
“ก็จริงครับ” อนลหัวเราะรับสมอ้างคำประชดนั้น

“นี่คุยกันจนลืมฉันแล้วรึไง นล” เพื่อนตัวโตอีกคนที่มาด้วยกันพูดแทรกขึ้นมา

“อ๊า…..นี่ดามพ์ครับ พี่นท พี่วิช “

“หวัดดีครับ” ชายร่างใหญ่นามว่าดามพ์ก้มศรีษะทักข้างๆแก้มคนตัวเล็ก พลางพยักหน้าให้ประวิชเชิงทักทาย

นทนทียิ้มรับตอบร่างสูงใหญ่ยังกับตึกที่ดูท่าจะไล่เรี่ยกับประวิช ถึงเขาจะไม่เตี้ยแต่ด้วยโปร่งบางกว่าทำให้ดูตัวเล็กไปถนัดใจ ก็ตอนนี้มีคนที่ตัวเล็กว่าเขาแค่คนเดียวคือเจ้าเพื่อนตัวดี ไผ่นั่นเอง

“สั่งเครื่องดื่มเพิ่มมั้ย” ดามพ์ถามเพื่อนๆในกลุ่ม

“สั่งมาสิ วันนี้ถึงไหนถึงกัน” ไผ่ที่เริ่มออกลวดลายการแดนซ์เบาๆ สนับสนุนทันที

“เอาอะไรเพิ่มมั้ย” หลังจากสั่งเครื่องดื่มชุดใหญ่ไปดามพ์หันมาถามนทนทีอย่างเอื้อเฟื้อ

“คอไม่แข็ง แค่นี้ก็พอแล้ว” ริมฝีปากบางยกยิ้มให้

ปถวีมองเพื่อนสนิทตนที่ดูจะถูกอกถูกใจเจ้าแมวบ้านั้น แล้วยกแก้วกระดกน้ำสีเหลืองทองลงคออย่างรวดเร็ว สายตายังคงจับจ้องไปยังเพื่อนตนที่เริ่มชวนนทนทีเต้นไปด้วยกัน

ยิ่งดึกเสียงเพลงก็ยิ่งทวีจังหวะเร็ว แรง มากขึ้นสนองความสะใจขาแดนซ์ทั้งหลายเป็นอย่างดี แต่สองหนุ่มร่างบึกในกลุ่มกลับยืนโยกไหวตามจังหวะเพลงเพียงเบาๆ ด้วยดูจะพิศมัยน้ำสีทองซะมากกว่า

“อย่าดื่มมากนะพี่ เดี๋ยวพาน้องสุดที่รักลงข้างทางซะก่อนถึงบ้าน” อนลตะโกนบอกพี่ชายตนด้วยเสียงเริ่มหอบจากการสะบัดแข้งขาเต้นไปกับเขาด้วย นทนทีที่กำลังเพลินกับลีลาการเต้นจึงหันไปมองประวิชด้วยหวังจะเตือนเพื่อนตนเหมือนกัน

“รู้แล้วน่ะ” ร่างสูงชิงตอบด้วยรู้ตัวว่าต้องขับรถไปส่งนทนทีที่บ้าน

“งั้นเราก็ดื่มได้ไม่ยั้งสิเนอะ มีสารถีแล้ว” ร่างโปร่งขาวของไผ่เกี่ยวคอนทนทีเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ

“ฉันจะทิ้งนายไว้ที่นี่ถ้านายเดินไม่ไหว”

“ไอ้เพื่อนใจดำ” ไผ่ต่อว่าอย่างไม่จริงจังพลางพยักหน้าให้นทนทีมองไปทางดามพ์ที่ออกลีลาการเต้นกระชากใจสาวๆ แถวนั้นจนต้องหันมามองเป็นตาเดียว

“จะยอมแพ้เขาหรอ” ไผ่หรี่ตามองท้านทนทีไปในตัว

“ไม่อยู่แล้ว”

เห็นแบบนี้แต่ลีลาการเต้นของเขาทั้งคู่ก็ไม่ได้เป็นรองใคร ยิ่งมีคนมาเต้นท้าอยู่ตรงหน้ายิ่งทำให้อยากจะวาดลวดลายโชว์ให้เต็มที

ปถวีมองดูทั้งสี่คนที่เต้นกันอย่างเมามันไม่มองหน้าใคร แต่ใครๆ ที่ว่ากลับมองพวกเขาด้วยความสนใจมาพักใหญ่ๆแล้ว ระหว่างนั่งดูเพื่อนๆ เต้นก็กวาดตามองไปรอบๆ หญิงสาวที่อยู่รอบตัวเขาต่างแต่งกายโชว์เนื้อหนังมังสากันเต็มที่ จนไปสบตากับสาวชุดดำรูปร่างเพรียวบาง ผิวขาว ใบหน้าสวยหาที่ติยาก เครื่องสำอางค์ที่เธอบรรจงแต่งแต้มดึงความโดดเด่นของใบหน้าให้ยิ่งชวนมอง เสื้อที่ใส่มีเพียงสายเล็กบางคล้องคอยึดเสื้อให้อยู่กับตัวไม่หลุดไปกองที่พื้น เผยช่วงคอขาวเนียนกับไหล่โค้งมนรับกับช่วงลำตัวกลมกลึง เขายกแก้วเชิงทักทายหญิงสาว ฝ่ายหญิงตอบรับไมตรีด้วยการยกแก้วตอบพลางดื่มน้ำในแก้วเล็กน้อย แล้วจึงเดินแทรกผู้คนเข้ามาหาชายหนุ่ม

“สวัสดีค่ะ มาเที่ยวกับเพื่อนหรอค่ะ”

“ครับ คุณล่ะ”

“มากับเพื่อนเหมือนกัน”

“อะไรนะครับ” ด้วยเสียงเพลงดังทำให้ปถวีต้องตะแคงหูฟัง

“มากับเพื่อนค่ะ” ฝ่ายหญิงคว้าไหล่คนตัวสูงพลางเขย่งตัวบอกใกล้หูของชายหนุ่ม จนได้กลิ่นน้ำหอมราคาแพง ที่ปะพรมมามากเกินความจำเป็นแทนที่หอมกลายเป็นฉุนจนน่าเวียนหัว

“ออ..มาเที่ยวที่นี่บ่อยมั้ยครับ”

“ไม่บ่อยหรอกค่ะ อาทิตย์ละสองสามครั้งเท่านั้น” หญิงสาวขยับตัวให้ใกล้ชิดชายหนุ่มมากขึ้น

“หรอครับ”

เด็กเที่ยวนี่หว่า เขานึกพลางยิ้มให้หญิงสาวที่พยายามเกาะติดเขาเกินความจำเป็นซะแล้ว ถึงเขาจะมีโอกาสแบบนี้เข้ามาบ่อยๆ ด้วยรูปร่างหน้าตาหรือจะฐานะก็ตาม แต่ไม่ทำให้เขาทำตัวมักง่ายตามไปด้วย เขาไม่ชอบนิสัยฟันดะไม่เลือกหน้า ที่สำคัญเดี๋ยวนี้โรคมันเยอะ เห็นหน้าตาดีๆ ดูสะอาดแต่ความจริงทำตัวเน่ายิ่งกว่าน้ำเน่าคลองแสนแสบอีก

นทนทีที่กำลังออกลวดลายแดนซ์เหลือบมองคู่อริตัวโตพอดี หมันไส้ ไปที่ไหนมีแต่ผู้หญิงล้อมหน้าล้อมหลัง อยู่ๆเขาก็อารมณ์เสียขึ้นมา จึงออกแรงอวดลีลาวาดลวดลายยั่วยวนกวนอารมณ์คนรอบข้างแทน

ปถวีมองดูคู่อริตนออกแรงเขย่าตัวแล้วอดทึ่งไม่ได้ ไม่คิดว่าคนตัวเล็กจะเต้นได้เก่งขนาดนี้ เล่นเอาใจแป่วเลย ….ก็ลีลาเต้นที่เหมือนจะเชื้อเชิญคนรอบข้างให้เข้ามาสัมผัสแตะต้องแต่ไม่หยาบโลนทำให้คนมองอดไม่ได้ที่จะชื่นชมร่างโปร่งผิวสีนวลที่ตอนนี้คงจะเริ่มแดงเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์

นทนทีมองเหล่าบรรดานักเที่ยวที่เริ่มทยอยหลั่งไหลเข้ามาในร้านมากขึ้นเรื่อยๆ จนแน่นขนัดไปทั่วร้าน คลื่นฝูงชนทำให้พวกเขาที่เต้นกันเป็นกลุ่มต้องแยกกระจายตัวห่างจากกันอย่างไม่รู้ตัว ไผ่ถูกเบียดจนเข้าไปชิดติดกับประวิช อนลกับดามพ์เริ่มถูกแยกออกห่างจนเกือบไปเป็นสมาชิกโต๊ะข้างๆไปแล้ว ส่วนเขากลับระเห็ดมาอยู่ฝั่งเดียวกับปถวีได้ยังไงเขายังแปลกใจ อย่าไปสนใจ เขาบอกกับตัวเอง

“อะ!” เขาหันกลับไปมองคนชนหลัง ผู้ชายหน้าตาดีสูงใหญ่ใส่เสื้อสีดำรัดรูปเข้ากับกางเกงหนังสีดำดูน่ามองเป็นที่สุด

“ขอโทษครับ” เจ้าของร่างสูงพยักหน้าขอโทษเขา เขาทำได้เพียงยิ้มรับ เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับร้านที่แน่นขนัดไปด้วยผู้คนจะกระทบกระแทกกันบ้างก็ไม่แปลก อย่าได้ถือสาหาความกัน แต่วันนี้เขาถูกชนหลายครั้งจนเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง

“เต้นเก่งนะครับ” คนชนกลับยังยืนคุยต่อ รอยยิ้มที่ส่งมาให้ดูเก๋มีเสน่ห์จนอดนึกชมไม่ได้

“ก็นิดหน่อย”

“ไม่หน่อยละ คุณทำเอาสาวๆ กลุ่มผมอยากรู้จักคุณกันน่าดู”

ชายหนุ่มบุ้ยใบ้ไปทางโต๊ะที่พวกเขานั่งอยู่ นทนทีมองตามไปพบหญิงสาวหน้าตาน่ารักหลายคนในกลุ่มผู้ชายโต๊ะนั้น

“ไม่ไปทักทายพวกเธอหน่อยหรอครับ”

ด้วยคิดว่าตนเองเป็นที่ต้องตาหญิงสาวในกลุ่มนั้นทำให้ภูมิใจนิดๆ จึงคิดจะตอบตกลง แต่กลับมีเงามืดยืนอยู่ข้างหลังตอบแทนให้

“พวกเราจะกลับแล้วไว้โอกาสหน้านะครับ ถ้าได้พบกันอีก” ปถวีตะโกนแข่งกับเสียงเพลง พลางยึดแขนดึงนทนทีเข้ามาใกล้ตัวเอง ทำให้แขกผู้มาใหม่หุบยิ้มทันควัน มองหน้าชายหนุ่มร่างสูงใหญ่จับแขนร่างโปร่งอย่างไม่สบอารมณ์

ปถวีมองกลับไม่สะทกสะท้านกับสายตาทิ่มแทงคู่นั้น ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่มีจุดประสงค์อะไร ก็เห็นจงใจเดินมาชนหลายรอบแล้ว ฟอร์มหมาแก่ชัดๆ พวกนิยมไม่ป่าเดียวกันมาอ่อยเหยื่อ เจ้านี่ก็ทึ่ม ไม่รู้ว่าแกล้งโง่รึเปล่า แต่จะปล่อยไปมันก็อดไม่ได้ ทำไมต้องไปดูดำดูดีด้วยก็ไม่รู้ น่าจะปล่อยให้โดนซะให้เข็ดจะได้หายซ่าส์ ปากดีนัก ถึงจะคิดแบบนั้นแต่มือมันกลับคว้าแขนให้ออกห่างจากเจ้าขี้หลีนั้นซะก่อน ผู้มาใหม่สบสายตาคมดูคุกคามนั้นอึดใจก่อนจะยักไหล่เดินจากไป

“มายุ่งอะไรด้วย” นทนทีสะบัดมือออกจากการยึดจับทันที

“อ้าว!…ชอบแบบนี้ก็ไม่บอก กลายเป็นฉันเข้ามาขวางหมูเขาจะหามละสิ”

“พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่อง” คนที่กำลังฉุนดูจะงุนงงกับคำพูดของร่างสูง แต่ก่อนที่จะโต้เถียงกันไปจนเลยเถิด ประวิชก็เข้ามาแยกไว้ซะก่อน ถึงจะรำคาญที่สองคนนี้เจอหน้าเป็นต้องกัดต้องแขวะกันอยู่เรื่อย แต่ครั้งนี้เขาเห็นด้วยกับการกระทำของปถวี

“จะตีสองแล้วกลับกันเลยมั้ย อีกอย่างเจ้าสองคนนี่ท่าทางจะเมากันแล้ว” ประวิชมองไปทางไผ่กับดามพ์ที่ยังยกแก้วซดน้ำสีทองราวกับน้ำเปล่า

ปถวีพยักหน้าเห็นด้วยพลางเรียนเด็กเสริฟมาเช็คบิล นทนทีเดินเข้าไปดูเพื่อนก่อนจะลากกันออกมาจากร้าน

“โอ๊ย..ทำไมดื่มกันขนาดนี้” นทนทีบ่นใส่ไผ่ที่ตอนนี้เดินกอดคอถ่ายน้ำหนักมาใส่เขา

“ก็ทิ้งไว้ตรงนี้ละนท ฉันต้องไปส่งนายที่บ้านอีกนะ” ประวิชเตือนด้วยต้องมาเสียเวลากับเจ้าขี้เมานี่จะทำให้ถึงบ้านช้า

“พี่กลับกับผมก็ได้นี่ วันนี้พวกผมกลับบ้านใหญ่ บ้านพี่อยู่แถวๆนั้นนี่ถ้าผมจำไม่ผิด เดี๋ยวผมแวะไปส่ง แต่ฝากดามพ์กับไผ่ไปกับพี่ประวิชแทนได้มั้ยอยู่ระแวกเดียวกันนี่”  อนลเสนอตัวอย่างมีน้ำใจแต่เขาขอรับไว้แค่น้ำใจก็พอ นทนทีนึก

“ก็ดีนะ นายจะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา” ไผ่สนับสนุนพลางมองไปทางประวิชที่ทำท่าไม่เห็นด้วย

“ไม่เป็นไรพี่ประวิช ผมจะส่งให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัยครบสามสิบสองแน่นอน”

มีอนลรับรองทำให้ประวิชค่อยเบาใจ ถึงอย่างไรก็มีอนลไปด้วยไม่น่าห่วงเท่าไร คงไม่ถึงกับอาฆาตแค้นขนาดฆ่าหมกข้างทางหรอกนะ

ตกลงกันเรียบร้อยประวิชก็เดินไปดึงตัวไผ่ที่เกาะหลังนทนทีออก

 “ไป กลับบ้านเจ้าขี้เมานี่”

นทนทีมองเพื่อนตนที่เดินลากร่างไร้เอ็นของไผ่และมีดามพ์เดินโซเซตามกันออกไปจนลับตานั้นละ เขาถึงหันกลับมามองพี่น้องที่ยืนอยู่ข้างๆ สายตาของผู้พี่ทอดมองมายังเขาแววตาไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ จนร่างสูงหันกลับเดินไปยังที่จอดรถของตน

“ไปกันเถอะพี่” อนลชวนนทนทีให้เดินตามไปยังรถพี่ชายตน

“เดี๋ยวพี่นั่งข้างหน้าเถอะจะได้บอกทางพี่เขาได้สะดวก” นทนทีที่กำลังจะเปิดประตูหลังชะงักแล้วถูกอนลดุนดันให้นั่งหน้าคู่กับคนขับ



ตลอดเวลาที่อยู่ในรถไม่มีใครพูดอะไร นทนทีมองอนลที่นั่งหลับอยู่ข้างหลัง พลางเหลือบตามองคนขับ ฝีมือในการขับรถต้องยอมรับว่าเยี่ยม ขับนิ่มไม่สะดุดชวนเวียนหัวอย่างบางคน และดูจะชำนาญเส้นทางแถวนี้เป็นอย่างดีจนอดถามไม่ได้

“บ้านนายอยู่แถวนี้หรอ” ปถวีเหลือบมองร่างโปร่งที่นั่งซกตัวอยู่ข้างประตู พยายามอยู่ห่างเขาให้มากที่สุด นี่ถ้าปีนไปนั่งท้ายรถได้คงทำไปแล้ว

“ก็บ้านพ่อแม่ฉันอยู่แถวนี่ละ แต่ฉันอยู่คอนโดแถวประตูน้ำโน้น”

โห พวกลูกเศรษฐีเขามีบ้านอยู่กันกี่ที่นี่ น่าอิจฉาจริงจริ๊ง

“เอ๊ะ! เลี้ยวซ้ายข้างหน้าก็ถึงแล้ว” ปถวีหักพวงมาลัยตามที่ร่างโปร่งบอก

 “จอดตรงนี้ละ”

นทนทีหันมองอนลอีกครั้งเห็นยังหลับอยู่จึงหันกลับมามองหน้าคนขับ จะขอบคุณก็ไม่ค่อยอยากเลย แต่จะให้ลงไปเฉยๆ เนี่ยนะ ทำตามมารยาทก็แล้วกัน

“ขะ…ขอบคุณ” กว่าจะเปล่งออกมาได้ก็แทบจะกลั้นหายใจตาย พูดออกมาแล้วก็แทบจะกัดลิ้นตัวเองอีกเหมือนกัน วุ้ย …. วุ่นวายจริง แต่คนในรถกลับนิ่ง พลางเข้าเกียร์แล้วค่อยๆ ออกรถจากไปโดยไม่มีการปะทะลับฝีปากกันอย่างที่เคยจะเป็น

เสียงรถเงียบหายไปนานแล้วนทนทีจึงเดินเข้าบ้านที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่ บริเวณหลังบ้านที่กินเนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ เป็นสวนผลไม้ของบ้านเขาเอง ทำให้อากาศเย็นสบาย สายลมเย็นพริ้วผ่านใบหน้าไม่ทำให้เขารู้สึกเย็นสบายไปด้วยเลย

“วันนี้ไอ้ยักษ์นั้นกินยาลืมเขย่าขวดมารึเปล่าฟะ” ก็พฤติกรรมคืนนี้ของเจ้านั้นมันผิดปกติไปจากเคย คอยมองเขาบ่อยๆ ถามอะไรไปก็ตอบมาเรื่อยๆ หรือไม่ก็ไม่ตอบ ไม่ต่อล้อต่อเถียงอย่างแต่ก่อน ถ้าเป็นปกติคงได้ฟาดปากกันไปแล้ว




ฝ่ายชายหนุ่มที่เพิ่งล้มตัวลงบนที่นอนนุ่มพลิกกายเหม่อมองดวงไฟหรี่ข้างหัวเตียง หลังจากส่งนทนทีถึงบ้านเขาก็ขับรถเลยมาไม่กี่กิโลก็ถึงบ้านใหญ่ของเขาแล้วอนลแยกไปนอนห้องตัวเอง ส่วนเขาก็เข้าห้องนอนอาบน้ำ ถึงจะอยู่คอนโดเป็นประจำแต่ก็จะมีแม่บ้านมาดูแลห้องหับของเขาตลอด ชายหนุ่มลุกนั่งพลางเอาผ้าเช็ดตัวนุ่มซับผมที่เปียกให้แห้ง เขาไม่ชอบนอนทั้งๆที่ยังรู้สึกเหนียวตัว จะไปไหนกลับดึกแค่ไหนก็ต้องอาบน้ำก่อนนอนเสมอ

ภาพร่างๆ หนึ่งยักย้ายส่ายสะโพกมนเชิงยั่วเย้า ยังติดตาเขาอยู่ วูบหนึ่งที่เขานึกอยากกระชากร่างโปร่งบางออกมาจากตรงนั้น ตั้งแต่โดนเจ้าหนุ่มขี้หลีเดินมาสีครั้งแรกแล้ว เขาไม่พอใจให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้น ทำไม คำถามนี้เริ่มเกิดขึ้นในใจตั้งแต่ครั้งที่เขาจับนทนทีขังในห้องชมรม ใบหน้าที่หมดทางสู้ กับร่างขาวนวลท่ามกลางแสงสลัวๆยังติดในใจเขา แล้ววันนี้ก็เหมือนจะตอกย้ำความรู้สึกเหล่านั้นชัดขึ้นไปอีก ขอบคุณ เขานึกถึงคำพูดสุดท้ายของร่างโปร่ง

“พูดดีๆ กับเขาก็เป็นแฮะ” ท่ามกลางความเงียบสงบเสียงรำพึงของเขาดูจะดังคับห้องก่อนจะหลับตาลงนอน

-----TBC----

เพิ่งกลับจากทำงาน ประชุมเหนื่อยจริงๆ
ขอบคุณทุกคอมเมนท์มากๆค่ะ ^^
จะพยายามมาลงให้ทุกวันจ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] " UNTITLE " By Sake Part 4
เริ่มหัวข้อโดย: aiwjun ที่ 24-09-2009 01:54:27
โห  สนุกมากๆ เลย

เป้นกำลังใจให้เน้อ.... :bye2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] " UNTITLE " By Sake Part 4
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 24-09-2009 11:32:33
เริ่มหลงเสน่ห์โดยไม่รู้ตัวแล้ว  :m12:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] " UNTITLE " By Sake Part 4
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 24-09-2009 14:49:08
สนุกอ่ะ :m4:
ชอบแนวนี้ครับ
กัดกันกัดกันมาสุดท้ายก็ได้กันเอง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] " UNTITLE " By Sake Part 4
เริ่มหัวข้อโดย: ~NeMeSiS_PURE~ ที่ 25-09-2009 04:15:28
เอาเยอะ ๆ กัดกันให้ตายไปทั้ง 2 ข้าง  :laugh:

สุดท้ายเค้า 2 คนก็ไม่รอดดดด



ประวิชถ่ายภาพ นทนทีรายงาน :m24:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] " UNTITLE " By Sake Part 4
เริ่มหัวข้อโดย: ISACBTMN ที่ 25-09-2009 10:29:14
สนุกดีอิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] " UNTITLE " By Sake Part 4
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 25-09-2009 10:53:15
ตอนที่ 5

เสียงอึกทึกดังออกมาจากโรงอาหารของมหาวิทยาลัยคับคั่งไปด้วยนักศึกษาที่หวังมาฝากท้อง ณ ที่แห่งนี้ นทนทีและประวิชก็เช่นกัน ข้างราดแกงสองอย่างง่ายๆ ร่างโปร่งตักเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ ดูน่าอร่อย

“เห็นไผ่มาขอให้นายไปช่วยงานอีกแล้วหรอ” ประวิชมองคนตรงหน้าตักข้าวเข้าปากอีก จึงลงมือตักข้าวของตัวเองบ้าง

“อืม เห็นว่าชมรมกิจกรรมนักศึกษาของไผ่ตกลงกันว่า งานประจำปีของมหาลัยปีนี้จะจัดแบบงานวัดนะ”

“หรอ ถึงได้เที่ยววิ่งไล่ล่าผู้คนไปช่วย” เจ้าตัวพูดพลางย่นจมูกใส่คนที่กำลังถูกพาดพิง

“เอาน่ะ งานมหาลัย ช่วยๆ กัน”

ประวิชเหลือบมองร่างโปร่งตรงหน้าด้วยหมันไส้ ตัวเองก็ยุ่งจะแย่อยู่แล้วยังไปรับปากช่วยเจ้าจอมป่วนนั้นอีก

“ฉันไม่ยุ่งด้วยหรอกนะ”

นทนทีอมยิ้มทันทีกับคำพูดนั้น เขาไม่เชื่อหรอก ถึงเวลาจริงๆ ประวิชนั้นละที่คอยช่วยทำงานจนหามรุ่งหามค่ำ

“หัวเราะอะไร” คนตัวโตแสร้งถามดังๆ พลางเสมองไปทางกลุ่มนักศึกษาชายที่นั่งโต๊ะข้างๆ แล้วต้องขมวดคิ้วทันทีที่เห็นชายหนุ่มคู่อริเพื่อนตนนั่งอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย ก็ตอนเขามายังไม่เห็น สงสัยคงเพิ่งมาสมทบกับเพื่อน แล้วหันกลับมามองคนนั่งตรงหน้าจึงพบว่าเจ้าตัวมองชายหนุ่มอยู่ก่อนแล้ว เขาไม่อยากให้ทั้งคู่มีปากเสียงกันเลย ถึงวันที่ไปเที่ยวด้วยกันคืนนั้นดูจะเป็นนิมิตหมายที่ดีก็ตาม แต่ก็ไว้ใจไม่ได้ เขาไม่อยากมีเรื่องกันกลางโรงอาหาร

“อิ่มยัง” ร่างสูงถามด้วยเห็นเจ้าตัวรวบช้อน

“วี!”

ไม่ทันให้ประวิชได้พาเพื่อนออกจากบริเวณนั้น เสียงแหลมเล็กของผู้หญิงทำเอาทุกคนในบริเวณนั้นหันมามองร่างขาวเพรียวบางผมสีน้ำตาลแดงกันเป็นแถว ร่างขาวนวลเดินเข้าหาชายหนุ่มเจ้าของชื่อนั้นทันที

“พักนี้ไม่ค่อยได้เจอวีเลย ไปหาที่ชมรมก็ไม่อยู่ ไหนบอกน้องดาว่าช่วงนี้มีซ้อมทุกวัน”

ปถวีที่กำลังอึ้งถึงกับยิ้มแห้งๆให้หญิงสาว ก็เขาเป็นคนบอกให้เพื่อนช่วยโกหกนะสิ ขืนบอกว่าอยู่เป็นต้องถูกเกาะติดหนึบไม่เป็นอันทำอะไรกันพอดี คนประเภทนี้ละที่เขาต้องหลีกเลี่ยงสุดชีวิต พลางเหล่มองไปยังโต๊ะข้างๆ ด้วยหญิงสาวที่มาติดพันเขาคนนี้เคยมีข่าวคบหาอยู่กับนทนทีก่อนจะเข้ามาป่วนเปี้ยนรอบตัวเขา

นทนทีมองอดีตคนที่ตนเคยนิยมชมชอบด้วยอาการเฉยเมย ความรู้สึกดีๆมันหมดไปนานแล้ว มีเพียงความรู้สึกเสียดายความน่ารักของเธอ ไม่น่าทำตัวไล่ล่าผู้ชายแบบนี้เลย เขาเก็บของลุกเดินผ่านกลุ่มนั้นไปไม่ถึงสามก้าวก็ต้องหันกลับเพราะเสียงเรียกเล็กแหลมๆ

“เอ…เดี๋ยว..นทนทีนี่” หญิงสาวจีบปากจีบคอเรียก

“ไม่ค่อยได้เจอกันเลยอยู่คณะเดียวกันแท้ๆ”

“อือ..” เขาตอบรับอย่างแกนๆ

“ฉันก็ไม่ค่อยว่างคุยด้วย นายคงไม่โกรธนะ” คำพูดกินนัยถึงความหมายอื่นให้คนอื่นได้รู้ด้วยทำเอาเขารู้สึกตะหงิดๆ จะมาแขวะอะไรเขาอีก เรื่องก็ผ่านมานานแล้ว ไม่รักไม่ชอบกันก็อย่ามาประจานกันเลย

“แต่ว่านายยังเหมือนเดิมเลยนะ ผอมบางจนฉันยังอิจฉาเลย เนี่ยน้ำหนักขึ้นมาตั้งกิโลแนะ” เจ้าหล่อนลากปลายนิ้วไปกับเรือนร่างตัวเองชวนสายตาชายหนุ่มมองตามปลายนิ้วกันเป็นแถว

“ไปเถอะ เดี๋ยวเข้าเรียนสาย” ประวิชพยายามตัดบทสนทนา

“แหมยังเป็นเงาตามตัวเหมือนเคยนะประวิช ทำยังกับเป็นอะไรกัน”

นทนทีถลึงตามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างนึกรังเกียจความคิดต่ำช้านั้นทันที จะพูดถึงเขายังไงเขาทนได้นะ แต่อย่าลากเอาเพื่อนเขามาเกี่ยวด้วย เขาไม่ยอม รอยยิ้มปีศาจน้อยๆปรากฏที่มุมปากทันทีเมื่อนึกวิธีเอาคืนได้ ก่อนจะส่งยิ้มจนดวงหน้าดูอ่อนละมุนหวานไปทางปถวี

“นี่วี พรุ่งนี้เอานาฬิกามาให้ด้วยนะ”

คนถูกถามทำหน้ามึนด้วยไม่รู้ว่าเจ้าแมวบ้าตัวนี้จะทำอะไรถึงได้ถามในสิ่งที่เขาไม่เห็นจะเข้าใจ

“นาฬิกาอะไรของนาย”

“ก็เมื่อคืนฉันลืมไว้บนหัวเตียงนาย ยังไงพรุ่งนี้เอาติดมาให้ด้วยนะ” เสียงเรียกชื่อปถวีด้วยความสนิทสนมชวนขนลุกของร่างโปร่งทำเอาปถวีตาค้างด้วยตกตะลึงในคำพูดที่กินนัยแบบนั้น

“อย่าลืมละ” นทนทีไม่ลืมที่จะสำทับก่อนจะทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มหวานย้อยให้ร่างสูงใหญ่แล้วเดินจากไปไม่ทันให้ได้แก้ตัว

“เฮ้ย! ไอ้วี …วี” ทั้งเสียงใหญ่เสียงเล็กอุทานขึ้นพร้อมกัน

“วี..อะไรกัน ที่เตียงอะไร” เสียงแหลมๆโวยวายทันที ปถวีที่ไม่มีโอกาสได้แก้ตัว นึกเข่นเขี้ยวร่างโปร่งที่เดินจากไปโดยทิ้งระเบิดลูกโตให้เขานอนกอดซะแล้ว เผลอคิดว่าปราบให้เชื่องได้แล้วแท้ๆ ที่ไหนได้ทำเอาจุกอีกแล้วมั้ยละ เดี๋ยวเถอะ ยัยน้องดาเสียงแหลมที่ยืนเนื้อตัวสั่นได้เอาไปโพทนาทั่วมหาลัยไม่เกินวันนี้หรอก

“เสียท่าจนได้” เขาลุกเดินหนีไปจากหญิงสาวด้วยเกรงว่าถ้าขืนยังนั่งอยู่ตรงนี้ต่อไปได้อายมากกว่าที่เป็นอยู่แน่



นทนทีเดินจากมาไกลยิ้มอย่างสะใจ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ตัวผู้กับตัวเมียซะด้วย ประวิชมองท่าทีเหล่านั้นของนทนทีอย่างไม่ค่อยจะพอใจ

“ทำแบบนี้มันเข้าตัวนะ”

“ไม่สน….จะเอาฉันไปพูดปู้ยี่ปู้ยำยังไงก็ได้แต่อย่ามาลามถึงเพื่อนฉัน”

ประวิชส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจแต่ก็ระบายยิ้มให้เพื่อนตน เขาได้เพื่อนที่จริงใจมันน่าดีใจใช้มั้ยละ แต่เรื่องนี้มันคงไม่จบแค่นี้นี่สิที่เขายังกลุ้มใจ เหมือนมองเห็นลางความวุ่นวายรำไรอยู่ตรงหน้าเลย

----TBC----

ขอบคุณทุกเมนท์เลยจ้า ดีใจจัง

เรื่องนี้ยาวมากกก มี2ภาคนะจ้ะ เเละตอนพิเศษ :haun4: หึหึหึ

ติดตามกันนะ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] " UNTITLE " By Sake Part 4
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 25-09-2009 11:07:36
เอาเยอะ ๆ กัดกันให้ตายไปทั้ง 2 ข้าง  :laugh:

สุดท้ายเค้า 2 คนก็ไม่รอดดดด



ประวิชถ่ายภาพ นทนทีรายงาน :m24:
เมนท์น่ารักจัง 555+
คนเมนท์ก็น่ารักด้วยป่าว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 5 เสียท่าจนได้!!!
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 25-09-2009 11:28:40
 :a5:ทำไมไปพูดอย่างงั้นล่ะจ้ะน้องนทนที
เดี๋ยวก็เป็นจริงขึ้นมาหรอก :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 5 เสียท่าจนได้!!!
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 25-09-2009 12:15:13
เออ แรงได้อีก น้องนท  :m4:
แต่ตอนนี้ทำไมมันมาสั้นๆๆ อะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 5 เสียท่าจนได้!!!
เริ่มหัวข้อโดย: wanwisa ที่ 25-09-2009 12:35:19
มาลุ้น...ดูซิว่า  ใครจะแพ้ทางใครก่อน...
ตอนนี้ดูเหมือนนายเอกจะนำ้ไป 1แต้ม
 :o8:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 5 เสียท่าจนได้!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Donpopper ที่ 25-09-2009 18:40:07
นทหาเรื่องใส่ตัวแล้วไหมล่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 5 เสียท่าจนได้!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Hanna~ ที่ 25-09-2009 19:40:33
 :z2:

วีเสียท่าให้นทแล้วล่ะ

เอ..แล้วต่อไปนทจะเป็นยังไงเนี่ยย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 5 เสียท่าจนได้!!!
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 25-09-2009 20:14:40
 o13 o13 o13 o13

เค้ารักเพื่อน กัน จิงๆๆ

คิคิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 5 เสียท่าจนได้!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Lollipop_pop ที่ 25-09-2009 20:38:25
ชอบเรื่องนี้ค่ะ
นทพูดอะไรออกไปเนี่ย
เหอๆ เด๋วก็ได้เป็นเรื่องอีกหรอก  :o8:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 5 เสียท่าจนได้!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Overdose ที่ 25-09-2009 21:15:47
ชอบจัง แนว นี้เนี้ยยย


คิคิ


เอามาต่ออีกไวๆนะค๊า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 5 เสียท่าจนได้!!!
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 26-09-2009 16:13:58
ตอนที่ 6

อากาศยามเที่ยงวันทำให้ร่างโปร่งที่กำลังขนตะกร้าบรรจุส้มโอออกมาวางขายริมถนนโชกไปด้วยเหงื่อ

“พี่เอากล้วยหอมทองออกมาเพิ่มด้วยนะ” วารีน้องสาวของนทนทียิ้มบอกให้พี่ชายตนเอาของมาเพิ่ม

“วันนี้ขายดีนี่” พี่ชายยิ้มให้พลางมองผลงานของน้องสาวที่วันนี้ขายดีจนต้องนำผลไม้มาเติม ตอนนี้น้องสาวเขาเรียนมัธยมปลายปีสุดท้ายแล้ว ปีหน้าก็จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย เขาไม่อยากให้น้องต้องกู้เงินเรียนอย่างเขา เพราะฉะนั้นการขายผลไม้ในสวนได้มากเท่าไรนั้นหมายถึงเงินที่จะเก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการเรียนมากเท่านั้น เขารักและภูมิใจในตัวน้องสาวมาก วารีช่วยงานบ้านทุกอย่าง หลังเลิกเรียนก็มาช่วยแม่นั่งเฝ้าแผงผลไม้ริมถนนหน้าบ้าน ยิ่งวันเสาร์อาทิตย์ก็จะสวมบทลูกแม่ค้าเต็มเนื้อเต็มตัว ขายคล่องจนแม่ไว้ใจให้เฝ้าแผงตลอดวัน

“พี่ วันนี้ขอข้าวกระเพราไก่นะจ๊ะ เร็วๆ ด้วยหนูหิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวแล้ว”

“จ้าๆ” เขาซึ่งเป็นทัพหลังคอยส่งข้าวส่งน้ำ ให้น้องสาวเป็นทัพหน้าอวดหน้าตาสวยใสเชื้อเชิญลูกค้าแทน

จนแสงอาทิตย์อ่อนแรงลงนั้นละเขาจึงละงานในสวน เริ่มช่วยน้องสาวเก็บแผงผลไม้เข้าบ้าน เสียงเครื่องยนต์ดับลงบริเวณหน้าแผง ร่างสูงโปร่งจึงเงยหน้ามองที่มาของเสียง เห็นขาเข็งแรงก้าวลงจากรถสีดำเงาวับ ที่มีตราสี่ห่วงแปะบริเวณหน้ารถ

“พี่นท” เสียงคุ้นๆหูดังมาก่อนตัวทำให้เขายืดตัวเพ่งมองร่างสูงที่เคลื่อนกายออกจากรถ

“อนล มาได้ไง” นทนทีร้องทักร่างสูงที่เดินเข้ามาใกล้ส่งยิ้มเป็นกันเองให้เขาสองคนกับน้อง

“ว่างๆ นะพี่เลยลองขับรถมาดู ความจริงบ้านพี่ไม่ไกลจากบ้านผมเลยนะ นี่ถ้ารู้มาก่อนมาเที่ยวนานแล้ว”

จะว่าไปอนลไม่เคยมาบ้านเขามาก่อนนอกจากคืนนั้นแต่ก็หลับนี่นา

“ไม่ได้หลับหรอกหรอคืนนั้น” นทนทีทำหน้ายุ่ง

“แค่พักสายตาพี่” เจ้าตัวทำหน้าทะเล้นใส่

“แล้วนี่พี่จะเก็บร้านแล้วหรือครับ”

“ใช่”

“โธ่ ว่าจะมาอุดหนุน”

นทนทียิ้มกับท่าทางอ้อนๆ ของชายหนุ่มอารมณ์ดี อนลมีบรรยากาศรอบตัวสบายๆ ไม่รู้สึกกดดันผิดกับพี่ชายที่ให้ความรู้สึกเข้าใกล้ยากเมื่อแรกพบ

“เดี๋ยวไปเอาในบ้านมาให้ ไม่ต้องซื้อหรอก”

“ของซื้อของขายพี่”

“คิดมาก ประวิชเอาไปกินบ่อยๆ เดี๋ยวตามเข้าไปในบ้านสิ” นทนทีหันไปเร่งมือนเก็บของก็พบน้องสาวมองพวกตนอยู่จึงรู้สึกตัวว่ายังไม่ได้แนะนะน้องสาวกับอนล

“วา นี่พี่อนล เพื่อนพี่เอง”

วารียกมือไหว้อนลพลางส่งยิ้มละมุนตาไปทักทายด้วย อนลเพิ่งสังเกตเห็นหน้าตาน้องสาวของนทนทีก็ถึงกับนึกชม ด้วยวัยกำลังเจริญเติบโต ดวงหน้าผ่องใสอิ่มเอิมด้วยเลือดฝาดจนผิวแก้วเป็นสีชาพูเรื่อ จมูกโด่งรับกับดวงตากลมโต ริมฝีปากสีแดงสด ขับกับฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ ไม่ใช่คนสวยสะดุดตาในทันที แต่กลับเป็นผู้หญิงที่ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นความน่ารักไปทั่ว
 
“สวัสดีครับ น้องวา “ อนลพนมมือรับไหว้

“เดี๋ยวพี่ช่วยเก็บของนะ” เขาอาสาเข้าไปช่วยเด็กสาวเก็บแผง พลางคิดว่าลูกบ้านนี้หน้าตาดีทุกคน

“พี่นท แม่จะกลับกี่โมง” น้องสาวถามด้วยรู้ว่าแม่ออกไปซื้อของนานแล้ว

“เดี๋ยวคงกลับละ เป็นบอกว่าจะไปแค่ตลาดซอยข้างๆนี่เอง”

“แต่นี่เย็นแล้วน๊า” น้องสาวยังบ่นกระปอดกระแปด แล้วก็ต้องยิ้มกว้างเมื่อเห็นแม่ลงจากรถสองแถวฝั่งตรงข้าม

“แม่กลับมาแล้ว” เด็กสาวหันไปยิ้มกว้างให้ชายหนุ่มทั้งสองคน ก่อนจะเดินไปริมถนนรอแม่ข้ามฝั่งมาหา อนลเห็นกริยาดีอกดีใจนั้นถึงกับยิ้มอย่างเอ็นดูเด็กสาวมากขึ้น รอยยิ้มที่ปราศจากมารยาของเด็กสาวดูจะติดตรึงใจเขาเหลือเกินด้วยรอบตัวเขาหารอยยิ้มเช่นนี้ยากละมั้ง พวกประจบประแจงเลียแข้งเลียขาเขามีมากจะตายหันไปทางไหนก็เจอเมื่อรู้ถึงฐานะหน้าที่การงานที่บ้านเขา จนต้องคอยระวังในเรื่องการคบคนบ่อยๆ

หญิงสูงวัยใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั่นสีฟ้ากางเกงสีดำยืนริมถนนรอข้ามฝั่งมองรถซ้ายทีขวาทีด้วยบริเวณนี้ไม่มีสะพานลอยหรือทางม้าลาย ร่างสูงวัยก้าวถอยหลังด้วยเห็นรถกระบะคันสีเงินเริ่มบ่ายหน้ารถมาทางตนแทนที่จะขับตรงไป หรือจะจอดแต่ความเร็วก็ไม่ได้ลดลงเลย ไม่มีเวลาได้คิดนานด้วยรถกระบะหักพวงมาลัยพุ่งตรงมาทางร่างสูงวัยที่พยายามหลบรถอย่างสุดตัว

โครม รถกระบะพุ่งเข้าไปเกยบนฟุตบาทสูงผ่านแนวต้นไม้เล็ก เสียงเครื่องยนต์ดับลงโดยมีร่างหญิงสูงวัยนอนสลบอยู่ห่างๆ

“แม่” เสียงร้องตกใจของน้องสาวทำให้ทั้งอนลและนทนทีสะดุ้งสุดตัวหันไปมองที่มาของเสียงประหลาดนั้น

“แม่” นทนทีครางเมื่อเห็นภาพแม่ตนเองนอนนิ่งบนพื้น ก่อนจะตะโกนดังๆ พร้อมกับวิ่งฝ่ารถไปยังร่างมารดาที่นอนไม่ไหวติง

“แม่…แม่ครับ” ร่างโปร่งประคองร่างไร้สติของแม่ไว้ หัวใจเขาเหมือนหลุดลอยไปไกล บนร่างกายแม่ไม่มีเลือดเลยซักหยดเดียว

“ไป…ต้องไปโรงพยาบาล” เขาย้ำกับตัวเอง ไม่ทันได้ออกปากขอร้องใครรถคันงามของเพื่อนรุ่นน้องก็เข้ามาจอดใกล้ๆ

“พี่” อนลตะโกนเรียกอยู่ในรถ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาต้องทำยังไง เขาอุ้มร่างที่ไม่ได้สติของแม่ขึ้นรถโดยมีน้องสาวตามเข้ามาด้วย

โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดขับรถไม่ถึงห้านาทีก็มาถึง แม่ของเขาถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉินทันที ภาพแม่นอนอยู่บนเตียงถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินเป็นภาพสุดท้ายที่เขาได้เห็นร่างของแม่ ถึงจะกังวลใจแต่ก็เบาใจได้บ้างว่าแม่ถึงมือหมอในเวลาอันรวดเร็ว แม่เขาต้องไม่เป็นอะไรมาก เขายืนมองประตูห้องฉุกเฉินตลอดจนอนลเข้ามาตบบ่านั้นละ เขาถึงได้หันกลับไปมองผู้ที่มาด้วยกัน ใบหน้าน้องสาวเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ดวงตาแดงก่ำ เขาเดินไปกอดน้องเพียงคนเดียวไว้

“แม่ไม่เป็นอะไรแน่” คำพูดที่พูดปลอบน้องก็เหมือนปลอบใจตัวเองไปด้วย ยิ่งทำให้คนที่เผชิญเหตุการณ์มาด้วยกันสลดใจ อนลมองสองพี่น้องกอดกันกลมสะอึกสะอื้น



เวลาผ่านไปนานชั่วกัปชั่วกัลป์ในความรู้สึกนทนที แพทย์จึงออกมาจากห้องฉุกเฉิน เขารีบตรงเข้าไปถามอาการมารดาทันที

“หมอแม่ผมเป็นยังไงบ้างครับ”

“ปลอดภัยในระดับหนึ่งแล้วครับ แต่ยังต้องรอดูอาการอีกระยะ คนไข้มีเลือดออกในสมองซึ่งเราสามารถเอาออกมาได้ ส่วนกระดูกหักบริเวณไหปลาร้ากับซี่โครงด้านขวาก็ไม่น่าเป็นห่วงแล้วครับไม่ได้ทิ่มตำอวัยวะภายใน นอกจากนั้นก็เป็นแผลถลอกฟกช้ำ” คำตอบของนายแพทย์ทำให้เขาโล่งใจ แม่เขาพ้นจุดวิกฤติมาแล้ว

“ขอบคุณครับ” ร่างโปร่งหันไปยิ้มให้กับน้องสาวและอนล

“เดี๋ยวคุณไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลแล้วก็กลับไปพักได้แล้วละครับ เพราะตอนนี้คงให้เข้าเยี่ยมไม่ได้”

“ครับ ..ขอบคุณครับ”

นายแพทย์ยิ้มให้เขาก่อนเดินจากไป นทนทีทรุดตัวหมดแรงลงกับเก้าอี้ใกล้

“พี่นท เรายังไม่ได้แจ้งความนะพี่” อนลเดินเข้ามาเตือนร่างที่นั่งหมดแรงอย่างเห็นใจ

“อืม ไม่รู้เจ้าคนขับรถมันจะอยู่ให้จับหรือเปล่า จำทะเบียนอะไรไม่ได้เลย” ตอนนั้นเขาไม่สนใจคู่กรณีเลยว่าจะเป็นยังไง ห่วงแต่แม่คนเดียว

“วา จำได้พี่”

“งั้นรีบไปโรงพักกันเถอะ” อนลชวน

“อืม..แต่ฉันต้องไปติดต่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก่อนนะ”

ทุกคนพยักหน้าก่อนจะเดินตามกันไปที่แผนกการเงินโรงพยาบาล ตลอดเวลาที่เดินไปนทนทีเริ่มมีเรื่องกังลงเรื่องใหม่เข้ามาแทน โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดที่พวกเขาพาแม่เข้ามารักษาเป็นโรงพยาบาลเอกชน ค่าใช้จ่ายคงสูงมากแน่ๆ และก็จริงอย่างที่คิด เจ้าหน้าที่ตรวจสอบยอดค่ารักษาเฉพาะคืนนี้ก็แสนกว่าบาทเข้าไปแล้ว และยังแจ้งให้ทราบอีกว่าเขาต้องจ่ายค่ารักษาของคืนนี้ในวันพรุ้งนี้และงวดต่อไปทุกสองวัน แล้วเขาจะหาที่ไหนมาจ่ายละนี่แม่ก็ยังนอนสลบอยู่เลย เงินสดที่บ้านก็มีไม่ถึงหมื่น ถึงจะมีที่ฝากธนาคารไว้บ้างก็มีไม่พอหรอกแถมเขายังไปเบิกแทนแม่ไม่ได้ด้วยสิ

อนลเห็นสีหน้ายุ่งยากใจของเพื่อนรุ่นพี่ก็พอจะเดาออกว่าเรื่องอะไร ที่นี่เป็นโรงพยาบาลเอกชนประสิทธิภาพในการรักษา บริการต่างๆ ย่อมดีเยี่ยม แต่ราคาก็ย่อมสูงตามไปด้วยเช่นกัน บ้านนทนทีก็ไม่ได้ร่ำรวยเขารู้ว่ารุ่นพี่กู้เงินเรียน หันไปมองผู้เป็นน้องสาวที่นั่งคอตกรอพี่ชาย ก็ให้นึกสงสารจับใจ บางคนเกิดมารวยล้นฟ้าแต่กับบางคนแม้แต่ข้าวยังไม่มีจะกิน ถึงจะไม่ใช่มารดาของเขาแต่ก็เห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นแล้วจะทำใจไม่ช่วยได้ยังไงในเมื่อเขามีกำลังพอ อีกอย่างเขารู้จักกับนทนทีมาพอสมควร คนแบบนี้ไม่ใช่เหรอที่เขาควรจะช่วย ถึงจะจนแต่ก็ไม่งอมืองอเท้าขอใครกิน ไม่ตะโกนโทษฟ้าดินลำเอียงอย่างที่หลายๆคนทำ

เท้าเดินเข้าไปหาร่างโปร่งที่ตอนนี้ดูบอบบางกว่าครั้งไหนๆที่เขาเคยเห็น

“พี่…มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ”

“อืม……พรุ่งนี้เจ้าหน้าที่ให้ชำระเงินค่ารักษาของคืนนี้ก่อนนะ แล้วก็ต้องชำระเงินทุกๆ สองวันนะ……..” คนตอบพูดพลางหลับตาลงอย่างช้าๆ ด้วยอับจนความคิด

“ชุกละหุกแบบนี้จะไปเอาที่ไหนมากันละ” เสียงพูดเบาๆ เหมือนกับบอกให้ตัวเองได้ยินคนเดียว

อนลมองร่างบางเปล่งเสียงอันอ่อนระโหยโรยแรงเหมือนคนจะสิ้นใจตอบ เขาจึงค่อยถามรุ่นพี่เบาๆ

“ต้องจ่ายเท่าไรครับ”

“120,000 บาท” คนตอบยังคงก้มหน้าก้มตาพยายามให้ความคิด

“รับชำระด้วยบัตรเครดิตมั้ยครับ” อนลก้มตัวถามเจ้าหน้าที่ผ่านกระจกกั้น ทำให้นทนทีเงยขึ้นมองทันที

“นล”

อนลรู้สึกถึงมือของนทนทีเขย่าแขนเขาแรงๆ

“นล เงินมันเยอะ อย่าทำแบบนี้” นทนทีเขย่าแขนรุ่นน้องตนด้วยตกใจที่อนลควักกระเป๋าหยิบบัตรเครดิตส่งให้เจ้าหน้าที่แล้วจึงหันมามองตน

“ผมไม่ได้ให้พี่ฟรีๆหรอกน๊ะ “ ร่างสูงตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะพลางมองคนตรงหน้าทำหน้าตาตื่น

“ผมจ่ายให้ก่อน แล้วพี่ค่อยคืนผมที่หลัง ตอนนี้ให้คุณแม่ของพี่ปลอดภัยก่อนดีกว่า”

นทนทีมองใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ในหัวก็คิดอะไรไปสาระพัดจนปลงตกแล้วจึงได้ตอบรับความช่วยเหลือของเพื่อนรุ่นน้องคนนี้ ด้วยเขาเองก็ไม่มีปัญญาจะหาเงินจำนวนมากมายขนาดนั้นในตอนนี้ได้แน่

“ก็จริง……ขอบคุณน่ะแล้วฉันจะรีบคืนให้เร็วที่สุด”

“ครับๆ คืนช้าผมมีค่าปรับนะพี่” น้ำเสียงแสดงออกถึงการหยอกล้อรุ่นพี่ทำให้เขารู้สึกเบาใจขึ้นมาก

“RRRRRRRRRRRRRRRR “เสียงโทรศัพท์มือถือของอนลดังขึ้นระหว่างที่รอเจ้าหน้าที่

“แกอยู่ไหนเนี่ย แม่รอกินข้าวเย็นอยู่นะ จะไปไหนก็บอกแม่เขาหน่อยสิวะ กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ มาฟังแม่บ่นบ้างเลยแก”

“ช้าๆพี่ ผมอยู่โรงพยาบาลพี่”

“ไปทำอะไรที่นั้น แกเป็นอะไร”

“ไม่ใช้ผมหรอก คุณแม่พี่นทถูกรถชนนะพี่”

“ห๋า!…..โรงพยาบาลอะไร”

อนลบอกชื่อโรงพยาบาลกับพี่ชายก่อนจะหันไปบอกกับร่างโปร่งข้างๆ

“พี่นทครับ เดี๋ยวพี่วีจะมาหาที่นี่ อยู่รอพี่ก่อนแล้วค่อยไปโรงพักด้วยกันดีกว่านะครับ” บอกเสร็จก็หันกลับไม่ได้ทันดูหน้าคนข้างๆ ที่ซีดเผือกลงทันทีที่ได้ฟัง


ไม่ถึงชั่วอึดใจร่างสูงใหญ่ก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าพวกเขา แววตาร่างสูงดูจะขุ่นมัวจนนทนทีใจฝ่อทั้งๆที่ยังไม่ได้พูดคุยกัน ปถวีกวาดตามองคนทั้งสามก่อนจะหยุดสายตาที่อนลน้องชายเขา เขาไม่แปลกใจกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เพราะมันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายอยู่แล้ว แต่เขาแคลงใจในตัวน้องชายตัวเอง อนลมาอยู่ที่นี้ได้ยังไง เขาหันกลับไปมองร่างโปร่งที่ตอนนี้ดูซีดเซียวไปมาก แววตาดูอ่อนระโหยไร้ชีวิตชีวาเหมือนเคย ข้างๆมีเด็กสาวหน้าละม้ายคลายกันยืนปากสั่นระริกรอบดวงตายังคงหลงเหลือรอบคราบน้ำตาให้เห็นชัดเจน


“แม่นายปลอดภัยแล้วใช่มั้ย” ร่างสูงถามย้ำเพื่อให้แน่ใจ พลางสบตาร่างโปร่งบางเพื่อรอคำตอบ แต่ดวงตาแดงก่ำกลับหลบวูบไปอย่างไม่น่าจะเป็น ปกติตาต่อตาฟันต่อฟัน มีอะไรผิดปกติไปเขารู้สึกอย่างนั้น ยิ่งทำให้เขาส่งสายตาคาดคั้นคนตรงหน้าจนได้คำตอบแบบกระท่อนกระแท่น

“หมอบอกว่าปลอดภัยในระดับหนึ่งแต่ยังต้องรอดูอาการอีก”

“หรอ……ถึงมือหมอแล้วคงไม่เป็นไรแล้วละ แล้วติดต่ออะไรเรียบร้อยยัง” ประโยคหลังทำให้ร่างโปร่งเย็นวาบไปทั้งตัว พยายามรวบรวมแรงใจเท่าที่มีตอบ แต่คงไม่ทันใจเจ้าตัวถึงหันไปถามน้องชายที่ยืนอยู่ข้างเด็กสาว

“อือ….คือ…เรื่อง.”

“เรื่องที่โรงพยาบาลนี่ผมจัดการเรียบร้อยแล้วพี่ เหลือแต่ต้องไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ ยังไงพี่ช่วยผมพูดด้วยละกันถ้าแม่เกิดถามขึ้นมา” อนลเห็นนทนทีมีอาการอึดอัดที่จะตอบจึงรีบชิงพูดแทน

“เรื่องอะไร” ปถวีที่มาทีหลังไม่เข้าใจในสิ่งที่น้องชายเขาจะสื่อ จนอนลดึงเขาออกมาคุยจึงเข้าใจ น้องชายเขาใช้บัตรเครดิตจ่ายค่ารักษาพยาบาลแทนนทนที

“ก็อย่างที่บอกละพี่ ถ้าแม่เกิดถามก็ช่วยๆพูดหน่อยนะพี่ ช่วยเหลือกัน”

น้องชายเขาทำท่าเต็มอกเต็มใจออกรับภาระนี้เต็มที่จนน่าหมันไส้ เขาเผลอขึงตาใส่น้องชายก่อนจะมองไปยังร่างโปร่งที่ยืนตัวลีบ มองมาทางเขาเช่นกัน

นทนทีเห็นอาการขึงตาใส่อนลของปถวี จึงเข้าใจว่าชายหนุ่มคงไม่เห็นด้วยกับการกระทำของน้องชาย ก็เงินจำนวนมากขนาดนั้นใครเขาจะมาให้หยิบยืมกันง่ายๆ ละ ใจเขาแทบลงไปกองอยู่ปลายเท้า ถ้าเจ้านั้นไม่เห็นด้วยแล้วเขาจะไปหาเงินที่ไหนได้ในตอนนี้ คนอะไรใจดำ นทนทีนึกบริภาษร่างสูงใหญ่ในใจก่อนจะส่งสายตาวาวโรจน์ด้วยอารมณ์โกรธเคืองไปให้ แม้จะเข้าใจว่าปถวีไม่จำเป็นต้องมารับรู้เรื่องเล่านี้ ด้วยผู้หญิงที่นอนนิ่งอยู่ในห้องฉุกเฉินเป็นแม่ของเขาไม่ใช้แม่ของหมอนั้นซะหน่อย แล้วเขาจะมาเดือดเนื้อร้อนใจอะไรด้วย

ปถวีเห็นสายตาแวววาวก็พอจะเข้าใจความคิดของคนตรงหน้าเป็นอย่างดี เขาเป็นคนใจยักษ์ใจมารในสายตาของเจ้านั้นนี่ ถึงได้ทำหน้าตายังกับจะกินเลือดกินเนื้อเขาขนาดนั้น

“อืม…ถ้าแม่ถามฉันจะช่วยพูดให้” ปถวีตอบน้องชายทั้งๆที่สายตายังคงจับจ้องมองใบหน้าซีดเซียว

คำตอบของปถวีสร้างความประหลาดใจให้กับคนที่ยืนรอฟังคำตอบ ยังกับฟังคำพิพากษาให้ปล่อยตัวยังงั้นละ ชั่วขณะหนึ่งที่เขาคิดว่า พวกเขาไม่กินเส้นกันคนอย่างนายปถวีคงไม่มาเอื้อเฟื้อกับเขาแน่นอน

อาการประหลาดใจของนทนทีไม่ได้รอดพ้นสายตาของปถวีไปเลย เขารู้ว่าร่างโปร่งนั่นกำลังคิดอะไรอยู่ ยังแปลกใจตัวเอง แค่ชายหนุ่มตรงหน้าแสดงท่าทางออกมาเขาก็สามารถแปลภาษากายนั้นออกทันที

“หึ…คนจะเป็นจะตายอยู่ตรงหน้ายังมีแก่ใจมาคิดมากอีกนะ”

อาการของนทนทีทำให้ปถวีถึงกับรำพึงในใจ เรื่องเงินทองไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเขาหรอก เขามีบัญชีค่าใช้จ่ายที่พ่อแม่จะโอนเงินใส่ไว้ให้ตลอด โดยไม่เคยตรวจดูว่าเขาใช้จ่ายอะไรไปบ้าง ยังไม่นับรายได้เงินปั่นผลหุ้นในชื่อเขาอีก ขอแค่เขาไม่ติดยา ตั้งใจเรียน แค่นี้พ่อแม่เขาก็ไม่มาจู้จี้กับเรื่องส่วนตัวหรือการใช้จ่ายของเขาแล้ว แต่เจ้านั่นทำเหมือนเขาเป็นคนใจดำ ขี้ตืด ไม่ต้องห่วงเขาทำแน่ แต่ทำกับคนอื่นมันจะไปสนุกอะไร ต้องทำกับตัวต้นเรื่องมันถึงจะสนุก คอยดูเถอะ ไอ้แววตาดื้อดึง ท้าทายนั้น เขาจะทำให้มันเชื่อง จนชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้เลยทีเดียว


หลังจากพากันไปแจ้งความที่โรงพัก นทนทีก็ได้รับความจริงที่เจ็บปวดอีกครั้ง เจ้าของรถกระบะที่ชนมารดาเขาหนีไปแล้ว ถึงจะรู้ทะเบียนรถแต่คนขับก็หนีหายไปแล้ว เขาเข่าอ่อนแรงลงทันที แต่ก็ยังฝืนประคองน้องสาวออกมาจากโรงพัก ด้วยน้องสาวเขาหมดแรงทรุดลงกองกับพื้นไปแล้ว

“พี่นท แม่จะเป็นเหมือนพ่อรึเปล่า”

บิดาของเขาเสียชีวิตด้วยถูกรถชน จากพวกเมาแล้วขับ ซ้ำคนขับก็หนีไป ถึงจับตัวได้ในภายหลังแต่บิดาเขาก็เสียชีวิตไปแล้ว น้องสาวเขาคงกลัวว่ามารดาจะเป็นเหมือนบิดา ถึงได้ร้องไห้หนักกว่าตอนที่อยู่โรงพยาบาลอีก

“แม่ไม่เป็นไรหรอกวา คุณหมอก็บอกแล้วไง” เสียงปลอบน้องสาวเบาๆ

“กลับบ้านไปนอนพักก่อน พรุ่งนี้จะได้ไปเยี่ยมแม่แต่เช้าไง”

สองคนพี่น้องนั่งรถของอนลกลับมายังบ้านตน โดยมีปถวีขับรถตามหลังมา บรรยากาศภายในบ้านดูเงียบเหงาด้วยปกติพวกเขากลับบ้านก็จะเจอแม่ตลอด นทนทีดึงน้องสาวให้ไปอาบน้ำเข้านอนเพราะตอนนี้เกือบตีสามแล้ว

ภายในบ้านไม้สองชั้นดูสะอาดเรียบร้อยไปทุกมุม เฟอร์นิเจอร์เรียบง่ายมีเท่าที่จำเป็นต้องใช้งาน พื้นบ้านถูกขัดถูจนขึ้นเงา บ่งบอกความเอาใจใส่ของผู้อาศัย
ปถวีกวาดสายตาสำรวจภายในบ้านนทนทีเงียบๆ จนเจ้าของบ้านเดินลงมาจากชั้นสองนั้นละ เขาจึงเงยหน้ามองเจ้าของร่างโปร่งที่เดินตรงเข้ามาหาพวกเขา

“ตาจะปิดแล้วอนล” นทนทีเห็นอนลนั่งตาปรือหาวหวอดๆ ด้วยอดนอนอยู่ช่วยเขาจัดการทุกอย่างจนเข้าที่เข้าทาง

“จะขับรถกลับไหวหรอ อันตรายนะถึงจะไม่ไกลก็เถอะ ค้างที่นี่เลยมั้ย”

“เกรงใจครับพี่”

“อย่ามาเกรงใจกันนะ ช่วยพี่ไว้ตั้งเยอะ มีที่ให้นอนแน่นอนประวิชยังมาค้างบ่อยๆ

“งั้นไม่เกรงใจละพี่ ไม่อยากกระดิกตัวทำอะไรแล้ว ง่วงจริงๆ” อนลขยับตัว พลางหันไปถามพี่ชาย

“แล้วพี่ละ จะค้างหรือกลับบ้าน”

นทนทีลืมไปเลยว่ายังมีปถวีอยู่ด้วย สายตาลังเลคู่นั้นทำให้เขาตัดสินใจเอ่ยชวน เพราะวันนี้ชายหนุ่มช่วยเขาไว้มากเหมือนกัน คงต้องพักเรื่องส่วนตัวไว้ก่อนแล้วกัน

“ถ้ายังไงก็ค้างซะด้วยกันมั้ย เดี๋ยวหาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้ซะทีเดียวเลย”

ไม่มีวาจาค่อนขอดให้ระคายหู ทำให้ผู้ฟังรู้สึกดีอย่างประหลาด พยักหน้าตอบรับคำชวนนั้น

นทนทีจัดการเอาเสื้อผ้าของพ่อที่ยังเก็บไว้นำมาให้สองหนุ่มใส่หลังอาบน้ำเสร็จ จึงพาขึ้นไปยังห้องนอนของตนที่อยู่บนชั้นสองของบ้าน

หน้าต่างเปิดรับลมรอบด้านทำให้บรรยากาศภายในห้องโปร่งสบาย น่านอน เตียงกว้างขนาดนอนได้สามคนสบายๆถูกวางติดกับผนังห้องด้านหนึ่ง

“นอนด้วยกันที่นี่ละนะ เตียงกว้างคงไม่เบียดกันมากหรอก”

นทนทีให้สองหนุ่มจับจองที่กันตามสะดวก ตนเองลงมาอาบน้ำ สำรวจปิดประตูหน้าต่างเรียบร้อยแล้วนั้นละ จึงเดินขึ้นไปยังห้องนอน

อนลเลือกนอนติดฝาผนังห้องถัดมาก็เป็นปถวี สรุปเขาต้องนอนข้างเจ้าหมอนี่สิเนี่ย คนนอนติดฝาดูจะหลับสนิทไปแล้ว แต่อีกคนกำลังมองตรงมาทางเขา ทำให้รู้สึกประหม่าจนต้องเผลอชวนคุยออกไป

“ผิดที่จนนอนไม่หลับรึไง” ร่างโปร่งทรุดตัวนั่งลงขอบเตียงมองคนที่นอนอยู่ก่อนแล้ว”

“คงงั้น”

“นอนไปเดี๋ยวก็หลับเองละ”

นทนทีล้มตัวลงนอนดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงอก พลางตะแคงตัวหันหลังให้ วันนี้เขาเหนื่อยใจเหนื่อยกายมากจนไม่อยากจะมาต่อปากต่อคำอะไรกับใคร และต่อให้ฟ้าถล่มดินสะเทือนอยู่ข้างหน้าเขาก็จะนอนให้ได้ แล้วเจ้าตัวก็หลับลงในเวลาอันรวดเร็วอย่างใจนึก

เสียงลมหายใจดังสม่ำเสมอของร่างโปร่งดังขึ้นเบาๆนั้นละ ปถวีจึงเท้าแขนมองศีรษะทุยท่ามกลางความมืดสลัว

โกรธเกลียดเหม็นหน้ากันมาตั้งนาน วันนี้กลับต้องมานอนติดกันเฉยเลย กลิ่นหอมสบู่อ่อนๆโชยเข้ามาแตะจมูก ทำให้ใจคอเขารู้สึกสงบอย่างน่าประหลาดเมื่อมีร่างนี้นอนอยู่ใกล้ ก่อนจะผ่อยหลับตามกันไปในที่สุด

“ผู้ชายอะไรตัวหอม”

********************************************

เสียงนกส่งเสียงกันระเบ็งเซ็งแซ่อยู่ภายนอก ท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่างรำไร ร่างโปร่งที่นอนหลับสนิทจากความเหนื่อยล้าขยับตัวหยุกหยิก ขนตายาวกระพริบปริบๆ

ปกติเขาจะตื่นเช้าเพราะต้องตื่นมาช่วยแม่จัดผลไม้ออกไปขายที่แผงทุกวัน แต่วันนี้เขารู้สึกหนักๆ พิกล อึดอัดเหมือนมีอะไรมาทับตัวเขาจนต้องตื่นเต็มตา

“หือ..”

หน้าคู่อริอยู่ห่างกันแค่คืบทำเอาเขาผงะออกทันที เพราะเคยนอนคนเดียวมาตลอด แขนของคนตัวใหญ่พาดอยู่บนตัวเขา นี่เองสาเหตุของอาการอึดอัด เขาค่อยๆยกแขนหนักของชายหนุ่มออกจากตัว ก่อนจะลุกขึ้นนั่งมองหน้าคนที่ยังนอนหลับสนิท

“นี่กลายเป็นว่า ฉันเป็นหนี้บุญคุณนายแล้วสิ”

พับผ้าห่มเสร็จนทนทีลุกขึ้นจากเตียงเดินลงไปชั้นล่าง จัดการธุระส่วนตัวแล้วจึงเข้าครัวเตรียมอาหารสำหรับเขาและแขกเมื่อคืน

ปถวีลืมตาหลังจากนทนทีลุกออกไปจากห้องนอน เขาตื่นตั้งแต่ตอนที่นทนทียกแขนเขาออกจากเจ้าตัว แต่ใครจะกล้าลืมตากันละ ก็เขาเล่นนอนกกกอดร่างอุ่นนั้นตลอดคืนโดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเลย

“ทำไปได้ไงวะ จำไม่ได้เลย”

เมื่อคืนเขารู้สึกถึงความหอมอุ่นอยู่ใกล้ตัว ยิ่งไขว้คว้ามาแนบชิดยิ่งรู้สึกสบายก็เลยยึดไว้ซะเลย กำลังคิดถึงคนที่อยู่ในมโนภาพก็สะดุดขึ้นมาเฉยๆ

ประวิชมานอนค้างบ่อยๆ

คิดถึงคำบอกเล่าของนทนทีเมื่อคืน นอนเตียงเดียวกันเนี่ยนะ นึกพลางย่นจมูกใส่ความคิดนี้ทันที

*****************************************

แกงส้มผักบุ้ง ปลาทอดกรอบ ผัดผักรวมมิตร พร้อมข้าวสวยร้อนๆ สี่จานถูกวางเตรียมบนโต๊ะด้วยฝีมือของนทนที

“ขอโทษนะค่ะพี่ หนูไม่ได้มาช่วย หลับยาวเลย ” น้องสาวเขาทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ พร้อมหนุ่มอีกสองคน เขายิ้มให้น้อง ด้วยวัยเท่านี้คงยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ให้พร้อมเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ดีนัก ให้นอนพักมากๆ ละดีแล้ว

“กินข้าวเถอะ” นทนทีตัดบทไม่อยากให้น้องกังวล

อนลมองหน้าซีดๆ ของเด็กสาว เจอครั้งแรกเมื่อวาน เขาสะดุดตากับใบหน้าอันสดใส อิ่มเอิม แลดูสดชื่นตลอดเวลา จนเขาพลอยรู้สึกกระชุ่มกระชวยไปด้วย แล้วดูตอนนี้สิ หน้าขาวซีด ดวงตาอิดโรย รู้สึกเหมือนว่าจะปล่อยไปไม่ได้แล้ว เขาไม่อยากเห็นเด็กสาวเป็นอย่างนี้ตลอดไป

“ทานข้าวเสร็จแล้วค่อยไปดูแม่กันน้องวา” อนลคะยั้นคะยอให้เด็กสาวทานข้าวด้วยเป็นห่วงเห็นเด็กสาวเขี่ยข้าวไปมา

“ไม่เป็นไรนล กวนนลมากแล้ว เดี๋ยวพี่ไปกันเอง”

“กำลังเดือดร้อนก็ช่วยๆ กันพี่ อย่าคิดอะไรมาเลย”

นทนทีระบายลมหายใจช้าๆ ด้วยรู้สึกหนักใจ แค่เรื่องเมื่อวานเขาก็รู้สึกกังวลถึงเงินก้อนนั้นจะแย่แล้ว แต่ก็ไม่รู้จะไปขอความช่วยเหลือจากใครได้อีก ญาติพี่น้องก็กระจัดกระจายไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับใครเป็นพิเศษเลย เขามองหน้าอนล ก็พบรอยยิ้มเต็มใจกับการให้ความช่วยเหลือครั้งนี้

ปถวีฟังการสนทนาของทั้งสามเงียบๆ พลางตักข้าวใส่ปากไปเรื่อยๆ เขาสังเกตพฤติกรรมของน้องชาย ดูท่าจะติดอกติดใจเด็กสาวตรงหน้าเข้าแล้ว เหลือบตามองพี่ชายของเด็กสาวคงยังไม่ระแคะระคายเรื่องนี้ แต่เขากับน้องเกิดคลานตามกันมา ทำไมเขาจะดูไม่ออก

กินข้าวหมดไปสองจาน ปถวีจึงยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม มองดูทั้งสามเตรียมตัวไปโรงพยาบาลอีกครั้ง

“พี่กลับบ้านไปก่อนเถอะ ผมจะไปโรงพยาบาลกับพี่นท”

ฮึ……ไอ้น้องบ้า พอหมดประโยชน์ก็เขี่ยทิ้งกันเลยนะแก รึงมันกลัวเราจะไปเป็นกางขวางคอ



ภายในโรงพยาบาลแม่ของนทนทียังคงอยู่ในห้องไอซียู จึงไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้ เขาจึงไปถามอาการเจ็บของแม่กับแพทย์ผู้รักษาเพื่อปรึกษาเรื่องการย้ายโรงพยาบาล เพราะที่นี่เป็นโรงพยาบาลเอกชน เขารับภาระค่าใช้จ่ายไม่ไว้ ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะย้ายแม่ไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลของรัฐให้เร็วที่สุด ซึ่งแพทย์ก็ให้คำตอบแก่เขาอย่างกระจ่างที่เดียว เขาสามารถย้ายโรงพยาบาลได้ แต่ต้องรอให้อาการของแม่ทุเลาจนสามารถเคลื่อนย้ายตัวได้เสียก่อน ไม่น่าจะเกินอาทิตย์หนึ่งถ้าแม่ของเขาอาการดีขึ้นเป็นลำดับแบบนี้

นี่ละปัญหา ถ้ายังอยู่ที่นี่ เขาต้องหาเงินมาชำระค่ารักษาแม่ทุกสองวัน แต่ปัญหานี้ได้อนลเข้ามาช่วยอีกครั้ง เขารู้สึกสำนึกในบุญคุณครั้งนี้ แต่ก็ต้องบอกกับอนลไว้ก่อนว่า เขาคงคืนเงินในคราวเดียวไม่ได้ คงเป็นการทยอยคืนซึ่งต้องรอให้แม่ฟื้นก่อนคงจะรู้เรื่องมากกว่านี้

อนลยิ้มให้แทนคำตอบ จนเขารู้สึกเบาใจเรื่องแม่ไปมากโข รู้สึกตัวเองยังโชคดีตอนตกทุกข์ได้ยากยังมีคนเข้ามาช่วยเหลือ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 5 เสียท่าจนได้!!!
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 26-09-2009 16:23:10
ตอนที่ 7

“แบ่งมาให้ฉันถืออีกก็ได้นท”

คนตัวใหญ่แรงเยอะอย่างประวิชถาม ด้วยเห็นนทนทีถือถุงใบโตที่อัดแน่นด้วยอุปกรณ์ตกแต่งซุ้มสำหรับงานประจำปีของมหาวิทยาลัยที่จะจัดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้านี้ คงหนักมากถึงเห็นเส้นเอ็นปูดโปนเป็นแนวตึง

“ไม่เป็นไร ของนายก็หนักจะแย่แล้ว” ร่างเล็กกว่ายิ้มรับน้ำใจเพื่อน
 
“โอ๊ย………ไอ้เรารึหนักจะตายไม่ถามซักคำ” คนตัวเล็กกว่าอีกคนที่เดินถือของมาด้วยกันประชดขึ้นมาทันที

“นายมันคนต้นคิดเรื่องนี้จะมาบ่นทำไม” ประวิชหันมาพูดใส่

ไผ่มองคนตัวโตเขม็ง ไม่ว่าเขาจะพูดจะทำอะไรเป็นต้องไม่ถูกใจเจ้ายักษ์นี่อยู่เรื่อย แต่ยิ่งบ่นเขาก็ยิ่งจะหาเรื่องมาให้คนตัวใหญ่ได้หัวหมุนตลอด ก็คิดดูสิ มีคนตัวโตๆ มาคอยวิ่งวุ่นช่วยงานอยู่รอบๆตัว มันน่าสนุกดีออก เหมือนตัวเองเป็นพระราชายังไงก็ไม่รู้

“มันงานมหาลัยของเรา ช่วยๆกันหน่อย………” ท้ายประโยคลากเสียงยานคางชวนให้ประวิชอดหมั่นไส้ไม่ได้

นทนทียิ้มให้กับท่าทางของทั้งคู่ เมื่อวานสองคนนี้ไปเยี่ยมแม่เขาที่บ้าน หลังจากออกจากโรงพยาบาลเอกชน เขาก็ย้ายแม่ไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลของรัฐ ตอนนี้แพทย์อนุญาตให้แม่เขากลับมารักษาตัวต่อที่บ้านได้แล้ว เขาดีใจที่แม่ปลอดภัย ช่วงนี้รอให้กระดูกที่หักเชื่อมสนิทกันเท่านั้น คิดๆไปก็ดีแล้วที่อนลเข้ามาช่วยเรื่องเงินทองเพราะตอนออกจากโรงพยาบาลเอกชนรวมค่ารักษาแม่เขาร่วมสี่แสนบาท ตอนเช็คยอดเงินเขาแทบล้มทั้งยืน ส่วนค่ารักษาโรงพยาบาลของรัฐเขาจ่ายเองหมด

แม่ซึ่งรู้สถานการณ์ดีพออาการทุเลาจึงปรึกษากับเขาให้เอาโฉนดที่บ้านไปจำนองเพื่อเอาเงินออกมาคืนเพื่อน ด้วยความเกรงใจเพื่อนรุ่นน้อง เขาจึงรีบบอกกับอนลว่าจะคืนเงินให้ในอีกสองสามวันข้างหน้า พอบอกไปอนลก็ถามกลับทันที

“อย่าว่าผมดูถูกพี่เลยนะครับ พี่เอาเงินจากไหนมาคืนผมครับ”

เขารู้ว่ารุ่นน้องคนนี้นิสัยใจคอยังไง จึงไม่รู้สึกถึงอารมณ์เหยียดหยามในคำถามนั้น

“แม่ให้เอาที่บ้านไปจำนองนะนล แล้วเราค่อยผ่อนคืนเขา”

“แล้วมันต่างกันตรงไหนอะพี่ แค่เปลี่ยนเจ้าหนี้แต่ก็ยังเป็นหนี้เหมือนเดิม ไม่สิ ยิ่งกว่าเดิมเพราะต้องเสียดอกเบี้ยอีก”

“เกรงใจนลนะ เพื่อนกันยืมเงินกันมันไม่ค่อยดี พี่ไม่อยากเสียเพื่อนดีๆอย่างนลไปนะ”

“พี่พูดยังกับพี่จะไม่คืนผมงั้นละ”

“ไม่ใช่แบบนั้น”

สุดท้ายพวกเขาจึงเข้าไปคุยกับแม่เรื่องนี้อีกครั้งจนได้ข้อสรุปจากปถวี

“ถ้าคุณน้ากังวล ผมจะรับจำนองโฉนดไว้เอง คืนเงินหมดเมื่อไรผมจะคืนโฉนดให้ เดี๋ยวจะให้ทนายร่างสัญญามาให้ลงคุณน้าลงชื่อ ดีมั้ยครับ”

ตอนนี้เลยกลายเป็นว่า เขาเป็นหนี้ปลอดดอกเบี้ยสองพี่น้องคู่นี้โดยสมบูรณ์แบบ และบ้านที่เคยอยู่กันเพียงสามคน ร้อยวันพันปีจะมีคนมาเยี่ยมสักคน ก็เริ่มมีแขกแวะเวียนมาสม่ำเสมอโดยเฉพาะอนล อาจเพราะบ้านอยู่ไม่ไกลกันมากละมั้ง อนลจึงมาเยี่ยมอาการเจ็บของแม่เขาบ่อยที่สุด จนกลายเป็นแขกประจำบ้านยิ่งกว่าประวิชซะอีก ซึ่งเขาเองก็ชอบ เพราะการมาของชายหนุ่มผู้นี้จะนำพาความสดใสติดมาด้วยเสมอ ส่วนผู้เป็นพี่ชายก็มาอยู่ครั้งสองครั้งเห็นจะได้ ถึงยังไงพวกเขาก็ยังไม่ถูกกันอยู่ดี ความรู้สึกนี้ยังไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่เขารู้สึกเกรงใจชายหนุ่มอยู่บ้างจากการช่วยเหลือในครั้งนี้ เพราะฉะนั้นเขาจะพยายามไม่ไปกวนโทสะผู้มีพระคุณโดยไม่จำเป็นเป็นการตอบแทนก็แล้วกัน

ประวิชเองพอรู้เรื่องก็เสียใจที่ตัวเองไม่สามารถช่วยเหลือเรื่องนี้ได้ ถึงแม้บ้านประวิชจะมีฐานะดี แต่ก็ไม่ถึงกับที่จะเบิกจ่ายเงินเป็นแสนๆมาให้ได้ ซึ่งเขาก็เข้าใจดี แค่นี้ก็ซึ้งน้ำใจเพื่อนมากพอแล้ว

พวกเขาเริ่มเตรียมงานประจำปีมาประมาณอาทิตย์หนึ่งได้แล้ว รูปแบบของงานในปีนี้จะจัดแบบงานวัด ทุกชมรม หน่วยงานในมหาวิทยาลัยต่างก็มาออกร้านของตนเอง โดยจะมีชมรมกิจการนักศึกษาเป็นหลัก พวกเขาจึงถูกไผ่เกณฑ์มาช่วยงาน

เพราะชมรมหนังสือพิมพ์ของเขาออกร้านแคะขนมครกไข่นกกระทา จึงไม่ยุ่งยากมากนัก แต่ไม่เฉพาะพวกเขาหรอกที่โดนไผ่กะเกณฑ์มา สองพี่น้องเจ้าหนี้เขาก็ถูกลากให้มาช่วยงานด้วยเช่นกัน เขาจึงต้องเจอหน้าปถวีบ่อยๆ แต่ด้วยข่าวลือที่แพร่สะพัดจากคำพูดกินนัยของเขาวันนั้น ทำให้เขาสองคนถูกเพื่อนมองด้วยสายตาแปลกๆ บ้างก็หัวเราะคิกคักสนุกสนาน กับการสังเกตดูพฤติกรรมของพวกเขา

ตัวเขาเองไม่ได้สะทกสะท้านกับข่าวลือคู่เกย์ที่ว่านั้นหรอก ก็ไม่ได้ทำจริงนี่จะอายไปทำไม แต่ที่ดูจะไม่ชอบใจก็ตรงที่คนรอบข้างดูจะชอบจับคู่ให้เขาทำงานคู่กับเจ้ายักษ์นั้นอยู่บ่อยๆ ซึ่งเขาก็ได้เจอกับสายตาที่แทบจะหักคอเขาอยู่เนืองๆ ด้วยทำอะไรกับข่าวลือนั้นไม่ได้ คงแทบกระอักเลือดเลยละมั้งเนี่ย ทำไมเขาคิดช้านัก วิธีที่ไม่ต้องใช้แรงเลยสักนิดก็ทำให้คนเจ็บได้ เจ็บที่ตัวมันรักษาได้แต่เจ็บที่ใจคงรักษากันลำบากหน่อยนะ....นายปถวี

พวกเขาเดินถือของไปถึงซุ้มของชมรมกิจการนักศึกษา ซุ้มนี้กินบริเวณมากกว่าซุ้มอื่นถึงสามเท่าด้วยเป็นร้านหลัก ซึ่งก็จะมีกิจกรรมให้ผู้เข้ามาได้เล่น อย่างเกมปาลูกโป่ง ช้างน้อยตกน้ำ สอยดาว เกมตอบปัญหามหาสนุก ก็คงจะเป็นคำถามเพี้ยนๆของพวกบ้าๆนั้นละ และที่สุดของค่ำคืนนั้นคือ คอนเสิร์ตจากศิลปินสุดฮิตที่เชิญมาจากค่ายดังของประเทศ

วันนี้เขาก็ถูกจับคู่กับปถวีให้ช่วยกันติดกระดาษสีรอบๆบริเวณซุ้ม เจ้ายักษ์นั่นทำหน้าบอกบุญไม่รับเหมือนเดิม ส่วนประวิชถูกไผ่กันให้ไปช่วยงานอีกด้านหนึ่ง

“ไผ่บอกให้แปะกระดาษบนเชือกสลับสีกันไป” ร่างเล็กบอกคนตัวโตด้วยเขาเป็นคนถือกระดาษส่งให้ปถวีติด

“อือ”

คงกลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปาก คนตัวใหญ่ถึงได้ตอบสั้นกุดนัก

ปถวีรีบติดกระดาษไปรอบบริเวณโดยเร็ว ด้วยไม่อยากอยู่ใกล้ร่างเล็กนานนัก เพราะจะเข้าทางเจ้าแมวบ้านั้นปะไร แต่ดูเหมือนเขาจะถูกเล่นงานเข้าซะแล้ว ด้วยร่างโปร่งเข้ามาใกล้เขาเกินความจำเป็น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้นยิ่งทำให้แน่ใจว่า ร่างเล็กๆ กำลังจะตอกย้ำข่าวลือยิ่งขึ้นไปอีก จะเอาให้ไม่ได้ผุดได้เกิดเลยรึไงวะ อดทนต่อไปไม่ไหวจึงส่งสายตาขวางๆไป แต่เจ้าตัวกลับทำไม่รู้ไม่ชี้

“ชอบให้คนมองแปลกๆรึไง ออกไปยืนห่างๆฉันไป๊” ปถวีส่งเสียงเข้นรอดไรฟันยิ่งทำให้คนที่กำลังยิ้มกริ่มรู้สึกสนุกขึ้นไปอีก

“ฉันไม่ได้ทำอะไรซักหน่อย ทำไมฉันต้องรู้สึกอะไรด้วยละ”

คำตอบแบบไร้เดียงสา ทำให้ปถวีฉุนกึก รีบก้มหน้าก้มตาทำงานให้เสร็จ จะได้ไปจากตรงนี้ซะที แต่คนที่รู้สึกถึงชัยชนะเล็กๆน้อยๆในครั้งนี้จะรู้มั้ยว่า สิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นกำลังจะย้อนกลับมาหาเขาในอีกไม่ช้านี้ และทำให้เขาไม่สามารถถอนตัวจากสิ่งนี้ได้อีกเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 5 เสียท่าจนได้!!!
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 26-09-2009 16:33:35
ตอนที่ 8

หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการเตรียมงาน ทุกอย่างก็พร้อมเสร็จสรรพสำหรับงานประจำปีของมหาวิทยาลัยคืนนี้

“สวยแล้ววา” นทนทีมองน้องสาวที่กำลังหมุนซ้ายหมุนขวาอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในบ้าน ก่อนจะไปงานที่มหาลัยกับเขา

“พี่ก้อ…อย่าแซวสิค่ะ”

น้องสาวเขาขอตามไปเที่ยวงานด้วย และแม่ก็มีอาการดีขึ้นมากจนไม่ต้องมีใครคอยอยู่ใกล้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว เขาจึงอนุญาตให้น้องไปกับเขาด้วย ยังไงก็มีประวิชคอยช่วยดูแลวารีอีกคน

ภายในมหาวิทยาลัยบริเวณรอบสนามฟุตบอลถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่จัดงานประจำปี ซุ้มต่างๆถูกจัดตั้งไว้รอบสนามเพื่อเว้นที่ว่างตรงกลางไว้สำหรับเป็นเวทีคอนเสิร์ต นทนทีมาถึงซุ้มของชมรมหนังสือพิมพ์ก่อนเริ่มงานเวลาหนึ่งทุ่มตรง เพื่อช่วยเพื่อนสมาชิกชมรมเตรียมร้านก็เห็นประวิชมาก่อนเขาแล้ว

“สวัสดีค่ะพี่วิช” วารียกมือไหว้เพื่อนพี่ชายตน

“วันนี้น้องวาสวยจริง” ประวิชเอ่ยชมอย่างคนคุ้นเคย ด้วยวันนี้วารีที่เขาเอ็นดูเหมือนน้องสาวเขาคนหนึ่ง แต่งตัวได้น่ารักน่ามองสมวัย กางเกงยีนส์สีเข้มเข้ารูปเอวต่ำพอสวยงาม กับเสื้อคอปาดแขนกระปุกนิดๆสีฟ้าอ่อน ผมสลวยถูกรวบมัดเป็นหางม้าเผยใบหน้าขาวเนียนอ่อนวัย ชวนสะดุดตาหนุ่มแถวนี้กันเป็นทิวแถว วันนี้เขาคงต้องคอยเป็นไม้กันหมาซะละมั้ง

“พองานเริ่มเราค่อยไปเดินเที่ยวกันนะน้องวา”

“ค่ะพี่ แล้วมีอะไรให้วาช่วยมั้ยพี่”

“แน่นอน ไม่ให้มาเที่ยวฟรีๆแน่” ประวิชล้อเด็กสาวด้วยความสนิทสนม

ใกล้เวลาเริ่มงานอนลก็มาปรากฏตัวที่ซุ้มของพวกเขาด้วยไม่ได้เป็นสมาชิกชมรมใด

“ผมไปหาพี่ที่บ้าน กะว่าจะรับมาด้วยกัน พี่นทออกมาก่อนแล้ว”

“ออ…….ต้องมาเตรียมร้านนะนล”

“งั้นขากลับ กลับด้วยกันนะพี่”

“ดีสิ..ขอบใจมาก” นี่เขายังไม่ได้ให้เบอร์โทรศัพท์บ้านกับอนลหรอเนี่ย เขาเพิ่งรู้สึกตัวนะนี่ เดี๋ยวเสร็จงานค่อยบอกดีกว่า

“ว้าว….วันนี้น้องวาน่ารักมากเลย” อนลหันไปทักทายเด็กสาวที่ตนพึงใจ

“ขอบคุณค่ะพี่นล”

“สนใจซุ้มไหนเป็นพิเศษรึเปล่าน้องวา”

“ยังไม่รู้อะไรเลย คงต้องเดินดูหมดทุกซุ้มนั้นละค่ะ”

“ได้ๆ วันนี้สามทหารเสือจะคอยบริการเจ้าหญิงเองนะ”

“ดีค่ะ เจ้าหญิงจะชี้นิ้วเอาทุกอย่างเลยค่ะ”

“ฮะ…ฮ้า….ก็แย่สินน้องวา” อนลหัวเราะกับคำประชดของเด็กสาว

“แล้วพี่ปถวีไม่ได้มาพร้อมพี่นลหรอค่ะ”

“รายนั้นเขาอยู่คอนโดแถวประตูน้ำโน้นแนะ ไม่ได้อยู่บ้านใหญ่ด้วยกันกับพี่หรอก อาจมาแล้วแต่คงอยู่ที่ชมรมมวยสากลของเขาละ เห็นว่าออกร้านขายน้ำผลไม้ปั้น คิดได้ไงก็ไม่รู้ นักมวยขายน้ำปั้น ฮ้าๆ เดี๋ยวเราเดินไปดูเขาด้วยเป็นไง”

“ค่ะ”

ผู้คนเริ่มเข้ามาภายในงานหนาตาขึ้นเรื่อยๆ หลายๆร้านมีลูกค้าแน่นขนัดโดยเฉพาะร้านน้ำ ยิ่งเดินมากก็ยิ่งกระหายน้ำ ทำให้ร้านน้ำผลไม้ปั้นของชมรมมวยขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

“ขายดีจริงพี่” อนลเดินพาวารีมาที่ซุ้มชมรมมวยสากล เห็นพี่ชายตนกำลังคันน้ำส้มด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ

“เออวะ ทำไม่ทันเลย” ตอบโดยไม่ทันมองว่ามีเด็กสาวตามน้องชายตนมาด้วย พอเห็นเข้าจึงยิ้มให้วารีเก้อๆ ด้วยเมื่อกี้เขาพูดจาดิบๆใส่น้องชาย ไม่คิดว่าจะมีผู้หญิงอยู่ด้วย

“มาเที่ยวด้วยหรอน้องวา”

“ค่ะ มากับพี่นท แต่ตอนนี้พี่เขายุ่งพี่วิชก็ยุ่ง พี่นลเลยอาสาพาเดินเที่ยวค่ะ” วารีส่งยิ้มให้ปถวีจนเขารู้สึกเอ็นดูไม่ได้ ทำไมบรรยากาศรอบตัวถึงได้ต่างกับพี่ชายนักก็ไม่รู้ รายนั้นดูอวดดีจนน่า……..น่าอะไรดี……น่าทำให้ร้องไห้มาสยบอยู่แทบเท้าละมั้งถึงจะสมใจเขา ดูท่าเจ้าน้องชายเขาจะชอบเด็กสาวนี่จริงๆ ถึงได้คอยดูแลตลอด แต่ไม่ยักจะแสดงอะไรออกมาให้เด็กสาวรับรู้เลย คงกลัวข้อหาพรากผู้เยาว์ รักเด็กก็ต้องรอกันหน่อยนะไอ้น้องชาย

“รอเดี๋ยวนะ ลองชิมน้ำส้มปั้นฝีมือพี่ก่อน” ปถวีจัดแจงลัดคิวน้ำปั้นให้เด็กสาวตรงหน้าจนสาวๆที่มาคอยมาซื้อน้ำหรือคอยตามตื้อเขาส่งค้อนให้เด็กสาวกันเป็นแถว

“อร่อยค่ะพี่ เยี่ยมๆ” วารีชิมแล้วยกนิ้วให้

เสียงประกาศกลางเวทีคอนเสิร์ตบอกให้ผู้มาร่วมงานรู้ว่าการแสดงบนเวทีกำลังจะเริ่มแล้ว

“ไปดูกันมั้ยน้องวา” ปถวีชวนวารีไปดูนักร้องคนดังที่กำลังจะเปิดการแสดง

“ไปค่ะ แต่พี่นทบอกว่าจะไปดูด้วยกันนะค่ะ”

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปบอกพี่นทว่าน้องวาล่วงหน้าไปกับพี่วีแล้ว ให้ตามไปสมทบกันดีกว่า จะได้ไม่ย้อนไปย้อนมา” อนลเสนอความคิด

“ค่ะ”

ปถวีเลือกทำเลให้เด็กสาวเห็นหน้านักร้องได้ถนัดๆ

“หน้าตาดีจังนะค่ะ นักร้องนักแสดงเนี่ย” หญิงสาวเปรยๆ

“ก็เขาใช้หน้าตาทำมาหากินก็ต้องดูแลกันอย่างดีละ”

“แต่พี่วีก็หล่อนะค่ะ มากด้วยค่ะ” ถูกเด็กสาวชมกันตรงๆ ด้วยแววตาซื่อๆก็ทำให้ปถวีเขินได้เหมือนกัน

“ขอบใจ” เขาหัวเราะแก้เขิน จนเห็นพวกน้องชายเดินมาอยู่ไกลๆ จึงยกมือแสดงตำแหน่งที่เขายืนอยู่ ด้วยจำนวนคนที่เริ่มหลั่งไหลเข้ามามากขึ้นทำให้ต้องเบียดเสียดกันเข้ามา

“อา…….วันนี้น้องวาน่ารักจัง” ไผ่ที่ตามมาด้วยเอ่ยชมวารี ด้วยเป็นอีกคนหนึ่งที่รู้จักคุ้นเคยกัน ส่วนวารีได้แต่ยิ้มรับแก้มแดงเรื่อขึ้น ก็วันนี้ถูกชมหลายครั้งจนเขินแล้ว

“คนเยอะนะ” ประวิชมาด้วยเปรยขึ้นมา

“ก็ธรรมดานี่ วันนี้วันงานคนก็ต้องเยอะสิ” ไผ่ซึ่งไม่สังเกตถึงความผิดปกติตอบ

“ไม่ใช่ตรงนั้น” ประวิชหันไปมองไผ่ด้วยงานนี้เป็นหัวเรือใหญ่คนหนึ่ง

“ใช่ ดูเหมือนจะมีคนนอกเข้ามาเยอะมาก ไม่คุ้นหน้าเลย” ปถวีเองก็รู้สึกได้เหมือนประวิชจึงตอบเสียเอง

“ถ้าไม่เกิดเรื่องก็คงดี” ประวิชพึมพำออกมา

“ไผ่ฉันว่านายไปบอกให้ยามทุกจุดเข้มงวดคนนอกมากกว่านี้ดีกว่านะ เห็นกลุ่มไหน คนไหนไม่น่าไว้ใจก็ให้ยามกักตรวจดีกว่า”

ไผ่พยักหน้าเห็นด้วย แต่ไม่ทันจะก้าวเท้าไป ก็ได้ยินเสียงโวยวายอยู่บริเวณหน้าเวทีซะก่อนแล้ว

“เป็นเรื่องแล้วไง” ประวิชคว้าแขนไผ่พลางรั้งเข้ามาใกล้

“รีบไปจากตรงนี้เถอะ เดี๋ยวจะโดนลูกหลง”

การแสดงบนเวทีต้องหยุดไปด้วยเหตุ มีกลุ่มวัยรุ่นทะเลาะกันอย่างรุนแรงถึงขั้นลงไม้ลงมืออยู่บริเวณหน้าเวที

ปถวีที่เดินรั้งท้ายเบียดเสียดผู้คนที่กำลังหาทางหนีกันอลหม่านเช่นเดียวกับพวกเขาหันหลังกลับไปมองจุดที่พวกเขาเดินจากมา เห็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์หลายคนต่างเงื้อมัดเข้าใส่กัน จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ต้นสายปลายเหตุเป็นยังไงยังไม่รู้ แต่ตอนนี้ความรุนแรงเริ่มขยายวงกว้าง พวกที่โดนลูกหลงหลายคนต่างออกหมัดออกเท้าสวนกลับไป แยกไม่ออกว่าใครเป็นคนในคนนอก เพราะแต่งชุดธรรมดากันหมด

“ปัง!”

เสียงดังสนั่นทะลุทะลวงแก้วหูทุกคนที่อยู่บริเวณที่เกิดเหตุ เสียงที่ใครๆต่างเคยได้ยินในหนังละครบ่อยๆ เสียงปืน ทำให้ทุกคนหยุดนิ่งก่อนจะรีบหนีตายกันชุลมุน
 
“เหวอ!” นทนทีถูกกระแทกจนมือที่จับน้องสาวตนไว้แน่นหลุดออก ผู้คนที่ต่างพากันวิ่งหนีเข้ามาแทรกระหว่างเขากับน้องสาวจนคลาดกัน แต่ก่อนที่น้องสาวจะหายไปกับคลื่นฝูงชนเขาเห็นอนลอยู่ใกล้ๆน้องสาว อนลน่าจะพาน้องเขาไปที่ปลอดภัยได้ แต่ตอนนี้เขาต้องประคองตัวเองไม่ให้ล้มลงไปโดนเหยียบแบนเป็นกล้วยปิ้ง
 
“ให้ตายเถอะ” ร่างโปร่งถูกผลักจนเกือบหน้าคะมำลงกับพื้น

“เฮ้ย!” จังหวะที่เขาหันกลับไปมองคนข้างหลัง สายตาก็เหลือบไปเห็นชายวัยรุ่นรูปร่างสูงใหญ่เงื้อขวดเบียร์ฟาดลงบนศีรษะเด็กหนุ่มคนหนึ่ง จนล้มลงไปนอนเลือดไหลอาบหน้า เด็กหนุ่มที่ถูกทำร้ายนอนส่งเสียงครางอย่างเจ็บปวด มือกุมศรีษะตรงบริเวณที่ถูกขวดฟาดแน่น ขาที่กำลังก้าวไปหยุดลงแล้วรีบสาวเท้าเข้าไปหาร่างที่นอนครวญครางบนพื้นหญ้าหวังจะช่วยเหลือ แต่ยังไม่ทันได้แตะต้องร่างนั้น คอเสื้อเขาถูกกระชากจากด้านหลังโดยชายหนุ่มที่ยังถือเศษขวดติดมืออยู่ ความคมของมันแวววาวจับตาในความรู้สึกสำนึกของเขา

“อา……………” เศษขวดในมือใหญ่กำลังพุ่งตรงมาหาท้องเขาแล้ว เหมือนตัวชาและเย็นเยือกขึ้นมาทันที แต่เพียงชั่วเศษเสี้ยวของวินาทีที่ร่างเขาถูกกระชากออกห่างจากปลายขวดคมกริบ พร้อมกับขายาวๆจากด้านหลังสวนยันกระแทกร่างสูงใหญ่เซออกไป ก่อนจะฉุดเขาให้วิ่งหนีไปจากเหตุการณ์เฉียดตายโดยเร็ว เขาวิ่งตามหลังคนตัวใหญ่ที่ช่วยเขาไป กว่าจะรู้ตัวคนที่ช่วยคือปถวี ก็เล่นเอาเขาหอบไปพักใหญ่

ปถวีพาร่างโปร่งไปยังรถยนต์ของเขาที่จอดเทียบเคียงกำแพงลานจอดรถ ซึ่งอยู่ในมุมที่แสงสว่างจากหลอดไฟนีออนส่องสว่างมาไม่ถึง บริเวณนี้จึงเป็นมุมอับมืดสลัวเห็นเพียงเงาลางๆ ของปถวีที่พยายามจับเขายัดใส่รถคันใหญ่โตของตนแล้วปิดประตูเสียงดังจนคนข้างในสะดุ้ง ร่างสูงเข้ามานั่งประจำที่นั่งคนขับพลางควักโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรด้วยอาการฉุนเฉียว

“นล ปลอดภัยมั้ย”

“ปลอดภัย พี่ละ ผมโทรหาพี่ไม่ได้เลย”

“ปลอดภัย แล้วคนอื่นๆละ”

“น้องวาอยู่กลับผมพี่ ปลอดภัยดีเหมือนกัน เมื่อกี้พี่ไผ่เพิ่มโทรมาบอกว่าปลอดภัยดีแต่จะไปแจ้งความที่โรงพักกับพี่ประวิชนะพี่ แล้วพี่นทละ” เสียงอนลถามมาตามสัญญาณโทรศัพท์

“อยู่นี่แล้ว ไม่เป็นไร แล้วตอนนี้แกอยู่ที่ไหน”

“ผมพาน้องวาออกมานอกมหาลัยแล้วพี่ กลัวเขาจะถูกลูกหลง ต้องพาออกมาไกลๆ ก่อน”

“ดี งั้นฝากพากลับบ้านไปเลยแล้วกัน ตอนนี้ฉันอยู่ด้านหลังมหาลัยเดี๋ยวจะตามไปสมทบ”
 
“ครับพี่ บาย”

สิ้นเสียงการสนทนาร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆหันกลับมามองเขาตาขวางทันที

นทนทีที่กำลังกังวลถึงน้องสาวก็โล่งใจโดยไม่ต้องถามคนข้างๆ ด้วยบทสนทนาที่ได้ยินเมื่อครู่ ทำให้รู้ว่าทุกคนปลอดภัยดี และอนลกำลังพาน้องสาวเขากลับบ้าน ถ้าเป็นอนลเขาคงไม่ต้องเป็นห่วงอะไรอีก แต่คนข้างๆ นี่สิ ทำหน้ายังกับไปกินรังแตนมาแนะ

“เข้าไปทำบ้าอะไรห๊า อยากถูกเสียบพุงทะลุรึไง” เสียงระเบิดอารมณ์ดังก้องไปทั่วรถยนต์คันงาม

“คิดว่าเข้าไปแล้วจะช่วยอะไรได้รึ สติดีเปล่าวะ”

“ก็……” นทนทีอึกอักไม่รู้จะตอบอะไรออกไปถึงจะดี เพราะตอนนี้เขารับรู้ถึงอารมณ์เกรี้ยวกราดที่ส่งผ่านมาถึงตัวเขาได้เป็นอย่างดี ถ้าตอบผิดหูเจ้ายักษ์นี้ขึ้นมาได้แผ่นดินสะเทือนแน่

“สมองไม่มีหยักรึไง………มันน่านัก” ปถวีสบถออกมาอีกหลายประโยค แต่แล้วต้องหยุดลงเพราะเสียงที่สอดแทรกขึ้นมา

“ไม่ได้ขอให้มาช่วยแล้วจะมาบ่นเอาอะไร” ก็สำนึกอยู่ว่าถูกเขาช่วยไว้ แต่จะให้มาทนฟังคำกระแทกแดกดันเป็นการตอบแทนการช่วยเหลือครั้งนี้ เมินซะเถอะ

“อะไรนะ!” เสียงปถวีตวาดสวนกลับมาทันที

เจ้าบ้านี่จะรู้มั้ยว่าเขารู้สึกยังไงตอนที่เห็นขวดปากฉลามกำลังจะเข้าไปอยู่ในตัวของร่างโปร่ง ที่เขาโกรธ เขาโมโหเพราะอะไร ไม่รู้เลยใช่มั้ย

นทนทีทำเป็นไม่สนใจกับอาการของคนข้างๆ

“ที่พูดมาน่ะใช้หัวแม่โป้งเท้าคิดรึไง”

เจอคนตัวใหญ่ย้อนเข้าแบบนี้ นทนทีก็เลือดขึ้นหน้าเหมือนกัน

“ไอ้บ้า” ในเมื่อไม่มีความเกรงใจอยู่ในความรู้สึกอีกแล้ว นทนทีก็สวนคำกลับไปทันทีเหมือนกัน พลางเอื้อมมือเปิดประตูรถ

“กึก”

“อะไร!” นทนทีหันไปมองที่มาของเสียง

“ออโต้ล๊อก” ร่างบางพึมพำอย่างตระหนก

“ทำบ้าอะไร เปิดประตูเลยนะ” เสียงตวาดเต็มสองหูปถวี

“อวดดีนักใช่มั้ย” ปถวีกระชากร่างบางเข้ามาใกล้แล้วเขย่า ทำเหมือนเขาเป็นยาน้ำที่ต้องเขย่าก่อนกิน

“มีสมองไว้ทำอะไร จะขอบคุณคนช่วยซักคำก็ไม่มี ยังมาพูดจากวนประสาทอีกนะ”

“นายอยากฟังรึไงกัน”

เหมือนจุดไฟในดวงตาของปถวีได้ มันถึงได้ส่องสว่างจนคนอยู่ใกล้ต้องเบือนหน้าหนี

“ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่”

“หมายความว่าไง”

“กับคนที่ไม่รู้จักบุญคุณแถมยังปากหมาอย่างนาย มันต้องทวง กับคนอื่นไม่ต้องพูดเขาก็ทำกัน แต่นายไม่ใช่ เอ………..รึนายมันเป็นพวกต้องใช้ไม้………ไม่ใช่สิ……..ต้องใช้ปฏักแทงถึงจะรู้สึกใช้มั้ย”
 
คำพูดถากถางทำให้นทนทีสติขาดผึงทันที

“ว่าฉันเป็นหมา……ฉันไม่ใช่ควายนะโว้ย” ตะโกนจนสุดเสียงพร้อมเหวี่ยงหมัดออกไปหวังจะเอาเลือดปากคนตรงหน้าสักที

ปถวีหลบหมัดนั้นอย่างรวดเร็วทั้งยังรวบร่างโปร่งเข้ามาแนบตัว แผ่นหลังของนทนทีสัมผัสแผงอกหนาอย่างแนบสนิทจนรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจอีกฝ่าย ความแปลกประหลาดกับสัมผัสนี้เริ่มก่อกวนจิตใจร่างโปร่ง นทนทีดิ้นรนสุดกำลังเพื่อให้หลุดจากวงแขนที่ยิ่งดิ้นยิ่งรัดตัวเองไปเรื่อยๆ จนเหนื่อยหอบ

“ปล่อยเซ”

ร่างขาวดิ้นรนอยู่ในวงแขนคนตัวใหญ่ ผิวกายสัมผัสเสียดสีสร้างความปั่นปวนให้กับปถวีเป็นนักหนา หวนคิดถึงวันที่ไปเที่ยวคืนนั้น ร่างกายนี้เหมือนจะยั่วยวนดึงดูดสายตาผู้คนรอบข้างให้หันมามองร่างกายที่เต็มไปด้วยสีสันของชีวิต ริมฝีปากสีสดที่เผยอหอบหายใจน้อยๆ จากการเต้นอย่างถึงพริกถึงขิง แล้วยังเจ้าเกย์ยักษ์ที่เดินเข้ามาสีร่างกายนี้อีก ดูจะป๊อบเหลือเกินนะ

“ไอ้เลว ปล่อยโว้ย ถ้าหลุดไปได้ละก็ ฉันจะแตะนกเขาแกให้ใช้การไม่ได้เลย”

“มันไม่มีหนที่สองแน่” ปถวียิ้มเหี้ยมให้กับคนที่อยู่ในวงแขน

“ตั้งใจว่าถ้าพูดกันดีๆก็จะปล่อยไปแท้ๆ แต่คงทำไม่ได้แล้วละ” แขนแข็งแรงเพิ่มแรงโอบกระชับร่างบางยิ่งขึ้น

“เรามาสะสางบัญชีแค้นของเราให้มันหมดๆไปเลยดีกว่า”

---TBC---

มาลงให้สามตอนรวด เดี่ยวมาลงต่อวันจันทร์ค่ะ

Coming Soon!!!

“หยุดดิ้นนะ!” เสียงตะคอกใส่หูไม่ทำให้ร่างโปร่งหยุดความพยายามดังกล่าวได้เลย

“ถ้าไม่หยุด”

นทนทีรู้สึกถึงลิ้นเปียกชื้นไล้ตามขอบใบหูตน จนต้องเกร็งตัวกลั้นหายใจหยุดรอฟังคำพูดต่อไปอย่างหวาดหวั่น

“ฉันจะบีบของนายให้เละไปเลย”
 :haun4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 6-8 สะสางบัญชีแค้น!!!
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 26-09-2009 17:39:00
ว้าววววๆๆๆ
น่ารักที่สู้ดดดดดดดดดด มาลงให้สามตอนรวดเลยอ่ะ
แล้วนายปถวีจะทำไรนทนทีอ่ะ :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 6-8 สะสางบัญชีแค้น!!!
เริ่มหัวข้อโดย: wanwisa ที่ 26-09-2009 18:52:19
มารอค่ะ 
นายปถวี...ได้ฤกษ์แก้แค้นแล้ว  เหอะ เหอะ..
 :oo1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 6-8 สะสางบัญชีแค้น!!!
เริ่มหัวข้อโดย: panpan ที่ 26-09-2009 19:08:26
รอวันจันทร์  รอวันจันทร์ :really2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 6-8 สะสางบัญชีแค้น!!!
เริ่มหัวข้อโดย: morrian ที่ 26-09-2009 19:29:44
 :z1:

ตามอ่านทันแล้ว

มารออ่านตอนต่อไปนะค้าบบ

พิศาล กำกับเองเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 6-8 สะสางบัญชีแค้น!!!
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-09-2009 20:22:37
 :z1: :z1: :z1: :z1: :z1: :z1:


หนีไม่พ้นแหละ งานนี้


คิคิ


เค้าจาทามอารายกัน กันน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 6-8 สะสางบัญชีแค้น!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ISACBTMN ที่ 26-09-2009 21:33:59
 :pighaun: อยากอ่านตอนหน้ามากกกกก

หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 6-8 สะสางบัญชีแค้น!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Donpopper ที่ 26-09-2009 21:43:49
จะลงโทษกันยังไงล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 6-8 สะสางบัญชีแค้น!!!
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 26-09-2009 21:56:55
สะสางกันแบบไหนละนั่น อยากรู้ด้วยมากมาย  :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 6-8 สะสางบัญชีแค้น!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Papoonn ที่ 28-09-2009 12:59:45
อ่านรวดเดียวหมดเกลี้ยง    !
อะไร๊   สะสางอะไรกัน 

แอบอ่านตรงตัวเหลือง  ฮันแน่  !  ส่อ
ฮ่า ๆ     มาต่อไว ๆ เลย 
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 6-8 สะสางบัญชีแค้น!!!
เริ่มหัวข้อโดย: zingiber ที่ 28-09-2009 16:22:58
กรี๊ดๆๆๆ นายวีเริ่มจะออกอาการแล้วนะเนี่ย

รอลุ้นตอนหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น  :-[
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 9 โมโหมันก็ใช่แต่....
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 28-09-2009 17:06:47
ตอนที่ 9  :pighaun:

“เรามาสะสางบัญชีแค้นของเราให้มันหมดๆไปเลยดีกว่า”

เสียงพูดราวกระซิบมันซึมแทรกกรีดแทงเข้าไปในเนื้อหนังร่างโปร่งจนเจ็บปวดทรมานไปทั้งร่าง

“ฉันกำลังคิดว่า อะไรที่จะทำให้นายสำนึกได้บ้าง จะชกให้คว่ำ มันก็แค่เจ็บตัวใช่มั้ยละ เดี๋ยวก็หาย”

ร่างโปร่งขบริมฝีปากแน่น มันพล่ามอะไรของมัน จะชกก็ชกให้ตายไปเลยนะ เพราะถ้าไม่ตายเขาต้องกลับมาเอาคืนแน่

“ฉันเจ็บใจ ที่ถูกเอาไปลือว่านอนกับผู้ชาย เพราะฉันไม่ได้ทำ หึ…….มันเจ็บตรงที่ทำอะไรไม่ได้นี่ละ”

“ ก็มาหาเรื่องก่อนทำไม สมควรนี่” คนถูกรัดแน่นยังไม่วายต่อปากต่อคำ

“ไม่เป็นไร” ปถวีบีบคางคนในวงแขนแรงๆ

“ไหนๆก็ลือกันไปทั่วแล้ว จะทำให้มันสมจริงขึ้นไปอีกจะเป็นไรไปใช่มั้ย นายนทนที”

“อะไรน๊ะ!” ประโยคสุดท้ายทำเอานทนทีถึงกับผวาดิ้นรนขัดขืน พยายามสลัดตัวให้หลุดจากอ้อมแขนเข็งแรง แต่ยิ่งดิ้นร่างกายพวกเขาก็ยิ่งสัมผัสบดเบียดกันจนรู้สึกถึงความร้อนบริเวณกลางลำตัวของคนข้างหลัง ผู้ชายด้วยกันทำไมจะไม่รู้จักอาการทางร่างกายแบบนี้

“ไอ้บ้า ทุเรศ ชอบไม่ป่าเดียวกันรึไง”

“อารมณ์นี้ไม่เกี่ยงแล้ว”

เขายังแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่มีอารมณ์พิศวาสกับร่างบางตรงหน้า แต่จะอะไรเขาก็ไม่สนใจแล้ว เขาอยากจะปราบพยศไอ้ม้าดีดกระโหลกนี้ให้เชื่อง อยากจะปิดปากที่คอยพูดจาเชือดเชือน แล้วทำให้ร้องอ้อนวอนเขาให้ได้ ก่อนที่ปถวีจะได้คิดไปไกลกว่านั้น ศอกแหลมๆก็กระทุ้งเข้ากับสีข้างคนตัวใหญ่อย่างแรง

“อูย…..” เสียงครางออกมา พร้อมกับใช้แขนข้างเดียวรวบรัดตัวนทนทีไว้แน่น มือข้างที่ว่างตะบบลงไปที่กลางหว่างขาของคนที่กำลังดิ้นรนเต็มแรง

“อ๊า!……..” นทนทีร้องเสียงหลง หยุดชะงักการดิ้นทันที ริมฝีปากปถวีเข้ากระซิบชิดใบหูบาง

“ฉันหวังว่าวิธีนี้คงจะทำให้นายสงบเสงี่ยมไปได้บ้างนะ”

นทนทีใจตกไปอยู่ที่ตาตุ้มเมื่อได้ฟังคำบอกกล่าวนั้น เพราะดูไม่เหมือนพูดเล่นเลย

“จะทำอะไร” เสียงสั่นเครือหวาดระแวง เริ่มรู้สึกถึงอังตรายอย่างแท้จริงได้ย่างกรายเข้ามาถึงตัวแล้ว

“ปล่อย!” นทนทีร้องตะโกนสุดเสียงแต่มันกลับก้องกังวานเพียงภายในห้องโดยสารเท่านั้น มือป่ายปัดทำทุกอย่างให้หลุดพ้นจากตรงนี้ อันตราย เขาสำนึกได้ถึงคำๆนี้ เขาล้ำเส้นเกินกว่าจะถอยได้ทันแล้ว

“หยุดดิ้นนะ!” เสียงตะคอกใส่หูไม่ทำให้ร่างโปร่งหยุดความพยายามดังกล่าวได้เลย

“ถ้าไม่หยุด”

นทนทีรู้สึกถึงลิ้นเปียกชื้นไล้ตามขอบใบหูตน จนต้องเกร็งตัวกลั้นหายใจหยุดรอฟังคำพูดต่อไปอย่างหวาดหวั่น

“ฉันจะบีบของนายให้เละไปเลย”

คำขู่สร้างความตกตะลึงแก่นทนทีมากมาย พลางเหลือบตามองมือใหญ่ที่ขยุ้มเป้ากางเกงเขาเต็มไม้เต็มมือ ไม่อยากจะเชื่อ เจ้าหมอนี่คิดจะทำอะไร ถึงจะกลัวในคำขู่แต่ไม่วายที่จะลองทดสอบดู

“ไม่!”

การสบัดตัวเพื่อให้หลุดรอดพ้นจากวงแขนทำให้ปถวีเพิ่มแรงบีบรัดส่วนนูนกลางลำตัวแน่น จนนทนทีส่งเสียงร้องอ้อนวอนออกมา

“อ๊า!……………….พอแล้วเจ็บ” เขาเจ็บจนน้ำตาซึม

ร่างสูงใหญ่รู้สึกย่ามใจที่สามารถทำให้คนที่อยู่ในวงแขนเปล่งเสียงขอร้องตนได้
 
“ฉันจะคิดต้นทบดอกนายคราวนี้ละ”

“ไอ้ขี้โกง มันเกี่ยวอะไรต้องทำแบบนี้ด้วยเล่า”

“ที่ผ่านมา นายกับฉันมันก็ไม่น่ามาเกี่ยวข้องกันได้อยู่แล้ว” น้ำเสียงเย็นเฉียบจนร่างบางสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวที่กำลังมาเยือน

“แต่นายมันตามมาขัดแข้งขัดขาฉันตลอดเวลา”

“ใครตามนาย….อะ……” พอจะเถียงอีกฝ่ายก็เพิ่มแรงบีบเค้นทำให้เขาเจ็บปวดจนไม่มีแรงขยับและเปล่งเสียงได้อีกต่อไป เหงื่อผุดพรายตามใบหน้าสีนวลทั้งๆที่ในรถเปิดแอร์เย็นฉ่ำ เขายังไม่อยากสูญพันธ์ทั้งที่ยังหนุ่มยังแน่นนะโว้ย เสียงตะโกนดังขึ้นในใจอย่างกระวนกระวาย

ความรู้สึกถึงการโดนอีกฝ่ายเอาคืนบ้างมันเป็นอย่างนี้เอง เขาไม่อยากจะคิดว่าเจ้ายักษ์ใหญ่ตนนี้จะทำพิเรนอะไรกับตัวเขา แต่ที่ทำอยู่นี่ก็ทำให้เขาสั่นสะท้าน กลัวในสิ่งที่ไม่อยากจะคิดถึง

ปถวียิ้มสะใจกับสภาพที่ได้เห็น สีหน้าวิตกกังวลช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อย่างย่ามใจเขาเริ่มสอดมือเข้าไปในกางเกงของนทนที พลางนวดคลึงเบาๆ ยิ่งทำให้ร่างโปร่งตะลึงงันกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนจะถามออกไปอย่างคนละเมอ
 
“ทำอะไร……หยุดนะ”

น้ำหนักมือที่พอดิบพอดีเริ่มขยับรูดขึ้นลงสร้างความหวาบหวิวเสียวซ่านในช่องท้องพร้อมอาการหวาดหวั่น จนต้องงอตัวไปข้างหน้าเพื่อบรรเทาความรู้สึกที่เกิดขึ้น

เห็นอาการร่างในอ้อมแขนมือไม้อ่อนตกลงข้างตัวเหมือนคนสิ้นเรียวแรง จึงรั้งร่างบางพิงลงบนอกตน สอดมืออีกข้างเข้าไปใต้เสื้อเนื้อนุ่ม สัมผัสยอดอกที่เริ่มแข็งเป็นไตขึ้นมาแล้ว

ปถวีสำรวจใบหน้าขาวยามนี้เหมือนคนละเมอ เผยอริมฝีปากสีสดน้อยๆด้วยแรงอารมณ์ พวงแก้มซับสีเลือดจางๆ ยิ่งดูน่ามอง ร่างกายแน่นตึงไปด้วยกล้ามเนื้อได้รูปกับผิวเนียนนุ่มมืออย่างผิดธรรมชาติของผู้ชายทั่วไป ยิ่งทำให้เขาลูบไล้สัมผัสหนักๆไปทุกส่วน

ภายในรถที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อกิจกรรมในร่มเช่นนี้ เป็นอุปสรรคพอสมควรในการจะจัดการทุกอย่างให้ได้ตามใจปราถนา ปถวีเลื่อนพนักเบาะของนทนทีให้เอนลงต่ำสุดแล้วค่อยเคลื่อนตามทาบทับ

ความกลัวสุดชีวิตแล่นริ้วขึ้นมาในใจนทนทีอีกรอบ หลังตกอยู่ในห้วงสัมผัสของอีกฝ่ายที่ปรนเปรอให้ เขากำลังจะมีเซ็กส์กับผู้ชาย ประโยคนี้ผุดขึ้นมาทันที ก่อนที่จะมากไปกว่านี้เขารวบรวมแรงทั้งหมดที่มีผลักดันคนตัวใหญ่ออก

“อย่า” เสียงร้องห้ามเปล่งออกมาด้วยความยากลำบาก

“ทำไม”

ถูกถามกลับอย่างไม่สะทกสะท้านของปถวี ทำให้เขาหยุดคิดด้วยงุนงง ทำไม ทำไม ทำไม มันถามคำถามนี้ได้ไงวะ เขาคิดคำนี้วนไปวนมาในหัว จนได้คำตอบที่เหมือนคนไม่มีสมอง เพียงแค่มองฝ่าความมืดออกไปนอกกระจกรถ

“นี่มันลานจอดรถนะเจ้าบ้า”

“มืดออก ไม่มีใครสังเกตอยู่แล้ว”

“อะ….อะ…..ไอ้บ้า” ทำไมเจ้าหมอนี้ถึงมักง่ายหน้าด้านแบบนี้ กำลังหาทางหนีทีไล่ก็สะดุ้งด้วยคนที่ค่อมตน ถอดกางเกงเขาออกไปกองอยู่ปลายเท้าเสียแล้ว

“นี่ฉันผู้ชายนะโว้ย แหกตาดูไม่รู้รึไง”

เมื่อไม่รู้จะทำยังไงกับคนตัวโตที่ตอนนี้ทำเหมือนช้างตกมันไม่ฟังอะไร ก็ได้แต่หลับหูหลับตาตะโกนแหกปากไว้ก่อน แต่อีกฝ่ายดูจะไม่สนใจว่าใครจะคิดยังไง เพราะเจ้าตัวก็หลับหูหลับตาเกลือกกลั้วใบหน้ากับซอกคอระเรื่อยยังใบหน้า ริมฝีปาก

“อืม”

เสียงครางถึงความพึงพอใจหลุดออกมาจากริมฝีปากบาง เมื่อมือใหญ่ยังทำหน้าที่หยอกเย้าขยับไปมาอย่างรู้งาน ยิ่งทำให้นทนทีบิดกายส่ายสะโพกตอบรับมือคนที่ทาบทับ ถึงจะบอกว่าเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่เขาไม่รู้สึกขยักแขยงกับสัมผัสนี้ เจ้ายักษ์นี่ทำเขาหมดแรงต่อต้านได้ง่ายๆ จะเชี่-ยวเกินไปแล้วเจ้าบ้า

เสียงครางกระเส่าของนทนทีทำให้ปถวีอยากจะปลดปล่อยความคับแน่นของตนลงในร่างอุ่นโดยเร็ว มือผละออกจากกายของร่างโปร่งก่อนจะเคลื่อนลึกสู่ซอกหลืบ กดปลายนิ้วเข้าไปในช่องทางอุ่นที่ตอดรัดนิ้วมือทันที

“อือ!” เปือกตาบางปิดสนิท มือเรียวยึดไหล่หนาไว้แน่นด้วยอารมณ์ปราถนาที่ยากเกินกว่าจะสะกดกลั้นไว้ได้ ถึงจะกลัวขนาดไหน แต่เวลานี้อารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นได้โหมพัดความหวาดหวั่นในใจลอยหายไปในอากาศสิ้น

มือใหญ่ค่อยขยับแยกขาขาว พร้อมกดกายตนที่ขยายพร้อมสำหรับปฏิบัติหน้าที่ฝังลงในช่องทางอุ่นคับแคบในคราวเดียว
 
“อ๊า!………………..จะ…เจ็บ”

นทนทีส่งเสียงกรีดร้องออกมาทันทีที่ความเจ็บแล่นปราดไปทั่วร่างราวกับเนื้อถูกฉีก แขนเรียวพยายามผลักไสเพื่อจะหลุดพ้นจากความเจ็บ

ความสุขสมใจเกิดขึ้นทันทีที่กายตนถูกห่อหุ้มด้วยความอ่อนนุ่มของผนังเนื้ออ่อน แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้ราบรื่นดังใจนึก ด้วยร่างโปร่งเกร็งแน่นพยายามต่อต้าน ทำให้เขาขยับกายยากลำบาก ปถวีรู้สึกแทบคลั่งถ้าไม่ได้ทำอะไรสักอย่างให้บรรลุความต้องการทางกายเดี๋ยวนี้

การพยายามทำให้ร่างข้างใต้เขาย่อมตอบรับบทรักของตัว ทำให้เขาต้องฝืนใจขยับกายอย่างช้าๆ เพื่อให้ร่างบางที่กำลังดิ้นเร่าได้ปรับตัวตามเขาได้ทัน

“อย่าเกร็งสิ มันขยับลำบาก” คนตัวใหญ่กระซิบชิดริมหู พลางเคลื่อนมาสัมผัสริมฝีปากบางแผ่วเบา ก่อนจะสอดลิ้นเข้าไปสำรวจความนุ่มชื้น

หยาดน้ำใสเอ่อล้นจากหางตาไม่ทำให้ฝ่ายผู้กระทำหยุดพิจารณาแต่อย่างใด กลับเพิ่มแรงสอดแทรกมากขึ้นไปเพื่อสนองความต้องการของตนเอง นทนทีขบริบฝีปากตัวเองแน่นเพื่อสะกดกลั้นความเจ็บปวด แต่มือใหญ่ที่ลูบไล้ตามร่างกายกลับช่วยผ่อนคลายความเจ็บปวดนี้ให้บรรเทาลงได้อย่างน่าแปลก พร้อมทั้งชักนำความรู้สึกให้เป็นไปตามที่เจ้าตัวต้องการได้ไม่ยาก ความคิดที่ว่า มันจะมีแต่ความเจ็บปวดรวดร้าวกลับแฝงไว้ความพึงพอใจ

เสียงครางด้วยความสุขสมใจที่ไม่รู้ดังมาจากใครยิ่งทำให้คนที่ทาบทับเร่งจังหวะการขยับสะโพกให้เร็วและหนักหน่วงขึ้น ร่างกายเกร็งเครียดกระแทกเนินเนื้อนิ่มอย่างแรงใส่อารมณ์ทั้งหมดลงร่างอุ่น

นทนทีร้องคราง นิ้วมือจิกไหล่กว้างแน่นเมื่อคนบนตัวเร่งจังหวะสอดรับกับความรู้สึกพุ่งสูงของตนจนต้องระเบิดอารมณ์ปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นกระเซ็นเปอะเปื้อน

อาการสั่นสะท้านของร่างเล็ก ทำให้ปถวีกระแทกร่างตนลงเนินเนื้อหนักๆ จนเกิดเสียงดังอีกสองสามครั้งก่อนจะปลดปล่อยตนเองตามร่างบางไป

ร่างสูงทรุดตัวลงกอดร่างเล็กกว่าพลางส่งเสียงครางอย่างสมใจออกมายาวๆ ภายในรถเงียบสนิทมีแต่เสียงลมหายใจหนักๆ ของคนทั้งคู่ เวลาผ่านไปชั่วครู่เมื่อร่างสูงเรียกพละกำลังกลับคืนมา เงยหน้าขึ้นสบสายตากับนทนที

ช่างเป็นเซ็กส์ที่เร่งรีบ ดิบเถื่อน ไม่มีการเล้าโลม เหมือนคนตะกละตะกลามไม่มีผิด แต่ก็เป็นเซ็กส์ที่น่าตื่นเต้นลุ้นระทึกในเวลาเดียวกัน ปถวีคิดก่อนจะขยับตัวถอดถอนกายตนออกจากคนตัวเล็กกว่าช้าๆ

“อะ…โอ๊ย…..” เสียงครางหลุดจากลำคอร่างบางทำให้ปถวีก้มมองบริเวณที่เขาเพิ่งถอนตัวออกมา ความมืดทำให้มองไม่เห็นอะไรเลย แต่อาการนิ่งเงียบไปของคนที่นอนอยู่ทำให้เขาใจคอไม่ดี

“เป็นไงบ้าง” ปถวีถามเสียงเบา ด้วยพอจะคาดเดาอาการของร่างบางได้จากการกระทำของตน ร่างกายผู้ชายไม่ได้ถูกสร้างมาให้รองรับการมีเพศสัมพันธ์อย่างผิดธรรมชาติ ย่อมจะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดได้ลำบาก ยิ่งถ้าคู่ตนไม่ยินยอมพร้อมใจยิ่งแล้วกันไปใหญ่ ถึงเขาจะโมโหแค่ไหน แต่เขาก็ไม่คิดจะทำให้ถึงขนาดเลือดตกยางออก เขาไม่ใช่พวกชอบความเจ็บปวดซักหน่อย อีกอย่างเขาก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับเพศเดียวกันมาก่อน ถึงจะรู้ว่าทำยังไงก็เถอะ เขาถึงเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายจะมีสภาพเป็นอย่างไรหลังเสร็จกิจ

เมื่อพายุอารมณ์ผ่านพ้นไปทำให้ปถวีมีโอกาสมองดูสภาพร่างที่นอนนิ่ง ใจเขาอ่อนยวบ ด้วยรู้สึกถึงความเจ็บปวดของร่างบาง

เสียงถามเบาๆ ของปถวี ทำให้นทนทีพยายามหรี่ตามองคนตรงหน้า ในหัวเขาหนักอึ้ง เจ็บหนึบบริเวณที่ถูกเสียดสีอย่างรุนแรงมากเหลือเกินจนไม่มีแรงลุกขึ้นมาต่อว่าอีกฝ่าย ความเจ็บทำให้ตนเองลืมตัวตอบกลับไปเสียงเบา

“จะ..เจ็บ”

“จะพากลับบ้านนะ”

ปถวีบอกพลางจัดเสื้อผ้าให้อย่างลวกๆ ปลายนิ้วสัมผัสเข้ากับน้ำเหนียวหนึบ จมูกเขาได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยมาปะทะจมูกจนต้องขมวดคิ้ว

“จะไหวรึเปล่าเนี่ย”

“กลับบ้าน” นทนทีทวนคำพูดนั้นอย่างเลื่อนลอย สมองพยายามคิดทบทวน ถ้าเขากลับบ้าน คนในบ้านต้องรู้แน่ๆว่าเขาโดนทำอะไรมา เขาไม่อยากให้ใครรู้

“ไม่ได้ กลับบ้านไม่ได้ สภาพแบบนี้” เจ้าตัวพยายามพูดต่อให้จบประโยค แต่ดูเหมือนปถวีจะเข้าใจดี จึงเออออเห็นด้วยทันที

“นั้นสิ ไปคอนโดฉันก่อน แล้วค่อยว่ากัน”

ปถวีจัดการคาดเข็มขัดนิรภัยให้กลับร่างที่นอนหมดเรียวแรงก่อนจะเข้าเกียร์ออกรถไปทันที ไม่รอให้นทนทีได้มีโอกาสได้ค้าน



กว่าจะพานทนทีขึ้นมาถึงชั้นที่พักของเขา ก็ทำให้ร่างบางน้ำตาร่วงไปหลายหยด ปถวีวางร่างโปร่งบนเตียงกว้าง ก่อนจะพลิกดูผลจากการกระทำของตน ไม่มีการขัดขืนจากร่างที่นอนนิ่งสงบได้แต่กลอกตาไปมา เขาจัดการเช็ดตัวพร้อมทั้งใส่ยาเท่าที่จะหาได้ เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นคนตรงหน้าหลับสนิทไปแล้ว เขาก้มมองใบหน้านวลสีอ่อนอีกครั้ง พลางเอื้อมมือไปเกลี่ยเส้นผมให้อย่างเบามือ ยิ่งเพ่งพิศความรู้สึกหลากหลายก็ถาโถมประดังกันเข้ามาในห้วงอารมณ์

ที่ทำไปจะว่าเพราะโมโหมันก็ใช่แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด มันเป็นคำถามเดียวที่เขาคิดหาคำตอบไม่ได้สักที

การพลิกศีรษะของคนนอนหลับสนิททำให้เขาตื่นจากภวังค์ มองคนหลับใต้ผ้าห่มมีอาการผิดปกติอะไรรึเปล่า ขนตายาวตรงหลุบต่ำอยู่เช่นเดิม ปลายจมูกโด่งเชิดขึ้นอย่างคนนิสัยดื้อรั้น ริมฝีปากสีสดของคนมีสุขภาพดีเผยอเล็กน้อย พวงแก้มนวลซับสีเลือดบางจนเห็นเส้นเลือดฝอยจางๆ เหมือนแก้มเด็กชวนให้ฝังจมูกลงไปสัมผัส คนๆนี้ไม่ใช้คนผิวขาวแต่ออกไปทางเหลืองนวลดูสบายตาน่ามอง

ประหลาดใจในความคิดของตนที่เห็นคนหลับสนิทดูดีขนาดนี้ได้ ทั้งที่เห็นกันก็บ่อยแต่เขาไม่เคยสังเกตจริงๆจังๆ จำได้แต่ปาก ที่อ้าขึ้นมาทีไรเป็นต้องพูดจาทับถมกันร่ำไป เขาไล่สายตาไปยังลำคอเล็ก ช่วงแขนขายาวเรียวได้รูปทรง ทั้งๆที่เจ้าตัวไม่ใช่คนโครงร่างเล็ก เตี้ยกว่าเขาแค่ช่วงหัวกว่าๆเท่านั้น ทำไมถึงมองดูบอบบางนักก็ไม่รู้ ตอนประคองกันมายังรู้สึกถึงความต่างของน้ำหนักตัวได้ชัดเจน คราวนี้เขาคงทำเกินไปจริงๆ

เสียงบอกกับตัวเองในใจทำให้ปถวีต้องถอนหายใจยาวๆ

“เฮ้อ”

ตอนนี้เขาไม่มีแรงแม้จะคิดหาเหตุผลมาลบล้างการกระทำครั้งนี้ ความง่วงคืบคลานทำให้เขาสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนเดียวกัน หลับตาลงปล่อยทุกอย่างให้อยู่ในมือของคนบนฟ้าก็แล้วกัน

--- TBC ---

อิอิ มาต่อให้เเล้วจ้า
ขอบคุณทุกคอมเมนท์ค่ะ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 9 โมโหมันก็ใช่ แต่.....
เริ่มหัวข้อโดย: wanwisa ที่ 28-09-2009 17:48:41
เฮ้อ...ในที่สุด  หนูนทก็เสร็จไอ้นักมวยนี่จนด้าย....
ปถวี รับผิดชอบด่วนเลยนะ ไม่งั้นคุณแม่ไม่ปลื้มนะจะบอกให้
 :oo1: o12
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 9 โมโหมันก็ใช่ แต่.....
เริ่มหัวข้อโดย: Papoonn ที่ 28-09-2009 17:53:36
เม้น     !

 :pighaun: :pighaun: :pighaun:

เลือดกระฉูด    เอ็นซี
อ๊ากกกกกกกกก  ๆ   เริ่มรักเค้าแล้วซิปถวี

555555555555555555
โอ้ยยยย   !  เอ็นซีถูกใจค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 9 โมโหมันก็ใช่ แต่.....
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 28-09-2009 18:05:09
และแล้วก็ตกเป็นของกันและกัน :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 9 โมโหมันก็ใช่ แต่.....
เริ่มหัวข้อโดย: zingiber ที่ 28-09-2009 18:21:04
 :pighaun: :pighaun: :pighaun:

นทตื่นมาจะว่าไงมั่งเนี่ย จะ :-[ รึ :m16:ดี เหอะๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 9 โมโหมันก็ใช่ แต่.....
เริ่มหัวข้อโดย: Donpopper ที่ 28-09-2009 19:00:47
ในที่สุดก็เรียบร้อยจนได้

แล้วที่นี้จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อนทตื่นขึ้นมาล่ะเนี่ย

ลุ้นๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 9 โมโหมันก็ใช่ แต่.....
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-09-2009 21:00:26
 :pighaun: :pighaun: :pighaun: :pighaun: :pighaun:



ในที่สุด เค้าก้อเข้าสู่กระบวนการรวมร่าง คิคิคิ


หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 9 โมโหมันก็ใช่ แต่.....
เริ่มหัวข้อโดย: maxtorpis ที่ 29-09-2009 00:25:50
 :serius2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 9 โมโหมันก็ใช่ แต่.....
เริ่มหัวข้อโดย: ~NeMeSiS_PURE~ ที่ 29-09-2009 01:07:36
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก อิจฉา....... !!!        เอ๊ยย !!! น่ากลัว.....

ปถวีรุนแรงมากมายย  ยังงี้ต้องรับผิดชอบนทเลยนะ  :angry2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 9 โมโหมันก็ใช่ แต่.....
เริ่มหัวข้อโดย: Hanna~ ที่ 29-09-2009 16:13:43
 :monkeysad:  วีรุนแรงกะนทเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 9 โมโหมันก็ใช่ แต่.....
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 29-09-2009 16:56:02
เลือดสาดกันเลยทีเดียว

แต่ก็อย่างว่าครั้งแรกและไม่สมยอม

รอดูตอนต่อไปนะค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 9 โมโหมันก็ใช่ แต่.....
เริ่มหัวข้อโดย: DEVIL nures ที่ 29-09-2009 20:44:25
มาแค่จะบอกว่า

ชอบเรื่องนี้มากมายอะ :กอด1:

มาเร็วๆนา เค้าจะลงแดงแล้ว เหอๆ

อยากอ่านๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 9 โมโหมันก็ใช่ แต่.....
เริ่มหัวข้อโดย: Resonance ที่ 29-09-2009 21:00:17
กริ๊ด คุณ SAKE  !!!  เรื่องนี้ทำเอาเราบ้าคนชื่อปฐวีำไปพักนึงเลย  555

อยากให้เอาเรื่อง With all my hearth มาลงด้วยอ่ะค่ะ    d>o<b
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 9 โมโหมันก็ใช่ แต่.....
เริ่มหัวข้อโดย: ปี้ปี้ปี้~PalmY ที่ 29-09-2009 21:10:19
 :haun4: จงมาต่ออ โอมมมมมมมเพี้ยงงงง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 9 โมโหมันก็ใช่ แต่.....
เริ่มหัวข้อโดย: Lollipop_pop ที่ 29-09-2009 21:13:26
ในที่สุดก็เรียบร้อย :z1:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 9 โมโหมันก็ใช่ แต่.....
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 29-09-2009 21:28:13
ตอนที่ 10

“เละแทะไปหมดเลยนะนี่” ประวิชมองกราดไปทั่วสนามฟุตบอล เมื่อคืนบริเวณนี้เต็มไปด้วยร้านรวงมากมายประดับประดาสวยงาม จริงอยู่ที่พอเลิกงานก็ต้องรื้อร้านพวกนี้ แล้วก็ต้องเก็บขยะจากพวกที่มักง่ายทิ้งกันให้เกลื่อนสนาม แต่ที่เห็นอยู่นี่มันเกินจะบรรยายจริงๆ ร้านค้าถูกทำลาย ข้าวของบางส่วนเสียหายจากการวิ่งหนีกันชุลมุนจนเหยียบย่ำอะไรไปบ้างคงไม่มีใครมัวมาคิดถึงกันหรอก ก็ต้องเอาตัวเอาชีวิตกันก่อนทั้งนั้น ยิ่งขยะไม่ต้องคิดถึงมีทุกตารางเซ็นติเมตรก็ว่าได้

“อืม……..ประกาศให้นักศึกษาปี1 มาช่วยกันเก็บขยะพวกนี้แล้ว ส่วนพวกร้านก็ของใครของมัน เก็บกันเอง ไม่น่าเลยนะ” ร่างโปร่งของไผ่ก้มเก็บขยะไปพลางๆ

“ยังดีที่จับเด็กบ้าตัวต้นเหตุได้” ประวิชเองก็ลงมือช่วยเก็บขยะไปด้วย

“ไม่ใช่นักศึกษาของเรา แถมยังเอาเหล้าเข้ามาดื่มกัน พอเมาก็หาเรื่องไปทั่ว”

“อืม…เลยไปเจอตอ พวกก็ชักปืนไล่ยิงนะสิ ให้ตายเถอะ มาเที่ยวมันยังพกปืนมาหาพ่อมันรึไงวะ” ร่างสูงสบถออกมาแรงๆอย่างหัวเสียเต็มที่

“อุตส่าห์เตรียมงานกันตั้งหลายวัน เสียดายจัง” ไผ่มองไปรอบๆด้วยสะท้อนใจในสิ่งที่อุตสาห์ลงทุนลงแรงไป มือใหญ่ตบลงที่บ่าบอบบางเบาๆ

“เอาเถอะมันผ่านไปแล้ว ไอ้ที่โดนแทงจนเลือดราดก็ปลอดภัยแล้ว มันไม่มีใครอยากให้เกิดหรอก” ประวิชมองใบหน้าได้รูปเม้มปากแน่น เพราะเป็นหัวเรือใหญ่เลยเสียใจมากกว่าคนอื่น

“วันนี้นทไม่มารึไงประวิช”

“ยังไม่เห็นเลยนะ เป็นห่วงเหมือนกัน”

“ไม่ได้โดนลูกหลงบาดเจ็บอะไรนี่นา แล้วเมื่อคืนอนลก็โทรบอกแล้วว่าเจ้าวีไปส่งนี่ อยู่ดูแม่รึเปล่า ”

“นั้นละที่น่าห่วง เสร็จตรงนี้ก็ว่าจะโทรไปหานทซะหน่อย”

“สองคนนั้นแค่ไม่กินเส้นกันนิดเดียวเอง ไม่ถึงกับฆ่ากันตายหรอกน่ะ อีกอย่างไปกันแบบนั้นเผื่อจะปรับความเข้าใจกันก็ได้นะ”

“ให้มันจริงเถอะ กลัวจะไม่เป็นแบบนั้นนะสิ”

“หยุดเลย……รู้ตัวมั้ยว่านายน่ะ ห่วงเจ้านทมันเกินเหตุแล้วนะ มันโตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้ว” หน้าขาวๆทำปากยื่นไม่สบอารมณ์

“ก็แค่กลัวว่าจะลงไม้ลงมือกัน มันไม่ใช่เรื่องเลย เลี่ยงได้ก็เลี่ยงดีกว่า”

“ฮึ…..ถ้าฉันถูกคนรุมตืบนายจะช่วยฉันแบบนี้บ้างรึเปล่า”

“ถามอะไรแบบนั้นวะ ก็ต้องช่วยอยู่แล้วสิ แต่ขอเถอะนะ อย่าได้ไปหาเรื่องใครเขาเลยนะ แค่เจ้านทคนเดียวก็แย่แล้ว”

ประวิชบ่นไปเก็บขยะไปเรื่อย ไม่ได้สังเกตุร่างบางข้างๆที่ยิ้มจนตาหยีกับคำพูดที่ดูจะไม่ได้ใส่ใจในความหมายของตน

“งั้นเลิกเรียนแล้วไปส่งบ้านหน่อยนะ”

“ไม่”

“อ้าว….ทำไมละ ไหนว่าจะช่วยไง”

“ถ้านายถูกไล่เตะมาอะนะ แต่นี่ให้เป็นสารถีขอผ่านละ”

“ไปส่งหน่อยก็ไม่ได้ ทางผ่านแท้ๆ ฉันไม่อยากกลับบ้านกับเจ้าเป้มันนี่”

“เอ๊า!…ก็มีเพื่อนไปส่งแล้วนี่จะมาอะไรอีกละ”

“ช่างเถอะ” ร่างโปร่งหันหลังให้คนตัวใหญ่เดินเก็บขยะห่างออกไป จนกระทั้งมีเสียงทักจากนักศึกษาชายรุ่นน้องเดินเข้ามาหาจึงได้หยุดหันมอง

“ไผ่ทำไมออกมาก่อนละ อุตส่าห์แวะเข้าไปรับที่บ้าน”

“หวัดดีเป้ ขอโทษที พอดีรีบมามหาลัย จะดูว่าเสียหายอะไรบ้าง โทษนะที่ไม่ได้บอกก่อน” ริมฝีปากยักยิ้มทักทายผู้มาใหม่พอไม่ให้เสียน้ำใจ

“งั้นขากลับผมไปส่งบ้านนะไผ่ จะแวะทานอะไรก่อนก็ได้” รุ่นน้องอายุน้อยกว่าแต่รูปร่างไม่ได้เล็กตามอายุ ผมตัดสั้นจับปั่นเป็นก้อนแหลมเต็มหัวยังกับเอาเปลือกทุเรียนไปโปะไว้ ใบหน้าคมผิวสองสีชวนมอง ช่วงแขนขายาว ลำตัวหนาชวนให้สาวมาซบอก ยื่นมือออกไปรั้งแขนเรียวเข้ามาใกล้ตัว ก่อนจะเดินจากไป ประวิชที่ยืนมองอยู่ห่างๆ ขมวดคิ้วเมื่อเห็น

“อะไรของมันวะ”

ร่างสูงเดินเข้าไปใกล้ไผ่ที่กลับมาง่วนเก็บขยะต่อ

“จะไปส่งให้ก็ได้แต่ต้องอยู่ช่วยฉันเก็บเอกสารที่ชมรมก่อนน๊ะ”

หน้าขาวๆหันมองคนพูดทันทีด้วยนึกแปลกใจ ก็เมื่อกี้ขอยังไงก็ไม่ยอมไปส่ง

“จะไปไม่ไป” เห็นคนตัวเล็กนิ่งไป ใบหน้าเข้มจึงบึ้งขึ้นเล็กน้อย

“ไปสิ…ขอบใจนะ” ไผ่ส่งยิ้มกว้างจนผิวแก้มเป็นสีชมพูเรื่อ ประวิชที่มองใบหน้านั้นอยู่ก่อนแล้วนิ่งงั้น ก่อนจะเดินเลี่ยงไปเก็บขยะ

“แต่บอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่ใช้คนขับรถของนายนะ ถ้ามาใช้บ่อยๆฉันไล่เตะนายแน่”

“เออน่ะ” ไผ่รีบก้มหน้าก้มตาซ่อนยิ้มตนเองจากร่างสูง ด้วยดีอกดีใจจนออกนอกหน้าเดี๋ยวเจ้าตัวจะพาลหมั่นไส้ไม่ไปส่งซะง่ายๆ


*******************************************************

ร่างสูงโปร่งของอนลชะโงกมองผ่านกระจกใสสูงจรดเพดาน ด้วยเห็นรถยนต์คันงามของพี่ชายเข้ามาจอดเทียบ คิ้วเข้มขมวดด้วยไม่ใช่เสาร์อาทิตย์ผิดวิสัยที่พี่ชายเขาจะกลับมาบ้านใหญ่

“ฝนถ้าจะตกห่าใหญ่ซะละมั้ง”

เพียงชั่วครู่ปถวีก็พาร่างสูงใหญ่ของตนมานั่งแปะข้างน้องชาย ทำหน้าเหมือนมีเรื่องอยากคุยด้วยเต็มแก่ แต่เจ้าตัวกลับถอนหายใจล้มตัวลงบนกองหมอน ยื่นมือหยิบชมพู่ฝานเป็นชิ้นพอคำโยนใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ

“หวาน” สายตาเพ่งมองชมพู่ในจานแก้วราวกับจะให้มันกลายเป็นใครสักคนที่คนึงถึง

“อร่อยมั้ยละ? ชมพู่สวนบ้านพี่นทนั้นละ” อนลพูดพลางขยิบตาหยอกเย้าพี่ชาย

“ไปหาเขามาหรือ” เสียงถามเรื่อยๆเหมือนไม่ได้ใส่ใจ

“ก็แวะไปบ่อยๆ ผลไม้สวนเขาอร่อยนี่ แม่ยังชอบเลย” อนลทุ่มตัวลงนอนข้างพี่ชายบ้าง

“เป็นยังไงกันบ้างละ” ปถวียังมีท่าทีสนใจกับชมพู่ในจานซะเหลือเกิน

“หือ…………………..ใครละ”

ปถวีหันขวับทำตาดุใส่เจ้าน้องชายจอมกวน แต่ก็ต้องสงบท่าทีด้วยอยากลอบถามสิ่งที่ยังคาใจตนกับน้องชายที่เข้านอกออกในบ้านนั้นได้

“ก็ทั้งหมดนั้นละ”

“อ๋อ……………….แม่พี่นทก็ยังทำงานอะไรไม่ได้หรอกคงต้องรออีกสักพัก น้องวาก็ช่วยแม่ทำงาน น้องเขาขยันน่ะพี่ ทำกับข้าวงี้ เก่งไม่แพ้พี่นทเลยละ เรียนก็เก่งนะพี่ เห็นเทอมก่อนเอาเกรดเฉลี่ยมาอวด ได้ตั้งสามกว่าแน่ะ ขนาดไม่เคยไปติวอะไรกับใครเขาเลยนะ”

อนลดูจะมองไม่เห็นอาการหงุดหงิดของพี่ชาย จึงได้พูดถึงเด็กสาวเป็นน้ำไหลไฟดับไม่ยอมวนเข้าหาเป้าหมายที่คนนอนข้างๆรอฟังอย่างใจจดใจจ่ออยู่เงียบๆ

“หรอ”

พูดจนน้ำลายแห้งเจ้าน้องชายก็ยังไม่ยอมเอ่ยถึงพี่ชายของวารีซักทีจนปถวีขี้เกียจจะตั้งหน้ารับน้ำลายแตกฟองของน้องชายจึงหันหลังให้

“แต่พี่นทนี่สิ ……..แปลก………….”

ชื่อของร่างบางทำให้ปถวีสะดุ้งเงี่ยหูฟังทันที

“เจ้าหมอนั้นเป็นอะไรอีกละ” ถึงจะพูดเหมือนรำคาญ แต่ถ้าอนลจะรู้ว่าตอนนี้หัวใจของพี่ชายตนมันแทบจะกระโดดออกมาเต้นข้างนอกแล้ว คงทำหน้าเหมือนโดนผีหลอกเป็นแน่

“ก็ไม่แปลกมากหรอก แต่พี่เขาเงียบๆไปน่ะ เหมือนคนกังวลอะไรก็ไม่รู้ ผมถามว่าเรื่องหนี้รึเปล่า พี่นทก็ดันตอบว่าใช่อีก”

“ก็บอกเขาไปสิว่าไม่ต้องรีบก็ได้”

“ผมก็บอกแล้ว…….แต่พี่นทก็ยังเป็นอยู่ดี………..ถามน้องวา น้องวาก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“หรอ…….เลือดจะไปลมจะมาละมั้ง”

“พี่ก็ว่าไปนั่น………….แต่น้องวาบอกว่าเป็นแบบนี้มาเป็นอาทิตย์แล้ว เรียนก็ไม่ค่อยไปอยู่ช่วยแต่งานที่บ้าน”

ใช่………..เรียนก็ไม่ค่อยไปเรียน หลังจากวันนั้นเมื่อเขาไปเรียนตามปกติ ตลอดทางเดินในสถาบันเขาคอยสอดส่ายสายตาหาร่างโปร่ง ด้วยอยากรู้อยากเห็นว่านทนทียังเป็นปกติดีหรือเปล่า แต่ก็ไม่พบแม้เงา ผ่านมาเกือบอาทิตย์ก็ยังไม่เจอ จนเขาต้องเผ่นกลับมาบ้านลองเลียบเคียงถามน้องชาย ที่แท้ก็คลุกอยู่แต่ในบ้านนี่เอง หรือตั้งใจหลบหน้าเขา

อายเป็นกับชาวบ้านเขาเหมือนกันหรอนี่ ตอนแรกคิดว่า ถ้านทนทีลุกได้คงหยิบมีดไล่ฟันเขาทันที แต่เปล่าเลย ร่างขาวมองเขาด้วยสายแปลกๆแล้วรีบผลุนผลัน
ออกไปจากคอนโดทันที แรกๆมันก็สะใจดีอยู่หรอก หากภายหลังมันกลับรู้สึกหนึบๆในใจ

เขาอยากให้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความยินยอมพร้อมใจมากกว่า ถ้าเป็นแบบนั้นได้คงดีไม่น้อย ร่างโปร่งเนียนเรียบตึงไปทุกส่วนของร่างกาย เสียงครางหวานหูยังคงดังก้องในความคิด

“แต่ผมกลับสงสัย” อนลชะโงกหน้ามองเข้าไปในดวงตาผู้เป็นพี่ชาย

“อะไรของแก”

“คืนนั้นพี่ไม่ได้พาพี่นทกลับบ้าน น้องวาบอกว่าพี่นทกลับบ้านตอนเที่ยงๆโน้นแนะ ……………พี่ทำอะไรพี่นทรึเปล่า เขาถึงแปลกไป……” อนลทำท่าครุ่นคิดก่อนจะทำตาโต

“เฮ้ย!…….พี่” อนลชักตัวกลับมาที่เดิม

“อะไรวะ”

“พี่ไปต่อยเขารึเปล่า กลับมาถึงได้เป็นไข้ด้วยอะ”

“เป็นไข้” ปถวีหันกลับมองน้องชายเต็มตา

“หมอนั้นเป็นไข้ด้วยรึ”

“ก็ใช่นะสิ น้องวาเล่าว่าพี่ชายเขานอนนิ่งๆเป็นวันๆเลย…………พี่บอกมาเลยว่าพาพี่นทไปทะเลาะชกต่อยกันที่ไหน”

“เฮ้ย!…….ไม่ได้ต่อยเลย ถ้าต่อยจริงเจ้าหมอนั้นคงไม่เหลือฟันไว้เคี้ยวข้าวหรอกนะ” ผู้เป็นพี่รีบปฏิเสธ ก็ไม่ได้ต่อยจริงๆนี่

“ก็จริง……แล้วหายไปไหนมา” อนลยังไม่วายติดใจ เขาค่อนข้างแน่ใจว่าสาเหตุต้องมาจากพี่ชายตนแน่เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไร

“ก็พาไปสะสางเรื่องที่ผ่านๆมานั้นละ อยากให้มันจบๆ เลยได้โอกาสคุยๆกันซะที”

ปถวีมองน้องชายด้วยสีหน้าจริงจังเป็นที่สุด ฉันไม่ได้โกหกแกนะเจ้านล มีความแค้นก็ต้องสะสาง แต่เขาเพิ่งรู้ว่าสิ่งที่ตนทำไป มันกลับมาทำให้จิตใจเขาร้อนรุ่มเหมือนมีไฟมาสุมอยู่กลางอกตลอดเวลา

“จริงนะ”

“เออ” ปถวีส่งเสียงหนักๆอย่างรำคาญ

“แล้วเข้าใจกันรึยัง”

“ก็ดี เข้ากันได้ดีเชียวละ ต่อไปนี้แกคงไม่เห็นฉันทะเลาะกับว่าที่พี่เขยแกแน่” เขาพูดไม่ผิดหรอกนะ เพราะถ้าเจ้านั้นยังไม่ยอมสงบเสงี่ยมเจียมตัวมากำแหงกับเขาอีก เขาจะทำอย่างที่พูดจริงๆ แต่เรื่องนั้นเอาไว้คิดที่หลัง ตอนนี้เขาอยากพบนทนทีไม่รู้ทำไม ใจหนึ่งก็เป็นห่วง ใจหนึ่งก็กังวลไปสาระพัด ถ้าได้เจอกันก็คงดี
เพราะหลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นมา เขาก็ได้แต่คอยตั้งรับรอร่างโปร่งมาอาละวาดเต็มที่ แต่มันกลับไม่เป็นดังคาด ทุกอย่างมันดูเงียบสงบจนน่าเป็นห่วง ยิ่งไม่เห็นยิ่งร้อนรน ใจมันคอยแต่จะคิดถึงว่า เจ้าของร่างโปร่งจะเป็นยังไง จะอยู่ยังไง สบายดีมั้ยประมาณนั้นเลยละ ก็เขาไม่ใช้ผีป่าซาตานที่ไหนมาเกิดนี่ ถึงจะได้ไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น

*********************************************************

เสียงอาจารย์ผู้สอนบอกเลิกหมดชั่วโมงเรียน ทำให้นกกระจอกในห้องต่างก็แตกรังฮือ
 
“จดทันมั้ยนท” ประวิชเดินตามหลังนทนทีออกมาจากห้องเรียน

“ทัน จะเอาของฉันไปดูก็ได้”

“อืม …….ฉันไม่ทันบางช่วงนะ อาจารย์เปลี่ยนแผ่นใสเร็วชะมัด แล้วจะกลับบ้านเลยเปล่า……ฉันไปส่งมั้ย”

“อืม……..กลับเลย แต่ไม่ต้องไปส่งหรอก นายไปชมรมเถอะ”

“เอางั้นก็ได้แต่นายเดินมองๆทางด้วยละ ช่วงนี้เหม่อๆชอบกล”

“เออน่ะ”

ถึงร่างโปร่งจะตอบรับคำกำชับ แต่ประวิชก็ยังเห็นนทนทีที่เดินห่างออกไปเหม่อเป็นช่วงบ่อยๆ ก็ได้แต่คอยห่วงค่อยเตือน ด้วยนทนทีไม่บอกว่ามีเรื่องวิตกกังวลอะไร ตอนแม่เจ็บใหม่ๆ ร่างโปร่งยังตะลีตะลานมาเรียนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ดูตอนนี้สิ เอาแต่ขายผลไม้อยู่บ้าน เหมือนถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่เข้าเรียนซะงั้นละ

“เจ้าไผ่แสนรู้ มันจะรู้อะไรบ้างรึเปล่าฟะ” คิดถึงคนที่รู้ไปหมดทุกเรื่อง ร่างสูงใหญ่ของประวิชก็บ่ายหน้าไปทางชมรมกิจกรรมนักศึกษาทันที

นทนทีที่วันนี้มาเรียนแต่พอเลิกก็รีบกลับบ้านทันที ร่างโปร่งเดินตัวปลิวไปตามถนนภายในมหาวิทยาลัย สายตาเอาแต่ก้มมองหาเศษเหรียญไม่เงยหน้ามองผู้คน ด้วยไม่ต้องการเห็นคนที่ตนไม่อยากเห็นก็เท่านั้น

ขายาวพาร่างกายผอมเพรียวผ่านสนามฟุตบอล ซึ่งมีนักกีฬาจากหลายชมรมเริ่มซ้อมกันบ้างแล้ว ด้วยเป็นเวลาเย็นแดดเริ่มอ่อนแรงลงพอให้นักกีฬาออกมาทำกิจกรรมกันได้ และหนึ่งในนั้นก็มีชมรมมวยสากลกำลังตั้งแถวอบอุ่นร่างกาย ร่างคนที่ทำเขาเจ็บแสบก็อยู่ในนั้น ถึงจะไกลแค่ไหนเขาก็จำได้ ใครจะไปลืมไอ้คนหยาบคายนั่นได้ลง ไอ้ทุเรศ

นทนทีรีบพาตัวเองไปให้พ้นจากบริเวณนั้นโดยเร็ว เขายังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับเจ้ายักษ์นั่นตอนนี้ เขากลัวความอ่อนแอมันจะทะลักทะลายออกมาให้คู่อริได้เห็น ซึ่งเขาไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาเจ็บ เขาเสียใจ ต้องอดทน ทั้งๆที่อยากจะชี้หน้าด่า ต่อยปากที่บังอาจมาทิ้งร่อยรอยบนกายเขา เตะไอ้หนูมันให้แหลกเพราะเข้ามาทิ้งคราบอารมณ์ให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนใจไปหลายวัน อยากจะตืบ อยากจะ………ให้สมใจแค้น แต่ทำแล้วมันจะได้อะไรกลับคืนมา

พูดง่ายๆ ตอนนี้เขารู้สึกแพ้ แพ้อย่างหมดรูป ไม่มีแรงจะไปต่อกรอะไรกับอีกฝ่าย ปถวีทำให้เขารู้สึกหมดหนทาง เมื่อร่างสูงใหญ่ทาบทับอยู่บนตัว สิ่งที่ไม่ควรรู้สึกก็เกิดขึ้น เหมือนถูกตีตรา มัดจับไว้ โซ่แห่งพันธนาการที่มองไม่เห็นได้กำเนิดขึ้นฉุดรั้งให้เดินเข้าหากัน ครุ่นคิดคำนึงถึงกัน ในเมื่อใจรู้สึกแบบนี้แล้วเขายังจะเจอไปเพื่ออะไร ถ้าเขาต้องเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นอีก คงต้องเผลอพูดหรือทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเขาในตอนนี้เป็นแน่ เพราะฉะนั้นอย่าต้องมาเจอกันเลย

กลัว………….กลัวใจตัวเองจะเผลอไปกับสัมผัสที่ดึงดันเอาแต่ใจ เพราะชั่วขณะหนึ่งเขารู้สึกว่าอ้อมแขนที่โอบรัดนั้นอบอุ่น พอเสียทีเขาไม่อยากหมกหมุ่นคิดแต่เรื่องผู้ชายคนนี้ ยังมีเรื่องที่เขาต้องคิดต้องทำเยอะแยะไป จนจะตายอยู่แล้วยังมาฟุ้งซ่านเรื่องที่ไม่ได้เป็นเงินเป็นทองอีก ไม่เอาไหนเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 9 โมโหมันก็ใช่ แต่.....
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 29-09-2009 21:39:44
ทั้งคู่เริ่มหวันไหวซะแล้ว ^^
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 9 โมโหมันก็ใช่ แต่.....
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 29-09-2009 21:44:09
ตอนที่ 11  :m25:

“มาส่งเสบียงแล้ว คุณแม่ค้า”

วารีฉีกยิ้มให้กับคำหยอกเย้าของพี่ชาย ราดหน้าเส้นใหญ่สีสันน่ากินส่งกลิ่นหอมฉุย ฝีมือพี่ชายถูกวางลงตรงหน้าเด็กสาว

นทนทีผลัดมานั่งประจำที่คนขาย เพื่อให้น้องสาวได้ทานอาหารกลางวัน มารดาของเขายังคงพักรักษาตัวอยู่ในบ้าน ทำให้เขาต้องหยุดเรียนบ่อยครั้งเพื่อมานั่งขายผลไม้ที่แผงริมถนนนี้ บางวันเขาต้องเข้าสวนเพื่อไปดูแลต้นไม้แทนมารดา ถึงจะมีลูกจ้างมาช่วยแต่เขาก็ไม่สามารถจ้างลูกจ้างมาช่วยได้ทุกวัน อะไรที่ทำเองได้ก็ต้องทำเพื่อลดค่าใช้จ่าย

ตั้งแต่แม่ถูกรถชนจนต้องนอนโรงพยาบาล เขาท้อแท้อยู่หลายครั้งด้วยรายได้ที่ลดลง ยังมีหนี้ท่วมหัวอีก แต่ก็คิดว่าแม่คงกลุ้มใจกว่าเขามากนัก แล้วถ้าเขาท้อถอยไปอีกคนจะเหลืออะไร เขาถึงว่าชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไป วารีน้องสาวเขาเองก็จะช่วยผลัดมาเฝ้าแผงวันเสาร์อาทิตย์ หรือตอนเย็นๆ วันๆทำแต่งานไม่เหลือเวลาให้คิดถึงใครได้อีก แค่เรื่องปากท้องก็แทบจะหมดแรงลงทุกวัน

ดีเหมือนกันให้มันลืมๆไป ครั้งเดียวก็เกินพอ จากวันนั้นที่เขาวิ่งออกมาจากคอนโดอย่างทุลักทุเล
.
.
.
.
เขาตื่นขึ้นมาพบกับสภาพห้องนอนที่ไม่ใช้ห้องตัวเอง ทุกอย่างภายในห้องประดับเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นออกแบบอย่างเรียบง่ายดูลงตัว ภายในห้องเลือกใช้โทนสีอ่อนสบายตา เตียงใหญ่หนานุ่มที่รองรับร่างกายเขาอยู่ไหวยวบเมื่อพลิกตัว

“ซี๊ด!……….” แม้ขยับตัวเพียงนิดก็ส่งผลยังบาดแผล ร่างโปร่งที่สวมเสื้อยืดตัวโคร่งนิ่วหน้าทันที เมื่อความเจ็บแล่นไปทั่วบริเวณ

“ตื่นแล้วหรอ” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างๆ คนตัวใหญ่ขยับลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง พลางเสยผมตนเองลวกๆ

เหตุการณ์เมื่อคืนพากันประดังเข้ามาในความคิด อาการนิ่งเงียบของร่างบางทำให้ปถวีกังวลเรื่องบาดแผล

“ไปหาหมอมั้ย”

เหมือนถูกสาดหน้าด้วยน้ำเย็น เขาถูกเจ้ายักษ์บ้านี่บังคับให้มีเซ็กส์ด้วย ให้ตายเถอะ กับผู้หญิงเขายังไม่เคยเลยแท้ๆ แล้วเขาต้องมาเปิดบริสุทธิ์ตัวเองกับผู้ชายเนี่ยนะ ใบหน้านวลที่ดูซีดเซียวเริ่มมีสีเลือดขึ้นมาร่ำไร

แบบนี้มันเรียกว่าข่มขืนรึเปล่า แต่เขาไม่ใช้ผู้หญิงนี่ แล้วมันจะไปร้องโวยวายกับใครได้มั้ยว่า ผมถูกบังคับขืนใจจากผู้ชายด้วยกัน ไอ้บ้านี่ทำได้ยังไง ชกเขาให้เดี้ยงซะยังดีกว่า เนื้อตัวดูสั่นเทิ้มขบริมฝีปากแน่นพลางส่งสายตาชิงชังให้กับคนข้างๆ

“ทำได้ยังไง นายทำไปได้ยังไง บ้ารึเปล่า” นทนทีกระชากผ้าห่มออกด้วยแรงอารมณ์โกรธเกรี้ยว

“อา…………………ถ้าเสียงดีแบบนี้แสดงว่าไม่เป็นไรแล้ว งั้นการไปหาหมอเป็นอันพับไป”

“ใครเขาจะไปหาหมอด้วยแผลแบบนี้กันเล่า!…………ไอ้บ้า” ร่างโปร่งตะโกนจนหอบ

ปถวีมองสารรูปคนที่นั่งใช้แขนยันที่นอนเพื่อรองรับน้ำหนักตัวเอง ขาขาวโผล่พ้นจากชายเสื้อยืดตัวโตที่เขาหามาใส่ให้เมื่อคืน อดไม่ได้ที่จะเผลอไล้สายตามองช่วงขาแน่นตึงสมส่วนนั้น ไม่ยักมีขนหน้าแข้งแฮะ เหลือบมองขึ้นไปถึงเนินสะโพกมนเนียน กับชายเสื้อที่ปิดส่วนสำคัญไว้อย่างหมิ่นเหม่
นทนทีเห็นสายตานั้นจึงรีบขยุ้มเสื้อปิดส่วนสงวนทันที

“ทะ…..ทะลึ่ง”

“หึ………….ทำไปถึงไหนต่อไหนแล้วเพิ่งจะมาปิดรึไง”

“ไอ้ทุเรศ”

อย่างไม่ทันตั้งตัวร่างบางถูกผลักจับกดลงบนที่นอนนุ่มโดยแรง

“ก็เพราะไอ้ปากแบบนี้ มันถึงได้โดนยังไงละ”

ร่างหนาคร่อมเหนือร่างบาง ลำตัวแทรกกลางหว่างขา ทำเอาคนถูกกดหน้าถอดสีทันที

“ออกไป” นทนทีพยายามอย่างยิ่งที่จะบังคับเสียงไม่ให้สั่น

สายตาเจ้าเล่ห์มองตรงมายังเขา ริมฝีปากขยับตามเข้ามาใกล้จนต้องเบือนหน้าหนี กลีบปากนุ่มถูกบดเบียด เรียวลิ้นไล้ตามขอบปากแล้วดุนดันสอดเข้าไปควานหาความชุ่มชื้น

จะกัดให้ลิ้นขาดเลย แม้เพียงคิดแต่ชายหนุ่มดูจะรู้เท่าทันถึงได้บีบคางจนต้องเผยออ้าปากด้วยความเจ็บ และยอมรับสัมผัสดึงดันเอาแต่ใจด้วยจำนน แต่ยิ่งถูกสัมผัสก็ยิ่งจะถูกฉุดกระชากให้ห่างไกลจากความคิดที่ตั้งมั่นของตน เขาปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลและการควบคุม จนอยากจะเขกกระโหลกตัวเองสักหลายสิบที

“หะ……..หยุดเลย” เมื่อรวบรวมความคิดได้ สองมือจึงดันหน้าอีกฝ่ายออกห่าง จ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่คม และสายตานั้นก็จ้องมองกลับมาเช่นกัน

“ถ้าด่าฉันอีกคำเดียว ได้อีกรอบแน่”

นทนทีมองคนที่อยู่ใกล้แค่คืบดูจะสนุกกับการได้กดดันไล่ต้อนเขาให้จนมุมเหลือเกิน แต่ในสถานการณ์แบบนี้เขาก็ไม่อยากจะเสี่ยงทำอะไรให้เจ้าบ้านี่โกรธ เพราะเขารู้รสชาติของมันมาแล้วเมื่อคืน

“ปล่อย…………..ฉันจะกลับบ้าน” พยายามข่มเสียงให้ดูเป็นปกติทั้งๆที่อยากจะชกหน้าไอ้คนเอาแต่ได้นี่ เขาจะไม่ร้องไห้ฟูมฟายกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาทำไม่ได้หรอก ทุเรศตายชัก

“หือ……………” ร่างสูงเพิ่มแรงกดของสะโพกเบียดช่วงกลางลำตัวร่างบาง

“อา……………..” มาปลุกอารมณ์อะไรกันแต่เช้าเจ้านี่! ตัวเองเป็นผู้ชายก็รู้ๆ อยู่ว่าตอนเช้าไอ้หนูมันอ่อนไหวง่ายจะตายไป ทำแบบนี้ถึงจะไม่รักไม่ชอบมันก็เกิดอารมณ์ด้วยกันทั้งนั้นละ

“ไม่ใช่ตอนนี้………” มือไม้เริ่มวนเวียนแถวชายโครงดึงรั้งชายเสื้อเลิกขึ้นสูงพลางบีบคลึงผิวเนื้อเนียนหนักๆ

“ให้ฉันกลับบ้านเถอะ แล้วเราก็เลิกแล้วต่อกัน ฉันจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับนายอีก”

พอเห็นท่าว่าไม้แข็งใช้ไม่ได้ จึงลองใช้ไม่อ่อนดูบ้างเผื่อจะหลุดรอดจากสถานการณ์คับขันตรงนี้ แต่จะให้เขายอมจำนนจากใจจริงละก็ฝันไปเถอะ

“หึ……………..นายจะทำได้อย่างปากพูดรึเปล่าละ” ร่างสูงของปถวีเท้าแขนสองข้างใกล้ศีรษะมองลึกลงในดวงตาคู่ดำสนิทอีกครั้ง


“นายละ” ร่างโปร่งกลับย้อนถามอย่างไม่คำนึงถึงสถานการณ์ที่ตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่

ปถวีกลับยิ้มให้กับคำถามนั้น

“ไม่!”

“นั้นไง!”

“……………….เพราะฉันจะเป็นฝ่ายทำได้คนเดียวต่างหาก”

“ว่าไงนะ!” นทนทีตื่นตระหนกกับคำพูดเอาเปรียบของอีกฝ่าย

“ก็ถ้านายหือกับฉัน ฉัน…..จะ…….ลาก…….นายมาทำแบบนี้ เอาให้ลุกไม่ขึ้นเลย”

เหมือนมีลมพัดเย็นพัดผ่านร่างโปร่งชั่ววูบ สมองเขามึนงงกับคำพูดนั้นราวกับไม่เข้าใจในความหมาย จะให้เขาเป็นเบี้ยล่างจริงๆหรอเนี่ย ทำกับเขาขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมรามืออีกหรือไง

“นาย…………นายต้องเพี้ยนไปแน่ๆ”

“ไม่นะ” ร่างสูงยักไหล่เล็กน้อยอย่างสบายอารมณ์

นทนทีมองท่าทางกวนประสาทด้วยอาการสติแตกกระเจิงไปหมดแล้ว

“ฉัน………….ฉันจะไปป่าวประกาศให้ทั่วเลยว่านายนอนกับผู้ชาย”

“ทุกวันนี้ก็ลือกันอยู่แล้วนี่ คนปล่อยข่าวก็นายไง ลืมที่ตัวเองทำไปแล้วรึไงนายนทนที” คนตัวใหญ่ลดศีรษะกระซิบชิดริมฝีปากบาง
 
“ฉันจะบอกว่านายทำจริงๆ” คนตัวเล็กจ้องใบหน้าคมเขม่งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“เชิญเลย………..แต่บอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่อาย……………………..เพราะฉันเป็นฝ่ายได้น่ะ คนที่อายน่าจะเป็นนายซะมากกว่า ที่ถูกเปิดบริสุทธิ์จากฉัน”

“ไอ้บ้าเอ้ย!” อดทนต่อไปไม่ไหว ปากบางจึงตะโกนบริภาษออกไปด้วยสุดทน

“บอกแล้วใช่มั้ย ถ้าด่าฉันอีกคำเดียวจะเจออะไร”

ร่างโปร่งเกร็งเครียดขึ้นมาทันที เมื่อร่างสูงก้มลงฝังจมูกกับซอกคอขาว พลางเน้นขบผิวเนื้อจนเกิดเป็นรอยจ้ำแดง

“อ๊า!…..หยุด”

ปถวีลากมือร่างบางลงไปสัมผัสบริเวณส่วนนูนพองผ่านกางเกงผ้าเนื้อบางเบา นทนทีแทบจะถลนตามอง เขายังเจ็บอยู่ถ้าต้องรับส่วนนั้นอีกเขาต้องแย่แน่ๆ สำนึกได้ถึงความเจ็บปวดที่ยังคงติดอยู่ในความรู้สึกจนต้องร้องขอไปอย่างไม่อาย ไม่หลงเหลือศักดิ์ศรีอะไรให้ต้องคิดคำนึงถึง

“อย่าทำ…..ฉันเจ็บ”

“ช้าไปแล้ว” นิ้วมือคืบคลานลงไปปลุกเร้าส่วนกลางลำตัวให้ตื่นจากการหลับไหล

“ว่าง่ายๆแล้วจะดีเอง”

“อะ……….” นทนทีกล้ำกลืนรับสัมผัสหนักหน่วง พลางวาดแขนโอบร่างสูงใหญ่ไว้ เพราะสัญชาตญาณเขาบอกว่า หากไม่อยากเจ็บก็มีแต่จะต้องให้ความร่วมมือเท่านั้น กว่าเขาจะถูกปล่อยตัวออกมาจากคอนโดเจ้ายักษ์บ้านั้นก็เกือบครึ่งค่อนวัน ต้องกลับมาแก้ตัวที่บ้านแทบตาย
.
.
.
.
หลังจากนั้นเขาก็เอาแต่หลบหน้าหลบตาผู้คนไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะรู้สึกเหนื่อยใจพิกล บาดแผลที่เกิดจากเรื่องน่าอายนั้นก็หายสนิทแล้ว แต่ใจเขากลับรู้สึกโหวงๆ เขาไม่ค่อยได้ไปเรียนทำให้ไม่ต้องเจอกับชายหนุ่มให้ลำบากใจ แต่ก็ยังได้รู้ข่าวคราวของปถวีอย่างสม่ำเสมอจากอนลที่มาบ้านเขาเกือบทุกวัน

“พี่เขาต้องซ้อมหนักนะพี่นท เห็นบอกว่าใกล้คัดตัวนักมวยแล้ว”

ดีแล้วที่ไม่ต้องมาเจอกัน เพราะเขารู้สึกแพ้ แทนที่เขาจะทำอะไรสักอย่างให้ตัวเองหลุดพ้นจากเหตุการณ์ตรงนั้น เขาได้ต่อต้านอย่างสุดกำลังแล้วรึยัง เขาถึงได้เผลอใจปล่อยให้อารมณ์ เสน่ห์ยั่วเย้าของชายคนนั้นครอบง่ำ เขาไม่เข้าใจตัวเองเลยทำไมถึงยอมให้ชายหนุ่มทำตามอำเภอใจกับร่างกายเขาได้ขนาดนั้น เขาน่าจะขยักแขยงรสสัมผัสนั้น แต่มันกลับไม่มีเลย จนเกือบจะให้ความร่วมมือเสียด้วยซ้ำ

บางครั้งที่เขาคิดว่า เขาคงจะเครียดกับเรื่องทางบ้านจนร่างกายเหนื่อยล้า ต้องการการปลดปล่อยตามธรรมชาติบ้างรึเปล่า
 
นทนทีพยายามหาเหตุผลให้กับเหตุการณ์เผลอตัวเผลอใจในวันนั้น ว่ากันว่าการสัมผัสโอบกอดเป็นยารักษาใจที่ดีที่สุด คงจะจริง เพราะหลังจากวันนั้นเขาก็หลับเป็นตายตลอด 24 ชั่วโมง ไม่รู้เพราะพิษไข้หรือเบาตัวหลังจากการรีดน้ำออกจากกายกันแน่

“ชมพู่โลละเท่าไรค่ะ”

เสียงลูกค้าทำให้ร่างโปร่งที่นั่งเหม่อ หันกลับมายิ้มแย้มให้ผู้มาซื้อผลไม้ทันที

“ 30 บาทครับ เลือกได้เลยครับ” เขาส่งถุงพลาสติกให้ลูกค้าได้เลือกผลไม้ใส่

“ขอบคุณครับ ไว้มาอุดหนุนใหม่นะครับ”

“พี่นท วาอิ่มแล้วค่ะ”

หลังจากจัดการกับราดหน้าจนหมดเกลี้ยง วารีจึงส่งเสียงบอกพี่ชาย

“อืม……เดี๋ยวเย็นๆพี่ออกมาช่วยเก็บแผง”

ร่างโปร่งเก็บจานเดินกลับเข้าบ้าน ปล่อยให้น้องสาวทำหน้าที่แม่ค้าต่อไป งานในบ้านเขาจัดการเสร็จทุกอย่างแล้ว จึงฉวยหยิบถุงกระดาษห่อผลไม้เดินเข้าสวน
ถึงจะอยู่ในสวนมีร่มไม้บังแดดแต่เขาก็ยังสวมใส่เสื้อผ้ามิดชิด เขาใช้ผ้าเนื้ออ่อนโพกคลุมศีรษะ เปิดช่องบริเวณดวงตาเล็กน้อย มือไม้คล่องแคล้วหยิบถุงกระดาษสีน้ำตาลหนาห่อผลชมพู่เพื่อกันแมลงและยังทำให้ผิวสวยขายได้ราคาดี จนใกล้ได้เวลาไปช่วยน้องสาวเก็บแผงนั้นละ เขาจึงหยุดกิจกรรมนั่งลงบนพื้นหญ้า
สายลมเอื่อยๆ มีเสียงนกเล็กๆร้องมาบ้างเป็นระยะๆ

ร่างบางนั่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั้งได้ยินเสียงใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ เหมือนมีคนเดินเข้ามาทางเขา จึงหันหน้าไปทางเสียงนั้นทันที

“เฮ้ย!” เสียงอุทานตกใจของร่างสูงใหญ่ทำให้นทนทีเบิกตามองผู้มาใหม่

ปถวียืนทำหน้าเอ๋อๆ ห่างจากเขาไม่มากนัก หัวใจเหมือนถูกกระตุกอย่างแรง ถึงปากจะบอกว่าไม่อยากเจอ แต่เมื่อได้พบ เลือดภายในดูจะวิ่งพล่านอุ่นขึ้นมาทันที

“ตกใจหมด ปิดหน้ายังกะพวกโจร” ร่างสูงเดินเข้ามาหยุดตรงหน้า ยืนค้ำศีรษะจนต้องแหงนหน้ามองสบสายตานิ่งคู่นั้น ก่อนจะเบือนหน้าหนีพลางแกะผ้าโพกศีรษะ
ออก ผมนุ่มสลวยเปียกชุ่มเหงื่อจับเป็นก้อน เขาใช้มือเสยผมลวกๆ

“มาได้ไง”

“เจ้านลชวนมาน่ะ”

“หรอ”

นทนทีขยับตัวจะลุกขึ้นก็ถูกมือหนากดไว้ พลางทรุดนั่งลงข้างๆ

“หายดีแล้วหรอ”

แก้มเนียนร้อนขึ้นมาทันใด ไม่ยอมมองหน้าคนนั่งข้าง ความเงียบเข้าครอบคลุมพื้นที่ทั้งสอง

ปถวีมองเสี้ยวหน้าขาว ความจริงพอรู้ว่าน้องชายจะมาที่นี่เขาก็ขอติดรถมาด้วยทันที ที่มหาลัยคิดว่าจะได้เจอบ้างแต่ก็ไม่เห็น ความรู้สึกกระวนกระวายเข้ามารุมเร้าเขาอยู่ทุกเมื่อชั่ววัน วันนั้นร่างโปร่งตรงหน้ากวนโมโหจนเขาระงับอารมณ์ไม่อยู่จับกดไปหลายที เวลาผ่านไปนั้นละ ถึงรู้สึกตัวว่าทำรุนแรงเกินไปก็อดห่วงไม่ได้ เห็นนั่งเฉยๆแบบนี้ทำให้รู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูกเลย

“นี่” เสียงทุ้มดังขึ้นใกล้ใบหู ทำให้ร่างโปร่งหันกลับมาปะทะใบหน้าคนนั่งข้างๆทันที

“มันหายดีเพราะไม่ต้องเจอหน้าทุเรศๆของนายไง” ความโกรธที่เคยตกตะกอนไปแล้วถูกกวนให้ขุ่นขึ้นมาอีกครั้ง

แววตาวาวๆชวนหาเรื่องของร่างโปร่งทำให้ความรู้สึกผิดที่มีอยู่ เป็นอันพับเก็บลั้นกลอนไว้อย่างเดิม ก็เพราะไอ้ปากแบบนี้ละน่ะ

“โห…………….เสียงดังฟังชัดแสดงว่ามีต่อรอบสองได้แล้วสิ”

มือยาวคว้าเอวร่างโปร่งเข้ามาประชิด ประทับจุมพิตจาบจ้วงบนริมฝีปากบางทันที

“ก็บอกว่าให้พูดดีๆ รึต้องให้รื้อฟื้นความทรงจำกันตรงนี้อีกรอบ”

“อย่ามาทำเรื่องน่าอายที่บ้านฉันน่ะ!”

สองมือที่ด้นหน้าปถวีถูกรวบไว้ด้วยมือหนาใหญ่ อ้อมกอดแข็งแรงรัดร่างบางเข้ามาแนบอก ปลายลิ้นรุกเร้าให้ร่างอุ่นยอมเปิดปากรับความอ่อนนุ่มเข้าไปซุกไซร้หาความเพลิดเพลิน นานจนคนตัวเล็กกว่าคิดว่าจะขาดอากาศหายใจตาย พลางออกแรงผลักอกหนาออกห่างแล้วตะเกียกตะกายลุกขึ้น

“มักง่าย”

นทนทีบริภาษคนที่ยังนั่งมองเขา แล้วรีบวิ่งกลับบ้าน พลางเช็ดถูริมฝีปากแรงๆด้วยหวังจะลบรอยสัมผัส

“ถ้าไม่ตั้งใจมา แล้วจะมาทำไมกัน”

เจ้าของร่างโปร่งพึมพำอย่างเกรี้ยวกราด ระหว่างเดินก็ฟาดมือไม้ระบายความโกรธลงบนต้นไม้ใบหญ้าตลอดสองข้างทาง

“อ้าว!……พี่นท แล้วพี่ผมละครับ ได้เจอกันรึเปล่า เขาเดินเข้าไปหาพี่ในสวนน่ะ”

อนลที่ช่วยวารีเก็บแผงผลไม้เสร็จ เดินตรงเข้ามาทักเขาเมื่อไม่เห็นพี่ชายตนตามมาด้วย

“อะ…………เจอกันแล้ว แต่คงเดินดูอะไรในสวนเดี๋ยวก็ตามออกมา”

“คงไม่ได้ทะเลาะกันนะครับ"

“ปะ…เปล่านี่”

“ดีครับ เห็นเริ่มสนิทกันแล้ว ผมไม่อยากให้มาผิดใจกันอีก”

เหตุการณ์มันเลยเถิดไปไกลจนเรียกอะไรคืนกลับมาไม่ได้แล้วละอนล ทั้งตัวเขาและความรู้สึก ความสัมพันธ์ทางกายมันส่งผลถึงจิตใจด้วยคงไม่ผิดนัก ความรู้สึกเกลียดชัง เหม็นหน้า กลับสั่นไหวทุกครั้งยามคิดถึงหน้าร่างสูง

“วันนี้พี่ผมเขาขอตามมาเองเลยนะครับ”

“เอ๊ะ? ขอตามมา” คำบอกเล่าของอนลสะท้อนไปมาในหัวของนทนที ใจที่สงบลงแล้วกลับเต้นโครมครามขึ้นมาอีกรอบ

“ฮะ……….ความจริงพี่เขาเป็นคนใจดีนะครับ เห็นแบบนั้นก็เถอะ เจอหมาแมวเป็นไม่ได้ต้องเดินรี้ไปเล่นด้วยประจำ เก็บกลับไปเลี้ยงบ้านก็หลายตัว”
อนลเดินตามเข้ามาทรุดตัวนั่งข้างๆ แล้วส่งยิ้มให้

“พี่วีเขาเป็นพวกขวานผ่าซากนะพี่ ตอนเด็กๆผมมีไม้ตายให้พี่ยอมตามใจผมและก็ได้ผลเสมอ”

“หือ……อะไร” นทนทีเอียงคอ ด้วยไม่คอยอยากจะเชื่อเรื่องที่อนลเล่ามา

“ลูกอ้อนไงพี่ เสร็จผมทุกที พูดดีๆด้วยเดี๋ยวก็ยอมตามใจ ถึงจะทำท่าหงุดหงิดใส่ก็เถอะ พี่เขาชอบคนพูดเพราะๆ ด้วยนะครับ”

นทนทีนึกภาพปถวีเลี้ยงน้องไม่ออกเลย จึงทำหน้าพิกลให้อนลได้เห็นจนเจ้าตัวต้องหัวเราะออกมาอีก

“พวกพี่ลองพูดกันดีๆ บ้างสิครับ คงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้แน่ๆ”

เพื่อนหรอ…………. มันยังเป็นแบบนั้นได้อีกรึไง แม้แต่ความรู้สึกเกลียดก็ทำไม่ได้แล้วตอนนี้ แล้วเขาควรจะรู้สึกอย่างไรกับคนๆนี้ดี

“รึพี่นทจะเอาไม้ตายผมไปใช้ก็ได้นะครับ ผมไม่หวง”

“ห๊า!”

----TBC----

ขอบคุณทุกคอมเมนท์ค่ะ ดีใจจัง
 :call:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 10-11 หลบหน้า!!!
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 29-09-2009 21:59:40
จะรอดูท่าไม้ตายว่าจะเด็ดดวงขนาดไหนนะขอรับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 10-11 หลบหน้า!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ปี้ปี้ปี้~PalmY ที่ 29-09-2009 22:10:25
จงใช้ท่าไม้ตายซะ

จงใช้ท่าไม้ตายซะ

จงใช้ท่าไม้ตายซะ

จงใช้ท่าไม้ตายซะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 10-11 หลบหน้า!!!
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 29-09-2009 22:16:06
 ลูกอ้อนนี่นะ..คือท่าไม้ตาย :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 10-11 หลบหน้า!!!
เริ่มหัวข้อโดย: wanwisa ที่ 29-09-2009 23:06:13
ถ้าหนูนทสนใจท่าไม้ตายของนายอนลขึ้นมาล่ะก็......
งานนี้พ่อนักมวยได้อ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟแน่ๆ....5555+
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 10-11 หลบหน้า!!!
เริ่มหัวข้อโดย: maxtorpis ที่ 29-09-2009 23:08:51
 :seng2ped: :seng2ped: :seng2ped: :call:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 10-11 หลบหน้า!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Papoonn ที่ 29-09-2009 23:27:40
ท่าไม้ตาย ใช้ซะนท   555
อยากเห็นตอนนทอ้อน ๆ  แล้วปถวีทำหน้าตาแบบกลืมไม่เข้าคายไม่ออก 
5555555555   คงฮาน่าดู   

แอบย้อนความหลังให้ดู    แต่ฉากเอ็นซีไปไหน   > <  ;;
ไม่ได้หื่นน่ะค่ะ     ฮ่า ๆ 
คู่นี้น่ารักชัวร์ถ้าเป็นแฟนกัน
อีกคนก้ขวานผ่าซากส่ะ อีกคนก็ปากแข็ง
5555555555    มันแน่ ๆ 
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 10-11 หลบหน้า!!!
เริ่มหัวข้อโดย: zingiber ที่ 29-09-2009 23:47:27
จะรอดูนทใช้ไม้ตาย อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 10-11 หลบหน้า!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Donpopper ที่ 30-09-2009 00:14:08
ต้องเอาไม้ตายไปใช้นะนทเอ๋ย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 10-11 หลบหน้า!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~NeMeSiS_PURE~ ที่ 30-09-2009 00:35:50
ว้าววววววววว  อยากเห็นท่าไม้ตาย

นทจะใช้ได้ดีหรือปล่าวนะ หรือว่าใช้แล้วยิ่งน่าจับกด  :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 10-11 หลบหน้า!!!
เริ่มหัวข้อโดย: jaejoong22 ที่ 30-09-2009 06:07:32
เอาเลยค่ะ   อ้อนซะ

แบบนี้.. :กอด1: :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 10-11 หลบหน้า!!!
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 30-09-2009 14:20:25
น้องชายคนดีจะแนะนำให้ว่าที่พี่สะใภ้  :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 10-11 หลบหน้า!!!
เริ่มหัวข้อโดย: อิสระ ที่ 30-09-2009 14:45:38
ต่อๆๆๆๆๆๆๆๆ



รอออออออออออนะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 10-11 หลบหน้า!!!
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 30-09-2009 16:34:45
ตอนที่ 12

เสียงตะโกนเรียกชื่อร่างโปร่งโหวกเหวกอยู่หน้าบ้านทำให้ทั้งคู่เดินไปดู

“ไผ่………..ประวิช” นทนทีเห็นเพื่อนสนิททั้งสองหอบหิ้วของพะรุงพะรังเต็มสองมือ

“เย็นนี้กินสุกี้กัน” ไผ่ชูอวดวัตถุดิบสำหรับทำสุกี้ที่ตนและประวิชซื้อเตรียมมา

“อ้าว! นลก็อยู่ด้วยหรอ ดีเลย กินด้วยกันนะ”

“ครับ…..ผมช่วยถือพี่”

ทั้งสามเดินหอบข้าวของเข้าไปไว้ในครัวอย่างคนคุ้นเคยสถานที่ ประวิชกวาดสายตามองไปรอบๆบริเวณเลยผ่านออกไปนอกหน้าต่างเมื่อสะดุดกับร่างสูงที่คุ้นเคย

“ปถวี” ร่างสูงของปถวีเดินคู่มากับมารดาของนทนที

“อะไร” ไผ่ถามพลางมองตามสายตาประวิชไป

“คุณแม่คร๊าบ…………….วี…..วันนี้กินสุกี้กัน” ร่างบางยิ้มหน้าบานให้กับคนที่เดินเข้ามาใกล้ หญิงสูงวัยรับไหว้เพื่อนสนิทลูกชายตน
 
“แม่เป็นยังไงบ้างครับ” ไผ่เดินเข้าไปหาหญิงสูงวัย

“ดีขึ้นมากแล้วละลูก แต่ยังทำงานอะไรไม่ได้”

“หรอครับ อายุมากแล้วคงใช้เวลามากหน่อยกว่ากระดูกจะเชื่อมต่อสนิท”

“จ๊ะ…….พ่อวีเขาก็บอกแม่ยังงั้นเหมือนกัน ให้แม่ใจเย็นๆ แต่คนเคยทำงานนะลูกอยู่เฉยๆมันก็หงุดหงิดอยากหายไวๆ”

“โฮ้…………เจ้าวีอยู่คุยกับแม่ด้วยหรอครับ ………ไม่อยากจะเชื่อ”

“ทำพูดเข้า น่าตีจริงเรานี่น่ะ เพื่อเขาอุตส่าห์มาคุยกับคนแก่ยังจะไปแซวเขาอีกแนะ”

“โธ่……….แม่………..ล้อกันเล่น”

“นี่นัดกันมารึเปล่าลูก”

“เปล่าครับ……………….แต่ก็ดี ทานกันหลายคนสนุกออก” พลางมองไปยังปถวีเพื่อนสนิท

“มาด้วยเรอะ”

“มาเยี่ยมไม่ได้รึไง”

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย อยู่กันหลายคนแบบนี้ก็สนุกสิ วันนี้ค้างที่นี่กันเถอะ ตั้งวงก็ได้นะ”

“น้อยๆหน่อยเจ้านี่” ประวิชปรามเพื่อนตัวเล็กที่ดูจะระริกระรี้เหลือเกิน “เกรงใจแม่เขาหน่อยสิ”

“ไม่เป็นไรๆ โตๆ กันแล้ว “ แม่ออกปากอนุญาต

“งั้นตกลงตามนี้เนอะ” ไผ่รวบรัดตัดความให้เป็นไปตามที่ตนคิด ไม่ยอมให้เพื่อนคัดค้าน จนประวิชส่ายหน้ากับความเจ้ากี้เจ้าการของร่างบาง แต่ก็ยอมตามใจทุกครั้ง ผิดกับอีกคนที่คอยจะเกรงอกเกรงใจเขาเสมอๆ จนเขาต้องออกปากบ่อยๆ

ในที่สุดทุกคนก็ตั้งวงกินสุกี้ ดื่มน้ำอัดลม คุยเรื่องสัพเพเหระ มีตัวชูโรงคือจอมเจ้าก็เจ้าการไผ่นั่นเอง จนเกือบเที่ยงคืนจึงสลายตัว นทนทีนำฟูกมาวางที่พื้นห้องเพิ่มเนื่องจากคงนอนบนเตียงทั้งหมดไม่ได้

“นายนอนดิ้น นอนข้างล่างไปเลย” ประวิชผลักร่างบางลงฟูกที่พื้น

“งั้นนายก็ด้วย” ไผ่ฉุดคนตัวโตลงมานอนด้วยกัน

“ผมขอที่เดิมละกันครับ” อนลพาตัวเองลงนอนริมเตียงติดฝาผนังห้อง เห็นดังนั้นปถวีจึงก้าวขึ้นไปนอนติดกับน้องชายตน

นทนทีทรุดกายนั่งขอบเตียงสบตากับคนตัวโตที่นั่งมองตนเองอยู่บนฟูกที่พื้น เขารู้ว่าเพื่อนตัวโตห่วงความรู้สึกของเขาขนาดไหน จึงยิ้มให้เหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนจะซุกกายในผ้าห่ม

“นี่ถ้านายดิ้นมาเตะฉัน ฉันเตะกลับจริงๆ นะ” ประวิชไม่วายที่จะกำชับคนนอนข้างๆ

”รู้แล้วนะ” เจ้าของร่างบางทำปากยื่นเหล่ตามอง

“แทนที่จะเตะ ทำอย่างอื่นไม่ดีกว่าหรอ”

แทนที่จะสำนึก ไผ่กลับพูดจากวนประสาทให้ประวิชนึกอยากจับมาหวดให้ก้นลายด้วยชอบพูดจาสองแง่สองง่ามกับเขาอยู่บ่อยๆ

“ทำอะไร เดี๋ยวเหอะ นอนไปเลยนะ” ประวิชดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างบางด้วยท่าทีกระแทก แล้วจึงล้มตัวนอนตาม

อีกด้านของคนบนเตียงนทนทีนอนตะแคงหันหลังให้ปถวี ความเงียบสงบมีเพียงเสียงจิ้งหรีด สัตว์หากินกลางคืนส่งเสียงร้องเป็นธรรมเป็นธรรมชาติของบ้านสวน ร่างโปร่งนอนลืมตาด้วยรู้สึกถึงลมหายใจของคนข้างหลังทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายออกจะเกร็งอยู่บ้าง แต่ก็ข่มตาหลับจนได้

****************************************

นาฬิกาชีวิตปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาเมื่อฟ้าเริ่มสาง ร่างบางยังนอนตะแคงท่าเดียวกับตอนที่ล้มตัวนอนเมื่อคืน แต่ร่างที่ซ้อนทาบทับอยู่ข้างหลังนี่สิมาได้ไง ยังมีท่อนแขนหนักเกี่ยวรัดเอวบางราวกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ จนเจ้าตัวต้องหันหน้าไปมองดูคนข้างหลัง

การขยับตัวของนทนทีทำให้ปถวีรู้สึกตัวตื่น พลางรี่ตามองคนที่ตนนอนกอด

เอาอีกแล้ว…ไปคว้ามากอดอีกแล้ว

สบตากับร่างโปร่งโดยที่ยังไม่ยอมคลายอ้อมแขน เขาเห็นสายตาของประวิชเมื่อคืนก็ให้นึกกรุ่นๆในใจ

นี่มันของๆเขานะ อย่าได้คิดเชียว
 
ร่างโปร่งไม่อาจสบตาคู่คมที่ทำให้เลือดในกายเขาอุ่นขึ้นได้จึงหลุบตาลง อยากจะผลักไสไล่ส่งไปให้ไกล แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงทำไม่ได้

' พวกพี่ลองพูดกันดีๆ บ้างสิครับ พี่วีความจริงแล้วใจดีนะครับ เอาไม้ตายผมไปใช้ก็ได้นะ '

อดคิดถึงเรื่องที่อนลเล่าไม่ได้ จะให้เขาอ้อนเจ้านี่นะหรอ เขาทำไม่ได้หรอก แต่หลังจากเกิดเรื่องเขาก็คิดอยู่หลายครั้งหลายหนว่า สิ่งที่เขาทำอยู่นี่ มันทำให้เขาแค่รู้สึกพอใจสะใจ ที่ได้เห็นเจ้านี่ต้องวุ่นวายเพราะเขาเท่านั้นหรือ แล้วเขาได้อะไรที่มันจีรังยั่งยืนจากมันบ้าง เกลียดไปก็ถูกเกลียดกลับ มันวนเวียนจนหาทางออกไม่เจอแล้วว่าเขาควรจะยุติเรื่องพวกนี้ได้ยังไง เขาเริ่มรู้สึกเหนื่อย เจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่อยากจะสู้รบปรบมือกับคนๆนี้อีก จะให้เขาทำอย่างไรละ ถูกข่มขืนมา แล้วจะให้เขาไปข่มขืนเจ้าหมอนี้กลับนี่นะ สยองอะ ทำไม่ได้หรอก………..จะให้ถือมีดไปจ้วงท้องก็เป็นห่วงแม่กับน้องสาวอีก ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ซักอย่างก็ขออยู่เฉยๆดีกว่า ต่อแต่นี้ไปเขาจะไม่สนใจคนๆนี้อีก เจอก็ทักไม่เจอก็ช่างหัว

ปถวีมองแพขนตาตรงยาวบนใบหน้านวล ริมฝีปากอิ่มสีสดจนต้องทอดสายตาอ้อยอิ่งเป็นนานก่อนจะชักแขนตนออกจากเอว

“ฉันนอนดิ้นนะ” เสียงทุ้มกระซิบเบาๆพอให้ได้ยินกันสองคน ร่างบางกลับไม่ขยับตัวออกจากร่างหนาที่นอนประกบอยู่ สายตาจับจ้องเพียงช่วงอกของอีกฝ่าย

“ช่างเถอะ”

ถึงจะอ้อนไม่ได้แต่แค่พูดดีๆด้วยก็พอได้นะ

คำตอบง่ายๆ สร้างความแปลกใจให้ปถวีไม่น้อย ด้วยคิดว่าจะเจอคำโวยวายตอกใส่หน้าแต่เช้า เกิดความเงียบขึ้นแต่กลับไม่มีใครยอมขยับกายออกห่าง

“พรุ่งนี้ฉันจะคืนเงินงวดแรกใส่บัญชีธนาคารให้”

นทนทีเหลือบตามองดูปฏิกิริยาบนใบหน้าราวรูปปั้นกรีก ไม่มีคำตอบจากปถวีแต่กลับเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ ทำให้เขาผงะหน้าหนี

“ต้องลุกแล้ว” เสียงอ้อมแอ้มกระซิบเบาๆ พลางขยับตัวออกแต่ถูกรั้งไว้

“ถามจริงๆ ไม่เป็นไรแน่นะ แผลนั้นน่ะ”

ถามเรื่องนี้อีกแล้ว ติดใจอะไรนักหนาก็ไม่รู้ คนยิ่งไม่อยากนึกถึง แต่สีหน้าคนตัวใหญ่จริงจังจนรู้สึกได้

“หะ………หายแล้ว” ด้วยไม่อยากถูกเซ้าซี้ให้ได้อายอีกเป็นครั้งที่สามจึงกลั้นใจตอบจะได้จบเรื่องจบราว อยากรู้นักนี่ ทำเองด้วย

“ฉันไม่ตั้งใจทำนายบาดเจ็บขนาดนั้น”

ไม่ตั้งใจให้บาดเจ็บ งั้นก็ตั้งใจกอดเขาอยู่แล้วใช้มั้ยไอ้บ้านี่

ถึงจะต่อว่าในใจแต่เสียงกระซิบกระซาบใกล้ๆทำให้ใจที่คิดว่าจะไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับคนๆนี้อีกต้องสั่นไหวอีกครั้ง

“……………………..…..ให้มันจบลงแค่นี้”

คนตัวบางหลับตาลงอีกครั้งด้วยไม่อยากสบตาคู่นี้อีก มันทำให้ใจเขาแกว่งเกินไป เขาจะถือว่าที่ผ่านมาเพราะเขามันวอนหาเรื่องเองถึงได้เจอแบบนี้

ปถวีมองดูร่างโปร่ง พูดดีๆ ก็เข้าใจกันได้นี่ ทำไมถึงไม่พูดจากันให้เร็วกว่านี้ เขาจะได้ไม่โมโหจนทำเรื่องรุนแรงลงไป วันที่เขาทำให้ร่างนี้ถึงกับเลือดตก ก็รู้สึกสงสารคนตรงหน้า จะว่าไปก็คือมารองรับอารมณ์โกรธของเขานั้นละ อ้อมแขนแข็งแรงรวบร่างบางเข้ามากอดแน่น ซุกหน้ากับศีรษะทุย

“ขอโทษ” เสียงกระซิบเบาๆข้างหูทำให้นทนทึถึงกับตกตะลึง

เพียงคำพูดเดียว เกาะแก้วในใจนทนทีก็แตกทลายลงมาทันที ขอโทษ คำๆนี้ละที่เป็นเหมือนกุญแจไขทุกอย่างที่ผ่านมา อาจเป็นเป้าหมายลึกๆในใจเขาตั้งแต่แรกเริ่มที่ได้พบกับผู้ชายคนนี้ก็ได้ คำที่เขารอคอยมาตลอด และทำทุกอย่างก็เพื่อคำๆ นี้ คำเดียว และตอนนี้เขาได้มันมาแล้ว ถึงจะเสียอะไรไปมากมายก็ตาม เขาทำให้ผู้ชายที่เคยยืนมองเขาอย่างเฉยเมยพูดคำว่าขอโทษได้แล้ว

“อือ” แรงสั่นสะเทือนในหัวใจส่งผ่านมาถึงมือไม้ จนต้องยึดจับแผงอกคนตรงหน้าไว้แน่น เพื่อหยุดยั่งอาการสั่นนี้

ปถวีรับรู้ถึงการตอบรับคำขอโทษแต่โดยดี อยู่ๆความอุ่นซ่านก็เกิดขึ้นในใจร่างสูงใหญ่ เขาชอบท่าทางนุ่มนวลของนทนทีแบบนี้ ที่ผ่านมาไม่มีโอกาสได้พูดดีๆกันสักครั้ง

ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้ากันด้วยอุบัติเหตุนั้นละ เพราะมัวแต่งงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อนหญิงที่เขารู้สึกชอบพอในตอนนั้นกลับลงไปต่อว่าชายหนุ่มที่บาดเจ็บจากการถูกรถเขาเฉี่ยวได้แผลเลือดซิบๆ หญิงสาวคนนั้นพูดจาปกป้องผลประโยชน์เขาเต็มทีทั้งๆ ที่เขาผิดเต็มประตู มันก็น่าดีใจอยู่หรอกแต่เขาไม่ใช่คนไม่รับผิดชอบในสิ่งที่เขาทำ แต่สาวเจ้าไม่เว้นช่องให้เขาได้พูดแทรกเลย พอเขาหันกลับจะไปช่วยชายหนุ่มคนนั้น ก็เจอเจ้าตัวระเบิดอารมณ์ใส่แล้วเดินหนีหายไปเลย ได้เจอกันอีกทีก็ถูกตั้งตัวเป็นปฎิปักษ์ซะแล้ว ส่วนเพื่อนหญิงในตอนนั้นเขาก็รีบบอก Say goodbye ไปแล้ว ก็คุณเธอน่ากลัวขนาดนั้น คนอะไรสวยแต่รูปแต่ใจร้ายชะมัด

แขนใหญ่เพิ่มแรงกอดร่างโปร่งแน่น ริมฝีปากซุกไซร้ซอกคอ ส่งปลายลิ้นแตะเลียติ่งหูนิ่ม ก่อนจะเคลื่อนใบหน้าเคล้าเคลียหน้านวล จนเจ้าของใบหน้านวลต้องเบี่ยงตัวหลบ

“ฉันจะลุกแล้วนะ” มือเรียวยันไหล่ร่างสุงออกก่อนที่อารมณ์จะกระเจิดกระเจิงไปมากกว่านี้

“อืม” ปถวียอมปล่อยแต่โดยดี

รอยยิ้มของคนตัวใหญ่ส่งให้ใบหน้าดูใสกระจ่างน่ามอง ฟันขาวเรียงกันเป็นระเบียบสวยงาม คิ้ว ตา จมูก ปาก รับกันได้รูปจนใครๆหลายคนอิจฉา นี่ละที่เขาเรียกว่าหล่อ ชวนหัวใจคนร่างบางกระตุก นทนทีรีบพับผ้าห่มแล้วลุกจากไปโดยมีสายตาอีกคนคอยจดจ้องแผ่นหลังจนลับตา

****************************************************

แสงสีทองเริ่มทาทับจับขอบฟ้า สะกิดให้ร่างที่นอนหลับใหลตื่นขึ้นมารับวันใหม่

“เฮ้ย! ขยับออกไปเลยนะ” เสียงประวิชโวยวายแต่เช้าเมื่อเห็นหัวเล็กๆ นอนเกยไหล่เขาอยู่

“อือ………อืม”

“รีบๆ ขยับไปสิ ฉันจะแบนอยู่แล้วโว้ย”

ร่างขาวอมชมพูก่ายเกยทับร่างหนาเต็มเนื้อเต็มตัว ขยับลุกนั่งมองร่างหนาที่กำลังส่งสายตาดุๆ มายังตนด้วยอาการงัวเงีย

“ถึงว่า……………ยังกะนอนกอดเสาปูน แข็งเป็นบ้า”

“แล้วใครใช้ให้นายมานอนเบียดฉันละ”

“โธ่เอ้ย……….แค่นี้ทำบ่นเป็นตาแก่ไปได้” ร่างบางปาหมอนใส่คนที่กึ่งนอนกึ่งนั่ง พลางหันหน้าไปมองคนที่นอนบนเตียง

“นทลุกไปแล้วหรอ”

“อืม” ปถวีหย่อนเท้าลงข้างเตียง มองร่างบางที่จ้องมองตนเองนานผิดปกติ

“มีอะไร”

“ปะ…เปล่า แต่ว่ามีเรื่องจะขอความช่วยเหลือหน่อยอะ”

“อะไรอีกละ”

“ก็ชมรมฉันถูกอาจารย์ขอให้ไปช่วยจัดนิทรรศการประวัติของมหาวิทยาลัย ผลงานอีกเยอะแยะ ที่นี้คนที่ทำงานมันมีไม่พอ นายมาช่วยฉันหน่อยนะ”

“ไม่เอาหรอก ช่วงนี้ฉันต้องเริ่มซ้อมหนักแล้ว”

“น่านะ…………………ช่วยหน่อยเถอะ นายอยู่คอนโดมีรถด้วย ฉันแค่ให้นายช่วยซื้อพวกอุปกรณ์แล้วเอาไปเก็บไว้ที่คอนโดนายก่อนนะ วันทำค่อยขนมา ขอร้องละนะ ช่วยฉันหน่อยเถอะ ฉันทำเองไม่ไหวแน่ๆ”

“พอๆ ให้ไปซื้อวันไหนก็บอกแล้วกัน” ปถวีดูจะอ่อนอกอ่อนใจกับไผ่เหมือนประวิชถึงได้รับปาก

“ขอบใจๆ เพื่อนฉันน่ารักที่ซู้ด………………………..เลย……….นายด้วยนะ” ท้ายประโยคหันมาพูดกับประวิช

“หึ” ประวิชไม่ตอบรับและก็ไม่ปฏิเสธ แต่กับจ้องใบหน้าขาวอมชมพูสวยด้วยสีหน้าระอา

“เป็นแบบนี้ทุกที”

********************************************************
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 12-14 "ขอโทษ"
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 30-09-2009 16:42:46
ตอนที่ 13

มือเรียวได้รูปหยิบจับเอกสารที่กองระเกะระกะบนพื้นขึ้นเรียงใส่ตู้เก็บเอกสารของชมรมหนังสือพิมพ์ นทนทีเข้ามาเก็บงานของตนที่ยังค้างอยู่เพียงลำพังแต่เช้า ด้วยวันนี้มีชั่วโมงเรียนที่ขาดไม่ได้ จึงถือโอกาสเข้ามาทำงานในชมรมตั้งแต่ไก่โห่ ครั้งตอนมารดาเขาประสพอุบัติเหตุ เขาก็แทบไม่ได้เข้ามาทำงานชมรมเลย ประวิชที่เป็นคู่บัดดี้จึงต้องทำงานในส่วนของเขาด้วย ถึงประวิชจะเข้าใจก็เถอะ แต่พอมีเวลาเขาจึงอยากเข้ามาช่วยเพื่อนบ้างนิดหน่อยก็ยังดี

แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างกว้างเข้ามาภายในห้องจนสว่างไปทั่ว ร่างโปร่งลุกขึ้นปิดไฟแล้วเดินเลยไปยืนเกาะขอบหน้าต่างสูดอากาศเย็นเข้าจนเต็มปอด เช้าๆ แบบนี้ยังไม่ค่อยมีนักศึกษามาเท่าไรจะเห็นก็แต่พวกนักกีฬาที่ซ้อมกันอยู่ทั่วบริเวณสนามฟุตบอล

“หนึ่งสอง หนึ่งสอง” เสียงพร้อมเพียงของนักกีฬากำลังวิ่งผ่านตึกที่ตั้งชมรมหนังสือพิมพ์ มองจากระยะไกลเลยไม่แน่ใจว่าเป็นนักกีฬาชมรมไหนจนเข้ามาใกล้ถึงได้รู้ว่า เป็นพวกชมรมมวยสากล ร่างสูงใหญ่คุ้นตาวิ่งลำดับท้ายๆ

ปถวี จริงสินะ บอกว่าช่วงนี้ซ้อมหนักทุกวัน ด้วยใกล้วันแข่งคัดตัวนักกีฬาแล้ว เขามองจนร่างสูงวิ่งเข้ามาได้ระยะเห็นชัดเจน
คงรู้สึกถึงการมองของใครบางคน ปถวีจึงเงยหน้ามองมายังร่างบางที่อยู่บนชั้นสองของตัวตึก คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ ด้วยไม่คิดว่าจะเห็นนทนทีตั้งแต่เช้าขนาดนี้ ก่อนจะวิ่งเลยผ่าน ปถวีพยักหน้ารับรู้ว่าเห็นร่างโปร่งแล้ว แต่เจ้าตัวทำได้เพียงอมยิ้มน้อยๆกับตัวเอง ผิวแก้มร้อนขึ้นจนต้องเดินเลี่ยงหลบไปพิงกำแพง

“คนอะไร ทำอะไรก็ดูดีไปหมด” เป็นผู้ชายเหมือนกันแต่ภาพลักษณ์ต่างกันลิบ ร่างสูงมีกล้ามเนื้อสมส่วน ใบหน้าคมเข้ม เขาไม่แปลกใจเลยที่จะมีสาวเล็กสาวใหญ่มามะรุมมะตุ้มกันมากมาย ผิดกับเขาถึงจะทำงานในสวนแต่กลับไม่มีกล้ามเนื้อเช่นชายหนุ่ม เพียงแค่ไม่มีไขมันห้อยย้อยให้ดูน่าเกลียดก็เท่านั้น

“อยากมีบ้างจังน๊า………..”

“มีอะไรรึ”

ปถวีเปิดประตูเข้ามาได้ทันฟังคำรำพึงรำพันของนทนที ร่างโปร่งเองก็ดูจะตกใจกับการปรากฏกายของชายหนุ่ม

“อะ!…………วิ่งเสร็จแล้วหรอ” นทนทีมองร่างกายคนตัวใหญ่มีเหงื่อออกท่วมตัวเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า

“เสร็จแล้ว เห็นนายอยู่ที่นี่เลยแวะมาดู”

“ออ………………..มาเก็บงานน่ะ”

“แต่เช้านี่นะ”

“อืม”

ปถวีมองอาการคนร่างโปร่งถามคำตอบคำแล้วก็ยิ้ม ด้วยท่าทางหลบหน้าหลบตาไม่ยอมสบตากับเขาซักกะที หายไปไหนหมดน๊า…………ไอ้ท่าทางอวดดีอย่างเมื่อก่อน แต่เขาชอบแบบนี้มากกว่า

“กินอะไรมารึยัง” ปถวีถามพลางสาวเท้าเข้าประชิดร่างกายอีกคนมากขึ้น

“ยังหรอก เดี๋ยวค่อยไปหาอะไรกินที่โรงอาหารมหาลัยน่ะ”

“งั้นคอยด้วยนะ ขอไปอาบน้ำก่อน”

“เอ๋? “

“แป๊บเดียวเอง”

“ไม่ใช่อย่างนั้น”

ด้วยตั้งใจจะมองคนตรงหน้าใหม่ แต่ไม่คิดว่าจะคืบหน้าเร็วขนาดนี้ มันอดรู้สึกตะขิดตะขวงใจไม่ได้ ก็คนไม่เคยญาติดีกันอยู่ๆจะให้ไปนั่งกินข้าวกันแบบสนิทสนมนี่นะ ก็ตกใจนะสิ ถึงจะเคยถูกล่วงล้ำแต่ก็เป็นไปแบบถูกบังคับ แต่ไอ้แบบนี้มันจะสมยอมไปรึเปล่า วุ่นวายจริงวุ้ย

“ทำไมหรอ” ปถวีเอนตัวเข้าใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจกันและกัน

“ปะ……..เปล่า ไปก็ไป” นทนทีตอบแบบอึกๆอักๆ

“ถ้าไม่อยากไปด้วยกันก็ไม่เป็นไร”

ถูกร่างหนาจ้องมองเหมือนจะทะลุเข้าไปในความนึกคิด แก้มนวลก็แดงเรื่อขึ้นมาอีกจนได้

“ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย” นทนทีบ่นอุบอิบ

ยิ่งร่างโปร่งหลุบตาต่ำ มือไม้วางผิดที่ผิดทาง พูดจาติดขัดเหมือนไม่ใช่ตัวเอง ปถวีก็ยิ่งเห็นว่าไอ้ท่าทางพวกนี้มันดูน่ารักซะเหลือเกินในสายตาเขา อดไม่ไหวจึงรวบเอวบางเข้ามาแนบตัว

“เฮ้ย!” เสียงร้องประท้วงเมื่อถูกอ้อมแขนใหญ่รัดแน่น

“อย่านะ”

“อืม”

อืมอะไร ไม่เห็นฟังกันเลย ถึงจะมีสัญญาสงบศึกแบบคิดเอาเองก็เถอะ แต่เรื่องนี้เขาไม่ขอสานต่อนะ

มือใหญ่ลูบแผ่นหลังร่างโปร่งหนักๆ แค่เห็นก็อยากจะเข้าไปกอดให้สมใจอยาก ไม่รู้ว่าทำไม เขาก็ไม่ได้มีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน แต่กับคนๆนี้คงต้องยกเว้น ตั้งแต่ได้ลิ้มรสร่างกายนี้เขาก็อยากได้อีก ได้อีกเรื่อยๆ ริมฝีปากได้รูปของคนตัวใหญ่แนบเบาๆบนพวงแก้มเนียน มือข้างหนึ่งคลึงเคล้นบั้นท้ายกลมตึง แรงกดรั้งของมือใหญ่ทำให้สะโพกมนเบียดเข้ากับช่วงขากำยำ
 
“นาย………………….” ก่อนจะได้ร้องห้ามก็ถูกริมฝีปากเคลื่อนมาปิดจนต้องครางในลำคอ ปลายลิ้นดุนดันเพื่อให้นทนทีเปิดปากรับลิ้นอุ่นชื้นเข้าไปตวัดเกี่ยวเกาะดูดดึง สร้างความวาบหวามไปทั่วร่าง มือใหญ่เพิ่มน้ำหนักมือบีบคลึงเนินเนื้อพร้อมกับบดเบียดตนเองเข้าแนบชิดสะโพกตึงด้วยอารมณ์เริ่มคุกรุ่น สะโพกแกร่งวนบดเบียดไปมาจนร่างในอ้อมแขนร้องคราง
 
“อา………….ไหนว่าจะไปอาบน้ำไง” ร่างบางกลั้นใจท้วงติง

“อืม” เสียงครางตอบรับแต่ไม่ยอมหยุดจนนทนทีทำเสียงเขียว สองมือผลักดันใบหน้าอีกฝ่ายออก

“ถ้าช้าฉันจะไม่รอนาย”

“โอเค”

ได้ผลคนตัวใหญ่ผละออกไปด้วยไม่อยากขัดใจคนตัวเล็กในตอนนี้ ไว้ก่อนเถอะ เรื่องแบบนี้ใจร้อนไม่ได้ถึงจะทำมาแล้วก็เถอะ เขาไม่อยากให้คนๆนี้ต้องเลือดตกพื้นอีก อีกอย่างยังมีเวลากับเรื่องนี้อีกนานตราบเท่าที่พวกเขายังหันหน้าเข้าหากัน

**************************************************

ยามเช้าผู้คนในศูนย์อาหารบางตา แก้วน้ำเปล่าถูกเลื่อนมาให้นทนที

“ขอบใจ”

ปถวีทรุดกายนั่งตรงข้ามร่างโปร่ง ควันจางๆลอยเอื่อยจากข้ามต้มปลาร้อนๆที่สั่งมากินเป็นข้าวเช้า มือใหญ่คว้าช้อนได้ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงตักข้าวต้มเข้าปากไม่อนาทรร้อนใจกับความอุณหภูมิของมันเลย นทนทีที่นั่งกินอย่างเงียบๆสังเกตเห็นคนหิวโซกินข้าวก็แอบอมยิ้ม

“อะไรหรือ” คนกำลังกินข้าวเงยหน้ามองร่างบางที่ยิ้มน้อยๆมองตนเองอยู่

“เอาอะไรเพิ่มมั้ย กินข้าวต้มไม่อยู่ท้องหรอก บอกแล้วว่าอย่าสั่งตาม”

“แค่นี้ก็พอ แล้วนั้นอิ่มแล้วรึไง” ปถวีที่กวาดข้าวต้มของตนจนเรียบไม่เหลือแม้แต่น้ำ มองข้าวต้มคนตรงหน้าที่เหลืออยู่เกือบเต็มชามด้วยเจ้าของกินไปไม่ถึง 10 คำก็รวบช้อนแล้ว

“อืม……..เช้าๆกินไม่เยอะหรอก”

“งั้นเอามานี่” ปถวีเอื้อมมือไปคว้าชามข้าวต้มที่เหลือเกือบเต็ม แต่ถูกกันไว้จากอีกฝ่าย

“อย่าเลย สั่งใหม่เถอะ ชามนี่ฉันกินแล้ว”

“ฉันไม่ถือนี่” ว่าแล้วก็คว้าชามมาจนได้ หยิบช้อนคันเดิมที่วางคาไว้ขึ้นตักกินหน้าตาเฉย
 
“นายนี่” นทนทีแอบบ่น พลางเสมองไปที่อื่นก็เห็นร่างคุ้นตาเดินเข้ามาภายในโรงอาหาร จึงยกมือเรียก

“ไผ่………..ประวิช ทางนี้”

ทั้งคู่เดินตรงไปทางเพื่อนที่กวักมือเรียกอยู่ด้านใน

“มีเรียนเช้าสิ” ไผ่ทรุดตัวนั่งข้างร่างโปร่ง ส่วนประวิชนั่งฝั่งปถวี
 
“ใช่ เลยเข้าไปในชมรมด้วย”

“คุณแม่ละ เป็นไง?”

“ดีขึ้นมากแล้ว”

“แล้วกินอะไรรึยังนท” ประวิชพูดแทรกไผ่ด้วยมองไม่เห็นเพื่อนตนสั่งอะไรมากิน แต่อีกคนกลับซัดข้าวต้มสองชาม แค่เห็นสองคนนี้นั่งอยู่ด้วยกัน เขาก็รู้สึกอึ้งๆ ถึงช่วงนี้จะดูลงรอยกันมากขึ้นก็เถอะ มันอดแปลกใจไม่ได้

“อืม…….กินข้าวต้มแล้วละ ประวิชล่ะ ไม่กินอะไรหน่อยหรอ”

“กินสิ จะไปซื้ออยู่นี่ละ” ประวิชลุกขึ้นทำท่าจะเดินไปซื้ออาหารด้วยสีหน้างงๆกับคำตอบอีกฝ่าย ก็ตรงหน้าร่างบางไม่เห็นมีจานชามซักใบ มีแต่เจ้าปถวีนั่งกินคนเดียวสองชาม หรือว่า………………………………….

“ฝากซื้อข้าวผัดกุ้งด้วย” ไผ่ตะโกนไล่หลังคนตัวใหญ่

“เอาโค๊กมาขวดด้วยนะ”

ได้ผลชะงัก คนตัวใหญ่หยุดเดินหันกลับมาแยกเขี้ยวใส่ร่างบางที่ตะโกนสั่งเขาฉอดๆ

“มาซื้อเองม่ะ”

เจ้าของร่างบางส่งยิ้มแทนคำตอบ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้กับอารมณ์หงุดหงิดของประวิช

ถึงจะบ่นแต่ประวิชก็กลับมาพร้อมข้าวผัดกุ้งและโค๊กวางตรงหน้าไผ่จนได้ ส่วนตัวเองกลับซื้อแซนวิชมาสามชิ้นใหญ่ แกะห่อพลาสติกยื่นส่งให้นทนที

“ประวิชกินเถอะ ฉันกินแล้ว”

“กินแค่นั้นมันจะไปอิ่มได้ไง กินนี่อีก” มือใหญ่ยัดแซนวิชไส้ปลาทูน่าใส่มือเรียว แล้วจึงเริ่มแกะส่วนของตนกินบ้าง

“กินให้หมด”

ได้ยินประวิชกำชับเสียงหนักๆ นทนทีจึงอมยิ้มให้กับความห่วงใยเสมอต้นเสมอปลายของเพื่อนคนนี้ ร่างบางกัดแซนวิชคำใหญ่เอาใจคนช่างห่วงเสียหน่อย

ประวิชที่คอยมองอยู่มีสีหน้าพออกพอใจ

อีกด้านหนึ่ง ปถวีที่นั่งตรงข้ามนทนทีเหลือบตามองทั้งคู่ก่อนจะก้มหน้ากินต่อ

“ฉันอยากชิมบ้างอะ” ไผ่วางช้อนมองประวิชเชิงขอแซนวิชชิ้นที่เหลือให้ฉันเถอะ

“กินข้าวของตัวเองให้หมดก่อนเถอะ”

“แค่ชิมหน่อยก็ไม่ได้” ร่างขาวบางทำหน้ายู้ยี่

“งั้นเอาที่ฉันก็ได้” นทนทียื่นแซนวิชของตนให้ไผ่ แทนที่จะรับไปไผ่กลับยื่นหน้ากัดแซนวิชคำโตเคี้ยวตุ้ยๆ

“อืม…………อร่อย” ทำท่าจะกัดอีกคำโต ก็มีแซนวิชที่ประวิชกินค้างอยู่ยื่นมาตรงหน้า

“เอ๊า…………..ฉันยกให้ อย่าไปแย่งเจ้านทมันเลย ให้ตายเถอะนายนี่”

ไผ่อ้าปากกว้างกินแซนวิชในมือของประวิช

“ขอบใจ” เจ้าตัวกินเอาๆ แต่ไม่ยอมรับแซนวิชมาถือ

“หยิบไปสิ ไม่งั้นฉันทิ้งจริงๆนะ” เสียงดุๆทำให้ไผ่จำต้องรับมาถือเสียเอง สุดท้ายคนตัวใหญ่อย่างประวิชก็เหลือแซนวิชให้ตนเองเพียงชิ้นเดียว แต่จำต้องแกะกินรองท้องด้วยขี้เกียจลุกไปซื้ออีก

“นี่…………..ช่วยกินหน่อย” คนที่แย่งแซนวิชยื่นจานข้าวผัดกุ้งที่ยังเหลือค่อนจานมาให้ตรงหน้า ทำให้เส้นเลือดใหญ่ในสมองประวิชปูดทันที

“แล้วเมื่อกี้แย่งฉันกินทำไมห๊า ของตัวเองก็กินไม่หมด”

“ก็ของนายอร่อยกว่า”

“แล้วเสียดายของมั้ย”

“ก็อิ่มแล้วนี่”

“มันน่าจับกรอกใส่ปากจริงๆ” บ่นๆแต่ก็ตัวข้าวในจานกินด้วยแซนวิชชิ้นเดียวที่กินเข้าไปยังไม่ทำให้เขารู้สึกอิ่มเลย

“น้ำ” นทนทีเลือนแก้วน้ำของตนให้ประวิช ด้วยเพื่อนไม่ได้ซื้อน้ำในส่วนของตัวเองมาด้วย

ปถวีมองดูพฤติกรรมของทั้งสองที่คอยหยิบยื่นนั่นนี่ให้กันด้วยอารมณ์ขุ่นมัวเรื่อยๆ

“แคร้ง!” เสียงช้อนกระแทกชามข้าวต้ม เรียกสายตาคนที่นั่งร่วมโต๊ะให้หันมามองในทันที

**********************************************************
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 12-14 "ขอโทษ"
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 30-09-2009 16:56:41
ตอนที่ 14

“แคร้ง!” เสียงช้อนกระแทกชามข้าวต้ม เรียกสายตาคนที่นั่งร่วมโต๊ะให้หันมามองในทันที

“โทษที มันหลุดมือน่ะ” ปถวีบอกอย่างแกนๆ

“อิ่มแล้วหรอ” ไผ่ถามปถวีที่กำลังดื่มน้ำ

“อือ………ต้องไปแล้ว”

“เดี๋ยวสิ”

“อะไรอีกละ”

“นี่………..” ไผ่ค้นกระเป๋าดึงซองกระดาษยื่นให้ปถวี

“รายการของที่ต้องซื้อ ฝากด้วยนะ”

ปถวีงงอยู่พักก็คิดได้ว่า ตนเคยรับปากจะช่วยซื้อของจัดบอร์ดให้ไผ่ จึงรับซองมาเปิด ดึงใบรายการออกมาอ่านคร่าวๆ

“โฮ้…………………เยอะมาก จะให้ฉันขนคนเดียวเนี่ยนะ ถึงจะมีรถก็เถอะ”

“แหม………ก็แบ่งๆกันไปบ้างแล้วนะ”

“นายนี่มันยุ่งจริงๆ”

“งั้นให้นทไปช่วยถือของด้วยแล้วกัน” ไผ่หาผู้ช่วยให้ปถวีเสร็จสรรพ

“เฮ้ยๆ น้อยๆหน่อยเจ้าไผ่ งานตัวเองเที่ยวไล่แจกให้ชาวบ้านอยู่เรื่อย” ประวิชโวยขึ้นมาทันทีด้วยนทนทีก็มีภาระมากพออยู่แล้ว

“แค่ไปช่วยถือของไม่กี่ชั่วโมงเอง”

“เหมือนกันละ นทมันไม่ว่างหรอก”

“ไม่เป็นไรประวิช ไม่ได้ไปทั้งวัน อีกอย่างช่วงนี้ฉันก็ไม่ได้ช่วยกิจกรรมอะไรเลย ฉันไปได้แค่นี้เอง”

นทนทีเป็นต้องตกปากรับคำ ไม่อยากให้เพื่อนสองคนต้องมีปากเสียงเพราะเขา

“งั้นตกลงตามนี้” ปถวีตัดบทสรุปรวบความคิด

“อือ” ร่างโปร่งรับคำเสียเองแทนไผ่

“งั้นตอนเย็นรอที่ใต้ตึกจอดรถนะ” ปถวีนัดแนะก่อนจะเดินจากไปเข้าเรียนคณะของตน อยู่แล้วไม่สบอารมณ์

*************************************************************************

หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จ ไผ่ก็แยกตัวไปเข้าเรียนคณะของตนจึงเหลือแต่เขาสองคนที่เรียนคณะเดียวกันเดินตามกันไปเข้าเรียน ร่างสูงเพรียวของนทนทีเดินเคียงข้างร่างสูงใหญ่ของประวิชทำให้แลดูตัวเล็กไปถนัดใจ

“ไม่เป็นไรน่ะ” ประวิชเปิดประเด็นในเรื่องที่ตนดูจะขับข้องใจ

“อะไรหรอ”

“เรื่องซื้อของน่ะ ถ้าลำบากใจก็ให้คนอื่นทำก็ได้ ไม่ต้องไปบ้าจี้ตามเจ้าไผ่มันหรอก”

“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้ลำบากใจอะไร” กระแสเสียงทอดส่งความอบอุ่นให้ร่างสูงค่อยเบาใจ

“ญาติดีกันตั้งแต่เมื่อไร” ประวิชเอ่ยถามโดยไม่มองหน้านทนที

“ซักพักแล้ว”

“เหรอ …………..ไปกันได้มั้ยละ ถ้าต้องฝืนคบกับเจ้านั้นไม่ต้องทำก็ได้ แค่อยู่ห่างๆกันไว้ก็พอ”
 
“หึๆ…………ลองได้คุยแล้วก็ไม่เลวนักหรอก อีกอย่างยังไงก็ช่วยทางบ้านฉันไว้หลายเรื่องด้วย”

“ถ้าเข้าใจกันได้ก็ดีแล้วละ อย่ามาทะเลาะกันให้เห็นอีกละ ขี้เกียจจะคอยห้าม เห็นตัวเล็กแบบนี้นายน่ะแรงเยอะจะตาย เอาไม่ค่อยอยู่เลย”

“หึๆ………..นั้นสินะ”

“ครับแม่ ผมจะไปซื้อของกับเพื่อน คงกลับบ้านช้าหน่อยแม่ไม่ต้องรอกินข้าวเย็นนะ”

มือเรียววางหูโทรศัพท์สาธารณะแบบหยอดเหรียญลงตามเดิม ครั้งก่อนมารดาเป็นห่วงเขามากที่ไม่ได้โทรไปบอกว่าจะไม่กลับบ้าน จะว่าไปก็เพราะนายปถวีนั้นละ แก้มเนียนร้อนขึ้นมาทันที

'ไม่คิด ต้องไม่คิดเรื่องน่าอายแบบนั้น' ศีรษะทุยสะบัดไปมาด้วยหวังจะสลัดความคิดความรู้สึกในคราวนั้นออกไปจากสมอง

ถึงจะเจ็บแต่ความรู้สึกวาบหวามรัญจวนใจที่ได้รับจากมือใหญ่ยังคงตราตรึงอยู่ในความคิดคำนึงไม่จางหาย ยิ่งอยากลืมก็เหมือนยิ่งตอกย้ำถึงช่วงเวลานั้น ช่องท้องเกร็งขมวดเป็นเกลียวด้วยรู้สึกถึงอารมณ์ตีรวนในตัวเอง

“บ้าที่สุด”

“ใครบ้าหรือ”

เสียงทุ้มกระซิบมาจากข้างหลัง ทำให้นทนทีหันกลับไปมองที่มาของเสียงคุ้นหู

ปถวียืนประชิดร่างบาง ความสูงต่างกันเพียงช่วงศีรษะแต่รูปร่างต่างกันลิ้บ ร่างปถวีเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแม้มองผ่านเสื้อผ้าก็ยังรับรู้ได้ ช่วงสะโพกสอบรับกับช่วงขายาวมั่นคง แขนแข็งแรงเหนี่ยวรั้งลำแขนเรียวไว้ ดวงตากลมดำเพ็งพินิจนิ้วมือใหญ่ก็ทำให้ผิวหน้านทนทีร้อนขึ้นมาอีกครั้ง

มือนี้ ร่างกายนี้ที่กอดก่ายสอดแทรกความอบอุ่นและเจ็บปวดมาให้จนไม่อาจทำใจลืมได้ง่ายๆ ถึงจะละฐิทิในใจไปแล้วก็ตาม
 
“เป็นอะไรรึเปล่า เงียบไปเลย”

“ปะ ……………เปล่า”

“งั้นไปกันรึยัง รถจอดอยู่ชั้น4แน่ะ”

ขายาวก้าวตามร่างสูงเข้าลิฟท์เพื่อไปยังรถของปถวีที่จอดรออยู่ ปถวีเดินมาหยุดหน้ารถยนต์สีดำวอลนัทคันใหญ่ เสียงปลดล๊อกดังขึ้นเบาๆ นทนทีก้าวขึ้นรถคันไม่คุ้นตาเอาซะเลย เจ้านี่เปลี่ยนรถอีกแล้ว มือบางคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยแต่คนนั่งข้างๆยังไม่มีท่าทีจะขับเคลื่อนไปจากตรงนี้จนนทนทีต้องหันมอง เห็นร่างสูงเอี่ยวตัวไปคว้าถุงสีทึบที่เบาะด้านหลังยื่นส่งให้เขา

“อะไรหรือ” นทนทีเปิดถุงที่ถูกส่งมาให้

“เอาติดตัวไว้นะ”

มือขาวหยิบกล่องขนาดย่อมในถุงขึ้นมาพลิกดู ภาพที่ปรากฏอยู่ข้างกล่องทำเอานทนทีใจหาย มันคือกล่องโทรศัพท์ แล้วไม่ใช่แค่โทรศัพท์ราคาสี่ห้าพันบาท แต่ที่อยู่ในมือของเขานี่เคยเห็นป้ายติดราคาผ่านๆตาตามห้างสรรพสินค้าก็ราวๆสองสามหมื่นบาทขึ้นแน่ๆ

“นาย………………….ให้ฉัน?………..ทำไม”

ถึงใจจะอยากได้แต่มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้เขาต้องรับ อีกอย่างราคามันก็แพงมากเขารับไว้มันคงร้อนๆหนาวๆพิกล คิดไปก็ส่งคืนให้เจ้าของ สองสายตาต่างจ้องมองกัน จนปถวีเป็นฝ่ายถอนหายใจรับถุงกลับคืน มือใหญ่แกะกล่องพลางหยิบอุปกรณ์ภายในมาประกอบซะเองแล้วหย่อนโทรศัพท์เครื่องเล็กพอเหมาะลงกระเป๋าเสื้อนทนที

“เฮ้ย!”
 
นิ้วมือพยายามล้วงเอาโทรศัพท์ออกแต่ถูกมือใหญ่ประกบหยุดมือบางไว้บริเวณอกเสื้อ

“เอาไว้โทรคุยกันบ้าง ไม่ได้หรอ?”

ผิวแก้มเนียนอุ่นขึ้นฉับพลันพลางก้มหน้าหนีสายตาคู่คมแวววาว

“ทะ………..โทรไปที่บ้านก็ได้ จะบอกเบอร์ให้”

“เวลาอยู่ข้างนอกก็คุยไม่ได้นะสิ” คนตัวใหญ่ยังพูดค้านเนิ่บๆ

“ช่วงนี้ฉันมีตารางซ้อมแน่นเกือบทุกวัน นายเองก็มีภาระทางบ้าน รับไว้เถอะฉันจะได้สบายใจหลายๆอย่าง”

“สบายใจเรื่องอะไร” ร่างบางเงยหน้ามองปถวีด้วยความฉงน

“ก็เวลาไปไหนมาไหน กลับบ้านดึกดื่นจะได้รู้ว่าปลอดภัยดี ก็……….ก็…….ยังงั้นละ”

ท่าทางขัดเขินของผู้ชายตัวโตก็ดูน่ารักดีเหมือนกัน นทนทีอมยิ้มกับเหตุผลข้างๆคูๆ ของชายหนุ่ม

“ถ้าเป็นเรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก มีประวิชค่อยช่วยอยู่เรื่อยๆน่ะ พูดไปก็กวนประวิชเรื่องนี้บ่อยมาก จนจะกลายเป็นหน้าที่ของประวิชไปแล้วละ หมอนั้นแค่เห็นหน้าฉันก็คงจะเบ้หน้าหนีเพราะถูกใช้งานบ่อย”
 
ร่างบางเล่าไปอมยิ้มไป เวลานึกถึงหน้าเพื่อนสนิทของตนที่ต้องมาคอยช่วยเหลือเขาอยู่บ่อยๆ จนไม่ได้สังเกตหน้าตาของคนข้างตัวที่ตอนนี้ติดจะบึ้งตึงนิดๆ

ปถวีมองใบหน้าใสขยับริมฝีปากพูดถึงเพื่อนสนิทก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจ ก็เพราะเจ้าเพื่อนแสนดีประวิชนั้นละ เขาถึงได้ขวนขวายหาโทรศัพท์มาให้ด้วยเพราะเขาไม่มีเวลาให้ร่างบางมากนักช่วงนี้ เขาถึงอยากให้มีโทรศัพท์ไว้ติดต่อถามไถ่กันได้บ้าง

“เอาเถอะ………………เก็บไว้…………. ฉันจะได้สบายใจนั่นละ” ปถวีตัดบท

“ก็ได้……..ไว้นายจะเอาคืนก็บอกนะ”

“อือ”

ปถวีรับคำตามน้ำไป มองดูนทนทีหยิบโทรศัพท์ออกมาสำรวจดู ใบหน้าเรียวเล็กก้มลงจนเส้นผมสลวยตกลงมาปิดเสียวหน้าประปรายดูน่าสัมผัส

เจ้าตัวจะรู้มั้ยนะ ถึงคนทั่วไปจะมองว่านทนทีเป็นผู้ชายรูปร่างโปร่งมีใบหน้าสวย แต่สำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่ง นทนทีกลับเป็นที่สนใจอย่างมาก ถึงเขาจะไม่ได้คลุกคลีด้วย แต่ความที่มีผู้หญิงมาติดพันมาก พวกเธอก็จะพาข่าวสารต่างๆติดตามมาเล่าให้เขาฟังโดยปริยายแม้ว่าจะไม่อยากฟังก็ตาม

เรื่องของนทนทีก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น เจ้าตัวไม่รู้ว่าตัวเองเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ชายที่ชอบเพศเดียวกัน ถึงขนาดมีข่าวออกมาว่าถูกพวกรุ่นพี่วางแผนดักฉุด แต่ก็ล้มเหลวด้วยมีประวิชเพื่อนตัวใหญ่คอยขวางอยู่ตลอด จนกลายเป็นว่านทนทีมีผู้ชายที่ชื่อประวิชเป็นคู่ขาไปโดยปริยาย พวกที่เล็งๆไว้จึงต้องล่าถอดกันไปหมด

ที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีความสัมพันธ์กับเพศเดียวกันมาก่อน แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกรังเกียจหรือรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้ เขากลับคิดว่าความรักหรือความรู้สึกดีๆกับใครสักคน มันไม่ได้หยุดหรือจำกัดอยู่ที่เพศใดเพศหนึ่งเป็นสำคัญ มันอยู่ที่ความรู้สึกความผูกพันของคนสองคน คนที่จะอยู่เคียงข้างกันไปจนวันตายมากกว่า

เขาเคยได้ครอบครองร่างโปร่งบางนี้แล้ว อย่างน้อยก็เป็นของเขาครึ่งตัวแล้วละ ไม่ยกให้ใครแน่ๆ ถึงประวิชจะไม่เคยแสดงออกกับนทนทีในเชิงชูสาว แต่เขาก็ยังดูไม่ออกว่าเพื่อนสนิทของนทนทีคนนี้คิดยังไงกันแน่ กับท่าทีเอื้อเฟื้อเกินความจำเป็นจนน่าหมันไส้นั้น

**********************************************

ปถวีเลี้ยวรถเข้าไปจอดในห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านประตูน้ำ

“นายถือใบรายการของที่จะซื้อไว้แล้วกัน”

นทนทีรับกระดาษที่มีรายการสั่งซื้อของไผ่ไว้ พลางกวาดสายตามองรายการคราวๆ

“อืม”

บรรยากาศภายในตัวตึกห้างสรรพสินค้ามีผู้คนเดินจับจ่ายซื้อของกันขวักไขว้ภายใต้อากาศเย็นฉ่ำผิดกับสภาพอากาศภายนอก

“เอะ……ขอโทษครับ” ร่างโปร่งเผลออุทานด้วยตนเองเกือบเดินชนคนที่เดินสวนมา

“คนเยอะ ฉันว่าเราเอาของพวกนี้ไปเก็บที่รถรอบหนึ่งก่อนดีกว่า” ปถวีมองของพรุงพะรังในมือของตนและนทนทีหลังจากเดินจับจ่ายมาได้ซักพัก

“นั้นสิ ยังเหลือของที่ต้องซื้ออีกหลายอย่าง”

“วี!” เสียงตะโกนเรียกจากด้านหลังทำให้ทั้งคู่หันกลับไปมองหญิงสาวสามคนที่โบกไม้โบกมือเรียกร่างสูงพลางจ้ำเดินเข้ามาหา

“มาซื้อของหรอ พะรุงพะรังเชียว” หนึ่งในกลุ่มหญิงสาวสามคนเอ่ยทักทายปถวีอย่างสนิทสนม

“ใช่ ของชมรมกิจกรรมนักศึกษาเขาฝากมาซื้อน่ะ”

“ตายจริง ไผ่อีกแล้วหรอ”

“อืม ยังเหลือที่ยังไม่ได้ซื้ออีกเยอะเลย”

“งั้นให้พวกเราช่วยด้วยดีกว่านะ”

“มะ……ไม่เป็นไรหรอก เป้ หวาน ส้ม ตามสบายเถอะ”

“ไม่เป็นไร ส้มไม่ได้มีธุระอะไรที่ไหน ช่วยกันจะได้เสร็จเร็วไงจ๊ะ”

“อย่าเลย” ปถวีออกอาการตะขิดตะขวงใจด้วยตัวเองอยากจะอยู่กับนทนทีสองคนมากกว่า ก็ถ้าไม่มีธุระร่างโปร่งก็แทบจะไม่มาข้องเกี่ยวกับเขาเลยนี่นา

“แหม……………..ก็บอกว่าไม่เป็นไร เต็มใจช่วยจ๊ะ”

นทนทีมองดูหญิงสาวรูปร่างสะคราญตาทั้งสามยืนล้อมหน้าล้อมหลังร่างสูง ยังมีฉันอยู่ตรงนี้อีกคนนะเฟ้ย นทนทีคิดอย่างเดือดดาลด้วยหญิงสาวทั้งสามทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน

“นท”

เสียงปถวีเรียกชื่อตนนั้นละ ร่างโปร่งบางถึงได้ปรับสีหน้าของตนเสียใหม่ แล้วจึงหันไปส่งยิ้มให้สาวๆทั้งสามนาง

“นี่ เป้ หวาน แล้วก็ส้ม เพื่อนฉันเอง เขาจะช่วยเราซื้อของจะได้เร็วขึ้น”

“อ๋อ………….สวัสดีครับ”

นทนทีเพิ่งรู้ว่าพอมีคนมาเพิ่มแล้วมันทำให้การซื้อของช้ากว่าเดินซื้อกันเองเสียอีก ก็คุณเธอทั้งสามกว่าจะตกลงเลือกซื้อของได้แต่ละชิ้นก็เลือกแล้วเลือกอีก พอจะตัดสินใจเอาชิ้นนี้ กลับเปลี่ยนใจขอดูชิ้นอื่นเปรียบเทียบอีก ปากก็บอกว่าจะได้ของที่ดีที่สุด ก็ไม่เถียงหรอกนะ แต่นี่เรากำลังซื้อของทำบอร์ดนะ ไม่ใช่มาเลือกซื้อผักสดถึงต้องเลือกแล้วเลือกอีก เข้าใจอะไรผิดรึเปล่าฟะ เขาเดินจนขาจะลากอยู่แล้ว แต่หันไปมองร่างสูงกลับไม่แสดงท่าทางเบื่อหน่ายหรือเมื่อยแข้งเมื่อยขาเลย

โธ๋เอ๊ย……………………..ปากก็บอกว่าเพื่อนแต่มองดูคุณเธอทั้งสามจะไม่อยากเป็นแค่เพื่อนนะสิ เอาอกเอาใจกันเข้าไป ร่างโปร่งมองดูปถวีเกี่ยวเอาถุงที่หญิงสาวหิ้วมาถือซะเอง

“โฮ้…………..เกือบทุ่มแล้ว” หญิงสาวผมสั้นตัดทรงทันสมัยนามว่าหวาน ร้องอุทานเมื่อซื้อของครบทุกชิ้นแล้ว

“ทานอะไรกันก่อนไหมวี”

“เอาสิ ฉันเลี้ยงเอง ขอบใจที่ช่วยถือของด้วย”

“ว้าว………………มีเจ้ามืองั้นก็เตรียมตัวถูกล้มทับได้เลย”

“ตามสบาย………………..นทแวะกินข้าวกันก่อนนะ” ปถวีเอี้ยวตัวหันไปบอกร่างบางที่เดินตามหลังมา พอได้ระยะชายหนุ่มจึงก้มกระซิบ

“พอเอาของไปเก็บที่คอนโดแล้วจะไปส่งที่บ้าน”

นทนทีเพียงพยักหน้าน้อยๆ ด้วยมีสายตาสามคู่มองมายังเขาเขม่ง

ร้านที่พวกสาวๆเลือกเป็นร้านที่เพียงเห็นชื่อ นทนทีก็ไม่คิดจะเฉียดกายเข้าไปใกล้แล้ว ก็ราคาอาหารมันแพงยิ่งกว่าค่าข้าวของเขาทั้งเดือน แต่ดูท่าเจ้ามือจะไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย ก็คนมันเกิดมารวยนี่นะ เขาไม่น่าลืมเล๊ย

แต่ยัง………….ยังไม่จบเท่านี้ คุณสาวๆทั้งสามพอทานอาหารเสร็จก็รบเร้าให้ไปส่งที่บ้าน นี่ถ้าเขาซื้อเองซะแต่แรกคงได้กลับไปนอนตีพุงที่บ้านแล้ว เหลือบตาลอบมองปถวี ก็ไม่เห็นเจ้าตัวจะมีท่าทีรำคาญอะไร คงจะทำเป็นอาจิณละสิท่า ข่าวคาวเรื่องผู้หญิงก็ไม่ได้น้อยหน้าใครเขานี่นา กว่าจะส่งถึงคนสุดท้าย เขาก็ลุ้นจนตัวโก่งด้วยกลัวจะต้องถูกลากไปที่อื่นอีก เขาไม่อยากกลับบ้านดึกนัก

จนลับร่างหญิงสาวคนสุดท้ายลงไปจากรถนั้นละ ชายหนุ่มร่างสูงจึงค่อยผ่อนระบายลมหายใจออกมา

“ได้กลับบ้านซะที” ปถวีพึมพำ

เจ้าหมอนี่จะเรียกว่า อึด หรือ ขี้หลีกันแน่เนี่ย ถึงได้ไม่ปริปากบ่นซักคำเดียว นทนทีมองชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากให้เขาเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆขับเคลื่อนรถมุ่งหน้าสู่คอนโดที่พัก

*****************************************

คอนโดสูงเสียดฟ้าตั้งอยู่ท่ามกลางย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพ ผู้ก่อสร้างคงคำนึงถึงความสะดวกสบายของผู้อาศัยเป็นสำคัญ ทุกอย่างทั้งภายนอกและภายในถึงได้ถูกตกแต่งไว้อย่างงดงามลงตัวพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างที่จะจัดหามาได้ถูกนำมาประกอบ จัดวาง ติดตั้ง ณ ที่นี่แทบทั้งสิ้น และแน่นอน ราคาห้องชุดที่นี่ก็ย่อมไม่ธรรมดาเช่นกัน นับศูนย์เจ็ดตัวยังไม่พอซื้อเลย ร่างโปร่งมองสำรวจไปเรื่อยจนกระทั้งขึ้นลิฟท์ไปยังห้องชุดของชายหนุ่ม เขาเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่งแต่ตอนนั้นเขาจำอะไรแทบไม่ได้เลย ใครจะไปมีอารมณ์สังเกตสังกากันละ โดนซะขนาดนั้น
 
“ลองตรวจดูอีกทีว่าได้ของครบมั้ย” ปถวีวางของทั้งหมดที่มุมห้องด้านหนึ่ง

“อืม” นทนทีคลี่โพยใบรายการออกมาตรวจทานอีกครั้ง

“ครบแล้วละ”

ร่างโปร่งผละจากกองข้าวของไปทรุดตัวนั่งบนชุดรับแขกนุ่มกว้าง หันหน้าออกไปทางระเบียงที่ถูกคันด้วยผนังกระจกใสตลอดแนว ท้องฟ้าถูกทาทับด้วยราตรีกาลมองดูเงียบสงบ แต่เพียงก้มมองยังพื้นล่างแสงสว่างจากดวงไฟใหญ่น้อยทั้วพื้นแผ่นดินกว้างไกลสุดตา บ่งบอกว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของชีวิตอีกมุมหนึ่งในความสับสนวุ่นวายบนโลกนี้เท่านั้น

แก้วน้ำถูกส่งมาให้ มือเรียวรับมาดืมจนหมดก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆห้องชุดที่ตนเพิ่งจะมีโอกาสได้สำรวจ ภายในตกแต่งอย่างเรียบง่ายใช้โทนสีอ่อนสบายตาทั้งเครื่องเรือน ผ้าม่าน แต่ถึงจะสวยยังไงตอนนี้มันกลับดูรกไปหมด เจ้าของห้องเหมือนจะรู้จึงได้แต่ยักไหล่

“ห้องชายโสดก็งี้ละนะ แต่จะมีแม่บ้านมาทำความสะอาดให้อาทิตย์ละ 2 ครั้ง ไม่ชอบให้มาเก็บโน้นเก็บนี้บ่อยๆ ฉันหาไม่เจอหงุดหงิดทุกที”

“นายวางไม่เป็นที่เองมากกว่า”

“ฮะๆ เอาน้ำอีกมั้ย” ปถวีเสพูดเรื่องอื่นกลบเกลื่อน ก็บ้านของคนที่นั่งข้างๆเขานี่ เรียบร้อยขนาดลากปลายนิ้วกับพื้นยังไม่เจอฝุ่นผงติดมาเลย

“พอแล้วละ กลับเลยดีกว่า เดี๋ยวจะถึงบ้านดึก อีกอย่างนายต้องขับรถกลับมาอีก ไกลจะตาย ไม่ได้ค้างบ้านใหญ่ไม่ใช่หรอ”
“นั่นสินะ”

ถึงจะยอมรับแต่กลับไม่มีใครขยับตัวลุก สายตาต่างจ้องมองกันราวกับจะถ่ายทอดความอ่อนหวาน อบอุ่น ส่งผ่านไปยังอีกฝ่ายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว อยากให้เวลานี้ยืดยาวออกไป

ด้วยต่างฝ่ายต่างมีภาระหน้าที่ ทำให้หาเวลามาพบกันยาก ยิ่งช่วงหลังๆมานี่ปถวีต้องซ้อมทุกวันเพื่อเข้าชิงชัยในสังเวียนคัดเลือกตัวแทนชมรมมวยสากล และถึงจะว่างจากการซ้อมปถวีก็ต้องไปช่วยกิจการที่บ้านที่เขาต้องทำเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว

บิดามารดาเริ่มให้เขาเข้าไปฝึกงานที่บริษัทตั้งแต่อยู่มัธยม ทำตั้งแต่เด็กเดินเอกสารจนปัจจุบันเขาต้องเดินตามหลังพ่อแม่ต้อยๆเวลามีประชุมผู้บริหารบริษัท ต้องอ่านต้องจำทุกอย่างที่พ่อแม่นำมาให้เรียนรู้เพื่อฝึกให้เขาทำงานเป็นนั้นละ

ใครว่าเป็นลูกคนรวยแล้วจะสบาย ก็ไอ้การที่จะรักษาสิ่งที่มีอยู่ไม่ให้หมดไปน่ะ มันยากจะตาย ต้องทำทุกอย่างเป็นสองเท่าของคนทั่วไป มีครูพิเศษมาสอนที่บ้านแบบตัวต่อตัว ต้องไปทำงานในขณะที่เพื่อนๆรุ่นเดียวกันไปเที่ยว ไม่มีใครเกิดมาแล้วบริหารงานทุกอย่างเป็นหรอก ต้องมาเรียนรู้หาประสบการณ์กันข้างนอกทั้งนั้น มันก็ไม่ได้ยากลำบากอะไรนักหนาหรอก กับสิ่งที่พ่อแม่ให้เขาทำ ยิ่งทำดีเท่าไร มีผลงานมากเท่าไร ก็จะทำให้ถูกจ้ำจี้จ้ำไชเรื่องส่วนตัวน้อยลง มีเงินจับจ่ายใช้สอยสบายมือ แรกๆทำไปเพราะคิดแบบนั้น แต่ดูเหมือนวิธีคิดที่พ่อแม่คอยปลูกฝั่งมันจะซึมซับวิธีการทำงานให้เขาไปโดยไม่รู้ตัว

ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ร่างหนาขยับเข้ามาใกล้เพียงคืบ สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นของกันและกัน เขามองผ่านลำคอเนียนระเรื่อยไปถึงพวงแก้มอิ่มใส สายตาที่ทอดมองร่างโปร่งทำให้เจ้าของดวงตาใสต้องหลุบตาลง ใจอยากจะลุกเดินตรงไปยังประตู แต่ไอ้อาการหวามๆในอกมันกลับทำให้เขานั่งแช่อยู่ด้วยใจระทึก สัมผัสอุ่นๆที่พวงแก้มทำให้ต้องเงยขึ้นสบตา

มือใหญ่คลึงเคล้าแก้มเนียนไปมา สายตายังคงจับจ้องที่ริมฝีปากอิ่มได้รูปสวย

“อีกนิด………….อยู่ด้วยกันอีก” ก่อนที่จะได้พูดจบ ริมฝีปากก็เข้าประกบไล้ลิ้นไปรอบๆ ขอบปากมองดูร่างบางหลุบตามองต่ำลงแต่ยอมรับจุมพิตโดยดี

----TBC---

ค้างมั้ย ? :bye2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 12-14 "ขอโทษ"
เริ่มหัวข้อโดย: ปี้ปี้ปี้~PalmY ที่ 30-09-2009 17:27:10
ค้าง (นิดๆ)  :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 12-14 "ขอโทษ"
เริ่มหัวข้อโดย: wanwisa ที่ 30-09-2009 19:11:52
...."อีกนิด...อยู่ด้วยกันอีก"....

แล้วไอ้อีกนิด....เนี่ย มันอยู่นานแค่ไหนอ่ะ  จนถึงเช้าเลยหรือเปล่าจ๊ะ คุณปถวี
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 12-14 "ขอโทษ"
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 30-09-2009 20:27:12
อยู่ด้วยกันจนเสร็จกิจ?

รอลุ้นต่อไปนะขอรับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 12-14 "ขอโทษ"
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 30-09-2009 22:20:31
สนุกมากกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 12-14 "ขอโทษ"
เริ่มหัวข้อโดย: Donpopper ที่ 30-09-2009 22:24:14
อีกนิด อยู่ด้วยกันอีก

ชอบจังคำนี้

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 12-14 "ขอโทษ"
เริ่มหัวข้อโดย: Papoonn ที่ 30-09-2009 22:41:54
"  อีกนิดอยู่ด้วยกันอีก  "

กรี้ด ด ด ด ดดดดดดดดดดดดด    !   สุดยอดครับพี่น้อง
> <  ;;   บอกแล้วว่าคู่นี้น่ารัก 
55555555   เป็นแฟนกันเร็วน่ะจ้ะ   

อ๊ากกกก   ๆ   น่ารักมากกก   
อ่านไปยิ้มไป  สุขใจริงเอย   ~

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 12-14 "ขอโทษ"
เริ่มหัวข้อโดย: zingiber ที่ 30-09-2009 22:46:59
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 12-14 "ขอโทษ"
เริ่มหัวข้อโดย: LoveNineTeen ที่ 30-09-2009 23:04:43
"ขอให้เธออยู่ต่อได้ไหม
ไว้วางใจต่อกันสักครั้ง ไม่มีสิ่งที่แอบคิดหวัง
แค่อยากจะขอความทรงจำเก็บไว้

ให้ค่ำคืนนี้เป็นคืนแห่งฝัน เก็บเหตุผลโยนมันทิ้งไป
จะอยู่กับฉันทั้งคืนได้ไหม อย่าปล่อยให้เวลาผ่านพ้นไป
จากกันตอนนี้ก็คงเสียดาย
ฉันแค่ต้องการให้คืนนี้ ผ่านไปช้าๆ

ไม่ต้องคอยนับ ไม่ต้องรับรู้เวลา
ฉันก็แค่เพียงอยากสบตา อยู่ใกล้เธอทั้งคืน"


ขอทำไมอีกนิด ขอทั้งคืนไปเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 12-14 "ขอโทษ"
เริ่มหัวข้อโดย: thaitanoi ที่ 30-09-2009 23:13:44
มารอลุ้นด้วยครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 12-14 "ขอโทษ"
เริ่มหัวข้อโดย: Lollipop_pop ที่ 01-10-2009 10:30:12
"อีกนิด...อยู่ด้วยกันอีก"

ประโยคนี้ทำให้คิดไปไกล  :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 12-14 "ขอโทษ"
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 01-10-2009 10:56:53
ทำไมไม่โพสต์ต่อ "อีกนิด" ละคะ  :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 15 มักง่าย...???
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 01-10-2009 11:34:18
มาต่อให้...อีกนิด  


ตอนที่ 15

“อีกนิด………….อยู่ด้วยกันอีก” ก่อนที่จะได้พูดจบ ริมฝีปากก็เข้าประกบไล้ลิ้นไปรอบๆ ขอบปากมองดูร่างบางหลุบตามองต่ำลงแต่ยอมรับจุมพิตโดยดี

ความอบอุ่นอ่อนหวานจุดแรงปราถนาในกายให้เริ่มลุกโชนขึ้นมาง่ายๆ ร่างบางเผยอปากรับลิ้นอุ่นเข้ามาไล้วนภายในเรียกเสียงครางจากลำคอ ยิ่งส่งเสียงมากเท่าไรเจ้าของมือใหญ่ก็ยิ่งลากฝ่ามือกดหนักเน้นย้ำไปทั่วแผ่นหลัง ก่อนจะสอดฝามือเข้าไปในเสื้อบีบคลึงยอดอก

“อา………………”

แคว๊ก เสียงซิบกางเกงสีเข้มถูกรูดลง ปลายนิ้วสัมผัสส่วนพองนูนแผ่วเบาเรียกความเสียวซ่านในช่องท้องจนต้องงอตัวซบร่างหนา

จะช่ำชองเกินไปแล้วเจ้าหมอนี่

มือใหญ่ยังคงทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยม ลวงลึกเข้าไปภายในสัมผัสรอยแยกส่วนปลายพลางกดเน้นจนร่างบางแอ่นโค้งด้วยแรงอารมณ์

“อ๊า…………หยุด”

ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งบอกเป็นนัยให้มือใหญ่ทำหน้าที่รูดรั้งอย่าหยุดความสุขสมนี้เด็ดขาด ความสุขล้นจนลมหายใจของร่างบางขาดเป็นห้วงๆ ไม่สามารถทรงกายได้อีก ท่อนแขนเรียวยาวจึงต้องค้ำยันร่างตนเองไว้ไม่ให้ล้มหงายหลังลงไป

ยิ่งร่างสูงเพิ่มแรงบดเบียดเท่าไร ลำแขนเรียวก็ยิ่งต้องเพิ่มแรงค้ำยันร่างกายตนมากขึ้นจนรู้สึกเจ็บล้าไปทั้งลำแขน

“อือ………….จะ……เจ็บ”

เมื่อลำแขนไม่สามารถทานทนต่อแรงกดทับได้ ร่างบางจึงต้องสลัดแขนทิ้งตัวลงบนชุดรับแขกหนานุ่มที่รองรับพวกเขาทั้งคู่
เหมือนอะไรตก ท่ามกลางอารมณ์ที่โหมกระหน่ำ เสียงเพียงกิ๊กเดียวกลับเข้ามาอยู่ในโสตประสาทของเขา สายตามองตามเสียงที่หยุดนิ่งอยู่บนพื้นห้อง

อะไรสีชมพูๆ………….กิ๊บ…กิ๊บติดผม

“อะ……..อ๊า” มือขาวเหนี่ยวยึดไหล่หนาไว้แน่น ร่างกายเกร็งเครียดจนริมฝีปากขบกันแน่นกลั้นเสียงร้องครางไว้

“อย่ากลั้นสิ ส่งเสียงออกมา จะร้องมากแค่ไหนก็ได้” เสียงกระซิบชิดใบหูจนต้องเบี่ยงหน้าหนี

ปถวีมองใบหน้าแดงเรื่อเบี่ยงหนีเขาอย่างเด็กดื้อที่ไม่ยอมรับความต้องการของตัวเอง ริมฝีปากเคลื่อนลงสัมผัสแผ่วที่หน้าผากไล่เรื่อยถึงปลายจมูก ขบกัดปลายโด่งรั้นอย่างหมันเขี้ยว มือใหญ่ยังคงกอบกุมจับจ้องมองปฏิกิริยาบนใบหน้านวล สีหน้าดูเหมือนกำลังทรมานกับการดึงรั้งส่วนกลางลำตัวจนต้องนิ่วหน้า

เขาตั้งใจจะยืดเวลาให้ร่างบางได้ค่อยๆซึบซับความสุขอย่างเต็มที่ แต่ดูเหมือนจะเร็วไปสำหรับการเรียนรู้ตรงนี้ร่างเล็กถึงได้ครวญครางจิกไหล่เขาแน่นด้วยต้องการให้เขาปลดปล่อยความทรมานซะเดี๋ยวนี้ ปถวีกระตุกรั้งแกนกายจนร่างบางสะดุ้งเฮือกปลดปล่อยหยาดแห่งชีวิตออกมา

เสียงหอบหายใจแรงของนทนทีทำให้ปถวีต้องยักยิ้มมุมปากด้วยเอ็นดู

อารมณ์ที่ถูกกักเก็บไว้ได้ระบายออกไปจนรู้สึกโล่งสบาย นทนทีจึงได้กระพริบตาหรี่มองคนที่ทาบทับตนเองกำลังลากกางเกงออกจากตัวเขา แล้วจึงเริ่มปลดกระดุมกางเกงของตนลงบ้าง
 
ส่วนโป่งนูนอย่างเห็นได้ชัดของร่างสูงทำเอาร่างเล็กกว่าต้องเมินหน้าหนี เสมองไปใต้โต๊ะกระจกชุดรับแขก ด้วยแสงสะท้อนสีเงินวาววับจับตา

อะไร………..เป็นแท่งเล็กๆ ปลายแท่งมีก้อนสีชมพูโผล่พ้นออกมาด้วย คล้าย…………..ลิปสติก……………แล้วมันมาอยู่ที่นี่ได้ไง

“อือ…………….” ขาเรียวถูกยกรั้งขึ้น นิ้วมือแกร่งค่อยๆสอดแทรกสู่ช่องทางคับแคบอย่างระมัดระวัง

“อ๊า………………” อะไรจะชำนาญขนาดนี้ ถึงเขาจะไม่เคยมีประสบการณ์กับใครให้เอามาเปรียบเทียบ แต่ที่เขารู้สึกอยู่ตอนนี้มันก็ล้นเหลือจริงๆ ไม่รู้ไปจำมาจากไหน จะว่าไปปถวีก็มีผู้หญิงล้อมหน้าล้อมหลังไม่ได้ขาด ก็ไม่น่าแปลกใจถ้าจะลงสนามกับพวกเธอเหล่านั้นบ่อยๆ ใครมันจะเหมือนเขาละ อยู่มายี่สิบกว่าปียังไม่เคยลองเลย

อยู่คนเดียวสินะ คอนโดที่นี่ คงจะมีใครต่อใครเข้าออกบ้างหรอก พลันสายตากลับไปจับจ้องกิ๊บติดผมที่ตกอยู่บนพื้นอีกครั้ง
ไม่ใช่ของเจ้าของห้องแน่ๆ และเมื่อไม่ใช่ มันก็ต้องเป็นของแขกที่เข้ามา…………………….สีชมพูแบบนั้น ของผู้หญิงแน่ๆ

ลิปสติกนั้นก็ด้วย มาตกหล่นอยู่แถวนี้………อา!…………คงไม่ได้มาฟัดกันนัวเนียตรงนี้หรอกนะ เหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง ลมหายใจถึงได้สะดุดลงฉับพลัน

“อะ………ยะ………หยุด” มือทั้งสองข้างผลักดันไหล่หนาออกทันที

“เป็นอะไร” ปถวีเห็นอาการตื่นเกร็งของร่างบาง จนห้วนคิดไปว่านทนทีคงจะกลัวเจ็บตัวอย่างครั้งที่แล้ว จึงยิ้มปลอบโยนให้

“ไม่เจ็บหรอก ปล่อยตัวตามสบายสิ”

“ปะ……………….ปล่อยตัว” นทนทีรู้สึกเหมือนคำพูดที่ได้ยินจะกระแทกใส่สมองมึนๆของเขาอย่างจัง

บรรดาเหตุผลกำลังไหลบ่าเข้าไปในสมอง เขากำลังทำเหมือนผู้หญิงพวกนั้นไม่มีผิด ไร้ยางอาย คงจะเหมาะกับเขาตอนนี้มั้งถึงได้ทอดกายให้ร่างสูงอีกครั้งได้ ทั้งๆที่เคยคิดว่า เป็นแค่เพื่อนก็น่าจะเต็มกลืนแล้วแท้ๆ มันไม่น่าจะเกิดขึ้น ที่สำคัญเขาเป็นผู้ชาย ไม่ได้มีรสนิยมชอบเพศเดียวกันมาก่อนด้วย แล้ว………………………….

“นายเป็นเกย์?” การตั้งคำถามของนทนทีกับร่างกายที่เกร็งเครียดทำให้ปถวีรู้สึกถึงอาการแปลกไป
 
“ไม่จำเป็นนี่”

“งั้นทำไมถึงทำแบบนี้”

“คิดมากไปได้ เราเคยมีอะไรกันแล้วนะ มันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่” ปถวีกำลังสับสนว่านทนทีต้องการอะไรถึงได้ถามคำถามแปลกๆ

“อะไรน๊ะ!” ความสุขที่ได้รับมาดูเหมือนจะเหือดแห้งไปทันที

ถ้าไม่ได้มีรสนิยมชอบเพศเดียวกันมาก่อน แล้วที่ทำนี่มันเพราะอะไรกันละ หรือเพราะเกิดถูกอกถูกใจของแปลก พอเกิดอารมณ์ก็คว้ามาโอ้โลม เสร็จแล้วก็จบกันไปแบบนั้นรึเปล่า เขาไม่ใช่พวกฟรีเซ็กส์ เขาไม่มักง่ายแบบนั้น เรียวแรงที่เคยหดหายไปกลับคืนมาในทันที ความโกรธแล่นริ้วไปทั้งร่างพร้อมกับอาการสั่นสะท้าน

“ปล่อย” เสียงเครียดเข้มร้องบอก พลางสลัดตัวออกจากอ้อมแขนปถวีมาได้ ก็คว้ากางเกงขึ้นมาสวมลวกๆ มือใหญ่พยายามคว้าเอวบางไว้แต่เจ้าตัวก็หลบพ้น

“ทำไม ไม่เต็มใจก็บอกได้นี่ ไม่เห็นต้องโมโหกันเลย ฉันไม่ได้บังคับนายนะ”

คงเป็นประโยคที่ตอกย้ำความใจง่ายของตน นทนทีถึงได้ถลึงตาวาวโรจน์ใส่อีกฝ่าย
 
“งั้นก็เก็บไว้ระบายกับผู้หญิงของนายเถอะ”

“คิดอะไรอยู่น่ะ ถ้าทำได้ก็ทำไปแล้ว ไม่ต้องให้นา…………ย”

ปึก…………………ถุงกระดาษถูกปาใส่หน้าร่างสูงเต็มแรง

“นี่!………..จะมากไปแล้วนะ”

“ไม่เลย แล้วจำไว้นะ นายจะมาทำแบบนี้กับฉันไม่ได้”

“จะทำ” ร่างสูงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเงียบสงบเหมือนก่อนมีพายุใหญ่

“ฉัน…………เป็น………..ผู้ชาย” นทนทีเน้นย้ำคำพูดช้าชัด

“เราเข้ากันได้ดีไม่ใช่รึไง ฉันยังไม่เคยเอาเหตุผลนั้นมาเป็นเงื่อนไขสักที แล้วทำไมนาย……..”

“ทุเรศ…………มักง่าย…….ไปตายซะ”

“นท………….หยุดนะ” ข้าวของที่อยู่ใกล้มือถูกนำมาเหวี่ยงใส่คนตรงหน้าอย่างบ้าคลั่ง ที่ร่างสูงคิดกับเขาเพียงคู่นอน มันดูถูกกันเกินไป

“อย่ามาดูถูกกันนะโว้ย”

“นท!”

ร่างโปร่งบางกระโจนวิ่งไปที่ประตูพาตัวเองออกมาจากห้องชุดหรูหรา ที่ตอนนี้เขารู้สึกสกปรกตัวเองสิ้นดีที่เข้าไปอยู่ในนั้น

“โธ่เว้ย!” ปถวีสบถ เขาไม่ได้ตามร่างโปร่งไป ถ้าตามไปจับตัวกลับมาได้จะเกิดอะไรขึ้น เขาก็บอกไม่ได้เหมือนกัน รอให้ใจเย็นกว่านี้ก่อนดีกว่า ไม่อยากให้เป็นอย่างคราวก่อนที่ต้องเจ็บตัวกันไป

“คิดอะไรของเขากันนะ หึ…………ถ้ายังรู้สึกเหมือนก่อนคงไม่ต้องมาทรมานเป็นนานสองนานแบบนี้หรอก”

ตั้งแต่ได้กกกอดร่างบางครานั้น เขาก็รู้สึกว่าพฤติกรรมของตนเปลี่ยนไป ถึงแม้จะไปนอนกอดใครต่อใครก็ไม่รู้สึกอิ่มเอมใจเท่ากับคนที่วิ่งหนีไป จนต้องเลิกหาใครต่อใครมาทดสอบความรู้สึกของตน ในเมื่อเขาแน่ใจแล้วว่า ต้องเป็นคนๆนี้เท่านั้น เขาก็ลุยสิ แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆก็โมโห หรือเขาเริ่มต้นรวบรัดเกินไป ก็ตั้งใจจะค่อยๆคบหากันไปแท้ๆ

“พูดอะไรผิดรึไงวะ……………โอ้ย!” ปถวีชักเท้ากลับทันทีเมื่อเหยียบถูกของบางอย่างที่พื้นเต็มแรง

“อะไรวะ………….รกจริงๆ คงต้องให้แม่บ้านมาถูซะทีแล้วมั้ง “

เจ้าตัวคิดพาลหงุดหงิดในอารมณ์ไม่รู้จะไประบายออกที่ไหน

---TBC---


เดี่ยวมาต่อจ้า ภายในวันนี้เเหละ อิอิ
ขอบคุณมากค่ะ ทุกเมนท์ ดีใจจัง
อีกไม่กี่ตอนก็จบภาค 1 ละ เดี่ยวภาค 2 (น้ำตาเเละน้ำ....) จะตามมา  

PS. ขอบคุณ คุณ noat สำหรับ เพลง หรือ กลอน (ใช่มั้ยอะ) ซึ้งมากเหมาะกะความในใจคุณวี (เเต่ดันไม่พูดออกมา เเว้กกก)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 15 มักง่าย...???
เริ่มหัวข้อโดย: wanwisa ที่ 01-10-2009 11:51:56
แหม...
หนูนทมันน่าเอาลิปสติก  ทิ่มตานายปถวีซะจริงๆ
หมั่นไส้ :z6:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 15 มักง่าย...???
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 01-10-2009 12:31:21
อยากอ่านต่อแล้วววววววววววววว เสพย์ติดๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 15 มักง่าย...???
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 01-10-2009 16:09:03
โอ๊ยยยย!!! กำลังมันส์เลยอ่ะ
มาต่อเร็วๆๆนะก้าบบบบบบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 15 มักง่าย...???
เริ่มหัวข้อโดย: panari ที่ 01-10-2009 17:13:08
คุ้นๆ ว่าเคยอ่านไปแล้ว  แต่จำไม่ค่อยได้ (แก่แล้วก็งี้ ความจำไม่ดี  :really2: )

ขออ่านใหม่อีกรอบเลยแล้วกัน อิอิ   :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 15 มักง่าย...???
เริ่มหัวข้อโดย: Donpopper ที่ 01-10-2009 17:17:40
ทำไมไม่ตามไปหนอ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 15 มักง่าย...???
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 01-10-2009 17:22:07
ตอนที่ 16

“เกือบซวยแล้วมั้ยละ” ร่างสูงหนาของประวิชทรุดตัวนั่งอย่างหมดแรงหลังจากเอารายงานไปส่งอาจารย์แล้ว

“ถามอาทิตย์ก่อนเห็นบอกว่าทำรายงานเกือบเสร็จแล้วนี่นา” นทนทีที่นั่งอยู่ก่อนแล้วถามกลับ

“ก็ตั้งแต่นั้นก็แทบไม่ได้ทำต่อเลย”

“ทำไมละ” ร่างบางทำหน้าฉงนใส่คนตัวใหญ่

“ก็เจ้าบ้าไผ่นะสิ ลากให้ไปช่วยทำโน้นทำนี่จนไม่ได้ทำรายงานเลย”

“หือ………….ทำไมไม่บอกไปละว่านายยังทำไม่เสร็จ ไผ่คงเข้าใจนะ”

“นิสัยยังงั้นเหรอจะเข้าใจ ยังกับเด็กสามขวบ ไม่ได้ดังใจเป็นชักดิ้นชักงอ”

“ขนาดนั้นเชียว” นทนทีทำหน้าหยอกเย้าเพื่อน

“เออ!” ประวิชกระแทกเสียงตอบร่างบางด้วยรู้สึกสายตารีเล็กคู่นั้นกำลังหลี่ตามองตนเหมือนจะประเมินคำพูดของเขา

“ก็เห็นนายอาสาไปส่งเขาบ่อยๆ ไผ่คงคิดว่านายว่างมั้ง อีกอย่างถ้านายไม่ว่างทำไมไม่บอกไปตรงๆละ”

“ฮึ………………ไม่ได้อาสาซะหน่อย ถูกบังคับต่างหากเล่า”

“หึๆ แต่เมื่อคืนก็ได้ไผ่อยู่ช่วยทำไม่ใช่หรอ ถึงได้เสร็จทัน”

“มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เจ้าตัวต้นเหตุ”

นทนทีมองคนตัวใหญ่ตรงหน้าออกอาการบึ้งตึงหันหน้าหนีเขาไปทางอื่น

“เถียงไม่ขึ้นละสิ…………………….เฮ้อ”

ร่างบางสูดอากาศเข้าเต็มปอดแล้วค่อยๆระบายออกมา ประวิชดูมีความสุขดี เขาไม่อยากจะเล่าความอึดอัดคับข้องใจให้เพื่อนต้องมากังวล เขารู้....ถ้าเพียงเอ่ยปากบอก เพื่อนจะไม่นิ่งดูดายแน่นอน ประวิชคงมีทางออกดีๆให้เขา แต่เขาไม่รู้จะเริ่มต้นที่ตรงไหนดี

ความสัมพันธ์ของเขากับปถวีมันไม่ใช่แค่การทะเลาะกันอย่างที่เคยเป็น สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับปถวี เขาไม่กล้าบอกใคร มันผิดปกติ ถ้าเขาเป็นผู้หญิงคงแหกปากร้องโวยวายไปนานแล้ว หรือไม่ก็จัดการรวบหัวรวบหางเจ้าทายาทเศรษฐีนั้นซะเลย
มันปวดแปล๊บในใจพิกล เคยคิดว่าที่ปถวีบังคับรุนแรงกับเขามันเกิดมาจากความเจ้าคิดเจ้าแค้นของพวกเขาทั้งคู่ เขาก็ไม่รู้จะไปเรียกร้องอะไรจากใครได้ และเมื่อคิดจะจบความเคียดแค้นที่ไม่เป็นประโยชน์กับตัวแล้ว เขาจึงจงใจมองข้ามเหตุการณ์นั้นไป แล้วเริ่มต้นกันใหม่

ถึงจะตัดสินใจแบบนั้น แต่ในใจก็ประหวั่นด้วยความสัมพันธ์ของพวกเขาดูจะไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น บางสิ่งบางอย่างได้เกิดขึ้นในใจเขา แต่ก็ปฏิเสธตัวเองมาตลอด ไม่ใช่ มันไม่ใช่

วันที่เขาทะเลาะกับปถวีแล้วผลุนผลันออกมาจากคอนโด วันนั้นเป็นวันที่เขารู้แล้วว่าเขาต้องการอะไรจากชายหนุ่ม สิ่งที่รบกวนจิตใจเขามันคืออะไร และที่โมโหในวันนั้นมันเพราะอะไร

ไม่ได้รังเกียจที่จะมีสัมพันธ์ แต่ทนไม่ได้ที่จะเป็นเพียงที่ระบายความใคร่ของชายหนุ่ม ถ้าต้องการเขา ก็ต้องรักเขาคนเดียว เขาจะไม่แบ่งปันชายหนุ่มให้ใคร วันนั้นเขาหึง………….หวง………นั้นเอง คิดแล้วยังตกใจในความคิดตน
 
แล้วจะทำยังไงกับไอ้ความรู้สึกครึ่งๆกลางๆแบบนี้ ถึงเขาจะรู้แล้วว่าตัวเองรู้สึกกับปถวีแบบไหน แต่เขาก็ไม่สามารถก้าวข้ามไปหาได้อย่างหน้าชื่นตาบานหรอก ความสัมพันธ์แบบนี้เป็นที่ยอมรับในสังคมกลุ่มน้อยเท่านั้น อีกอย่างถึงเขาจะรู้สึกแปรเปลี่ยนไป แต่ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายจะต้องรู้สึกเช่นเดียวกับเขานี่ และคำพูดในวันนั้นก็ทำให้เขาซึ้งในความมักง่าย เห็นแก่ตัวของอีกฝ่าย

“คงมักง่ายกับใครๆไปทั่ว”

เขาจะไม่เป็นของให้ใครทดลองความสามารถทางเพศเด็ดขาด นึกถึงคำพูดของใครก็ไม่รู้ลอยมาให้ได้ยิน ชายได้ชายคือยอดชาย ตอนนั้นก็หัวเราะเมื่อได้ฟัง แต่ตอนนี้มันขำไม่ออก ใครมันบ้าคิดประโยคนี้ขึ้นมาก็ไม่รู้ แต่เขาก็เก็บมาคิดจนได้ละ
ถ้าจะคิดถึงความรู้สึกของเขาสักนิด………….

คิดไปก็พาลใจคอสั่น ปวดแปลบไปทั่วร่าง ให้ตายเถอะ ทำไมมันต้องมาเกิดกับเขาด้วย ลำบากกายยังไม่พอ ยังต้องมาลำบากใจอีก และไอ้ลำบากใจนี่ละที่ทำให้เขารู้สึกท้อแท้ไปซะทุกอย่าง แม่ของเขาอาการดีขึ้นมากจนเกือบหายดี แต่หนี้สินที่ยังคงค้างคากันอยู่ก็ยังคงต้องทยอยผ่อนคืนกันอีกนานกว่าจะหมด

' รึจะขายตัวยกหนี้กับเจ้าบ้านั้นซะเลย '

ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่านจนเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงข้ามสังเกตเห็นได้ ประวิชลอบสังเกตอาการของเพื่อนตนมาหลายวันแล้ว ดูเนือยๆ เหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา จนอดเป็นห่วงไม่ได้

“แม่อาการดีขึ้นแล้วไม่ใช่หรอ”

คำถามของเพื่อนช่วยเรียกสติของร่างบางกลับคืนมา แล้วพยายามทำสีหน้าให้ดูปกติที่สุด

“อืม ใกล้หายแล้ว มีอะไรหรือ”

“ก็เห็นทำหน้ากลุ้มใจ ถ้าไม่ใช่เรื่องแม่ ก็เรื่องเงินไม่พอรึเปล่า”

“ไม่ได้กลุ้มซะหน่อย เรื่องเงินก็พออยู่ได้ กันไว้ใช้หนี้ก็ยังพอมีใช้อยู่นะ”

ความเป็นเพื่อนสนิท การไถ่ถามจึงไม่ต้องเกรงอกเกรงใจว่าจะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวกันรึเปล่า

“แล้วเป็นอะไร เหม่อๆ”

“เปล่าซะหน่อย”

“มีเรื่องอะไรก็บอกสิ ฉันช่วยได้ก็ช่วยอยู่แล้ว”

“รู้แล้วน่ะ”

“รู้ให้จริงเถอะ”

คนตัวโตมองร่างบางส่งยิ้มประจบเอาใจตน คงมีเรื่องอะไรแน่ๆ ถึงจะกลบเกลื่อนยังไงก็ปิดไม่มิด คงต้องหาทางสืบดูดีกว่า รู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่เห็นร่างบางทำหน้าทุกข์ใจบ่อยๆ ตัวเขาเองก็พูดจาไม่ค่อยรื่นหูเท่าไร คงต้องหาใครมาช่วย แล้วคนที่พูดจาหว่านล้อมคนเก่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ไผ่ ต้องให้เจ้าไผ่มาช่วยดูๆแล้วละ ก็เจ้านั้นพูดจาโน้มน้าวใจคนเก่งจะตาย รวมทั้งตัวเขาที่หลงติดร่างแหไปด้วย
.
.
.
ของในมือถูกบีบแน่นแล้วคลายออก ขายาวๆพาร่างสูงเดินออกมาจากบริเวณสวนหย่อมที่คนทั้งสองยังนั่งคุยกันโดยไม่รู้ว่ามีใครอีกคนจ้องมองอยู่

โทรศัพท์ที่อยู่ในมือเขานี่ เขานำติดตัวมาด้วยตลอด ด้วยหวังว่าถ้าพบเจอเจ้าของก็จะส่งมันคืนให้ แต่ทุกครั้งที่ปถวีได้พบร่างบางเป็นต้องพบเพื่อนตัวโตอยู่ด้วยทุกครั้งไป ไม่มีโอกาสได้เจอเพียงลำพังเลย อยากจะเข้าไปกะชากลากตัวออกมานัก ส่งยิ้มหวานให้กันอยู่ได้ โทรศัพท์ที่นทนทีไม่ได้นำมันกลับไปด้วยหลังจากทะเลาะกันครานั้น ทำให้เขาไม่สามารถติดต่อพูดคุยกันได้เลย จะไปหาที่บ้านก็คงไม่มีโอกาสได้คุยกันตามลำพัง มารอที่มหาลัยก็เจอเจ้าประวิชประกบตัวตลอดเวลา มันจะมากไปแล้วนะ

“ฉันไปส่งบ้านดีกว่านะนท” ขายาวของประวิชเดินไปดักหน้านทนที

“บอกว่าไม่ต้องไง ฉันไม่ได้เป็นอะไรจนต้องหามส่งบ้านซะหน่อย”

“เฮ้อ” เสียงถอนหายใจกับความดื้อดึงของเพื่อนตัวเล็กดังขึ้น ถามอะไรก็ไม่พูด ห่วงก็ห่วง แต่เอาเถอะไว้ค่อยสืบสาวราวเรื่องกันไปดีกว่า

“งั้นก็กลับบ้านดีๆละ”

นทนทีเดินจากเพื่อนสนิทมา เขารู้ว่าประวิชเป็นห่วงเขา แต่เขาคงไม่สามารถอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ให้เพื่อนฟังได้
สายตาที่อ่อนล้าทอดมองผืนฟ้ากว้าง ลำแสงสุดท้ายของวันได้เลือนหายไปจากขอบฟ้าแล้ว

นทนทีรีบสาวเท้าเดินผ่านอาคารที่จอดรถโดยเร็ว เขาต้องรีบกลับไปเตรียมของไว้ขายสำหรับวันพรุ่งนี้ ถึงแม่จะหายเกือบเป็นปกติแล้วแต่ก็ยังไม่ควรยกของหนักหรือเคลื่อนไหวร่างกายมากนัก

ก็เข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างดี ทุกคนในบ้านต้องช่วยกันทำงาน แต่บางครั้งก็รู้สึกล้า น้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ่อยๆ ยิ่งอารมณ์ไม่มั่นคงเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกรุนแรงมากขึ้น ตอนนี้เขาเหมือนเป็นหัวเรียวหัวแรงหลักของครอบครัว ถ้าเขาบอกว่าไม่ไหวแล้วแม่กับน้องจะทำยังไง ลำพังเรื่องปากท้องของครอบครัวก็ทำให้เขารันทดชีวิตของตนมากพอแล้ว ยังต้องมากังวลสับสนกับเรื่องของปถวีอีก จนบางครั้งก็อยากตะโกนออกมาดังๆ

“เฮ้ย!”

เสียงอุทานดังด้วยเอวของตนถูกรวบเข้าไปปะทะร่างแข็งเต็มแรง

“มาคุยกันหน่อยสิ”

“ปถวี!”

แขนแข็งแรงยังคงลากร่างบางให้เดินตามตนเองไปยังบริเวณที่รถตนจอดอยู่ ซึ่งตอนนี้รถที่เคยจอดอยู่เต็มลานกว้างเหลืออยู่เพียงไม่กี่คัน ด้วยเลยเวลาเลิกเรียนมานานแล้ว ร่างบางถูกกดทาบไปกับรถของปถวี

“อะไรของนายกันเล่า” เมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระ นทนทีก็ตวัดเสียงใส่

“มาคุยกันก่อนนท” ใบหน้าคมยื่นเข้ามาใกล้

“จะคุยอะไร………………ถ้าจะทวงหนี้มันยังไม่สิ้นเดือนเลยนะ”

“นท” น้ำเสียงเข้ม ด้วยพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ของตน

“นายโมโหฉันเรื่องอะไร”

“เราอย่ามาพูดคุยกันอีกดีกว่า เรื่องหนี้ฉันจะคืนให้ตรงเวลาไม่ต้องให้นายมาตามทวงแน่” เพราะฉันไม่ต้องการให้นายรู้นะสิ ว่าฉันรู้สึกอะไรกับนาย ไม่ต้องการเป็นหนึ่งในของเล่นชั่วคราว เพราะฉะนั้นอย่ามาข้องเกี่ยวกัน อย่ามาพบเจอกัน

“นท” เสียงตะคอกจนร่างบางต้องหลับตาหนีใบหน้าดุดัน

“คุยกันดีๆไม่ได้รึไง” มือใหญ่ไล้ใบหน้าเนียนเบาๆ จนร่างบางอดไม่ได้ที่จะเผลอไปกับสัมผัสอันอ่อนโยน พลางหลับตารับสัมผัสจากมืออุ่น

“ไปคุยกันที่คอนโดฉันนะ ที่นี่มันไม่สะดวกจะคุยกันหรอก”

คอนโด ร่างบางดูจะฝังใจกับที่นั้นถึงได้สะดุ้งผงะตัวออกห่าง

“ไม่………..ฉันไม่ไป”

ความคิดคำนึงไปถึงกิ๊บติดผมอันนั้นเข้าจนได้

“ปล่อย ฉันจะกลับบ้าน”

“นท…..ไปคุยกันก่อนนะ” ร่างสูงเริ่มรัดแน่นขึ้นด้วยนทนทีเริ่มดิ้นรนให้หลุดจากวงแขน
 
“นท……อย่าดิ้น ฟังกันหน่อยสิ……..ให้ตายเถอะ บ้าฉิบ” คำสบถของปถวียิ่งทำให้นทนทีออกแรงขัดขืนมากขึ้น แก้มนวลถูไถ่ไปกับแผงอกกว้างจนปถวีได้กลิ่นแชมพูอ่อนๆ เขาฝังจมูกสูดดมกลิ่นนั้นเข้าไปเต็มปอด พลางเคลื่อนริมฝีปากเคล้าคลึงพวงแก้มใสแรงๆ ก่อนจะทาบทับปิดปากดุนดันสอดลิ้นเข้าไป

“อึก!”

นทนทีผวากับพฤติกรรมมือไวใจเร็วของอีกฝ่าย พวกเขายืนอยู่บนลานจอดรถที่ใครจะโผล่มาเห็นเมื่อไรก็ได้
 
“อือ………..ปล่อย”

จนเมื่อสมใจคนตัวใหญ่นั้นละถึงได้ถอนริมฝีปากให้อิสระร่างบางได้เปล่งเสียง

“นายจะมาฉวยโอกาสกับฉันทำไม ฉันเป็นผู้ชาย นายควรจะไปทำกับผู้หญิงโน้น”

นทนทีเลือกที่จะปกปิดใจตัวเองด้วยการพาลเอาเรื่องอื่นมาบังหน้า

“ไม่ได้คิดแบบนั้นนะ นายก็เป็นนาย”

ใช่ เขาก็คือเขา คนที่เจ้านี่เคยมีอะไรด้วย ของมันเคยๆ เบื่อเมื่อไรก็ถีบหัวส่งว่างั้นเถอะ นี่เขาจะไม่พ้นจากเจ้ายักษ์นี่ไปได้เลยรึไง จะผู้หญิงผู้ชายไม่สำคัญ ขอแค่พอใจได้ขึ้นเตียงด้วยเป็นพองั้นหรอ รู้สึกปวดจี๊ดในอกอีกแล้ว มันเจ็บที่รู้สึกว่าตัวเองมีค่าเพียงคู่นอน ร่างกายเหมือนไร้น้ำหนักไปชั่วขณะ ก่อนจะขบเม้นริมฝีปากเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่าง

“ถ้าฉันยอมนอนกับนาย นายจะยกหนี้ให้ฉันมั้ยละ” ไม่รู้อะไรสิงใจให้เขาโพลงพูดออกไปแบบนั้น

ร่างสูงเกร็งเครียดทันทีก่อนจะผละร่างถอย สบตาแข็งกร้าวของนทนที

“พูดอะไรน่ะ”

“ว่าไงละ ถ้าอยากนอนกับฉัน ฉันก็จะนอนด้วย แต่ฉันจะไม่นอนกับนายเปล่าๆแน่” อารมณ์ตึงเครียดจนร่างโปร่งอยากจะดูถูกเหยียดหยามตัวเองให้มันสะใจกับความโง่เง่า อ่อนแอของตนที่ไม่รู้จะหาทางออกให้กับปัญหาในใจนี้ได้อย่างไร งั้นก็ให้มันเกลียดกันไปเลย

“นายพูดอะไรออกมานท” ปถวีจ้องมองกลับร่างเล็กตรงหน้าเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน เขามาพร้อมกับความหวังที่จะได้พูดคุย ได้เคลียร์ปัญหากัน เขาไม่เคยคิดเลยว่าผู้ชายร่างบางตรงหน้าจะมีความคิดเหมือนคนที่เขาอยากหลีกหนีเป็นที่สุด คือจ้องแต่จะตะครุบเงินทองบ้านเขา เห็นเขาเป็นสะพานไปสู่จุดมุ่งหมายต่างๆ ไม่เคยคิดเลยจริงๆ

มือล้วงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง เขาพกมันไว้เพื่อจะได้เอามาให้นทนทีอีกครั้ง ปถวีจ้องมองมันก่อนจะเลื่อนสายตามายังวงหน้านวลที่แดงก่ำ

“ฉันรัก………………ถ้าฉันจะนอนกับคนที่ฉันรัก ฉันต้องจ่ายเงินด้วยรึไงกันห๊า!”

“…………!”

“อย่ามาดูถูกกันนะ!”

ปถวีตะโกนใส่หน้าร่างโปร่ง ถ้าเขาจับร่างบางมาหักเป็นสองท่อนได้เขาคงทำไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาไม่อยากจะแตะต้องร่างนั้น อุตส่าห์คิดว่าไว้ใจได้แล้วเชียว คิดว่าคนนี้ละที่เขาจะคบหาได้สนิทใจ สุดจะอดกลั้นความโมโหได้อีกต่อไป ปถวีเงื้อของที่อยู่ในมือปาเข้าใส่ร่างบาง แต่ไม่ตั้งใจจะให้ถูกตัว มันจึงไปกระทบประตูรถยนต์ตนเองแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

นทนทีมองเศษซากโทรศัพท์แตกกระจายอยู่รอบตัวเอง ก่อนจะทันได้พูดอะไร ร่างสูงของปถวีก็หมุนตัวเดินหนีไป ทิ้งเขาให้ยืนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น และคำพูดที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนไป

“ฉันมันบ้า ที่คิดรักนาย”  
.
.
.
สองเท้าพาร่างบางเดินออกมาจากลานจอดรถอย่างคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“ระ…….รักหรอ………โธ่โว้ย………..”

นทนทีรู้สึกว่าได้พูดเรื่องเลวร้ายอย่างไม่น่าให้อภัยไปซะแล้ว ถึงคำที่เขาได้ยินมามันจะจริงหรือไม่ก็ตามที

ร่างโปร่งกลับถึงบ้านพร้อมกับลงมือจัดการกับหน้าที่ตัวเองจนดึก จึงได้ล้มตัวนอนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นอีกครั้ง

“จริงหรอ…………ที่พูดมา……………..ฉันจะเชื่อนายได้หรือ ผู้ชายเหมือนกันจะมารักกันได้ยังไง ” แขนนวลยกขึ้นก่ายหน้าผากครุ่นคิด

“มันเป็นไปไม่ได้หรอก”

ร่างโปร่งบอกปฏิเสธกับตัวเอง แม้ลึกๆในใจจะรู้สึกผูกพันธ์กับผู้ชายคนนี้ก็ตามที แต่เขาจะยอมรับความรู้สึกนี้ได้อย่างเปิดเผยได้หรือ ครอบครัวเขาอีก แล้วยังคำพูดเลวร้ายของเขา แบบนี้มันยังจะหันหน้ามาพูดคุยกันอีกได้รึเปล่านะ

*****************************************************************
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 15 มักง่าย...???
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 01-10-2009 17:34:36
ตอนที่ 17

“เฮ้ย………….เจ้านทมันเป็นอะไรของมัน” ไผ่กระซิบกระซาบกับประวิชเมื่อสังเกตเห็นนทนทีเหม่อลอยบ่อยครั้ง และเงียบไปจนผิดปกติ

“ไม่รู้เหมือนกัน เป็นแบบนี้มาหลายวันแล้วละ”

“ไม่รู้ได้ไงอะ เป็นเพื่อนสนิทกัน ไม่รู้จักดูเพื่อนบ้างเลยรึไง” เจ้าของร่างบางส่งสายตาค้อนมายังชายหนุ่ม

“ไม่ได้ตัวติดกันนี่จะได้รู้ว่าไปทำอะไรมาบ้าง”

“เห็นตามติดกันทุกวัน ฉันก็นึกว่าตัวติดกันซะอีก” เจ้าตัวยังคงไล่เบี้ยกับคนตัวโตพลางชักสีหน้าทำปากยื่นใส่

“เดี๋ยวเถอะ………..คนยิ่งกลุ้มๆ ยังมากวนประสาท เดี๋ยวก็เตะตกเก้าอี้เลยนี่”

“แตะนิดแตะหน่อยทำเป็นเคือง………………เชอะ ไม่ยุ่งก็ได้”

ไผ่พลางหันหน้าหนีคนนั่งข้างๆ ถึงใจจะห่วงเพื่อนที่เอาแต่นั่งไม่พูดไม่จาจนน่าเป็นห่วงก็ตาม แต่ก็อดหมันไส้เพื่อนตัวโตไม่ได้

ประวิชมองอาการตะบึงตะบอนของไผ่ก็ต้องถอนหายใจด้วยอ่อนใจ

“น่า………………..อย่าเพิ่มมาเหม็นหน้ากันตอนนี้สิ นายช่วยเข้าไปถามไถ่เจ้านทมันหน่อย ฉันถามแล้วมันก็บอกว่าไม่ได้เป็นไร”

อากัปกิริยามองเขาด้วยหางตาของร่างบางทำให้ประวิชเกิดอาการอยากจับคนตัวบางมาพาดเข่าฟาดก้นซะหลายๆที แต่ตอนนี้ทำได้แค่ขมความรู้สึกนั้นไว้ ด้วยหวังว่าไผ่จะช่วยให้เพื่อนสนิทตนดีขึ้น

“ไม่พูดฉันก็ทำอยู่แล้วละ เพื่อนฉันเหมือนกันนี่ ใช่เพื่อนนายคนเดียวเสียเมื่อไหร่”

พูดจบเจ้าตัวก็สะบัดหน้าเดินไปหานทนทีแทน

“นท…………”

เสียงเรียกลากยาวของไผ่ช่วยเรียกสติสตังของร่างโปร่งให้กลับคืนมาอยู่กับตัว

“อะไร” คนนั่งเงียบหันมาส่งยิ้มน้อยๆให้เพื่อน

“เย็นนี้ไปเที่ยวกัน มีร้านเปิดใหม่เยี่ยมไปเลย ไปกันนะ”

“อือ……………..ไม่ได้หรอกต้องกลับไปช่วยงานที่บ้านน่ะ”

“เฮ้อ……………ขยันมันก็ดีอยู่หรอกนะ”

ไผ่เดินอ้อมไปข้างหลังพลางคล้องมือกอดคอเพื่อนไว้หลวมๆ ส่งเสียงกระซิบแผ่วเบาแต่หนักแน่นถึงใจคนฟัง

“นท…………ชีวิตคนเรามันสั้นรู้มั้ย ถึงจะเป็นความสุขเล็กๆน้อย ก็ควรจะรีบไขว้คว้าไว้นะ”

“………………………….” คนถูกกอดเอี้ยวหน้าหันไปมองเพื่อนที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้ว

“อะไรคือสิ่งที่ถูก อะไรคือสิ่งที่ผิด ใจเราเป็นคนกำหนดทั้งนั้น จะให้มันสุขหรือทุกข์ก็อยู่ที่เราอีกนั้นละ”

ไผ่ผินหน้ามองออกไปไกลสุดสายตา

“อย่าวางกรอบให้ตัวเอง อย่าคิดแทนคนอื่น ถ้ายังไม่ได้เข้าไปนั่งกลางใจเขา” คำพูดแผ่วเบายังคงถ่ายทอดมาสู่ใจแห้งแล้งของร่างโปร่ง

“ถ้าเป็นคนที่เขารักเรา เขาจะเข้าใจเรา” ไผ่หันกลับมามองคนที่นิ่งเงียบอีกครั้ง

“ฉันรักนายนะนท นายจะเป็นยังไงก็ยังเป็นเพื่อนฉันนะ ให้ฉันได้ช่วยนายนะ”
 
“ผะ…………ไผ่”

คำพูดของไผ่ทำให้นทนทีต้องเลิกคิ้วขึ้นถาม พูดยังกับรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ และถึงแม้เขาจะไม่ได้ตอบอะไรให้เพื่อนได้เข้าใจ แต่ไผ่กลับกอดเขาแน่นๆเหมือนต้องการจะถ่ายทอดความรู้สึกห่วงใยมายังเขา
 
“นายไม่ต้องพูดก็ได้ แต่เวลานายเศร้าฉันก็จะกอดนายยังงี้ทุกครั้งไป”

ไผ่จ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาเหมือนจะให้ลึกถึงใจของอีกฝ่าย

“จำไว้นะ”

“…………………………” ร่างโปร่งของนทนทีทอดถอนใจให้กับตัวเองเบาๆ เขาไม่รู้จะต้องทำยังไงต่อไป แต่อย่างน้อยตอนนี้เขารู้สึกถึงกำลังใจที่กระจัดกระจายกำลังทยอยไหลกลับเข้ามาสู่หัวใจของเขาอีกครั้ง คงต้องใช้เวลารอให้มันเป็นรูปเป็นร่างสักนิดก่อนที่เขาจะพร้อมก้าวข้ามหลุมลึกในใจตัวเองได้

ร่างโปร่งยิ้มให้เพื่อนตัวบางพร้อมกับวาดวงแขนกอดตอบ

วันไหนที่เขาล้มเขายังมีคนที่รักเขาอยู่

*****************************

“เฮ้ย……………”

ไผ่ชายตามองเพื่อนตัวโตที่มีท่าทางกระหืดกระหอบส่งเสียง เฮ้ยๆ อยู่ตรงหน้าด้วยอาการเฉยเมย ก็ไม่ได้ชื่อเฮ้ยนี่ ทำไมจะต้องสนใจด้วย สายตาเหลือบกลับมาสนใจหนังสือในมือตนเองอีกครั้งเพราะพอจะคาดเดาจากอาการของอีกฝ่ายได้ว่ามาหาเขาเรื่องอะไร

ประวิชมองคนที่นั่งทำเป็นอ่านหนังสือไม่สนใจเขาด้วยอารมณ์หมันไส้เต็มแก่ นี่ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่งจะจับมาฟาดให้ก้นลายเลย อุตส่าห์ตามหาซะทั่วมหาลัย มาอุบหลบหลังตึกนี่เอง

“ฉันตามนายหาซะทั่ว” ประวิชมองใบหน้าขาวที่ยังทำเฉยอยู่ก็ทรุดลงนั่งข้างๆทันที เพราะรู้ว่า บทอีกฝ่ายจะดื้อแพ่งขึ้นมาละก็ ให้เอาอะไรมาง้างปากก็ไม่ยอมพูดหรอก

“เป็นอะไรอีกละ ทำหน้าเป็นตูดลิงเลย”

ตูดลิง…………..ดูเหมือนคำนี้มันจะไปกระตุ้นต่อมความหงุดหงิดให้เริ่มทำงานและหลั่งสารเคมีบางอย่างเข้าไปไหลวนในกระแสเลือดจนไปกองร่วมกันอยู่ที่เท้า ร่างบางถึงได้เกิดอาการคันขึ้นมาตะหงิดๆ อยากจะเตะก้านคอคนข้างๆแก้คันซักทีสองที

เคยไปเห็นตูดลิงมารึๆงถึงได้รู้ว่าหน้าฉันเหมือนมัน เจ้าบ้า

ไผ่นึกต่อว่าต่อขานประวิชในใจพลางเขยิบตัวหันหลังให้อีกฝ่ายด้วยเกิดอารมณ์น้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาซะเฉยๆ

ประวิชมองเพื่อนตัวบางหันหลังให้ตนอย่างไม่รู้เหตุผล ทำให้เขาต้องหยุดเรื่องร้อนรนในใจไว้ก่อน แล้วเขยิบเข้าประชิดหลังร่างขาวชะโงกหน้าข้ามไหล่เล็กมองเจ้าของใบหน้าขาวก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือหน้าเดิมเป็นนานสองนาน

“ใครทำให้โมโหอีกละ” ประวิชพูดทั้งๆที่ยังชะโงกหน้ามองหนังสือในมือไผ่อยู่

ถ้าไม่รู้ก็จงไม่รู้ต่อไปเถอะ เจ้าทึ่ม………..หึ……….ถ้าไม่ใช่เรื่องของเจ้านท นายก็คงไม่วิ่งพล่านตามหาฉันแบบนี้หรอก จะปล่อยให้อยากรู้จนลงแดงตายไปเลย ดูสิจะตายจริงมั้ย

“ไผ่…………………….” ประวิชทอดเสียงลากยาวเพราะคนตัวเล็กยังไม่ยอมขยับตัวรับรู้ถึงการมีอยู่ของตน

ขี้งอน……………ตัวแค่เนี๊ยทำไมถึงสร้างแรงกดดันให้เขารู้สึกหนักอึ้งได้เก่งนักก็ไม่รู้ ถ้าจะอารมณ์ไม่ดีจริงๆ จะโกรธใครมาก็ไม่รู้ละแต่จะยอมเป็น

กระโถนรองรับอารมณ์ให้ก็ได้ ดีกว่านั่งเงียบเป็นเจ้านท 2 แบบนี้ ให้ตายดิทำไมถึงชอบสร้างเรื่องให้เขาเป็นห่วงกันอยู่เรื่อยนะเจ้าพวกนี้

หอม…………….ประวิชสะดุดกับกลิ่นอะไรบางอย่างลอยมาแตะจมูก

จมูกโด่งทำท่าสูดดมกลินที่ลอยมาฟุดฟิด เหมือนกำลังหาที่มาของกลิ่น จนคนที่นั่งอยู่ทำไม่ไหวกับอากัปกิริยาหยุกหยิกของร่างสูงที่นั่งเบียดอยู่ด้านหลังตนเองจึงเงยหน้าขึ้นมองในระยะประชิด

“เป็นอะไรของนาย”

ประวิชละความสนใจจากกลิ่นนั้นชั่วครู่จ้องมองวงหน้าขาวนวล

“นายได้กลิ่นอะไรหอมๆมั้ย”

“อะไร………ไม่เห็นจะได้กลิ่นอะไร” ด้วยยังเคืองคนตัวใหญ่อยู่ เสียงที่โต้ตอบจึงยังแข็งกระด้างไม่รื่นหูดังเคย

“ไม่นะ ฉัน………ยังได้กลิ่นอยู่”

มือใหญ่สอดเข้าใต้แขนเรียวพลางดึงสาบเสื้อบริเวณหน้าอกอีกฝ่ายขึ้นดมอย่างรวดเร็วจนเจ้าของเสื้อดูจะนิ่งงั้นไปทันที

“นี่ไง…………….จากนายนี่ละ”

จมูกโด่งยังฝังลงบนเนื้อผ้าขาวนุ่มอีกครั้งเหมือนจะย้ำชัดให้แน่ใจในสิ่งที่ตนค้นพบ

“อะ!………………………” ศีรษะโตๆของเพื่อนตัวใหญ่อยู่ชิดใบหน้านวลจนไผ่เองไม่กล้าขยับเขยื้อนตัว

“หอมจัง……….นายใส่อะไรมาเนี่ย”

ประวิชยังคงทำหน้าสงสัยเต็มที่เพราะปกติจะไม่เคยได้กลิ่นอะไรจากเพื่อนคนนี้เลย จำได้เคยบอกว่าไม่ชอบของที่มีกลิ่นฉุนๆ ได้กลิ่นจะรู้สึกคลื่นไส้

ใบหน้าของประวิชคงแสดงออกถึงความชอบอกชอบใจในกลิ่นนี้เป็นพิเศษถึงได้ทำท่าสูดดมฟุดฟิดอีกครั้ง จนร่างบางหน้าร้อนผ่าว

“นายชอบหรอ” ไผ่จ้องตาแป๊วใส่อีกฝ่าย

“อืม………มันหอมเย็นๆ ได้กลิ่นแล้วรู้สึกชื่นใจดี”
 
ไผ่มองคนพูดที่บอกความรู้สึกของตนอย่างสบายอารมณ์ ถ้านายชอบฉันจะใส่มาทุกวันเลย

มือบางปิดหนังสือในมือเมื่อประวิชถอยกลับไปนั่งข้างๆตามเดิม

“วันนี้ไปโยนโบว์ลิ่งกันมั้ย”

ไผ่ได้ฟังถึงกลับนิ่งงันเป็นรอบสอง เพราะเจ้าคนตัวโตคนนี้จะชวนเขาไปเที่ยว สงสัยเดินออกไปสามก้าวแผ่นดินคงจะแยกแหงๆ

ประวิชที่เห็นร่างบางนิ่งเงียบไม่ตอบก็ให้นึกกังวลว่า วันนี้ผีลิงที่เคยสิงในตัวเพื่อนมันหลุดหายไปรึไง ถึงได้สงบเสงี่ยมผิดปกติ รึเขาขอให้ไผ่ทำเรื่องเกินความสามารถของเจ้าตัวไปรึเปล่านะ

เอาละ ไม่ใช้ไม่วานแล้วก็ได้ ถ้าต้องทำให้เจ้านี่ลำบากใจจนนั่งใบ้ไปอีกคน เขาขอเป็นอย่างเดิมดีกว่า

“ไปมั้ย” ประวิชยังคงคะยั้นคะยอไผ่ “เดี๋ยวขากลับไปส่งบ้านให้”

“นายกับฉัน สองคน?” นิ้วเรียวชี้ไปที่ตัวเองและอีกฝ่าย

“อืม……..ไม่สนุกหรอ? งั้นชวนไอ้ต้น ไอ้ซี ไปด้วยกันก็ได้ หลายๆคนคงสนุกกว่า”

“มะ……………ไม่ต้อง……….ไป………งั้นไปกันเลย ไม่ได้โยนนานแล้ว”

ร่างบางรีบลุกขึ้นฉุดคนตัวใหญ่ที่ยังนั่งงงกับท่าทางที่เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือของอีกฝ่าย ทีเมื่อกี้ยังนั่งซึมกะทืออยู่เลย แต่ดูตอนนี้สิ กระดี๊กระด๊าซะเหลือเกิน

ไผ่รีบเร่งให้ประวิชลุกขึ้น โอกาสแบบนี้มาไม่บ่อย แล้วใครจะทนนั่งปั้นหน้างอให้เขาง้ออยู่เป็นนานสองนานกันละ ขืนทำบ่อยๆ เกิดอีกฝ่ายเบื่อง้อขึ้นมาจะทำไง ของแบบนี้เอาแต่พอหอมปากหอมคอก็พอแล้ว

ว่าแล้วก็รีบลากคนชวนเดินไปยังลานจอดรถโดยเร็ว เพราะกลัวคนต้นคิดจะเปลี่ยนใจชวนไอ้หน้าไหนไปด้วยกัน ก็หมดสนุกกันพอดี

*******************************************
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ (By Sake) Part 15 มักง่าย...???
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 01-10-2009 17:46:25
ตอนที่ 18

“ประวิช วันนี้ฉันไปด้วยนะ”

น้ำเสียงรีบร้อนของนทนทีทำให้คนที่กำลังเตรียมตัวออกไปเก็บภาพการแข่งคัดตัวรอบสุดท้ายของชมรมมวยสากลชะงักลง ด้วยแปลกใจที่เห็นเพื่อนโผล่มาเอาตอนเลิกเรียนแล้วหลังจากไม่ได้เห็นหน้ามาเป็นอาทิตย์

ช่วงที่ผ่านมาประวิชต้องทำงานคนเดียวตลอดจนเขาไม่คิดจะชวนเพื่อนไปด้วย เพราะรู้ว่าเพื่อนมีภาระทางบ้าน และมีอาการแปลกๆให้เขาต้องห่วงมาเป็นระยะหนึ่งแล้ว จนทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร อุตส่าห์ไปขอร้องให้เจ้าไผ่ช่วยก็ไม่เห็นจะดีขึ้นตรงไหน ให้ลองไปเลียบเรียงเคียงถามก็ไม่ได้เรื่องอะไรกลับมา บอกแต่ว่าเรียบร้อยแล้วเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง

รอมาจนวันนี้ก็ยังไม่เห็นจะรู้เรื่อง เห็นทีเสร็จจากงานนี้คงต้องไปเค้นคอถามเอาให้ได้ว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ ดูมีลับลมคมในพิกล โดยเฉพาะเจ้าไผ่ แต่วันนี้ร่างโปรงดูกระตือรือร้นมากจนน่าดีใจ

“เอาสิ”

“เดี๋ยวฉันถือกระเป๋ากล้องเอง”

ทั้งสองเดินออกจากห้องชมรมหนังสือพิมพ์ไปยังลานกีฬาที่ตอนนี้ถูกแบ่งพื้นที่เป็นเวทีมวยชั่วคราว นักศึกษาเริ่มทยอยมาจับกลุ่มรายล้อมรอบเวทีเพื่อคอยเชียร์เพื่อนตน เสียงกดชัดเตอร์ดังขึ้นเป็นระยะ จนนักกีฬาเริ่มทยอยออกมารอขึ้นชกเสียงกดชัดเตอร์จึงดังรัวขึ้น วันนี้เป็นรอบสุดท้าย ใครชนะก็จะได้เป็นตัวแทนไปแข่งกีฬามหาวิทยาลัยระดับประเทศในแต่ละรุ่น

ดวงตาดำใสสอดส่ายสายตามองไปรอบบริเวณเพื่อหวังจะพบร่างคุ้นตา แต่จนแล้วจนรอดก็หาไม่พบ เขารู้ว่าปถวีได้เข้าชิงรอบสุดท้าย เขาถึงขอตามประวิชมาด้วย

กับคำพูดประโยคสุดท้ายที่ชายหนุ่มทิ้งไว้ก่อนจะเดินจากไปมันยังค้างคาใจเขาอยู่ อยากรู้ว่าสิ่งที่พูดออกมานั้นมันมาจากใจจริงรึเปล่า ถึงจะยังไม่รู้ว่าตัวเองจะทำยังไงกับคำตอบนั้นก็ตามที คำตอบที่ยังไม่รู้หัวรู้ก้อย เขาก็ยังอยากรู้ อยากหวัง หวังว่าเขาจะยังมีโอกาสได้คุยกันก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป

“ทำไมยังไม่เห็นปถวีอีก หมอนั้นมีคิวชกเป็นคู่ที่ 4 นี่” ประวิชที่รอถ่ายรูปเปรยขึ้นมา

“แต่นี่มันเลยรุ่นของเขามาแล้วนี่”

“นั้นสิ รึจะสลับรุ่นกันก็ไม่รู้นะ รอดูคู่ต่อไปแล้วกัน”

เสียงโห่ร้องจากบรรดากองเชียร์ดังสนั่นไปทั่วบริเวณ หมัดต่อหมัด ยิ่งชกตรงเป้าเห็นกันจะๆ ก็ยิ่งเรียกเสียงเชียร์ให้ดังมากขึ้น บรรดากองเชียร์หนุ่มๆออกอาการลุ้นกันอย่างเอาเป็นเอาตายในขณะที่หญิงสาวบางคนทำหน้าเสียวไส้ยังกับจะถูกชกซะเอง

“ออกมาแล้วนท คู่สุดท้ายเลย” ประวิชสะกิดบอกเพื่อน มองปถวีเดินตรงมาทางพวกเขาเพื่อจะผ่านไปยังเวทีมวย

นทนทีมองตามร่างสูงกำยำเดินผ่านไป รู้สึกเหมือนมีใครมากระตุกหัวใจอย่างแรงเมื่อปถวีไม่แม้จะชายตามองเขา
.
.
.
“เกร๊ง!” เสียงระฆังบอกเริ่มยกที่หนึ่ง ทั้งคู่บนเวทีเดินเข้าหากัน คู่ต่อสู้ของปถวีมีรูปร่างเตี้ยกว่าแต่ด้านความหนาปถวียังเป็นรอง ทั้งคู่ต่างจับจ้องหาจังหวะเหวียงหมัดเข้าใส่กัน

“ดูหมัดของปถวีมันเบาๆ แฮะ ไม่หนักเหมือนรอบก่อนๆ” ประวิชเปรยขึ้นมา รอบก่อนๆยังชกฝ่ายตรงข้ามหน้าสะบัดตามแรงหมัดตลอด ร่างสูงใหญ่ตั้ง

ข้อสังเกต แต่นทนทีที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องหมัดมวยเท่าไร จึงได้แต่มองร่างบนเวทีตาไม่กระพริบ หมดยกแรกดูคะแนนจะสูสีกันทั้งคู่

“เฮ้ๆ แข่งกันแล้วหรอ” ไผ่วิ่งกระหืดกระหอบแทรกตัวเข้ากลางระหว่างประวิชและนทนที

“ฉันเพิ่งประชุมเสร็จอะ เจ้าวีชนะยัง” เจ้าตัวรีบถามต่อแทบหายใจหายคอไม่ทัน

“เพิ่งจบยกแรกเอง เหลืออีก 2 ยก………………….นี่อย่ามาเบียดได้มั้ย ไปยืนห่างๆไป๊…………..ยิ่งร้อนๆอยู่” ประวิชตอบให้แถมด้วยแววตาเขียวปั๊ด

“หึ” ฟังประวิชว่าก็ยิ่งแกล้งยืนเบียดแนบชิดจนออกหน้าออกตา ทำให้ร่างสูงเบี่ยงหลบพัลวัน

“เฮ้ย!” เสียงอุทานดังมาจากข้างหลัง เมื่อหันไปมองก็เจออนลยืนมองบนเวทีมวยสายตาตื่นๆ

“ไหนบอกว่าแค่จะมาดูเพื่อนชกเฉยๆไง ทำไมไปอยู่บนนั้นละ”

“อะไรนล พูดถึงใคร” นทนทีเห็นอนลทำหน้าแปลกๆพูดอะไรที่เขาไม่เข้าใจ

“พี่นท………ก็พี่ผมนะสิ………”

อนลยังคงมองพี่ชายนั่งให้น้ำอยู่บนเวที

“ก็นั้นไงพี่นาย” ไผ่เองก็งง

“ครับพี่ผม แต่เมื่อวานพี่เขากลับไปบ้านใหญ่แล้วไปทำท่าไรไม่รู้ลื่นตกบันไดตั้งหลายขั้นแนะ เห็นบอกว่าเคล็ดขัดยอกไปทั้งตัว ข้อมือก็เจ็บบวมด้วยละ ก็บอกผมเองว่าจะถอนตัว แล้วไปทำอะไรบนนั้นละนี่”

“ห๋า! ตกบันได” เสียงไผ่ร้องดังลั่นก่อนใครเพื่อน ส่วนร่างโปร่งข้างๆกลับนิ่งเงียบ หันขวับไปมองคนบนเวทีที่ตอนนี้เริ่มยกที่สองแล้ว

“ถึงว่าหมัดมันเบาๆ คงจะเสียดายโอกาสละมั้งถึงลากสังขารขึ้นชก” ประวิชมองขึ้นไปยังเวทีดูคู่ชกบนเวทีเริ่มแลกหมัดกันอีกครั้ง

“คงงั้นมั้งครับ พี่คงไม่อยากมานั่งเสียใจที่หลัง ว่าทำไมตอนนั้นถึงไม่ลองพยายามดู ถึงผลมันจะออกมายังไงก็คงรู้สึกโล่งใจเพราะตัวเองได้ทำถึงที่สุดแล้วละครับ”

อนลพูดเสริมต่อประวิช โดยมีนทนทียืนฟังอยู่ข้างๆ ก่อนจะพาร่างตนเองไปยืนเกาะติดขอบเวทีมองคนบนเวทีปล่อยหมัดเข้าใส่กันเต็มๆตา เสียงกรรมการห้ามบนเวทีตะโกนให้หยุดการชกชั่วคราวเพื่อเข้ามาดูฝ่ายปถวีซึ่งมีเลือดกำเดาไหลออกมาจากจมูก สีหน้ามุ่งมั่นพยักหน้าให้กรรมการเห็นว่าตนยังชกต่อได้ กรรมการห้ามบนเวทีดูแผลแล้วสั่งให้ชกต่อ แต่มีเสียงระฆังหมดยกที่สองดังขึ้นเสียก่อน

“สู้ตายพี่”

อนลเข้ามายืนข้างนทนทีพลางตะโกนเชียร์พี่ตนลั่นจนคนข้างบนหันมามอง สายตามองผ่านเลยร่างบางไปยังอนล ยิ่งทำให้เจ้าของร่างโปร่งรู้สึกปั่นป่วนบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่อาจจะละสายตาจากร่างบนเวทีไปได้เลย

ปถวียกนิ้วโป้งให้น้องชายตนก่อนจะเริ่มยกที่สาม เสียงเฮจากกองเชียร์อีกฝ่ายดังขึ้นเมื่อปถวีโดนชกสองหมัดติดกันบริเวณใบหน้าและลำตัวจนเซ

“เฮ้ย! ไอ้วี แกแพ้ไม่ได้นะโว้ย ชกมันเข้าไปเลย” เสียงไผ่ออกอาการเชียร์จนสุดตัว

“ตายเป็นตาย” ร่างเล็กยังคงส่งเสียงดังจนประวิชต้องเข้ามาปราม

“น้อยๆหน่อยเจ้าไผ่ เดี๋ยวก็ถูกกองเชียร์อีกฝ่ายรุมตืบหรอกแก”

“ช่าง………….ไว้ตอนนั้นคอยมาหลบหลังนายก็ได้” พูดจบโดยไม่สนใจอาการตาโตของอีกฝ่าย หันไปตั้งหน้าตั้งตาเชียร์เพื่อนตนสุดฤทธิ์

“หลบ………อย่างนั้น…….มันต้องอย่างนั้น สวนไปเลย”

ประวิชจึงได้แต่ยืนมองคนตัวเล็กที่ทำท่ายังกับอยู่บนสังเวียนซะเอง แถมปากก็ภาษณ์ไปด้วยแต่โดยดี

“วี!” นทนทีอุทานเมื่อเห็นชายหนุ่มถูกหมัดสวนเข้าลำตัวเต็มๆ จนกลัวว่าจะยืนไม่ครบยก

“อีกนิด………..ก็จะหมดยกแล้ว อยู่ให้ครบยกก็ยังดี”

ภาพปถวีตอนนี้คงดูเยินสุดๆในสายตาใครต่อใคร เขาเห็นรอยช้ำบริเวณข้างลำตัวที่ไม่ได้เกิดจากการชกครั้งนี้ คงเพราะตกบันไดแน่ๆ

“วี!”

นทนทียืนงงระคนตกใจเมื่อมีคนล้มลงบนเวทีอย่างฉับพลัน

“ยะฮู้! ชนะแล้ว”

เสียงไผ่ตะโกนดังขึ้นก่อนที่ร่างสูงบนเวทีจะเดินกลับมุมของตน และกรรมการก็ตามมาชูมือฝ่ายน้ำเงินซึ่งก็คือปถวีชนะน๊อก
 
“พี่! ชนะแล้ว………ยอดเลย”

“ไอ้วี………สุดยอด” ไผ่กับอนลต่างส่งเสียงยินดีที่ปถวีชนะมาได้อย่างเลือดตาแทบกระเด็น ทั้งหมดพากันไปรอปถวีลงจากเวที จนร่างสูงลงมาก็รับคำสวดจากน้องชายก่อนเลย

“พี่ เดี๋ยวก็ได้พิการหรอก ทำอะไรห่ามๆแบบนี้”

“เอาน่ะๆ ขี้เกียจจะฟัง ฉันเจ็บจนไม่อยากคุยอะไรด้วยหรอกนะ”

“เป็นห่วงนี่ แล้วพี่จะกลับบ้านเลยมั้ย ผมขับรถให้ จะได้แวะหาหมอตรวจดูหน่อยก็จะดีนะ” อนลถามไถ่พี่ตนอย่างเป็นห่วงแต่ดูท่าเจ้าของร่างเยินๆจะไม่ค่อยอยากจะใส่ใจ

“ไม่ละ เดี๋ยวฉันจะกลับคอนโด”

“ไหวหรอพี่”

“ไม่ได้หนักหนาอะไร แค่ฟกช้ำดำเขียวเอง”

“ไปหาหมอหน่อยเถอะ” นทนทีโพล่งออกมาด้วยสุดทน เขาอยากให้ชายหนุ่มทำตามที่น้องชายเสนอจะปลอดภัยกับตัวเองมากกว่า แต่ดูเหมือนคำพูดของเขาจะดังไปไม่ถึงปถวี เจ้าตัวถึงได้เมินเฉยกับคำพูดของเขา

“ฉันดูแลตัวเองได้ ไปละ” หันไปบอกน้องชายตนก่อนจะเดินฉับๆจากไป

“จะเป็นไรรึเปล่า ตามไปไม่ดีกว่าหรอ” ไผ่หันไปถามอนล

“ก็อยากตามไปอยู่หรอกนะพี่ไผ่ แต่ขืนเข้าไปตอนนี้มีหวังถูกเตะกลับมาแหงๆ ช่วงนี้ยิ่งขี้หงุดหงิดอยู่ ไว้ผมค่อยโทรถามเป็นระยะๆดีกว่า พี่เขาต้องรู้ตัวเขาเองดีที่สุด”

“งั้นก็กลับกันเลยดีกว่า ไม่มีอะไรแล้วนี่” ประวิชชวนเพื่อนๆกลับบ้านด้วยตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว

“ฉันไปส่งนะนท” ร่างสูงใหญ่หันไปบอกนทนที

“ไม่………..ไม่ต้องหรอกฉันกลับเอง”

“นทไม่ไป งั้นนายไปส่งฉันแทนก็แล้วกัน” ไผ่รีบเสนอตัวแทนเพื่อนที่สละสิทธิ์ทันที

“นายอีกละ ไปส่งอะไรกันบ่อยๆ เปลี่ยนหน้าบ้างสิ”

“ไปส่งไผ่เถอะ ฉันกลับละ” นทนทีบอกลาเพื่อนก่อนจะเดินจากไปก็ถูกไผ่ล๊อคอหยุดไว้

“อะไรละไผ่ ตกใจหมด” ร่างโปร่งหันมองเพื่อน

“แค่นี้ก็เหม่ออีกหละ …………………ไม่ไปหรอ?” จู่ๆเพื่อนที่ล๊อคคอก็ตั้งคำถามขึ้นมาลอยๆ

“ไปไหน”

“ก็ไปดูเจ้าวีมันหน่อยสิ ตอนนี้อาจจะยังไม่เป็นไร แต่พอซักพักอาจจะเป็นก็ได้นะ อยู่คนเดียวด้วยสิ เป็นอะไรไปก็แย่เลย”

“………………….จะให้ฉันไปหรอ เดี๋ยวก็ถูกไล่ตะเพิดออกมาหรอก”

“ก็บอกแล้วว่า อย่าคิดแทนคนอื่นไง………” ร่างบางส่งยิ้มอ่อนละมุนมายังนทนที

“ก็แล้วแต่นายนะ ฉันไปละ”

พูดจบไผ่ก็วิ่งปรู๊ดไปหาประวิชทันที ทิ้งคำพูดสะกิดใจให้เพื่อนตนต้องขมวดคิ้วคิดหนักจนได้

****************************************************************

ร่างของปถวีทอดตัวนอนบนโซฟาภายในห้องชุดของตน ร่างกายที่ใครๆต่างเป็นห่วงกลับไม่ได้เจ็บระบมอย่างที่คิดกังวลกัน เขาออกกำลังกายเป็นประจำกับแค่ลื่นตกบันไดไม่กี่ขั้น ไม่ได้ทำให้เขาถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อได้หรอก เพียงแต่เมื่อวานรู้สึกหงุดหงิดมาก จนพาลคิดจะถอนตัวจากการแข่งคัดตัวรอบสุดท้าย ก็มันหงุดหงิด หงุดหงิดเป็นที่สุด เจ็บตัวน่ะไม่เท่าไร เจ็บที่ใจนี่สิมันสุดทน เจ้าบ้านั้นพูดออกมาได้ยังไงกัน คำพูดของนทนทียังคงสะท้อนไปมาในหัวและบั่นทอนความรู้สึกดีๆที่มีให้ ยิ่งวันนี้มาเห็นหน้าร่างโปร่งก็ยิ่งสะท้อนใจ เห็นเขาเป็นพวกหว่านเงินล่อให้ใครๆ มาขึ้นเตียงด้วยรึไง

เหอะ….มาเองต่างหากเล่า ถึงยังงั้นความคิดนี้ก็ไม่เคยอยู่ในหัวซักนิด ตอนที่ได้ยินนทนทีพูดทำเอาเขาช๊อกไปเลย
 
แต่ถึงจะได้ยินกับหูเขาก็ไม่คิดว่านทนทีจะเห็นแก่เงินตามที่พูดมาหรอก จนวันนี้ก็ไม่คิดจะเชื่อ มันต้องมีอะไรแน่ๆ เพียงแต่ตอนนี้เขาอยากอยู่คนเดียวซักพักก่อนก็เท่านั้น ขืนเจอกันตอนนี้มีหวังได้จับกดแน่ๆ เหตุผลร้อยแปดคงเอาไว้ที่หลังแน่นอน
 
“ติ๊งต๊องๆ ติ๊งต๊องๆ” เสียงสัญญาณเตือนให้เจ้าของห้องทราบว่ามีแขกมาเยือนรออยู่หน้าประตูห้องไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มที่นอนเหยียดยาวคิดจะลุกไปเปิดประตูแต่อย่างใด เขาไม่อยากจะเสวนากับใครในตอนนี้จริงๆ

“ติ๊งต๊องๆ ติ๊งต๊องๆ”

“ใครฟะ”

เสียงยังคงดังย้ำอีกครั้งแต่ปถวีก็ยังคงนอนอยู่ที่เดิม คิดว่านอนเงียบๆ ไม่มีใครไปเปิดประตูเดี๋ยวก็กลับไปเอง

“ติ๊งต๊องๆ ติ๊งต๊องๆ”

“โว้ย!………….ใครวะจะเตะให้คว่ำเลย รำคาญจริง” ปถวีลากสังขารที่เจ็บพอดูไปเปิดประตูออกอย่างแรง

“อะ!”

---- TBC ----

วันนี้ 4 ตอนรวด ใกล้จะจบภาค 1 เเล้ว เย้ๆๆ
ขอบคุณผู้อ่านเเทนพี่ Sake ค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 15-18 (1/10/09)........ขึ้นชก!!!........
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 01-10-2009 17:59:28
น่ารักที่สู้ดดดดดดดดดดดดดด
มาต่อให้อีกตั้งสามตอนอ่ะ
สนุกจังเล้ยยย อ่านแล้วติดมากๆๆเลยอ่ะ
อยากอ่านต่ออีกอ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 15-18 (1/10/09)........ขึ้นชก!!!........
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 01-10-2009 19:02:53
มาเยอะแยะเลย อ่านจนตาแฉะเลย ขอบคุณนะค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 15-18 (1/10/09)........ขึ้นชก!!!........
เริ่มหัวข้อโดย: wanwisa ที่ 01-10-2009 19:36:24
วันนี้มาต่อ 3 ตอนรวดเลย
ขอบคุณค่ะ  งานนี้นายปถวีจะหายเจ็บไวเพราะได้พยาบาลดีหรือเปล่าเนี่ย
รอลุ้นอยู่น้า.....
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 15-18 (1/10/09)........ขึ้นชก!!!........
เริ่มหัวข้อโดย: LoveNineTeen ที่ 01-10-2009 21:21:23
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด อ่านอย่างจุใจเลยสามตอนแหนะ

แต่ยิ่งอ่านยิ่งอึดอัด เมื่อไหร่จะเข้าใจกันสักที เฮ้อ...

ส่วนคู่ ประวิชกับไผ่น่ารัก ขำดี ชอบบบบบ


ตอบคุณ jeab_u เป็นเพลงค่ะ ชื่อเพลง "จะอยู่กับฉันทั้งคืนได้ไหม" หนึ่ง อีทีซีเป็นคนร้องค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 15-18 (1/10/09)........ขึ้นชก!!!........
เริ่มหัวข้อโดย: Lollipop_pop ที่ 01-10-2009 22:08:58
ยิ่งอ่านยิ่งลุ้นอะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 15-18 (1/10/09)........ขึ้นชก!!!........
เริ่มหัวข้อโดย: ISACBTMN ที่ 01-10-2009 22:10:21
ชอบไผ่กับประวิชด้วยคน อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 15-18 (1/10/09)........ขึ้นชก!!!........
เริ่มหัวข้อโดย: Papoonn ที่ 01-10-2009 22:39:58
ตัดจบแบบเงียบ ๆ   แนวมาก   = [] =
555555   นทแรงมากประโยคพวกนั้นอ่ะ
สงสารปถวี   ตอนแรกอยากกระโดดถีบตอนนี้ขอกระโดดกอดเถอะ  555

3 หรือ 4 ตอนล่าสุดนี้สุดยอด     !!
หึงหรอจ่ะ  นท    555555
น่ารักน่ะเรา   


 :call: :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 15-18 (1/10/09)........ขึ้นชก!!!........
เริ่มหัวข้อโดย: Donpopper ที่ 01-10-2009 22:51:35
ใกล้จบแล้วเหรอ

แต่ยังดีบอกว่าใกล้จบภาคแรก  แสดงว่ามีต่อ

หุหุหุหุหุ

รออ่านต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 15-18 (1/10/09)........ขึ้นชก!!!........
เริ่มหัวข้อโดย: benben ที่ 01-10-2009 22:57:49
ลุ้นสุดโต่ง o13 ยิ่งกว่าเจ้าไผ่อีกนะ
อยากอ่านต่อเร็วๆอ่ะ :sad4:รีบมาต่อนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 15-18 (1/10/09)........ขึ้นชก!!!........
เริ่มหัวข้อโดย: maxtorpis ที่ 01-10-2009 23:07:55
i Love U
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 15-18 (1/10/09)........ขึ้นชก!!!........
เริ่มหัวข้อโดย: thaitanoi ที่ 01-10-2009 23:28:18
รอลุ้นว่านทจะคืนดีกันได้หรือเปล่า ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 15-18 (1/10/09)........ขึ้นชก!!!........
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 02-10-2009 10:52:52
ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงอีกแล้ว ใจจะขาดรอนๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 15-18 (1/10/09)........ขึ้นชก!!!........
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 02-10-2009 11:56:59
ถ้าคนที่มาเป็น .... กล้าเตะปะ  เตะเลยดิ เตะเลย ฮิ้ววววว
รีบมาต่อนะคะ เรากำลังลุ้นว่า วี มันจะเตะปะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 15-18 (1/10/09)........ขึ้นชก!!!........
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 02-10-2009 22:06:27
ตอนที่ 19

“ติ๊งต๊องๆ ติ๊งต๊องๆ”

“โว้ย!………….ใครวะจะเตะให้คว่ำเลย รำคาญจริง” ประวีลากสังขารที่เจ็บพอดูไปเปิดประตูออกอย่างแรง

“อะ!”








ร่างสูงโปร่งตรงหน้าทำเอาปถวีชะงัก

“นท” เขาไม่คิดเลยว่าจะเป็นนทนทีมายืนอยู่หน้าประตูห้องเขาโดย…ไม่มีใคร………..เขาลากมา

“ฉันมาดูว่านายเป็นยังไงบ้าง อนลบอกว่าเมื่อวานนายตกบันไดด้วย”

นทนทีเอ่ยขึ้นหลังจากต่างคนต่างยืนนิ่งอึ้งกันอยู่นาน จึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบน่าอึดอัดนี่เสียเอง เพราะเขาได้รวบรวมกำลังใจทั้งหมดพาตนเองมาที่นี่ เขาจะไม่ยอมคว้าความว่างเปล่ากลับไปโดยที่ยังไม่ได้พยายามทำอะไร

“ไปหาหมอมายัง”

ร่างสูงยังคงยืนเฉยจนนทนทีอดรู้สึกใจแกว่งไม่ได้ แต่ยังไงวันนี้เขาก็อยากรู้ อยากรู้ความจริงใจในคำพูดสุดท้ายนั้น จะไม่ปล่อยให้มันค้างคาใจได้อีกต่อไป

“ให้ฉันช่วยดูแผลให้มั้ย” ร่างขาวนวลยังคงพยายาม

“แล้วฉันต้องจ่ายเงินมั้ย กับความเอื้อเฟื้อของนาย”  

คำพูดกระทบกระเทียบทำให้หน้านวลแดงเรื่อขึ้นทันที

“มะ…………ไม่ต้อง”

ชั่วอึดใจร่างสูงของปถวีก็เอี้ยวตัวเปิดทางให้คนตัวบางเข้ามาภายในห้อง

คราวก่อนสภาพภายในห้องไม่ได้ดูสะอาดเรียบร้อยเช่นวันนี้ ทุกอย่างถูกเก็บให้เข้าที่เข้าทาง บนพื้นพรมไม่มีของบางสิ่งบางอย่างตกค้างให้สะดุดตาสะดุดใจ ปถวีเดินพาเขาไปยังห้องนอนที่เปิดรออยู่ ร่างบางทำใจอยู่นิดก่อนจะเดินตามเข้าไป

“กินข้าวกินยายัง ฉันซื้อมาด้วยนะ” นทนทีเดินมาหยุดหน้าปถวีที่ทรุดตัวนั่งลงขอบเตียง เขาเตรียมหยูกยามาพร้อม ก็เผื่อว่าเจ้าของห้องไม่อยากเห็นหน้าเขาจริงๆ ก็ยังมีข้ออ้างว่าเอายามาให้แก้เก้อไปได้ละ

“กินแล้วละ” ปถวีมองหน้านวลก้มหน้าดึงถุงยาออกมาจากกระเป๋าแล้วเลือกหยิบยาทาแก้ฟกช้ำออกมา

“ฉันเห็นรอยช้ำที่ชายโครงนายเลยซื้อติดมาด้วย” นทนทีทรุดนั่งลงกับพื้นห้อง เงยหน้ามองใบหน้าคมเข้มที่ตอนนี้ปูดบวมเป็นแห่งๆ ริมฝีปากได้รูปมีรอยแตกแดงเห็นได้ชัด

“ท่าจะเจ็บนะแผลนั้น” ร่างบางยังคงเพ่งพินิจแผลบนใบหน้าและตามลำตัว

“แล้วที่ข้อมือละ เคล็ดด้วยไม่ใช่หรอ” สายตาไล่ไปตามท่อนแขนจนถึงข้อมือบวมแดงกว่าปกติ

“สมใจนายมั้ยละ” ปถวีเห็นอากัปกิริยาอ่อนลงของร่างบาง จึงเกิดอาการอยากลองดี ด้วยไม่รู้เจ้าตัวมีจุดประสงค์อะไรถึงมาหาเขาเองได้ พลางเหล่ตามองร่างโปร่งขบริมฝีปากแน่นระงับอารมณ์ ให้หนีไปซะตอนนี้ยังดีกว่าต้องมาทะเลาะกัน สภาพเขาตอนนี้ก็ไม่มีความอดทนมากพอจะใจเย็นได้ ถ้าร่างบางมาพูดจาให้เจ็บใจอีก ไปซะตอนที่เขายังมีสติดีอยู่จะดีกว่า

นทนทีข่มกลั้นความเจ็บแปลบในใจตัวเอง คำพูดที่เขากล่าวหาร่างสูงไว้มันร้ายแรงจนเรียกคืนมาไม่ได้แล้วหรือ เขามาที่นี่ก็เพื่ออยากพิสูจน์คำพูดทิ้งท้ายของปถวีในวันนั้นแต่รู้สึกว่ามันจะเป็นไปไม่ได้แล้วละมัง แต่อย่างน้อยแค่เรื่องนี้ก็ยังดี เขาอยากขอโทษที่พูดเรื่องเลวร้ายกับอีกฝ่ายไว้ เขาอยากจะบอกว่าเขาไม่ได้คิดอย่างที่พูดวันนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายคงไม่อยู่ในอารมณ์อยากฟังหรอก ช่างเถอะในเมื่อเขาไม่ได้มาเพื่อหาเรื่องทะเลาะ ร่างบางจึงถอนหายใจออกมา

“ฉันมาเพราะเป็นห่วง ไม่ได้คิดมาซ้ำเติมนายหรอกนะ” นทนทีเงยหน้าจ้องมองหน้าบวมปูดตรงๆ

เสียง คลืน ดังขึ้นในใจปถวีทันที เมื่อประโยคเล่านั้นผ่านพ้นจากริมฝีปากบาง

“แต่ถ้านายไม่เป็นไรมากฉันกลับก่อนดีกว่า ไว้วันหลังค่อยคุยกันก็ได้”

พูดจบเจ้าตัวก็ขยับลุกขึ้น แต่กลับถูกมือใหญ่ดึงรั้งไว้ นทนทีเหลียวมองคนที่คว้าแขนเขาไว้แน่น

“อะไร” ร่างบางถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ ถึงจะทำใจมาแล้วว่าคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีนัก แต่ก็ไม่คิดว่าจะรู้สึกว่างเปล่าขนาดนี้

“ห่วงฉัน?”คำถามสั้นๆแต่มันกินนัยในความรู้สึกของนทนที จึงนิ่งไปชั่วครู่เพื่อสำรวจความรู้สึกของตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้า

“อือ” ถึงจะเป็นเสียงครางตอบรับ แต่ก็ได้ใจความอย่างที่คนรออยากได้ยิน

ชั่วขณะหนึ่งที่ปถวีรู้สึกถึงธารน้ำเย็นๆไหลเข้ามาในตัว มันทั้งชุ่มชื้น เย็นฉ่ำชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก

นทนทีกระพริบตามองปถวีเขม่งว่าจะเอายังไงกับเขา เขาได้ละทิฐิตัวเองลงมาแล้วก็อยากให้ร่างสูงยอมเข้าใจเขาบ้าง อย่าได้ทำลายความหวังที่เหลืออยู่น้อยนิดนี่เลย

“งั้นช่วยทายาที่หลังให้หน่อยได้มั้ย ฉันทาไม่ถึง”

นทนทีมีสีหน้ากระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันที พลางก้มลงแกะกล่องยา
 
“ถอดเสื้อสิ จะทาให้”

“อะ!…….” เสียงครางเล็ดรอดออกมาเมื่อร่างสูงขยับยกแขนถอดเสื้อ

“ถอดได้มั้ย ฉันช่วยนะ” นทนทีเห็นท่าทางเก้ๆกังๆ ของอีกฝ่ายจึงเข้าไปช่วย

ปถวีผงะเล็กน้อยเมื่อศีรษะกลมทุยชะโงกเข้ามาใกล้ กลิ่นแป้งเด็กอ่อนๆลอยเข้าปะทะจมูกจนแอบสูดดมจนเต็มปอด

“โห………….” นทนทีเห็นจ้ำสีม่วงสีเขียวระบายทั่วชายโครง มือเรียวสัมผัสแตะแผ่วพลิ้วบนร้อยช้ำ

“โอ๊ะ! อูย…………”

“ขอโทษๆ เจ็บหรอ ว่าทาเบาแล้วนะ”

“เจ็บสิ”

ปถวีบอกเจ็บ แต่หากหน้านวลเงยหน้าขึ้นมามองสักนิด ก็คงจะเห็นล่องรอยความเจ้าเล่ห์แอบแฝงอยู่ในดวงตาคู่คมนั้น

“นายทำเกินตัวไปรึเปล่า เป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง” น้ำเสียงตัดพ้อกลายๆ ของนทนทีทำเอาหัวใจชายหนุ่มกระตุก ร้อนฉ่าขึ้นมาทันที

คนอะไรพอทำเสียงแบบนี้แล้วมันน่า………….จับกดเป็นบ้า

ใบหน้านวลเริ่มแสดงออกถึงความวิตกกังวลกับรอยฟกช้ำบนร่างกาย ถ้าไม่มีไข้ก็ดีไป ปากบางเผยอระบายลมหายใจไล้ลิ้นเลียริมฝีปากแห้งๆของตนช้าๆ

ปถวีลอบมองอาการนั้นแล้วอมยิ้ม ก่อนจะกลบเกลื่อนด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“เพราะนายนั้นละ”

“ฉัน!?”

“ใช่ ฉันตกบันไดเพราะคิดเรื่องของนายอยู่ไง”

“ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย”

“เกี่ยวสิ ก็คิดถึงนาย นายก็ต้องรับผิดชอบสิ”

“หือ………….” มือที่กำลังทายาหยุดชะงัก รู้สึกขนลุกยังไงพิกล แต่ความสงสัยนั้นเป็นไม่นานเพราะร่างสูงคว้าเอวบางไปโอบกอดเรียบร้อยแล้ว

“อะ!”

เสียงอุทานมาพร้อมกับแรงโอบกอดมากขึ้น แผงอกเปลือยเปล่าแนบชิดจนไม่มีที่ให้อากาศแทรกผ่าน ริมฝีปากได้รูปสัมผัสแผ่วเบาลงบนกลีบปากนุ่มรวดเร็ว และหนักหน่วงขึ้นจนนทนทีต้องยึดตัวปถวีไว้แน่น

“โอ๊ย!” ปถวีร้องดังด้วยมือบางกดแน่นบริเวณรอยช้ำ

“ขอโทษ………….แต่นายไม่ควรทำแบบนี้” น้ำเสียงบ่นอุบอิบ ไม่มีแววโกรธขึงกับการกระทำอย่างถือสิทธิของอีกฝ่าย

ปถวีมองร่างบนตักตนจนเจ้าตัวรู้สึกกระดาก เสมองไปทางอื่น

“ปล่อยได้แล้ว” นทนทีเริ่มหาเรื่องพูดกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังแกว่งไหว

“นทนที………มองฉัน” เสียงสั่งแกมบังคับของปถวีทำให้ร่างโปร่งต้องเงยหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้

“นายมาหาฉันทำไม”

คำถามที่ตอบยากที่สุดได้มาถึงแล้ว ร่างบางอึกอัก เขาตอบตัวเองได้ แต่พอจะตอบร่างที่นั่งโอบกอดเขานี่ ทำไมมันยากจัง แต่เมื่อตัดสินใจมาแล้วก็ต้องข่มความกระดากอายพูดต่อไป

“ฉันอยากรู้………..”
 
“รู้อะไร?”

“ที่นายพูดวันนั้น”

“พูดอะไร?”

ถึงจะรู้ว่านทนทีหมายถึงเรื่องอะไร แต่จะตอบกันง่ายๆก็ใช่ที่ ในเมื่อเขาต้องทนทรมานเพราะคนๆนี้ตั้งนาน ขอเอาคืนบ้างคงไม่เป็นไรหรอกนะ

ให้ตายเถอะ………..ทำไมเขาถึงรู้สึกยากเย็นขนาดนี้นะ กับการจะรู้ความรู้สึกในใจของใครสักคน แล้วคนๆนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้เรื่องมันง่ายขึ้นเลย ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง หลับตานิ่งเพื่อรวบรวมความกล้าอีก

“ที่……ที่ว่ารัก…….จริงรึเปล่า” พูดออกไปแล้วก็อยากจะมุดหน้าหนีไปให้ไกล

“อยากจะรู้ไปทำไมละ มันสำคัญกับนายด้วยรึ”

คนตัวใหญ่ยอกย้อนถามทำให้คนในอ้อมแขนเกร็งตัว ก่อนหน้านี้เขารู้สึกร้อนรน อยากพบ อยากเจอ อยากถามว่าใจของชายหนุ่มคิดกับเขาจริงอย่างที่พูดมารึเปล่า แต่เขาไม่เคยถามตัวเองเลยว่า ถ้าได้คำตอบแล้วจะทำยังไง ถ้าไม่จริงก็คงจบไป แต่ถ้ามันจริงละ ถ้าใจของเขาตรงกัน แล้วถ้าใจตรงกันเขาจะทำยังไง เขาไม่เคยคิดถึงขนาดนั้น ถ้าเป็นชายหญิงใจตรงกันก็คบกัน จบแบบแฮ้บปี้ แต่นี่ผู้ชายกับผู้ชาย เขาลืมคิดตรงนี้อะ………………….

“ฉัน………คือ……ไม่รู้” น้ำเสียงเบาโหวงกับแววตาสับสนในการกระทำของตัวเองทำให้ปถวีที่ทอดสายตารอคำตอบทอประกาย ก่อนจะคลายอ้อมแขน

ความเย็นวาบหลั่งไหลเข้ามาทันทีเมื่อปถวีคลายอ้อมแขนอุ่นและนิ่งขึง ทำให้ใจของนทนทีแกว่งไหวหนักขึ้น

“ไม่รู้………..อืม…..คำถามคงยากไป งั้นเอาง่ายๆก็แล้วกัน”

นทนทีมองปถวีด้วยความสงสัย

“ฉันจะให้นายเลือก ถ้าเลือกถูกฉันถึงจะบอก”

“เลือก?”

“ใช่…….กลับไปซะ เดี๋ยวนี้ แล้วพรุ่งนี้เราจะเป็นเพียงคนรู้จักกัน”

“อะ!”

“หรือไม่ นายก็จะไม่ได้ออกไปจากห้องนี้อีกนานเลยละ”

ดวงตาคู่รีเบิกกว้างจ้องมองใบหน้าเข้มที่ไม่ได้บ่งบอกว่าพูดเล่นเลยสักนิด ร่างบางพยายามค้นหาสัญญาณอะไรบางอย่างในดวงหน้านั้น แต่เจ้าตัวกลับตีหน้าเครียดจริงจังจนเขาหวั่นใจ ถ้าเขาก้าวขาออกไป เขาจะยอมรับการเป็นเพียงคนรู้จักได้รึเปล่า ในขณะที่ถ้าเขาอยู่ เขาจะยอมรับสิ่งต่างๆนาๆที่จะตามมาได้หรอ ขอกลับไปคิดก่อนได้มั้ยอะ

“ไม่เห็นต้องเลือก”

“ต้องเลือก”

นทนทีพยายามบ่ายเบี่ยง จนปถวีขยับเปลี่ยนจับร่างบางนั่งบนที่นอน ส่วนตัวเองลุกขึ้นยืนก้มหน้าเผชิญหน้าขาว จ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาแวววาวที่กำลังสั่นไหว
 
“ฉัน………ฉะ”

“เดี๋ยวนี้”

ถึงจะถูกยื่นคำขาดแต่นทนทีก็ไม่สามารถเลือกที่จะเดินออกไปจากห้องนี้ได้ เขาไม่อยากเป็นแค่คนรู้จัก แต่……………….จะคบกันหรอ……….ยิ่งคิดก็ยิ่งกังวลสับสน เขามีแม่มีน้อง ไหนจะสังคมรอบข้างอีก เขาจะก้าวข้ามมันไปได้หรือ ด้วยไม่สามารถตัดสินใจได้จึงได้แต่นิ่งเงียบไม่ยอมขยับ พลางก้มหน้าก้มตาไม่กล้าสบตา ด้วยกลัวร่างสูงตรงหน้าจะลากเขาออกไปจากห้อง

ปถวียิ้มนิดกับท่าทางคิดหนักของคนบนเตียง ก่อนจะผลักร่างบางที่ทำหน้ายุ่งนอนราบไปกับที่นอนนุ่มแล้วตามทาบทับกักร่างบางที่กำลังตื่นตระหนกไว้ในวงแขน

“นาย!”

“นายเงียบ ฉันถือว่านายเลือกอย่างหลัง”

ไม่ให้ปากบางได้ประท้วง ปถวีประกบจูบปิดรวดเร็ว ลิ้นอุ่นรุกไล้จนอีกฝ่ายยอมเปิดปากให้เข้าไปซุกซนหาความหวานในรสสัมผัส ปลายลิ้นตวัดชักชวนให้ร่างบางตอบสนอง สองมือประคองใบหน้านวลนิ้วโป้งนวดคลึงขมับให้เบาๆช่วยคลายความหวั่นวิตก จนลิ้นเล็กๆขยับสอดรับจังหวะการรุกปถวี ร่างสูงจึงได้ถอนริมฝีปากมองดวงตาใสในระยะประชิด รอดูปฏิกิริยาของร่างบาง

ไม่มีอาการต่อต้านนอกจากแววตาไหววูบจนต้องหลุบตาหนี ปถวีตามประทับริมฝีปากแผ่วแล้วถอนออกเพื่อย้ำความมั่นใจว่าคนตรงหน้าจะไปหนีไปไหน
นทนทีได้แต่มองปลายคางเขียวจางเมื่ออีกฝ่ายจ้องมองใบหน้าตน เขาไม่ต้องการรู้คำตอบจากชายหนุ่มอีกแล้ว และก็จะไม่ถามตัวเองว่าอนาคตจะทำยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ขอแค่ปัจจุบันนี้เขามีความสุขสงบตามอัตภาพก็พอ วันข้างหน้าผู้ชายคนนี้จะเป็นยังไงค่อยคิดอีกที

สองแขนเรียววาดโอบกอดลำคอคนตัวใหญ่แน่นพลางหลับตาลง

เขายังคงทำหน้าที่เป็นลูกที่ดี เป็นพี่ที่ดีของน้อง เป็นเสาหลักของครอบครัวไม่เปลี่ยนแปลง แต่ความรู้สึกและใจนี่ เขาขอไว้ให้ตัวเองเถอะนะ

“ฉันรักนาย……”

เสียงผะแผ่วจากคนที่ทาบทับทำให้นทนทีลืมตาและหลับลงอีกครั้ง ใบหน้าระบายรอยยิ้มน้อยๆให้คนตัวโตได้หัวใจพอง

“แล้วนายละ”

ไม่มีเสียงตอบจากร่างที่เอาแต่หลับตากอดคอร่างสูงไว้ ทำให้ปถวีขยับตัว แทรกนิ้วไล่เลาะปลดกระดุมเสื้อเข้าไปสัมผัสผิวเนื้อเนียนภายในพลางบีบเค้นตุ้มเนื้อสีชมพูจนแข็งเป็นไต เขารู้ว่าร่างบางกระดากอายเกินกว่าจะโต้ตอบอะไรเขาได้อีก แค่ที่มาหาเขาคนเดียวได้ ก็นับว่าเขาไม่ได้คิดและรู้สึกไปเองคนเดียวแน่นอน ก็กว่าเขาจะรู้ใจตัวเองก็เสียเวลาและความรู้สึกแทบแย่ กับเรื่องแค่นี้เขารอได้ เขามีวิธีที่จะทำให้นทนทีพูดว่ารักเขาจนได้ละน่า………





อารมณ์ร้อนแรงของปถวีได้หลั่งไหลสู่ร่างบาง ชักจุงให้ทุรนทุรายจนระงับไว้ไม่ได้อีกต่อไป เมื่อนิ้วมือยังคงบดขยี้ตุ้มไตสีชมพูจนเผลอคราง

“หะ…หยุด” สองมือดันไหล่หนาออก

“อะไรอีกละ” คนที่กำลังดื่มด่ำเพลิดเพลินกับการสัมผัสผิวเนื้อเนียนผละจากการคลึงเคล้าขึ้นมองแกมหงุดหงิด

“นายเป็นคนเจ็บ……..ต้องนอนเฉยๆ” ชั่วขณะที่ทักท้วงกับสภาพร่างกายของอีกฝ่าย กลับรู้สึกสั่นจนต้องหลบสายตา

“ไม่มีปัญหา” สีหน้าของปถวีบ่งบอกถึงความมั่นอกมั่นใจในสภาพร่างกายที่ยังสามารถทำภารกิจให้เสร็จลุล่วงไปได้แน่นอน ทำเอาหน้าบางร้อนแดงก่ำทันที

“ไม่ใช่แบบนั้น! ไม่ได้ถามซะหน่อยว่าจะทำได้มั้ย ในหัวนายมีแต่เรื่องบนเตียงรึไง ฉันหมายความว่านายต้องพักผ่อนมากๆ เดี๋ยวจะเจ็บหนักกว่าเดิม ”

หน้านวลบึ้งตึงด้วยมือซนไม่ยอมหยุดเคลื่อนไหว หากแต่ยังลดระดับคืบคลานเข้าเกาะกุมส่วนกลางลำตัว ก่อนจะบีบคลึงสร้างความรู้สึกรัญจวณใจให้ร่างบางต้องขบเม้มริมฝีปากสะกดกลั้นไว้

“ถ้านายร่วมมือ” ปถวีโน้มศีรษะมาชนหน้าผากอีกฝ่าย

“ก็สบายมาก”

“ห๊า!”

“น่า……น๊ะ” เสียงคนตัวโตปลอบประโลมกึ่งหว่านล้อมให้อีกฝ่ายยอมร่วมมือด้วย จมูกโด่งฝังลงซอกคอขาวสูดดมกลิ่นกาย ปลายลิ้นอุ่นลากเลียก่อนจะขบติ่งหูนิ่มให้คนใต้ร่างได้รับรู้ว่า

เขาจะเริ่มแล้วนะและไม่อยากรับฟังอะไรอีกแล้วด้วย ก็เปิดโอกาสให้กลับบ้านแล้วไม่กลับเองนะ เพราะฉะนั้น…………………

“อือ……..” อารมณ์จะห้ามปรามด้วยห่วงร่างกายอีกฝ่ายจะเจ็บช้ำไปกว่าเดิม ถูกลบล้างด้วยสัมผัสหวาบหวามจนสติกระเจิดกระเจิงคล้อยตามคนที่คอยคะยั้นคะยอ สองมือยึดแผ่นหลังไว้พอประคองตัว ด้วยยังสำนึกว่าอีกฝ่ายฟกช้ำดำเขียวบริเวณลำตัว แต่สองขากลับเกร็งจนแทบเป็นตะคริว

ปถวีเบียดตัวเองถูวนบริเวณกลางลำตัวอีกฝ่ายเรียกเสียงครางกระเส่าจากร่างบางได้ทันที มือข้างที่ว่างจากการบีบเค้นยอดอกลดลงสอดเข้าไปคลึงบั้นท้ายตึงแน่น คงยังไม่หนำใจร่างสูงจึงกางนิ้วตะบบลงแก้มก้นมนรั้งสะโพกให้บดเบียดเสียดสีกับกลางลำตัวอย่างสนุกมือ

การสัมผัสผ่านเนื้อผ้าหนาไม่ได้ช่วยลดอาการทุรนทุรายให้น้อยลงกลับทำให้ถวิลหาสัมผัสจากฝามือร้อนมากขึ้น

“อ๊า………..” น้ำเสียงพึงพอใจของกันและกันกระตุ้นให้ทั้งสองปลดเปลื้องเสื้อผ้าที่ตอนนี้กลายเป็นอุปสรรคในการถ่ายทอดความรู้สึกผ่านเนื้อหนังมังสาไปซะแล้ว
นิ้วมือแข็งแรงเข้ากอบกุมกายของร่างบาง รับรู้ถึงความเบ่งบานเต็มที่จนหยาดเยิ้มเอ่อล้น การขยับรูดรั้งไปมาช้าๆทำให้นทนทีบิดกายคุ้มคลั่งในอารมณ์ที่จวนเจียนถึงขีดสุด

“อือ…..อย่า” เสียงกระท่อนกระแท่นเหมือนทรมานกับสิ่งที่อีกฝ่ายปรนเปรอให้

“รู้สึกดีไม่ใช่หรอ”

คำถามถามกลับมาอย่างมั่นอกมั่นใจในฝีมือของตนทำให้เปลือกตาที่ปิดสนิทเปิดมองส่งสายตาค้อนแกมหมันไส้ให้อีกฝ่าย

“จะทำให้รู้สึกดีกว่านี้อีก” สิ้นสุดคำบอกกล่าว นิ้วอันช่ำชองเข้าไปไล้วนรอบช่องทางแคบให้คลายตัวก่อนจะสอดแทรกเข้าไปในส่วนที่ร้อนและตอดรัดนิ้วเขาอย่างนุ่มนวล

“อ๊า!………..” หลุดเสียงครางกระเส่าออกไป นทนทีก็แทบจะกัดลิ้นตัวเอง เจ้าหมอนี่รู้ว่าจะต้องทำยังไงให้เขารู้สึกดีจนกลั้นไว้ไม่อยู่ ไม่อยากจะคิดเลยว่าคนที่กำลังบำรุงบำเรอความสุขให้เขาผ่านประสบการณ์บนเตียงอะไรมาบ้าง คิดแล้วก็น่าแค้นใจ ตัวเขาแม้แต่กับผู้หญิงก็ยังไม่เคย ประสบการณ์เซ็กส์ครั้งแรกของเขา ก็กับเจ้าคนที่กำลังฟอนเฟ้นร่างกายเขาอย่างไม่ปราณีปราสัยอยู่นี่ไง

การรับรู้ถึงแรงบีบบริเวณต้นแขนของตนทำให้ปถวีเงยหน้าละการคลึงเค้นหนักหน่วงขึ้นสบตากับร่างบางที่ส่งสายตาอ้อนวอนมายังเขาอยู่ก่อนแล้ว

“เบามือหน่อย”

นทนทีที่อดกลั้นมานานร้องครางขอ ด้วยสัมผัสหนักๆจากมือ จากริมฝีปากที่ขบเม้น จากกายใหญ่ที่เสียดสีกระแทกเย้าจนแสบร้อนแทบไหม้เป็นจุลอยู่แล้ว อย่าลืมสิว่าเขายังไม่ชิน จะเล่นแบบฟูลครอสกันเลยหรอ เห็นใจกันบ้างสิ เจ้าบ้า

เสียงอ้อนวอนเหมือนยั่วยุให้ชายหนุ่มอยากแกล้งร่างบางขาวโพลนต่อไปอีก ปถวีสอดนิ้วเพิ่มเพื่อสัมผัสถึงความลุ้มร้อนและดูดกลืนเขาอยู่ตลอดเวลา

“อือ………อา……..”

นทนทียังคงส่งเสียงครางหวานหูให้ปถวีได้ยินเป็นระลอก

ปถวีลุกฉุดให้ร่างบางขึ้นคร่อมตักตนเอง กลางลำตัวของนทนทีบดเบียดอยู่กับหน้าท้องของอีกฝ่ายไปมาสร้างความเสียวซ่านในช่องท้องจนอยากจะผละตัวออกห่าง แต่มือใหญ่กลับเกาะกุมบั้นท้ายทั้งสองข้างไว้แน่น

“นทขยับสะโพกขึ้นหน่อย” เสียงสั่งเหมือนลอยมาไกลๆ แต่ก็ทำให้นทนทีทำตาม

“นั่งลง” โดยไม่รอให้ผู้ฟังปฏิบัติตาม เจ้าของมือใหญ่ออกแรงกดสะโพกมนให้ทิ้งดิ่งสู่กายใหญ่ที่ผงาดรอรับอยู่ก่อนแล้ว

“โอ๊ย!” นทนทีร้องเสียงดังลั้นจากการสอดแทรกความใหญ่โตเข้ามาอย่างรวดเร็วทำให้เผลอตัวเกร็งรับการกระแทก ความเจ็บแล่นริ้วขึ้นมาทันที

“อ๊า!..เบาๆหน่อย นาย…..อะ…อืม”

ถึงปถวีจะเตรียมความพร้อมให้ร่างบางแล้ว แต่ความด้อยประสบการณ์ของอีกฝ่ายไม่ยอมผ่อนคลายทำให้ตัวปถวีเองก็ลำบาก

“อา!………….” ร่างสูงครางด้วยช่องทางบีบรัด จนเขาเผลอตัวกระแทกกายจนสุด

“อย่าเกร็งนท…ผ่อนคลายหน่อย”

ถึงจะร้องบอกให้ผ่อนคลายการบีดรัดแต่กลับไม่ได้ผลด้วยร่างบางยังคงเกร็งตัวรับสัมผัสจากเขา

“ให้ตายเถอะ……อย่าทำแบบนี้สิ………..ฉันไม่อยากให้นายเจ็บนะ”

ปถวีขมวดคิ้วเข้มเหงื่อชื้นเกาะตามแผ่นหลังกว้าง กล้ามเนื้อเกร็งเครียดไปทั่วตัว

“อ๊า……..ไม่ไหว…….นท..ขอฉันเถอะนะ”

ปถวีประกบปากดูดกลืนลิ้นอีกฝ่ายพลางเร่งจังหวะการกระแทกกระทั้นให้เร็วและแรงขึ้นตามอารมณ์ที่พุ่งสูงใกล้ถึงขีดสุด มือใหญ่เพิ่มแรงกดเนินเนื้อบั้นท้ายให้แนบสนิทสอดรับแกนกายที่เชื่อมเขาสองคนไว้ด้วยกัน

ร่างหนาโถมแรงสุดตัวใส่ช่องทางที่ชุ่มโชกพาร่างบางกรีดร้องรับอาการสั่นสะท้านเมื่อถึงจุดสุดยอด ก่อนจะพากายตัวเองกระแทกหนักเข้าไปหลั่งหยาดน้ำขาวขุ่นให้พุ่งฉีดจนร่างกายนทนทีไม่สามารถรองรับได้หมดจึงไหลล้นออกมาภายนอก

“อะ……อ๊า” ทั้งสองแอ่นตัวรับการเกร็งกระตุกเป็นระยะๆ

นทนทีร้องครางด้วยอาการเจ็บแปลบและสุขสมไปพร้อมกัน เสียงหอบหายใจดังหนักหน่วงพร้อมกับร่างบางทรุดตัวซบลงซอกคอหนาอย่างเหนื่อยอ่อน ปถวีก้มลงแนบริมฝีปากบนเรือนผมชุ่มเหงื่อ สายตาเต็มไปด้วยความเอ็นดูในอาการของอีกฝ่าย






“เจ็บรึเปล่า”

“อือ” เจ้าตัวตอบไปอย่างแกนๆด้วยเหนื่อยแทบขาดใจ

เสียงหัวเราะในลำคอเบาๆของปถวียิ่งทำให้คนที่ยังนั่งทับไม่ได้ถอนกายออกแนบหน้าซุกซอกคอยิ่งขึ้น

“เดี๋ยวขอแก้ตัวใหม่นะ เมื่อกี้รีบร้อนไปหน่อย” ริมฝีปากเคล้าเคลียพวงแก้มสีเรื่อ ก่อนจะได้ยินเสียงตอบกลับมาอย่างเฉียบขาด

“ไม่” นทนทีผละออกเว้นระยะห่างแค่คืบ มองอีกฝ่ายถมึงทึง

“เอาน่า……” ปถวีสวมกอดพลางโยกตัวไปมาเหมือนกำลังกล่อมเด็กโข่งให้ยอมตามใจ
 
“บอกว่าไม่”

“น่า………….”

“ไม่ไหวแล้ว”

“จะค่อยๆนะ”

“อย่าเลย”

“ทำเถอะ”

เสียงต่อรองยังคงดังเป็นระยะๆ จนฝ่ายร่างโปร่งบางต้องยอมล่าถอยในที่สุด เพราะถ้าไม่ยอมเห็นที่คืนนี้เขาคงไม่ได้หลับได้นอนเป็นแน่ นอกจากจะพูดจาตะล่อมไม่ยอมหยุด มือไม้ยังไต่แตะป้วนเปี้ยนบนร่างกายเขาด้วยถือสิทธ์เป็นเจ้าข้าวเจ้าของไปเรียบร้อยแล้ว จนสมใจคนตัวโตนั้นละเขาถึงได้หลับได้นอนด้วยหมดเรี่ยวหมดแรงเพราะถูกรีดพลังงานไปจนหมดตัว

***********************************
V
V
V
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 19-20 "จบภาค 1"
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 02-10-2009 22:20:08
ตอนที่ 20

เสียงประกาศข่าวสารดังก้องไปทั่วมหาวิทยาลัย อากาศร้อนยามเที่ยงวันทำให้เหล่าบรรดานักศึกษาที่รอเรียนคาบต่อไปพากันหลบร้อนใต้ร่มไม้ใหญ่รวมทั้งประวิชและไผ่ก็เหมือนกัน

“วิชขอน้ำหน่อย”

ไผ่นั่งขัดสมาธิบนพื้นหญ้าเขียว มือกำลังกดปุ่มเล่นเกมบนมือถือ มีประวิชนั่งอยู่ข้างๆพร้อมด้วยถุงขนม น้ำอัดลม วางอยู่ตรงหน้าร่างบาง

ร่างหนาเหล่ตามองแล้วหลับตานับหนึ่งถึงสิบก่อนจะเอื้อมหยิบขวดน้ำส่งให้ ไผ่รับไปดื่มแล้วส่งต่อให้เพื่อนตัวใหญ่ดื่มบ้าง

“ไม่ละ ไม่หิว”

“จริงสิ ยังไม่เห็นนทเลย วันนี้มาไม่ใช่หรอ” เมื่อประวิชส่ายหน้าไม่ดื่มเจ้าตัวจึงยกกระดกดื่มจนหมดเกลี้ยง

“เอารายงานไปส่งอาจารย์เดี๋ยวก็มา”

“หรอ…………ว่าจะชวนไปเที่ยวซะหน่อย”

“พอเลย…………ไม่ต้องคิดเลยนะ เดี๋ยวก็มีเรื่องอีกหรอก”

“นายนี่ขี้กังวลเป็นตาแก่ไปได้”

“แล้วมันเป็นอย่างที่พูดมั้ยละ”

“ฮึ………..”

ไผ่สะบัดหน้าหันมาจ้องมองเพื่อนหนุ่มติดจะฉุดนิดๆ

“ฉันจะชวนไปฉลองไม่ได้ชวนไปหาเรื่องใครนะ”

“มีอะไรให้น่าฉลอง เจ้านทมันยิ่งกลุ้มๆใจอยู่”
“หึ……..ป่านนี้หายกลุ้มแล๊วว…….นายที่มันบื้อชะมัด”

ประโยคหลังไผ่บ่นอุบอิบกับตัวเองเบาๆ

“รู้ดี”

“แน่นอน ……………ใครจะทึ่มเหมือนนายกันละ”

ดวงตาใสแจ๋วมองลึกลงในดวงตานิ่งสงบของอีกฝ่ายชั่วครู่ ก่อนจะอมยิ้มให้กับตนเองพลางสูดอากาศเข้าเต็มปอด ความรู้สึกช้าจริ๊ง

“แล้วจะไปมั้ยละ ถ้าไม่ไปฉันก็ไปกับเจ้านทสองคน ไปหาเพื่อนเอาข้างหน้าก็ได้ แล้วอย่ามาโอดครวญว่าไม่ชวน”

เจ้าของร่างเล็กขยิบตาล้อเลียนให้ประวิชได้ขุ่นใจเล่น ส่วนคนตัวโตได้แต่มองตาเขียวปั๊ด ด้วยถึงจะรู้จักกันมานาน เขาก็ยังคาดเดาอารมณ์คนตัวเล็กไม่ได้ซักที รู้แต่ว่าปล่อยให้ไปออกลิงออกข้างที่ไหนคนเดียวไม่ได้แน่ๆ เพราะคนที่จะต้องมาเก็บกวาดเช็ดถูตอนท้ายก็คือเขานั้นเอง เพราะฉะนั้นตามไปควบคุมดูแลตั้งแต่ตนเป็นดีที่สุด



“เฮ้……………….ไผ่”

ร่างสูงของปถวีส่งเสียงทักมาแต่ไกล และเดินตรงมาหาทั้งคู่

“ไง หน้าบานมาเชียว” คำทักตอบแกมเสียดสีทำให้ปถวีหุบยิ้มฉับ

“ปากหรอนั้น”

“หึ อิจฉาคนมีความสุขไม่เผื่อแผ่เพื่อนฝูงจริงโว้ย” เจ้าของแก้มนวลใสทำหน้าบูดเหล่ตามองเพื่อนมาใหม่ทรุดนั่งกับพื้นหญ้า
 
“พูดอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่อง คนยิ่งร้อนๆ”

ร่างบางทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้พลางเอื้อมมือหยิบถุงขนม ควักของที่อยู่ภายในถุงเข้าปากคำใหญ่

“เชอะ………..” หน้ามันฟ้องชัดๆ

“แล้วนทละ ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอ” คนมาใหม่กวาดตามองรอบๆ ไม่เห็นคนที่ตนอยากพบ

“ร้อยวันพันปีไม่เคยถามถึง ถ้าพรุ่งนี้โลกจะแตกซะละมั่ง”

ปากบางๆยังคงจีบปากจีบคอกัดไม่ปล่อยด้วยไม่สบอารมณ์ในความสุขของอีกฝ่าย ในขณะที่ตัวเองยังมองไม่เห็นอนาคต

“นายก็พูดไปโน้น ฉันมีธุระจะคุยด้วย หาตั้งแต่เช้าแล้ว”

“ไปส่งรายงาน เดี๋ยวก็มา”

สุดท้ายไผ่ก็ต้องยอมบอกเพราะชายหนุ่มทำท่าจะลุกไปเดินหาซะเอง จนเหลือบเห็นร่างโปร่งของนทนทีเดินเข้ามา

“มาพอดี”

“เรียบร้อยมั้ย” ประวิชขยับที่ให้ร่างบางนั่งลงใกล้ตน

“โอเค ผ่านฉลุย” นทนทีทรุดนั่งลงที่ว่างที่ประวิชเว้นไว้ให้ท่ามกลางสายตาสองคู่ที่มองมาด้วยอาการหลากหลาย

“งั้นเย็นนี้ไปเที่ยวกันนะนท” ไผ่ได้ทีหาเรื่องชวนเพื่อนทันที พลางหันไปชวนปถวีด้วยอีกคน

“นายก็ด้วยนะ”

แต่ปถวีกลับหันมองนทนทีเหมือนจะขอความเห็น ทำให้คนชวนต้องแก้มป่องอีกครั้ง

“ตัวติดกันไปซะแล้วเพื่อนเรา”

“ร้านนั้นนะหรอ” นทนทีทำท่านึกถึงร้านที่เคยไปคราวก่อน

“จะไปร้านอื่นก็ได้นะ” ไผ่รีบแสดงความเห็น

“ก็เอาสิ แต่คงแค่ครั้งนี้ละนะ เพราะเดือนหน้าจะสอบแล้ว”

“เออๆ” หน้าขาวๆรีบพยักหน้าตอบรับทันที

ท่าทางดีอกดีใจจนออกนอกหน้าทำให้ประวิชหมันไส้ แถมเจ้าตัวยังทำหน้าทำตาเจ้าเล่ห์ใส่เขาอีกต่างหาก

เพื่อนแสนรักไปแล้ว ดูสิจะยังไม่ไปอีกมั้ย

“งั้นเจอกันที่ร้านนะไผ่ ซักสามทุ่มละกัน” นทนทีนัดหมายเสร็จก็หันไปคุยกับประวิชต่อ

“ฉันจะไปชมรมหน่อยแล้วค่อยไปเข้าเรียน นายไม่ต้องรอฉันนะ”

ไม่รอให้เพื่อนตอบก็ลุกขึ้นเดินผละจากไป โดยไม่บอกกล่าวคนตัวโตอีกคนที่มองตาปริบๆ ก่อนจะลุกเดินตามไปด้วย ทิ้งให้คนที่เหลือมองตามคนที่พากันเดินจากไปด้วยอารมณ์ต่างกัน คนหนึ่งอมยิ้ม อีกคนขมวดคิ้วฉงนในท่าทีของคนทั้งคู่

“พวกนั้น………..”

“ฮึๆเขาญาติดีกันแล้ว อย่าทำเป็นพ่อหวงลูกสาวไปหน่อยเลย วันหนึ่งลูกมันก็ต้องออกเรือน ฮ้าๆ”

“พูดอะไรฟะ”

“เอาน่าๆ ฉันเป็นเพื่อนแก้เหงาได้นะ” ร่างบางทำหน้าเจ้าเล่ห์ให้ประวิชขนตั้งอีกครั้ง

“ขอบใจ…….แต่รับไม่ลงวะ”

ประวิชส่ายหน้าพลางรีบหยิบขวดน้ำอีกขวดยกดื่มปิดปากไม่ให้เผลอตัวบ่นใส่ตนข้างตัว เพราะถ้าพูดเป็นได้ยาว หึ เพื่อนแก้เหงาหรือตัวป่วนกันแน่วะ ชีวิตนี้เขาจะพ้นจากเจ้าตัวยุ่งนี่รึเปล่า เขายังคิดหนัก

***************************************************

“รอด้วยสินท” ร่างสูงของปถวีก้าวยาวๆจนทันร่างโปร่งที่ชะลอเดินไปพร้อมเขา

“มีอะไรหรอ”

ปถวีล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงที่เพิ่งซื้อมาสดๆร้อนๆตอนเช้าแทนเครื่องเก่าที่เขาปาพังไปคราวก่อนให้นทนที แต่ร่างบางกลับชักมือกลับ

“ทำไมละ”

นทนทียังคงก้าวเท้าเดินไปเรื่อยๆพร้อมทั้งส่งยิ้มน้อยๆให้คนตัวใหญ่ แต่ปถวีกลับไม่รู้สึกอยากยิ้มตาม ด้วยรอยยิ้มนั้นมันแฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยวมั่นคงอย่างคนที่ตัดสินใจให้กับตัวเองแล้ว

“ฉันจะไม่รับมันหรอก”

คำตอบของนทนทีทำให้ปถวีหน้าตึง

“ฉันคิดว่าเราเข้าใจกันแล้วซะอีก”

“ใช่ เข้าใจ”

“แล้วทำไมละ”

“นายรวย”

“แล้วไง ฉันผิดรึไงที่เกิดมารวย”

“ฮะฮ้า………ไม่ผิดหรอก นายก็คิดไปโน้น” ร่างบางเผลอหัวเราะออกมาเต็มเสียง

“จะพูดอะไรนท”

“ฉันอยากรู้สึกว่าตัวเองมีค่าน่ะ”

“นายมีค่าสำหรับฉัน” ปถวีรีบพูดต่อ

ร่างโปร่งไม่ตอบในทันทีกลับยังเดินไปเรื่อยๆ

“เรามีช่องว่างที่ห่างกันมาก ฉันไม่อยากให้ใครมาว่า ว่าฉันมาปอกลอกนายหรือจะอะไรก็แล้วแต่”

“นี่!”

“ฉันอยากจะย่นระยะทางนั้นให้ได้มากที่สุดก่อน” นทนทียังคงพูดไปเรื่อยๆโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทางร้อนรน บึ้งตึงขนาดไหน

“นายจะรอให้รวยเท่าฉันแล้วค่อยรู้สึกว่าตัวเองมีค่ารึไง”

“โฮ้………..ทำจนตายฉันก็คงไม่รวยเท่านายหรอก”

“งั้นถามหน่อย…………ตอนนี้เราคบกันอยู่ใช่มั้ย”

เท้าที่กำลังก้าวเดินสบายๆหยุดลง หันหน้าเข้าปะทะร่างสูง

“เปล่า”

“เฮ้ย! ได้ไง นอนด้วยกันโครมๆ แล้วมาพูดแบบนี้เนี่ยนะ”

“เพี๊ย!” เสียงมือเรียวตีแปะที่ต้นแขนกำยำ

“นี่! พูดจาน่าเกลียดที่สุด”

“ก็จริงนี่”

“นาย!”

ร่างโปร่งทำท่าฮึดฮัดใส่ชายหนุ่ม เขาอยากยืนเคียงข้างร่างสูงอย่างภาคภูมิใจ ซึ่งตอนนี้เขายังทำตรงนั้นไม่ได้ ไว้วันหนึ่ง วันที่เขาสามารถจะเป็นกำลังให้คนๆนี้ได้ เขาจะตอบ yes ทุกอย่างเลย แต่วันนี้…………………..

“ทำไมคิดมากกันจัง ทำไมไม่ทำตามความรู้สึกของตัวเองละ” ปถวียังคงยื้อถามด้วยรู้สึกเหมือนว่าร่างโปร่งนี้กำลังจะห่างไกลเขาออกไป

“เพราะเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกไงละ”

“นท” เสียงครางอย่างอ่อนอกอ่อนใจของปถวีเรียกรอยยิ้มสวยจากร่างโปร่งบางได้ทันที

“เวลาจะพิสูจน์ความตั้งใจของเรา และวันนั้นถ้านายยังรักษาความรู้สึกนี้ไว้ได้ละก็นะ” ร่างโปร่งเว้นช่วงนิด

“ก็อะไร” ร่างสูงเริ่มทำหน้าเซ็งแกมหงุดหงิดเมื่อไม่ได้ดังใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเวลาทะเลาะกันก็หาเรื่องจับกดหรือขู่ให้อีกฝ่ายยอมตามใจเขาได้สบาย แต่นี่ ร่างบางกลับยอมโอนอ่อนผ่อนตาม ไม่เถียง ไม่โมโห แต่กลับยิ้มหวานให้ทำเอาเขารู้สึกไม่อยากฝืนใจอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย แล้วจะให้เขาเอาไม้ไหนไปหลอกล่อให้คนๆนี้ยอมตามใจเขาได้ละ

“จะไปรู้เรอะ เรื่องของอนาคตใครจะไปรู้ได้ละ”

“เฮ้ย!อย่าพูดครึ่งๆกลางๆ ตกลงกันมาให้ชัดดิ” ปถวีเริ่มตีรวนไม่ยอมรับฟังอะไรแล้ว

“ก็ตกลงไปคนเดียวเถอะ ฉันจะไปชมรมแล้ว บาย”

นทนทีเริ่มก้าวเดินมุ่งหน้าไปยังชมรมอีกครั้ง โดยมีปถวียืนมองคนตัวบางตัดบทเดินจากไปด้วยอาการงงๆ ไม่เข้าใจว่าร่างบางจะต้องการอะไรไปมากกว่าความรู้สึกที่เขามีให้กัน

“เอ..?…เดี๋ยวแล้วคืนนี้ละ นายจะไปกับฉันใช่มั้ย” ปถวีตะโกนถามด้วยระยะห่างเริ่มมากขึ้น

“ถ้าไม่รบกวนก็ดี”

“งั้นค้างที่คอนโดฉันเลยละกันนะ”

“ไม่”

“อ้าว! ดึกแล้วก็ค้างซะด้วยกันสิ”

“งั้นนายก็ไปคนเดียวเถอะ เดี๋ยวฉันไปกับประวิชละกัน”

“เฮ้ย! ประวิชมาเกี่ยวอะไรด้วยเล่า!”

นทนทีไม่อยู่รอให้ร่างสูงตามมาพ่นคำบ่นให้ยืดยาว เจ้าตัวรีบจ้ำเดินหนีแต่ร่างสูงก็รีบเดินตามไปติดๆด้วยหวังจะคุยกันให้รู้เรื่อง

“หยุดเลยนะ มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน เจ้าประวิชนั้นก็ด้วย จะอะไรกันนักกันหนาห๊า” ปถวียึดแขนเรียวไปแน่น

“อะไรเล่า จะไปชมรม”

“ไม่ให้ไป”

“ปล่อย”

คนตัวเล็กกับคนตัวโตยังคงยื้อยุดจนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาหันมามองเป็นตาเดียว ด้วยเป็นคู่ที่ใครๆต่างก็ให้ความสนใจมาตลอด 4 ปี แต่อีกไม่นานทั้งคู่ก็จะจบจากสถาบันออกไปใช้ชีวิตนอกรั่วมหาวิทยาลัยแล้ว แล้วนกกระจิบนอกระจอกอย่างพวกเขาจะทำไงดีละ เหงาปากกันน่าดู คงต้องมองหาที่หมายใหม่ซะแล้ว


-------จบภาคที่ 1--------


ขอบคุณทุกคอมเมนท์ น่ารักจังเลยทุกคน
รออ่านภาค 2 + ตอนพิเศษ กันนะคะ
 :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 19-20 "จบภาค 1"
เริ่มหัวข้อโดย: Papoonn ที่ 02-10-2009 22:34:46
อ่า    ๆ   นทนี้น่ารักจริง ๆ
พอเข้าใจความรู้สึกนท
แบบไม่อยากให้ใครมองว่า เกาะปถวีกิน

555555555555555
คู่นี้น่ารักจริง ๆ  


ภาค 2    ๆๆๆๆๆ
อยากอ่านมากกกกก    !
มาลงด่วนเลยค่ะ
แบบวันละหลาย ๆ ตอน

 :call: :call: :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 19-20 "จบภาค 1"
เริ่มหัวข้อโดย: DEVIL nures ที่ 02-10-2009 23:00:27
จบซะแว้วอะ :z2:

น่ารักดี ทั้งสองคู่เลย :impress2:

รออ่านภาคสอง :t3:

 :pig4:  คนโพส ที่เอาเรื่องดีๆมาให้อ่าน :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 19-20 "จบภาค 1"
เริ่มหัวข้อโดย: ปี้ปี้ปี้~PalmY ที่ 02-10-2009 23:05:54
งงอะ คือตอนที่ก่อนจะปรับความเข้าใจกันอยู่ ปี 4 แล้วใช่ปะ (ไมตูนึกว่าปี 3 ฟระ)  :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 19-20 "จบภาค 1"
เริ่มหัวข้อโดย: wanwisa ที่ 02-10-2009 23:17:07
ในที่สุดก็จบภาค 1 ซะแล้ว รออ่านภาคต่อไปค่ะ
ลุ้นคู่วิชกับไผ่อ่ะ  ขอบคุณนะคะสนุกมาก
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 19-20 "จบภาค 1"
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 03-10-2009 03:12:08
สนุกมากๆเลยค่า

รออ่านต่อนะค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 19-20 "จบภาค 1"
เริ่มหัวข้อโดย: maxtorpis ที่ 03-10-2009 09:04:02
 :man1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 19-20 "จบภาค 1"
เริ่มหัวข้อโดย: zingiber ที่ 03-10-2009 09:40:02
ชอบเรื่องนี้มากๆ เรื่องก็สนุก คนแต่งก็ขยัน :กอด1:

จะรอติดตามภาคสองนะจ๊ะ

ปล. รอลุ้นวิชกะไผ่เหมือนกัน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 19-20 "จบภาค 1"
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 03-10-2009 10:39:27
งงอะ คือตอนที่ก่อนจะปรับความเข้าใจกันอยู่ ปี 4 แล้วใช่ปะ (ไมตูนึกว่าปี 3 ฟระ)  :z3:

ตอบเเทยพี่ sake ละกันค่ะ
คือว่าถ้ากลับไปอ่านตอนเเรกๆ คู่นี้เค้าทะเลาะ ไม่ชอบหน้ากันมานานเเล้วจ้า(เพราะจีบหญิงคนเดียวกัน)
คนในมอก็รู้ เห็น กันอยู่ เพราะพระเอกเค้าดัง โหะโหะโหะ

เดี๋ยววันนี้ไม่ก็วันอาทิตย์จะมาต่อภาคสอง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 19-20 "จบภาค 1"
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 03-10-2009 12:11:46
จบภาคแรกเร็วจังงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง แต่น่ารัก อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 19-20 "จบภาค 1"
เริ่มหัวข้อโดย: Donpopper ที่ 03-10-2009 12:37:53
น่ารักกันมากเลยคู่นี้

ปถวีก็เหมือนเด็กเลย

รออ่านภาค 2 ต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake Part 19-20 "จบภาค 1"
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 03-10-2009 17:08:57
มารอภาค 2 ด้วยคนนะครับ

 :z2:    :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake Part 1 นายได้หัวใจของฉันไปนานเเล้ว!!!
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 03-10-2009 17:31:58
ภาค 2 / ตอนที่ 1

“คุณนทนที ท่านประธานเชิญที่ห้องครับ แล้วนำสัญญาที่ร่างไว้กับบริษัท เซเว่นทีนโปรดักชั่นมาด้วยนะครับ”

“ครับ ขอบคุณครับคุณทวีป ผมขอเวลาเตรียมเอกสารสักครู่แล้วจะเข้าไปครับ”

นทนทีวางโทรศัพท์จากเลขานุการประธานบริษัท SIRI INTER ENTERTAINMENT GROUP ที่เขาเริ่มเข้ามาทำงานในตำแหน่งนิติกรตั้งแต่เรียนจบ จนถึงวันนี้ก็ปาเข้าไปเกือบ 6 ปีแล้ว ร่างโปร่งบางหยิบเอกสารที่ต้องการใส่แฟ้ม แล้วเดินตัวปลิวไปยังห้องประธานบริษัท

ภายในห้องประธานบนชั้นสูงสุดของตึกยี่สิบชั้นโออ่ากว้างขวาง ถูกตบแต่งอย่างง่ายๆสบายตา เน้นความสะดวกสบายของผู้ทำงานเป็นสำคัญ ในห้องจึงมีไม้ดอกไม้ประดับผลัดเปลี่ยนมาตั้งวางไม่ได้ขาด หลังโต๊ะทำงานของประธานบริษัทเป็นกระจกใสจากพื้นจรดเพดานห้อง เปิดโล่งให้เห็นท้องฟ้าโปร่งสีครามภายนอก

นทนทีเดินตามเลขานุการไปนั่งที่ชุดรับแขก ซึ่งมีประธานบริษัทและหัวหน้างานของเขานั่งรออยู่ก่อนแล้ว

“นี่เป็นสัญญาที่ร่างไว้ครับ” ร่างโปร่งยื่นเอกสารให้ชายหนุ่มที่เขาเรียกว่าประธานจนติดปาก ถึงจะเรียกว่าประธาน แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้แก่อย่างที่คิด อายุยังไม่ถึงสี่สิบเลยด้วยซ้ำ

ร่างสูงใหญ่ที่เป็นเจ้าของอาณาจักรSIRI INTER ENTERTAINMENT GROUP รับเอกสารไปเปิดอ่านซักพักแล้ววางลงบนโต๊ะ

“ไม่มีข้อไหนที่เราจะเสียเปรียบเขานะ อยากให้ระวังตรงนี้ด้วย แต่เท่าที่อ่านก็เรียบร้อยสมบูรณ์ดี” ชายหนุ่มเหลือบตามองลูกน้องทั้งสองคน

“ครับคุณเทวัญ เราระวังจุดนี้ทุกครั้ง ไม่ต้องห่วงเลยครับ สัญญานี้ถ้าคุณเทวัญเห็นชอบ ที่เหลือก็รอกำหนดวันเซ็นสัญญาเท่านั้นก็เรียบร้อยครับ” หัวหน้างานยกยิ้มแสดงถึงความมั่นใจให้ประธานบริษัท

“อืม งั้นให้คุณนทนทีประสานงานกับบริษัทมูนไลท์โปรดักชั่นกำหนดวันเซ็นสัญญาก็แล้วกัน ตกลงกันวันไหนแล้วแจ้งให้คุณทวีปทราบด้วยก็แล้วกัน” ร่างสูงพยักหน้าให้กับนทนทีและเลขานุการของตนเองรับรู้

“ครับ” ร่างโปร่งรับคำ พลางมองดูประธานบริษัทก้มหน้ามองนาฬิกาที่บอกเวลาเลิกงานพอดิบพอดี

“เลิกงานพอดี ว่างกันมั้ย ไปหาอะไรกินกันเถอะ” ชายหนุ่มที่ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทยกยิ้มเก๋ให้บรรดาลูกน้องต้องยิ้มตามกันทั่วหน้า

นทนทียกยิ้มมุมปากบางเบา ด้วยเวลาทำงานคุณเทวัญหรือประธานบริษัทมักจะทำงานอย่างเคร่งเครียด ตรวจงานกันละเอียดยิบ ทำผิดเป็นได้ถูกไล่กลับไปทำใหม่ตั้งแต่ต้นแบบไม่ค่อยจะไว้หน้าใครทั้งนั้น แต่เมื่อนอกเหนือจากงานก็คือเพื่อนกันดีๆนี่เอง ประมาณว่า งานเป็นงาน เล่นเป็นเล่น

“เอาแต่ยิ้ม ว่าแต่เราเถอะ ไปกับเขาได้รึเปล่าละ รึต้องรีบกลับบ้านอีก” ชายหนุ่มหันมาแซวลูกน้องคนโปรด ทำเอานทนทีต้องหัวเราะแก้ความเก้อเขินของตน

“มะ...ไม่หรอกครับ ไปได้ครับ” นทนทียกยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน เมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ตนเองต้องบอกปัดคำชวนของเพื่อนร่วมงานไปกินเลี้ยงสังสรรค์บ่อยๆ

“งั้นเดี๋ยวขับรถไปเจอกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นตรงเซ็นทรัลปิ่นเกล้านะ เออ! นทไม่มีรถนี่นะ ไปกับฉันละกัน เก็บของเสร็จก็ตามทวีปไปที่รถนะ”

พอนัดแนะกันเสร็จ นทนทีจึงกลับมาที่โต๊ะทำงานเพื่อเก็บของ เงยหน้ามาอีกที เลขาประธานก็มายืนรอที่โต๊ะแล้ว

“เสร็จพอดีครับคุณทวีป ไปกันเลยครับ” นทนทียกยิ้มกว้างให้ชายหนุ่มที่ยืนส่งยิ้มมาก่อนแล้ว

“วันนี้เพื่อนไม่มารับไปไหนหรือครับ” เลขาอารมณ์ดีเอ่ยถาม พลางเหล่ตามองร่างโปร่งบางสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ๆ

“ไม่หรอกครับ จะเจออะไรกันบ่อยๆ เบื่อหน้ากันจะแย่” นทนทีเสหัวเราะ เรื่องบางเรื่องเขาก็ไม่อยากให้เพื่อนร่วมงานรู้เลย แต่เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังอยู่ในกระเป๋ากางเกงก็ทำให้ร่างโปร่งสะดุ้งได้ไม่น้อย ก่อนจะรีบรับสายด้วยมีสายตาของทวีปมองดูอยู่อย่างฉงน ที่เขาเอาแต่จ้องมองเบอร์บนหน้าจอโทรศัพท์อย่างอ่อนอกอ่อนใจ

“ครับ...ไม่ว่าง! ก็บอกไปสิว่าผมติดธุระ...นี่! ...มันจะอะไรกันนักหนาห๊า...ไม่ไป...บอกว่าไม่ไป...แค่นี้ละ” นทนทีวางสายก่อนจะหันไปยิ้มแหยๆให้กับคนเดินข้างๆ ที่มองมาด้วยสายตาแปลกใจ

“เพื่อนนะครับ” ร่างโปร่งบางบอกกล่าวด้วยอาการอิหลักอิเหลื่อ

“ธุระอะไรรึเปล่าครับ ทางนี้ก็แค่กินข้าวเย็นกันธรรมดาๆ ไม่ต้องเกรงใจนะครับ”

“อ๋อ...ไม่ได้สำคัญอะไรหรอกครับ แต่เจ้านี่ชอบบอกว่ามีธุระสำคัญอยู่เรื่อย” นทนทียิ้มแห้งๆให้ร่างสูงข้างๆ แต่ก่อนจะเดินออกประตูกระจกบานใหญ่ไปยังรถที่จอดรออยู่หน้าบริษัท ร่างโปร่งบางก็ต้องชะงัก ด้วยร่างสูงขาวสวมสูทสีดำสนิทอันคุ้นตาของนทนทีเดินผ่านประตูกระจกตรงดิ่งมายังตน ทำให้นทนทีแทบจะกัดลิ้นตัวเองไม่ให้เผลอสบถออกไป ให้ตายเถอะ!

“เพื่อนหรือครับ” ทวีปเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ มองนทนทีมีสีหน้าตกใจเมื่อชายหนุ่มหน้าตาดีเดินมาหยุดใกล้ๆ

“คะ...ครับ” นทนทีรับคำทวีป แล้วจึงตวัดสายตาโกรธขึงไปยังชายหนุ่มผู้มาใหม่

“ก็บอกว่าติดธุระไง” ร่างโปร่งส่งยิ้มเย็นยังผู้มาใหม่ แต่ในดวงตากลับมีกองไฟกองน้อยๆลุกโชน

“สำคัญมั้ยครับ” ผู้มาใหม่ถามกลับเรียบเรื่อย ไม่ได้ใส่ใจกับกองไฟกองน้อยๆที่พร้อมจะประเคนเข้าใส่ตัว ทำให้นทนทีถลึงตามองจนแทบจะหลุดออกจากเบ้า พลางเดินเข้าไปประชิดอีกฝ่าย

“มันจะสำคัญไม่สำคัญก็เรื่องของฉัน แต่ที่แน่ๆเรื่องของนายมันไม่สำคัญแน่นอน แล้วตอนนี้ฉันอยากไปกินข้าวกับเพื่อนฉัน เรื่องของเจ้านั้นไว้เสร็จแล้วฉันค่อยไปหาก็ได้นี่!” นทนทีกระซิบกระซาบเสียงเหี้ยมใส่เลขานุการของปถวี

ร่างสูงขาวดูเนี้ยบไม่มีที่ติเพียงแค่เอียงคอเล็กน้อยมองคนรักของเจ้านายดื้อแพ่งอย่างเฉยชา เพราะเขาต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้มาตลอดครึ่งปีที่เจ้านายเขากลับมาจากเมืองนอก หลังจากร่ำเรียนจนได้ปริญญาเอกมาครอบครองสมใจท่านประธานใหญ่ที่คอยตามใจ อยากได้อะไรก็หามาประเคนให้ทุกอย่าง แต่ท่านประธานใหญ่จะรู้มั้ยว่าลูกที่ตัวเองรักนักรักหนาเป็นเกย์ไปแล้ว

แต่มันก็ไม่ใช่หน้าที่ที่เขาจะต้องไปรายงาน เพราะตอนนี้เจ้านายของเขาก็คือ ปถวี

“คนรักกับข้าวเย็น ข้าวเย็นสำคัญกว่าหรือครับ”

คำพูดเรียบเรื่อยหน้าตายของอีกฝ่าย ทำให้นทนทีหน้าตาแดงก่ำฉุดแขนเลขาของปถวีออกมาคุยให้ห่างจากทวีป

“นายกันย์ ฟังฉันนะ เดี๋ยวฉันกินข้าวเสร็จแล้วฉันจะไปหาเจ้านายของนายเอง นายกลับบ้านนายไปเถอะ”

“ไม่เป็นไร ผมรอคุณได้ ถ้าคุณยืนยันว่าจะไปทานข้าวกับเพื่อนๆคุณก่อน”

คำตอบหน้าตายของกันย์ทำให้นทนทีนึกอยากเตะผ่าหมากเจ้าเลขาจอมซื่อสัตย์คนนี้จริงๆ แต่ก็ฝืนยิ้มเย็นกัดฟันกรอดๆไล่ให้อีกฝ่ายกลับไป

“กลับไปซะ!”

“...”

“นี่! จะยั่วโมโหกันรึไง” นทนทีโกรธจนหน้าดำหน้าแดง พลางมองไปรอบๆตัวด้วยกลัวจะเป็นจุดสนใจของพนักงานอื่นๆ และก่อนที่นทนทีจะได้จัดการกับเลขาจอมจุ้นของปถวี ทวีปที่ยืนมองเหตุการณ์มาตลอดก็เดินยิ้มกริ่มเข้ามาใกล้

“เอาไว้วันหลังค่อยไปก็ได้นท ดูท่าคุณคนนี้เขาจะมีธุระกับนายจริงๆนะ” ทวีปค้อมศีรษะให้กันย์เชิงทักทาย

“สวัสดีครับ ผมทวีป เป็นเลขาคุณเทวัญครับ” ร่างสูงใหญ่ยื่นมือขวาออกไปพร้อมระบายรอยยิ้มทั่วไปหน้า แต่อีกฝ่ายเพียงแค่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วจึงจับมือใหญ่นั้นเพียงแผ่วเบาตามมารยาท

“กันย์ครับ ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ” ร่างสูงขาวใบหน้านิ่งเฉยเอ่ยตอบราบเรียบ จนทวีปนึกค่อนขอดในใจไม่ได้ว่า พูดตามมารยาทเป๊ะๆ

“วันนี้มีโอกาสได้เห็นหน้าชัดๆซักที มารับกันออกบ่อยเห็นแต่หลังไหวๆตลอด บุญตาแท้ๆแม้จะดูดุไปบ้างก็เถอะนะ” ทวีปแกล้งพูดสัพยอกคนหน้าตาย แล้วยิ้มจนตาหยีใส่อีกฝ่ายที่หรี่ตามองมาอย่างสุขุม

“ผมขอตัวก่อนนะครับ ไปกันเถอะครับคุณนท” กันย์คว้าแขนนทนทีตั้งท่าจะเดินจากไป ถ้ามือใหญ่ของทวีปไม่คว้าแขนเสื้อไว้ซะก่อน

“นี่นามบัตรของผมครับ มีอะไรเรียกใช้ได้นะครับ” มือใหญ่รีบยัดนามบัตรแข็งๆใส่กระเป๋าเสื้อสูทของกันย์อย่างถือวิสาสะ พลางทวงถามหานามบัตรของอีกฝ่ายหน้าตาเฉย

“ไม่ได้เอาติดตัวมานะครับ ขอโทษด้วย” ร่างสูงขาวตอบ แล้วเดินลากนทนทีจากไป ก่อนจะพ้นประตูกระจกบานใหญ่ สายตาคมกริบของกันย์จึงเหลือบแลมองทวีปอย่างหมายมาด

“อูย...เลือดท่วมตัวแล้ว คนอะไรตาคมยังกับใบมีโกน ดุเป็นบ้า ดุจนน่าแกล้งนั้นละนะ หึๆ”


****************************************************************


ปัง! เสียงปิดประตูรถทำให้เทวัญหันไปมองเลขาที่มาเพียงลำพัง

“อ้าว...แล้วนทละ”

“เขาติดธุระกะทันหันนะครับ” ทวีปยักคิ้วหลิ่วตาตอบเจ้านายอย่างสนิทสนม

“...อีกแล้วเหรอ เสียดายจังน้า...” เทวัญเคาะนิ้วกับกระจกอย่างครุ่นคิด

“เอาจริงเหรอคนนี้” เลขาอารมณ์ดีเอ่ยถามถึงสิ่งที่คาใจมาตลอด

“ไม่รู้สิ แต่เขาน่ารัก...น่าที่จะรัก” ผู้เป็นประธานยกยิ้มให้กับตัวเองบางเบา

“แต่เขามีหวานใจแล้วนะ ลูกเสี่ยใหญ่ซะด้วย”

“นทเขาไม่ใช่คนเห็นแก่เงิน แล้วอีกอย่าง ทุกอย่างก็อยู่ที่เจ้าตัวเขาจะเลือกไม่ใช่หรือ ฉันก็แค่เสนอตัวไปให้เขาเลือกก็เท่านั้น” เทวัญเหลือบตามองเลขาที่เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและเพื่อนสนิท

“ฮะๆงั้นก็ระวังไอ้เสือบ้าไว้ให้ดีๆละ ท่านประธาน” ทวีปลากเสียงในตอนท้ายให้คนนั่งข้างๆหัวเราะขำ

“ฉันก็ไอ้เสือเก่าเหมือนกันละน่า...”


********************************************************


“เชิญครับ” ใบหน้าเรียบสนิทเปิดประตูห้องพักที่นทนทีมาจนนับครั้งไม่ถ้วน

“ขอบคุณ” น้ำเสียงกระแทกกระทั้นของนทนทีทำให้กันย์ลอบยกยิ้ม ถึงจะดื้อดึงขี้โมโห แต่ก็อ่อนโยนกับคนรอบข้างเสมอ

“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”

นทนทีเหล่ตามองร่างสูงขาวเดินกลับออกไป ก่อนจะปิดประตูแล้วถอนหายใจยาว เสียงพูดใส่โทรศัพท์ของคนในห้องแววดังมาให้ได้ยิน ยิ่งทำให้อารมณ์ที่เริ่มสงบนิ่งคุกรุ่นขึ้นมาอีกรอบ

ยังคุยงานอยู่แท้ๆแล้วรีบไปลากตัวเขามาทำไมกันห๊ะ! ให้ตายเถอะ เขาก็อยากจะอยู่กับเพื่อนกับฝูงบ้างนะ

“นี่...ไม่เข้าข้างในละ”

ร่างสูงใหญ่และกลิ่นที่คุ้นเคยเข้าโอบกอดร่างโปร่งบางแนบแน่น พร้อมกับกดริมฝีปากเบาๆที่ขมับชื้นเหงื่อ ความนุ่มนวลอ่อนโยนจากอ้อมกอดที่แข็งแรงทำให้นทนทีลอบถอนหายใจ เงยหน้ารับจูบจากปถวี

“วันนี้ค้างนะ” จมูกโด่งซุกไซ้พวงแก้มขาวเนียน

“ไม่ได้ ฉันต้องกลับบ้าน นายก็รู้นี่” นทนทีเบี่ยงหน้าหนีจมูกโด่งที่ออกแรงกดผิวแก้มหนักขึ้น

“เฮ้อ...” ปถวีถอนหายใจยาวกับความรักที่ต้องคอยหลบๆซ่อนๆ จากครอบครัวทั้งสองฝ่าย ร่างสูงหอมแก้มเนียนอีกฟอดใหญ่แล้วจึงจับจูงนทนทีไปนั่งที่เก้าอี้รับแขก

“เหนื่อยมั้ย” ปถวียกนิ้วขึ้นเกลี่ยเส้นผมที่บดบังใบหน้าขาวนวลอย่างเบามือ ไม่สนใจดวงตาแวววาวที่ตะหวัดขึ้นมองอย่างเคืองๆ

“เหนื่อย!”

“เหนื่อยแล้วทำไมไม่รีบกลับบ้านละ จะไปเที่ยวต่อทำไมกัน” ปถวียกยิ้มมุมปากมองอีกฝ่ายขบริมฝีปากแน่น

“เจ้าเลขาตัวแสบนั่นทำหน้าที่ไม่ขาดตกบกพร่องเลยนะ!” นทนทีกระแทกแดกดันคนที่เอ่ยถึง

“ไปโทษเขาทำไม ฉันบอกเขาไปว่าให้พานายมาหาฉัน แต่ถ้านายเหนื่อยก็ให้พากลับบ้าน เขาเห็นนายยังไปเที่ยวต่อได้เลยพานายมา ก็เท่านั้นละ”

นทนทีมองร่างสูงตาโต ด้วยหมั่นไส้เจ้าเลขาหน้าตายนั่นสุดๆ คิดเองเออเองเสร็จสรรพ

คิดเข้าข้างเจ้านายตัวเอง!

“แต่ฉันนัดจะไปกินข้าวกับเพื่อนร่วมงาน นายจะให้ฉันมาคลุกอยู่กับนายคนเดียวได้ไง เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกนะ นายปถวี!” ร่างโปร่งตะเบ็งเสียงใส่หน้าอีกฝ่าย

“แล้วฉันขอมากไปรึไงนท!” ปถวีมองอีกฝ่ายแน่วนิ่ง พวกเขาคุยเรื่องนี้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ตั้งแต่เขาเรียนจบกลับมาดูแลกิจการ IMPORT, EXPORT ให้กับครอบครัว

ร่างสูงใหญ่มองใบหน้าขาวนวลในอุ้งมือที่แทบไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน ความอ่อนเยาว์ยังคงปรากฏแก่สายตาเขาไม่จืดจาง ใช่...เขารู้ตั้งแต่ตอนไปเรียนต่อเมืองนอกว่านทนทีได้เข้าทำงานเป็นนิติกรในบริษัทสื่อบันเทิงชื่อดังของประเทศ ถึงตอนนั้นเขาพร้อมที่จะพานทนทีไปเรียนต่อด้วยกัน แต่เขาก็ต้องจำยอม เคารพการตัดสินใจของร่างเล็กตรงหน้านี้ ที่อยากจะยืนหยัดด้วยตัวเอง ไม่อยากให้ใครดูถูก และที่สำคัญ นทนทีอยากอยู่ด้วยความภาคภูมิใจในตัวเอง เขาจึงไปเรียนต่อเพียงลำพัง แต่พวกเขาก็ยังติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ ด้วยนทนทียังมั่งคงและรอคอยเขาเพียงคนเดียว

การรอคอยที่จะกลับมาอยู่ด้วยกันจบลง เมื่อเขาคว้าปริญญาเอกมาให้มารดากอดสมใจ แต่ทุกอย่างกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด การอยู่ด้วยกันมันไม่ได้ง่าย เหมือนผู้หญิงที่หอบผ้าหอบผ่อนหนีตามผู้ชายไป นทนทีต้องการจะอยู่กับมารดา ข้อนี้เขาก็เข้าใจ แต่เมื่อบอกให้ลาออกมาทำงานที่บริษัทเขา นทนทีกลับไม่ยอมท่าเดียว อ้างว่ายังติดข้อสัญญาที่รับทุนเรียนต่อปริญญาโทกับบริษัทอยู่ ถึงเขาจะยอมชดใช้ค่าผิดสัญญาให้ก็ไม่ยอมรับ เขาถึงได้แปลกใจ หรือมีอะไรที่เขายังไม่รู้ อะไรละ...ที่เขายังไม่รู้?

“นท...ฉันก็ทำงาน นายก็ต้องทำงาน อาทิตย์หนึ่งเราแทบไม่ได้เจอกัน ถ้าฉันไม่ให้เจ้ากันย์ไปรับ
นายก็ไม่คิดจะมาหา แล้วจะให้ฉันทำยังไง” ร่างสูงลอบถอนหายใจอีกรอบ พลางรั้งร่างเล็กเข้ามาโอบกอด ทำไมอะไรๆมันไม่ได้ง่ายอย่างที่ใจคิดเลย

“ฉันรู้...” นทนทีหลุบตาลง เพราะเป็นความจริงที่เขาเถียงไม่ออก “แต่ถ้ามีเวลาฉันก็ยกให้นายหมดไม่ใช่เหรอ”

“เวลาที่นายเหลือจากคนอื่น” ปถวีมองลึกลงในดวงตาคู่สุกใส.......................“นายถึงจะคิดถึงฉัน”

ร่างโปร่งบางเบิกตามองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เขารอคอยคนๆนี้อย่างอดทน เขาพยายามทำตัวไม่ให้เป็นภาระของอีกฝ่าย และเขาพยายามจะตะเกียกตะกายเพื่อจะขึ้นไปเดินเคียงข้างปถวีได้อย่างภาคภูมิ ตามที่เขาเคยให้คำมั่นกับตัวเองไว้ แต่วันนี้...วันนี้เขายังมีกำลัง มีความสามารถไม่พอที่จะไปยืนอยู่ตรงนั้นได้ เขายังต้องขัดเกลาความรู้ความสามารถของตัวเองอีกมาก และการจะไปอยู่ตรงจุดนั้นได้ เขาจึงเลือกไปทำงานที่บริษัทอื่น เพราะหากเขาอยู่ใต้ชายคาบารมีของปถวี เขาก็คงถูกโอ๋ จนเป็นคนด้อยค่าง่อยความสามารถ แล้วเขาก็จะไม่เหลือความภูมิใจให้กับตัวเองอีกเลย

เขาถึงรอ...รออย่างอดทนเพื่อให้ถึงวันนั้น และเขาก็อยากให้คนๆนี้เข้าใจ แต่แววตาที่มองมาอย่างคาดคั้น ทำให้นทนทีรู้สึกเจ็บหยอกในอก เพราะเขาได้เคยบอกไปแล้ว หากอีกฝ่ายจะใส่ใจฟังความคิดเขาสักนิด

“เวลาที่ฉันให้นายไม่ได้เหลือมาจากใคร” นทนทีมองร่างสูงด้วยดวงตาแวววาว พลางผลักอกหนาออกห่าง เขาไม่ได้มาเพื่อฟังคำตัดพ้อต่อว่า แต่เขามาเพราะเขาก็คิดถึงอีกฝ่ายเหมือนกัน ถ้าจะต้องทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้อีก เขาขอกลับไปนอนที่บ้านดีกว่า

ปถวีมองร่างโปร่งลุกขึ้น ทำท่าจะเดินผละจากไป จึงรีบฉวยคว้าข้อมือเล็ก ฉุดรั้งให้ล้มลงบนตักตัวเอง

“จะไปไหนหึ!” ปถวีเพ่งมองใบหน้านวลที่ห่างเพียงปลายจมูก

“ฉันเหนื่อยจริงๆนะ อยากกลับบ้าน” นทนทีหลุบตาลงต่ำไม่ต้องการเห็นดวงตาเกรี้ยวกราด แต่กลับได้ฟังเสียงถอนหายใจของอีกฝ่ายแทน

มือใหญ่ตบเบาๆที่แผ่นหลังเล็ก ก่อนจะรวบร่างโปร่งเข้ามากอดแน่นๆชั่วอึดใจแล้วจึงปล่อยออก

“ปะ...เดี๋ยวฉันจะไปส่งที่บ้าน” คำชักชวนของปถวี ทำให้หัวใจนทนทีตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาเตรียมใจจะต่อต้านหากอีกฝ่ายบังคับ แต่รับคำง่ายๆแบบนี้ทำเอาเขางง

หึ...หัวใจคนเรามันก็แปลกนะ เวลาเขาดึงสายป่านเข้าใกล้ก็อยากออกห่าง แต่พอเขาผ่อนสายป่านออกห่างกลับอยากเข้าไปอยู่ใกล้ๆซะงั้น

อาการนั่งนิ่งของร่างเล็กทำให้ปถวีจ้องมองอย่างแปลกใจ

“มีอะไรรึเปล่านท เหนื่อยไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวจะดึกนะ”

“อะ...อืม” ร่างโปร่งลุกขึ้นตามการจับจูงของอีกฝ่ายเหมือนหุ่นยนต์ไปยังประตูห้อง แต่ก่อนจะพ้นผ่านประตูออกไป ศีรษะของปถวีก็ก้มลงมากระซิบที่ข้างใบหูเล็ก

“ฉันจะพยายามเข้าใจนายนะ” เสียงทุ้มนุ่มหูทำให้นทนทีเงยหน้ามองคนตัวโต ก่อนจะหันหลังกลับโถมกายเข้าโอบกอดร่างสูงไว้แน่น

“เอาแต่ใจ” นทนทีต่อว่ากับอกหนาด้วยน้ำเสียงอู้อี้

“หึๆ ใครกันแน่ที่เอาแต่ใจ” ปถวีหลับตาลงยกยิ้มบางเบาให้กับตัวเอง แล้วโอบกอดร่างเล็กไว้แน่น ก่อนจะพานทนทีกลับไปยังห้องนอนของตน

“มานี่ จะนวดให้”

V
V
V
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake Part 1 นายได้หัวใจของฉันไปนานเเล้ว!!!
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 03-10-2009 17:38:00
 :z1:

ปถวีจับศีรษะคนที่นอนแผ่หลาบนเตียงกว้างเหมือนเหนื่อยอ่อนขึ้นมาพาดวางบนตักตัวเอง มือใหญ่ค่อยๆนวดคลึงบริเวณขมับให้อย่างบรรจง นทนทีเหลือบตามองเจ้าของบริษัทใหญ่โตตั้งอกตั้งใจบริการตัวเองแล้วให้นึกขำ พร้อมๆกับรู้สึกภูมิใจในตัวเองหน่อยๆ ถึงจะอึดอัดกับความเจ้ากี้เจ้าการ ความเอาแต่ใจของอีกฝ่าย แต่ทุกอย่างก็เพราะว่ารักเขาไม่ใช่หรือ ริมฝีปากสีสดยกยิ้มบางเบาให้ร่างสูงเลิกคิ้วถาม

“อะไร...สบายใช่มั้ยละ ฉันอุตส่าห์จำมาจากแม่บ้านของแม่ฉันเชียวนะ เห็นนวดให้แม่ฉันทีไร แม่ฉันเป็นต้องเคลิบเคลิ้มทำหน้าตาสบายสุดๆ”

“อืม...สบายจริงๆละ นวดไปนะ” ร่างโปร่งรับสมอ้าง พลางหลับตาอมยิ้ม

“หึ”

ความอบอุ่นที่ประทับบนริมฝีปากทำให้นทนทีลืมตามองดวงหน้าคมคายในระยะประชิด

“ไม่นวดต่อไปละ” ร่างโปร่งกระซิบชิดริมฝีปากได้รูป

“นวดสิ จะนวดให้ทั้งตัวนั่นละ”

ไม่พูดเปล่า มือใหญ่สอดเข้าใต้เสื้อเชิ้ตลูบไล้ยอดอกนิ่ม จนอีกฝ่ายตะครุบมือแทบไม่ทัน

“ทะ..ทะลึ่ง”

“ก็จะทำเรื่องทะลึ่งแล้วนี่” ปถวีส่งยิ้มใส่ตาอีกฝ่าย ก่อนจะประกบจูบหยุดคำต่อว่าข้างๆคูๆของร่างบาง

“อือ...”

สองมือเล็กยกขึ้นประคองใบหน้าร่างสูง พลางหลับตาตอบรับการหยอกล้อของลิ้นอุ่นแต่โดยดี จมูกโด่งซุกไซ้ลำคอเรียว ฟันขาวขบกัดรับรู้รสชาติเค็มปร่าของเนื้อเนียน เสียงดูดกลืนผิวกายทำให้นทนทีพยายามเบี่ยงตัวหนี

“ขออาบน้ำก่อนเถอะ นี่...หยุดก่อน” มือเล็กพยายามผลักใบหน้าอีกฝ่ายออก

“อือ...”

“นี่!”

ร่างสูงไม่ตอบ แต่ตวัดคนตัวเล็กขึ้นพาดบ่า แล้วนำพาคนในอ้อมแขนไปวางลงในอ่างน้ำที่รองน้ำอุ่นไว้เต็มจนร้นปรี่เมื่อมีร่างของพวกเขาลงไป

สัมผัสของน้ำอุ่นๆทำให้นทนทีเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายที่ยืดตัวถอดเสื้อออกจากร่างกาย

เตรียมไว้แล้วเหรอเนี่ย จะโอ๋เขาเกินไปแล้วละมั้ง แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกดี ร่างบางจึงโถมกายเข้าหา พลางเหนี่ยวรั้งลำคอหนาลงมาประกบจูบแผ่วเบา

“อืม...” ร่างสูงเปล่งเสียงครางอย่างพอใจ แล้วจึงดุนดันลิ้นเข้าไปสัมผัสความอบอุ่นภายใน มือใหญ่เข้าปลดเสื้อผ้าเปียกน้ำออกอย่างรวดเร็ว แล้วเหวี่ยงทิ้งไปนอกอ่าง สัมผัสเนื้อเนียนหนักๆด้วยแรงอารมณ์ลุกโหม

“อือ...อาบน้ำก่อน...วี” นทนทีพยายามหยุดมือใหญ่ไม่ให้ลุกล้ำลงต่ำ

“กำลังจะอาบให้ไง” ร่างสูงยกยิ้มก่อนจะเบี่ยงตัวกดปั๊มสบู่เหลวนำมาถูไถลูบไล้บนแผ่นอกราบเรียบจนเกิดฟองเนียนนุ่มทั่วตัว

หึ...เผลอเป็นไม่ได้ คิดไปพลางส่งสายตามองค้อนคนอมยิ้มเจ้าเล่ห์ไป

นทนทีมองมือใหญ่แข็งแรงลูบไล้ใบหน้าของตัวเองอย่างอ่อนโยน จึงเอื้อมมือไปกดสบู่เหลว ถูจนเกิดฟองแล้วจึงลากไล้ไปตามแผ่นอกกำยำ

“อย่ายั่วสิ” คำพูดหยอกเย้าทำให้ใบหน้าขาวร้อนวูบ อยากจะทุบสักทีสองที

“เลิกทะลึ่งซะทีได้มั้ย นายน่ะ”

“หึๆ จะทำได้ยังไง ในเมื่อมีคนรักมาเปลือยอยู่ตรงหน้า มันก็ต้องอยากทำสิ แบบนี้ไง” ไม่พูดเปล่าแต่ปถวียกสะโพกมนขึ้นคร่อมตักตัวเอง ให้แกนกายอ่อนนุ่มเสียดสีหน้าท้องแบนราบแนบแน่น

“ดีมั้ย”

ไม่มีเสียงตอบจากร่างโปร่ง ด้วยถูกปถวีประกบจูบเร่งเร้าให้ตอบสนอง สองมือใหญ่ลูบไล้แผ่นหลังเนียนระเรื่อยไปถึงบั้นท้ายแน่นตึง ก่อนจะบีบเค้นแยกเนินเนื้อ ส่งนิ้วแข็งแรงเข้านวดคลึงช่องทางแคบที่ปิดสนิทให้อ่อนนุ่ม

“อา...ให้อาบเสร็จก่อนสิ” นทนทีปิดตาสนิทพลางบีบไหล่หนาแน่น

ร่างสูงยกยิ้มก่อนจะกระซิบชิดริมฝีปากสีสด

“รอไม่ไหวแล้วละ”

ไม่รอให้ร่างบางพูดต่อ ปถวีค่อยๆยกสะโพกมนขึ้น ก่อนจะแทรกแกนกายตนเองสู่ช่องทางอุ่นร้อน

“อือ...” ร่างโปร่งสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงค่อยๆผ่อนลมหายใจลดสะโพกเข้าสอดรับกับสิ่งที่สอดแทรกเข้ามาในร่างกาย

“นท...อา...” สะโพกแกร่งขยับกายเคลื่อนไหวเชื่องช้า ให้คนตัวเล็กในอ้อมแขนปรับตัวสอดรับกับจังหวะการสอดแทรกของตน

เมื่อร่างสูงเริ่มกระแทกกระทั้นสะโพกหนักหน่วง ทำให้นทนทีต้องโอบรั้งลำคอหนาไว้แน่นเพื่อพยุงกาย

“อือ...วี...” ลมหายใจของร่างโปร่งสะดุดเป็นช่วงๆเมื่ออีกฝ่ายโถมแรงเข้าใส่ “เบาๆ...หน่อย...อือ...”

ปถวีมองร่างเล็กหลับตาแอ่นกายรับการสอดแทรก จึงประคองศีรษะทุยเข้ามาประกบจูบ แลกรับความรู้สึกโหยหาเติมเต็มกันและกัน

“อะ...อ๊า” เสียงครางหลุดลอดจากริมฝีปากอิ่มสีสดเมื่อไม่สามารถข่มกลั้นอารมณ์ได้อีกต่อไป อาการเกร็งไปทั่วร่างของนทนทีทำให้ปถวีโอบกอดแผ่นหลังบางไว้แน่นแล้วกระแทกกายใส่ช่องทางอุ่นจนระเบิดอารมณ์ความต้องการออกมาพร้อมๆกัน

ร่างเล็กหอบหายใจหนักหน่วง แล้วซบศีรษะลงแผ่นอกหนาอย่างเหนื่อยอ่อน ปถวีก้มหน้าลงหอมแก้มขาวนวลหนักๆ ก่อนจะเอื้อมหยิบฝักบัวขึ้นรดล้างฟองสบู่ออกจากร่างขาวเนียนจนหมดจด แล้วจึงอุ้มร่างเล็กขึ้นจากอ่างน้ำ

ปถวีวางร่างโปร่งบนเตียงกว้าง ก่อนจะเคล้าเคลียริมฝีปากสีสดอีกครา

“นี่...” นทนทีผงะศีรษะออกห่าง ก่อนจะหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างระแวง

“นท” เสียงกระเส่าของปถวีทำให้นทนทีทุบตุบบนบ่าหนา

“ไม่เอาแล้ว...อย่า...” มือเล็กพยายามหยุดการคืบคลานของมือใหญ่ที่ไล้วนบนหน้าท้อง ก่อนจะขยับเข้ากอบกุบกายอ่อนนุ่มจนร่างบางแทบสำลักลมหายใจตัวเอง

“นี่...พรุ่งนี้ยังต้องทำงานอีกนะ...อือ!” นทนทีบิดกายหลบมือใหญ่ แต่ก็ถูกอีกฝ่ายยึดจับสะโพกไว้แน่น ก่อนจะเคลื่อนริมฝีปากสู่กายร่างบางแล้วครอบครองเข้าไปจนหมด

“อะ!...วี”

“อีกนิดนะ...นะนท” เสียงแหบพร่าครางเครือทำให้นทนทีหลับตาลง แล้วรอรับความสุขสมที่ร่างสูงมอบให้ ด้วยเพราะเขาก็ไม่คิดจะห้ามปรามอีกฝ่ายจริงๆจังได้เลยซักที


**************************************************8


“อืม...”

แสงสีทองทาทาบจับขอบฟ้าทำให้ร่างเล็กที่หลับใหลไม่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอย่างงงงวย ก่อนจะสะดุ้งลุกขึ้น เพราะห้องที่ตนนอนหลับใหลคือห้องของปถวี พลางตวัดสายตามองร่างคนที่นอนข้างๆอย่างขุ่นเคือง

“นี่! ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยนะ” นทนทีเขย่าไหล่หนาแรงๆ

“อืม...ยังเช้าอยู่เลยนท”

“ยังจะมานทอีก เมื่อคืนนายปิดนาฬิกาปลุกอีกแล้วใช่มั้ย...นายวี!” นทนทีมองคนตัวโตยันตัวลุกขึ้นนั่งผมเผ้ายุงเหยิงตาขวาง เพราะนี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ที่นายปถวีใช้วิชามาร ทำให้เขาต้องอยู่ค้างคืนด้วย

หนอย...เขาอุตส่าห์ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนสี่ทุ่ม เพราะกลัวตัวเองจะเผลอหลับ จนไม่ได้กลับบ้าน แล้วเป็นไงละ!

“ก็เห็นว่าเหนื่อย เลยอยากให้นอนพักมากๆน่ะ” ปถวียืดตัวบิดกายไปมาไม่สนใจอารมณ์คนข้างๆ

นทนทีมองท่าทางกวนอารมณ์นั้นอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะผลักอกอีกฝ่ายแรงๆเพื่อระบายความหงุดหงิดในหัวตัวเองด้วย

“เจ้าบ้า!”

ปถวีรวบข้อมือเล็กทั้งสองข้างไว้ แล้วจึงก้มตัวลงหอมแก้มนวลเร็วๆเสียฟอดใหญ่

“ไม่ต้องห่วงน่า...ฉันโทรบอกน้องวาแล้วว่านายค้างกับฉัน”

คำบอกกล่าวของปถวี ทำให้นทนทีต้องส่งสายตาขวางๆไปให้อีกครา เตรียมการไว้เสร็จสรรพเลยนะเจ้าบ้า...

ทุกทีเลย!ไม่กอดจนเขาเหนื่อยหลับไป ก็ต้องหาข้ออ้างอะไรซักอย่างให้เขาอยู่ด้วยจนได้...

ถึงจะรู้ว่ารักก็เถอะ แต่มันไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอ...

นทนทีเก็บความรู้สึกไม่พอใจเล็กๆไว้ในใจ ก่อนจะเหวี่ยงตัวลงจากเตียงแล้วเดินตึงๆไปเปิดตู้เสื้อผ้า คว้าชุดทำงานที่เจ้าของห้องเตรียมไว้ให้เป็นสิบๆชุดเดินเข้าห้องน้ำ ทิ้งให้ปถวีมองตามด้วยความรู้สึกว่างเปล่า

ฉันรู้สึกเหมือนนายอยากทิ้งระยะห่างระหว่างเรา บางครั้งก็เหมือนเข้าไปใกล้ในใจนาย แต่บางครั้งกลับรู้สึกห่างไกลจนเอื้อมไม่ถึงแม้แต่ตัวนาย เหมือนนายไม่อยากให้ฉันเข้าไปในชีวิตของนาย เพราะอะไร...หรือนายกำลังจะเปลี่ยนไป...นทนที?

ปถวีสลัดความคิดนั้นไปจากหัว ก่อนจะเดินตามร่างโปร่งบางเข้าไปในห้องน้ำ แล้วกระชากผ้าพลาสติกบังตาออก เหนี่ยวรั้งใบหน้าเปียกน้ำจากฝักบัวจนชุ่มเข้ามาจูบอย่างรุนแรงร้อนรน จนร่างเล็กเบิกตากว้างงุนงงเมื่อร่างสูงถอนใบหน้าออกห่าง แล้วเดินจากไปอย่างเงียบๆ ไม่ทันให้เอ่ยถาม

นทนทีระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา ความอึดอัดนี้เกิดขึ้นเพราะความรักของคนรับกับคนให้ไม่สมดุลกัน...แต่

คนที่เกิดมาท่ามกลางความสมบรูณ์พูนสุขอย่างนาย กับคนขาดอย่างฉัน ทำให้ฉันต้องถีบตัวเอง สร้างตัวเองให้เท่าเทียมนายขึ้นมาสักนิดก็ยังดี เพราะฉันไม่อาจมองอะไรเป็นเรื่องง่ายๆเหมือนนาย ฉันต้องมองให้กว้างกว่านาย เพราะฉันอยู่ต่ำกว่านาย ถึงนายจะมองว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆ เพราะนายมีพลังมีกำลังจะเลี้ยงดูฉัน ปกป้องฉัน หรือแม้กระทั่งจะใช้เงินปิดปากใครต่อใครที่มาพูดจาให้ขุ่นเคืองใจ ด้วยอำนาจที่นายมีอยู่ในมือ

แล้วนายจะไม่เหลือความภาคภูมิใจไว้ให้ตัวฉันเองเลยหรือ...ฉันไม่อยากให้ใครต่อใครพูดว่าฉันมักง่าย เอาตัวเข้าแลกเพราะหวังสุขสบาย...เพราะรักของฉันต้องไม่เป็นอย่างที่ใครๆกล่าวหา ให้ฉันได้ทำอะไรเพื่อนายบ้างเถอะ...
รอฉันหน่อย...อย่าเพิ่งโมโหโทโสจนละทิ้งฉันไป...

นายได้หัวใจของฉันไปตั้งนานแล้วนะ

รับรู้ไว้ด้วยเถอะ!…

---TBC---

******************************************************************

มาต่อเเล้วจ้า ขอบคุณที่ชอบเรื่องนี้กันค่ะ จะบอกพี่ sake ให้นะ (จะได้อ่านเรื่องใหม่รึยังเนี่ย คุณพี่ขา)

ภาคสองนี่ คุณน้องนทนทีคิดมากไปม้ายย

.
.
.
ขอบคุณค่ะ  :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake Part 1 นายได้หัวใจของฉันไปนานเเล้ว!!!
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 03-10-2009 18:49:59
 :z13: เลย  ได้อ่านตอนใหม่ ภาคใหม่แล้ว

 :z2:    :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake Part 1 นายได้หัวใจของฉันไปนานเเล้ว!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ปี้ปี้ปี้~PalmY ที่ 03-10-2009 19:01:04
นั้นดิ มากไปปปนิดนึงนะ 6 ปีแล้วนะเว่ยยย  :z1:

เปิดมา เสียตัว - -
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake Part 1 นายได้หัวใจของฉันไปนานเเล้ว!!!
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 03-10-2009 19:40:34
ท่าทางปถวีจะเจอปัญหาหนักอกยิ่งกว่าภาคแรกมั้งเนี่ย
แต่ว่า ปถวี นี่แรงดีไม่มีตกจริงๆ  :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake Part 1 นายได้หัวใจของฉันไปนานเเล้ว!!!
เริ่มหัวข้อโดย: loma ที่ 03-10-2009 21:22:03
ภาคสองแล้ว นายปถวียังแรงดีอยู่เลย...

สนุกมาก ๆ อ่านเพลินเลย ตามต่อ ๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake Part 1 นายได้หัวใจของฉันไปนานเเล้ว!!!
เริ่มหัวข้อโดย: LoveNineTeen ที่ 03-10-2009 21:46:37
โอ้ยยย..จะบ้าตาย หวาน โฮก น่ารักที่สุด ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

แต่คิดมากเกินไปกันหรือเปล่า หนึ่งคนกลัวตัวเองไม่คู่ควร อีกหนึ่งกลัวคนรักจะแปรเปลี่ยน แถมยังมีมือที่สามออกมาอีก เฮ้อ...ทำท้าอุปสรรคจะเยอะ เค้าไม่อยากกินยาขมนะ...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake Part 1 นายได้หัวใจของฉันไปนานเเล้ว!!!
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 03-10-2009 22:24:12
ดูท่าทางภาคสองจะมีน่ำตานองหน้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake Part 1 นายได้หัวใจของฉันไปนานเเล้ว!!!
เริ่มหัวข้อโดย: maxtorpis ที่ 03-10-2009 22:56:50
 :impress3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake Part 1 นายได้หัวใจของฉันไปนานเเล้ว!!!
เริ่มหัวข้อโดย: thaitanoi ที่ 04-10-2009 03:36:51
เริ่มเรื่องก็หวานกันดีนะครับ แต่ดูเหมือนจะมีอุปสรรคด้วย ขอบคุณนะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake Part 1 นายได้หัวใจของฉันไปนานเเล้ว!!!
เริ่มหัวข้อโดย: DEVIL nures ที่ 04-10-2009 11:27:22
 :mc4:   ภาคสองมาแว้วววววววววววววววววววววววววววววว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake Part 1 นายได้หัวใจของฉันไปนานเเล้ว!!!
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 04-10-2009 15:53:45
ตอนที่ 2

“นท วันนี้ประธานจะไปคุยสัญญานอกรอบกับบริษัทฟ้าใส อิลมาเร่ บีช รีสอร์ท ตอนหกโมงเย็นที่โรงแรม นทเตรียมเอกสารแล้วไปกับผมด้วยนะ” หัวหน้างานของนทนทีเอ่ยขึ้นในช่วงบ่ายแก่ๆ

“ครับ” นทนทียิ้มรับ งานนี้บริษัทคู่ค้าต้องการให้บริษัทเขาผลิตสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ทุกชนิดเพื่อโปรโมทกิจการของตัวเอง

ความรู้สึกสั่นสะเทือนเบาๆในกระเป๋ากางเกงทำให้นทนทีล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้นทนทีอมยิ้ม เพราะเป็นเบอร์ของปถวี

ช่วงสามสี่วันที่ผ่านมา เจ้าเด็กโข่งนั่นดูจะตึงๆกับเขาอยู่ไม่น้อย โทรไปก็คุยกันแบบถามคำตอบคำ ไม่ก็ให้เลขานายกันย์หน้าตายโทรมาถามสารทุกข์สุกดิบซะงั้น... วันนี้โทรมาได้ แสดงว่าผีบ้าคงออกจากตัวไปแล้ว

“อืม...ว่าไง”

“เย็นนี้ฉันไปรับนะ จะกลับบ้านแม่ด้วย” ปถวีบอกอีกฝ่าย ด้วยวันนี้เป็นวันศุกร์จึงตั้งใจจะไปรับนทนทีกลับบ้าน และตัวเองจะได้เลยไปบ้านใหญ่ด้วย

“อะ...ฉันติดงานน่ะ นายกลับไปก่อนเลยก็ได้ แล้ววันเสาร์ค่อยมาหาที่บ้าน”

“งานอะไร จะใช้แรงงานกันโหดไปหน่อยมั้ง บอกแล้วไงว่าให้ลาออกมาทำงานที่บริษัทฉัน จะได้ไม่เหนื่อยแบบนี้” ปถวีได้ทีพูดโน้มน้าวอีกฝ่าย

“ไม่ได้ขนาดนั้นหรอกน่า...นานๆครั้งเท่านั้นละ ฉันต้องตามหัวหน้าไปคุยกับบริษัทคู่ค้าน่ะ ไม่รู้ว่าจะเสร็จกี่โมง” นทนทียกยิ้มบางเบาให้โทรศัพท์ แต่อีกฝ่ายกลับขมวดคิ้วย่นใส่

“งั้นฉันจะให้เจ้ากันย์ไปรอรับดีกว่า”

“ฉันไม่ใช่เด็กสามขวบนะ กลับบ้านตัวเองถูก”

“งั้นเอาแบบนี้ ไปเจอกันที่บ้านนายแล้วกัน” ไม่รอฟังนทนทีตอบรับ ปถวีก็ตัดสายโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายอ่อนอกอ่อนใจอีกครา

“เจ้าบ้า!”

********************************

“ครับ ทางบริษัทเราอยากได้ดาราที่ดูสดใสร่าเริงมานำเสนอโปรเจ็คของเรา แล้วก็อยากให้มีสื่อประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบเพื่อโปรโมทบริการของทางเราด้วย” ผู้แทนจากบริษัทคู่ค้าเอ่ยความต้องการให้เทวัญรับทราบ

“ครับคุณรังสรรค์ ผมจะส่งแผนการประชาสัมพันธ์ไปให้คุณพิจารณาดู แล้วก็จะคัดเลือกดาราให้ทางคุณเลือกคนที่ถูกใจ ถ้าทางคุณพอใจ เราจะได้ร่วมงานกันอีกครั้ง คุณคิดว่าไงครับ”

เทวัญยิ้มให้เจ้าหน้าที่บริษัทคู่ค้า ความจริงเรื่องเจรจาการค้าแบบนี้เขาไม่ต้องลงมาทำเองก็ได้ แต่เขาจะเลือกลงมาดูแลในคู่ค้ารายที่สำคัญๆมากกว่า และการเลี้ยงรับรองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้งานสำเร็จลุล่วงด้วยดี

นอกเหนือจากผลประโยชน์ที่ได้รับ คนเราทุกคนก็ชอบให้คนอื่นมาเอาใจกันทั้งนั้นละ

ประธานบริษัทใหญ่เหลือบมองริมฝีปากสีสดของลูกน้องคนโปรดพูดคุยกับพนักงานอีกฝ่ายอย่างถูกคอ แววตาที่เต็มเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาทำให้เขารู้สึกชื่นชม ภูมิใจที่ได้ส่งเสริมให้เด็กคนนี้มีอนาคตที่ดี มีทางเดินที่พร้อมจะช่วยส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จ เขาจึงเป็นคนเซ็นอนุมัติให้นทนทีได้ทุนเรียนต่อของบริษัทคราวก่อน แล้วค่อยอยู่ทำงานชดใช้ทุน นี่เขาก็เริ่มแนะนำให้เจ้าตัวส่งเรื่องตามขั้นตอนเพื่อของทุนเรียนต่อปริญญาเอกอีก ซึ่งเจ้าตัวก็สนใจอยู่มาก

ไม่รู้เป็นไง พอเห็นเด็กคนนี้ยิ้มแย้ม เขาก็พลอยมีความสุขไปด้วย หรือเขาจะชอบเด็กคนนี้ขึ้นมาจริงๆ

“ผมขอตัวแป๊บนะครับ” เทวัญลุกขึ้นเพื่อเดินไปเข้าห้องน้ำ

ในขณะที่นทนทีกำลังพูดคุยกับบริษัทคู่ค้า สายตาที่เหลือบมองลูกค้ารายใหม่ของร้านอาหารเดินมาจับจองที่นั่งโต๊ะใกล้ๆ ทำให้นทนทีแทบสำลักน้ำลายตัวเอง

“ปถวี” นทนทีครางเครือ เมื่อร่างสูงใหญ่ใส่สูทสีเทาเดินมาพร้อมกับเลขาหน้าตาย เจ้าบ้านั้นมาที่นี่ทำไมกัน คิ้วได้รูปขมวดย่น ก่อนจะผงกศีรษะขออนุญาตคู่สนทนาโทรศัพท์
 
“มาทำอะไรที่นี่ของนายกันห๊า!” เสียงนทนทีกระซิบกระซาบรอดไรฟันถามร่างสูงที่รับโทรศัพท์ด้วยดวงหน้ายิ้มพราย

“ก็รอนายจนหิว เลยว่าจะเข้ามาหาอะไรกินรองท้องเสียหน่อย แล้วจะได้รับนายกลับพร้อมกันเลยไง” ปถวียักยิ้มให้กับร่างเล็กที่นั่งโต๊ะข้างหน้า ทำให้นทนทีถลึงตาใส่

“นี่! พูดให้มันรู้เรื่องหน่อยนะ ฉันบอกให้นายกลับไปก่อนไง เดี๋ยวค่อยไปเจอกันที่บ้านก็ได้ นายจะบ้าเหรอไง ฉันมาทำงานนะ” นทนทีมองคนยักคิ้วให้อย่างสุดทน ก่อนจะลุกขึ้นขอตัวเข้าห้องน้ำเพื่อไปสงบสติอารมณ์

เหม็นขี้หน้า!

ร่างโปร่งบางเดินตัวปลิวเข้าห้องน้ำ โดยทิ้งหางตาขู่อาฆาตปถวีไปด้วย แต่อีกฝ่ายกลับเสหลบตาหันไปสั่งอาหารทำไม่รู้ไม่ชี้แทน

ทวีปมองตามนทนทีลุกจากโต๊ะไป พลางสบสายตาเข้ากับกันย์ที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม ทำให้ทวีปเลิกคิ้วขึ้นอย่างค้นคว้า แปลก...วันนี้ไม่ได้มาคนเดียว ถ้างั้นอีกคนที่นั่งข้างกันนั่นคงเป็น...ไอ้เสือบ้าที่เขาพูดถึงเมื่อวันก่อน

“หึๆ” ทวีปยกยิ้มให้กับตัวเอง แล้วมองไปยังเลขาหน้าตายที่ทำเป็นมองไม่เห็นเขาอย่างขำๆ ด้วยความอารมณ์ดีของตัวเองจึงยักคิ้วขยิบตาให้อีกฝ่ายหรี่ตามองอย่างเชือดเฉือนเล่น

“อูย..เจ็บจัง” ร่างสูงยกมือคลึงหน้าอกตัวเองเย้าอีกฝ่ายเพื่อดูอากัปกิริยา แต่เป้าหมายเขากลับนั่งนิ่ง เสทำเป็นสนใจอาหารที่ยกมาเสิร์ฟแทน

นทนทีเดินไปตามทางเดินหินอ่อน พอเลี้ยวตัวเข้าไปภายในห้องน้ำ จึงเห็นร่างสูงใหญ่ของเทวัญนั่งก้มๆเงยๆอยู่ใกล้ๆอ่างล้างมือ

“เป็นอะไรหรือครับคุณเทวัญ” นทนทีเดินเข้าไปใกล้ๆก้มตัวลงมองเจ้านายยกมือกุมจมูกตัวเองแน่น

“ปะ...เปล่าหรอก กุญแจรถมันตกเลยก้มเก็บ ฉันลุกไม่ดูให้ดี หน้าเลยไปกระแทกขอบอ่างล้างมือน่ะ” เทวัญเอื้อมมือจับขอบอ่างน้ำแล้วพยุงตัวเองลุกขึ้น

นทนทีเบิกตากว้างเมื่อเห็นรอยเลือดติดอยู่บริเวณจมูกเทวัญ จึงรีบเข้าไปดู

“คุณเทวัญเอามือออกครับ ขอผมดูหน่อย” นทนทีแกะมือที่กุมจมูกโด่งออก พิจารณาบริเวณที่บวมแดงอย่างเป็นห่วง

“มันบวมมากเลยครับ ข้างในคงแตก เดี๋ยวผมเช็ดเลือดให้แล้วค่อยไปให้หมอดูดีกว่านะครับ”

ในขณะที่นทนทีกำลังง่วนอยู่กับแผลของเจ้านาย ปถวีที่รู้สึกว่านทนทีหายไปนานกว่าปกติจึงเดินตามเข้าไป ด้วยคิดว่าอีกฝ่ายคงเคืองตนเองมาก

แต่ภาพที่เห็นข้างหน้าทำให้ปถวีหยุดชะงัก ร่างสูงใหญ่ของเทวัญยืนพิงอ่างล้างมือโดยมีนทนทียืนหันหลังให้ปถวี และร่างเล็กๆนั้นก็เหมือนจะหลุดเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของอีกฝ่าย

เทวัญเงยหน้าเหลือบมองผู้มาใหม่ แล้วต้องหรี่ตาลงพิจารณาชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาคมสันยืนมองพวกเขาอย่างแปลกใจ ก่อนจะหัวเราะลงคอแล้วซบหน้าลงกับบ่าเล็ก

“คุณเทวัญ!” นทนทีเกร็งตัวรับน้ำหนักของเจ้านายที่เทลงมา

“เป็นอะไรครับ”

“มึนๆนะนท” เทวัญผงกศีรษะขึ้นมองร่างสูงใหญ่ตรงหน้าที่เม้นปากแน่น ก่อนจะยกมุมปากขึ้นอย่างมีเลศนัย

“มากมั้ยครับ เดี๋ยวผมพาไปนั่งก่อนดีกว่า” นทนทีพยายามโอบประคองร่างของเจ้านายไปนั่งพัก โดยไม่ได้ใส่ใจอ้อมแขนของอีกฝ่ายที่เข้ามายึดจับเอวแนบแน่นกว่าปกติที่พึ่งกระทำ

“นท!” เสียงเรียกของปถวีทำเอานทนทีสะดุ้ง เงยหน้ามองร่างสูงเดินตรงเข้ามาใกล้ หากแต่ไม่ได้สังเกตแววตาของปถวีเลยซักนิด ด้วยกำลังใจชื้นที่มีคนเข้ามาช่วยเหลือ

“วี...มาช่วยหน่อย คุณเทวัญเขากระแทกอ่างล้างมือ คงมึนหัวมากเลย” ร่างโปร่งส่งยิ้มขอความช่วยเหลืออย่างใสซื่อ ทำให้ปถวีจำต้องเก็บความไม่พอใจไว้เงียบๆ
เพราะรอยยิ้มเมื่อครู่ของเทวัญ ทำให้เขารู้สึกไม่ไว้ใจ รู้ทั้งรู้ว่ามีคนมองอยู่ก็ยังจงใจซบหน้าลง ไอ้หมอนี่มันตั้งใจทำให้เขาเห็นแน่ๆ

ปถวีเดินปรี่เข้าไปคล้องแขนเทวัญแน่นจนเกินพอดี แล้วแยกเขี้ยวยกยิ้ม

“นทเดินนำหน้าไปก่อนเลย ฉันพยุงคนเดียวสะดวกกว่า” ร่างสูงแกะมือเล็กออกก่อนจะพยายามลากเทวัญให้เดินตาม ด้วยคนเจ็บเองก็พยายามจะขืนตัวออกจากอีกฝ่ายเช่นกัน

“ไม่เป็นไรครับ ผมพอเดินเองไหว” เทวัญบอกปัดความช่วยเหลืออย่างมีมารยาท แต่ทำให้นทนทีที่เดินนำหน้าหันมามอง

“เพื่อนผมเองครับคุณเทวัญ ไม่เป็นไรหรอกครับ” นทนทียกยิ้มให้เจ้านายคลายกังวล

“โธ่...รู้จักสินท ลูกเศรษฐีใหญ่ติดอันดับเมืองไทย ใครบ้างจะไม่รู้จัก แค่รู้สึกเกรงใจเท่านั้นเอง” เทวัญพยักพเยิดหน้าเชิงเกรงอกเกรงใจ แต่ปถวีรู้สึกว่ามันเป็นการเสียดสีเขาเสียมากกว่า ก่อนจะยกยิ้มมุมปากยิ้มจนตาปิดอย่างเสแสร้งเต็มที

“อ๋อ...ครับ ถ้าพูดได้คล่องแบบนี้คงเดินเองไหวนะครับ” ปถวีปล่อยมือโดยไม่รอให้นทนทีท้วง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีก

“ท่าทางคุณออกจะแข็งแรง ดูไม่น่าจะเป็นอะไรง่ายๆเลย”

เทวัญมองสบตาคู่คมแวววาว ก่อนจะยักไหล่แล้วจัดเสื้อสูทของตัวเอง

“หึๆ คนเรามันต้องมีวันอ่อนแอกันบ้างละครับ โดยเฉพาะกับคนที่เราไว้ใจ” บอสใหญ่แห่ง SIRI INTER ENTERTAINMENT GROUP ยกยิ้มตอบอย่างไม่ยี่หระ

“เหรอครับ แต่ถ้ารู้ว่าอ่อนแอก็ควรจะอยู่เฉยๆนะครับ เดี๋ยวมันจะเป็นหนักว่าเดิม” ปถวีตอกกลับหวังให้อีกฝ่ายรู้สึกรู้สา

นทนทีที่รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลระหว่างคนทั้งสองคนจึงเดินเข้ามาแทรกกลาง

“รีบไปเถอะครับคุณเทวัญ จะได้กลับไปดูแผลที่จมูกว่าเป็นอะไรมากมั้ย”

“อืม”

ทั้งสามคนเดินมาถึงโต๊ะอาหาร เพราะดั้งจมูกของเทวัญบวมแดงมากทำให้การพูดคุยกับบริษัทคู่ค้าต้องจบลงโดยปริยาย นทนทีที่เป็นห่วงการบาดเจ็บของประธานบริษัทไม่น้อยเอี้ยวหน้าบอกปถวีว่าจะไปที่โรงพยาบาล ทำให้ปถวีถลึงตามองและเลยผ่านไปยังเทวัญ

“ผมขอตัวพาเพื่อนกลับเลยนะครับ พอดีบ้านไกล” ไม่รอให้นทนทีได้โวยวาย ปถวีก็ฉุดลากร่างบางเดินออกจากร้านอาหาร ทำให้เทวัญยืนนิ่งอึ้งกับความไม่เห็นแก่หน้าใครของอีกฝ่าย

“ก็นะ ไม่จำเป็นต้องทำดีกับคนที่คิดจะแย่งของรักของตัวเองนี่นะ” เทวัญยักไหล่ก่อนจะหันมองทวีป

“เราก็ไปกันเถอะ” เทวัญก้าวเดิน พร้อมกับหันมองชายหนุ่มร่างสูงขาวที่มากับปถวี “คุณละครับ”

กันย์ค้อมศีรษะให้เทวัญเล็กน้อย แล้วจึงลุกขึ้นจากโต๊ะ

“ผมก็จะกลับเลยเหมือนกันครับ”

“กลับด้วยกันมั้ยครับ เจ้านายคุณเขาไปแล้วนี่” ทวีปยิ้มกริ่มออกตัวอาสา

“ขอบคุณครับ พอดีขับรถมาคนละคันกัน” กันย์ฉีกยิ้มเย็น

“เหรอครับ เปลืองน้ำมันแย่” ทวีปยิ้มเย้า ดูเหมือนเขาจะอยากเห็นอีกฝ่ายแสดงความรู้สึกอย่างอื่นบ้าง นอกจากทำหน้าตาย กับยิ้มต้อนรับลูกค้าแบบนี้

“ขอตัวก่อนนะครับ” ร่างโปร่งไม่สนใจกับคำสัพยอกนั้น หันไปค้อมศีรษะให้เทวัญอีกครั้ง ก่อนจะเดินจากไปโดยมีเสียงหยอกเย้าตะโกนไล่หลัง

“ขับรถดีๆนะครับ”

พ้นหลังเลขาหน้าตาย เทวัญจึงเอ่ยกับลูกน้องจอมทะเล้นของตน

“ชอบเหรอ เห็นแหย่เขาจัง” เทวัญเดินเอามือกุมจมูกไปยังรถยนต์ที่จอดรออยู่

“เปล่าหรอกครับ แค่รู้สึกหมั่นไส้หน้าเฉยๆนั่นก็เท่านั้นเอง” ทวีปเปิดประตูเข้าประจำตำแหน่งคนขับ ให้คนเจ็บได้นั่งพัก

“หึ...เดี๋ยวก็ถูกเขาซัดเข้าให้หรอก”

“บอกตัวเองดีกว่ามั้ยครับคุณเจ้านาย เจ้าของเขาตามมาถึงที่แบบนี้ คงหวงกันน่าดูชม”

“หึ...ดี แหย่ขึ้นนักละ” เทวัญตอบอย่างหมายมาด เมื่อก่อนเขาไม่คิดจะรีบร้อน แต่พอได้เจอคู่แข่งต่อหน้าต่อตาแบบนี้ เลือดในกายเขาดูจะพุ่งพล่านไม่น้อย อีกอย่างไอ้แววตาแข็งกร้าวเชื่อมันในตัวเองคู่นั้น เขาอยากจะเห็นมันนองด้วยน้ำตาจริงๆ ไอ้เด็กเมื่อวานซืนเอ๊ย...


**********************************

“นายบ้ารึเปล่า คุณเทวัญเขาเจ็บอยู่นะ เสียมารยาทที่สุด” นทนทีโวยวายกับร่างสูงในรถ

“ดีแล้ว เจ้านั่นจะได้รู้ว่านายไม่ได้ตัวเปล่า” ปถวีมองท้องถนนยามค่ำคืนเบื้องหน้า

“บ้าเปล่านาย นั่นประธานบริษัทฉันนะ”

“แล้วไง...หรือนายจะเถียงฉันว่าเจ้านั่นไม่ได้ชอบนาย ตอบฉันมาสิว่านายไม่รู้ไม่เคยรู้สึกอะไรเลย”

คำพูดทวงถามของปถวีทำเอานทนทีสะอึก เพราะเขาไม่แน่ใจในคำตอบ

ใช่!เขาไม่ได้ซื่อจนไม่รู้อะไร แต่เขาพยายามไม่คิดอะไรในสิ่งที่เทวัญคอยดูแลหรือทำให้เขามากกว่า ก็เขามีคนรักอยู่แล้วนี่!

และเพราะไม่รู้จะตอบว่ายังไง นทนทีจึงเลือกที่จะนิ่งเงียบ ให้คนข้างๆรู้สึกฉุนขาด

“ตอบไม่ได้...” ปถวียิ้มเยาะ ก่อนจะเลี้ยวรถเข้าบ้านนทนทีที่เต็มไปด้วยร่มไม้ครึ้ม

ร่างโปร่งบางมองฝ่าความมืดด้วยความรู้สึกโหวงเหวงในอก จะต้องทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ...

“นายกลับไปก่อนนะ แล้วค่อยคุยกันวันหลังเถอะ” นทนทีเอ่ยด้วยน้ำเสียงหมดแรงแล้วลงจากรถเดินตัวปลิวเข้าบ้าน โดยมีปถวีรีบล็อกรถเดินตามเข้าไปอย่างไม่ฟังเสียง

ภายในบ้านมีวารีกำลังนั่งดูโทรทัศน์เพียงลำพังส่งยิ้มให้พี่ชายที่เปิดประตูเข้ามา

“กลับมืดจังพี่”

“อืม...มีเลี้ยงลูกค้านะวา” นทนทีตอบพลางเดินขึ้นห้องไม่รอร่างสูงที่เดินตามเข้ามา

“อ้าว...พี่วี สวัสดีคะ วันนี้ค้างที่นี่เหรอคะ” วารียกมือไหว้ร่างสูงอย่างคุ้นเคย ด้วยปถวีเป็นเพื่อนสนิทของพี่ชายที่มาค้างด้วยกันบ่อยๆ

“จ๊ะน้องวา พี่ไม่อยู่ดูทีวีด้วยละนะ ขอนอนเลยเถอะ”

“คะ คงจะเหนื่อยกันแย่เลย”

“อืม...เหนื่อยจริงๆ” เหนื่อยใจกับพี่ชายน้องวานั่นละ

ร่างสูงเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนนทนที ด้วยร่างบางไม่ได้ลงกลอนไว้ ปถวีจึงผลักประตูเปิดเข้าไปอย่างง่ายดายผิดคาด แต่ก็นะ ถ้าเป็นที่บ้านนี้ นทนทีคงออกฤทธิ์ออกเดชกับเขาไม่ได้หรอก

นทนทีเหลือบมองร่างสูงปิดประตูอย่างขุ่นเคืองในใจ

“บอกให้กลับไปก่อนไง”

“ไม่ คุยกันให้รู้เรื่องก่อน”

“คุยกันตอนนี้ก็ไม่รู้เรื่องหรอก นายกำลังพาล” นทนทีรูดเน็คไทออกจากคอ ก่อนจะปาลงตะกร้าผ้าอย่างโมโห

ปถวีมองพฤติกรรมของคนที่กล่าวหาว่าตนเองพาลอย่างขุ่นเคือง

“แล้วจะให้ฉันคิดยังไง ในเมื่อนายรู้! แต่ไม่ยอมลาออกจากบริษัทมัน มันหมายความว่ายังไง หรือนายเองก็ชอบให้มันมาก้อล่อก้อติด”

“อย่ามาหยาบคายนะวี!” นทนทีหันขวับมาเผชิญหน้ากับร่างสูง

“ฉันพูดแทงใจดำหรือไง”

เพี๊ย! เสียงฝ่ามือเล็กกระทบบนใบหน้าคมเข้าอย่างจัง

“นายมันบ้า” ไม่รอให้ร่างสูงได้โต้ตอบ นทนทีก็หันหลังคว้าผ้าเช็ดตัวเดินออกจากห้อง

ปล่อยให้ปถวียืนกำมือแน่นแน่วนิ่ง ตั้งแต่คบกันมาไม่เคยเลยที่นทนทีจะง้างมือง้างเท้าใส่เขา แล้วทำไม...อย่าบอกนะว่าเพราะไอ้บ้านั่นน่ะ

“บ้าเอ๊ย!” ปถวีกระแทกตัวนั่งลงบนที่นอนแรงๆ แล้วจึงยกมือลูบใบหน้าบริเวณที่เป็นริ้วมือแดงๆ

“ตบซะเต็มแรงเชียว” ทำไมเขาต้องมาคอยกังวลเรื่องแบบนี้ด้วย ถ้ายอมลาออกไปทำงานที่บริษัทเขาก็จบ ก็ไม่ต้องมานั่งทะเลาะกันแบบนี้

“ให้ตายเถอะ ฉันอยากอยู่ใกล้ๆ อยากให้นายสบาย แล้วฉันผิดตรงไหนหึ”
.
.
.
ร่างสูงพลิกตัวลงนอนตะแคงมองออกไปนอกหน้าต่างยามค่ำคืน ให้สายลมเย็นพัดผ่านผิวกายจนรู้สึกเคลิ้มๆก็มีมือเย็นๆทาบลงบนแก้มให้เขาต้องลืมตาเอี้ยวศีรษะมอง

ภาพนทนทียืนก้มหน้ามองลงมา ทำให้ปถวีมีโอกาสมองลึกลงในดวงตาคู่ดำใสที่แฝงความห่วงใยอย่างปิดไม่มิด แม้จะพึ่งทะเลาะกันมาก็ตาม ร่างสูงจึงเอื้อมมือขึ้นจับข้อมือเล็กแล้วนำพาไปแตะริมฝีปากตนเองเบาๆ

“ฉันรักนาย”

คำบอกรักตรงๆซึ่งๆหน้าทำให้นทนทีหยุดนิ่ง แต่ในหัวใจกลับฟูพอง เต้นรัวเร็ว

“งั้นก็อย่าพูดแบบเมื่อกี้อีก เพราะมันทำให้ฉันเสียใจ ฉันไม่ได้มีใคร และอยากให้นายเชื่อฉัน” นทนทีมองดวงตาคู่คมกล้าอ่อนแสงลง แล้วหลับตาพยักหน้ารับคำเบาๆริมฝีปากได้รูปจึงจูบนิ้วมือเล็กหนักๆ

“ขอโทษนะ เป็นรอยเลย” นทนทีไล้นิ้วไปตามรอยแดงบนแก้ม ซึ่งเกิดจากฝ่ามือตัวเองแผ่วเบา ไม่คิดว่าตัวเองจะมือไวแบบนี้เหมือนกัน...

“เดี๋ยวหายาหม่องทาให้นะ” เมื่อตั้งท่าจะผละจาก ปถวีกลับยึดเหนี่ยวข้อมือเล็กไว้แน่น แล้วค่อยๆดึงรั้งให้อีกฝ่ายที่อาบน้ำตัวหอมกรุ่นล้มลงบนอกตัวเอง

“ไม่เป็นไร ฉันปากไม่ดีเอง”

นทนทีตอบรับการสวมกอดของปถวี ก่อนจะผ่อนคลายตัวเองลงในอ้อมแขนอย่างรู้สึกอุ่นใจ

ปถวีกดริมฝีปากกับหน้าผากมนหนักๆ มือใหญ่สอดเข้าใต้สาบเสื้อคลึงเคล้นปลายอกสีแดงเข้มเพลินมือ จนร่างเล็กร้องประท้วงดึงมือใหญ่ออก

“ไปอาบน้ำ ดึกแล้ว”

“อืม” ร่างสูงรับคำ แต่มุดศีรษะซุกซอกคอขาว สูดกลิ่นหอมของแป้งเด็กไม่ยอมห่าง จนนทนทีดิ้นขลุกขลักยกมือตั้งท่าจะทุบบนไหล่หนา ถ้าไม่ได้ยินเสียงท้องร้องโครกครากของอีกฝ่ายเสียก่อน

“หือ?” ร่างโปร่งบางผงะตัวออก มองใบหน้าคมเข้มใกล้ๆแล้วยิ้มขำ

“หิวข้าวเหรอ”

มือใหญ่ผละปล่อยเอวเล็ก ก่อนจะปล่อยศีรษะทิ้งลงกับหมอนใบใหญ่

“ก็เพราะใครละ ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เย็น”

“อ้าว!...ก็เห็นสั่งอาหารแล้วนี่”

“ได้กินซะที่ไหน พอเห็นนายหายไปนาน ฉันก็เดินตามไปนั่นละ”

นทนทีทำหน้าบึ้งก่อนจะคลายสีหน้ายิ้มอย่างละเหี่ยใจ ด้วยใจหนึ่งก็อยากจะต่อว่าอีกฝ่ายว่า คิดมาก แต่ก็ต้องทอดถอนใจ ด้วยรู้ว่าปถวีทำไปเพราะเป็นห่วงเขาเสียมากกว่า

“งั้นไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวฉันไปผัดข้าวให้กิน” นทนทีตบมือใหญ่เบาๆแล้วดึงคนตัวหนักลุกขึ้น

“เอามาม่าต้มก็พอ” ปถวีลุกขึ้นยืนพลางฉกฉวยแก้มขาวบางเบาๆ ก่อนจะเดินเลยไปหยิบผ้าเช็ดตัว แล้วเดินลงชั้นล่างเพื่ออาบน้ำ

“หิวหรือคะพี่” วารีส่งเสียงถามมาจากหน้าโทรทัศน์ ในขณะที่นทนทีเตรียมตักข้าวเย็นออกจากหม้อหุงข้าว

“เจ้ายักษ์นั่นหรอก วาจะกินด้วยกันมั้ย” นทนทีส่งเสียงตอบพอให้ได้ยิน จะได้ไม่รบกวนมารดาที่นอนหลับอยู่ในห้องนอนชั้นล่าง

“ไม่ละพี่ ดึกแล้ว ทานกันไปเถอะคะ”

เมื่อปถวีอาบน้ำเสร็จ ข้าวผัดไก่กับไข่เจียวร้อนๆก็วางพร้อมบนโต๊ะให้ร่างสูงได้ทาน

“กินด้วยกันสิ” ปถวีเลื่อนจานข้าวไปทางนทนที

“ไม่ละ เดี๋ยวดื่มนม นายกินให้อิ่มเถอะ”

ปถวีพยักหน้าแล้วก้มหน้าก้มตาตักข้าวใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ จนวารีปิดโทรทัศน์เดินเข้ามาในครัว

“ดูละครจบแล้วสิ” ปถวีเงยหน้าขึ้นแซวหญิงสาว

“ค่า...จบแล้ว” วารีเปิดตู้เย็นรินน้ำใส่แก้วยกดื่ม ก่อนจะเดินมาทรุดนั่งใกล้ๆพี่ชาย

“เออนท เจ้าไผ่โทรมาบอกนายรึเปล่าว่าจะขึ้นมากรุงเทพอาทิตย์นี้” ปถวีเงยหน้ามองนทนทียกแก้วนมขึ้นดื่ม

“อ๋อ...ประวิชโทรมาบอกแล้วน่ะ คงขึ้นมาพร้อมกันทั้งคู่ละ” นทนทีตอบโดยไม่ได้มองหน้าปถวีที่กระตุกยิ้มมุมปาก

ชื่อนี้ยังไม่ได้หายไปไกลเลยจริงๆ แม้เจ้าของชื่อจะทำงานดูแลรีสอร์ทของครอบครัวอยู่ไกลถึงจังหวัดพังงาก็ตาม แต่ชื่อยังคงวนเวียนมาให้ได้ยินทุกวี่ทุกวัน ก็เข้าใจนะว่า ประวิชคิดกับนทนทีแบบเพื่อนสนิท แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าเจ้าประวิชจะเป็นห่วงเป็นใยเกินพอดีอยู่เหมือนกัน หรือจะไม่กล้าเปิดเผยความรู้สึกของตัวเอง เขาก็ไม่แน่ใจ แต่ถ้าไม่คิดจะบอกความรู้สึกตัวเองกับคนที่ชอบ ก็อย่าบอกไปชั่วชีวิต เขาจะดีใจมากถ้าเจ้าประวิชคิดได้แบบนี้

“ก็เห็นประวิชบอกว่าจะขึ้นมาหาตัวแทนนำเที่ยวเพิ่ม คงมาหลายวันเลยต้องหอบหิ้วไผ่ขึ้นมาด้วย” นทนทียกยิ้มมุมปากเมื่อเอ่ยถึงเพื่อนตัวเล็ก ด้วยรู้ว่าไผ่ชอบประวิชก็เมื่อตอนเรียนจบใหม่ๆ เพราะเจ้าไผ่เล่นตามเกาะติดประวิชไม่ห่างจนเขายังแปลกใจ ที่ไผ่ดันทุรังไปทำงานที่รีสอร์ทของประวิชจนได้ เห็นประวิชมาเล่าให้ฟังที่หลังว่า เกือบถูกเจ้าไผ่บีบคอตายถ้าไม่ยอมรับเข้าทำงานด้วย พอรู้ เขาก็หัวเราะก๊ากออกมาทันที และแน่ใจเลยว่า ไผ่ชอบประวิชแน่ๆ

“ถึงแล้วคงมาหาละ” นทนทีส่งยิ้มให้ร่างสูงที่ดูจะไม่ค่อยยินดีซักเท่าไร แถมยังเสไปพูดกับวารีแทนซะนี่

ผีเข้าอีกรึไงเจ้านี่...

“เจ้านลเป็นไงบ้างละ พักนี้พี่ไม่ค่อยได้คุยกับเจ้านั่นเลย”

วารียิ้มอย่างเขินๆ แล้วจึงตอบออกไปเบาๆ

“ก็เห็นสบายดีนี่คะ”

ร่างสูงยิ้มอย่างรู้ทัน ก็เจ้านลมาบ้านนี้แทบทุกวัน

ปถวีมองวารีที่เขาเห็นมาตั้งแต่ยังไม่เต็มสาว จนตอนนี้เป็นสาวเต็มเนื้อเต็มตัวอย่างชื่นชมแทนน้องชาย ด้วยวารีเป็นหญิงสาวที่งามทั้งกริยาวาจา และยังขยันขันแข็งช่วยมารดากับพี่ชายทำมาหากิน จนตอนนี้ไถ่ที่บ้านที่เอามาจำนองเขาไว้หมดแล้ว เขาดีใจที่เจ้าน้องชายเขามารักมาชอบผู้หญิงคนนี้ ไม่ใช่เพราะเป็นน้องสาวนทนที แต่เพราะวารีทำตัวเองให้มีคุณค่าน่ายกย่องเชิดชูต่างหาก

“เหรอ เห็นแม่พี่เปรยๆว่าเจ้านั่นจบโทมาตั้งหลายปีแล้ว ยังไม่ยอมไปเรียนต่อเอกซะที ไม่รู้ทำไมเนอะ” ปถวีแกล้งพยักหน้าให้หญิงสาว

“ฝากน้องวาช่วยถามเจ้านลทีเถอะ ว่าทำไมยังไม่ไปเรียนให้จบๆซะที พี่ขี้เกียจฟังแม่บ่น”

“คะ...คะ” วารีก้มหน้าก้มตาดื่มน้ำด้วยรู้สึกว่าพวงแก้มตนเองร้อนวูบขึ้นมา พี่วีนะพี่วี แกล้งกันอยู่ได้

ปถวีอมยิ้มก่อนจะรวบช้อน ด้วยกวาดข้าวซะเกลี้ยงหมดจาน เห็นวารีแก้มแดงก็ยิ่งอยากแกล้งเข้าไปใหญ่ แต่ถ้าเจ้าน้องชายรู้ว่าเขามาแกล้งแหย่แฟนมันละก็เป็นได้โวยวายไม่เลิก มันรักของมันละนะ

คิดไปก็เหมือนนิยาย เจ้านลมันตามเทียวไล้เทียวขื่อน้องวามาตั้งแต่มัธยมปลาย จนจบออกมาทำงานทำการ มันก็ยังรักของมันอยู่ยังงั้น แถมคอยปัดคอยเป่าพวกแมลงร้ายไม่ให้มาก้ำกราย น้องวาจึงไม่มีสิทธิ์คบเพื่อนชายที่ไหนนอกจากมันคนเดียวไปตามระเบียบ ทุกอย่างก็เหมือนจะราบรื่น ถ้าเขาไม่รู้สึกว่าน้องวาจะเกรงๆอะไรบางอย่าง ถึงได้ดูสงบนิ่งในเรื่องของอนลอยู่ไม่น้อย หรือจะคิดมากเหมือนพี่ชายก็ไม่รู้

แต่พูดไปมันก็ไม่ต่างอะไรกับเขาเลยนี่นะ สมแล้วที่เป็นพี่น้องกันไอ้นล...

“วาไปนอนก่อนนะพี่ ราตรีสวัสดิ์คะ” วารีไม่รอให้ปถวีเย้าต่อ รีบตัดบทเดินขึ้นห้องนอนบนชั้นสอง แต่ก่อนจะเปิดประตูห้องนอนเข้าไป วารีหันกลับไปมองยังครัวที่ตนเองเดินออกมา แล้วถอนหายใจครู่ใหญ่

' ไม่ใช่ว่าวาไม่รักพี่นลหรอกนะพี่วี แต่วาไม่แน่ใจว่า ถ้าวาไปอยู่ตรงนั้นแล้วมันจะทำให้วามีความสุขจริงๆ เพราะถ้าเป็นเพียงเพื่อน จะฐานะไหนก็ไม่มีใครพาดพิงมากนัก แต่ถ้าต้องไปอยู่ในฐานะภรรยาของตระกูลที่ร่ำรวยขนาดนั้น วาไม่แน่ใจ วากลัว...การมีเงินมีทองใครบ้างไม่ชอบ แต่ถ้าอยู่แล้วต้องขมขื่นใจ วาขอเป็นเพียงเพื่อนแบบนี้ตลอดไปดีกว่าคะพี่วี เพราะวาไม่เคยนึกเสียใจในเวลาที่ผ่านมา แค่วาได้เจอคนดีๆผ่านเข้ามาในชีวิตของวา วาถือว่าเป็นความสุขที่วาจะจดจำไว้ในใจตลอดไป '     

ลับหลังวารี นทนทีก็เขม่นตาใส่ปถวีขณะล้างจาน

“นี่ ฉันบอกว่าอย่าพูดเรื่องนี้ไง”

“ฉันจะช่วยเป็นพ่อสื่อให้ ไม่ดีเหรอไง” ปถวีตอบอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“ไม่ต้องไปยุ่งเลย” นทนทีบอกปัด ถึงจะรู้ความรู้สึกของคนทั้งสองก็เถอะ แต่เขาไม่อยากให้น้องต้องลำบากใจเหมือนเขาเลย ถึงได้พร่ำบอกน้องทุกวี่วัน ให้น้องอยู่บนพื้นฐานของความจริง ความจริงที่ทุกคนมีสังคม มีคนในครอบครัว วารีถึงได้ประมาณตน ไม่เคยเอ่ยอ้างเลยซักครั้งว่าอนลเป็นคนรัก

เขาไม่อยากเห็นน้องเสียใจ ถึงแม้อนลจะรักน้องเขาจริง แต่อนลก็ยังมีพ่อแม่ที่ต้องให้ความเคารพรัก ถ้าผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วยแล้ว เขาก็ไม่อยากให้น้องสาวฝืนตัวเข้าไปอยู่ตรงนั้น เพราะมันจะมีแต่ความทุกข์ไม่

สิ้นสุด ซึ่งต่างกับเขาตรงที่ รักของเขานั้นไม่มีวันจะได้เปิดเผย แม้จะได้อยู่เคียงคู่กันก็ตาม

ปถวีจับจูงพานทนทีขึ้นนอน หลังจากปิดบ้านปิดช่องเสร็จ ร่างสูงทอดตัวลงกอดร่างเล็กที่เหม่อมองความมืดสลัวภายนอกหน้าต่าง

“นท...มันไม่เลวร้ายอย่างที่นายคิดหรอกนะ” เหมือนปถวีจะเดาความคิดของนทนทีออกถึงได้เปรยออกมา

“ขอให้เป็นอย่างนั้น”

“มันต้องเป็นอย่างนั้นสิ ถ้าเราไม่ท้อนะนท”

“แต่ก็มีสิ่งที่เราไม่สามารถทำได้อยู่ไม่ใช่เหรอ” นทนทีหันกลับมามองใบหน้าคมคายในความมืด

“นายจะบอกฉันว่า ถ้ารักของเรามันมีอุปสรรค นายก็จะเลิกรึไง” ปถวีมองแสงตาแวววาวของร่างเล็กในอ้อมแขน

นทนทีไม่ตอบ แต่โน้มศีรษะอีกฝ่ายลงประกบจูบ เร่งเร้าให้ลิ้นอุ่นตอบสนอง มือเล็กล้วงลึกสัมผัสแผ่นอกหนาหนักๆ จนร่างสูงครางในลำคอเบาๆ

ร่างบางผละใบหน้าออก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงปนหอบ

“ฉันไม่อยากมีวันนั้น”

ร่างสูงเลิกคิ้วในความมืด รู้สึกแก้มตัวเองอุ่นร้อนจนต้องซุกซบลงกับแผ่นอกขาว ลืมเรื่องขัดแย้งเมื่อเย็นไปในทันที ก่อนจะนึกบอกกับตัวเองว่า

เขาก็ไม่ยอมให้มีวันนั้นแน่ๆ...


---TBC---

หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake Part 1 นายได้หัวใจของฉันไปนานเเล้ว!!!
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 04-10-2009 16:50:56
 :z13:

พร้อมกับ +1 ให้นะครับ

เหมือนจะมีความสุข แต่ ทำไมดูแล้วทั้งเหงา ทั้งเศร้าหละ

เมื่อรัยนะถึงจะมีความสุขที่แท้จริง :เฮ้อ:

 :z2:     :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 2.......คู่เเข่ง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 04-10-2009 18:29:22
ดูท่าทางเทวัญจะเอาจิง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 2.......คู่เเข่ง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: maxtorpis ที่ 04-10-2009 23:22:40
 :a5:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 2.......คู่เเข่ง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 05-10-2009 14:26:13
ภาคนี้ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกไม่ค่อยมีความสุขเลย เหมือนมีคลื่นใต้น้ำตลอดเวลา  :serius2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 2.......คู่เเข่ง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: LiuXin ที่ 05-10-2009 21:24:18
ลงเร็วมากเลยค่ะ
แปบๆไปภาคสองแล้ว

กางเตนท์รอเรื่องใหม่ของคุณsakeนะคะ :L2:
(เรื่องนี้อ่านจบแล้ว)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 2.......คู่เเข่ง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 05-10-2009 22:11:45
ตอนที่ 3

เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้โต๊ะทำงาน ทำให้นทนทีเงยหน้าจากเอกสารขึ้นมองร่างสูงของทวีปมาหยุดยืนฉีกยิ้มอยู่ตรงหน้า

“มีอะไรหรือครับ” นทนทีส่งยิ้มตอบกลับ

“วันนี้จะมีเจ้าชายน้ำแข็งมารับไปไหนอีกมั้ย” เทวัญก้มตัวลงเท้าแขนกับโต๊ะทำงาน ใบหน้ายกยิ้มกวนประสาทคนมองหากไม่สนิทสนมกัน

นทนทีเลิกคิ้วเรียวพลางคิดตามคำพูดของเทวัญ แล้วจึงหัวเราะขำออกมา

“คุณกันย์นะเหรอครับ คงไม่มาหรอก ไม่ได้มีธุระอะไรนะครับ”

“เฮ้อ...น่าเสียดายจัง แต่ว่านท หัวหน้านายให้เอาสัญญาที่คุยกันวันก่อนไปให้ประธานน่ะ เขากำลังคุยกันอยู่ที่ห้องนั่นละ”

“ครับ”

หลังจากพูดคุยงานร่วมสองชั่วโมงเสร็จ เทวัญจึงบอกให้นทนทีอยู่คุยต่อ

“ก็ไม่มีอะไรหรอกนะ จะคุยกันนอกเวลาทำงานนายก็ไม่ค่อยว่าง เลยต้องคุยกันตอนนี้ละนะ” เทวัญยกยิ้มมุมปาก

“คะ...ครับ คุณเทวัญ” นทนทียิ้มจืดๆด้วยไม่ค่อยอยากจะนึกถึงสาเหตุของการไม่ว่างนั้น

“มีอะไรหรือครับ”

“อ๋อ...จะคุยต่อเรื่องคราวนั้นนะนท” เทวัญหยุดมองใบหน้าขาวอย่างนิยมชมชอบ

“ไม่คิดเรียนต่อแล้วเหรอนท หัวออกจะดีนี่นา บริษัทเราก็สนับสนุนการพัฒนาความสามารถของพนักงานอยู่แล้วด้วย ไม่สนใจจริงๆเหรอ หรือกังวลเรื่องข้อผูกมัดการทำงานชดใช้ทุน” เทวัญขยับเข้ามานั่งเก้าอี้ใกล้ร่างบาง พลางยิ้มอย่างอารมณ์ดี

“ก็...ก็ยังสนใจอยู่ครับ แต่ผม...ยัง...” สิ่งที่นทนทีกังวลไม่สามารถเอ่ยบอกออกมาได้อย่างคล่องปาก แค่นี้เขาก็ทะเลาะกับปถวีเรื่องไม่ยอมลาออกกันแทบทุกวัน แล้วถ้าเขายังต้องติดสัญญาทำงานชดใช้ทุนต่อไปอีกหลายปี เขาเดาใจนายคนนั้นไม่ออกเลยว่าจะเป็นยังไง

“ไม่เป็นไรหรอก ค่อยๆคิดไป ถ้ายังมีเรื่องกังวล เรียนไปก็คงไม่ได้ดีนัก” เทวัญมองท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของอีกฝ่ายอย่างรู้ทัน คงเป็นเพราะเจ้าเสือบ้านั่นละมั้ง แต่การไปขืนใจอีกฝ่ายให้ตัดสินใจไม่ใช่วิสัยของเขา เพราะถ้าจะมา ก็ต้องมาทั้งใจ เขาไม่ยอมได้เพียงแค่เศษเสี้ยว หรือแค่ความเห็นใจเด็ดขาด

“ฉันเห็นว่านทมีความพยายามที่จะเรียนรู้ แล้วยังทำงานได้ดีมาก น่าพอใจจนฉันตั้งความหวังว่านทจะเป็นคลื่นลูกใหม่ที่ดีและมีความสามารถจะนำพาบริษัทให้เจริญสู้กับใครเขาได้ เห็นแล้วฉันก็อยากจะส่งเสริมให้นทไปถึงจุดนั้นนะ” เทวัญตบลงบนบ่าเล็กเบาๆ เขาไม่ได้พูดเพื่อจะหลอกล่อให้อีกฝ่ายเห็นความดีความงามอะไรหรอก แต่เขารู้สึกแบบนี้จริงๆกับคนๆนี้

“มีเรื่องไม่สบายใจรึเปล่านะเรา” เทวัญถอดหน้ากากท่านประธานบริษัทออก แล้วเปลี่ยนมาคุยในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง

นทนทีที่รู้สึกถึงความสบายๆ และพร้อมจะรับฟังของหนุ่มใหญ่ จึงได้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อไหล่ลง

“ก็มีละครับ”

“แต่เล่าไม่ได้”

“ครับ”

“อืม...ปัญหาบางอย่างมันต้องจัดการที่ใจของเราเองก่อนละนะ ฉันเข้าใจ ค่อยๆคิดนะ แต่ถ้าคิดไม่ตกก็มาเล่าให้ฟัง ถึงช่วยไม่ได้แต่ฉันก็เป็นผู้ฟังที่ดีคนหนึ่งละนะ” เทวัญยิ้มให้คนที่มีแววตาหมอง ก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้ศีรษะเล็กอย่างหมั่นเขี้ยว

“ขอบคุณครับ” ร่างโปร่งยิ้มรับ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงความร้อนของฝามือนั้นมากเกินปกติ

“มือร้อนจัง ไม่สบายหรือเปล่าครับคุณเทวัญ”

“อืม...ก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวแต่เช้า แต่ก็นะ วันนี้มีประชุมผู้บริหารฯก็เลยๆมาเรื่อย”

“จะเลิกงานแล้ว กลับบ้านเลยดีกว่ามั้ยครับ” นทนทีเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ

“ก็คงงั้นละ แต่จะรอให้เจ้าทวีปเคลียร์งานเสร็จก่อนแล้วค่อยกลับไปด้วยกัน” เทวัญพยักหน้าไปทางเลขาหน้าห้อง ก่อนจะยกยิ้มมุมปากเมื่อมองเห็นเครื่องหมายคำถามบนใบหน้ามน

“ฮะๆ ฉันอยู่บ้านคนเดียวนะ เลยต้องหอบหิ้วเอาเจ้านั่นไปค้างด้วย เผื่อหลับแล้วไม่ตื่นจะได้มีคนแบกไปวัดได้”

“โธ่...อย่ารอเลยครับ เดี๋ยวผมขับรถไปส่งคุณเทวัญก่อนดีกว่า แล้วค่อยให้คุณทวีปตามไปทีหลัง ขืนรอกันอยู่แบบนี้ไข้ขึ้นกันพอดีครับ” นทนทีออกตัวช่วยเหลือ

“ไม่รบกวนละนท บ้านนายอยู่ไกลนะ ลำบากเปล่าๆ ไม่เป็นไรฉันรอได้” เทวัญโบกมือไปมา

“ไม่เป็นไร ลุกเถอะครับ ผมไปส่งเอง” นทนทีลุกขึ้นยืนเร่งเร้าให้ท่านประธานใหญ่ลุกขึ้น

ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนพลางพยักหน้าตอบรับให้นทนทีไปส่งที่บ้าน แล้วจึงเดินออกมาบอกทวีปหน้าห้อง ให้เจ้าเลขาหน้าทะเล้นเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ ก่อนจะเดาะลิ้นกวนเบาๆ

“พอเลยแก อย่าคิดอกุศล เสร็จแล้วอย่าลืมตามไปละ”

“คร๊าบ...ท่านประธาน”

นทนทีขับรถคันใหญ่ยี่ห้อหรูอย่างระมัดระวังด้วยความไม่เคยมือตามการบอกทางของร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็อยู่บ้านขับแต่กระบะแก่ๆส่งผลไม้ ถึงแม้ปถวีจะพยายามยัดเยียดรถยนต์คันใหม่เอี่ยมให้ก็ตาม

“เลี้ยวขวาซอยข้างหน้านี้ละนท” เสียงเทวัญบอกอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อนทนทีขับรถเข้าเขตบางกอกน้อย

บ้านที่นทนทีเลี้ยวรถเข้ามา หาใช่บ้านใหญ่โตอย่างที่ตัวเองจินตนาการไว้ ร่างโปร่งมองบ้านสองชั้นขนาดกำลังดีประมาณสามห้องนอนด้วยความรู้สึกโปร่งสบาย เพราะถึงตัวบ้านจะเล็ก แต่พื้นที่รอบบ้านที่มีต้นไม้ขึ้นครึ้มกลับมากมายเกินใช้งาน

นทนทีมองใบหน้าอ่อนล้าจนเห็นได้ชัดของหนุ่มใหญ่อย่างเป็นห่วง ก่อนจะรีบเข้าไปช่วยถือกระเป๋าแล้วเดินตามเจ้านายเข้าไปภายในบ้านที่จัดวางเฟอร์นิเจอร์เรียบง่ายเน้นโทนสีอ่อนสบายตา

อยู่คนเดียวเหมือนเจ้านั่นเลย นทนทีคิดพลางมองไปรอบๆบ้าน

“นทกลับไปก่อนเลยก็ได้นะ เดี๋ยวเจ้าทวีปก็ตามมา” เทวัญเอ่ยขณะเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง

“ไม่เป็นไรครับ ผมรอให้เขามาก่อนดีกว่า เผื่อคุณเทวัญจะให้ช่วยอะไรด้วย” นทนทีเงยหน้ามองร่างสูงที่ส่งยิ้มซีดเซียวมาให้

“งั้นตามสบายนะนท ฉันเพลียมากขอนอนกะ...” ยังไม่ทันพูดให้จบประโยค ร่างสูงของเทวัญก็เซจนต้องใช้ท่อนแขนเหนี่ยวรั้งราวบันไดไว้กันตกลงมา

“อะ!” นทนทีรีบวิ่งเข้าไปหาแล้วช่วยประคองร่างสูงให้ค่อยๆทรุดตัวนั่ง

“ไปให้หมอดูหน่อยดีกว่ามั้ยครับ”

“มะ...ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แค่วูบๆไป มันเพลียนะ” เทวัญปล่อยให้ร่างโปร่งบางประคองตัวไปยังห้องนอนของตัวเอง

ร่างสูงทอดกายนอนโดยมีนทนทีเป็นธุระจัดการคลายเสื้อผ้าให้อย่างเอื้อเฟื้อ มือเล็กยกขึ้นอังหน้าผากกว้างเพื่อวัดอุณหภูมิ ความร้อนผะผ่าวยิ่งทำให้นทนทีมองใบหน้าที่หลับตานิ่งอย่างเป็นห่วง

“อย่าเพิ่งหลับครับ ทานยาก่อน” ศีรษะทุยมองไปรอบๆห้องนอน “ไว้ตรงไหนครับ”

“อยู่ชั้นล่างใกล้ๆครัวน่ะ” ร่างสูงพูดโดยไม่ลืมตามอง

นทนทีลงไปค้นหายาลดไข้ แต่ก่อนจะเดินกลับ ขายาวก้าวเดินไปเปิดตู้เย็นมองหาสิ่งที่พอจะทานรองท้องก่อนกินยา แต่กลับมีเพียงน้ำเปล่า เบียร์ ไข่ไก่ ผัดสดอีกนิดหน่อย เห็นแล้วจึงต้องปิดตู้เย็นตามเดิม สายตากวาดมองไปรอบๆแล้วจึงยกยิ้มมุมปาก ด้วยเห็นโจ๊กสำเร็จรูปวางรวมๆอยู่กับพวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและเครื่องกระป๋อง ร่างเล็กถือวิสาสะใช้เครื่องครัวที่ดูใหม่เอี่ยมต้มโจ๊ก แล้วยกขึ้นไปให้คนป่วย

“คุณเทวัญทานข้าวก่อนครับ” มือเล็กเขย่าไหล่หนาเบาๆ

“ไม่ละนท ฉันไม่หิวเลย”

นทนทีมองร่างสูงนอนตะแคงไม่ยอมลืมตา

“ทานหน่อยเถอะครับ ยาจะได้ไม่กัดกระเพาะ”

เพราะเสียงอ่อนโยนรื่นหู ทำให้คนป่วยลืมตามองอีกฝ่ายด้วยดวงตาแดงเรื่อเพราะพิษไข้อย่างชื่นอกชื่นใจ

“นทเป็นพี่คนโตใช่มั้ยเนี่ย” เทวัญลุกนั่งรับถ้วยโจ๊กมาตักละเลียดกิน

“ครับ ทำไมเหรอครับ” ใบหน้าขาวนวลหันมายิ้มให้อีกฝ่าย

“ก็คนเป็นพี่จะถูกสั่งสอนให้ดูแลน้อง เลยจะเป็นคนที่คิดถึงคนอื่นก่อนตัวเอง แล้วก็ดูแลคนเก่งด้วย” เทวัญตักกินโจ๊กไปครึ่งถ้วยจึงยกคืน

“แต่ฉันเป็นลูกคนเล็กนะ” ร่างสูงยกยิ้มแล้วจึงล้มตัวลงนอนทั้งชุดทำงานที่นทนทีเพียงปลดกระดุมให้เม็ดสองเม็ดแรก

“เอายามาสิ” คนป่วยแบมือขอยาเหมือนเด็กๆ ทำให้นทนทียิ้มขำ

“รอสักพักครับ”

“หือ...กินเลยก็ได้”

“ไม่ได้ครับ”

เทวัญทำหน้านิ่งก่อนจะยิ้มอย่างยอมแพ้ แล้วจึงเหลียวมองไปนอกหน้าต่าง

“ทวีปยังไม่มาเลย นทกลับไปก่อนก็ได้นะ ค่ำแล้ว”

“ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่ก่อนดีกว่า แต่ว่าคุณเทวัญอยู่คนเดียวแบบนี้ ไม่สบายก็แย่นะครับ ไม่กลับไปอยู่กับครอบครัวดีกว่าเหรอ มีคนคอยดูแล”

“อืม...ฉันเหลือแต่พี่สาวสองคน แล้วก็แต่งงานมีครอบครัวกันไปหมดแล้วด้วย ฉันเลยแยกมาอยู่คนเดียวนะ”

“เหรอครับ แล้ว...แล้วไม่มีคนรักหรือครับ” นทนทีถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้ายิ้มๆไม่บ่งบอกเจตนา แต่คนถูกถามกับไหวตัวแล้วนิ่งเงียบ ก่อนจะส่งยิ้มกว้างให้คนตัวเล็ก

“ถ้ามีก็ต้องเห็นแล้วสิ อยากรู้เหรอ?” ร่างสูงนอนมองนทนทีที่นั่งขอบเตียงแน่วนิ่ง

“ฮะๆอยากรู้สิครับ ใครๆก็อยากรู้ว่าประธานจะมีแฟนสวยขนาดไหน”

“หึๆฉันไม่ได้ชอบคนสวย แต่ชอบคนใจดี อ่อนโยน คุยด้วยแล้วสบายใจมากกว่า” แบบนายไงละ ร่างสูงทอดสายตาอ่อนโยนให้ร่างบาง แล้วจึงยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน ด้วยฝืนร่างกายที่ต้องการการพักผ่อน ทั้งๆที่บรรยากาศก็เต็มใจให้เขาสื่อสารความคิดความต้องการของตัวเองออกไป

นทนทียิ้มพรายกับคำพูดดังกล่าว หากแต่ใจเจ้าตัวกลับสงบนิ่งและเว้นระยะห่างให้ร่างสูงเป็นดังเพื่อนอย่างที่ผ่านมา

แต่คนที่นอนทอดตัวบนเตียงด้วยสภาพดูไม่จืด ทำให้นทนทีมองด้วยสายตาอ่อนโยนแล้วจึงลุกเดินไปห้องน้ำ คว้าขันน้ำใบเขื่องกับผ้าเช็ดตัวผืนเล็กกลับมา

“ผมเช็ดตัวให้ แล้วค่อยกินยา จะได้นอนหลับสบายๆครับ”

“ขะ...ขอบคุณ” ร่างสูงเอ่ยตอบอย่างง่วงงุน แต่ก็ยังปรือตามองมือเล็กที่แกะกระดุมเสื้อ และช่วยปลดกางเกงเหลือแต่ชั้นใน

นทนทีเช็ดตัวให้ร่างสูงเงียบๆโดยมีสายตาสีดำสนิทเฝ้ามองตาม เสร็จแล้วจึงยื่นส่งชุดนอนเบาสบายที่หยิบมาจากในตู้ใกล้ๆให้อีกฝ่ายสวมใส่

“ขอบใจที่อยู่เป็นเพื่อนนะ” เทวัญเอ่ยเสียงเบา และรับยาที่ร่างโปร่งยื่นส่งให้ใส่ปาก ก่อนจะค่อยๆล้มตัวนอนหลับสนิทลงต่อหน้าร่างโปร่ง

นทนทีได้ยินเสียงลมหายใจดังสม่ำเสมอ จึงล้วงหยิบโทรศัพท์เดินออกไปนอกห้องนอน พลางกดเบอร์หาทวีปที่ปานนี้แล้วยังมาไม่ถึง

“คุณทวีปเหรอครับ อยู่ไหนครับเนี่ย” ร่างโปร่งขมวดคิ้วด้วยได้ยินเสียงดังระงมแทรกเข้ามา

“ออ...เออ...นท...อึก...เดี๋ยวไปๆนะ” เสียงเหมือนคนเมาเหล้าของทวีปยิ่งทำให้นทนทีนิ่วหน้ายุ่งยากใจ

“กินเหล้าอยู่หรอกครับ” นทนทีเอ่ยเสียงติดฉุนโกรธ

“นิดหน่อยๆ เพื่อนมาลากไปกะทันหัน ขัดไม่ได้จริงๆ แต่จะไปแล้วละ ขอโทษที ๆ ประธานเป็นยังไงบ้างละ” ทวีปยังคงส่งเสียงเมามายจนนทนทีนึกกลัวว่าจะมาถึงโดยสวัสดิภาพรึเปล่า

“ประธานหลับไปแล้วครับ ผมรอคุณอยู่นี่ละครับ”

“ด๋าย...”

น้ำเสียงอ้อแอ้ลากยาว ทำให้นทนทีล้มเลิกความตั้งใจที่จะให้คนเมามาดูแลคนป่วย

“ผมว่าผมอยู่ดูประธานให้เลยก็ได้ครับ คุณทวีปไม่ต้องมาแล้วนะครับ” ผมกลัวจะมีเสียงโทรศัพท์ตามไปงานศพคุณน่ะ นทนทีวางโทรศัพท์อย่างฉุนๆในความไม่รับผิดชอบของอีกฝ่าย

“จะทะเล้นก็ไม่มันรู้จักเวล่ำเวลาหน่อยเถอะนะ” บ่นไปนทนทีก็เดินกลับเข้าไปดูร่างสูงที่นอนหลับเป็นตายอย่างละเหี่ยใจ ในขณะที่ปลายสายนั่งยิ้มเล็กยิ้มน้อยกับโทรศัพท์ระหว่างทานอาหารเย็นกับเพื่อนฝูง บนโต๊ะอาหารไม่มีแม้แต่เหล้าสักหยด

“ต้องขอบคุณเลขาฉลาดๆอย่างผมนะครับท่านประธาน”

นทนทีโทรกลับไปบอกที่บ้านว่าจะค้างข้างนอก เสร็จแล้วจึงถือโอกาสใช้ห้องน้ำเพื่ออาบน้ำอาบท่า แต่เจ้าตัวก็ยังสวมใส่ชุดทำงานชุดเดิม ด้วยตั้งใจว่าตอนเช้าจะรีบกลับไปเปลี่ยนที่บ้าน

ร่างโปร่งเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ใกล้เตียงคนป่วย มองใบหน้าคมคายมีสีหน้าดีขึ้นแล้วให้รู้สึกวางใจ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ แล้วเดินออกไปหาที่นอนที่ตัวเองเล็งไว้ คือโซฟาตัวใหญ่ยาว ตั้งวางไว้สำหรับอ่านหนังสือหน้าห้องนอนนั่นเอง หากแต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นขัดความคิด ทำให้ร่างโปร่งก้มหน้ามองโทรศัพท์ในมือ

เบอร์ของปถวีแสดงอยู่บนหน้าจอ ทำให้นทนทีรู้สึกถึงอาการกล้ามเนื้อกระตุก ใช่...เขารู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ เพราะเขาไม่อยากให้ปถวีรู้นั่นเอง ว่าเขาอยู่ที่ไหน กับใคร
เขาไม่ได้ต้องการจะปิดบัง แต่ถ้ารู้ก็ต้องทะเลาะกันอีก หรือไม่ก็รีบมารับเขากลับ โดยทิ้งคนป่วยไว้อย่างไม่เหลียวแล เขาทำไม่ได้

ทั้งๆที่มันไม่เคยมีอะไรเกินเลยแม้สักนิด เขารู้ใจเขาดี ที่ทำอย่างนี้เพราะเขาคิดว่าเทวัญก็เป็นเพื่อนคนหนึ่งที่หวังดีกับเขา ไม่ได้ต่างอะไรกับประวิชเลยสักนิดในความรู้สึก ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะคิดเป็นอื่นก็ตาม แต่เขาก็ยังมีความรู้สึกนับถือ และเชื่อใจว่าเทวัญมีน้ำใจเป็นนักกีฬาพอ

“ไงวี”

“ทำอะไรอยู่หึนท”

“เออ...อ่าน...อ่านหนังสือนะ” นทนทีใจเต้นตึกตัก เพราะกลัวคำโกหกของตัวเอง

“อาบน้ำนอนแล้วเหรอ” ปถวีเหลือบมองนาฬิกาตั้งโต๊ะที่บอกเวลาสองทุ่มนิดๆ

“อืม...เหนี่ยวตัวน่ะ” เฮ้อ... ร่างบางพรูลมหายใจเฮือกใหญ่ เวลาโกหกใครแล้วทำไมมันถึงเหนื่อยใจแบบนี้นะ

“พรุ่งนี้ฉันไปรับนะ เจ้าไผ่ถึงกรุงเทพตอนเช้าๆ เลยนัดกินข้าวเย็นไว้” น้ำเสียงอารมณ์ดีเอ่ยมาตามสาย

“อืม...ใกล้ถึงที่ทำงานฉันแล้วโทรมาก่อนนะ จะได้ออกไปรอ”

“ได้...งั้นอ่านหนังสือต่อเถอะ แล้วอย่าอ่านเพลินจนนอนดึกละ”

“อืม...ฝันดี” นทนทีวางโทรศัพท์แล้วถอนหายใจอีกหลายที ด้วยรู้สึกระแวงกลัวอีกฝ่ายจะรู้ว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่บ้าน แล้วจึงสะบัดผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ใช้ต่างผ้าห่มคลุมนอน

ร่างโปร่งบางล้มตัวลงนอน ขณะที่สายตาเหม่อมองเพดานห้องอย่างครุ่นคิด

มันไม่สบายใจเลยจริงๆนะนี่ แต่จะบอกไปก็คงยุ่งอีก ให้ตายเถอะ! ถ้าหมอนั้นพูดจาง่ายๆเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาก็คงจะดี นทนทีขยับตัวตะแคงแล้วหลับตาลงอย่างไม่สบอารมณ์

เพราะนายนั่นละ...ที่พูดอะไรไม่ค่อยจะฟัง ฉันเลยต้องทำแบบนี้


XXXXX


ยามดึกสงัดมีเพียงเสียงรถราแทรกผ่านเข้ามาให้ได้ยินแผ่วเบาบ้างนานๆครั้ง ร่างสูงใหญ่ของเทวัญยืนมองนทนทีที่หลับใหลบนโซฟาอย่างแปลกใจ ด้วยรู้สึกหิวน้ำจึงตื่นขึ้นมา ดวงตาคู่อ่อนล้าเหลือบมองนาฬิกาบนหัวเตียงบอกเวลาเที่ยงคืนเศษๆ ก่อนจะเดินออกมาหาน้ำดื่ม จึงเห็นว่านทนทียังไม่ได้กลับบ้าน

หนุ่มใหญ่ก้มลงมองร่างโปร่งนอนคุดคู้ภายใต้ผ้าเช็ดตัวผืนบาง มือสีเข้มยกขึ้นเสยผมตัวเองแล้วลูบไปมา ด้วยรู้สึกโล่งสบายศีรษะขึ้นมาก หลังจากได้นอนหลับพักผ่อนชั่วเวลาหนึ่ง

เทวัญหยุดนิ่งมองใบหน้าขาวสวมใส่ชุดเดิมแล้วให้รู้สึกหวั่นไหวในอก จะไม่ใจดีไปหน่อยเหรอนท เดี๋ยวเจ้าเสือบ้ารู้เข้าจะแย่เอานะ

ใบหน้าคมคายยกยิ้มบาง ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบไล้ใบหน้ามน แล้วจึงตบแก้มเบาๆให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว

“นท...นท”

“อืม...อะ!...คุณเทวัญ”

นทนทีสะดุ้งตื่นหรี่ตามองร่างสูงที่ยืนค้ำตัวเองอยู่ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งอย่างงวงเงีย

“จะเอาอะไรเหรอครับ เดี๋ยวผมไปหยิบให้”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันดีขึ้นแล้วละ ว่าแต่นทเถอะ ไม่กลับบ้านเหรอ แล้วทวีปละ?” เทวัญถามถึงเพราะไม่เห็นหัวในเวลานี้ ทั้งๆที่รับปากว่าจะตามมาสมทบ

“คุณทวีปเจอเพื่อนชวนดื่มนะครับ ผมเลยไม่กล้าให้เขาขับรถมา แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมอยู่เป็นเพื่อนได้ ว่าแต่คุณเทวัญจะเอาอะไรครับ”

เทวัญยกยิ้มมุมปาก รู้สึกว่าเขาจะถูกเลขาตัวแสบทำตัวเป็นผู้หวังดีเกินเหตุเข้าซะแล้ว

“ฉันหิวน้ำน่ะ คอแห้งไปหมด”

“แล้วปวดศีรษะมั้ยครับ”

“ไม่แล้วละ” เทวัญส่ายหน้า โดยมีมือเล็กเอื้อมมาจับแขนเพื่อกะดูอุณหภูมิ

“ตัวยังร้อนอยู่เลยครับ นั่งก่อน เดี๋ยวผมไปเอาน้ำให้” นทนทีขยับตัวลุก แล้วเดินลงไปเอาน้ำที่ครัวข้างล่าง พร้อมหยิบยาลดไข้ติดมือมาด้วย

“กินยาเลยครับ ครบ6ชั่วโมงพอดี” นทนทีเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ

เทวัญรับยาไปกิน แล้วจึงมองร่างโปร่งบางของลูกน้องตัวเองอีกครั้ง

“ฉันสบายขึ้นมากแล้วละนท ไม่ต้องอยู่เฝ้าก็ได้ เพิ่งเที่ยงคืนยังพอกลับได้อยู่นะ” เทวัญมองลึกลงในดวงตาคู่ใส

“ฉันไม่อยากให้นทลำบากใจนะ”

นทนทีรู้สึกถึงความอ่อนโยน และความเกรงใจที่ส่งสื่อมาทางคำพูดของร่างสูง ยิ่งทำให้รู้สึกว่าตัวเองได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว จึงได้แต่ยิ้มตอบกลับไป พร้อมทั้งส่ายหน้าช้าๆ

“ผมอยู่ได้ครับ โทรบอกที่บ้านแล้วด้วย” นทนทียิ้มพรายให้อีกฝ่ายสบายใจ ซึ่งเทวัญเองก็ยิ้มตอบรับแต่ในใจกลับรู้สึกปั่นป่วน

แล้วคนที่อยู่ในใจนายเล่า นายบอกเขารึยัง...

ร่างสูงสะบัดหน้าไปอีกทาง แล้วจึงค่อยหันกลับมามองร่างโปร่งบางตรงหน้า

“ถ้างั้นเอาเสื้อผ้าฉันมาเปลี่ยนใส่ก่อนเถอะ แล้วก็ไปนอนในห้องข้างๆนั่น อย่าลำบากนอนบนโซฟาแบบนี้เลย” เทวัญยิ้มใส่ตาอีกฝ่ายเมื่อนทนทีตั้งท่าจะปฏิเสธ “เอาแบบนี้ละ อย่าต้องให้ฉันพูดเยอะเลยนะ มันเวียนหัว อีกอย่างห้องหับก็มีแม่บ้านมาดูแลให้ตลอด ไม่ต้องกลัวคลุกฝุ่นหรอกน่า”

เมื่อเทวัญส่งเสียงแข็งขันทำให้นทนทีต้องยิ้มรับ แล้วเดินตามเข้าไปรับชุดนอนมาเปลี่ยน ก่อนจะสำรวจความเรียบร้อยให้ร่างสูงแล้วเดินเข้าห้องนอนตามที่เทวัญบอก

ศีรษะเล็กทิ้งน้ำหนักลงบนหมอนนุ่ม แล้วหลับลงท่ามกลางความรู้สึกปลอดโปร่ง โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่จะตามมาหลังจากคืนนี้

ทั้งๆที่รู้...ทั้งๆที่หวาดระแวง...แต่ก็ยังทำให้มันเกิดขึ้น...


XXXXX


“ชาครับ ท่านประธาน” ทวีปวางถ้วยชาบนโต๊ะ โดยมีเทวัญนั่งพักผ่อนบนโซฟาตัวนิ่ม ด้วยเป็นเวลาใกล้เลิกงาน

เทวัญเหลือบตามองลูกน้องที่ทำยิ้มกรุ่มกริ่มไม่สะทกสะท้านกับการกระทำเมื่อคืน วันนี้ยุ่งจนเขาเพิ่งจะมีโอกาสได้ชำระความกับเจ้าเลขาแสนรู้ซะที

“ไง...เมื่อวานเมามากมั้ย” เทวัญเลิกคิ้วยกยิ้มมุมปากข้างเดียว

“ฮะๆก็ไม่มากหรอกท่านประธาน ผมก็จะตามไปแล้ว แต่นทบอกว่าไม่ต้อง ผมก็เลยไม่ไปนะสิครับ” ทวีปยิ้มรับ

หึ ไอ้หน้าด้าน เทวัญนึกด่าลูกน้องในใจ รู้ทั้งรู้ว่าทวีปเปิดโอกาสให้เขาได้มีโอกาสได้อยู่ตามลำพังกับนทนที แต่เขาไม่ชอบวิธีการแบบนี้เลย ก็บอกแล้ว ถ้าจะรักก็ต้องรักด้วยใจ ไม่ใช่ด้วยเล่ห์กลมายา เห็นที่จะต้องปรามกันบ้าง

“นี่ ไอ้ต่อ ฉันรู้นะว่าแกคิดอะไร แต่ฉันก็มีวิธีของฉัน ไม่ต้องพึ่งมันสมองอันชาญฉลาดของแกหรอก” เทวัญลดฐานะลงมาเป็นเพื่อนของทวีปในฉับพลัน ด้วยการเรียกชื่อเล่นในเวลางาน ทำให้เจ้าของชื่อยิ้มทะเล้น

“โธ่...ก็เห็นคลานต่วมเตี้ยมเป็นเต่า แล้วเมื่อไรจะถึงเส้นชัยกับเขาละ ฉันก็ต้องสวมบทกามเทพแผลงศรให้เร็วขึ้นเท่านั่นเอง ทำเคืองไปได้” ทวีปทรุดตัวนั่งข้างประธานใหญ่แรงๆ

“แต่การจะไปให้ถึงเส้นชัย มันก็มีหลายทาง แล้วฉันก็จะเลือกทางของฉันเอง แกไม่ต้องมาชี้ให้เลย อยู่เฉยๆเอาเวลาไปคั่วเลขาเยือกแข็งของแกไปเหอะ” เทวัญยกถ้วยชาขึ้นจิบ

“เหอะ...คนอุตสาห์หวังดี”

“ขอบใจ” เทวัญตอบแดกดันอีกฝ่าย ทำให้คนเป็นเพื่อนต้องหรี่ตามอง

“รึนายมีคนอื่นอยู่ในใจให้เป็นตัวเลือกอีก ถึงได้คิดช้าคิดนานแบบนี้ มองเขามาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ จะปล่อยเวลาให้ยืดเยื้อไปอีกทำไม เดี๋ยวก็เฉามือคนอื่นหรอก”

“ปากเสีย ไอ้นี่”

“หึ...แทงใจดำละสิ ท่านประธาน” ทวีปพูดลากเสียงในตอนท้าย ยิ่งทำให้เทวัญอยากจะยันให้ตกโซฟาเต็มแก่

“จะไปไหนก็ไปปะ เลิกงานแล้ว”

“คร๊าบ...ฉันลงไปที่ล๊อบบี้ข้างล่างรอเจ้าชายน้ำแข็งของฉันดีกว่า เผื่อว่าวันนี้จะมา” ทวีปลุกขึ้นยืนบิดตัวไปมา

“ฉันว่าแกคงไม่ได้ตายดีแน่” เทวัญเหลือบตาขึ้นมาเพื่อน

“ไม่เป็นไร แค่ขอตายคาอกเนียนๆของคุณกันย์ก็คุ้มแล้ว”

“เออ! แกได้ตายจริงแน่”

********************************************************
v
v
v
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 2.......คู่เเข่ง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 05-10-2009 22:23:37
ตอนที่ 4

“ฉันจะถึงแล้วนท”

“อืมๆเดี๋ยวฉันออกไปรอหน้าบริษัทนะ ที่เดิม” นทนทีตัดสัญญาณโทรศัพท์แล้วเก็บของออกมายืนรอปถวีที่ขับรถมารับไปกินข้าวกับไผ่และประวิช ร่างโปร่งขยับตัวเมื่อรถสีดำวาวคุ้นตาเคลื่อนมาถึง ยายาวก้าวขึ้นรถอย่างรวดเร็วแล้วยานพาหนะจึงค่อยๆเคลื่อนพาจากไป ทิ้งให้ทวีปมองไฟท้ายรถจนลับสายตา

“ว้า...วันนี้ตัวจริงมาแฮะ” คนหน้าทะเล้นบ่นพึมพำอย่างเสียดาย แล้วจึงเดินกลับเข้าไปในบริษัท

ร้านอาหารท่ามกลางบรรยากาศสบายๆแถวถนนพระบรมราชชนนี ปถวีเลือกเป็นสถานที่นัดพบสังสรรค์กับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้ห่างหายกันไปนานเท่าไร

“หกโมงแล้ว ยังไม่มากันเลย” นทนทีพึมพำแล้วมองไปรอบๆร้าน

“โน้น มาโน้นแล้ว” ปถวีพยักพเยิดหน้า ก่อนจะทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก

“เออ! ลืมบอกว่าเจ้านลจะตามมากินด้วย”

“เหรอ...ดี นานๆทีจะได้กินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตา” นทนทียิ้มกว้างให้เพื่อนตัวเล็กและตัวใหญ่ที่เดินมาถึง

“สบายดี?”

นทนทีมองไผ่ที่ยังคงรูปร่างสะโอดสะองไว้ไม่เปลี่ยนแปลง และถึงจะไปอยู่ทางใต้ แต่ผิวพรรณกลับยังคงขาวผ่อง ผมที่ยาวปะบ่าเล็กน้อยยิ่งทำให้ใบหน้าดูอ่อนโยน ชวนมองมากกว่าเมื่อก่อน แววตาร่าเริงแจ่มใสติดจะขี้เล่นยังคงสะท้อนอยู่ในแววตาวาววับจับแสง ในขณะที่ประวิชรูปร่างหนาดูกำยำขึ้น ผิวคร้ามแดดทำให้ใบหน้าดูคมคาย และแววตาที่มองมายังเขา ยังคงเอื้ออาทรไม่เปลี่ยนแปลง

“สบายดี แต่ช่วงนี้หูจะตึงๆหน่อยนะ” ไผ่ทรุดตัวลงนั่งลงตรงข้ามนทนทีและปถวี พร้อมกับยิ้มแพรวพราวในดวงตาให้ประวิชขมวดคิ้วย่น พร้อมกับทรุดตัวนั่งตามลงมา

“ทำไมละ? เป็นอะไรเหรอ” นทนทีเบิกตากว้าง ด้วยภายนอกไผ่ก็ดูจะสบายดี

“อ๋อ...” คนหน้าหวานลากเสียงยาว

“มีเจ้านายขี้บ่นเลยต้องทำเป็นหูตึงน่ะ”

“พรืด!” เสียงประวิชสำลักน้ำที่เพิ่งจะยกขึ้นดื่ม จนนทนทีต้องรีบส่งกระดาษให้ซับน้ำ แล้วจึงหันไปส่งสายตาเขียวๆให้คนลอยหน้าลอยตาพูด

“ฉันไปบ่นนายตั้งแต่เมื่อไรกัน” ร่างสูงใหญ่ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้คนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ

“ก็ตอนที่มีสาวๆสวยๆมาติดต่อที่พักไง”

“จะบ้าเรอะ! ฉันทำซะที่ไหน เขามาถามรายละเอียดห้องพัก แหล่งท่องเที่ยวแถวนั้น นายจะให้ฉันไม่ตอบรึไง รีสอร์ทฉันได้เจ๊งพอดี แล้วที่บ่นนายก็เพราะนายไม่ค่อยจะสนใจลูกค้าเลยนี่!” เสียงประวิชเค้นคำพูดออกมาจากลำคอ

“ก็ถ้ามาเที่ยวก็เที่ยวไปสิ แต่นี่มาทำชายหูชายตาให้ผู้ชายซะขนาดนั้น แล้วใครอยากจะตอบกันละ” ไผ่เชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี ทำให้ประวิชนึกอยากจับคนตรงหน้ามาหักคอยาวๆขาวๆออกเป็นสองท่อน

“นี่! ถ้าไม่เต็มใจทำงานบริการแบบนี้ นายก็ลาออกไปสิ”

“ไม่!”

“งั้นก็ตั้งใจให้มันมากกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไง”

“เฮอะ!...โบนัสซักบาทก็ไม่มี”

“ก็มีลูกจ้างแบบนาย รีสอร์ทฉันถึงได้จะเจ๊งไง” แสงตาแวววาวบ่งบอกถึงอารมณ์กรุ่นๆของร่างสูง ทำให้ไผ่จำต้องสงบปากสงบคำ ไม่ได้กลัวว่าจะตกงาน แต่กลัวว่าสิ่งต่างๆที่เขาลงทุนลงแรงรอคอยจะจบลงที่การถูกไล่ตะเพิดออกมาอย่างไม่ใยดี

“ก็ได้ๆ ถ้ามีสาวๆแบบนั้นมาอีกฉันจะเรียกนายออกมาต้อนรับ พอใจยังละ”

“อย่ามาประชดกันนะ” ประวิชถลึงตามองเพื่อนที่คบหากันมานาน เขาชักจะหมดความอดทนต่อการยั่วประสาทของอีกฝ่ายซะวันนี้พรุ่งนี้อยู่แล้ว

ณ วันนี้การมีเจ้านี่อยู่เคียงข้างทำให้เขารู้สึกถึงความไม่เป็นส่วนตัว เพราะอีกฝ่ายจะคอยเข้ามาวนเวียนอยู่ใกล้ๆไม่ได้ห่าง และตั้งแต่รู้จักกับร่างโปร่งบางสะโอดสะอง เขาก็ไม่ได้คบหากับผู้หญิงคนไหนอีกเลย เพราะมีเจ้าของร่างบางคอยเกาะติดหนึบ จนเขาปลีกตัวปลีกเวลาไปรักไปชอบใครไม่ได้เลย ที่คบกันได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะรู้ว่าไผ่เป็นเพื่อนที่เขาสามารถไว้วางใจได้ ทั้งยังคอยช่วยเหลือ เป็นกำลังใจให้กันมาตลอด แต่มา ณ วันนี้เวลานี้ เขารู้สึกว่าไผ่เข้ามาครอบงำทั้งรูปแบบความคิดและการใช้ชีวิตประจำวัน ทุกที่ทุกเวลาต้องมีไผ่จนใกล้ๆ จนเขารู้สึกถึงความผิดปกติอะไรบางอย่างกับเพื่อนคนนี้

ไผ่เปลี่ยนไป ดูหวงและห่วงเขาจนเกินกว่าเพื่อนจะมีให้กัน ทำให้เขาวางตัวลำบาก และอยากจะเว้นระยะให้ห่างกว่าที่เคยเป็น ซึ่งเจ้าตัวก็คงรู้สึกอยู่บ้างหรอก ถึงได้พูดจาค่อนแคะอยู่บ่อยๆ

“นี่พวกนาย นัดมากินข้าวนะ ไม่ได้ให้มาสาดน้ำลายใส่กัน ไว้ไปทะเลาะกันต่อที่บ้านพวกนายเถอะนะ ฉันหิววะ” ปถวีเอ่ยตัดบท เมื่อเห็นคนใจเย็นอย่างประวิชดูออกอาการโมโหโทโสอีกฝ่าย

“แหมๆพวกฉันก็คุยกันแบบนี้บ่อยๆ เดี๋ยวก็จะชิน” ไผ่เสหัวเราะพลางหลบแสงตาแวววาวของประวิช วันนี้ดุจังแฮะ

“แล้วคราวนี้จะขึ้นมาอยู่นานมั้ย” นทนทีหันไปคุยกับประวิช

“ก็ซักอาทิตย์สองอาทิตย์ละนท” ประวิชทอดน้ำเสียงอ่อนโยน ทำให้คนนั่งข้างเหล่ตามอง ด้วยทั้งน้ำเสียงและสายตาอ่อนโยนเวลามองไปยังนทนที

ที่เวลากับฉันละ ทำเป็นเมิน...พักนี้เจ้ายักษ์นี่เป็นอะไรของมันนะ ชอบตีหน้ายักษ์ใส่บ่อยๆ เมื่อก่อนไม่เห็นเคยทำ แถมเหมือนถูกหลบๆเลี่ยงๆยังไงก็ไม่รู้...อย่าให้ฉันหมดความอดทนกับแกนะ...ไอ้บ้า! ไผ่ละสายตาจากร่างสูงใหญ่แล้วจึงยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบพอชุ่มคอ ไม่อยากมองโว้ย...แสลง

ไอ้ดื้อ! เสียงดังเกิดขึ้นในใจเมื่อประวิชเหลือบมองเห็นแววตาถือดีของไผ่ เพราะอยู่ด้วยกันมานาน จึงคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงคิดอะไรแผลงๆในหัวอีกนั่นหละ

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดความคิด ประวิชหันมองปถวีกดรับสายโทรศัพท์ในมือ แล้วจึงได้ยินปถวีพูดกับน้องชายที่กำลังเดินทางมา

“เจ้านลเหรอวี” ไผ่เอ่ยเสียงดีใจ “ดี ชวนมากินข้าวด้วยกัน ไม่ได้เจอมาตั้งนานแล้ว จะแต่งรึยังละ” ไผ่ยิ้มจนตาหยีใส่ปถวี โดยไม่ได้สังเกตนทนทีที่ดูจะเกร็งตัวขึ้นมากะทันหัน

“ไว้ถามมันเองเถอะ นี่แม่ก็อยากให้ไปเรียนต่อให้จบปริญญาเอกอยู่”

“หึๆ ใครจะอยากไป” ไผ่ลากเสียงยานคางอยากคนรู้ดี ทำให้ประวิชและนทนทีเหล่ตามองอย่างหมั่นไส้ แต่ปถวีกลับทำเพียงยกยิ้มมุมปากตอบรับเสียงยานคางนั้น

“สั่งอะไรมากินกันก่อนเถอะ เดี๋ยวเจ้านลมาค่อยสั่งใหม่” ปถวีตัดบทด้วยรู้ว่านทนทีไม่ชอบให้เอ่ยถึงเรื่องนี้

จวบจนทั้งสี่คนเริ่มลงมือทานอาหารจานแรก อนลก็มาถึงพร้อมวารี น้องสาวสุดรักสุดหวงของนทนทีที่ตอนนี้ไม่ใช่เด็กสาวแล้ว แต่กลับเป็นหญิงสาวที่มีหน้าที่การงานมั่งคง ร่างโปร่งเพรียวบางของหญิงสาวสวมใส่ชุดสูทสุภาพสตรีสีครีม ดูกระจ่างตาน่ามอง เดินตามหลังอนลเข้ามาใกล้โต๊ะ

ใครว่าสาวบัญชีหัวฟู แก่เร็ว แถมด้วยทึนทึก เป็นต้องได้ฟาดปากกับนายอนลเป็นแน่แท้ ด้วยชายหนุ่มดูจะภูมิอกภูมิใจในตัวหญิงสาวหน้าตาสดใสเป็นนักหนา ก็มันแสดงออกมาทางสีหน้าสีตาของเจ้าตัวอยู่ตลอดเวลา

นทนทีย่นหัวคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นน้องสาวตนเองมาพร้อมกับอนล พลางเหลือบตามองปถวี แล้วจึงหันไปยิ้มให้กับอนล ถึงเขาจะรู้ว่าอนลพาวารีไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ และเขาก็สามารถไว้วางใจได้ก็ตาม แต่ที่นึกประหวั่นใจก็เพราะกลัววันข้างหน้าน้องสาวจะเสียใจ ด้วยความต่างของทั้งสองคน

“สวัสดีครับพี่ไผ่ เป็นไงบ้างพี่...พี่วิชด้วย” อนลยกมือไหว้กราดหมดทั้งโต๊ะ จนคนที่นั่งรับไหว้กันแทบไม่ทัน ส่วนวารีก็พนมมือไหว้ก่อนจะค่อยๆทรุดตัวนั่งข้างพี่ชาย

“ผมไปรับน้องวามาทานด้วยนะครับพี่” อนลยิ้มให้นทนทีที่พยักหน้ารับรู้

“ฉันน่ะสบายดี ว่าแต่นายเถอะ จะแต่งเมื่อไรละ ฉันรอรับขวัญหลานอยู่นะ เอาเป็นทองสักแท่งสองแท่งเป็นไง จะได้รีบๆมี...ฮ้าๆ” ไผ่เอ่ยอย่างคะนองปาก ทำให้วารีได้แต่นั่งยิ้มทำหน้าปั้นไม่ถูก แต่อนลกลับยิ้มแล้วรับลูกต่อ

“เร็วๆนี้ละพี่ เตรียมกินขนมได้เลย”

“พี่..นล!” เสียงวารีอุทานเบาๆทำให้นทนทีต้องหยุดการสนทนาที่ดูจะทำให้น้องสาวอึดอัดใจ

แปลก! ปกติอนลจะสำรวมเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย แต่คราวนี้กลับเอามาพูดหยอกล้อกันเฉยเลย คิดจะทำอะไรกันแน่ฮึ...อนล!

“นี่ๆ หยุดล้อกันได้แล้ว ไผ่ด้วย” นทนทีหันไปขึงตาใส่เพื่อนสนิทที่ดูจะชอบกวนประสาทซะเหลือเกิน แล้วจึงกวาดสายตามองอนลที่ดูจะรู้ตัว หยิบเอาเมนูมาเปิดสั่งอาหาร แล้วชี้ชวนให้วารีสั่งอาหาร

“อร่อยมั้ยน้องวา” ปถวีเอ่ยถาม เมื่อวารีทานอาหารไปได้ครึ่งจาน เขาเอ็นดูวารีเหมือนน้องสาวมาตั้งแต่พบกันครั้งแรก และจะสุภาพอ่อนโยนทุกครั้งเมื่ออยู่ด้วยกัน เพราะที่บ้านเขามีแต่พี่น้องผู้ชายที่แต่ละคนก็แข็งแรงยังกะม้าคึก เลยรู้สึกเหมือนได้เป็นพี่ชายที่คอยดูแลน้องสาวคนหนึ่งเรื่อยมา

“อร่อยมากคะพี่วี” วารียิ้มรับพลางจิ้มกุ้งชุบแป้งทอดให้ชายหนุ่ม “กุ้งนี่ก็อร่อยคะ ไว้วาจะลักจำสูตรไปทำกินที่บ้านบ้าง”

ปถวียิ้มรับแล้วจึงตักกุ้งใส่ปาก พลางพยักหน้าเห็นด้วยเมื่อได้ลิ้มรสชาติ “อืม...อร่อย นี่ถ้าน้องวาทำได้แบบนี้พี่จะแวะไปกินทุกวันเลย”

“จริงเหรอคะ ถ้างั้นวาจะฝึกทำให้อร่อยๆ จะได้มาทานข้าวด้วยกันบ่อยๆ เห็นชอบแอบหนีไปเที่ยวกันสองคนพี่นทเรื่อยเลย” วารีแสร้งบ่นน้อยใจกับปถวี ทำให้เจ้าตัวต้องหัวเราะออกมาเบาๆ

“ผู้ชายมันก็ต้องมีบ้างละน้องวา แอบหนีเที่ยวไง” ปถวีหัวเราะพลางเหล่ตามองนทนทีที่แอบเอาเท้าเตะขาเขาไม่ให้ปากมาก

“แหม ต้องแอบด้วยเหรอคะ วาไม่ได้หวงพี่ชายซะหน่อย”

“ความลับของผู้ชาย บอกไม่ได้หรอก ไว้น้องวาต้องแอบถามเจ้านลเอาเองแล้วละ จริงมั้ยเจ้านล” ปถวีโยนลูกเหล็กร้อนๆให้น้องชายทำหน้าปั่นยาก

“ผมไม่เกี่ยวนะพี่!” อนลสะบัดลูกเหล็กร้อนที่ปถวีโยนมาให้ ด้วยกลัวว่าน้องวาคนดีจะถามลึกไปมากกว่านี้ว่าเขาไปเที่ยวที่ไหนตามประสาชายหนุ่ม

วารีหัวเราะด้วยชายหนุ่มแต่ละคนดูจะอิหลักอิเหลื่อกับคำถามนี้ ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ทำให้นทนทีตัวชา

“วาไม่ถามพี่นลหรอกคะ เอาเป็นว่าพี่วีอย่าพาพี่นทของวาเที่ยวบ่อยนักนะคะ วาเป็นห่วง เมื่อคืนพี่นทก็ต้องอยู่ดูแลเพื่อนที่ไม่สบาย ไม่ได้กลับบ้านเลยคะ ถ้าพี่วียังขืนพาพี่นทไปเที่ยวอีก มีหวังไม่สบายแน่ๆเลยคะ” วารียกยิ้มโดยไม่รู้สึกถึงสายตาแข็งกร้าวของปถวีที่เบิกตามองร่างพี่ชายตนอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ก่อนจะยกมุมปากขึ้นอย่างหมายมาดให้คนต้นเรื่องรู้สึกถึงเหงื่อกายเย็นๆของตัวเอง

“งั้นก็ไม่ใช่พี่คนเดียวแล้วนะ ที่ทำให้พี่ชายของวาไม่ได้กลับบ้าน หึๆ” ปถวีก้มหน้าก่อนจะหันไปยิ้มเหี้ยมเกรียมให้กับร่างบางข้างๆ

“ใครเป็นอะไรเหรอนท”

มาแล้ว...นทนทียิ้มอย่างฝืดเฝื่อน ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วระบายออกอย่างช้าๆ เวลาโกหกแล้วถูกจับได้อารมณ์มันเป็นแบบนี้นี่เอง ร่างบางคิดอย่างอ่อนใจกลับกลุ่มเมฆครึ้มที่เริ่มก่อตัว

“คุณเทวัญเขาไม่สบายน่ะ พอดีเลขาเขาเมามาดูแลไม่ได้ ฉันเลยอาสาอยู่เฝ้าไข้ให้นะ”

“เหรอ” มือใหญ่ลดต่ำลงบีบต้นขาเรียวแรงๆจนเจ้าตัวต้องนิ่วหน้า

“ใจดีจริงนะ วันหลังบอกฉันก็ได้ จะได้ไปช่วยดูแล คนรู้จักกันทั้งนั้น”

“มะ...ไม่เป็นไร ตอนนี้เขาดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องไปเฝ้าอะไรแล้วละ” นทนทีฝืนยิ้มให้ร่างสูงใหญ่ที่พร้อมจะกลายร่างเป็นยักษ์ได้ทุกเมื่อ ก่อนจะก้มหน้าลงตักอาหารใส่ปากเคี้ยวอย่างไม่รู้รส

ประวิชรู้สึกถึงบรรยากาศอึมครึมชวนอึดอัดอยู่รอบตัวเพื่อนสนิท จึงเลิกคิ้วมองคนทั้งคู่อย่างค้นคว้า นทนทีเปลี่ยนไป ดูอ่อนข้อให้ปถวี และปถวีเองก็ดูจะให้ความสนิทสนมกับนทนทีจนดูเผินๆเหมือนจะหวง...หวง!

ความคิดนี้ทำให้ประวิชรู้สึกตกใจ ก่อนจะหันไปมองร่างเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ ไผ่! มันจะเหมือนกับที่ไผ่พยายามแสดงออกอย่างทุกวันนี้กับเขารึเปล่า...ไม่น่า...? ประวิชหลุดจากภวังค์ความคิด เมื่อมีมือขาวๆตักปลาทอดชิ้นโตมาใส่จานให้ ทำให้ร่างสูงเผลอตัวจ้องมองวงหน้าขาวผ่องอย่างใคร่สงสัย มันจะเป็นไปได้หรือ...ก็เขาไม่เคยระแคะระคายเรื่องแบบนี้มาก่อน อีกอย่างนทนทีก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กับเขาเลยด้วย แล้วมันจะเป็นอย่างที่เขาคิดเชียวหรือ

“ไม่กินเหรอ อร่อยนะ” ไผ่จ้องตากลับพลางส่งยิ้มให้ จนคนมองต้องลอบถอนหายใจ

“กินสิ” ประวิชตอบเสียงเบา พลางตักชิ้นปลาทอดกิน พยายามไม่ใส่ใจกับอาการหัวใจเต้นระส่ำกับรอยยิ้มเมื่อครู่ ใช่...เมื่อก่อนเขาแค่ชอบใจ และพอใจที่จะเห็นรอยยิ้มนี้ จึงได้ตามใจยกหางกันเรื่อยมา แต่เมื่อต้องไปทำงานใกล้ชิดกันมากขึ้น เขากลับรู้สึกแปลกไป แปลกไปจนต้องขยับตัวออกห่างเพื่อรักษาความเป็นเพื่อนให้ยั่งยืน

ไผ่เองก็สังเกตเห็นอาการผิดปกติของนทนทีกับปถวี จึงเดาจากคำพูดกำกวมนั้นได้ว่า คงมีเรื่องอะไรไม่พอใจแอบแฝงอยู่เป็นแน่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำให้ประวิชพลอยเงียบขรึมลงไปด้วย จนเขาเองยังใจแป้ว ด้วยไม่ว่าจะนานแค่ไหน ประวิชก็ยังคงห่วงหาอาทรนทนทีไม่มีเปลี่ยนแปลง

หึ...ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษใจตัวเองที่ดันไปหลงรักเขาหัวปักหัวปำมาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ...ไผ่บอกกับหัวใจตัวเองอย่างฝืดเฝื่อน แล้วจึงนั่งกินข้าวไปอย่างเงียบๆจนอิ่มด้วยความรู้สึกระทดระท้อในใจ

“พี่นทจะกลับบ้านพร้อมวาเลยมั้ยคะ” วารีเอ่ยถามเมื่อปถวีชำระเงินค่าอาหารเสร็จ

“อืม...!” นทนทีกำลังจะเอ่ยปากตอบรับคำชวนของน้องสาว ด้วยหวังจะหนีจากอารมณ์ที่คุกรุ่นเหมือนภูเขาไฟใกล้ระเบิดของปถวี แต่กลับถูกลำแขนแข็งแรงของร่างสูงเอื้อมมาล็อกคออย่างสนิทสนมเสียก่อน

“วันนี้พี่ชายน้องวามีนัดแอบหนีเที่ยวกับพี่น่ะ” ปถวีหันไปยิ้มทะเล้นให้หญิงสาว แต่มือใหญ่กลับบีบมือเล็กไว้แน่นจนนทนทีจำต้องปิดปากเงียบ

“แล้วจะกลับบ้านมั้ยคะ วาจะได้บอกแม่ให้” วารียิ้มรับ เพราะจริงๆแล้วก็อยากให้พี่ชายไปเที่ยวเตร่หาความสุขใส่ตัวบ้าง ด้วยบางครั้งพี่ชายก็รับภาระทางบ้านจนลืมนึกนึกความสุขของตัวเองไป

“กลับสิ” นทนทีรีบบอกก่อนที่ปถวีจะตอบให้แทน แล้วจึงหันไปพูดกับอนล

“นลขับรถดีๆนะ”

“ครับ แล้วอย่าเที่ยวต่อกันจนดึกนะพี่” อนลหันไปยักคิ้วให้พี่ชาย “กลับก่อนนะครับพี่ไผ่ พี่วิช ว่างๆไปหาที่บ้านนะครับ แม่บ่นคิดถึงพี่เหมือนกัน” บอกลาเสร็จสรรพอนลจึงพาวารีกลับบ้าน ปล่อยให้คนที่เหลือตกลงกันว่าไปจะไหนกันต่อ

เมื่อพ้นสายตาน้องสาวนทนที ปถวีจึงลุกขึ้นพลางฉุดให้นทนทีลุกตามจนประวิชขมวดคิ้วยุ่ง และจะลุกตามออกไปเมื่อปถวีเหมือนจะพยายามกระชากร่างโปร่งบางให้เดินตามอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจ ทำให้ไผ่ต้องรีบฉุดมือใหญ่ไว้แน่น

“วิช! รอฉันก่อนนะ ฉันปวดฉี่” ไผ่หาเรื่องขึ้นมาเป็นข้ออ้างในการทิ้งระยะห่าง

“ก็ไปสิ ฉันจะไปรอที่รถ จะไปดูด้วยว่าเจ้าคู่นั้นเขาทะเลาะอะไรกันรึเปล่า” ประวิชมองเพื่อนตัวเล็กอย่างรำคาญใจ พลางเหลือบมองประตูทางออกอย่างเป็นห่วงเพื่อนสนิท

“โอ๊ย! ไม่ต้องไปห่วงเจ้าพวกนั้นหรอก แค่ลิ้นกับฟัน กัดกันแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ดีกัน แต่ฉันสิ ฉี่จะราดอยู่แล้ว นายไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย”

“นี่!...ไปเองสิ โตขนาดนี้ยังต้องตามไปถอดกางเกงให้ด้วยมั้ย” ประวิชว่าประชดเข้าให้ แต่ก็ไม่ทำให้ใบหน้าขาวนวลสลดลงแม้แต่น้อย

“ได้ก็ดีดิ” ไผ่ยิ้มยียวนจนร่างสูงตั้งท่าจะเดินหนี ทำให้เจ้าตัวต้องรีบกระโดดมาเกาะแข้งเกาะขาไว้ “ไม่ล้อแล้วๆ ไปเป็นเพื่อนหน่อย ฉันไม่รู้ว่าห้องน้ำมันอยู่ตรงไหนนี่!"

เจอไม้นี้เข้าไป ทำให้ประวิชจำต้องเดินไปส่งจอมเจ้าเล่ห์ถึงหน้าประตูห้องน้ำ!


XXXXX
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 2.......คู่เเข่ง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 05-10-2009 22:24:11
“ปล่อย...อย่าลากได้มั้ย” นทนทีพยายามสะบัดมือออกจากการเกาะกุม เมื่อมาถึงบริเวณที่รถของปถวีจอดรออยู่ในที่มืดสลัวริมรั้วสวนอาหาร

พอถึงตัวรถปถวีจึงปล่อยมือเล็กลงอย่างแรง พลางเปิดประตูให้อีกฝ่ายเข้าไปนั่ง แต่นทนทีกลับยืนเฉยทำให้อารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่แล้วโหมประดังกันขึ้นมา ร่างสูงเอื้อมตัวไปกระชากนทนที พยายามจะผลักให้อีกฝ่ายเข้าไปในรถให้ได้

“เข้าไปนะนท!” ปถวีตวาดเมื่อร่างบางขืนตัว จนต้องกดอีกฝ่ายไว้กับตัวรถ

“อย่ามาสั่งฉันนะ!” พอเจออีกฝ่ายใช้กำลัง นทนทีจึงตะโกนใส่อย่างไม่ไว้หน้า มันจะมากไปแล้วนะ ถึงฉันจะโกหกก็เถอะ...ไอ้บ้า!

“อย่ามาสั่งเหรอ...นายคิดจะทำอะไรกันแน่ คุณนทนที!” น้ำเสียงเอาเรื่องไม่ยอมอ่อนข้อยิ่งทำให้นทนทีรู้สึกฉุนกึก แม้อยากจะอธิบายแต่เขาก็ไม่ใจเย็นพอที่จะทำ

“ฉันไม่ใช่ลูกไร่นายนะ จะถามก็ถามมาดีๆสิ มากระชากลากถูกันทำไม”

“ก็เวลาถามดีๆ แล้วฉันได้อะไรกลับมาละ...โกหก...นายโกหกหลอกฉันว่าเมื่อวานนายอยู่บ้าน!...นายทำไปทำไมห๊า!” ปถวีตะโกนใส่หน้านวล เขารู้สึกเหมือนสูญเสียความไว้วางใจกับผู้ชายตรงหน้านี้ไปจนหมด ทั้งๆที่เขาไว้ใจ ไว้ใจมากที่สุด

โกหก คำบริภาษคำนี้ทำให้นทนทีรู้สึกตีบตันในลำคอ

“ฉันไม่ได้ตั้งใจ...จริงๆ ฉันแค่...”

คำพูดพึมพำจับใจความได้ของนทนทียิ่งทำให้ปถวีทวีอารมณ์โกรธมากขึ้น

“ไม่ได้ตั้งใจ...นายจะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจโกหกรึไง...ฉันคงเชื่อคำพูดหลอกเด็กนี่หรอกนะนท” คำพูดเสียดสียอกย้อนทำให้นทนทีเลือดขึ้นหน้า ผลักร่างสูงออกโดยแรง

“นายมันหมาบ้า!...ก็เพราะนายเป็นแบบนี้นะสิ ฉันถึงไม่อยากบอกอะไร”

“โกหก...ไม่ใช่นายคิดอะไรอยู่รึไง ถึงได้ไม่อยากบอก”

“ฉันคิดอะไร...พูดให้ดีๆนะ” นทนทีบิดตัวเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุมที่กำลังสร้างความเจ็บหนึบให้กับเนื้อหนังบริเวณต้นแขน

“ถามตัวเองสิ ไปอยู่กับมันสองต่อสอง ทั้งที่รู้ว่ามันคิดยังไงกับนาย นายก็ยังไปอยู่กับมัน แล้วจะให้ฉันคิดว่าไง คิดว่ากำลังเล่นพ่อแม่ลูกผูกพันรึไง เอะ!...ไม่ใช่สิ เล่นเป็นผัวเป็นเมียกันซะมากกว่า”

ผัวะ! เสียงกำปั้นกระทบกับเข้าสันกรามแข็งแรง จนใบหน้าคมสะบัดไปตามแรงเหวียง ก่อนจะหันกลับมามองร่างคนรักด้วยดวงตาวาวโรจน์

นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่นทนทีง้างมือง้างมัดใส่เขาเพราะไอ้ประธานบริษัทเจ้าเล่ห์นั่น ทำไม...ถ้าบอกเขาซะตั้งแต่วันนั้นเขาคงรู้สึกดีกว่านี้ถึงจะโมโหก็ตามเถอะ และอย่างมากเขาก็จะตามไปนอนมันซะด้วยกันที่นั้นละ ถ้านทนทียังดื้อดึงที่จะเฝ้าไข้เพราะความเป็นห่วงหรือจะเป็นเพราะมนุษยธรรมบ้าบอคอแตกอะไรก็ตาม แต่การมารู้ที่หลังแถมยังถูกคนรักปิดบัง จะให้เขาคิดเป็นอื่นไปได้ยังไง นอกจากนทนทีจะมีใจให้มัน!

ไม่ใช่ไม่อยากเชื่อในคำพูดของคนรัก แต่ด้วยเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้เขาระแวง...

“ถามใจนายเองดีกว่านะว่า ยังรักฉันอยู่มั้ย ถ้ารัก คนรักกันเขาคงไม่ทำให้คนที่เขารักต้องระแวงแบบนี้หรอก” คำพูดเชือดเฉือนกรีดลึกปักลงมากลางใจของนทนทีจนต้องข่มตาข่มใจตอบโต้อีกฝ่ายด้วยปากที่สั่นระริก...สั่นเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจที่เขาไม่มีศักดิ์ศรีอะไรให้อีกฝ่ายไว้วางใจเลยรึไง ถึงได้ประณามกันแบบนี้

“ใช่ ฉันตั้งใจจะอยู่ดูแลคุณเทวัญเอง และฉันก็ตั้งใจจะไม่บอกนายด้วย แต่ขอบอกนายไว้ตรงนี้เลยนะว่า ที่ฉันทำไปเพราะฉันบริสุทธิ์ใจ ถึงฉันจะรู้ว่าเขาคิดยังไงแต่ทุกอย่างก็ยังอยู่ในขอบเขตที่ฉันไว้ใจเขาได้ ฉันรู้ใจของฉันดีว่าอยู่ที่ตรงไหน ฉันวางใจของฉันไว้ที่นาย แล้วนายละ จริงๆแล้วนายพร้อมจะวางใจของนายไว้ที่ฉันรึเปล่า” คำถามที่สั่นเครือกระแทกใจของปถวีจนเจ้าตัวต้องกระชับฝ่ามือใหญ่กับต้นแขนอีกฝ่ายแน่นขึ้น พร้อมกับความรู้สึกแน่นจุกขึ้นมาในใจ

“นายถามฉันยังงี้ได้ยังไงห๊า! นายไม่รู้รึไงว่าฉันคิดยังไงกับนาย จนวันนี้ยังไม่รู้อีกรึไง” ใบหน้าคมคายยื่นเข้าไปใกล้จนรับรู้ถึงลมหายใจของกันและกัน

“ไม่...ฉันไม่รู้ ณ วันนี้ฉันไม่รู้ว่ารักของนายกับรักของฉันมันเหมือนกันรึเปล่า”

คำตอบของนทนทีทำให้เส้นใยความอดทนของปถวีขาดผึง

“นายนอนกับฉัน นายอยู่บนเตียงฉัน นายมีอะไรกับฉัน แล้วมาบอกว่าความรักของเราไม่เหมือนกันงั้นหรือ”

“ใช่! เพราะนายไม่ได้นอนกับฉันคนเดียวนี่ เพราะฉะนั้นรักของเรามันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้วละ” ความกดดันทำให้นทนทีพูดสิ่งที่ไม่เคยคิดจะพูดออกมา

“นท!” ปถวีเบิกตากว้างมองคนรักเอ่ยด้วยดวงตาแวววาว

“นายมันเห็นแก่ตัว”

“ไม่ใช่นะ!” ปถวีมองแววตาคาดคั้นจนต้องถอนหายใจออกมา

“โอเค ฉันยอมรับว่านอนกับผู้หญิงได้ แต่มันก็ไม่มีอะไรผูกพันกัน แล้วก็นานมาแล้วนะ”

“ทุเรศ”

“นท...ฉันก็ผู้ชายนะ มันก็มีบ้างละ แต่ฉัน...”

“ แต่ฉันไม่มี!”

นทนทีสวนคำพูดกลับอย่างเจ็บยอกในอก เมื่อได้รับฟังจากปากอีกฝ่ายตรงๆ ถึงเขาจะเคยรู้มาบ้างเพราะปถวีก็เป็นคนดังในวงสังคม เรื่องซุบซิบนินทายอมมีมาได้ไม่ขาด และในนั้นก็คงมีเรื่องที่จริงอยู่บ้างหรอก แต่เขาก็ทำใจยอมรับและเข้าใจในธรรมชาติของผู้ชายนี้ เพราะผู้หญิงหลายคนก็ต้องการและเต็มใจจะเข้าหาชายหนุ่มที่พร้อมทั้งรูปลักษณ์และฐานะอย่างปถวีโดยไม่ต้องการสิ่งใดๆตอบแทนการร่วมหลับนอนเลยด้วยซ้ำ ที่คิดแบบนี้ได้เพราะเคยเจอเคยเห็นกับตัว กับผู้หญิงที่ตามตื้อปถวีจนแทบเป็นบ้าเป็นหลังโดยที่ปถวีไม่ได้แม้จะชายตาแล หรือถ้าชายตาแลก็คงจะไม่ให้เขารู้นั่นละ พอเห็นแบบนั้น เขาถึงได้จนใจ เพราะปถวีอยู่ท่ามกลางวงล้อมของผู้หญิงที่เต็มใจจะขึ้นเตียงด้วยเพียงแค่ชายหนุ่มกระดิกนิ้ว

ถ้าจะแปลกก็เขานี่ละ ที่ทำให้เจ้าหนุ่มเนื้อหอมมาคลุกอยู่ด้วยได้เป็นนานสองนาน ทั้งๆที่เป็นผู้ชายด้วยกัน

“ก็ลองมีสิ จะฆ่าให้ตายเลย” คำพูดอาฆาตทำให้นทนทีตื่นจากความคิด ก่อนจะโมโหในคำพูดอวดดีนั้น

“ไอ้บ้า! นายมันบ้า ไอ้เห็นแก่ตัว” นทนทีพยายามดิ้นรนผลักอกหนาออกห่าง

“ที่ตัวเองทำได้ แต่เวลาคนอื่นละมาขู่ไม่ให้ทำ ไอ้เห็นแก่ได้! ไอ้บ้า!”

“นายก็เลยทำประชดงั้นสิ”

“เออ!” เพราะความโมโหทำให้นทนทีเออออประชด จนปถวีกระแทกร่างโปร่งติดแนบกับรถยนต์ ก่อนจะประกบจูบดุนดันให้อีกฝ่ายยอมรับลิ้นอุ่นของตัวเอง และตอกย้ำให้รู้ว่าทั้งตัวและใจนี้เป็นของเขา

การกระทำของปถวีทำให้นทนทีรู้สึกเหมือนถูกเหยียบย่ำหัวใจให้แหลกลาญ ก่อนจะพยายามผลักหน้าของอีกฝ่ายออกห่าง ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของคนทั้งคู่ ประวิชและไผ่กำลังเดินตามออกมาจากร้าน

สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือการยื้อยุดฉุดกระชากของเพื่อนทั้งสองที่เดินออกมาก่อน ทำให้ประวิชนิ่งงัน ถ้าแค่ทะเลาะชกต่อยกันธรรมดาเขาคงรีบวิ่งไปห้าม แต่ที่เขาตะลึงงงเพราะเขาเห็นปถวีพยายามปล้ำจูบนทนทีอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยที่คนตัวเล็กพยายามจะเบี่ยงหนีสุดชีวิต

“เฮ้ย!” เมื่อเรียกสติกลับมาได้ ประวิชจึงตรงปรี่เข้าไปหา แต่ถูกไผ่รั้งแขนไว้ ทำให้คนตัวใหญ่หันกลับไปมองอย่างฉงนแกมไม่พอใจ

“ทำไม ไม่เห็นเหรอว่าไอ้บ้านั้นทำอะไรนทน่ะ”

“เห็น แต่นายเข้าไปตอนนี้จะยิ่งยุ่งกันไปใหญ่ ให้เขาเคลียร์กันเองเถอะ” ไผ่ตอบพลางมองไปยังคนทั้งสองอย่างวิตกกังวลมากกว่าจะรู้สึกถึงสายตาวาวโรจน์ที่มองมาด้วยอาการไม่พอใจอย่างโจ่งแจ้ง ก่อนจะสะบัดมือเล็กที่เกาะกุมไว้ออก

“ปล่อย! เห็นเพื่อนโดนทำอย่างนั้น นายยังจะให้เขาเคลียร์กันเองอีกเหรอไผ่” ประวิชไม่รอให้คนหน้าขาวอธิบาย ขายาวรีบสาวเท้าเข้าไปช่วยเพื่อนสนิททันที

“เฮ้ย! เดี๋ยว” ไผ่วิ่งตามประวิชไปติดๆ แล้วยิ่งเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเมื่อเห็นประวิชกระชากไหล่ปถวีให้ออกห่างจากนทนทีอย่างแรง

“ทำบ้าอะไรของแกห๊ะ!”

“อย่าเข้ามายุ่ง จะไปไหนก็ไป” ปถวีปัดมือใหญ่ที่จับบ่าตนไว้แน่นออก ก่อนจะเปิดประตูรถแล้วพยายามกดศีรษะนทนทีให้มุดเข้าไปภายใน

“ปล่อยนะ! ปล่อย” นทนทีพยายามเกาะขอบประตูรถไว้แน่นไม่ยอมเข้าไป

“อย่ามาออกฤทธิ์กับฉันนะนท ขึ้นรถไปคุยกันเดี๋ยวนี้เลยนะ” ปถวีตะคอกใส่นทนทีอย่างไม่เกรงใจเพื่อนอีกสองคนที่ยืนมอง

“นี่! นทเขาไม่อยากไปกับนาย ปล่อยเขานะ” ประวิชพยายามดึงไหล่ปถวีให้เลิกบังคับนทนทีขึ้นรถยนต์

“ประวิช! ฉันบอกว่าอย่ามายุ่งไง” ปถวีตวัดสายตาหันมองเพื่อนร่างยักษ์ด้วยความขุ่นเคือง เมื่อเห็นแววตาห่วงใยผาดผ่านไปยังร่างเล็กในวงแขนตน ความรู้สึกไม่พอใจจึงทวีมากขึ้น

“คนรักเขาจะคุยกัน คนนอกอย่างนายอย่ามายุ่ง”

“ปถวี!” เสียงร้องอย่างตื่นตระหนกของนทนทีกับประวิชดังขึ้น พร้อมๆกับกำปั้นใหญ่ที่เหวี่ยงเข้าใบหน้าปถวีด้วยความรู้สึกไม่พอใจอย่างรุนแรง ร่างสูงหลบกำปั้นหนักของประวิชได้ไม่เต็มที่ด้วยมีนทนทีอยู่ในวงแขน จึงกระแทกเข้าสันกรามอย่างจัง

“ไอ้โกหก!” ประวิชบริภาษเพื่อนตัวโตเสียงดัง

“หยุดๆ ประวิชหยุด อย่าทะเลาะกัน ให้ตายสิ!” ไผ่ร้องเสียงหลง ด้วยไม่คิดว่าคนปากหนักหมัดหนักอารมณ์เย็นอย่างประวิชจะชกเพื่อนได้ ร่างเล็กเข้าไปกอดหลังคนตัวใหญ่ไว้แน่นจนอีกฝ่ายเคลื่อนไหวลำบาก ทำให้ปถวีผลักอกประวิชออกอย่างแรงจนไผ่ที่หลับหูหลับตากอดหลังประวิชเซผงะถอยหลังจวนเจียนล้มคว่ำ ถ้าไม่มีมือใหญ่แข็งแรงรีบเข้ามาคว้าตัวไว้

“ไผ่!” ประวิชเข้าประคองเพื่อนตัวเล็กให้ยืนจนมั่นคงแล้วจึงหันไปมองปถวีด้วยความโมโห

“ประวิช!” เสียงร้องด้วยความห่วงใยของนทนทีดังขึ้น เมื่อพยายามยึดร่างสูงที่กำลังจะสาวเท้าเข้าหาประวิชอย่างเอาเรื่อง “ขอร้องละอย่าทะเลาะกัน” ก่อนจะหันไปต่อว่าร่างสูงที่ตนยึดเหนียวไว้ “นายก็ใจเย็นหน่อยได้มั้ย”

ในขณะที่ประวิชเองก็ดูจะโกรธปถวีอยู่ไม่น้อยจึงสาวเท้าเข้าหาเช่นกัน ใช่...เขาทั้งโกรธทั้งสงสัยทั้งห่วง...หวงนทนที ในเมื่อเขาคอยดูแล เป็นห่วงเป็นใยมาตลอด แล้วมาเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นได้ยังไง ตั้งแต่เมื่อไร ทำไมเขาถึงไม่ระแคะระคายอะไรเลย

“นายทำยังงั้นกับเพื่อนได้ยังไง” คำถามของประวิชดูจะโดนใจปถวีไม่น้อย จึงยกยิ้มมุมปาก ด้วยเขาเองก็ต้องการจะประกาศให้ไอ้เพื่อนร่างยักษ์ของนทนทีได้รู้ซะทีว่าเขาอยู่ในฐานะอะไรของนทนที จะได้เลิกเป็นมดแดงแฝงพวงมะม่วงในความรู้สึกของเขาซะที

“ทำไมจะทำไม่ได้ คนคบกันเขาก็ทำกันทั้งนั้นละ นายอย่าเข้ามายุ่งจะดีกว่า” คำตอบของปถวีทำให้ประวิชต้องหันหน้าไปหาความจริงกับนทนที

คำถามในสายตาของประวิชทำให้นทนทีจำต้องนิ่งอึ้ง ด้วยเป็นความจริงที่เขาปฏิเสธไม่ได้ และต้องรู้สึกใจสั่นขาสั่นเมื่อเห็นแววความผิดหวังเกิดขึ้นในดวงตาคู่อ่อนโยนของเพื่อน

เมื่อทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงบปถวีจึงฉวยข้อมือนทนทีเพื่อจะจับร่างเล็กยัดใส่รถยนต์ แต่อีกฝ่ายกลับสะบัดตัวหนีออกไปยืนห่างๆ

“นายมันบ้าที่สุดเลย” นทนทีต่อว่าร่างสูงใหญ่ เขาไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังความสัมพันธ์ของตนกับประวิช แต่ก็ไม่ใช่การมารับรู้ในสถานการณ์แบบนี้เช่นกัน

“ถ้านายยังสงบสติอารมณ์ไม่ได้ก็ไม่ต้องมาคุยกัน” นทนทีพูดทิ้งท้ายก่อนจะหมุนตัววิ่งฝ่าความมืดไปยังถนนใหญ่หน้าร้าน

“นท! บ้าเอ๊ย” ปถวีสบถอย่างหัวเสีย ในขณะที่ประวิชตั้งท่าจะวิ่งตามนทนทีออกไป

“เดี๋ยว!...นายจะไปไหน” ไผ่คว้าแขนประวิชไว้แน่น

“ก็ตามนทไปนะสิ มันมืดแล้วนะ จะปล่อยไปได้ยังไง”

“ไม่ต้องไปห่วงเจ้านั่นหรอก เดี๋ยวเจ้าวีมันก็ตามไปเองละ”

“นั่นยิ่งแล้วไปกันใหญ่ ไม่เห็นเหรอว่าเมื่อกี้มันทำอะไรนทน่ะ”

“ก็คนเขาคบกัน นายก็ปล่อยให้เขาปรับความเข้าใจกันก่อนเถอะ”

“นายพูดเหมือนนายรู้มานานแล้ว...บอกมานะไผ่ นายรู้อะไร” คำถามคาดคั้นของประวิชทำให้ไผ่หน้าเสีย แต่ก็หุบปากเงียบ ความเงียบที่ดูจะไปยั่วโทสะของประวิชให้มากขึ้น

“ไผ่...พูดมา ถ้ายังเป็นเพื่อนกันอยู่ก็พูดมา” ประวิชเข้าจับไหล่เล็กทั้งสองข้างเขย่าด้วยความไม่พอใจ

อาการโมโหไม่พอใจของประวิชเมื่อรู้ว่านทนทีคบกับปถวี กอปรกับแววตาที่แสดงออกถึงความผิดหวัง ทำให้ไผ่นึกน้อยเนื้อต่ำใจ จนรู้สึกถึงน้ำหูน้ำตามันจะไหลออกมา

“จะให้บอกว่าอะไรละ ก็มันรู้มาตั้งแต่แรกที่เจ้าพวกนั้นคบกันนั้นละ”

“มะ...เมื่อไร” ร่างสูงเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ ยิ่งทำให้ไผ่รู้สึกเจ็บยอกในอก

“ก็ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว!” ไผ่กระแทกเสียงใส่ ก่อนจะรู้สึกเจ็บหนึบที่ต้นแขนเมื่อนิ้วมือใหญ่กดลงบนเนื้ออ่อน

“แล้วทำไมถึงเงียบไว้ละ...ทำไมละไผ่”

“ทำไม...เรื่องแบบนี้นายจะให้ฉันมาป่าวประกาศรึไง สังเกตเอาเองสิ แล้วถ้านทมันอยากบอก มันก็บอกนายเองละ เรื่องส่วนตัวของมันนะ ฉันจะไปก้าวก่ายได้ยังไง”

“บ้าเอ้ย! แล้วถ้านทมันมีปัญหา มันไม่เต็มใจแล้วใครจะช่วยมันละ มันยิ่งไม่ค่อยจะพูดอยู่ นายก็รู้”

คำพูดบั่นทอนน้ำจิตน้ำใจทำให้ไผ่นึกฉุน

“เออ! ฉันมันไม่ดี แต่อย่าลืมว่ามันโตจนหมาเลียก้นไม่ถึงแล้วนะ มันตัดสินใจให้ชีวิตของมันเองได้ แล้วถ้ามันเหลือบ่ากว่าแรง นทมันต้องมาปรึกษาเราแล้ว นายนั่นละที่เป็นห่วงมันจนเกินเหตุ ห่วงจนโอเวอร์” ไผ่มองประวิชด้วยดวงตาแวววาว

“ไผ่ ฉันบอกแล้วว่านทมันไม่ค่อยพูด ถึงได้คอยเป็นห่วงมันไง แล้วที่เป็นแบบนี้ก็ไม่รู้ว่านทมันถูกบังคับรึเปล่า ไม่เห็นรึไงว่าเมื่อกี้นทมันทำท่ารังเกียจแค่ไหน” ประวิชนึกไปถึงท่าทางต่อต้านของนทนทีที่มีต่อปถวีเมื่อครู่

“ไม่ละ ฉันเป็นห่วงมัน เดินไปคนเดียวแบบนั้นมันน่าห่วง” ท่าทางร้อนรน เป็นห่วงเป็นใยเพื่อนคนสำคัญยิ่งทำให้ไผ่สูญเสียความอดกลั้น สูญเสียสิ่งที่พยายามเก็บซ่อนมาตลอด

“หึ!...คำก็นท สองคำก็นท แล้วไอ้ที่ยืนตัวโด่อยู่ตรงนี้มันไม่สำคัญเลยรึไง” ความเจ็บปวดที่อยู่รอบตัวผลักดันให้ไผ่แสดงความรู้สึกของตัวเองออกมา ทำให้ประวิชต้องเพ่งมองเพื่อนตรงหน้าอย่างพิจารณาในเจตนาของคนพูด

“สำคัญสิ” ร่างสูงพึมพำเสียงแผ่ว ด้วยรู้สึกถึงความแปลกของคนตรงหน้า

“สำคัญขนาดไหน เท่าเจ้านทมั้ยละ” ถึงไม่ตั้งใจจะพูดเหมือนอิจฉาเพื่อน แต่เขาก็อดยกมาเปรียบเทียบไม่ได้

“ทะ...เท่ากันสิ นายเป็นอะไรของนาย ตอนนี้ไปตามนทกันก่อนเถอะ”

ประวิชที่รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลของไผ่จงใจจะเบี่ยงประเด็น แต่ดูเหมือนจะยิ่งทำให้ไผ่รู้สึกถึงความว่างเปล่าในใจ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรง

“แต่นายสำคัญกับฉันมากกว่าใครๆ” ไผ่เงยหน้ามองคนที่เขาแอบรักมาเนิ่นนาน ใบหน้าที่คอยวนเวียนอยู่ใกล้ไม่ได้ห่าง แต่...

เขาไม่เคยสำคัญน้อยกว่าใคร และก็ไม่เคยมากกว่าใครเช่นกัน

การเปิดเผยถึงความรู้สึกในใจบางส่วน ทำให้ประวิชนิ่งงัน แววตาที่สะท้อนถึงความรู้สึกในใจของเพื่อนที่คบกันมาเนิ่นนานทิ่มแทงเข้าไปในอกให้เจ็บแปลบๆ

เพื่อน! คำๆนี้ทำให้ประวิชจำต้องหลีกเลี่ยงไม่รับรู้ถึงสิ่งที่คนตัวเล็กต้องการจะบอก และก็เป็นอย่างทุกครั้งที่ร่างสูงใหญ่จะปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม

“ไผ่เอาไว้คุยกันอีกทีนะ ฉันไปตามเจ้านทก่อน” ร่างสูงค่อยๆผละถอยห่าง ก่อนจะหันหลังจ้ำเดินจากไปอย่างเร่งรีบ

ปฏิกิริยาของร่างสูงที่ทำเหมือนไม่อยากจะรับฟัง ไม่อยากแม้แต่จะเอ่ยถึง ทำให้ความรู้สึกเนื้อต่ำใจวิ่งลิ่วๆขึ้นมาจุกคอ แล้วจึงรู้สึกโกรธในท่าทีของร่างสูง

“แล้วฉันละ! นายจะทิ้งฉันให้กลับคนเดียวรึไง” ร่างบางตะโกนออกไปจนสุดเสียงทั้งที่รู้สึกอ่อนล้าไปทั้งใจ เขาไม่เคยเข้าไปอยู่ในใจคนๆนี้เลยรึไง...

ประวิชที่ได้ยินเสียงร้องตะโกนบอกของไผ่หยุดชะงัก ถึงแม้จะไม่สามารถรับความรู้สึกของเพื่อนได้ แต่ความห่วงใยก็ยังคงมีให้ไม่ห่างหาย ร่างสูงจึงยืนละล้าละหลังชั่วขณะ แล้วกวาดตามองไปรอบบริเวณเผื่อมองหาปถวี แต่ก็ไม่เห็นทั้งรถทั้งคน นี่เขายืนคุยกับไผ่จนไม่รู้ว่าปถวีไปตั้งแต่เมื่อไรเลยเหรอ

ประวิชมองออกไปยังถนน แล้วจึงตัดสินใจเดินกลับมาหาร่างโปร่งบางที่ยืนมองมาด้วยดวงตาแดงก่ำ

“ปะ...กลับบ้าน” ประวิชเอื้อมมือเข้าไปดึงต้นแขนเล็กให้ออกเดินไปยังถนนเพื่อเรียกหาแท็กซี่ ด้วยพวกเขาไม่ได้ขับรถมาเอง

เมื่อร่างสูงตัดสินใจกลับมา ใจที่เคยร้อนรนกับสงบนิ่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไผ่มองแผ่นหลังกว้างที่เดินนำหน้าก่อนจะอ้อมแอ้มเอ่ยถาม

“แล้วเจ้านทละ” ไผ่ที่เดินตามอย่างว่าง่ายเงยหน้ามองดูปฏิกิริยาของร่างสูง ด้วยรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองออกฤทธิ์ออกเดชมากกว่าปกติ

“เดี๋ยวขึ้นรถจะโทรหาอยู่ แต่เจ้าวีคงตามไปแล้วละ” ร่างสูงตอบเรียบๆแล้วยกมือเรียกรถแท็กซี่ เมื่อเจ้ารถรับจ้างจอดสนิท ประวิชจึงเปิดประตูให้ร่างเล็กเข้าไปนั่งแล้วตนเองจึงตามเข้าไป พอบอกกล่าวจุดหมายปลายทางให้คนขับเรียบร้อยจึงยกโทรศัพท์ขึ้นกดโทรหานทนที โดยไม่ได้เหลียวมองคนนั่งข้างๆอีกเลย รออยู่พักใหญ่กว่าอีกฝ่ายจะรับสาย

“นท อยู่ไหนนะ”

“อยู่บนรถแท็กซี่ ฉันกำลังจะกลับบ้านน่ะวิช”

“เป็นอะไรรึเปล่านท เจ้าวีมันทำอะไรอีกรึเปล่า”

“ฉันไม่เป็นไรหรอกวิช แต่อย่าเพิ่งถามอะไรเลยนะ ฉันอยากพักซักนิดก่อนน่ะ...ได้มั้ย” คำร้องขอเหมือนคนเหน็ดเหนื่อยทำให้ประวิชจำต้องพยักหน้าทั้งๆที่ในใจร้อนรน ก่อนจะวางโทรศัพท์แล้วก้มหน้าลงครุ่นคิด ไม่ได้สังเกตร่างเล็กข้างๆที่นั่งหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างรถ เพื่อพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้มันไหลลงมา จนถึงจุดหมายปลายทาง คือบ้านของคนที่พยายามกลั้นน้ำตาไว้อย่างสุดฤทธิ์

ร่างบางลงจากรถอย่างเงียบเชียบโดยไม่มีเสียงเอ่ยลาจากเพื่อนตัวโตเช่นเดิม เพราะเจ้าตัวดูจะตกอยู่ในภวังค์ความคิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นจนไม่ได้สนใจว่าเขาคิดยังไง รู้สึกแย่แค่ไหน

ไผ่มองรถแล่นจากไปในความมืด แล้วจึงทรุดตัวนั่งลงร้องไห้อย่างหมดความอดทน หรือจะหมดหวังแล้วจริงๆกับผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่เขาไม่เคยคิดจะหักหาญน้ำใจให้ต้องรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่ผิดแปลกไปจากผู้ชายทั่วไปของเขา การชอบเพศเดียวกัน เขาสู้อุตส่าห์อดทนทำทุกอย่างให้อีกฝ่ายเห็นความดี เผื่อว่าจะมีใจให้เขาสักวัน

แต่วันนั้น...วันที่เขาหวังมันคงไม่มีแล้วละมั้ง เพราะประวิชก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ธรรมชาติสร้างมาให้คู่กับเพศหญิงที่อ่อนหวานนุ่มนวล ผิดกับเขาที่มีอะไรๆเหมือนกับเจ้านั่นทุกอย่าง แล้วผู้ชายปกติอย่างนั้นมันจะมารักมาชอบเขาได้ยังไง ต่อให้เขายกกายถวายชีวิตให้ก็คงไม่แล และถ้าจะแลก็คงไปแลเจ้านทก่อนมั้ง เพราะเขารัก เขาห่วงกันมาแต่ไหนแต่ไร แล้วไอ้ม้าพยศอย่างเขาใครจะมามอง

ร่างบางยกมือขาวนวลขึ้นมองนิ้วมือเรียวยาวผ่านม่านน้ำตาพร่าเลือน พลางนับนิ้วดูระยะเวลาที่เขารู้จักกับประวิชมา

หนึ่ง สอง สาม...สี่ ...กะ..เก้า หึๆ เก้าปี แล้วยังไม่มีอะไรคืบหน้าขึ้นมาเลย...จะบอกว่า...

เขาควรจะตัดใจได้แล้วใช่มั้ย...


---TBC---

เอิ่ม ภาคนี้ทะเลาะกันมากไปมั้ยค่ะ

ปล. เเหะเเหะ เจี๊ยบลงถี่ไปมั้ย อาจกันตาลายอะป่าว
พอดีจะรีบๆลงเรื่องนี้ให้จบ เพราะมีเรื่องใหม่จะมาลงต่อ น่ารักเวอร์ๆเลย (อาจมีคนเคยอ่านเเล้ว ไอ้ก้องกะน้องม่อน อิอิ)
เเต่ไม่ใช่ของพี่ sake นะค่ะ

ขอบคุณทุกคอมเมนท์ค่ะ  :call:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 3-4.......รักของนาย กับ รักของฉัน????
เริ่มหัวข้อโดย: Chanta ที่ 05-10-2009 23:18:48


 :call:

มาต่อเร็วๆน้า....

รออ่านเรื่องนี้มานานแล้ว....

ลืมไปแล้วน่ะเนี้ยว่ามีภาค 2 อ่ะ.....

รอคอยด้วยความหวังน่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 3-4.......รักของนาย กับ รักของฉัน????
เริ่มหัวข้อโดย: ปี้ปี้ปี้~PalmY ที่ 05-10-2009 23:24:25
ควรจะลงถี่นะครับสำหรับภาคนี้

เพราะว่าภาคนี้ค่อนข้างจะทะเลาะกันบ่อย ฉะนั้นมันจะทำให้คนอ่านเกิดอาการค้าง  :a5:
และหลายๆคนเกิดอาการค้างจนกู่ไม่กลับ ข้ามวันข้ามคืน ดังนั้นในกรณีของใครที่้เกิดอาการนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วงครับ
ซึ่งในกรณีนี้ก็คงร่วมถึงผมด้วย การที่คุณทำให้ค้าง ทำให้คนอื่นอ่านหลายๆคนต้องชอกช้ำไปพร้อมๆกันครับ
ดังนั้นเพื่อแก้การเกิดปัญหาจำพวกนี้ เราควรหลีกเลี่ยงการ "ค้าง" ไว้ให้มากที่สุดครับ

ปล. ไมวันนี้ตรูพิมพ์เพี้ยนๆวะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 3-4.......รักของนาย กับ รักของฉัน????
เริ่มหัวข้อโดย: maxtorpis ที่ 06-10-2009 01:56:10
 o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 3-4.......รักของนาย กับ รักของฉัน????
เริ่มหัวข้อโดย: โน๊อา ที่ 06-10-2009 07:52:17
สมาชิกใหม่ รายงานตัวจ้า

ลง มาเรื่อย ๆ อย่าได้ขาดเลย

เดี๋ยวจะเครียดมากเกินไป
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 3-4.......รักของนาย กับ รักของฉัน????
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 06-10-2009 09:25:06
ชอบเรื่องนี้มากค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 3-4.......รักของนาย กับ รักของฉัน????
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 06-10-2009 09:51:36
ควรจะลงถี่นะครับสำหรับภาคนี้

เพราะว่าภาคนี้ค่อนข้างจะทะเลาะกันบ่อย ฉะนั้นมันจะทำให้คนอ่านเกิดอาการค้าง  :a5:
และหลายๆคนเกิดอาการค้างจนกู่ไม่กลับ ข้ามวันข้ามคืน ดังนั้นในกรณีของใครที่้เกิดอาการนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วงครับ
ซึ่งในกรณีนี้ก็คงร่วมถึงผมด้วย การที่คุณทำให้ค้าง ทำให้คนอื่นอ่านหลายๆคนต้องชอกช้ำไปพร้อมๆกันครับ
ดังนั้นเพื่อแก้การเกิดปัญหาจำพวกนี้ เราควรหลีกเลี่ยงการ "ค้าง" ไว้ให้มากที่สุดครับ

ปล. ไมวันนี้ตรูพิมพ์เพี้ยนๆวะ

ไม่เพี้ยนเลยค่ะคุณน้อง เพราะพี่เพี้ยนกว่า 55+
จัดให้ทันทีเลยค่ะ เข้าใจนะ ค้างๆเนี่ยมันอึดอัด เพราะเค้าก็ค้างจากเรื่องอื่นเหมือนกัน (มิกกี้เมื่อไหร่จะมา~~~~~)
เดี่ยวมาลงอีก วันละ 2-3 ตอนหรือมากกว่านั้น รึลงให้จบไปเลย555+ (เพี้ยนละ)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 3-4.......รักของนาย กับ รักของฉัน????
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 06-10-2009 11:17:46
ควรจะลงถี่นะครับสำหรับภาคนี้

เพราะว่าภาคนี้ค่อนข้างจะทะเลาะกันบ่อย ฉะนั้นมันจะทำให้คนอ่านเกิดอาการค้าง  :a5:
และหลายๆคนเกิดอาการค้างจนกู่ไม่กลับ ข้ามวันข้ามคืน ดังนั้นในกรณีของใครที่้เกิดอาการนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วงครับ
ซึ่งในกรณีนี้ก็คงร่วมถึงผมด้วย การที่คุณทำให้ค้าง ทำให้คนอื่นอ่านหลายๆคนต้องชอกช้ำไปพร้อมๆกันครับ
ดังนั้นเพื่อแก้การเกิดปัญหาจำพวกนี้ เราควรหลีกเลี่ยงการ "ค้าง" ไว้ให้มากที่สุดครับ

ปล. ไมวันนี้ตรูพิมพ์เพี้ยนๆวะ

เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยค่ะ อ่านภาคนี้แล้วทั้งค้าง ทั้งปวดใจ ทำไมเป็นแบบนี้ :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 3-4.......รักของนาย กับ รักของฉัน????
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 06-10-2009 11:49:29
^
^
^
คุณ dahlia เดี่ยวจะปวดใจกว่านี้  :z1:
เดี่ยวมาต่อให้ สามตอนรวด โหะโหะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 3-4.......รักของนาย กับ รักของฉัน????
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 06-10-2009 12:05:15
ตอนที่ 5

“พี่นท” เสียงเรียกแผ่วเบาของอนลทำให้นทนทีที่นั่งเหม่อลอยเรียกสติสตังกลับมาสนใจเรียงชมพู่ใส่กระจาดตามเดิม

“อะ...อะไรเหรอนล” นทนทียกยิ้มบางอย่างเก้อๆ

“ทะเลาะอะไรกับพี่วีรึเปล่าครับ...เมื่อวานเห็นกลับบ้านใหญ่ เดินกระทืบเท้าจนบ้านแทบพังแน่ะ ตอนกินข้าวก็เห็นคุยกันดีๆอยู่แท้ๆ” แววตาห่วงใยพี่ชายสะท้อนอยู่ในดวงตาคู่อ่อนโยนเป็นนิจ ทำให้นทนทีระบายลมหายใจออกมา

“อืม...ก็พี่ของนลน่ะ พอไม่ได้ดังใจก็เอะอะโวยวายจนพี่ไม่อยากจะคบด้วยแล้ว”

“อา...ทะเลาะกันจริงๆด้วย ทำเหมือนตอนเรียนมหา’ลัยเลย ตอนนั้นทะเลาะกันแทบทุกวัน แต่ตอนนี้ก็ญาติดีกันแล้วนี่ครับ อย่าโกรธกันนานเลยนะ ผมจะพลอยโดนหางเลขไปด้วย ขี้ยัวะยังกับอะไร รายนั้นน่ะ” อนลแกล้งถอนหายใจยืดยาวพลางชายตามองร่างโปร่งจัดเรียงผลไม้ใส่กระจาดไปขาย

นทนทีเงยหน้ามองเพื่อนอายุน้อยก่อนจะส่ายหน้าอย่างหน่ายใจ

“นลไม่ต้องกังวลไปหรอก พี่ก็ไม่ได้อยากจะทะเลาะด้วยหรอก แต่รอให้เขาหายโมโหก่อนค่อยคุยกัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอกน่ะ” นทนทีมองอนลช่วยหยิบโน้นจับนี่อย่างคล่องแคล้ว นี่มาบ่อยจนรู้งานไปเสียทุกอย่างก็ว่าได้

“ว่าแต่นลเถอะ วันหยุดแบบนี้ไม่อยู่บ้านนอนพักสบายๆบ้างเหรอ เห็นมาช่วยแทบทุกอาทิตย์เลย พี่เกรงใจนะ” นทนทียิ้มบาง

“ฮะๆ ไม่ต้องเกรงใจหรอกพี่ ผมได้กินกับข้าวอร่อยๆเป็นค่าจ้างอยู่แล้ว จะกินเกินค่าแรงตัวเองเสียด้วยซ้ำ” อนลยกมือขึ้นลูบผมตัวเองเก้อๆ

“ที่บ้านกับข้าวไม่อร่อยเหรอ?” นทนทีแสร้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ถามคนตัวโต

“อะ!...ก็...ก็อร่อยครับ” ร่างสูงสะดุ้ง พลางเหลือบมองอีกฝ่ายที่ดูจะรู้เท่าทันความคิด ก็ยิ่งรู้สึกวูบๆวาบๆไปทั้งตัว ก็เล่นจ้องตาใสขนาดนั้น

“โธ่...พี่นท” อนลลากเสียงอ่อนใจ ก่อนจะพรางพรูลมหายใจออกมา แล้วสูดกลับเข้าไปใหม่เหมือนคนตัดสินใจได้

“พี่นท...ผมรักน้องวานะครับ”

คำสารภาพตรงๆของอนลทำให้นทนทีต้องหยุดหายใจชั่วครู่ แล้วจึงค่อยๆเคลื่อนสายตาขึ้นประสานกับดวงตาคู่แน่วนิ่งที่จ้องมองมา

“ผมรู้ว่าพี่นทคิดอะไรอยู่ แต่คนที่มีฐานะอย่างผม ก็ไม่จำเป็นต้องคิดว่าเงินต่อเงินเสมอไปนะพี่” อนลหยุดนิ่งมองอีกฝ่ายที่ดูจะตั้งใจฟังความคิดของเขาอย่างเงียบๆ

“พี่นท...คนเราเวลาทำงานมากๆก็ยิ่งต้องการที่พัก ที่พักที่สามารถวางใจของเราได้อย่างสบายใจ น้องวาทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น”

“อืม...พี่ก็พอเข้าใจนลนะ” นทนทีพยักหน้ารับรู้ความรู้สึกของอนลอย่างหดหู่ใจ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคนทั้งคู่เฝ้าถนอมความรู้สึกดีๆให้กันมานานแค่ไหน ทำไมเขาจะไม่อยากสนับสนุนให้คนทั้งคู่ลงเอยกัน แต่ความคิดความรู้สึกของเขาคนเดียวมันไม่ทำให้คนทั้งคู่ครองรักกันได้อย่างราบรื่น...

“แต่นล...นลต้องการที่พักใจ แล้ววาละ วาพร้อมจะเป็นที่พักใจของนลมั้ย นล...แค่คำว่ารักมันไม่พอจะทำให้เราอยู่ได้อย่างสุขสงบอย่างที่เราหวังไว้หรอกนะ ทุกอย่างมันมีองค์ประกอบ มีสังคมรอบข้าง สังคมใกล้ตัว ครอบครัว นลบอกว่าวาเป็นที่พักใจของนล แล้วนลจะเป็นที่พัก ที่พึงพิงให้วาได้รึเปล่า” คำถามของนทนทีทำให้ใจที่ตั้งมั่นของอนลต้องสั่นคลอน

“พี่จะบอกว่า ถ้าน้องวาอยู่กับผมแล้วจะทุกข์ใจหรือพี่” อนลก้มหน้าลงมองพื้นไม้กระดานที่ถูกถูจนมันวาว รู้สึกเหมือนลูกโป่งถูกปล่อยลม “ทำไมเหรอพี่”

คำถามที่เอ่ยออกมาเพียงเบาๆทำให้นทนทียิ้มบางด้วยเห็นใจ แล้วจึงตัดใจพูดต่อ

“เพราะอะไรที่ต่างกันมากเกินไป มันยากที่จะปรับตัวเข้าหากัน ไม่ว่าจะเป็นตัวเองหรือคนรอบข้าง”

“แต่...”

“อืม... ถึงปรับได้แต่มันก็ต้องใช้เวลา ใช้ความพยายาม ความอดทน และถ้าเกิดท้อ เกิดเหนื่อย... ก็จะเสียใจกันทั้งคู่ นลพร้อมรับผลในสิ่งที่นลกำลังจะตัดสินใจรึยัง”

ร่างสูงก้มหน้าครุ่นคิดชั่วครู่ แล้วจึงยกสองมือขึ้นเสยผมไปด้านหลัง มองออกไปยังประตูหน้าบ้าน ที่มีร่างหญิงสาวอันเป็นที่รักกำลังเดินเข้ามา

“พี่นท ผมจะย่นระยะห่างให้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ ก่อนจะดึงน้องวาให้ไปร่วมหัวจมท้ายกับผม เพราะผมก็ไม่ต้องการจะเอาเปรียบคนที่ผมรักเหมือนกัน ถ้าผมสบายใจ เขาก็ต้องอยู่อย่างสบายใจเหมือนกัน แล้วถ้าผมทำไม่ได้ ผมก็จะไม่เอาน้องวาไปให้ใครเหยียบย่ำหรอกครับ เพราะเท่ากับผมให้ใครๆมาเหยียบลงในหัวใจผมเหมือนกัน” อนลส่งยิ้มนัยน์ตาโศกให้ร่างโปร่ง

“ขอบใจ...ขอบใจที่เข้าใจนะนล” นทนทียิ้มให้กับตัวเองก่อนจะก้มหน้าลงพูดลอยๆ

“พูดง่ายกว่าพี่นายเยอะเลยนี่ หึๆ” ร่างโปร่งยักคิ้วเหล่มองอีกฝ่าย

“โธ่พี่นท ผมไม่ดันทุรังให้ใครๆต้องลำบากใจหรอกครับ ผมเชื่อว่าถ้าผมค่อยๆพยายาม ทุกคนคงเข้าใจและให้โอกาสทั้งผมทั้งน้องวาได้พิสูจน์ความตั้งใจของพวกเรา”

“พี่ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น ว่าแต่นลไม่คิดจะไปเรียนต่อปริญญาเอกเหรอ เห็นเจ้าวีบอกว่าแม่นลบ่นอยู่ทุกวัน” นทนทีพิจารณาใบหน้าที่มีสีเข้มขึ้นเล็กน้อยของอีกฝ่าย

“ห่วงเหรอ?”

“ก็...ก็ห่วงสิครับ” น้ำเสียงแฝงความกังวลอยู่ไม่น้อยทำให้นทนทียิ้มพราย

“ทำหน้าที่ของเราให้สำเร็จก่อนดีมั้ยนล แล้วอย่างอื่นค่อยตามมาทีหลัง แม่จะได้สบายใจด้วย”

“พี่นท...ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่...” แต่มันก็ยังห่วงนี่พี่ หวงด้วย ไปเรียนโดยทิ้งน้องวาไว้แบบนี้ผมคงเรียนไม่รู้เรื่อง แล้วจะให้ผมตัดใจไปเรียนได้ยังไงละพี่นท เห็นผมนิ่งๆเย็นๆแบบนี้ เพราะผมอยากจะรอให้น้องวาโตและพร้อมจะร่วมชีวิตไปด้วยกัน แล้วตอนนี้น้องวาก็โตพอ มีความคิดความอ่านพอ แล้วจะให้ผมทิ้งไปเรียนตั้งเป็นปีๆแบบนั้น ผมก็คิดหนักเหมือนกันนะพี่

เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าปั้นยาก นทนทีจึงจำต้องหยุดไล่ต้อนอีกฝ่าย ที่เขาจำต้องพูดแบบนี้ก็เพราะต้องการให้อนลไปเรียนต่อ ด้วยไม่อยากรู้สึกว่าน้องสาวเขาเป็นสิ่งที่ถ่วงความเจริญของอีกฝ่าย เขาไม่อยากให้ใครๆมองในแง่นั้นเลย

“ไม่ต้องบอกพี่ตอนนี้ก็ได้ ค่อยๆคิดแล้วก็เอาไปปรึกษากับพ่อแม่ดูนะ เผื่อท่านจะมีความคิดดีๆให้นล คนเป็นพ่อแม่น่ะ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ ประสบการณ์ชีวิตก็มาก ถ้านลได้พูดคุยปรึกษากับท่านมากๆ นลน่าจะได้ทางออกที่ดีที่สุดนะ ใครที่เป็นพ่อเป็นแม่ย่อมต้องสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกเสมอละนล” นทนทียิ้มกว้างให้อนลที่มองตรงมา

“สิ่งที่ดีที่สุดไม่ใช่แค่สุขสบายกายเท่านั้น ต้องสบายใจด้วย ไม่มีพ่อแม่คนไหนสบายใจเมื่อเห็นสิ่งที่ตัวเองเลือกให้ลูกแล้วทำให้ลูกเป็นทุกข์นอนก่ายหน้าผากหรอกน่า...”

อนลรับฟังก่อนจะหันหน้าไปส่งยิ้มให้วารีที่เดินเอากระจาดผลไม้มาเก็บอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ก่อนจะระบายลมหายใจออกมาเบาๆ

“คุยกับพี่นทแล้วผมรู้สึกอายแทนพี่ชายตัวเองจริงๆ รายนั้นบอกให้ลุยลูกเดียว หึๆ” อนลยกยิ้มมุมปากนึกขำพี่ชายตัวเอง

“ก็สมเป็นเจ้านั่นแล้วนี่” นทนทีเค้นยิ้มด้วยในใจกระหวัดนึกอยากจับคนที่ถูกพาดพิงมาหักคอซะเดี๋ยวนี้

“พี่นทผมจะพยายามนะพี่ แต่วันนี้ขอผมอยู่กินข้าวเย็นด้วยนะครับ” ร่างสูงส่งยิ้มเรี่ยราดให้นทนทีหัวเราะขำอากัปกิริยาเหมือนตอนยังเรียนอยู่ไม่มีผิด

“คุยอะไรกันเป็นนานสองนานคะ” วารีที่เก็บกระจาดผลไม้เสร็จเดินเข้ามาหาสองหนุ่มที่นั่งจัดผลไม้ใส่กระจาดเตรียมขายช่วงบ่าย

“ก็คุยว่าวันนี้น้องวาจะทำกับข้าวอะไรกินตอนเย็นนะสิ” อนลหันไปยิ้มให้หญิงสาวขณะที่มือก็ยังคงทำงานไปด้วย

“พี่นลอยากทานอะไรเหรอคะ” วารีทรุดตัวลงนั่ง พลางเลื่อนกระจาดชมพู่ที่จัดเรียงเสร็จแล้วไปใกล้ตัว

“อืม...เอาเป็นแกงเขียวหวานไก่ก็ดีนะ ดีๆไม่ได้กินมานานแล้วด้วย เอาเผ็ดๆหน่อยนะน้องวา” อนลเหลือบมองหญิงสาวที่มองมาก่อนแล้ว ใบหน้านวลซับสีเลือดจางๆด้วยความร้อนของอากาศยามบ่าย แต่ดวงตายังคงความสดใสให้คนที่เห็นรู้สึกอยากยิ้มตาม

“ก็ถ้าพี่นลปอกมะพร้าวแล้วก็ขูดมะพร้าวให้ น้องวาก็จะแกงให้ทานคะ” วารียิ้มเย้าพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อบริเวณขมับ

“ได้ๆเดี๋ยวพี่เรียงชมพู่เสร็จ พี่จะไปปอกมะพร้าวไว้คอยน้องวาเลยละ แล้วห้ามเบี้ยวนา...”

“ฮะๆได้คะ เก็บร้านแล้วจะมาทำให้ทาน ตอนนี้ขอเอาผลไม้ไปขายก่อนนะคะ”

“วันนี้ขายดีนะ เห็นมาเอาไปหลายกระจาดแล้วนี่” นทนทีมองวารีกระเดียดกระจาดเข้าเอว

“ช่วงต้นเดือนก็แบบนี้ละคะพี่” วารีเดินไปหยิบส้มโอผลโตที่เก็บไว้ต่างหากออกมาจากชั้นวางของ

“แล้วจะเอาส้มโอไปทำไมเหรอวา ไม่ได้เอาไว้กินเหรอ” นทนทีถามน้องสาวด้วยช่วงนี้ไม่ค่อยมีส้มโอไว้ขายมากนักด้วยไม่ใช่น่าของมัน เห็นน้องสาวเก็บไว้ก็คิดว่าจะเอาไว้กินเอง

“คุณน้าคนสวยเขาสั่งไว้นะคะ วาเลยเก็บเอาไว้ให้ คงจะมาช่วงบ่ายๆนี่ละคะ” วารียิ้มบางก่อนจะเดินไปยังแผงผลไม้ที่มีมารดาเฝ้าอยู่

“อืม แล้วตอนเย็นพี่จะไปช่วยเก็บแผงนะ”

“ค่ะพี่”


XXXXX


“วา แม่เข้าบ้านก่อนนะลูก” มารดาวารีเอ่ยขึ้นเมื่อตะวันคล้อย

“คะ เดี๋ยวที่เหลือวาดูเองคะ” วารียิ้มส่งมารดาเดินกลับบ้าน แต่จริงๆไม่ได้กลับเข้าบ้านหรอก มารดาจะเดินเข้าไปในสวนโน้นแนะ ไปดูผลงานที่ให้คนงานทำไว้ตั้งแต่เช้านั่นละ

หญิงสาวคิดพลางเหลือบมองผลส้มโอลูกโตที่เก็บเอาไว้หน้าคุณน้าคนสวยที่วารีแอบตั้งฉายาให้ในใจ ทั้งๆที่ไม่เคยกล้าจะถามชื่อแซ่ เรียกแต่คุณน้าๆมาตลอดหลายปี แต่วารีก็ยินดีที่จะบริการอย่างเป็นมิตรและเต็มใจ เพราะคุณน้าคนสวยพูดเพราะ ใจดี แม้แรกๆจะดูเชิดหยิ่งอย่างคนมีฐานะ แต่ก็สู้อุตส่าห์ยิ้มไว้ ด้วยเพราะเป็นลูกค้าอย่างหนึ่งละ และถึงจะจู้จี้จุกจิกเลือกผลไม้ทีเป็นนานสองนาน ก็จะพยายามช่วยเลือกผลที่สวยๆดีๆให้ เพราะอยากให้ลูกค้าพอใจและกลับมาซื้ออีก นานเข้าก็แถมให้อีกด้วย ยังไงก็ของปลูกเอง ไม่ได้ผ่านพ่อค้าคนกลาง แถมยังไงก็ไม่จนขึ้นมาอีกหรอก และนั่นละทำให้คุณน้าคนสวยเริ่มยิ้มและพูดคุยด้วยบ่อยๆ ทั้งคุณน้าคนสวยก็ซื้อผลไม้เยอะมาก จนบางทีก็ตกใจว่าซื้อไปทำไมเป็นสิบโล พอถามไป ก็ได้รับคำตอบว่าซื้อไปฝากเพื่อน ของที่นี่อร่อย ทำเอาวารีปลื้มไปหลายวัน จนเดี๋ยวนี้เริ่มคุ้นเคยและสามารถทำได้มากกว่าการยิ้มให้กัน เพราะถูกชะตากันละมั้ง แต่วันนี้คุณน้าคนสวยยังไม่มาเลย รึจะติดธุระ แต่ส่วนมากถ้าไม่มาเองก็จะให้คนมาเอา รอหน่อยแล้วกัน...

วารีมองตะวันที่เริ่มทอแสงสีส้มอ่อน แล้วจึงก้มหน้าก้มตาทยอยเก็บของ รอพี่ชายมาช่วยขนเข้าไปเก็บในบ้าน

“หนู...” เสียงเรียกคุ้นหูทำให้วารีเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่

“คุณน้า! สวัสดีคะ” วารียกมือไหว้หญิงสูงวัยแต่ใบหน้ากลับไม่ได้สูงวัยตามไปด้วย วันนี้คุณน้าคนสวยสวมใส่ชุดสูทสีขาวนวลดูกระจ่างตา ทรงผมที่ถูกจัดแต่งมาอย่างดีมีประกายเฉดสีน้ำตาลอมแดงนิดๆ ริมฝีปากประดับรอยยิ้มน้อยๆทำให้ใบหน้าดูนุ่มนวลอ่อนโยน

“ขอโทษนะหนู พอดีน้ามีธุระเลยมาเอาของช้า จะเก็บร้านแล้วหรือจ๊ะ”

“คะ แต่หนูเก็บผลไม้ที่น้าสั่งไว้ให้อยู่นะคะ” วารียิ้มจนตาหยี ก่อนจะก้มหน้าลงไปหยิบผลส้มโอใต้โต๊ะ และหยิบกล้วยหอมทอง 2 หวี กับชมพู่ทับทิมจันทร์ 5 กิโลใส่ถุงให้ตามที่สั่งไว้ พร้อมกับเลือกกระท้อนผลโตในกระจาดแถมใส่ให้อีก 3-4 ลูก

“แถมอีกแล้ว ไม่ต้องหรอกหนู” คุณน้าคนสวยแสร้งทำตาดุ ก่อนจะหยิบธนบัตรส่งให้เป็นค่าผลไม้

“หนูอยากให้คุณน้าลองชิมดูนะคะ ช่วงนี้กระท้อนจะอร่อยมากเลยคะ ที่สำคัญทานแล้วไม่อ้วน” วารีแกล้งสัพยอกด้วยรอยยิ้ม จนอีกฝ่ายต้องหัวเราะตามไปด้วย

“คนอายุมากแล้วมันก็อย่างนี้ละหนู จะกินอะไรมันก็ต้องระวังกันนิด โรคมันเยอะน่ะหนู หนูก็ระวังอย่าทำกับข้าวมันๆให้คุณแม่ทานบ่อยๆนะ อายุมากแล้วทานของพวกนี้ไม่ค่อยดีกับสุขภาพ”

“คะ หนูก็ระวังอยู่เหมือนกัน ยิ่งตอนนี้เป็นโรคความดันสูงอยู่ด้วย”

“นั่นละ ต้องระวังมากๆเลยละ แล้ววันนี้ทำอะไรทานกันตอนเย็นละเนี่ย” หญิงสูงวัยชวนเด็กสาวคุยอย่างทอดเวลา

“ฮะๆเก็บร้านเสร็จก็จะเข้าไปทำแกงเขียวหวานไก่นะคะ”

“ทำยากนะนั่น เย็นแล้วไม่ลำบากทำเหรอจ๊ะ”

“อ๋อ พอดีมีคนขูดมะพร้าวไว้ให้นะคะ หนูเลยแค่ไปปรุงอย่างเดียว”

“หือ...อ๋อ หนูมีพี่ชายนี่นะ รักกันดีจังนะพวกหนูนี่ ไม่เหมือนลูกน้า อยู่ไม่ค่อยติดบ้านกันซักคน” หญิงสูงวัยพยักพเยิดหน้าไปทางบ้าน

“หึๆไม่ใช่พี่นทหรอกคะ พอดีวันนี้เพื่อนพี่นทมาเที่ยวบ้านเลยอาสาขูดมะพร้าวให้นะคะ” วารียิ้มพลางส่งเงินทอนให้

“เอ๋...เพื่อนพี่หรือแฟนกันจ๊ะ” เมื่อคุณน้าคนสวยแสร้งทำตาเหมือนรู้ทันเด็ก ทำให้วารีหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะปฏิเสธ

“ไม่ใช่หรอกคะ เพื่อนพี่ชายจริงๆคะ”

เมื่อเด็กสาวปฏิเสธอย่างแข่งขัน คุณน้าคนสวยก็เลิกคิ้วขึ้นมองอย่างแปลกใจ

“แล้วไม่มีแฟนกับเขาบ้างหรือจ๊ะ หนูหน้าตาออกจะน่ารัก”

“ก็...ก็ไม่มีหรอกคะ หนูภาระเยอะ ไม่อยากพาใครมารับภาระตรงนี้ด้วยหรอกคะ” หนูไม่มีแฟนจริงๆนะคะ ก็หนูกับพี่นลไม่เคยตกลงวาจาเป็นแฟนกันซักที แค่รับรู้ในการกระทำต่อกันเท่านั้นเอง

“หนู เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่เขาไม่ได้เรียกว่าภาระหรอกนะ เขาเรียกว่ากตัญญูจ๊ะ”

“คะ...ไว้หนูจะรอคนที่เขาเข้าใจหนูก็แล้วกันคะน้า” วารียกยิ้มให้คนน้าคนสวย

หญิงสูงวัยดูจะพออกพอใจในการสำรวมกริยาของเด็กสาว ก่อนจะจบบทสนทนาด้วยการหยิบถุงผลไม้ส่งให้คนขับรถที่ยืนรออยู่ห่างๆรับไปใส่รถยนต์

“ไปก่อนนะหนู ไว้น้าจะมาซื้อใหม่ เออ! จริงสิ จะถามว่าหนูรับจัดกระเช้าผลไม้ด้วยรึเปล่าจ๊ะ เอาที่หนูขายอยู่นี่ละ น้าจะเอาไปเยี่ยมคนป่วยหน่อย”

“อ๋อ...หนูจัดให้ได้คะ แต่ใครเป็นอะไรหรือคะ”

“เพื่อนน้าไปนอนให้หมอผ่าไส้ติ่งน่ะจ๊ะ ถ้าหนูจัดได้ งั้นพรุ่งนี้น้าจะให้คนขับรถมาเอาตอนเช้าๆนะจ๊ะ”

“คะ” วารีรับคำแล้วจึงเดินไปส่งถึงรถ ก่อนจะกลับมาเก็บแผงต่อจนเสร็จ อนลจึงเดินออกมาช่วยขนกระจาดกลับไปเก็บในบ้าน

“ไงน้องวา ขายดีมั้ย”

“คะ ก่อนเก็บร้านก็ขายได้หลายร้อยเลยคะ คุณน้าคนสวยมาที่ไร วันนั้นวารวยไปเลย” วารีหัวเราะให้ชายหนุ่มยกมือขึ้นขยี้ศีรษะอย่างเอ็นดู

“เห็นพูดถึงบ่อยๆ พี่ไม่เคยได้เห็นหน้าคุณน้าคนสวยของวาซักที”

“ก็พี่นลอยู่ในบ้านนี่คะ”

“เอาเถอะๆ วันไหนว่างๆพี่จะมานั่งขายด้วยซะเลย จะได้เห็นตัว ว่าแต่ไม่ลืมสัญญานะ แกงเขียวหวานไก่” อนลแสร้งหรี่ตาลงข้างหนึ่ง ทวงสัญญากับเด็กสาว

“ค๊า...ไม่ลืมหรอกคะ ว่าแต่ขูดมะพร้าวเสร็จยังหรอก”

“ฝีมือ แถมคั้นกะทิให้ด้วย”

“ว๊า ต้องกินขี้มือพี่นลเหรอ”

“เดี๋ยวเหอะ อร่อยแล้วอย่ามาขอให้ทำอีกละกัน”

สองหนุ่มสาวเดินคุยหยอกล้อกันไปจนเกือบถึงบ้านก็ได้ยินเสียงประวิชตะโกนไล่หลังมา

“อ้าว...พี่วิช มาหาพี่นทเหรอคะ” วารีเอ่ยทักเพื่อนพี่ชายที่หน้าตาเหมือนคนอดนอน

“จ๊ะ พี่นทของเราอยู่มั้ยละ” ประวิชดึงกระป๋องในมือหญิงสาวไปถือซะเอง

“อยู่คะ” วารีพยักหน้าพร้อมคำตอบ

ประวิชมองน้องชายคนที่ถูกเขาต่อยหน้าไปเมื่อคืน แล้วจึงลอบถอนหายใจ

“พี่ของนลมาด้วยรึเปล่า” ประวิชเอ่ยถาม

“ไม่ได้มาหรอกพี่ เห็นออกไปไหนตั้งแต่เช้าก็ไม่รู้” อนลยกยิ้มพลางส่ายหน้า “พี่วิช วันนี้อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันนะครับ น้องวาเขาจะแกงเขียวหวานไก่”

“หืม...จะอวดว่าตัวเองขูดมะพร้าวเองก็ว่ามาเถอะพี่นล” วารีแกล้งแซวจนอนลหมั่นเขี้ยวต้องยกมือขึ้นขยี้ผมให้หญิงสาวเอี้ยวตัวหนีเป็นพัลวัน

ทั้งสามเดินไปถึงบ้านจึงเห็นนทนทีเดินออกมาจากในบ้าน ใบหน้านวลเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นประวิชเดินตามมาด้วย แล้วจึงยกยิ้มบางเบาให้เพื่อนสนิท

“อยู่กินข้าวด้วยกันนะ” นทนทีเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แม้จะสังเกตเห็นร่อยรอยความอ่อนล้า วิตกกังวลในดวงตา

“อืม” ประวิชพยักหน้ารับคำเพียงแผ่วๆ

“งั้นไปนั่งคุยที่ใต้ต้นมะม่วงมั้ย เดี๋ยวปอกเขียวเสวยให้กิน” นทนทีพยักหน้าไปทางโต๊ะหินขัด แล้วจึงหันกลับไปส่งเสียงให้วารีและอนลที่เดินเข้าไปในครัวได้ยิน

“วา ข้าวเสร็จแล้วเรียกพี่นะ พี่นั่งอยู่หน้าบ้านนี่ละ” เมื่อน้องสาวส่งเสียงตอบมา นทนทีจึงเดินนำเพื่อนไปยังโต๊ะหินขัดใต้ต้นมะม่วงใหญ่
.
.
.

หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 3-4.......รักของนาย กับ รักของฉัน????
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 06-10-2009 12:05:39
ประวิชนั่งมองร่างโปร่งข้างๆปอกเปลือกมะม่วงอย่างไม่รีบร้อน เสร็จแล้วจึงเฉาะเป็นชิ้นใส่จาน นทนทีเหลือบมองเพื่อนตัวโตที่นั่งใบ้กิน ก่อนจะหยิบชิ้นมะม่วงยัดใส่มือใหญ่แล้วตนเองจึงหยิบขึ้นมากินบ้าง ร่างสูงใหญ่มองอีกฝ่ายกัดชิ้นมะม่วงเคี้ยวตุ้ยๆ จึงระบายลมหายใจออกมา พลางมองชิ้นมะม่วงในมือแล้วค่อยๆละเลียดกัดกินอย่างเงียบๆเหมือนจนด้วยคำถาม ทั้งๆที่ก่อนมาเขามีเรื่องจะถามมากมาย

“นี่...จะไม่ถามอะไรฉันเหรอประวิช” นทนทีทอดสายตาไปยังสวนหลังบ้าน ก่อนจะเหลือบตามองร่างสูงที่เบิกตากว้าง รอยยิ้มเปิดเผยของนทนทีทำให้ประวิชรู้ว่าอีกฝ่ายพร้อมจะตอบทุกคำถาม

“อยู่ๆฉันก็ไม่รู้จะถามอะไรนายดี” ประวิชหน้าก้มลงมองพื้น

“มันงงน่ะนท นายคบกับเจ้าวีแบบนั้นจริงๆเหรอ ฉันไม่อยากจะเชื่อ เมื่อก่อนนายยังไม่ชอบขี้หน้ากันเสียด้วยซ้ำ”

คำถามที่พรางพรูของประวิชทำให้นทนทีรู้สึกหนักอกไม่น้อย แม้จะเตรียมใจไว้แล้วก็ตาม ทำให้ร่างโปร่งวางชิ้นมะม่วงที่เหลือในมือ แล้วถอนหายใจออกมาหนักๆให้อีกฝ่ายได้ยินเสียง

“ก็ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วละ” นทนทีหันมายิ้มแห้งๆให้เพื่อนแล้วจึงเล่าต่อ

“ฉันมีความสัมพันธ์กับวีก่อนจะเรียนจบ หึๆ จะบอกว่าเรื่องมันเกิดขึ้นเพราะฉันก็ว่าได้ แต่อย่าถามมากกว่านี้นะ ฉันไม่เล่าหรอก” นทนทียิ้มกว้างพลางเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ทอดสายตาไปยังต้นไม้สีเขียวครึ้มในสวน

“แล้วพอมีครั้งที่หนึ่ง มันก็มีครั้งต่อๆมา แล้วก็ล่วงเลยมาจนเดี๋ยวนี้ละ” ร่างโปร่งบางก้มหน้ารอคอยอีกฝ่ายจะเอื้อนเอ่ยอะไรออกมา ถึงจะถูกรังเกียจ เขาก็น้อมรับแม้จะเสียใจก็ตามที

“นายปล่อยให้มันเลยตามเลยงั้นหรือนท” แววตาเต้นระริกของเพื่อนทำให้นทนทีต้องยกยิ้มปลอบใจตัวเองและเพื่อนตัวโต

“นายคิดว่าฉันเป็นงั้นเหรอ”

“ไม่...ไม่เลย” ประวิชส่ายหน้า

“ก็นั่นละ...แม้จะเริ่มต้นไม่ดีแต่มันก็มีความผูกพัน มีเยื่อใย อะไรหลายๆอย่างทำให้พวกเรายังคบกัน”

“นท...” ประวิชครางเครือ แล้วหลับตาลงอย่างต้องการทบทวนสิ่งที่อยู่ในหัว

“ฉันเป็นอะไรของนายกันเนี่ย เกิดเรื่องถึงขนาดนี้นายยังไม่ยอมเล่าอะไรให้ฉันฟังเลยเหรอ โธ่เว้ย!” ประวิชยกมือขึ้นบีบต้นแขนร่างโปร่ง เขาเสียใจ ณ เวลานั้นเขาอยู่กับนทนทีตลอดแต่เขาไม่เคยรู้เลย...แม้แต่ไผ่ยังรู้ แล้วเขามัวทำอะไรอยู่ถึงไม่สังเกตเห็น

“ประวิช เรื่องมันผ่านมาแล้ว แล้วฉันก็ไม่คิดจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นายฟังด้วยละ...ฉันไม่กล้าหรอก ใช่...ในตอนแรกฉันไม่กล้า แต่เมื่อผ่านไปฉันก็คิดว่า ฉันควรจะจัดการชีวิตของฉันเอง ถ้าคอยแต่อาศัยนายหรือคนอื่นๆไปเรื่อยๆ แล้วต่อไปฉันจะอยู่ได้ยังไง ฉันไม่อยากเป็นอย่างนั้นนะวิช และก็ไม่อยากให้นายโทษตัวเองด้วย”

“ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ฉันไม่นึกว่านายจะคิดแบบนี้ ฉันเป็นห่วงนายมาตลอด ฉันกังวลว่านายจะอยู่สุขสบายดีมั้ย แล้วนายยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น โดยนายจะบอกฉันว่า ท้ายที่สุดนายเต็มใจเป็นแบบนี้เหรอ ฉันไม่ยอมหรอก” ร่างสูงที่เริ่มคุมความคิดอันสับสนวุ่นวายใจไม่อยู่นิ่วหน้ากระสับกระส่าย ก่อนที่มือขาวนวลจะกุมลงบนมือใหญ่แล้วบีบเบาๆ

“วิช...ใจเย็นๆ แล้วมองฉันนะ” นทนทีมองลึกลงในดวงตาคู่ยุ่งเหยิง

“วิช...ฉันดีใจที่นายไม่เคยทอดทิ้งฉัน เป็นห่วงเป็นใยฉันมาตลอด แต่ฉันเป็นเพื่อนนายนะ ไม่ใช่โซ่ที่คอยล่ามนาย อย่ารับมาเป็นภาระตัวเองนักเลย” นทนทีมองเพื่อนนั่งนิ่ง เอาแต่นั่งจ้องหน้าเขา แต่ในหัวคงกำลังลำดับความคิดความรู้สึกอย่างช้าๆ พูดไปก็เพิ่งเคยเห็นประวิชเดือดเนื้อร้อนใจขนาดนี้ แต่เขาก็อยากให้ประวิชเข้าใจ ถึงจะเห็นแก่ตัวก็ตามที

“แต่ฉันเต็มใจจะรับภาระนี้นี่ นายสำคัญกับฉันนะ ถ้านายยังถูกเจ้าวีบังคับ นายบอกฉันสิ ฉันเต็มใจช่วยนายอยู่แล้ว” ประวิชยกมืออีกข้างขึ้นทาบมือเล็ก

“วิช...” นทนทีชั่งใจกับความคิดตัวเองก่อนจะเอ่ยบอกเพื่อน

“นายกำลังหวงฉัน เพราะนายอยู่ข้างตัวฉันตลอดเวลา แม้จะห่างกัน แต่นายก็คอยมาถามสารทุกข์สุกดิบไม่ได้ขาด แต่มาวันนี้ นายรู้สึกว่าที่ตรงนี้ถูกคนอื่นแย่งไป นายก็เลยรู้สึกไม่พอใจ เหมือนพี่หวงน้อง น้องหวงพี่ ฉันคิดถูกมั้ย” นทนทีตั้งคำถามที่เหมือนจะทะลุเข้าไปในใจร่างสูงฉับพลัน

“...!” ประวิชผงะก่อนจะนิ่งเงียบลง แล้วเริ่มค้นคว้าใจที่ร้อนรนของตัวเองชั่วครู่ ดวงตาคู่อ่อนโยนปิดสนิทแล้วเงยหน้าให้ลมเย็นๆโลมไล้

มุมปากได้รูปยกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะก้มศีรษะเอามือปิดหน้าแล้วขยี้แรงๆ

“หึๆ...ฉันอยากจะบ้าตาย...นายพูดโดนใจฉันที่สุดเลย ใช่...ฉันกำลังหวง ฮะๆ เพิ่งรู้นะว่าตัวเองหวง” ประวิชระบายลมหายใจยืดยาว แล้วจึงหัวเราะใส่ตัวเอง

“ฉันควรเคารพการตัดสินใจของนายใช่มั้ยนท” ประวิชวางใจตัวเองนิ่งก่อนจะบอกกับตัวเอง

ใช่...เขาไม่ใช่เจ้าชีวิตใคร

เขายื่นมือเข้าไปโอบอุ้มเพื่อนได้ แต่ไม่ใช่การเข้าไปบงการชีวิต!

นทนทีมองใบหน้าเศร้าหมองของเพื่อนเริ่มมีสีเลือดบนใบหน้า แล้วในรู้สึกโล่งอก ความรู้สึกหนักอึ้งเมื่อครู่จึงค่อยๆจางหาย แต่...เขาก็ยังผิดกับเพื่อนคนนี้อยู่ดี

“ฉันขอโทษวิช...”

ประวิชมองเพื่อนก้มหน้ามองพื้นให้รู้สึกเห็นใจ เมื่อสามารถลอยตัวเองอยู่เหนือความรู้สึกสับสน จึงมองเห็นความทุกข์ร้อนและปัญหาในทางที่เพื่อนเลือก

“เฮ้อ...จะขอโทษฉันทำไม ที่ผ่านมานายก็คงทุกข์ใจไม่น้อยใช่มั้ยละ” มือใหญ่ประสานกันที่เข่าพลางยืดตัวเพื่อสูดอากาศเย็นๆเข้าปอด

“หึๆก็สุกๆดิบๆไปตามเรื่องละนะ” นทนทีแยกเขี้ยวยิ้ม ก็ดูตอนนี้สิ ยังทะเลาะกันอยู่เลย

“นท” ประวิชเงียบไปชั่วครู่ใหญ่แล้วจึงกลั้นใจถาม

“นายรักเจ้าวีมันจริงๆหรอ”

นทนทีดูจะอึ้งไปกับคำถามไม่อ้อมค้อมของเพื่อน แล้วจึงพรางพรูลมหายใจออกมายืดยาว

“รักสิ...แต่ฉันไม่เคยบอกเจ้านั่นหรอกนะ” คำบอกกล่าวของเพื่อนทำให้ประวิชเลิกคิ้วถาม รักกันแล้วทำไมถึงไม่บอกความรู้สึกของตัวเองให้อีกฝ่ายรับรู้ละ คนเราถ้าไม่พูดไม่สื่อสารให้อีกฝ่ายรับรู้ แล้วจะไปเข้าใจกันได้ยังไง

คนนะไม่ใช่เทวดาจะได้รู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไง ต้องการอะไร

แต่อาการหรี่ตามองมาอย่างเจ้าเล่ห์ ทำให้ประวิชต้องหัวเราะออกมาอย่างสุดกลั้น

“บอกไปก็เหลิงกันพอดีนะสิ” หึ...แค่นี้ก็มีคนล้อมหน้าล้อมหลังจะแย่อยู่แล้ว ถ้ารู้ว่าฉันยินดีมอบกายถวายใจให้ มีหวังต้องเป็นลูกไก่ในกำมือเจ้าทึกนั่นแหงๆ

เจ้าคนเอาแต่ใจ เกิดมามีแต่คนคอยโอ๋ อยากได้อะไรเป็นต้องได้ เคยตัว! ฉันไม่ยอมหรอก เรื่องอะไรจะให้ถือไพ่เหนือกว่า แม้เรื่องอื่นไม่อาจเทียบได้ก็จริง แต่ใจเท่านั้นที่ฉันจะยึดให้เป็นของฉัน

ฉันไม่ยอมเป็นลูกไก่ในกำมือ แต่จะเป็นคนที่เดินไปพร้อมกันต่างหาก

แววตาหมายมาดของเพื่อน ยิ่งตอกย้ำในใจของร่างสูงใหญ่ให้รู้ว่าเพื่อนได้ตัดสินใจกับเรื่องนี้มาเนิ่นนานแล้ว แล้วเขาละ เขาจะต้องทำตัวยังไงกับเพื่อน เพื่อนที่ชอบเพศเดียวกัน คงจะถูกสังคมมองว่าแปลกประหลาดและวิภาษวิจารณ์ มีความกดดันอยู่ไม่น้อยเลย

ประวิชก้มหน้ามองมือแล้วบอกกับตัวเองว่า มือนี้จะคอยประคองและอยู่เคียงข้างตลอดไป... ร่างสูงเงยหน้ามองใบหน้าขาวนวล มือใหญ่ยกขึ้นโอบบ่าเล็กเข้ามาใกล้ตัวแล้วจึงเขย่าเบาๆ

“ฉันรักนาย รักอย่างเพื่อนที่พร้อมจะทำทุกอย่างให้เพื่อนได้” ประวิชยกยิ้ม

“ดีนะที่ได้มาคุยกับนายวันนี้”

“อืม...” นทนทียิ้มรับ พลางสวมกอดเพื่อนที่ไม่เคยทอดทิ้งตน

“ฉันก็เหมือนกัน ฉันกลัวนะ กลัวว่านายจะไม่ยอมรับฉัน ถ้าได้รู้” ร่างโปร่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงอู้อี้

“บ้าน่า...” ร่างสูงตอบรับแรงโอบกอดของเพื่อนด้วยน้ำตาที่คลอขัง เพราะนทนทีก็ใช่ว่าจะสบายใจที่ปิดเงียบมาตลอด

“ขะ...ขอบคุณ...ขอบคุณ” ร่างเล็กพยักหน้าหงึกหงัก ความอึดอัดคับข้องใจค่อยๆมลายหายไป เมื่อมีเพื่อนมารับฟังพร้อมทั้งให้ความเข้าใจ เขาจะไม่รู้สึกเดียวดายเคว้งคว้างอีกต่อไปแล้ว ก่อนจะคลายวงแขนที่กระชับแน่นออก

“แล้วนายมาคนเดียวเหรอ ไผ่ละ นัดกันมารึเปล่า” นทนทียกหลังมือขึ้นปาดจมูกที่เปียกชื้น

“จะชวนเจ้ายุ่งนั่นมาทำไม ขืนชวนมาเป็นไม่ได้คุยกันแบบนี้หรอก ชอบทำวงแตกเรื่อย เจ้านั่นน่ะ” ร่างสูงย่นจมูกแสร้งทำไม่ชอบใจ ทั้งๆในใจก็นึกกังวล แต่เรื่องนี้เขาอยากมาคุยและฟังจากปากนทนทีเองมากกว่า จึงไม่ได้บอกไผ่

เฮ้อ...ปานนี้คงไปนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อรอที่บ้านเขาแล้ว กลับไปเมื่อไรเป็นโดนซักยังกับเขาเป็นนักโทษก็ไม่ปาน ฐานที่ไปไหนไม่บอก มันเป็นเพื่อนหรือเป็นอะไรของเขากันแน่ฟะ!

“ว่าไปนั่น ไผ่เขาเป็นห่วงนายนะ” นทนทีเลิกคิ้วมองเพื่อนตัวโต ด้วยรู้ว่าไผ่รู้สึกยังไงกับประวิช แต่คนตรงหน้านี่สิ ดูถ้าจะยังไม่รู้สึกตัว ไผ่เองคงลำบากใจไม่น้อย เพราะจะเปิดเผยออกไปก็คงกลัวประวิชรับไม่ได้ แต่จะอยู่เคียงข้างก็คงทรมาน ยิ่งถ้าต่อไปประวิชมีครอบครัว แล้วไผ่จะไปอยู่ตรงไหนของใจประวิช

“เออ เรื่องนั้นน่ะรู้น่า” ประวิชลุกขึ้นยืนตามร่างโปร่ง เมื่ออนลส่งเสียงชวนกินข้าวมาจากในบ้าน

“แต่นท...วันข้างหน้าคงมีเรื่องให้นายต้องลำบากใจมากมาย อดทนนะ” ประวิชตบบ่าเล็กเบาๆ ในขณะที่นทนทีเข้าสวมกอดเพื่อนแนบแน่นอีกครั้ง

“นายก็ด้วยนะ” นทนทียกยิ้มเมื่ออีกฝ่ายขมวดคิ้วกับคำพูดของตน แล้วจึงส่ายหน้าช้าๆ กับตัวเอง ด้วยไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายความรู้สึกของเพื่อน เมื่อไผ่พร้อม ไผ่คงพูดกับประวิชเอง ตอนนี้อยู่ที่เวลาแล้วละ แล้วก็คงจะเป็นเวลานับถอยหลังซะด้วย

พอสบายอกสบายใจทำให้นทนทีกระหวัดนึกถึงคู่กรณีที่หายเงียบไปตั้งแต่เมื่อคืน ธรรมดาเป็นต้องตามมาอาละวาดไปแล้ว มันจะเหมือนเวลาสงบนิ่งก่อนมีพายุหรือเปล่าหว่า...

“ปะ...ไปกินข้าวกันเถอะ” ประวิชพยักหน้าตามคำชวนของนทนที แต่แสงไฟนีออนบริเวณหน้าบ้านก็สว่างพรึบขึ้นมาทำให้คนทั้งคู่หยุดชะงัก

“วาคงเปิดให้มั้ง” นทนทีมองไปรอบๆบ้าน ด้วยเป็นเวลาพลบค่ำวารีที่อยู่ในบ้านคงกดสวิตซ์เปิดไฟให้ เมื่อแสงไฟสาดส่องไปทั่วบริเวณหน้าบ้าน ร่างเล็กๆยืนเป็นเงาตะคุ่มๆก็ปรากฏขึ้นในสายตาของคนทั้งสอง

“อะ!” นทนทีเพ่งมองร่างเล็กที่ยืนนิ่งชั่วขณะ แล้วจึงค่อยขยับเดินเข้ามาใกล้

“ไผ่! นี่ ทำไมมาเงียบๆ” ร่างโปร่งเดินเข้าไปหา

“ไม่เห็นจะเงียบ ก็เดินมาธรรมดานี่” น้ำเสียงที่ร่าเริงดุจเดิมของไผ่ นทนทีจึงคลายความกังวล ด้วยปกติเพื่อนจะเดินส่งเสียงโหวกเหวกมาแต่ไกล

“นี่...มาไม่เห็นบอกเลย” ประวิชถามเมื่อไผ่เดินมาถึง จุดประสงค์เพราะเจ้านี่จะบ่นเป็นหมีกินผึ้งเวลามาเอง เขาต้องไปรับเสมอ อย่างน้อยที่ปากซอยหน้าบ้านก็เอา!

แต่สายตาที่ตวัดเหลือบแลมาทำให้ใจของประวิชหล่นวูบอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะกับเป็นปกติในฉับพลัน

“ก็ลองมาเองบ้างจะเป็นไร อาศัยจมูกคนอื่นหายใจมาตั้งนาน เขาคงเบื่อแย่”

“นี่พ่อคุณ เพิ่งจะรู้ตัวเรอะ” ประวิชแกล้งพูดสำทับ แต่ดวงตาที่ไหววูบและสลดลง ก็ทำให้ใจของประวิชสั่นอย่างแรง จึงขยับเข้าไปใกล้ร่างเล็ก

“ไม่เอาน่ะ ล้อเล่น ปะ...กินข้าวกัน น้องวาทำแกงเขียวหวานไก่ไว้ด้วย นายชอบใช่มั้ยละ” ประวิชดันศอกเล็กให้เดินนำหน้า แต่อีกฝ่ายกลับเดินตัวปลิวหนีห่างออกไป จนร่างสูงรู้สึกใจหายแวบ

“ฉันได้กลิ่นมาตั้งแต่ลงรถแล้ว หึๆ” ไผ่เหลือบมองร่างสูงแล้วจึงส่งยิ้มให้จนปากจะฉีกถึงหู ก่อนจะหันตัววิ่งเข้าไปในบ้านทำเหมือนคนหิวขนาดหนัก

ประวิชเลิกคิ้วให้กับแววตาที่เคลือบด้วยรอยยิ้มเกินจริง แต่เพียงเสี้ยววินาทีที่ปิดบังแววตาสิ้นหวังไว้ไม่มิดทำให้ใจเขากระตุก ไปเอาแววตาสิ้นหวังแบบนั้นมาจากไหนกัน เขาไม่เคยเห็น ไม่เคยเห็นมาก่อน

ไผ่เดินก้มหน้าก้มตาเดินเข้าไปในครัว ทักทายอนลกับน้องวาแล้วรีบเปิดหม้อแกงเขียวหวานไก่หยิบทัพพีตักใส่ถ้วย

ทัพพีที่หนึ่ง...

ทัพพีที่สอง...

ทัพพีที่สาม...ต่อไปไม่ต้องมาจำแล้ว...ฉันจะปล่อยนายไป จะไม่มายุ่งวุ่นวายในชีวิตนายอีก

ร่างบางกลั้นสะอื้นไว้ในอก แล้วรีบยกถ้วยแกงมาวางบนโต๊ะอาหาร ร่างสูงใหญ่ที่เดินตามเข้ามามองสบตาร่างเล็กที่ส่งยิ้มมาให้อย่างแปลกๆ

ไผ่ลอบชำเลืองมองนทนทีเดินเข้ามาสมทบ เขาไม่ได้หึงนทนทีเลยกับสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตัวก็คือ ประวิชไม่เคยรู้สึกกับเขามากกว่าคำว่าเพื่อน เขาก็ไม่ได้ต่างอะไรกับนทนที เขาสามารถอยู่เคียงข้างได้ แต่ไม่สามารถมาบรรจบกันได้

น่าจะพอได้แล้วละ...หยุดซะทีเถอะไอ้ไผ่เอ๊ย...ฝันลมๆแล้งๆอยู่ได้ทุกวัน

“ไผ่...เป็นอะไรรึเปล่า” เสียงกระซิบใกล้หู ทำให้ร่างเล็กจำต้องเงยหน้ามองประวิชแล้วฉีกยิ้มอีกรอบ

“เปล่านี่ หิวจนตาจะลายแล้ว เมื่อกี้ฉันนั่งรถเลยไปตั้งหลายป้ายแน่ะ เดินกลับมาเหนื่อยแทบตาย”

ประวิชมองไผ่อย่างค้นคว้าแล้วจึงฉวยถ้วยแกงในมือมาถือให้

“ฉันช่วย นายไปนั่งเถอะ” ร่างสูงรุนหลังไผ่ไปโต๊ะอาหาร โดยที่คนอื่นนั่งกันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว

ระหว่างทานข้าวประวิชคอยลอบชำเลืองมองร่างเล็กที่ดูจะตลกโปกฮาเกินเหตุ เห็นอะไรพูดอะไรเป็นหัวเราะร่วน มันทะแม่งๆพิกลจนทานเสร็จ ร่างสูงจึงได้ชวนไผ่กลับบ้าน

“กลับยัง ฉันไปส่ง” ประวิชมองหน้าไผ่เหมือนจะให้ลึกไปถึงใจว่าคิดอะไรอยู่ แต่อีกฝ่ายก็ยิ้มจนตาหยีตอบกลับมา

“อืม...ไม่ต้องหรอก พอดีฉันจะไปธุระที่อื่นด้วยน่ะ” ไผ่ลุกขึ้นเอ่ยลาเจ้าของบ้าน แล้วจึงเดินออกไปโดยไม่คิดจะรอประวิช ทำให้นทนทีมองตามด้วยความแปลกใจ

ไผ่...นทนทีครางเครือ เขาก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติของเพื่อนอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าไผ่มาเห็น...แล้วเข้าใจเขากับประวิชผิดไปหรอกนะ...นทนทีมองประวิชเดินตามหลังไผ่ไปติดๆก่อนจะถอนหายใจออกมา

“ไผ่...รอด้วย” ประวิชเดินมาทันแล้วเกี่ยวแขนเล็กให้หยุด

“ไปธุระที่ไหนละ ฉันไปส่งให้ ปะ...ไปที่รถ” ประวิชตั้งท่าจะลากร่างเล็กไปตามแรงมือ แต่ไผ่กลับจิกเท้าลงกับพื้นดินแน่นไปยอมไปตามคำชวน ในขณะที่ริมฝีปากก็ยกยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน

“ไม่เป็นไร ฉันไปหาเพื่อนนะ”

“เออ...ก็จะไปส่งให้ไง”

ไผ่หยุดยื้อกับมือใหญ่ เงยหน้ามองใบหน้าคมเข้มแฝงแววความอ่อนโยนให้นึกเจ็บยอกในอก อย่ามาให้ความหวังฉันในขณะที่ฉันกำลังจะทำใจเลิกรักนายเลยนะ...ถ้าสงสารฉัน ยังเห็นว่าฉันเป็นเพื่อน ก็ช่วย...ช่วยเลิกตามใจ เอาใจ แล้วก็มือที่อบอุ่นของนายก็ไปทำให้มันเย็นเฉียบซะบ้าง เวลามาถูกตัวฉันจะได้รู้สึกเย็นไปถึงขั้วหัวใจ

หึๆ ฉันไม่ชอบอากาศหนาว นายก็รู้นี่...ฉันจะได้ไม่เข้าไปใกล้นายไง

แต่ก่อนที่จะระเบิดความรู้สึกในใจออกมา ริมฝีปากบางสีสดก็ขบเข้าหากันแน่น แล้วจึงเอ่ยบอกปัดน้ำใจที่เหมือนน้ำกรดราดลงบนใจให้หลุดเป็นชิ้นๆ

“มันเป็นความลับ แล้วจะให้นายรู้ได้ยังไง...ไปนะ” ไม่รอให้ร่างสูงท้วง ร่างบางก็วิ่งออกไปยังถนนเรียกแท็กซี่แล้วจากไป ทิ้งให้ร่างสูงเดินกลับไปยังรถด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ

“เป็นอะไรรึเปล่าเจ้านั่น” ประวิชบ่นอย่างหัวเสีย

“ความลับบ้าบออะไรกัน บอกฉันไม่ได้น่ะ แบบนี้ฉันเป็นห่วงนะ” ร่างสูงพึมพำมองไปยังทางที่ร่างเล็กจากไปให้นึกหงุดหงิด ก่อนจะตัดใจหันหลังกลับเดินไปยังรถตนเอง

V
V
V
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5 (06/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: โน๊อา ที่ 06-10-2009 12:18:00
มาจิ้มก้น คนระห่ำ  :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5 (06/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: ปี้ปี้ปี้~PalmY ที่ 06-10-2009 12:18:19
เหอะๆ

หายไปไหนไอ้วี !!!


ปล. ไอ้ปาล์มขอยึดคติเดิม

อาเมน !

.
.

Ps. ที่บอกว่าพิมพ์เพี้ยนๆ คือคำแทน คำพูดมันแปลกไงไม่รู้ ปกติตัวเองเป็นคนไม่มีสาระ (ป๊าดด ยอมรับแล้วหรอ)
๕๕๕
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5 (06/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 06-10-2009 12:19:58
ตอนที่ 6


“ไผ่...” นทนทีแนบโทรศัพท์กับหูแน่นรอให้เพื่อนขานรับ ขณะตัวเองนอนมองเพดานบนเตียง ปฏิกิริยาของไผ่เมื่อตอนหัวค่ำทำให้นทนทีนึกเป็นห่วงความรู้สึกเพื่อน

“นท...มีอะไร” น้ำเสียงเหมือนคนดื่มเหล้า และเสียงเพลงที่ดังสอดแทรกเข้ามาในโทรศัพท์ ทำให้นทนทีผงะพลางขมวดคิ้ว

“อยู่ที่ไหนนะไผ่”

“อ๋อ อยู่ร้านเหล้าแถวรัชดาน่ะ”

“ไม่เห็นชวนกันเลย” นทนทีหลับตาลงอย่างอ่อนใจ ถ้าจะแย่แฮะเพื่อนเรา

“ไผ่...” นทนทเงียบไปชั่วอึดใจ แล้วจึงตัดสินใจพูดกับเพื่อน

“มีอะไรคับข้องใจก็บอกฉันน่ะ...ฉันเป็นห่วง”

คำพูดกินนัยของเพื่อนทำให้คนกำลังมึนเพราะฤทธิ์เหล้ายกมือลูบหน้าตัวเอง

“นท...ไม่นี่ ฉันไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย จะมาห่วงกันทำไม” ไผ่แนบหูกับโทรศัพท์อย่างเอาเป็นเอาตายด้วยเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มรอบตัว พลางหันหลังไปมองคนที่มาสะกิด แล้วยืดตัวขึ้นรับริมฝีปากอีกฝ่ายที่ฉกฉวยลงมาอย่างไม่ลังเล

“อืม...” มือเล็กผลักอกหนาออกห่างก่อนจะกรอกเสียงลงในโทรศัพท์

“นท แค่นี้ก่อนนะ เพื่อนฉันมาแล้วน่ะ” ร่างเล็กในมุมมืดของอารมณ์เลี่ยงที่จะคุย ด้วยกลัวจะเผลอระเบิดอารมณ์ตัวเองออกมา

“เดี๋ยวๆไผ่ ฉันมีเรื่องจะพูดด้วย”

“นท...ไว้ก่อนนะ เอาไว้ก่อน”

เสียงตอบกลับมาของเพื่อนทำให้นทนทีไม่สามารถปล่อยเรื่องนี้ให้ยืดยาวต่อไปได้

“เรื่องประวิชน่ะ ฉันอยากพูด” นทนทีรีบกรอกเสียงลงไป ด้วยกลัวเพื่อนจะตัดสาย

“นท...” ไผ่หลับตาลง แล้วจึงยกแก้วเหล้าขึ้นกรอกใส่ปากรวดเดียวหมด

เมื่อรู้สึกว่าเพื่อนนิ่งเงียบรอฟังทำให้นทนทีใจชื้นขึ้นมา

“ไผ่...ฉันรู้ว่านายรู้เรื่องของฉันกับวี และฉันก็รู้ว่านายรู้สึกยังไงกับประวิช แต่สิ่งที่นายเห็นเมื่อเย็นมันไม่ได้มีอะไรเกินกว่าคำว่าเพื่อนนะ จะวันนี้หรือวันหน้าประวิชก็คือเพื่อนฉันนะไผ่” นทนทียกมือขึ้นทาบหน้าผากตัวเอง

“นท...” ไผ่ส่ายหน้ากับโทรศัพท์พลางกำมือบนตักตัวเองแน่น ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่

“เมื่อเย็นนายโกหก...นายมายืนอยู่นานแล้วใช่มั้ยไผ่ แล้วนายก็แปลกไป ฉันกังวลนะ ฉันอยากให้นายพูดกับฉัน” นทนทีกรอกคำพูดรัวเร็วลงในโทรศัพท์

ดวงตากลมรีเบิกกว้างกับคำพูดตรงๆของเพื่อน ริมฝีปากขบเข้าหากันแน่นอย่างสะกดกลั้นเสียงสะอื้นไว้ในอกให้อยู่

“ไม่...นท...ฉันไม่ได้คิดอกุศลแบบนั้นเลย ฉันเข้าใจ และถ้านายบอกว่านายรู้ว่าฉันคิดยังไงกับเจ้าบ้านั่น นายก็ต้องรู้ว่าฉันรู้สึกแบบนั้นมานานแค่ไหนแล้ว” ร่างเล็กขาวนวลท่ามกลางแสงสลัวยกศอกขึ้นวางบนโต๊ะอย่างคนอมทุกข์

“ฉันดีใจที่ได้ยินนายพูดแบบนี้ แล้วก็รู้ว่านายชอบประวิชมาตั้งแต่เรียน”

“ใช่...ตรงเผงเลย มันเกือบสิบปีมาแล้วนะนท”

“งั้นไผ่บอกฉันได้มั้ย ถ้าไม่ได้เข้าใจฉันผิด แล้วนายกำลังคิดอะไรอยู่ ถึงได้ใส่หน้ากากหัวเราะร่าแบบนี้ มันปิดความเศร้าในตานายไม่มิดหรอกนะ”

“นท...นท...ฉัน...” เสียงเหมือนคนเริ่มคุมอารมณ์ไม่อยู่ทำให้นทนทีใจคอไม่ดี ลุกขึ้นนั่งพลางหันไปมองนาฬิกาบนหัวเตียงที่บอกเวลาห้าทุ่มกว่า

“ไผ่...”

“นท สิ่งที่ฉันเห็นวันนี้ ฉันไม่ได้หึงหรือหวง แต่มันทำให้ฉันเข้าใจแล้วว่า ฉันคงเป็นได้แค่เพื่อน ขนาดนายที่เจ้าวิชมันห่วงนักห่วงหนา เจ้านั่นก็ยังรู้สึกกับนายเพียงเพื่อน แล้วฉันละ ฉันที่ทำเรื่องให้มันหัวปั่นมาตลอด มันจะหันมารักฉันเชียวเหรอ”

“ไผ่...” นทนทีครางเครือกับสิ่งที่เพื่อนระบายออกมาด้วยสุ่มเสียงเหมือนคนจะร้องไห้แกมโมโห

“รู้มั้ย เจ้านั่นบอกว่าฉันสำคัญ...แต่ก็ไม่ได้มากกว่าใคร ฉันสำคัญเท่ากับคนอื่นๆ แล้วจะให้ฉันคิดหวังอะไรไปได้อีก มันก็แค่ผู้ชายธรรมดา จะหันมารักเกย์อย่างฉันเชียวเหรอ ฉันเป็นเกย์นท...ฉันเป็น แต่ก็ไม่อยากให้ใครรู้ โดยเฉพาะเจ้านั่น หึๆ นท...นายรู้มั้ยว่าฉันอุตส่าห์วางแผน รอแล้วก็ทำดีทุกอย่าง หวังจะให้เจ้านั่นโอนเอียงให้โอกาสฉันบ้าง แต่ดูสิ ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แล้วจะให้ฉันรออีกทำไม...”

นทนทีนิ่งเงียบฟังเพื่อนด้วยสะท้อนใจ เขาไม่สามารถทำอะไรได้เพราะทั้งคู่ก็คือเพื่อน ถ้าประวิชไม่มีใจให้ไผ่เขาจะไปว่าอะไรได้ นอกจากให้ไผ่ทำใจเท่านั้น

“นท...ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรคิดนอกลู่นอกทางกับเพื่อน แต่ต่อไปนี้ฉันจะทำใจนะ ฉันจะเป็นเพื่อนให้ได้ แต่ให้เวลาฉันหน่อยนะนท”

“ไผ่...ฉันจะไปหานะ ไผ่อย่าเพิ่งไปไหนนะ” คนเป็นห่วงพูดเสียงรัวเร็ว

“ไม่ต้องนท ฉันอยู่ได้ เพื่อนที่นี่เยอะแยะ” ไผ่ครางอู้อี้

เออ ฉันรู้ว่าเพื่อนนายเยอะ แต่ฉันไม่ไว้ใจอารมณ์นายเลย ยิ่งยอมรับว่าเป็นเกย์ออกหน้าออกตาแบบนี้ฉันกลัวใครจะมาหิ้วนายไปจริงๆ

“เอาน่ะ ฉันอยากไป” นทนทีตัดสายรีบลุกขึ้นไปแต่งตัว แล้วจึงไปเคาะประตูห้องนอนน้องสาวเพื่อบอกก่อนออกไปข้างนอก

ร่างโปร่งบางยืนห่อตัวเมื่ออากาศเย็นยามค่ำคืนกระทบผิวกาย มือเล็กล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาดูอย่างชั่งใจ แล้วจึงกดหาคนที่เพิ่งทะเลาะเมื่อวานด้วยใจตุ๋มๆต่อมๆ นานจนนทนทีคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมรับสาย แต่เสียงขานรับทำให้ใจชื้น

“อือ” เสียงไม่เหมือนคนเพิ่งตื่นนอน แต่เหมือนคนยังมีอารมณ์กรุ่นโกรธ ทำให้นทนทีย่นจมูก

“วี...ออกมาหน่อยได้มั้ย ไปรัชดากัน” นทนทีแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้กับท่าทีบึ้งตึงของอีกฝ่าย ตอนนี้ใจเขานึกห่วงไผ่มากกว่า เพียงแต่ไปคนเดียวมันอันตรายถึงจะเป็นผู้ชายก็เถอะ

“ไม่ ฉันไม่อยากไป” คำตอบกลับแบบทื่อๆ ทำให้นทนทีไม่คิดจะพยายามต่อ

“ไม่เป็นไรฉันไปคนเดียวก็ได้ นอนซะ” ร่างโปร่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“เฮ้ย! เดี๋ยวๆ” เมื่ออีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะง้องอน ปถวีจึงรีบตะโกนใส่โทรศัพท์ด้วยกลัวนทนทีจะวางสาย

“บอกก่อนว่ามีอะไร นึกยังไงถึงอยากไปเที่ยวตอนนี้”

“เปล่า ฉันไม่ได้อยากไปเที่ยว แต่ไผ่อยู่ที่นั่น ฉันเป็นห่วง เลยมาชวนนายไปด้วย ไปมั้ย” นทนทีเอ่ยชวนอีกรอบ ถึงจะทะเลาะกัน แต่เขาเองก็ไม่อยากจะปล่อยให้เรื่องของตัวเองคาราคาซังเหมือนกัน

ใช่ ถ้าได้เจอ ได้คุย ต้องเข้าใจกันแน่นอน ขอแค่ได้เริ่มเท่านั้น เขาถึงใช้โอกาสนี้ปรับความเข้าใจกับอีกฝ่าย และหวังว่าผ่านมาเกือบ24ชั่วโมงน่าจะทำให้ใจเย็นขึ้นมาบ้าง

“ไผ่เป็นอะไรเหรอ” น้ำเสียงกระตือรือร้นทำให้นทนทียกยิ้มบาง อย่างน้อยก็ยังมีเหตุผลอยู่บ้างละนะ

“ก็ถ้านายไปด้วยเดี๋ยวเล่าให้ฟังในรถ”

“นายอยู่บ้านใช่มั้ย”

“อืม อยู่ถนนหน้าบ้านนี่ละ” ร่างโปร่งยืนกอดอกมองรถแท็กซี่ผ่านไปคันแล้วคันเล่า

“กลับเข้าบ้านไปก่อนนท เดี๋ยวฉันไปรับ อีก10 นาทีนะ”

“อืม”

ร่างโปร่งยืนรอไม่ถึงสิบนาที รถยนต์โตโยต้าฟอร์จูนเนอร์สีดำวาวก็เข้ามาเทียบให้เขาเข้าไปนั่งในรถ

ปถวีมองร่างโปร่งขึ้นมานั่งคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงขับรถมุ่งตรงไปยังย่านรัชดาตามที่นทนทีบอก ใบหน้านวลที่ได้เห็นทำให้ปถวีไม่รู้จะทำหน้าขึงโกรธต่อไปดี หรือจะยิ้มให้เหมือนไม่ได้เกิดอะไรขึ้นเมื่อวานดี แต่ที่รู้ตอนนี้คือ อย่างน้อยความรู้สึกอึดอัดใจได้คลายลงเมื่อเห็นหน้า

ตอนรับโทรศัพท์เขาก็ชั่งใจอยู่ไม่น้อย ถึงจะโกรธจะโมโหแต่เขาก็อยากคุยด้วย อยากเห็นหน้า อยากอยู่ใกล้ มันทำให้เขารู้สึกอุ่นใจว่านทนทียังรักเขาอยู่ ถึงจะโกหกเขาก็ตามเถอะ เพราะการห่างกันทั้งๆที่ไม่เข้าใจ และยังมีไอ้บ้าคอยจ้องจะงาบอีก ให้ตายเหอะ ขืนยังไม่ได้คุยกันเขาคงอกแตกตาย

“นาย!” นทนทีที่นิ่งเงียบรอดูปฏิกิริยาของร่างสูงต้องร้องอุทานเมื่อเหลือบเห็นรอยเขียวช้ำเป็นปื้นแถวข้างแก้ม มือเล็กเอื้อมไปแตะแผ่วๆให้ใบหน้าคมคายเอี้ยวหนี

“เจ็บเหรอ?”

ปถวีเพียงแค่ชายตามองคนนั่งข้างที่มีสีหน้ากังวล ก็ให้นึกคันในหัวใจยิบๆ ใครละที่ชกเขา แถมยังขวางให้เพื่อนตัวโตเสยเข้ามาอีกหมัดน่ะ! ร่างสูงคิดเยาะตัวเองพรางเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มบวมไปมา

นทนทีถอนหายใจกับท่าทางเยาะๆไม่แยแสของอีกฝ่าย แต่มือกลับยังเขี่ยไรผมเพื่อเปิดดูผลงานของตนและประวิช

“ขอโทษ” เมื่อเวลาผ่านไป คำขอโทษของร่างโปร่งดูจะทำให้ปถวียอมรับมากขึ้นด้วยอาการถอนหายใจเฮือกใหญ่

“มันไม่จบแค่นี้แน่ ฉันต้องการคำอธิบายทั้งหมดนะนท แต่ตอนนี้เอาเรื่องของไผ่ก่อน มันเป็นอะไรเจ้านั่นน่ะ วันก่อนยังหัวเราะร่าอยู่เลย” ปถวีปรายตามองร่างเล็กพยักหน้ารับรู้ แต่ถ้าไม่ได้ตาฝาดเขาเห็นแววความพอใจอยู่บนสีหน้านั้น

“อืม...ไผ่กำลังเสียใจน่ะ ฉันไม่อยากปล่อยให้ไปกินเหล้าคนเดียวแบบนั้น มันอันตราย”

“เสียใจ...เสียใจเรื่องไอ้ยักษ์บ้าเลือดนั่นรึเปล่า” ปถวีมองท่าทางตกใจของอีกฝ่ายแล้วหัวเราะขึ้นจมูก

“นายรู้ได้ไง...” นทนทีถามอย่างแปลกใจ ถึงเขาจะรู้จากการสังเกตเอาเองแต่เขาก็ไม่เคยบอกปถวีเรื่องที่ไผ่รักประวิช ด้วยกลัวว่าไผ่จะไม่ชอบใจ หรือว่าจะสังเกตเห็นเหมือนเขา

“โธ่...นท เจ้าไผ่มันแสดงออกโจ่งแจ้งซะขนาดนั้น แล้วเมื่อสมัยเรียนยังเคยมาสารภาพบอกกับฉันอยู่เลย”

“ห๋า!” คำตอบของปถวียิ่งทำให้นทนทีแปลกใจเข้าไปใหญ่

“นี่รู้มานานแล้วเหรอ ไม่เห็นบอกกันเลย”

“ก็ไม่เห็นถาม ฉันก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งด้วยละ เรื่องส่วนตัวของมัน อยากเล่ามันก็เล่าออกมาเองละ”

นทนทีพยักหน้ารับ แม้จะนึกฉุนที่เพื่อนเลือกจะเล่าให้อีกฝ่ายฟังก็ตามที แต่จะว่าไปไผ่ก็สนิทกับปถวีมาก่อนเขาละนะ ร่างโปร่งนึกย้อนก่อนจะสะดุดใจกับอะไรบางอย่าง

“นี่...แล้วนายเล่าเรื่องของเราให้ไผ่ฟังรึเปล่า” นทนทีมองร่างสูงเหลือบมามองแล้วถอนหายใจอีกรอบ

“เจ้านั่นหูตาเป็นสับปะรด ไม่ต้องเล่ามันก็มาเข่นคอถามฉันเลยละ”

“หะ! เมื่อไรกัน”

“ก็หลังจากครั้งแรกที่ฉันมีอะไรกับนายนั่นละ ไผ่มันแทบจะถีบประตูเข้ามาหาฉันที่คอนโดแน่ะ”

“รู้ได้ไง” นทนทียังงงกับสิ่งที่ปถวีเล่า ทำให้ร่างสูงยิ้มกว้างก่อนจะตอบ

“ถามเหมือนฉันเลยว่ารู้ได้ไง มันก็ตอบกลับมาว่า เพราะมันเป็นเกย์ ฮะๆ ตอนนั้นฉันขำไม่ออกเลยละ”

“เป็นเกย์แล้วไง มันทำให้มีญาณทิพย์รึไงละ” นทนทีฉุนกึกที่อีกฝ่ายยังคงกั๊กไม่เล่าให้หมด

“เปล่า...แต่ไผ่มันสังเกตว่าวันนั้นนายหายไปกับฉันทั้งคืนแล้วไม่สบาย มันก็เลยมาเข่นคอเอากับฉันนั่นละ”

“เหรอ แล้วไผ่ไม่ว่าอะไรนายเลยเหรอ” นทนทีมองอีกฝ่ายตาแป๊ว ยังคาใจกับสิ่งที่รู้ ตอนนั้นเขาถูกปถวีข่มขืน ไผ่รู้แล้วยังเฉยได้อยู่เหรอ

“ใครว่าไม่ว่า มันขู่ฉันเลยละ ถ้าทำเล่นๆกับนาย มันจะเอาเกย์มารุมโทรมฉันน่ะ สยองมั้ยละ เห็นตัวเล็กๆแบบนั้นน่ากลัวเป็นบ้า”

นทนทีฟังจบแทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง ก่อนจะปรายตามองร่างสูงยักไหล่อย่างหมั่นไส้ น่าจะโดนซักทีสองทีนะ จะได้หายซ่าส์

“แล้วนายว่าไงละ” ปถวีเหลือบมองคำถามของคนตัวเล็ก ความขุ่นเคืองเหมือนจะหายไปเมื่อได้พูดคุยแล้วจึงอมยิ้มตอบ

“จะว่าไง ก็เป็นอย่างทุกวันนี้ไง”

นทนทีไม่ตอบแต่คงยังมองใบหน้าได้รูปมองตรงไปข้างหน้า ใช่...พวกเขาคบกัน

“นี่จะบอกว่า เพราะคำขู่ของไผ่นายเลยต้องทำรึไง” นทนทีแสร้งขึงตาเอ่ยถาม ทั้งๆที่ใจเต้นตึกตักกับคำตอบของอีกฝ่าย

“ตลกละ” คำต่อว่าสั้นๆของปถวี ทำให้นทนทีโล่งอก ร่างสูงจึงเอ่ยถามเรื่องราวต่อ

“แล้วเจ้าไผ่เสียใจเรื่องอะไรละ สารภาพแล้วอกหักรึไง”

“เปล่า...แต่พอจะจับใจความได้ว่า ไผ่เหนื่อยที่จะรอแล้วละ เห็นว่าทำดีให้ตายก็เป็นได้แค่เพื่อน คงเป็นไปไม่ได้มากกว่านั้น ไผ่ก็เลยจะตัดอกตัดใจน่ะ”

“เฮ้อ...” ปถวีถอนหายใจยาว

“ไอ้บ้านั่นมันแกล้งบื้อ หรือบื้อจริงๆฟะ” ร่างสูงเหลือบมองร่างเล็กข้างๆ

“แล้วนายจะทำยังไง”

“เรื่องแบบนี้ฉันทำอะไรไม่ได้หรอก นอกจากรับฟังแล้วก็คอยอยู่ข้างๆไม่ให้ทำอะไรนอกลู่นอกทาง” นทนทีเท้าแขนกับกระจกครุ่นคิด

“รีบไปเถอะ ฉันเป็นห่วงยังไงก็ไม่รู้” เพราะเพื่อนที่ไผ่อ้างเมื่อกี้จะเป็นเพื่อนแบบไหนก็ไม่รู้ ถ้าเป็นผู้ชายด้วยกันก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเป็นกลุ่มเกย์เขากลัวไผ่จะถูกฉวยโอกาส ยิ่งกำลังเสียอกเสียใจอยู่

เสียงเพลงดังกระหึ่มตลอดเส้นทางที่รถของชายหนุ่มผ่านไปยังร้านเหล้าเจ้าประจำ แสงสีเสียงและผู้คนมากหน้าหลายตาชวนให้คนไม่คุ้นเคยหน้ามืดตาลายหรือหัวใจวายตายด้วยหญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อยเดินกันขวักไขว่ กลิ่นบุหรี่ฉุนกึกแสบจมูกเมื่อเดินเบียดเสียดผู้คนเข้าไปหาเพื่อนตัวเล็กในร้านที่ไม่รู้ว่านั่งอยู่ตรงไหน เดินวนหาชั้นล่างหลายรอบไม่พบ ปถวีจึงเงยหน้ามองขึ้นไปยังชั้นสอง กวาดตามองไปตามระเบียงที่มืดสลัวมีเพียงแสงไฟดวงเล็กที่ส่ายไปส่ายมาพอให้สังเกตใบหน้าผู้คนได้ถนัดๆเพียงชั่วครู่

“นู้น!” ปถวีจับต้นแขนเล็กแล้วเดินนำไปยังชั้นสอง

นทนทีเพ่งมองตามหลังร่างสูงใหญ่ไปยังโต๊ะริมระเบียง เห็นเพื่อนตัวเล็กเกาะราวระเบียงโยกไหวไปตามจังหวะเสียงเพลงที่ดังกระแทกจนแก้วหูสะเทือน ถ้าเพียงแค่นั้นเขาจะรู้สึกโล่งใจมาก แต่ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่ซ้อนทาบอยู่ด้านหลัง ก้มหน้ากระซิบกระซาบแบบเกินพอดีทำให้รู้สึกไม่ชอบใจเล็กๆ

“ไผ่” ปถวีแทรกตัวเข้าไปสะกิดเพื่อนตัวดีท่ามกลางสายตาของคนในโต๊ะที่มองมาแบบไม่สู้ดีนัก

“อ้าว!วี” ร่างเล็กตัวเซเล็กน้อยเมื่อพยายามเบี่ยงตัวเองออกจากวงแขนชายหนุ่มที่ซ้อนตัวอยู่ด้านหลัง

“หลบ...หลบหน่อย”

นทนทีมองไผ่เดินตัวเซมาหาอย่างโล่งใจที่ยังเห็นเพื่อนอยู่ในร้าน นี่ขนาดรีบมาแล้วนะ ยังเมาแอ้ได้ขนาดนี้ แล้วยังแววไม่ชอบใจของเพื่อนไผ่ที่ตวัดมองมาอย่างหัวเสีย เหมือนพวกเขาเข้ามาขัดจังหวะยังไงยังงั้น ขอโทษเถอะ นี่มันเพื่อนฉัน เรื่องอะไรจะให้งาบได้ง่ายๆ แต่ร่างสูงใหญ่ที่มาด้วยก็ทำให้นทนทีใจชื้น และนึกขอบใจตัวเองที่ยังรอบคอบ ยอมลดทิฐิชวนปถวีมาด้วย

“เที่ยงคืนกว่าแล้วไผ่ กลับเถอะ” ปถวีตะโกนข้างหูไผ่ที่อาการเหมือนคนเมาไม่มีผิด

“ไม่เป็นไร ฉันอยู่กับเพื่อน นายจะไปไหนก็ไปเถอะ” ไผ่ปรือตาบอก มือก็ยกแก้วเหล้าซดไปด้วย

“แกเมาแล้ว กลับเถอะ นทมันเป็นห่วงแกนะไผ่ ถ้าแกอยากกินเหล้า เดี๋ยวฉันเหมาเหล้าในร้านกลับไปให้แกกินที่บ้านเลย” มือใหญ่ประคองเอวเล็กเมื่อทำท่าจะลงไปกองอยู่กับพื้น

“ม่าย...ฉันยังไม่อยากกลับบ้าน”

“งั้นไปคอนโดฉัน เดี๋ยวนั่งดื่มเป็นเพื่อน แกอยากคุยอะไรฉันจะฟังนะ”

“ม่าย...”

“ไผ่ กลับเถอะนะ” นทนทีเห็นเพื่อนเริ่มผลักอกปถวีออกห่างจึงรีบเข้ามาช่วยกล่อม

“ไม่อะ...นทฉัน...ไม่อยากกลับ” ไผ่ตั้งท่าจะหันหลังกลับไปสวมกอดกับเพื่อนแปลกหน้าที่พร้อมจะอ้าแขนรับ แต่ก็ถูกปถวีฉุดกระชากร่างเล็กเข้าไปปะทะแผงอก

“นี่!...ไผ่ ถ้าแกยังบ้าไม่เลิก ฉันจะโทรเรียกไอ้ประวิชให้มาดูสภาพแกตอนนี้เลย แกอยากให้มันเห็นตอนแกคั่วอยู่กับผู้ชายมั้ยละ” ปถวีเพ่งมองในดวงตาคู่ฉ่ำเยิ้มด้วยฤทธิ์แอลกอฮอร์

“จะลองดูไหม!”

ไผ่ขบริมฝีปากพลางกลั้นน้ำหูน้ำตาที่พาลจะไหล ก่อนจะผลักอกหนาออกห่างโดยแรง

“ไอ้บ้า! ไอ้เพื่อนอย่างแก...ไปตายซะ...ไป”

อยู่ๆชายหนุ่มที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ใกล้ๆก็ยื่นมือมาโอบเอวเล็กเข้าไปแนบตัว พลางก้มหน้าลงกระซิบถาม

“มีอะไรรึเปล่าไผ่ ให้ฉันช่วยเคลียร์มั้ย” ร่างสูงเหลือบมองปถวีอย่างหมายมาด

“เอ็ม...ไม่มี ไม่ต้องยุ่ง นี่เพื่อนฉัน...ฉันนะ” ไผ่ตอบเหมือนลิ้นพันกัน

“ไอ้ไผ่” ปถวีนึกฉุน กระชากไหล่เล็กให้หลุดจากจากยึดเกาะของชายหนุ่ม พลางส่งสายตาเอาเรื่องไปยังเจ้าของโต๊ะ

“ถ้ายังคิดว่าเจ้านี่เป็นเพื่อนก็อย่าคิดจะงาบมันเลย ฉันจะพามันกลับ” ไม่พูดพร่ำทำเพลง ปถวีก็ลากร่างคนเมาพร้อมคนรักออกจากโต๊ะท่ามกลางสายตาอาฆาตที่ทิ่มแทงมาตามหลัง

“ปล่อยนะโว้ย ไอ้บ้า ช่วยแกไม่เคยมีบุญคุณเลย!” ไผ่เตะขาเตะแข้งร่างสูงเป็นพัลวัน

“เมาจนหัวจะทิ่มแล้วยังปากเสียอีกนะแก” ปถวีบ่นขณะเหลือบมองคนรักเดินตามหลังมาไม่ห่าง

“จำไว้เลยแก...จำไว้” น้ำเสียงอ้อแอ้ทวงบุญคุณของไผ่ทำให้ปถวีส่ายหน้า ฉันน่ะจำคุณงามความดีของแกไว้ทุกหยาดหยดเชียวละไอ้ไผ่

ใครว่ะที่ขู่จะเอาเกย์มารุมโทรมฉันน่ะ

“คุยไปก็ไม่รู้เรื่อง!” ร่างสูงพึมพำขณะยัดไผ่ใส่รถยนต์

“คืนนี้ไปค้างคอนโดฉันก็แล้วกัน”

ร่างสูงเหลือบมองกระจกมองหลังที่พอร่างเล็กหาที่ซุกหัวนอนได้ก็หยุดอาละวาด นอนสงบนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วจึงหันไปถามนทนทีที่ขึ้นรถตามมา

“คืนนี้ไปค้างคอนโดฉันมั้ย”

นทนทีนิ่งมองร่างสูงก่อนจะพยักหน้ารับ พวกเขายังมีเรื่องที่ต้องเคลียร์กันอีกนี่นา...

XXXXX

มีต่อ
V
V
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5 (06/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 06-10-2009 12:23:02
“นอนไปเลยนะแก” ปถวีทุ่มร่างเล็กลงบนเตียงอย่างเหลืออด พลางปรายตามองไผ่ขดตัวซุกศีรษะลงบนหมอน ปากก็พึมพำต่อว่าใครๆไปทั่ว

“ไอ้บ้า...บ้า...เขาไม่รัก...รักฉัน...ฮือ...อึก”

“เอาเข้าไป” ปถวีมองคนเมาจนพอใจแล้วจึงหันกลับไปมองนทนทีเดินถือขันน้ำพร้อมผ้าผืนเล็กเข้าไปวางใกล้ๆเพื่อน

นทนทีเอื้อมมือไปปลดกระดุมเสื้อเพื่อหวังจะให้เพื่อนหลับอย่างสบายตัว แต่มือเล็กของคนเมากลับ

ปัดออกโดยแรง จนคนหวังดีขมวดคิ้ว

“ไผ่...”

“นท...ปล่อยมันไว้อย่างนั้นละ ยุ่งกับเจ้านี่มาก เดี๋ยวได้เจอกำปั้นหรือหน้าแข้งมันไม่รู้ตัวหรอก พอตื่นมาก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้บอกจำไม่ได้ เราก็เจ็บฟรีไป” ปถวีพูดแดกดันคนเมา

“พูดยังกับเคยโดน” ร่างโปร่งตัดใจพลางดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างเพื่อน

“มันกับฉันไส้มีกี่ขดๆรู้หมดละ”

ร่างสูงตอบขณะเดินตามร่างโปร่งบางออกจากห้องพักรับรองแขกไปทรุดนั่งลงบนโซฟารับแขกกลางห้อง

“ไม่ง่วงเหรอ จะตีสองแล้วนะ” ร่างสูงเดินตามมานั่งข้างๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบขวดน้ำที่วางไว้บนโต๊ะยกขึ้นดื่ม

“ก็ง่วงเหมือนกัน แต่อยากคุยกับนายก่อน”

คำพูดของนทนทีทำให้มือใหญ่หยุดชะงัก แล้วจึงค่อยๆวางขวดน้ำลงตามเดิม

“ฉันรู้ว่านายโมโหนะ แต่อยากให้ฟังฉันหน่อย นายพร้อมจะฟังฉันรึยัง” นทนทีเงยหน้ามองปถวีอย่างมีความหวัง เขาผ่านอะไรมามากมายเกินกว่าตั้งทิฐิหรือแง่งอน มันมาไกลกว่านั้นแล้ว...เพราะเขาตั้งใจจะมองไปข้างหน้า...ข้างหน้าที่มีพวกเขาเดินไปพร้อมกัน ถึงใครๆจะลำบากใจหรือรับไม่ได้ก็ตามที

“อืม...” ปถวีพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะทิ้งศีรษะลงบนพนักเก้าอี้มองฝาผนังห้องอีกฝากหนึ่ง

“ทำไมถึงไม่บอกฉันตรงๆละ”

นทนทีนิ่งเงียบชั่วครู่ก่อนจะเปิดปากพูด เขารู้ สิ่งที่เขาทำ ทำให้อีกฝ่ายเสียใจ เขารู้สึกผิดและก็ไม่ได้อยู่อย่างสบายอกสบายใจเลยซักนิด

“ฉันขอโทษ...ตอนนั้นฉันคิดว่านายจะไม่เข้าใจแล้วก็คงโมโห ถ้าไม่ให้รู้ก็คงจะดีกว่า เพราะฉันก็แค่ไปอยู่เป็นเพื่อนคุณเทวัญที่ไม่สบายเท่านั้นเอง เขาหลับไม่รู้เรื่องตลอดทั้งคืน แล้วฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขาเลยนะ” นทนทีเหลือบมองคนตัวใหญ่ยกมือขึ้นซ้อนใต้ท้ายทอยด้วยอาการเงียบขรึม แต่ยังคงรับฟังเขาด้วยความสงบ สงบจนเขาใจสั่น

“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะค้าง ตอนแรกแค่ขับรถพาไปส่งเท่านั้น เพราะเลขาคุณเทวัญยังติดงานอยู่ แต่อยู่ๆเลขาที่รับปากจะตามมาดูแลต่อเกิดถูกดึงตัวไปดื่มเหล้าเมาแอ้ ฉันไม่ไว้ใจเลยอยู่ดูเอง เรื่องมันก็มีเท่านี้ละ”

ปถวีเหลือบมองคนตั้งอกตั้งใจอธิบาย ฟังแล้วอยากกระชากตัวมาฟาดซักทีสองที ไม่รู้เลยรึไงว่าถูกต้มแล้ว ไอ้เจ้าเลขานั่นคงจงใจเปิดโอกาสให้เจ้านายตัวเอง เขาฟังแค่นี้ยังคิดออกเลย นายไว้ใจคนเกินไปรึเปล่า...สายตาคมกริบหรี่มองร่างโปร่งที่มีท่าทางยอมจำนนรับโทษจากเขา และยิ่งเขาเงียบ อีกฝ่ายก็ยิ่งร้อนรนผิดกับเมื่อวันก่อนลิบลับ เห็นแล้วก็ให้รู้สึกพอใจอยู่ไม่น้อยหรอก จะบอกว่าเขาหายโมโหตั้งนานแล้ว ที่ยังหลงเหลือคือความกังวลและระแวง

ในขณะที่ร่างสูงคิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ แต่ร่างโปร่งบางกลับร้อนรนในอาการนิ่งเงียบเอาแต่เหม่อมองเพดาน

มันมีอะไรดีนักเหรอ ไอ้เพดานสีขาวๆนั่นนะ นทนทีคิดพลางเม้นริมฝีปากแน่น แล้วจึงตัดใจพยายามต่อ

“วี ถึงเขาจะคิดยังไงกับฉัน แต่เขาก็ไม่เคยล่วงเกินรุ่มร่ามกับฉันเลยนะ งานก็งาน เรื่องส่วนตัวก็เรื่องส่วนตัว ฉันถึงไว้ใจและทำงานกับเขาได้” ร่างโปร่งบางขยับเข้าไปใกล้ร่างสูงที่ยังนั่งนิ่งเหมือนขบคิดอะไรบางอย่าง

“ที่ฉันคิดว่านายจะไม่เข้าใจ ฉันดูถูกน้ำใจนายใช่มั้ย จริงๆแล้วนายเข้าใจฉันใช่มั้ย” นทนทีมองคนนั่งเงียบด้วยขอบตาร้อนผ่าว “ฉันขอโทษจริงๆ” นทนทีเอื้อมมือไปแตะลำแขนใหญ่อย่างกังวล

“วี...”

ปวถีฟังเสียงอ่อนระโหยจากคนรัก จึงค่อยๆหันหน้ามองดวงแดงที่เริ่มแดงก่ำของอีกฝ่าย

“ถามจริงๆนายคิดอะไรกับเขารึเปล่า” คำถามที่หลุดมาจากปากปถวี ทำให้นทนทีเบิกตากว้างและรู้สึกโกรธเคืองพาลน้ำหูน้ำตาจะไหล

ผู้ชายคนนี้มาบังคับฝืนใจเขา มาตามตอแย มาล่อลวง แล้วยังมาทำให้เขารัก ที่เขาเป็นแบบนี้เพราะคนๆนี้คนเดียว ถ้าเป็นคนอื่น แค่คิดเขาก็ขนลุกแล้ว แล้วจะให้เขาไปคิดแบบนั้นกับใครได้อีกละ เขาทำตัวไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นเชียวเหรอ

“นายถามฉันแบบนี้ได้ยังไง ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะนาย ฉันมีแต่นายคนเดียว ฉันเชื่อใจนายขนาดไหน นายไม่รู้เลยเหรอ ฉันไม่เคยถามนายด้วยซ้ำว่าเคยไปทำอะไรกับใครมา ทั้งๆที่ฉันรู้สึก แต่ฉันก็ไม่เคยถาม เพราะอะไรรู้มั้ย” นทนทีจ้องมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาแวววาว

“เพราะเราคบกันไง และเพราะเป็นผู้ชาย ธรรมชาติก็คงจะเรียกร้องอะไรบ้างหรอก ฉันจึงพยายามจะเข้าใจ แล้วทำไมยังถามแบบนี้กับฉัน...ฉันทำตัวร่านแบบนั้นเหรอ” ดวงตาคู่เล็กแดงก่ำเจ็บช้ำ แล้วตอบอย่างเหยียดหยันยิ้มเยาะตัวเอง

“ฉันไม่เคยคิดอะไรกับเขาเลย”

ก่อนจะพูดอะไรต่อ ปถวีก็รวบร่างเล็กที่สะอึกสะอื้นออกมาอย่างเหลืออดเข้ามากอด เขาถามเพื่อย้ำความมั่นใจให้ตัวเองเท่านั้น ไม่คิดจะกลายเป็นการดูถูกพฤติกรรมของอีกฝ่ายเลย เขาก็แค่หวง...ยิ่งมีไอ้บ้าคอยจ้องจองจะงาบอยู่ใกล้ๆเขาก็ยิ่งคิด และอยากรู้ว่าอีกฝ่ายยังมีใจภักดีกับเขาแน่วแน่อยู่รึเปล่า

“นท...ไม่ใช่นะ ฉันแค่อยากแน่ใจเท่านั้นเอง นายลองมาเป็นฉันสิ มีไอ้บ้ามาคอยตามตื้อคนรักของตัวเอง แล้วนายจะอยู่เฉยได้เหรอ”

ไม่มีเสียงตอบจากร่างเล็ก ทำให้ปถวีนึกเสียใจ และเหมือนมีชนักติดหลัง ร่างสูงจึงดูร้อนรนเสียเอง

“นท...ฉันคบกับนายคนเดียวเท่านั้นนะ ถึงมีคนอื่นผ่านเข้ามาบ้างแต่ก็ไม่เคยคิดอะไรลึกซึ้ง นายคงว่าฉันเห็นแก่ตัว ฉันก็ยอมรับ”

ปถวีนึกถอนหายใจเฮือกใหญ่ จะบอกได้ยังไงว่า มันมาเอง พูดไปคงถูกว่า ว่ามักง่าย แต่เดี๋ยวนี้ก็แทบไม่ได้ทำเรื่องมักง่ายแบบนั้นแล้วด้วย เพราะอะไรน่ะเหรอ

เพราะเขาเหนื่อยที่จะต้องปิดบังคนรักตัวเองไงละ มันไม่สนุกเลยนะที่ต้องคอยระแวงกลัวถูกจับได้ และเห็นใบหน้าคนรักชุ่มด้วยน้ำตา ร่างสูงจึงนึกฮึดขึ้นในใจ

“ฉันจะไม่ทำตัวมักง่ายแบบนั้นอีก”

คำสัญญาของร่างสูงทำให้นทนทีเงยหน้ามองด้วยความแปลกใจ เขาไม่เคยคิดจะขอให้อีกฝ่ายเลิกเพราะเขาร้องขอ ด้วยถึงขอ หากถ้าอีกฝ่ายไม่เต็มใจ ก็คงได้แค่คำสัญญาโกหกพกลม

แต่คำสัญญาที่ออกมาจากปากด้วยความเต็มใจของร่างสูงทำให้หัวใจของนทนทีพองโต เพราะถึงจะเข้าใจและยอมรับ หากแต่ใจเขาก็ต้องการเป็นหนึ่งเดียวในใจและกายของอีกฝ่าย ไม่มีที่สองที่สามตามมา

นทนทีโถมตัวเข้าสวมกอดร่างสูงแน่น ต่อไปเขาจะไม่ต้องเจ็บยอกในอกอีกแล้ว เพราะอีกฝ่ายเลือกเขา เลือกจะทำให้เขามีความสุขแทนความสนุกสนานชั่วข้ามคืนของตัวเอง

คิดไปเขาก็ยิ่งต้องขอโทษปถวี เพราะเขาเองก็โกหก ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงด้วยความหวังดี เมื่อถูกโกรธ ถูกโมโหก็สมควรแล้ว

อีกอย่างเขาควรยอมรับกับตัวเองซักทีว่า เขามีคนรักขี้หึง...

“ขอบคุณๆ แล้วก็ขอโทษนะ” นทนทีมองใบหน้าคมคายด้วยดวงตาอ้อนวอนขอให้อีกฝ่ายเข้าใจ แต่ในดวงตาคู่คมกลับมีแววความลังเลจนร่างเล็กใจเต้นไม่เป็นสุข

“วี...” ร่างโปร่งบางขยับตัวเข้าแนบชิด ก่อนจะค่อยๆขึ้นไปนั่งคร่อมตักของร่างสูงใหญ่แล้วมองใบหน้าที่เคยเห็นจนชินตา แต่ ณ เวลานี้เขากับรู้สึกห่างไกลจนใจเจ็บ

นี่ใช่มั้ย ที่เขาพูดว่า ยิ่งรักมากก็ยิ่งเจ็บมาก

ร่างเล็กโน้มศีรษะชิดใบหน้าที่เอาแต่นิ่งเงียบ แล้วจึงประกบริมฝีปากได้รูปแผ่วๆ อย่าทำให้รู้สึกเหมือนห่างไกลอย่างนี้ ต่อให้ทะเลาะกันแทบเป็นแทบตาย ก็ยังดีกว่าเฉยชา

“วี...” นทนทีครางเมื่อมือใหญ่เข้าเกาะกุมเอวและลำแขนแน่นจนต้องนิ่วหน้า

“อย่าทำแบบนี้อีก...อย่าทำให้ฉันระแวง...ถ้ามีอีกฉันจะไม่ให้นายทำงานที่บริษัทไอ้นั่นอีกเลย” ดวงตาแข็งกร้าวเปิดเผยให้เห็นชัดว่านี่คือสิ่งที่เขาได้ตัดสินใจแล้ว และไม่ต้องการคำต่อรองใดๆทั้งสิ้น

นทนทีมองใบหน้าเครียดขึงด้วยใจระทึก ก่อนจะพยักหน้าเงียบๆแล้วจึงสวมกอดรอบคอหนาราวกับจะเอาใจ

“อือ” นทนทีแนบริมฝีปากสีสดของตัวเองกับอีกฝ่าย ค่อยๆไล้เลียลิ้นอุ่นชื้นรอบริมฝีปากร่างสูง หากแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมตอบรับทำเพียงโอบประคองลำตัวเขาไว้หลวมๆ

ลิ้นอุ่นเล็กรุกล้ำแทรกเข้าไปในโพรงปากที่เผยอออกอย่างง่ายดาย เสียงดูดกลืนดังขึ้นเป็นจังหวะ แต่การตอบสนองก็ยังไม่มากอย่างที่น่าจะเป็น ร่างโปร่งบางจึงผงกศีรษะขึ้นมองใบหน้าคมคายด้วยความฉงน

ทำไม?

นทนทีเอียงคอพลางมองลึกลงในดวงตาคู่แข็งกร้าวที่ตอนนี้ทอดแสงอ่อนลงเหมือนจะรอ

รอให้เขาเป็นฝ่ายเริ่มและปลุกเร้าร่างกายที่ยังนิ่งสงบให้คุโชน

ร่างเล็กนิ่งเงียบ นับครั้งได้เลยนะที่เขาจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เพราะตลอดมาอีกฝ่ายจะมีความต้องการเหมือนคนโลภ จนเขาตั้งรับแทบไม่ทัน

สิ่งนี้จึงทำให้เขาลังเลแต่...

มือเล็กก็ลากผ่านเนื้อผ้าเข้าไปสัมผัสแผ่นอกแน่นตึง พลางกดจูบเบาๆหลายครั้งบนใบหน้าอีกฝ่าย

“จะทำตรงนี้เลยเหรอ” นทนทีเหลือบมองอีกฝ่ายที่เลิกคิ้วขึ้นเมื่อถูกถาม และด้วยกลัวอีกฝ่ายจะแกล้ง จึงก้มหน้าซุกอกกว้างเอ่ยด้วยน้ำเสียงอู้อี้

“ไปในห้องเถอะ”

ปถวีก้มมองเส้นผมหอมกรุ่นแล้วยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ นานๆทีก็อยากให้นทนทีอ้อนเขาเหมือนกัน น่ารักดีออก...

และเพราะคิดแบบนั้น ร่างสูงถึงยังได้นิ่งเงียบให้คนบนตักรบเร้า

“วี...ไผ่อยู่ด้วยนะ เข้าไปในห้องเถอะ” นทนทีพูดเสียงอ่อน เขายอมทำทุกอย่างแล้วนะ ใบหน้ามนเงยมองคางสากแล้วจึงยืดตัวขึ้นจูบ

“นะ”

น้ำเสียงอ้อนวอนร้องขอยิ่งทำให้ปถวีนึกอยากจะกระชากแข้งขาเล็กออกจากกัน แล้วฝั่งตัวเองลงไปในความอบอุ่นที่รออยู่เป็นนักหนา แต่ไม่ใช่ตรงนี้

เพราะคนตรงหน้าเขานี้คือคนรัก ไม่ใช่คู่นอนชั่วข้ามคืนที่นึกอยากจะทำที่ไหนก็ทำ ความมักง่ายและทิฐิจะกลายเป็นการเหยียบย้ำน้ำใจและศักดิ์ศรีของอีกฝ่าย โดยที่เขาจะไม่มีวันได้ความภักดีกลับคืนมาอีกเลยหากเขาทำ

ครั้งเดียวเท่านั่นที่เขาเคยทำ คือวันที่เขาทำให้คนๆนี้เป็นของเขา

อารมณ์ปั่นป่วนที่เกิดจากคนตรงหน้าทำให้ปถวีรีบกระชับคนบนตักแล้วยกขึ้นพาเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะใช้เท้าเขี่ยประตูปิด

เมื่อเข้ามาอยู่ให้ห้องนอน ปถวีมองนทนทีนั่งอยู่บนตักแล้วจึงดันตัวอีกฝ่ายลงไปนั่งคุกเข่าบนพื้นห้อง ให้ใบหน้ามนมองมาด้วยความสงสัย

หากอยู่ในห้องที่ปิดสนิทมิดชิด จะเล่นโลดโผนขนาดไหนก็ได้ทั้งนั้น ปถวีคิดอย่างคึกคะนอง

วันนี้เขาจะทำให้นทนทีร้องครวญคราง ให้สมกับที่ทำให้เขาต้องทรมาน โมโหไปสารพัด แถมยังถูกต่อยอีกด้วย

เพราะแสงตาคู่คมเป็นประกายพราวระยิบระยับทำให้พวงแก้มนทนทีแดงเรื่อ เดาความหมายในสัญญาณนี้ออก ก่อนจะกวาดสายตามองแผ่นอกไล่ลงมาที่กลางลำตัว ริมฝีปากสีสดขบเม้นเข้าหากันแน่นแล้วจึงเอื้อมมือไปปลดเข็มขัดหนังเส้นใหญ่ออกจากหน้าท้องแข็งเรียบตึง

นทนทีเงยหน้ามองคนนั่งบนเตียงอย่างลังเลเล็กๆ ทำให้ร่างสูงนึกเอ็นดูยกมือขึ้นลูบเส้นผมแล้วไล้ไปตามลำคอยังไหล่ลาด หากแต่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำพูดใดๆ

คนนั่งคุกเข่าบนพื้นจึงค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปใกล้สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ชั้นในสีขาวที่แม้ยังไม่ได้สัมผัสก็ออกอาการนูนพองให้เห็น นทนทีค่อยๆเลื่อนเนื้อผ้าที่ปกปิดออก แล้วใช้มือประคองก่อนจะก้มหน้าเข้าหาส่วนกลางลำตัวที่เริ่มเต็มไม้เต็มมือ ริมฝีปากเล็กประทับลงบนเนื้อเห่อคลั่งด้วยเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยงจนแข็งเป็นท่อน

จูบเบาๆของร่างโปร่งทำให้ปถวีต้องสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ มันช่างชักช้าเงอะงะจริงๆ แต่ร่างสูงก็ข่มใจเฝ้ามองริมฝีปากสีสดที่ค่อยๆครอบครองเขาเข้าไปในโพรงปากทีละน้อยๆจนสุด แล้วจึงรูดถอนใบหน้าออกห่างแล้วกดกลับเข้าไปอีกครั้ง

“อืม...” ปถวีเกร็งนิ้วมือขยำศีรษะเล็กขยี้ไปมา พลางกดสะโพกได้รูปเหยียดหยัดเข้าหาริมฝีปากที่กำลังทำหน้าที่อย่างตั้งใจ

“อะ! แฮกๆ” ปถวียกยิ้มเมื่อได้ยินเสียงสำลักของนทนที ก่อนจะก้มตัวดึงรั้งร่างโปร่งขึ้นมานั่งบนตักตามเดิมให้อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย

พอ...พอแล้วเหรอ?

“ขืนรอให้นายทำจนเสร็จ ฉันเป็นต้องเลือดคลั่งตายแน่ หึ! สอนเท่าไรไม่เคยจำได้เลย” คนตัวใหญ่ลากเสียงหนักๆพลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์

ถ้ามีเวลาก็ตั้งใจจะแกล้งต่ออยู่หรอกนะ แต่นี่มันข้ามวันใหม่มานานแล้ว อีกอย่างความอดทนของเขาก็มีจำกัดด้วยในตอนนี้

ปถวีกดจูบไปตามไหล่ลาด มือใหญ่เข้าขยำบั้นท้ายเนียนตึงมืออย่างไม่เกรงใจกับอาการสะดุ้งและเสียงร้องประท้วงตามมา

“เบาๆ” นทนทีขมวดคิ้วกับความเจ็บแปลบ แต่ก็โอนอ่อนเมื่ออีกฝ่ายเข้าปลดเปลืองเสื้อผ้าออกไปจากตัว

“อืม...” เสียงครางสมใจเมื่อมือใหญ่ได้สัมผัสเนื้อเนียนเรียบลื้นมือ ยอดอกสีแดงเข้มถูกร่างสูงบีบพลางคลึงเคล้นไปมาจนนทนทีต้องเปล่งเสียงร้องครางเครือ

“อะ...วี”

เสียงครางหวานหูชวนให้วาบหวิวความคิดกระเจิดกระเจิง ทำให้ร่างสูงขบฟันตัวเองแน่นแล้วเกี่ยวกระหวัดร่างเล็กให้ล้มลงบนฟูกนิ่ม แขนใหญ่เท้าคร่อมศีรษะเล็ก จ้องมองใบหน้าเนียนมองกลับมาด้วยแววตาเต้นระริก ก่อนจะหลุบตาก้มมองแผ่นอกราบเรียบสีนวลกระจ่างตา

นิ้วแข็งแรงกดลงบนเนื้อนิ่มแล้วลากไล้ไปตามสัดส่วนของร่างกายอย่างช้าๆ ร่างสูงเพ่งมองไปตามนิ้วมือตัวเองที่หยุดลงบนแกนกายร่างโปร่งบาง อารมณ์และความปรารถนากำลังถูกฟ้องด้วยร่างกายตัวเองทำให้นทนทีออกอาการเก้อเขินเล็กๆก่อนจะเอื้อมมือไปเกี่ยวบ่าหนาแล้วยกยิ้มมุมปากให้บางเบา

ปถวีหรี่ตามองแล้วกดมือลงคลึงเคล้นแกนกายร่างโปร่งหนักๆ

อย่ายั่วกันนักเลยน่า...แค่นี้ก็จะคลั่งอยู่แล้ว

“อืม!...” คนตัวเล็กสะท้านเมื่อถูกบีบเค้น และยิ่งต้องสะดุ้งเมื่อมือใหญ่ลากไล้ไปยังช่องทางด้านหลังโดยที่ยังจับจ้องมองใบหน้าเขาไม่ห่าง

“ทะลึ่ง” เมื่อถูกอีกฝ่ายสังเกตปฏิกิริยาบนใบหน้า พวงแก้มขาวก็ซับสีเลือดขึ้นมาร่ำไร แม้ไม่ชอบใจแต่ก็ไม่อาจห้ามปรามความคิดพิเรนของร่างสูง เพราะถึงห้ามก็คงจะบังคับทำให้ได้แล้วจะยิ่งอายเข้าไปใหญ่ จึงจำยอมให้อีกฝ่ายเฝ้ามองใบหน้าที่สะท้อนความรู้สึก เมื่อถูกนิ้วมือกระตุ้นให้ไหววูบ ก่อนจะหลบตาหนีเมื่อรู้สึกว่าถูกแกล้ง

“นท...อย่าหลบ มองฉันสิ ฉันก็จะมองนทเหมือนกัน”

คำพูดหว่านล้อมของปถวีทำให้นทนทีลืมตามองใบหน้าคมคายที่ล่อยเด่นอยู่ไม่ห่าง เรียวขาขาวที่กำลังถูกแยกเปิดโล่งให้อีกฝ่ายเข้ามาฝั่งอยู่ในร่างกาย นทนทีจึงเพ่งมองดวงตาคู่คมด้วยใจระส่ำ ก่อนจะแอ่นตัวรองรับความใหญ่โตที่ค่อยๆสอดใส่เข้ามาอย่างช้าๆ หากแต่สายตากับไม่ได้คลาดจากกัน แววตาที่สะท้อนความรู้สึกของกันและกัน มันมากกว่าความสุขสมทางรสเพศ

เพราะมันมีความรักความห่วงใยอยู่ในนั่น

“อือ...วี” นทนทีกดนิ้วลงบนต้นแขนแข็งแรงเพื่อลดอาการอึดอัดในตัว และขยับสะโพกให้สอดรับกับการกระแทกกระทั้นของอีกฝ่ายอย่างพอเหมาะพอเจาะ

เสียงสะท้อนของผิวหนังกระทบกันดังก้องในโสตประสาทของร่างสูง ยิ่งทำให้สะโพกแกร่งกดลงแนบแน่นรัวเร็ว จนร่างเล็กที่นอนทอดกายรองรับสั่นสะท้านจากการไหวโยก

“วี...วี” ลำแขนเรียวเล็กยื่นขึ้นสวมกอดลำคอหนาเมื่ออารมณ์ใกล้ถึงขีดสุด และจู่ๆมือใหญ่กลับยกขึ้นบีบรัดแกนกายที่เห่อบวมจนร่างเล็กสะดุ้ง

“อย่านะ!”

ไม่มีเสียงตอบรับ สะโพกแกร่งยังคงโถมกายลงช่องทางอุ่นแน่นไม่หยุด และเมื่อไม่ได้รับการปลดปล่อยร่างเล็กใต้คนตัวใหญ่จึงพลิกศีรษะไปมาราวกับทุกข์ทรมานแสนสาหัส นิ้วมือเรียวจิกลึกลงบนแผ่นหลังหนาและยิ่งลึกขึ้นจนเกิดเป็นริ้วรอยเมื่อร่างสูงเพิ่มแรงกระแทก

“วี...หยุด...ฉันไม่ไหวแล้ว” ดวงตาคู่สุกใสหรี่มองคนรักอย่างอ้อนวอน หากคนที่โยกกายกลับทำเพียงขมวดคิ้วนิ่วหน้ามองใบหน้านวลแดงก่ำด้วยอารมณ์ที่ถูกเก็บกดไว้

“ยัง...ยังไม่พอ”

“วี!” นทนทีเบิกตากว้างกับคำพูดที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

“วี...ไม่นะ...อือ!” ริมฝีปากบางครางเครือเมื่อจังหวะการสอดใส่เร็วขึ้นจนตัวโยน

“อา...อ๊ะ!” กำปั้นเล็กทุบลงแผ่นหลังกว้างเมื่ออีกฝ่ายยังดึงดันบีบรัดแกนกายที่คลั่งด้วยเลือดจนกลายเป็นสีแดงน่ากลัว

และก่อนจะมากเกินกว่าที่ร่างโปร่งบางจะรับไหว มือใหญ่จึงคลายออกและขยับรูดรั้งให้อารมณ์ที่ถูกกักกั้นไปถึงจุดหมายปลายทาง

“อ๊า!...” เสียงครางหลังอารมณ์ถูกปลดปล่อยทำให้นทนทีหอบหายใจแรง บนหน้าท้องราบเรียบเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำสีขาวขุ่น แต่หากร่างเล็กยังต้องรอรับการกระแทกกระทั้นของร่างสูงอีกสองสามครั้ง ภายในช่องทางอุ่นแคบจึงเต็มไปด้วยหยาดน้ำอุ่นๆไหลร้นออกเป็นทาง

“อืม...” เสียงครางอย่างสมใจพร้อมกับทรุดตัวลงทาบทับร่างเล็ก ฟังเสียงหัวใจที่ยังเต้นดังระทึกของกันและกันจนสงบลง ปถวีจึงเงยหน้าขึ้นมองคนที่หลับตาพริ้มใต้ร่างอย่างเงียบๆ

“นท” เสียงเรียกแผ่วเบาไม่ทำให้คนที่เคลิ้มหลับด้วยความเหนื่อยลืมตาตื่น นิ้วมือใหญ่จึงยกขึ้นเกลี่ยเส้นผมชื้นเหงื่อให้อย่างเบามือ หากแต่ดวงตาคู่คมกับยังมีแววความวิตกกังวลไม่ได้ห่างหาย

ถึงจะรักและเข้าใจอีกฝ่ายแค่ไหน หากแต่เมื่อเกิดความระแวงขึ้นมาแล้ว มันยากจะลืมเลือนกันได้ง่ายๆ

และถึงมันจะเป็นความเห็นแก่ตัวของเขาเองก็ตาม ที่ไม่อยากเห็นคนรักของตัวเองสนิทสนมกับใครที่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง

แล้วเขาจะทนให้ไอ้เจ้านายหูงอกหางงอกนั่นอยู่ใกล้คนรักเขาได้อีกนานแค่ไหนกัน...

---TBC---
 
เดี๋ยวมาต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5-6 (06/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: ปี้ปี้ปี้~PalmY ที่ 06-10-2009 13:59:25
 :serius2:

อีกกี่ตอนจบอะ (น่าน มาถามเลยอีกกี่ตอนจบ ๕๕๕)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5-6 (06/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: thaitanoi ที่ 06-10-2009 17:07:58
คู่ของนทกับวี ทำท่าจะเข้าใจกันแล้ว เหลือแต่คู่ของไผ่กับวิชแล้วนะ ขอบคุณนะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5-6 (06/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 06-10-2009 20:34:33
ยังไม่เรียบร้อยเท่าไรเลย คลื่นใต้น้ำชัดๆ ไม่รู้วันไหนซึนามิจะถล่มนะ รอลุ้นค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5-6 (06/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 06-10-2009 21:16:12
โอ๊ย แต่ละคู่ ทำปวดลำไส้มาก

คู่หนึ่งเริ่มเหมือนจะดี แต่ก็ยังไม่น่าใช่

อีกคู่ก็เริ่มไปกันใหญ่

:เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5-6 (06/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 06-10-2009 22:35:58
ตอนที่ 7

“คุณปถวี...คุณอนลโทรศัพท์เข้ามาเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนครับ” กันย์เลขาหน้าห้องเดินเข้าไปหาประธานบริษัทที่เพิ่งประชุมกับกลุ่มผู้บริหารบริษัทเสร็จกลับเข้ามาในห้อง

“มีอะไรด่วนรึเปล่า” ปถวีถอดเสื้อนอกโยนลงบนโต๊ะทำงานตัวกว้าง

“บอกว่ามีเรื่องจะปรึกษาน่ะครับ”

“อืม” ปถวีพยักหน้าพลางครุ่นคิด ร้อยวันพันปีไม่เคยจะมาปรึกษา วันนี้ฝนท่าจะตกห่าใหญ่ซะละมั้ง ไอ้น้องชายผู้สุขุมผิดกับชื่อถึงได้คิดจะคุยกับเขา

“ตอนเย็นมีนัดอะไรอีกมั้ยกันย์” ร่างสูงเหลือบมองนาฬิกาติดฝาผนังห้องที่บอกเวลาบ่ายสามโมงพอดิบพอดี

“หลังจากนี้ไม่มีแล้วครับ”

“งั้นหมดเวลางานแล้วนายกลับได้เลยนะ” ปถวีพยักพเยิดหน้าให้เลขาคนสนิทหากแต่อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นเหมือนจะถามว่า แล้วหน้าที่การไปรับนทนทีกลับบ้านละ

“วันนี้เดี๋ยวฉันไปรับเขาเอง”

กันย์พยักหน้ารับรู้แล้วจึงขอตัวออกไปทำหน้าที่ของตนเอง แต่ก่อนจะก้าวขาพ้นออกจากห้องประธานไป

“เดี๋ยวๆ กันย์ ฝากโทรจองโต๊ะที่ร้านอาหารให้ด้วยนะ”

“ครับ”

พ้นหลังเลขาร่างสูงโปร่งผู้เก่งกาจ ปถวีจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาน้องชาย

“ไง มีอะไรจะคุยกับพี่ชายคนนี้ละ ไอ้น้องชายที่รัก” ปถวีลากเสียงยียวนกวนประสาท

“พี่...ดูทำเสียงเข้า คนเขาอยากจะคุยเป็นการเป็นงานแท้ๆนะ”

เพราะน้ำเสียงดูจริงจังของน้องชายทำให้ปถวีหุบยิ้ม แล้วจึงกรอกเสียงให้สมกับเป็นพี่ชายที่ดูพึ่งพาได้

“เอาละๆ ไม่ล้อแกละ มีอะไร” ปถวีทรุดลงนั่งแล้วเลื่อนเก้าอี้ให้หันหน้าไปทางหน้าต่างกระจกใสที่สะท้อนภาพท้องฟ้าสีครามเจิดจ้า

“พี่...เรื่องไปเรียนเมืองนอกน่ะ แม่ชักจะถามถี่ขึ้นทุกวัน ตอนนี้เห็นหน้าแม่แล้วไม่ค่อยสบายใจเลย”

“แล้วแกอยากไปมั้ยละ”

“ก็อยากจะไปเรียนให้จบละนะ แต่...” อนลนิ่งเงียบราวกับกำลังครุ่นคิด แต่ผู้เป็นพี่ชายก็ต่อประโยคให้จนจบ

“ห่วงน้องวาว่างั้นเถอะ” พอพี่ชายต่อความให้ อนลจึงพยักหน้ารับแม้อีกฝ่ายจะไม่เห็นก็เถอะ

“เรียนตั้งหลายปี ถึงจะบินกลับมาได้บ่อยๆ แต่ถ้าห่างกันนานๆฉันก็ห่วงนะพี่ ถึงพี่จะรับปากดูแลให้ก็เถอะ”

“แล้วแกจะเอาไงละ ขืนแกยื้อไว้อย่างนี้ ยิ่งนานแม่ยิ่งจะหัวเสียหนักนะ ลองคุยกับแม่ตรงๆมั้ยละนล”

“ฉันก็คิดแบบนั้น ตั้งใจจะคุยกับแม่เย็นนี้ แต่อยากคุยกับพี่ก่อน พี่...ฉันจะขอน้องวาแต่งงานก่อนไปเรียนนะ”

คำพูดท้ายประโยคทำเอาปถวีสำลักอากาศ

“ห๊ะ!”

“ทำไมต้องตกใจละพี่ ฉันรักของฉัน ถ้าให้ฉันไปเรียนทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราวกับน้องวา ฉันเรียนไม่รู้เรื่องแน่”

“แกจะบอกแม่เย็นนี้เหรอ”

“อืม”

“แต่แกไม่เคยพาน้องวาไปให้แม่เห็นหน้าค่าตามาก่อนเลยนะ ปุบปับไปบอกแบบนี้ แม่เขาจะเห็นดีเห็นงามไปกับแกเหรอไอ้นล” ปถวีเกาศีรษะแกกๆ

“โธ่...พี่ ที่ผ่านมาพี่ก็เห็น ฉันอยากพาน้องวาเข้าบ้านตั้งไม่รู้กี่หน แต่น้องวาก็บ่ายเบี่ยงตลอด พี่เห็นน้องวามาพร้อมๆกับฉัน ก็รู้นี่ว่าน้องวาเขาเจียมตัวขนาดไหน ทุกวันนี้ยังไม่เคยตกปากรับคำว่าคบกับผมเต็มปากเต็มคำเสียด้วยซ้ำ” อนลลงน้ำเสียงติดจะฉุนเล็กๆ

“ก็เห็นอยู่หรอกนะ” ปถวีรับพลางนึกไปถึงคนเป็นพี่ชายน้องวา พี่น้องคู่นี้นิสัยเหมือนกันจะตาย

“ฉันนึกหน้าแม่ไม่ออกเลยวะนล” ปถวีวกกลับมาคิดเรื่องของน้องชายต่อ

“แต่ฉันไม่รอแล้วพี่ ฉันจะบอกแม่วันนี้ละ ถ้าแม่ไม่รับ ฉันจะพาน้องวาไปอยู่กับฉันที่เมืองนอกเลย”

ปถวีหัวเราะในลำคอที่อยู่ๆน้องชายเกิดจะดื้อเพ่งขึ้นมา คงกังวลใจไม่น้อยหรอกถึงได้พูดจาประชดน้อยเนื้อต่ำใจขนาดนี้

“เอาละๆ เอาไงก็เอา ไม่พูดวันนี้วันหน้าก็ต้องพูดอยู่ดี แต่ค่อยๆพูดกับแม่เขาละ เดี๋ยววันนี้ฉันกลับบ้าน จะไปคอยเป็นลูกคู่ให้แกก็แล้วกัน เวลาแม่เป็นลมจะได้รับทัน”

“พี่!”

“ล้อเล่นๆ” ปถวีหัวเราะก่อนจะตัดสายแล้วกดโทรศัพท์ภายในเรียกเลขาหน้าห้องเข้ามา

“กันย์ ตอนเย็นฉันติดธุระที่บ้าน คงต้องให้นายไปรับนท ช่วยทีนะ”

“ครับ”

ไม่มีคำถามออกมาจากปากเลขาผู้เยี่ยมยุทธ์ และเพราะเป็นแบบนี้ถึงเป็นที่ถูกใจประธานหนุ่มนักหนา ไม่เรื่องมาก ไม่ขี้สงสัย แต่งานทุกอย่างทำได้ไม่มีที่ติ และเลขาที่ดีแบบนี้จึงต้องมีค่าจ้างที่สมน้ำสมเนื้อแน่นอน

“เออ...แล้วถ้าเห็นว่านทจะไปไหนกับเจ้าประธานบริษัทนั่นต่อ นายหาเรื่องพากลับบ้านไปเลยนะ”

“ครับ”

“เออ...อีกอย่าง ระวังเจ้าเลขาตัวดีของประธานนั่นไว้ด้วย แสบใช่ย่อยเชียวละ”

“ครับ” แก้มขาวเย็นกระตุกเล็กน้อยเมื่อนึกถึงชายหนุ่มจอมขี้เล่น ขี้เล่นจนเกินเหตุชวนน่าหมั่นไส้


XXXXX


ขายาวๆของทวีปหยุดชะงักเมื่อเห็นรถสีเงินคันคุ้นตาแล่นเข้ามาบริเวณลานจอดรถหน้าบริษัท และก่อนจะได้เห็นหน้าคนภายในรถคันงาม ร่างสูงรีบตรงดิ่งไปยังเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อกดโทรศัพท์ภายในต่อสายไปยังห้องประธาน

“ท่านประธาน ถ้าท่านประธานยังอยากจะพานิติกรหน้าหวานไปดินเนอร์เย็นนี้ โปรดใช้ทางด่วนพิเศษด้านหลังบริษัทนะครับ”

“ทะลึ่งอะไรของแกไอ้ทวีป นี่มันเวลางานนะ” เสียงเข้มกำชับดังมาตามสาย

“ตอนนี้ต้องขอเวลานอกด่วนจี๋ครับ เพราะผู้คุมเข้ามารออยู่ข้างล่างแล้วครับท่าน”

“หือ...ใคร?” เทวัญทำท่าครุ่นคิด

“อ๋อ...คุณเลขาหน้าสวยนั่นนะเหรอ”

“ถูกต้องแล้วครับ” ทวีปลากเสียงตอบก่อนจะชายตามองไปยังประตูกระจกด้านหน้าที่ปรากฏร่างสูงโปร่งเข้ามาในกรอบสายตา

“มาแล้วๆจะทำอะไรก็รีบทำนะท่านประธาน ผมจะไปรับหน้าให้”

“อย่ามาทำพูดดี อยากไปหาเขาจะแย่ละสิ ไอ้กระล่อน”

เสียงหัวเราะแฮะๆดังขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะวางสายแล้วรีบเดินเข้าไปดักหน้าดักหลังร่างสูงโปร่งสวมใส่ชุดสูทสีเข้ม ดูเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าพร้อมทั้งหน้าตาเรียบเฉยสนิทดังเดิม

“สวัสดีครับคุณกันย์” หน้าตากรุ่มกริ่มชวนให้ร่างโปร่งขาวหมั่นไส้นึกอยากบริภาษ แต่จำต้องสงบปากสงบคำเงียบเชียบฉีกยิ้มเย็นเชือดเฉือนไปแทน

“ครับ สวัสดี”

“นัดไว้หรือครับ”

“ครับ”

“แต่ผมเห็นนทนทีออกไปแล้วนะครับ”

คิ้วได้รูปโก่งโค้งขึ้นเล็กน้อยก่อนจะคลายลง แล้วส่งยิ้มเพียงแต่ปากให้คนช่างสอดรู้สอดเห็นตรงหน้า

“แต่เขาบอกจะรอผมนะครับ เขาไม่น่าจะไปโดยที่ไม่โทรบอกผมก่อน”

“เขาอาจจะรีบจนลืมก็ได้นะครับ” ทวีปยังยิ้มเย็นไม่ใส่ใจกับสายตาคมกริบที่หรี่ลงอย่างคนใช้ความคิด

“เขาไม่ใช่คนนิสัยอย่างนั้นหรอกครับ รายนี้น่ะเขาซื่อๆตามใครไม่ค่อยจะทัน โดยเฉพาะพวกชอบฉวยโอกาสกับความใจดีของเขาน่ะครับ”

ฉึก! โอ๊ยหนึ่งดอก เสียงร้องโอดโอยเหมือนมีอะไรมาปักลงกลางใจทำให้ทวีปยักมุมปากขึ้น หลอกด่ากันนี่หว่า แสบจริงๆ แต่ช้าไปแล้วคุณเลขาคนเก่ง เพราะฉันทำหน้าที่สำเร็จแล้วละ ป่านนี้ประธานหัวไวของฉันคงพาหนุ่มน้อยไปไกลแล้ว

“เหรอครับ สงสัยผมคงจะจำผิดคนละมั้ง ถ้างั้นผมไปตามนทให้เป็นการไถ่โทษที่ทำให้ต้องเสียเวลานะครับ” ทวีปทำท่าทีเอื้อเฟื้ออีกฝ่าย กันย์ตั้งท่าจะปฏิเสธความหวังดีจอมเสแสร้งนั่น แต่เพราะอาการสั่นของอุปกรณ์สื่อสาร ทำให้ชายหนุ่มจำต้องก้มหน้าล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากดรับสาย

“กันย์ ขอโทษทีนะ ฉันมีธุระด่วนต้องออกไปข้างนอกกับประธานน่ะ กันย์มาถึงไหนแล้ว ถ้าไงกันย์กลับไปได้เลยนะ อย่ารอเลย ฉันไม่รู้ว่าจะเสร็จกี่โมง” เสียงรีบร้อนของนทนทีดังขึ้นมาตามสัญญาณโทรศัพท์

“อ้าว!...ผมมาถึงได้สักพักแล้วครับ แต่ยังไม่ได้โทรหาคุณเท่านั่นเอง อีกสิบกว่านาทีถึงจะเลิกงานนะครับ” กันย์เหลือบมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะหันไปชำเลืองมองใบหน้าคมคายที่แฝงอะไรบางอย่างให้ต้องขบคิด

“ห๊ะ! เหรอ...ฉันเพิ่งออกมาเมื่อกี้นี้เอง แต่ออกมาด้านหลังเลยไม่เห็นนายนะสิ ขอโทษนะกันย์ เดี๋ยวฉันกลับบ้านเองนายไม่ต้องไปส่งฉันหรอก กลับไปพักเถอะ”

สิ้นเสียงนทนที ทุกสิ่งทุกอย่างที่กันย์สงสัยก็คลี่คลาย ไอ้บ้านี่มาถ่วงเวลาเขานั่นเอง และไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ กันย์จึงโค้งตัวให้อีกฝ่ายน้อยๆแล้วเดินตัวปลิวออกไปยังลานจอดรถ

“คุณไปทำธุระที่ไหนหรือครับ ถ้าคุณปถวีถามผมจะได้บอกถูก และก็จะได้ไม่ห่วงกันด้วยไงครับ” ร่างสูงโปร่งยิ้มเย็นปะเหลาะถามโดยไม่ให้นทนทีรู้ตัวว่ากำลังถูกหลอกถาม

“อ๋อ ฉันจะไปธุระที่ตึก SSTทาวเวอร์น่ะ เสร็จแล้วก็จะกลับบ้านเลย ไม่ต้องห่วงนะ แค่นี้ก่อน ฉันอยู่ในรถ”

“ครับ” กันย์เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า แล้วจึงมีมือใหญ่เข้ามาฉวยกระชับต้นแขนให้หยุดเดินได้ชะงัก

“มีอะไรหรือครับ” ร่างโปร่งมองใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างนึกหงุดหงิด เจ้านี้ทำให้เขาเสียเวลาและเสียงาน

“อ๋อ ไหนๆเพื่อนก็ไม่อยู่แล้ว ไปกินข้าวกับผมก็ได้นะครับ ผมเลี้ยงเอง” ทวีปทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ดันทุรังชวนคนหน้าตึงไปกินข้าว

หน้าด้าน! กันย์นึกบริภาษอีกฝ่ายในใจ ก่อนจะปั้นยิ้มแล้วตอบปัด

“ขอบคุณครับ แต่ยังอยู่ในเวลางานไม่ใช่หรือครับ” กันย์แสร้งมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง

“เหลือเวลางานอีกตั้งห้านาทีแน่ะ คงไม่ดีแน่ถ้าคุณจะออกไปกับผมตอนนี้ ลาก่อนครับ” ไม่รอให้ทวีปได้ต่อรอง ร่างโปร่งก็กลับเข้าไปอยู่ในรถแล้วถอยห่างจากไป ทิ้งให้คนที่ลงทุนเดินตามออกมานึกคันยุบยิบในหัวใจ

“รับมือยากจริงๆผับผ่าสิ”


XXXXX


“โห...ขาดพี่ใหญ่อีกคนเดียวก็พร้อมหน้าพร้อมตาแล้วสินะพ่อ” คุณหญิงศรีสอางค์หันไปยิ้มให้สามีเมื่อเห็นบุตรชายคนกลางและคนสุดท้องนั่งรับหน้าอยู่ภายในห้องรับแขก

“มันทำบริษัทขาดทุนรึไงถึงได้นั่งทำหน้าเหมือนกำลังสารภาพบาปแบบนั้น หึๆ” คุณทรงยศหัวเราะในลำคอก่อนจะพาตัวเองไปนั่งข้างบุตรชายคนกลาง

“แล้วเราละ” ผู้เป็นพ่อหันไปถามลูกชายคนเล็กที่กำลังยกแก้วน้ำจากแม่บ้านให้มารดา

“เปล่านะพ่อ ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับพ่อกับแม่ต่างหาก” อนลเหลือบมองมารดาแล้วจึงหันไปสบตากับพี่ชาย

“ให้ฉันออกไปก่อนมั้ยละ” ปถวีเอ่ยขึ้นเรียบๆแต่อนลกลับส่ายหน้าปฏิเสธ

“พี่อยู่ด้วยนี่ละ”

เพราะบรรยากาศชวนให้อึดอัดน่าสงสัยของบุตรชาย ทำให้ทั้งคุณทรงยศและคุณศรีสอางค์ต่างหันหน้ามาสบตากัน

“มีอะไรหรือลูก” คุณศรีสอางค์ยกมือขึ้นลูบศีรษะบุตรชายคนเล็ก

“แม่...เรื่องไปเรียนต่อผมก็อยากไปนะ แต่...ผมเป็นห่วงน้องวา” ไม่มีอรัมภบทเกริ่นนำให้ยืดเยื้อ อนลพุ่งเป้าไปยังสิ่งที่อยู่ในใจจนบิดามารดามองหน้ากันเลิกลัก

“ใครกันหรือลูก น้องวาที่ว่านั่น” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามในขณะที่มารดาขมวดคิ้วยุ่ง

“คนรักของผมเองครับ”

สิ้นเสียงตอบของอนลคุณทรงยศก็หัวเราะฮาออกมาทันที

“นั่นมั้ยละ พ่อว่าแล้วว่าลูกมันต้องซุกแฟนไว้ที่ไหนแน่ เห็นมั้ยๆ ผิดคำพ่อพูดมั้ยละ” แต่ด้วยสายตาดุเชิงห้ามปรามของภรรยาทำให้คุณทรงยศจำต้องกระแอมเก็บอาการไว้ชั่วคราว

“ลูกเต้าเหล่าใครละ ไม่เห็นเคยพามาให้พ่อให้แม่เห็นหน้าบ้าง”

“แม่เขาทำสวนค้าขายอยู่ห่างจากบ้านเราไปไม่มากครับ ส่วนพ่อเขาเสียไปแล้ว แล้วก็เป็นน้องสาวของพี่นทน่ะครับพ่อ”

“คนใกล้ตัวนี่เอง” ผู้เป็นบิดาพึมพำด้วยรู้ว่านทนทีเป็นเพื่อนสนิทของลูกชายตนเองมาตั้งแต่สมัยเรียน

“แล้วที่หายหัวไปไม่ค่อยจะเห็นหน้าก็เพราะไปคลุกจีบเขาอยู่ละสิเจ้านล”

“คุณยศ!” เสียงภรรยาปราบมาอีกรอบทำให้ฝ่ายสามีจำต้องปิดปากเงียบสนิท

“อย่าทำเสียเรื่องได้มั้ยคุณ”

“คุณก็ พ่อถามดูเฉยๆ” ชายสูงวัยยกมือขึ้นลูบศีรษะสีเทา พลางพยักหน้ายกหน้าที่ให้ภรรยาทำต่อไป ทำให้ปถวีที่มองเหตุการณ์อยู่นึกขำ

“เอาละนล แม่พอเข้าใจละว่าลูกอยากบอกอะไรกับแม่ ลูกห่วงคนรักของลูกจนไม่อยากไปเรียนต่อใช่มั้ย” คุณศรีสอางค์ก้มมองใบหน้าบุตรชายคนเล็กอย่างค้นคว้า

“ครับ” อนลพยักหน้ายอมรับ

“แต่คนเรามีหน้าที่นะลูก ถ้าทำหน้าที่ของเราได้ไม่ดี แล้วจะไปรับผิดชอบชีวิตคนอื่นได้ยังไง”

“ผมเข้าใจแม่นะ แต่ผมก็ไม่สบายใจเลยถ้าต้องทิ้งน้องวาไว้แบบนั้น”

“แต่เขาก็มีพี่ชายคอยดูแลอยู่ไม่ใช่เหรอลูก อีกอย่างถ้าลูกกังวลว่าความห่างไกลเพียงไม่กี่ปีจะทำให้ความสัมพันธ์เปลี่ยนไป แล้วลูกจะมั่นใจกับความรักครั้งนี้ได้ยังไงว่าจะประคับประคองกันไปได้ตลอดรอดฝั่ง” คุณศรีสอางค์มองลึกลงในดวงตาคู่คมหากแต่แฝงแววความอ่อนโยนต่างกับบุตรชายอีกสองคน

“ผมไม่ได้กลัวน้องวาจะเปลี่ยนไปนะแม่ ผมกลัวใครจะมาทำไม่ดีกลับน้องวาต่างหาก”

คุณศรีสอางค์เลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะข่มใจตอบลูกชาย

“แต่แม่ไม่เห็นด้วยหากลูกจะไม่ไปเรียนต่อเพราะเรื่องนี้”

“แม่! ผมจะไปเรียนต่อนะ แต่ผมอยากให้แม่เป็นผู้ใหญ่ไปสู่ขอน้องวาให้ผมก่อนครับ”

เมื่ออนลพูดจบทั้งคุณทรงยศและคุณศรีสอางค์ต่างหันหน้ามองกันและกัน ก่อนจะหันกลับมามองลูกชายคนสุดท้องอีกครั้ง

“จะแต่งกันไปได้ยังไง ลูกไม่เคยพามาให้พ่อแม่รู้จักเลยสักครั้ง มันจะไม่ข้ามหัวผู้ใหญ่ไปหน่อยหรือนล นิสัยใจคอเป็นยังไงก็ไม่รู้” ผู้เป็นมารดาร้องอุทานออกมาเป็นชุด ในขณะที่บุตรชายรีบโอบเอวมารดาเข้ามากอดแน่น

“แม่...แม่ฟังนลก่อนนะ น้องวาเขานิสัยดีครับ เพียงแต่บ้านเธอไม่ได้ร่ำได้รวยเหมือนบ้านเราเท่านั้นละแม่” อนลมองดวงตาแวววาวของผู้เป็นแม่ด้วยใจตุ้มๆต่อมๆ

“แต่ถ้าแม่อยากได้ลูกสะใภ้รวยๆ แม่คงต้องรอพี่ใหญ่กับพี่วีแทนแล้วละ เพราะผมทำไม่ได้แล้ว ผมรักน้องวา รักอยากจะให้เขามาเป็นภรรยาน่ะแม่”

คุณศรีสอางค์เพ่งมองใบหน้าบุตรชายคนเล็กเสียงแข็ง ในบรรดาลูกทั้งสามคน อนลเป็นลูกที่ไม่เคยทำให้ยุ่งยากใจ แต่มาวันนี้ ลูกชายแสนดีกำลังจะลุกขึ้นมาต่อรองเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง แถมยังดักทางไว้เสร็จสรรพว่าถ้าไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่เอาคนอื่นเหมือนกัน!

“แล้วถ้าแม่ไม่เห็นด้วยละ” ผู้เป็นมารดาหรี่ตามองบุตรชายนั่งหน้าถอดสี ในขณะที่ผู้สังเกตการณ์ก็ทำปากผะงาบๆเหมือนจะพูดอะไรออกมา

“แม่...” เสียงครางอ่อนระโหยดังขึ้นพร้อมทั้งเพิ่มแรงโอบกอดเอวมารดาด้วยใจที่อัดแน่นความสับสนไว้เต็มอก

“แม่...นลรักแม่นะ นลอยากให้แม่เจอกับน้องวาก่อนได้มั้ย แล้วแม่ค่อยตอบนล นะแม่นะ”

แม้ได้ยินเสียงครางเครือของบุตรชาย หากแต่ใบหน้าคุณศรีสอางค์ยังคงเรียบเฉยจนใจคนในที่นี้เต้นโครมคราม

“ถ้าเจอแล้วแม่ยังยืนยันคำเดิมละ นลจะทำยังไง จะเลือกอยู่กับแม่ หรือจะพากันหนีไปแบบนั้น”

คำถามของผู้เป็นมารดาทำให้อนลใจสั่น พร้อมทั้งเงยหน้ามองมารดาด้วยดวงตาแวววาว

“นลรักแม่นะ นลไม่หนีแม่ไปไหนหรอก ถึงแม่ไม่ชอบและนลก็ทำตามที่แม่ต้องการไม่ได้ แต่นลก็จะอยู่ใกล้ๆแม่นี่ละ ต่อให้ถูกเฉดหัวส่งก็เถอะ”

คำตอบของลูกชายทำให้คุณศรีสอางค์ต้องกลืนก้อนแข็งๆอะไรบางอย่างลงคอ ก่อนจะยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างหมายมาด ให้มันได้อย่างนี้สิ!

“งั้นวันเสาร์นี้พาน้องวาอะไรของเรามาให้แม่เจอหน้าก่อน แล้วแม่ค่อยตอบว่าจะทำยังไงต่อไป” คุณศรีสอางค์มองหน้าบุตรอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะเอ่ยอย่างกระแทกแดกดัน

“เลิกทำหน้าจะเป็นจะตายได้รึยังหึ!”

“แม่...รักแม่ที่สุดเลย” ร่างสูงเขย่งตัวขึ้นหอมแก้มมารดาฟอดใหญ่ แล้วจึงหันไปมองผู้เป็นบิดาและพี่ชายด้วยดวงตาเป็นประกาย

“ไว้พูดวันเสาร์ก็ไม่สายนะเจ้านล” หญิงสูงวัยโอบกอดลูกชายพลางยกมือลูบแผ่นหลังกว้างไปมา

“โธ่แม่ รับรองว่าถ้าแม่เจอน้องวา แม่ต้องถูกชะตากับน้องเขาแน่นอน”

“หึ...จะให้แม่ถูกชะตากับคนที่ทำให้ลูกแม่ไม่ยอมไปร่ำไมเรียนนะเหรอ”

“ฮึๆไม่ได้เป็นเพราะนังหนูนั่นหรอก เป็นเพราะลูกเรามันขี้หึงหลบในซะมากกว่า ฮ้าๆ” คุณทรงยศเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะแทรกภรรยาที่ทำหน้าบึ้ง

“คุณ...เรื่องลูกสะใภ้ให้ฉันจัดการเองได้มั้ยคะ”

“จ้าๆ พ่อยกให้แม่จัดการ ว่าแต่ตกลงกันได้แล้วก็ไปกินข้าวกันเถอะ อุตส่าห์อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันซักที”

“วันนี้ตาใหญ่จะมาหรือคุณ” คุณศรีสอางค์เลิกคิ้วโกงเรียวเล็กถาม

“อืม...เดี๋ยวก็คงมาถึง พ่อบอกให้มาเองละ จะได้คุยเรื่องงานกันด้วย”

“งั้นนลกับวีไปอาบน้ำอาบท่าแล้วลงมากินข้าวกับแม่นะ” ผู้เป็นมารดาหันไปสั่งก่อนจะเดินตามสามีขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน

ลับหลังมารดา ปถวีจึงเดินเข้ามากระเซ้าน้องชาย ด้วยบรรยากาศอึมครึมได้คลี่คลายไปในทางที่ดี

“รอรับแม่ซะเหนื่อยเลย” ปถวีแกล้งทำท่าหมุนหัวไหล่คลายกล้ามเนื้อ

“ฉันละกลัวใจแม่จะแย่ ยังจะมาพูดเล่นอีกนะพี่” อนลส่งสายตาค้อนขวับให้พี่ชาย

“เอาน่า...ลองแม่พูดมายังงี้ แกเตรียมโต๊ะจีนไว้ได้เลย”

ท่ามกลางคำพูดหยอกเย้าของพี่ชาย หากใจของอนลกลับยังมีบางอย่างที่ยังติดใจ มันง่ายเกินไปรึเปล่า...


XXXXX


“กินให้อิ่มนะนท กลับบ้านไปจะได้อาบน้ำนอนเลย” เทวัญตักหมูใส่จานข้าวนทนทีราวกับจะเอาใจและขอโทษขอโพยที่ต้องให้อยู่ทำงานจนมืดค่ำ

ความจริงเรื่องนัดเจรจากับคู่ค้าวันนี้ไม่จำเป็นต้องหอบหิ้วเอานิติกรของบริษัทมาด้วยเลย แต่เขาหาเรื่องและเจาะจงลากนทนทีมาเอง เพราะถ้าเป็นธรรมดาคงยากจะมากินข้าวนั่งคุยกันแบบนี้ ด้วยนทนทีมีบอดี้การ์ดที่พร้อมจะพาตัวกลับไปได้ทุกเมื่อ หากคนกินข้าวตรงหน้าเขาออกนอกเส้นทาง

“ขอบคุณครับ แต่ประธานไม่ต้องไปส่งผมหรอก มันคนละทางกันเลย เดี๋ยวผมกลับแท็กซี่สะดวกกว่า” ร่างโปร่งบางยิ้มละไมก่อนจะตักหมูในจานส่งเข้าปากเคี้ยวแก้มตุ่ยให้อีกฝ่ายรู้สึกพึงใจอยู่เงียบๆ

“เอาน่ะ ใช้งานหนักขนาดนี้ คงไม่ดีแน่ถ้าให้กลับเอง” เทวัญส่ายหน้าช้าๆพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม มองจานอาหารตรงหน้าที่ถูกจัดการจนเรียบ เห็นตัวเล็กๆแบบนี้กินเก่งใช่ย่อย

เมื่อเทวัญตั้งใจแน่วแน่ทำให้นทนทีรู้สึกอึดอัดใจใช่น้อย เหตุเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายพึงพอใจตัวเองอยู่ไม่น้อย จนทำให้ปถวีนำมาค่อนแคะถึงขนาดทะเลาะกัน เขาจึงไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมาอีก แต่จะปฏิเสธยังไงไม่ให้เสียน้ำใจกัน เขายังคิดไม่ออกเลย!

หลังจากชำระเงินค่าอาหารเสร็จเรียบร้อย ทั้งประธานและลูกน้องจึงเดินอ้อยอิ่งมายังรถที่จอดรออยู่ และจนแล้วจนรอดนทนทีก็นึกหาเหตุผลเพื่อเลี่ยงกลับบ้านเองไม่ออก จะบอกว่ามีแฟนขี้หึงก็ใช่ที่ เฮ้อ...

“ไม่สบายใจอะไรรึเปล่า เห็นเงียบไปตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว” เทวัญเพ่งมองใบหน้าขาวนวลท่ามกลางความมืดสลัวยามค่ำคืน

“รึฉันไม่ไปส่งจะดีกว่า”

คำถามตรงๆแทงใจดำจนนทนทีสะอึก แต่ก็ฝืนยิ้มแห้งแล้งให้อีกฝ่ายและไม่ได้ตอบคำถามนั้น

ปฏิกิริยาของร่างโปร่งบางทำให้เทวัญกระตุกยิ้มมุมปากแล้วจึงเหลียวมองไปรอบๆอย่างระบายอารมณ์ที่ไม่รู้ว่าจะโกรธหรือเสียใจดี แม้แต่เวลาเล็กๆน้อยๆเขาก็ไม่สามารถไขว้คว้ามาได้เชียวหรือ หากไม่ใช่เรื่องงาน!

“ถ้าคิดว่าไม่ปลอดภัยรีบโทรมานะ เดี๋ยวนี้แท็กซี่ก็ไว้ใจลำบากเหมือนกันถึงจะเป็นผู้ชายก็เถอะ” เทวัญเอ่ยขึ้นพร้อมระบายลมหายใจออกอย่างเชื่องช้า ถ้าจะต้องบังคับกัน เขาเลือกที่จะปล่อยให้อีกฝ่ายตัดสินใจดีกว่า เพราะถ้าได้มาแต่ตัวแต่ใจกลับอยู่ที่คนอื่น ไม่นานทุกอย่างก็จะสูญหายไปเหมือนอากาศ

เพราะรู้สึกโหวงเหวงในอกจนบอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะอะไร นทนทีจึงได้แต่ยืนเคว้งคว้างมองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นประธาน...คนที่ให้โอกาสทั้งการงานและชีวิตส่วนตัว ไม่มีเลยที่จะพูดกระแทกแดกดันให้อึดอัดใจ จนเขารู้สึกละอายเสียเอง แต่ก่อนจะได้ตอบอะไรออกไป ร่างสูงโปร่งของกันย์ก็ปรากฏขึ้นไม่ห่าง

“นท!...” เสียงเรียกของกันย์ทำให้คนทั้งคู่หันไปมอง

เทวัญขมวดคิ้วเมื่อเห็นหน้าผู้มาใหม่ นี่เจ้าเลขาตัวดีเขาเอาคนๆนี้ไม่อยู่เรอะ แต่ก็เอาเถอะ กลับไปกับเจ้านี่ก็ยังดีกว่าให้นทนทีโบกแท็กซี่กลับเอง

“กันย์! มาได้ไง” นทนทีครางเหมือนคนละเมอ

“ฉันมาทำงานแถวนี้เลยแวะมารับน่ะ จะกลับแล้วใช่มั้ย” กันย์หันไปก้มศีรษะเล็กน้อยให้ประธานหนุ่ม ถึงแม้จะเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น แต่ก็แสดงถึงเจตนาของเขาให้อีกฝ่ายได้รับรู้ไปเรียบร้อยแล้ว

และเพราะนทนทีเองก็ต้องการปลีกตัวกลับโดยบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น จึงพยักหน้าตอบรับพร้อมกับหันไปส่งยิ้มให้เทวัญ ยิ้มเพื่อปลอบประโลมใจตัวเอง

“ประธานขับรถระวังๆด้วยนะครับ” นทนทีบอกลาร่างสูงใหญ่แล้วจึงเดินตามกันย์ไปยังรถโดยไม่คิดจะหันกลับไปมองด้วยรู้สึกหนักใจพิกล และเมื่อเข้าไปนั่งเรียบร้อยจึงได้หันไปมองเลขาจอมเจ้าเล่ห์อีกครั้ง

“นายมีงานอะไรแถวนี้หรือ ดึกดื่นขนาดนี้แล้วนะ”
กันย์ยกยิ้มเย็นเหลือบมองคนทำหน้าตึงข้างๆ

“การพาคุณกลับบ้านอย่างปลอดภัยเป็นหน้าที่ที่คุณปถวีสั่งมานะครับ”

คำพูดอวดดีแบบเนิบนาบของคนที่กำลังขับรถทำให้นทนทีปวดหัวจี๊ด ก่อนจะกระแทกตัวลงผนังเก้าอี้

“แล้ววันนี้เจ้านายของนายไปไหนซะละ” นทนทีถามอย่างหน่ายใจ ด้วยพักหลังมานี้ปถวีมักจะสั่งให้กันย์มารับเขากลับบ้านตลอดถ้าเจ้าตัวติดธุระ ไม่ไว้ใจกันรึไงนะ

“เห็นบอกว่ามีธุระที่บ้านกะทันหันนะครับ ตอนแรกสั่งให้ผมโทรจองโต๊ะที่ร้านอาหาร...”

“อืม ไม่ต้องสาธยายเหมือนแก้ตัวแทนเจ้านายของนายหรอก ไม่ได้ตัวติดกันซะหน่อย แค่ถามดูเท่านั้นละ” นทนทีเอ่ยขัดขึ้นก่อนที่กันย์จะบรรยายเหตุผลร้อยแปดประการออกมา

“ไม่ได้แก้ตัวแทนนะครับ แต่คงเป็นเรื่องสำคัญมากน่ะครับ”

“นี่...” นทนทีเรียกชายหนุ่มที่ทำหน้าที่เลขานุการของปถวีอย่างค้นคว้า

“นายไม่เบื่อบ้างรึไงที่ต้องมาทำอะไรนอกเหนือหน้าที่แบบนี้น่ะ”

ร่างสูงโปร่งเหลือบมองใบหน้าขาวใสก่อนจะตอบเป็นการเป็นงานออกมา

“ผมเลือกที่จะทำตั้งแต่เข้ามาทำงานตรงนี้แล้วครับ คุณนทนทีไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก”

“หือ?” คำตอบของอีกฝ่ายยิ่งทำให้นทนทีฉงนหนักกว่าเดิม จนกันย์ต้องยกยิ้มบางอย่างเอ็นดูชายหนุ่มอายุน้อยกว่าผู้นี้ไม่น้อย

“ก่อนรับงานนี้ คุณปถวีให้ผมเลือกที่จะทำงานเป็นเลขาของเขาตามที่ท่านประธานใหญ่ส่งผมมา แต่เงื่อนไขการทำงานเป็นเลขาต้องรวมไปถึงการรับรู้ชีวิตส่วนตัว พร้อมทั้งปิดปากให้สนิทโดยแลกกับผลตอบแทนที่สูง กับบางสิ่งบางอย่างที่ผมร้องขอและคุณปถวีให้ได้ หากไม่เต็มใจ คุณปถวีจะส่งผมกลับโดยให้เหตุผลกับท่านประธานใหญ่เอง”

“แล้วนายเลือกจะทำตรงนี้ เพราะผลตอบแทนที่สูงงั้นเหรอ”

“ครึ่งหนึ่งครับ”

“แล้วอีกครึ่งละ”

“เหตุผลส่วนตัวขอไม่ตอบครับ” กันย์หันไปยิ้มเย็นตัดบทสนทนา ทำให้นทนทีหน้าตึงขึ้นมาอีกครั้ง จะบอกได้ไงว่า ก่อนที่จะตกปากรับคำทำงานตรงนี้เขาได้แอบไปดูคนรักของเจ้านาย และเพราะได้เห็นได้รับรู้ ถึงได้รับปาก

เพราะ...เขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าความรักของคนคู่นี้จะจีรังยั่งยืนท่ามกลางกระแสสังคมที่บีบคั้นได้หรือไม่
รักที่เขาเองก็อยากเอาใจช่วย...

และรักที่เขาเองไม่สามารถทำได้

V
V
V
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5-8 (06/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 06-10-2009 22:45:54
ตอนที่ 8

นทนทีเหลือบมองนาฬิกาฝาผนังที่บอกเวลาสี่ทุ่มเศษหลังจากกันย์มาส่งเขาถึงบ้าน ร่างโปร่งล้มตัวลงนอนหากใจกลับกังวลไปถึงเพื่อนตัวเล็กที่เงียบหายไปตั้งแต่วันที่พวกเขาพาออกมาจากผับย่านรัชดา

เป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ แต่เห็นวีบอกว่าไม่ค่อยจะดีเท่าไร เพราะถ้าไม่อยู่คนเดียวเงียบๆก็กินเหล้าหัวราน้ำจนต้องไปลากตัวกลับ ก่อนที่ใครจะหิ้วไปซะก่อน

เป็นห่วงจริงๆเลยน้า...ร่างโปร่งรำพึงก่อนจะหยิบโทรศัพท์กดหาเพื่อนที่ไม่รู้ทำอะไรอยู่ที่ไหน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เพื่อนไม่อยู่ในสถานที่ๆล่อแหลมก็แล้วกัน

“ไผ่...” นทนทีผงะหูออกจากโทรศัพท์ ด้วยเสียงเพลงดังกระหึ่มที่สอดแทรกเข้ามา อีกแล้วเหรอเนี่ย

“ไผ่อยู่ที่ไหนน่ะ”

“ร้านเดิมนั่นละนท มีอะไรเหรอ โทรมาซะดึกเชียว” น้ำเสียงใสๆของเพื่อนทำให้นทนทีโล่งใจไปเปาะหนึ่ง อย่างน้อยก็ไม่ได้เมาละนะ

“เป็นห่วงเพื่อนต้องมีอะไรด้วยเหรอ”

“หึๆ เกินไปๆ ฉันยังไม่ตายหรอกน่า”

“แต่ไปผับวันเว้นวันแบบนี้ได้ตายแน่ๆไผ่”

“น่า...จะกลับแล้วละ ออกมาธุระเมื่อเย็นเลยถูกเพื่อนลากมาอีกทีน่ะ” ไผ่ป้องปากกับโทรศัพท์

“จริงๆนะ”

“จะโกหกทำไมละ”

“ไผ่...ให้ฉันไปนอนคุยด้วยมั้ย หรือนายจะมาค้างบ้านฉันก็ได้นะ หรืออยากไปเที่ยวพักผ่อนสบายๆบ้างก็ดีเหมือนกันนะไผ่” นทนทีเอ่ยอย่างกังวลกับเพื่อนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกันตัวคนนี้

“นท...ขอบใจที่เป็นห่วง แต่ฉันยังไหวอยู่” ไผ่บอกอย่างราบเรียบจนนทนทีอดสะท้อนใจไม่ได้ เพื่อนเขาคงทุกข์ใจแสนสาหัสกับความรักที่ไม่อาจแม้แต่จะเอ่ยออกไป

“แล้วไผ่ไม่ได้ติดต่อกับประวิชเลยใช่มั้ย วันก่อนก็โทรมาหาฉันบอกติดต่อนายไม่ได้”

“หึ ฉันยังไม่อยากเห็นหน้าเจ้านั่นซักพักละ เจอกันตอนนี้ฉันยิ่งเจ็บนะนท และก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรลงไปด้วย ขอเวลาฉันซักพัก แล้วฉันคงจะมองเจ้านั่นอย่างคนเป็นเพื่อนกันได้หรอก”

“อืม...แล้วรีบกลับบ้านนะไผ่ มันจะเที่ยงคืนแล้ว”

หลังจากมั่นใจว่าเพื่อนคงจะรีบกลับบ้านอย่างที่รับปากรับคำ นทนทีจึงวางสาย แต่ยังไม่ทันได้เก็บโทรศัพท์ เจ้าเครื่องเล็กๆที่ยังอยู่ในมือก็ร้องดังขึ้นมาอีก

“ประวิช?” นทนทีกดรับสายแล้วให้ตกใจกับน้ำเสียงที่ดูหงุดหงิดของเพื่อนตัวใหญ่

“คุยกับใครอยู่หึ ฉันกดหานายมือแทบหงิก”

“...คุย...คุยกับไผ่อยู่นะ เกิดอะไรหรือน้ำเสียงไม่ดีเลย” นทนทีเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก เพราะไม่เคยเห็นประวิชเป็นแบบนี้มาก่อน

“ดีเลย ตอนนี้เจ้านั่นอยู่ไหนหึ! ฉันโทรหาก็ไม่รับสายฉัน แต่รับสายนาย มันยังไงกันห๊า!” น้ำเสียงชวนเอาเรื่องของประวิชทำให้นทนทีนึกกังวลใจ

“คิดมากน่า...ไผ่คงไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์มากกว่า เพราะเมื่อกี้ฉันโทรไป ไผ่อยู่ในพับเสียงดังมากเลย” นทนทีเอ่ยอย่างประนีประนอม แต่ต้องนึกเสียใจเมื่อประวิชตอบสวนกลับมา

“ไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ฉันมาสามสี่วันนี่นะ บอกมานะนท มันเป็นอะไรของมัน” น้ำเสียงร้อนรนแกมโมโหผิดกับประวิชคนเดิม ทำให้นทนทีต้องคิดก่อนจะพูดอะไรออกไป เพื่อไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่

“คงกลุ้มใจอะไรอยู่ละมั้ง ฉันก็ไม่แน่ใจหรอกนะ แต่อย่าไปโกรธไผ่เลยนะวิช ให้ไผ่อยู่คิดอะไรซักพักเถอะ” แต่คำพูดของนทนทียิ่งทำให้ประวิชยิ่งอยากรู้ว่าเกิดอะไรกับคนที่เคยตามเขาเป็นเหงาตามตัวกันแน่

มีอะไรทำไมไม่เล่าให้เขาฟังละ...ตั้งแต่วันนั้น วันที่เขารู้สึกว่ายิ้มนั้นมันฝืดเฝื่อนพิกล

“นท...ฟังนะ ฉันขึ้นมาทำงาน และอยู่ๆเจ้านั่นดันทิ้งงานไปไม่บอกไม่กล่าวว่าเป็นอะไร แล้วอีกไม่กี่วันก็ต้องกลับใต้แล้ว นายจะให้ฉันเฉยอยู่ได้ยังไง” ประวิชฉุนกับน้ำเสียงฟังดูมีลับลมคมในของนทนที

“ฉันอยากคุยกับเจ้านั่น บอกมาว่าไผ่อยู่ที่ไหนหึ”

“ประวิชนี่มันดึกแล้ว ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันก็ได้มั้ง” นทนทีหว่านล้อมด้วยหวังให้ประวิชได้สงบใจก่อนที่จะคุยกับไผ่

“นท! ไม่ใช่ฉันไม่ไปหาเจ้านั่นที่บ้านนะ แต่ฉันไปแล้วไม่เคยเห็นหัวมันเลยต่างหาก บอกมานท ฉันจะได้คุยกันให้รู้เรื่อง ถ้าไม่อยากทำงานกับฉัน ฉันจะได้กลับใต้ไปคนเดียว ปล่อยให้สำเริงสำราญอยู่กรุงเทพนี่ละ”

“...”  โธ่ประวิช ฉันก็อยากบอกนะ แต่...

เมื่อนทนทีเงียบ ประวิชจึงถอนหายใจใส่โทรศัพท์ และยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน

“ให้ท้ายกันเข้าไปนะ เมื่อกี้เห็นบอกว่าอยู่ที่ผับ คงเป็นผับที่เจ้านั่นไปประจำใช่มั้ย”

“ประวิช...ไปก็คงไม่เจอเหรอ ไผ่คงกลับไปแล้วละ”

“แสดงว่าอยู่จริงๆ งั้นแค่นี้นะ”

“เดี๋ยวๆประวิช!” ไม่ทันให้ได้ร้องห้าม เพื่อนตัวโตที่ไม่เคยแสดงอาการวู่วามให้เห็นก็ตัดสาย แถมโทรไปก็ไม่ยอมรับ และจะโทรไปบอกไผ่ให้รู้ตัว เจ้าคนต้นเหตุก็ดันปิดเครื่องไปซะแล้ว ร้อนจนนทนทีต้องโทรหาปถวี

“ทำไงดีละ ถ้าไม่เจอกันก็คงดีหรอก” นทนทีเล่าให้ปถวีฟังด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“นท...เฮ้อ ลองเป็นแบบนี้อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดแล้วละ เราคอยหาทางแก้หลังจากนี้ก็แล้วกัน บางทีมันอาจไม่มีอะไรก็ได้นท” ปถวีตอบพลางเหม่อมองเพดานห้อง ให้จริงเถอะไอ้คู่นี้ ตัวเขายังเอาตัวเองไม่ค่อยจะรอดเลย...

“แต่...”

“นท...ปัญหาของเขา เราเข้าไปยุ่งมากไม่ได้หรอกนะ เรื่องบางเรื่องมันก็มีเวลาของมัน”

“ก็จริง แต่ก็อดไม่ได้ละ เพื่อนกันทั้งคู่ ต่อไปจะมองหน้ากันติดเหรอ”

“เอาน่ะ โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงกันแล้วนะ ถ้าคิดไม่ได้ก็ปล่อยไปเถอะ ว่าแต่วันนี้กลับดึกอีกแล้วเหรอ”

“อะ...อืม แต่ก็กลับๆกันย์นั่นละ” นทนทีเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปร่งๆด้วยอีกฝ่ายวกออกนอกเรื่องไม่ให้ทันตั้งตัว และเป็นเรื่องที่พูดกี่ครั้งก็มีแววว่าจะทะเลาะกันเสียทุกครั้งไป ทำแบบนี้เขาก็รู้สึกอึดอัดใจใช่เล่น...หากแต่อีกฝ่ายเพียงพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้เอ่ยพาดพิงอะไรออกมา กลับพูดไปถึงเรื่องที่ไม่คาดคิด ทำให้นทนทีต้องแอบโล่งใจหน่อยๆ

“วันนี้เจ้านลออกปากกับแม่ว่าจะไปขอน้องวาน่ะ”

“ห๊ะ!” ที่โล่งใจเมื่อกี้ขอคืนนะ ร่างเล็กนึกค่อนขอดอีกฝ่ายในใจ

“ไม่ห๊ะละ เรื่องจริง แล้วแม่ฉันก็ไฟเขียวแล้วด้วย” ปถวีเอ่ยข้ามประเด็นที่มารดาได้บอกไว้

“น้องวาอายุยังไม่ถึงยี่สิบห้าเลยนะวี!”

“น้องฉันมันใจร้องไง”

“เดี๋ยวฉันคุยกับนลเองดีกว่า ฉันไม่ค่อยเห็นด้วยเลย”

“อีกละ...ถึงนายจะเป็นพี่ก็ตามเถอะ แต่พวกเขาก็ไม่ใช่เด็กนะนท เจ้านลมันก็ทำงานทำการมาไม่น้อยกว่าฉันหรอก น้องวาก็เรียนจบทำงานแล้วด้วย”

“วี แต่มันเร็วไปนะ”

“เร็วไปสำหรับนายต่างหาก นายกำลังกังวลอะไรจนเกินเหตุ นายเอาความรู้สึกของนายเป็นตัวตัดสินแทนเขามากกว่า ปล่อยให้เขาเลือกชีวิตของเขาเองดีกว่ามั้ย” ปถวีเอ่ยอย่างปลอบประโลม

“นท น้องวาเข้มแข็งกว่าที่พวกเราคิดนะ”

“แต่...”

“ไอ้นลมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงไม่อยากได้มันเป็นเขยน่ะ” ปถวีถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ทำให้คนฟังนึกฉุนกึก

“นี่! ตั้งแต่เกิดมาเคยกังวลอะไรกับเขาบ้างมั้ย” นทนทีตะโกนใส่โทรศัพท์เมื่อได้ยินเสียงคนไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจอะไร แต่เขาสิที่กลัว กลัวว่าน้องสาวตัวเองจะตกที่นั่งลำบากกับความรักครั้งนี้

“นายไงละนท นายทำให้ฉันกังวลไปสารพัด จนอยากจับมัดไว้กับเสาเชียวละ”

“ทุเรศ!”


XXXXX


“วันนี้ถ้าไม่เจอฉันไม่กลับจริงๆด้วย” ประวิชกวาดสายตาไปรอบๆร้านเหล้ามืดสลัวมีเพียงไฟกระพริบหลากสีนำทางเพื่อหาคนที่เขาอยากพบ

“ถ้าเป็นเด็กจะจับฟาดให้ก้นลายเลย เหลวไหลจริงๆการงานไม่ทำ ดันมาเที่ยวสนุกอยู่ได้ โทรศัพท์ก็ไม่ยอมเปิด!” ประวิชบนพึมพำขณะมองหาร่างเล็กคุ้นตา แต่เดินวนไม่รู้กี่รอบก็ไม่เห็น ยิ่งทำให้คนที่หงุดหงิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วโมโหเข้าไปใหญ่

“รึว่ากลับบ้านไปแล้วจริงๆ” ร่างสูงชะโงกตัวข้ามผู้คนที่ยืนกันเบียดเสียดเข้าไปเพ่งมองบรรดาโต๊ะที่ตั้งอยู่ตามซอกหลืบของร้าน จนชะงักเข้ากับชายหนุ่มคู่หนึ่งนั่งกอดจูบอย่างไม่เกรงฟ้าอายดิน และเพราะเห็นเพียงแผ่นหลังผู้ชายตัวโตทำให้ประวิชละสายตาออกมา แล้วถอนหายใจอย่างไม่ทั่วท้อง

“เออ! เอาเข้าไป” ประวิชบ่นพึมพำ เห็นเพื่อนนั่งอยู่เต็มโต๊ะยังทำไปได้นะ แต่เจ้าพวกนั้นมองแล้วสติสะตังคงไม่คอยอยู่กับเนื้อกับตัวกันเลย ถ้าจะเมาจัด ก่อนจะปลีกตัวถอยห่าง ปลายหางตาจึงตวัดเห็นศีรษะคนตัวเล็กเบี่ยงหนีออกห่างผู้ชายร่างใหญ่ และใบหน้าขาวนวลตัดความมืดสลัวทำให้ประวิชชะงักค้าง ทุกสิ่งดูจะหยุดนิ่งชั่วขณะ

“ผะ ไผ่!” เสียงครางเครือไม่ผ่านจากลำคอ ทำให้ประวิชจุกแน่นไปทั้งอก และยิ่งรู้สึกถึงเส้นเลือดในสมองโป่งพองปวดจี๊ดๆ เมื่อเห็นคนที่เคยตามเกาะเป็นเงาตามตัวยิ้มละไมให้ผู้ชายที่เขาไม่รู้จัก แถมยังเงยหน้าขึ้นรับสัมผัสจากริมฝีปากอีกฝ่ายที่คอยวนเวียนปัดไปปัดมาไม่ได้ห่าง แล้วยังมือไม้ยุ่มย่ามเป็นหนวดปลาหมึกนั่นอีก

เฮ้ย! ประวิชร้องด้วยตกใจเมื่อเห็นชายหนุ่มส่งลิ้นเข้าไปลิ้มรสในช่องปากเล็กอย่างฉกฉวย

ทำอะไร ทำอะไรกันห๊ะ! ไปจูบกับผู้ชายได้ยังไง

“ไผ่!” เสียงเรียกอย่างตะคอกดังก้องไปทั่วบริเวณแม้จะมีเสียงเพลงจังหวะรัวเร็วกลบไปบ้าง ทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงสุดตัว และผลักชายหนุ่มที่กำลังนัวเนียออกห่างทันมีเมื่อเห็นว่าใครมายืนอยู่ตรงหน้า

“ประวิช!” ไผ่ลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคงไม่มีท่าทีว่าจะเมามายซักนิด ยิ่งทำให้เส้นเลือดในสมองประวิชแทบแตก

“มา...มาที่นี่ได้ยังไง” เสียงถามกระท่อนกระแท่นเหมือนเด็กถูกผู้ใหญ่จับได้ว่าขโมยขนมกิน

“ก็มาตามไอ้บ้าที่อู้งานกลับนะสิ” ประวิชเดินย่างสุขุมเข้าไปใกล้ร่างเล็กที่ยืนกระสับกระส่ายจนสังเกตได้ชัด

“แล้วเมื่อกี้นี้นายทำบ้าอะไรหึ!”

“อะ...ขอ...ขอโทษ” เพราะเสียใจไผ่จึงไม่ได้คิดถึงเรื่องงานเรื่องการในหัวเลยแม้แต่น้อย จนคนที่เป็นทั้งเพื่อน หัวหน้า และคนที่เขารักเอ่ยเตือนนั่นละ ถึงได้สะกิดต่อมความรับผิดชอบในตัว

“กลับบ้าน!” ประวิชตะคอกใส่ศีรษะเล็ก ขณะที่หางตาเห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เขานึกเขม่นในใจลุกขึ้นมาผลักอกออกห่างจากร่างเล็กอย่างถือวิสาสะ

ไผ่มองเห็นเค้าความวุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้นจึงแทรกตัวเข้าไประหว่างคนตัวใหญ่ทั้งสอง

“เอ็มๆ นี่เพื่อนฉัน อย่ามีเรื่องกัน” ร่างเล็กยึดแขนเพื่อนที่ตั้งท่าเอาเรื่องผู้มาใหม่ให้หมอบคาบาทา

“ถ้าเป็นเพื่อนก็อย่ามาเสือกเรื่องคนรักกันสิ คราวก่อนก็ทีแล้วนะไผ่” เอ็มหันไปขึ้นเสียงกับไผ่

ทั้งคำพูดและอาการถือสิทธิ์เป็นเจ้าข้าวเจ้าของของเอ็ม ทำให้ดวงตาที่อ่อนโยนเป็นนิจวาวโรจน์เหมือนสุมด้วยไฟกองใหญ่

“คนรักบ้าอะไรของนายห๊ะไผ่ จะเหลวไหลไปแล้วนะ” ประวิชเสียงดังพลางเพ่งมองริมฝีปากเล็กที่จับด้วยหยาดน้ำแวววาวสะท้อนแสงไฟก็ยิ่งนึกโมโห

“นายต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!” เพราะไม่ได้สำนึกถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย ทำให้ประวิชต่อว่าอย่างไม่ไว้หน้า

ไผ่มองใบหน้าโกรธขึงของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกแข้งขาอ่อนแรง ประวิชเห็นแล้ว เห็นว่าจูบอยู่กับผู้ชาย แล้วต่อไปประวิชจะคิดกับเขายังไง จะรังเกียจความรู้สึกของเขารึเปล่า เขายังไม่อยากจะคิดถึงเลย

“ฉันไม่ได้เหลวไหลนะ นายกลับไปเถอะ เดี๋ยวฉันกลับเองได้”

คำตอบของไผ่ทำให้ประวิชขบฟันแน่น แล้วกระชากแขนเล็กเข้าไปใกล้ตัว

“จะกลับไม่กลับ ถ้าไม่กลับก็ไม่ต้องมาให้เห็นหน้าเลยนะ คนไม่รับผิดชอบ!”

คำต่อว่าของคนรักที่ไม่เคยแม้แต่จะรับฟังความรู้สึก ดีแต่หลบเลี่ยง แล้วตอนนี้จะถือสิทธิ์อะไรมาสั่ง ริมฝีปากบางจึงขบกัดเข้าหากันอย่างถือทิฐิ

“ไม่ ฉันไม่กลับกับนายหรอก นายกลับไปคนเดียวเถอะ”

“ไผ่!” ประวิชแทบควันออกหูได้ เมื่อได้ยินไผ่ป่าวประกาศต่อหน้าต่อตา

ไม่เคยเลยที่ร่างเล็กๆนี้จะดื้อแพ่งกับเขาขนาดนี้ เพราะไอ้หนุ่มหน้าแหลมนี้เหรอ ร่างสูงใหญ่คิดด้วยหัวใจที่ร้อนรน

คนที่เคยตามเป็นดังเงา คนที่เคยยิ้มละไมให้เช้ายันค่ำ แต่วันนี้กลับเลือกคนอื่น ให้ความสำคัญกับใครก็ไม่รู้ แล้วเขาละ...หมอนี้เอาเขาไปไว้ตรงไหน ความรู้สึกเหมือนถูกแย่งสิ่งสำคัญไปทำให้ประวิชกระชากร่างเล็กเข้าประทะอก หากแต่ชายหนุ่มที่เอ่ยอ้างว่าเป็นคนรักของไผ่เข้ามายื้อไว้นั่นละ ประวิชจึงได้ประโคมหมัดเข้าใส่ลำตัวจนอีกฝ่ายทรุดตัวลงกุมท้องร้องโอดโอย ก่อนจะหันมาตีหน้ายักษ์ใส่คนตัวเล็กในอ้อมแขนที่ทำหน้าเหวอกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“จะกลับดีๆหรือจะต้องมีเรื่องกัน” คนใจเย็นอย่างประวิชหยิบขวดเหล้าขึ้นตีกับเสาข้างตัวให้แตกเป็นปากฉลามกันบรรดาวัยรุ่นในโต๊ะที่เริ่มห้อมล้อมเข้ามาใกล้

และไม่รอให้คนมีสีหน้าตกใจตอบ ประวิชก็ลากร่างแข็งทื่อไปยัดใส่รถ แล้วออกตัวกระชากพาให้ร่างเล็กหัวแทบกระแทกกับแผงคอนโซล พร้อมกับปรายหางตามองการ์ดของร้านออกมาเมี่ยงมองกันการทะเลาะวิวาทของแขกในร้านอย่างโล่งใจเล็กน้อย

ดีนะที่ออกมาก่อน ไม่งั้นได้จมบาทาการ์ดพวกนี้แน่
ร่างสูงขับพาคนที่ไม่ยอมพูดยอมจากลับไปยังบ้านของตน และต้องยื้อยุดกันอีกพัก กว่าจะพาคนตัวเล็กแต่แรงไม่น้อยเข้าบ้านได้

“ปล่อย!”

“นี่! ทำตัวให้ดีๆนะไผ่ ไม่งั้นฉันชกจริงๆด้วย” ประวิชตวาดเสียงดังอย่างเหลืออด หลังจากต้องเสียเหงื่อลากไผ่เข้ามาในบ้าน

“นาย! ทำไมต้องตะคอกด้วยเล่า เดี๋ยวพ่อแม่พี่น้องก็ตื่นกันพอดี นี่มันดึกแล้วนะ” ไผ่โก่งตัวเมื่อประวิชพาขึ้นบันไดไปยังห้องนอน ห้องที่เขาเคยมานอนค้างด้วยบ่อยๆ”

“ไม่ต้องห่วง พวกเขาไปเที่ยวเขาใหญ่กันหมดบ้านแล้ว” ประวิชตอบน้ำเสียงปนหอบ ขณะลากร่างเล็กเข้าไปคุยกันในห้องนอนจนได้

“เอ๊า! จะนั่งคุยกันดีๆมั้ย” ร่างสูงใหญ่จับบ่าเล็กกระแทกให้นั่งลงขอบเตียง แล้วลากเก้าอี้ใกล้มือมาให้ตัวเองนั่งลงตรงหน้า

“ไหน...เป็นอะไรว่ามาสิ ทำไมไปทำตัวเละแทะแบบนั้น” ประวิชลดเสียงลงเมื่อเห็นใบหน้าซีดขาวของอีกฝ่าย

“ไผ่...”

เสียงเรียกอ่อนโยนผิดกับเมื่อครู่ ทำให้ใจที่ยังไม่มีแม้แต่เกาะคุ้มกันบางๆต้องล้มเหลวไม่เป็นท่า ทำไมนะ ทำไมต้องมาเห็นเขาในสภาพแบบนี้ ต้องเห็นอะไรที่เขาไม่อยากให้เห็น รออีกหน่อยเขาก็ตั้งใจจะกลับไปเป็นเหมือนเพื่อนปกติอยู่แล้วแท้ๆ แล้วแบบนี้ทุกอย่างมันจะเป็นความลับไปอีกได้ยังไง ในเมื่อเห็นแล้ว รู้แล้วว่าเขาเป็นเกย์!

หยาดน้ำใสที่อยู่ๆก็เอ่อร้นออกมาจากดวงตาคู่ว่างเปล่าไร้แวว ทำให้ประวิชขมวดคิ้วยุ่ง ใจที่นึกโมโหอีกฝ่ายเมื่อครู่อ่อนยวบลง

“เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม ใครทำกันฮึ” มือใหญ่เข้าลูบศีรษะทุยเหมือนปลอบเด็กเล็กๆอย่างเก้ๆกังๆ ด้วยตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมายังไม่เคยเห็นน้ำตาสักหยดของคนตรงหน้าที่ดีแต่ลิงข้างไปวันๆ

คำพูดที่ฟังดูเหมือนปลอบใจกลับทำให้ไผ่ตวัดสายตามองอย่างโกรธเคือง พลางปัดมือใหญ่ออกจากศีรษะอย่างสะบัด

“เป็นอะไร” ประวิชยังคงทอดเสียงถาม แต่อีกฝ่ายกลับยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำมูกแรงๆแล้วนั่งเงียบไม่ยอมพูด จนร่างสูงต้องขยับลุกไปนั่งข้างๆ

“นี่นายจะไม่พูดกับฉันจริงๆเหรอ ฉันเครียดนะ นายเล่นหายหน้าหายตาไป การงานก็ทิ้งไว้ไม่บอกอะไรฉันเลย นี่อีกไม่กี่วันก็จะกลับใต้ แล้วนายจะให้ฉันเฉยอยู่ได้ยังไง” ประวิชทอดสายตามองอีกฝ่ายก้มหน้าก้มตามองมือตัวเองเหมือนจะให้มีอะไรงอกออกมาได้งั้นละ

“ฉัน...ขอโทษ” น้ำเสียงเอ่ยออกมาเบาหวิว แต่ก็ทำให้ประวิชโล่งใจที่อีกฝ่ายยอมเปิดปาก

“เห็นนทบอกว่านายไม่ค่อยสบายใจ ถ้ายังไม่อยากทำงานก็หยุดไว้ก่อน พร้อมเมื่อไรนายค่อยตามลงไปก็ได้ แต่บอกฉันก่อน อย่าหายไปแบบนี้สิ”

“อืม...”

คนตัวเล็กยอมรับแต่ดุษฎี ประวิชจึงยกมือขึ้นเขย่าไหล่มนเบาๆ หากแต่วงหน้าขาวที่เงยขึ้นมองอย่างตัดพ้อ ทำให้ใจแข็งๆของร่างสูงไหววูบ

ทำไม ...ทำไมพอเขาตีตัวออกห่างอีกฝ่ายก็วิ่งเข้าหา แต่พอเขาขยับเข้าใกล้อีกฝ่ายกลับกระเถิบหนี และที่สำคัญ เขาสามารถทำใจให้รักประวิชแบบเพื่อนได้จริงๆหรือ ในเมื่อเขาเฝ้ารักเฝ้าคอยมาเป็นสิบปี

เขาจะอยู่อย่างคนหน้าชื่นอกตรมได้เหรอ ยิ่งถ้าวันใดที่ประวิชมีครอบครัว แล้วเขาจะไปซุกอยู่ตรงไหน มันไม่มีทางจบอย่างที่หวังไว้หรอก เพราะจริงๆแล้ว เขาไม่ต้องการเป็นแค่เพื่อน...ไผ่คิดอย่างขมขื่น ก่อนจะเอ่ยถาม

“เห็นใช่มั้ย”

“อะไร?”

“เมื่อกี้ในร้านเหล้า นายเห็นใช่มั้ย” เมื่อร่างเล็กตอกย้ำให้นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ประวิชจึงรู้สึกปวดสมองจี๊ดๆอีกรอบ

“อย่าไปทำแบบนั้นอีกนะ ฉันไม่ชอบเลย” ประวิชเอ่ยราบเรียบในขณะที่อีกฝ่ายแทบควันออกหู

รักก็ไม่รัก แล้วมีสิทธิ์อะไรมาห้าม! ไผ่มองใบหน้าที่ไม่เคยจะยอมรับความรู้สึกของเขาอย่างโกรธเคือง ก่อนจะผลักอกหนาออกห่างแรงๆ

ในเมื่อไม่คิดจะรับรู้ความรู้สึกของเขา แล้วจะมาหวงไว้ทำไม!

“นายมันเห็นแก่ตัว!”

“เห็นแก่ตัวอะไร!” ประวิชฉวยข้อมือเล็กไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะลุกหนี

“นั่นมันเรื่องส่วนตัวของฉัน นายไม่มีสิทธิมาห้าม”

“แต่นั่นมันผู้ชายนะ นายเป็นเกย์รึไง”

“เออ! ฉันเป็นมาตั้งแต่เกิดแล้ว!” คำตอบสวนกลับของไผ่ทำให้ประวิชชะงัก แต่กลับรวมรวมสติได้ดีเกิดคาด ด้วยไม่ได้ต่างกับที่ใจลึกๆคาดไว้ แต่ที่โมโหเพราะเห็นอีกฝ่ายไปจูบกับผู้ชายต่างหาก!

“เป็นแล้วไงละ เป็นแล้วต้องมั่วด้วยรึไง ถึงได้ไปจูบกันแบบไม่อายฟ้าดินแบบนั้น”

“ฉันไม่ได้มั่วนะ อย่าพูดเหมือนรู้ดีหน่อยเลย!” ไผ่ตะโกนเถียงแม้จะรู้สึกเสียใจก็ตามที

“แล้วที่เห็นมันไม่ได้มั่วรึไง!”

เพี๊ยะ! เสียงฝ่ามือเล็กกระทบแก้มประวิชเข้าอย่างจัง จนเจ้าของใบหน้าเอียงวูบ หากแต่เจ้าตัวกำหมัดแน่นไม่คิดจะสวนกลับ เพราะร่างเล็กที่มองมาด้วยดวงตาแดงก่ำเหมือนจะทิ่มแทงให้ทะลุไปถึงไหนต่อไหน

“นายเคยรู้อะไรบ้างละ เคยตั้งใจรับรู้อะไรในตัวฉันบ้างละ! เห็นแค่นั้นนายก็ว่าฉันแล้วเหรอ คนใจแคบ!” ริมฝีปากบางต่อว่าอย่างโกรธเกี้ยว ก่อนจะสะบัดหน้าหนีด้วยอีกฝ่ายยังยึดจับข้อมือไว้แน่น

ร่างสูงใหญ่ที่มีอารมณ์เดือดดาลนั่งสงบสติอารมณ์ชั่วครู่ แล้วจึงถอนหายใจยาวพลางมองแผ่นหลังที่กระเพื่อมไหวจากการร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างเงียบๆ ใช่...เพราะเขาโมโหถึงได้ต่อว่าอีกฝ่ายอย่างไม่คิด ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นไผ่ไปสุงสิงกับใครเลยนอกจากเขา แล้วจะไปทำตัวแบบนั้นได้ยังไงถ้าไม่ได้รัก...ถ้าไม่ได้รัก...

หรือว่า...

จะรัก!

ประวิชสะดุดเข้ากับความคิดของตัวเองจนใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ก่อนจะเหนี่ยวใบหน้าที่ชุ่มด้วยน้ำตามามองอย่างตะขิดตะขวงใจ

“แล้วที่นายทำ...เพราะนายรักเขาหรือ ถึงได้จูบกันแบบนั้น” ประวิชมองอีกฝ่ายเบิกตากว้างอย่างตกใจทั้งคาดไม่ถึง

“ห๊ะ!” คำถามที่ไม่เคยคิดว่าจะหลุดออกมาจากปากคนที่เขารัก ทำให้ไผ่ไม่รู้จะหัวเราะร่าหรือร้องไห้ฟูมฟายดี แต่ที่แน่ๆในใจตอนนี้เขารู้สึกโกรธเหลือเกิน โกรธจนอยากจะกระชากอีกฝ่ายลงนอนแล้วขึ้นคร่อมฉีกทึ้งเสื้อผ้า และ...ชกไอ้ปากโสโครกนั่นจริงๆ

“หึ...ไม่ต้องรักก็ทำได้” ร่างเล็กตั้งใจตอบกวนโทสะคนตัวใหญ่

“ไผ่!”

ไผ่มองประวิชตาโตก่อนจะเหยียดยิ้มอย่างไม่ยี่หระ พอกันที ไม่ทงไม่ทนมันแล้ว เกือบสิบปีที่ผ่านมา มันยังไม่ทำให้นายรู้อีกหรือว่า ฉันรักใคร!

คนตัวเล็กบางจ้องมองใบหน้าเครียดอีกฝ่ายเขม่ง ก่อนจะถามอย่างแดกดัน

“แล้วอยากรู้มั้ยว่าฉันรักใคร” ไผ่ขยับเข้าใกล้ร่างสูงที่ผงะตัวออกห่างอย่างเกร็งๆ ยิ่งทำให้ไผ่ฉีกยิ้มแห้งแล้งขึ้นไปอีก

เห็นมั้ยไอ้ไผ่ ไอ้บ้าไผ่ เวลาแกทำท่าจะเปิดเผยความในใจทีไร เจ้าหมอนี้เป็นต้องหลีกหนีอยู่ร่ำไป แต่...

ในเมื่อไม่อยากรู้มากนัก ฉันก็จะยัดเหยียดให้รู้กันไปเลย!

“ฉันรักนาย ได้ยินมั้ยว่าฉันรักนาย รักมาตั้งนานแล้ว!” มือเล็กผลักอกหนาให้ล้มลงบนที่นอนนิ่ม ก่อนจะเคลื่อนตัวขึ้นไปนั่งทับหน้าท้องแข็งเรียบแล้วดึงทึ้งสาบเสื้อให้เปิดออกเห็นแผงอกตึงเครียด

“ไอ้ไผ่! หยุดนะ จะบ้าเหรอ อย่ามาเล่นแบบนี้นะ” ประวิชตกใจปัดมือเล็กออกพัลวัน หากแต่ไม่ได้ออกแรงจนทำให้ลำแขนขาวของเพื่อนต้องมีร่องรอยเขียวช้ำ

“ฉันไม่ได้เล่น แต่เอาจริงเลยละ” ไผ่มองอีกฝ่ายด้วยดวงตาเป็นประกายก่อนจะก้มตัวจนศีรษะชิดใบหน้าคมคาย และเอ่ยผ่านริมฝีปากที่ห่างกันเพียงปลายจมูก

“ฉันรักนาย” แม้ต่อแต่นี้ไปนายจะเกลียดฉันไปชั่วชีวิตก็ตาม

ริมฝีปากบางนุ่มเข้าประกบจูบกับริมฝีปากที่ตึงเครียด หากแต่ลิ้นอุ่นก็พยายามรุกล้ำเข้าไปในโพรงปากร้อนผ่าว

“ผะ...ไผ่...ไอ้ไผ่!” ประวิชตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนออกแรงผลักร่างบางกระเด็นไปกระแทกเก้าอี้ข้างเตียง ก่อนจะตะเกียกตะกายกระโดดข้ามไปอยู่อีกฝากหนึ่งของที่นอน

“โอ๊ย!” ไผ่ร้องเสียงหลงก่อนจะยกมือขึ้นกุมหน้าตัวเอง

“ฉันเพื่อนแกนะ!” ร่างสูงขึ้นเสียงใส่คนที่ยังล้มไม่เป็นท่าอยู่ที่พื้น จนใบหน้าขาวๆเงยขึ้นนั่นละ ถึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังป่ายจมูกตัวเองปอยๆด้วยมีเลือดจำนวนหนึ่งไหลออกมา

“ไผ่...” ประวิชกระโดดข้ามเตียงเข้าไปพยุงร่างเล็กด้วยเคยชิน หากแต่อีกฝ่ายกลับสะบัดตัว แล้วลุกขึ้นยืนถอยห่างอย่างทะนง

“ในเมื่อนายรักฉันอย่างคนรักไม่ได้ ก็อย่ามาทำดีกับฉัน อย่ามาห่วงฉัน เพราะอะไรรู้มั้ยวิช” ไผ่มองอีกฝ่ายอย่างยิ้มเยาะ

“เพราะมันทำให้ฉันเจ็บ”

ร่างสูงผงะไปกับคำสารภาพของเพื่อนสนิท คำสารภาพที่เขาพยายามไม่รู้ไม่ชี้มาตลอดเพื่อจะดำรงความเป็นเพื่อนไว้ให้นานเท่านาน แต่มาตอนนี้ เขาได้ฟังเต็มสองหูแล้วจะให้เขาทำตัวยังไงต่อไปดี

เพราะความรักความห่วงใยที่เขามีให้คนๆนี้ไม่เคยข้ามผ่านคำว่าเพื่อนแม้แต่น้อย แม้บางครั้งจะเคยรู้สึกหงุดหงิดจนเกือบจะเรียกว่าหวงหากอีกฝ่ายไปสนิทสนมกับคนอื่นจนออกหน้าออกตา แต่นั่นก็อาจเป็นเพราะเขารู้สึกยึดติดมากเกินไปต่างหาก เขาบอกกับตัวเองแบบนั้นเพื่อความสบายใจในการคบหา และเขาก็พอใจที่อีกฝ่ายไม่คิดจะก้าวข้ามเขตแดนนั้นด้วย

แต่วันนี้ไผ่ได้ล้ำเส้นแบ่งเขตแดนเข้ามาแล้ว ทุกอย่างจึงไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก แล้วเขาควรจะทำยังไงดี...

“ไผ่...”

ไผ่มองประวิชครางเสียงอ่อนระโหยเหมือนคนหมดแรง หากแต่เขาแหกกฎของความเป็นเพื่อนจนถอยไม่ได้แล้ว คางเรียวมนจึงเชิดขึ้นด้วยอาการสั่นระริก และนี่จะเป็นคำถามสุดท้ายที่จะทำให้เขาอยู่เคียงข้างหรือจากไป...จากไปตลอดกาล

“นายจะรักฉันได้มั้ย”

“...!”

“ได้มั้ย” ร่างเล็กถามย้ำด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน หากแต่ใบหน้าอีกฝ่ายกลับแสดงอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหมือนกำลังกินยาขมยังไงยังงั้น มุมปากบางจึงยกขึ้นอย่างสมเพชตัวเอง

ความรู้สึกของฉันมันทำให้นายทรมานขนาดนั้นเลยเหรอ...

“เพื่อน...เราเป็นเพื่อนกัน...ไผ่” เสียงประวิชพูดตะกุกตะกักยังไม่ทันจบ อะไรบางอย่างก็ลอยลิ่วเข้ามาใกล้จนต้องเอี้ยวศีรษะหลบฉับพลัน

ตุบ! ตุบ! เสียงหมอนใบเล็กใบใหญ่ร่วงหล่นพื้น ในขณะที่คนปาหอบด้วยความโกรธจนตัวโยน

“ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนแล้ว! ไม่ได้ยินรึไง” มือเล็กยังคงหยิบข้าวของใกล้มือปาใส่ จนอีกฝ่ายต้องเข้ามากอดรัดหยุดความบ้าคลั่ง

“ไผ่ หยุด อย่าทำแบบนี้”

“อย่ามาจับ!” ยิ่งสัมผัสถึงเลือดเนื้อจากร่างกายอุ่น ก็เหมือนถูกนาบด้วยเหล็กร้อนให้ใจเจ็บแสบ และรู้แล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่สามารถรับความรู้สึกของตัวเองได้ แล้วเขาจะมีหน้าอยู่เคียงข้างอีกฝ่ายได้เหรอ

“ปล่อย!” ไผ่ตะโกนจนสุดเสียงแล้วจึงสะบัดตัวหลุดพ้นจากการกอดรัด ออกมายืนมองร่างสูงใหญ่ด้วยแววตาที่ร้าวราน

ร่างเล็กกลืนก้อนแข็งๆลงคอ แล้วจึงสั่งให้ขาสั่นๆของตัวเองนำพาหัวใจอันหนักอึ้งวิ่งออกไปสู่เส้นทางที่มืดมิดยามค่ำคืน โดยไม่ได้ยินแม้แต่เสียงกู่เรียกให้กลับของอีกฝ่าย ทุกอย่างจึงตกอยู่ในความเงียบสงบ เพราะโสตประสาทของเขาไม่สามารถรับรู้สิ่งใดๆรอบกายได้อีก

มันจบแล้ว...คนที่เขาแอบรักมาเป็นสิบปี...

ร่างเล็กๆจากไปด้วยความเจ็บช้ำ หากแต่คนที่นั่งกองอยู่บนพื้นก็ไม่ต่างกัน เพราะร่างกายที่มีอยู่กลับกลวงโบ๋ไร้ซึ่งหัวใจ

หัวใจที่เหมือนจะลอยตามเงาเล็กๆจากไป

“โธ่เว้ย!”



--- TBC---

เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อจ้า
ขอบคุณทุกคอมเมนท์ :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5-6 (06/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 06-10-2009 22:54:56
:serius2:

อีกกี่ตอนจบอะ (น่าน มาถามเลยอีกกี่ตอนจบ ๕๕๕)

ตอบคุณน้อง มี 19 ตอนจบค่ะ เเละอีกสองตอนพิเศษ คู่ไผ่กะวิช
อีกสามวันก็จบเเล้ว อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5-8 (06/10/09) ลงเพิ่มอีกสองตอน อิอิ
เริ่มหัวข้อโดย: ปี้ปี้ปี้~PalmY ที่ 06-10-2009 23:21:25
เอาวันนี้ พรุ่งนี้จบได้ปะ

๕๕๕๕๕๕

คุณน้องทนไม่ไหวแย้ววว  :z3:

น้ำตาซึมอะตัวเอง T^T
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5-8 (06/10/09) ลงเพิ่มอีกสองตอน อิอิ
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 06-10-2009 23:46:27
เอาวันนี้ พรุ่งนี้จบได้ปะ

๕๕๕๕๕๕

คุณน้องทนไม่ไหวแย้ววว  :z3:

น้ำตาซึมอะตัวเอง T^T

เปลี่ยนจบคืนนี้เลยได้ปะ

ไม่ไหวจะเคลียร์ละ อ่านแล้วลุ้นสุดพลัง ต้องตามมาทุกวันเลย

ขอบคุณคุณคนโพสนะค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5-8 (06/10/09) ลงเพิ่มอีกสองตอน อิอิ
เริ่มหัวข้อโดย: LoveNineTeen ที่ 07-10-2009 00:28:59
เครียด  :z3:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5-8 (06/10/09) ลงเพิ่มอีกสองตอน อิอิ
เริ่มหัวข้อโดย: kunkai ที่ 07-10-2009 01:32:47
เข้ามาเครียดตอนดึก :เฮ้อ:
อยากอ่านต่อแล้วค้าบ

รอค้าบรอ :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5-8 (06/10/09) ลงเพิ่มอีกสองตอน อิอิ
เริ่มหัวข้อโดย: aiwjun ที่ 07-10-2009 01:41:57
สงสารน้องไผ่จังเลย....เฮ้อ

เมื่อไรนายประวิชจะรู้ใจตัวเองเนี่ย

ชักโกรธแล้วน่ะ...ขัดใจจริง :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5-8 (06/10/09) ลงเพิ่มอีกสองตอน อิอิ
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 07-10-2009 04:41:18
จะเป็นยังงัยต่อนะ

 :z2:    :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5-8 (06/10/09) ลงเพิ่มอีกสองตอน อิอิ
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 07-10-2009 09:21:31
เอาวันนี้ พรุ่งนี้จบได้ปะ

๕๕๕๕๕๕

คุณน้องทนไม่ไหวแย้ววว  :z3:

น้ำตาซึมอะตัวเอง T^T

เปลี่ยนจบคืนนี้เลยได้ปะ

ไม่ไหวจะเคลียร์ละ อ่านแล้วลุ้นสุดพลัง ต้องตามมาทุกวันเลย

ขอบคุณคุณคนโพสนะค่ะ

จัดให้เลยคุณน้อง
คืนนี้นะ ..... ว่าเเต่อ่านกันไหวอะป่าว
.
.
.
จัดให้ๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5-8 (06/10/09) ลงเพิ่มอีกสองตอน อิอิ
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 07-10-2009 09:40:28
ช่วงนี้อ่านแล้วเครียด  มีตอนหวาน ๆ คลายเครียดเปล่าค๊ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5-8 (06/10/09) ลงเพิ่มอีกสองตอน อิอิ
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 07-10-2009 09:44:54
โอ๊ยยยยยยยยยย ตูจะบ้า ทำไมแต่ละตอนอ่านแล้ว นอยด์ ได้อีก  :serius2:

ว่าแต่คืนนี้ลงจนจบจริงๆ เหรอค่ะ อย่าหลอกเขานะตัวเอง  :o8:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5-8 (06/10/09) ลงเพิ่มอีกสองตอน อิอิ
เริ่มหัวข้อโดย: Papoonn ที่ 07-10-2009 16:25:20
จบคืนนี้       !!!!!
19  ตอน    อ่านได้สบาย ๆ
> <   ;;     ภาค 2 นี้เศร้า  ๆ
แบบรู้สึกว่านทงี่เง่า    ==
คนเค้ารักกันอ่ะจะไปขวางทำไม
เห็นด้วยกับวี     เอาความคิดตัวเองไปตัดสินใจคนอื่น   555

มาอัพต่อด่วน   ๆๆๆ

 :call: :call: :call: :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5-8 (06/10/09) ลงเพิ่มอีกสองตอน อิอิ
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 07-10-2009 17:00:12
ว้าวววววว จะลงให้จบคืนนี้เลยหรือคร้าบบบบบบบบ
น่ารักที่สู้ดดดดดดดดดดเลยอ่ะ
+1จัดหาเลยคร้าบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5-8 (06/10/09) ลงเพิ่มอีกสองตอน อิอิ
เริ่มหัวข้อโดย: ปี้ปี้ปี้~PalmY ที่ 07-10-2009 17:05:12
เอาวันนี้ พรุ่งนี้จบได้ปะ

๕๕๕๕๕๕

คุณน้องทนไม่ไหวแย้ววว  :z3:

น้ำตาซึมอะตัวเอง T^T

เปลี่ยนจบคืนนี้เลยได้ปะ

ไม่ไหวจะเคลียร์ละ อ่านแล้วลุ้นสุดพลัง ต้องตามมาทุกวันเลย

ขอบคุณคุณคนโพสนะค่ะ

จัดให้เลยคุณน้อง
คืนนี้นะ ..... ว่าเเต่อ่านกันไหวอะป่าว
.
.
.
จัดให้ๆๆๆๆๆ

จัดมาเลย คุณ พี่่

สื่อมิได้แคร์

ขนาดตรูไม่แคร์สื่อ

แล้วเราจะแคร์ใครทำไม ๕๕๕
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5-8 (06/10/09) ลงเพิ่มอีกสองตอน อิอิ
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 07-10-2009 21:36:50
ลงให้จนจบเลยนะค่ะ ตาลายกันมั้ยเนี่ย 55 :z2:


ตอนที่ 9

“จะพาวาไปไหนพี่นล” วารีเอ่ยถามขณะขึ้นรถมาได้ซักพัก ก่อนหน้านี้อนลได้ขออนุญาตมารดาพาออกไปทานข้าวเย็นนอกบ้าน แต่ก็ไม่ยอมบอกว่าจะไปที่ไหน

อนลหันมายิ้มให้หญิงสาวเหมือนปลุกปลอบ ก่อนจะเอ่ยบอก

“จะพาไปเที่ยวบ้านพี่เองละ ไม่ต้องทำหน้างงแบบนั้นหรอกน่า...” ร่างสูงอมยิ้ม แต่ก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่ต้องทำเหมือนหลอกอีกฝ่ายให้มาด้วยกัน คิดไปก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอก แต่ที่ผ่านมาเขาได้เคยพยายามแล้ว และสิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มเศร้าๆที่ปิดบังไม่มิดจนเขาต้องล้มเลิกความตั้งใจไปเอง แต่ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว เขาจะไม่ยอมให้น้องวาหลบเลี่ยงอีกเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเส้นทางของเขาและน้องวาคงไม่มีวันได้มาบรรจบกัน

“พี่นล วา...วา”

“พี่รู้ว่าน้องวาคิดอะไรอยู่ แต่พี่รักวานะ พี่อยากแต่งงานกับวา” อนลละมือจากพวงมาลัยไปกุมมือขาวนวล

“วาไม่รักพี่เหรอ”

“พี่นล!” หญิงสาวเบิกตากว้าง พลางขบริมฝีปากบางแน่นด้วยรู้สึกลำคอแห้งผาก

“รักพี่รึเปล่า” ชายหนุ่มถามย้ำด้วยใจระทึก เขารู้อยู่กับใจอยู่แล้วว่า น้องวารักเขา แต่น้องวากล้าพอที่จะฝ่าฟันอุปสรรคไปพร้อมกับเขารึเปล่า นั่นละที่เขากังวล เพราะหากเขาสู้อยู่คนเดียว ทุกอย่างจะมีความหมายอะไร

วารีเงยหน้ามองชายหนุ่มที่ตัวเองรักมาตั้งแต่ยังไม่เต็มสาวด้วยดวงตาแวววาว

หากวารับปากพี่นล แล้วหลังจากนี้จะทำให้พี่นลต้องอยู่ไม่สุข ทุกข์ทรมานไม่ว่าจะเพราะคนในครอบครัวหรือสังคมที่ต่างกันมากเกินไป

แล้วสองมือของพี่นลจะรับภาระตรงนี้ไหวเหรอคะ...วาไม่อยากเห็นพี่นลต้องทุกข์ใจเพราะความรักของวา

“วา...วาจะเอาความรู้สึกที่พี่มีให้วาทิ้งไปเฉยๆเหรอ วาจะไม่พยายามเพื่อพี่เลยเหรอ” อนลกุมมือเล็กมั่น ก่อนจะชะลอรถเข้าจอดข้างทาง

แววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและความหวังของชายหนุ่ม ทำให้วารีรู้สึกตีบตันเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอ

“พี่ก็เสียใจเป็นนะวา” อนลมองหญิงสาวที่ตนรักแน่วนิ่ง

พี่นล พี่นล...

หญิงสาวครางซ้ำไปซ้ำมาในหัว ก่อนจะกลืนบางสิ่งลงคอ

“วารักพี่นลคะ”

ในที่สุดวารีก็หลุดคำพูดที่กักเก็บไว้ในใจตลอดออกมา

“แต่วากลัว กลัวจะทำให้พี่นลรู้สึกต่ำต้อยที่มีคนรักไม่เท่าเทียม ไม่ได้เชิดหน้าชูตาครอบครัวพี่ได้เลย” วารีปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างหมดแรงอดกลั้น

“วา...” มือใหญ่เอื้อมไปโอบไหล่เล็กที่สะท้านไหวด้วยแรงสะอื้นเข้ามาแนบอก แล้วเขย่าเบาๆอย่างเห็นใจแกมสงสาร

“วา...พี่ไม่เคยอายที่รักวา แล้ววาจะมาคิดแทนพี่ได้ยังไง ไปกับพี่นะ แล้ววาค่อยตัดสินใจอีกทีก็ยังไม่สาย ทุกอย่างมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่วาคิดเอาไว้หรอก...นะ” ร่างสูงก้มลงแนบริมฝีปากกับเรือนผมนิ่มสลวย

หากแต่วารียังคงนิ่งเงียบ ดวงตาคู่กลมโตเหม่อมองอย่างไร้จุดหมายก่อนจะค่อยๆปิดลง เพื่อรวบรวมอะไรบางอย่างในใจ

ถ้าจากกันก็เจ็บ อยู่ด้วยกันก็เจ็บ งั้นวาขอเลือกที่จะอยู่ด้วยกัน วาจะผิดมากมั้ยคะพี่นท วารีกระหวัดคิดไปถึงพี่ชายที่เคยพูดเตือนสติมาตลอด ก่อนจะพยักหน้าตอบรับการพยายามครั้งแรกของตัวเอง

การพยักหน้ากับอกหนาที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา ทำให้ชายหนุ่มยิ้มออก แขนแข็งแรงจึงเพิ่มแรงโอบกอดร่างเล็กแน่นขึ้นชั่วอึดใจแล้วคลายออก พร้อมทั้งส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้หญิงสาว


XXXXX


รถคันงามพาชายหญิงทั้งสองมาจอดเทียบบริเวณมุขหน้าบ้าน ความรู้สึกมั่นใจของวารีก่อนมาถึงบ้านหายไปเกือบครึ่ง เมื่อเห็นที่พักอาศัยของคนรักซึ่งต่างกับบ้านของเธอจนไม่รู้จะเทียบกับอะไรดี ความแปลกใหม่กับสิ่งรอบตัวทำให้วารีประหม่ามองอนลแน่วนิ่งไม่ยอมลงจากรถ จนชายหนุ่มต้องเดินอ้อมมาเปิดประตูฉุดร่างบอบบางให้ลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคง และท่ามกลางการปลุกปลอบใจของคนทั้งคู่ ยังมีสายตาของชายหญิงสูงวัยในบ้านมองผ่านกระจกออกมาประสพพบเห็น

“น่ารักดีนะคุณ” นายทรงยศประมุขของบ้านเอ่ยอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่ภรรยาคู่ใจกลับมองภาพนั้นนิ่งเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ จนผู้เป็นสามีต้องขยับกายอย่างเก้อๆ แล้วจึงนั่งรอบุตรชายอย่างสงบ หากแต่ชั่วอึดใจต่อมาคุณทรงยศต้องตกใจเมื่ออยู่ๆภรรยาก็ลุกขึ้นเดินหันหลังจากไปอย่างเงียบๆ ทิ้งให้สามีต้องทำหน้าที่ตอนรับอย่างฉุกละหุก

“คุณ!...”

วารีเดินตามร่างสูงไปยังห้องโถงใหญ่ของบ้านที่มีโคมไฟคริสตัลห้อยระย้าเหมือนในหนังจนอดเหลือบมองความสวยงามนั้นไม่ได้ ก่อนจะชะงักเมื่อร่างสูงหยุดหันมาส่งยิ้มให้อุ่นใจ จนหญิงสาวรู้สึกใจชื้นขึ้นมามากโข แล้วก้าวเดินตามแผ่นหลังกว้างไปหยุดหน้าชุดเก้าอี้รับแขกลวดลายประณีต

อนลกวาดตามองไปที่เก้าอี้รับแขก ซึ่งเห็นบิดานั่งอยู่เพียงลำพัง ทำให้ใจของผู้เป็นลูกตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม แต่ก็ฝืนยิ้มให้บิดาก่อนจะแนะนำหญิงสาวให้รู้จัก

“น้องวา นี่พ่อของพี่นะ” อนลหันมาบอกหญิงสาวที่ยังก้มหน้ามองพื้น

วารีเงยหน้าขึ้นสบตากับประมุขของบ้านแล้วจึงค่อยๆพนมมือไหว้อย่างนอบน้อม

“สวัสดีคะคุณลุง”

คำเรียกขานของวารีทำให้คุณทรงยศเลิกคิ้วขึ้นสบตาบุตรชายแล้วลอบอมยิ้มกับความยำเกรงของเด็กสาว

“ชื่อแซ่อะไรละหึ” ชายสูงวัยเอ่ยถามอย่างมีไมตรี หากแต่รูปลักษณ์ภายนอกยังคงความเฉียบขาดของความเป็นผู้นำไว้อย่างครบถ้วน

“วารีคะ” หญิงสาวตอบขณะถูกอนลจับจูงไปนั่งเก้าอี้ใกล้ๆบิดา

“เรียกวาเฉยๆก็ได้พ่อ” อนลต่อท้ายให้เสร็จสรรพ

“อืม...เพิ่งจะได้เห็นหน้าเห็นตาก็วันนี้ละนะ” คุณทรงยศลอบพิจารณาเด็กสาวที่นั่งตัวเกร็ง ก่อนจะเหลือบมองลูกชายที่นั่งหน้าเหลือสองนิ้วอย่างนึกสงสารแกมหมั่นไส้ลึกๆ นี่พ่อนะโว้ย ไม่ใช่เสือใช่สางที่ไหน หน่อย...แค่พาแฟนมาบ้านทำอย่างกับจะมาตาย นึกค่อนขอดบุตรชายในใจแล้วจึงหันมายิ้มให้อีกฝ่าย

“ตามสบายหนูอยู่คุยกันก่อน อีกสักพักแม่บ้านเขาถึงจะตั้งโต๊ะ คงไม่เบื่อที่จะคุยกับคนแก่หรอกนะ”

“คะ” วารียิ้มด้วยรู้สึกโล่งใจเล็กๆกับอัธยาศัยไมตรีที่ชายสูงวัยมีให้ แต่...อีกคนละ อีกคนที่วารีนึกหวั่นเกรง

แม่ผัวกับลูกสะใภ้ วารีนึกกลัวประโยคนี้จริงๆ

“คุณแม่ละครับ” อนลถามเอากับบิดาด้วยแววตาไหววูบแกมสงสัย เพราะมารดาเป็นคนนัดให้พาวารีมาพบ แล้วไม่อยู่เจอแบบนี้ มารดาเขากำลังคิดจะทำอะไร

คุณทรงยศพยักพเยิดหน้าไปทางหลังบ้านก่อนตอบบุตรชาย

“เดินไปทางหลังบ้านแน่ะ เดี๋ยวคงออกมาเองละ” ผู้เป็นบิดาตอบอย่างรักษาหน้า แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคู่ชีวิตตนเองจะออกมาเมื่อไร หรือจะไม่ออกมาอีกเลยก็ยังคิดหนักอยู่

แม่... อนลรำพึงอย่างเสียใจไม่น้อย นี่แม่ถึงขนาดทนเห็นหน้าคนรักของเขาไม่ได้เชียวหรือ แต่เขาก็ถอยไม่ได้แล้ว

ชายหนุ่มจึงคิดจะบอกความตั้งใจของตนเองกับบิดาต่อหน้าคนรักอีกครั้ง หากแต่ปลายหางตากลับเห็นร่างไหวๆของผู้เป็นมารดาเดินออกมาจากเหลี่ยมมุมของเสา พร้อมกับแม่บ้านเดินถือถาดตามหลังมาด้วย

“แม่...” อนลครางในลำคออย่างแปลกใจ เพราะหลังจากมารดาเดินมาถึงก็พยักหน้าให้แม่บ้านหยิบแก้วน้ำส้มคั้นสดพร้อมน้ำเปล่าส่งวางไว้ตรงหน้าวารี

“แม่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าสาวๆเดี๋ยวนี้เขาคงชอบดื่มน้ำผลไม้ มากกว่าน้ำอัดลมละนะ” คุณศรีสอางค์ส่งยิ้มอบอุ่นให้เด็กสาวที่มองมาด้วยอาการตาค้าง

“คุณน้า!” คำอุทานเหมือนคนรู้จักกันของวารี ทำให้ทั้งอนลและคุณทรงยศหันมาหน้ามองกัน แล้วจึงหันไปมองเด็กสาวอีกครั้ง

“ไม่ไกลใช่ไหมละ บ้านน้าน่ะ” คุณศรีสอางค์วางแก้วน้ำส้มคั้นลงตรงหน้าเด็กสาว แล้วหันไปหยิบจานของว่างในถาดที่แม่บ้านถือตามมาวางอย่างคะยั้นคะยอให้หยิบทาน

“คะ...คะไม่ไกล” วารีพึมพำตอบไปอย่างไม่คาดคิดจะพบคุณน้าคนสวยที่นี่ ในขณะที่อนลลุกขึ้นไปจับจูงมารดามานั่งใกล้ๆผู้เป็นบิดา

“แม่ไปทำอะไรมาเนี่ย” อนลเอ่ยถามอย่างแปลกใจ ก็มารดาเขาหายไปนานจนเขาใจเสีย แล้วอยู่ๆก็ออกมาพร้อมแก้วน้ำส้มที่ดูท่าว่าจะคั้นมาเองอีกต่างหาก แถมหน้าตาท่าทางยังกับคนละคนกับเมื่อวันก่อน

“ก็ไปหาอะไรมาให้แฟนเราทานรองท้องนะสิ กว่าจะตั้งโต๊ะอีกตั้งนาน!” คุณศรีสอางค์ตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จนคนทั้งสามออกอาการอยู่ไม่สุข จะว่าโล่งอกก็โล่งอกอยู่ แต่ดูอากัปกิริยาเมตตาปราณีเด็กสาวมากกว่าปกติก็ทำให้คนที่นั่งอยู่ในเหตุการณ์คิดกันไปต่างๆนาๆ

วารีนั่งนิ่งตกตะลึงก่อนจะพนมมือยกไหว้มารดาของอนลเมื่อนึกขึ้นได้

“สวัสดีคะคุณน้า...หนูไม่รู้เลยว่าคุณน้าเป็นแม่พี่นล” วารีถามถึงสิ่งที่ค้างในใจ เพราะเธอเจอกับคุณน้าคนสวยอยู่บ่อยๆแต่กลับไม่เคยรู้ ทั้งๆที่อนลก็ไปบ้านเธอทุกอาทิตย์ เพียงแต่...เพียงแต่คลาดกันทุกครั้งไป แล้วถึงจะบังเอิญแต่คุณน้าก็ไม่มีท่าทางตกอกตกใจซักนิด เหมือนรู้ล่วงหน้าเลย!

“หือ...น้าก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าหนูเป็นแฟนของนล ก็ไม่เคยมาให้น้าเห็นหน้าค่าตากันเลย นี่ถ้าไม่มาวันนี้น้าก็คงไม่รู้ไปจนถึงเมื่อไรละฮึ” คุณศรีสอางค์แสร้งตอบ ทั้งที่คำตอบนั้นไม่น่าเชื่อถือเลยซักนิด หากแต่แฝงด้วยการติติงให้เด็กสาวจำต้องนิ่งเงียบ

“คือ...”

คุณศรีสอางค์มองเด็กสาวนั่งเงียบด้วยแววตาสั่นไหว ก่อนจะระบายลมหายใจออกมายืดยาว ด้วยรู้ทุกอย่าง รู้มานานแล้ว

“แม่รู้จักน้องวาแล้วเหรอครับ ไปรู้จักกันได้ยังไงละครับเนี่ย” อนลถามแทรกด้วยความสงสัยที่คับแน่นจนงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ยะ!” คุณศรีสอางค์หันไปกระแทกเสียงตอบบุตรชายอย่างหมั่นไส้ จนผู้เป็นลูกต้องเก็บสีหน้าสีตานั่งฟังมารดาตอบ


“ฉันเป็นแม่แกนะเจ้านล แกจะมีแฟนมีเมียทั้งทีไม่คิดจะพามาให้ที่บ้านรู้จักมักจี่กันบ้างเลยหรือไงห่ะ ต้องให้แม่คนนี้ไปเทียวหาเอง มันน่าโกรธมั้ยตานล”

“เปล่าๆนะแม่ ผมก็อยากจะบอกอยากจะพามาให้แม่รู้จัก แต่น้องวาเขา...เขากังวลเลยไม่กล้ามาน่ะครับ” ร่างสูงของบุตรชายลุกขึ้นเดินไปหย่อนก้นที่เท้าแขนเก้าอี้ตัวยาว พลางสวมกอดมารดาไว้หลวมๆราวกับจะเอาใจแกมขอโทษให้คุณศรีสอางค์ตวัดสายตาขึ้นค้อน

“เราน่ะไม่ได้ออกลิงออกข้างเหมือนพี่ๆเรา แล้วอยู่ๆชอบหายไปไหนคนเดียววันเสาร์อาทิตย์ แม่ถามก็บอกว่าไปนั่งเล่นที่บ้านพี่นทแถวๆนี้ แล้วจะไม่ให้แม่สงสัยได้ไงว่าบ้านพี่นทเราน่ะมีอะไรดี เลยลองไปแถวๆนั้นดู ก็เจอเรานั่งเป็นพ่อค้าขายผลไม้กับหนูวา ถึงได้รู้ว่าไปรักไปชอบลูกสาวบ้านนี้นี่เอง”

“แล้วแม่ไปถูกเหรอครับ นลว่านลไม่เคยบอกแม่นะว่าบ้านน้องวาอยู่ตรงไหน”

“ก็ถามพี่เรานะสิ พี่เราเป็นเพื่อนกับพี่ชายน้องวาไม่ใช่เรอะ” มารดาตอบตาใสในขณะที่อนลนึกไปถึงพี่ชาย พี่ชายที่ไม่ได้คิดถึงอะไรเลย คงจำไม่ได้แล้วละมั้งว่าแม่ถามไปทำไม ก่อนจะหันกลับมามองมารดาที่หันหน้าไปมองคนรักของตนซึ่งนั่งก้มหน้าอยู่อย่างสงบ

“แม่...ถ้าแม่รู้จักน้องวาแล้ว แม่จะรักน้องวาเหมือนลูกอีกคนหนึ่งได้มั้ยครับ” มือใหญ่เอื้อมไปบีบมือนิ่มสีขาวนวลของมารดาอย่างมีความหวัง ทำให้ใจของคนเป็นแม่เต้นผิดจังหวะ

โธ่...ลูก

“นล...ถ้าเป็นคนที่ลูกรัก แม่ก็จะรักด้วย รักให้เหมือนลูกของแม่คนหนึ่ง” คุณศรีสอางค์ส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้เด็กสาวที่เงยหน้ามองด้วยดวงตาแวววาว คงกังวลกันไปสารพัดสิเนี่ย ก็นะ...อยากปิดบังให้แม่รอแล้วรออีก กว่าจะพามาได้

“แม่! ขอบคุณ นลรักแม่ๆ” ร่างของบุตรชายตัวโตก้มลงกอดมารดาแน่นด้วยรู้สึกดีใจและขอบคุณมารดา

ใช่...แม่ของเขาเป็นคนมีเหตุผลเสมอนี่นา...ทำไมเขาถึงไม่เชื่อใจแม่ของตัวเองกันนะ

“ไม่ต้องมารักเลย ปล่อยให้แม่รอตั้งนานกว่าจะพาหนูวามาแนะนำได้ เห็นพ่อแม่เป็นยักษ์เป็นมารรึไงกันหึ” คุณศรีสอางค์หันมองสามีก่อนจะกวาดสายตาไปยังร่างบอบบางของเด็กสาว “มานี่ม่ะ มาใกล้ๆแม่หน่อย” คุณศรีสอางค์เอ่ยอย่างปราณี

เมื่อถูกเรียก วารีจึงค่อยทรุดตัวคลานเข่าเข้าไปหาผู้เป็นมารดาของคนรัก แล้วเข้าไปนั่งพับเพียบใกล้ๆ

“ต่อจากนี้ก็จะได้เป็นครอบครัวเดียวกันแล้วละนะหนูวา ฉันดีใจที่หนูตัดสินใจมาวันนี้ แสดงว่าหนูพร้อมจะเป็นคู่ทุกข์คู่ยากของลูกแม่แล้วใช่มั้ย” หญิงสูงวัยยกมือขึ้นลูบศีรษะเด็กสาวเบาๆ

“อย่าไปคิดถึงว่าใครรวยกว่าใคร ทรัพย์สมบัติแม่มีมากแล้ว สิ่งที่แม่อยากได้จริงๆคือคนที่จะอยู่เคียงข้างและเป็นที่พักใจให้เมื่ออีกฝ่ายต้องทุกข์ ไอ้เรื่องทรัพย์สมบัตินั่นเป็นเหมือนของแถมติดตัวมาเท่านั้น” หญิงสูงวัยหยุดมองเด็กสาวที่ก้มหน้ารับฟังด้วยอาการสั่นสะท้าน

“สิ่งสำคัญคือจิตใจต่างหาก จิตใจที่ดีงามของหนูจะทำให้คนที่อยู่รอบข้างมีความสุข อย่าอายความคุณงามความดีในตัวนะหนูวา ใครมองไม่เห็นแต่แม่เห็นนะ”

คำพูดที่มาพร้อมกับความปราณีทำให้ดวงตาคู่ใสบริสุทธิ์เอ่อล้นด้วยน้ำตา ไม่ต้องถามอะไรอีกแล้ว เพราะคุณน้าคนสวยได้ยอมรับผู้หญิงธรรมดาอย่างเธอเข้ามาเป็นคนในครอบครัวอย่างไม่มีเงื่อนไข

จะมีซักกี่คนที่โชคดีอย่างนี้

เมื่อความทุกข์ที่เก็บกดไว้นานได้ถูกชำระล้างจนปลอดโปร่ง น้ำตาแห่งความดีใจจึงไหลรินเป็นสาย ก่อนจะพนมมือกราบลงบนตักของคุณศรีสอางค์และคุณทรงยศด้วยความรู้สึกเคารพนบนอบ และต้องแปลกใจเมื่อเห็นมารดาของอนลถอดแหวนเพชรที่นิ้วก้อยใส่มือตนเอง

“ถือเป็นของรับขวัญจากแม่นะ”

หญิงสาวลังเลพลางหันไปมองคนรักด้วยไม่รู้ว่าควรจะรับของมีมูลค่าขนาดนี้ดีรึเปล่า แต่ก็เห็นชายหนุ่มอมยิ้มพยักหน้าให้รับไว้ วารีกำไว้แน่นหากคุณศรีสอางค์กลับดึงแหวนในมือสวมใส่ที่นิ้วนางข้างซ้ายให้อย่างพอเหมาะพอเจาะจนคนใส่หัวเราะถูกใจ

“พอดีเลยเห็นมั้ย รักษาไว้นะหนู วงนี้แม่ใส่ติดนิ้วมานาน ไม่ใช่เพราะมันแพงอะไรหรอก แต่เพราะชอบเพราะรัก แม่ถึงได้อยากให้หนูเก็บไว้”

“คุณน้า...”

“อา...ไม่น้าแล้วนะ ต้องคุณแม่แล้วนะจ๊ะ” คุณศรีสอางค์ยิ้มอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่รู้สึกถึงแรงกอดรัดของบุตรชายแน่นขึ้น

“นลดีใจที่ได้เกิดเป็นลูกแม่ แม่ของนลที่ไม่ได้มองใครด้วยเงินทอง”

“หือ...ถ้าแม่คิดแบบนั้น ลูกก็คงไม่ได้เกิดมาหรอกมั้ง”

“หือ!”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างสงสัยกับคำเปรยๆของมารดา

“ไม่ต้องหือหรอกเจ้านล พ่อก็เคยเล่าให้ฟังสมัยเรายังเด็กๆไม่ใช่รึ ว่าพ่อเคยเป็นเด็กวัดอาศัยข้าวก้นกุฏิมาก่อน ลืมไปแล้วละมั้งเนี่ย” คุณทรงยศมองลูกชายพลางหัวเราะในลำคอ ก่อนจะหันไปมองภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก

“ผมเพิ่งนึกได้ว่าที่คุณทำนี่เหมือนสมัยคุณพ่อเมื่อก่อนเปี๊ยบ”

“คุณปู่ทำไมหรือครับ” อนลเอ่ยถาม ด้วยปัจจุบันคุณปู่ได้เสียชีวิตไปแล้ว

“มันก็เหมือนดอกฟ้ากับหมาวัดละมั้งเจ้านล แม่ของเจ้ากลัวคุณปู่มาก เพราะตอนนั้นก็มีคู่หมายอยู่แล้วด้วย แต่สุดท้ายจะให้ฝืนแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักก็ไม่ได้ แม่ของลูกถึงได้สารภาพกับคุณปู่ แล้วคุณปู่ของลูกถึงได้แอบมาดูว่าที่ลูกเขยว่าเอางานเอาการขนาดไหน สุดท้ายคุณปู่ก็ยอมละนะ ตอนนั้นแม่ของลูกร้องไห้เป็นเขาเต่าเลยละ” คุณทรงยศพูดไปขณะปัดป้องภรรยาที่แอบหยิกต้นแขน

“นี่...คราวหน้าบอกพ่อบ้างนะ รู้อยู่คนเดียวแบบนี้พ่อก็ไม่มีส่วนร่วมอะไรเลยสิ ไม่สนุกเลยน่า...” เมื่อทุกอย่างดูจะลงตัวจบลงด้วยดี คุณทรงยศจึงเอ่ยกระเซ้าแหย่ภรรยาเบาๆ

“คุณ!...”

“หึๆ เอาละๆ แล้วนลละลูก จะไปเรียนต่ออย่างสบายใจได้รึยัง” ประมุขของบ้านหันไปถามบุตรชาย “ในเมื่อรับรู้ยอมรับเรื่องของลูกแล้วแบบนี้ ยังจะต้องให้พ่อกับแม่รีบไปขอหนูวาก่อนลูกไปเรียนต่ออีกมั้ย หรือจะรอให้ลูกเรียนจบกลับมาแล้วค่อยแต่งดี”

“แต่งเลยครับพ่อ!”

“หือ!”

คำตอบสวนตรงๆแบบไม่ต้องคิดของบุตรชายคนเล็กทำเอาทั้งทรงยศและคุณศรีสอางค์ต้องอึ้งกันไปตามๆ ด้วยไม่คิดว่าบุตรชายที่แสนดีจะเกิดใจร้อนขึ้นมากะทันหันแบบนี้

“ฮ้าๆฮ้าๆ” ผู้เป็นบิดาเผลอหัวเราะออกมาอย่างลืมตัวจนภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากแอบสะกิด

“ดูสิๆคุณ มันอยากมีเมียจนเต็มแก่ละ”

“คุณ! พูดเล่นอยู่ได้” คุณศรีสอางค์หันไปเอ็ดสามีแล้วจึงเอ่ยปากกับบุตรชาย

“นล...คิดดีแล้วเหรอ เรื่องของหนูวาพ่อกับแม่ก็ไม่ขัดข้องนะ แต่การแต่งงานได้ไม่กี่วันแล้วต้องแยกจากกันนานๆมันดูไม่ค่อยดีนะ นลไม่เห็นใจน้องเขาบ้างหรือลูก ไปทำหน้าที่ของตัวเองให้สำเร็จก่อนดีกว่ามั้ย”

“แม่ ไหนๆผมก็ตั้งใจจะให้พ่อกับแม่ไปขอน้องวาก่อนที่ผมจะไปเรียนต่อ ขอให้ผมได้ทำตามที่ตั้งใจไว้นะครับ ถึงจะดูเอาแต่ใจไปก็เถอะ”

“ฮ้าๆดูสิๆมันหวงว่าที่เมียมันน่าดู กลัวใครเขาจะมาตัดหน้าไปละสิ ฮ้าๆ”

“คุณทรงยศ!” น้ำเสียงเฉียบขาดทำให้ผู้เป็นสามีจำต้องหยุดหัวเราะโดยฉับพลัน ก่อนจะยิ้มแห้งๆให้ภรรยาสุดที่รัก

“เอาเถอะ...คนรักกันแม่ก็เข้าใจนะ แต่ต้องถามความสมัครใจของคนที่นลรักด้วยนะว่าจะเห็นด้วยมั้ย วาไงละหนูวา” คุณศรีสอางค์หันไปมองวารีอย่างขอคำตอบ

“คือ...หนูว่าไว้รอให้พี่นลเรียนจบก่อนดีกว่าคะ” วารีตอบพร้อมกับพวงแก้มสุกปลั่ง

“น้องวา!” อนลผลุดลุกเข้าไปนั่งใกล้ๆหญิงสาว แล้วจับมือเล็กนั้นขึ้นมาบีบเบาๆ “ทำไมละ”

“ไม่ว่าจะแต่งวันนี้หรืออีกสองสามปีข้างหน้าก็เหมือนกัน เพราะวาก็ยังรักพี่นลเหมือนเดิม”

“น้องวา...” อนลครางเครือกับรอยยิ้มอ่อนโยนที่หญิงสาวส่งให้ แต่ก็ไม่ทำให้ใจที่ร้อนรนสงบเย็นลงได้

“งั้นถ้ามันเหมือนกัน ก็แต่งซะก่อนพี่ไปเรียนนี่ละ”

“พี่นล!”

“นี่...ถ้าพี่ไปแล้วเรียนไม่รู้เรื่องก็เป็นเพราะน้องวานั่นละที่ทำให้พี่กังวล”

“อุ๊บ...ฮึๆๆ”

คุณศรีสอางค์หันไปค้อนสามีที่พยายามกลั้นหัวเราะยกใหญ่ แล้วถอนหายใจออกมาหลายเฮือกอย่างอ่อนใจ เห็นที่ต้องยกขันหมากไปขอซะวันนี้พรุ่งนี้ให้ทันใจลูกชายใจร้อนซะแล้วมั้ง

“คงต้องยอมลูกพ่อซะแล้วละมั้งหนูวา” คุณทรงยศยิ้มเย้าให้เด็กสาว ก่อนจะยื่นมือไปตบหลังลูกชายตนเองเบาๆ

“เอาละๆเรื่องนี้ให้ผู้ใหญ่เขาจัดการนะ เราน่ะเตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวไว้ได้เลย” บุรุษสูงวัยตอบตกลงก่อนจะหันไปพูดกับหญิงสาว

“หนูวาต้องไปเกริ่นให้คุณแม่ของหนูรับรู้ไว้ก่อนนะ แล้วอีกไม่กี่วันพ่อกับแม่จะไปทาบทามและคุยเรื่องกำหนดวันแต่งกันอีกที”

เมื่อทางฝ่ายชายตกลงกันจนเรียบร้อย วารีจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับคำเบาๆ

คุณแม่...พี่นท วาอยากให้มาอยู่ด้วยกันกับวาตรงนี้เหลือเกิน เพราะตอนนี้วารู้สึกแข้งขาอ่อนไปหมดแล้วคะ

วารีคิดคำนึงถึงคนในครอบครัว ก่อนจะถูกจับจูงไปยังโต๊ะทานอาหารเมื่อแม่บ้านมาบอกว่าตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้ว

พี่นท พี่เชื่อในปาฏิหาริย์แห่งรักมั้ยคะ วันนี้วาเชื่อแล้วคะว่ามีอยู่จริง


XXXXX

มีต่อ

V
V
V
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5-8 (06/10/09) ลงเพิ่มอีกสองตอน อิอิ
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 07-10-2009 21:44:00
ตอนที่ 10


“นี่!” นทนทีสะกิดเรียกปถวีที่กำลังนอนหลับตาอย่างเฉยเมยด้วยอารมณ์หงุดหงิด

“นายเรียกฉันออกมาแต่เช้าทำไมกันเนี่ย ไม่เห็นจะมีอะไรสำคัญอย่างที่บอกเลย” ร่างโปร่งผลุดลุกนั่งให้ผ้าห่มที่คลุมแผ่นอกเนียนเรียบไหลลงไปอยู่ที่เอว

ดวงตาคมหรี่มองคนหงุดหงิดหัวเสียชั่วครู่ ก่อนจะฉวยคว้าเอวอีกฝ่ายให้ล้มลงไปใกล้ๆแล้วยกกายขึ้นทาบทับ

“ขี้บ่น!”

“นี่! ก็ไม่เห็นทำอะไรเลยนอกจาก...จากเรื่องบนเตียงนี่นะ” นทนทีพยายามยื้อผ้าห่มจากมือคนที่พยายามดึงออก

“อือฮึ” ปถวีครางรับในลำคอ พลางจ้องมองดวงตาเกรี้ยวกราดแฝงความอ่อนล้าของอีกฝ่าย วันนี้เขาหนักมือไปจริงๆด้วย แต่มันจำเป็นละนะ ก็วันนี้เจ้านลมันต้องพาน้องวาไปหาพ่อกับแม่ ถ้านทนทีอยู่ด้วยคงต้องมีเรื่องไม่ชอบใจกันอยู่บ้างหรอก เอาเป็นว่าให้รู้ตอนสุดท้ายละดีที่สุด ก็หัวดื้อนี่นา! ร่างสูงก้มมองคนหน้าบึ้งตึงก่อนจะอมยิ้ม

“มีเรื่องจะปรึกษาด้วยจริงๆ นี่ฉันยังหอบหิ้วกลับมาให้นายดูเลย”

“อะไร?” อีกฝ่ายไม่ตอบแต่กลับเท้าแขนขึ้นไปคว้าขวดน้ำหัวเตียงยกดื่ม พลางหยิบกางเกงขายาวเนื้อนิ่มมาสวม แล้วจึงเดินไปหยิบเอกสารบนโต๊ะทำงานมากางให้คนนั่งบนเตียงดู

“โบชัวร์ทัวร์นำเที่ยว” นทนทีเอ่ยออกมาเบาๆเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมืออีกฝ่าย

“นายจะซื้อทัวร์ไปเที่ยวเหรอ”

“เปล่า...ไม่ได้ซื้อทัวร์หรอก แต่เอามาให้นายดูว่านายอยากไปที่ไหนแล้วเดี๋ยวฉันพาไปเอง”

นทนทีเงยหน้าจากโบชัวร์มองคนตรงข้ามนิ่ง เขามีเวลาไปซะที่ไหนกันเล่า! ถึงจะดีใจก็เถอะนะ แต่ว่าวันธรรมดาเขาก็ทำงานบริษัท วันเสาร์อาทิตย์ก็ต้องช่วยงานที่บ้าน แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปเที่ยวกัน อีกอย่างไอ้โบชัวร์ที่เอามาให้ดูนี่ก็เป็นโบชัวร์นำเที่ยวต่างประเทศทั้งนั้น แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายยินดีออกค่าใช้จ่ายให้ก็เถอะ แต่ก็รู้สึกเหมือนเกาะแฟนกินยังไงก็ไม่รู้

นี่ถ้ามีเงินเก็บตุนในกระเป๋าซักก้อน เขาคงสบายใจมากกว่านี้ เพราะถึงอีกฝ่ายจะออกค่าใช้จ่ายทุกอย่างให้แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เกาะอีกฝ่ายกิน ประมาณว่าอุ่นใจละนะ...

“แต่ฉันต้องทำงาน แล้วก็ช่วยงานที่บ้านนะวี จะเอาเวลาที่ไหนไป”

“ก็ลาพักร้อนซักสามสี่วัน แล้วงานที่บ้านนายเดี๋ยวให้เจ้านลมันทำแทนไปก่อน โอเคมั้ย อาทิตย์หน้าเราจะได้ไปกันเลย” ปถวียิ้มเย็น หากแต่อีกฝ่ายกลับส่งเสียงแว๊ดเข้าให้
“นี่! คิดมาได้ไง แล้วอาทิตย์หน้าฉันก็มีสัมมนาที่พัทยาด้วย ไปไม่ได้หรอก”

“สัมมนา...สัมมนาอะไร?” คิ้วเข้มขมวดยุ่ง

“สัมมนาของบริษัทนะสิ ไปวันศุกร์กลับวันอาทิตย์”

“ไม่เห็นนายเคยบอก”

“ก็...มันลืมนี่ แล้วอีกอย่างเพิ่งจะกำหนดสถานที่ได้ไม่กี่วันมานี่เองด้วย”

ปถวีมองร่างโปร่งบางแน่วนิ่ง หากแต่ในใจกกลับรู้สึกกรุ่นโกรธไม่น้อย เขาอุตส่าห์ตั้งใจจะพาไปเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศให้อีกฝ่ายได้ผ่อนคลายจากเรื่องต่างๆ รวมทั้งสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นไม่เข้าท่าในหัวนั่นด้วย การไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเสียบ้างน่าจะดีกว่าสิ่งแวดล้อมเดิมๆที่ทำให้นทนทีหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา แต่ดูเจ้าตัวจะไม่เคยรู้สึกถึงความหวังดีของเขาเลย...นี่เขาจะต้องรอไปจนถึงเมื่อไร

ทำไมเขาบอกให้เลี้ยวซ้ายแต่อีกฝ่ายกลับเลี้ยวขวา เขาบอกให้เดินตรงไปแต่กลับถอยหลัง...

นทนทีไม่เคยคิดจะทำตามใจเขาบ้างเลย เอาแต่คิดถึงแต่สิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง ควรทำ แล้วความรู้สึกของเขาเล่า เอาไปทิ้งไว้ตรงไหนกัน

ร่างสูงใหญ่ถอนหายใจยาวแล้วจึงหันหลังถอยไปนั่งที่ขอบเตียงพลางยกมือขึ้นเสยผมอย่างลวกๆ

“เจ้าประธานนั่นก็ไปด้วยใช่มั้ย”

อีกแล้ว...นทนทีครางอย่างเหนื่อยอ่อนในใจ ทำไมต้องลากคุณเทวัญมาเกี่ยวด้วย ก็คุยกันเข้าใจแล้วไม่ใช่หรือ หรือยังระแวง...

“อืม...ก็เขาเป็นเจ้าของบริษัทนี่” นทนทีตอบเรียบๆ ก่อนจะมองดูร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นหยิบเสื้อยืดตัวบางบนพื้นขึ้นมาสวม

“แต่งตัวเถอะ เดี๋ยวจะไปส่งที่บ้าน” ร่างสูงเอ่ยบอกโดยไม่ได้มองอีกฝ่ายที่มีสีหน้าเจื่อนลง

ถ้ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลง เรื่องแบบนี้ก็ยังคงวนเวียนเกิดขึ้นซ้ำๆซากๆใช่มั้ย... นทนทีมองแผ่นหลังกว้างที่หายเข้าไปในห้องน้ำอย่างเย็นเยือกในหัวใจ


XXXXX

เมื่อกลับมาถึงบ้านนทนทีก็ได้ทราบข่าวของน้องสาวจากปากมารดา ทำเอาเขาอึ้งไปเหมือนกัน ถึงจะรู้มาบางก็เถอะ

“แล้วแม่คิดว่ายังไงละครับ” นทนทีมองมารดาที่มีท่าทางครุ่นคิดไม่น้อย

“เรื่องรักใครชอบใครแม่ก็ไม่เคยคิดจะไปกำหนดกะเกณฑ์หรอก แต่ก็อย่างที่รู้ๆกันละนะ บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำได้รวยอะไร แม่เป็นห่วงน้อง คับที่อยู่ได้แต่คับใจมันอยู่ยากนะ เลยตั้งใจจะถามกับเรานั่นละ สนิทกับพ่อนลเขาไม่ใช่รึ”

เมื่อผู้เป็นแม่เอ่ยถามความคิดอ่าน นทนทีจึงต้องหยุดคิดตรึกตรองก่อนจะตอบอะไรออกไป

ถ้าพูดกันจริงๆเขาก็คิดเหมือนมารดานั่นละ แต่...ถ้าเขาออกปากไม่เห็นด้วย แล้วน้องวาจะรู้สึกเจ็บปวดแค่ไหนกัน แม้น้องสาวจะไม่ปริปากว่ากล่าวเขา และเผลอๆอาจทำตามอย่างว่าง่ายอีกต่างหาก แต่ลึกๆในใจคงเจ็บช้ำไม่น้อย

แล้วเขาจะทำไปทำไมกัน สู้ปล่อยให้น้องวาเลือกทางชีวิตด้วยตัวเอง ถึงแม้ภายหลังจะต้องเจ็บช้ำแต่ก็ได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว คำว่าเสียใจที่หลังคงไม่เกิดขึ้น...

“นลเขาเป็นคนดีมากนะแม่ ที่ผ่านมาแม่ก็คงเห็นแล้ว ทางคุณพ่อคุณแม่ของนล นทก็ไม่ค่อยได้พบเท่าไร แต่ท่านทั้งสองก็ดูเป็นคนมีเหตุมีผล ถ้าลองน้องวามาพูดเกริ่นแบบนี้แสดงว่าทางนั้นเขาคงเต็มใจรับน้องวาเข้าไปเป็นสมาชิกของบ้านเขาแล้วละ นทเลยคิดว่าให้น้องได้อยู่กับคนที่น้องรักคงดีกว่า เรื่องวันข้างหน้าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดละนะแม่”

“อืม นี่ถ้าน้องเราแต่งงานออกไป คิดๆแล้วแม่ก็ใจหายเหมือนกันนะ”

“โธ่แม่...แต่งงานแล้วก็ยังอยู่บ้านเราได้นี่แม่” นทนทีอมยิ้มเมื่อผู้เป็นแม่เกิดอาการเหงาล่วงหน้า

“มันจะไม่ดีนาลูก จะให้ลูกเขาเลี้ยงมาอย่างดีมานอนบ้านเราไปตลอด เขาจะไหวเหรอลูก ถ้าชั่วครั้งชั่วคราวก็ว่าไปอย่าง”

“ฮะๆมันก็คงจะจริง แต่ให้น้องวาอยู่บ้านเขาจันทร์ถึงศุกร์แล้วเสาร์อาทิตย์ค่อยกลับมานอนนี่ก็ได้นี่แม่ บ้านก็ไม่ไกลกันด้วย แม่จะได้ไม่เหงามากไงละ”

หญิงสูงวัยมองหน้าลูกชายก่อนจะถอนใจเบาๆ

“ทางโน้นเขาจะยอมหรือลูก”

“น่ะ...เดี๋ยวนทจัดการเอง” นทนทีเดินไปโอบกอดมารดาไว้หลวมๆพลางก้มลงหอมแก้มเสียฟอดใหญ่ให้คลายกังวล ก็เลี้ยงมากับมือละนะ ใจคนเป็นแม่ไม่ว่าจะรวยจะจนก็มีหัวใจเหมือนกัน ใจที่รักลูกอย่างไม่หวังสิ่งใดตอบแทน

ร่างโปร่งนั่งคุยกับมารดาจนค่ำ จึงได้เดินขึ้นบ้านไปยังห้องนอน แล้วล้มตัวลงบนเตียงอย่างเหนื่อยใจ

ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย ความรู้สึกหนักอกหนักใจ เหนื่อยไม่เสียทุกอย่าง นี่พวกเขาเข้าใจกันจริงๆหรือเปล่านะ

“ไอ้บ้าเอ๊ย!...ทำไมไม่ยอมเข้าใจกันบ้าง” นทนทีปาหมอนส่งๆไปที่พื้นอย่างหัวเสีย ก่อนจะนอนกลิ้งนอนเกลือกบนที่นอนไปมาจนเผลอหลับ


XXXXX

ท่ามกลางความรู้สึกมืดมัวในใจ ปถวีที่ไปส่งนทนทีถึงบ้านหากแต่ไม่ได้เลยกลับบ้านใหญ่อย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก เจ้าตัวหักหมุนพวงมาลัยพาตัวเองมุ่งสู่คอนโดที่เพิ่งออกมา แล้วงัดเอาเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ในตู้มาเปิดดื่มอย่างคนตายอดตายอยาก

จะต้องทำยังไง จะต้องให้ฉันทำยังไงฮึ!

ร่างสูงกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟาตัวยาว แล้วต้องขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณที่ประตูดัง

“ใคร?”

ติ๊งต๊องๆติ๊งต๊องๆ

เสียงสัญญาณดังย้ำรัวเร็ว ยิ่งทำให้ปถวีใจเต้น ด้วยคนที่กดแบบนี้มีคนเดียว นทนที! ร่างสูงจึงรีบลุกขึ้นไปเปิดประตู

“อะ!” คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่นทนทีอย่างที่คิด แต่เป็นเพื่อนสนิท ไผ่!

ร่างสูงระบายลมหายใจเบาๆก่อนจะเอี้ยวตัวให้อีกฝ่ายเข้ามาภายใน พลางสังเกตสังกาอีกฝ่ายที่เดินเข้ามาอย่างคนไร้วิญญาณ...เฮ้อ

“เอ๊า...นั่งสิ ซักแก้วด้วยมั้ย” ปถวีชวนคนหน้าตาอมทุกข์ดื่ม ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าหงึกๆ

ปถวีรอให้ไผ่กระดกน้ำสีเหลืองทองเข้าปากอึกใหญ่ ก่อนจะเปิดประเด็น

“เป็นอะไรไป หน้าเป็นตูดแบบนั้น” ร่างสูงเอ่ยถามถึงจะรู้สาเหตุเลาๆ

ได้ผล คนหน้าตูมหันขวับมาส่งสายตาเกรี้ยวกราดใส่

“จะหน้าเหมือนตูดเหมือนอะไรก็ช่างฉัน แต่ตอนนี้ฉันไม่ไหวแล้วว่ะวี” ไผ่ทิ้งตัวพิงผนักโซฟา พลางหลับตาไม่ให้เพื่อนเห็นแววตาร้าวรานเจียนแตกกระจาย

“ทำไม แกทนมาได้ตั้งนาน เพิ่งจะมาท้อเอาตอนนี้เรอะ” ปถวีที่รู้ความรู้สึกของไผ่มาโดยตลอดยกมือขึ้นเสยผม อย่าว่าแต่แกกลุ้มเลยวะ ฉันเองก็กลุ้มเหมือนกัน

ไผ่ลืมตาขึ้นเหลือบมองเพื่อนตัวโต ก่อนจะตัดสินใจเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟัง

“ฉันบอกรักไปแล้ว ฉันบอกรักประวิชไปแล้วไอ้วี!” คนตัวเล็กเปล่งเสียงดังด้วยอาการสั่นสะท้าน แล้วจึงขบริมฝีปากระงับอาการสั่นไหวภายในตัว

“สภาพแบบนี้เจ้านั่นคงรับรักนายไม่ได้ละสิ” ปถวีพูดแทงใจดำโดยไม่ต้องนึกเดาด้วยซ้ำ และไผ่เองก็ยกมือขึ้นปิดหน้าตาตัวเองอย่างหมดความอดทน

“...อึก!” ร่างเล็กข่มกลั้นเสียงสะอื้น ปลายนิ้วกดย้ำลงบนใบหน้าจนเห็นข้อขาวๆทำให้ปถวีมองตามด้วยความรู้สึกเห็นใจ

“ฉันอยากไปไหนไกลๆ นายช่วยฉันหน่อยได้มั้ย”

“แกจะไปไหนไอ้ไผ่ อยู่ที่นี่ละ ต่อให้ไปไกลแค่ไหนก็หนีใจตัวเองไม่พ้นหรอกนะ”

“แต่ฉันไม่ไหวแล้ว! ฉันไม่กล้าสู้หน้าเจ้านั่นเลย ไม่แม้แต่จะรับโทรศัพท์ที่เจ้านั่นโทรมา ฉันกลัว กลัวจะถูกรังเกียจไปมากกว่านี้ กลัวที่จะอยู่เคียงข้าง ฉันโกหกตัวเองไม่ได้อีกแล้ว ฉันกลับไปเป็นเพื่อนกับประวิชเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว ฉันก้าวล้ำเส้นไปแล้ว นายเข้าใจมั้ย!”

“ไผ่...” ปถวีครางเมื่อรับฟังสิ่งที่เพื่อนระบายออกมา

“อืม...ยิ่งใกล้ก็ยิ่งเจ็บ งั้นไปพักผ่อนหน่อยก็ดี แล้วนายอยากไปที่ไหนละ” ปถวีถามราบเรียบแต่กลับถูกอีกฝ่ายตะโกนตอบอย่างโมโหโทโสจนต้องผงะ

“บ้านนายมีธุรกิจอยู่ทั่วประเทศ ก็จับฉันยัดไว้ที่ไหนซักที่ไม่ได้รึไง! อึก...ฮือๆ” เหมือนทำนบแตก ไผ่ปล่อยให้น้ำตาตัวเองร่วงหล่นเป็นสายอย่างไม่อายคนตรงหน้า

“เออๆ เอาละๆ เดี๋ยวฉันดูให้” ปถวีมองอีกฝ่ายแล้วต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ เป็นหนักกว่าที่คิดแฮะ

“แล้วไปแบบนี้ตั้งใจจะไม่เจอหน้าเจ้านั่นอีกแล้วเหรอ”

“...ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าฉันจะทำยังไงต่อไป แต่ตอนนี้ฉันอยากไปในที่ใหม่ๆ ที่ๆไม่เคยมีความทรงจำร่วมกัน ไว้ฉันสบายใจเมื่อไรฉันคงรู้ว่าฉันจะจัดการกับชีวิตฉันยังไงดี”

“แล้วหายไปแบบนี้ถ้าเจ้าวิชถามจะเอายังไง”

“ห้ามบอกนะ! ห้ามบอกเด็ดขาดเลย ความใจดีครึ่งๆกลางๆแบบนั้นฉันไม่อยากได้อีกแล้ว ฉันไม่อยากให้เจ้านั่นเอาความเป็นเพื่อนมายื้อฉันไว้ให้เจ็บอีก นายเข้าใจฉันนะวี”

“เฮ้อ...เออ เอางั้นก็ได้ ไม่บอกก็ไม่บอก แล้วฉันจะดูสถานที่ให้ เอาที่ให้นายทำงานได้ด้วย จะได้ไม่ฟุ้งซ่านคิดมาก” ปถวีคำนวณไว้ในหัว ด้วยให้เพื่อนไปอยู่ในที่ๆเขารู้จักไปมาหาสู่ได้ ดีกว่าให้ไปแบบไม่รู้จุดหมายปลายทางจะอันตรายกันไปเปล่าๆยิ่งใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวอยู่

ปถวีมองเพื่อนนั่งสะอึกสะอื้น แก้วเหล้าที่อยู่ในมือถูกเติมให้เต็มทุกครั้งเมื่อน้ำสีทองพร่องลง จนสังขารรับน้ำเมาไม่ไหวแล้วนั้นละ ร่างเล็กๆจึงค่อยๆไถลตัวลงนอนตะแคงบนโซฟาทั้งคราบน้ำตา

ไอ้ไผ่...วันนี้มันมีจริงๆ วันที่ฉันต้องเห็นน้ำตาของคนบ้าจี้อย่างแก เคยเตือนแล้วว่าอย่าไปเอาอะไรกับไอ้ยักษ์หน้าตายนั่น มันทึมจะตาย...แกก็ยังหวังลมๆแล้งๆหลอกตัวเองอยู่ได้...

ทว่าวันนี้ฉันเองก็เพิ่งจะเข้าใจว่าทำไมถึงต้องทำ...ทำทุกอย่างให้คนๆนั้นอยู่ข้างกาย แต่ไอ้ไผ่ วิธีของแกกับของฉันมันไม่เหมือนกันว่ะ เพราะฉันจะไม่ให้อีกฝ่ายได้เลือกหรอก แต่ฉันนี่ละจะเลือกที่ๆอีกฝ่ายควรจะอยู่ให้เอง!

อย่าหวังว่าจะไปจากฉันได้...ถ้าฉันไม่ให้ไป!

ร่างสูงคิดในใจอย่างหมายมาดถึงคนที่นอนกระสับกระส่ายภายใต้หลังคาที่รายล้อมด้วยสวนผลไม้ร่มรื่น ก่อนจะช้อนแขนอุ้มร่างเล็กๆของเพื่อนไปนอนบนเตียงอย่างนึกกังวล

แล้วแกจะดีขึ้น...ไอ้ไผ่


V
V
V
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5-8 (06/10/09) ลงเพิ่มอีกสองตอน อิอิ
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 07-10-2009 21:56:45
ตอนที่ 11  

“ไง...อารมณ์ดีจริงนะแกตั้งแต่จะแต่งงงแต่งงานเนี่ย”

ปถวีเอ่ยทักน้องชายที่เดินหน้าตาผ่องใสเข้ามาทรุดตัวนั่งใกล้ๆ

“ก็งั้นละ พี่ลองดูบ้างดิ”

“อะ...ไอ้นี่! เดี๋ยวฉันก็ล้มงานแต่งแกข้อหาหมั่นไส้ซะหรอก”

“อะๆอย่านะพี่ กว่าจะมาถึงวันนี้ผมกลุ้มแทบแย่” อนลมองพี่ชายหาวปากกว้างอย่างคนอดนอนด้วยรอยยิ้ม

“ไปทำอะไรมาหาวแต่เช้าเลยพี่”

“อืม...เมื่อคืนอยู่กินเหล้ากับไอ้ไผ่ดึกไปหน่อย” ปถวียกมือขึ้นลูบต้นคอตนเองไปมา

“แล้วแม่โทรเรียกฉันมาทำไม รู้มั้ย”

“อ๋อ...เห็นว่าวันนี้จะไปสมาคมอะไรก็ไม่รู้ละพี่ แม่เขาอยากให้พี่ไปด้วยน่ะ”

“ไปทำไม ปกติก็ให้ลุงยิ้มขับรถให้นี่ แล้วจะเอาฉันไปทำไม” ปถวีขมวดคิ้วยุ่งเมื่อเห็นน้องชายทำหน้าทำตาเจ้าเล่ห์

“สงสัยจะพาไปโชว์ตัวละมั้ง” อนลหัวเราะไปตอบไป

“อย่ามามัวอมพะนำ เดี๋ยวก็เจอของแข็งหรอกไอ้นล บอกมาเร็วๆ” ขายาวๆของพี่ชายตั้งท่าจะหยันบั้นท้ายน้องชายไปไกลๆ

“อะ! อย่านะพี่ เดี๋ยวหายไม่ทันงานแต่งละยุ่งเลย”

“เร็วๆ”

“ก็ได้ๆ เห็นแม่เขาเปรยๆว่าถูกใจลูกสาวเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกด้วย คงน่ารักน่าเอ็นดูใช่หยอกแม่ถึงอยากให้พี่ได้เห็นละมั้ง เผื่อพี่จะถูกใจ แม่จะได้จับแต่งคู่ไปเลยไง ฮ้าๆ” อนลหัวเราะขำพี่ชายที่ทำหน้าตาเหมือนกินยาขม

“ฉันกลับละ ฝากบอกแม่ว่าฉันติดธุระกะทันหันวะ”

“เดี๋ยวพี่...” อนลดึงเสื้อพี่ชายแทบขาดติดมือเมื่ออีกฝ่ายตั้งท่าจะลุกหนี

“หนีไปแบบนี้เดี๋ยวก็ได้เจอฤทธิ์แม่เข้าหรอกพี่”

“ฉันไม่ชอบไปนั่งปั้นหน้ายิ้มแบบนั้นนะไอ้นล แกชอบแกก็ไปเองดิ”

“อ้าวพี่...ผมจะแต่งงานแล้ว แม่จะเอาผมไปไมอ่ะ”

“เฮ้อ”

อนลมองพี่ชายถอนหายใจยาวแล้วก็อดเห็นใจไม่ได้

“ก็แค่ไปๆตามใจแม่เขาหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกพี่ แม่คงไม่ขัดใจหรอกถ้าพี่ไม่ชอบจริงๆ ก็ดูผมสิ แม่ยังเข้าใจเลย”

ปถวีเหลือบตามองคนกำลังเกลี่ยกล่อมแล้วก็ถอนหายใจอีกรอบ

“เฮ้อ”

ฉันมีเมียแล้ว...ก็พี่เขยแกไงไอ้นล ไอ้ซื่อ!

“พี่...ไม่ไปแม่จะเคืองเอานา...” อนลยังกล่อมต่ออีกรอบ

“เออๆ” ปถวีจำใจรับปากก่อนจะล้มตัวลงบนกองหมอนใบใหญ่ที่วางเกลื่อนพื้น

เมื่อได้เวลาคุณศรีสอางค์ก็เดินอมยิ้มเอาใจลูกชายหน้าเป็นตูดให้ไปอาบน้ำอาบท่า ก่อนจะพากันออกไปยังสมาคมท่ามกลางสายตาของผู้เป็นสามีและลูกชายคนเล็กที่มองตามไปตาปริบๆ

“ทายสินล ว่าพี่แกจะอยู่ได้ถึงชั่วโมงมั้ย”

“สิบบาทเอาบาทเดียวเลยพ่อ ไม่ถึงชั่วโมงพี่ต้องรีบหาเรื่องเผ่นออกมาแน่นอน”

“หึๆ เฮ้อ...คุณศรีสอางค์นะคุณศรีสอางค์” คุณทรงยศพึมพำก่อนจะชักชวนลูกชายไปช่วยกันแต่งกิ่งต้นไม้ดัดสุดรักสุดหวง


XXXXX


“ไหว้พี่เขาสิลูก” คุณหญิงลออเอ่ยบอกลูกสาวตนเอง

ปถวีรับไหว้หญิงสาวรูปร่างโปร่งบางดูระเหิดระหง หากแต่ในความเพรียวบางนั้นกลับพกพาความมั่นใจมาเต็มร้อย ด้วยเสื้อผ้าที่สวมใส่ดูจะเน้นส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกายสมส่วนรับกันอย่างพอเหมาะพอเจาะไปกับใบหน้ารูปไข่สวย! ปถวีต้องร้องบอกกับตัวเองอย่างไม่ต้องหยุดคิด เพราะลูกสาวคุณละออเป็นผู้หญิงที่สวยแลดูมั่นใจในตัวเองอย่างหาตัวจับยากเชียวละ

แม่นี่ตาแหลมจริงๆ...

“หนูอร พี่เขาเรียนจบด๊อกเตอร์มาจากอังกฤษ น่าจะคุยกันรู้เรื่อง ถ้าหนูมีอะไรอยากให้พี่เขาช่วยก็บอกนะ ไม่ต้องเกรงใจ พี่ๆน้องๆกันทั้งนั้น” คุณศรีสอางค์ยิ้มเบิกบานพลางทำตัวเป็นสะพานเชื่อมสองฝั่งคลองเต็มที่

“น้องเขาเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีจากอังกฤษมาเหมือนกันนะวี” ปถวียิ้มรับคำบอกเล่าของมารดา แต่ในใจนั้นกลับว่างเปล่าไม่ได้สนใจรายละเอียดปลีกย่อยที่ผู้หลักผู้ใหญ่บรรจงพูดกรอกหูให้เห็นถึงความงามพร้อมสรรพของหญิงสาว

“นี่ถ้าหนูอรจะไปไหนก็ให้พี่เขาไปเป็นเพื่อนได้นะ คุณแม่จะได้สบายใจ ไปกับคนรู้จักกันเองกันทั้งนั้น ไปเรียนที่โน้นเลยไม่ค่อยมีเพื่อนที่นี้ไม่ใช่หรือหนูอร” เห็นลูกชายเอาแต่ยิ้มรับเงียบๆคนเป็นแม่ยิ่งได้ทีเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวทั้งคู่เต็มที่

“ขอบคุณคะคุณป้า แต่จะรบกวนพี่เขารึเปล่าคะเนี่ย” หญิงสาวหันมายิ้มเก๋ให้ชายหนุ่มเชิงถามความสมัครใจ

“ถ้าไม่ติดงานก็ยินดีครับน้องอร”ปถวียกยิ้มให้อย่างสบายๆ ขืนมากระโตกกระตากเอาตอนนี้ มีหวังแม่เอาเขาตายแน่ๆ

“ขอบคุณคะพี่วี ความจริงถนนหนทางในกรุงเทพก็เปลี่ยนไปมากเหมือนกันนะคะ น้องอรกลับมาบ้านแต่ละครั้งงงเลยคะ”

“ยุคก้าวกระโดดน่ะน้องอร อะไรๆมันก็ดูจะเร็วเกิน จนเราๆจะรับกันไม่ทันอยู่แล้ว แต่ก็แค่ในตัวเมืองใหญ่ละนะ ถ้าน้องอรขับรถเลยกรุงเทพไปไม่กี่กิโล สองข้างทางมันยังเป็นป่ารกชัฏอยู่เลย” ปถวียักไหล่ชวนให้หญิงสาวหัวเราะขำน้อยๆ

“แม่ไม่ยอมให้น้องอรขับรถไปไกลเกินว่าปากซอยหมู่บ้านตัวเองหรอกคะ แม่กลัวน้องอรจะขับหลงแล้วไปจูบท้ายใครเข้า”

“งั้นวีก็พาน้องอรไปเปิดหูเปิดตาบ้างสิ ไปแบบนี้คุณละออจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะเป็นคนคุ้นเคยกันทั้งนั้น จริงมั้ยคะคุณละออ” คุณศรีสอางค์หันไปพยักหน้ากับคุณหญิงละออที่ยิ้มรับอยู่ก่อนแล้ว จนปถวีแทบจะกลืนน้ำลายเหนียวๆไม่ลงคอ

“ฮะๆ” ปถวีหัวเราะเก้อๆ ก่อนจะหาทางเลี่ยงตอบไปอย่างถนอมน้ำใจ “คงต้องตอนที่ผมว่างจากงานละครับ ช่วงนี้ปลีกตัวไปไหนไม่ค่อยได้เลย”

“จ๊ะๆ คนทำงานก็แบบนี้ละคะคุณละออ” มารดาของปถวีหันไปหัวเราะน้อยๆกับคุณละออ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหลังบุตรชายเบาๆราวกับจะเอาใจ และภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้นักหนา

“ไว้ว่างแล้วลูกค่อยพาน้องเขาไปเปิดหูเปิดตาก็ได้ จะได้เที่ยวกันให้สนุก”

“ครับแม่ แล้วน้องอรอยากไปไหนละครับ” ปถวีพยักหน้ารับคำมารดา แล้วจึงหันไปถามหญิงสาว

“อรอยากไปศาลหลักเมืองนะคะ ตั้งแต่กลับมาก็อยากไปกราบซักครั้ง” อรอนงค์ยิ้มน้อยๆให้ชายหนุ่มที่พรั่งพร้อมไปด้วยรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติอย่างพึ่งใจอยู่เงียบๆ ทั้งๆที่ก่อนจะออกจากบ้านตามมารดามาที่สโมสรก็อิดออดอยู่ไม่น้อย แต่บุรุษตรงหน้าทำให้หญิงสาวต้องนึกขอบคุณมารดา เพราะเป็นผู้ชายในฝันที่ผู้หญิงร้อยทั้งร้อยก็อยากได้มาเป็นคนรัก หรือแม้แต่คู่นอนชั่วข้ามคืน

ปถวีนั่งคุยกับอรอนงค์อีกเกือบชั่วโมงก่อนจะขอปลีกตัวไปหามารดาเพื่อชวนกลับบ้าน หากแต่เพราะตาโตๆของคุณศรีสอางค์ทำให้ปถวีจำต้องสงบปากแล้วค่อยๆเลี่ยงไปรอมารดาในรถคันงาม

ไม่ใช่เขาจะไม่ถนัดในการเข้าสังคม แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะยืนฉีกยิ้มจนเหงือกแห้งให้ใครๆได้เห็น เพราะในใจของเขามันเหมือนมีเสี้ยนเล็กๆคอยทิ่มต่ำให้เสียวแปลบๆ โดยที่ไม่รู้จะหาอะไรมาบ่ง มาเขี่ย มาสะกิดให้หลุดออกมาได้


XXXXX


“ให้วาช่วยมั้ยคะพี่”

วารีแง้มประตูมองนทนทีกำลังก้มหน้าก้มตาจัดเตรียมเสื้อผ้าสำหรับไปสัมมนาที่พัทยา แต่สงสัยพี่ชายคนดีของวารีจะหมกมุ่นคิดอะไรบางอย่างถึงได้นิ่งเงียบจนกระทั่งวารีสาวเท้าเข้ามาใกล้ๆนั่นละ นทนทีถึงได้ตื่นจากภวังค์

“อะไรหึ” พี่ชายยิ้มเรียบเรื่อยขณะที่น้องสาวทรุดตัวนั่งลงข้างๆ พลางย่นจมูกนิดๆ

“เหม่อไปถึงไหนกันคะ วาถามว่าจะให้ช่วยอะไรมั้ยน่ะคะ” หญิงสาวเอื้อมมือหยิบเสื้อที่กองอยู่ขึ้นมาพับไปพลาง

“อะ...อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกวา คิดเรื่องงานเพลินๆน่ะ ผ้าแค่นี้พี่จัดเองได้ ว่าแต่เราเถอะ เรื่องเปลี่ยนงานเป็นยังไงบ้างละ ตัดสินใจรึยัง” นทนทีมองน้องสาวที่ทำท่าครุ่นคิดแล้วจึงค่อยๆระบายลมหายใจอย่างอึดอัดเล็กๆ

“ก็คงต้องย้ายไปทำงานกับคุณแม่พี่นลละคะ วาไม่อยากให้ท่านกังวล อีกอย่างท่านก็หวังดีด้วย ถึงที่ทำงานเก่าจะดีอยู่แล้วก็เถอะ ทำไงได้ละคะ ก็ทั้งคุณแม่คุณพ่อพี่นล พี่วีก็ด้วย ต่างเห็นดีเห็นงามกันไปหมด

แล้ววาจะพูดอะไรได้อีกละคะ” นทนทีอมยิ้มน้อยๆเมื่อฟังน้ำเสียงบ่นกระปอดกระแปด ก็อย่างว่า พอตกลงแต่งงานกันได้ชีวิตของวารีก็เหมือนเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันจนแทบตั้งตัวไม่ติด และบางครั้งก็เกิดอาการประหม่าอึดอัดตามมาบางเหมือนกัน

“ทางโน้นเขาคงเป็นห่วงเรานั่นละ นี่คงหาฤกษ์แต่งก่อนนลจะไปเรียนต่อ ก็อีกหกเดือนนี่นะ เป็นธรรมดาที่อยากให้ลูกสะใภ้มาอยู่ใกล้หูใกล้ตา วาก็เข้าใจใช่มั้ยละ?”

นทนทีขยี้เส้นผมนุ่มสลวยเบาๆก่อนจะไล่ให้วารีไปช่วยมารดาทำกับข้าวมื้อเย็น

จะว่าไปเรื่องนี้ก็แค่อนลเป็นห่วงว่าที่ภรรยาตัวเองซะมากกว่า ก็จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง แต่งงานกันยังไม่ทันไรก็ต้องไปเรียนต่อ แบบนี้ก็น่ากลุ้มใจใช่น้อยเสียเมื่อไร

เฮ้อ…แต่ยังไงพวกเขาก็เข้าใจกันดี ต่างฝ่ายต่างยอมรับกันและกันได้ ในขณะที่เขา...หรือแม้แต่ไผ่...ก็ไม่อาจไปถึงจุดนั้นได้

ไผ่ไปอยู่ที่ไหนกัน...

นทนทีตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง เพราะก่อนที่จะลงมือจัดกระเป๋า ประวิชโทรมาถามสารทุกข์สุกดิบตามปกติ แต่ไม่ปกติก็ตรงประโยคถัดมาเมื่อประวิชถามหาไผ่เอากับเขา

“ฉันติดต่อเจ้าไผ่ไม่ได้ นี่ก็จะกลับใต้แล้ว นทรู้มั้ยว่าเจ้านั่นไปไหน ฉันไปหาที่บ้านก็ไม่เจอ ถามแม่บ้านก็บอกว่าไม่รู้ มันแปลกๆ” ประวิชขมวดคิ้วย่น ขณะที่รอลุ้นคำตอบตัวโก่ง

ขอให้เจอทีเถอะ

“อ้าว ติดต่อไม่ได้เลยเหรอ งั้นเดี๋ยวฉันโทรหาดูอีกทีนะ แล้วจะโทรไปบอก”

นทนทีกดโทรศัพท์หาเพื่อนตัวเล็ก หากแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือเสียงบอกไม่มีสัญญาณตอบรับ จึงกดโทรไปยังเบอร์บ้าน และความจริงที่ได้รับรู้จากปากมารดาของไผ่ก็ทำเอานทนทีตกตะลึง

“ไผ่บอกว่าจะไปทำงานกับเพื่อนนะจ๊ะ แม่ก็ไม่รู้ว่าที่ไหน เจ้าตัวไม่ยอมบอกอะไรแม่เลย แค่บอกว่าจะโทรมาหาแม่บ่อยๆแค่นั้น ไม่รู้กินอะไรผิดสำแดงรึเปล่าถึงได้มีอาการแปลกๆ”

“แปลกยังไงครับแม่”

“ก็เงียบๆ แล้วก็กินเหล้าจัดมาก เห็นเป็นยังงั้นแม่ก็เลยปล่อยให้เขาทำตามใจตัวเอง ให้เขาสบายใจแล้วค่อยว่ากันใหม่ แต่แย่จริงๆนะลูกคนนี้ แม้แต่นทก็ไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟังเลยหรือลูก”

“มะ...ไม่ครับ ยังไงถ้าไผ่ติดต่อมา ฝากแม่บอกไผ่ด้วยว่า ผมเป็นห่วงให้โทรมาหาด้วยนะครับ”

“จ๊ะ”

สิ้นคำร่ำลา นทนทีก็รีบโทรกลับหาประวิชและถามถึงสิ่งที่กังวลอยู่ในใจออกไปทันที

“วิชมีเรื่องอะไรกับไผ่รึเปล่า” น้ำเสียงร้อนรนของนทนทีทำให้ประวิชขมวดคิ้วย่น แม้ไม่อยากจะพูดแต่ก็คงปิดไปไม่ได้ตลอดแน่ๆ คนตัวใหญ่จึงได้เล่าเหตุการณ์คราวๆให้ฟัง

นทนทีครางเครือในลำคอเมื่อได้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น และแล้วก็มีวันนี้จนได้ วันที่ความรู้สึกไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไปจนต้องระบายบอกให้เจ้าตัวรู้ แม้จะเสี่ยงกับผลลัพธ์ก็ตาม

ผลลัพธ์ที่เป็นอยู่นี่ไง

มือเล็กกำรอบโทรศัพท์แน่น แล้วจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นน้อยๆ

“แล้ววิชคิดยังไงกับไผ่ละ”

“นท!” ประวิชขึ้นเสียงเหมือนกับโมโหอะไรซักอย่าง หากแต่อีกฝ่ายก็ยังรอคอยคำตอบอย่างใจเย็น

“จะให้คิดยังไง! ไอ้ไผ่มันก็เพื่อนฉันนะ แล้วจะให้คิดอะไรอีกละ” เสียงดังๆที่มาตามสายพร้อมกับคำตอบที่อธิบายทุกอย่างได้ดี นทนทีจึงพยักหน้ารับรู้พลางเดินไปรับลมเย็นๆที่หน้าต่างแล้วกวาดตามองไปยังความมืดมิดภายนอก

“งั้นก็ปล่อยไผ่ไปซักพักเถอะ อย่าตามหาเลย เพราะถึงหาเจอแล้วนายจะทำอะไรได้ละ ในเมื่อความต้องการของพวกนายมันสวนทางกัน”

“นท...” ประวิชลากเสียงอย่างคนหงุดหงิด

“ให้ตายเถอะ! ถึงจะเป็นแบบนี้แต่ฉันก็ห่วงมันนะ”

“ฉันก็ห่วง แต่ไผ่ไม่ใช่เด็กเล็กๆนะวิช คงไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามไปหรอก” ถึงจะพูดปลอบเพื่อนไปแบบนั้น แต่ในใจก็อดหวั่นไหวไม่ได้ เพราะไผ่เล่นหายไปเงียบๆไม่บอกไม่กล่าว แต่เขาจะเก็บคำถามนี้ไว้ถามเพื่อนซี้อีกคน ปถวี!

“มันนั่นละ เป็นยิ่งกว่าเด็กอีก!” ประวิชกระแทกเสียงอย่างเหลืออดในความใจเย็นของอีกฝ่าย ขณะที่เขาร้อนเหมือนถูกไฟลน

“อย่างน้อยก็น่าจะบอกกันก่อนไปสิ จะได้รู้ว่าอยู่ในที่ๆปลอดภัย”

“ถ้าบอก นายคงไปหาแน่นอน ไปทั้งๆที่นายตอบสนองความรู้สึกของไผ่ไม่ได้ “

“แล้วจะปล่อยไว้แบบนี้รึไงนท!”

“ฉันรู้ๆว่านายเป็นห่วง แต่ความใจดีตามไปดูสารทุกข์สุขดิบของนายยิ่งจะทำให้ลำบากใจกันไปเปล่าๆ ปล่อยไปซักพักเถอะวิช”

ประวิชส่ายหน้ากับโทรศัพท์ อย่างไม่ยอมรับในคำพูดของเพื่อน เพราะถ้าเขาไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นว่าไผ่อยู่ที่ไหน เขาคงทำใจให้สงบไม่ได้

“มะ...ไม่นท ฉันกลัวเจ้านั่นจะไปทำอะไรที่ทำร้ายตัวเอง แล้วฉันจะรู้สึกผิดยิ่งกว่านี้นะนท”

“ประวิช ก่อนที่นายจะไปตามหาไผ่ ฉันว่านายหาตัวเองให้เจอก่อนดีกว่า หาจุดที่ตัวเองควรจะยืนอยู่ ใกล้...ไกลแค่ไหนของไผ่กันแน่ ตอนนี้ฉันอยากให้นายทำยังงั้น ส่วนเรื่องไผ่ เดี๋ยวฉันจะช่วยด้วยอีกแรง แต่ฉันคิดว่าไผ่คงอยู่ที่ไหนซักแห่ง ที่ๆจะช่วยให้ลืมความเจ็บปวดได้ และคนอย่างเจ้านั้นไม่ทำร้ายตัวเองหรอก ถึงนายจะไม่ได้รู้สึกรักแบบนั้น แต่ก็น่าจะเชื่อใจเพื่อนบ้างนะ”

ประวิชนิ่งเงียบแม้เพื่อนจะพูดจบไปแล้ว ควรจะอยู่จุดไหนน่ะเหรอ... ที่ผ่านมาก็อยู่ด้วยกันมาตลอด ไม่เห็นต้องคิดอะไรให้ยุ่งยากเลย แล้วจะให้เปลี่ยนแปลงอะไร...

แต่วันนี้ เจ้านั่นหายไปแล้ว เขาร้อนรนเหมือนมีไฟมาสุมในอก เขาหงุดหงิด กลัดกลุ้ม ไม่อาจสงบใจได้เลย เขาควรจะคิดเรื่องของเพื่อนคนนี้ให้จริงจังแล้วใช่มั้ย ไม่ใช่ปล่อยผ่านไปอย่างที่ผ่านมา

แล้วมันจะสายเกินไปรึเปล่านะ...


XXXXX


“เฮ้อ...เมื่อย” ทวีปบิดกายอย่างขี้เกียจเมื่อการสัมมนาในห้องประชุมใหญ่ของโรงแรมเมืองพัทยาจบลง

“ประธานนี่เขี้ยวเนอะนท” ร่างสูงหันไปกระซิบกระซาบกับนทนทีด้วยกิจกรรมวันนี้เริ่มต้นตั้งแต่มาถึงโรงแรมจนกระทั้งเย็น แถมพรุ่งนี้ยังมีประชุมต่ออีกครึ่งวันจึงจะปล่อยให้เป็นเวลาส่วนตัว ก่อนจะกลับในช่วงบ่ายของวันรุ่งขึ้น

“หึๆ” นทนทียิ้มขำกับท่าทางอีกฝ่ายแต่ไม่ต่อความยาวกับคำพูดเล่นของอีกฝ่าย

“เราไปเดินเล่นหาที่กินข้าวดีกว่า อย่ากินที่โรงแรมตามคูปองที่เขาแจกให้เลย ไม่สนุกหรอก มาถึงที่แบบนี้มันต้องไปย่ำราตรีกัน” ทวีปตบบ่าเล็กหนักๆก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ นทนทีเงยหน้ามองทวีปแล้วจึงขอตัวออกไปรับสาย

เทวัญเดินตามมาสมทบกับทวีปก่อนจะเหลือบมองนทนทีที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ไม่ไกล

“จะพากันไปไหนหึ ไอ้ต่อ อย่าพิเรนนะแก” เทวัญมองเพื่อนสนิทอย่างไม่ไว้ใจ

“โฮ้...อะไรจะห่วงปานนั้น แค่จะพาไปกินข้าวแถวชายทะเลแล้วค่อยพาไปดูคาบาเร่ต์ก็เท่านี้ละท่านประธาน” เสียงยางคางในตอนท้ายทำให้เทวัญนึกอยากจะยันเพื่อนให้ติดกำแพง

“งั้นเดี๋ยวไปด้วยกันนี่ละ ฉันเลี้ยงเอง” เทวัญยกนิ้วโป้งชี้ไปด้านหลังที่มีกลุ่มคนที่สนิทชิดเชื้อกับเทวัญรออยู่6-7คน

“งั้นเตรียมถูกล้มทับได้เลย” ทวีปยักคิ้วหลิวตาหัวเราะ

“แกจะกินจนพุงแตกตายฉันก็ไม่ว่าหรอกนะ ไอ้ต่อ!” เทวัญแดกดันเพื่อนแล้วจึงกวักมือเรียกกลุ่มที่รออยู่ให้เดินมาสมทบ

นทนทีเหลือบมองกลุ่มของเทวัญที่มาสมทบกันและกำลังรอเขาอยู่เพียงคนเดียว ก่อนจะกรอกเสียงใส่โทรศัพท์อย่างใจเย็น

“งั้นแสดงว่าตอนนี้นายส่งไผ่ไปอยู่ที่โน้นแล้วใช่มั้ย” นทนทีถามย้ำหลังจากที่ได้ฟังอีกฝ่ายบอกเล่าเรื่องของไผ่

“ใช่ แล้วไผ่มันขอร้องไม่ให้บอกเจ้าประวิชน่ะ มันอยากอยู่คนเดียวซักพัก”

“อืม...ฉันเข้าใจ ไงเดี๋ยวเรื่องนี้ค่อยคุยกันอีกทีนะวี ตอนนี้เพื่อนๆรอไปกินข้าวเย็นกันแล้วละ”

“เหรอ งั้นดึกๆจะโทรไปนะ แล้วนทนอนยังไงกันละ”

“ฉันนอนกับหัวหน้างานน่ะ...”

“สะดวกสบายรึเปล่านท ถ้าไงแยกไปนอนที่รีสอร์ทในเครือบ้านฉันก็ได้นะ เดี๋ยวจะโทรไปจองให้ แล้วให้คนขับรถไปรับไปส่งเอาก็ได้” ปถวีหว่านล้อมเหมือนวันก่อนเดินทาง

“ไม่ลำบากอะไรหรอก ที่โรงแรมนี่เขาก็สี่ดาวแล้วนะ อีกอย่างมาสัมมนาเขาก็อยากให้สนิทสนมกับคนในบริษัทเยอะๆ ขืนแยกไปนอนคงถูกเขม่นเอาน่ะสิ ไม่ต้องห่วงหรอก จะโทรหาเป็นระยะๆนะ” นทนทีตอบเสียงเรียบแม้จะเจ็บแปลบๆกับสิ่งที่ปถวีเสนอมาแฝงความไม่ไว้วางใจในตัวเขาก็ตาม

ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย...

“เอางั้นเหรอ”

“อือ”

“งั้นมีอะไรก็บอกนะ แล้วอย่าปิดโทรศัพท์ละ” แม้จะเป็นตอนนอนก็ตาม ปถวีคิดต่อในใจหากแต่ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ ก่อนจะวางโทรศัพท์นั่งครุ่นคิดถึงอีกฝ่าย

เขาไม่ไว้ใจไอ้ประธานบ้านั่นเลย ก็เจ้านั่นเล่นแสดงตัวออกมาอย่างโจ่งแจ้งว่าสนใจนทนที ทั้งยังมีโอกาสได้ใกล้ชิดสนิทสนม แล้วใจคน...ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่จะไม่รู้สึกอะไร

จะหวั่นไหวไปบ้างมั้ยนะ...

ปถวียกมือขึ้นขยี้ศรีษะตัวเองแรงๆก่อนจะลุกขึ้นเดินตึงๆไปคว้าเสื้อนอกเหวี่ยงพาดไหล่เดินออกจากห้อง

เขามีนัดพาอรอนงค์ไปดินเนอร์เย็นนี้


XXXXX


นทนทีมองผู้คนหนาตาที่เดินผ่านไปผ่านมาหลังจากทานอาหารเสร็จ ส่วนใหญ่จะหัวทองมากกว่าหัวดำซะอีก ยักกะไม่ใช่เมืองไทย ร่างโปร่งสูดอากาศเย็นๆพลางเดินตามเพื่อนร่วมงานที่เดินนำหน้า แม้จะกวาดตามองเห็นความอลหม่านของชีวิตรอบข้างแต่ไม่ได้ทำให้ใจเขารู้สึกมีชีวิตชีวา ความเงียบเหงากลับเข้ามารายล้อมอยู่รอบตัว และจู่โจมเข้ามาสัมผัสหัวใจให้ห่อเหี่ยว

เฮ้อ....ร่างโปร่งระบายลมหายใจเอาความอึดอัดออกมาจากใจ ระบายออกทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเขาอึดอัดเรื่องอะไรกันแน่ ทั้งๆที่พยายาม อดทน แต่ก็ยังไม่สามารถสื่อความรู้สึกให้ถึงใจของอีกฝ่ายได้งั้นเหรอ

ร่างสูงใหญ่ของประธานบริษัทจับจ้องมองคนที่ตัวเองชอบพอมองโน้นมองนี่อย่างไร้จุดหมาย ดูเหมือนคนไม่ได้เอาหัวใจมาด้วย ไปทิ้งไว้ที่ไหนกันเหรอ...

ฉันอยากจะเห็น...เห็นนทหัวเราะ และฉันก็อยากจะเป็นคนๆนั้น คนที่สามารถทำให้นทหัวเราะ อยากให้รอยยิ้มนั้นเป็นของฉัน...แต่...

คืนนั้นทำให้ฉันรู้ว่า แม้เพียงเศษเสี้ยวของเวลา นทก็ไม่มีให้ฉัน

ร่างสูงคิดด้วยหัวใจที่แห้งผาก แต่ถึงยังงั้นก็ยังอยากจะลองเข้าไป...เข้าไปหาหัวใจอันอบอุ่นของอีกฝ่าย

เทวัญเหยียดยิ้มก่อนจะก้าวเท้าเดินกลับไปหาร่างโปร่ง

“ใกล้ทะเลแล้วเหนียวตัวเหมือนกันนะ” เทวัญยิ้มให้นทนทีที่เดินตามหลังมาเรื่อยๆท่ามกลางแหล่งชุมชนผู้คนพุกพล่านและแสงไฟสว่างจ้าพร้อมกับกลิ่นควันอาหารริมทางเดิน

ร่างโปร่งบางเพียงแต่ยิ้มตอบทำให้ประธานใหญ่เลิกคิ้วมองอย่างค้นคว้า

“ถ้าไม่ใช่เรื่องงานเราคุยกันไม่ได้แล้วเหรอ?”

“...!มะ...ไม่ใช่นะครับ”

“แต่ดูนทเหมือนอึดอัดเวลาอยู่กับฉัน” เทวัญมองลูกน้องทำหน้าตาอิหลักอิเหลื่อ

แม้นทนทีจะระล่ำระลักปฏิเสธหากแต่อีกฝ่ายกลับถอนหายใจแล้วยิ้มเย็น ความรู้สึกของเขาคงส่งไปไม่ถึงใจเล็กๆของอีกฝ่ายละมั้ง...

“เอาเถอะ...ฉันจะไม่ถามว่าทำไมหรอก แต่อยากให้ทำตัวตามสบาย ไหนๆก็มาพักสมองทั้งที” เทวัญตบบ่าเล็กเบาๆ

“ฉันเข้าใจ ความรักมันฝืนใจกันไม่ได้”

คำพูดของเทวัญกระทบใจนทนทีจนต้องหยุดชะงัก พร้อมกับเลือดในกายวิ่งพล่านจากสายตาของคนผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ยิ่งทำให้นทนทีรู้สึก! รู้สึกว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องส่วนตัวของเขา แม้เขาจะพยายามปิดบังเท่าไรก็ตาม

แต่ในทางกลับกัน คนของเขาก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือด้วยนี่นะ...ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก...ที่จะรู้!


V
V
V
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 5-8 (06/10/09) ลงเพิ่มอีกสองตอน อิอิ
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 07-10-2009 21:57:27
“ขะ...ขอโทษครับ” นทนทีสูดลมหายใจลึกๆ

“ขอโทษทำไม ไม่มีอะไรให้ต้องขอโทษซักหน่อย”

“...ผมแค่อยากอยู่กันอย่างเงียบๆนะครับ”

เทวัญเหลียวมองคนสารภาพสิ่งที่เก็บไว้ในใจเป็นครั้งแรก และลดความเร็วในการก้าวเดินให้เสมอกับอีกฝ่าย

“งั้นฉันทำไม่ดีไปแล้วใช่มั้ย”

“ปะ...เปล่านะครับ”

“หือ...” เทวัญเหล่มองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ

“ไม่ใช่ไม่กล้าคุยกับฉันเพราะเขาหรอกเหรอ” เทวัญรุกคนตัวเล็กด้วยเสียงเรียบเรื่อย เขาอยากรู้ความสัมพันธ์ของนทนทีราบรื่นดีมั้ย

“ออ...เรื่องนั้น...ไม่ใช่หรอกครับ ผมแค่รู้สึกเหนื่อยเลยไม่ค่อยอยากพูดอะไร อยากจะเดินดูไปเรื่อยๆก็เท่านั้นละครับ คุณเทวัญอย่ากังวลไปเลย” นทนทียิ้มแห้งแล้งให้อีกฝ่ายรู้สึกหัวใจกระตุก เพราะเขา...

“ก็นี่ละ...เขาเรียกว่ากังวล”

ร่างโปร่งมองใบหน้าประธานใหญ่ชั่วอึดใจก่อนจะพยักหน้ารับ แม้จะรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายแต่เขาก็ยังอยากให้เทวัญเป็นผู้ฟังและผู้ให้คำปรึกษาที่ดี เขาเห็นแก่ตัวกับคนๆนี้ไปรึเปล่า...

“ผมก็อยากทำให้คนที่รักผมมีความสุขนะครับ แต่ผมก็มีสิ่งที่ผมอยากทำ เวลาความคิดมันสวนทางกัน มันก็ทำให้วางตัวลำบาก”

เทวัญยกมือกุมท้ายทอยตัวเองพลางระบายลมหายใจออกมายืดยาว นี่เห็นเขาเป็นแค่ที่ปรึกษาเรื่องความรักไปแล้วเหรอ...ใจดำจริงๆนะนท พลางเหลือบมองใบหน้าเนียนด้วยความรู้สึกปลงๆ

“ไม่มีใครได้อะไรมาง่ายๆหรอก”

“แต่ก็อยากให้เขาเข้าใจ” นทนทีเหม่อมองไปยังกลุ่มที่เดินนำหน้าอย่างลอยๆ เหมือนอยากจะบอกผ่านไปยังคนที่ตอนนี้นั่งดื่มกินกับคนที่มารดาสนับสนุนอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ

“อย่าสร้างกรอบอะไรกับชีวิตมากนักเลย มันจะเหนื่อยและหนัก แล้วอีกอย่างเราก็ไปเปลี่ยนใครไม่ได้นอกจากตัวเราเอง” เทวัญก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเอง อย่างเขาไงที่ไม่สามารถทำให้คนที่มั่นคงอย่างนายละทิ้งอีกฝ่ายมารักได้ และเพราะไม่อยากเป็นไอ้พวกแพ้แล้วพาลจึงได้แต่เผื่อใจไว้อย่างเดียว

“คุณเทวัญ...” นทนทียิ้มรับเงียบๆ สิ่งที่เขาต้องการตอนนี้คืนคนที่เข้าใจ และผู้ชายคนนี้กำลังให้สิ่งที่เขาต้องการ หัวใจดวงน้อยๆจึงฟูพองโปร่งโล่ง เพราะไม่ต้องมีคำอธิบายอะไรให้ยืดยาว ก็รู้สึกเหมือนได้รับรู้ถึงความปรารถนาดีจากอีกฝ่าย

“ถ้ามันหนักนักก็โยนมันทิ้งไปบ้างเถอะ” เทวัญเปรยๆให้อีกฝ่ายได้ยินก่อนจะยิ้มกว้าง

“หัดเอาแต่ใจบ้างก็ดีนะ” ร่างโปร่งตาโตเมื่อได้ยินคำพูดให้ท้ายของอีกฝ่ายก่อนจะยิ้มกว้าง

“...แล้วถ้าผมเคยตัวจะทำยังไง ใครจะรับผิดชอบกันละครับ” นทนทีตอบพลางสูดลมหายใจเรียกกำลังใจตัวเองกลับมา

ปัญหามันต้องมีทางออกสิ ไว้เขากลับไปก่อนเถอะ จะขอเปิดอกคุยกับปถวีอีกครั้ง

“ถ้าไม่มีใครรับผิดชอบฉันรับเองก็ได้ หึๆ” ร่างสูงยังไม่วายจะหยอดคำให้อีกฝ่ายลังเล เทวัญจึงยิ้มเก๋เมื่อนทนทีทำท่ากระอักกระอ่วนใจ พลางหัวเราะแล้วเร่งให้อีกฝ่ายเดินไปสมทบกับกลุ่มที่เดินนำหน้า


เวลานี้คงไม่ใช่เวลาของเขา...เทวัญมองร่างโปร่งเดินนำไปข้างหน้า ถึงแม้เขาจะยังไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับนทนทีในวันนี้ แต่เขาก็ไม่ใจดีพอจะอวยพรให้อีกฝ่ายมีความสุขกับผู้ชายอื่น ด้วยความสัมพันธ์ที่คลอนแคลนนั้นอาจพังทลายลงมาโดยที่เขาไม่ต้องลงมือทำอะไรเลยด้วยซ้ำ

เขายังมีโอกาส...

ร่างโปร่งเดินเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มที่เดินรั้งท้ายในกลุ่มแล้วจึงยิ้มให้อย่างมีอัธยาศัย ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มรับก่อนจะหยุดมองไปยังอีกฝากของฝั่งถนนที่มีร้านขายของเล็กๆตั้งเรียงรายให้นทนทีต้องมองตาม

หน้าตาดีจัง รู้สึกจะชื่อเหนือมั้ง แต่อยู่แผนกประชาสัมพันธ์ของบริษัทแน่ๆ ที่รู้ก็เพราะเคยเป็นดาราหน้ากล่องมาก่อน เห็นสาวๆในบริษัทกรี๊ดกันเกรียวกราวช่วงแรกๆ

เด็กหนุ่มมีท่าทีสนใจร้านเครื่องประดับที่ทำด้วยมือก่อนก้าวเดินข้ามไป

“อะ! ระวัง” นทนทีตะโกนเสียงดังเมื่อเห็นรถยนต์พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วจากหัวโค้งของถนน ร่างโปร่งยื่นมือไปคว้าแขนอีกฝ่ายโดยสัญชาตญาณ และเงาดำทะมึนข้างหลังก็ยื่นมือมากระชากเอวเล็กปลิวไปปะทะแผ่นอกหนาพร้อมกับร่างเด็กหนุ่มที่ติดมือนทนทีตามมาด้วย

เสียงกระแทกดังตึงข้างหลังทำให้นทนทีหันหลังมองทันที ถึงแม้พวกเขาจะรอดตายจากรถยนต์อย่างหวุดหวิด แต่ร่างสูงใหญ่ของเทวัญที่ช่วยดึงพวกเขาไว้กลับถอยหลังไปชนรถมอเตอร์ไซด์ที่แล่นเข้ามาอย่างจัง

“โอ๊ย!” เสียงร้องของทวีปพร้อมกับการล้มลงของชายหนุ่มทั้งสามคนทำให้พนักงานบริษัทที่เดินนำหน้าวิ่งปรี่เข้ามาช่วยเหลือ

“คุณเทวัญ!” ทุกคนในกลุ่มร้องเป็นเสียงเดียวกันเมื่อเห็นประธานบริษัทล้มลงไปนอนกับพื้นถนนพร้อมกับเด็กหนุ่มสองคน หากแต่เด็กหนุ่มที่ล้มลงไปทับร่างสูงเคลื่อนตัวขยับลุกขึ้นได้อย่างรวดเร็วราวกับไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ในขณะที่ร่างสูงใหญ่กลับยังนอนนิ่งก่อนจะค่อยๆขยับตัวลุกนั่งอย่างช้าๆโดยมีทวีปปรี่เข้ามาประคอง

“เฮ้ย!ไอ้วัญ โอเคมั้ย” ทวีปตบแก้มอีกฝ่ายเบาๆราวกับจะเรียกสติให้กลับคืนมาพลางมองไปรอบๆตัวที่เริ่มมีผู้คนเข้ามามุ่ง และรถจักรยานยนต์ที่ล้มระแนระนาด มีเศษกระจกแตกกระจายบนพื้น พร้อมกับคนขับและคนซ้อนท้ายที่เดินกระย่องกระแย่งมาดูสภาพรถแล้วค่อยๆจับยกขึ้น ก่อนจะเดินมาทางเทวัญที่ยังนั่งมึน

“นี่คุณ ถอยมาได้ยังไง! เดี๋ยวก็ได้ตายกันหรอก” ชายหนุ่มเจ้าของรถจักรยานยนต์พูดด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์ ขณะมองเทวัญที่สลัดศีรษะเบาๆแล้วมองกลับมา ก่อนจะค่อยๆยกมือขึ้นโบกไปมา

“ขะ...ขอโทษครับ ผมหลบรถยนต์เลยถอยไปชนคุณเข้า” ร่างสูงพยายามจะลุกขึ้นยืนแต่ต้องนิ่วหน้าแล้วนั่งลงตามเดิม ก่อนจะยกมือขึ้นกุมซี่โครงด้านขวาของตัวเองพลางมองคู่กรณีที่ทะลอกปอกเปิกไม่น้อย

“ยังไงให้ผมช่วยเรื่องรถที่ต้องซ่อม อย่าเพิ่งโมโหเลยครับ ผมจะรับผิดชอบให้” เทวัญฝืนบอกให้ชายหนุ่มวัยรุ่นอารมณ์เย็นลง ก่อนจะกระซิบบอกให้เลขาคู่ใจช่วยจัดการเรื่องต่อให้

“คุณเทวัญ...”นทนทีมองชายหนุ่มที่ยังลุกขึ้นไม่ไหวอย่างเป็นห่วง ก่อนจะเหลือบมองเด็กหนุ่มคนต้นเหตุที่แสดงท่าทีวิตกกังวลไม่น้อยนั่งตัวสั่นอยู่ข้างๆ “โทรให้ทางโรงแรงส่งรถมารับไปโรงพยาบาลแล้วครับ รู้สึกยังไงบ้างละครับเนี่ย เจ็บตรงไหนบ้างครับ”

“เจ็บ...แถวๆซี่โครง แต่คงไม่เป็นไรมาก แล้วนทละเป็นอะไรรึเปล่า” เทวัญมองสำรวจไปตามตัวร่างโปร่งเป็นที่พอใจแล้วจึงมองไปยังเด็กหนุ่มตัวต้นเหตุด้วยสายตาดุแกมไม่พอใจ ทำให้นทนทีใจไม่ดีต้องรีบเอ่ยแทรกก่อนที่เจ้านายใหญ่จะระเบิดอารมณ์ด้วยความเจ็บ

“อย่าเพิ่งว่าอะไรกันเลยครับ เดี๋ยวค่อยๆขยับไปนั่งที่ริมฟุตบาทก่อนดีกว่า” นทนทีค่อยๆพยุงร่างสูงโดยมีเด็กหนุ่มพยายามยื่นมือสั่นๆมาช่วย แต่ร่างสูงกลับปัดมือออกให้คนอื่นเข้ามาช่วยพยุงแทน ทำให้เด็กหนุ่มหน้าเสียน้ำตาคลอเบ้า จนนทนทีที่เห็นต้องยิ้มให้กำลังใจ

“คนกำลังเจ็บก็โมโหแบบนี้ละ เดี๋ยวก็หาย ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ ไม่เป็นอะไรกันก็ดีแล้วละ” นทนทีเอ่ยเสียงเบาทำเหมือนว่าประธานใหญ่จะไม่ได้ยิน ซึ่งคนที่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินก็ตวัดสายตาให้เด็กหนุ่มสะดุ้งก่อนจะหันตัวตามแรงคนประคองไปนั่งพัก

เด็กหนุ่มขบริมฝีปากแน่นก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำจากตาออกอย่างลวกๆแล้วหันไปหาทวีปที่กำลังช่วยเหลือคู่กรณีเพื่อไม่ให้เรื่องต้องไปถึงตำรวจให้ยุ่งกันไปใหญ่

“ให้ผมออกค่าเสียหายเองนะครับพี่ต่อ” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นทำให้ทวีปหันมองคนหน้าตาโศกอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะยกมือขึ้นแตะแก้มเด็กหนุ่มที่มีแผลทะลอกให้เจ้าตัวสะดุ้งด้วยความเจ็บ

“ไม่ต้องหรอก ถือว่าเจ้านั่นซวยเองก็แล้วกัน” ทวีปหันมาตอบก่อนจะหยิบธนบัตรใบละพันส่งให้คู่กรณีห้าใบแล้วแสดงท่าทางขอโทษขอโพยอีกฝ่าย

เด็กหนุ่มมองคู่กรณีจูงรถจักรยานยนต์จากไปแล้วรีบล่วงกระเป๋าหยิบเงินส่งให้ทวีปอย่างร้อนรน

“บอกว่าไม่ต้องไง เรานั่นละเป็นอะไรรึเปล่าเดินเหม่อจนได้เรื่อง ไหนดูหน่อยซิ” ทวีปก้มมองอีกฝ่ายใกล้ๆด้วยแสงไฟตามถนนไม่ค่อยสว่างมากนัก

“นั่นไง มือไม้เลือดออกซิบๆเลย ข้อศอกก็เสื้อขาดด้วย ต้องไปล้างน้ำแล้วใส่ยานะเราน่ะ เจ็บข้างในอะไรรึเปล่า ต้องบอกนะ เดี๋ยวเลือดตกในละแย่เลย” ทวีปร่ายยาวด้วยรู้จักกับเด็กหนุ่มเหมือนพี่เหมือนน้องมาตั้งแต่เข้ามาทำงานในบริษัท

“มะ...ไม่ครับ แต่เพราะผม...ให้ผมช่วยอะไรบ้างเถอะครับ ค่ารักษาคุณเทวัญนั่นก็ด้วย” เด็กหนุ่มขบริมฝีปากด้วยกลัวอีกฝ่ายจะมาโวยวายทีหลัง

“มันคงยอมหรอก” ทวีปบอกกับตัวเองเบาๆแล้วจึงตบบ่าอีกฝ่ายหนักๆ

“เอาน่ะๆ ไม่เป็นไรหรอก ยังไงอย่าลืมกระเช้าผลไม้ซักกระเช้าสองกระเช้าไปเยี่ยมก็พอแล้ว ...เออฉันชอบกินสาลี่นะ อย่าลืม”

เลขาจอมทะเล้นพูดให้เด็กหนุ่มสบายใจแล้วจึงพาอีกฝ่ายตามประธานใหญ่ไปยังโรงพยาบาล


XXXXX

“เป็นยังไงบ้างครับ” นทนทีเอ่ยถามทวีปหลังจากที่ผู้บริหารคนอื่นกลับกันไปหมดแล้ว ส่วนเด็กหนุ่มคนต้นเหตุพอทำแผลเสร็จก็กลับไปพร้อมกับคนอื่นๆไม่กล้าเข้ามาหาเทวัญด้วยกลัวจะถูกต่อว่าหนัก

“หมอให้อยู่ดูอาการ รอผลตรวจซักวันสองวัน ถ้าไม่มีอะไรก็คงกลับพร้อมกลุ่มสัมมนาได้เลย” ร่างสูงโปร่งอธิบายให้นทนทีฟัง พลางมองไปยังประธานหนุ่มที่ส่งสายตาคล้ายจะพูดด้วย

“ไอ้ต่อ พรุ่งนี้มีคิวฉันบรรยายช่วงเช้าใช่มั้ย”

“เออ...แกยังจะไปอีกเหรอวะ”

“มาใกล้ๆนี่ม่ะ” เทวัญขยับเท้าไหวๆรับการกวนประสาทของอีกฝ่าย ทำให้คุณเลขาแสนฉลาดฉีกยิ้มแล้วเดินมาใกล้

“เดี๋ยวแกไปบอกให้รองประธานเข้าแทนฉันนะ แล้วแกก็สรุปสั้นๆมาให้ฉันดูด้วย” เทวัญมองทวีปพยักหน้า ด้วยเวลาเป็นงานเป็นงานเจ้านี่เก่งหาตัวจับยากเชียวละ เว้นแต่ทะเล้นไปหน่อยก็เท่านั้น

“นท ยังไงอยู่เป็นเพื่อนประธานหน่อยนะ เดี๋ยวฉันจะกลับไปเตรียมงาน พรุ่งนี้เช้านายไม่ต้องเข้าก็ได้ เดี๋ยวฉันบอกหัวหน้านายให้” ทวีปหันไปบอกโดยไม่ให้อีกฝ่ายได้ออกความคิดเห็น ทำให้เทวัญต้องเอ่ยแทรกเสียเอง

เขาไม่อยากอยู่ทำให้อีกฝ่ายอึดอัดใจ เพราะสุดท้ายเขาก็เป็นคนที่จะอึดอัดและจะเจ็บเสียเอง

“ไปจ้างพยาบาลพิเศษดีกว่า จะได้ไม่ลำบาก” เทวัญบอกทวีป แต่นทนทีกลับรู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวเกินไปที่นึกถึงแต่ความรู้สึกของตัวเองจึงส่ายหน้ากับคำพูดเกรงใจของเทวัญ

“ไม่เป็นไรครับคุณเทวัญ ผมอยู่ได้ ยังไงมีเพื่อนก็ยังดีกว่าอยู่กับคนไม่รู้จักกันนะครับ”

เทวัญมองร่างโปร่งนิ่งแล้วจึงลอบระบายลมหายใจ ก็คนรู้จักกันนี่ละที่ทำกันเจ็บเหลือเกิน

ทวีปให้พนักงานโรงแรมนำเสื้อผ้ามาให้นทนทีผลัดเปลี่ยน ในขณะที่แพทย์มาตรวจดูอาการบวมแถวๆซี่โครง นทนทีจึงหลบเข้าไปอาบน้ำ

มือขาวๆติดกระดุมเสื้อพลางกระหวัดคิดไปถึงร่างสูง ต้องนอนเฝ้าคุณเทวัญอีกแล้ว เขาควรจะบอกปถวีใช่มั้ย ก็รับปากอีกฝ่ายไว้แล้วนี่นะ นทนทีเหลือบมองโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงที่พาดไว้กับราวในห้องน้ำอย่างชั่งใจ แล้วจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาปถวี ศีรษะเล็กแนบหูกับโทรศัพท์อยู่นานจนเกือบจะตัดใจวางสายจึงได้ยินเสียงปถวีรับสาย

“นท...” น้ำเสียงแปลกใจของร่างสูงทำให้นทนทีเลิกคิ้วขึ้น

“ทำอะไรอยู่” ปถวีถามพลางพยักหน้าขออนุญาตน้องอรโทรศัพท์ ก่อนจะปลีตัวมายืนห่างๆ

“ยะ...อยู่โรงพยาบาลน่ะ” ปถวีขมวดคิ้วยุ่งเมื่อฟังจบ ก่อนจะถามอีกฝ่ายกลับเร็วๆ

“เป็นอะไร!”

“ปะ...เปล่า ฉันไม่ได้เป็นอะไร แค่ถลอกเล็กๆน้อยๆนะ แต่ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนคนเจ็บ”

ปถวีระบายลมหายใจ แต่กลับรู้สึกถึงความยุ่งยากอะไรบางอย่างในน้ำเสียงของนทนที ลางสังหรณ์ในตัวบอกเขาว่า มันต้องไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาแน่ๆ

“ใคร”

“คุณเทวัญนะ”

“...!” ปถวีสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ รู้สึกถึงเส้นเลือดในสมองเต้นตุบๆจนแทบจะระเบิดแตกออกมา ก่อนจะข่มเสียงถาม

“ทำไม...”

“วี...เขาช่วยฉันจนถูกรถชนน่ะ จะให้ฉันดูดายได้ยังไง” นทนทีรู้สึกถึงกลิ่นไอของความโมโหโทโสจากอีกฝ่ายส่งผ่านมาตามสัญญาณโทรศัพท์จนต้องกำเจ้าเครื่องมือสื่อสารไว้แน่น “ฉันอยากให้นายรู้เลยโทรมาบอก นายเข้าใจฉันใช่มั้ย” ร่างโปร่งทวงถามความรู้สึกของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เขาคิดผิดงั้นเหรอ?

“ฉันไม่ชอบนายก็รู้ แล้วคนอื่นมันไม่มีแล้วรึไงหึ!” ปถวีกระแทกเสียงใส่ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจดีแต่เขาก็ไม่ใจกว้างพอจะรับ เพราะเขาได้บอกความรู้สึกไปแล้ว จึงอยากให้อีกฝ่ายใส่ใจและหลีเลี่ยง แต่...ทำไมมันต้องเกิดขึ้นอีก ทำไมนทนทีถึงไม่รับรู้ว่าใจเขาร้อนรนขนาดไหนที่คนรักต้องไปหลับนอนห้องเดียวกับคนที่ตั้งใจจะแย่ง!

คิดถึงใจเขาบ้างมั้ย รึเขาใจดี ใจดีเกินไปที่ยังปล่อยให้นทนทีทำงานอยู่ที่นั่นถึงตอนนี้

“วี...เขากำลังเจ็บ ฉันทำให้เขาต้องเจ็บนะ แล้วยังเป็นคนทำงานร่วมกัน จะให้คิดแต่เรื่องของตัวเองไม่ได้หรอก แล้วฉันบอกนายเพราะฉันบริสุทธิ์ใจ ไม่อยากให้นายเอาไปคิดเองเออเอง” นทนทีรู้สึกถึงลำคอที่ตีบตันจนต้องโก่งคอเพื่อเค้นเสียง

“นท...ฉันไว้ใจนาย แต่ฉันไม่ไว้ใจคนอื่น เพราะฉะนั้นเปลี่ยนให้ใครก็ได้มาเฝ้าแทน นายทำแบบนี้ก็เข้าทางไอ้บ้านั่นนะสิ”

“วี!” ร่างโปร่งขึ้นเสียงใส่ด้วยรู้สึกทั้งเสียใจและน้อยใจ “มันไม่เห็นแก่ตัวไปเหรอทำแบบนั้น ฉันยังต้องทำงานอยู่กับพวกเขานะ ฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”

“นท! ถ้ามันยุ่งยากมากนักก็ลาออกมา อยู่ไปก็เป็นแบบนี้ละ มีเหตุให้มาอ้างอยู่เรื่อย!”

“ปถวี! ทำไมนายเป็นคนแบบนี้นะ นายไม่อยากให้ฉันโกหก ฉันก็บอกแล้วไง แล้วทำไมถึงไม่เข้าใจละ เห็นแก่ตัว!”

“ใครกันที่เห็นแก่ตัว คิดแต่เรื่องของตัวเอง” ปถวีเอ่ยย้อนให้อีกฝ่ายเสียงหลง

“นาย!...” นทนทีกัดฟันกรอด “แค่นี้นะ”

“นี่! อย่ามาตัดสายนะ ได้ยินมั้ย ไปเรียกให้เลขาตัวดีนั่นมาเฝ้าเลย ได้ยินมั้ย อย่ามาทำเงียบนะนท!”

นทนทีกดโทรศัพท์แนบกับหูแน่น ฟังอีกฝ่ายต่อว่าอย่างเงียบๆก่อนจะได้รับรู้รสชาติเค็มปร่าของน้ำตาตัวเองที่ไหลลงมาอย่างกักเก็บไว้ไม่อยู่ ความตั้งใจที่จะคุยจึงเลือนหายไปจากสมอง คุยไปก็คงไม่รู้เรื่องแถมยังจะทะเลาะกันไปใหญ่

พอแค่นี้เถอะ ร่างโปร่งคิดอย่างอ่อนล้า

“พี่วี!”

นิ้วขาวนวลกำลังกดตัดสาย หากแต่เสียงใสที่สอดแทรกเข้ามาก่อนสัญญาณจะตัดไปทำให้นทนทีสะดุ้ง ขมวดคิ้วก้มมองโทรศัพท์ในมือ

เสียงผู้หญิง...?

.
.
.
.
.

“พี่วี...เป็นอะไรคะ เสียงดังเชียว” น้องอรเดินคิ้วย่นเข้ามาหาชายหนุ่มที่ใช้เวลาโทรศัพท์นานจนหญิงสาวต้องเดินเข้ามาใกล้ เพื่อให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวว่าทิ้งเธอไว้นานจนเสียมารยาทไปแล้ว

“โกรธใครหรือคะ ทำหน้าเครียดๆ” หญิงสาวยิ้มละมุนให้ชายหนุ่ม ด้วยอย่างน้อยวันนี้ก็อารมณ์ดีเป็นพิเศษที่ชายหนุ่มพามาเลี้ยงอาหารเย็นแถมยังเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี

ปถวีที่เริ่มรู้สึกตัวว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยจึงปรับสีหน้าและกดอารมณ์ตัวเองให้เย็นลงพลางเอ่ยเสียงเรียบไม่ให้หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองกำลังหงุดหงิด หงุดหงิดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ใกล้ๆจนอย่างจะขยี้ให้แหลกคามือ

“อะ...อ๋อ นิดหน่อยนะ” ปถวีมองหญิงสาวยิ้มให้อย่างเปิดเผยความพึ่งพอใจในตัวเขาแล้วต้องถอนหายใจ

แม่นะแม่!

“แล้วคุยเสร็จแล้วใช่มั้ยคะ” หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้จนปถวีได้กลิ่นน้ำหอม

“ครับ น้องอรจะกลับเลยหรือว่าจะไปไหนต่อหรือเปล่า”

“อืม...เพิ่งจะสองทุ่ม พี่วีมีที่ไหนน่าสนใจบ้างมั้ยละคะ” อรอนงค์เลิกคิ้วโก่งขึ้นถามอย่างเก๋ไก๋ ดูแล้วน่ารักน่าใคร่กับสะพานที่หญิงสาวทอดมาอย่างไม่ปิดปัง

ปถวีนิ่งมองหญิงสาวอย่างชั่งใจชั่วครู่

แล้วเขาควรจะสนองความต้องการแก้อารมณ์หงุดหงิดนี้ดีมั้ย...นทนที!

V
V
V
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-10 (07/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 07-10-2009 22:04:04
ตอนที่ 12


“นท...หลับรึยัง”

เสียงเรียกเบาๆของประธานบริษัทดังขึ้นเมื่อร่างโปร่งบางปิดไฟนอนได้พักใหญ่ๆ หากแต่เสียงเรียกนั้นก็ทำให้เจ้าของชื่อจำต้องกลั้นใจรอฟังอีกฝ่ายโดยไม่คิดจะขานรับ ด้วยในสมองของเขาตอนนี้มันสับสนตีกันยุ่งเหยิง

เทวัญมองเงาสลัวๆของร่างโปร่งบางนอนนิ่งบนเตียงเสริมใกล้ๆแล้วต้องระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ สายตาคู่คมกล้าจึงเหลือบมองออกไปนอกระเบียงห้องที่มีแสงจันทร์ลอดผ่านเข้ามา ก่อนจะตวัดตากลับมามองคนนอนนิ่งอีกครั้ง

เขารู้สึกอึดอัด...เทวัญบอกกับตัวเองตั้งแต่นทนทีเดินออกมาจากห้องน้ำเมื่อเย็น แววตาคู่อ่อนโยนหม่นหมองจนสังเกตเห็นได้ง่ายๆ เกิดอะไรขึ้น... เพียงแค่คลาดสายตาไม่ทันไรก็ทำให้อีกฝ่ายมีอาการเหมือนแบกโลกไว้ทั้งโลกงั้นละ

“นท...”

“...!” เสียงที่ได้ยินใกล้จนแทบจะชิดติดใบหูทำให้นทนทีสะดุ้งพลิกตัวกลับไปมองเงาดำทะมึน

“คุณเทวัญ!”

“ก็ไม่ได้หลับนี่...” ร่างสูงใหญ่ทรุดตัวนั่งข้างๆร่างโปร่งที่ขยับตัวลุกนั่ง

“อยากได้อะไรหรือครับ”

“ไม่หรอก ไม่ได้อยากได้อะไร แค่อยากรู้ว่านทเป็นอะไร...” เทวัญมองแววตาฉงนสะท้อนแสงจันทร์ของอีกฝ่าย ก่อนจะประสานมือตัวเองบีบเข้าหากันแน่นแล้วคลายออก

“ฉันมองนทมานานนะ นานจนรู้ว่านทคิดอะไรอยู่” ร่างสูงตรองความคิดตัวเองชั่วอึดใจก่อนจะเอ่ยต่อ

“ทะเลาะกับเขามาเหรอ?”

“...คุณเทวัญ!” นทนทีครางเครือมองใบหน้าอีกฝ่ายนิ่ง

“ฉันไม่แปลกใจหรอก ถ้านทจะบอกว่าไม่สบายใจเพราะฉัน” เทวัญยิ้มบางๆให้คนที่สะดุ้งจนไหล่ไหวเพราะการคาดเดาของเขา

“เงียบแบบนี้แสดงว่าฉันพูดถูก” ร่างสูงเอ่ยพลางขยับตัวไปนั่งบนเตียงใกล้อีกฝ่าย

“คุณเทวัญ...อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลยนะครับ ผมคิดอะไรไม่ออก แล้วผมก็ไม่รู้จะหาทางออกกับเรื่องนี้ยังไง” มือเล็กเสยผมตัวเองหนักๆอย่างคนหงุดหงิด

“นท...” เทวัญถอนหายใจพลางลูบรอยช้ำบริเวณซี่โครงเบาๆ

“เป็นฉัน ฉันก็คงทำแบบเดียวกันนี้ละมั้ง” เสียงพึมพำเหมือนพูดกับตัวเองแต่ก็ตั้งใจให้อีกฝ่ายได้ยิน ทำให้นทนทีสะอึก

“ถึงเวลาที่นทจะต้องเลือกแล้วละ”

“เลือก...อะไรครับ!” นทนทีหันขวับมองร่างสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ หากแต่ใจคนฟังกลับเต้นระรัวด้วยรอยยิ้มอุ่นๆที่ส่งมาให้เหมือนจะปลอบประโลมอยู่ตลอดเวลา

“ก่อนจะให้นทได้เลือก ฉันก็ต้องมีข้อเสนอที่ดีให้นทได้ลองเปรียบเทียบดูก่อนสิ...จะฟังมั้ยละ”

ลางสังหรณ์บางอย่างร้องเตือนให้นทนทีขยับตัวอย่างอึดอัด เพราะเขารู้ รู้ว่าเทวัญจะพูดอะไร! แต่เขาต้องการคงความสัมพันธ์กับเทวัญไว้แบบนี้ หากวันใดที่อีกฝ่ายตัดสินใจเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองออกมา ทุกอย่างจะไม่มีวันเหมือนเดิม

“ฉันไม่น่าถามเนอะ และก็ไม่น่าเสนอตัวเลือกให้กับคนที่มีเจ้าข้าวเจ้าของ” เทวัญยิ้มฝืดเฝื่อนพลางกลืนก้อนแข็งๆอะไรบางอย่างลงคออย่างยากเย็น

“แต่เอาเป็นว่าช่วยฟังแล้วลองเก็บไปคิดดูหน่อยก็ดีนะ”

“อย่า...อย่าพูดเลยครับ” เสียงสั่นเครือของร่างโปร่งยิ่งทำให้ประธานใหญ่หนุ่มใจสั่นคลอนพลางดึงมือเล็กขึ้นมากอบกุม

“ฉันยินดีจะเป็นคนที่ใช่สำหรับนท ขอแค่โอกาส ให้โอกาสฉันได้พิสูจน์ตัวเอง แล้วฉันจะพิสูจน์ให้นทได้เห็นว่าฉันก็เป็นคนที่จิตใจมั่นคงไม่แพ้นทหรือใครๆเลย” ร่างสูงบีบมือเล็กเบาๆราวกับจะขอกำลังใจ

“เพราะฉันเองก็ต้องการความรักที่เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใครเหมือนกัน!”

ร่างโปร่งมองสายตาแวววาวแน่วแน่ของอีกฝ่ายด้วยหัวใจที่เต้นระทึก หากแต่ใจของเขานั้นก็มีเพียงคนเพียงคนเดียวที่ได้ไปแล้วเหมือนกัน

“...!ผม...ผม...มี...คนรัก...อยู่แล้วนะครับ” นทนทีตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเมื่อได้ฟังความรู้สึกจากอีกฝ่ายตรงๆ

“หึ...ฉันรู้มานานแล้ว อย่าย้ำให้ฉันรู้สึกเจ็บไปมากกว่านี้เลย” เทวัญดึงมือเล็กขึ้นมาแนบริมฝีปากตัวเองเบาๆ และไม่ยอมปล่อยเมื่ออีกฝ่ายพยายามชักมือกลับ

“ฉันให้ข้อเสนอไปแล้ว ถึงตานทต้องเลือกบางแล้วละ”

ศีรษะเล็กส่ายไปมาพยายามมองใบหน้าอีกฝ่ายฝ่าความมืดสลัว

“จะให้ผมเลือกอะไรละครับ ในเมื่อผมก็บอกไปแล้วว่าผมมี...”

“ก็เลือกว่าจะให้โอกาสฉัน หรือ...” เทวัญเอ่ยขัดขึ้นพลางนิ่งมองร่างเล็กชั่วอึดใจ

“ลาออกไปซะ”

“คุณเทวัญ!” นทนทีร้องครางอย่างเจ็บปวด

“อย่ามองฉันแบบนั้น ฉันไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนั้นหรอกนะ แต่...การตัดสินใจเลือกอย่างหนึ่งก็คือต้องทิ้งอีกอย่างไปโดยปริยายไงละ”

“ทำไม...?”

“เพราะถ้านทไม่เลือก ตัวนทเองนั้นละที่จะต้องเจอกับปัญหาแบบนี้ไม่จบไม่สิ้น”เทวัญกดริมฝีปากลงบนมือเล็กอีกครั้ง

“เพราะไม่มีใครต้องการให้คนที่ตัวเองรักอยู่ใกล้ศัตรูหัวใจหรอก แม้แต่ฉัน!”

“ทำแบบนั้นแล้วจะแก้ปัญหาได้หรือไงครับ” คนตัวเล็กส่ายศีรษะเอ่ยด้วยน้ำเสียงรัวเร็ว

“นั่นสิ...แต่นั่นเป็นเรื่องที่นทต้องตัดสินใจ เพราะฉันก็ไม่รู้ว่าระหว่างนทกับเขามีปัญหาอะไรมากกว่าเรื่องนี้หรือเปล่า แต่ที่ฉันพูดเรื่องนี้เพราะมันเกี่ยวกับตัวฉัน การไปอาจจะทำให้ทุกอย่างระหว่างนทกับเขาดีขึ้น แต่การที่นทยังอยู่ที่นี่ มันตอบได้อย่างเดียวว่าไม่มีทางดีสำหรับเขาอย่างแน่นอน เพราะมีฉันอยู่ไงละ ฉันถึงบอกว่ามันคือโอกาส”

“คุณเทวัญ ผม...”

ร่างสูงมองเห็นประกายแวววาวจากหยาดน้ำบนใบหน้าของเด็กหนุ่มที่เขารักใคร่ อยากจะปกป้องจากทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ทุกข์ทรมาน

แต่คนที่ทำให้ทุกข์ตอนนี้คงจะเป็นเขาเสียเอง...

“แต่ถ้านทคิดว่าถึงออกไปแล้วยังไม่สามารถทำให้เข้าใจกันได้ ฉันก็อยากให้นทลองมองฉันบ้าง ก็แค่นี้ละ” ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มบางเบา

“จะร้องไห้ทำไมกันหึ” ร่างสูงปล่อยมือเล็กพลางยกนิ้วแข็งของตัวเองขึ้นปาดหยดน้ำบนใบหน้าขาวนวล แล้วจึงดึงร่างที่เหมือนไร้น้ำหนักเข้ามาโอบกอดไว้กับแผงอกโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้มีปฏิกิริยาต่อต้าน

“นี่ฉันใจดีแล้วนะ ถึงให้นทได้เลือกน่ะ จะหาคนดีๆอย่างฉันได้ที่ไหนอีก เลือกฉันมาซะดีๆเถอะน่า ได้กำไรทั้งขึ้นทั้งล่องนา” เทวัญเอ่ยติดตลกเมื่อรู้สึกถึงร่างเล็กในอ้อมแขนสั่นเทิ้ม

“นท...”

“ผม...ขอโทษ” นทนทีตอบด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นแล้วซุกหน้าลงกับไหล่หนาพลางกลิ้งเกลือกใบหน้าจนผ้าบริเวณนั้นเปียกชุม

ถ้าเขาไม่มีคนอื่นอยู่ในใจ เขาก็คงจะไม่มองผ่านผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่พร้อมจะให้ความเข้าใจ ความภาคภูมิใจและโอกาสในชีวิต

เทวัญมองไหล่เล็กๆสั่นไหวก่อนจะโอบกระชับร่างที่อยู่ในห้วงคิดคำนึงมาตลอดแนบแน่น พลางหลับตาลงซุกหน้ากับซอกคอของอีกฝ่ายเงียบๆ

เขาไม่ใช่สำหรับนทนที!...

XXXXX

ฟองคลื่นขาวซัดสาดเข้าหาหาดทรายเป็นระลอกๆยามเช้าตรู่ ร่างโปร่งเพรียวลมของชายหนุ่มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับบรรดาเด็กเล็กๆ ซึ่งเป็นลูกของชาวประมงที่อาศัยอยู่ใกล้ๆโรงแรมที่ชายหนุ่มเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่กี่สัปดาห์ ออกมาวิ่งเล่นจับปูลมตั้งแต่ฟ้าเพิ่งเริ่มสาง

“พี่ไผ่ ดูสิๆ” เด็กผู้หญิงตัวน้อยร้องบอกชายหนุ่มอย่างดีใจที่สามารถไล่ตะครุบปูลมตัวกระจิดลิดได้

“น้องพลอย มันยังเล็กอยู่ ปล่อยมันไปเถอะ” ไผ่ตะโกนฝ่าเสียงคลื่น

“จ้า เดี๋ยวจะปล่อยแล้วจ๊ะ” เด็กน้อยกอบกุมปูอย่างทะนุถนอมก่อนจะนำมันไปปล่อยบนหาดทรายที่น้ำทะเลซัดสาดถึง ทำยังกับปูมันว่าน้ำได้เหมือนปลายังไงยังงั้น

ไผ่อมยิ้มบางเบาก่อนจะเหม่อมองไปยังท้องทะเลกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาแล้วค่อยๆสูดกลิ่นไอทะเลเฮือกใหญ่

ปถวีส่งเขามาทำงานโรงแรมที่ชะอำ จังหวัดเพชรบุรี สถานที่ๆไม่เคยมีความทรงจำของคนบางคนร่วมกับเขา และการเปลี่ยนไปของสิ่งรอบตัวทำให้ใจที่เคยร้อนรนสับสนสงบมากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถลบเลือนความรู้สึกถึงคนๆหนึ่งออกไปจากใจได้จนหมด

หึ...จะทำได้ยังไง เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์จะลบเลื่อนความรักฝั่งใจเป็นสิบปี

ศีรษะเล็กส่ายไปมาช้าๆบอกกับใจตัวเอง แต่จะให้ยืนอยู่ตรงนั้นอีก เขาก็ไม่สามารถปิดบังความรู้สึกรักใคร่ที่นับวันมันจะเพิ่มมากขึ้นจนเก็บไว้ไม่ไหว และผลจากการเก็บไว้ไม่ไหวมันถึงได้ออกมาเป็นแบบนี้ไง ผลที่เกิดจากการกระทำของเขา การกระทำที่ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ทุกข์ทรมานใจ ประวิชเองก็คงอยู่ไม่เป็นสุขเหมือนกัน เพราะอีกฝ่ายไม่ใช่คนใจดำ! ถึงได้คอยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เพื่อจะถนอมน้ำใจเขามาตลอด

เชอะ คงคิดว่าซักวันเขาจะเลิกรามือไปเองละมั้ง...คิดผิดไปแล้วเจ้าบ้าเอ๊ย...

เพราะเขาโลภมากอยากได้ความรักของอีกฝ่ายมาครอบครองฉันคนรัก ไม่ใช่ความสงสารที่เพื่อนมีให้ต่างหากเขาถึงได้ยอมอดทนมาจนมีวันนี้

ร่างโปร่งเดินเท้าเปล่าไปตามแนวหาดทรายขาวจนถึงบ้านพักริมทะเลใกล้ที่ทำงานที่ปถวีจัดหาไว้ให้

ไผ่หยุดยืนมองบริเวณรอบๆบ้านแล้วถอนหายใจ มีเพื่อนรวยมันก็ดีไปอย่าง

แต่ทว่า...ตอนนี้ความร่ำรวย ความสะดวกสบายไม่ได้ทำให้ใจของเขาหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานนี้ได้เลย...

ร่างโปร่งยกมือขึ้นกอดอกรับรู้ถึงความอบอุ่นของมือตัวเองอย่างเงียบเหงาในใจ

อีกนานแค่ไหนกันกว่าเขาจะลืม ลืมคนที่เขารักอย่างหมดหัวใจได้


XXXXX


“คุณปถวี เมื่อสักครู่มีโทรศัพท์จากคุณประวิชเข้ามาครับ” กันย์รายงานเมื่อปถวีกลับออกมาจากห้องประชุม

“เจ้านั่นว่าไง” ร่างสูงทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้พลางเอนตัวพิงพนักอย่างเหนื่อยๆ

เหนื่อยกับใจตัวเองที่ร้อนรนเหมือนมีไฟมารนตลอดเวลา

“ฝากบอกว่าอยากนัดทานข้าวด้วยนะครับ”

“หือ?...” ปถวีเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ร้อยวันพันปีไม่เคยจะอยากกินข้าวด้วยถ้าไม่มีไผ่หรือนทเป็นตัวเชื่อม

“อืม...เดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง มีอะไรอีกมั้ย”

“มีแฟ้มรายงานการเงินไตรมาสที่3 แล้วก็ร่างแผนการดำเนินงานบนโต๊ะให้คุณทราบ นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรแล้วครับ”

ปถวีพยักหน้ารับรู้แล้วจึงขยับตัวนั่งหลังตรงลงมือเปิดดูเอกสารตรงหน้า เสร็จแล้วจึงโทรนัดประวิชกินข้าวเย็น

เห็นจะมีอยู่เรื่องเดียวละตอนนี้ ที่จะทำให้เจ้ายักษ์หมัดหนักนั่นต้องถ่อสังขารมาหาเขา ร่างสูงเหยียดยิ้มมุมปากพลางใช้ลิ้นดุนเนื้ออ่อนบริเวณแก้มไปมาอย่างใช้ความคิด

จะทำยังไงกับเจ้านั่นดีละ...


XXXXX


ปถวีมาถึงร้านอาหารย่านปิ่นเกล้าตามเวลาที่นัดกับประวิชไว้ไม่ขาดไม่เกิน และเขาก็เห็นร่างสูงใหญ่ผิวคร้ามแดดของประวิชมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว หากแต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ หัวคิ้วของปถวีจึงย่นเข้าหากันเล็กน้อยแล้วคลายออกอย่างรวดเร็ว

มันโทรมได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ...หนวดเคราก็ไม่โกน!

“นี่...” ปถวีทรุดตัวนั่งตรงข้ามพลางยกลิ้นขึ้นไล้มุมปากไปมา อย่าคิดว่าฉันจะลืมว่าเคยชกปากฉันนะ

“ถ้าจะขอโทษตอนนี้ก็ยังได้นะ”

ประวิชนิ่งมองอีกฝ่ายทำหน้าเหมือนเด็กเกเรชั่วครู่แล้วจึงทอดหายใจยาว

“อืม...ฉันขอโทษ แต่นายก็ทำเกินไปไม่ใช่รึไง ที่โล่งโจ่งแบบนั้น”

บะ! ไอ้หมอนี่ ยังจะมาย้อน...

“แล้วที่นี่รู้รึยังละว่าฉันเป็นอะไรกับเจ้านั่น” รอยยิ้มยียวนกวนประสาทของปถวีทำให้ประวิชต้องถอนหายใจอีกรอบ นี่ถ้าไม่คิดจะขอความช่วยเหลือจากเจ้านี่เขาคงลุกเดินกลับไปแล้ว ไอ้เด็กขี้หวง!

ประวิชจำต้องพยักหน้ารับรู้ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่อย่างขื่นๆ ก่อนจะกลั้นหายใจรวบรวมความกล้าเอ่ยถามถึงเป้าหมายในการมาครั้งนี้

“นี่...นายได้...” คำถามถูกหยุดกระทันหันด้วยปถวีหันไปกวักมือเรียกเมนูอาหารจากเด็กเสิร์ฟ

“สั่งข้าวก่อนเถอะ แล้วค่อยกินไปคุยไป”

คนใจร้อนรนมองอีกฝ่ายยกยิ้มบางๆแล้วก้มมองเมนูในมือก็ต้องถอนหายใจอีกหลายเฮือก เหมือนถูกแกล้งยังไงยังงั้นสิน่า...

หลังจากอาหารถูกนำมาวางตรงหน้า ปถวีก็ยกช้อนยกส้อมตั้งอกตั้งใจกินโดยไม่ได้มองคนตรงข้ามว่ามีท่าทีอยากจะพูดด้วยขนาดไหน จนกินไปได้ค่อนจานนั้นละถึงได้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับอีกฝ่าย

“นทจะกลับวันไหน” ประวิชเอ่ยถามเสียงเรียบ

“พรุ่งนี้น่ะ แล้วนายละ คราวนี้อยู่กรุงเทพนานนะ”

“ก็จะกลับแล้วละ แต่...”

ปถวีมองอีกฝ่ายมีท่าทางเหมือนชั่งใจกับอะไรบางอย่าง แล้วจึงค่อยๆพูดออกมา

“ฉันจะไม่อ้อมค้อมนะ ขอถามนายเลยละกันว่ารู้มั้ยตอนนี้ไผ่ไปอยู่ที่ไหน” มือใหญ่กำช้อนแน่นด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะให้ความร่วมมือแค่ไหน

“นายก็อยู่ด้วยกันตลอดไม่ใช่เหรอ แล้วมาถามฉันนี่นะ”

นั่นไง...ไอ้หมอนี้มันเล่นแง่แล้วไง ประวิชคิดอย่างหัวเสีย แต่ก็ต้องข่มความหมั่นไส้อีกฝ่ายด้วยใจที่ห่วงใยอีกคน

“เลิกเฉไฉเถอะ ฉันว่านายคงรู้เรื่องจากปากนทแล้ว นายสนิทกับไผ่มากที่สุดฉันเลยมาถาม เจ้านั่นบอกนายมั้ยว่าไปไหน ฉันเป็นห่วง”

อย่าบอกนะ! ห้ามบอกเจ้านั่นเด็ดขาด คำพูดของไผ่ที่ยังก้องอยู่ในหัว ปถวีจึงได้แต่ปิดปากเงียบ ก่อนจะพรางพรูลมหายใจยาวเหยียด

“ฉันไม่รู้หรอก เจ้านั่นบอกแค่ว่าจะไปเที่ยวซักพัก แล้วก็หายไปเลย”

คำตอบของปถวีที่เป็นความหวังสุดท้ายทำเอาหัวใจพังๆตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม

จะหายไปแบบนี้จริงๆนะเหรอ ทั้งๆที่เคยอยู่ด้วยกันมาตลอด...

“...ไม่ได้บอกอะไรไว้เลย...เหรอ” ประวิชพึมพำเบาๆหากแต่อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าย้ำชัดคำพูดตัวเอง

“ถึงนายจะเป็นห่วงไอ้ไผ่มันแค่ไหน อยากเจอมันแค่ไหน ถ้าเจอแล้วจะทำอะไรได้ละฮึ ไหนลองบอกฉันมาหน่อยสิ”

“...”

“ฉันว่านายจะทำให้มันบ้ามากกว่าเดิมน่ะสิไม่ว่า” ปถวีดักคอ

“นาย! เพื่อนกันจะให้ดูดายได้ยังไง” ประวิชถลึงตามองอีกฝ่ายอย่างเคืองๆ

“หึ ดูดาย” ปถวีทวนคำพูดอย่างเหยียดๆ มันแสลงใจยังไงชอบกล กับไอ้ความใจดีไม่รู้เหนือรู้ใต้แบบนี้

เหมือนคนบางคนจนน่าหงุดหงิด!

“นี่! ไอ้ไผ่มันรักนาย มันอยากจะอยู่กับนาย มันอยากจะนอนกับนาย นายทำได้มั้ยละ ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าเอาคำว่าเพื่อนมาทำให้มันต้องเจ็บอีกเลย ปล่อยมันไปเถอะว่ะ ไม่ต้องไปตามหามันหรอก”

นิ้วมือใหญ่กดกำต้นขาตัวเองไว้แน่น ในขณะที่สมองรู้สึกมึนชา ไม่ว่าจะหันไปหาใครก็มีแต่คนบอกให้เขาหยุด และปล่อยไผ่ไป ทำไม! ความรู้สึกของเขา ความเป็นห่วงของเขามันทำร้ายไผ่จนต้องหนีไปให้ไกลเลยเหรอ ทั้งๆที่เขาไม่อยากให้เป็นแบบนี้ เขายังอยากเจอ อยากเห็นหน้า อยากอยู่ด้วยกัน

เขารู้สึกแบบนี้แล้วจะให้ลืม...เขาจะทำได้เหรอ เขาจะลืมคนที่อยู่เคียงข้างเขามาตลอดได้ลงคอเชียวเหรอ

ปถวีนิ่งมองอีกฝ่ายนั่งเงียบก่อนจะลุกขึ้นคว้ากระเป๋าเงิน “นายมันก็ไม่ต่างอะไรกับนท อยากได้ของทั้งสองอย่างไว้ในมือ ไม่ยอมเลือกอะไรซักอย่าง แม้ว่าคนที่เขารออยู่จะเจ็บแค่ไหนก็ตาม เห็นแก่ตัวกันจริงๆ!”

“นี่นาย!” ร่างสูงลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับอดีตนักมวยเก่าอย่างไม่เกรง

“หึ ก่อนจะมาโกรธฉัน ฉันว่านายหาคำตอบให้ตัวนายเองให้เจอก่อนดีกว่า ไอ้การไล่ตามอีกฝ่ายทั้งๆที่ใจตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าต้องการอะไรกันแน่น่ะ มันเอาเปรียบอีกฝ่ายชัดๆ หรือเพราะรู้ว่าเขารักเขาหลง จะทำยังไงกับเขาก็ได้งั้นเหรอ จะลากเขากลับมาตกนรกบนความสบายอกสบายใจของนายงั้นเหรอ กลับไปคิดให้หนักๆดีกว่า แล้วอีกอย่างนะ” ดวงตาคมกร้าวทอดมองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง

“อย่าเข้ามาก้าวก่ายเรื่องของฉันกับนทอีกเด็ดขาด!”

ร่างสูงในชุดสูทเดินลงส้นจากไป ทิ้งให้ประวิชทรุดตัวลงนั่งลงด้วยหัวใจที่เหี่ยวแห้ง ด้วยความหวังสุดท้ายได้หายไปตรงหน้า

“ไอ้บ้า! แม้แต่นายก็ยังไม่รู้แล้วฉันจะทำยังไงละ” มือใหญ่ยกขึ้นเสยผมแรงๆ

ไอ้ไผ่...แกไปอยู่ที่ไหนของแกวะ!


V
V
V
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-12 (07/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 07-10-2009 22:14:47
ตอนที่ 13

เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าดังแทรกคลื่นวิทยุเข้ามาภายในรถยนต์จนปถวีต้องเลิกคิ้วมองกลุ่มเมฆฝนตรงหน้า ก่อนจะหักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าบ้านใหญ่ และเมื่อรถจอดสนิทเม็ดฝนก็โปรยปรายลงมาให้ร่างสูงรีบเดินจ้ำเข้าบ้าน

“ไงลูก” คุณทรงยศเอ่ยทักบุตรชาย

“แม่ละครับ”

“อยู่หลังบ้านโน้น แล้ววันนี้จะค้างมั้ยละ”

“ค้างพ่อ เห็นแม่บอกว่าจะฝากเด็กไปทำงานกับวี เลยต้องคุยกันก่อน”

“เหรอ ไปรับฝากลูกเพื่อนมาอีกละมั้ง”

“ฮะๆ” ปถวีหัวเราะให้กับบิดาที่ส่ายหน้าอย่างไม่ค่อยเห็นด้วย

“ผมก็ว่างั้นละ เลยต้องมาคุยก่อนว่าจะให้ทำตำแหน่งอะไร”

“หึๆ โน้น...มาแล้วแม่เราน่ะ” ผู้เป็นบิดาพยักเพยิดหน้าไปทางภรรยาที่กำลังเดินตรงเข้ามาใกล้

“ไงลูก รถติดรึเปล่า” คุณศรีสอางค์ยกมือขึ้นลูบศีรษะลูกชายแล้วนำพาไปนั่งที่เก้าอี้รับแขก

“ไม่ค่อยติด แต่ดูท่าฝนจะตกหนักนะแม่”

“นั่นสิ แล้วนี่นลจะกลับบ้านกี่โมงละเนี่ย”

“ทำไมเหรอแม่”

“ก็เห็นว่าตอนเย็นจะพาหนูวาไปร้านคุณนิ่ม ฝนตกแบบนี้คงกลับมืดกลับค่ำ”

ปถวีพยักหน้ารับรู้ ด้วยร้านคุณนิ่มคือร้านตัดเสื้อประจำคนในบ้านเขานั่นเอง นี่เจ้านลคงพาน้องวาไปตัดชุดแต่งงานแน่ๆ

ไม่ค่อยเห่อเลยไอ้นล!

“ว่าแต่แม่จะฝากใครมาทำงานกับวีละครับ” ลูกชายวกเข้าเรื่องที่ถูกมารดาเรียกให้กลับบ้านวันนี้

“อืม...ก็จะใครละลูก หนูอรไงละ น้องเขาจบนอกมา แม่เลยอยากให้มาเป็นเลขาของลูก”
บุตรชายเลิกคิ้วขึ้นสบตามารดาแวบหนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้ายิ้มแย้มแบบไม่ต้องการคำตอบปฏิเสธก็ต้องลอบถอนหายใจแกมหนักใจ

“แล้วน้องอรเขาไม่ไปเรียนต่อแล้วหรือครับ”

“ไปจ๊ะแต่อยากหาประสบการณ์สักสองสามปี แล้วจะได้เลือกเรียนต่อสาขาที่ใช้ประโยนช์จริงๆน่ะ แม่เห็นว่าเข้าท่าดีเลยอยากให้มาทำงานกับลูก”

“แต่ผมมีกันย์เป็นเลขาอยู่แล้วนะแม่ ยังไงเป็นตำแหน่งอื่นได้มั้ย”

“หือ...เป็นผู้ช่วยเลขาก็ได้นี่ลูก ตำแหน่งตรงนี้น้องเขาจะได้หูตากว้างไกล ดูๆแล้วหนูอรเขาออกจะคล่อง รึลูกว่าไง”

“ก็ไม่เถียงหรอกครับ แต่เอาคนรู้จักมาทำงานอยู่ใกล้ๆจะปกครองกันลำบากรึเปล่า...”

“ไม่หรอกลูก...อย่าเพิ่งกังวลอะไรไปไกล ยังไม่ได้ให้โอกาสน้องเขาพิสูจน์ความสามารถเลย เอาน่า... อย่าให้แม่ต้องผิดคำพูดเลยนะ ถ้าไม่ไหวจริงๆแม่ก็ไม่ขัดหรอกลูก” คุณศรีสอางค์ยิ้มเอาใจลูกชายที่ทำหน้านิ่ง

คิดมากจริงลูก แม่อุตส่าห์หาผู้หญิงมาให้ดูถึงที่ก็เปิดใจดูซะหน่อยเถอะ ดูสิ จนป่านนี้ยังไม่เห็นคบใครเป็นตัวเป็นตน หรือจะเก็บเงียบอย่างเจ้าน้องชายเสียก็ไม่รู้

“...ลองดูก็ได้ครับ แต่ถ้ามีปัญหาแม่ต้องออกหน้ารับกับแม่ของน้องอรเองนะ” ปถวีตอบตกลงอย่างเสียไม่ได้ ยังไงแม่ก็ขอร้องมาทั้งที จะปฏิเสธก็ดูเหมือนร้อนตัวเรื่องนทนทีเกินไป คงต้องตามน้ำตามแม่ไปก่อนแล้วค่อยหาทางให้ไปทำตำแหน่งอื่น

“แล้วน้องอรเขาพร้อมมาทำงานวันไหนละครับ”

“อาทิตย์หน้าน่ะลูก แต่พรุ่งนี้แม่อยากให้วีพาน้องเขาไปดูลาดเลาที่บริษัทก่อน จะได้เตรียมตัวถูก”

“พรุ่งนี้!”

“ทำไมละลูก” คุณศรีสอางค์ขมวดคิ้วกับท่าทางพิกลของบุตรชาย

“ติดธุระอะไรหรือเปล่า แต่แม่ว่าลูกไม่มีประชุมหรือนัดกับคู่ค้าไว้นี่”

“อะ...นี่แม่เช็คเวลากับเจ้ากันย์ไว้แล้วเหรอครับ”

“อืม ไม่งั้นแม่จะบอกให้หนูอรเขาเตรียมตัวทันหรือลูก น้องเขาเป็นผู้หญิงนะ จะไปบอกฉุกละหุกได้ยังไง”

โฮ้...แม่! เอาแบบนี้เลยเหรอ ตั้งใจไว้แต่แรกแล้วนี่นา ปถวีคิดอย่างปลงๆ ถึงจะหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้ามาอ้างแม่ก็คงไม่ตัดใจแน่ๆ

อุตส่าห์สะสางงานให้ว่างพรุ่งนี้เพราะตั้งใจจะไปรับนทนทีที่พัทยา เป็นอันพับไป คงต้องไปเจอกันตอนเย็นแทน คิดแล้วก็ให้หงุดหงิดใจกับท่าทีของนทนที เล่นปิดโทรศัพท์ไม่คุยกับเขาอีกเลย ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ ให้ตายเถอะ...

คราวนี้เขาจะไม่ทนแล้ว จะต้องให้เจ้านั่นลาออกจากบริษัทไอ้บ้านั่นให้ได้ ยังไงก็ต้องให้ลาออก ไม่งั้นเขาอาจจะต้องสูญเสียสิ่งที่ทะนุถนอมไปตลอดกาล

แต่ก่อนจะทำอะไรตอนนี้เขาต้องเล่นงานเจ้าเลขาหน้าตายของเขาซะก่อน โทษฐานไม่ยอมบอกว่าแม่ตามมาเช็คตารางงานของเขาทำไม


XXXXX


“มานี่เลย”

ร่างสูงลูกเจ้าของบริษัทลากเลขาหน้าตายไปยังมุมอับลับหลังน้องอรที่เมื่อเช้าต้องขับรถไปรับมาเองกับมือ

แม่นะแม่ จะเอาจริงเหรอเนี่ย... ร่างสูงครางเครือก่อนออกจากบ้านไปรับหญิงสาว

“ทำไมไม่บอกว่าแม่ตามมาเช็คตารางงานฉัน” ปถวีกดเสียงถาม

“ก็ผมถูกสั่งห้ามไว้นี่ครับ”

คำตอบของเลขาทำให้ปถวีต้องสูดลมหายใจระงับอาการมือไม้กระตุก ทำซื่อไม่ค่อยถูกเวลาเลยนะแก

“นี่นายเป็นเลขาแม่ฉันรึไง เจ้ากันย์! ก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าฉันคบใครอยู่”

“ก็เพราะรู้ถึงได้ไม่บอกยังไงละครับ”

“หือ? ไหนลองบอกเหตุผลอันสูงส่งมาให้ฉันฟังซักข้อสิ ถ้าฟังไม่ขึ้น ฉันไล่ให้ไปทำงานถ่ายเอกสารแน่ๆ”

“ถ้าคุณแม่คุณรู้ว่าผมบอกคุณ ท่านอาจจะย้ายผมไปอยู่อื่น แล้วที่นี่คุณจะลำบากกว่านี้นะครับ” คำตอบตรงๆแถมทวงบุญคุณหน่อยๆทำเอาปถวีขบฟันแน่น

เออ...แกแน่!

“วันหลังช่วยกระซิบบอกให้ตั้งตัวหน่อยก็ดีนะ!”

สุดท้ายปถวีก็ต้องยอมลามือ แล้วถอนหายใจบอกอีกฝ่ายถึงการมาของอรอนงค์

“ไงก็สอนงานคุณอรอนงค์เขาด้วย จะให้เขาช่วยนายประสานงานกับฝ่ายต่างๆก็ทำไป แต่ถ้าจะมาเสนองานฉัน ก็ให้ผ่านนายมาละ เข้าใจมั้ย” ปถวีย้ำคนหน้านิ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปหาอรอนงค์

“ครับ...” กันย์รับคำแผ่วเบา ก่อนจะออกเดินตามเจ้านายไปอย่างเงียบๆ

จะเกิดอะไรขึ้นรึเปล่านะ...

หลังจากที่ปถวีส่งหน้าที่ให้กันย์พาอรอนงค์ไปแนะนำกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ชายหนุ่มก็นั่งทำงานไปพลางๆขณะรอให้หญิงสาวกับมา สายตาคู่คมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือเป็นระยะๆ

ปานนี้นทนทีคงกำลังเดินทางกลับมากรุงเทพ มาถึงแล้วจะโทรหาเขารึเปล่า หรือต้องให้เขาไปดักเจอที่บ้าน

ให้ตายเถอะ! เขาต้องคอยกังวลเรื่องแบบนี้ไปถึงเมื่อไรกัน!

เสียงเตือนจากโทรศัพท์มือถือที่ร่างสูงบันทึกเตือนความจำไว้ดึงความคิดให้กลับมาสู่แฟ้มงานตรงหน้า นิ้วมือใหญ่กดดูข้อความที่ตนเองบันทึกไว้

“อะ!...แย่ละสิ อุตส่าห์เตรียมของขวัญไว้แล้วเชียวนะ” ปถวีเคาะนิ้วกับโต๊ะหนาอย่างใช้ความคิด เครื่องลายครามที่เขาเตรียมไว้เป็นของขวัญวันเกิดให้กับประธานบริษัทคู่ค้าคนสำคัญยังตั้งอยู่ที่คอนโด เพราะทะเลาะกับนทนทีจึงลืมไปสนิทไม่ได้นำมาด้วย

“คงต้องให้เจ้ากันย์ตามไปเอาที่คอนโดแล้วละมั้งเนี่ย วันเกิดทั้งทีถ้าเลยวันก็ไม่มีความหมายนะสิ” ปถวีพึมพำ

“พี่วี” เสียงอรอนงค์เดินตามเลขาหนุ่มเข้ามาภายในห้องประธานบริษัทเมื่อได้เวลาเที่ยงพอดี

“คุณกันย์พาอรไปแนะนำหมดทุกทีแล้วละคะ” ริมฝีปากบางสีชมพู่อ่อนยิ้มระเรื่อ

“พี่วีจะทำงานต่อหรือเปล่าคะ ยังไงเดี๋ยวอรกลับเองได้คะ”

ปถวีกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเสียไม่ได้ ถ้าขืนทำแบบนั้นรับรองได้ว่าแม่ต้องโทรมาต่อว่าจนหูชาแน่ๆ

“เดี๋ยวไปส่งครับ แต่ก่อนหน้านั้นขอแวะไปทำธุระนิดนะ” ร่างสูงบอกหญิงสาวแล้วจึงหันไปสั่งเลขาต่อ

“เดี๋ยวนายตามฉันกลับไปคอนโดนะ ฉันเตรียมของขวัญให้คุณทินกรไว้ ยังไงฝากนายเอาไปให้เขาแทนฉันด้วย วันนี้วันเกิดเขานะ”

“ครับ”

ปถวีขับรถพาอรอนงค์ไปยังคอนโดโดยมีกันย์ขับรถตามติดมาด้วย เมื่อถึงที่หมายร่างสูงจำต้องเชื้อเชิญหญิงสาวขึ้นไปยังที่พักด้วย เนื่องจากจะทิ้งให้นั่งคอยอยู่ที่ ล๊อบบี้ข้างล่างคนเดียวก็ดูไม่ดีนัก เลยต้องพาขึ้นกันไปทั้งหมด

“น้องอรนั่งที่นี่ก่อนนะครับ” ปถวีบอกหญิงสาวเมื่อเปิดประตูเข้าไปภายในห้องชุด

“คะ” อรอนงค์พยักหน้ารับคำมองชายหนุ่มทั้งสองเดินหายเข้าไปภายใน ดวงตาคู่งามจึงได้ตวัดมองไปรอบๆห้องอย่างพอใจเงียบๆ เพราะแม้ไม่สะอาดเรียบร้อยแต่ก็ดูสมเป็นห้องของหนุ่มโสด รกตรงโน้นนิดตรงนี้หน่อย ริมฝีปากสีสดยกยิ้มกับตัวเองแล้วมองไปยังชุดโฮมเธียร์เตอร์ ข้างๆมีชั้นซึ่งดูแล้วน่าจะบรรจุทั้งแผ่นหนังแผ่นเพลงไว้แน่นเอี๊ยด ร่างเพรียวระหงจึงลุกขึ้นไปเมียงๆมองๆ

“โฮ้...นี่คงชอบดูหนังมากเลยสิเนีย...อืม เรื่องนี่น่าดูจัง” อรอนงค์หยิบออกมาดูได้ไม่กี่ชิ้น เลขาของปถวีก็เดินอุ้มกล่องใบใหญ่ที่ห่อไว้อย่างเรียบหรูออกมา ตามด้วยเสียงเจ้าของห้อง

“สนใจหรือน้องอร” ปถวีมองมือเล็กถือแผ่นหนังไว้สองสามแผ่น

“จะเลือกไปดูก็ได้นะ” ชายหนุ่มยิ้มให้หญิงสาวที่ยิ้มตอบกลับมาอย่างดีใจ

“งั้นอรไม่เกรงใจนะคะ”

“ครับ น้องอรเลือกไปก่อนเลยนะ ผมขอลงไปส่งเลขาก่อน แล้วจะขึ้นมารับไปส่งบ้าน”

ร่างสูงหันไปพยักหน้ากับเลขาแล้วจึงเดินออกจากห้อง ปล่อยให้หญิงสาวเลือกแผ่นดีวีดีไปตามใจชอบ

“นี่กันย์ พรุ่งนี้นายเตรียมไปรับนทนทีที่บริษัทเหมือนเดิมนะ เขากลับจากสัมมนาวันนี้แล้วละ” ปถวีเอ่ยขณะลงลิฟต์

“ครับ แล้ววันนี้คุณไม่ไปรับคุณนทแล้วจะกลับไปทำงานต่อหรือเปล่าครับ”

“...ไม่ละ เดี๋ยวไปส่งอรอนงค์แล้วฉันจะเลยไปบ้านใหญ่”

ปถวีเดินออกจากลิฟต์มาเปิดประตูให้เลขานำกล่องเครื่องลายครามวางลงบนที่นั่งข้างคนขับ เมื่อมองว่าเรียบร้อยแล้วร่างสูงจึงโบกมือให้อีกฝ่ายแล้วตัวเองเดินเลยไปยังร้านมินิมาร์กใกล้ๆเพื่อซื้อบุหรี่ตุนไว้ในกระเป๋า ทั้งๆที่ไม่ค่อยได้สูบ โดยไม่ได้สนใจรถแท็กซี่ที่เข้ามาจอดตามหลัง

หากแต่กันย์ที่กำลังหักพวงมาลัยเลี้ยวรถเพื่อออกไปยังถนนหน้าคอนโดกลับเหลือบมองกระจกมองหลัง เห็นชายหนุ่มร่างคุ้นตาลงมาจากรถแท็กซี่

“นท!” หากแต่เสียงแตรที่บีบไล่หลังมาทำให้ต้องเคลื่อนรถออกท่ามกลางความกังวลบางอย่างในใจ

สัญญาณเสียงเรียกหน้าประตูห้องพักดังขึ้น อรอนงค์จึงละมือจากการเลือกแผ่นหนัง

“พี่วีไม่ได้เอากุญแจไปด้วยหรอกเหรอ” หญิงสาวอมยิ้มรีบเดินไปเปิดประตู

“อ๊ะ!” เสียงร้องสองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน

“ขอโทษครับ” นทนทีผงะถอยหลังพลางเหลือบมองแผ่นป้ายหมายเลขห้องที่แปะติดผนัง ก็...ไม่ผิดนี่...แล้วทำไม?

“คุณ...” อรอนงค์เอ่ยค้างด้วยนึกไม่ถึงว่าจะเป็นใครอื่นนอกจากปถวี และเมื่อรู้สึกว่าชายหนุ่มตรงหน้ายืนนิ่งอย่างคนตกใจจึงได้ถามอย่างมีไมตรี

“มาหาพี่วีหรือเปล่าคะ” หญิงสาวอมยิ้มน้อยๆพลางลอบมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณาลักษณะท่าทางไม่ส่อไปในทางโจรจึงเบาใจ หากแต่อีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบจึงย้ำถามอีกครั้ง

“...มาหาพี่วีหรือเปล่าคะ”

น้ำเสียงเข็มขึ้นเล็กน้อยของหญิงสาวดึงสติที่ว่างเปล่าของชายหนุ่มให้กลับมา ก่อนจะเอ่ยตอบตะกุกตะกัก

“ครับ”

“พี่วีลงไปข้างล่างนะคะ เดี๋ยวก็ขึ้นมา” อรอนงค์มองกระเป๋าเดินทางในมือฝ่ายชายจึงคาดในใจว่าคงเป็นเพื่อนของปถวี

“เข้ามาคอยก่อนมั้ยคะ”

“มะ...ไม่ครับ” ขายาวก้าวถอยหลังช้าๆพลางค้อมศีรษะให้อีกฝ่าย ความกลัวบางอย่างกำลังเข้ามาเกาะในจิตใจ

พี่วี! ประโยคนี้เคยผ่านหูเขามาก่อน...เมื่อไม่นานนี้เอง!

ที่...พัทยา...

นทนทีขบริมฝีปากตัวเองแน่นด้วยกลัวมันจะสั่นระริกให้อีกฝ่ายเห็น

คำสัญญา! ปถวีคงไม่ผิดคำสัญญากับเขา...ก็อีกฝ่ายรับปากมาเอง

นทนทีเบิกตามองหญิงสาวสวยที่พกพาความมั่นใจไว้เต็มเปี่ยมบนใบหน้าด้วยอาการเหมือนคนง่อยเปลี้ยเสียขา ครั้งหนึ่งเขาเคยพบของใช้ผู้หญิงตกหล่นอยู่ในห้องๆนี้ ตอนนั้นเขาโมโหโทโสวาละวาทเสียไม่มีดี แต่ตอนนี้มันต่างกันสิ้นเชิง เขารู้สึกเหมือนหัวใจหลุดลอย เท้าไม่ได้เหยียบย้ำอยู่บนพื้น ทั้งๆที่เพียงแค่เห็น ทั้งๆที่ยังไม่ได้ฟังความจากอีกฝ่าย

วันหนึ่งเขาเคยคิดว่าทนได้เมื่ออีกฝ่ายไปฉาบฉวยกับคนอื่น แต่นั่นเพราะไม่เคยได้เห็น แค่เพียงรู้สึกและเก็บเงียบเอาไว้ แต่วันนี้ วันที่ต้องเห็นผู้หญิงดูดีมีชาติตระกูลคนหนึ่งเข้ามาอยู่ในห้อง ห้องที่เขาย่างเท้าเข้ามาจนนับครั้งถ้วน เขากลับรู้สึกทนไม่ได้ ไม่อยากเห็น แม้จะไม่รู้ว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เป็นใคร

“ผะ...ผมกลับก่อนดีกว่าครับ” นทนทีรีบหันหลังกลับเดินคอแข็งไปยังลิฟต์โดยไม่คิดจะมองหลัง เขากลัว...

กลัวอย่างไม่มีสาเหตุ

ดวงไฟแสดงการเคลื่อนที่ของลิฟต์ ที่ร่างโปร่งกำลังรอขยับจากชั้นล่างขึ้นมาหยุดตรงหน้าแล้วค่อยๆเปิดออก

“นท!”

“วี!”

ร่างสูงใหญ่มองคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอด้วยอาการตกใจเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ก่อนจะค่อยๆคลี่ยิ้ม ความโมโหที่มีหายไปในพริบตาเมื่อเห็นหน้าขาวเกรียมแดดหน่อยๆ

“นท...ไม่เข้าไปในห้องละ” ปถวีคว้าแขนอีกฝ่ายตั้งใจจะพากลับไปทางเดิม หากแต่การขืนตัวของนทนที สายตาคมจึงตวัดมองอย่างแปลกใจ

“อะไร?”

“ฉันกลับก่อนดีกว่า นายมีแขก” แขนเล็กพยายามแกะมือใหญ่ออก แล้วรีบกดลิฟต์ลงทันที

“นท!” อารมณ์ที่เหมือนจะดีเมื่อครู่เริ่มขุ่นมัวขึ้นมาทันใด มันอะไรกันวะ! ริมฝีปากได้รูปขบเม้นเข้าหากันแน่น ก่อนจะร้องอ๋อในใจแล้วระบายลมหายใจหนักๆ

“นั่นมันน้องอร มีธุระเลยต้องพามาด้วย เดี๋ยวจะพากลับแล้ว”

หากแต่ร่างโปร่งยังคงตั้งหน้าตั้งตาคอยลิฟต์ยิ่งทำให้ตบะของร่างสูงเริ่มลดน้อยลง และก่อนจะได้โมโหไปกว่านี้ มือใหญ่จึงกระชากแขนเล็กแล้วลากไปยังห้องพักโดยไม่ได้มองว่าอีกฝ่ายจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแค่ไหน

“ปล่อย...” เสียงร้องครางต้องหยุดลงเมื่อเหลือบเห็นร่างหญิงสาวยังยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องพัก คนที่ถูกลากจึงจำต้องก้าวเท้าให้ทันร่างสูงข้างหน้าแล้วปรับสีหน้าสีตาเสียใหม่

“น้องอร นี่นทนที...น้องอรเลือกหนังได้รึยัง จะได้ไปกัน” ปถวีพูดยาวติดกันเป็นพรืดไม่ให้หญิงสาวได้พูดแทรก ทำได้แต่เพียงพยักหน้าหงึกๆสลับกับมองเพื่อนชายที่ยืนอยู่ข้างหลังร่างสูงด้วยแววตาที่มีเครื่องหมายคำถามแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง หากแต่หญิงสาวก็เงียบแล้วหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องหยิบของที่ต้องการ

ปถวีกระตุกมือร่างโปร่งเมื่อคล้อยหลังหญิงสาว แววตาคมกล้าทำให้นทนทีต้องสงบปากสงบคำ

“รอฉันอยู่ที่นี่นะ ถ้ากลับมาไม่เจอน่าดู!” นทนทีจำต้องหลับตาลงฟังเสียงหนักๆเอ่ยกระซิบดังอยู่ข้างหูอย่างหมายมาด

“พี่วี” อรอนงค์ชูแผ่นหนังสองสามแผ่นก่อนจะก้าวผ่านชายหนุ่มหน้าสวยด้วยความรู้สึกกดดัน ต่างกับตอนที่พบเมื่อครู่ เพราะ... ลางสังหรณ์บอกกับตัวเองว่า ผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา!

ปถวีพยักหน้ารับ ก่อนจะเหลือบมองนทนทีที่พยายามจะไม่สบตาอย่างหงุดหงิด หากแต่มีอรอนงค์อยู่ด้วยจึงจำต้องรักษาท่าทีที่อยากจะกระชากหน้าขาวๆนั่นให้หันมามอง

อรอนงค์ฝืนยิ้มให้ร่างโปร่งแล้วจึงก้าวตามปถวีจากไป ทิ้งให้นทนทีค่อยๆขยับถอยหลังยืนพิงผนังห้องพลางถอนหายใจยาว

ใจเย็นๆใจเย็นๆนทนที ร่างโปร่งพูดปลุกปลอบใจตัวเอง มันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิดก็ได้

ร่างโปร่งเหลือบมองประตูที่ยังเปิดอ้ารอรับเขาเข้าไปภายใน หากแต่เขาจะกล้าก้าวเข้าไปมั้ย เขากลัว กลัวจะไปพบเห็นเศษซากอะไรเข้า กลัวจะเข้าไปรู้สึกถึงกลิ่นไอของคนอื่นที่ไม่ใช่เขา!

ปถวีรีบร้อนพาอรอนงค์ไปส่งท่ามกลางความสงสัยของหญิงสาวในอากัปกิริยาที่เงียบขรึมผิดไปจากทุกที หากแต่หญิงสาวก็ไม่คิดจะถามอะไรกับชายหนุ่ม ด้วยเวลาของเธอยังมีอีกเยอะในการเรียนรู้คนที่เธอพึงใจ

เพราะผู้ชายที่เพียบพร้อมไม่ใช่จะเจอกันได้บ่อยๆ!


“ขอบคุณคะพี่วี เจอกันอาทิตย์หน้าใช้อรได้เต็มที่เลยนะคะ” ปถวียกยิ้มตอบรับหญิงสาวเมื่อมาส่งถึงหน้าบ้าน ก่อนจะหักหัวรถกลับไปยังทางเดิม

แต่ทว่า...คนที่เขาสั่งนักสั่งหนาให้อยู่คอยกลับไร้ซึ่งตัวตนในห้องอันว่างเปล่า

“นทนที!”

V
V
V
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-12 (07/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 07-10-2009 22:17:37
ตอนที่ 14

“จะไปไหนหรือวา” นทนทีเอ่ยถามเมื่อเห็นน้องสาวเดินลงมาจากชั้นสองพร้อมเครื่องแต่งกายเตรียมจะออกไปข้างนอก

“คุณน้าให้พี่นลมารับวาไปหาที่บ้านค่ะพี่นท”

นทนทีพยักหน้ารับรู้แล้วยกยิ้มให้น้องสาว พลางมองใบหน้ารูปไข่ขาวนวลแต่งแต้มด้วยความสดใสอิ่มเอิบของคนกำลังมีความสุข ด้วยอาทิตย์ที่ผ่านมาบิดามารดาของอนลได้เข้ามาพูดคุยสู่ขอวารีเป็นทางการ และกำหนดวันตบวันแต่งคืออีกสองเดือนข้างหน้าไว้เสร็จสรรพ

“คุณแม่ของนลจะให้วาไปหาทำไมเหรอ”

“เห็นพี่นลบอกว่าคุณน้าจะให้วาไปเลือกคอร์สเจ้าสาวค่ะ” ผิวแก้มใสแดงเรื่อขึ้นจนพี่ชายอมยิ้ม “อย่ายิ้มอย่างนั้นสิค่ะพี่ วาก็ไม่อยากให้คุณน้าต้องมาลำบากเพราะวาหรอกนะค่ะ แต่...”

“พี่รู้ๆ” นทนทีรีบแย้ง ด้วยรู้ว่าคุณศรีสอางค์ออกตัวเป็นแม่งานจัดการทุกอย่างให้ จนกระทั้งวารีและอนลมีหน้าที่แค่ทำตามอย่างเดียว และอาจเพราะเป็นคนแรกในบรรดาลูกชายทั้งสามคน คุณศรีอางค์จึงดูจะกระวีกระวาดเป็นพิเศษ

“เสียงรถ? นลมาถึงแล้วมั้งวา”

วารีมองตามเสียงบอกของพี่ชาย ก่อนจะเดินออกไปรับอนลแล้วกลับเข้ามาในบ้าน

“ทำอะไรพี่นท?” อนลทักเสียงใสเมื่อเห็นว่าที่พี่เขยกำลังง่วนกับเอกสารบนโต๊ะรับแขกเตี้ยๆ

นทนทียิ้มรับแล้วจึงส่ายหน้าเหมือนไม่ได้สำคัญอะไร พลางมองชายหนุ่มเข้ามาทรุดตัวนั่งเก้าอี้ข้างๆ

“ทะเลาะกับพี่วีอีกแล้วเหรอครับ” รอยยิ้มแสนรู้ของอนลทำให้นทนทีรวบเอกสารใส่ซองแล้วทิ้งตัวพิงพนัก ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ยังไม่ได้พูดคุยกับปถวีอีกเลย ทั้งที่เขาน่าจะถูกอีกฝ่ายตามมาอาละวาดใส่ แต่ทุกอย่างกลับเงียบหาย คิดมาถึงตรงนี้ร่างโปร่งก็ระบายลมหายใจยาว ก็ดีแล้วละ เพราะเขาเองก็อยากมีเวลาคิดอะไรคนเดียวซักพักเหมือนกัน

“เปล่านี่” คำตอบราบเรียบจนอนลต้องเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ ก่อนจะยิ้มขำ

“ไม่ได้เห็นนานแล้วนะครับ เวลาที่พี่สองคนเขม่นกัน นึกถึงเมื่อก่อนผมยังขำอยู่เลย ก็พวกพี่น่ะ ทะเลาะกันไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมกันเลย”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนล ช่วงนี้พี่งานเยอะน่ะ เลยไม่ค่อยได้คุยกัน...ก็เท่านั้น” คนตอบหลบสายตาวูบวาบ

“พี่นทงานเยอะแบบนี้ เห็นทีผมจะได้พี่สะใภ้เร็วกว่าเดิมซะละมั้งครับ” อนลเอ่ยสัพยอกก่อนจะหยิบแก้วน้ำยกขึ้นดื่มด้วยท่าทีสบายๆ หากแต่คนฟังกลับตัวแข็งทื่อ

มือใหญ่วางแก้วน้ำมองเครื่องหมายคำถามบนใบหน้านทนที ลองทำหน้าแบบนี้แสดงว่าพี่เราไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลยสิท่า...เป็นเพื่อนกันยังไงคู่นี้

“ไม่รู้จริงๆเหรอครับ อย่าแกล้งให้ผมปล่อยไก่นา...” ดวงตาคู่อบอุ่นมีแววล้อเลียนอีกฝ่าย “ก็ถ้าพี่นทไม่ว่างบ่อยๆพี่วีของผมก็มีเวลาว่างให้แม่จับแต่งตัวไปนั่งเป็นหุ่น เที่ยวกับว่าที่พี่สะใภ้ที่แม่หาให้น่ะสิครับ ที่นี้ละ สมใจแม่ผมพอดีกัน”

คิ้วเรียวเลิกขึ้นกับคำบอกเล่าปนแขวะพี่ชายตัวเองด้วยใจเบาโหวง เหมือนมีลมพัดเร็วแรงอัดเข้ากลางอก

เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลย...ว่า...ปถวี...มีคู่หมาย!

แววตาอ่อนโยนปนขี้เล่นเปลี่ยนไปเมื่อเห็นอาการตกใจจนเก็บไว้ไม่มิดของว่าที่พี่เขย

“พี่นทไม่รู้จริงๆเหรอครับ?”

“อะ!...อืม...” คนตอบพยายามกลืนก้อนแข็งๆลงลำคออย่างยากลำบาก “ก็พักหลังมานี่ไม่ค่อยได้คุยกันน่ะ”

“หือ...อย่างนี้ก็แย่นะสิครับ เดี๋ยววันดีคืนดีพี่ผมแต่งงานแบบสายฟ้าแลบแล้วจะมาโกรธพี่ผมที่ชิงสละโสดไปก่อนไม่ได้นะครับ”

นทนทีฝืนยิ้มให้คนเล่า ก่อนจะถามต่อ “...นานหรือยังนล?”

“ก็ซักพักแล้วละ เป็นลูกเพื่อนสนิทแม่นั่นละครับ เพิ่งจะจบจากนอกมาด้วย ตอนนี้เลยมาทำงานกับพี่วีได้หลายวันแล้วละครับ” อนลถือโอกาสบอกเล่าให้คนที่ไม่รู้ได้รู้ หากแต่สิ่งที่อนลไม่รู้คือคำพูดตัวเองได้ทิ่มแทงใจอีกฝ่ายจนเหมือนมีน้ำอุ่นข้นไหลหลากออกมา

“สะ...สวยมั้ยละนล” ถึงจะเจ็บยอกแต่ก็ไม่ยอมให้ใครได้เห็นความไหววูบในดวงตาคู่ดำรียาว ได้แต่ฝืนแสร้งหัวเราะสัพยอกกลบเกลื่อน

อนลไม่ตอบแต่ยกนิ้วโป้งพร้อมฉีกยิ้มกว้างเหมือนรับประกันความสวยของหญิงสาวที่แม่หมายมั่นไว้เต็มที่

“สวยมากเลยครับ เห็นแม่เรียกน้องอรๆ ไม่ขาดปากซักวัน” อนลส่ายศีรษะเมื่อนึกถึงท่าทีของมารดา

น้องอร! นทนทีสะดุ้งกับชื่อที่อนลเอ่ย ลำคอแห้งผากกับความรู้สึกเย็นวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทำให้เจ้าตัวต้องกัดริมฝีปากแน่น

ผู้หญิงที่เจอในคอนโดปถวี...คนๆนั้นน่ะเหรอ...คือคนที่มารดาปถวีเลือกสรรไว้ให้ ตอนนี้เขาไม่แปลกใจเลยที่เจอผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่นั่น

อาการนิ่งเงียบของนทนทีทำให้อนลต้องลอบมองอีกฝ่ายอย่างค้นคว้าอีกครั้ง จนนทนทีรู้สึกตัวว่าถูกจับจ้องจึงเสพูดกลบเกลื่อน

“เหรอ...คงชอบละสิเจ้านั่น” ริมฝีปากบางยกยิ้มแห้งแล้ง

“ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่เห็นเข้ากันได้ดีจนแม่ผมยิ้มแก้มแทบปริทุกวัน นี่ถ้าทำได้แม่ผมคงอยากจัดงานแต่งควบสองไปเลยมั้งครับ” ท้ายประโยค อนลแสร้งค่อนขอดมารดาที่นั่งรอคอยให้บุตรชายพาว่าที่ภรรยาไปหาเสียที

“นล...นลจะพาวาไปบ้านไม่ใช่เหรอ รีบไปเถอะ เดี๋ยวแม่จะคอยนานนะ” นทนทีเอ่ยเตือนอย่างหวังดี ด้วยรู้ว่าตัวเองในตอนนี้ต้องการเวลารวบรวมสติซักพัก เพราะเรื่องที่ได้รับรู้ออกจะปัจจุบันทันด่วนชนิดที่เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อน

ทั้งๆตอนที่เก็บสัมภาระเตรียมตัวกลับกรุงเทพ หลังจากได้รับฟังข้อเสนอของเทวัญ เขารู้สึกอยากจะพบอยากจะเห็นหน้าปถวีเป็นคนแรก อยากให้มือใหญ่นั้นเข้ามาโอบกอดให้อะไรบางอย่างในร่างกายที่สั่นไหวกลับมาเหมือนเดิม ถึงแม้จะพึ่งทะเลาะกันมาก็เถอะ แต่พอได้เห็น...เห็นผู้หญิงคนนั้น เขากลับไม่กล้าพอที่จะพาตัวเองเข้าไปสู่อ้อมแขนนั้น อะไรบางอย่างในตัวหญิงสาวบ่งบอกให้เขารู้ว่า เธอไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น และก็เป็นอย่างที่รู้สึกเสียจริง

ตัวเลือกที่แสนสมบูรณ์แบบเกิดขึ้นมาแล้ว...นทนทีคิดอย่างเศร้าสลดในใจ

จะมีอะไร...เปลี่ยนแปลงไปมั้ยนะ หลังจากนี้?...


XXXXX


“คุณอร ยังไงการประชุมอาทิตย์หน้ากับไอทีกรุ๊ป ผมยกให้คุณอรเป็นคนเตรียมการทั้งหมดนะครับ แล้วถ้าติดขัดตรงไหนถามผมได้ทันทีเลย” กันย์แบ่งงานให้ผู้ช่วยเลขาสาวไปรับผิดชอบตามที่ได้รับคำสั่งมาจากท่านประธานหนุ่ม และเพราะไม่ต้องการให้อรอนงค์เข้ามาล่วงรู้เรื่องส่วนตัว หรือมีโอกาสใกล้ชิดตัวปถวีเกินความจำเป็น กันย์จึงต้องทำหน้าที่คอยป้อนงานให้หญิงสาวแทนเจ้านาย ซึ่งนำพาความไม่พอใจให้แก่อร
อนงค์ไม่น้อย

“ค่ะ” เสียงตอบรับหนักแน่น หากแต่เก็บงำความไม่พอใจไว้ลึกๆ ส่งผลให้กันย์นึกนิยมในตัวหญิงสาวไม่น้อย ด้วยหญิงสาวทำงานไม่ขาดตกบกพร่องแถมยังหัวไวฉลาด มีความรับผิดชอบ งานเป็นงาน เรื่องส่วนตัวก็ส่วนตัว นี่ถ้าไม่เพราะประธานเขามีคนรักอยู่แล้วละก็ คงได้เชียร์กันไปข้างหนึ่ง

แต่ชีวิตคนเรามันไม่ง่ายยังงั้นนะสิ

“ส่วนเย็นนี้ผมต้องไปข้างนอกกับประธาน ฝากทางนี้กับคุณอรด้วยนะครับ” เลขาหนุ่มนึกถึงช่วงเย็นวันนี้ ด้วยท่านประธานหนุ่มเกิดอาการตบะแตกจะไปรับคนรักที่บริษัท หลังจากอมพะนำอยู่นานสองนาน

“ไปไหนหรือค่ะ แล้วจะกลับเข้ามาอีกมั้ย คือถ้ามีใครติดต่อเข้ามาจะได้ตอบถูกน่ะค่ะ” อรอนงค์ยิ้มเย็นให้ชายหนุ่มที่ยิ้มแย้มตอบกับมาอย่างรู้ทัน

“ไม่เข้ามาแล้วครับ ส่วนไปไหนนี่ท่านประธานก็ไม่ได้บอกไว้น่ะครับ บอกแค่ให้ผมขับรถไปให้เท่านั้น” กันย์ส่งยิ้มให้หญิงสาวอีกรอบแล้วจึงหมุนตัวเดินไปยังห้องประธานบริษัทท่ามกลางการจับจ้องของอีกฝ่าย

อรอนงค์ถอนหายใจพิงหลังกับพนักเก้าอี้ เพราะถูกตาต้องใจในตัวชายหนุ่มผู้เป็นประธานบริษัท กอปรกับทางผู้ใหญ่ก็เห็นดีเห็นงาม จึงมานั่งหลังขดหลังแข็งทำงานด้วยหวังจะได้เรียนรู้นิสัยใจคอของอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนเธอจะถูกกันออกมากลายๆ อย่างน่าแปลกใจ จนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสูญเสียความมั่นใจในตัวไปมากโข

นี่เธอจะต้องทำยังไงให้ชายหนุ่มหันมามองเธอเต็มๆตา ไม่ใช่เพราะผู้ใหญ่คอยวางโปรแกรมให้!

ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเรียบเฉยเคาะประตูสองสามครั้งแล้วจึงผลักบานประตูเข้าไปยืนข้างๆเก้าอี้ประธานหนุ่ม ซึ่งใบหน้าตอนนี้ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะไปพูดจายอกย้อนกวนประสาทเด็ดขาด

“จัดการเรียบร้อยแล้ว?”

“ครับ”

“แล้ววันหลังไม่ต้องให้น้องอรเข้ามารายงานเรื่องนัดหมายกับฉันอีกละ”

กันย์พยักหน้ารับคำพลางนึกค่อนขอดในใจ เอาแต่ใจกันจริงๆ แค่เขาให้อรอนงค์เข้ามารายงานนัดหมายเมื่อเช้าเพราะติดธุระ ก็หน้าหงิดทั้งวัน นี่ถ้าฝืนใจมากนักก็หาเรื่องส่งคุณอรไปอยู่แผนกอื่นเลยดีกว่า เขาจะได้ไม่โดนหางเลขโดยไม่จำเป็นแบบนี้ ตัวเองอารมณ์ไม่ดีเองแท้ๆ

ประธานหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา และเพราะหน้าปัดบอกว่าอีกนานกว่าจะเลิกงาน มือที่กำลังจับปากกาเขียนหัวข้อการประชุมจึงโยนส่งๆอย่างต้องการระบายความอึดอัด

“ปะ...ไปเถอะ ขี้เกียจอยู่แล้ววันนี้”

“ไปไหนครับ”

ปถวีเหล่ตามองคนถามให้นึกคันมือคันไม้ยิบๆ

“ไปรับนทนที!”

“อีกนานกว่าคุณนทนทีจะเลิกงานนะครับ” คำตอบราบเรียบ ราบเรียบจนอีกฝ่ายต้องส่งสายตาขุ่นเขียวให้

“เพื่อรถติดไง”

คำแก้ตัวข้างๆคูๆจนกันย์ต้องส่ายหน้าช้าๆอย่างไม่เห็นด้วย

“ไปเร็วไปช้ามันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอกครับ ถ้าคุณยังใจร้อนและต้องการไปเพื่อจะทะเลาะกับอีกฝ่าย”

“รู้ดี!” สายตาคมตวัดมองอีกฝ่ายอย่างดุดัน “ฉันนี่นะอยากจะทะเลาะกับ...ให้ตายเถอะ!” ปถวีสบถเสียงดังกับความใจเย็นของเลขาคนสนิท

ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาเขารอเสียงโทรศัพท์เหมือนคนบ้า แต่ทุกอย่างก็เงียบหายเหมือนไร้ซึ่งตัวตนของอีกฝ่าย

มันจะเย็นชาเกินไปแล้ว คนเรารักกันถ้าเห็นผู้หญิงอื่นอยู่ในห้อง มันก็ต้องมีโวยวายบ้าบอคอแตก หรือไม่ก็มีปฏิกิริยาบึ้งตึงให้เห็นกันบ้าง ถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงจะรู้สึกดีกว่านี้ แต่นี่ไม่มีเลย...มันเพราะอะไรนทนที

หรือไม่เชื่อใจเขาแล้ว...

ร่างสูงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เขายอมให้นทนทีทำตามใจที่ตัวเองคิดมากเกินไปหรือเปล่า มากจนมันย้อนกลับมาเป็นหนามทิ่มตำให้เจ็บปลาบแปลบตลอดเวลา หรือมันถึงเวลาที่ต้องดึงเสี้ยนหนามนี้ออกก่อนที่มันจะกัดหนองลุกลามจนไม่สามารถรักษาได้


XXXXX
“ขึ้นรถ!”

เสียงดุดันเอ่ยขึ้นหลังจากกันย์นำพานทนทีที่แสดงท่าทางอิดออดไม่อยากพบเจอร่างสูงในตอนนี้ยิ่งเป็นการกระตุ้นต่อมโทสะของชายหนุ่มให้ลุกโชน

จะมาดีๆไม่ได้เลยรึไง!

“ทำไม! จะมาหาฉันนี่มันจะเป็นจะตายนักหรือไง” ปถวีค่อนขอดร่างโปร่งที่ขึ้นมานั่งเคียงข้างหลังจากกันย์เดินอ้อมไปประจำที่นั่งคนขับ ด้วยอากัปกิริยาของคนที่ขึ้นมานั่ง...นั่งอย่างเดียวแบบไม่ได้เอาปากมาด้วย ทำให้ปถวีกระชากแขนอีกฝ่ายเข้ามาใกล้จนได้เห็นสายตาขุ่นเคือง

“เปล่า”

คำตอบสั่นกุดมาพร้อมดวงตาแวววาวสะท้อนลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ยามเย็นทำให้ปถวีต้องกลั้นลมหายใจชั่วครู่ก่อนจะลอบระบายออกมาเบาๆแล้วรั้งไหล่เล็กเข้าไปหาจนเกยก่ายกับช่วงไหล่ของตน

“ทำไม?...โกรธฉันหรือไงถึงได้เงียบไปแบบนี้”

“เปล่า”

“นท”

“...” ร่างโปร่งเงียบงันจนด้วยคำตอบ เพราะเขาไม่ได้โกรธ ไม่ได้โกรธเลย เพียงแค่...หวั่นไหว หวั่นไหวเท่านั้น

“ไม่เชื่อฉันรึไง”

“...” นทนทีนิ่งงันเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยเหมือนล่วงรู้สิ่งที่อยู่ในใจ

“นท” สายตาคมเพ่งมองริมฝีปากซีดเซียวขบเม้นเข้าหากันอย่างชั่งใจ

“...ผู้หญิงคนนั้น คู่หมายนาย?” คำถามราบเรียบหากแต่ทำให้คนฟังต้องกระตุกพลางขมวดคิ้วมองลึกลงในดวงตาอีกฝ่าย

“ไปรู้มาจากไหน?”

“ใช่หรือเปล่าละ”

“ไม่ใช่”

“จริง?”

“นท!” ปถวีถอยห่างมองใบหน้าขาวอย่างขุ่นเคือง “นายไปรู้อะไรมากันแน่? น้องอรเขาก็มาฝึกงานของเขา ส่วนใครจะคิดยังไงฉันไม่รับรู้ด้วยหรอกนะ แล้วถ้านายจะเอาความคิดของคนอื่นมายัดเยียดให้ฉัน ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูด”

“แต่...แม่ของนาย...” พูดยังไม่ทันจบปถวีก็เอ่ยแทรกอย่างหัวเสีย

“ฉันรู้หละว่านายไปได้ยินมาจากใคร...ไอ้นลใช่มั้ย” สายตาคาดคั้นทำให้นทนทีจำต้องพยักหน้า

“จะบ้าเรอะ ไปเชื่ออะไรกับไอ้นล มันแหย่นายเล่นน่ะสิ ไปบ้าจี้ตามมัน ส่วนแม่เขาก็ทำแบบนี้ประจำหละ เวลาลูกหลานใครเข้าตา ก็เขาคิดว่าฉันยังไม่มีแฟนนี่ ทำไงได้ ก็ต้องปล่อยให้แม่เขาทำไป แล้วฉันก็ค่อยๆเลี่ยงจนแม่เขาหน่ายไปเองละ ว่าแต่นาย...” ปถวีพูดค้างไว้แล้วจ้องดวงตาคู่กลมรีของอีกฝ่าย “ไม่คิดจะหึงกันเลยเหรอ ถึงได้เย็นชากับฉันขนาดนี้”

คำถามเหมือนตัดพ้อกลายๆของปถวีทำให้นทนทีหน้าชาก่อนจะก้มหน้าลงมองบริเวณอกเสื้ออีกฝ่าย

ทำไมเขาจะไม่รู้สึก...แต่มันพูดไม่ออกและกลัวคำตอบที่จะได้ยิน ถ้าเป็นอย่างที่เขากลัวแบบนั้น เขายังจะรักษาหัวใจของเขาไม่ให้แตกสลายไปได้มั้ย เขาจะยังรู้สึกว่าเป็นนทนทีอย่างเช่นทุกวันนี้มั้ย ถ้าปถวีเลือกทำตามความต้องการของมารดา ถึงวันนั้นเขามิต้องเป็นเพียงคนๆหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของปถวีแล้วผ่านเลยไปหรอกเหรอ...

แค่คิดก็เจ็บแล้ว...

“คิดว่าฉันจะชอบน้องอรเขาจริงๆรึไง” มือใหญ่ยกขึ้นลูบไล้เส้นผมนิ่มสลวยก่อนจะย้ำถาม “ว่าไง”

ร่างโปร่งไม่ตอบหากแต่ค่อยๆเอียงศีรษะทุยซบลงบนอกแข็ง แล้วหลับตาตั้งใจฟังเสียงหัวใจอีกฝ่ายเต้นตุบๆ...ช้าบ้าง...เร็วบ้าง ก่อนจะระบายลมหายใจออกมาช้าๆ

แค่หัวใจนี้ยังเต้นอยู่...แล้วยังจะตั้งกำแพงให้สูงทำไมนักหนา ถ้าวันที่ข้ามไปได้ไม่มีคนที่รอคอยอยู่

การกระทำของนทนทีทำให้ความแข็งกร้าวของร่างสูงอ่อนลง

“นท...” นิ้วมือแข็งแรงยกขึ้นเกลี่ยไล้เส้นผมที่ลงมาปกปิดข้างแก้มให้อย่างเบามือ “เราไม่เหนื่อยกันรึไงที่ต้องมาทะเลาะกันแบบนี้”

กระแสเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามอย่างรักใคร่ พร้อมกับความอุ่นซ่านของนิ้วแข็งแรงทำให้นทนทีลืมตาแล้วพยักหน้ารับช้าๆ
ใช่เขาเหนื่อย เขาอยากรัก รักโดยไม่สนใจใครๆ

“งั้นมาเถอะ...มาทำงานกับฉัน แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น อย่าเป็นอยู่อย่างนี้เลย”

ประโยคที่หลุดออกมาจากริมฝีปากได้รูปทำให้นทนทีคิดถึงคำพูดของเทวัญ

การตัดสินใจเลือกอย่างหนึ่งก็คือต้องทิ้งอีกอย่างไปโดยปริยาย เพราะถ้านทไม่เลือก ตัวนทเองนั้นละที่จะต้องเจอกับปัญหาแบบนี้ไม่จบไม่สิ้น...

แต่ก่อนจะได้ตัดสินใจ เสียงโทรศัพท์มือถือของปถวีก็ดังขึ้นขัดคำตอบของร่างโปร่ง หากไม่ได้ผละตัวออกห่างด้วยมือใหญ่ยึดจับหัวไหล่มนไว้แน่นก่อนจะรับโทรศัพท์

“...ครับ”

“อรนะค่ะพี่วี” เสียงใสตอบกลับมาทำให้ปถวีขมวดคิ้วก้มมองใบหน้าขาวบนอก แล้วลอบพรางพรูลมหายใจ

“มีอะไรครับน้องอร"

เสียงขานรับของปถวีทำให้นทนทีเงยหน้าขึ้นมองปลายคางอีกฝ่ายทันที

“พี่วีค่ะ พอดีตอนนี้คุณแม่พี่อยู่ทานข้าวเย็นกับคุณแม่ของอร แล้วตกลงกันว่าพรุ่งนี้จะไปออกรอบเล่นกอล์ฟกันค่ะ คุณน้าเลยฝากให้อรโทรมาบอกให้พี่วีไปรับคุณแม่ที่บ้านด้วยนะค่ะ”

“พรุ่งนี้น่ะเหรอ” ร่างสูงพึมพำด้วยพรุ่งนี้เป็นวันหยุด เขาต้องการอยู่กับนทนทีอีกทั้งกอล์ฟคราวนี้เห็นทีจะเป็นกอล์ฟหาลูกสะใภ้ของแม่เขาซะมากกว่า “ขอบใจนะ แล้วยังไงพี่จะคุยกับแม่อีกทีนะครับ” คำพูดตัดบทของปถวีสร้างความขุ่นใจให้แก่อรอนงค์ แต่หญิงสาวก็ยิ้มรับกรอกเสียงใสลงในโทรศัพท์

“ค่ะ แล้วยังไงเจอกันพรุ่งนี้นะค่ะ”

“...ครับ”

ปถวีตัดสายแล้วหันหน้ากลับมามองคนในอ้อมแขน แววตาสั่นไหวของดวงตาคู่กลมดำ ทำให้ปถวีต้องเพิ่มแรงโอบกอดแล้วเขย่าเบาๆราวกับจะปลอบประโลม

“ไม่มีอะไรๆ” เสียงย้ำเบาๆ พลางกดริมฝีปากลงบนเส้นผมนุ่มหนักๆ อย่างให้ความมั่นใจจนนทนทีต้องพยักหน้ารับรู้ หากแต่ในใจกลับรู้นึกเบาโหวงอีกครั้ง

พวกเขาจะต้านทานกระแสความคิดคนรอบข้างไปได้ถึงไหนกันนะ...


XXXXX
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-12 (07/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 07-10-2009 22:18:14
ภาพผู้คนทั้งหัวดำหัวทองเดินเข้าออกผ่านหน้าเคาเตอร์ต้อนรับไม่ได้ขาดสาย บ่งบอกให้ผู้เป็นเจ้ากิจการรับรู้ว่า รีสอร์ทกำลังไปได้ดี หากแต่ผู้เป็นเจ้าของกลับไม่มีรอยยิ้มให้กับความน่าปลาบปลื้มนี้เลย

ไผ่...

ร่างสูงใหญ่ของประวิชนั่งทอดอาลัยบนเก้าอี้ทำงาน แม้จะมีแขกเหลื่อมาใช้บริการห้องพักเดินกันให้ขวักไขว้ กลับไม่ทำให้ใจของคนอยู่อย่างซักกะตายคึกคักขึ้นมาเลย ไม่ว่าจะลุยทำงานจนแทบไม่ได้หลับไม่นอน แต่ก็ยังคิด...คิดถึงคนที่เคยอยู่ข้างๆ ถึงตอนนั้นปากจะบอกว่าหนวกหูกับเสียงเจื้อยแจ้ว รำคาญกับการก้อล้อก้อติด แต่ตอนนี้เขาอยากได้ยินเสียงนั้นอีก อยากให้มีเงาของร่างเล็กๆมาผลุบๆโผล่ๆอยู่ไม่ห่าง

ไอ้คนขี้เกียจ...ไอ้คนไม่รับผิดชอบ...นึกอยากจะหายก็หายไป อยู่คุยกันก่อนสิโว้ย...

เสียงสบถพึมพำต่อว่าคนที่หายตัวไปอย่างพาลๆ ทำให้ลูกน้องที่นั่งอยู่ใกล้เหลือบตาขึ้นมองเจ้าของรีสอร์ทอย่างสนเท่ห์ จนเจ้าตัวรู้สึกนั่นละว่ายังมีคนอื่นอยู่ด้วยจึง ยกมือไม้ขึ้นลูบศีรษะตัวเองแรงๆ แล้วลุกขึ้นพาตัวเองไปยังบ้านพักส่วนตัว บ้านที่เคยมีคนเจ้ากี้เจ้าการคอยจัดโน้นแต่งนี้อยู่ไม่ขาด

ฮึ! ดีแต่ชอบคิด คนทำน่ะเป็นเขาทุกที ร่างสูงยกยิ้มฝืดเฝื่อนให้ตัวเองกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้น ผ่านมาเป็นเดือนแล้วยังไม่ได้ข่าวคราวเลย หมอนั่นไปอยู่ที่ไหน ลำบากลำบนหรือเปล่า ยิ่งกินอยู่ยากไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา ยังจะเรื่องรถเรื่องรา ใครจะคอยปราม...หึ! จับพวงมาลัยเป็นไม่ได้พ่อเหยียบมิด คิดมาถึงตรงนี้ พวกเขาทำอะไรด้วยกันมาตลอด ทำจนเป็นความเคยชิน จนไม่คิดว่าจะมีวันที่ต้องแยกจากกัน เขาไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้เลย ในเมื่อพวกเขาอยู่ด้วยกันก็มีความสุขดี แต่...

ฉันรักนาย! ได้ยินมั้ยว่าฉันรักนายอย่างคนรัก ไม่ใช่อย่างเพื่อน! เสียงก้องกังวานสะท้านความรู้สึกคนฟังเมื่อคิดถึง ยิ่งทำให้ประวิชเจ็บปลาบแปลบในอก

คนรักงั้นเหรอ...หัวคิ้วเข้มย่นเข้าหากันอย่างขบคิด

คนรักเขาต้องอยู่ใกล้กัน ทำอะไรด้วยกัน รู้สึกดีๆให้กัน แบ่งปันความทุกข์ความสุขของกันและกัน...

ให้ตายเถอะ! แล้วมันต่างอะไรกับเขาที่รู้สึกแบบนั้นกับไผ่ตลอดเวลาที่คบกันวะ ยกเว้นไอ้เรื่องบนเตียงนั่นน่ะ

ร่างสูงพรางพรูลมหายใจยาวอย่างหนักอกหนักใจ วูบหนึ่งที่คำพูดของนทนทีเข้ามาวนเวียนอยู่ในหัว
ฉันอยากให้ประวิชหาตัวเองให้เจอ ว่าควรจะอยู่ที่ตรงไหนของไผ่

ควรจะอยู่ตรงไหนงั้นเหรอ?...

คนเหม่อลอยตกอยู่ในภวังค์ความคิด สูดเอาสายลมเย็นที่พัดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างเฮือกใหญ่ แล้วหลับตาลงให้สายลมโลมไล้ใบหน้าราวกับจะให้พัดพาความรู้สึกเหงา เหงาจนจับถึงขั้วหัวใจผ่านพ้นไป ก่อนจะลืมตาขึ้นมองผ้าม่านลูกไม้สีฟ้าอ่อนแผ่วพลิ้วตามแรงลม ที่เจ้าตัวดีร่ำร้องนักหนาว่าจะเอาให้ได้ สุดท้ายก็ต้องควักกระเป๋าจ่ายตามใจคนทำหน้าหงิกถ้าไม่ยอมซื้อ และเจ้าของร่างเล็กก็ชอบมานอนคดตัวรับลมบนเก้าอี้ยาวติดหน้าต่างนี้ ทั้งๆที่ย้ำนักย้ำหนาว่าอย่ามานอนตากลม แต่ก็นอนให้ตัวเองเป็นหวัดเสียทุกทีไป เดือดร้อนให้เขาต้องมาป้อนข้าวป้อนน้ำ

เห็นมั้ยว่าเจ้านั่นดื้อขนาดไหน ปากเล็กๆแดงๆนั่นก็ชอบเถียงคำไม่ตกฝาก ผิวขาวๆนิ่มๆนั่นก็ชอบนัก ชอบไปตากแดดให้มันเกรียมดำเล่น กินก็เก่งแต่ไม่ยักจะอ้วน เวลานอนก็ชอบละเมอ แถมดิ้นอีกต่างหาก แต่เจ้านั่นก็ตัวหอม ยิ้มสวย แล้วก็ฉลาดเป็นกรด...

หึ...ถ้าฉลาดจริงก็น่าจะรอเขาหน่อย ไม่ใช่พูดๆแล้วก็ไป มันน่าจะมีวิธีที่ดีกว่าการหนีหายไปไม่ใช่เหรอ ปากเก่งแบบนั้นทำไมไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์มั่งวะ ไม่ใช่จะเอาอะไรก็จะให้ได้เดี๋ยวนั่น

ฉันคน...ไม่ใช่สิ่งของนะไอ้ไผ่! ให้เวลาฉันตั้งตัวบ้างได้มั้ย!

มือคนกลุ้มใจกำเข้าหากันแน่นแล้วค่อยๆคลายออก พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่กับสิ่งที่ไม่เป็นดังใจคิด

ให้ตายสิ! ทำไมถึงชอบทำให้เขาหัวปั้น วุ่นวายอยู่เสมอ แต่ทุกครั้งเขาก็โกรธไม่ลง ไม่เคยโกรธลง เหมือนอย่างครั้งนี้ ไม่ว่าไผ่จะพูดอะไรออกมา เขาก็ไม่คิดต่อว่าอีกฝ่าย หรือโยนให้เป็นความผิดของอีกฝ่าย ในทางกลับกันถ้าเขาไปตกที่นั่งแบบนั้น เขาจะทนได้อย่างที่เจ้านั่นทนรึเปล่า

เพราะที่สุดแล้ว สิ่งที่เจ้านั่นทำทุกอย่างก็เพื่อเขา...ถ้าเขาจะยอมรับความรู้สึกของอีกฝ่ายมาไว้ในใจซักนิด เรื่องก็คงไม่เป็นอย่างนี้

ไอ้ทึมวิชเอ๊ย! ร่างสูงต่อว่าความโง่เง่าของตัวเอง หากแต่ก็ย้ำถึงสิ่งที่ใจเขาต้องการในเวลานี้ได้ไม่ยาก และ...

แม้จะยังไม่ชัดเจน แม้จะยังคลุมเครือ แต่...

อีกครั้ง ขอเจอร่างเล็กนั่นอีกครั้ง ไอ้สิ่งที่ยังเลือนรางในใจคงจะแจ่มชัดขึ้นมาแน่นอน คิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าขาวนวลของคนที่เคยอยู่ไม่ห่างก็แจ่มชัดขึ้นมาในสมอง

กี่ครั้งแล้วที่ได้มองใบหน้านั้นตรงๆแล้วต้องถอดถอนใจจนเหนื่อย...กับหน้าขาวๆปากแดงๆเนื้อตัวนุ่มนิ่มหอมกรุ่นนั่น

ความคิดของประวิชสะดุดลงเมื่อมีอะไรบางอย่างวิ่งปราดเข้ามาในหัว อย่างกับมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่าน หัวใจดวงโตเริ่มเต้นถี่เร็วจนเจ้าของต้องยกมือขึ้นทาบหน้าอกตัวเอง

เขา...ริมฝีปากได้รูปครางออกมาได้เท่านั้น แล้วจึงยกโทรศัพท์ขึ้นโทรหานทนทีทันที ก่อนจะรออีกฝ่ายรับสายอย่างกระสับกระส่าย

“นท!” เสียงร่างสูงดีใจเมื่ออีกฝ่ายรับสาย

“วิช...เป็นยังไงบ้าง” นทนทีถามอย่างเป็นห่วง เพราะหลายๆครั้งที่เขาโทรไปถามสารทุกข์สุขดิบ อีกฝ่ายก็มีน้ำเสียงหงุดหงิดเหมือนคนไม่อยากคุยซะงั้น

“ก็ไม่สบาย นายก็รู้นี่ว่าเพราะอะไร”

“...อืม”

“นท...” ริมฝีปากหยุดชะงักก่อนจะกลั้นใจถามอย่างหวังในคำตอบ “ไผ่ติดต่อเข้ามาบ้างหรือยัง”

คำถามของประวิชทำให้นทนทีต้องเงียบงัน แล้วชั่งใจในสิ่งที่ตัวเองจะตอบออกไป เพราะเขารู้อยู่เต็มอกว่าไผ่อยู่ที่ไหน และเป็นฝีมือใครที่ส่งไป ก็คนที่ยังนอนหลับอยู่ข้างๆนี่ไง

“ยะ...ยังไม่ติดต่อมาเลย” เขาไม่ได้โกหกนะ ก็ไผ่ยังไม่โทรมาจริงๆ แต่เขารู้มาจากปถวีต้นเรื่องต่างหาก

“ไม่เลยเหรอ...” เสียงปลายทางแหบแห้งจนน่าใจหาย

“ฉันว่าไผ่ไม่เป็นอะไรหรอก คงแค่อยากจะอยู่เงียบๆ วิชอย่ากังวลเรื่องนี้เลย แล้วก็ไม่ต้องโทษว่าเป็นเพราะตัวเองด้วยนะ”

“อืม...แต่ฉันก็ยังอยากเจอไผ่จริงๆนะนท ขอฉันเจอหน้าเจ้านั่นอีกที ฉันอยากจะคุยกับมันก่อน”

“วิช...” นทนทีครางขึ้นในอก เขาควรจะบอกดีหรือเปล่า?

“ไม่เป็นไร ไว้นทรู้ข่าวแล้วรีบโทรบอกฉันนะ ฉันอยากเจอมัน อยากเจอมาก”

“อืม”

“เดี๋ยวเดือนหน้าฉันจะขึ้นกรุงเทพ แล้วจะแวะไปหานะ” ประวิชบอกกล่าวอีกฝ่าย แล้วจึงวางสายไป
พร้อมกับหัวใจที่แฟบลงทันตาเห็น

ไม่มีใครรู้เลยจริงๆเหรอ...

บ้าเอ๊ย! อย่าให้เจอนะ...


XXXXX


“ใครเหรอ” น้ำเสียงอู้อี้ดังขึ้น พลางรวบเอวเล็กเข้าไปกอด

“ประวิชน่ะ เสียงไม่ค่อยดีเลย” นทนทีเอ่ยอย่างเป็นกังวล

“...ปล่อยไปซักพักนั่นละ” ปถวีพูดแล้วซุกหน้าลงกับหมอนตามเดิม

“ไผ่เป็นไงบ้าง” ร่างโปร่งก้มมองคนยังหลับตาทำท่าไม่อยากลุกทั้งๆที่ก็สายมากแล้ว

“สบายดี วันก่อนเพิ่งโทรหา ก็เรื่อยๆของมันนั่นละ”

“เหรอ...แต่คราวนี้ไม่โทรหาฉันเลย”

“คิดมาก กลัวนายจะไปบอกเจ้าวิชมันนะสิ”

“...” ก็เกือบจะบอกอยู่...

ร่างสูงใหญ่นอนเปลือยเปล่าใต้ผ้าห่มที่จะหลุดมิหลุดแหล่จากตัว เพ่งมองวงหน้าขาวลอยเด่นแค่ช่วงมือเอื้อม ในเวลานี้ เวลาที่ไม่มีใครมาแทรกให้ขัดใจ เขารู้สึกสงบได้อย่างน่าประหลาด ถ้าเป็นอย่างนี้ตลอดไปจะดีขนาดไหน

“นท...” มาทำงานกับฉันเถอะนะ ประโยคท้ายยังไม่ทันได้หลุดออกจากปาก เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะอีกครั้ง “โธ่เว้ย!” สบถเบาๆก่อนจะเอื้อมมือขึ้นไปหยิบโทรศัพท์มาแนบหู ไม่น่าลืมปิดเลยจริงๆ

“ครับ...แม่”

“นี่กี่โมงแล้ววี แม่รอลูกอยู่นะ!”

ตายชัก! ลืมโทรบอกแม่ว่าไปไม่ได้ ปถวีครางอยู่ในคอ “อือ...วีลืมบอกแม่ว่าติดธุระ แม่ให้เจ้านลขับรถไปเถอะนะครับ”

“วี! แม่ไม่ได้บอกน้องไว้ น้องเลยไปธุระเรื่องแต่งงานกับหนูวาแล้ว ไม่รู้ละ วีออกมาหาแม่เดี๋ยวนี้เลย แม่รู้ว่าลูกไม่มีธุระเรื่องงานที่ไหน”

“แม่...วีอยู่กับเพื่อน นัดไว้...”

“เอาไว้คุยกันวันอื่นลูก แม่รอลูกนานแล้ว จะให้แม่เสียหน้ากับคนอื่นที่นัดไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วนะเหรอ”

“แม่...”

“ไม่ต้องมาแม่เลยวี”

“...” ปถวีเหลือบมองแผ่นหลังร่างโปร่งบางแน่วนิ่วก่อนจะถอนหายใจยาว

“ครับแม่”

ร่างสูงรับคำมารดาแล้วจึงวางโทรศัพท์ลงตามเดิม มือใหญ่คว้าเอวเล็กเข้ามากอดแน่นๆก่อนจะคลายออก

“แม่ให้ไปหาน่ะ...” สายตาคู่คมรอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย “นทอยู่นี่นะ เดี๋ยวบ่ายๆก็กลับแล้ว”

แขนเล็กยันตัวเองลุกนั่งพลางเสยผมอย่างลวกๆ ก่อนจะตอบเสียงราบเรียบทั้งที่ในช่องท้องเริ่มปั่นป่วน

“ไม่ละ เดี๋ยวติดรถนายกลับบ้านเลยดีกว่า แม่อยู่คนเดียวด้วย” นทนทีลุกขึ้นยืนหันมาฉีกยิ้มจำเป็นให้ร่างสูง แล้วจึงเดินเลยไปยังห้องน้ำให้ปถวีเดินตามเข้าไปโอบกอดด้านหลัง

“เย็นๆจะเข้าไปหานะ”

นทนทีพยักหน้ารับคำกับผนังกระเบื้องเงียบๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนรักของเขากำลังจะไปเจอผู้หญิงที่แม่หาให้ แล้วเขาควรจะลุกขึ้นมาชี้หน้าว่าอีกฝ่ายมั้ย ว่าผู้ชายคนนี้กำลังคบอยู่กับเขา มันทำได้หรือ? เพราะไม่ใช่ความผิดของผู้หญิงคนนั้นเลย ในเมื่อเธอไม่รู้เรื่องอะไร

ท่ามกลางสายน้ำเย็นฉ่ำ หากแต่หัวใจสองดวงภายใต้กลับเต้นแรงร้อนรน เหมือนมีไฟมาสุมอก เชือกที่พวกเขาร่วมกันผูกและยึดโยงหัวใจของเขาเข้าด้วยกัน กำลังจะขาดที่ละน้อยๆด้วยไฟที่พวกเขาเป็นคนเติมเชื้อ

V
V
V
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-12 (07/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: ปี้ปี้ปี้~PalmY ที่ 07-10-2009 22:32:35
ช็อคเว่ยยย

บีบบอารมณ์เว่ยยยย

เคลียดเว่ยยย T^T
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-12 (07/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 07-10-2009 22:37:18
ตอนที่ 15

ก๊อกๆ เสียงนิ้วเคาะลงบนโต๊ะทำงานเรียกสติของคนเหม่อลอยให้กลับมาอยู่กับกระดาษขาวไร้การขีดเขียนอย่างที่เจ้าตัวตั้งใจไว้แต่แรก แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองทวีปยืนอมยิ้มล้อเลียน

“ใจลอยไปถึงไหนน่ะนท”

“...อะ...อ๋อ...เปล่าเหรอ เผลอคิดเรื่อยเปื่อยน่ะ มีอะไรเหรอครับ”

“เย็นนี้ประธานนัดเลี้ยงรับรองลูกค้าไว้ นทต้องตามไปด้วยนะ เพราะคงมีการคุยกันเรื่องสัญญาคราวๆไว้เลย”

“แล้วหัวหน้าละครับ” นทนทีหมายถึงหัวหน้างานของตนที่โดยปกติจะรับหน้าที่ตรงนี้อยู่ตลอด

“อ๋อ...ถูกรองประธานขอตัวไปด้วยเย็นนี้เหมือนกัน”

นทนทีพยักหน้ารับช้าๆ “ช่วงนี้งานเข้าเยอะนะครับ”

“ใช่ๆ รับรองปีนี้โบนัส10เดือน” ทวีปพูดแกมหัวเราะพลางขยิบตาให้คนทำหน้าไม่เชื่อ

“อะ...ไม่เชื่อละสิ แต่ตอนนี้ที่แน่ๆท่านประธานสั่งเพิ่มจำนวนทุนศึกษาต่อให้กับพนักงานอีกหลายทุนเลยละ วันนี้ทางเจ้าหน้าที่บุคคลเสนอมาหลายรายคงจะผ่านทั้งหมดที่เสนอมานั่นละ แล้วเด็กทุนเก่าอย่างนายไม่คิดจะขอทุนต่อเหรอ”

“ยังไม่รู้เลยครับ แค่นี้ก็ยังทำงานใช้ทุนเก่าไม่หมดเลย”

“มันก็แค่ระยะเวลาละน่า ไม่ได้ต้องเอาเงินมาจ่ายซะหน่อย”

นทนทียิ้มรับทำนองตัดบท แค่นี้ก็ทะเลาะกับปถวีจะแย่แล้ว ขืนถ้าเขายังต้องทำงานแบบมีข้อสัญญาผูกมัดไปอีกซักห้าปีหกปี อีกฝ่ายคงเต้นเป็นเจ้าเข้าแน่ๆ

“แล้ววันนี้เพื่อนจะมารับอีกรึเปล่า พักนี้ไม่ค่อยเห็นหน้า” ทวีปมองร่างโปร่งเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจก่อนจะอมยิ้ม

“ทำไม? คุณทวีปคิดถึงคุณกันย์เหรอครับ เดี๋ยวผมโทรบอกให้ก็ได้นะ”

“...เฮ้ย!ไม่ใช่”

ท่าทางตกใจของอีกฝ่ายยิ่งทำให้นทนทีมั่นใจว่า ทวีปสนใจคุณเลขาหน้าตายแน่นอน ก็เห็นชอบแกล้งให้เขาโกรธประจำ ทำเป็นเด็กไปได้คุณทวีป

“ก็แค่ถามดู”

“เหรอครับ” ร่างโปร่งยิ้มตอบอีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยจะเชื่อ

“ช่างเถอะ ไงก่อนไปซักชั่วโมงก็เข้าไปคุยรายละเอียดกับประธานนะ”

“ครับ” นทนทีมองส่งร่างสูงที่จากไปอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ก่อนจะส่ายหน้ากับตัวเอง เขาเล่นแรงไปมั้ยเนี่ย


XXXXX


“คุณปถวีครับ...” เสียงเลขาคนสนิทพูดได้เพียงแค่นั้น ก็มีเสียงนุ่มนวลของมารดาดังขึ้นตามหลัง ร่างสูงที่กำลังอ่านรายละเอียดโครงงานจึงเงยหน้าขึ้นยิ้ม

“แม่...มาตรวจสอบอะไรวีรึเปล่าเนี่ย” ปถวีลุกขึ้นออกมารับมารดาแล้วพาไปนั่งที่ชุดรับแขก

“มาแบบไม่ให้เตรียมตัวเลยนะครับ”

“ก็ถ้าไม่มาแบบนี้จะรู้เหรอว่าลูกอู้งานรึเปล่า” คุณศรีสอางค์ยิ้มตอบบุตรชาย

“โธ่แม่ ไม่ได้อู้ซักหน่อย”

“จ๊ะ แม่รู้ว่าลูกแม่ขยัน เลยจะชวนไปกินข้าวเย็นนอกบ้านนี้ไง”

ปถวีเลิกคิ้วเข้มอย่างแปลกใจ ด้วยหากเป็นปกติเวลาจะไปทานข้าวนอกบ้านก็จะไปกันเป็นครอบครัว คราวนี้แม่มาแปลกแฮะ

“แล้วแม่คิดร้านไว้ยัง ถ้าไม่เด็ดวีไม่ไปนะเออ”

คำหยอกของลูกชาย คุณศรีสอางค์จึงส่งสายตาค้อนไปให้

“ถ้าลูกอยากกินแบบแปลกพิสดาร ขนาดห้อยหัวกินบนเครื่องบินรบขนาดนั้นละก็ เดี๋ยวแม่จะหาให้” ปถวียิ้มให้กับคำเหน็บแนบของมารดาก่อนจะโน้มตัวเข้าไปหอมแก้มขาวฟอดใหญ่

“โฮ้...ไม่ละแม่ เอากินแบบปกติน่ะดีแล้ว นี่ก็จะห้าโมงเย็น ไปเลยมั้ยครับ”

“ไปเลยสิจ๊ะ” ผู้เป็นมารดายิ้มตอบก่อนจะเอ่ยบอกในสิ่งที่ทำให้คนเป็นลูกอยากจะหันกลับไปนั่งทำงานต่อ “แม่ชวนหนูอรเขาไปด้วย แล้วก็เลยเข้ามาหาลูกนี่ละ ไปกับแม่คนเดียวเดี๋ยวก็จะเบื่อ”

“ ...!” แม่...ทำไมไม่บอกก่อนหน้านี้ละครับ ปถวีบ่นผู้เป็นมารดาในใจ แต่ก็ต้องทำหน้าปั้นยิ้มต่อไป

“ครับ” รับคำมารดาอย่างเนือยๆแล้วจึงแอบกระซิบบอกให้กันย์ไปรับนทนทีกลับบ้าน


Xxxxx


“คุณนทนทีออกไปแล้วค่ะ” เสียงพนักงานกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มทำให้กันย์พยักหน้ายิ้มรับคำตอบที่ฟังแล้วน่าหนักใจ ด้วยทุกครั้งที่มารับเขาจะไม่โทรมาบอกก่อน เพราะบอกแล้วอีกฝ่ายจะหาเรื่องหลบกลับเองเสียทุกทีไป

“ทราบมั้ยครับออก...” ยังไม่ทันได้พูดจบประโยค เสียงที่เจ้าตัวไม่อยากได้ยินก็ลอยดังมาจากข้างหลัง

“มาหานทเหรอครับคุณกันย์” ทวีปยิ้มอารมณ์ดี ในใจเต้นตึกตักด้วยไม่คิดว่าจะได้พบหน้าคนที่ตัวเองนึกถึงอย่างไม่คาดฝัน เพราะนทนทีไม่อยู่ที่บริษัทแล้ว

“ครับ” คนหน้าตายตอบสั้นกุด ก่อนจะหันหน้าไปหาพนักงานต้อนรับเพื่อจะถามต่อ แต่ก็ถูกขัดอีกจนได้

“น้องๆเขาไม่รู้หรอกครับว่านทไปไหน อยากรู้ถามผมสิครับ” คนหน้าทะเล้นออกตัวอาสาเต็มที

กันย์เหลือบมองร่างสูงตรงหน้าอย่างชั่งใจก่อนจะระบายลมหายใจช้าๆ ทำไมชอบเข้ามาวุ่นวายกับเขานักนะ

“แล้วเขาไปไหนเหรอครับ” ถามแบบนี้ก็เข้าทางร่างสูง ด้วยอีกฝ่ายยิ้มกว้างรอรับอยู่ก่อนแล้ว

“เดี๋ยวผมพาไปนะครับ” ท่าทางกุลีกุจอของร่างสูงทำให้กันย์นึกหมั่นไส้ตะหงิดๆ

“แค่บอกมาก็พอ ผมคงไม่รบกวนขนาดนั้นหรอกครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ยินดี ยังไงไปถึงคุณก็คงต้องไปรออยู่แล้วเพราะเขาคงยังคุยงานกันไม่เสร็จ ก็ทานข้าวด้วยกันซักมื้อนะครับ เห็นหน้ากันออกบ่อยแท้ๆ”

นี่ตั้งใจจะไม่บอกถ้าไม่ตอบตกลงใช่มั้ยเจ้านี่! สายตาขุ่นขวางเกิดขึ้นชั่ววูบก่อนจะหายไปในเวลาอันรวดเร็ว แล้วพยักหน้าตอบรับ

“เชิญคุณขับนำทางไปเลยครับ” คนทำหน้าตายบอกแล้วหันหลังเดินออกไปยังลานจอดรถ โดยมีร่างสูงเดินตามมาอย่างสบายอารมณ์ก็ให้นึกคันยิบๆในใจ จนกระทั่งถึงรถตัวเองอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมเดินไปไหน เอาแต่ยืนยิ้มให้คนที่เริ่มจะคันมือคันไม้เลิกคิ้วขึ้นถาม และก่อนจะได้เอ่ยปาก คนอมยิ้มวางแผนไว้ในใจก็เอ่ยตอบ ให้คนที่นึกระแวงอยู่แล้วร้องอ๋อ...ทันที

“ขอไปกับคุณกันย์เลยละกันครับ ขากลับผมกลับกับประธานได้ ประหยัดน้ำมันไงครับ”

เจ้าเล่ห์! กันย์นึกต่อว่าอีกฝ่ายในใจ แต่ก็ยอมให้ทวีปขึ้นมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อในรถ ด้วยจนปัญญาจะหาทางออก

“ขับตรงไปเลยครับ” ทวีปยิ้มกริ่มบอกทางให้อีกฝ่ายที่เริ่มตาขวางหน่อยๆด้วยอารมณ์คึกครื้น

“ร้านไหนละครับ” กันย์ถามจุดหมายด้วยไม่อยากฟังอีกฝ่ายคอยบอกทางเหมือนเขาเป็นมือใหม่หัดขับ

“ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ตึก MFC ครับ” ทวีปตอบแต่โดยดี ด้วยเขาขึ้นมาอยู่บนรถแล้วไม่ยอมลงไปง่ายๆแน่นอน โดยไม่รู้ว่าคำตอบของตนทำให้อีกฝ่ายขมวดคิ้วแปลกใจชั่ววูบ

“โลกกลมจริงๆ”


Xxxxx


ร้านอาหารญี่ปุ่นใจกลางกรุงเทพย่านธุรกิจใหญ่ เป็นสถานที่ที่เทวัญใช้เลี้ยงรับรองลูกค้า

“ได้ข่าวว่าประสพอุบัติเหตุตอนไปสัมมนาเหรอครับ” ประธานบริษัทคู่ค้าท่าทางอารมณ์ดีเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบกับเทวัญเมื่อการคุยเรื่องสัญญาผ่านพ้นไป

“นิดหน่อยนะครับ แค่ถลอกๆ”

“อย่างนี้วันหน้าผมก็ชวนไปออกรอบตีกอล์ฟได้แล้วสิครับ”

เทวัญหัวเราะแล้วจึงพยักหน้าตอบรับ พลางลูบต้นแขนที่เคยถลอกปอกเปิก นี่ถ้าไม่เพราะเจ้าเด็กนั่น เขาก็ไม่ต้องไปนอนให้หมอตรวจเป็นวันๆแบบนั้นหรอก ความคิดสะดุดลงเมื่อร่างโปร่งที่นั่งข้างๆขยับตัวไปมา

นทนทีมองสายตาเชิงถามของอีกฝ่ายก่อนจะบอกขอตัวไปห้องน้ำ ร่างสูงจึงพยักหน้ายิ้มรับมองตามร่างโปร่งบางเลื่อนประตูเปิดเดินออกไปจากห้องส่วนตัว แล้วจึงหันกลับมาสนทนากับบริษัทคู่ค้าต่อ

เมื่อนทนทีออกมาจากห้องเลี้ยงรับรองส่วนตัวของทางร้านก็พบผู้มาใช้บริการอื่นๆนั่งรับประทานอาหารบริเวณส่วนนอกค่อนข้างหนาตากว่าตอนที่เขาเข้ามา ร่างเล็กกวาดตามองผ่านๆก่อนจะก้มหน้าเดินไปยังห้องน้ำ โดยไม่ทันสังเกตที่มุมหนึ่งของร้านมีร่างสูงใหญ่ของปถวีนั่งเคียงข้างอยู่กับอรอนงค์ และมีมารดานั่งอยู่ตรงกันข้ามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ตรงนั้นว่างเข้าไปเลยครับ” ทวีปชี้ช่องจอดรถให้กันย์ขับเข้าไปจอด หากแต่เมื่อรถหยุดสนิทเจ้าของใบหน้าเฉยชากลับไม่มีทีท่าว่าจะลุกเข้าไปภายในร้าน จนทวีปออกอาการแปลกใจเสียเอง

“ไม่เข้าไปข้างในเหรอครับ”

“ไม่ครับ”

“อีกนานกว่าเขาจะคุยงานกันเสร็จ เข้าไปทานข้าวรอข้างในไม่ดีกว่าเหรอ หิ้วท้องรอแบบนี้เดี๋ยวเกิดโมโหหิวขึ้นมาไม่รู้ด้วยนะครับ” ทวีปยิ้มกริ่มให้กันย์ที่ส่งสายตาเย็นเฉียบมาให้หนาวๆร้อนๆเล่น

หึๆใครเขาอยากกินข้าวกับนายกัน ร่างโปร่งนึกค่อนขอดอีกฝ่ายในใจพลางลูบท้องตัวเองที่ตอนนี้ว่างเปล่าเหลือเกิน ถ้าเจ้านี้ไม่เสนอตัวมาด้วยละก็ คงเข้าไปหาอะไรทานไปแล้ว

ทวีปมองอีกฝ่ายที่ยังตั้งท่าไม่ไปไหนท่าเดียวอย่างจนใจในความดื้อดึงของอีกฝ่าย

“งั้นก็ตามใจครับ” ไม่พูดพร่ำทำเพลง ทวีปก็เปิดประตูเดินเข้าไปภายในร้านที่อยู่ส่วนหน้าของตึกสูงใหญ่ ทิ้งให้คนที่อยู่ในรถมองตามตาขวาง

“หึ!”


XXXXX


ร่างโปร่งของนทนทีจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ แล้วจึงเดินมองผ่านต้นไม้พลาสติกหนาใบไปยังส่วนหน้าของร้าน ซึ่งมีโต๊ะไว้รับรองลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการเป็นกลุ่มเล็กๆ ขาวยาวก้าวเรียบเรื่อยและหยุดชะงักลง เมื่อร่างสูงใหญ่คุ้นตาเข้ามาอยู่ในกรอบสายตาขณะเดินผ่านเสาต้นใหญ่

“วี...” ชายหนุ่มที่ร่างโปร่งครางเครือถึงกำลังยิ้มกว้างให้กับหญิงสาว และแม้จะอยู่ห่างจนไม่ได้ยินว่าคนทั้งคู่กำลังคุยกันเรื่องอะไร แต่สีหน้าสีตาที่บ่งบอกถึงความสุขก็ทำให้ใจเล็กๆของคนลอบมองกระตุกแรง

คุณศรีสอางค์...สายตาร่างโปร่งเพ่งพิจารณาหญิงสูงวัยมีอากัปกิริยาปลาบปลื้มไม่น้อยกับเหตุการณ์ที่เป็นอยู่ตรงหน้า และผู้หญิงคนนั้น...ไม่มีตรงไหนให้คิดตำหนิได้เลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะหน้าตาหรือชาติตระกูล ยิ่งนั่งใกล้ๆกันขนาดนี้ ดูยังไงก็สมกันยังกะกิ่งทองกับใบหยก สมควรอยู่หรอกที่คุณศรีสอางค์จะหมายมั่นปั้นมือ

ภาพบุคคลทั้งสามคนเข้ามาอยู่ในความนึกคิด ทั้งที่ดูเป็นภาพสุดแสนจะธรรมดาในสายตาของคนทั่วไป แต่สำหรับคนที่มีปมในใจมันก็เหมือนกับเข็มที่คอยตำยอกในใจดีๆนี่เอง

นทนทีละสายตาจากบุคคลทั้งสามที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนลอบมองอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองเริ่มลางเลือน

“สมบูรณ์แบบ...จนน่าอิจฉา” เสียงพึมพำลอดผ่านริมฝีปากแห้งผาก จะโทษใครได้งั้นเหรอ...ในเมื่อเขาเป็นคนเลือกชีวิตตรงนี้เอง เพราะทุกคนก็มีหน้าที่ หน้าที่ของแม่ หน้าที่ของลูก ไม่ช้าไม่เร็วเขาก็ต้องเจอเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้เหมือนกัน ไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อยที่เห็น แต่...กลัว กลัวสิ่งที่ยึดถือไว้ในเวลานี้จะไม่จีรังยั่งยืน

ขายาวพาร่างกายชาหนึบเข้าไปนั่งปั้นยิ้มรับลูกค้า หากแต่ดวงตาที่เคยสดใสกลับหม่นหมองจนเทวัญลอบมองอย่างเป็นห่วง

“เป็นอะไรรึเปล่า ดูหน้าตาไม่ค่อยสบาย” เสียงกระซิบของประธานหนุ่มดังขึ้นใกล้ๆหูร่างโปร่ง ริมฝีปากไร้สีเลือดจึงจำต้องคลีย้ำอย่างเสียไม่ได้

“เปล่านี่ครับ” คนถูกถามตอบเสียงเบา มองใบหน้าคมกวาดตามองมาอย่างประเมินในที ก่อนจะเสตอบ

 “คงหนาวแอร์มั้งครับ” มือเล็กยกขึ้นแบให้อีกฝ่ายมองความขาวซีดอันเกิดจากความเย็นแล้วจึงวางลงเท้ากับพื้นตามเดิม

คนทำท่าไม่เชื่อเอื้อมมือเข้ากอบกุมมือเล็กอย่างถือสิทธิ์ ให้เจ้าของมือเบิกตากว้างแต่ไม่สามารถชักมือกลับได้ในทันทีด้วยเกรงจะเป็นที่ผิดสังเกตแก่ผู้ร่วมโต๊ะ มีแต่ดวงตาเท่านั้นที่กำลังสั่นไหวด้วยกลัวจะถูกเห็นแม้จะมีโต๊ะบดบังอยู่ก็ตามที สัมผัสที่เย็นเฉียบของมือขาวนวลทำให้เทวัญขมวดคิ้ว

มันเย็นเกินกว่าจะบอกว่าเพราะแอร์แล้วนะนทนที...

“เดี๋ยวก็กลับแล้ว” เสียงกระซิบบอกของร่างสูงใหญ่ นทนทีจึงทำได้แต่พยักหน้ารับคำ

ร่างสูงโปร่งใบหน้าเรียบเฉยทอดตัวกับเบาะรถมองผ่านกระจกไปยังบริเวณหน้าทางเข้าของร้าน เฝ้ามองเป้าหมายว่าจะออกมาเมื่อไรอย่างใจเย็น แล้วจึงเหลือบมองที่นั่งว่างเปล่าข้างตัวที่เมื่อครู่ยังมีคนกวนโทสะนั่งอยู่

“บทจะมาก็มา บทจะไปก็ไป เอาแต่ใจกันจริงๆ” เสียงบ่นพึมพำไม่ทันขาดปาก ร่างสูงในชุดสูทของทวีปก็ปรากฏขึ้นและกำลังเดินรี่เข้ามาหา ในมือถือถุงหูหิ้วหลายใบ พอเข้ามาได้ระยะคนหน้าทะเล้นก็ฉีกยิ้มเผล่ให้คนนั่งในรถต้องขมวดคิ้วสงสัย

ก๊อกๆ เสียงเคาะกระจกรถทำให้กันย์ต้องปลดล็อกเปิดประตูให้อีกฝ่าย เพราะไม่งั้นคงเคาะกันกระจกแตกไปข้างหนึ่ง

“ขนมจีบครับ” เหมือนเส้นเลือดของคนหน้าตายจะปูดโปนขึ้นอย่างกระทันหันเมื่อมือใหญ่ยื่นส่งถุงเซเว่นอีเลฟเว่นให้ สายตาเย็นเฉียบจึงตวัดขึ้นมองขุ่นขวางทันที ให้มันน้อยๆหน่อย!

“ไม่ชอบเหรอ งั้นซาลาเปาก็มีนะ” เมื่อเห็นสีหน้าที่พร้อมจะเตะตัวเองออกไปจากรถได้ ร่างสูงจึงเปลี่ยนท่าทีเอาใจอีกฝ่ายทันที

ดุจริงวุ้ย...มีลูกมีหลานขอตัวนะ ถึงจะพูดแหย่อีกฝ่ายในใจแต่มือก็สาละวนหยิบแกะถุงของกินของว่างเป็นระวิง

“รอแบบนี้กลัวจะหิวก็เลยซื้อมาให้น่ะ ง่ายๆแบบนี้ทานได้มั้ย หรืออยากกินอย่างอื่น?” ทวีปเอ่ยรัวเร็ว ในขณะที่กันย์ยังนั่งนิ่งก่อนจะเอ่ยปากออกมาในที่สุด เพราะคนพูดก็พูดแบบไม่ได้ดูอารมณ์เขาเลย ตั้งหน้าตั้งตาแกะอะไรต่อมิอะไรออกมากองไว้เต็มหน้ารถจนน่าอ่อนใจในความหน้าด้านหน้าทน

“ทานได้ทุกอย่างละ ยกเว้นขนมจีบ”

“...!” เทวัญยิ้มเก้อๆให้อีกฝ่ายที่มองมาตาเขม่ง

ร่างโปร่งมองดูรอยยิ้มเก้อๆก่อนจะหยิบซาลาเปาอุ่นขึ้นมาจ่อใกล้ริมฝีปาก แล้วจึงค่อยเอ่ยถาม

“คุณทวีปทานแล้วรึยังครับ ยังไงคุณออกไปหาอะไรทานตามใจชอบได้เลยนะครับเพราะในรถคงไม่ค่อยสะดวกคุณ ไม่ต้องกังวลผมหรอกครับ” ถึงจะทะเล้นยียวนกวนประสาท แต่น้ำใจที่อีกฝ่ายมีให้ก็ยากที่ปฏิเสธ

ฟังดูเหมือนจะเป็นประโยคแล้งน้ำใจ แต่ความชุ่มเย็นที่แฝงมาด้วยเล็กๆน้อยๆก็ทำให้คนที่จนด้วยเกล้ามาตลอดยิ้มแก้วแทบปริ ได้เรื่องแล้วโว้ย...

“ไม่เป็นไร ก็ตั้งใจมาทานด้วยนี่ ทานสองคนมันอร่อยกว่าทานคนเดียวนะ” ทวีปยักคิ้วให้อีกฝ่าย แล้วจึงค้นๆในถุงต่อ

“Hotdogก็มีนะ อะ...น้ำ”

มือเรียวได้รูปจำต้องรับขวดน้ำเย็นฉ่ำพลางกวาดตามองความเรียบร้อยไม่มีรอยบุบรอยแตกหรือรูให้ใส่สิ่งแปลกปลอมเข้าไปอย่างรวดเร็วไม่ให้คนส่งสังเกตได้ ก่อนจะเปิดยกดื่ม

คนเราเดี๋ยวนี้ไว้ใจได้ซะที่ไหน


นี่ถ้าคนที่กำลังกุลีกุจอหยิบโน่นส่งนี้ให้รับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในหัวของร่างโปร่งตอนนี้คงปวดใจแกมหมั่นไส้น่าดู และคิดจับกดให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวไปซะเลย จะได้ไม่ต้องมานั่งกังวลให้เปลืองสมอง

V
V
V
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-12 (07/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 07-10-2009 22:38:01
เสียงโทรศัพท์ของคุณศรีสอางค์ดังขึ้นเมื่อผู้ร่วมโต๊ะอิ่มหนำพอดิบพอดี เจ้าตัวกดรับสายแล้วตอบรับเบาๆกับโทรศัพท์

“อืม...ถึงแล้วเหรอ ตรงไหน เดี๋ยวฉันออกไป”

“มีอะไรครับแม่” ปถวีเอ่ยถามเมื่อมารดาเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าตามเดิม

“อ๋อ...แม่ให้คนขับรถมารับนะลูก”

“อ้าว! ทำไมละ เดี๋ยววีก็ไปส่งแม่ไง”

“จะมาอ้าวอะไรละลูก แม่ไม่อยากให้เทียวไปเทียวมาเพราะถึงไปส่งแม่ลูกก็ไม่ค้างกับแม่หรอกใช่มั้ยละ เอะอะก็กลับไปนอนคอนโดของลูกท่าเดียวไม่รู้มีอะไรดี แล้วอีกอย่างต้องไปส่งหนูอรเขาด้วย ไปส่งแม่อีกจะเหนื่อยเปล่าๆ” คำพูดชักแม่น้ำทั้งห้าของคุณศรีสอางค์ทำให้บุตรชายถึงบางอ้อ

แม่เราเป็นนักวางแผนไปซะแล้ว...คนเป็นลูกคิดอย่างอ่อนใจ

“อร่อยมั้ยหนูอร ร้านนี้เขาขึ้นชื่อสูตรต้นตำรับจากญี่ปุ่นเชียวนะ”

“อร่อยค่ะ ของเขาสดดีนะค่ะ”

“จ๊ะ ว่างๆน้าก็มาทานบ่อย ไว้เรามาทานกันอีกนะหนูอร”

“ค่ะ” อรอนงค์ยิ้มรับพลางหันไปทางชายหนุ่มที่วันนี้ดูจะทำตัวเป็นลูกที่ดีของแม่เต็มที่

“พี่วีละค่ะ”

“อะ...อืม เอาสิ จะมาวันไหนก็บอกพี่ละกัน” แต่จะว่างไม่ว่างว่ากันอีกเรื่องนะ ชายหนุ่มนึกต่อในใจ แล้วคราวหน้าคงต้องหาเรื่องหลบเลี่ยงแม่ไว้ก่อนดีกว่า รู้สึกว่าอยากจะได้ลูกสะใภ้ซะเหลือเกิน

“งั้นแม่กลับก่อนนะ แล้วไปส่งน้องเขาดีๆนะวี” คุณศรีสอางค์หันมากำชับบุตรชายแล้วจึงลุกขึ้นเดินจากไป

“เราก็กลับกันเลยมั้ยน้องอร เดี๋ยวจะถึงบ้านดึก” ปถวีเอ่ยชวนหญิงสาวซึ่งพยักหน้าตอบรับ

ร่างสูงใหญ่เดินเคียงข้างหญิงสาวออกไปด้านนอก ในขณะที่กลุ่มคนจากห้องรับรองส่วนตัวของ

ร้านอาหารก็เดินจับกลุ่มออกมาเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างเดินมาบรรจบพบกันบริเวณทางออกหน้าร้านพอดิบพอดี

หือ.....เสียงครางรับรู้ในลำคอของเทวัญทำให้นทนทีปั้นหน้าไม่ถูก เพราะคนที่ยืนประจันหน้ากับกลุ่มของเขาคือปถวีและอรอนงค์

ปถวีเลิกคิ้วขึ้นมองร่างโปร่งที่มาพร้อมกับคณะอย่างค้นคว้า ก็เขาสั่งให้กันย์ไปรับกลับบ้านไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้โดยที่เขาไม่รู้ เจ้ากันย์ทำอะไรอยู่?

ริมฝีปากได้รูปของเทวัญเหยียดยิ้มเมื่อเห็นหญิงสาวที่มาพร้อมปถวีขยับเข้าไปยืนใกล้ร่างสูงอย่างไม่ขัดตา แต่ในทางกลับกันก็ดูเป็นการประกาศฐานะอยู่ในที ก่อนจะเหลือบตามองร่างโปร่งข้างกาย

อย่างนี้นี่เอง...

“สวัสดีครับคุณปถวี มาทานข้าวเหรอครับ” เทวัญส่งมือให้อีกฝ่าย ซึ่งทางฝ่ายนั้นก็จับตามมารยาทอย่างเสียไม่ได้ ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของเทวัญจะหันไปยืนส่งลูกค้าแล้วจึงหันมายิ้มให้หญิงสาวอย่างมีอัธยาศัยต่อโดยไม่สนใจสายตาดุดันที่มองมาและผ่านเลยไปยังคนข้างหลัง

“จะกลับแล้วหรือครับ”

“ค่ะ...เออ...?”

“เทวัญครับ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นมองร่างสูงตรงข้ามก่อนจะพูดต่อ “เพื่อนของคุณปถวีละครับ” คนพูดทำหน้าตายตีขลุมไปเรื่อย พลางฉุดคนยืนนิ่งเป็นหุ่นอยู่ข้างหลังให้ขยับขึ้นมายืนเสมอตนเอง

“ขอทราบชื่อคุณผู้หญิงหน่อยได้มั้ยครับ” ริมฝีปากได้รูปยิ้มให้หญิงสาวอย่างมีอัธยาศัย หากแต่ปถวีที่มองดูอยู่มันเหมือนการยิ้มเยาะเสียดสีเขาเสียมากกว่า

“อรอนงค์ค่ะ เรียกอรเฉยๆก็ได้คะ เป็นเพื่อนแล้วก็เลขาคุณปถวีด้วยค่ะ” หญิงสาวยิ้มละไมให้ชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานที่เพิ่งรู้จัก

เทวัญขยับทำท่าจะแนะนำนทนทีต่อ หากแต่อรอนงค์ยิ้มและเอ่ยออกตัวขึ้นมาก่อน

“คุณนทนที? จำอรได้มั้ยค่ะ ที่เจอกันที่คอนโดน่ะค่ะ” อรอนงค์จ้องมองนทนทีนิ่งแม้ริมฝีปากจะฉีกยิ้มอยู่ก็ตามที แรงกดดันที่มาพร้อมกับสายตาคู่สวยทำให้นทนทีรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง

“จะ...จำได้ครับ ต้องขอโทษด้วยที่วันนั้นทำให้ตกใจนะครับ”

“ไม่หรอกค่ะ ดีใจที่ได้พบกันอีกด้วยซ้ำ”

คำพูดที่ดูไม่เหมือนจะจงใจกระแทกแดกดันใคร แต่กับนทนทีมันเหมือนถูกหินหนักกระแทกเข้าใส่ใจอย่างแรง อะไรบางอย่างในแสงตาของหญิงสาวทำให้เขารู้สึกสั่นไหว จน...อยากจะหายตัวไปจากตรงนี้

“แล้วกลับยังไงกันค่ะนี่ ถ้าไปทางเดียวกันก็กลับด้วยกันมั้ยค่ะ” อรอนงค์ถามอย่างเอื้อเฟื้อ แต่ในความเอื้อเฟื้อนั้นให้ความรู้สึกคล้ายกำลังถูกจับจ้อง ล้วงลึกไปถึงความคิดความรู้สึกของอีกฝ่าย

“ขอบคุณคุณอรมากครับ แต่เดี๋ยวผมกลับด้วยกันนะครับ” เทวัญออกตัวแทนนทนทีพลางเหลือบมองใบหน้าบึ้งตึงของปถวี แล้วจึงลอบยกยิ้มกับตัวเอง

“เชิญคุณปถวีกับคุณอรตามสบายครับ” เทวัญผายมือให้ทางฝ่ายปถวีเดินออกไปก่อน หากแต่ชายหนุ่มกลับมีท่าทางกระอักกระอ่วนรีรอ เพราะถ้าไม่ใช่มารดาสั่งให้ไปส่งอรอนงค์ถึงบ้าน เขาคงกระชากร่างโปร่งตรงหน้ากลับคอนโดไปแล้ว แต่ถ้าทำอย่างที่คิด เรื่องของอรอนงค์คงไม่จบง่ายๆแน่ มารดาเขาคงเอาเรื่องและถือเป็นข้ออ้างให้ต้องใกล้ชิดกับหญิงสาวอีกแน่ๆ

จะทำยังไงดีละเนี่ย

ปถวีมองใบหน้าขาวนวลนิ่ง แต่อะไรบ้างอย่างในแววตาคู่อ่อนโยนไหววูบบิดเบี้ยวจนต้องเพ่งมองซ้ำ ความรู้สึกบางอย่างในตัวสะกิดบอกให้ร่างสูงรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังชั่งใจกับสิ่งที่เห็น...

อย่า...อย่าได้คิดเป็นอื่นเชียว! ปถวีนึกหมายมาดกับความคิดของร่างโปร่งจนแสงตาเรืองรอง ก่อนจะกลั้นใจพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“นทกลับกับเจ้ากันย์นะ คงอยู่แถวนี้ละ ...” ร่างสูงเอ่ยบอกทั้งๆที่ยังไม่แน่ใจว่าเลขาตัวดีอยู่แถวๆนี้หรือเปล่า แต่จะปล่อยให้ไปกับเจ้าประธานจอมเจ้าเล่ห์ก็เป็นไปไม่ได้แน่นอน

นทนทีมองใบหน้าเรียบเฉยติดจะบึ้งตึงแล้วจึงหันไปมองรอบๆตัว อันไร้ซึ่งวี่แววของคนที่อีกฝ่ายเอ่ยถึง

“ฮึ...” เสียงถอนหายใจเย้ยเยาะตัวเองดังขึ้น นี่เขาเป็นอะไรของผู้ชายคนนี้กัน! มือเล็กล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วกำจนสุดแรงเกิด

จะมาสั่งเสียอะไรกันนักหนา ในขณะที่ตัวเองก็กำลังทำอยู่แท้ๆ

“นท...” น้ำเสียงคาดคั้นรอคำตอบของปถวีทำให้นทนทีจำต้องพยักหน้ารับ ด้วยกลัวใจอีกฝ่ายจะระเบิดอารมณ์ออกมากลางสถานที่สาธารณะให้ได้เป็นข่าวหน้าสังคมเล่น

ร่างสูงส่งสายตากำชับกำชามาอีกรอบก่อนจะหันหลังออกไปยังลานจอดรถ โดยมีอรอนงค์เดินเคียงคู่จนไหล่แทบจะเกยกัน ถ้าควงแขนไปด้วยก็คงครบสูตรเป็นคู่รักดีๆกันนี่เอง

“นท...” เทวัญหันมองคนยืนเคียงข้างที่เฝ้ามองคนทั้งคู่เดินจากไปด้วยดวงตาว่างเปล่า ไม่มีความโกรธ เกลียด ชิงชังในแววตาคู่นี้ แต่ทำไมถึงให้ความรู้สึกหงอยเหงาได้มากมายจนอยากจะเอื้อมมือเข้าไปโอบกอด และปัดเป่าความทุกข์โศกให้หายไปจากแววตา

ร่างสูงของปถวีพยายามก้าวเท้ายาวๆเพื่อทิ้งระยะกับหญิงสาวที่ดูจะพยายามเดินเข้าประชิดติดกันมากเกินความจำเป็น กระทั่งถึงรถยนต์คันงามร่างสูงจึงเปิดประตูให้ตามหน้าที่แล้วตัวเองจึงหยิบโทรศัพท์โทรหาเลขาทันที

“นายอยู่ไหนน่ะ!”

กันย์กดรับโทรศัพท์ขณะยกน้ำขึ้นดื่ม ก่อนจะนิ่งเงียบเมื่อจับกระแสเสียงเครียดขึงของอีกฝ่ายที่ไม่ได้ปิดบังแม้แต่น้อย

“อยู่หน้าตึกMFC ครับ” คำตอบของกันย์ยิ่งทำให้ปถวีหัวเสียหนักขึ้นไปอีก

อยู่แค่นี้แล้วทำไมไม่โผล่หัวออกมาเร็วๆว่ะ แต่เพราะกลัวนทนทีจะกลับไปก่อนจึงได้แต่เก็บอารมณ์กรุ่นโกรธไว้แล้วรีบบอกจุดที่คนรักอยู่ทันที

“ไปหานทนทีเดี๋ยวนี้เลย เจ้านั่นอยู่หน้าทางออก แล้วพากลับบ้านให้ได้ ห้ามให้นทนทีไปกับเจ้าประธานบ้านั่นเด็ดขาด!...เห็นมั้ย! นายเห็นนทรึยัง”

เสียงดังลอดผ่านโทรศัพท์ให้คนฟังผงะหูหนี แล้วกวาดเอาของกินที่ทำให้ตัวเองเผลอตัวไม่ทันได้สังเกตสังกาเหตุการณ์ออกจากหน้าตัก พลางกวาดตามองไปรอบบริเวณ และพบร่างโปร่งบางของนทนทีเดินช้าๆไปกับประธานบริษัทอย่างที่ปถวีบอก ไม่ได้ผิดไปจากที่คิดจริงๆ

“เห็นแล้วครับ”

กันย์พับเก็บอุปกรณ์สื่อสารแล้วจึงหันมองคนนั่งข้างๆที่ยังเคี้ยวขนมจีบตุ้ยๆไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“ขอบคุณสำหรับวันนี้ ดินเนอร์จบแล้วละครับ” ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับร่างสูงโปร่งก็เปิดประตูเดินตรงไปยังคนทั้งคู่โดยมีทวีปเดินตามออกมาอย่างสบายๆ

“จะไม่ให้ไปส่งจริงๆหรือ มืดแล้วนะ แถมบริษัทก็มีนโยบายรับส่งพนักงานทำงานนอกเวลาอีกต่างหาก ฉันไม่อยากถูกค่อนขอดว่าไม่ใส่ใจพนักงานนา” เสียงเทวัญเอ่ยติดตลกเมื่อนทนทีออกตัวขอกลับเอง

คนถูกถามนิ่งเงียบไปพักใหญ่แล้วจึงระบายลมหายใจยาว “ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกครับ แต่ผมไม่อยากมีปัญหา...ไม่อยากมีปัญหากับใครเลย คุณเทวัญจะเข้าใจผมมั้ย” ดวงตาใสสั่นไหวจ้องมองอย่างรอคำตอบจนอีกฝ่ายต้องสูดหายใจเข้าเต็มปอด

“เข้าใจสิ เพราะเข้าใจถึงได้เป็นห่วง ไม่อยากให้อยู่คนเดียว นี่ถ้าร้องไห้โวยวายฉันจะสบายใจกว่านะ” ร่างสูงทอดเสียงอ่อนพลางกวาดตามองใบหน้าขาวนวลท่ามกลางแสดงสลัว ทั้งๆที่เคยคิดหมายมั่นปั้นมือ อยากได้มาครอบครองแม้จะต้องหักหาญน้ำใจกัน ก็คิดว่าจะทำ แต่พอได้สัมผัสถึงจิตใจของอีกฝ่าย เขากลับรู้สึกว่าตัวเองแพ้ยับไม่เป็นท่า ได้แต่เฝ้ามอง...และรอ...

นทนทียิ้มรับความปรารถนาดี แต่กลับส่ายศีรษะช้าๆ “ผมไม่ได้เป็นอะไร ห่วงกันเกินไปแล้วละครับ”

ไอ้คนที่บอกว่าไม่เป็นอะไร มันน่าห่วงกว่าคนที่รู้ตัวว่าเป็นซะอีกนะนทนที เทวัญส่ายหน้าไม่เชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมา

“ถ้าเชื่อ ฉันคงคุมพนักงานทั้งบริษัทไม่ได้หรอกนะ” มือใหญ่ยกขึ้นดีดหน้าผากมนดังเพี๊ย จนอีกฝ่ายเบ้ปากแต่ดวงตากลับมีแววขึ้นมากโข

ร่างโปร่งรู้สึกขอบคุณร่างสูงอยู่ในใจ ก่อนจะพยักหน้าน้อมรับความหวังดีของอีกฝ่าย

“ไว้วันไหนถ้าผมต้องขอความช่วยเหลือ ผมจะบอกคุณเทวัญ...” เสียงพูดหยุดชะงักก่อนจะพึมพำเหมือนบอกกับตัวเองต่อ

“อาจจะเร็วจนคาดไม่ถึงก็ได้”


เทวัญเลิกคิ้วเข้มกลับเสียงงึมงำในตอนท้าย ด้วยจับใจความไม่ได้ แต่อีกฝ่ายก็พูดตัดหน้าขึ้นมาก่อน

“แต่วันนี้ผมกลับเองดีกว่าครับ” การตัดสินใจของนทนทีทำให้เทวัญถอนหายใจดัง หึ! อย่างไม่เห็นด้วย จนร่างโปร่งต้องยกยิ้มปลอบและบอกเหตุผลที่อยู่ในใจ

“เพราะผมไม่อยากลากใครเข้ามาเพียงเพื่อประชด ถ้าผมจะรักหรือเลิกรัก ผมขอเลือกเอง” คำตอบแนวแน่และมั่นคงทำเอาเทวัญนิ่งงัน และยิ่งนึกนิยมชมชอบจิตใจของคนตรงหน้าจนอยากจะไขว้คว้ามาเติมเต็มช่องว่างที่ขาดหายไปของตนเสียจนเกือบลืมว่าเพิ่งถูกปฏิเสธมาไม่นาน ก่อนจะยกมือขึ้นยอมแพ้

“โอเคๆ แต่ฉันว่าถึงฉันตื้อยังไงก็คงไม่ได้แล้วละ...โน้น” เทวัญพยักเพยิดหน้าไปทางด้านหลังให้อีกฝ่ายหันมองตาม

เห็นร่างสูงโปร่งของกันย์เดินตัวปลิวเข้ามาใกล้ ตามหลังมาด้วยทวีปที่เดินยิ้มแย้มมาแต่ไกล

“สวัสดีครับ” กันย์เอ่ยกับเทวัญ แล้วจึงหันหน้ามาหานทนที

“กลับกันเลยมั้ย”

นทนทีพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายจนกันย์เองยังต้องเลิกคิ้วขึ้นแปลกใจ แต่ก็สำรวมอาการเอ่ยลาคนใกล้ตัว โดยมีเทวัญยืนค้อมศีรษะให้อย่างล้อเลียน

ชิ...ปลาไหลชัดๆ

ร่างสูงโปร่งทั้งสองเดินห่างไปไกลแล้วนั้นละ ทวีปจึงเอ่ยปากกับประธานบริษัท

“สวมบทเป็นพ่อพระแล้วรู้สึกดีมั้ยท่านประธาน” คนถูกแหนบแนมเหลือบมองเลขาปากดีอย่างหมั่นไส้เต็มแก่ ก่อนจะเอ่ยเสียงราบเรียบ

“ก็คงดีกว่าเป็นผีคอยตามหลอกตามหลอนเหมือนแกละมั้ง” พูดจบก็เดินฉับๆไปยังรถตัวเอง ทิ้งให้คนหาเรื่องสะอึกแล้วโวยวายวิ่งตาม

“รอด้วย! ฉันไม่ได้เอารถมา”


XXXXX


“เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ” อรอนงค์รีรอไม่ลงจากรถ ด้วยชายหนุ่มเพียงแค่พยักหน้าตอบรับอย่างเนือยๆ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยด้วยน้ำเสียงอึดอัด

“อรทำอะไรให้ไม่พี่วีไม่ชอบใจหรือเปล่าค่ะ”

ชายหนุ่มที่กำลังครุ่นคิดถึงคนอื่นเลิกคิ้วขึ้นเชิงสงสัย “ไม่นี่ น้องอรคิดมากไปแล้ว พี่แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง น้องอรเข้าบ้านเถอะ”

“...แต่พี่วีค่ะ” ริมฝีปากบางขบเม้นอย่างชั่งใจ

“อรรู้ว่าทั้งคุณแม่พี่วีและแม่ของอรกำลังคิดอะไรอยู่ แต่อรก็ไม่ได้คิดจะตามใจผู้ใหญ่จนกระทั่งลืมหัวใจตัวเองหรอกนะค่ะ ถ้าพี่วีอึดอัดกับการที่มีอรอยู่ใกล้ๆ พี่วีบอกอรเถอะคะ อย่างน้อยอรจะได้ช่วยหาทางออก ถ้าพี่วีบอกเหตุผลกับอรซักนิด อรไม่อยากถูกกันอยู่วงนอกทั้งๆที่อรก็อยู่ตรงนี้ พี่วีทำเหมือนอรเป็นตัวยุ่งหรืออะไรซักอย่างที่พยายามจะให้อยู่ห่างๆ อรแค่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้รู้จักกับพี่วี แต่ไม่ได้หมายความว่าอรต้องรัก หรือพี่วีต้องรักอรตามที่ผู้ใหญ่แนะนำนี่คะ อรอยากให้พี่วีเข้าใจอรด้วย” คำพูดฟังดูนุ่มนวลและเต็มไปด้วยความปรารถนาดีหากแต่แฝงความชาญฉลาดและโน้มน้าวให้คนฟังคล้อยตามได้อย่างไม่รู้ตัว ถ้าไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของผู้ต้องการให้บรรลุจุดหมายที่แอบแฝงอยู่ในใจ

“น้องอร...อืม...พี่ก็กังวลกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน” ชายหนุ่มยกมือขึ้นถูกขมับตัวเองไปมาอย่างใช้ความคิดเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถึงสิ่งที่อยู่ในใจเขามาตลอด

“เพราะพี่วีมีคนรักอยู่แล้วหรือเปล่าค่ะ ถึงได้กังวลเรื่องของอร” หญิงสาวชิงเอ่ยพลางยกยิ้มอ่อนโยนให้คนหน้านิ่วคลายกังวล

ปถวีนิ่งเงียบชั่วครู่แล้วเอ่ยอย่างติดๆขัดๆ “อืม...ก็แบบนั้นล่ะ”

“ว้าว...ว่าแล้วเชียว บอกอรได้มั้ยค่ะว่าใคร ปิดเงียบเชียว”

ท่าทางยิ้มแย้มของอรอนงค์ทำให้ชายหนุ่มคลายความระแวงไปมากโข แต่ก็ไม่คิดจะเปิดปากบอก “อย่าถามพี่เลย ไม่บอกหรอก เพราะยังไม่ค่อยจะเข้าที่เข้าทางเท่าไร” ปถวียกยิ้ม

“ค่ะ อรไม่ถามไปมากกว่านี้ก็ได้ ไว้อยากเปิดเผยตัวเมื่อไรบอกอรคนแรกนะค่ะ”

“หึๆ” ปถวีหัวเราะพลางถอนใจอย่างโล่งอกที่ทำความเข้าใจกับหญิงสาวได้อย่างไม่คาดฝัน ต่อไปเวลาไปไหนมาไหนด้วยกันจะได้สบายใจ

“ถ้าพี่วีเข้าใจอรแล้ว ต่อไปเราก็เป็นเพื่อนกันได้ใช่มั้ยค่ะ” อรอนงค์มองปถวีพยักหน้าแล้วยกยิ้มมุมปากรับคำด้วยความโล่งอก

เพราะเธอทำสำเร็จแล้ว!

“งั้นอรเข้าบ้านก่อนนะค่ะ”

ร่างสูงพยักหน้าอย่างอารมณ์ดีก่อนจะขับรถจากไป ท่ามกลางสายตาเรืองรองของหญิงสาว เพราะการตัดสินใจพูดในครั้งนี้ทำให้พี่วีลดกำแพงที่กางกั้นเธอไว้ต่ำลง ในเมื่อไปตรงๆไม่ได้ อรก็จะยอมเลือกทางอ้อม แม้มันจะช้าแต่ก็หวังผลได้สูง ไม่ว่าคนที่พี่วีอ้างถึงจะเป็นใครก็ตาม

ใช่มั้ยค่ะพี่วี!

เมื่อผละจากหญิงสาวได้ ปถวีจึงกดโทรศัพท์หากันย์เพื่อตามผล เขาไม่รู้ว่านทนทีจะยอมกลับไปกับกันย์ดีๆรึเปล่า เรื่องนี้ทำให้เขาหงุดหงิดใจไม่น้อย

“นทอยู่กับนายรึเปล่า!” เสียงถามรัวเร็วจนคนรับสายต้องส่ายหน้าไปมาช้าๆ

“ไม่อยู่ครับ”

“อะไรนะ! ฉันบอกแล้วไงว่าให้พานทกลับไปกับนายน่ะ”

“เดี๋ยวๆครับ ผมไปส่งคุณนทถึงบ้านแล้ว และตอนนี้ผมกำลังจะกลับบ้านผมนะ”

“...”

“แล้วไม่รีบบอก” คนหน้าแตกเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ แล้วจึงขอบใจเลขาคู่ใจก่อนจะเหยียบคันเร่งจมมิดรีบบึ่งไปยังบ้านของคนรักด้วยอาการโล่งอกแกมประหลาดใจในท่าทีเข้าอกเข้าใจอะไรง่ายๆของนทนที

และเพราะเป็นไปตามที่ตัวเองต้องการจึงไม่ได้สะกิดใจในท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของคนรักเลยแม้แต่น้อย ด้วยสายป่านของคนทั้งสองกำลังจะขาดลงในไม่ช้า...

ร่างโปร่งลงมาเปิดประตูให้ชายหนุ่มเพียงแค่ได้ยินเสียงรถมาจอดหน้าบ้าน เพราะเวลาแบบนี้ก็คงไม่มีใครแล้วละ แล้วอีกอย่างก็คงจะมาเช็คให้แน่ใจว่าเขากลับบ้านจริงรึเปล่าละมั้ง

ทั้งๆที่คิดอย่างหงุดหงิดแต่ในความหงุดหงิดก็แฝงไปด้วยความโล่งใจที่เห็นชายหนุ่มมายืนอยู่ตรงหน้า ความว้าวุ่นใจจึงถูกเก็บไว้จนมิดชิด

เพราะถ้าไม่เชื่อใจ ทุกอย่างก็คงจบ

“โทษทีนะ ต้องไปส่งน้องอรเขา ถ้าไม่ส่งฉันคงถูกแม่บ่นจนหูชาแน่ๆ” เสียงพูดบอกเล่าเร็วๆเมื่อเห็นหน้าคนรัก ทำให้นทนทีต้องพยักหน้าส่งยิ้มน้อยๆให้อีกฝ่าย

“แล้วยังจะมาอีกนะ ขับรถวกมาไกลจะตาย” นทนทีแสร้งขึ้นเสียงอย่างไม่จริงจังอะไร ขณะเดินนำชายหนุ่มขึ้นไปยังชั้นสองเมื่อปิดประตูลงกลอนเรียบร้อย

“...จะไม่ให้มารึไง” การลงน้ำเสียงหนักๆของปถวีทำให้นทนทีต้องเอี้ยวหน้ามอง

“เปล่า แค่ไม่อยากให้เหนื่อย...แล้วอีกอย่างฉันก็กลับมากับคุณกันย์ และถึงคุณกันย์จะไม่มาส่ง ฉันก็ตั้งใจกลับเองอยู่แล้ว บอกตรงๆว่าฉันไม่อยากทะเลาะกับนายเลย” ร่างโปร่งมองตรงไปยังคนรักนิ่งนาน จนปถวีขยับกายเข้ามาโอบกอดแน่นๆ

“แล้วฉันอยากทะเลาะนักรึไง”

น้ำเสียงราบเรียบเจือตัดพ้อ พร้อมกับความอบอุ่นของอ้อมกอดทำให้นทนทีพรางพรูลมหายใจยาวแล้วหลับตาลงสัมผัสความอ่อนโยนจากมือใหญ่ที่กำลังลูบไล้แผ่นหลังแผ่วเบาราวกับจะปลอบประโลมชั่วครู่ ก่อนจะผละตัวออกห่างเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้ม

“ไปอาบน้ำเถอะ มันดึกแล้ว”

รอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกอิ่มเอมใจทำให้ปถวียิ้มจนตาหยี เหมือนกับยกหินที่ถ่วงอยู่ในอกทิ้ง ริมฝีปากได้รูปจึงรีบฉกฉวยแก้มคนอาบน้ำก่อน แล้วยิ้มอารมณ์ดีเดินลงไปอาบน้ำตามที่อีกฝ่ายบอก

เพียงพ้นหลังร่างสูงไปไม่นาน เสียงโทรศัพท์ที่ได้รับข้อความก็ดังขึ้นข้างกายร่างโปร่ง ด้วยชายหนุ่มวางสิ่งของที่ติดตัวไว้บนเตียงอย่างลวกๆให้นทนทีคอยตามเก็บไปวางให้เป็นที่เป็นทางเหมือนทุกครั้ง

สายตาจึงเหลือบมองไปยังหน้าจอโทรศัพท์ที่ส่องสว่างด้วยมีข้อความเข้า และชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอก็ทำให้นทนทีที่พยายามสงบใจมาตลอดต้องเต้นระทึก

“น้องอร!” นทนทีพึมพำทวนชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ ดึกขนาดนี้ยังมีอะไรต้องติดต่อกันอีกเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะสนิทชิดเชื้อกัน


ร่างโปร่งรู้สึกเหมือนมีอะไรหนักๆมากระแทกศีรษะ แต่เพราะเคารพในความเป็นส่วนตัวของอีกฝ่ายจึงไม่คิดจะหยิบขึ้นมากดอ่านข้อความ ได้แต่รอ

รอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย

ร่างสูงเดินยิ้มกริ่มเข้ามาในห้องเมื่ออาบน้ำเสร็จ มือใหญ่ขยี้ผมเปียกชื้นของตัวเองแรงๆ ก่อนจะเห็นเสื้อผ้าที่ตัวเองถอดวางส่งๆไว้บนเตียงแล้วยิ้มแหยๆ เพราะอีกฝ่ายรักสะอาดจะตาย เมื่อเข้าไปรวบสิ่งของบนเตียงจึงเห็นข้อความบนโทรศัพท์ นิ้วมือใหญ่กดอ่านข้อความซักพักแล้วจึงอมยิ้มให้กับโทรศัพท์อย่างไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ จะทำให้คนข้างกายได้ยินเสียงอะไรบางอย่างในตัวขาดผึง!

แม้ในข้อความจริงๆแล้วมีเพียงคำว่า ราตรีสวัสดิ์ก็ตาม!


XXXXX
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-12 (07/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 07-10-2009 22:39:28
ตอนที่ 16

“ทวีป! นี่มันอะไร?” เทวัญขมวดคิ้วกับเอกสารแผ่นบางๆในแฟ้มเสนอเซ็นที่เลขาหนุ่มนำมาวางไว้ตรงหน้า

“ไม่ทราบเหมือนกันครับ ผมเองยังแปลกใจ” ทวีปตอบด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ “ประธานไม่ทราบมาก่อนหรอกหรือครับ?”

“ไม่...เคยแต่ให้เขาตัดสินใจ แล้วเขาก็ยังไม่มีท่าทีอะไรทั้งนั้นด้วย จู่ๆยืนใบลาออกแบบนี้ฉันก็งงเหมือนกัน” เทวัญเพ่งมองกระดาษในมืออย่างครุ่นคิด “เรียกนทนทีเข้ามาพบฉัน...เดี๋ยวนี้เลย” เทวัญมองทวีปรับคำแล้วเดินออกจากห้องเพื่อปฏิบัติตามคำสั่ง แล้วจึงก้มอ่านหนังสือขอลาออกจากงานของนทนทีอีกครั้ง โดยเจ้าตัวให้เหตุผลที่ลาออกว่า เพื่อไปประกอบอาชีพอื่น

นทนทีเลือกแล้วจริงๆเหรอ?

เลือกไอ้เด็กเห็นแก่ตัวนั่นจริงๆเหรอเนี่ย ริมฝีปากได้รูปขบเม้นเข้าหากันจนเป็นเส้นเดียว จนกระทั้งเสียงเคาะประตูดังขึ้น ร่างโปร่งบางของคนที่อยู่ในความคิดปรากฏตัวขึ้น แล้วค่อยๆก้าวเดินมาหาด้วยรอยยิ้มเงียบเหงาเหมือนรู้ตัวอยู่แล้ว

“นั่งสิ”

“ขอบคุณครับ”

“ฉุกละหุกเลยนะเนี่ยที่เห็นใบลาออกของนท”

“คะ...ครับ ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกคุณเทวัญเลย แต่ก็ฉุกละหุกอย่างที่คุณเทวัญพูดจริงๆละครับ” ตอบเสร็จก็นั่งก้มหน้ามองมือตัวเองด้วยไม่อยากเห็นแววตาร้าวรานของอีกฝ่าย

เทวัญมองอีกฝ่ายนั่งก้มหน้าก้มตาให้รู้สึกโหวงเหวงในอก “ถ้าไม่รู้จักกันฉันก็คงจะไม่ถาม แต่เพราะ...ขอถามเถอะนะ เพราะฉันไม่เชื่อเหตุผลในใบลาออกนี่หรอกนะ...” ร่างสูงนิ่งเงียบอย่างชั่งใจชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “นทเลือกเขาแล้วจริงๆใช่มั้ย”

“...” คนถูกถามส่ายหน้าช้าๆแทนคำตอบ ยิ่งทำให้เทวัญสงสัยเข้าไปใหญ่ แต่ก่อนที่เทวัญจะได้ถามต่อ อีกฝ่ายก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“ผมเลือกเขามาตั้งแต่แรกแล้วครับ” นทนทียิ้มเศร้าๆให้หนุ่มใหญ่ “และผมก็จะไปทำงานที่อื่นจริงๆอย่างที่บอกไว้ในใบลาออก”

“บริษัทของเขาน่ะเหรอ” เทวัญมองนทนทีส่ายหน้าอีกครั้ง “แล้วที่ไหน?”

“ยังไม่รู้หรอกครับ กำลังดูๆอยู่”

“...!” เทวัญมองใบหน้าขาวนวลตรงหน้าเหมือนเป็นเวลาชั่วกัปชั่วกัลป์ พร้อมกับความงุนงงที่โหมประดังเข้ามาในความคิด “ฉันไม่เข้าใจ? ถ้านทไม่คิดจะไปทำงานอยู่ข้างกายคนที่นทรัก แล้วนทลาออกจากที่นี่ทำไม ในเมื่อมันไม่ได้แตกต่างกันเลย การจะอยู่ที่นี่หรือที่อื่น”

นทนทีหลับตาลงค่อยๆหาคำตอบให้กับอีกฝ่ายและตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะลืมตาขึ้น หันหน้ามองผ่านกระจกที่กางกั้นไปยังท้องฟ้าโปร่งสีครามเหมือนต้องการส่งสื่อไปถึงใครซักคน ใครซักคนที่เข้าใจ

เสียงสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ แล้วตามมาด้วยเสียงสั่นเครือ

“ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมจะทำต่อไปนี้ จะเป็นการทำร้ายตัวเองทีหลังหรือเปล่า แต่เพราะผมต้องการความรู้สึกมั่นคงจากคนที่ผมรัก ผมถึงอยากจะวัดใจกับเขา”

“นทจะทำอะไร?”

“ผมจะไปทำงานไกลๆ ซักพัก”

“คิดอะไรง่ายๆแบบนั้น” เทวัญส่งเสียงเอ็ด แต่เห็นคนขบกัดริมฝีปากตัวเองแน่นก็ต้องถอนใจ “ที่ไหน...นท...คิดจะไปที่ไหนกันหึ”

“ที่ไหนก็ได้ครับ จะเหนือสุดใต้สุด หรือต่างประเทศได้ก็ยิ่งดี...มันหนักไปหมดแล้วตอนนี้” ท้ายประโยคร่างโปร่งงึมงำบอกกับตัวเอง

เพราะรักนี้ไม่อาจบอกใคร จึงหวั่นไหวหวาดหวั่นอยู่ลึกๆกับตัวแปรรอบข้างที่เข้ามากระทบ แม้จะทำใจไว้แล้วตั้งแต่ต้น แต่เมื่อถึงวันที่ต้องเจอกับผู้หญิงเพียบพร้อมทั้งหน้าตา ฐานะ และชาติตระกูล เขาถึงกับอยู่ไม่สุข เขากลัว กลัวว่าปถวีจะเลือกผู้หญิงคนนั้น เพราะทั้งคนทั้งสิ่งแวดล้อมช่างเป็นใจเหลือเกิน แล้ววันนั้นเขาจะเหลืออะไรเล่า นอกจากใจที่ผุๆพังๆ เขาถึงไม่อยากรอให้ถึงวันนั้น

เขาไม่อยากใช้ชีวิตที่เหลือเลือกจากคนอื่น เขา...พวกเขาถึงต้องเลือกเอง

“นท...” เทวัญครางเครือ รู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่างจากร่างโปร่งตรงหน้า “นั่นสินะ คำว่ารักคำเดียวมันพิสูจน์อะไรไม่ได้หรอก...เวลาต่างหากที่จะพิสูจน์ใจคน” คำพูดที่เอ่ยออกมาอย่างไม่เจาะจงถึงใคร ส่งผลให้นทนทีหน้าเจื่อน

“ผมขอโทษ”
“ขอโทษทำไม”

“ก็ที่ทำให้ยุ่งยากมาตลอด ถึงสุดท้ายก็ทำให้ยุ่งอีกจนได้ ถ้าคุณเทวัญไม่สะดวกผมรอจนกว่าจะรับคนเข้ามาทำแทนก่อนก็ได้ครับ งานจะได้ไม่สะดุด”

เทวัญส่ายหน้าช้าๆ “ไม่เป็นไร แต่ฉันเป็นห่วงมากกว่า จะไปไกลๆ แล้วคุณแม่ละ ไหนจะต้องไปอยู่คนเดียว โลกเรามันไม่ได้มีแต่คนดีๆหรอกนะ คิดดีแล้วเหรอ”

คำถามซึ่งมีแต่ความเงียบเป็นคำตอบยิ่งทำให้เทวัญกังวล และยิ่งกว่านั้นเขาจะทำใจปล่อยมือจากคนๆนี้ได้เหรอ ในเมื่อปลายทางที่มืดสนิทเริ่มเห็นเป็นจุดสีขาวจางๆ โอกาสกำลังจะมาถึงเขา เพราะถ้าสิ่งที่นทนทีกลัวเป็นจริง ปถวีไม่สามารถต้านทานกระแสของคนในครอบครัวได้ นทนทีก็คงได้แต่กล้ำกลืนความเจ็บไว้คนเดียว ผิดกับเขาซึ่งไม่มีผู้ใหญ่ให้ต้องย้ำเกรง เขาสามารถรักและดูแลอีกฝ่ายได้เต็มที่ แล้วนทนทีจะไม่มองเขาบ้างเชียวหรือ

เทวัญลอบระบายลมหายใจกับความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัว แม้จะเป็นการกระทำที่ดูเห็นแก่ตัว แต่ถ้ามันจะให้ได้หัวใจคนๆนี้มาครอบครอง เขายอม!

“ไปแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้แบบนี้ แล้วฉันจะปล่อยให้ไปได้ยังไง ยิ่งรู้ว่ากำลังกลุ้มใจให้ไปอยู่คนเดียวจะฟุ้งซ่านกันไปใหญ่มั้งนท ฉันไม่ค่อยเห็นด้วยเลย”

“แต่...ขอร้องละครับคุณเทวัญ ผมคงอยู่ตรงนี้ไม่ได้แล้วแน่ๆ จะให้ผมเห็น...” นทนทีตัดพ้ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ในขณะที่ร่างสูงยกยิ้มบางเบาปลอบใจ

“เปล่าๆ ฉันไม่ได้ห้ามไม่ให้ไป แต่ฉันมีวิธีที่ดีกว่านั้น”

“...ครับ?”

“บริษัทเราจะให้ทุนพนักงานไปเรียนไปอบรมสาขาอะไรก็ได้ที่จะนำมาพัฒนาหน้าที่การงานให้ดีขึ้น เพียงแต่ต้องเป็นการเรียนในประเทศ และนอกเวลาการทำงาน ถ้านทขอทุนตรงนี้เรียนต่อปริญญาเอก นทจะได้ไม่คิดมาก และมีเวลาได้คิดได้ไตร่ตรองแถมยังได้วิชาความรู้ติดตัวไปด้วยนะ ไม่สนใจหรือ?”

“แต่...ผมก็ยังต้องทำงานอยู่ที่นี่ ในกรุงเทพ ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” บ้านก็ใกล้กันแค่นั้น...

“ฉันไม่ได้ให้นททำตามระเบียบทุนนั่นซักหน่อย ฉันจะอนุญาตให้นทเลือกเรียนในต่างประเทศได้โดยไม่ต้องทำงานขณะยังเรียน จบเมื่อไรค่อยกลับมาทำงานใช้ทุนเหมือนที่ผ่านมา”

“...แต่ระเบียบ” นทนทีอ้ำๆอึ้งๆ

“ฉันเป็นคนออกระเบียบ อย่าลืมสิ”

“...มะ...ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่อยากให้คุณเทวัญไม่สบายใจเพราะผม...”

“นท!...ฉันจะไม่สบายใจมากกว่าถ้าปล่อยให้นทไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ให้อยู่ในสายตาฉันซะยังดีกว่า อย่างน้อยฉันจะได้ช่วยเหลือหากเกิดอะไรขึ้น...หรือว่านทไม่ไว้ใจฉัน”

“ปะ...เปล่าครับ” เสียงละล่ำละลักบอก ไม่ใช่ไม่เชื่อ เพราะอีกฝ่ายได้แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่เคยคิดเอาเปรียบหรือล่วงเกินแม้มีโอกาส แต่ถ้าตกลง ก็เท่ากับว่าเขากำลังเป็นฝ่ายเอาเปรียบเสียเอง

เอาเปรียบหัวใจที่ไม่สามารถแลกด้วยหัวใจตัวเองได้

“อย่าเลยครับ” พูดจบก็ได้ยินเสียงร่างสูงถอนหายใจ แล้วลุกขึ้นเดินมายืนพิงโต๊ะข้างคนตัวเล็ก ลำแขนภายใต้ชุดสูทเอื้อมเข้ามาแตะศีรษะแล้วลูบเบาๆ

“บอกแล้วไง ว่าให้เอาแต่ใจบ้างก็ได้ ไม่ต้องนึกถึงใจคนอื่นมากนักหรอก มัวแต่คิดว่าจะทำให้คนนู้นคนนี้ทุกข์ ตัวเองนั่นละจะทุกข์มากกว่า นท...การพยายามทำอะไรด้วยตัวเองมากเกินไปบางครั้งมันก็ดูไม่น่ารักนะ” เทวัญยิ้มเย้าคนหน้าโศกหวังจะทำให้อารมณ์ดีขึ้นบ้าง

“คุณเทวัญ...” ศีรษะเล็กก้มลงมองหน้าตักตัวเอง รับรู้ความอบอุ่นของฝ่ามือใหญ่อย่างเงียบๆแล้วจึงเงยหน้าขึ้นเหม่อมองท้องฟ้าโปร่งสีครามอีกครั้ง

ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ...


XXXXX

“นท วันเสาร์นี้ฉันขึ้นกรุงเทพ จะเข้าไปหาที่บ้านนะ ไปไหนรึเปล่า” เสียงขึ้นจมูกเหมือนคนเป็นหวัดดังมาตามสาย

“อืม ไม่ได้ไปไหนหรอก ว่าแต่วิชไม่สบายหรือเปล่า เสียงไม่ค่อยดีเลย”

“เป็นหวัดนะ ว่าแต่ได้ข่าวไผ่บ้างมั้ย”

“...” นทนทีชะงักก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ “ไม่เลยวิช”

“เหรอ”

เสียงรับคำหงอยๆทำให้ใจคนรู้ที่อยู่สั่นไหว ควรแล้วเหรอที่จะปิดบังกันอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ “เดี๋ยวสบายใจแล้วคงมาให้เห็นหน้าเองละ”
“ไม่เป็นไร แค่นี้ฉันรอได้” ก็เจ้านั่นยังรอฉันมาเป็นสิบปียังรอได้เลย...

“อืมแล้วเจอกันวิช”

หลังจากวางสายร่างโปร่งยังคงยืนนิ่งด้วยคิดไม่ตกว่าจะช่วยเหลือเพื่อนตัวเองยังไง ในเมื่อตัวเองยังเอาตัวไม่รอด

ขณะที่นทนทีกำลังกังวลใจ คนที่อยู่ไกลเป็นร้อยกิโลจากกรุงเทพก็ไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุขดังที่ใจต้องการ

คิดถึง...

ร่างคนตัวเล็กผิวขาวสะอาดนอนพลิกตัวไปมาบนเตียง อาการเหมือนคนหงุดหงิดไม่ได้ดังใจจนต้องข่มใจหลับตา เพื่อหยุดความคิดที่จะหยิบโทรศัพท์กดไปหาคนที่ตัวเองหนีจากมา

“...โธ่เว้ย...เขาไม่รักๆจำซักทีสิไอ้ไผ่ ยังจะคิดถึงเขาทำไม” เสียงหลับหูหลับตาบ่นระบายความอึดอัดแต่ดูเหมือนไม่ค่อยช่วยอะไรมากนัก เมื่อมือเล็กยกขึ้นขยุ้มสาบเสื้อตัวเองแรงๆ “หายซะทีสิ เจ็บไปก็ไม่มีใครเขามามองหรอกนะ”

ยิ่งนอนนิ่งก็ยิ่งคิดฟุ้งซ่าน ร่างเล็กจึงลุกขึ้นอย่างหัวเสียแล้วเดินกระทืบเท้าไปยังชายหาดหน้าบ้านพัก แล้วค่อยๆสาวเท้าเข้าหาฟองคลื่นขาวและเดินลึกลงไปจนน้ำท่วมเหนือศีรษะชั่วกลั้นลมหายใจ ก่อนจะพุ่งตัวขึ้นสู่ผิวน้ำหอบหายใจแรง

หยดน้ำพราวบนใบหน้าไหลผ่านพวงแก้มขาวสะท้อนแสงแวววาวจนแยกไม่ออกว่าคือน้ำทะเลหรือน้ำตากันแน่

XXXXX


“วันนี้นทนทีขอลาครึ่งวัน” เสียงเอ่ยหยั่งเชิงดูอาการเจ้านายของเลขาจอมทะเล้น สะกิดให้ประธานหนุ่มใหญ่ต้องเลิกคิ้วมองคิดอยากจะยันคนที่เป็นทั้งลูกน้องและเพื่อนกระเด็นไปให้พ้นหูพ้นตา

“แล้วไง” เทวัญแสร้งทำไม่สนใจท่าทางคอยืดคอยาวอยากรู้อยากเห็นจนออกนอกหน้าของอีกฝ่าย

“ก็ไม่แล้วไง แค่ตอนนี้ท่านประธานกำลังเป็นที่กล่าวขวัญถึงในความใจกว้างยังกะทะเลสาบแน่ะ”

“แล้วไม่ดีรึไง”

“ก็คงดีมั้ง ถึงขนาดเรียกประชุมแก้ระเบียบการขอทุนการศึกษาของพนักงานให้สามารถไปศึกษาต่อต่างประเทศได้ด้วยตัวเอง เหตุผลก็แสนจะดูดี อยากเปิดโอกาสให้พนักงานที่มีความสามารถได้มีโอกาสพัฒนาตัวเองและนำมาพัฒนาองค์กร โฮ้! อะไรจะดูดีขนาดนั้น” คนพูดยาวยืดหยุดมองใบหน้าคมเข้มก่อนจะยิ้มเป็นนัย “ทั้งๆที่ทำเพื่อคนเพียงคนเดียวแท้ๆ”

“แล้วจะทำไม ในเมื่อก็เป็นผลพลอยได้ของพนักงานอื่นด้วย” เสียงขุ่นขวางจนเพื่อนสนิทต้องยักไหล่

“ก็แค่จะเตือน อย่าให้เสียการปกครองก็แล้วกัน”

เทวัญมองเพื่อนแน่วนิ่งแล้วจึงยิ้มกว้าง “ทะเลสาบถึงจะกว้างใหญ่ซักแค่ไหนแต่มันก็ยังเค็มไม่ใช่เรอะไอ้ต่อ!”

ทวีปยิ้มรับคำพูดเปรียบเปรยนั้น ก่อนจะเดินเข้าไปรวบแฟ้มที่ลงนามเรียบร้อยแล้วนำออกไปจากห้อง

“เดี๋ยว...แล้วนทลาไปไหน รู้มั้ย” เทวัญมองรอยยิ้มสุดแสนจะกวนประสาทแล้วให้นึกเสียใจที่ถามเอากับเจ้านี่

“ก็ไปทำให้คนที่แอบหวังอยู่เงียบๆสมใจไงครับท่าน”

“ไอ้ต่อ!...นทไปไหน”

“ขู่จริงวุ้ย ไปสถานทูตครับ” ตอบพลางหรี่ตามอง ”โธ่เอ๊ย คนดีๆใกล้ตัวทำเป็นไม่เห็น ไปงมหาให้ยุ่งทำไมว่ะ” เสียงบ่นอุบอิบตอนท้ายแล้วรีบจ้ำอ้าวออกจากห้องก่อนจะมีสีแปลกๆมาประดับบนใบหน้า มือที่กำลังหยิบคว้าของใกล้ตัวจึงชะงักแล้วถอนหายใจดังๆ

“ไอ้บ้า...” ถึงจะบ่นแต่ในใจกลับรู้สึกอิ่มเอิบ นทนทีตกลงใจรับทุนและเลือกเรียนที่สิงคโปร์แทนการลาออก แค่นี้อีกฝ่ายก็ยังอยู่ในสายตาของเขา การโน้มน้าวใจจึงไม่ยากเย็นเกินไปหรอกน่า


XXXXX


“คุณนทอยู่ไหนครับ” เสียงกันย์พูดกรอกใส่โทรศัพท์ถามหาที่อยู่ของนทนทีด้วยไปรับที่บริษัทแล้วไปพบ

“อยู่แถวๆสาทรใต้น่ะ ไม่ต้องมารับหรอกกันย์ เดี๋ยวกลับเอง”

“ไม่เป็นไรครับ คุณปถวีให้รับคุณไปพบที่คอนโดครับ”

“...ก็ได้ ฉันจะรออยู่แถวนี้ละ”
นทนทีรออยู่ซักพัก รถยนต์คันคุ้นตาก็แล่นเข้ามาจอดเทียบฟุตบาทใกล้ป้ายรถประจำทางที่นั่งรออยู่ ร่างโปร่งรีบขึ้นรถพลางยิ้มให้อีกฝ่าย

“มีอะไรรึเปล่าถึงต้องมารับ”

“ไม่ทราบครับ คุณปถวีให้คุณไปรอที่คอนโดก่อนแล้วจะตามเข้ามา”

“ทำงานอยู่เหรอ งั้นรอไว้วันอื่นก็ได้นี่”

“เปล่าครับ ไปธุระกับคุณแม่เดี๋ยวก็กลับครับ” คำตอบที่ฟังดูง่ายๆไม่คิดว่าจะสะกิดใจคนฟัง จนกระทั่งสังเกตเห็นสีหน้าผิดปกติจึงได้แต่โทษตัวเองที่พูดอะไรโดยไม่คิด

“คุณนท...มันไม่ใช่...” เพราะรู้ว่าปถวีกำลังไปทานข้าวกับอรอนงค์โดยมีคุณศรีสอางค์เป็นฝ่ายชักชวนแกมบังคับทำให้คนใจเย็นอย่างกันย์อดรู้สึกหงุดหงิดแทนไม่ได้

หากแต่คนนั่งข้างๆกลับยิ้มเย็นกลบเกลื่อนเหมือนไม่ใส่ใจ ยิ่งผิดสังเกตจนอดพินิจพิจารณาอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ ข้อนิ้วขาวโปนจากอาการเกร็งแน่นบ่งบอกให้รู้ว่าคนยิ้มแห้งๆกำลังเก็บอารมณ์ความรู้สึกไว้เต็มเหนี่ยว ก่อนจะผ่านเลยไป สายตาคู่คมตวัดมองเอกสารในซองใส แล้วต้องมองซ้ำอีกครั้งด้วยตราที่ประทับอยู่บนเอกสารมันคุ้นตาซะเหลือเกิน

สายตาที่ดูเหมือนเย็นชาเบิกกว้างขึ้นชั่ววูบ ก่อนจะทอแสงอ่อนและปิดปากเงียบจนกระทั่งถึงคอนโดผู้เป็นนายด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง

นทนทีกำลังทำสิ่งเดียวกับที่เขาเคยทำมาก่อน และผลของมันก็คือเขาเช่นทุกวันนี้ไง

ความอ้างว้าง...

กันย์หันมองนทนทีเต็มตาเมื่อรถจอดสนิท จนคนถูกมองต้องเลิกคิ้วสงสัย

แม้จะดูดื้อดึงและยึดมั่นถือมั่นจนเกินพอดีในบางครั้ง แต่ในดวงตานี้ก็เต็มไปด้วยความจริงใจจนคนที่ได้ใกล้ชิดพลอยรู้สึกดีไปด้วย

ยังมีเวลา...ทุกอย่างมันยังไม่สายถึงขนาดจะต้องตัดใจหรอกน่า...

“มีอะไรครับ”

“ไม่มีอะไรครับ ผมจะไปส่งหน้าห้อง”

“มะ...ไม่ต้อง”

“ไปเถอะครับ”

นทนทีพยักหน้ารับอย่างแกนๆแล้วจึงเดินตามขึ้นไปยังห้องพักแม้จะรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งตัวก็ตาม

จะต้องคอย...คอยให้เขาไปหาคนอื่นก่อนแล้วถึงค่อยกลับมานะหรือ? แค่ได้ยินยังรู้สึกแย่ขนาดนี้ แล้วถ้าต้องเห็นต้องรู้ไปทั้งชีวิตจะทนได้เหรอนทนที?

กันย์เลิกคิ้วแปลกใจเมื่อเปิดประตูเข้าไปภายในพบท่านประธานหนุ่มยืนทำหน้าตึงรออยู่ใกล้โต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารเหมือนจัดรอไว้พักใหญ่

ทำยังไงถึงกลับมาได้ละเนี่ย? ไม่ใช่ว่าหลบกลับมาก่อนหรอกนะ เป็นจริงพรุ่งนี้เขาต้องเตรียมถูกคุณศรีสอางค์บ่นจนหลับกันไปข้างหนึ่งแน่ๆ

“ไปรับกันถึงไหนฮึ!” คำถามที่เป็นเหมือนคำทักทายของร่างสูงใหญ่ส่งผลให้กันย์เหลือบมองเจ้าซองเอกสารอย่างชั่งใจอีกครั้ง และ...

“แถวๆสถานทูตสิงคโปร์ครับ” คำตอบที่เหมือนฟ้าผ่าลงมาตรงหน้านทนที ทำให้เจ้าตัวหน้าถอดสี

“ไปทำอะไรแถวนั้น” เสียงถามเรียบเรื่อยทั่วไป แต่ปฏิกิริยาของนทนทีก็ทำให้ปถวีนึกแคลงใจทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจจะหาคำตอบ ก่อนจะเลิกคิ้วถามพลางสาวเท้าเข้าไปใกล้

“ว่าไง”

ไม่มีคำตอบจากคนทั้งคู่ แต่....

ปถวีมองตามสายตาเลขาตัวเองไปยังซองพลาสติกใสในมือนทนที อะไรบางอย่างในดวงตาของกันย์ทำให้เขาสะกิดใจและไม่รอที่จะถามเจ้าของซอง ด้วยเขาดึงมันออกมาดูเสียเองท่ามกลางความตกใจของร่างโปร่ง

หนังสือเดินทาง เอกสารสถาบันการศึกษา ภาพอาคารและห้องพักอาศัย ทั้งหมดอยู่ในมือปถวี

นทนทีมองคำถามในดวงตาของร่างสูงใหญ่แล้วต้องสูดลมหายใจลึกๆเหมือนเรียกกำลังใจให้ตัวเอง ไหนๆก็ต้องบอก แค่มันเร็วไปหน่อยก็เท่านั้นเอง ก่อนจะหันมองร่างสูงโปร่งที่เป็นเหมือนพี่กลายๆอย่างตัดพ้อ

“กลับไปเถอะ เดี๋ยวฉันจะบอกกับเขาเอง” นทนทีบอกกันย์เสียงเบา แล้วจึงหันไปเผชิญหน้ากับร่างสูงใหญ่ “มันยังไม่เรียบร้อยเลยไม่ได้บอกนาย”

“อะไร?” ร่างสูงเดินเข้าประชิดร่างเล็กด้วยใบหน้าถมึ-งทึง “อะไรที่นายยังไม่ได้บอก”
“ฉันได้ทุนบริษัทไปเรียนต่อที่สิงคโปร์นะ” นทนทีกลืนก้อนแข็งบางอย่างลงคออย่างยากลำบาก

“ไม่เห็นนายเคยพูดถึง แล้วทำไมต้องทำลับๆล่อๆ เหมือนจงใจปิดบัง”

“ไม่ได้ลับๆล่อๆซะหน่อย แค่ประธานอนุมัติเร็วกว่าที่คิด เลยฉุกละหุกก็ ก็แค่นี้” นทนทีละล่ำละลักบอกในขณะที่อีกฝ่ายหรี่ตามองอย่างครุ่นคิด จากที่อารมณ์ดีๆรีบหนีมารดากลับมาทานข้าวกับอีกฝ่าย ก็ต้องขุ่นขวางกับคำตอบที่ดูไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา

“หึ...ทั้งๆที่ฉันเคยขอให้นายมาทำงานกับฉัน เคยเสนอทุนให้เปล่าเสียด้วยซ้ำ แต่นายไม่รับ นายกลับไปรับทุนที่มีสัญญาผูกพันแบบนั้นอีก มันทำให้ฉันแปลกใจ ว่านายคิดอะไรอยู่กันแน่”

นทนทีนิ่วหน้าเมื่อมือใหญ่ตรงเข้าบีบต้นแขนอย่างคาดคั้น

“ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่นทนที! บอกฉันมาซิ”

“เจ็บ...ก็ไม่ได้อะไรทั้งนั้นละ ฉันอยากไปก็เท่านั้น”

“ไม่...” ปถวีส่ายหน้า “มันต้องมีอะไร ไม่งั้นจะต้องไปทำสัญญาผูกพันกับบริษัทเจ้านั่นอีกทำไม ถ้าไม่ใช่เพราะอยากอยู่ใกล้มัน!”

“...!” นทนทีเบิกตากว้างกับความคิดเลยเถิดของอีกฝ่ายจนต้องขบริมฝีปากตัวเองแน่น ทำไมต้องไปโทษคนอื่นด้วย!

“ใช่มั้ย!”

“...”

“ใช่มั้ย!” เสียงถามเหมือนตะโกนจนนทนทีต้องเงยหน้าขึ้นตอบด้วยน้ำเสียงเช่นเดียวกัน

“ไม่ใช่!”

“โกหก! อยากอยู่กับมันก็บอกมาเถอะ”

“ปถวี!” ริมฝีปากอิ่มแผดเสียงดังลั่นห้องจนร่างสูงชะงัก “ถ้ามันจะเป็นอย่างที่นายพูดก็เพราะตัวนายเองนั้นละ เพราะนายนั้นละ!” ร่างบางหอบหายใจแรงด้วยแรงอารมณ์เคืองโกรธ

V
V
V
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-12 (07/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 07-10-2009 22:40:53
โกรธที่อีกฝ่ายเอาแต่ตราหน้าว่าเขาร่าน ทั้งๆที่ไม่เคยคิดทำเลยสักนิด

“ฉัน?...ฉันทำอะไร ถูกจับได้แล้วอย่ามาโยนให้คนอื่นดีกว่า”

ร่างโปร่งบางเงยหน้ามองคนรักด้วยแววตาไหววูบ ริมฝีปากขบเม้นเข้าหากันแน่นก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ฉันไม่ได้ทำอะไรให้นายต้องมาจับผิดฉัน ฉันรู้ตัวว่าฉันทำอะไรอยู่”

“ถ้ารู้ตัว ก็ควรจะรู้สิว่าตัวเองควรอยู่ตรงไหนในฐานะคนรัก ไม่ใช่วิ่งโร่ไปทำงานกับคนอื่นให้ฉันคอยกังวลแบบนี้ หรือคิดจะเผื่อเลือก”

นทนทีสะบัดแขนให้หลุดจากการยึดจับทันทีที่วาจาเชือดเฉือนนั้นจบลง แต่มือใหญ่กลับเพิ่มแรงบีบจนต้องร้องคราง ก่อนจะโต้ตอบอย่างเผ็ดร้อน

“นั่นน่ะ มันนายหรือเปล่าที่คิดเผื่อเลือก!”

“นทนที!” เสียงตวาดลั่นของร่างสูงทำให้นทนทีเบือนหน้าหนี “ฉันทำเมื่อไรกัน ก็สัญญาแล้วไง”

“คำสัญญาใครก็พูดได้!” การสวนตอบของนทนทีทำให้สติปถวีขาดผึง และลากถูอีกฝ่ายไปเหวี่ยงทิ้งบนเตียงดังตุบ!

“ฉัน...ไม่...คิด...จะสัญญากับใครพล่อยๆ” น้ำเสียงหนักเอ่ยช้าชัดพลางก้าวขึ้นคร่อมร่างบางที่นอนล้มไม่เป็นท่าบนเตียงโดยไม่ยอมละสายตาจากใบหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะเลิกคิ้วหงุดหงิด

“มองอย่างนี้หมายความว่ายังไง” สายตาที่เต็มไปด้วยความคลางแคลงใจของนทนทีทำให้ปถวีฉุนโกรธหนักขึ้นไปอีก “ฉันไม่มีใคร!”

“ฉันพูดนายยังไม่เชื่อ แล้วนายพูดฉันต้องเชื่อด้วยรึไง”

“ห่ะ...นท!” คำพูดยอกย้อนจนใจคนฟังกระตุก และมองอีกฝ่ายเหมือนไม่เคยรู้จัก

ต่างฝ่ายต่างจ้องมองกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้จะไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมาแต่ในหัวกลับคิดไปสารพัดถึงสาเหตุที่ทำให้ต้องมีวันนี้

“ทำไม...เมื่อก่อนไม่ว่าฉันจะทำอะไร นายก็ยังเชื่อใจฉันเสมอไม่ใช่เหรอ แต่มาตอนนี้...ทั้งๆที่ฉันรับปากทุกอย่าง นายกลับไม่เชื่อ” ปถวีถามด้วยน้ำเสียงเรียบแต่หนักแน่น

นทนทีมองอีกฝ่ายด้วยใจเจ็บหนึบ ทั้งๆที่อยากจะหลับหูหลับตาเชื่อ แต่เขาหลับตาทุกวันไม่ได้ วันใดที่เขาลืมตาขึ้นมา มันก็จะเห็นและทรมาน

“เพราะเราโตขึ้น รู้จักคนมากขึ้น มีสังคมมากขึ้น จะคิดอะไรสั้นๆเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว การคิดว่าแค่ได้อยู่ด้วยกันมันไม่ใช่คำตอบทั้งหมดหรอกนะ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกัน”

นทนทีกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยต่อ

“นายกำลังมีคนที่เพียบพร้อมเข้ามาในชีวิต ฉันไม่รู้ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมั้ย ฉันถึงต้องไป”

“ใคร? ที่นายพูดถึง”

“...”

“อร...น้องอรน่ะเหรอ”

“แล้วใช่รึเปล่า”

“จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว ก็ฉันบอกแล้วไง น้องอรเขาเป็นแค่คนที่แม่ฉันเห็นดีเห็นงาม ฉันไม่ได้คิดอะไรกับน้องเขาเลย”

“วันนี้ไม่คิด แล้ววันข้างหน้าละ?” คำสวนของนทนทีทำเอาปถวีตาเป็นจะหลุดออกมาจากเบ้า

“นท!? ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกันเล่า ทำไมนายถึงชอบคิดอะไรในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงนักนะ ฉันอยู่ตรงนี้ อยู่ตรงหน้านาย มันยังไม่พออีกเหรอ ฉันละไม่เข้าใจนายเลย”

“มันคงยังไม่พออย่างที่นายว่าจริงๆนั้นละ ฉันถึงอยากพิสูจน์ว่าสิ่งที่นายพูดมาทั้งหมด” มือเล็กยกขึ้นปาดหยาดน้ำจากหางตาอย่างลวกๆก่อนจะเอ่ยต่อ “คำว่ารักของนายมันจะมั่งคงแค่ไหนกัน!” ท่ามกลางทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นใจให้นาย นทนทีนึกต่อในใจ

“...อะไรน่ะ!” น้ำเสียงเหี้-ยมเกรียมดังออกมาจากปากคนถูกประเมินราคาของหัวใจ ได้แต่เพ่งมองใบหน้าขาวนวลใต้ร่างด้วยอาการจุกเสียดและเจ็บหนึบในอก

“วี...ที่ผ่านมาฉันยังรอนายได้ แต่วันนี้ฉันจะให้นายรอฉันบ้าง!” ดวงตาที่เคยอ่อนโยนเปลี่ยนเป็นประกายกร้าว เมื่อต้องใช้แรงใจผลัดดันคำพูดทุกคำออกมาอย่างยากลำบาก ในขณะที่ร่างสูงเองก็เหมือนจะถึงขีดจำกัดของคำว่าอดทนเหมือนกัน

“นายจะเอาคืนว่างั้นเถอะ”

“ฉันไม่ได้เอาคืน! แต่ถ้าวันนั้นนายยังไม่เปลี่ยนไป ฉันจะเชื่อ จะเชื่อทุกคำที่นายพูดมา”

ปถวีมองคนรักเอ่ยเสียงเบาในตอนท้ายพลางส่ายหน้าช้าๆ

“ฉันไม่คิดจะรอให้วันนั้นมาพิสูจน์คำพูดของฉันวันนี้หรอกนทนที” เสียงกร้าวหลุดออกมาพร้อมรอยยิ้มหยัน

“หมายความว่าไง?”

“ก็หมายความว่า ฉันไม่ให้นายไปยังไงละ”

นทนทีจ้องมองดวงตาคู่คมกร้าวส่องประกายแวววาวล้อแสงไฟนิ่งงัน ปฏิกิริยาทางร่างกายของร่างสูงเปลี่ยนไปจนทำให้ต้องระแวง ผิดปกติ!

“นายไม่เคารพการตัดสินใจของฉัน!”

“ฉันเคารพมามากพอละ มากจนทำให้นายเหลิง คิดจะทำอะไรกับฉันก็ได้งั้นเหรอ คิดว่าฉันจะเออออไปด้วยทุกอย่างแม้กระทั้งจะถูกตีท้ายครัวงั้นเหรอ ฝันไปเถอะ”

เพี๊ยะ! ใบหน้าคมสะบัดหันไปตามแรงเหวี่ยงของฝามือเล็ก โดยคนตบไม่คิดจะออมแรง

“คิดเป็นอยู่แค่นี้ใช่มั้ย” น้ำเสียงสั้นสะท้านขึ้นจมูก ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยหยาดน้ำ หากแต่มันไม่ได้ลดทอนความเกรี้ยวกราดลงซักนิด

“ก็ถ้าไม่ทำให้คิด...ฉันจะคิดได้รึไง!” ร่างสูงตวาดกลับ มือใหญ่ยกขึ้นลูบแก้มสากช้าๆพลางใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้มลิ้มรสคาวเลือดจางๆด้วยดวงตาวาวโรจน์ “หลายครั้งแล้วนะ...ฉันจะทำยังไงกับนายดีเนี่ย!” ร่างสูงก้มลงจ้องตากับคนใต้ล่างเหมือนข่มขู่

“ปล่อย...ลุกออกไปนะ!” คนตัวเล็กกว่าพยายามดิ้นหนีให้หลุดจากการนั่งคร่อมของอีกฝ่าย

“อย่าดิ้นนะ! ทำไม?...จะรีบวิ่งโร่ไปให้มันซับน้ำตาให้รึไง”

“เออ! ไอ้บ้า...ปล่อยโว้ย” นทนทีรับสมอ้างด้วยความโมโหพลางปัดมือใหญ่ออกจากไหล่ และแสดงอาการรังเกียจความคิดอันต่ำช้าอย่างไม่ปิดบังอาการ ยิ่งกระตุ้นอารมณ์ร่างสูงจนอยากจะจับอีกฝ่ายมาหักเป็นสองท่อน

“ฝันไปเถอะ!”

“ปล่อย!” นทนทีร้องเสียงหลงเมื่ออีกฝ่ายกระชากสาบเสื้อจนได้ยินเสียงขาดออกจากกัน ก่อนจะได้ปริปากประท้วงก็ถูกมือใหญ่จับมัดด้วยเสื้อที่ขาดของตัวเองจนดิ้นไม่หลุด “ทำบ้าอะไรวี!” หัวใจดวงเล็กกระตุกเมื่อรู้สึกถึงไอเย็นกระทบโคนขาจากการกระชากถอดกางเกงและยึดตรึงไว้จนเจ็บของร่างสูงใหญ่
นทนทีมองอีกฝ่ายตาค้าง ด้วยรู้สึกถึงพละกำลังที่อีกฝ่ายตั้งใจออกแรงให้เขาได้เจ็บ ถ้าไม่นับครั้งแรกที่พวกเขามีความสัมพันธ์กันอย่างรุนแรงจนเลือกตกยางออก ปถวีก็ไม่เคยใช้กำลังบังคับให้เขาร่วมรัก แต่ตอนนี้ความรู้สึกในครั้งแรกนั้นกำลังจะห้วนกลับมา

“ปถวี! หยุด นายกำลังจะ...ข่ม...ขืน...ฉันนะ!” สะโพกมนพยายามขยับหลบมือแข็งกร้าวที่กำลังจาบจ้วง และสอดเข้าไปในรอยแยกเนินเนื้อแน่นตึง แต่ก็ดูเป็นความพยายามทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย

ร่างกายขาวนวลปรากฏขึ้นเต็มตาปถวี สายตาโกรธเกรี้ยวมองมาด้วยความชิงชัง แต่ก็ไม่ทำให้เลือดในกายของเขาสงบลง แม้ว่าสิ่งที่จะทำต่อไปนี้จะเป็นการทำร้ายคนที่ตัวเองบอกว่ารักก็ตามที

เพราะเขาไม่กลัวถ้าจะต้องถูกโกรธเกลียด แต่ถ้าจะต้องปล่อยให้อีกฝ่ายตีตัวออกห่างทั้งๆที่เขาไม่ยินยอม เขาทำได้หรือ เขาเคยให้ใครมาทำกับเขาแบบนี้ด้วยหรือ?เพราะฉะนั้น อย่าคิดว่าจะไปจากเขาได้ถ้าเขาไม่คิดจะปล่อย ถึงแม้จะต้องมัดอีกฝ่ายไว้กับเสา เขาก็จะทำ!

“เปล่าเลย...ฉันไม่ได้ข่มขืน แต่ฉันกำลังจะทำให้นายสำนึกว่านายกำลังคบอยู่กับใคร! นายควรจะฟังใคร! ถ้าไม่ใช่ฉัน! ถ้าฉันบอกไม่ให้ไปก็คือไม่ไป นทนที!”

ร่างสูงใหญ่กดคนตั้งท่าจะเถียงหัวชนฝาคว่ำหน้าลงกับที่นอน และปลดเข็มขัดตัวเองอย่างรวดเร็วก่อนจะโน้มตัวลงทาบทับแผ่นหลังเรียบเนียน แล้วจึงกระซิบเหี้-ยมเกรียมชิดริมใบหูขาว “ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปฉันไม่ให้นายไปทำงานที่นั้นอีก!”

“อะไรนะ!” ใบหน้าขาวซีดสะบัดเอี้ยวขึ้นมาคนซ้อนด้านหลังอย่างเอาเป็นเอาตาย “นายไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉันนะ แล้วอีกอย่างฉันทำสัญญาขอทุนเสร็จแล้ว เงินก็ถูกโอนเข้าบัญชีไปแล้วด้วย ถ้าฉันไม่ไปทำงานก็เท่ากับผิดเงื่อนไขการรับทุน ฉันจะถูกบริษัทฟ้องนะ!”

“ก็ให้มันฟ้องไปสิ!”

“ไอ้บ้า ใช่สิ คนถูกฟ้องไม่ใช่นายนี่ นายจะมาเดือนร้อนทำไมใช่มั้ยละ...โอ๊ย!” นทนทีร้องเสียงหลงเมื่อถูกกระชากต้นขาให้แยกออก รับร่างสูงที่สวนตัวเข้าแทรกจนเนินเนื้อแนบชิดไปกับความรุ่มร้อน ราวกับถูกไฟลวก สะโพกเล็กจึงกระตุกและขืนตัวออกห่าง แต่ยิ่งขืนก็ยิ่งเจ็บ จากปลายนิ้วแข็งแรงที่ยึดตรึงสะโพกเขาไว้แน่นจนเขียวเป็นจ้ำ

“ไม่เดือนร้อนเหรอ ทุกวันนี้ฉันไม่เดือนร้อนรึไงนทนที!?” ร่างสูงหอบหายใจดังจากการตะโกน “ฉันเดือนร้อนใจทุกครั้งที่นายไปกับคนอื่น นายไม่รู้รึไง...” ปถวีมองอีกฝ่ายอย่างคาดคั้น

“ไม่มีเหตุผลเลย! นายก็รู้ว่าไปฉันทำงาน ฉันไม่ได้ทำอย่างที่นายคิด ไม่เหมือนนายนี่! อย่าเหมาเอาว่าคนอื่นเขาจะทำเหมือนอย่างที่นายทำสิ...อย่า!” ร่างบางสะดุ้งเมื่อนิ้วมือของอีกฝ่ายกำลังชำแรกแทรกผ่านช่องทางแห้งผาก “วี! อย่างทำอย่างนี้ ถ้านายทำก็ไม่ต้องมาเจอะเจอกันอีกเลย”

“อ๋อ...นี่พูดเผื่อเลิกไว้เลยใช่มั้ย บอกแล้วไงว่าอย่าหวัง ถ้าฉันไม่ปล่อยให้ไป!”

“วี!” ร่างเล็กกว่าดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการพันธนาการ ข้อมือที่ถูกเสื้อของตัวเองมันไว้หนาแน่นแดงเถือกจนถลอกจากการฝืนขยับถูไถให้ปมผ้าคลายออก แต่ยิ่งขยับก็ยิ่งรู้ว่ามันเกินกำลังจะจัดการได้ด้วยแรงที่มี และยิ่งทำให้โมโหขึ้นไปอีก

“ฉันจะไป ค่อยดู! ฉันจะไปทำงาน นายห้ามฉันไม่ได้หรอก คอยดู!”

“นทนที!” ร่างสูงมองดูคนไร้กำลังต่อสู้ส่งเสียงเถียงจนคอโก่ง ดวงตาเจ็บร้าวมองมายิ่งทำให้รู้สึกเจ็บใจ เจ็บใจที่วันนี้เขาไม่ใช่ที่หนึ่งสำหรับนทนทีอีกแล้วหรือ “ก็ให้มันรู้ไปสิ” ร่างสูงพูดจบก็เอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์หัวเตียงกดหาเลขาตัวเองทันที

“กันย์ โทรแจ้งบริษัทที่นทนทีทำงานด้วยว่าเขาขอลาออก ถ้ายังมีข้อผู้พันใดๆก็ให้ทนายจัดการไปเลย เสร็จแล้วโทรบอกฉันด้วย” คำสั่งรั่วเร็วดังขึ้นอย่างไม่คาดฝันของปถวีทำให้นทนทีมองตาค้างก่อนจะตีโพยตีพายทันที

“นายทำยังงี้ไม่ได้นะ ฉันยังมีแม่มีน้องต้องรับผิดชอบ ให้ตายเถอะนายมันเห็นแก่ตัว ไม่ได้นึกถึงใจคนอื่นเลย นายมันทุเรศที่สุดเลยปถวี!”

“ไม่ต้องเอาคนอื่นมาอ้าง น้องวาเขาจะแต่งงานมีครอบครัวที่ดีอยู่แล้ว ส่วนนายแล้วก็แม่ของนายฉันเลี้ยงได้ คนที่เห็นแก่ตัวมันนายนั้นละ นายคนเดียวที่ยึดติดกับความยึดมั่นถือมั่นในใจของนาย จนนายลืมนึก ลืมนึกถึงฉันไปรึเปล่าว่าฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น ฉันมีทุกอย่างแล้ว สิ่งที่ฉันขาดคือคนที่เข้าใจ แต่นายไม่ยอมเข้าใจ นายทำไปทำไม...ในเมื่อสิ่งที่นายทำฉันไม่ต้องการ...”

“ปถวี!...” เสียงครางละเมอดังออกมาจากริมฝีปากบาง ทั้งๆที่เขาตั้งใจทำเผื่อคนๆนี้มาตลอด เขาอยากให้คนที่เขารักภูมิใจ แต่กลับถูกบอกปัดอย่างไม่มีเยื่อใยแบบนี้

นทนทีขบเม้นริมฝีปากอย่างคนถือทิฐิ ในเมื่อไม่ต้องการก็พอ!

“ฉันจะไป...แล้วฉันก็จะไม่ลาออกจากงาน” น้ำเสียงหนักแน่นแฝงความสะใจเมื่อพูดออกไปแล้วได้เห็นดวงตาคู่คมกล้าเบิกกว้างก่อนจะหรี่ลงอย่างหมายมาด

“อย่าหวัง!” ร่างสูงเอ่ยเสียงเหี้-ยมก่อนจะกระแทกสะโพกลงบนเนินเนื้อนิ่มด้วยแรงโทสะ

“โอ๊ย!” ร่างโปร่งร้องเสียงหลงระคนตกใจ กับการเสือกกายเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเหมือนตั้งใจทำให้เจ็บ “ไอ้บ้าเอ๊ย!” คำสบถพรั่งพรูออกจากริมฝีปากห่อเลือดด้วยขบกัดกั้นความจุกเจ็บที่กระแทกกระทั้นอยู่เบื้องหลัง ใบหน้านวลเอี้ยวมองร่างสูงที่ตอนนี้ไม่เหลือแววความอบอุ่นอ่อนโยนในดวงตา มีเพียงแสงไฟสีแดงวาววาบฉาบไปทั้งใบหน้าดูเหมือนคนไม่รู้จัก น้ำตาเม็ดโตจึงได้แต่ไหลเป็นสายอย่างไม่มีใครสนใจแม้แต่เจ้าตัว
ศีรษะเล็กสะบัดกลับไปซุกซบหมอน ให้น้ำตาเปียกชุ่มเป็นวงกว้างด้วยไม่อาจทนมองใบหน้าที่เต็มไปความกรุ่นโกรธของอีกฝ่าย ร่างกายอันชาหนึบไม่สามารถขืนกายหรือห้ามปรามการกระทำอันหยาบกระด้าง จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตารับความโกรธเกรี้ยวเข้ามาในตัวพร้อมกับใจที่เหมือนถูกบดขยี้ให้แหลกลาญคามือ

พายุร้ายโหมกระหน่ำพัดผ่านเพียงวูบเดียวก็สามารถทำให้ทุกอย่างที่อยู่รอบข้างพังทลายด้วยแรงอันมหาศาล ร่างโปร่งบางนอนอยู่บนเตียงถึงแม้จะได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการแล้ว หากแต่กลับนอนนิ่งไม่ไหวติ่ง มีเพียงน้ำตาเป็นสายเท่านั้นที่ยังบ่งบอกว่าร่างๆนี้ยังมีความรู้สึก รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

ดวงตาไร้แววมองร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังห้องน้ำ ก่อนจะกลับออกมาพร้อมผ้าชุบน้ำเย็น นำมาเช็ดร่องรอยและคราบของความโกรธเกลียดที่ตัวเองเป็นคนยัดเยียดให้ร่างเล็กจนต้องเจ็บช้ำ

ปถวีมองร่างคนรักนอนทอดกายหมดแรงต่อสู้ด้วยใจนึกสงสาร แต่...ก่อนที่จะมีวันนั้น วันที่ต้องเสียคนๆนี้ไป เขาจะยื้อไว้จนสุดกำลัง แม้สิ่งนี้จะกลับมาทิ่มแทงให้เจ็บยอกในอกก็ตาม ร่างสูงลูบศีรษะทุยไปมาก่อนจะก้มตัวลงกระซิบใกล้ใบหูเล็ก บอกทั้งๆที่ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะยอมเปิดโสตรับฟังหรือไม่

“นายทำให้ต้องมีวันนี้เองนะ...นทนที”

ดวงตาแห้งแล้งเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาลงจบการรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวพร้อมกับน้ำตาหยดสุดท้ายที่ไหลรินให้อีกฝ่ายเห็น

ทำไมถึงเป็นแบบนี้...


V
V
V
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-12 (07/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 07-10-2009 22:42:47
ตอนที่ 17

“ติดต่อนทได้มั้ย” ประธานหนุ่มใหญ่เอ่ยถามเลขาในห้องทำงานด้วยอาการร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด เพราะได้รับรายงานจากฝ่ายบุคคลว่านทนทีได้ขอลาออกกะทันหัน ถึงวันนี้ก็สี่วันเข้าไปแล้วที่เขายังไม่สามารถติดต่อนทนทีได้ มีแต่ส่งตัวแทนมาดำเนินการเรื่องทุกอย่าง และตัวแทนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นายกันย์ เลขาของปถวีนั่นเอง

มันต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ เพราะเมื่อซักถามเอาความกับเจ้าเลขาหน้าตายนั่น ก็ได้คำตอบเหมือนถามเอากับเครื่องตอบอัตโนมัติไม่มีผิด

“คุณนทนทีต้องการจะลาออกไปทำงานที่อื่นครับ”

ไม่มีทางเป็นอย่างที่เจ้านั่นพูดแน่ๆ ก็นทนทีตกลงรับทุนการศึกษาของบริษัท เหลือแค่รอให้งานแต่งงานของน้องสาวเสร็จสิ้น เจ้าตัวก็พร้อมจะเดินทางไปทันที ในเมื่อที่ทางได้ถูกเตรียมไว้พร้อมสรรพแล้ว

นทนทีไม่มีทางจะหายไปเฉยๆแบบนี้แน่ นอกจากจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าตัวจนทำให้ไม่สามารถติดต่อมาได้ และนี่เองที่ทำให้เขาเป็นห่วงจนนั่งไม่ติด

“ติดต่อไม่ได้ครับ ทางโน้นบอกว่านทนทีไม่ว่างรับสายครับ” ทวีปขมวดคิ้วยุ่ง เพราะโทรไปหาทางบ้าน มารดาของนทนทีกลับบอกว่าตอนนี้นทนทีไปทำงานที่บริษัทของปถวีแล้ว และได้ไปอาศัยปถวีอยู่ชั่วคราวเพื่อสะดวกในการเรียนรู้งานและเดินทางในช่วงแรก หนำซ้ำพอติดต่อไปยังบริษัทของปถวีก็ถูกคุณเลขาคู่ปรับของเขารับและปฏิเสธที่จะให้พูดคุยเสียทุกครั้งไป จนเขาเองก็กังวลไปด้วยกับการหายตัวไปของนทนทีเหมือนกัน

“มันแปลกมั้ยละไอ้ต่อ จู่ๆก็ลาออก ทั้งๆที่ทุกอย่างมันลงตัวหมดแล้วน่ะ” เทวัญเอ่ยถามเพื่อนเหมือนอยากหาคนปรับทุกข์

“ลองอีกแบบนี้คงถูกจับได้มั้ง” เทวัญตอบหน้าตาย

“หมายความว่าไง ถูกจับได้”

“ก็หมายความว่า คนรักเขาคงไม่อยากให้ไปเรียนต่อ แล้วนทก็คงตัดสินใจเองคนเดียว พออีกฝ่ายรู้เข้าก็เป็นอย่างที่เป็นนี่ไง”

“เฮ้ยๆให้มันน้อยๆหน่อย ถึงจะรักกันแต่ไอ้การกักขังไม่ให้พบเจอผู้คนแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอวะ”

“อันนี้มันก็แล้วแต่มุมมอง ใครมันจะไปเหมือนแกละ คนดีที่โลกลืม”
“ไอ้ต่อ!” เทวัญขึงตาใส่คนล้อเล่นไม่รู้จักเวล่ำเวลา แถมยังสาวไส้เขาออกมาอีก

“โอเคๆ แต่ว่าเป็นแบบนี้แล้วเจ้าเด็กยักษ์นั่นคงไม่ปล่อยให้เราได้คุยกับนทนทีแน่ๆ แล้วนายจะเอาไง ลุยเข้าไปมั้ย”

“ไม่ๆทำแบบนั้นนทอาจจะยิ่งลำบากกว่านี้ ลองให้คนตามดูพฤติกรรมซักพักแล้วค่อยคิดว่าจะเอาไง ส่วนเรื่องการผิดสัญญารับทุนของนทนทีบอกให้เจ้าหน้าที่เอาแฟ้มเรื่องนี้มาไว้ที่ฉัน ฉันจะจัดการเอง”

“ครับ...” ทวีปลังเลอยู่พัก ก่อนจะเอ่ยเตือนอย่างเพื่อนต่อเพื่อน “คิดดีแล้วเหรอที่เอาตัวเองเข้าไปแลกกับเรื่องผัวๆเมียๆแบบนี้ ทำไปมันอาจไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลยนะ เผลอๆตัวแกเองนั่นละที่จะเจ็บกว่าใครเพื่อน เมื่อก่อนฉันไม่คิดว่าแกจะจริงจังกับนทนทีขนาดนี้ถึงได้ปล่อยไปเรื่อยๆ แต่วันนี้ฉันอยากบอกกับแกให้ถอยออกมาหน่อยก็ดี ฉันไม่อยากเห็นแกผิดหวังอีก”

“ไอ้ต่อ...พอเลย ไม่ต้องพูด ฉันรู้ว่าฉันทำอะไรอยู่”

“เออ ถึงได้เตือนไง ไอ้ทำทั้งๆที่รู้ว่าเขาไม่คิดจะรักแกเนี่ย จะทำไปเพื่ออะไร จะไปไขว้คว้าไอ้สิ่งที่ล่องลอยทำไมกัน สู้หันกลับไปรักคนที่เขารักแกไม่ดีกว่าเหรอว่ะ”

“ใคร? ใครที่แกว่ารักฉัน มันอยู่ตรงไหนกันเหรอ” เทวัญสวนคำพูดยาวเหยียดของเพื่อนรักอย่างขวางๆ สิ่งที่จบไปแล้วเขาไม่ต้องการให้ใครมาขุดคุ้ย

อาการตาขวางของคนที่เป็นทั้งเจ้านายและเพื่อนรักทำให้ต้องถอนหายใจยาวด้วยตัดใจไม่พูดจะดีกว่า เดี๋ยวไฟจะลุกพาลมาติดเขาด้วย

“เออๆ เดี๋ยวเรื่องนทฉันจะตามให้ ได้เรื่องยังไงจะรีบบอก” ทวีปตัดบทแล้วจึงเดินออกไปทำหน้าที่เลขาหน้าห้องตามปกติ

เทวัญพยักหน้ารับแล้วจึงหลุบตามองพื้นห้อง บริเวณที่ตัวเองนั่งทำงานนิ่งเงียบ จนไม่ได้รู้สึกตัวว่าก่อนเลขาตัวเองจะเดินออกจากห้อง ได้หันหน้ากลับมามองชั่วอึดใจ ก่อนจะขมวดคิ้วย่นเพราะ

บริเวณที่ประธานใหญ่นั่งนั้น ถ้าเอาไม้บรรทัดไปขีดเป็นเส้นตรงในแนวดิ่งก็จะตรงกับเคาเตอร์ส่วนงานประชาสัมพันธ์ของบริษัทพอดิบพอดี

ที่ซึ่งมีคนๆหนึ่งยังรอคอยการให้อภัยอยู่นานแล้ว...


XXXXX


ใบหน้าบอกบุญไม่รับของนทนทีไม่ได้ทำให้กันย์รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจไปด้วยเลยแม้แต่น้อย เจ้าของใบหน้าเฉยชากลับตั้งหน้าตั้งตาสอนงานให้คนหน้าบึ้งอย่างไม่รู้สึกรู้สาที่เป็นสาเหตุให้ร่างโปร่งต้องมานั่งทำงานเป็นผู้ช่วยเลขา โต๊ะติดจนแทบจะเกยกันตามคำสั่งของประธานบริษัท ซึ่งก็คือปถวีนั่นเอง

“ฉันทำไม่ได้” นทนทีปฏิเสธเสียงแข็งเมื่อถูกสอนวิธีการจัดตารางนัดหมาย

“ลองอีกครั้งครับ ไม่เข้าใจตรงไหนผมจะได้อธิบายให้เข้าใจ” คุณเลขาผู้ช่ำชองพยายามใช้ความอดทนกับอาการแกล้งโง่บวกพาลของอีกฝ่ายตลอดหลายวันที่ผ่านมา

“ก็ทั้งหมดนั้นละ ฉันเป็นนิติกรนะ จะให้มาเป็นเลขา ฉันทำไม่ได้หรอก” นทนทีรวบแฟ้มตรงหน้าส่งคืนให้อีกฝ่ายอย่างหงุดหงิด

เขาถูกบังคับให้มาทำงานที่นี่ทั้งๆที่ยังไม่ได้ลาออกจากบริษัทเดิม อีกทั้งยังให้บอกมารดากับน้องสาวว่าเปลี่ยนงาน คนไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างมารดาและน้องสาวก็ดูจะดีใจที่พี่ชายมาทำงานกับครอบครัวของอนล ซึ่งกำลังจะเป็นทองแผ่นเดียวกัน ช่วงเวลาที่กลับบ้านไปเก็บของใช้ส่วนตัวนิดหน่อยนั้น มีปถวีคอยควบคุมไม่ให้เขาหลุดลอดไปจากสายตา ก็แน่ละ ถ้าเผลอเมื่อไรเขาก็ไปเมื่อนั้น เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ถึงได้ยึดแม้กระทั่งมือถือไม่ให้ติดต่อกับใคร แถมยังให้กันย์คอยตามประกบช่วงเวลาทำงาน พอเลิกงานเมื่อไรเจ้ายักษ์บ้าดีเดือดก็จะลากพากลับคอนโดกระดิกไปไหนไม่ได้เลย

เพราะตั้งแต่วันนั้นพวกเขาก็แทบไม่ได้พูดคุยกัน อย่างดีก็แค่ถามคำตอบคำ ทุกอย่างในหัวของเขามันว่างเปล่า รู้แต่ว่าไม่อยากอยู่ในสภาพนี้ เขายังมีสิ่งติดค้างกับเทวัญ ไม่รู้ว่าปานนี้ทางโน้นจะคิดกับเขายังไง ในเมื่อเขาหายไปเหมือนไม่รับผิดชอบในสิ่งที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว ร่างโปร่งพ่นลมหายใจยาวยืดให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความไม่พอใจกลายๆ

“คุณนทนที...” กันย์เรียกอีกฝ่ายเบาๆ “คุณน่ะทำได้ แต่คุณไม่คิดจะทำต่างหาก” คำพูดราบเรียบดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนทำให้อีกฝ่ายตวัดตามองอย่างขุ่นเคือง

“ก็นั่นสิ! ในเมื่อรู้อยู่แล้วทำไมถึงยังบังคับให้มาทำเล่า ให้ตายเถอะ นายนี่ทำให้เรื่องมันยุ่งจริงๆเลย” ร่างโปร่งกระแทกตัวกับเก้าอี้แรงๆพลางตั้งศอกขึ้นเท้าคางหันหน้าไปทางอื่น

กันย์มองอากัปกิริยาไม่รับฟังของอีกฝ่ายแล้วส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “ไม่หรอกครับ การไปโดยไม่พูดไม่จากันก่อนต่างหาก ที่จะทำให้เรื่องมันยุ่งจนถึงเวลาอยากแก้ไข ก็ทำไม่ได้แล้ว”

“ก่อนที่จะมาบอกฉัน นายไปบอกบอสนายก่อนดีมั้ย ว่าให้ฟังฉันบ้างน่ะ” เพราะอารมณ์หงุดหงิดเป็นทุนเดิม นทนทีจึงหันมาตวาดเอากับเลขาหนุ่มเสียงดัง จนผู้คนรอบข้างเริ่มหันมามอง

“แล้วคุณคิดแต่จะให้คนอื่นมาเข้าใจคุณฝ่ายเดียวงั้นเหรอครับ ลองลดทิฐิลงซักนิดสิครับ บางที่คุณอาจจะพบความสุขได้โดยที่คุณไม่ต้องขวนขวายเลยด้วยซ้ำ”

“หึ ...ฉันพยายามทำเพื่อเจ้านั่นมาแทบตาย แต่กลับถูกบอกว่ามันไม่มีความหมาย เขาไม่ต้องการ...
แล้วไอ้การนั่งนิ่งเป็นหุ่นให้เจ้านั่นจูงไปทางนั้นทีทางนี้ที มันจะมีความสุขขึ้นมาได้รึไง...นายกันย์!” นทนทีถลึงตาวาวโรจน์ ในขณะที่อีกฝ่ายยังยิ้มเย็น

“ความสุขมันหาไม่ยาก แต่มันจะยากถ้าเราตั้งข้อแม้ให้ตัวเองไว้สูงเกินไป”

“แต่ฉัน...” นทนทีพูดค้างไว้ด้วยคนในห้องใหญ่เดินทำหน้านิ่วคิ้วขมวดออกมา

“ทะเลาะอะไรกัน ดังไปถึงในห้องแล้ว” ปถวีเอ่ยเสียงเครียด กวาดตามองใบหน้าคนรักเชิงถาม หากสิ่งที่ได้รับกลับมาคือการหันหน้าหนีและหุบปากเงียบ ก่อนจะลุกขึ้นเดินหนี

“จะไปไหน” เสียงกร้าวดังไล่หลังไม่ทำให้คนหงุดหงิดหยุดเดิน หากแต่ตะโกนตอบกลับแบบไม่ยี่หระ

“ไปห้องน้ำ! จะตามไปมั้ย” น้ำเสียงเย้ยเยาะดังขึ้นทำให้ร่างสูงใหญ่ระบายลมหายใจอย่างอดกลั้น

“กันย์ ตามไป” สิ้นสุดคำสั่ง นทนทีก็หันขวับมองคนรักด้วยดวงตาขึงโกรธก่อนจะสะบัดหน้าเดินจ้ำเอาๆ โดยไม่ได้นึกเฉลียวใจเลยว่า ที่ๆตัวเองนั่งอยู่นั้น เคยมีใครนั่งมาก่อน และตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนเสียแล้ว

ปถวีมองคนรักเดินหายลับไปกับมุมห้อง พร้อมกับเลขาเดินตามไปติดๆ แล้วจึงหันหลังกลับเข้าไปในห้อง เมื่อประตูปิดสนิทไหล่กว้างมั่งคงกลับอาศัยประตูเป็นที่พักพิง สายตาคู่คมกร้าวปิดสนิทลงและยกหมัดขึ้นตีหน้าผากตัวเองหนักๆ

รู้ทั้งรู้ว่าทำแบบนี้แล้วผลมันจะเป็นยังไง แต่เพราะไม่สามารถปล่อยให้ไปได้ถึงต้องทำ...


XXXXX


“ขอโทรศัพท์” นทนทีเอ่ยขอเจ้าของห้องเสียงห้วนในเช้าของวันหยุดสุดสัปดาห์ ด้วยโทรศัพท์ในห้องถูกเจ้ายักษ์บ้าถอดสายออกจนหมด เหลืออยู่ก็แค่โทรศัพท์มือถือเครื่องเดียวที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง ที่เจ้าตัวเดินพกติดตัวไปไหนมาไหนด้วยตลอด

“จะโทรไปไหน” ปถวีเงยหน้าถามขณะชงกาแฟ

“ฉันต้องบอกนายทุกเรื่องรึไง ขอเวลาส่วนตัวให้ฉันบ้างได้มั้ย” ร่างโปร่งนั่งหน้าบึ้งอยู่หน้าโทรทัศน์ที่เปิดไว้เพียงแค่ฆ่าเวลา

“ก็ถ้านายเลิกคิดไปเรียนต่อก็นะ” มือใหญ่กระแทกถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะจนน้ำสีเข้มในถ้วยกระชอกล้นออกมาเปื้อนพื้น

“ไม่! ฉันจะไป” ร่างโปร่งเอ่ยโดยไม่หันไปมองคนข้างหลังที่เดินลงส้นตึงๆมาหา ศีรษะเล็กถูกมือใหญ่จับบิดขึ้นให้เงยหน้า

“นท ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้คิดอะไรกับน้องอร เขาเป็นเพื่อนที่เข้าใจอะไรได้ง่าย ง่ายกว่านายด้วยซ้ำ แล้วนายจะไปเพื่อพิสูจน์อะไรกันหึ ในเมื่อเขากับฉันไม่ได้คิดอะไรกัน”

“ปถวี...” นทนทีรู้สึกถึงความแสบร้อนในโพรงจมูก คำพูดที่ฟังดูเหมือนคำอธิบาย แต่กลับทิ่มแทงให้เขารู้สึกด้อยเสียจนไม่อาจสบตากับร่างสูงต่อไปได้ จึงจงใจตอบอีกฝ่ายเสียงเบา เพราะเขารู้สึกเจ็บจนแทบจะหมดแรงใจอยู่แล้ว

“ฉันจะโทรไปถามแม่ว่าจะทานอะไรมั้ย กลางวันนี้ฉันอยากกลับบ้าน”

ร่างสูงมองปฏิกิริยาของคนรักนิ่ง ก่อนจะยื่นโทรศัพท์ให้โดยไม่พูดไม่จา พลางทรุดตัวนั่งลงข้างๆเป็นการกำกับไปในตัว

ปถวีพานทนทีมาถึงบ้านสวนใกล้เที่ยง หากแต่ร่างสูงใหญ่ที่เดินออกมาต้อนรับทำให้นทนทีฉีกยิ้มกว้าง

ประวิช! ร่างโปร่งแทบจะกระโดดลงจากรถถ้าไม่ถูกมือใหญ่ฉุดรั้งไว้ก่อน

“อะไร?”

“ถ้านายอยากจะลากเจ้านั่นให้เข้ามาช่วย ก็เชิญเลย แต่ฉันไม่รับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นนะ” ร่างสูงโน้มตัวเข้าไปประซิบขู่ จนศีรษะทุยต้องสะบัดกลับมามองด้วยสายตาแวววาว

“นายมันบ้า...”

“แล้วมันเพราะใคร!”

ไม่มีคำตอบจะร่างโปร่งที่พยายามสะบัดตัวจนหลุดจากการจับกุมของอีกฝ่ายแล้วรีบลงจากรถตรงดิ่งไปหาประวิช

“ไม่รู้เลยว่านายจะมาหาวันนี้” นทนทีฉีกยิ้มกว้างให้เพื่อนสนิท

“ก็เล่นปิดโทรศัพท์ตลอดเลยนี่” ประวิชเอ่ยค่อนขอด

“เออ...โทรศัพท์มันเสียน่ะ” ตอบแบบขายผ้าเอาหน้ารอดเสร็จ นทนทีจึงเดินนำประวิชไปยังเก้าอี้ใต้ต้นมะม่วงข้างบ้าน โดยไม่เหลียวแลร่างสูงที่เดินเข้าบ้านไปร่วมวงสนทนากับน้องสาวซึ่งนั่งเรียงละมุดใส่กระจาดอยู่กับมารดา
ประวิชชายตามองปถวีแล้วจึงเลื่อนสายตากลับมาหานทนทีอีกครั้ง

“เพิ่งรู้ว่านายเปลี่ยนงานแล้วไปอยู่กับเจ้าวีมัน”

“ก็...ก็นะ คงแค่ช่วงนี้เท่านั้นละ” อาการกลบเกลื่อนของร่างโปร่งคงไม่มิดถึงทำให้เพื่อนสนิทขมวดคิ้วสงสัย

“มีอะไรกันรึเปล่านท”

ริมฝีปากบางยิ้มรับอ่อนระโหยด้วยปิดอะไรเพื่อนคนนี้ไม่ได้เลย ก่อนจะถอนหายใจยาวไม่รู้จะพูดอะไรออกมาถึงจะดี เพราะขืนเล่าไปก็จะเป็นการลากเพื่อนเข้ามารับรู้ปัญหา และก็ไม่รู้ว่ายักษ์สองตนนี้จะทำให้แผ่นดินรอบๆตัวเขาสะเทือนขนาดไหนด้วย

“นิดหน่อยนะ คนคบกันนี่” นทนทีเลี่ยงตอบ พลางทอดสายตามองสีเขียวของใบไม้ใบหญ้าอย่างครุ่นคิด จนเพื่อนตัวโตโน้มกายเข้ามาถามอย่างเอื้ออาทร ทั้งๆที่ตัวเองก็ยังจะเอาตัวไม่รอด

“อยากให้ฉันช่วยอะไรมั้ย” ประวิชทอดเสียงอ่อน

ศีรษะเล็กส่ายปฏิเสธช้าๆ “ปัญหาของตัวเองก็คงต้องแก้ด้วยตัวเอง ยิ่งลากใครเข้ามาเท่าไรก็ยิ่งจะแก้ยากขึ้นเท่านั้น ฉันคิดแบบนี้นะ ไม่รู้ว่านายจะโกรธฉันรึเปล่า”

ประวิชส่ายหน้าให้นึกสะท้อนใจ ก่อนจะก้มศีรษะมองตักตัวเองอย่างอ่อนล้า

“ฉันจะว่าอะไรได้ล่ะ ในเมื่อนายเลือกแล้วนี่ แต่ก็ดีนะ ที่นายรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร จะทำอะไรต่อไป” คำพูดปลงตกของประวิช ทำให้ร่างโปร่งดึงสายตากลับมาเพ่งพินิจมองเพื่อนตัวโต

“นายไม่รู้เหรอ?” นทนทีเว้นระยะชั่งใจมองคนตรงหน้า “นายยังคิดถึงไผ่อยู่เหรอ”

ร่างสูงใหญ่ไม่ตอบแต่กลับยกคอตกๆของตัวเองขึ้นเหม่อมองความว่างเปล่าตรงหน้า

อีกครั้ง ขอเจอแค่อีกครั้ง ขอให้ได้เห็นหน้าขาวๆนั้นอีกครั้ง เขาจะได้มั่นใจในความรู้สึกของตัวเอง ว่าจะอยู่หรือ...ไปกันแน่

คำถามในดวงตาคู่อ่อนโยนทำให้ประวิชหัวเราะลงคอขื่นๆ

“จริงๆแล้วฉันกลัวนะ กลัวว่าชีวิตนี้จะไม่ได้เจอเจ้านั่นอีก กลัวว่าเจ้านั่นจะไม่อยากเห็นหน้าฉัน แต่ฉันก็อยากเจอ ทั้งๆที่ยังกล้าๆกลัวๆแบบนี้”

“กล้าๆกลัวๆ...อะไร? นายกำลังคิดอะไรอยู่วิช”

“ฉันคิดไปสารพัด แต่สุดท้ายฉันก็ไม่แน่ใจว่าที่ฉันทรมานทุกวันนี้ เป็นเพราะฉันรักงั้นเหรอ? หรือเพราะแค่สิ่งที่คุ้นเคยหายไป”

“ประวิช” นทนทีคราง มองใบหน้าอันสับสนวุ่นวายของเพื่อนแล้วต้องทอดถอนใจ

การจากกันแบบนี้มันดีแล้วเหรอ...จากกันทั้งๆที่ยังรักยังห่วง จากกันทั้งๆที่ยังไม่ได้ล่ำลา แล้วชีวิตที่จะเดินต่อไปมันจะมีความสุขได้จริงๆน่ะเหรอ ในเมื่อยังมีสิ่งติดค้างอยู่ในใจ

นทนทีมองประวิชอย่างชั่งใจ ณ วันนี้เพื่อนตัวโตของเขามีสีหน้าอมทุกข์ มองไปตรงไหนของใบหน้าก็รู้สึกได้ถึงความโดดเดี่ยว เงียบเหงาจนน่าใจหาย แล้วควรแล้วหรือที่จะให้เพื่อนเป็นแบบนี้ไปตลอด ทางชีวิตของใคร ใครคนนั้นก็อยากเลือกเองทั้งนั้น แม้แต่เขาเองก็ตาม แล้วเขามีสิทธิ์อะไรไปปิดบัง เพราะอยากช่วยเหรอ... มันช่วยได้จริงๆงั้นเหรอ ใครจะให้คำตอบได้ละว่าสิ่งที่เขาทำในตอนนี้มันดีที่สุดแล้วสำหรับเพื่อน

ให้เขาได้ตัดสินใจกันเองดีกว่ามั้ยนทนที...ร่างโปร่งบอกกับตัวเองแล้วจึงพรางพรูลมหายใจยาว

“ประวิช เราถามอะไรหน่อยสิ”

“อืม”

“ไผ่มันชอบกินอะไร”

ร่างสูงใหญ่มองเพื่อนด้วยแปลกใจ แต่ก็ยอมตอบพลางยกยิ้มแยกเขี้ยว “ถ้าแบบดีดดิ้นจะกินให้ได้ก็ส้มโอสวนนายนี่ไง มาแล้วไม่ยอมเอาไปฝากมันเป็นได้ชักดิ้นชักงอ”

นทนทียิ้มรับแล้วจึงลุกขึ้นเดินเข้าไปในบ้านผ่านร่างสูงของปถวีที่ลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้อย่างใคร่รู้ ก่อนจะเดินไปยืนพิงกรอบประตูมองร่างโปร่งหยิบผลส้มโอ้ลูกโตพร้อมกับเขียนอะไรหยุกหยิกลงในกระดาษ เสร็จแล้วจึงอุ้มผลส้มโอเดินสวนออกไป

V
V
V
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-12 (07/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 07-10-2009 22:43:29
“ทำอะไรน่ะ”

“เปล่า” นทนทีตอบเสียงเขียว

“ก็เห็นเขียนอะไรอยู่”

“ไม่รู้ซักเรื่องจะได้มั้ย!”

“อย่าคิดว่าเจ้านั่นมันจะช่วยนายได้นะ” ปถวีขยับเท้าขวางประตูกันอีกฝ่ายออกไปกลายๆ
“หลบ! คิดเป็นแต่เรื่องเดียวรึไง” ตอบพลางกระแทกไหล่เข้าใส่ร่างหนาจนผงะถอยหลังแล้วรีบเดินกลับไปหาประวิชที่นั่งคอยอยู่

“อะ...ฝากเอาไปให้ด้วยนะ” ประวิชมองส้มโอในอุ้งมือเล็กส่งยื่นมาให้อย่างงงๆ

“อะ...อะไร? ให้ฉันเหรอ” ดวงตาคู่อ่อนล้าเบิกกว้างก่อนจะยื่นมือใหญ่สากรับผลส้มโอ สัมผัสแห้งกรอบผิดไปจากผิวส้มโอทำให้คิ้วเข้มขมวด แล้วจึงพลิกขึ้นดูสิ่งที่อยู่ภายใต้

กระดาษสีขาวแผ่นเล็กๆปรากฏในอุ้งมือ ตัวหนังสือเรียงกันเป็นระเบียบทำให้ต้องยกขึ้นมาอ่าน

“58 ชะอำบีชรีสอร์ท จังหวัดเพชรบุรี” ประวิชทวนข้อความในเศษกระดาษหลังจากรับมาจากเพื่อนตัวเล็ก

“ทำไมเหรอนท?” คนแปลกใจเงยหน้ามองร่างโปร่ง หากแต่ในแววตาที่มองมานั้นกลับฉายแววอาทรอย่างไม่ปิดบัง

“ไผ่อยู่ที่นี่”

“หะ...ห๋า!” เสียงตกใจพร้อมกับผลส้มโอในมือใหญ่หลุดลงไปกลิ้งบนพื้น แต่เจ้าตัวไม่คิดจะใส่ใจแม้แต่น้อยด้วยคำพูดของเพื่อนตรงหน้า

“รู้ได้ไง ไผ่โทรมาเหรอ” น้ำเสียงเบาหวิวเอ่ยถาม หากแต่หัวใจในอกกลับเต้นถี่เร็ว

“เปล่า...ไผ่ไม่ได้โทรมาเลย” นทนทีเงียบไปชั่วอึดใจแล้วจึงพูดต่อ “ขอโทษนะ แต่ฉันรู้ว่าไผ่อยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว”

“...นท!” ใบหน้าแดงก่ำส่ายไปมา “ทำไม” ริมฝีปากได้รูปเม้นเข้าหากันแน่น

“ส่วนหนึ่งเพราะอยากให้นายได้มีเวลาคิด ว่าตัวเองอยากให้เรื่องนี้จบลงแบบไหนกันแน่ และอีกอย่างคือไผ่ขอไว้”

“นท!...ไผ่มันขอไว้ แล้วฉันละ ฉันเฝ้าโทรมาถาม ฉันเฝ้าคอย แล้วนายไม่คิดจะนึกถึงฉันเลยรึไง ถึงได้ส่งเจ้านั่นไป”

นทนทีระบายลมหายใจหนักๆกับอาการโมโหของร่างสูงที่แม้แต่เขาเองก็เพิ่งเคยเห็น “ฉันมารู้เมื่อไผ่มันไปแล้ววิช”

“หมายความว่าไง”

“วิช ไผ่มันเสียใจนะ เข้าใจมันหน่อย วีเลยส่งไผ่ไปทำงานอยู่ที่นั่น ดีกว่าจะให้ไปอยู่ในที่ๆไม่รู้จัก โดยแลกกับคำขอร้องของไผ่เองที่ไม่อยากให้นายรู้น่ะ”

“อะไรนะ! นี่พวกนาย...พวกนายรู้กันมาตลอดเลยนี่!” ประวิชลุกพรวดขึ้นมองเพื่อนตัวเล็ก

“ขอ...ขอโทษ แต่อย่างที่บอกไปแล้ว” นทนทีเงยหน้ามองอีกฝ่าย

“แล้วทำไมถึงคิดจะบอกขึ้นมาล่ะ” ร่างสูงใหญ่โมโหจนหน้าดำหน้าแดง เพราะแม้แต่เพื่อนที่เขาไว้ใจกลับไม่เข้าข้างกันเลย และเพราะเสียงที่เริ่มดังทำให้ปถวีชะโงกหน้ามาเมียงมองก่อนจะสาวเท้าเดินเข้ามาหา

“ฉันคิดว่าฉันควรให้นายได้ตัดสินใจเลือกเอง เพราะถ้าจะเกิดอะไรขึ้น นั่นคือสิ่งที่นายเลือกไม่ใช่ฉันหรือคนอื่นเลือกให้ แล้วก็...ความรู้สึกดีๆที่พวกนายมีให้กันมันไม่น่าจะต้องจบแบบนี้ ฉันคิดแบบนี้นะ”

“นาย...ให้ตายเถอะ นาย...พวกนาย ทำกับฉันแบบนี้ได้ไง! เห็นฉันเป็นแบบนี้แล้วไม่รู้สึกอะไรเลยรึไง” เสียงระเบิดอารมณ์พร้อมกับการสาวเท้าเข้าหาเพื่อนสนิทของประวิช ทำให้ปถวีที่กำลังเดินเข้ามาหาขมวดคิ้วยุ่งพลางรีบจ้ำเดิน ด้วยประวิชที่เคยเป็นคนสุขุมปากหนัก แต่ในเวลานี้กลับเปลี่ยนไปยังกับหน้ามือเป็นหลังมือ

“ฉันโกรธจริงๆนะคราวนี้”

“ฉันรู้...” นทนทียอมรับคำต่อว่าของเพื่อนแต่โดยดี ก่อนจะยิ้มเศร้าๆให้ร่างสูงที่เข้ามายืนประชิด

“พวกนาย!”

ประวิชหันขวับมองต้นเสียง ดวงตาแดงก่ำวาวโรจน์เมื่อเห็นปถวีเดินมาหา

“แก...” ร่างสูงใหญ่ของประวิชเดินปรี่เข้าไปหา พอได้ระยะก็ปล่อยหมัดขวาเข้าใบหน้าคมคายทันที

“เฮ้ย!” ปถวีอุทาน ก่อนจะเบี่ยงหลบด้วยเป็นนักกีฬาเก่า ทำให้ได้รอยฟกช้ำน้อยกว่าที่คนต่อยตั้งใจ แต่ร่างสูงก็เซจนล้มไปนั่งจ้ำเบ้ากับพื้นดินแข็ง แล้วจึงเงยมองคนประทุษร้ายอย่างงงๆแกมโมโห

“อะไรกันวะ! แกต่อยฉันอีกแล้วนะไอ้วิช”

“ฉันถามแกแล้วนะ แต่แกโกหก แกเอาไอ้ไผ่ไปซ่อน แก...โธ่โว๊ย” ประวิชขยี้ศีรษะตัวเองแรงๆ แล้วจึงสาวเท้าเข้าหาคนที่กำลังลุกยืนลูบหัวคิ้วตัวเองไปมา

“แล้วไง ก็แกมันห่วยแตกถึงต้องเจอแบบนี้ไง เจ้าบื้อ!”

“อะไรนะ!” ร่างสูงใหญ่เดินตรงไปจะกระชากคอเสื้อ ซึ่งอีกฝ่ายก็ตั้งท่าพร้อมรับไว้เรียบร้อย หากแต่
นทนทีเข้ามาฉุกกระชากเพื่อนสนิทออกไปเสียก่อน ปถวีจึงทำได้แต่เพียงยืนจังก้ารอ

“ประวิช! อย่าทะเลาะกัน ขอร้องละ”

ปถวีมองคนรักยื้อยุดเพื่อนสนิทพลางเบ้ปากอย่างไม่พอใจ

“หึ! ถ้ามีเวลามาหาเรื่องกับฉันได้ละก็ แกเอาเวลาที่ยังพอมีไปหาไอ้ไผ่ดีกว่ามั้ย จากกรุงเทพไปเพชรบุรีก็ประมาณ 2 ชั่วโมง ไอ้ไผ่มันจะเก็บของหนีนายทันมั้ยเนี่ย” พูดจบปถวีก็ล้วงคว้าโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมากดๆ ทำให้คนที่ยืนมองอยู่ทั้งสองคนตาค้าง

“วี!” นทนทีอุทานพลางถลึงตามองคนพูด

“ไอ้บ้านี่” ประวิชกระชากแขนออกจากการเกาะกุมของนทนที แต่อีกฝ่ายก็ยึดไว้หนึบจนแทบจะกลายร่างเป็นตุ๊กแกได้

“วิช! ฉันว่านายรีบไปหาไผ่ก่อนเถอะ ถ้าพลาดวันนี้ฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว รีบไปตอนนี้ยังทันนะ!” นทนทีหลับหูหลับตากอดแขนอีกฝ่ายแน่น ในขณะที่ปถวียืนเลิกคิ้วกวนประสาทอยู่ไม่ห่าง

ประวิชขบเม้นริมฝีปากมองคนยืนกวนประสาท แล้วจึงหันกลับมามองคนข้างตัว พลางก้มหน้าสะบัดศีรษะอย่างขัดใจ เขายังต้องรีบไปลากตัวคนเอาแต่ใจมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน

สายตาเครียดขึงส่งสาดให้เพื่อนตัวโตอย่างหมายมาด

ฝากไว้ก่อนแล้วฉันจะกลับมาชำระให้หมดเลย

“นทปล่อย...” ประวิชแกะมือเล็กออกเบาๆ

เห็นท่าทีที่สงบลงของเพื่อน นทนทีจึงระบายลมหายใจยาวแล้วยอมคลายการยึดจับ ก่อนจะหันไปหาคนพาลที่ยืนมองมาด้วยอาการไม่สะทกสะท้าน

“เลิกยั่วโมโหซะที แล้วก็เก็บโทรศัพท์ด้วยวี!” ร่างโปร่งบางร้องบอกเสียงดัง แต่อีกฝ่ายกลับยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ พร้อมกลับหันไปยิ้มให้ประวิชพลางชูสองนิ้วแล้วกระดิกท้าทาย

“บ้าชิบ!” ประวิชสบถ แต่กลับหันหลังวิ่งไปยังรถยนต์ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปประจำที่นั่งคนขับ ร่างสูงตวัดสายตาอาฆาตฝากฝั่งไว้บนหน้าปถวีแบบเต็มๆ แล้วจึงสตาร์ทรถขับจากไป ทิ้งให้นทนทีถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่ได้ทะเลาะกันไปมากกว่านี้

ภาพรถยนต์จากไปจนลับตา ปถวีจึงลดโทรศัพท์ลงแล้วสาวเท้าเข้าหานทนที

“ไปบอกมันทำไม”

“เพราะเขาควรมีสิทธิ์ได้เลือกทางชีวิตของเขาเองไงละ”

“เหมือนนายนะเหรอ” ปถวีมองร่างเล็กนิ่งเงียบพลางเม้นปากแน่น “เห็นแก่ตัว!” บริภาษคนตาสลดเสร็จ ร่างสูงก็เดินหนีเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้คนที่ยังยืนอยู่ที่เดิมมองกลุ่มฝุ่นละออง อันเกิดจากเพื่อนตัวโตทำไว้ตอนกระชากรถออกนิ่งเงียบ หากแต่ในดวงตาคู่อ่อนโยนนั้นกลับคลอขังด้วยหยาดน้ำ

เขาควรจะทำยังไงดี...ทุกอย่างมันพันกันจนยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว
V
V
V
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-12 (07/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 07-10-2009 22:53:38
ตอนที่ 18

“พี่ไผ่...มาเร็ว น้ำเย็นนะค่ะ” น้องพลอยโบกมือไหวๆอยู่ในน้ำพร้อมกับกลุ่มเพื่อนอีกห้าหกคน

ไผ่ยิ้มรับคำชวนของเด็กหญิงตัวน้อย หากแต่ส่ายหน้าช้าๆแทนคำตอบ แดดเปรี้ยงขนาดนี้แต่เด็กๆก็ยังลงไปดำผุดดำว่ายกันสนุกสนานไปตามวัย แต่เขาคงต้องขอผ่าน ขอนั่งๆนอนๆใต้ร่มไม้แบบนี้ดีกว่า อีกอย่างขืนลงไปเล่นให้แดดมันเผาเนื้อตัวเมื่อไรเป็นได้ถูกบ่นจนหูแฉะแน่ๆ

“...!” ใบหน้าขาวอมชมพูสลดลงเมื่อคิดได้ว่า คนๆนั้นไม่มีอีกแล้ว นิ้วเรียวยกขึ้นเสยผมที่ลงมาปิดตาจากแรงลมอย่างลวกๆ ก่อนจะหันหน้าไปตามแนวหาดทรายที่ทอดยาวเลยสถานที่ทำงานของเขาออกไปจนสุดลูกหูลูกตา

ด้วยหาดทรายขาวสะอาด น้ำใสจนมองเห็นเม็ดทรายใต้พื้นน้ำ และไม่ไกลจากกรุงเทพมาก ทำให้โรงแรมรีสอร์ทแถวนี้คับคั่งไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งหัวดำหัวแดงกระจายอยู่ทั่วหาด ไม่ต่างอะไรกับชายทะเลทางใต้มากนัก

สายตาคู่กลมรีหรี่มองกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศกลุ่มใหญ่สะดุดตาเดินย่ำทรายย่ำน้ำทะเลตรงมาทางเขา แต่ก็ยังอยู่ในระยะไกล มองผ่านๆยังกะฝูงช้าง ก็เล่นใส่เสื้อสีดำๆทึบๆกันทั้งนั้น

ร่างโปร่งหันกลับไปมองกลุ่มเด็กๆที่ยังส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวในทะเล แล้วยกมือขึ้นป้องปากตะโกนฝ่าเสียงคลื่น

“กลับกันเถอะน้องพลอย เล่นนานไปแล้วเดี๋ยวจะไม่สบาย”

กลุ่มเด็กๆดูจะรู้หน้าที่ดีต่างพากันขึ้นมาจากน้ำ เดินหัวเราะกันคิกคักเข้ามาหาร่างโปร่งที่ยืนยิ้มรอรับ

“กลับบ้านกันดีๆนะ พรุ่งนี้วันอาทิตย์ใครทำการบ้านไม่เสร็จต้องทำให้เสร็จนะ ถ้าทำไม่ได้ไปหาน้าไผ่ที่บ้านนะ น้าไผ่จะสอนให้” ไผ่ยืนส่งพวกเด็กๆจนหายลับไปกับชายหาดแล้วจึงหันกลับไปมองสถานที่ทำงาน ด้วยพอไม่มีพวกเด็กๆเขาก็จะว่าง แต่เขาไม่อยากว่าง จึงคิดเดินกลับไปดูงานซะหน่อยก่อนที่จะเย็น

ไผ่เดินตรงไปยังนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ ด้วยระยะที่ใกล้กันจนเห็นว่าใครเป็นใคร ทำให้คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ เพราะหนึ่งในนั้นคือพนักงานที่โรงแรม

“มาทำอะไร” ริมฝีปากแดงสดพึมพำ เมื่ออีกฝ่ายสังเกตเห็นตนแล้วโบกมือไหวๆทักทาย

หากแต่คนที่เดินตามมาข้างๆพนักงาน หลังฝรั่งตัวโตเดินหลบลงทะเลไปทำให้ร่างโปร่งสะดุ้งเฮือก

“วะ...วิช!” เสียงอุทานดังลอดออกมาจากปาก หลังจากคนที่ตัวเองพึ่งจะนึกถึงจับโฟกัสตัวเขาได้พอดี

“...มะ...มาได้ไงเนี่ย” ไม่ต้องให้สมองสั่งการ เท้าเล็กๆก็รีบวิ่งพาตัวเองไปให้พ้นจากหน้าคนที่ทำให้ต้องเจ็บ! ต้องเสียใจ!

ประวิชหยุดชะงักเบิกตากว้างมองร่างโปร่งบางวิ่งหนีไปด้วยอาการหน้าตาตื่น ใจที่เต้นระทึกฟูพองคับอกเพียงได้เห็นเสี้ยวหน้าขาวเมื่อครู่ กลับแห้งเหี่ยวลงฉับพลัน ก่อนจะสาวเท้าวิ่งตามอย่างไม่คิดชีวิต

“ไผ่!...” ร่างสูงใหญ่ร้องตะโกนเรียกอย่างไม่อายคนรอบข้าง

พนักงานโรงแรมมองตามร่างสูงใหญ่วิ่งไล่กวดเจ้าหน้าที่คนใหม่อย่างเอาเป็นเอาตายพลางเกาหัวแกรกๆ

“หนีหนี้กันรึเปล่าฟะ” หนุ่มพนักงานโรงแรมร่างเล็กพึมพำด้วยสงสัยในอากัปกิริยาของคนทั้งคู่ แต่เพราะมีงานรออยู่ท่วมหัวด้วยเป็นช่วงฤดูการท่องเที่ยว พูดง่ายๆคือช่วงกอบโกยทิปจากลูกค้า จึงหันหลังเดินกลับก่อนจะหันกลับมาดูเป็นระยะๆ แม้จะไม่เหลือเงาของคนทั้งคู่แล้วก็ตาม มือเล็กล้วงลงในกระเป๋ากางเกงดึงธนบัตรใบละพันที่เพิ่งจะได้มาสดๆร้อนๆขึ้นมามองพลางอมยิ้ม

“วันนี้โชคดีแฮะ”


XXXXX


เส้นผมยาวระต้นคอปลิวกระจายปิดใบหน้า เมื่อเจ้าตัวพยายามเอี้ยวมองร่างสูงใหญ่ที่วิ่งไล่ตามมาจนแทบจะเอื้อมมือถึงอยู่แล้ว หัวใจดวงน้อยเต้นถี่แรงด้วยความกลัว กลัวที่จะเผชิญหน้ากับคนๆนี้อีก กลัวว่าใจดวงนี้จะไม่สามารถรับความผิดหวังได้อีกแล้ว

“ไผ่...ไอ้ไผ่หยุด จะหนีฉันทำไม” ประวิชตะโกนแข่งกับลมที่มาปะทะใบหน้า แผ่นหลังเล็กบางที่ห่างเพียงช่วงแขนแต่ไม่สามารถคว้าไว้ได้ยิ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิด

“อย่างคิดว่าจะหนีพ้นนะ จับได้ละน่าดู หยุดสิ!” เสียงสั่งดังก้องไปทั่วบริเวณแต่ไม่ทำให้ร่างเล็กข้างหน้าหยุดฝีเท้าลง หากกลับรีบวิ่งตรงไปยังบ้านพักของตน ยิ่งเป็นการบั่นทอนต่อมความอดทนของร่างสูงใหญ่ให้เหลือน้อยลงทุกที

“ไผ่...ฉันอยากคุยกับนายนะ หยุดก่อนสิ ฉันอยากคุย ได้ยินมั้ย!”

เสียงตะโกนหอบหนักๆดังไล่หลัง ขณะที่สองตามองเห็นบ้านพักตัวเองอยู่ไม่ไกล ร่างเล็กจึงวิ่งห้อเต็มเหยียด ทิ้งให้คนอยู่เบื้องหลังอึ้งมอง

“บ้าชะมัด! ปกติขี้เกียจออกกำลังแท้ๆ” ร่างสูงพึมพำขณะที่อีกฝ่ายถึงประตู พลางไขกุญแจเข้าบ้านด้วยความรวดเร็ว

ร่างเล็กกำลังจะลับหายไปพร้อมกับประตูที่กำลังจะปิดลง แขนยาวรีบเอื้อมไปสอดขวางทางจนกระแทกกับบานประตูโครมใหญ่

“อุ๊ก! ไผ่” ความเจ็บแปลบไม่ทำให้แขนแข็งแรงชักกลับ หากแต่ดึงดันจะแทรกตัวเข้าไปโดยที่อีกฝ่ายก็ยึดดันลูกปิดประตูอีกฝั่งไว้เต็มที

“ไผ่...เปิด...คุยกันก่อน อย่าทำแบบนี้”

“ไม่!ฉันไม่อยากคุยกับนาย กลับไปซะวิช” ร่างเล็กกัดฟันผลักดันประตูปิดเท่าที่แรงจะมี

ให้ตายเถอะ...ทำไมแรงเยอะนักวะ ประวิชนึกพลางนิ่วหน้าออกแรงดึงประตู เมื่อก่อนมีแต่ตามต้อยๆ แต่มาตอนนี้กลับผลักไสกันซะงั้น ทั้งๆที่ไม่เคยดูดายเรื่องของเขาเลยสักครั้ง สักครั้งเดียว...

อะไรบางอย่างแล่นปราดเข้ามาในหัวก่อนที่เจ้าตัวจะลงมือทดลองทำ เพื่อลองใจคนปากแข็งอีกฝากหนึ่งของประตู

ดูสิว่า มันหมดใจกันแล้วจริงๆหรือ

“โอ๊ยไผ่!...” เสียงร้องดังลั่นของร่างสูงทำให้คนที่กำลังผลัดดันชะงัก ก่อนจะผ่อนแรงลงให้อีกฝ่ายกระแทกประตู และแทรกกายเข้ามาภายในได้สำเร็จ

“นาย...นายเป็นอะไร” ร่างเล็กผงะถอยหลังมองอีกฝ่ายเต็มตา แม้จะเคยรู้สึกเจ็บช้ำกับคนๆนี้ แต่ความห่วงใยที่มีมันไม่เคยลบเลือน ดวงตาแข็งกร้าวจึงไหววูบให้คนที่เข้ามาใหม่สังเกตเห็น และได้รู้สึกถึงหัวใจตัวเองพองโตจนคับอกอีกครั้ง

ประวิชไม่ตอบคำถาม หากแต่สาวเท้าเข้าประชิดร่างเล็ก ริมฝีปากบางสีสดเม้นเข้าหากันแน่นเมื่อรู้ว่าถูกอีกฝ่ายหลอกลองใจให้เข้าแล้ว ขาเพรียวยาวจึงรีบพาตัวเองไปให้พ้นจากร่างสูงใหญ่ที่ยืนผงาดค้ำศีรษะอยู่ไม่ห่าง

“จะไปไหนอีกเล่า” ขาแข็งแรงกระโดดทีเดียวปิดทางหนีทีไล่ของอีกฝ่ายหมดสิ้น ร่างเล็กกว่าถอยหลังพลางจ้องตาอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยอย่างขลาดๆ

“นายรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นี่” ไผ่ถามเสียงสั่น หากแต่อีกฝ่ายไม่ตอบคำถาม

“ฉันอยากคุยด้วย”

“คุยอะไร...ก็คุยกันรู้เรื่องแล้วนี่” ฟันขาวเรียงเป็นระเบียบขบกัดริมฝีปากตัวเองจนแดงช้ำ

“นายเลือกแล้ววิช...เพราะฉะนั้นฉันไม่มีอะไรจะพูดกับนายอีก” ศีรษะเล็กส่ายไปมา

“ไม่...รู้เรื่องที่ไหน นายหนีมาแบบนี้”

“แล้วจะอยู่ให้นายตั้งแง่รังเกียจฉันรึไง!” ไผ่ตะโกนใส่แล้วจึงสะบัดหน้าไปทางอื่น

ประวิชมองใบหน้าขาวตัดกับดวงตาแดงก่ำแล้วต้องส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่ ฉันไม่เคยแม้แต่จะคิด” ร่างสูงกลืนก้อนแข็งๆลงคอ มองอีกฝ่ายก้มหน้าก้มตาไปยอมมองกันตรงๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงลำแขนเรียวที่ดื้อดึงไม่ยอมไปตามการชักจูง จนต้องออกแรงรวบร่างเล็กไปนั่งแปะที่โซฟาตัวใหญ่กลางห้องรับแขกเล็กๆ

“ไผ่หันมาทางนี้...คุยกันดีๆ” มือใหญ่เอื้อมจับศีรษะเล็กให้หันกลับมามองแต่ถูกปัดอย่างไม่พอใจ จนต้องถอนหายใจกับอาการพาลไม่ฟังเสียง แต่ก็อมยิ้มให้กับตัวเองในที่สุด

หายไปนานแต่นิสัยเอาแต่ใจแบบนี้ไม่ได้หายไปไหนเลยจริงๆ

“ฉันขอโทษ ที่พูดอะไรไม่คิดถึงใจนายเลย...ที่ผ่านมา” ประวิชประสานมือบนเข่าพลางก้มศีรษะมองการเขี่ยนิ้วไปมาของตนอย่างใช้ความคิด

“นาย...” ร่างสูงเอ่ยค้างไว้เท่านั้น แล้วจึงเงยหน้ามองเส้นผมสลวยด้านหลังของอีกฝ่ายนิ่ง

เขาทุกข์ใจเพราะไม่เห็น ไม่พบ ไม่เจออีกฝ่าย

เขาร้อนรน อิจฉาเมื่อเห็นอีกฝ่ายใกล้ชิดกับคนอื่น

เขาห่วงใยเมื่อยามร่างเล็กๆนั้นเจ็บไข้ และทั้งหมดนี้เขาไม่อยากให้เพียงเป็นแค่อดีต...

“อย่าหายไปอีกได้มั้ย” ประวิชเอ่ยเสียงอ่อนล้ามองใบหน้ามนค่อยๆหันกลับมาอย่างไม่ค่อยจะมั่นใจในสิ่งที่ได้ยิน

ร่างเล็กหัวเราะลงคอดังหึ! ก่อนจะยกยิ้มหยันพร้อมๆกับน้ำตาเอ่อขังอย่างไม่รู้ตัว

“แล้วนายจะให้ฉันอยู่ตรงไหนของนายกัน!”

“ก็อยู่เหมือนที่เราเคยอยู่ ทุกอย่างจะเหมือนเดิมไผ่” พูดออกไป ริมฝีปากได้รูปก็เม้มเข้าหากันด้วยคาดหวังในคำตอบ หากแต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าแล้วผุดลุกจนร่างสูงต้องรีบคว้าตัวไว้ ก่อนจะเสียหลักล้มคะมำไปด้วยกัน

“ไผ่!...ไผ่”

“ปล่อย”

“ไม่!”

ร่างเล็กพยายามพลิกตัวขึ้นมองหน้าอีกฝ่ายที่พยายามใช้ร่างกายตัวเองกดทับร่างเขาไว้ไม่ให้ดิ้นหนี แล้วพยายามเค้นเสียงตอบโต้

“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่อยากเหมือนเดิม! ถ้านายรักฉันไม่ได้ ขอร้อง...กลับไปซะวิช” ปลายเสียงสั่นสะท้านแทรกลึกไปถึงหัวใจดวงโต

ประวิชมองหยาดน้ำใสไหลล้นจากหางตาเป็นทางไปถึงตีนผม โดยที่มือขาวๆนั้นไม่อาจยกขึ้นปาดได้ด้วยถูกเขากดทับไว้ นิ้วแข็งกร้านจึงยกขึ้นเกลี่ยน้ำอุ่นให้อย่างเบามือ แม้จะถูกเบี่ยงหนีเหมือนรังเกียจก็ตามที

เขาทำให้ร่างเล็กนี่ต้องร้องไห้อีกแล้ว ร่างสูงถอนหายใจยาว เขามาที่นี่เพื่ออะไรถ้าไม่ใช่ต้องการให้คนๆนี้กลับไปอยู่ด้วยกัน แล้วมันสมควรเหรอ ที่ทำให้ต้องเสียน้ำตากันอีก

เขาทนไม่ได้...

“ฉันรักนาย...ไผ่ ฉันรักนาย” เสียงอ่อนโยนพูดปลุกปลอบขวัญร่างที่เริ่มสั่นเทิ้มจากแรงสะอื้น

ไผ่เบิกตากว้างมองคนพูดลื่นไหลโดยไม่มีท่าทางลังเล แล้วต้องกรุ่นโกรธด้วยแรงโทสะอีกครั้ง

“เอาความรักแบบเพื่อนของนายเก็บไปเถอะ ฉันไม่อยากได้!”

“ไผ่...” ประวิชพึมพำพลางเงียบเสียงลงด้วยจนคำพูด แต่ถ้าไม่พูด ไม่บอก ทุกอย่างก็จะเป็นเหมือนที่ผ่านมา

ช่างหัวคนอื่น ใครจะคิดยังไงก็ช่าง! ขอแค่ให้ความรู้สึกทรมานในใจตอนนี้หายไป เขายอม!

“ไผ่...ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าฉันรู้สึกกับนายอย่างที่นายต้องการหรือเปล่า แต่ถ้านายบอกให้ฉันอยู่กับนายไปตลอดชีวิต ฉันทำได้นะ” ประวิชพูดเสียงหนักแน่นพลางมองแววตาแดงก่ำชุ่มด้วยน้ำตาไหววูบ แล้วจึงค่อยๆไล้ปลายนิ้วโป้งใหญ่ปาดหยาดน้ำบนใบหน้าขาวอีกครั้ง

แค่ได้เห็นหน้าก็เหมือนได้ยกภูเขาหินออกจากอก สีมัวหมองรอบตัวต่างพากันจางหายกลายเป็นสีสันสดใสสดชื่นขึ้นมาทันตาเห็น เขา...แค่นี้เองที่เขาต้องการ

ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มกับตัวเอง แล้วก้มศีรษะลงแนบหน้าผากมนนิ่งสนิท “บอกฉันสิ จะให้ฉันทำอะไร”

คำถามของเพื่อนตัวโตทำเอาร่างเล็กนิ่งแข็งเป็นหิน มือไม้ที่ออกแรงผลักดันอีกฝ่ายกลับตกลงข้างตัว กระแสธารความเย็นไหลผ่านไปทั่วร่างก่อนจะค่อยๆอุ่นขึ้นจนใบหน้าขาวซีดแดงเรื่อ ได้แต่เพ่งมองใบหน้าคร้ามแดดที่ห่างกันเพียงปลายจมูกด้วยหัวใจระทึก

ประวิช...ร่างเล็กครางขึ้นในอกอย่างไม่อยากเชื่อว่าจะได้ยินคำถามนี้ออกมาจากปากคนที่ชอบเอ่ยอ้างความเป็นเพื่อนมาตลอด เขาไม่ได้หูฝาดฟังผิดไปใช่มั้ย ไผ่นอนนิ่งคิด ในขณะที่ดวงตากรอกมองมือใหญ่ยกขึ้นลูบเส้นผมอ่อนนุ่มไปมา สัมผัสอันอ่อนโยนที่ห่างร้างมานานทำให้หัวใจคนไม่แข็งแรงอ่อนยวบ ทิฐิอันเหมือนเกาะแก้วแสนบางที่เจ้าตัวพยายามสร้างขึ้นเพื่อปิดกันความเจ็บปวดตลอดมา ค่อยๆแตกร้าวเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำ

คำพูดที่จะมีความหมายก็ต่อเมื่อมันออกมาจากปากคนที่รัก ที่ไว้ใจเท่านั้น! ประโยคอันแสนเบานั้นจึงสามารถสั่นคลอนแรงทิฐิ และก่อให้เกิดความหวังเรืองรองขึ้นตรงหน้าร่างเล็กๆ หากแต่ความเจ็บช้ำที่ผ่านมาก็ทำให้เจ้าตัวเอ่ยขึ้นอย่างขลาดๆ

“นายจะไม่แต่งงาน?” เสียงเบาหวิวกระซิบถามคนหลับตาฟังคำขอนิ่ง

“ถ้านายต้องการ”

“แล้ว...นายจะอยู่กับฉัน อยู่กันแค่สองคนจนตายกันไปข้างหนึ่งได้มั้ย” เสียงสั่นๆของคนถามทำให้ประวิชลืมตาขึ้นมอง และดึงศีรษะออกห่างเพื่อมองใบหน้าขาวให้ชัดขึ้น

“อืม...ถ้านายไม่หนีฉันไปซะก่อนนะ” สิ้นคำตอบ ร่างสูงก็ได้เห็นน้ำตาทะลักทลายออกมาจากหางตาคู่แดงช้ำ

“อึก...” เสียงครางสะอื้นดังขึ้น คิ้วเข้มขมวดไม่เข้าใจ จนคนร้องไห้ต้องเค้นเสียงพูด

“ฉันอยากหนีซะที่ไหน! ก็นายไม่ต้องการฉันแล้ว ฉันจะหน้าด้านอยู่ได้ยังไง”

“ใครบอก...”

“ก็นายบอก บอกว่าเราเพื่อนกัน”

“...ก็ใช่ ฉันพูดเราเพื่อนกัน แต่ฉันบอกเหรอว่าฉันไม่ต้องการนาย ฉันเคยไล่นายเหรอไผ่”

“นาย! สรุปแล้วนายไม่เข้าใจเลยใช่มั้ยว่าฉันต้องการอะไรวิช” ร่างเล็กตะเบ็งใส่อีกฝ่ายจนหน้าดำหน้าแดง

“เข้าใจสิ...ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่านายต้องการอะไร รู้สึกยังไง ฉันถึงมาที่นี่” ร่างสูงมองดวงตาแดงก่ำ
ส่องประกายเกรี้ยวกราดฝ่าหยาดน้ำที่เอ่อขัง แม้จะไม่สามารถกลบกระแสความรักความห่วงใยที่ไม่ได้ห่างหายไปตามความห่างไกล แต่อะไรบางอย่างในตัวเขายังอยากย้ำให้มั่นใจ เพื่อเติมเต็มความรู้สึกที่ขาดหายไปให้เต็มอีกครั้ง

“นายยังรักฉันอยู่มั้ย”

ไผ่มองคนถามด้วยใบหน้าอุ่นวาบ ไม่คาดคิดว่าจะถูกถามเอาซึ้งๆหน้า กรามเล็กขบเข้าหากันแน่นอย่างฉุนโกรธ

“ขี้โกง ถามทำไม...ถามทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอก จะแกล้งกันใช่มั้ย”

ประวิชส่ายศีรษะมองริมฝีปากบางตะโกนต่อว่า มือแข็งแรงบีบข้อมือเล็กเบาๆอย่างไม่คิดจะโกรธเคือง ต่อให้ถูกชกซักกี่ครั้งเขาก็ไม่คิดจะโกรธ ด้วยมันคงเทียบกันไม่ได้กับความรู้สึกทุกข์ทรมานที่คนๆนี้ได้รับ จึงได้แต่นิ่งรอคำตอบจากอีกฝ่าย

ร่างเล็กที่ถูกคนตัวใหญ่บดบังไว้จนมิดมองอาการคนรอคำตอบอย่างเอาเป็นเอาตาย นี่ถ้าไม่ตอบไม่พูดคงต้องอยู่กันอย่างนี้ทั้งวันละมั้ง

ไอ้นิสัยแบบนี้เขาควรจะชังดีหรือเปล่า แต่ที่ผ่านมาก็เพราะไอ้นิสัยแบบนี้ละที่ทำให้เขารักอย่างหัวปักหัวปำ

เขารักจนไม่เหลือเผื่อใจให้ตัวเอง แล้วเขายังมีอะไรจะต้องเสียอีกเหรอ...ร่างเล็กๆขยับตัวคลายความเจ็บจากการทาบทับ ซึ่งคนตัวใหญ่ก็ให้ความร่วมมือแต่โดยดี

“รักสิ ฉันรักจนทรมานอย่างทุกวันนี้ไง” เสียงตอบขึ้นจมูก พลางมองดวงตาสีเข้มเต้นระริกกับคำตอบ ก่อนจะรวบรวมความกล้าให้ตัวเองอีกครั้ง

“ฉันจะถามนายอีกครั้งเดียววิช นายจะรักฉัน รักอย่างคนรัก…ได้มั้ย”

ประวิชมองใบหน้าที่เคยขาวนวลเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ปลายจมูกที่เคยเชิดรั้นแดงก่ำ ดวงตาคู่รียาวสะท้อนภาพเขาผ่านม่านน้ำบิดเบี้ยว ไม่หลงเหลือกลิ่นอายความสดใสอย่างที่เคยเห็น อย่างที่เคยรู้สึกเมื่อได้อยู่ใกล้ เขาทำให้คนที่รักเขามีสภาพเลวร้ายขนาดนี้เลยเหรอ

กับคำถามง่ายๆ แต่ยากที่จะตอบ ด้วยคำตอบนั้นคือคำมั่นที่เขาจะรักษาไว้ด้วยชีวิต และชีวิตที่เขารู้แล้วว่า เขาต้องการให้คนๆนี้อยู่ใกล้ๆ

“ได้สิ...ถ้าเป็นสิ่งที่นายต้องการ” ประวิชลูบแก้มนิ่มแผ่วๆ ในขณะที่อีกฝ่ายเบี่ยงหน้าหนีอีกรอบ

“แล้วนายไม่ต้องการ?”

คนตัวโตส่ายหน้าปฏิเสธคำถาม “ไผ่...ฉันเพิ่งจะนับหนึ่ง ในขณะที่นายนับสิบไปแล้ว ไม่รู้ว่านายจะเข้าใจฉันมั้ย แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันอยากให้นายรู้ไว้...นายสำคัญสำหรับฉันนะ สำคัญที่สุด”

“มากกว่าใครๆ?”

คำพูดต่อท้ายประโยคของคนนอนหวาดหวั่น เหมือนเป็นการบ่งหนามที่ทิ่มตำในใจตลอดมาออก

ประวิชไม่ตอบหากแต่พยักหน้ารับช้าๆ

ไผ่มองสีหน้าเข้มขึ้นของคนรักแล้วให้ใจเต้นระทึก ด้วยความหวังที่เคยคิดว่ามันได้พังทลายไปแล้ว กลับเป็นรูปเป็นร่างอยู่ตรงหน้า จนสามารถไขว้คว้ามาครอบครองได้สมใจ

ศีรษะเล็กพยักหน้าตอบรับหงึกๆ พลางยกมือสั่นระริกขึ้นปาดน้ำตาที่เอ่อล้นด้วยความดีใจอย่างลวกๆ ริมฝีปากอิ่มขยับยกยิ้มให้ร่างสูงด้วยไม่สามารถเก็บกักความรู้สึกตื้นตันไว้ได้

เพราะสิ่งที่ได้ยิน ได้รับรู้ในวันนี้ ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นจากความเคยชิน ความสงสาร หรืออะไรก็แล้วแต่ในความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่เขาจะขอผูกมัดผู้ชายคนนี้ไว้ด้วยความรู้สึกทุกๆอย่างที่อีกฝ่ายมีให้เขา

ถึงจะยังเป็นก้าวที่หนึ่ง แต่เขาจะทำให้มีก้าวที่สิบให้ได้ ขอแค่อีกฝ่ายพร้อมจะเริ่มต้น

เขารอมานาน รออีกหน่อยจะเป็นไรไป...

ประวิชมองไผ่ยิ้มทั้งน้ำตาแล้วต้องยิ้มตาม ความทุกข์โศกที่เคยตามติดเป็นเงาได้หายไปแล้ว หลงเหลือไว้เพียงความทรงจำให้ย้ำเตือนบอกกับตัวเองว่า จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ก่อนจะค่อยๆซบหน้าลงกับบ่าเล็กแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่

“อย่าหายไปแบบนี้อีกนะ”

คนตัวเล็กไม่ตอบ แต่โอบล้อมรอบตัวอีกฝ่ายด้วยอ้อมแขนขาวอย่างรักใคร่ จมูกโด่งรั้นกดแนบลงขมับชื้นเหงื่อแรงๆ ให้สมกับเหมือนได้หลุดพ้นจากหลุมดำขึ้นมาสูดอากาศโปร่ง หากแต่การรับรู้ถึงแรงกระตุกของร่างสูง ทำให้อ้อมกอดเล็กจำต้องคลายออกตามการผละออกห่างของอีกฝ่าย

มือใหญ่ยกมือขึ้นแตะขมับตัวเองอย่างงงๆ ก่อนจะค่อยๆขยับลุกขึ้นนั่งข้างร่างเล็กที่ลุกขึ้นนั่งตาม

“อะไร?” ไผ่ถามอย่างสงสัย

“...” ประวิชนิ่งเงียบไม่ตอบคำถามคนทำหน้างงกับปฏิกิริยาของตัวเอง ก่อนจะรู้สึกตัว

“...นาย...รังเกียจ?”

ร่างสูงหันขวับมองคนถาม ยกมือขึ้นจับลำแขนขาวบีบเบาๆพลางสั่นศีรษะ

“ปะ...เปล่า” คำปฏิเสธแต่คนฟังทำหน้าไม่เชื่อยิ่งทำให้ประวิชกระตุกร่างเล็กเข้ามาใกล้จนแทบจะเกยกัน

“ฉันไม่ได้รังเกียจนายนะ แค่รู้สึกแปลกๆก็เท่านั้นเอง” เสียงทุ้มตอบแผ่วเบา

“แปลกๆ...แปลกยังไง” ร่างเล็กขยับยกตัวขึ้นยืนด้วยเข่า พลางก้มหน้ามองใบหน้าสีเข้มของอีกฝ่ายอย่างพินิจพิจารณา จนหัวใจดวงโตแทบจะฟ่อลงในทันที ด้วยกลัวคนตรงหน้าจะเข้าใจผิด

“ไผ่...อย่าว่ายังงั้นยังงี้เลยนะ ฉันรู้ว่านายรู้สึกยังไง แต่ผู้ชายเหมือนกันฉันก็ต้องรู้สึกแปลกๆอยู่แล้วละ อยู่ๆก็...จูบ...แบบนี้ ถ้าเป็นคนอื่นเป็นได้ชกกันไปแล้ว ฉันไม่รู้ว่านายจะคิดยังไงกับเรื่องนี้นะ แต่...” ร่างสูงก้มหน้าลงมองพื้นในขณะที่มือใหญ่เอื้อมจับสะโพกมนไว้แน่น เหมือนกลัวอีกฝ่ายจะหายไปต่อหน้าต่อตาอีก

“ฉันยังไม่คุ้น...ฉัน...ฉันอยากให้นายเข้าใจฉันด้วย” เสียงพูดเอ่ยขึ้นอย่างตะกุกตะกัก แต่หากแม้นคนพูดจะเงยหน้ามองผู้ฟังซักนิด ก็จะพบว่าเรื่องที่ตัวเองลำบากใจนั้น เป็นเพียงเรื่องจิ๊บจ๊อยในสายตาอีกฝ่ายเท่านั้น ด้วยรอยยิ้มแฝงความเจ้าเล่ห์ที่ผุดขึ้นบนมุมปาก ทำเหมือนเรื่องที่ผ่านมาเป็นเพียงฝันร้าย และตอนนี้จอมวายร้ายของประวิชได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้ว

นายทำให้ฉันเสียใจมาตั้งนาน ฉันจะเอาคืนทั้งต้นทั้งดอกเชียวแก...

“ไม่...ฉันไม่เข้าใจ ในเมื่อฉันรักนาย ฉันก็อยากสัมผัสนาย ฉันผิดด้วยเหรอ ไหนบอกว่าฉันสำคัญกว่าใคร”

“ไม่...ไม่ได้ผิด” ประวิชรีบตอบพลางเงยหน้าขึ้นมองคนแสร้งทำหน้าตึงก้มหน้าลงประชิด จนลมหายใจอุ่นหน้ารินรดใบหน้า

ใบหน้าคมสันผงะถอยอย่างลังเลเมื่อหน้าขาวนวลค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้ ให้ร่างสูงต้องขยับกายถอยจนแผ่นหลังติดโซฟานุ่มไม่สามารถถอยได้อีก และร่างเล็กๆนั่นก็ดูเหมือนจะไม่ยอมหยุดจนกระทั่งกลีบปากบางประทับลงบนริมฝีปากได้รูปแผ่วเบาราวหยั่งเชิง ก่อนจะถอนออกรวดเร็วเฝ้ารอปฏิกิริยาของคนรัก

ประวิชได้แต่เบิกตากว้างมองใบหน้าขาวนวลห่างเพียงปลายขนตาด้วยอาการลังเลแกมลำบากใจ เขาไม่อยากขัดใจอีกฝ่าย แต่เขาคงต้องใช้แรงใจอย่างมากทีเดียวในการยอมรับความผูกพันทางกายแบบนี้

“ไผ่...ไผ่”

“หยุดพูด!” ร่างเล็กสั่งเสียงหนัก ก่อนจะแนบริมฝีปากตัวเองกับร่างหนาอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้มีลิ้นอุ่นๆสอดแทรกเข้าไปด้วย

คนตัวโตตะลึงงัน ยกมือขึ้นจับหัวไหล่ลาดมนไว้ ด้วยอีกฝ่ายได้โน้มกายเข้ากอดลำคอไว้แน่น คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยลิ้นเล็กๆนั้นกำลังเชิญชวนและต้องการการตอบรับอยู่ในที กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวอีกฝ่ายทำให้ประวิชเผลอสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างเคย และความคุ้นเคยก็ทำให้ลดความกระอักกระอ่วนในใจลง พร้อมกับปล่อยให้ความรู้สึกนำทาง

“อืม...” เสียงครางในลำคอหนาที่บ่งบอกถึงความพอใจยิ่งทำให้ร่างเล็กเบียดตัวเองให้อีกฝ่ายสัมผัสถึงกายอุ่นของตัวเองมากขึ้น

V
V
V
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-12 (07/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 07-10-2009 22:56:48
แม้จะเป็นผู้ชายแต่โครงร่างเล็กนี้ก็นิ่มนวลขาวผ่อง กอปรกับมีความรู้สึกรักและห่วงใยเป็นพื้นฐาน จากที่เป็นฝ่ายรับก็เริ่มเป็นฝ่ายรุกเร้า ต้องการรสสัมผัสจากริมฝีปากเล็กๆครั้งแล้วครั้งเล่า

การตวัดลิ้นสอดรับทำให้ไผ่ลืมตาขึ้นมองใบหน้าที่ผ่อนคลายลงของประวิช แล้วจึงค่อยๆทรุดตัวนั่งลงบนท่อนขาใหญ่

“อือ...” ศีรษะทุยถูกมือใหญ่กอบกุม เมื่อการสัมผัสเพียงริมฝีปากเริ่มไม่เพียงพอในความรู้สึก เสียงความเปียกชื้นดังขึ้นเบาๆเมื่อทั้งสองฝ่ายค่อยๆผละออกจากกัน แล้วพรางพรูลมหายใจยาว

“ยังรู้สึกแปลกๆอีกมั้ย” ใบหน้าขาวกระซิบถาม และอีกฝ่ายก็ส่ายหน้าเป็นการตอบ ส่งผลให้ร่างเล็กยิ้มกว้างแล้วซุกซบกอดคนตัวใหญ่แรงๆให้สมกับที่ใจถวิลหา

เนินนานจนประวิชต้องขยับต้นขาที่ถูกอีกฝ่ายนั่งทับให้เข้าที่เข้าทาง เสียงครางในลำคอเล็กทำให้ต้องก้มมองร่างให้อ้อมแขน แต่กลับไม่เห็นอะไรผิดปกตินอกจากริมฝีปากอิ่มสีสดเผยอระบายลมหายใจออกเบาๆ กับอาการหยุกหยิกไปมาเหมือนไม่สบายตัว

ศีรษะเล็กถูไถลำตัวหนาไปมา ประกายแห่งความสุขฉายชัดในดวงคู่กลมโต เขาไม่ต้องปิดบังความรู้สึกอีกต่อไปแล้ว นิ้วมือขาวค่อยๆไล้สัมผัสไปตามกล้ามเนื้อแข็งตึง กี่ครั้งแล้วที่เขาเฝ้าฝันว่าจะได้อยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงนี้ กี่ครั้งแล้วที่เขาจินตนาการถึงอีกฝ่ายจนต้องปลดปล่อยออกมา

แต่มันจะไม่เป็นเพียงแค่ความคิดอีกแล้ว เพราะมือนี้สัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนของเลือดเนื้อ ไม่ใช่ความว่างเปล่าอีกต่อไป

ร่างเล็กกดริมฝีปากลงแผ่นอกกว้างเบาๆหากแต่ย้ำหลายครั้ง จนเจ้าของแผ่น อกขยับตัว และรั้งใบหน้าขาวออกห่างให้ดวงตาทั้งคู่ประสานกันในความเงียบ ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจหอบถี่ของร่างที่นั่งอยู่บนท่อนขาใหญ่ ลิ้นเล็กสีสดแลบไล้ริมฝีปากตัวเองก่อนจะขบลงบนเนื้อแข็งผ่านเนื้อผ้า

“ไผ่!” มือใหญ่เข้ายึดตรึงศีรษะเล็กไว้ไม่ให้ขยับ แต่ดูจะไร้ผลเมื่อไม่กล้าออกแรงกระชาก ได้แต่เพียงประคองไว้ ยิ่งทำให้อีกฝ่ายอาจหาญยกตัวขึ้นไล้ลิ้นรอบริมฝีปากได้รูป แล้วผละออกก่อนจะกดลงไปอีกอย่างหมั่นเขี้ยว

แววตาสดใสเริงร่าผิดกลับเมื่อครู่แฝงแววเจ้าเล่ห์ ทำให้ประวิชเริ่มลังเลที่จะตามใจอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ ด้วยเห็นแววตาแบบนี้ทีไรเป็นต้องได้เรื่องทุกที ก่อนจะหาทางหนีทีไล่

“ผ...ไผ่...ลุกก่อน นายนั่งทับขาฉัน” ประวิชหาเรื่องเลี่ยง หากแต่รสสัมผัสนุ่มของริมฝีปากอิ่มทำให้ต้องหรี่ตาลงรับการพะเน้าพะนอของอีกฝ่าย

“อืม” เสียงครางรับในลำคอแต่ไม่ได้หยุดการกระทำ จำให้ร่างสูงต้องหาเรื่องเบี่ยงหนีอย่างรอมชอมอีกครั้ง

“ไผ่...นี่เจ้านทฝากส้มโอมาให้ด้วยนะ” ประวิชยิ้มเมื่อไผ่หยุดชะงักแล้วเงยหน้ามองอย่างค้นคว้าแกมสงสัย

“แต่ฉันลืมเอามา” ร่างสูงยิ้มแห้งๆ

“นท...ใช่! นทรู้ได้ยังไง...แล้วนายรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นี่ คนเดียวที่รู้ก็คือเจ้าวีนี่!” คนตัวเล็กถามในสิ่งที่คาใจมาตั้งแต่ต้น ในขณะที่ประวิชต้องพรางพรูลมหายใจยาวอย่างชั่งใจ

ไหนๆก็ไหนๆแล้วนะ...

“ก็นทมันเป็นแฟนเจ้าวีนี่ เขาจะบอกกันก็ไม่แปลกหรอก”

“แล้วใครบอกนาย”

“...นท”

คำตอบของประวิชทำให้ร่างเล็กเบิกตากว้าง “ฉันคิดว่าเจ้าวีจะปากโป้งซะอีก”

“หึ...” ประวิชคำรามในลำคออย่างนึกกรุ่นโกรธ เพราะเจ้านั่นทำให้เขาแทบจะขับรถชนคนตายมาตลอดทาง

“รักกันจริงนะเพื่อนนายคนนี้นี่ ปิดปากเงียบสนิทเลย”

เสียงบ่นอย่างเคืองๆทำให้ไผ่อมยิ้ม “ก็ฉันขอไว้นี่” ท่าทางไม่สบอารมณ์ของร่างสูงยิ่งทำให้ไผ่เกิดอาการหมั่นเขี้ยวอยากครอบครอง และรู้สึกถึงไออุ่นของอีกฝ่ายซะเดี๋ยวนี้ ร่างเล็กกดจูบแผ่วเบาลงบนมุมปากคนตัวโตอีกครั้ง แล้วค่อยๆย้ำไปทั่วใบหน้าให้อีกฝ่ายเบี่ยงหนีอย่างเกรงใจ

“ไผ่...พอ หยุดเถอะ เย็นแล้วไม่หิวเหรอ”

“อือ...หิว”

“งั้นลุกเถอะ ไปกินข้าวกัน”

ร่างเล็กยิ้มในแววตาให้ร่างสูงสะท้านหนาวๆร้อนๆเล่น ก่อนจะตอบคำถามให้ประวิชอึ้งไปหลายวินาที

“ฉันอยากกินนายมากกว่า”

“เฮ้ย!...หยุด...ไผ่ หยุดก่อน” ประวิชสะดุ้งเมื่อมือขาวลูบไล้ผ่านลำตัวลงไปกอบกุมกลางลำตัวเขาอย่างไม่ลังเล มือใหญ่รีบตะครุบหยุดการกระทำของอีกฝ่ายก่อนที่เจ้าน้องชายของเขาจะตื่นตัว

ประวิชก้มมองแววตาไหวระริกด้วยแรงอารมณ์ที่เขารู้จักดี แล้วต้องถอนหายใจดังเฮือก

ให้มันได้ยังงี้สิ ได้คืบจะเอาศอกกันเลยรึไง เจ้าดื้อนี่!

ไม่รอให้ประวิชได้ต่อว่าต่อขาน กลุ่มผมนุ่มสลวยก็ลงไปกองอยู่บริเวณกลางลำตัวพร้อมกับที่กางเกงยีนส์ตัวใหญ่ถูกปลดออก จนเห็นชั้นในสีดำภายใต้ผ้าเนื้อหนา

“นายคิดว่าฉันรอวันนี้มานานแค่ไหนกันวิช” เสียงพูดราบเรียบขณะจ้องมองสิ่งที่อยู่ภายใต้ชั้นใน ไรขนสีดำเรียงได้รูปบนเนินหน้าท้องก่อนจะหลุบหายไปใต้ผ้า ทำให้ใจคนมองสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น ลิ้นเล็กไล้เลียริมฝีปากแห้งผากแล้วค่อยๆกดแนบลงบนเนินเนื้อโปงพอง

ไม่รงไม่รอมันแล้ว...

“ไผ่!” ประวิชร้องเสียงหลง แล้วงัดใบหน้าขาวๆนั้นออกห่าง ก่อนจะละล่ำละลักบอกด้วยอาการหอบ ใจเต้นตุ้บๆ เพราะทั้งกระดากทั้งไม่เคยชินกับสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังเริ่ม

“รอก่อน...ฉัน” พูดได้แค่นั้น ร่างสูงก็รู้สึกถึงแรงดึงดันของศีรษะในอุ้งมือ จนต้องยอมปล่อยให้ริมฝีปากนุ่มได้สัมผัสกับส่วนกลางลำตัวอีกครั้ง เพราะขืนยื้อกันไปมีแต่จะทำให้ศีรษะของอีกฝ่ายเจ็บเท่านั้น แต่...

“ไผ่ฉันยังไม่พร้อม ขอเวลาฉันก่อนได้มั้ย อย่าเพิ่งวันนี้เลย” ประวิชตะล่อมบอก แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นมาพูด ด้วยนิ้วมือซุกซนกำลังดึงรั้งขอบชั้นในให้ต่ำลงจนสิ่งสงวนโผล่พ้นออกมาให้อีกฝ่ายได้เห็นเต็มๆตา จึงได้เงยหน้าขึ้นมามองด้วยแววตาถือดี

“ฉันก็ไม่ได้ฝืนใจนายซะหน่อย ถ้าไม่ชอบก็เดินออกไปสิ” ร่างเล็กบางสะบัดหน้าไปทางประตูพลางหันกลับมามองคนทำหน้าบึ้งอีกครั้ง

ในเมื่ออีกฝ่ายแบไพ่ในมือให้เห็น มีหรือที่ไผ่คนนี้จะไม่เอามาใช้ต่อรอง...

ประวิชมองใบหน้านวลแฝงความอวดดี ทั้งๆที่เมื่อกี้ยังร้องไห้อยู่แท้ๆ นี่ถ้าไม่ได้ดังใจเป็นไล่ตะเพิดกันเลยใช่มั้ย

“นายนี่มัน...” ประวิชบีบมือลงบนไหล่มนแน่น ด้วยสะกดอารมณ์กับความน่าหมั่นไส้ของอีกฝ่าย ก่อนจะร้องครางเมื่อความแข็งแกร่งถูกความนิ่มนวลโอ้โลม

“อือ...” เพราะไม่รู้จะหาทางหนีจากเหตุการณ์นี้ยังไง จึงได้แต่ปล่อยไปตามที่อีกฝ่ายต้องการทั้งๆที่ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจ

ท่อนขาที่ไม่ได้ถูกอีกฝ่ายนั่งทับยกขึ้นพลางจิกปลายเท้าลงบนพื้น ภายในช่องท้องเกร็งเครียดขมวดเป็นเกลียวจากแรงดึงดูดของริมฝีปากสีสดจนเกิดเสียงสะท้อนไปทั่วห้องที่เริ่มมืดสลัวลงจากการลาลับของดวงอาทิตย์

“อา...” จะเชี่ยวเกินไปแล้วเจ้านี่! ประวิชขมวดคิ้วเขม่นมองร่างที่อยู่กลางหว่างขาตนแล้วให้ใจหวิวๆกับภาพที่เห็น

ริมฝีปากเล็กกำลังครอบครองแก่นกายที่กำลังใหญ่โตขึ้นจากการคลั่งของเส้นเลือด ลิ้นสีแดงแลบไล้เลียรอยหยัก ก่อนจะอ้าปากกว้างให้ส่วนที่กำลังเจริญเติบโตสอดลึกเข้าไปภายใน

“ผะ...ไผ่” เสียงครางสั่นสะท้านจากการปรนเปรอของร่างเล็กทำให้ประวิชแอ่นกายสอดรับการกดลึก มือใหญ่ขยุ้มเส้นผมนุ่มสลวยพลางขยี้ไปมาด้วยแรงอารมณ์ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเจียนระเบิด ด้วยความเครียดที่รุมเร้ามานาน พอได้เคลียร์ปัญหาจนปลอดโปร่งโล่งใจ ร่างกายจึงต้องการการพักผ่อนหย่อนใจ จึงไม่น่าแปลกที่เขาคนนี้จะเสร็จสม ปล่อยความปรารถนาทุกหยาดหยดในโพรงปากของอีกฝ่าย ไม่ทันให้ได้ดึงรั้งริมฝีปากคู่สวยออกก่อน

“ไผ่ออก...อา!”

เสียงครางพร้อมกับอาการหอบหายใจหนักของประวิช ทำให้ไผ่เงยหน้าขึ้นทั้งๆที่ยังไม่ได้เช็ดหยาดน้ำสีขาวขุ่นออกจากปาก ซึ่งเจ้าตัวเองก็ดูไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยด้วยประกายตาเจิดจ้าแสดงออกถึงความสมใจในสิ่งที่รอคอยมานาน

ร่างกายนี้ หัวใจนี้ เขาต้องการทั้งหมด!

ประวิชทิ้งหลังผิงกับโซฟาแรงๆพลางหลุบตามองเจ้าตัวดี แผ่นอกหนาที่สะท้อนการเต้นของหัวใจเบาลงจึงได้เห็นคราบน้ำสีขาวเปรอะเปื้อนขอบปากอิ่มเต็มตา ก่อนจะตะลีตะลานหาผ้าใกล้ตัวมาเช็ด แต่มองแล้วมองอีกก็ไม่มีจึงต้องถอดเสื้อตัวเองออกมาเช็ดให้อย่างเร่งรีบแล้วต่อว่าอีกฝ่ายเสียงเบา

“ใครสั่งใครสอนให้ทำแบบนี้หึ คายออกมา อย่ากลืนลงไปสิ ให้ตายเถอะนายนี่จะเชี่ยวไปแล้วนะ” ผ้าในมือใหญ่เช็ดซับคราบน้ำบนริมฝีปากเล็กไปมา สายตาดุๆเมื่อครู่อ่อนลงเมื่อเห็นแววตาอีกฝ่ายสื่อความในใจจนหมดสิ้น

กลับมาแล้ว มันกลับมาแล้วแววตาที่เขาอยากเห็น แววตาที่เต็มไปด้วยชีวิต แววตาที่มีเขาเป็นที่หนึ่ง มีเขาเพียงคนเดียว หากแต่นิดเดียว นิดเดียวเท่านั้นที่เขาเห็นความตัดพ้อในนั้น

“ถึงฉันจะเชี่ยวยังไง แต่...” ไผ่จับจูงมือใหญ่ไปเกาะกุมสะโพกตัวเองก่อนจะค่อยๆลูบลงไปถึงบั้นท้าย

“สิ่งนี้เท่านั้นที่ฉันจะเก็บไว้ให้นาย”

“...!”

“นายต้องการมั้ย”

ประวิชเบิกตากว้าง ก่อนจะค่อยๆกดมือลงบนเนินเนื้อนิ่ม สายตากวาดมองไปทั่วร่างเล็กอย่างช้าๆ กี่ครั้งแล้วที่เขาสับสนกับริมฝีปากแดงๆหน้าขาวๆแขนขาเล็กๆนี้ ทั้งยังกลิ่นกายที่คุ้นเคย ทำให้เขาเฝ้าบอกตัวเองว่าเขาฟุ้งซ่านเพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยยอมปล่อยให้เขาไปเที่ยว แต่วันนี้เขารู้แล้วว่ามันไม่ใช่ เขาชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นเจ้านี่ รวมทั้งนิสัยดื้อๆนั่นด้วย

ประวิชพยักหน้าด้วยหัวใจพองโต หากแต่ประโยคต่อมาก็ทำให้คนคอยคำตอบดีใจเก้อ

“แต่ไม่ใช่วันนี้ไผ่...พอแค่นี้ก่อนเถอะ” จะเล่นเต็มขั้นกันตั้งแต่วันแรกเลยเรอะ ไม่ค่อยโลภเลยเจ้านี่! ร่างสูงคิดพลางยกคนตัวเบาออกจากหน้าขา แต่อีกฝ่ายกลับโถมตัวจนพากันล้มราบไปกับพื้นแข็งอีกครั้ง และครั้งนี้เจ้าคนตัวเล็กเจ้าเล่ห์เป็นฝ่ายขึ้นไปนั่งคร่อมคุมเกมแทน

“ไม่เอา วันนี้ละ” ไม่พูดเปล่า ไผ่ตลับชายเสื้อขึ้นก่อนจะเหวี่ยงออกไปทางศีรษะ ให้คนนอกใต้ร่างตะลึงตัวแข็ง

“ไผ่!” ประวิชร้องเสียงหลง แล้วยันตัวขึ้นมาห้ามปราบการถอดของอีกฝ่ายพัลวัน “อย่า...อย่าถอด เอาไว้ก่อนไง วันหลังนะไผ่นะ” ร่างสูงละล่ำละลักเอ่ย หากแต่ร่างขาวเปล่าเปลือยตรงหน้าทำให้ต้องกุมขมับ

เขาคิดผิดหรือเปล่าเนี่ย...

แววตาเจ้าเล่ห์กับอ้อมกอดตุ๊กแกที่พร้อมจะเกาะอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย ทำให้กายเนื้ออุ่นแนบสนิทเป็นเนื้อเดียว มือเล็กลูบไล้แผ่นหลังอีกฝ่ายหนักๆกระตุ้นอารมณ์ และก็ได้ผลเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่

“นายไม่คิดจะให้เวลาฉันหน่อยเหรอไผ่” เสียงถามเบาๆใกล้ใบหูนิ่ม ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังระดมจูบไหปลาร้าแข็งแรง

“ใครเขารอกัน!” เสียงตอบอู้อี้แต่ฟังได้ใจความทำให้ประวิชดึงร่างเล็กออกห่าง แล้วจ้องมองอย่างค้นคว้าก่อนจะเม้นริมฝีปากแน่น

เขายังมีสิ่งติดค้างอยู่ในใจอีกนิด

“ใคร?...ใครที่นายพูดหมายถึงอะไร” เพราะอีกฝ่ายบอกว่าเก็บสิ่งสำคัญที่สุดให้เขา แต่ไอ้ที่ทำผ่านๆ
มามันแค่ไหนกันแน่ อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แล้วเอาเวลาที่ไหนไป...ไปฝึกวิชากัน ก็ในเมื่อเขาเองยังแทบไม่ได้คบหาผู้หญิงที่ไหนเลย

“ใคร?...ก็ทั่วๆไปนั้นละ” ไผ่ตอบแกมงุนงง แล้วจึงเห็นประวิชส่ายหน้า

“ไม่ใช่ไอ้ผู้ชายที่จูบกันวันนั้นเหรอ”

“...จูบ...อ๋อ” ไผ่พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะรู้สึกเจ็บแปลบที่ต้นแขน

“ไอ้บ้านั่นใคร”

ไผ่นิ้วหน้า พลางนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เขาถูกคนทำหน้าตาดุตอนนี้ลากออกมาจากร้านเหล้าก่อนตอบ

“พะ...เพื่อน”

“ใครเขาจูบกับเพื่อนแบบนั้นกันเล่า” ประวิชถลึงตามองร่างเล็ก

“ก็มันช่วยไม่ได้นี่ ในเมื่อนายไม่รักฉัน ฉันก็หาของฉันไปเรื่อย” ไผ่ลอยหน้าลอยตาตอบด้วยโมโหอีกฝ่ายตงิดๆ ทำให้ประวิชโกรธจนหน้าดำหน้าแดง แต่เพราะสิ่งที่ไผ่พูดคือเรื่องจริงทำให้ต้องข่มใจเอ่ยร้องขอ

“ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว อย่าทำแบบนั้นอีกนะ อย่าทำ” คำขอร้องของคนตัวโตไม่ทำให้ร่างเล็กที่ลอบอมยิ้มตอบรับอย่างว่าง่าย เพราะริมฝีปากอิ่มกำลังยืดยื่นแสร้งชั่งใจให้คนมองแทบจะอกแตกตาย

และเพราะไม่ยอมตอบ ร่างสูงใหญ่จึงตวัดพลิกตัวขึ้นทาบทับมองอีกฝ่ายด้วยแววตาวาวโรจน์ ในขณะที่คนตัวเล็กมองกลับอย่างท้าทาย

“มันก็อยู่ที่นายนั่นละ ว่าจะให้ความร่วมมือกับฉันแค่ไหน”

คำตอบของร่างเล็กทำให้ประวิชรู้สึกว่าตัวเองได้ตกหลุมพรางที่อีกฝ่ายขุดไว้เสียแล้ว

ร้ายจริงๆ ประวิชส่ายหน้า เพราะถึงจะรักแต่เรื่องนี้เห็นที่จะต้องงัดข้อกันอีกนานล่ะเจ้าไผ่

“ยังไง”

ไผ่ยิ้มในดวงตากับคำถามของอีกฝ่าย “ก็ทำให้ฉันมีความสุขจนลืมคนอื่นไปเลยไง”

“แล้วถ้าฉันทำไม่ได้ละ”

ร่างเล็กแสร้งยกนิ้วขึ้นมานับเสียงดังเข้าหูเข้าตาอีกฝ่าย “น้องเอ็มก็น่ารัก...อืม...น้องซุงก็เก่ง อ้อ!...พี่สามก็ดี...แล้ว”

“นี่! หยุดพูด” ประวิชตะคอกใส่หน้านวลจนอีกฝ่ายหยุดชะงัก แต่...

“ยังมี...”

“บอกว่าอย่าพูดไง!”

“ก็นายอยากรู้เอง...” ไผ่มองอาการหึงปรอทแตกของอีกฝ่ายด้วยหัวใจฟูพอง ก่อนจะเอ่ยแหย่ต่อ หากประวิชไม่ทนให้อีกฝ่ายได้เอื้อนเอ่ยอะไรที่ทำให้แสลงใจออกมาอีก เพราะปากช่างพูดจาให้คนปวดใจถูกประกบปิดจนมิด ไม่เหลือช่องว่างให้เสียงเล็ดลอดออกมาได้อีก

ลิ้นอุ่นร้อนรุกรานโพรงปากเล็กจนกระทั่งมีน้ำใสๆเอ่อล้นออกมา ก่อนจะผละออกแล้วไล้นิ้วโป้งเช็ดเบาๆ

“ถ้าพูดอีกฉันจะฟาดก้นนายให้ลายจนไปโชว์ใครไม่ได้อีกเลย”

คำพูดอันเหนือความคาดหมายทำให้ไผ่แทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่

ตอนนี้เขามีความสุขเหลือเกิน ความพยายามที่ผ่านมาไม่ได้สูญเปล่าอีกแล้ว หากแต่ผลที่เขาได้รับมันช้าไปหน่อยก็เท่านั้น

ใบหน้าขาวนวลอมยิ้มก่อนจะยกศีรษะขึ้นประกบจูบดูดดื่ม และลิ้นอุ่นของอีกฝ่ายก็ให้การตอบรับจนย่ามใจล้วงมือไปกอบกุมแกนกายร้อนระอุพลางขยับไปมาให้อีกฝ่ายสะดุ้งโวยวายอีกรอบ

“ไผ่...หยุด ฉันบอกให้หยุดก่อนไง”

“ไม่”

“ไว้วันหลังเถอะน่า ขอฉันเตรียมใจก่อน”

“ไม่เอา”

“ไผ่”

“...”

“ไอ้ไผ่!


XXXXX
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-12 (07/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 07-10-2009 23:01:04
Chapter 19

นทนทีมองดูชุดแต่งงานสีงาช้างแขวนไว้ในห้องนอนของน้องสาวด้วยความรู้สึกอิ่มเอิบใจ พรุ่งนี้แล้วที่น้องวาจะเป็นฝั่งเป็นฝากับคนที่เขาไว้ใจว่าจะดูแลและปกป้องน้องสาวคนเดียวคนนี้ของเขาได้ ชั่วขณะที่ยืนมองดู ร่างโปร่งระหงของวารีก็เข้ามาโอบกอดพี่ชายอย่างรักใคร่

“วารักพี่นทค่ะ” วารีเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“พี่ก็รักวานะ” นทนทียกมือขยี้ผมนิ่มของน้องสาว ด้วยเขาเองก็รู้สึกใจหายไม่น้อย ผู้เป็นพี่ชายสลัดอาการแสบร้อนโพรงจมูก ก่อนจะเอ่ยถามอย่างห่วงใย

“เหนื่อยมั้ย”

“นิดหน่อยค่ะ มันตื่นเต้นมากกว่าพี่นท” วารียิ้มเขินๆ

นทนทีพยักหน้าพลางอมยิ้ม “งั้นก็รีบไปนอน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปแต่งหน้าทำผมที่โรงแรมไม่ใช่เหรอ”

“ค่ะ แต่วาไปคนเดียวที่ไหน แม่กับพี่ก็ต้องไปด้วยนี่นา” วารีแสร้งเอ่ยเตือนความจำ เพราะการทำพิธีในช่วงเช้าและฉลองสมรสในช่วงเย็นจะจัดขึ้นที่โรงแรมทั้งหมด เพื่อสะดวกกับหลายๆฝ่าย

“อืม ส่งวาเข้านอนพี่ก็จะนอนแล้วเหมือนกัน”

“แล้วพี่วีหลับไปแล้วเหรอค่ะ วันนี้เห็นช่วยพี่นททำทุกอย่างเลย เกรงใจพี่วีจริงๆค่ะ”

นทนทีเหลือบมองไปทางห้องนอนของตนเองก่อนจะลอบเบ้ปาก ตามควบคุมกันละไม่ว่า

“อืม” ร่างโปร่งพยักหน้า ด้วยถึงจะมีเจตนาแอบแฝง แต่ปถวีก็ช่วยงานอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังอาสาขับรถพาเจ้าสาวไปที่โรงแรมพรุ่งนี้ด้วย

“ส่วนเรื่องการ์ดที่พี่นทให้เชิญเพื่อนที่ทำงานเก่า วาส่งให้เรียบร้อยแล้วนะค่ะ”

นทนทีพยักหน้ารับรู้ก่อนจะคะยั้นคะยอให้น้องสาวเข้านอน แล้วค่อยๆพรางพรูลมหายใจยาว

เพราะเขายังมีเรื่องต้องขอโทษคุณเทวัญมากมาย แต่ที่ผ่านมาปถวีไม่เปิดช่องว่างให้เขาได้ติดต่ออีกฝ่ายได้เลย เขาจึงต้องอาศัยจังหวะนี้ ให้น้องวาส่งการ์ดเชิญคุณเทวัญและคุณทวีปมางานแต่งงาน เพราะถึงจะเจอปถวีแต่รายนั้นคงไม่กล้าออกฤทธิ์ออกเดชกลางงานแต่งงานแน่ๆ

นทนทีสาวเท้าเดินเข้าไปในห้องนอนของตน ก็พบร่างสูงใหญ่ยังไม่หลับด้วยยังคุยโทรศัพท์อยู่บนเตียง และเสียงเรียกชื่อกันไปมาทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคุยกับไผ่ ซึ่งแน่นอนว่าข้างกายของไผ่คงมีประวิชอยู่ด้วย เพราะหลังจากวันที่เขาบอกที่อยู่ของไผ่ให้ประวิชรู้สองสามวัน ไผ่ก็โทรมาสะอึกสะอื้นกับเขา บอกว่าสมหวังแล้ว ซึ่งเขาเองก็ดีใจที่ทั้งคู่เข้าใจกันได้ แม้ยังมีเรื่องที่ต้องปรับเข้าหากันอีกมากมาย แต่ขอแค่ทั้งคู่เต็มใจจะเปลี่ยนแปลงและอดทนเพื่อกันและกัน ทุกอย่างคงไม่ยากเกินความพยายาม

ปถวีวางสายจากไผ่แล้วจึงหันมองร่างโปร่งบางนั่งลงบนขอบเตียง

“ไผ่เพิ่งถึงกรุงเทพ แต่พรุ่งนี้บอกว่าจะมาช่วยงานแต่เช้า”

“เหรอ”

“จังหวะมีงานด่วนเข้ามาก็เป็นแบบนี้ละ”

นทนทีพยักหน้ารับ เพราะก่อนหน้านี้ประวิชโทรศัพท์มาขอโทษขอโพยไว้แล้ว ด้วยมีงานด่วนกะทันหันทำให้ขึ้นมาช่วยงานไม่ได้ แต่ก็ย้ำว่า ยังไงก็จะขึ้นมาร่วมงานให้ทัน

“แล้วไผ่ค้างบ้านประวิชเหรอ” นทนทีย้ำถามให้แน่ใจ

“อืม”

คำตอบของปถวี ทำให้ริมฝีปากอิ่มแย้มยิ้มเมื่อนึกถึงเพื่อนตัวเล็ก ที่พอสมใจหมายก็สะบัดทิ้งงานที่ชะอำกลับไปทำงานกับประวิชต่อทันที จนร่างสูงข้างๆปวดหัวเอ็ดตะโรไปพักใหญ่ กับบทจะไปก็ไป บทจะมาก็มาของเพื่อนจอมแสบ

ร่างโปร่งบางลุกขึ้นไปปิดไฟแล้วกลับมาล้มตัวลงนอนหันหลังให้อีกฝ่าย แต่ต้องขมวดคิ้วไม่พอใจเมื่อมือใหญ่รวบเอวเข้าไปกอดแนบแน่น เหมือนทุกคืนที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ ถึงแม้จะปัดป้องขัดขืนยังไง แต่อีกฝ่ายก็ฝืนและตอกย้ำให้รู้ว่า เขาไม่มีทางหนีไปไหนได้ถ้าอีกฝ่ายไม่ยินยอม

เมฆหมองขุ่นมัวที่พวกเขาเป็นคนสร้างขึ้นกำลังปิดกั้น ปิดบังความรักที่เคยมีให้กันจนเหมือนหลงอยู่ในเขาวงกตหาทางออกไม่เจอ

หากแต่จะลองเปิดตาเปิดใจให้กว้างขึ้นอีกซักนิด ดูสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างกระทำให้กันลึกๆแล้ว ก็เพราะรักคำเดียวเท่านั้นไม่ใช่หรือ

นทนทีเม้นริมฝีปากตัวเองแน่นก่อนจะโอนอ่อนผ่อนกายไปตามแรงมือของอีกฝ่าย เขาไม่อยากโกรธ หรือคิดจะเลิกรัก แต่จะมีอะไรมายืนยันความรู้สึกที่อีกฝ่ายมีให้เขาได้ละ อะไรที่จะมายืนยันบอกว่าเขาคือที่หนึ่งในหัวใจ ไม่ใช่เป็นเพียงเศษเสี้ยวเหลือต่อมาจากใคร ขอให้เขารับรู้ถึงสิ่งนั้นบ้างซักนิด...

แต่เขากลับไม่เคยรู้สึกถึงมันเลย

Xxxxx

ฟ้ายังมืดมิดแต่เสียงนกร้องแข่งกันดังระงมไปทั่วบริเวณ บ่งบอกให้รู้ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าแล้ว ผู้คนภายในบ้านหลังเล็กกลางสวนก็ดูจะชุลมุนไม่น้อยกับการเตรียมตัวไปยังสถานที่จัดงาน แสงไฟนีออนที่สาดส่องลอดผ่านประตูออกไปกระทบวัตถุจนเกิดเป็นเงาตะคุ่มๆก่อนจะดับแสงและเข้าสู่ความเงียบสงบอีกครั้งเมื่อทุกชีวิตกำลังดำเนินไปตามแผนที่วางไว้

นทนทีมองห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมที่ตอนนี้แปลสภาพเป็นสถานที่ประกอบพิธีสงฆ์ของคู่บ่าวสาว แล้วต้องถอนหายใจออกมานิดๆด้วยทุกอย่างฝ่ายชายเป็นคนดำเนินการ มันถึงได้ดูยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้ ทั้งๆที่ความจริงฝ่ายเขาควรจะเป็นคนจัดเลี้ยง แต่มันคงจะไม่สมเกียรติผู้ใหญ่ฝ่ายชายแน่ๆ เลยต้องลงเอยแบบนี้

ความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ จะดื้อแพ่งหยิ่งยโสไปก็รังแต่จะทำให้ทุกฝ่ายลำบากใจกันไปเปล่าๆ บางครั้งการยอมรับความช่วยเหลือจากคนอื่นก็ไม่ได้ทำให้เราดูด้อยหรือไร้ค่าไปเสียทุกครั้ง

เพราะคุณค่าของเราไม่ได้อยู่ที่เงินทอง

ร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีเทามองมารดาน้ำตาคลอขังขณะรดน้ำให้คู่บ่าวสาว ก่อนจะกวาดตามองแขกเหลื่อร่วมหลายร้อยคนแล้วให้นึกเหนื่อยแทนน้องสาว นี่ขนาดมีแต่ญาติสนิทมิตรสหายนะ แล้วงานฉลองสมรสตอนเย็นจะขนาดไหนกันเนี่ย เห็นปถวีบอกว่า แม่ไม่ค่อยอยากให้เอิกเกริกเชิญแต่คนสนิทๆ คิ้วได้รูปย่นเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อคิดถึงตรงนี้ คนสนิทที่ว่าก็ทำให้ต้องพิมพ์การ์ดแจกกันเป็นพันใบ ในขณะที่แขกทางฝ่ายหญิงมีไม่ถึงร้อยคน โลกของคนมีเงินนี่มันช่างต่างกับโลกแคบๆละแวกบ้านสวนของเขาจริงๆ

นทนทีมองคุณศรีสอางค์และคุณทรงยศยิ้มแย้มคุยกับแขกหลังรดน้ำให้คู่บ่าวสาว เห็นผู้ใหญ่ทั้งสองแล้วก็ให้รู้สึกรักและเคารพยิ่ง ด้วยน้องสาวของเขาได้รับการต้อนรับและดูแลเสมือนคนในครอบครัวอีกคนหนึ่ง จึงรู้สึกอุ่นใจและดีใจที่วันนี้เห็นน้องสาวนั่งเคียงคู่อยู่กับคนที่รัก

ร่างโปร่งพรางพรูลมหายใจก่อนจะฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของประวิชเข้ามาในกรอบสายตาพร้อมกับร่างเพรียวลมของไผ่ ขายาวจึงสาวเท้าฝ่ากลุ่มคนเข้าไปหา

“โทษทีมาสายไปหน่อย” ประวิชเอ่ยขึ้นเมื่อเข้ามาได้ระยะ

“แค่มาก็ดีใจแล้ววิช” ร่างโปร่งยิ้มรับ

“ก็เจ้านี่น่ะสิ ปลุกเท่าไรก็ไม่ยอมตื่น” ร่างสูงหันไปถลึงตาใส่คนหน้าเป็น

นทนทีมองตามสายตาประวิชแล้วให้รู้สึกโล่งอกกับสีหน้าสีตาของเพื่อนที่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มคล้ายระอากับท่าทางดุๆไม่ยอมเปลี่ยน

พอเขาอยู่ก็บ่นก็ว่า พอเขาหายไปก็เป็นเดือดเป็นร้อน ใจคนนี่มันยากจะหยั่งถึงจริงๆ

“คงเหนื่อยล่ะ เมื่อคืนมาถึงกรุงเทพดึกนี่” นทนทีแก้ตัวให้ไผ่เสร็จสรรพ ก่อนจะเห็นเพื่อนเขย่งตัวกวักมือเรียกคนที่อยู่ไกลออกไป

“วี!...วู้ ทางนี้” เสียงไผ่ตะโกนเรียกเพื่อนตัวโตให้หันมามอง จนคนตัวใหญ่อีกคนข้างๆต้องกระตุกแขนปรามให้เบาเสียง ก่อนจะเขม่นมองคนเดินมาใหม่

“มาซะสายเชียวนะไอ้ไผ่” ปถวีเอ่ยทัก พลางปรายตามองคนหน้าตึงที่ยืนอยู่ข้างๆร่างเล็ก ฉันต่างหากที่ควรจะโกรธไอ้ยักษ์! ปถวีนึกบ่นในใจกับสายตาวาวๆของอีกฝ่าย

“เออน่า...ไงก็มาล่ะ”

ปถวีมองเพื่อนตัวเล็กยิ้มจนตาหยี แล้วจึงหันไปหาประวิช

“ดีใจด้วยที่ไปทัน”

คนถูกแหย่ถลึงตามอง ก่อนจะเอ่ยเสียงเครียด

“ถ้านายทำแบบนี้อีกล่ะน่าดู”

“อันนี้มันก็อยู่ที่นาย ไม่ใช่ฉัน อีกอย่างฉันจะปฏิเสธคำขอร้องของเพื่อนได้ไง นายว่ามั้ย” ปถวีเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเชิงถาม ในขณะที่ประวิชขบกรามแน่น จนนทนทีเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเอ่ยแทรก

“ไผ่กับประวิชยังไม่ได้รดน้ำให้คู่บ่าวสาวเลย ไปรดน้ำก่อนดีกว่ามั้ย” นทนทีพยักพเยิดหน้าให้ไผ่พาประวิชออกไป แล้วจึงหันไปตีหน้ายักษ์ใส่ปถวี

“ได้แหย่ให้คนอื่นโมโหนี่มันสนุกมากนักรึไง”

“...” ปถวียักไหล่ให้เป็นการตอบคำถาม

“นายนี่มัน...แย่ที่สุด”

“ก็คงน้อยกว่านายล่ะ” ร่างสูงปรายตามองคนเบิกตากว้างก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนี

“จะไปไหน” มือใหญ่รั้งต้นแขนอีกฝ่ายไว้

“ไปหาข้าวให้เพื่อนกิน!” นทนทีมองอีกฝ่ายตาขวาง

ปถวีพยักหน้ารับก่อนจะเดินตามร่างโปร่งบางไป จนอีกฝ่ายต้องหันมาเอ่ยเสียงเครียด

“นายจะตามฉันไปทำไม แขกอื่นมีให้ดูแลอีกเยอะแยะ หายไปหมดแบบนี้ไม่ดีนะ”

“ไม่เป็นไร อยากหาอะไรรองท้องอยู่เหมือนกัน” ปถวีส่ายศีรษะพลางมองใบหน้าขาวอย่างพินิจ

วันนี้เขารู้สึกเหมือนมีอะไรมากวนใจให้ต้องกังวลอยู่ตลอดเวลา จนต้องคอยจับตามองนทนทีไว้ ให้รู้สึกอุ่นใจว่าอีกฝ่ายยังยืนอยู่ข้างเขา

นทนทีขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะหันหลังเดินกลับ ไม่คิดจะต่อความยาวสาวความยืดกับอีกฝ่ายอีก

กว่าพิธีช่วงเช้าจะเสร็จลงก็เกือบเที่ยง หากแต่เจ้าสาวก็ต้องเตรียมตัวสำหรับงานฉลองสมรสช่วงเย็นต่อทันที ทำให้คนที่เป็นพี่ชายและเจ้าบ่าวบ่นสงสารเจ้าสาวไปตามๆกัน เพราะข้าวปลาแทบไม่ได้แตะกันเลย

“วันสำคัญทั้งทีก็ต้องสวยที่สุดสิจ๊ะ” คำพูดของคุณศรีสอางค์เอ่ยปลอบใจหนุ่มๆที่กำลังเป็นห่วงเจ้าสาวขณะนั่งพักล้อมวงกันพร้อมหน้าพร้อมตาในเครือญาติ

“แล้วแม่ไม่ขึ้นไปพักหน่อยเหรอครับ” อนลถามมารดา ด้วยเปิดห้องพักของโรงแรมไว้สำหรับพักผ่อนหลายห้อง

“ไว้ก่อนลูก แม่ว่าจะไปกำชับทางโรงแรมเรื่องงานตอนเย็นอีกนิดน่ะ” คุณศรีสอางค์ยิ้มเลยผ่านหน้าปถวีไปยังบุตรชายคนเล็ก

ปฏิกิริยาของภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก ทำเอาคุณทรงยศอดยิ้มขันไม่ได้ ดูเอาเถอะ จนปานนี้แล้วยังงอนลูกตัวเองไม่เลิก

และอากัปกิริยาที่ไม่คิดจะปิดบังของคุณศรีสอางค์ก็ทำให้ผู้คนรอบข้างหันไปมองปถวีเป็นตาเดียว

ไปทำอะไรให้แม่โกรธ?

ร่างสูงที่ถูกมองอย่างสงสัยได้แต่ลอบถอนใจหนักๆ ก่อนจะเสหาเรื่องอื่นพูดกลบเกลื่อน

“เดี๋ยววีไปดูให้เองแม่” อาการพูดแกมเอาใจของบุตรชายคนรองทำให้คุณศรีสอางค์ปรายตามอง ก่อนจะค้อนให้เสียทีหนึ่ง จนลูกชายคนโตที่นั่งอยู่ข้างๆขำพรืดออกมาอย่างอดไม่ได้

“โธ่แม่...โกรธแบบนี้เดี๋ยวไม่สวยนา” พี่ใหญ่กระเซ้าพลางโอบแขนรอบลำตัวมารดา

“ใหญ่...แล้วมันน่าโกรธมั้ยละ น้องเราน่ะ ทำอะไรไม่คิดถึงหน้าแม่เลย” เสียงเข้มหากแต่ไม่จริงจังเท่าไรทำให้พี่ใหญ่ยิ้มรับคำบ่นแกมฉุนของมารดา

“ก็น้องมันไม่สบายใจ แล้วอีกอย่างตำแหน่งใหม่ก็ไม่ได้ด้อยกว่าเดิม จะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ”

นทนทีมองแม่ลูกคุยกันอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุที่ทำให้คุณศรีสอางค์เมินลูกชายคนกลางของตัวเอง

“แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่บอกแม่ก่อนสิ จะทำอะไรน่ะ น้องอรแม่รับฝากมาจากคุณละออนะ เล่นย้ายน้องเขาไปทำงานที่อื่นกะทันหันแบบนั้นแม่เสียหมด”

ชื่อของอรอนงค์ทำให้นทนทีหูผึ่งหันมองคุณศรีสอางค์ ก่อนจะค่อยๆหันไปมองปถวีที่นั่งเงียบ

“เจ้าวีมันก็บอกเหตุผลแม่ไปแล้วนี่ครับ อย่าโกรธเลยนะแม่”

“เหตุผลสมเหตุสมผลมากเลยลูกฉัน!” ผู้เป็นมารดากระแทกเสียงใส่ปถวีที่นั่งยอมรับคำต่อว่าต่อขานแบบไม่ปริปาก

“ก็ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่ครับแม่ คนมันไม่รักไม่ชอบ ให้อยู่ใกล้กันคงอึดอัดใจกันไปเปล่าๆ” พี่ใหญ่เอ่ยแย้งแทนน้องชายทั้งยิ้มๆ

“แม่ก็ไม่ได้บังคับนี่ลูก” คุณศรีสอางค์เอ่ยอย่างไม่เต็มปากเต็มคำ

“แต่แม่ก็หวังใช่มั้ยล่ะครับ” พอถูกลูกชายดักทาง นิ้วขาวอวบจึงบรรจงหยิกลงที่ต้นแขนแข็งทันที

“แม่เห็นว่าน้องอรเขาเป็นเด็กดี ให้รู้จักกันไว้ก็ไม่เห็นจะเสียอะไร แล้วดูซิ ส่งน้องเขาไปทำงานที่สาขาอื่นซะงั้น นี่ถ้าบอกว่าน้องอรทำงานไม่ได้หรือทำให้วุ่นวาย แม่จะไม่ขัดเลย แต่นี่บอกกับแม่ว่าไม่สบายใจที่จะให้น้องอรทำงานด้วย แม่ล่ะแก้ตัวกับคุณละออแทบแย่”

“หึๆ ไงเขาก็ไม่ติดใจแล้วนี่ครับ หรือแม่จะเลือกน้องอรแล้วย่อมให้เจ้าวีมันไปทำงานต่างประเทศล่ะครับ” มือใหญ่เขย่าตัวมารดาเบาๆ หากแต่คำพูดยอกย้อนก็ทำให้มารดาถลึงตามอง

“ยะ! พ่อมหาจำเริญ พ่อลูกบังเกิดเกล้า” คุณศรีสอางค์เอ่ยประชดพลางหันมองลูกชายคนกลางที่นั่งหน้าเหลือสองนิ้ว “แม่ก็ต้องเลือกลูกตัวเองสิ”

คำพูดของมารดาทำให้หัวใจคนเป็นลูกชุ่มชื้นเหมือนมีน้ำเย็นหลั่งไหลเข้ามาปลอบประโลมใจที่กำลังแห้งแล้ง ปถวีมองมารดาด้วยอาการตัวเย็นเฉียบ ก่อนจะค่อยๆยกยิ้มด้วยอาการตีบตันในอก

เพราะจะเรื่องร้ายเรื่องดี แม่พร้อมจะรับฟัง ลูกทำผิดซักกี่ครั้งแม่ก็ให้อภัยได้

ความรักของคนเป็นแม่นี้มากมายมหาศาลจนหาอะไรมาเปรียบไม่ได้จริงๆ
ปถวีหลับตาลงซึมซับความรู้สึกทั้งหลายทั้งปวงเข้ามาไว้ในอก น้ำตาแห่งความยินดีคลอขังในดวงตาคู่คมที่ตอนนี้ต้องการกำลังใจเหลือเกินให้กับหัวใจอันมืดมน

แม่ครับวันไหนที่ลูกพร้อม ลูกจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟัง...ปถวีนึกบอกตัวเองในใจแล้วลืมตาขึ้นมองมารดาที่ยังส่งสายตาตำหนิแกมฉุนมาให้อยู่ ริมฝีปากได้รูปคลียิ้มกว้างให้มารดาก่อนที่จะถูกสะบัดหน้าหนีอย่างหมั่นไส้ แล้วจึงเลื่อนสายตาไปยังร่างโปร่งบางที่มองกลับมาด้วยแววตายากจะเดาอารมณ์ความรู้สึก

“งั้นแม่ฝากใหญ่ไปกำชับเจ้าหน้าที่โรงแรมแล้วกัน แม่จะขึ้นไปดูหนูวาหน่อย” คุณศรีสอางค์สั่งเสร็จก็เดินฉับๆออกไป ทิ้งให้ผู้เป็นสามีและพี่ใหญ่อมยิ้มกันเป็นทิวแถว

“แม่เราก็แบบนี้ละ” คุณทรงยศหันไปเอ่ยกับบุตรชายคนกลาง

“พ่อก็ขอขึ้นไปพักซักหน่อยนะ นทพาแม่เราขึ้นไปพักด้วยนะเหนื่อยกันมาแต่เช้าแล้ว เดี๋ยวช่วงเย็นจะไม่ไหวเอา”

นทนทียิ้มรับคำบอกของคุณทรงยศ แล้วจึงลุกขึ้นพามารดาไปยังห้องพัก ทิ้งให้ปถวีมองตามด้วยไม่สามารถตามประกบไปได้ตลอดรอดฝั่ง

ร่างโปร่งพามารดาไปยังห้องแต่งตัวของวารีครู่ใหญ่ แล้วจึงนำไปพักยังห้องรับรอง

“แม่กินอะไรหน่อยมั้ย เมื่อเช้าเห็นแม่กินไปนิดเดียวเอง” ร่างโปร่งเอ่ยถามมารดาที่มีอาการอ่อนเพลียให้เห็นเล็กน้อย

“ไม่ค่อยหิวน่ะลูก” มารดายิ้มตอบ

“ไม่หิวก็กินเสียหน่อยนะแม่ เดี๋ยวนทกินเป็นเพื่อน” ไม่พูดเปล่านทนทีกดโทรศัพท์สั่งอาหารอย่างง่ายๆขึ้นมาทานในห้องไม่ทันให้มารดาได้ท้วง

จวบจนกระทั่งใกล้เวลาฉลองสมรสในช่วงเย็น นทนทีที่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสูทหูกระต่ายได้แยกตัวจากมารดาลงมาดูสถานที่จัดงาน และนี่คงเห็นเหตุผลที่ดีที่สุดแล้วสำหรับการแยกตัวมานั่งคิดอะไรเพียงลำพัง ได้อยู่กับตัวเองสักครู่ เพราะตลอดเวลาที่อยู่กับมารดาในหัวสมองเขาว่างเปล่า ทั้งๆที่ลึกลงไปแล้วมันกำลังปั่นป่วนสับสน

คำสนทนาระหว่างคุณศรีสอางค์และบุตรชายเมื่อกลางวันสะกิดให้เขาหยุดคิด หยุดคร่ำครวญ หยุดโทษใครๆ

ตอนนี้เขาต้องการเวลาสักนิดให้กับตัวเองจริงๆ ร่างโปร่งจึงเดินเตร็ดเตร่ไปตามสวนย่อมหน้าโรงแรม ก่อนจะทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ไม้สีซีดจากการกรำฝนกรำแดดใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้น้ำพุเล็กๆ แผ่นหลังตึงเครียดผ่อนคลายเมื่อพิงลงพนักเก้าอี้ เสียงพรางพรูลมหายใจดังกลบเสียงธารน้ำโดยที่เจ้าตัวดูจะพอใจไม่น้อยกับการได้ถ่ายเทเอาความรู้สึกหนักๆในอกออกไปเสียบ้าง

สายตาคู่อ่อนล้าทอดมองสีเขียวของใบไม้ใบหญ้าก่อนจะมองเลยไปยังถนนบริเวณทางเข้าซึ่งไม่ห่างจากที่เขานั่งมากนัก รถยนต์ราคาหลายล้านเริ่มทยอยเข้ามาเทียบท่าหนาตาขึ้น ด้วยจวนเจียนจะได้เวลาเริ่มงานทำให้ร่างโปร่งต้องยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองแรงๆ วันนี้เป็นวันมงคลของน้องสาว เขาควรจะนึกถึงและทำหน้าที่พี่ชายให้ดีที่สุดก่อนจะคิดถึงเรื่องของตัวเอง

นทนทีจึงลุกพาร่างกายอันหนักอึ้งไปยังทางเข้าของโรงแรมที่ตนเดินออกมา หากแต่ร่างสูงใหญ่ของคนสองคนที่เคยคุ้นตาเดินปราดเข้ามาตัดหน้าจนต้องหยุดชะงัก

“คุณเทวัญ!” ร่างโปร่งเบิกตากว้างด้วยไม่คิดจะเจออีกฝ่ายก่อนเริ่มเวลางานแล้วจึงหันมองทวีปที่ยืนฉีกยิ้มให้อยู่ไม่ห่าง

“นท! เจอจนได้ ฉันวนเดินหาอยู่ตั้งนาน” เทวัญไม่พูดเปล่าแต่คว้าต้นแขนอีกฝ่ายแน่นเหมือนกลัวจะหลุดมือ

“ระ...เหรอครับ คุณเทวัญครับผมอยากจะขอโทษเรื่องทั้งหมด คุณ...” นทนทีเอ่ยรัวเร็วจนหายใจแทบไม่ทัน ทำให้เทวัญต้องกระชับอุ้งมือดึงร่างโปร่งให้พ้นจากบริเวณทางเข้าและเป้าสายตาคน

เทวัญพาร่างโปร่งไปยังเก้าอี้ตัวเดิมที่นทนทีเพิ่งลุกเดินจากมา โดยมีทวีปเดินตามมาห่างๆ ร่างสูงกวาดตามองใบหน้านวลอย่างใคร่สงสัยแกมโล่งอก ที่อย่างน้อยบนใบหน้าขาวนี้ก็ไม่มีร่องรอยให้เห็นว่าถูกทำร้าย

“ฉันเป็นห่วง...” ท่าทีร้อนรนของเทวัญทำให้นทนทีรู้สึกผิดที่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่พยายามหาทางติดต่ออีกฝ่ายให้เร็วกว่านี้ แม้จะต้องทะเลาะกับปถวีอีกรอบก็เถอะ

“ผมรู้ๆครับ ผมขอโทษคุณเทวัญจริงๆ แต่มันมีปัญหาทำให้ผมติดต่อคุณไม่ได้เลย ผมถึงได้อยากเจอคุณวันนี้ อยากบอกว่าผมเสียใจมาก ผม”

“ฉันรู้แล้วนท อย่าโทษตัวเองอย่างนี้ นายไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนี้ฉันรู้” เทวัญเอ่ยขัดก่อนที่ร่างโปร่งจะพูดขอโทษออกมาอีก

นทนทีมองดวงตาคู่อ่อนโยนไม่เปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายแล้วให้นึกสะท้อนใจตัวเอง เป็นเพราะเขาไม่ตัดสินใจเลือกเสียทีจนทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องมารับรู้และลำบากลำบนไปด้วย

“คุณเทวัญครับ เรื่องทุนเรียนต่อที่ผมผิดสัญญาจะให้ฝ่ายกฎหมายดำเนินการยังไง ผมยินดีชดใช้ให้หมดทุกอย่างเลย ผมคงกลับไปทำงานกับคุณไม่ได้แล้ว”

“ไม่ๆนท ทุกอย่างยังเหมือนเดิม” เทวัญมองอีกฝ่ายชะงักงัน

“ทุกอย่างยังรอนทกลับไปสานต่อ ขอเพียงนทยังไม่เปลี่ยนความตั้งใจ ฉันจะเดินเรื่องทุกอย่างให้ ให้นทได้ไปเรียนต่อตามที่ต้องการโดยที่ปถวีจะมาขวางอีกไม่ได้อย่างครั้งนี้”

คำพูดของเทวัญทำให้นทนทีผงะร้อนรน เหมือนมีลมแรงพัดเข้ามาตีแสกหน้าจนงุนงง

“ยังเหมือนเดิม?”

“ใช่ ทุกอย่างรอแค่นทคนเดียวเท่านั้น” เทวัญพยักหน้าเพิ่มความมั่นใจให้อีกฝ่าย

“แต่คุณเทวัญต้องเดือนร้อนแน่ ผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เรื่องของปถวีผมจะจัดการเองครับ” นทนทีมองแววตาสีเข้มสะท้อนแสงวูบวาบ

“จัดการยังไงล่ะนท! ลำพังตัวคนเดียวนทจะหนีไปได้ยังไง ทุกวันนี้เขาก็จับตามองจนกระดิกทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ”

“คุณเทวัญ!...คุณรู้ได้ยังไง”

เทวัญมองริมฝีปากอิ่มสั่นระริกก่อนจะทอดถอนลมหายใจยาว “ฉันขอโทษ แต่ฉันเป็นห่วงเลยให้คนตามไปดูลาดเลา”

นทนทีพยักหน้ารับรู้เงียบๆ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มหยัน “ก็เป็นอย่างที่คุณรู้ล่ะครับ ขนาดจะไปห้องน้ำยังต้องมีคนตามไปเฝ้าหน้าห้อง!” ร่างโปร่งกระแทกเสียงใส่ตัวเองกลายๆ “เพราะงั้นผมถึงได้ให้น้องสาวส่งบัตรเชิญไปหาคุณ”

“แล้วนทจะต้องอดทนกับคนแบบนั้นต่อไปยังงี้เหรอ มันถูกแล้วหรือนทที่จะให้คนที่ไม่คิดจะเข้าใจเราทำกับเราแบบนี้ วันนี้นททนได้แต่วันหน้าละ นทจะยังมีความอดทนได้อย่างวันนี้มั้ย” เทวัญมองนทนทีตาแดงก่ำแต่ก็จนด้วยคำตอบ “นท...ให้โอกาสตัวเองดีกว่ามั้ย นทยังมีโอกาสนะ ไม่จำเป็นต้องอยู่รอให้ใครมาเลือกอนาคตให้ นทเลือกของนทได้เอง แล้วค่อยๆใช้เวลาที่ตัวเองมีคิดตรึกตรองว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่ ไม่ใช่การถูกครอบง้ำหรือบงการแบบนี้ นทชอบให้เป็นแบบนี้หรือ”

นทนทีส่ายหน้าแรงๆแทนตอบคำถาม

“ไปเรียนต่อเถอะนท แล้วฉันจะดูแลเรื่องทุกอย่างให้เอง ไปเรียนซะให้สบายใจแล้วค่อยคิดว่าจะยังเลือกเขาอยู่อีกมั้ย”

เทวัญกระชับมือเข้ากับต้นแขนร่างโปร่งอีกครั้งอย่างให้กำลังใจ และขอคำตอบจากอีกฝ่ายด้วยใจระส่ำ

“คุณนท! มาทำอะไรอยู่ตรงนี้”

เสียงตะโกนเรียกของกันย์กระชากความคิดทั้งหลายทั้งมวลของนทนทีให้หันกลับไปมองต้นเสียง

“กันย์!” อาการร้อนรนของนทนทีทำให้เทวัญขมวดคิ้วยุ่งไม่พอใจ ก่อนจะหันไปมองคนดูต้นทางแล้วพยักพเยิดหน้าส่งสัญญาณบอก

ทวีปพยักหน้ารับก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง พลางเดินเข้าไปขวางทางร่างสูงโปร่งที่ก้าวยาวๆเข้ามาด้วยอาการร้อนรนผิดไปจากเคย

“ไงครับ ไม่ได้เจอกันตั้งนานแน่ะ คิดถึงกันบ้างมั้ยเนี่ย”

“หลบไป” กันย์ส่งเสียงเย็นให้กับหน้าตากรุ่มกริ่มของอีกฝ่าย ตอนนี้เขากังวลใจเกินกว่าจะมีอารมณ์มาต่อปากต่อคำกับคนหน้าเป็น เห็นหายตัวไปนานจนต้องออกมาตามหา แล้วมาอยู่ที่นี่แบบนี้ถ้าปถวีมาเห็นละก็เป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ

“น่าๆให้เขาได้คุยกันแป๊บหนึ่ง คุณเล่นไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้คุยกันเลย เดี๋ยวก็เสร็จแล้วล่ะ”

“เสร็จพวกนายน่ะสิ” ร่างโปร่งตอบขุ่นขวางก่อนจะเดินหลบร่างหนาไปหานทนที แต่ก็ถูกอีกฝ่ายดักทางไว้ทุกครั้งจนหงุดหงิด

ทวีปมองสายตาจะกินเลือดกินเนื้อของอีกฝ่ายแล้วให้ขนลุก คนอะไรตาดุชะมัด ร่างสูงคิดพลางคว้าเอวแน่นตึงลากไปอีกทาง

“เฮ้ย! ปล่อย ทำบ้าอะไร นายทำแบบนี้เดี๋ยวก็ได้เป็นเรื่องหรอก” กันย์ร้องบอกคนที่กำลังพยายามถูลู่ถูกังลากเขาไปอีกฝากของหนึ่งของสวน

“เงียบๆสิคุณ เสียงดังแบบนี้เดี๋ยวใครเขาก็แห่กันออกมาดูหรอก รึอยากให้ใครๆเห็นกันล่ะ” ทวีปหันมายักคิ้วยียวนให้คนโกรธจนหน้าดำหน้าแดง

“นายนี่มัน...” กันย์เค้นเสียงลอดไรฟัน ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาแต่ทว่าเหี้ยมเกรียมในความรู้สึกคนฟัง

“พวกคุณคิดจะทำอะไรกันแน่”

“โฮ้ พวกผมไม่ใช่อาชญากรนะครับ ดูทำหน้าเข้าสิ เจ้านายผมก็แค่อยากให้นทไขว้คว้าเลือกโอกาสดีๆไว้เท่านั้นเอง” ทวีปยังยิ้มเย็นตอบ

“ล่อลวงนะสิไม่ว่า พวกคุณจะทำให้เรื่องมันยุ่งไปกว่าที่เป็นอยู่นะ คุณบอกเจ้านายคุณให้ถอนตัวจะดีกว่า ยังไงพวกเขาก็คบกันมานาน ถ้าจะเลือก นทนทีก็ต้องเลือกคนที่ตัวเองรักอยู่แล้วล่ะ”

“แล้วคนรักกัน เขาระแวงกัน เขาไม่เชื่อใจกันขนาดนี้เหรอครับคุณ ไม่มั้ง” ทวีปลากเสียงยานในตอนท้าย

“เขาก็มีเหตุผลของเขา พวกคุณเป็นคนนอกอย่าเข้ามายุ่งจะได้มั้ย”

“คุณก็คนนอก ดังนั้นอย่าเข้าข้างกันจนออกหน้าออกตานักสิครับ ให้นทเขาเลือกเองอีกกว่ามั้ง”

“พวกคุณ!...” ร่างสูงโปร่งสบถอย่างหัวเสีย ก่อนจะออกแรงดึงตัวเองให้หลุดจากการจับกุม หากแต่ทวีปก็เพิ่มแรงบีบรัดในขณะที่อีกฝ่ายเต้นเร่ายื้อยุดกันจนเหนื่อยหอบ และในที่สุดร่างสูงโปร่งก็เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงที่รัดแน่น จนแม้จะหายใจหายคอก็ยังลำบาก

“ปล่อย!”

“ไม่!” ทวีปยิ้มเจ้าเล่ห์ เรื่องอะไรจะปล่อย อุตส่าห์มีโอกาสได้กอดทั้งที จะกอดให้ช้ำไปเลย ทวีปไม่คิดเปล่าหากแต่ฉวยโอกาสหอมแก้มอีกฝ่ายไปในตัว

หมั่นเขี้ยวมานานแล้ว คนกอดรัดกดริมฝีปากกับผิวขาวๆอีกหลายครั้ง โดยเมินต่อเสียงกระฟัดกระเฟียด

ถูกต่อยก็คุ้มแล้ว...


XXXXX
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-12 (07/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 07-10-2009 23:04:20
เทวัญถอนสายตาจากเพื่อนที่หายไปพร้อมกับการบดบังของต้นไม้ใบหญ้า แล้วจึงหันกลับมามองวงหน้าขาวอีกครั้ง

“นท...บางครั้งการอดทนก็เป็นสิ่งที่สูญเปล่า หากคนที่นทให้ความสำคัญเขาไม่เห็นค่า”

ร่างโปร่งบางกระตุกเมื่อถูกจี้ใจดำ และเหมือนตอกย้ำในคำพูดของปถวี ว่าสิ่งที่เขาทำอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการแม้แต่น้อย แล้วเขาจะอยู่ไปเพื่ออะไร ใบหน้ามนเงยมองร่างสูงใหญ่ด้วยดวงตาหวั่นไหวพลางเม้นริมฝีปากตัวเองแน่นก่อนจะเอ่ยถามเสียงสั่น

“ผมยังมีสิทธิ์ไปเรียนต่อ?”

“แน่นอน”

“แล้วคุณไม่กลัวเหรอครับที่ต้องมาเดือนร้อนเพราะผม ปถวีคงไม่ยอมให้จบลงง่ายๆแน่”

“นท...ถ้ากลัวฉันจะมาที่นี่เหรอ”

นทนทีมองแววตามุ่งมั่นของเทวัญแล้วต้องถอนใจ เมื่อภาพตรงหน้ากลับมีใบหน้าของคนอีกคนหนึ่งเข้ามาซ้อนทับ

นทนทีส่ายศีรษะด้วยระทดระท้อใจ แต่ก่อนจะได้ตัดสินใจทำอะไรลงไป เสียงเรียกที่เสมือนเสียงฟ้าดังผ่าแทรกผ่านอากาศมาให้ร่างโปร่งบางตัวเย็นวาบ

“นท!”

“วี!” นทนทีผงะถอยหลังไปยืนข้างเทวัญโดยไม่ได้ตั้งใจ สายตาที่เหมือนมีกองไฟลุกโชนอยู่ยิ่งทำนทนทีผวาว่าจะเกิดเรื่อง

เทวัญก้าวออกไปยืนรับหน้าคนมาใหม่ด้วยอาการไม่สะทกสะท้าน ยิ่งทำให้ในอกของปถวีแทบระเบิด

นทนที! มันจะมากไปแล้วนะ เห็นหายไปนานให้เจ้ากันย์มาตามก็หายไปอีกคน แล้วมาเจอแบบนี้จะให้ฉันคิดยังไง จะให้คิดยังไงหึ มาแอบลักลอบพบกันแบบนี้!

“ฉันไม่คิดเลยว่านายจะทำ!” ปถวีมองร่างเล็กยืนหลังเทวัญด้วยความรู้สึกจุกแน่นในอก แล้วจึงตวัดสายตากลับไปมองหนุ่มใหญ่ที่กำลังเอ่ยเสียงเครียด

“ทำไมหรือครับ...แค่ออกมาคุยกับผมนี่มันผิดนักรึไงคุณปถวี” ยิ่งเทวัญออกรับแทนเท่าไรก็ยิ่งเหมือนเติมเชื้อไฟให้ปถวีมากขึ้นเท่านั้น

“มันก็คงไม่ผิด ถ้าคุณตอบตัวเองได้ว่าคุณมาเพราะบริสุทธิ์ใจ” คนมาใหม่จงใจเสียดสีแดกดัน

แต่คำพูดของผู้อ่อนวัยที่ฟังดูเหมือนยิ่งใหญ่ มันแฝงความอ่อนด้อยประสบการณ์จนน่าขำ ทำให้เทวัญหัวเราะลงคอดังหึ!

“ไอ้หน้าอ่อนเอ๊ย!” เทวัญสบถบอกตัวเองเบาๆหากแต่จงใจให้ร่างสูงที่ยืนจังก้าได้ยินด้วย

“ผมจะไม่มาเสียเวลาแต่งคำพูดสวยหรูกับคุณหรอกนะ เพราะมันไม่มีมาตั้งแต่แรกแล้ว แล้วจะถามไปทำไม” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ทว่าเน้นหนัก ก่อนจะเหลือบมองร่างโปร่งบางที่ทำหน้าตื่นๆแล้วจึงยกยิ้มปลอบใจ “แต่ฉันก็ไม่คิดจะบังคับขู่เข็ญให้มารักฉันหรอกนะ นทตัดสินใจเลือกสิ่งที่นทต้องการโดยไม่ต้องแคร์ฉันเลยก็ได้”

“พูดดีนี่แก” ปถวีเอ่ยเสียงลอดไรฟันก่อนจะสะบัดหน้ามองนทนทีที่เอาแต่ยืนนิ่งโดยไม่มีท่าทีว่าจะเดินข้ามมาหาเขา

“นี่น่ะเหรอสิ่งที่นายตอบแทนฉัน”

นทนทีถึงกับจุกเมื่อถูกมองด้วยสายตาประเมินค่า เขาไม่ได้ตั้งใจให้เข้าใจผิด เขาแค่อยากขอโทษคนที่คอยเกื้อหนุนเขามาตลอดเท่านั้น แต่กลายเป็นว่าเขาลากคนอื่นให้มาเดือนร้อนกับเขาด้วยซะแล้ว

“ไม่ใช่นะวี”

เทวัญมองคนหน้าขาวเผือกปฏิเสธแล้วให้นึกสงสารกับบรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ เขาจึงตัดสินใจพูดแทนอีกฝ่ายจะได้จบกันไปซะที

“อย่ามาทวงบุญคุณอะไรกันตอนนี้เลย ผมมารับนท ผมอยากให้เขาไปเรียนต่อดีกว่าทนอยู่อย่างวิตกกังวลแบบนี้ มันทรมานเขาเปล่าๆ”

“ทรมาน?” ปถวีทวนคำพูดเทวัญเสียงดัง ก่อนจะหันกลับไปมองร่างโปร่งด้วยดวงตาร้าวราน

“อยู่กับฉันมันทรมานนักหรือไง” ร่างสูงสาวเท้าเข้าหา

“ฉันยังทำเพื่อนายไม่พอรึไง นายถึงต้องไปร้องแร่แห่กระเชอให้คนอื่นมาช่วย” มือใหญ่ยืนออกไปหวังจะไขว้คว้าร่างคนที่ทำให้เขาโมโหมาเขย่าให้สมใจคิด หากแต่ถูกร่างหนาเข้ามาขวาง

ปถวีมองอีกฝ่ายตาขวาง “หลบไป แล้วก็กลับไปซะ อย่าได้มาทำตัวเป็นนักบุญผิดที่ผิดเวลาแบบนี้อีก”

หากเทวัญไม่คิดจะใส่ใจกับคำพูดของคนขึงโกรธ กลับหันไปจับต้นแขนร่างโปร่งบาง

“ไปเถอะนท พูดอะไรไปตอนนี้ก็ไม่รู้เรื่องหรอก” เทวัญกระชับต้นแขนหวังจะพานทนทีออกไปให้พ้นจากคนที่กำลังเหมือนหมาบ้าเข้าไปทุกที

“โอ๊ย!” เสียงร้องของนทนทีดังขึ้นเมื่อถูกปถวีกระชากร่างทั้งร่าง

“ฉันไม่ให้ไป! ถ้าอยากเรียนนัก...ก็ได้” ดวงตาคู่คมแดงก่ำโชนแสง

“แต่ฉันจะไปด้วย”

“วี...ไม่ใช่...ฉัน” นทนทีเอ่ยตะกุกตะกักไม่เป็นภาษา ด้วยแรงอารมณ์ของอีกฝ่ายมันสะเทือนใจเขาจนชาหนึบ

เขาไม่ได้ต้องการแบบนี้ ร่างโปร่งหรี่ตาลงด้วยเจ็บแปลบ หากความเจ็บก็ยังไม่ทำให้เขาสนใจได้เท่ากับภาพที่เห็นตรงหน้า ภาพของผู้คนแต่งชุดสุภาพงดงามทั้งชายหญิงกำลังเพ่งมองให้ความสนใจกับการทะเลาเบาะแวงของพวกเขา

“ปล่อยเขานะ เขาไม่อยากอยู่กับนายแล้ว ไม่เห็นเหรอ” เทวัญเสียงกร้าวเมื่อเห็นริมฝีปากคู่บางสั่นระริก ก่อนจะผลักอีกฝ่ายจนเซ

“คุณเทวัญ อย่า!” นทนทีร้องเสียงหลง แต่ไม่ทันเมื่อเห็นหมัดของปถวีต่อยสวนออกไปถูกบริเวณบ่ากว้าง และแรงเหวี่ยงก็ทำให้เทวัญเซผงะ

“วี! นายอย่าทำแบบนี้นะ” ร่างโปร่งร้องห้ามหากแต่ถูกมือใหญ่ผลักออกไปให้พ้นทาง แล้วจึงหันมาสั่งเสียงกร้าว

“คนหน้าด้านมันต้องเจอแบบนี้ละ ส่วนนาย...ถ้ากล้าถึงขนาดนัดแนะให้มาพากันหนีไปแบบนี้ คงรู้แล้วนะว่าถูกจับได้แล้วจะเป็นยังไง...ทั้งๆที่ฉันรักมากขนาดนี้แท้ๆ” ดวงตาแข็งกระด้างแฝงความร้าวรานจนคนถูกมองสะท้านในอก พลางเบิกตากว้างเมื่อเห็นคนที่เซไปหยกๆตั้งตัวได้และออกหมัดเสยเข้าสันกรามปถวีอย่างจัง

ใบหน้าคมหันไปตามแรงก่อนจะสะบัดศีรษะไล่ความมึนงง แล้วจึงไล้ลิ้นไปตามเนื้อเยื้ออ่อนๆข้างริมปากที่ตอนนี้ส่งกลิ่นคาวเลือดจางๆ

“ถุย” ร่างสูงพ่นน้ำลายปนเลือดก่อนจะปรี่เข้าไปหาอีกฝ่าย อาศัยเคยเป็นนักกีฬานักมวยสากลมาก่อนจึงออกหมัดได้ไม่พลาดเบ้า เสยเข้าข้างแก้มเทวัญเป็นการเอาคืนได้อย่างจังๆ และก่อนจะได้เข้าไปซ้ำนทนทีก็เข้าไปห้ามพลางดึงรั้งแขนกำยำไว้แน่น ให้ปถวีตวัดสายตามองด้วยความเคียดแค้น

“รักมันมากใช่มั้ย...จะไปกับมันใช่มั้ย!”

“ไม่ใช่นะ!”

“ไม่ใช่แล้วไอ้บ้านี่จะมาได้ยังไง”

“ฉันก็บอกแล้วว่าฉันแค่อยากขอโทษเขา”

“งั้นทำไมไม่บอกฉันละ บอกฉันสิ มาทำลับๆล่อๆทำไม”

“หึ! แล้วนายเคยฟังที่ฉันพูดบ้างรึเปล่า เคยคิดจะฟังมั้ย ทำแบบนี้พาลชัดๆ” นทนทีบริภาษโดยไม่คิดจะหลบสายตากร้าว

“ถ้าฉันพาลแล้วนายละ เรียกว่าอะไรที่ทำอยู่ตอนนี้”

“วี! มันจะมากไปแล้วนะ ตัวเองเคยทำก็อย่าคิดว่าคนอื่นเขาจะทำเหมือนตัวเองไปซะหมดสิ”

“นท! เราคุยกันเรื่องนี้แล้วนะ...แต่ช่างเถอะ คำพูดของฉันมันคงไม่ทำให้นายเอากลับไปคิดเท่ากับคำพูดของเจ้านั่นหรอก” ปถวีเม้นริมฝีปากตัวเองอย่างเย้ยหยันแกมท้อใจ รู้สึกเหมือนสิ่งที่เคยกำอยู่ในมือกำลังจะหายไป ความอบอุ่นที่เคยได้กอบกำกลับมีความหนาวเหน็บเข้ามาแทนที่

ถึงเวลาต้องปล่อยมือแล้วจริงๆหรือ ปถวีมองนทนทีชั่วครูแล้วจึงพุ่งเข้าใส่ร่างหนาของเทวัญอีกครั้ง

“ฉันจะปล่อยนายไป แต่แค่นายคนเดียวนะ เพราะเจ้านี่ฉันจะเอาให้ตายอยู่ที่นี่ล่ะ”

“...!” นทนทีผวาและหนาวเย็นถึงขั้วหัวใจเมื่อได้ฟัง ก่อนถลาไปกระชากแผ่นหลังอีกฝ่าย แต่กลับถูกปัดและผลักจนกระเด็นออกมาวงนอก จึงเห็นภาพชายหนุ่มสองคนกำลังชกต่อยกันเอาเป็นเอาตาย สะกดใจคนมองให้นิ่งงันไม่รู้แม้กระทั้งน้ำตาตัวเองไหลอาบแก้ม

“ไอ้หมาบ้า ดีแต่ใช้กำลัง ฉันไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนทถึงอยากไปเรียนต่อ!” เทวัญเอ่ยเยาะเย้ยเสียงหอบ ขณะยึดคอเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่น

“เอาเถอะ ถ้าเขาอยากไปฉันก็จะให้ไป แต่แกฉันจะเอาให้คลานไปไหนไม่ได้อีกเลย” ปถวีกระชากตัวเองออกจากการจับยึดจับแล้วจึงซัดตุบเข้าที่ท้องอีกฝ่ายจนตัวงอ

“คุณเทวัญ!” เสียงสองเสียงเอ่ยขึ้นพร้อมกันจากข้างหลัง ทำให้นทนทีหันไปมองและต้องร้องขอความช่วยเหลือ

“คุณกันย์ คุณทวีป! ช่วยกันแยกเร็ว”

ทวีปที่เห็นเทวัญลงไปนอนกองบนพื้นหญ้ารีบปรี่เข้าไปช่วยพร้อมกับกันย์ที่ไม่สามารถเก็บอาการให้นิ่งสงบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ เขารีบกลับมาดูเมื่อหลุดจากการเหนี่ยวรั้งของทวีป แต่สิ่งที่เห็นทำให้เขาตกใจ เพราะปถวีกำลังชกต่อยกับเทวัญอย่างไม่คิดจะอับอายต่อสายตาผู้คนที่เริ่มให้ความสนใจมากขึ้น ติดอยู่แค่ยังไม่มีใครคิดจะเดินเข้ามาดูใกล้ๆก็เท่านั้น

“หยุด! คุณปถวี คุณเทวัญ” เสียงทวีปร้องห้ามขณะยึดร่างเทวัญไว้ และมีนทนทีกับกันย์ยึดจับปถวีไว้แน่น

สภาพของชายหนุ่มทั้งสองไม่เหลือเค้าของผู้ร่วมงานมงคลอีกต่อไป ด้วยเสื้อผ้ายับย่นหน้าตามีรอยเขียวๆแดงๆกันคนละแห่งสองแห่ง

นทนทียึดร่างสูงไว้เต็มที่พลางเอ่ยเสียงหวาดๆเมื่อคนที่เขายึดจับไว้ออกแรงดึงตัวเองให้พ้นจากการเหนี่ยวรั้งสุดกำลัง

“หยุดวี อย่าทำแบบนี้”

“คุณปถวีใจเย็นๆครับ” เสียงกันย์เอ่ยช่วยด้วยอีกคน แต่ไม่ทำให้ร่างสูงสงบ กลับเหวี่ยงแขนเหวี่ยงขาหนักขึ้นไปอีก

“วี!” นทนทีร้องเสียงหลงกับความบ้าคลั่งของอีกฝ่าย “นายกำลังจะทำให้ที่นี่วุ่นวายแล้วนะ เห็นมั้ย!ใครๆเขากำลังมองอยู่”

“ปล่อย ช่างสิ! ใครมันจะเป็นยังไงฉันไม่สน...ไม่สนใจ เพราะไม่มีอะไรต้องแคร์อีกแล้ว” ท้ายประโยคปถวีพึมพำบอกตัวเองเบาๆ

“นายจะบ้าเหรอ ทำแบบนี้งานแต่งงานก็ล่มกันพอดี นายอยากให้เป็นแบบนั้นรึไง นายอยากเห็นนลเสียใจเพราะความไม่คิดของนายรึไง!”

“ใช่สิ! ฉันมันบ้า” ปถวีกระแทกเสียงใส่ก่อนจะสะบัดคนยึดจับทั้งสองกระเด็น แล้วสาวเท้าเข้าหาเทวัญที่มีทวีปประคองอยู่พลางปาดเลือดที่มุมปากออกแรงๆ

แต่ก่อนจะได้ไปถึง นทนทีก็กระโดดเข้าไปคว้าเอวหนาไว้แล้วหลับหูหลับตากอดอย่างไม่คิดชีวิต

“ขอร้องล่ะ ฉันขอร้องล่ะ”

“ไม่มีอะไรจะต้องพูดกันแล้ว ฉันจะไม่ห้ามอะไรนายอีก แต่บอกแล้วไง ฉันขออัดไอ้บ้านั่นให้หายแค้นก่อน”

“วี...” นทนทีครางเครือ ในใจเบาโหวงเหมือนไร้ที่ซึ่งยึดจับกับคำตอบของปถวี อิสระที่เขาเรียกร้องต้องการ แต่เมื่อถึงเวลาจะได้รับ เขากลับไม่มีรู้สึกดีใจแม้ซักนิด

นทนทีเงยหน้ามองอีกฝ่ายผ่านม่านน้ำตา ภาพลางเลือนของคนหน้าตาเจ็บแค้นทำให้รู้สึกสลดแกมเสียใจ

ที่คนๆนี้เป็นแบบนี้เพราะอะไร?

เพราะให้ความสำคัญ? เพราะรัก? เพราะหวงแหน? เพราะเขา…เพราะเขาใช่มั้ย?... ที่ทำให้ผู้ชายคนนี้คลั่งจนไม่คิดจะฟังใครอีกแล้ว

เขาลืมอะไรไปหรือเปล่าที่ผ่านมา

ทุกอย่างที่เขาอยากได้อยากเห็น มีครั้งไหนมั้ยที่อีกฝ่ายจะไม่รีบหามาให้

ความรัก ความหวังดีจากคนๆนี้ไม่เคยห่างหายไปไหนเลยไม่ใช่หรือ

ในเมื่ออีกฝ่ายเปิดอกให้ความรักเขามาแบบตรงๆ ถึงจะเหลวไหลไปบ้างก็เถอะ แต่นี่มันคือชีวิตคนจริงๆไม่ใช่หรือ ชีวิตที่ต้องช่วยกันประคับประคอง ไม่ใช่ฝากความหวังและทุกสิ่งทุกอย่างให้อีกฝ่ายเป็นคนรับผิดชอบอยู่เพียงฝ่ายเดียว

แล้วเขาล่ะ เปิดใจให้อีกฝ่ายเข้ามามากพอหรือยัง

ทั้งทิฐิ ความคาดหวัง ความมุ่งหมาย ทุกอย่างเขาเป็นคนคิดขึ้นมาเองทั้งนั้น และยังตั้งมั่นจะไปให้ถึงโดยไม่สนใจความรู้สึกของใครเลย
เขาคิดอะไรอยู่ เขาอยากให้ความรักครั้งนี้ไปทางไหนกันแน่ ถ้าไม่ใช่การอยู่ด้วยกันจนตายจากกันไปข้างหนึ่ง

‘แม่เห็นว่าน้องอรเขาเป็นเด็กดี ให้รู้จักกันไว้ก็ไม่เห็นจะเสียอะไร แล้วดูซิ ส่งน้องเขาไปทำงานที่สาขาอื่นซะงั้น นี่ถ้าบอกว่าน้องอรทำงานไม่ได้หรือทำให้วุ่นวาย แม่จะไม่ขัดเลย แต่นี่บอกกับแม่ว่าไม่สบายใจที่จะให้น้องอรทำงานด้วย แม่ล่ะแก้ตัวกับคุณลออแทบแย่’ คำพูดเสียดสีบุตรชายตัวเองดังก้องในหัวของนทนทีอีกครั้ง ก่อนจะรู้สึกถึงน้ำตาอุ่นร้อนของตัวเองไหลออกมาอีกครั้ง

“วี!” นทนทีกระชับแขนตัวเองแน่น แล้วจึงตัดใจเอ่ย “ อย่า! อย่าทำแบบนี้อีกเลย กลับเถอะ กลับกันเถอะนะ”

“ปล่อยนท ไอ้กันย์ปล่อยฉัน หรืออยากจะโดนด้วย” ปถวีออกแรงผลักกันย์ที่เข้ามาช่วยจับอีกครั้ง

“ไอ้เด็กเลว แสบนักนะแก” เสียงเทวัญลอยมากระทบโสตประสาทหูยิ่งทำให้ปถวียื้อลากคนยึดจับไปหาคนที่ยังถูกทวีปยึดไว้ไม่ปล่อย แต่ก่อนจะได้ฟาดปากกันอีกครั้ง นทนทีก็โพล่งออกมากลางปล้อง

“วี! ทุกอย่าง...ทุกอย่างที่นายอยากให้ฉันทำ ฉันจะทำให้ทุกอย่าง ฉันไม่ไปเรียนต่อแล้วก็ได้ ฉันจะไปทำงานกับนาย แต่นายอย่าทำแบบนี้อีกเลยนะ ฉันขอร้อง” นทนทีครางสะอื้นจนตัวโยนกับความตึงเครียดที่เกิดขึ้น

“นายกลับไปกับฉันเถอะนะ ฉันขอร้องล่ะ” ร่างโปร่งร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อายคนรอบข้าง “อย่าทำแบบนี้ ฉันไม่อยากเห็นนายเป็นแบบนี้...” นทนทีทุบกำปั้นลงแผ่นหลังอีกฝ่ายทั้งน้ำตา ทำให้ปถวีหยุดชะงักมอง

“นายอยากให้เป็นอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ นายอยากไปจากฉันไม่ใช่เหรอ ฉันก็ให้ไปแล้วไง” ปถวีเอ่ยเสียงเครือตัดพ้อ

“ไม่...ไม่ใช่ ฉันไม่ได้อยากไป ฉันอยากอยู่กับนาย...ฉันรักนายนะ ฉันรักนาย” นทนทีมองใบหน้าเขียวช้ำแล้วให้นึกเจ็บยอกในอก “พอเถอะนะ”

ปถวีมองคนรักสะอื้นไห้จนร่างทั้งร่างสั่นสะเทือนแล้วเหมือนมีอะไรมาทิ่มแทงในอก หมัดที่ง้างขึ้นหมายจะฟาดฟันฝ่ายตรงข้ามค่อยๆลดลงตกข้างตัว

“งั้นบอกฉันมาสิว่านายจะอยู่กับฉัน จะไม่หนีไปไหนอีก...ต่อหน้าเจ้านั่น บอกมันว่านายเลือกฉัน...เดี๋ยวนี้เลย”

สิ่งที่พูดเหมือนเป็นเงื่อนไขสุดท้ายที่อีกฝ่ายจะยอมรับฟัง ทำให้นทนทีรีบพยักหน้าหงึกๆแล้วหันหน้าไปมองเทวัญที่มีสภาพไม่ต่างกับปถวีนัก

“ขอโทษครับคุณเทวัญ ผมไม่ขอรับทุนเรียนต่อแล้ว ขอบคุณจริงๆกับสิ่งที่คุณมีให้ผม...ผม” ไม่ทันให้นทนทีได้พูดจบ ปถวีก็กระชากร่างโปร่งติดมือออกไปยืนห่างจากเทวัญ

สายตาที่มองฝ่ายตรงข้ามบ่งบอกถึงความห่วงแหนในสิ่งที่อยู่ในอ้อมแขน และไม่คิดจะยอมให้ใครมาพรากจากไปสะท้อนในดวงตาแวววาว จนคนที่สบตาด้วยรู้สึกใจกระตุก และย้อนมองตัวเอง วันที่ต้องสูญเสียสิ่งที่รักไปเขาได้ยื้อไว้จนสุดกำลังแบบนี้รึเปล่า สิ่งที่ได้สัมผัสจากชายหนุ่มหน้าอ่อนวันนี้ ทำให้เขารู้สึกแพ้ใจอีกฝ่ายอย่างราบคาบ

ความตึงเครียดของกล้ามเนื้อผ่อนคลายลงเมื่อทำได้แต่มองแผ่นหลังเล็กๆตามหลังคนรักจากไปแล้วจึงถอนหายใจยาว ให้คนเป็นทั้งเพื่อนทั้งเลขาตบบ่าเบาๆ

“มันจบแล้ว”

เทวัญไม่ตอบแต่พยักหน้ารับช้าๆแล้วจึงใช้หลังมือปาดเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก

“เจ็บฉิบ”

“หึๆ” ทวีปอมยิ้มก่อนจะถอยออกมามองสภาพเพื่อนเต็มตา “สภาพนี้คงเข้างานไม่ได้แล้ว...ปะ...กลับบ้านกันเถอะ”

เทวัญพยักหน้าแล้วจึงออกเดิน ทิ้งให้เพื่อนจอมกะล่อนยืนส่งจูบให้กันย์อย่างกวนๆก่อนจะรีบวิ่งตามไป ปล่อยให้คนยืนมองหลังไหวๆส่งสายตาดุๆไล่ตาม

ทวีปก้มหน้าวิ่งเหยาะๆไปหาเทวัญอย่างเบิกบานใจ เพราะเขารู้ว่า วันนี้จะไม่ใช่วันสุดท้ายที่จะได้พบกับอีกฝ่าย

ปถวีก้าวยาวเร็วจนแทบจะกลายเป็นลากนทนทีไปยังรถที่จอดรออยู่ แต่เสียงใสที่รั้งเรียกขัดขึ้น ทำให้ใบหน้าฟกช้ำหันกลับไปมอง เพียงชั่วพริบตาที่เห็นว่าเป็นใคร ท่าทีไม่ใส่ใจกับอาการรีบก้าวเท้ายาวๆมากกว่าเดิมก็เรียกความสนใจให้นทนทีเอี้ยวหน้าไปดู

“พี่วี!” อรอนงค์รีบก้าวให้หลุดพ้นจากการบดบังของตัวรถคันงาม เมื่อเห็นชายหนุ่มคนที่เด้งเธอไปทำงานสาขาอื่นอย่างไม่มีปีมีขลุ่ย ส่งผลให้แผนที่วางไว้ในใจพังทลายในชั่วพริบตา แถมยังไม่รู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไรอีกต่างหาก สร้างความตกใจแกมเคืองโกรธไม่น้อย เธอจึงมางานนี้ตามคำเชิญของคุณศรีสอางค์ด้วยอยากพูดคุยเป็นการส่วนตัว เพราะที่ผ่านมาเธอติดต่อปถวีไม่ได้เลย หากแต่ปฏิกิริยาของร่างสูงทำให้เธอหน้าตึง ด้วยอีกฝ่ายไม่คิดจะสนใจทักทายเธอแม้แต่น้อย กลับรีบพาเพื่อนขึ้นรถขับจากไปซะงั้น

“พี่วี!” อรอนงค์กัดริมฝีปากตัวเองอย่างเจ็บใจ นี่เธอแพ้แม้กระทั้งคนที่ยังไม่รู้จักเลยว่าเป็นใครด้วยซ้ำ!

XXXXX


“วี...” นทนทีเดินตามการจับจูงของร่างสูงเข้าลิฟต์ขึ้นสู่ห้องชุดของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกเหมือนมีตะกั่วถ่วงอยู่ในอก ทั้งยังห่วงหน้าพะวงหลังจากการทิ้งงานแต่งงานของน้องสาวออกมากลางคัน และแผ่นหลังเบื้องหน้าที่ยังไม่ยอมพูดยอมจาตั้งแต่ขึ้นรถกลับมายังคอนโด

“วี!” ร่างโปร่งอุทานเสียงเบาเมื่อนั่งลงยังขอบเตียงได้ นิ้วมือใหญ่ก็รีบแกะหูกระต่ายพร้อมทั้งกระดุมเสื้อโยนเหวี่ยงไปคนละทิศละทางจนเหลือแต่ตัวเปล่าๆ ก่อนจะถูกกดให้นอนราบขนานไปกับที่นอนนุ่ม ท่ามกลางสายตาตื่นๆแกมสับสนร่างสูงก็ถอดเสื้อผ้าตัวเองออกแล้วตามขึ้นมาทาบทับกกกอดอย่างเอาเป็นเอาตายไม่ใสใจกับอาการบาดเจ็บที่แสดงสีสันให้เห็นชัดเจน

“นายกำลังจะทำให้ฉันเป็นบ้า” ปถวีเงยหน้าขึ้นมองคนรักด้วยแววตาสั่นไหว

แม้จะรู้สึกเหมือนได้ของในมือที่หายไปกลับคืนมา แต่เขาก็กลัวว่ามันจะเป็นเพียงกลุ่มควันอุ่นๆที่พร้อมจะจางหายไปได้ทุกเมื่อ ซึ่งเขาไม่อยากอยู่กับความรู้สึกแบบนี้ตลอดไป

“ฉันคงไม่ใช่คนที่จะทำตามใจนายได้ทุกอย่าง และฉันคงไม่ใช่พระเอกที่ยอมให้หัวใจตัวเองเจ็บช้ำแล้วยืนมองคนที่รักมีความสุขอยู่ไกลๆในมุมมืด” ปถวีพูดเหมือนเย้ยเยาะตัวเอง “ฉันมันก็คงเป็นได้แค่นี้ แล้วนายยังจะรักฉันอยู่มั้ย ยังคิดจะอยู่กับฉันอีกมั้ย...นทนที” ปถวีเอ่ยเสียงกร้าวก่อนจะซุกซบศีรษะทุยกับบ่าเล็กอย่างจำนน

“ฉันพยายามแล้วนะ ฉันพยายามแล้ว และฉันก็คงทำได้แค่นี้ แค่นี้เอง”

นทนทีที่ได้แต่มองเพดานห้องจากการกอดรัดของอีกฝ่ายเอี้ยวหน้ามองเส้นผมดำขลับ แล้วจึงรับรู้ได้ถึงน้ำตาอันเย็นเยือกเอ่อล้นออกมาจากหางตาเป็นทาง ก่อนจะเอ่ยเสียงสั่น

“รู้มั้ย...บางครั้งที่ฉันโมโหฉันเคยคิดจะไปให้พ้นจากนาย แต่ฉันไม่เคยทำได้ ” นทนทีมองอีกฝ่ายค่อยๆหันหน้ามาสบตาด้วยดวงตาแดงก่ำ “เพราะฉันรักนายไงล่ะ ถึงจะไม่เคยพูดบอกนายมาก่อนหน้านี้เลย แต่ฉันก็รักนายมาตลอด” ลำแขนเรียวเหนี่ยวรั้งร่างหนาเข้ามากอดจนแนบสนิทด้วยอาการสั่นสะท้าน พลางหลับตาลงรับรู้เพียงไออุ่นของอีกฝ่ายด้วยไม่อยากเห็นคนที่เคยมีท่าทียโสอวดดีมีสภาพเหมือนคนจนตรอกเช่นตอนนี้ มันทำให้เขารู้สึกเจ็บในโพรงอก

“ฉันอยากอยู่กับนาย แต่ขอให้เชื่อใจฉันบ้าง...ได้มั้ย เพราะสิ่งที่นายกล่าวหามันทำให้ฉันเสียใจเหลือเกิน” ร่างโปร่งขบฟันแน่นเมื่อรู้สึกตีบตันในลำคอ

“ขอโทษ...ฉันขอโทษนท” ริมฝีปากได้รูปเม้นเข้าหากันแน่นด้วยมันกำลังสั่นระริก “แต่ฉันทนไม่ได้ ทนไม่ได้ที่จะเห็นนายไปอยู่กับคนอื่น คนอื่นที่เขาคงดีกว่าฉัน ให้ในสิ่งที่นายต้องการได้มากกว่าฉัน”

“วี...” เสียงครางรอดผ่านริมฝีปากแห้งผากสีซีด ก่อนจะหลับตาข่มกลั้นความรู้สึกเจ็บปวดทรมานอันเกิดจากความกลัวของอีกฝ่ายที่สะท้อนมาถึง

ทุกอย่างมันจะจบลงตรงนี้ กับการตัดสินใจครั้งนี้

“ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”

นทนทีจบคำพูดทุกสิ่งทุกอย่างด้วยริมฝีปากตัวเองที่บรรจงกดลงบนกลุ่มผมอีกฝ่ายหนักๆ ด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นในอกตอนนี้มันยากเกินกว่าจะกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดให้ตรงกับที่ใจรู้สึกได้

ปถวียกศีรษะขึ้นมองใบหน้าขาวซีดยกยิ้มให้เขาทั้งน้ำตา แล้วรู้สึกลำคอตีบตันพูดอะไรไม่ออกเสียดื้อๆ ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าประกบจูบอีกฝ่ายราวกับเพิ่งรู้จักกัน

ลิ้นอุ่นร้อนไล้เลียดูดกลืนริมฝีปากอิ่มซ้ำไปซ้ำมา ความอบอุ่นที่ถ่ายทอดผ่านสัมผัสของร่างกายกำลังบำบัดความทุกข์โศกในใจให้ค่อยๆจางหายไปพร้อมกับอุณหภูมิของร่างกายที่สูงขึ้น มือใหญ่ลากไล้ผ่านชายโครงเข้าบีบเคล้นแก้มก้นแน่นตึง แล้วจึงแยกเรียวขาขาวเปิดทางให้นิ้วแข็งเข้าไปสัมผัสช่องทางแคบแล้วจึงนวดคลึงเบาๆ ก่อนจะดึงดันกดกายตัวเองลงในความอุ่นร้อนด้วยเกินกว่าจะระงับความรู้สึกอันพุ่งพล่านนี้ได้

“อือ...” แขนเล็กเข้ายึดเกาะลำคอหนาไว้แน่น เพื่อหวังจะช่วยพยุงร่างกายตัวเองจากการกระแทกกระทั้นของอีกฝ่ายที่โถมแรงเข้าใส่จนไหวโยกไปทั้งร่าง

“อา...” ปถวีก้มหน้าลงซุกไซร้ลำคอขาวก่อนจะขบย้ำจนเกิดเป็นรอยปื้นสีแดงเด่นชัด แล้วจึงมองใบหน้าขาวซับสีเลือดที่ตอนนี้สะท้อนต้องแสงไฟจากการผุดพรายของหยาดเหงื่อหลับตาลงรับรู้ถึงการเชื่อมโยงและตอบสนองไปพร้อมๆกับเขา

เหมือนสิ่งที่ขาดหายไปถูกเติมให้เต็ม ทำให้ร่างสูงเกิดความรู้สึกอิ่มเอิบขึ้นในใจ จากความรักความศรัทธาที่ร่างเล็กนี้ได้มอบให้กับเขา เขาจะจำไว้จนวันตาย

“วี...” เสียงร้องครางเครือพร้อมกับการกดจิกปลายนิ้วลงบนผิวเนื้อหนักๆ ทำให้ร่างสูงขยับสะโพกสอดลึกและดึงรั้งบั้นท้ายมนขึ้นรับการเสียดสีกับหน้าท้องตึงเครียด ก่อนจะเพิ่มแรงกดถี่จนรับรู้ถึงอาการสั่นสะท้านและแรงกระตุกเป็นระลอกของร่างโปร่งจึงได้ก้มลงไปสัมผัสริมฝีปากบางแผ่วพลิ้ว พลางกระแทกกายส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดให้อีกฝ่ายรับรู้

“นท” ร่างสูงพึมพำทรุดตัวลงกอดก่ายร่างโปร่ง ริมฝีปากได้รูปกดจูบขมับชื้นเหงื่อหนักๆพลางหลับตาลงอย่างอ่อนล้า ปล่อยให้เวลาเดินไปเรื่อยๆเฝ้าฟังเสียงหัวใจของกันและกันเต้นเป็นจังหวะแสดงถึงการมีชีวิต

ชีวิตที่พวกเขาต้องช่วยกันประคับประคองในวันที่ยังมีกายเนื้อให้สัมผัส ให้รับรู้ถึงหัวใจที่ยังสื่อสารกันได้

ปถวีกระชับอ้อมแขนโอบกอดร่างโปร่ง อย่างหวังจะให้ความอบอุ่นจากร่างกายอีกฝ่ายขับไล่ความรู้สึกโหวเหวในอกให้มลายหายไป เมื่อไม่อาจนึกถึงวันที่ต้องห่างหายจากกันไปก่อนเวลาอันควร แล้วต้องยกยิ้มบางเบาเมื่อรู้สึกถึงแรงกอดรัดตอบกลับมา

ความรู้สึกเป็นสุขที่เอ่อล้นบนใบหน้าคมคายแม้ในยามหลับตาทำให้นทนทีพรางพรูลมหายใจยาวก่อนจะค่อยๆหลับตาลง รับฟังเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แล้วจึงปล่อยใจปล่อยกายตัวเองเข้าสู่หวงนิทราตามอีกฝ่ายไป โดยลืมไปแล้วว่าวันนี้คือวันอะไร

และกว่าจะรู้สึกตัวตื่นก็ล่วงเลยเข้าสู่เช้าวันใหม่ มือเล็กควานหาโทรศัพท์ของตัวเองบนหัวเตียงตามความเคยชิน เมื่อพบเพียงความว่างเปล่าจึงขยับตัวลุกขึ้นสะบัดศีรษะไปมาไล่ความง่วงงุน

“ลืมไว้ที่โรงแรมนี่นา” ร่างโปร่งพึมพำบอกตัวเองแล้วจึงค่อยๆหันไปมองคนตัวใหญ่ที่ยังหลับสนิทเป็นตาย หากแต่รอยบาดแผลฟกช้ำบนใบหน้าก็ทำให้นทนทีเบ้หน้าใส่ ก่อนจะส่งเสียงเรียก

“วี” นทนทีมองคนที่ยังนอนนิ่งแล้วจึงเอื้อมมือไปแตะหน้าผากวัดอุณหภูมิ แล้วจึงระบายลมหายใจเมื่อไม่มีความร้อนส่งผ่านมาให้รู้สึกว่าเกินพอดี

คงหลับลึกเหมือนคนอดนอนมานาน สายตาคู่อ่อนโยนจึงตวัดขึ้นมองหาโทรศัพท์มือถือของอีกฝ่าย แต่ไม่เห็นจึงจัดแจงตลบผ้าน่วมขึ้นมาห่มให้ร่างสูงอย่างเบามือแล้วจึงลุกเดินออกไปยังห้องรับแขกเพื่อใช้โทรศัพท์

ทว่านทนทีต้องยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองเบาๆด้วยก่อนหน้านี้ปถวีได้เอาเครื่องโทรศัพท์ไปทิ้งกันเขาโทรออกหมดแล้ว ร่างโปร่งจึงเดินกลับไปยังห้องนอนเพื่ออาบน้ำแต่งตัวแล้วออกมายืนมองคนหลับใหลชั่วขณะ ก่อนจะก้าวเข้าไปชิดขอบเตียงแล้วก้มหน้าลงแนบริมฝีปากตัวเองกับหน้าผากอีกฝ่ายเชื่องช้า ราวกับจะให้ประทับไว้ในใจตลอดกาล

ร่างโปร่งดึงตัวขึ้นแล้วหันหลังไปหยิบกระดาษเขียนข้อความอะไรบางอย่าง แล้วนำไปวางที่หัวเตียงก่อนจะค่อยๆพาตัวเองออกไปจากห้องพักอย่างเงียบเชียบ ไม่ให้คนที่นอนหลับใหลได้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมายับยั้งการจากไป
.
.
.
.
.
ร่างโปร่งบางลงจากรถแท็กซี่พลางมองลอดรั้วเข้าไปยังตัวบ้านที่ตนเองเคยมาชั่วอึดใจ แล้วจึงตรงเข้าไปกดกริ่งเมื่อเห็นรถยนต์คันงามของเจ้าของบ้านจอดนิ่งสนิทอยู่ในโรงรถ หัวคิ้วได้รูปย่นเข้าหากันเมื่อไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆจากคนในบ้านจึงกดกริ่งซ้ำ และรออยู่อีกซักพักจึงเห็นประตูบ้านขยับเคลื่อนเปิดออก

“คุณเทวัญ!

“นท!”


XXXXX
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-12 (07/10/09)
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 07-10-2009 23:12:09
แสงเจิดจ้าลอดผ่านผ้าม่านหนาหนักเข้ามาสาดส่องให้ห้องทั้งห้องสว่างไสว และปลุกให้คนหลับใหลตื่นขึ้นมารับรู้ความว่างเปล่าข้างกาย

“อืม...” ความเจ็บร้าวทั้งบนใบหน้าและตามลำตัวทำให้ปถวีร้องครางพลางหรี่ตามองนาฬิกาตั้งโต๊ะข้างเตียงที่บอกเวลาใกล้เที่ยง ก่อนจะพลิกตัวกลับมองหาคนรักที่ตอนนี้ไม่อยู่ให้เห็นบนเตียง ร่างสูงจึงนอนนิ่งพยายามเงี่ยหูสดับรับฟังเสียงการเคลื่อนไหวรอบกาย

ในห้องน้ำ...ไม่มี

ห้องครัว...ไม่มี

ห้องรับแขก...ก็ไม่มี ไม่มีสัญญาณอะไรบ่งบอกให้รู้ว่านทนทียังอยู่ในห้องนี้เลย

เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่งก่อนที่ร่างสูงจะดีดตัวขึ้นมองไปรอบๆ

“นท...” ปถวียันกายลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะชะงักหยุดด้วยเจ็บยอกตามลำตัว มือใหญ่หยิบคว้าผ้าห่มขึ้นมาพันรอบเอวลวกๆแล้วจึงออกเดินสำรวจห้องตัวเองด้วยใจระทึก

“นท!” ร่างสูงส่งเสียงเรียกซ้ำหากแต่ไม่มีเสียงขานรับจากคนที่เขามองหา ความกระวนกระวายจึงเกิดขึ้นในใจ และทำให้ใบหน้าที่เริ่มสว่างไสวซีดลงเรื่อยๆ ปถวีหยิบเสื้อคลุมที่พาดบนพนักเก้าอี้ขึ้นมาสวมแทนผ้าห่ม แล้วจึงเดินออกไปยังห้องรับแขกอันว่างเปล่าไร้ผู้คน

ร่างสูงทิ้งตัวลงบนโซฟารับแขกพลางยกมือขึ้นกุมหน้าผากชื้นเหงื่อเย็นเฉียบ เขาเข้าใจอะไรผิดไปงั้นเหรอ...ศีรษะทุยเงยหงายมองเพดานห้องแล้วหลับตาลงรับรู้ความรู้สึกผิดหวังที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาทางปลายเท้าขึ้นมายังลำคอ

“แกร็ก!”

เสียงลูกบิดประตูหน้าห้องทำให้ปถวีสะดุ้งยกศีรษะขึ้นมองบานประตูค่อยๆเปิดอ้าออก ร่างโปร่งบางที่เขาตามหาเมื่อครู่เข้ามาอยู่ในกรอบสายตา เจ้าตัวที่สองมือยังถือถุงอะไรต่อมิอะไรให้พะรุงพะรังหันหลังปิดประตู แล้วจึงหันกลับมาสบตาร่างสูงที่นั่งนิ่งเงียบ คิ้วเรียวจึงเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ

“เพิ่งตื่นเหรอ” นทนทีวางถุงพลาสติกบนโต๊ะกระจก แล้วจึงขยับเข้าหาคนที่เอาแต่จ้องมอง “เป็นอะไร...เจ็บแผลเหรอ” มือเล็กเอื้อมไปสัมผัสแตะรอยช้ำบนใบหน้า พลางกวาดตามองสารรูปอีกฝ่าย “หือ...ยังไม่ได้อาบน้ำอีกเหรอ”
ไม่มีคำตอบจากร่างสูง นทนทีจึงทรุดกายนั่งลงเคียงข้างมองใบหน้าซีดขาวอย่างชั่งใจชั่วขณะ

“เป็นอะไร” นทนทีทอดเสียงถามอย่างนุ่มนวล

“ไป...ไปไหนมาเหรอ...ฉัน...ฉันตื่นมาไม่เห็น...นึกว่า...นายไปแล้ว” คำพูดตะกุกตะกักของปถวีทำให้นทนทีถอนใจยาวแล้วจึงคว้ามือใหญ่ขึ้นมากอบกุม

“ไม่ได้อ่านโน้ตบนหัวเตียงหรอกเหรอ” นทนทีมองอีกฝ่ายส่ายหน้าตอบ แล้วจึงบีบมือใหญ่เบาๆ “ฉันไปหาคุณเทวัญมา” พูดจบร่างโปร่งก็รับรู้ได้ถึงแรงกระตุกของอีกฝ่าย จึงนิ่งเงียบรอดูปฏิกิริยา

มือใหญ่กำเข้าหากันแน่นจนเห็นข้อนิ้วขาวปูดโปน ก่อนจะค่อยๆคลายออกแล้วเอ่ยปากถามด้วยเสียงแหบแห้ง

“ไปทำไมหรือ” ปถวีมองร่างโปร่งด้วยแววตาสั่นไหว เขาไม่ต้องการเป็นคนที่ทำให้นทนทีทุกข์ใจเสียเองอีกแล้ว

นทนทีมองคนรักเสียงอ่อนพลางโน้มกายเข้าหา แล้วกดริมฝีปากเข้ากับแก้มสากเบาๆ “ไปลาออกแล้วก็หางานทำน่ะสิ”

คำตอบของนทนทีทำให้ปถวีผงะกวาดตามองใบหน้าขาวนวลอย่างสงสัย “ก็...ก็นาย”

“ถึงฉันไม่ได้ไปทำงานที่นั่นแล้ว แต่ฉันยังไม่ได้ส่งใบลาออกให้คุณเทวัญเป็นเรื่องเป็นราวเลยนะ อีกอย่างฉันอยากไปจัดการเรื่องทุนที่ฉันผิดสัญญากับบริษัทด้วย”

“แต่ฉันให้กันย์เดินเรื่องแทนแล้วนี่”

“ฉันไม่เซ็นมอบอำนาจแล้วใครจะเดินเรื่องแทนได้ละ” นทนทีเอ่ยยิ้มๆ หากแต่อีกฝ่ายก็นึกค้านอยู่ในใจ

แล้วทำไมไม่ปลุกฉันล่ะ ร่างสูงเม้นปาก แต่ก็ไม่คิดจะเอ่ยออกมาให้ขัดเคืองใจอีกฝ่าย

“แล้วทางนั้นเขาว่ายังไง”

“ก็รับรู้เป็นทางการแล้ว ส่วนเรื่องสัญญาข้อผูกพันต่างๆเขาจะแจ้งให้ทราบวันหลัง” นทนทีบอกผ่านๆก่อนเอ่ยเสียงอ่อน “ขอโทษที่ไม่ได้บอก เห็นหลับสนิทเลยไม่อยากกวน อีกอย่างฉันอยากบอกคุณเทวัญด้วยตัวฉันเองด้วย” ดวงตาคู่อ่อนโยนมองลึกลงไปในดวงตาคู่คมเข้มเหมือนขอความเข้าใจจากอีกฝ่าย

ปถวีไม่ตอบแต่ยกมือขึ้นโอบไหล่เล็กเข้ามาใกล้ แล้วจูบลงบนกลุ่มผมหนาหนักๆ “อืม...” มันไม่สมควรเลยที่เขาจะไประแวงคนที่ตั้งใจอยู่เคียงข้าง

ถึงวันนี้ สิ่งที่ผ่านมาสอนให้เขารู้จักคำว่าความรักของคนสองคน ไม่ใช่ของคนเพียงคนเดียว มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ถูกใจเราไปเสียทุกอย่าง และในทางกลับกัน ทุกอย่างที่เราทำก็คงไม่ถูกใจอีกฝ่ายไปเสียทุกอย่างเหมือนกัน

“แล้วที่ว่าหางานใหม่ จะไปทำที่ไหนหรือ” ปถวีกดศีรษะอีกฝ่ายลงบนบ่าตัวเองแล้วเขี่ยเส้นผมนิ่มเล่นอย่างหนักใจ ด้วยต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะตัดใจให้คนรักไปทำงานที่อื่นอีกครั้ง แต่เพราะรัก เพราะไม่อยากเห็นคนที่รักเสียใจจึงได้แต่กล้ำกลืนความเอาแต่ใจไว้แม้จะไม่มิดเลยก็ตามที

นทนทีไม่ตอบแต่ขยับเอื้อมไปหยิบเอกสารในถุงพลาสติกบนโต๊ะออกมาคลี่ให้อีกฝ่ายดู

แค่เห็นฟอร์มบนกระดาษที่นทนทีกางให้ดูก็ทำให้ปถวีเก็บรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ เพราะมันคือฟอร์มของบริษัทสินวาณิชย์กรุ๊ป ที่เขาเป็นเจ้าของนั่นเอง

“ตอนฝึกงานทำไม่ดีไว้เยอะ ไม่รู้เขาจะรับเข้าบรรจุมั้ยเนอะ” นทนทีแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้พูด ในขณะที่อีกฝ่ายก็กระชับลำแขนดึงร่างโปร่งขึ้นมานั่งคร่อมบนตัก

“จะเอาตำแหน่งประธานบริษัทเลยมั้ยล่ะฮึ!”

“ไม่เอา...มีตำแหน่งอื่นอีกมั้ยล่ะ”

“อืม...งั้นก็ตำแหน่งเลขาประธานบริษัทดีมั้ย”

“ไม่ดี...เพราะประธานคนนี้ชอบมาวุ่นวายกับลูกน้อง”

“หือ?...แต่เหลือแค่ตำแหน่งนี้ตำแหน่งเดียวนะ” ปถวีเลิกคิ้วขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์แต่ไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบ ซึ่งก็ทำให้นทนทีหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคงเดาออกว่าเขาจะขอไปทำงานในส่วนไหนของบริษัท ต่อให้บังคับยังไงเขาก็ต้องหาเรื่องเฉไฉไปจนได้

“แล้วไปเอามาหรือ” ปถวีเอ่ยถามเข้าเรื่อง

“เปล่า คุณกันย์เอามาให้เมื่อก่อนขึ้นมานี่เอง”

“หือ”

“ก็ก่อนไปฉันโทรหาคุณกันย์ถามเรื่องขอผูกพันที่บริษัทเก่าว่าเขาเดินเรื่องไปถึงไหนแล้ว เลยถามข้อมูลเรื่องนี้ด้วย คุณกันย์เลยไปเอาใบสมัครที่ฝ่ายบุคคลมาให้”
ปถวีพยักหน้ารับรู้ความฉลาดรวดเร็วของเลขาอย่างพอใจ ก่อนจะดึงตัวคนรักเข้ามากอดแล้วประกบจูบหนักหน่วง หากแต่ความเจ็บแปลบที่ปากทำให้ต้องผละออกทำหน้าเบ้ เมื่อคืนไม่ยักกะเจ็บนะ

มือใหญ่ลูบใบหน้าตัวเองเบาๆแล้วจึงมองคนรักด้วยอาการเหมือนคนเพิ่งนึกอะไรออก “แล้วงานแต่งงานเป็นยังไงบ้าง?”

“ก็เรียบร้อยดี แต่ตอนนายโทรไปหาแม่นายช่วยบอกว่าทะเลาะกับคนเมาจนต้องหลบออกจากงานไปก็แล้วกัน จะได้เหมือนๆกัน”

“หือ?”

“ไม่หือละ เมื่อเช้าฉันโทรไปหาแม่ แม่ร้องไห้แล้วก็วุ่นวายกันใหญ่เลย เลยต้องโกหก ดีนะที่โทรไปหาก่อน ไม่งั้นพวกแม่ต้องไปแจ้งความคนหายแน่ๆ”

ปถวีนึกถึงหน้ามารดาตัวเองแล้วให้เย็นสันหลังวาบๆ นี่ถ้าแม่รู้ว่าหายตัวไปจากงานเพราะอะไรเป็นได้ถูกตีซ้ำ ทางที่ดีก็คงต้องทำตามอย่างที่อีกฝ่ายบอกเป็นเจ็บตัวน้อยที่สุด ร่างสูงจึงพยักหน้าตอบรับแล้วทิ้งน้ำหนักตัวลงโอบกอดร่างโปร่งไว้หลวมๆ

“ไม่หิวเหรอ จะเที่ยงแล้วนะ” นทนทีวาดวงแขนกอดกลับด้วยความรู้สึกโปร่งสบาย อย่างคนหายใจได้ทั่วท้องในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา

“หิว”

“งั้นไปอาบน้ำสิ แล้วจะได้มากินข้าว ฉันซื้อมาเยอะเลย เออ! จะได้ทายาด้วย”

ปถวีเงยหน้ามองแล้วจึงแนบหน้าผากตัวเองกับอีกฝ่าย ด้วยความรู้สึกที่อยากจะบอกให้คนที่เขารักรับรู้ถึงความรู้สึก ไม่ว่าจะเคยพูดมาซักกี่ครั้ง เขาก็อยากให้อีกฝ่ายฟัง

“ฉันรักนาย”

ดวงตาคู่อ่อนโยนสั่นไหวก่อนจะพยักหน้าตอบ “ฉันก็รักนายนะ”

ปถวีรับฟังด้วยหัวใจพองโต แต่ก็ต้องกลั้นใจพูดเรื่องที่ไม่อยากจะเอ่ย

“เรื่องน้องอรฉัน...” ไม่ทันให้พูดจบ นทนทีก็แนบริมฝีปากตัวเองทาบปิดปากอีกฝ่าย ให้ร่างสูงแปลกใจแต่ก็ตอบรับโดยดี และเมื่อผละออกห่างร่างเล็กจึงได้พูดออกมาเบาๆ

“ฉันเข้าใจแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรแล้ววี” นทนทีหลับตาลง ในตอนนี้เขาไม่ต้องการคำอธิบายอะไรอีกแล้ว ด้วยการกระทำของอีกฝ่ายมันชี้ชัดว่าเลือกเขา ให้เขาเป็นคนสำคัญมาตั้งแต่แรก เพียงแต่พวกเขาไม่เคยได้หันหน้าคุยกันอย่างจริงๆจังๆ จนเกือบต้องลาจากกันไปด้วยความไม่เข้าใจ

ร่างสูงพยักหน้ารับรู้อย่างใจชื้นก่อนจะเอ่ยถาม

“ยังอยากไปเรียนต่ออยู่มั้ย...”

“...ก็นะ แต่คงไม่ใช่ตอนนี้หรอก”

“อยากไปเมื่อไรบอกนะ ฉันเป็นห่วง”

นทนทีลืมตาขึ้นมองอีกฝ่ายยิ้มๆ “ยังไม่ทันไรก็ไล่กันซะแล้วเหรอ”

“ฮือ...” ปถวีพ่นลมหายใจเสียงดังอย่างขัดใจเล็กๆ

“ใครบอก แต่ถ้าอยากไปก็จะไม่ขัด”

“จริง?” นทนทีย้อนเสียงสูง หากแต่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกยังไง เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อพวกเขาได้ตัดสินใจร่วมกันแล้ว

“เดี๋ยวเหอะ!” ปถวีขย้ำแก้มก้นอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยวเมื่อรู้สึกว่าโดนแกล้ง จนร่างโปร่งนิ้วหน้าแต่ก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง

“ไปอาบน้ำเลย”

“อาบด้วยกัน”

“ไม่”

ปถวีไม่ต่อล้อต่อเถียงหากแต่ยกอีกฝ่ายจนตัวลอยพาไปยังห้องน้ำเสียดื้อๆ

เสียงหัวเราะต่อกระซิกดังลอดออกมาเป็นระยะๆ จากภายในห้องกว้างที่ตอนนี้สว่างไสวไปด้วยแสงเจิดจ้าที่สาดส่องเข้ามาจากทางระเบียง คล้ายจะต้อนรับกับความรักความเข้าใจที่คนทั้งสองมีให้กัน


XXXXX


ซองเอกสารถูกวางลงตรงหน้าปถวี ทำให้เจ้าตัวต้องเงยหน้ามองเลขาอย่างแปลกใจ ด้วยซองดังกล่าวยังไม่ได้ถูกเปิดออก
“อะไร”

“เอกสารจากบริษัท SIRI INTER ENTERTAINMENT GROUP” ส่งตรงมาจากเลขาคุณเทวัญสดๆร้อนๆเมื่อครู่ ประโยคท้ายกันย์ได้แต่นึกต่อให้ในใจด้วยกว่าจะไล่ทวีปกลับไปได้ก็เล่าเอาเหนื่อย

ปถวีมองซองเอกสารแล้วพยักหน้ารับรู้พลางชั่งใจกับซองเอกสารที่เห็น ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง

“นทเป็นยังไงบ้าง”

“เห็นว่าจะตามหัวหน้าฝ่ายไปพบลูกค้าบ่ายนี้น่ะครับ”

“เหรอ...แล้วจะกลับเข้ามามั้ย”

“ไม่ทราบครับ” คำตอบของกันย์ทำให้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ก่อนจะไล่เลขาหน้าตายออกไปจากห้องแล้วกดโทรศัพท์หาคนรักทันที

“จะกลับเข้ามามั้ย” ปถวีกรอกเสียงใส่โทรศัพท์

“ไม่เหรอ...งั้นให้รถไปรอรับนะ” ร่างสูงเงียบเสียงไปชั่วครู่แล้วจึงวางสายเพ่งมองโทรศัพท์อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“ดื้อ!” ปถวีบ่นคนรักที่เขาไม่สามารถโน้มน้าวให้มาทำงานเป็นเลขาหน้าห้องได้ จึงจำใจให้ไปทำงานที่ฝ่ายกฎหมายของบริษัทตามที่อีกฝ่ายร้องขอ

ร่างสูงจึงหันกลับมาสนใจซองเอกสารที่จ่าหน้าซองส่งตรงถึงเขาอีกครั้ง มือใหญ่ฉีกซองเอกสารออกอย่างไม่คิดจะปราณี แล้วจึงหยิบเอกสารภายในขึ้นมาอ่าน

ปถวีกวาดตาไล่อ่านข้อความตามเอกสารอย่างใช้ความคิดก่อนจะหรี่ตาขมวดคิ้วเข้าหากันอีกรอบ ด้วยข้อความในเอกสารคือการให้ชดใช้ทุนการศึกษาทั้งหมดที่นทนทีได้ทำสัญญาไว้หากผิดเงื่อนไข มันก็ไม่น่าแปลกใจอะไรในเมื่อผิดสัญญาก็จะถูกปรับเป็นจำนวนเงินกี่เท่าของเงินที่ยืมไปตามแต่ตกลง ซึ่งเขาก็เต็มใจจะชดใช้ให้แทนอยู่แล้ว หากแต่เอกสารหมายเหตุที่แนบท้ายสัญญามาด้วยทำให้ปถวีนึกฉุน ด้วยมันเป็นเงินค่าปรับค่าชดใช้ความเสียหายที่อีกฝ่ายหาเหตุมาใส่ไว้ ราวกับจะแกล้ง

เงินชดใช้ค่าเสียหายเนื่องจากไม่แจ้งให้บริษัททราบล่วงหน้าก่อนลาออก6เดือน

ค่าปรับผิดสัญญาการกู้ยืมทุนการศึกษาครั้งที่1

ค่าปรับผิดสัญญาการกู้ยืมทุนการศึกษาครั้งที่2

ค่าดำเนินการติดตามเรื่อง

ค่าเอกสารการทำสัญญา และค่าอะไรต่อมิอะไรที่อีกฝ่ายจะสามารถยัดใส่เข้ามาได้ตามมาเป็นห่างว่าว

“ไอ้บ้า” ปถวีสบถแล้วจึงแกะซองจดหมายเล็กๆที่แนบติดมาด้วยออกอ่าน

“ถึงคุณปถวี เงินค่าปรับในส่วนที่สอง บริษัทจะดำเนินการบริจาคมอบให้เป็นทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนขาดแคลนต่อไป จาก เทวัญ...ไอ้บ้าเอ๊ย!” ปถวีสบถอีกรอบก่อนจะขย้ำกระดาษปาส่งๆไปให้ไกลตัว

“จะเรียกมากกว่านี้ฉันก็จ่ายได้วะ”

ร่างสูงบ่นอย่างหัวเสียเหมือนถูกอีกฝ่ายท้าทาย เพราะถ้าเขาเอาสัญญาทั้งหมดไปให้นทนทีดูเมื่อไรเป็นต้องได้เรื่อง ด้วยเจ้าตัวคงจะรู้สึกผิดแล้วก็วิ่งลอกหางานพิเศษทำเพิ่ม หรือไม่ก็อาจจะขายที่ขายทางใช้หนี้รึก็ไม่รู้ ซึ่งเขาไม่ทำแบบนั้นแน่ๆและอีกฝ่ายก็คงรู้ดีอยู่แล้วถึงได้ทำออกมาในรูปแบบนี้

“เจ้าเล่ห์นักนะไอ้เฒ่า!”

---END---

เย้ๆๆๆ จบเเล้ว
ตาลายมากๆ
ไม่ค่อยได้ตรวจเท่าไร ถ้าตรงไหนผิด อ่านเเล้วงงๆ บอกได้นะ

ขอบคุณทุกคอมเมนท์ค่ะ

เดี่ยวเจอกัน พรุ่งนี้ ตอนพิเศษสองตอน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-19 (07/10/09) จบภาคสอง 555+
เริ่มหัวข้อโดย: ปี้ปี้ปี้~PalmY ที่ 07-10-2009 23:45:22
ไม่ผ่าน

จบไมเคลีย

ชะนีอรยังอยู่

คุณแม่ยังลากน้อง นี มาเอี่ยว รับมิได้

T^T

แล้วก็คำผิดเน้อเจ๊ (เรียกเจ๊ได้ปะ ปิ้งๆ)

เดือนใจ >> เดือดใจ ดิ T^T

ที่เหลือ ลืมหมดละ ๕๕๕
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-19 (07/10/09) จบภาคสอง 555+
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 08-10-2009 00:24:45
มาตามคำขอจริงๆ ขอจบได้จบ 5555

ดีใจที่ลงเอยกันได้ทั้งสองคู่เลยอะ ชอบมากๆๆๆๆๆ

รอดูตอนพิเศษจ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-19 (07/10/09) จบภาคสอง 555+
เริ่มหัวข้อโดย: Chanta ที่ 08-10-2009 01:20:22
 :z3:

ห๋า.....จบแล้วเหรอ.....

 :serius2:

กำลังลุ้นอยู่เลย....
ว่าจะจบยังไง....

 :a5:

มึนเลย.....

ขอปิดคอมแล้วกลับมาใหม่.....

เผือว่าฝันไป.... :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-19 (07/10/09) จบภาคสอง 555+
เริ่มหัวข้อโดย: LoveNineTeen ที่ 08-10-2009 01:52:37
ขอบคุณมากค่ะที่มาลงจนจบ แต่....ไม่เคลียร์อย่างแรง

ยัยอร..จะยอมรามือไหม

คุณพ่อ คุณแม่..จะยอมรับไหม

ยังเป็นการคบกันแบบปิดบังอยู่หรือ..น่าสงสาร



 
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-19 (07/10/09) จบภาคสอง 555+
เริ่มหัวข้อโดย: Papoonn ที่ 08-10-2009 07:16:49
ไม่เคลียร์ ๆๆๆๆๆ
คือแบบจบแบบนี้ 
แล้วพ่อแม่ น้องอร 
คนอื่น ๆ ว่าไง

งงงงงงงงงง   !
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-19 (07/10/09) จบภาคสอง 555+
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 08-10-2009 09:48:11
จบแล้วหรออออออออออออ???
เหมือนมันยังค้างๆคาๆยังไงไม่รู้อ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-19 (07/10/09) จบภาคสอง 555+
เริ่มหัวข้อโดย: kunkai ที่ 08-10-2009 10:49:42
อ่านจบแล้วค้าบ

 :pig4:ค้าบ


แต่    จะรอตอนพิเศษนะค้าบ  :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-19 (07/10/09) จบภาคสอง 555+
เริ่มหัวข้อโดย: thaitanoi ที่ 08-10-2009 11:45:25
จบจริงเหรอครับเนี่ย แต่ยังไงก็ได้อยู่ด้วยกันแล้วเพียง แต่พ่อกับแม่ยังไม่รับรู้ แล้วอรล่ะ  ถ้ามีตอนพิเศษก็มาลงอีกนะครับ ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-19 (07/10/09) จบภาคสอง 555+
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 08-10-2009 13:15:30
เย้ๆๆๆ เข้าใจกันแล้ว ค่อยหายใจได้โล่งหน่อยที่เรื่องมันจบแฮปปี้ 
แต่น่าเสียดายที่ยังต้องปิดเรื่องบอกคนในครอบครัวไม่ได้นี่ดิ ไม่งั้นสองคู่ชู้ชื่น พี่ได้พี่ น้องได้น้อง ฮิ้ววววว

ปล. อยาก + ให้คนโพสต์สัก 10 คะแนน ข้อหาคนอ่านขอ คนโพสต์จัดให้ กรี๊ดดดด สะใจมาก  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-19 (07/10/09) จบภาคสอง 555+
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 08-10-2009 15:21:08
 :pig4: 

มีต่ออีกหรอป่าวครับ

รู้สึกว่ายังไม่เคลียนะครับ

 :z2:    :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-19 (07/10/09) จบภาคสอง 555+
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 08-10-2009 17:13:36
^
^
^
^
คุณน้องทุกท่าน มันจบเเล้วอะ :เฮ้อ:
คุณพี่ตาลายมากเมื่อคืน บ้าพลังเกินไป
เเละขอโทษสำหรับคำผิด

ส่วนเรื่องค้างเเละงง
ไว้จะให้พี่ sake เค้ามาเคลียร์เอง 555+ :z2:
อาจจะมีตอนพิเศษมาต่อก็ได้ ว้าวๆ

เเต่ตอนเจี๊ยบอ่านมันจะว่าค้างก็ไม่ค้างนะ จะว่าค้างก็ค้าง(รายของมึงวะ)

เอ่อ... เท่าที่เข้าใจ(เอง)เเละจิ้นต่อเนี่ย คุณหญิงเเม่ก็ถือว่าเชื่อเเละรักลูกอะนะ เเบบว่าตามใจเรื่องคนรัก
ส่วนอีน้องอร จงไปหาคนโสดเถอะ เเละเค้าก็ยอมเเพ้ไปเเล้วเน้อ

เดี่ยวคืนนี้มาต่อตอนพิเศษ 2 ตอน คู่ไผ่-วิช  :haun4:

ปล. ขอบคุณทุกคนค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-19 (07/10/09) จบภาคสอง 555+
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 08-10-2009 18:22:52
ยังนานนะค่ะ ดิฉันจะรอ

//ปูเสื่อกินขนมรออ่าน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" ภาค 2 +++ By Sake ตอนที่ 9-19 (07/10/09) จบภาคสอง 555+
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 08-10-2009 22:08:53
มารอตอนพิเศษด้วยคนค้าบบบบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 08-10-2009 22:31:01
Untitle ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้กัน

Part I


เสียงคลื่นซัดซาดเข้าหาพื้นทรายขาวดังครืนๆสอดแทรกเข้ามาภายในห้องโถงตอนรับแขกและยังเป็นจุดลงทะเบียนเข้าพักของบรรดาผู้ใช้บริการในรีสอร์ท พร้อมทั้งให้บริการเรือนำเที่ยวและสปา หากแต่เสียงพลิ้วแผ่วฟังรื่นหูอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันกลับไม่ทำให้คนหน้าขาวหลับตาลงซึมซับความไพเราะที่ธรรมชาติได้บรรจงขับกล่อมอย่างวันก่อน...หรือวันก่อนโน้น...เอ?

ร่างโปร่งเพรียวบางดูจะตั้งอกตั้งใจกระแทกนิ้วเรียวยาวลงบนแป้นเครื่องคิดเลขแบบไม่ยั้ง แต่สายตากลับจับจ้องไปยังร่างสูงใหญ่ผิวคล้ำแดดยืนแนะนำบริการของรีสอร์ทให้กับนักท่องเที่ยวสาวๆอย่างคล่องปากพร้อมกับรอยยิ้มประดับบนใบหน้าชนิดที่ใครเห็นเป็นต้องเคลิ้มไปตามๆกัน

เออ! เป็นเจ้าของดีๆไม่ชอบ ชอบทำตัวเป็นพนักงาน ไผ่คิดค่อนขอดประวิชอยู่ในใจขณะตรวจสอบบัญชีกับเจ้าหน้าที่รีสอร์ท สายตาคู่สดใสร่าเริงอยู่เป็นนิจขณะนี้กลับขุ่นมัวเห็นอะไรขวางหูขวางตาไปซะหมด ได้แต่มองอาฆาตคนตัวโตไม่รู้เรื่องรู้ราวระบายความอึดอัด ก็จะไม่ให้รู้สึกได้ยังไงในเมื่อเขาต้องเห็นเหตุการณ์แบบนี้เกือบทุกวัน!

มาตรวจบัญชีตรงนี้บ้างดิ เดี๋ยวฉันจะไปต้อนรับแม่สาวๆ แกล้งโง่พวกนั้นเอง เห็นถามซ้ำๆซากๆอยู่นั่นละ ไปยังไงคะ ไปทางไหนคะ ไกลมั้ยคะ กลัวหลงจังเลยค่ะ แม่เจ้าประคุณเอ๊ย! แล้วพวกหล่อนมาถึงนี่กันได้ยังไงเนี่ย ไม่ขับรถหลงเข้าไปในพม่ามันซะเลยล่ะ...

ริมฝีปากสีสดขมุบขมิบไปกระแทกแป้นเครื่องคิดเลขไปจนเจ้าหน้าที่หญิงสูงวัยออกอาการใจสั่นหวิวๆด้วยกลัวใจคนตัวเล็กจะยกโต๊ะทุ่มระบายอารมณ์ตึงเครียดที่เธอเองก็ไม่รู้สาเหตุ รู้แต่ว่าหากคนตัวเล็กนี้โมโหเป็นฟืนเป็นไฟวันไหน วันนั้นเจ้าหน้าที่เตรียมตัวหนาวสันหลังได้ เพราะคนหน้าขาวนี้จะกลายเป็นสายฟ้าที่พร้อมจะผ่าเปรี้ยงๆกับใครก็ตามที่ทำงานไม่ได้ดังใจคุณ แม้กระทั่งเจ้าของรีสอร์ทแสนใจดีของเธอก็ไม่ว่างเว้นโดนหางเลขไปด้วย...หรือจะโดนมากว่าใครเพื่อน?

ความรู้สึกเหมือนมีคนจับจ้องทำให้ประวิชกวาดสายตามองและฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นร่างโปร่งบางของไผ่ยืนเคาะเครื่องคิดเลขที่โต๊ะใกล้ๆ แต่ศีรษะเล็กทุยกลับก้มลงมองเอกสารตรงหน้าเหมือนไม่เห็น ร่างสูงจึงหันกลับไปใส่ใจลูกค้าที่กำลังสนใจโปรแกรมทัวร์ที่เขานำเสนอต่อ ไม่ได้รู้สึกถึงเงามืดทะมึนคล้ายฝนตั้งเค้า และกำลังจะตกอีกไม่นานนี้!

ร่างสูงจัดส่งบรรดาสาวๆขึ้นรถตู้ที่มีไว้บริการตามโปรแกรมทัวร์ของรีสอร์ทด้วยรอยยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธการร่วมเดินทางตามที่หญิงสาวนางหนึ่งเสนอขึ้นดังออกมาจากในรถตู้ ซึ่งมันไม่ใช่คำชวนครั้งแรกของพวกเธอ แต่เขาก็ยังปฏิเสธอย่างสุภาพเช่นทุกครั้งก่อนจะเลื่อนปิดประตูรถ พร้อมกับโบกไม้โบกมือให้พวกเธอเที่ยวกันให้สนุก แล้วจึงเดินกลับเข้าไปภายในห้องโถงรับแขกตรงดิ่งไปหาร่างบางที่ยังมีสีหน้าคร่ำเครียดไม่จาง

“ปะ...ไปทานข้าวกัน บ่ายกว่าแล้ว” ร่างสูงชะโงกหน้าเข้าไปใกล้คนทำงานทั้งสองคน ก่อนจะหันไปยิ้มให้เจ้าหน้าที่หญิงอย่างคนคุ้นเคย

“...ยังไม่เสร็จ” คำตอบสั่นกุดแถมหน้าตายังปั้นแต่งให้ดูเอางานเอาการผิดปกติ ทำให้ประวิชพยักหน้าอย่างซื่อๆ

“พอก่อนก็ได้นี่ เดี๋ยวค่อยมาทำต่อ คนอื่นเขาทานข้าวกันหมดแล้วเหลือแต่เรานี่ล่ะ ป่านนี้กับข้าวที่พนักงานเขายกไปไว้ให้ที่บ้านเย็นชืดหมดแล้ว” ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มบางมองคนตัวเล็กตั้งหน้าตั้งตาทำงาน

ก็เพราะใครกันฟะ! อุตส่าห์ออกมารอจะได้ไปกินข้าวด้วยกันตั้งแต่ยังไม่เที่ยง ก็เห็นยังยิ้มระริกระรี้กับแม่พวกสาวๆจนลืมกินลืมเวลาเลยนี่ ได้พวกสาวๆยกยอกันจนอิ่มแล้วละมั้ง ไม่ต้องกงต้องกินมันแล้วข้าวน่ะ...ไผ่ตวัดสายตามองร่างสูงนิดแล้วจึงแสร้งก้มหน้าลงไปถามเจ้าหน้าที่ให้อีกฝ่ายรอ

หากแต่ร่างสูงยังคงยืนมองอย่างสงบอยู่สักพักแล้วจึงเอ่ยเสียงเบาให้ได้ยินเพียงสองคน

“งั้นฉันไปรอที่บ้านนะ รีบตามไปล่ะ”

ไผ่พยักหน้ารับหงึกๆแต่ไม่คิดจะทำตามที่อีกฝ่ายบอก ด้วยเจ้าตัวลากยาวเป็นชั่วโมงกว่าจะหันหลังให้เจ้าหน้าที่ได้ และเท้าเล็กไม่เร่งรีบสับก้าวให้ไปถึงที่ๆร่างสูงรออยู่แม้ว่าท้องตัวเองจะร้องโครกครากอยู่ก็ตามที

ไอ้อาการแบบนี้เขาเรียกว่างอน! ถึงจะรู้ตัวดีก็เถอะนะ

บ้านหลังหย่อมมุงด้วยหญ้าคาขนาดสองห้องนอนเล็กๆแยกตัวออกมาจากรีสอร์ทคึกคักเข้ามาตั้งอยู่กลางต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น เป็นสถานที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่กันสองคนแทนห้องพักหรูหราในรีสอร์ท เพราะอยากให้เป็นสถานที่ส่วนตัวและพักผ่อนจากการงาน แต่ก็มีเจ้าหน้าที่มาดูแลทำความสะอาดอยู่เนื่องๆ ด้วยเจ้าคนตัวใหญ่ชอบทำเองซะมากกว่า

ทำเองไม่ว่า แต่อย่าลากเขาไปทำด้วยได้มั้ย... คนหน้าขาวขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะออกแรงผลักประตูเข้าไปภายในบ้าน สายลมเย็นปะทะผ่านร่างกายให้กล้ามเนื้อตึงเครียดคลายลงอย่างไม่รู้ตัว สายตากวาดมองหาร่างสูงที่ควรจะนั่งอยู่ที่โต๊ะทานข้าวแต่กลับไม่มี จึงไล่มองหาจนหยุดอยู่ที่โซฟาตัวยาวตั้งติดหน้าต่าง ให้สายลมอ่อนโลมไล้ผิวกายอย่างเงียบเชียบ ศีรษะคนขี้โมโหหันกลับไปยังโต๊ะอาหารที่ยังคงรอนิ่งไม่มีการเว้าแหว่งจากการตักทาน ทำให้ร่างโปร่งบางค่อยๆหย่อนตัวลงบนพื้นแล้วเท้าคางมองใบหน้าสีเข้มหลับบนโซฟา

แม้จะรู้ว่าทำตัวเหมือนภรรยาขี้โมโหขี้วีน แต่ก็ไม่อาจข่มใจให้สงบได้ ในเมื่อรู้อยู่กับใจว่าไอ้หมอนี่มันไม่ใช่เกย์มาแต่เกิดอย่างเขา แล้วมามีผู้หญิงล้อมหน้าล้อมหลังทุกวันแบบนี้มันจะไม่หวั่นไหวกันบ้างเชียวเหรอ

คนตัวเล็กพ่นลมออกทางจมูกอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วจึงหันหลังพิงโซฟามองไปทางโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารวางไว้พร้อมสรรพแต่กลับไม่เหลือความอยากเหมือนตอนมา ศีรษะทุยก้มซบลงบนเข่าตั้งชันอย่างครุ่นคิด

แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้แม่สาวๆพวกนั้นได้ละ หน้าอกก็ไม่มี เนื้อตัวก็ไม่ได้นุ่มนิ่ม แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายรักและห่วงเขามากแค่ไหน แต่เขาก็ยังอยากได้ในสิ่งที่มันสัมผัสได้ด้วยสองมือเปล่า เขาจะโลภเกินไปมั้ยนะที่ต้องการการสัมผัสอย่างรุ่มร้อนมากกว่าการนอนกอดอย่างทะนุถนอมเช่นทุกวันนี้ที่...

กอดอย่างเดียวจริงๆ!

“อะ!” เสียงร้องตกใจเมื่ออยู่ๆคนตัวใหญ่ก็ลุกขึ้นมาคว้าไหล่เล็กเข้าไปโอบกอด

“งอนอะไรอีกล่ะ เห็นทำหน้าเป็นตูด หึๆ” ประวิชหัวเราะลงคอยิ่งไปกระตุ้นต่อมตบะที่มีอยู่น้อยนิดให้แตกกระจาย

“ไม่ได้เป็นอะไร ปล่อย! ไปกินข้าวได้แล้ว งานมันยังไม่เสร็จมาหิ้วท้องรอทำไม”

เห็นท่าทางตะบึงตะบอนของร่างเล็ก คนตัวใหญ่ก็ยิ่งต้องกลั้นหัวเราะด้วยกลัวจะไปทำให้โมโหมากกว่าเดิม ซึ่งก็มีอยู่เรื่องเดียวล่ะ

คนขี้หึง!

“ไม่เอาน่ะ ไปกินด้วยกันสิ” มือใหญ่โยกไหล่อีกฝ่ายเบาๆ

“ดูสิจะบ่ายสามแล้วยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลย”

“ ใครใช้ให้รอล่ะ” เสียงพึมพำแววดังมาให้ประวิชได้ยินจนต้องถอนหายใจกับความดื้อแพ่งของอีกฝ่าย

“ไผ่...” เจ้าของชื่อเหลือบมองสายตาคู่อ่อนโยนจ้องมาก่อนจะหลุบหลบไม่กล้าสบตา ด้วยรู้ตัวดี

“ฉันทำงานให้บริการนักท่องเที่ยว มีพนักงานในปกครองก็มากมาย ถ้าไม่ทำงานแล้วจะเอาอะไรไปจ่ายเงินเดือนเขาล่ะ...”

“รู้แล้วล่ะน่า อย่ามาบ่นเป็นตาแก่หน่อยเลย” ไผ่ตัดบทเมื่ออีกฝ่ายเริ่มจะสาธยายเหตุผลเหมือนคราวก่อนๆ

“รู้แล้วแต่ไม่เข้าใจ” ประวิชสัพยอกจนคางมนแทบจะชิดติดอก

“ฉันตอนรับแขก ขายบริการของรีสอร์ท ไม่ได้ไปจีบพวกเธอซะหน่อย อย่าคิดมากเลย” ร่างสูงพยายามพูดอย่างใจเย็น ด้วยถ้าไม่เย็นเป็นได้วางมวยกันแน่นอน

เพราะคนตัวเล็กแต่ฤทธิ์ไม่ได้เล็กตามตัวเสียหน่อย

ไผ่เงยหน้าขึ้นมองคนรักที่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ก็ต้องเสียน้ำตากันเป็นปี๊บๆ ถึงจะเข้าใจแต่ก็อดรู้สึกขัดใจไม่ได้ ก็คนมันหวงนี่!

“ขอโทษ” ไผ่ตอบเสียงสั้นกุดหากแต่ทำให้คนบนโซฟายิ้มออกแกมโล่งใจพลางยกตัวอีกฝ่ายขึ้นมานั่งบนโซฟาด้วยกัน

“ฉันอยู่กับนายเพราะฉันอยากอยู่เอง เพราะฉะนั้นอย่าไปกังวลเรื่องของคนอื่นเลยนะไผ่” คำพูดเรียบเรื่อยที่หวังเพียงให้คนหน้าหงิกหายโกรธกลับเป็นเหมือนสายน้ำเย็นที่ไหลรดมาดับความร้อนในอกให้มอดลงอย่างง่ายดาย

ร่างเล็กโผเข้ากอดอีกฝ่ายแน่นแล้วจึงซุกหน้าลงกับซอกคอหนา โดยมีมือใหญ่ค่อยลูบแผ่นหลังให้อย่างปลอบประโลม

“เข้าใจยัง” เสียงกระซิบถามชิดใบหูขาว คนตัวเล็กจึงทำได้แต่ส่งเสียงตอบอู้อี้ในลำคอ

ประวิชยิ้มรับด้วยรู้อยู่แก่ใจว่าแค่นี้ไม่ได้ทำให้คนตัวเล็กฤทธิ์เยอะหมดฤทธิ์ลงง่ายๆหรอก แค่สงบชั่วคราวเท่านั้นล่ะ ไอ้ตัวร้ายที่เขารัก ริมฝีปากได้รูปอมยิ้มกับตัวเองอีกครั้งก่อนจะตบหลังบางให้ลุกขึ้นไปทานข้าวที่ตั้งคอยท่ามาตั้งแต่เที่ยง ร่างเล็กผละออกห่างเพียงคืบแล้วจับจ้องใบหน้าชายคนที่ตัวเองรักนักรักหนา ก่อนจะยกมือขึ้นโอบรอบคออีกฝ่ายพลางประทับริมฝีปากลงบนคางสากเบาๆ โดยมีร่างสูงให้ความร่วมมือ

เสียงเสื้อผ้าเสียดสีกันเบาๆดังขึ้นแทรกเสียงคลื่นน้ำก่อนจะได้ยินเสียงชุ่มฉ่ำของปลายลิ้นตวัดรัดเกี่ยวสร้างความรู้สึกดื่มด่ำให้ลุ่มหลงจนยากจะผละตัวออกห่าง ต้องครางเครือระบายความพึงพอใจผ่านลมหายใจร้อนผ่าว มือเล็กลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังกว้างก่อนจะสอดแทรกเข้าไปใต้สาบเสื้อแล้วดึงทึ้งเนื้อผ้าที่ขวางกั้นผิวกายออก

“อืม...ไผ่” ร่างสูงผละออกห่างพยายามยึดจับมือเล็กให้หยุดไต่เป็นหนวดปลาหมึก “ยังต้องกลับไปทำงานอีก” หากแต่เสียงของเขาเหมือนจะหายวับไปกับสายลมที่พัดผ่านทะลุออกนอกประตูไป เมื่อใบหน้าขาวตามเข้ามาระดมจูบไม่ยั้ง

ปลายลิ้นสีแดงสดรุกไล่จนร่างสูงจำยอมปล่อยตามใจคนตัวเล็ก...แต่...เฮ้ย!...ความรู้สึกเคลิบเคลิ้มสะดุดลงเมื่อถูกมือเล็กรุกล้ำแถวขอบกางเกงยีนส์จนตามตะปบแทบไม่ทัน

“ไผ่” เสียงประท้วงร้องขึ้นไม่ทันไรก็ถูกอีกฝ่ายโถมแรงใส่ จนหงายหลังล้มลงบนโซฟาตัวนิ่ม มีร่างบางนอนทับอยู่บนอกพอดิบพอดีพร้อมกับมือใหญ่คอยประคอง

ดวงตาคู่สดใสเป็นประกายบอกความนัยให้ประวิชขนลุกซู่อย่างทุกครั้งที่เจ้าคนตัวเล็กคิดจะรวบหัวรวบหาง ใบหน้าขาวเคลื่อนเข้ามาใกล้แล้วค่อยๆกดแนบกลีบปากสีสดลงบนมุมปาก และกดย้ำซ้ำไปซ้ำมาจนร่างสูงต้องเป็นฝ่ายเรียกร้องหาความอบอุ่นจากปลายลิ้นนิ่มที่คอยโฉบเฉี่ยวหลอกล่อให้ติดบ่วง

เสียงครางเครือดังออกมาจากลำคอหนาพร้อมกับลูบไล้แผ่นหลังเล็กหนักมือ ก่อนจะหยุดลงขยุ้มบั้นท้ายแน่นตึงอย่างหมั่นเขี้ยว

คนอะไรยั่วเก่งชะมัด

ไผ่ยิ้มบางเมื่อได้รับการตอบสนองแล้วจึงขยับเบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อสอดมือเข้าไปใต้ร่มผ้าได้ถนัดถนี่

“ไผ่...” ประวิชท้วงขึ้นเบาๆพร้อมกับขมวดคิ้วยุ่งให้อีกฝ่ายต้องรีบยิ้มประจบ

“ไม่หิวข้าวรึไง” ไผ่ยิ้มหวานให้กับคำถามเรียบเรื่อยแต่แฝงการหลบเลี่ยงอยู่ในทีอย่างรู้ทัน

“ไม่หิว” คนตัวเล็กส่ายหน้าปฏิเสธช้าๆ พลางขยับนิ้วเรียวยาวเขี่ยขอบกางเกงยีนส์ไปมาอย่างชั่งใจ ให้คนรอฟังนึกแปลกใจกับการนิ่งเงียบ

“นี่” ประวิชมองคนเอ่ยยังก้มหน้าก้มตาเหม่อมองกลางลำตัว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาให้ร่างสูงหนาวสะท้านไปกับแววตาหมายมาด และเด็ดเดี่ยวที่พร้อมจะรวบหัวรวบหางเขาเต็มที่

“ฉันรอมานานแล้ว และฉันจะให้เวลานายอีกแค่อาทิตย์เดียว พร้อมไม่พร้อมฉันก็จะเอา!”

คำประกาศก้องโต้งๆของคนตัวเล็กทำให้ประวิชตาค้างอ้าปากพะงาบๆเหมือนอากาศจะหมดตัว

เห็นฤทธิ์ของคนตัวเล็กรึยังละไอ้วิช! ร่างสูงคิดด้วยสุดจะหนักอกหนักใจกับอีกฝ่าย จะบอกว่าหมดเวลาวิ่งเล่นไล่ปล้ำกอดอย่างที่แล้วๆมาใช่มั้ย กรรม!

ประวิชมองใบหน้าขาวค่อยๆห่างออกไปด้วยอาการอกสั่นขวัญเสีย ตัวก็เล็กออกปานนั้นแต่ทำไมถึงได้ฤทธิ์มากแท้ ร่างสูงจัดเสื้อผ้าตัวเองเงียบๆแต่ในหัวกลับคิดไปสารพัด

จะหาเรื่องผัดผ่อนไปอีกก็เป็นอย่างที่ได้ยินเมื่อครู่

หรือจะไปทำธุระที่กรุงเทพฯ...แต่ก็เพิ่งจะไปมาเมื่อไม่นานนี้เอง

แต่จะยอมตามใจอีกฝ่าย เขาก็ยังรู้สึกตงิดๆ ถึงได้ค้างคามาจนถึงทุกวันนี้

ไม่ใช่ไม่รักแต่ทุกอย่างมันมีเวลาของมัน

เอาไงดีวะ...ไอ้วิชเอ๊ย

...............................................................................................

สามวันหลังจากการคำประกาศก้องของคนมากฤทธิ์ก็ทำให้ประวิชเสียวสันหลังวาบๆทุกครั้งที่ร่างเล็กเฉียดกายเข้ามาใกล้ เพราะกลัวจะถูกจู่โจมก่อนกำหนด และทุกอากัปกิริยาของร่างสูงอยู่ในสายตาของอีกฝ่ายตลอดเวลา แววตาคู่แวววาวทอประกายแสงบางอย่างที่ไม่อาจคาดเดา ก่อนหายลับไปเมื่ออีกฝ่ายหันมาสบตา

“มีอะไรรึเปล่าไผ่” ประวิชส่งยิ้มแห้งๆขณะถอนสายตาจากกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาสอบถามการเช่าเรือไปดูปะการัง

“คือ...เพื่อนที่กรุงเทพเขาลงมาเที่ยวเลยจะแวะมาเยี่ยม”

“จะมากันกี่วันล่ะ แล้วมีที่พักรึยัง ยังไงให้ทางเจ้าหน้าที่กันห้องพักไว้ให้มั้ย” ร่างสูงยิ้มตาเป็นประกายเมื่อการสนทนาดูจะห่างไกลจากเรื่องที่เขากังวลนักหนา

“คงไม่ค้างหรอก แค่แวะมาเยี่ยมแล้วคงกลับกรุงเทพเลย” ไผ่ตอบราบเรียบ

“อ้าวเหรอ...แล้วเมื่อไร”

“อืม กลางเดือนโน้น” ร่างสูงพยักหน้ารับ “ฉันกลับบ้านก่อนนะ ทางนี้เสร็จแล้ว” หน้าขาวบุ้ยใบ้ไปที่ทำงานของตนแล้วจึงสาวเท้าออกเดิน ทิ้งให้ร่างสูงจมอยู่ในกลุ่มสาวน้อยสาวใหญ่ไม่ต่างจากทุกวัน แต่ที่แปลกกับเป็นคนที่กำลังเดินเรื่อยเฉื่อยจากไป เพราะแม้แต่การทิ้งหางตาตวัดใส่ร่างสูงอย่างที่เคยก็ไม่มี

เอ...ไอ้ท่าทางอย่างนี้มันแปลว่าอะไร ประวิชคิดอยู่ในใจด้วยยังคงต้องทำหน้าที่ต้อนรับลูกค้า

หรือจะรอรวบคิดบัญชีทีเดียวเลยหว่า...

คิดได้แค่นั้นร่างสูงก็รู้สึกถึงขนอ่อนแถวท้ายทอยตั้งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนจะรีบอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจแล้วส่งต่อให้เจ้าหน้าที่คนอื่นมารับผิดชอบโดยที่ตัวเองหันหลังเดินเข้าไปทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้หนังนุ่มในห้องทำงาน รอจนตะวันตกดินแล้วจึงเดินกลับบ้านพักด้วยความรู้สึกพิลึกพิลั่นในใจ

ยอม...ไม่ยอม...ยอม...ไม่ยอม...โอ๊ย! ไอ้ไผ่แกทำฉันประสาทจะกิน

----------------------------------------------------------------------------------

กลิ่นเครื่องแกงโชยเข้ามาแตะจมูกเมื่อประวิชผลักประตูเข้าไปภายในบ้านหลังเล็ก คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยคล้ายแปลกใจกับกรุ่นกลิ่นอาหารหอมฟุ้ง เท้ายาวก้าวไม่กี่ก้าวก็ถึงมุมห้องที่จัดแบ่งเป็นครัวเล็กๆ แผ่นหลังคุ้นตาหันกลับมาส่งยิ้มเกลื่อนทั่วใบหน้าหลังจากวางจานในมือลงบนโต๊ะทานข้าว

ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งอย่างเก้ๆกังๆ สายตากวาดมองอาหารตรงหน้าอย่างแปลกใจแกมอึ้ง ด้วยคงจะเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เจ้าคนฤทธิ์มากยอมทำกับข้าว เพราะที่ผ่านๆมาก็อาศัยฝากท้องกับครัวของรีสอร์ทตลอด อย่างมากถ้าหิวกลางดึกก็นี่เลย อาหารยอดฮิต มาม่า!

แล้วมันเกิดอะไรขึ้นละเนี่ย

“หิวยัง กินเลยมั้ย” คนตัวเล็กถามพลางนั่งลงข้างๆ

“อะ...อืม กินเลย” ประวิชตอบแล้วค่อยๆไล่มองกับข้าวไปที่ละอย่าง ไก่ตุ๋นยาจีน ซี่โครงหมูอบน้ำผึ้ง ปูผัดผงกะหรี่ ผัดพริกแกงกุ้งกับเห็ด ไข่เจียวหมูสับ...ร่างสูงเหลือบมองไผ่แว๊บหนึ่งแล้วต้องก้มหน้าก้มตาอีกครั้งจากอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของคนตรงหน้า

โปรตีนล้วนๆ ตั้งใจจะขุน...เอ...หรือโด๊บกันรึเปล่าฮึเจ้าไผ่! อาการมึนงงเหมือนลมในท้องตีขึ้นคอ ทำให้ประวิชถามอีกฝ่ายด้วยอาการเหมือนสติใกล้หลุดลอย

“ทำเองหมดเลยเหรอ”

“ปะ...เปล่าหรอก ฉันทำแค่ผัดพริกแกงกุ้งกับไข่เจียวหมูสับเท่านั้นล่ะ ที่เหลือให้ครัวที่รีสอร์ททำให้น่ะ” คนตัวเล็กบอกอย่างเขินๆแต่อีกฝ่ายไม่ได้ทันสังเกตด้วยกำลังลมจะจับ ว่าอาหารทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะล้วนแต่เป็นของที่ตัวเองนิยมชมชอบทั้งนั้น

“ระ...เหรอ ลำบากรึเปล่า กินที่รีสอร์ทเขาจัดไว้ให้ก็ได้ จะได้ไม่เหนื่อย”

ศีรษะทุยส่ายปฏิเสธรวดเร็วก่อนจะส่งยิ้มหวาน เพราะตั้งแต่วันที่ตัวเองเผลอพูดเรื่องเอาแต่ใจแบบนั้นออกไปด้วยความหงุดหงิดกับท่าทีครึ่งๆกลางๆของคนรัก ก็ทำให้ร่างสูงมีท่าทางแปลกๆไป ถึงได้สำนึกว่าตัวเองพูดเอาแต่ใจ...ไม่ใช่สิ เอาแต่ได้ต่างหาก ก็เลยอยากทำดีไถ่โทษอีกฝ่ายบ้าง แต่...ทำไมดูเหมือนเจ้านั่นจะไม่ดีใจเลยล่ะ หรือกับข้าวมันน้อยไป

“นี่...เอาอะไรเพิ่มมั้ย ไข่ดาวแบบยางมะตูมอีกอย่างเป็นไง” ไผ่เลิกคิ้วขึ้นถาม หากอีกฝ่ายเห็นเป็นอาการเจ้าเล่ห์จนต้องส่ายหน้าดิก ฉันไม่อยากถูกขุน!

ประวิชส่ายหน้าแทนคำตอบ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาตักอาหารเข้าปากแม้จะไม่ได้รู้สึกถึงรสชาติของมันเลยก็ตาม หลังทานเสร็จท่ามกลางความอิ่มอกอิ่มใจของอีกฝ่าย คนตัวใหญ่จึงลุกขึ้นอาสาล้างถ้วยชามให้ จนกระทั่งไผ่เก็บโต๊ะเสร็จจึงตั้งใจเข้าไปช่วยร่างสูง มือเล็กแตะเข้าที่บั้นเอวตึงแน่นเบาๆ แต่รู้สึกได้ถึงแรงสะดุ้งจากกล้ามเนื้อแน่นนั้น

คิ้วเรียวขมวดมุ่นกับปฏิกิริยาสะท้อนกลับ ดวงตาคู่โตทอแสงวาบด้วยฉุนโกรธ เห็นเขาเป็นพวกเซ็กซ์ขึ้นสมองรึไง ถึงต้องหวาดผวากลัวเขาปล้ำทุกย่างก้าวแบบนี้ เอาเถอะ...กลัวนักใช่มั้ย...

จะแกล้งซะให้เข็ด!

ร่างโปร่งบางนึกหมายมาดโดยลืมความตั้งใจเดิมไปเรียบร้อย ก่อนจะพาร่างเพรียวบางไปยังห้องนอนแล้วบรรจงรินเหล้าใส่แก้วสองใบไว้คอยท่า จนประวิชจัดการล้างถ้วยชามจนเสร็จแล้วจึงเดินตามเข้าไปก่อนจะเอ่ยปากถามอย่างเคยชิน

“อาบน้ำยังไผ่ เดี๋ยวจะดึกนะ เพราะฉัน...” คำพูดหยุดชะงักลงเพราะเห็นร่างโปร่งบางนั่งจิบเหล้าพลางทอดสายตาหวานฉ่ำชวนหนาววาบๆ ไผ่ชูแก้วเชิงชวนก่อนจะตบเบาๆที่ว่างข้างตัว

“ซักแก้วมั้ย”

เอาอีกแล้วไง...ประวิชคิดอย่างกลัดกลุ้มเมื่อมองเห็นน้ำสีทองพร่องไปจากขวด จึงเดินลงส้นไปหาคนที่นั่งสบายอารมณ์ส่งสายตาเชิญชวน มือใหญ่คว้าแก้วเหล้าขึ้นยกดื่มรวดเดียวแล้ววางลง พลางส่งสายตาดุขวางใส่

“เหนื่อยมาทั้งวันแล้วยังมากินเหล้าอีก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ลุกไม่ไหวหรอก ไปอาบน้ำนอนเถอะ” ประวิชขยับเข้าไปฉุดแขนเล็ก

“นิดเดียวเอง ไปทำงานไหวหรอกน่า”

ประวิชส่ายหน้าไม่เชื่อ ก่อนจะยื้อแก้วเหล้าในมืออีกฝ่ายออก หากแต่ถูกไผ่กระตุกให้เซจนต้องทรุดนั่งบนโซฟาไปด้วยกัน ดวงตาสีเข้มหรี่มองใบหน้านวลอย่างระอาด้วยของเหลวในแก้วกระเซ็นเปรอะเปื้อนทั้งมือทั้งเสื้อผ้า

“เปื้อนแล้วเห็นมั้ย เดี๋ยวฉันต้องออกไปข้างนอกอีกนะ”

“หือ...ไปไหน” ร่างโปร่งชะโงกหน้าเข้าไปใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นผสมกลิ่นแอลกอฮอร์

“เมื่อกี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสถานที่โทรมา บอกว่ามีวัยรุ่นเข้ามาทะเลาะกันที่หน้ารีสอร์ทฉันเลยจะออกไปดู ถึงให้นายอาบน้ำนอนไปก่อนไง” ประวิชพูดไปพลางสะบัดหยดเหล้าที่มือไป ก่อนจะถูกมือเล็กคว้าไปยึดครอง แล้วค่อยๆแลบลิ้นไล้เลียหยาดน้ำสีทองตั้งแต่หลังมือไปยังซอกนิ้ว ให้เจ้าของมือตัวแข็งกับการกระทำเชิงยั่วยุ

ผะ...ไผ่! ประวิชได้แต่ครางอยู่ในอก

ดวงตาคู่เจ้าเล่ห์เฝ้าสังเกตใบหน้าสีเข้มที่ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำอย่างสมใจ แล้วจึงเอ่ยเสียงแหบแห้ง พร้อมดวงตาหวานเยิ้ม

“กลับมาเร็วๆนะ จะรอ”

คำพูดสำทับแกมคาดหวังทำให้ประวิชรีบชักมือออก

“อะ...อืม แล้วรีบไปอาบน้ำนะ ฉะ...ฉันไปละ เดี๋ยวเจ้าหน้าที่เขาจะคอยนาน”

ร่างสูงผละออกห่างคนตัวเล็กอย่างอิหลักอิเหลื่อ ก่อนจะยกมือขึ้นเกาศีรษะแล้วรีบจ้ำจากไป

ไผ่มองร่างสูงใหญ่เดินมึนแกมผวาออกจากบ้านแล้วจึงค่อยๆยกยิ้มขำ

สมน้ำหน้า...

...

“คุณประวิชคะ...คุณประวิช” เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์หญิงเดินถือจดหมายที่บุรุษไปรษณีย์นำมาส่งหอบใหญ่เข้ามาวางบนโต๊ะ โดยเจ้านายตัวเองยังนั่งเหมอไม่ได้ยินเสียงเธอทัก อาการลังเลเกิดขึ้นแต่ก็กลั้นใจเรียกซ้ำ

“คุณวิช...เป็นอะไรรึเปล่าคะ”

เงาวูบวาบด้านหน้าดึงสติร่างสูงให้กลับมาสู่ตัว หลังจากที่ล่อยลอยไปไกลด้วยวันนี้คือวันครบกำหนดที่เจ้าคนตัวเล็กได้ลั่นปากไว้ หลังจากทำทีเป็นหมาหยอกไก่อยู่หลายวัน แต่เขายังคิดหาวิธีรับมือไม่ออกเลยจริงๆ

ไอ้ตัวแสบ!

ประวิชถอนหายใจยาวแล้วจึงเหลือบมองเจ้าหน้าที่หญิงส่งยิ้มงงๆ พร้อมกับรอคำสั่ง กองจดหมายตรงหน้าเรียกความมีเหตุมีผลคืนมา แล้วจึงยกยิ้มให้คนตรงหน้าคลายกังวล

“คิดอะไรเพลินไปหน่อยน่ะ มีอะไรสำคัญมั้ยครับ”

“มีจดหมายจาก เอสดีกรุ๊ป แล้วก็จาก บริษัททัวร์สิงขร เข้ามาค่ะ” เจ้าหน้าที่เลือกบอกชื่อคู่ค้าที่สำคัญให้ทราบ ก่อนจะหันหลังเดินกลับเมื่อเจ้านายมีท่าทีสนใจกับจดหมายตรงหน้าและไม่ได้ซักถามเรื่องอะไรอีก

สีหน้าของประวิชอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อเปิดอ่านเอกสาร เขาได้พันธมิตรและคู่ค้าเพิ่ม และนั่นก็หมายถึงผลประโยชน์ที่จะตามมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น หลังจากธุรกิจนี้ซบเซาไปช่วงปีที่ผ่านมา เขาและไผ่ต้องพยายามอย่างมากที่จะพากิจการขนาดใหญ่มีพนักงานมากมายรอดพ้นภาวะขาดทุนมาได้

ใบหน้าคล้ำแดดฉายแววความอบอุ่นเมื่อนึกถึงคนตัวเล็ก ที่ถึงแม้จะแสบสะท้านแต่ก็ไม่เคยทิ้งกัน จนกระทั่ง...เกิดเรื่อง ซึ่งเขาไม่ต้องการให้เหตุการณ์นั้นย้อนกลับมาอีก

ความทุกข์ทรมานแบบนั้น ครั้งเดียวก็เกินพอ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 08-10-2009 22:33:29
จบรวดเร็วมากเลยค่ะ ไม่ทันตั้งตัวจบซะแล้ว
รอตอนพิเศษค่ะ
แล้วอย่าทิ้งกันนะอยากอ่านต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 08-10-2009 22:39:11
ประวิชนั่งทำงานจนกระทั่งเย็นจึงเดินออกไปแอบมองคนรัก หากแต่ภายในห้องทำงานว่างเปล่าทำให้คนตัวใหญ่เหลียวหา และต้องเดินเข้าไปถามเอากับเจ้าหน้าที่ในห้องเมื่อรออยู่ซักครู่ก็ยังไม่เห็นกลับมา

“เห็นออกไปได้ซักพักแล้วล่ะค่ะ”

“กลับบ้านเหรอ”

“ไม่เห็นคุณไผ่บอกไว้นะคะ บ่นแต่ว่าเมื่อย”

“เหรอ...ขอบคุณมาก” ประวิชพยักหน้ารับ คงไปเดินเล่นยืดเส้นยืดสายละมั้ง ขายาวก้าวไปตามระเบียงพลางมองหาร่างเล็กๆที่น่าจะเดินเล่นอยู่ตามสวนหย่อมรอบๆตึก

ลมทะเลพัดตีเส้นผมที่เริ่มยาวระต้นคอหนาแตกกระจาย ประวิชสูดลมหายใจรับไอความสดชื่นผิดกับในอกที่กำลังหนักอึ้ง ด้วยยังคิดจะหาวิธีละมุนละม่อมบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่นในการผัดผ่อนไม่ได้ แต่แม้จะหนักอกหนักใจ หากสายตาก็ยังคงกวาดหาด้วยความเป็นห่วง จนไปสะดุดเข้ากับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และในกลุ่มนั้นก็มีร่างคุ้นตายืนอยู่ตรงกลาง

ท่ามกลางผู้ชายเป็นฝูง!

ขายาวก้าวพรวดๆแบบไม่ต้องคิดไปยืนระบายลมหายใจหนักด้านหลังร่างโปร่งบาง พลางมองดูคนรักฟุดฟิดโฟฟายกับไอ้ฝรั่งตาน้ำข้าวกันสนุกปาก และแม้จะนึกตงิดกับมือไม้ที่คอยพาดไหล่พาดคอเล็กอยู่เนืองๆแต่ด้วยสำนึกของความเป็นเจ้าของรีสอร์ทผู้ให้บริการ จึงได้แต่เก็บกดอารมณ์บูดบึ้งไว้ในใจแล้วเอ่ยทักเสียงแจ่มใส

“สวัสดี มีอะไรกันเหรอไผ่” ภาษาอังกฤษสำเนียงเจ้าของภาษาทุ้มรื่นหู ทำให้ไผ่และผู้ชายทั้งฝูงหันมอง

“พวกเขาจะไปเที่ยวเกาะกันน่ะวิช เลยแนะนำให้เขาไปดำน้ำที่เกาะเล็กข้างๆกันด้วย” ไผ่ตอบและขยิบตาเป็นอันรู้กันว่าเจ้านี่กำลังล่อหลอกให้นักท่องเที่ยวเทกระเป๋าจ่ายค่าบริการนำเที่ยว และจะมีค่าอื่นๆตามมาให้นักท่องเที่ยวได้จ่ายแบบไม่ยั้ง ด้วยในสมองเล็กๆแต่เก็บกักความแสบสะท้านแบบไม่จำกัด ได้บรรจงเคาะเปอร์เซ็นรายได้ที่จะได้รับจากกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ไว้เสร็จสรรพ

นี่เขาควรจะให้โล่พนักงานดีเด่น ที่หายใจเข้าออกเป็นรายได้ของรีสอร์ทมั้ยฮึ! ประวิชคิดอย่างขำๆ แต่ต้องชะงักไปกับคำพูดถัดมาของอีกฝ่าย

“แต่พวกเขาอยากชวนฉันไปเป็นไกด์ด้วย เอาไงดีล่ะ ดูท่าจะเป็นพวกจ่ายไม่อั้นซะด้วยสิ ดูแลกันดีๆมีหวังรับทรัพย์กันถ้วนหน้าแน่ๆ”

ไม่ต้อง! เสียงคำรามดังขึ้นในใจร่างสูงหนาพอฟัดพอเหวี่ยงกับฝรั่งตัวโตตรงข้าม หากริมฝีปากได้รูปคงฉีกยิ้มกว้างให้แขก แต่ไม่วายทิ้งหางตาดุใส่คนรัก จะไปได้ยังไงผู้ชายเป็นโขลงแบบนี้ ดูตามันสิแวววาวพิกล ไว้ใจได้ที่ไหน ไปสิ! จะได้เยินกลับมา

ไผ่เลิกคิ้วให้กับแววตาหมายมาดของร่างสูง แล้วจึงเอะใจคิดได้ ก่อนจะหลุดขำกับคำแก้ต่างของอีกฝ่าย

“ทางเรามีเจ้าหน้าที่ที่ชำนาญไว้บริการให้อยู่แล้วน่ะครับ ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะไม่สนุก รับรองว่าคุณจะมีความทรงจำดีๆกลับไปเล่าได้ไม่เบื่อเลยล่ะครับ” ประวิชยิ้มการค้าให้ฝรั่ง

“แต่เจ้านี่...” มือใหญ่จับบ่าเล็กโยกไปมา

“เอาไป...ได้หลงทางกันแน่ๆครับ เพราะเขาเป็นเจ้าหน้าที่บัญชี ไม่ใช่ไกด์นำเที่ยวน่ะครับ”

เหมือนจะเป็นพวกไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ฝรั่งผมทองผิวแดงจากการอาบแดดถึงได้ยิ้มกว้างแล้วพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะชวนเพื่อนๆเดินห่างออกไป ทิ้งให้คนตัวเล็กตั้งท่าจะตะกายตามไปเค้นให้ซื้อทิปนำเที่ยวเพิ่ม ที่ตัวเองเพิ่งจะหมดน้ำลายล่อหลอกไปเป็นปี๊บๆ แต่กลับสลายไปตรงหน้า หากไม่ถูกมือใหญ่รั้งเอาไว้เสียก่อน

“จะไปไหน เย็นแล้วกลับบ้านเหอะ”

“ก็...น่าเสียดาย ดูสิ...เสียรายได้เป็นกอบเป็นกำ” ร่างเล็กแสร้งทำเสียดงเสียดายหากในใจกลับฟูพอง

ใครบอกว่าคนไม่คอยพูดไม่ขี้หึง! ขี้หึงสุดๆไปเลยต่างหาก ไผ่คิดอย่างครึ้มอกครึ้มใจ ก่อนจะเดินตามคนอารมณ์ไม่ดีกลับบ้านพักหลังน้อยที่คนตัวใหญ่ไม่รู้ว่าคนตัวเล็กจะเตรียมสรรหาวิธีอะไรไว้รอคอย ด้วยชายหนุ่มไม่ได้หันกลับไปมองหน้าอีกฝ่ายจากการไม่สบอารมณ์

แต่ชายหนุ่มคงคิดถูกแล้วที่ไม่หันกลับไปมอง เพราะใบหน้าแววตาอีกฝ่ายมันเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์เพทุบายที่พร้อมจะงัดมาใช้เต็มพิกัด

...

แสงสีทองยามเย็นลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาภายในตัวบ้านหลังน้อย บรรยากาศเงียบๆกับลำแสงที่ค่อยๆอ่อนแรงลงไม่ช่วยให้หัวใจคนตัวโตสงบ มีแต่จะเต้นดังโครมครามหนักขึ้นๆเมื่อลอบมองเห็นลำแสงสุดท้ายของวันหายวับไปกับแนวเทือกเขา

จะรอดคืนนี้ไปมั้ยเนี่ย...

ท่าทางกระสับกระส่ายของประวิชอยู่ในสายตาของไผ่ตลอดขณะนั่งทานข้าวเย็น ร่างสูงอ้าปากตั้งท่าจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ก็เงียบหายไป เป็นแบบนี้มาร่วมชั่วโมง หากแต่คนตัวเล็กก็แสร้งไม่สนใจชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศไปเรื่อย หากก็ก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มเป็นระยะ

ประวิชยืนเก้ๆกังๆหลังจากล้างจานเช็ดโต๊ะเสร็จเรียบร้อย ความรู้สึกประหม่าไหลวนไปทั่วร่าง มือไม้ของตัวเองแท้ๆแต่กลับไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหนดี เตร่ไปเตร่มาชั่วครู่ก็ยังเห็นอีกฝ่ายยังเถลไถลไม่เข้ามาทวงสัญญาที่เคยลั่นปากไว้จึงตัดสินใจเดินเข้าไปอาบน้ำ ให้สายน้ำเย็นลดความร้อนในอกลงเสียบ้าง ก่อนจะตั้งใจกลับออกมากล่อมคนมากฤทธิ์ให้เป็นเรื่องเป็นราวอีกครั้ง

แผงอกตึงแน่นเต็มไปด้วยหยาดน้ำเกาะพราว ศีรษะทุยสลัดผมเปียกชุ่มไปมาแรงๆก่อนจะปาดหยดน้ำออกจากหน้าท้องราบเรียบ ไรขนอ่อนหลุบหายไปในผืนผ้าสีขาวที่เจ้าตัวนำมาพันเอวไว้ลวกๆก่อนออกจากห้องน้ำ แต่เท้าใหญ่ก็ต้องชะงักหยุดอยู่แค่ประตูด้วยเห็นร่างโปร่งบางยืนยิ้มดวงตาเป็นประกายอยู่กลางห้อง แถมเนื้อตัวยังบ่งบอกว่าเจ้าตัวแอบไปอาบน้ำที่ห้องข้างๆมาเสร็จสรรพ

ร่างเล็กสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ด้วยอาการเยื้องย่างของแมวเห็นหนู และพร้อมที่จะตะครุบจับเหยื่อที่อุตส่าห์เสียเวลาต้อนกว่าจะจนมุม พอใจที่เห็นอีกฝ่ายยืนอกสั่นขวัญแขวน และที่สำคัญ

เจ้าแมวจอมแปรปรวนอวดดีตัวนี้ชอบเล่นกับเหยื่อที่ตัวเองหลอกล่อก่อนจะจับกินเสียด้วย!

ดวงตาสีเข้มเลิกขึ้นนิดก่อนจะยกมือเกาศีรษะแกรกๆ เพราะ...

เหตุผลที่เฝ้าอดตาหลับข่มตานอนขบคิดเผื่อที่จะผัดผ่อนต่อรองแตกกระเจิง เมื่อได้สบตาคู่แวววาวแฝงความเอาแต่ใจของอีกฝ่ายไปตั้งแต่แรก จนอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองเสียเวลานั่งกลุ้มนั่งคิดไปทำไมในเมื่อสุดท้ายเขาก็ต้องยอมรับ...ตามใจอีกฝ่ายจนได้ มือใหญ่ตกลงข้างตัวอย่างหมดแรงและหมดหวังจะรอดพ้น มองใบหน้าขาวนวลอมยิ้มจนแก้มบุ๋ม

น่ารัก... ร่างสูงใหญ่บอกกับตัวเอง แม้จะเป็นการเอาแต่ใจที่น่าชังที่สุดของอีกฝ่ายก็ตามที...

เพราะที่สุดแล้ว...เขาเลือกที่จะเป็นฝ่ายยอมเสียดีกว่าต้องเสียใจ

“ไผ่...” ประวิชครางเมื่ออีกฝ่ายเข้าประชิดตัว ดวงตาคู่ใสเปล่งประกายความต้องการอย่างไม่ปิดบัง จนต้องโอบประคองเอวเล็กไว้หลวมๆแล้วถอนหายใจยาวหลายเฮือก

“จะปฏิเสธก็ได้นะ” ร่างเล็กเอ่ยอย่างใจดีขัดกับสีหน้าและมือไม้ที่เริ่มลูบไล้ไปตามแผงอก

ประวิชกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากเย็น พลางรู้ตัวดีว่าโอกาสที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้นั้นไม่ต่างอะไรกับอากาศธาตุที่แปรปรวน

ทำๆไปเดี๋ยวก็ชินละน่า...ร่างสูงนึกปลุกปลอบใจเหี่ยวๆ ก่อนถอยตามแรงดันไปติดขอบเตียงและทรุดนั่งโดยมีอีกฝ่ายนั่งคร่อมทับหน้าขา ใบหน้าขาวลอยเด่นประดับรอยยิ้มอ่อนเชื่อม ดวงตาคู่ดำเป็นประกายขณะช้อนตามองคนเหงื่อแตกพลั่ก

“จูบได้มั้ย” ริมฝีปากหยักโค้งเอ่ยชิดติดขอบปากได้รูปเหยียดเกร็ง และรอจนต้องส่งเสียงทวงถามในลำคอ เมื่อร่างสูงยังคงนั่งแข็งเอาแต่หลุบตาจ้องมองริมฝีปากฉ่ำน้ำ ก่อนจะตอบด้วยเสียงเบาตะกุกตะกัก หากแต่ในอกกลับเต้นดังโครมคราม

“ดะ...ได้” สิ้นเสียงตอบ ใบหน้าขาวก็เคลื่อนเข้าไปใกล้แล้วแนบริมฝีปากอ่อนนุ่มทำนองหยั่งเชิงแผ่วเบา เมื่อยังรู้สึกถึงความเงียบจึงได้ยกมือขึ้นโอบรอบลำคอหนาแน่น ไล้ลิ้นเลียเส้นขอบปากเด่นชัดหนักๆ ประวิชรู้สึกได้ดึงแรงดุนดันของลิ้นอุ่นที่พยายามรุกรานเข้ามาในโพรงปากหนักหน่วงและเร่งเร้าอยู่ในที กลิ่นมิ้นเย็นสดชื่นของยาสีฟันหลอดประจำสร้างความรู้สึกคุ้นเคยจนกล้ามเนื้อที่ตึงเครียดผ่อนคลาย ดวงตาคู่คมหรี่ลงตอบรับลิ้นเล็กอย่างติดกังวลนิดๆก่อนจะเริ่มเป็นฝ่ายรุกไล่บ้าง

อ้อมแขนแข็งแรงโอบกอดรัดร่างบางไว้หลวมๆ ประสานสายตากับคนในอ้อมแขนเมื่อผละออกห่างเพียงเล็กน้อย เสียงหอบหายใจดังสะท้อนไปทั่วห้องเหมือนวิ่งมาไกล คนตัวเล็กไม่ยอมให้ทิ้งช่วงนาน ด้วยกลัวใจคนที่เริ่มอ่อนลงจะเปลี่ยนท่าทีจึงรีบฉกฉวยริมฝีปากหยักโค้งสลับกับวาดมือไปลูบไล้แผ่นหลังกว้าง แล้วกดปลายนิ้วแน่นหนักเพื่อหวังกระตุ้นความปรารถนาในตัวคนรัก ให้ปั่นป่วนจนสามารถบดขยี้ร่างกายเขาที่พร้อมจะเป็นหนึ่งเดียวกันตลอดมา

ปฏิกิริยาของประวิชไม่ทำให้ไผ่ผิดหวังเมื่อมีแรงดูดกลืนลิ้นเล็กหนักขึ้น มือใหญ่บดคลึงแผ่นหลังขาวผ่านเนื้อผ้าบางจนยับย่นแล้วจึงสอดเข้าไปสัมผัสเนื้อเนียนละเอียด กลิ่นกายหอมกรุ่นแป้งเด็กทำให้ประวิชฝั่งใบหน้าลงกับซอกคอขาวสูดดม อารมณ์ที่นิ่งสงบเริ่มก่อตัวเป็นคลื่นบิดเกลียวในช่องท้องให้ร่างเล็กรู้สึกได้ถึงความร้อนที่กลางลำตัวจากการนั่งคร่อมทับหน้าขา จนต้องลอบอมยิ้มและไม่ปล่อยให้โอกาสของตนหลุดลอย

ไผ่ฉวยโอกาสที่อารมณ์คนตัวโตเตลิดไปไกลลงมือกระตุกผ้าเช็ดตัวออกรวดเร็วจนอีกฝ่ายสะดุ้งสุดตัว ผละใบหน้าออกห่างร่องไหปลาร้าที่ตนดูดเม้นเป็นรอยแดงทันที

“ไม่ได้หรือ?” ไผ่ยิงคำถามพร้อมรอยยิ้มแฝงความนัย เมื่อสบสายตาเต้นไหวระริกที่บ่งบอกความกังวล ไม่แน่ใจปนเปอยู่ในแววตา

ไม่มีเสียงตอบหากกิริยาท่าทางก็เป็นคำตอบได้ดีที่สุด ร่างสูงได้แต่สูดลมหายใจเข้าปอดเรียกกำลังใจเฮือกใหญ่พลางเม้มปากระงับความรู้สึกหลากหลายที่กำลังประดังประเดกันเข้ามาในหัว เมื่อมองเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรักและปรารถนาของคนเอาแต่ใจ และหากมันจะมีแค่นั้นเขาคงไม่แปลกใจ แต่เพราะมันแฝงไปด้วยรอยยิ้มเล็กๆที่ทำให้เขารู้ตัวเองว่า

ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายอีกฝ่ายก็ไม่คิดจะล้มเลิกความตั้งใจแน่!

ความหวังเล็กๆน้อยๆในซอกหนึ่งของความคิดหมดลงทันที! แต่ก็ยังตั้งหน้าตั้งตารับความรู้สึกที่คนรักมอบให้ ด้วยคงเป็นสิ่งเดียวที่เขาจะทำให้อีกฝ่ายพอใจและรู้สึกดีกว่าที่ผ่านมา สายตามองตามมือเล็กเริ่มลูบไล้ส่วนกลางลำตัวแข็งแรง แรงรูดรั้งพอเหมาะพอดีกระตุ้นความปรารถนาในตัว แม้จะตะขิดตะขวงอยู่ในใจก็ตามที

เสียงครางหลุดรอดผ่านพ้นริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว

“อืม...” ข้อนิ้วแข็งแรงกดเกร็งลงบนผิวเนื้ออ่อนตรงเอวที่ตนเกาะกุมแน่นหนัก ความร้อนเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างในมืออีกฝ่ายจากการเอาใจใส่ดูแลแบบเอาแต่ใจของคนนั่งทับ แต่อยู่ๆความเพลิดเพลินก็สะดุดลงเมื่อถูกผลักหงายหลังล้มลงบนที่นอน

ประวิชมองอีกฝ่ายที่โถมตัวตามลงมาทาบทับอย่างงุนงง พร้อมกับเกร็งตัวรับสถานการณ์ที่ไม่รู้อีกฝ่ายจะเริ่มรุกเมื่อไรจากแววตาตาเจ้าเล่ห์น้อยๆนั้น และไผ่ก็ไม่ปล่อยให้ความกังวลนั้นเกิดขึ้นนาน เพราะอีกฝ่ายมีคำตอบในการกระทำเสมอ ดวงตาคู่อ่อนแสงเบิกกว้างเมื่อเห็นไผ่ดึงกางเกงผ้าเนื้อเบาลง ก่อนจะเขี่ยออกจากปลายเท้าอย่างง่ายดาย

“...!” รุกเลยเรอะ ร่างสูงร้องประท้วงได้เพียงในลำคอ ด้วยร่างขาวนวลตรงหน้าค่อยๆยกตัวขึ้นนั่งคร่อมทับส่วนร้อนผ่าวกลางลำตัวพอดิบพอดีแบบไม่ให้ร่างสูงได้มีเวลาคิดหรือต่อรองขั้นสุดท้ายได้อีก

กล้ามเนื้อตึงเครียดกระตุกแรงพลางจ้องมองใบหน้าขาวตื่นๆ

“ไผ่...ผะ...ไผ่ ฉันกลัวนายเจ็บ” แม้โค้งสุดท้ายประวิชก็ยังคงอุทธรณ์ต่อรองจนได้

“ไม่เป็นไร ฉันไม่เจ็บหรอก” ไผ่ยิ้มกว้างลงเสียงหนักให้ประวิชทำใจสถานเดียว

“ตะ...แต่...” ประวิชเหมือนง่อยเปลี้ยเสียขาหมดแรงซะดื้อๆ ได้แต่ขมวดคิ้วผงกศีรษะขึ้นดูร่างเล็กจะทำอะไรต่อไป

บั้นท้ายแน่นตึงค่อยๆขยับบดเบียดส่วนกลางลำตัวเชิงยั่วเย้า มือขาวบางวางทาบกดลงบนหน้าท้องแข็งตึงเพื่อพยุงตัว ก่อนจะเพิ่มแรงกดจนได้ยินเสียงประวิชร้องคราง มือไม้ที่ตกลงข้างตัวยกขึ้นยึดจับต้นขาเพรียวแล้วยกสะโพกสวนขึ้น

“ไผ่...”

ประวิชมองใบหน้าแดงก่ำส่งยิ้มติดขวยเขินนิดๆมาให้ร่างสูงนึกแปลกใจ แต่อารมณ์ที่กำลังเตลิดเปิดเปิงทำให้ร่างสูงมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย ด้วยแม้คิดจะตามใจร่างน้อยๆที่กำลังตั้งอกตั้งใจกระพืออารมณ์พิศวาส และก็ได้ผลดีเกิดคาดเสียด้วย แต่มันก็แค่ความสัมพันธ์ทางภายนอกเท่านั้นที่เขาสามารถปล่อยตัวปล่อยใจตามใจอีกฝ่ายได้ แต่ถ้า...

ร่างเล็กขยับตัวก้มมองสิ่งที่ผงาดอยู่ตรงหน้า อันบ่งบอกถึงความพร้อมทำให้ต้องกลืนน้ำลายหนืดๆลงคอ หัวใจที่เคยตั้งมั่นหมายมาดเต้นระทึกเมื่อสิ่งที่รอคอยมาตลอดพร้อมหล่อหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ดวงตาคู่สวยเงยหน้ามองใบหน้าคร้ามแดดอีกครั้ง ราวกับจะพิจารณาสีหน้าอีกฝ่ายชัดๆอีกครั้ง และ...

สะโพกมนยกสูงขึ้นเล็กน้อย ประวิชมองเจ้าของมือเรียวประคองแกนกายขึ้นตั้งชันแล้วจึงค่อยๆโน้มตัวเข้ามาหาจนใบหน้าแทบจะชิดติดกัน ไม่มีคำพูด มีแต่ความรู้สึกให้รับรู้ถึงสัมผัสที่กำลังจดจ่ออยู่ตรงหน้า

ปลายเนื้อหยุ่นรับรู้ถึงความร้อนผะผ่าวที่กำลังแนบชิดเข้ามา ประวิชหรุบตามองลอดช่องหวังจะเห็นว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อมีชายเสื้อบางส่วนปิดบังไว้ แต่ความร้อนที่ใกล้จนรู้สึกถึงการกดแนบเข้ากับรอยจีบของเนื้อนุ่มทำให้หัวใจของร่างสูงเต้นดังจนกลบสรรพเสียงรอบตัวได้ในทันใด ดวงตาสีเข้มหรี่ลงพลางกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว

ก่อนจะรู้สึกถึงสัมผัสอุ่นๆบนแก้มเย็น และน้ำเสียงแผ่วเบาของอีกฝ่าย

“ฝันดี”

ฝันดี!

ทุกอย่างที่กำลังดำเนินอยู่หยุดชะงัก ร่วมทั้งสติสตังของร่างสูงที่กลับมาจดจ่ออยู่บนใบหน้าขาวนวลที่ห่างเพียงปลายจมูกประดับรอยยิ้มไหวระริก

ไผ่มองใบหน้างุนงงของคนรักแล้วยกยิ้มบางเบา พลางก้มจูบอีกฝ่ายหนักๆเหมือนเรียกพลังใจให้ตัวเองก่อนจะเอ่ยอะไรออกไป ประวิชมองอีกฝ่ายถอนใบหน้ารักษาระยะห่าง อีกทั้งยังเลื่อนตัวเองลงมานอนข้างๆให้นึกงง และก็หายงงเมื่อรอยยิ้มอบอุ่นของคนตรงหน้าเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มปีศาจน้อยๆในเวลาต่อมา

“คิดว่าฉันจะข่มขืนนายรึไงวิช”ไผ่หัวเราะลงคอ

“ฉันรู้ว่าทุกอย่างมันมีเวลาของมัน ไว้นายพร้อมเมื่อไร นายต้องบอกฉันนะ...ฉันขอโทษที่พูดอะไรงี่เง่าแบบนั้นออกไป”

“...”

คนมากฤทธิ์ฉายาในใจประวิชนั่งหน้าสงบพร้อมรอยยิ้มแห้งๆแฝงความหวั่นไหวบางอย่างในแววตาให้คนนอนนิ่งใจกระตุก ร่างโปร่งบางคว้ากางเกงขึ้นมาสวมแล้วจึงขยุ้มผ้าห่มใกล้ตัวเข้ามาถือแนบอก จากนั้นจึงลุกขึ้นมองประวิชที่กำลังยันตัวนั่งก่อนจะสาวเท้าเดินออกจากห้อง

“จะไปไหนไผ่!” เสียงตะโกนไล่หลังอย่างตกใจทำให้ไผ่หันกลับไปมอง

“วันนี้ฉันจะไปนอนข้างนอก” ไผ่สูดลมหายใจแล้วยิ้มจนตาหยี

“ขืนอยู่ใกล้นายตอนนี้ฉันคลั่งตายแน่ หรือนายจะเปลี่ยนใจกันล่ะ” ร่างบางมองอาการนิ่งเงียบของอีกฝ่ายแล้วฝืนยิ้มส่งท้ายก่อนจะเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ ทิ้งให้ประวิชมองตามแผ่นหลังด้วยอาการเหมือนหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม

ความเคว้งคว้างเงียบสงัดเข้าครอบคลุมพื้นที่ในห้องเมื่อไผ่ออกไปยึดโซฟาตัวยาวหน้าโทรทัศน์เป็นที่หลับนอน หากแต่แรงสั่นสะท้านในอกที่ยังไม่จางหายทำให้ไผ่กดรีโมทเปิดโทรทัศน์ดูภาพเคลื่อนไหวผ่านตาไปเรื่อยๆด้วยสายตาอันว่างเปล่า

“ขอโทษ” ไผ่พึมพำเบาๆกับตัวเอง เมื่อนึกถึงใบหน้าฝืนใจของคนรัก ก่อนจะเปลี่ยนท่าที

“แต่ก็สมน้ำหน้า เล่นตัวดีนัก” น้ำเสียงขึ้นจมูกเอ่ยต่อว่าร่างสูง หากเจตนาปลุกปลอบใจตัวเองเสียมากกกว่า

เสียงผู้ประกาศข่าวดังแววเข้ามากระทบโสตประสาท กระตุ้นร่างสูงที่ยังจมอยู่ในห้วงความรู้สึกสับสน ใจหาย และปวดแปลบอยู่ในอกเมื่อร่างเล็กนั้นเดินออกไปให้ตื่นขึ้นมารับรู้ความจริง

ความจริงที่ตัวเองไม่กล้ากอดอีกฝ่าย!

แม้จะยอมรับกับตัวเองว่ารักและห่วงหวงอีกฝ่ายแค่ไหน แต่การก้าวผ่านความรู้สึกตรงนี้ไปได้ก็หนักหนากับเขาน่าดู ใบหน้าของร่างเล็กก่อนเดินออกไปผุดขึ้นมาในความคิด

อีกฝ่ายก็ต้องอดทนกับเขาเหมือนกัน แล้วไผ่ผิดอะไรล่ะ ต้องอดทนกับอะไรล่ะ ในเมื่อเขาคือคนรักของไผ่

...ตัวเขาเองมากกว่ามั้งที่ไม่ยอมรับความจริงซะที ที่มีคนรักเป็นผู้ชาย มันก็เป็นธรรมดาไม่ใช่เหรอที่จะมีเซ็กซ์กัน ไม่งั้นเขาจะร้อนรนตามหาอีกฝ่ายที่หายไปทำไม ถ้าไม่เพราะอยากอยู่ด้วยกัน

ความรู้สึกเจ็บจี๊ดเหมือนมีเข็มแทงเข้าไปในอก เมื่อนึกถึงการหายไปของไผ่ครั้งนั้น ก่อนจะเงยหน้ามองประตูที่กางกั้นเขาทั้งสองออกจากกัน

เขาปล่อยให้อีกฝ่ายรอโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร เขามันเห็นแก่ตัวอีกแล้ว!

ความรักต้องไม่ใช่การอยู่อย่างเห็นแก่ตัว การอยู่ด้วยกันต้องไม่ใช่การเอาเปรียบจิตใจและความรู้สึกของกันและกัน ถ้าไม่อยากให้ทุกอย่างสายเกินแก้ก็ควรเริ่มแต่ตอนนี้!

เสียงในหัวสะท้อนบอกก้องดังไปมา...สายตาจดจ้องบานประตูไม้เหมือนจะให้ทะลุไปถึงใครข้างนอก

เพียงแค่เปิดประตูนั้น...เขาจะก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเองทั้งหมด!
.
.
.
ร่างเล็กบนโซฟาปรากฏอยู่ในสายตาเมื่อประวิชเปิดประตู เสียงย้ำเท้าทำให้ไผ่ตื่นจากภวังค์หันมองร่างสูงด้วยความแปลกใจระคนอุ่นวาบในอก ประวิชาทรุดตัวนั่งเบียดสะโพกมนที่ตะแคงอยู่ใต้ผ้าห่ม มือใหญ่ลูบเกลี่ยเส้นผมที่บดบังผิวแก้มออกให้เบาๆ จากนั้นจึงโน้มตัวเข้าไปโอบกอดร่างเล็กไว้โดยไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมา ไผ่ขยับตัวขึ้นมองอย่างไม่ค่อยเข้าใจในการกระทำของประวิช จะมาปลอบใจเหรอ? ไม่ต้องก็ได้ เขาแค่อยากออกมาสงบสติอารมณ์เท่านั้นเอง แต่รอยยิ้มแยกเขี้ยวที่อีกฝ่ายดูจะพยายามบังคับให้มันเป็นธรรมชาติ กลับกระแทกเข้ามาในตาเขาอย่างแรง

ไม่ต้องยิ้มก็ได้นะ ไม่ได้บังคับ! ไผ่นึกค่อนขอด ก่อนจะเอ่ยเสียงติดฉุน

“อะไร?”

ประวิชไม่ตอบแต่กลับประทับจูบเบาๆลงบนริมฝีปากอิ่มบาง ปลายลิ้นอุ่นลากไล้ไปตามแนวหยักโค้งแล้วจึงขยับแทรกผ่านเข้าไปหาความชุ่มชื้น ใจแห้งๆหลังออกมาจากห้องพองโตขึ้นมาทันที แต่เพราะคลางแคลนในความรู้สึกของประวิช ร่างบางจึงยกมือขึ้นดันใบหน้าอีกฝ่ายให้ออกห่างเล็กน้อยเพื่อพิจารณาสีหน้าสีตาของร่างสูง

“นายจะทำให้ฉันเข้าใจผิดว่านายพร้อมนะวิช” ไผ่จ้องมองเข้าไปในดวงตาสีเข้มที่ตอนนี้แม้แต่อาการไหววูบก็ไม่มีให้เห็น มีแต่ความแนวแน่สะท้อนออกมาเท่านั้น

“ก็พร้อมน่ะสิ...ถึงได้ออกมาหา” ประวิชเอ่ยราบเรียบ หากแต่ในตาบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวกำลังเขิน และด้วยไม่อยากสบสายตาเบิกกว้างที่ทำท่าไม่อยากจะเชื่อให้ได้ประหม่าหนักกว่าเดิม จึงโถมตัวปล้ำกอดร่างบางแน่นไม่ให้ได้ซักไซ้

จมูกโด่งซุกลงซอกคอขาว สูดดมกลิ่นกายอันแสนจะคุ้นเคยให้ความรู้สึกปลอดโปร่งและอบอุ่น แบบนี้ล่ะ แบบนี้ล่ะดีแล้ว ประวิชครางในลำคอ ขอแค่มีคนๆนี้อยู่เคียงข้างแล้วเขายังจะมีข้อแม้อะไรอีก มีข้อแม้ให้ต้องเลิกร้างกันไปรึไง!

“ฉันรักนาย” ความรู้สึกที่กำลังทะลักทลายไหลบ่าราวกับสายน้ำเชียว ทำให้ประวิชต้องเอ่ยย้ำความรู้สึกของตนกับอีกฝ่าย

ไผ่มองศีรษะทุยบนอกตัวเองด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย สิ่งที่ประวิชกำลังแสดงออกทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง และอดไม่ได้ที่จะกอดตอบด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่เขามี

เขาให้ใจไปเต็มร้อย และตอนนี้เขาก็ได้กลับมาเต็มร้อยแล้ว ไผ่นึกพลางน้ำตาซึม

ประวิชไม่ทิ้งช่วงให้ไผ่ต้องงุนงงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปกะทันหัน ร่างสูงกดจูบไปตามหน้าผากลาด พวงแก้มขาวนวล จนหยุดวนจูบย้ำไปย้ำมาที่ริมฝีปากสีสด ไผ่ตอบรับแลกความอุ่นชื้นจนต้องยึดไหล่หนาเป็นที่พยุงตัวเองไม่ให้ลื่นไหลไปตามแรงกดดันของร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคนตัวเล็กเต็มไปด้วยความอิ่มเอิบที่วันนี้มาถึงจนได้ แต่....

ประวิชผงกศีรษะขึ้นมองใบหน้านวลพลางยกยิ้ม เมื่อแน่ใจในความรู้สึกของตน

“พร้อมนะ”

“หึ” ไผ่ส่ายหน้าดิก

“...!ส่ายหน้าทำไม” ประวิชขมวดคิ้วในคำตอบทันที

“ฉันไม่พร้อม”

“ห๊ะ!ว่า...ว่าไงนะ” ประวิชร้องเหมือนถูกตีที่ท้ายทอย มองใบหน้าเล็กๆยิ้มน้อยๆในดวงตาพรางพราว

“แต่เมื่อกี้นาย...” ร่างสูงเกิดติดอ่างขึ้นมากะทันหัน จากการช็อกที่ถูกคนรักปฏิเสธทั้งที่เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมายังส่งสายตายั่วยวนเขาอยู่เลย

“เมื่อกี้ก็เมื่อกี้สิ ตอนนี้ฉันหมดอารมณ์แล้ว” ไผ่ตอบดื้อๆ มองใบหน้ามึนงงของอีกฝ่ายแล้วนึกสงสารแต่ก็ สมน้ำหน้า

เวลาฉันมีอารมณ์นายกลับไม่มี แล้วเวลานายมีอารมณ์ฉันต้องมีตามนายรึไงกัน!

ร่างเล็กสะบัดตัวลุกขึ้นแล้วยัดเหยียดผ้าห่มให้ร่างสูงไว้กอดแทน จากนั้นจึงหันหลังเดินกลับเข้าไปยังห้องนอนที่เพิ่งเดินออกมาแล้วลงมือใส่กลอนหนาแน่น พลางตะโกนอย่างสะใจนิดๆ

“ฉันจะนอนในห้อง ส่วนนายก็นอนสงบสติอารมณ์อยู่ข้างนอกไปก็แล้วกัน!”

สิ้นสุดเสียงตะโกน ประวิชที่หน้าเจื่อนจากการถูกปฏิเสธอย่างกะทันหันถึงกลับหน้าดำหน้าเขียว เมื่อรู้ตัวว่าถูกอีกฝ่ายดัดหลังเข้าให้แล้ว

ไอ้ตัวแสบ!

ประวิชขยี้ศีรษะตัวเองไปมา ก่อนจะมองเลยไปยังผ้าห่มกองยับย่นที่เจ้าตัวแสบทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า และภายในห้องนอนอุ่นสบายก็มีร่างเจ้าคนฤทธิ์มากของประวิชนอนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่บนเตียงคนเดียว

“ถึงตาฉันเล่นตัวบ้างล่ะ!”

*******************************************
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 08-10-2009 22:47:39
Part II

เอกสารตรงหน้าร่างสูงถูกเปิดอ่านอย่างละเอียด คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันน้อยๆเมื่อพินิจพิจารณาเนื้อหาภายใน เสียงเคาะประตูทำให้ประวิชเงยหน้ามองร่างโปร่งบางเดินนำเจ้าหน้าที่หญิงเข้ามาภายใน แฟ้มรายงานเงินสดประจำวันถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะเพื่อให้เขาเซ็นรับรอง ปกติเจ้าหน้าที่หญิงจะนำมาเสนอเองพร้อมอธิบายรายการสำคัญๆบางรายการ แต่สองสามวันมานี้เจ้าตัวแสบของเขากลับเป็นคนนำมาเสนอเสียเอง

จะมีอะไรถ้าไม่ใช่คิดจะมายั่วโมโหเขาเล่น ประวิชคิดอย่างคับอกคับใจพลางเหลือบมองร่างเล็กยืนตรงหน้าด้วยอาการเคือง หากคนตัวเล็กไม่ได้สะทกสะท้านไปกับอาการดังกล่าว กลับยิ้มหวานรับ แล้วทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ปล่อยให้เจ้าหน้าที่รายงานข้อมูลไปเรื่อยๆจากนั้นจึงเดินกลับไป ทิ้งให้เจ้านายหน้าเครียดกับลูกน้องหน้าทะเล้นประสานสายตาจนแทบจะเห็นแสงไฟปลาบแปลบแลบออกมาจากในตา

ริมฝีปากหยักโค้งยกยิ้มน้อยๆไม่สนใจคนหน้างอ เริ่มต้นชวนสนทนาเรื่อยๆ

“พอประกาศโปรโมชั่นชุดนี้ออกไป รายรับเข้ามามากกว่าที่คาดไว้ นายว่ามั้ย” ไผ่มองสายตาถมึงทึง ดีสม! หงุดหงิดบ้างแล้วรู้สึกยังไงล่ะ

“อือ” ประวิชรับคำสั่นกุด แล้วก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารตรงหน้าต่อ เขาไม่อยากถูกยั่วโมโหเหมือนหลายวันมานี้ หลังจากไผ่ปล่อยให้เขานอนข้างนอกห้องนอนเสียหนึ่งคืน รุ่งขึ้นเขาก็คอยตามง้อตลอด แต่ดูเหมือนเจ้าตัวดีของเขาจะเอาคืนที่ปล่อยให้รอนาน เลยเชิดใส่เขาเสียไม่มีล่ะ ประวิชถอนหายใจยาวจนคนตรงหน้าอมยิ้มพราย

สมใจรึยังจะล่ะเจ้าตัวดี! ทิ้งให้เขานอนข้างนอกทุกคืน ประวิชนึกเคืองและไม่วายเหลือบมองใบหน้าขาวตรงหน้าด้วยสายตาดุดันอีกครั้ง

“บ่ายนี้เพื่อนฉันจะแวะเข้ามาหาน่ะ” ไผ่เอ่ยบอกเรียบๆขณะจ้องใบหน้าอีกฝ่ายที่ดูเป็นงานเป็นการอีกครั้ง ริมฝีปากบางคลี่ยิ้ม นี่เป็นอีกข้อที่เขารักประวิช เรื่องส่วนตัวก็ส่วนตัว อีกฝ่ายจะไม่เอามาเป็นอารมณ์โยงใยไปถึงเรื่องอื่นๆ แม้จะกำลังเคืองที่ถูกเขาไล่ให้ไปนอนข้างนอกทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นเขาแทบจะข่มขืนอีกฝ่ายได้ ไม่เคืองก็แปลกล่ะ!

แต่เพราะลึกๆในใจแล้วเขาไม่ต้องการฉวยโอกาสจากอีกฝ่าย ขอแค่แน่ใจว่าประวิชพร้อมแล้วจริงๆ เขาจะไม่ลังเลเลย ไผ่นึกแล้วยกมุมปากขึ้นเล็กๆ

จริงอย่างที่เพื่อนบอกว่าเขาเรื่องมาก หึ! ก็ไม่แปลกอีกเหมือนกันที่จะถูกเอาปูนหมายหัวแบบนั้น เพราะเขาปฏิเสธทุกคนที่เข้ามารายล้อมรอบตัวเพื่อรอคนเพียงคนเดียว เพียงคนเดียวที่แทบจะไม่เห็นทางสมหวัง และแม้จะดูกล้าหาญชาญชัยขนาดไหนแต่สิ่งที่เขากังวลที่สุดก็คือ ความรู้สึกของอีกฝ่ายนี่ล่ะ ถึงทำให้ความรักของเขาถูกดองเค็มมาเป็นสิบปี

“กี่คนล่ะ ให้ทางครัวทำอะไรเป็นพิเศษมั้ย หรือจะพาไปดูปะการังที่เกาะกันล่ะ” ร่างสูงหันออกไปมองท้องฟ้าภายนอก

“วันนี้อากาศดี”

“มากันหกคน แต่ไม่ต้องทำอะไรพิเศษหรอก แค่แวะมาเยี่ยม เดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าวคุยกันซักพักก็กลับกันแล้ว”

“หือ...จะขับรถกันไหวเหรอ ไม่ค้างแล้วรุ่งขึ้นค่อยกลับล่ะ” ประวิชเอ่ยอย่างเป็นห่วง ด้วยระยะทางจากที่นี่ถึงกรุงเทพต้องขับรถกันเกือบทั้งคืน

“ผลัดกันขับไม่เป็นไรหรอก”

“งั้นค่าอาหารลงบัญชีฉันไว้นะ” พูดจบประวิชก็เห็นรอยยิ้มสมใจของไผ่ แล้วให้รู้สึกคันยิบๆที่อวัยวะเบื้องล่าง จะมีมั้ยที่เขาไม่ตกหลุมที่อีกฝ่ายวางเอาไว้น่ะ ดวงตาคู่คมหรี่มอง เงินเดือนหมดแล้วล่ะสิ คนใช้เงินเป็นนึกค่อนขอด และมองร่างเล็กลุกขึ้นเดินมาหา อ้อมแขนขาวเข้าสวมกอดหลวมๆก่อนจะก้มลงหอมแก้มทั้งสองข้างเสียงดัง

“ขอบคุณ”

ประวิชมองใบหน้ายิ้มพรายแล้วต้องถอนหายใจ ยังไงๆเขาก็ใจแข็งกับยิ้มสวยๆนี้ไม่ได้ซักที ร่างสูงนึกพลางจูบตอบที่ริมฝีปากหยักโค้งเบาๆ ไผ่มองลึกลงในดวงตาอีกฝ่าย ความถวิลหาที่มีไม่ต่างกันกำลังดึงดูดพวกเขาเข้าหากัน มือขาวเข้าประคองต้นคอหนาแล้วไล้ลิ้นตอบรับแรงกดแนบจากอีกฝ่าย ร่างสูงไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอย ในเมื่อใจเขาพร้อมเขาย่อมต้องการร่างอุ่นหอมระรื่นนี้เข้ามาแนบกาย และความคิดนี้เริ่มรุนแรงจนเขารู้สึกหึงไปหมดทุกคนที่เข้ามาแตะเนื้อตัวคนรัก แม้จะเป็นผู้หญิงก็ตาม ยิ่งเป็นผู้ชายยิ่งแล้วไปใหญ่!

ความร้อนกลางลำตัวเริ่มขยายตัวอึดอัดคับกางเกงยีนส์เนื้อหนา มือใหญ่ฟอนเฟ้นแผ่นหลังนุ่มมือไปมา แล้วสอดลิ้นดุนดันเข้าไปค้นหาความชุ่มชื้นในโพรงปากเล็ก ขยับเปลี่ยนมุมไปเรื่อยๆจนหอบสะท้านไปทั้งตัวด้วยแรงอารมณ์

“ไผ่...” ประวิชไล้มือลงบดคลึงบั้นท้ายแน่นตึง หากแต่เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำให้ทั้งสองสะดุ้งผละออกจากกัน ใบหน้านวลแดงก่ำก่อนจะถอยออกมายืนห่าง ให้ร่างสูงปรับสภาพอารมณ์ชั่วขณะ

“เข้ามาสิ” เสียงทุ้มแตกพร่าเล็กน้อยส่งเสียงเชิญผู้มาใหม่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสถานที่เดินถือแฟ้มงานเข้ามาภายในทำให้ไผ่พยักหน้ากับร่างสูงแล้วหันไปยิ้มกับเจ้าหน้าที่ ก่อนจะเดินสวนออกไป

เมื่อพ้นประตูออกมาร่างเล็กก็ระบายลมหายใจยาว และยกมือขึ้นทาบหน้าอกที่กำลังกระเพื่อมแรง ท่าจะไม่ต้องรอแล้วมั้ง!

ไผ่เริ่มก้าวเท้าเดินแต่ก็หยุดชะงัก

“ลืมบอกว่าเพื่อนที่จะมาเยี่ยมเป็นเกย์หมดเลย!?”

แถมเป็นกลุ่มที่ประวิชเคยชกหน้าที่ผับอีกต่างหาก แต่ไม่น่าจะจำได้เพราะวันนั้นก็มืดจะตาย ไผ่รำพึงในใจ และเพราะกังวลถึงเรื่องนี้ถึงได้ไม่ชวนเพื่อนค้าง ซึ่งออกจะดูใจดำก็จริง แต่จะให้คนรักที่กว่าจะยอมรับว่ารักผู้ชายด้วยกันได้เขาก็แทบกลั้นใจตาย แล้วถ้าให้เจอเกย์ล้อมหน้าล้อมหลังเป็นฝูงมิวงแตกรึไง!

ไผ่สลัดความกังวลแล้วสาวเท้าเดินอารมณ์ดี โดยลืมคิดไปว่าตัวเองได้ทิ้งฉนวนไว้บนกองเถ้าถ่าน ร้อนระอุแล้ว
.
.
.

รถISUZU MU-7สีขาวมุกชะลอตัวก่อนจะหยุดสนิท หัวหลายสีทั้งทอง ดำ แดง ต่างโผล่ออกมาสูดอากาศ ไผ่ฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นร่างสูงต่ำนั้น อาการยินดีอย่างเก็บไม่อยู่เอ่อล้นบนใบหน้า เพราะจะบ้าจะบอยังไงแต่เพื่อนกลุ่มนี้ก็คือที่พักพิงทางใจของเขาตลอดมา แม้มีบางคนในกลุ่มเคยคิดจะงาบเขามาแล้วก็ตามเหอะ

หากทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเอง เขาถึงมีวันนี้

ร่างโปร่งบางเข้าไปต้อนรับขับสู้ แล้วจึงเดินนำไปยังห้องรับรอง เสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นระลอกๆเมื่อทุกคนนั่งพักบนโซฟารับแขกนิ่ม

“แล้วเมื่อไรจะขึ้นกรุงเทพอีกล่ะไผ่” เอ็มยิ้มกว้างถาม ชายหนุ่มที่เคยสูงโปร่งมาบัดนี้กลับหนาหนั่นจนคนถูกถามนึกนิยมอยู่ในใจในความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่ตัวเองพยายามยังไงก็เข็นไม่ขึ้น ด้วยเกียจคร้านนั้นเอง ใบหน้าคมเข้มยังคงหล่อเหลาไม่เปลี่ยนแปลง ไผ่พินิจพิจารณา ตอนนั้น ตอนที่เขาเสียใจจากประวิช เขาหันไปคว้าเอาคนๆนี้ เอาความรู้สึกของคนๆนี้มาค้ำจุนหัวใจที่แหลกสลายของตัวเอง ความเห็นแก่ตัวของเขาในครั้งนั้นทำให้เอ็มเสียใจ แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ในเมื่อเขาเลือกหัวใจของตัวเอง และอีกฝ่ายก็เลือกที่จะคงความรู้สึกของเพื่อนไว้และคบหามาจนถึงตอนนี้

“อีกสักพักล่ะเอ็ม ช่วงนี้นักท่องเที่ยวเยอะคงไปไหนไม่ได้ซักพัก” ไผ่ยิ้มกับอาการกวาดสายตาสำรวจเนื้อตัวของอีกฝ่าย

“ไม่คล้ำลงเลยนะ อยู่ติดทะเลแท้ๆ”

“อ๋อ...ก็ทำงานอยู่แต่ในออฟฟิส อีกอย่างใส่เสื้อแขนยาวตลอดด้วย ไม่ได้ตั้งใจหรอกแต่อะไรๆมันบัง...พาไปเองน่ะ” ไผ่หยุดคำว่าบังคับ แล้วยิ้มกลบเกลื่อน ก็จะใครซะอีกล่ะถ้าไม่ใช่เจ้ายักษ์ตัวโตที่คอยบ่นเป็นหมีกินผึ้ง หรือไม่ก็บังคับจับใส่ซะงั้น จนเขาระอาต้องทำๆตามไปงั้น

“ดีแล้วล่ะ ขาวๆแบบนี้ดูดีกว่าตัวดำเป็นไหนๆ”

“งั้นเหรอ”

“อืม...ฉันชอบ” เอ็มยิ้มนัยย์ตาเหมือนมีดาวดาวร่วงใส่ จนคนฟังออกอาการขัดๆเขินๆขึ้นมาซะงั้น

“เฮ้อ...จะจีบกันอีกนานมั้ยวะ ฉันหิวแล้วว่ะ” เสียงเดชาที่นั่งติดกับเอ็มแซวขึ้น พร้อมกับบรรยากาศที่คลายความอึกอัดลง ด้วยรู้ตื้นลึกหนาบางของคนทั้งคู่ดี จึงเอ่ยขัดตราทัพก่อนที่เอ็มจะเริ่มรื้อฟื้นความรู้สึกให้อีกฝ่ายลำบากใจ

ไอ้มดแดงแฝงพวงมะม่วง! เดชาส่งสายตาเตือนเพื่อน ก่อนจะหันไปยิ้มกับไผ่

“อยู่ทางนี้คงสบายล่ะสิ หน้าตาระรื่นจริงแก” เดชาเอ่ยทักทั้งๆที่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังมีความสุขที่ได้อยู่กับคนที่ตัวเองรัก คำถามแฝงความนัยทำให้ไผ่อมยิ้มพร้อมกับพยักหน้าตอบ

“หมั่นไส้” พอเห็นอีกฝ่ายตอบรับอย่างเต็มอกเต็มใจด้วยใบหน้าอิ่มเอิบ ต่อมอิจฉาก็กำเริบขึ้นมาทันที

“เอาน่า...” ไผ่เสหัวเราะ

“หิวกันรึยัง ฉันให้ทางครัวเตรียมของทะเลไว้เพียบเลย”

“ก็หิ้วท้องไว้ล้มทับเจ้าของอยู่นี่ไง” เดชาเอ่ย

“ของฉันที่ไหนกันล่ะ” ร่างโปร่งค้านเสียงอ่อย ด้วยรู้ว่ากำลังถูกอีกฝ่ายหยอก

“แล้วพ่อคนดีของนายไปไหนซะล่ะ” เดชาทำท่าชะเง้อหา ในขณะที่คนถูกกล่าวหาว่าเป็นมดแดงแฝงพ่วงมะม่วงทำหน้าเซ็ง

“ยังทำงานอยู่ล่ะมั้ง” ไผ่เงยหน้ามองไปทางห้องทำงานของชายหนุ่ม แต่ลึกๆในใจก็ไม่ค่อยอยากให้ประวิชออกมานัก

“แล้วจะไม่แนะนำให้เพื่อนรู้จักเป็นทางการซะทีเหรอว่ะไอ้ไผ่” ณรงค์เพื่อนหัวทองที่นั่งเงียบมาตลอดเอ่ยขัดขึ้น

“ฉันไม่อยู่เป็นก้างนานหรอกน่า เดี๋ยวก็ไปแล้ว พามาให้เพื่อนรู้จักหน่อยน่า...ทำหวงไปได้ หรือกลัวฉันจับกินว่ะ” คำพูดห่ามๆและหัวเราะไปพลางของไอ้เพื่อนหัวทองทำเอาไผ่หน้าเสีย

ก็เป็นซะอย่างนี้ ใครจะอยากเอาเนื้อมาวางไว้หน้าสุนัขกันล่ะ! ไผ่หรี่ตามองคนพูดพลางส่งคำตอบไปให้ทางสายตา ถ้ากลับไปแล้วยังครบสามสิบสองก็ไม่ใช่ไอ้ไผ่แล้ว!

“ยังแสบไม่เปลี่ยนจริงๆ” ณรงค์บ่นอุบ ก่อนจะวางมือลงบนศีรษะทุยแล้วโยกไปมา

“ล้อเล่น เตรียมอะไรไว้บ้างล่ะ”

“ปากเสียอย่ากินมันเลยไอ้รงค์” คนเคืองบอกปัด

ณรงค์ยิ้มหน้าแห้ง มันหวงจริงๆแฮะ ก่อนจะต้อนหน้าต้อนหลังร่างโปร่งไปยังห้องอาหาร และพบร่างสูงใหญ่ของประวิชเดินออกมาจากมุมตึก ประวิชเห็นชายหนุ่มห้าหกคนพร้อมกับไผ่กำลังเดินไปยังห้องอาหารจึงรีบสาวเท้าเข้าหา

“ไผ่”

เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ทั้งกลุ่มหยุดชะงักและหันมองร่างสูงใหญ่สาวเท้าเข้ามาใกล้ รอยยิ้มในดวงตาฉันท์มิตรเรียกคะแนนจากบรรดาเพื่อนหนุ่มของไผ่ไปมากโข

“เข้ม แมนซะไม่มี” เสียงกระซิบกระซาบดังเข้าหู แต่ไผ่ก็ทำเป็นไม่ได้ยิน

ไว้ก่อนเถอะไอ้อิง! ไผ่ชำเลืองตามองเพื่อนสาวแตกภายใน ภายนอกแมนเกินร้อย แต่ชอบกินหนุ่มล่ำเป็นอาหารหวาน ด้วยอาหารหลักแต่ไม่ถูกปากคือภรรยาสาวที่พ่อแม่จัดหาให้

ประวิชยิ้มขณะคนรักแนะนำเพื่อนๆให้รู้จัก ซึ่งทุกคนก็ดูเป็นมิตร ยกเว้นคนเดียวที่ไผ่แนะนำว่าชื่อเอ็ม ด้วยเพราะอาการเฉยจนดูเย็นชานั้นสะดุดใจ กอปรกับบางอย่างที่แวบเข้ามาในหัวแต่ยังไม่ชัด จึงต้องกวาดตามองซ้ำ 'คุ้นๆ' ประวิชเก็บความรู้สึกนี้ในใจก่อนจะทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี

สีหน้าผิดปกติเพียงนิดของประวิชไม่รอดพ้นสายตาคนตัวเล็ก ด้วยผูกพันมานานปีมีหรือจะอ่านสีหน้าสีตากันไม่ออก อาการประหวั่นในใจทำให้ไผ่นึกเสียใจที่ไม่ได้บอกให้ประวิชรู้ตัวก่อน

เจ้าของรีสอร์ทเลือกทำเลบนชั้นสองมองเห็นทะเลยามบ่ายภายนอกไกลสุดลูกหูลูกตา และมีความเป็นส่วนตัวแยกกับแขกคนอื่นๆพอสมควร

“กิจการดีนะครับ ตอนเข้ามาเห็นแขกมากันเยอะเลย” เดชาชวนคนตัวใหญ่หวานใจเพื่อนตัวเล็กคุย

“ช่วง high season ก็คึกคักกันแบบนี้ล่ะครับ พ้นไปอีกไม่กี่เดือนแขกจะบางตากว่านี้”

“เห็นมีบริการนำเที่ยวด้วย”

“ครับ เป็นการนำเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติน่ะครับ ตรงนี้ก็เป็นจุดแข็งของเรา ทำให้ได้รับความสนใจจากแขกมาก”

“อ๋อ...ถึงว่า รีสอร์ทที่นี่ถึงดูกลืนไปกับธรรมชาติรอบๆ”

“ก็ตรงไหนที่เรายังคงไว้ได้ หรือเสริมให้ธรรมชาติกลับมาดีกว่าที่เป็นอยู่เราก็พยายามจะทำ จะได้เป็นที่สำหรับพักผ่อนกันจริงๆ”

เดชาหันไปมองภายนอกที่มีสีเขียวของต้นไม้ตัดกับท้องน้ำสีครามอย่างชื่นชม ที่นี่สะอาด ตั้งแต่เข้ามาเขายังไม่เห็นขยะ เสียงนกร้องแววดังมาไกลๆบวกกับไอเย็นของต้นไม้ใหญ่กำจายทั่วพื้นที่ ทำให้นึกอยากพักค้างซักคืน

“สนใจจะไปดูปะการังมั้ยละครับ ที่นี่สวยมาก ดำไปดูแล้วถ้าเห็นขยะก็หยิบติดมือมาด้วยจะช่วยระบบนิเวศน์ได้เยอะเลยนะครับ” ประวิชเอ่ยชวนอย่างมีอัธยาศัย

“จะพักซักคืนสองคืนแล้วค่อยกลับกันก็ได้ จะเตรียมห้องไว้ให้”

“ฮ้าๆ เห็นแล้วก็อยากอยู่ต่อครับ แต่ไอ้คุณอิงเมียมันหวงมากครับ” เดชาหันไปแขวะเพื่อน ซึ่งก็ทำให้เพื่อนหันมาค้อนขวับ ก่อนจะยิ้มหวานให้ประวิชใจแทบหล่นไปที่ตาตุ่ม ด้วยอาการขนแขนแสตนอัพ

ยิ้มแปลก! พลางเลื่อนสายตามองไผ่กำลังคุยกับหนุ่มชื่อเอ็มเบาๆ รอยยิ้มของไผ่ดูไม่มีอะไรในดวงตา หากแต่อีกฝ่ายกลับเหมือนมีดาวเป็นล้านดวงภายใน ไอ้นี่ก็แปลก!

“เมียนะไม่ใช่แม่ ไอ้คุณเดชา!” อิงตวัดเสียงใส่ให้ประวิชสะดุดหูกับน้ำเสียงสูงๆเหมือน...เหมือนพวกกระเทย!

คนตัวสูงหันมองพลางกวาดตามองชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งจางๆ จะมองตรงไหนก็ดูเป็นผู้ชายทั้งแท่ง! แต่ทำไมทำเสียงแต๋วแตกได้วะ ความสงสัยของประวิชกระจ่างในนาทีถัดมาเมื่อเดชาตอบกลับ

“เหอะ...เก็บเบอร์หนุ่มๆที่แกไปก้อล้อก้อติดเขามาให้ดีๆละกัน เดี๋ยวแม่แกจะมาฉีกอกพวกฉันอีกไอ้อิง” เดชาสำทับด้วยรู้ฤทธิ์เดชภรรยาเพื่อนดี

“เชอะ!...ยุ่งมากนักพ่อจะหย่าซะเลย” อิงทำตาปะหลับปะเหลือกจนความแมนที่ฝืนเก๊กไว้กระเจิง

“แกพูดแบบนี้เป็นล้านครั้งแล้วไอ้อิง ก็เห็นโผล่มาหัวปีท้ายปี”

“นั่นมันทำตามหน้าที่ย่ะ แต่นี่มันใจรัก ห้ามกันได้ซะที่ไหน จริงมั้ยครับคุณประวิช” อิงเก็กแมนอีกครั้ง และโยนหินถามทางมาให้ประวิช

ไผ่ที่คุยกับเอ็มเรื่อยๆรออาหารขึ้นโต๊ะชะงัก หันมองไอ้คุณอิงควันออกหูทันที...ไอ้อิง! ของเพื่อนของฝูงก็ไม่เว้นเลยนะแก

คนตัวใหญ่ที่ดูจะอึ้งไปชั่วครู่กำลังลำดับเรื่องและภาพมัวๆในสมอง และกระจ่างชัดในที่สุด

ไอ้พวกนี้มันเกย์มันกระเทยทั้งนั้นเลยนี่หว่า! ไผ่...ไอ้ไผ่ และสุดท้ายประวิชก็หันขวับไปมองคนรักเต็มๆตาอีกครั้ง เพื่อยืนยันความเข้าใจของตัวเอง และไผ่ก็ยิ้มฝืดเฝื่อนเป็นการตอบรับเงียบๆ

“ทำเป็นงงไปได้คุณประวิช พวกเดียวกันแท้ๆ” อิงหัวเราะท่าทางมึนๆของอีกฝ่าย

เพราะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย ประวิชจึงตอบรับเหมือนคนละเมอ แต่ในหัวกลับเหมือนถูกระเบิดตูมใหญ่

พวกเดียวกันแท้ๆ พวกเดียวกันแท้ๆ พวกเดียวกันแท้ๆ ประวิชคิดประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมา และรู้สึกหนาวสะท้านตั้งแต่ปลายเท้าไล่มาถึงในอก

นี่เขาเป็นเกย์เป็นกระเทยไปแล้วเหรอ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยนึกถึงหรือรู้สึกผิดแผกรุนแรงขนาดนี้เลย เพราะอยู่ด้วยกันกับไผ่แค่สองคน ไม่เคยคบค้าสมาคมกับกลุ่มที่รักเพศเดียวกันมาก่อน จึงคิดมาตลอดว่าคนกลุ่มนี้แตกต่างกับเขา แต่ตอนนี้คนตรงหน้ากลับบอกว่าเขาเป็นพวกเดียวกัน!

ประวิชเพ่งมองอิงอีกครั้ง แล้วไอ้นี่มันเป็นเกย์หรือกระเทย แต่มันน่าจะค่อนไปทางกระเทยนะ สรุปไว้ในใจแล้วให้รู้สึกเหมือนถูกระเบิดอีกรอบ

เขาไม่อยากเป็นกระเทยนะ! ประวิชที่กลัวว่าจะถูกจัดประเภทให้อยู่ในกลุ่มกระเทยทำหน้าเครียด

อิงมองร่างสูงให้รู้สึกเหมือนอีกฝ่ายเพิ่งจะหลุดออกไปอีกโลกที่ตัวไม่รู้จักพลางอมยิ้ม ทำหน้าน่ากินซะไม่มี นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นคนรักของเพื่อนพ่อฟาดไปแล้ว แต่หยอกหน่อยคงไม่เป็นไร ให้ไอ้ไผ่มันหึงเล่น หวงดีนัก

“หรือเจ้าไผ่มันไม่ยอมให้คุณมีกิ๊กกันบ้างเลยเหรอครับ แหมน่าเบื่อแย่” อิงฉีกยิ้มกว้างพลางหันไปยักคิ้วกับเพื่อนรักตัวเล็กที่มองตาเขียวตาแดงอยู่

“บอกนะครับถ้าอยากหนีมันไปเที่ยว จะพาโต้รุ่งเลย”

เห็นไผ่หันซ้ายหันขวาแต่ไม่มีอะไรเหมาะๆมือให้ขว้างปาใส่หัวตัวเองได้ อิงจึงหัวเราะขบขัน ในขณะที่ประวิชอึ้งหนักกว่าเดิม

ไม่...ไม่เอา เขารักไผ่... เขารักไผ่คนเดียว แล้วเรื่องอะไรเขาจะต้องไปมีกิ๊กด้วยล่ะ ไปนอนกอดกับผู้ชายถึกๆเหมือนกัน ให้เขาไปนอนกะไอ้ตูบซะยังจะดีกว่า

แต่ไผ่มันก็ผู้ชายนะ จิตสำนึกของร่างสูงร้องประท้วง...ไม่ๆ ไผ่ของเขาตัวไม่เหม็น ผมก็หอม ผิวก็ลื่นมือ ยิ้มก็สวย ไม่เหมือนพวกนั้น หรือพวกที่นั่งอยู่ตรงนี้ ไผ่ของเขาไม่เหมือนใคร ถ้าจะมีอะไรที่ต้องถึงเนื้อถึงตัวขนาดนั้นเขาขอมีกับไผ่คนเดียวนี่ละ คนอื่นไม่เอา!

ประวิชคิดสรุปในใจ จะเรียกอะไรก็ช่างหัว แต่อย่ามาป้วนเปี้ยนใกล้ๆเขาเชียว ไม่งั้นพ่อเตะไม่เลี้ยงเลย แล้วจึงเหลือบมองคนรักนั่งหน้าเขียว

ไม่บอกกันเลย ไผ่อ่านแววตาของร่างสูงแล้วต้องยิ้มแห้งๆอีกครั้ง ขอโทษนะวิช มันลืมจริงๆ

เห็นหน้าคนรักเจื่อนไป ประวิชจึงได้แต่ถอนหายใจยาว อยู่กับหมอนี่เขามีเรื่องให้ต้องบริหารหัวใจอยู่เรื่อยจริงๆ เมื่อสงบความคิดฟุ้งซ่านได้ร่างสูงจึงนึกค่อนขอดคนตัวเล็กในใจต่อ

เลือกเพื่อนที่มันแปร๋นหลอดน้อยกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไง พวกนี้กลับเมื่อไรต้องคุยกันหน่อยแล้ว ร่างสูงคิด ไม่ใช่จะห้ามคบแต่เขากลัวว่าจะพาไผ่ของเขาไปนอกลู่นอกทาง เขาหวง!

“ขอบคุณครับ” รวบรวมสติสตังได้ประวิชก็เอ่ยขอบคุณไปตามมารยาทหากไม่ต่อความยาวสาวความยืด ตัดบทไปชี้ชวนดูเมนูอาหาร

เมื่อพนักงานนำอาหารมาวางจนเต็มโต๊ะ ทุกคนก็ดูจะเพ็งสมาธิไปที่จุดๆเดียว ความประณีตและกลิ่นหอมๆของอาหารทะเลสดใหม่ทำให้ทุกคนสงบปากสงบคำเตรียมตัวลิ้มรสชาติจนเสียงคุยเฮฮาค่อยเงียบลง

ประวิชมีสีหน้าพึงใจเมื่อเห็นแขกทุกคนพอใจกับอาหารที่เตรียมไว้ต้อนรับ หลายคนชวนเขาคุยอย่างออกรสออกชาติจนเริ่มคลายอาการเกร็งที่ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตัวกับคนกลุ่มนี้ยังไง และพอได้สัมผัสก็ไม่เห็นจะแตกต่างกับเขาตรงไหน นอกเสียจากคุณอิงที่ดูสาวแตกโอเวอร์ จนเดชาเข้ามากระซิบบอก เจ้านี่มันเก็บกดจากในบ้านต้องมาระบายออกข้างนอก เขาถึงได้พยายามเข้าใจในพฤติกรรมของอีกฝ่าย

“อย่าถือสามันเลยครับ มันหยอกคุณเล่นเฉยๆ” เดชาสำทับในขณะที่ประวิชยิ้มรับ และเริ่มมองไปทางคนรักที่คุยอยู่เงียบๆกับเอ็ม ชายหนุ่มที่เขาคุ้นหน้าเหลือเกิน

ดูเหมือนจะรู้จักกันมานานแล้ว ประวิชใช้สมองทบทวนความจำบางอย่างที่เขานึกไม่ออก ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาทำให้ไผ่เสียใจไว้มาก และไผ่เองก็ไม่ได้ปรึกษาอะไรกับทางนทและวี ถ้างั้นเวลามีปัญหาไผ่ก็น่าจะไปอยู่กับเพื่อนกลุ่มนี้ที่สามารถเข้าใจถึงความรู้สึกได้ เพราะฉะนั้นก็น่าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวเขาพอสมควร ดวงตาสีเข้มสว่างวาบก่อนจะเอียงศีรษะคุยกับเดชาเบาๆ

“เมื่อก่อนรบกวนพวกคุณไว้มาก ต้องขอโทษด้วยนะครับ”

“หือ...อ๋อ ไม่เป็นไร คนเรากว่าจะรู้ใจตัวเองก็แบบนี้ละ แต่เรื่องวันนั้นก็ทำให้พวกผมกับไผ่ต้องคุยกันยาวเหมือนกัน เห็นแบบนี้คุณประวิชใจร้อนใช่เล่นเลยนะครับ ถ้าวันนั้นไผ่ไม่ห้ามไว้คุณอาจจะไปนอนโรงพยาบาลแล้วก็ได้”

“เรื่องวันนั้น?...คุณก็อยู่ด้วยเหรอครับ” ประวิชคิดถึงวันที่มีเรื่องในผับ เพราะเป็นครั้งเดียวที่เขามีเรื่องกับเพื่อนของไผ่ จึงไม่ยากที่จะจำได้

“ครับ ก็อยู่กันเกือบหมดนั้นล่ะ โดยเฉพาะเจ้านั่น” เดชาพยักเพยิดหน้าไปทางเอ็ม

“ไผ่มันรักคุณ เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดเล็กคิดน้อยกับเอ็มมันเลย ไม่มีอะไรหรอก เอ็มมันเป็นห่วงไผ่ ก็เข้าใจมันหน่อยนะคุณ” เดชาที่โดนลักไก่ถามตอบอย่างไกล่เกลี่ย

คำพูดของเดชาสะกิดใจประวิช วันนั้นเขาเห็นไผ่กอดจูบกับผู้ชายจนหน้ามืดเกือบมีเรื่องชกต่อยกับผู้ชายคนนั้น งั้นไอ้ผู้ชายคนนั้นก็...เจ้าเอ็มคนนี้น่ะสิ!

ถึงว่า...สายตาที่มองเขาถึงไม่มีความเป็นมิตรอยู่เลย ริมฝีปากได้รูปขบเม้นเป็นเส้นตรงพลางหรี่ตามองคนทั้งคู่ ตอนไม่รู้ก็ไม่ค่อยจะถูกชะตากันอยู่แล้ว ยิ่งพอรู้ว่าคิดยังไงกับไผ่ยิ่งรู้สึกไม่พอใจเข้าไปใหญ่ ดูท่าคงจะเป็นความรู้สึกที่ลืมกันไม่ลงเลยทีเดียว โดยเฉพาะเจ้าหน้าหล่อนั่นมองตาไม่กระพริบเลย

ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ฮึไผ่ บอกเขาสักนิดมันลำบากนักรึไง หรือตั้งใจจะแกล้งกัน ถึงได้เอาคนอื่นมาทำให้เขากังวล เขาไม่เล่นด้วยนะ!

สีหน้าสีตาที่พยายามปิดบังความรู้สึกไม่พอใจไว้เงียบๆ ทำให้ไผ่ต้องยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแก้คอแห้ง ไม่ผิดแน่ เขาเห็นประวิชคุยเบาๆกับเดชาและมองมาทางนี้ด้วยสีหน้าที่เขาเข้าใจดีเป็นที่สุด ประวิชจำเอ็มได้!

ไม่น่าเลย...ร่างเล็กรำพึงในใจ เขาประมาทความจำและความรู้สึกของอีกฝ่ายเกินไป ถึงประวิชจะใจดีไม่ว่าเขาจะทำพิเรนอะไรไว้ก็ตามที หากมันมีขอบเขต และขอบเขตที่ว่านั่นคือการไม่ดึงหรือมีคนที่สามมาเกี่ยวข้อง

แม้วันนี้ทุกอย่างจะดำเนินไปตามครรลองที่ควรจะเป็นแล้ว แต่สายตาสุดจะหยั่งถึงเมื่อครู่ก็ทำเอาเขาใจแป้ว

ประวิชคิดอะไรอยู่...

หลังจากจัดการกับอาหารบนโต๊ะจนเรียบ บรรดาชายหนุ่มจึงนั่งพักพุงกางๆด้วยการนั่งชมวิวทิวทัศน์ บนชายหาดขาวๆกับแก้มก้นแน่นๆกล้ามท้องฟิตๆของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ใส่กางเกงว่ายน้ำเดินลงทะเลกันขวักไขว่

“วิวตรงนี้ดีจริง แกว่ามั้ย” อิงหันไปพูดกับเดชาด้วยอาการตาเยิ้ม

“อะไรดีกันแน่วะไอ้อิง วิวหรือไอ้ฝรั่งใส่บิกินี่เป้าตุงตรงโน้น” เดชาย้อนพลางพยักหน้าไปทางคนที่ถูกพาดพิง จนไอ้คุณอิงค้อนขวับเข้าให้

“ก็ทั้งสองอย่างนั้นละ” ชายหนุ่มหันไปมองวิวตรงหน้าอีกครั้ง

“น่าค้างเนอะ แกว่ามั้ยไอ้คุณเดชา”

“อืม แต่อย่าเลย ไว้คราวหน้าเหอะวะ คราวนี้ไปที่อื่นกันหลายวันแล้ว เดี๋ยวเมียแกมาแหกอกฉัน”

“แกก็...ค้างเหอะ เมียไว้ทีหลัง” ไอ้คุณอิงหรี่ตาพลางเลียปากเหมือนเห็นขนมอยู่ตรงหน้า

“แต่เราไม่ได้บอกไอ้ไผ่ไว้ก่อนนา...เกรงใจคุณประวิชเขาด้วย” ความตั้งใจเริ่มสั่นคลอนน้อยๆเมื่อเห็นเพื่อนเตรียมจะกินของหวาน ตัวเองก็อดน้ำลายสอขึ้นมาไม่ได้

“เกรงใจอะไรกันครับ” ประวิชได้ยินประโยคท้ายเอ่ยถามยิ้มๆขณะยกถ้วยชาร้อนขึ้นจิบ

“ไม่มีอะไรหรอกครับ คุยกันเล่นๆไปเรื่อย” เดชาเอ่ยตอบหากแต่ไอ้คุณอิงกลับเสนอหน้าปากยาวพูดต่อ

“คุยกันเรื่องถ้าจะค้างซักคืนนี่คุณประวิชพอจะหาห้องให้ได้มั้ยครับ” อิงรีบพูดก่อนจะถูกเดชาผลักศีรษะปราม

“อ๋อ ได้สิครับ อาจจะไม่มีห้องว่าง แต่ถ้าเป็นบ้านน่าจะยังมีว่างอยู่ครับ” ประวิชยิ้มรับ

“อิง!ไม่เอาน่า คนอื่นเขาไม่อยากอยู่ต่อเหมือนแกหรอก”

“แกยังไม่ทันถามคนอื่นเลย” เจอไอ้คุณอิงย้อนกลับทำให้เดชาต้องหันไปมองเพื่อนที่เหลือเชิงถาม ซึ่งคำตอบกลับมาทำให้เดชายิ้มอย่างมีชัยชนะ ด้วยหลายคนต้องกลับไปทำงาน ทำให้คุณอิงหน้างอสะบัดหน้าพรืด แต่แล้วหันมายิ้มกว้างอีกครั้งเมื่อ...

“ฉันอยู่เป็นเพื่อนเอามั้ย” เอ็มเอ่ยขึ้น หากประวิชที่นั่งมองการถกเถียงอยู่ใจกระตุกทันที ก่อนจะลอบมองสีหน้าคนพูด ตาเป็นประกายซะเหลือเกิน ในขณะที่ไผ่นั่งหน้าซีดลงเรื่อยๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 08-10-2009 22:49:57
เดชาที่เริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศไม่ชอบมาพากลรีบเอ่ยตัดบทก่อนที่ไอ้คุณอิงจะตอบตกลง

“ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนมันหรอกเอ็ม กลับพร้อมหมดกันนี่ล่ะ จะได้ไม่ถูกเมียมันตามมาฉีกอกทีละคนไง” เดชาเอ่ยติดตลกตอนท้ายด้วยหวังให้บรรยากาศไม่อึมครึมไปกว่าเดิม ในขณะที่ตัวต้นเหตุยังทำหน้าระริกระรี้อยากอยู่ จนเดชาต้องยกเท้าเหยียบตีนมันไว้แน่น แบบเจ็บจี๊ดไปถึงสมองทันที

“ทำอะไรของแกวะไอ้เดชา เอาตีนแกออกไปเลยนะ” อิงกระซิบกระซาบ

“เงียบไปเลยไอ้อิง” เดชากระซิบเสียงแข็งก่อนจะลากตัวต้นเหตุไปชมวิวอีกด้านเป็นการตัดบท และสรุปว่าทุกคนต้องกลับพร้อมกันหมด

หากประวิชกลับหันไปมองหน้าเอ็มและเลยผ่านไปยังคนรักชั่วอึดใจ ก่อนจะเอ่ยถามชายหนุ่ม

“ยังอยากจะค้างอยู่อีกมั้ยครับ จะได้จัดที่พักให้”

ไผ่ใจกระตุกเมื่อประวิชเอ่ยชวนเชิงประชด ดวงตาสีเข้มไร้แววขุ่นมัว แต่เขากลับรู้สึกถึงคลื่นความไม่พอใจอยู่เงียบๆ และคำเชื้อเชิญนั้นก็เหมือนเป็นการท้าทายอยู่ในที ซึ่งเพื่อนหนุ่มของเขาก็รู้สึกได้ถึงได้ยกยิ้มมุมปากชอบกล

ให้ตายเถอะ! คนตัวเล็กคิดอย่างละเหี่ยใจ เพราะถึงไม่รู้วันนี้ วันหน้าก็ต้องรู้อยู่ดีเพียงแต่เสียตรงที่เขาไม่ได้เป็นคนบอก และนั่นทำให้เขาไม่รู้ว่าประวิชคิดอะไรอยู่ ขณะที่ยังอึดอัดใจกับคำตอบของเอ็ม ณรงค์ก็ช่วยเข้ามากู้สถานการณ์ได้ทันควัน

“อย่าอยู่คนเดียวเลยเอ็ม ไม่สนุกหรอก ไว้วันหลังค่อยมากันใหม่ เชื่อฉันเถอะ” ประโยคหลังเหมือนเป็นการเตือนเพื่อนหนุ่มในที ทำให้เอ็มถอนหายใจยาวก่อนจะพยักหน้าตกลง ซึ่งก็ทำให้ไผ่ต้องลอบระบายลมหายใจยาวออกมาเช่นกัน

ประวิชที่พลั้งปากเอ่ยชวนด้วยฉุนโกรธชั่ววูบกลับรู้สึกโล่งอกในทันที ใครจะอยากให้มารหัวใจมาอยู่ใกล้ๆคนรักของตัวเองกันละ ถึงจะเป็นอดีตไปแล้วก็เถอะนะ

แสงสีทองเริ่มลดความร้อนแรงจนรู้สึกได้ถึงไอเย็นปะทะผิวกาย หนุ่มๆจึงได้ถือโอกาสล่ำลาเดินทางกลับกรุงเทพ แต่ก่อนจะขึ้นรถหนุ่มเอ็มกลับหันมาเอ่ยลากับไผ่เป็นการส่วนตัวอีกครั้ง ให้ประวิชได้ขมวดคิ้วเขม่น

“มีอะไรโทรหาเรานะ เราจะมาทันทีไม่ต้องเกรงใจ” ประโยคนี้ชายหนุ่มหันไปมองประวิชเป็นนัยบางอย่าง ก่อนจะหันกลับไปมองใบหน้าขาวนวลทำหน้าลำบากใจอีกครั้ง

“เอ็ม...ขอบคุณมาก แต่ตอนนี้เรามีความสุขดี” ไผ่เดินเคียงเข้าไปส่งเพื่อนขึ้นรถ ซึ่งทำให้เอ็มถือโอกาสกอดไหล่เล็กเขย่า จากนั้นจึงก้าวขึ้นรถและจากไปพร้อมกับปัญหาให้ไผ่ต้องสะสาง

รถยนต์ไปไกลจนลับตาไผ่ถึงได้หันไปมองหน้าคร้ามแดดของคนรัก และถึงอีกฝ่ายจะรู้ตัวว่าถูกจ้องมองแต่ความรู้สึกบางอย่างทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถหันกลับไปสบสายตาได้ ก่อนจะออกเดินไปเงียบๆ ทิ้งให้ไผ่มองตามด้วยความรู้สึกหดหู่ในใจ

ได้เรื่องอีกจนได้...ไผ่ลูบต้นคอตัวเองแรงๆแล้วทรุดนั่งลงยองๆ ก้มหน้ามองพื้นพลางถอนหายใจยาวเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเองอีกครั้ง พร้อมกับคิดหาวิธีปรับความเข้าใจกับอีกฝ่าย แต่เงียบกริบแบบนั้นเขาก็เดาใจไม่ถูกเหมือนกันว่าจะเข้าหายังไงดี

“เฮ้อ”

..................................

ผ่านไปสองวันไผ่ก็ยังไม่สามารถเจาะเข้าไปในความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายได้ดังใจคิด ด้วยประวิชยังพูดคุยกับเขาเป็นปกติ ผิดแต่ความรู้สึกของเขาเท่านั้นที่รู้ว่ามันเปลี่ยนไป แปลกไป แม้จะพูดคุยกัน แต่ก็เป็นเรื่องทั่วไป จนเขาเป็นฝ่ายอึดอัดใจที่จะเริ่มต้น

“กลับพร้อมกันนะ” เสียงประวิชกรอกใส่โทรศัพท์หาไผ่เป็นปกติเมื่อถึงเวลาเลิกงาน

“อืม กินอะไรดีเย็นนี้” คำพูดเดิมถูกถามออกไปเช่นวันที่ผ่านมา ทำให้ไผ่รู้สึกสังเวชตัวเองขึ้นมาตงิดๆ จะเป็นแบบนี้อีกนานมั้ย...

เพราะความเฉยชาคืออาวุธที่ร้ายที่สุดของคนสองคน

ชายหนุ่มทั้งสองเดินกลับบ้านพร้อมกัน ผิดแต่การพูดเล่นพูดหัวมันหายไปกับเสียงคลื่นที่พัดสาดเข้าหาฝั่งเป็นระลอกๆ

คนตัวเล็กที่หมดฤทธิ์ไปเยอะเดินมาทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มหลังจากทานข้าวอาบน้ำเสร็จ และแน่นอนว่าประวิชยังคงนอนอยู่ข้างนอกห้องนี้ ทั้งๆที่เขาไม่ต้องการให้เป็นแบบนี้เลยแท้ๆ ศีรษะทุยพลิกไปมองประตูที่ขวางกั้นพวกเขาไว้...จะทำยังไงดี ขืนเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆเขาต้องอกแตกตายแน่ๆ

ปกติออกจะใจดีแท้ๆ ไผ่มองประตูตาขวาง

ริมฝีปากเล็กเม้นเข้าหากันแน่น การทะเลาะกันไม่ใช่เรื่องแปลกหรือใหญ่โตเกินจะแก้ แต่การไม่เริ่มอะไรเลย หรือทิฐิต่างหากจะทำให้เกิดปัญหา

ประวิชชะงักและผละสายตาจากโทรทัศน์ เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูหลังจากอีกฝ่ายเข้านอนแล้ว ร่างสูงผงกศีรษะขึ้นมองร่างโปร่งเดินตรงเข้ามาทรุดนั่งลงบนโซฟาตัวยาวที่เขาใช้นอนเป็นประจำหลังจากถูกอับเปหิมาครั้งก่อน สายตาสงสัยกวาดมองคนรักที่ยังคงนั่งเฉยๆไม่พูดไม่จาเอาแต่จ้องหน้า หากร่างสูงเข้าใจปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นนี้ดี ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ แต่กลับเสียใจที่เป็นคนทำให้บรรยากาศอึมครึมนี้เกิดขึ้น

แต่เขาก็คนนะ!ไม่ใช่อิฐใช่ปูน ถึงได้พาลอย่างทุกวันนี้ไง ก็รู้ว่ามันไม่ดีแต่ก็อดเคืองไม่ได้

เขาติดใจเรื่องผู้ชายคนนั้น ถึงจะเข้าใจว่ามันเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว และไม่คิดจะเข้าไปก้าวก่าย ถ้าหากเพียงจะไม่รู้ไม่เห็นมันอีก ก็คงจะผ่านไปง่ายๆ แต่พอมาเห็นอีกฝ่ายยังคงอาลัยอาวรณ์คนรักของตัวเองอยู่ก็ให้รู้สึกหงุดหงิด และยิ่งไปกว่านั้นคือ เขาไม่แน่ใจว่าไผ่ต้องการให้เขาเห็นเพื่อจะแกล้งให้เขาคลั่งเล่นรึยังไง หรือการจงใจปล่อยให้เขานอนคอยอยู่ข้างนอกคนเดียวมันยังไม่พอใจ สาแก่ใจที่ทำให้ต้องทุกข์ทรมาน ถึงต้องทำกับเขาแบบนี้

การมีคนอื่นเข้ามาแทรกทำให้เขาปวดหนึบที่หัวใจ และถ้าไผ่ต้องการจะให้เขาเจ็บเสียบ้าง อีกฝ่ายก็ทำถูกต้องแล้ว เพราะเขาเจ็บยิ่งกว่าเจ็บ เจ็บจนพูดไม่ออก

ร่างโปร่งทอดกายเข้าสวมกอดร่างหนาไว้แน่นจนคิ้วเข้มขมวดถาม หากอีกฝ่ายยังไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมา ประวิชจึงโอบกอดตอบ และเอ่ยถามในที่สุด

“เป็นอะไร” น้ำเสียงอาทรยังคงเอ่ยเนิบนาบ มือใหญ่ลูบเส้นผมนิ่มไปมา เพราะถึงจะเคืองโกรธแต่ความรักใคร่ที่เขามีต่อคนๆนี้ไม่ได้ลดน้อยลง เพียงแต่เวลาโกรธเขาอยากอยู่เงียบๆด้วยกลัวจะระเบิดอารมณ์ให้ต้องเสียใจกันไปใหญ่

“ฉันอยากนอนด้วย” คำพูดง่ายๆแต่สื่อความหมายมากมาย จนอีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงความกังวล ประหม่า หวาดหวั่น แล้วสะท้อนเข้ามาในอกให้เจ็บปลาบแปลบไปด้วย

“แต่มันแคบนะ” ประวิชที่ยังกลัวใจตัวเองลังเลหากต้องอยู่ใกล้ๆ

“ไม่เป็นไร ฉันอยากกอดนายไว้แบบนี้...นะ”

“แต่เดี๋ยวฉันคิดอยากกอดนายขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ” ประวิชยกเรื่องวันก่อนขึ้นมาขู่

“ก็กอดสิ” เสียงตอบไม่ยี่หระทำให้ประวิชถอนหายใจหนักอก

“ไผ่”

“...” คนตัวเล็กแสร้งนิ่งเงียบจนอีกฝ่ายถอดใจเลิกคิดจะไล่กลับห้อง และกอดกระชับอีกฝ่ายแน่นกว่าเดิม ด้วยเขาก็รู้สึกไม่ต่างกัน อยากกอดร่างเล็กนี้ไว้เงียบๆไม่ต้องคิดอะไรให้หนัก และปล่อยใจที่ร้อนรนค่อยๆสงบลงทีละนิดจนจางหายไป นั้นละดีที่สุด

หากในความเงียบงัน ไผ่ก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ

“ฉันรักนายนะวิช”

คำย้ำบอกรักเบาๆทำให้ประวิชอุ่นวาบขึ้นในอก ความรู้สึกนี้...กว่าจะได้มา กว่าจะมีวันนี้ มันต้องผ่านอะไรมา? อาการแสบร้อนโพรงจมูกกรุ่นร้อนขึ้นมาทันที

เขาคิดหาเหตุผล หาคำพูด เพื่อจะคุยกับอีกฝ่าย คิดจนหัวแทบแตกเขาก็คิดไม่ตก ไม่รู้จะเริ่มยังไง จะพูดยังไงให้เรื่องไม่บานปลาย และกระทบกระเทือนใจให้น้อยที่สุด ทั้งเขาและไผ่

แต่คำว่ารัก สั้นๆ คำเดียวกลับหยุดความสับสนวุ่นวายใจทุกอย่างได้ราวปลิดทิ้ง เขาหายใจโล่งขึ้น จนรู้สึกว่าแม้จะเกิดปัญหามากมายกว่านี้เขาก็รับได้ เพราะเขาอยู่อย่างคนรักกัน ไม่ใช่คนเกลียดกัน ที่จ้องแต่จะทำร้ายความรู้สึกกันซะหน่อย

ได้ยินมั้ยล่ะ เขารักแก จะวันนี้หรือเมื่อก่อน หรือแม้จะในอนาคต เขาก็จะรักแก เพราะฉะนั้นลืมไปได้เลยว่าคนที่แกรัก เขาจะเอาเรื่องแบบนี้มาล้อแกเล่นให้เจ็บปวด

ร่างสูงผ่อนลมหายใจก่อนจะจรดจมูกลงบนกระหม่อมเล็กซ้ำๆ เขามันหน้ามืดตามัวจนทำร้ายความรู้สึกคนที่เขารักอีกแล้ว

มือใหญ่ประคองหน้านวลขึ้นสบตา

“ฉันก็รัก...รักนายมากนะไผ่”

ไผ่ยิ้มในดวงตาเมื่อรู้สึกถึงการตอบรับของอีกฝ่าย ดีแล้วที่ตัดสินใจออกมา และถึงถูกไล่กลับตั้งแต่ทีแรก เขาก็ตั้งใจจะนอนกอดอยู่อย่างนี้ให้หายโกรธ หรือตายกันไปข้างหนึ่งเลย ก็เขาไม่รู้จะทำยังไงแล้วนี่ ก็อาศัยลูกดื้อให้เป็นประโยชน์คราวนี้ละ

“เรื่องวันก่อน...ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกก่อน แต่เอ็ม...” ไผ่เล่าค้างด้วยมือใหญ่ยกขึ้นปิดปาก

“ชูว์...ฉันรู้ๆไผ่” ประวิชผงกศีรษะมองไผ่ที่ผละใบหน้าออกห่างจากแผ่นอกจ้องมอง ทำให้ร่างสูงต้องเค้นยิ้มแห้งๆให้

“ฉันมันงี่เง่าเองล่ะ ...” ร่างสูงเงียบไปชั่วอึดใจ

“ฉันพาลน่ะ แล้วก็วูบหนึ่งฉันคิดว่านายกำลังเอาแฟนเก่ามาแกล้งฉัน ฉันเลยรู้สึกไม่ค่อยดี”

“วิช...” ไผ่ครางแผ่วๆ

“มันบังเอิญน่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ เพื่อนฉันตั้งใจจะมาเยี่ยมจริงๆ” ดวงตาคู่สวยจ้องมองลึกลงในดวงตาสีเข้ม

“แล้วก็...ฉันเคยทำไม่ดีกับเอ็มไว้ ฉันใช้ประโยชน์จากความรู้สึกของเขาตอนฉันเสียใจ อยากมีคนเข้าใจ ปลอบใจ ถึงหันไปหาเขา แต่มันก็แค่นั้น ฉันไม่เคยคบกับเขา”

ยิ่งรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากความงี่เง่าของตัวเอง ร่างสูงก็ยิ่งเพิ่มแรงกอดรัดร่างเล็กแน่นขึ้นไปอีก

“ฉันขอโทษ”

ไผ่ยิ้มในตาแม้จะเริ่มรู้สึกเจ็บกับแรงโอบกอดของท่อนแขนกำยำ หากแต่ว่าอ้างว้างหนาวเย็นที่เกาะกินใจมาหลายวันกลับค่อยๆเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นที่พร้อมจะสอดประสานไปกับหัวใจของอีกคน

ประวิชผ่อนลมหายใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก แล้วจึงค่อยๆคลายวงแขนเมื่อรู้สึกถึงอาการเกร็งของอีกฝ่าย ก่อนจะยิ้มให้คนหน้านวลแต่จมูกแดงก่ำเหมือนคนกลั้นสะอื้นไว้เป็นนานสองนาน

อย่ามีเรื่องให้ต้องทะเลาะกันบ่อยๆเลยนะ เขาจะอกแตกตายวันละหลายๆรอบ ประวิชกดจมูกลงบนเส้นผมนุ่มอีกครั้งอย่างรักใคร่

“อึดอัดรึเปล่า เข้าไปนอนในห้องดีกว่ามั้ย” เมื่อทุกอย่างกลับเข้าที่เข้าทาง ร่างสูงจึงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ด้วยโซฟาตัวยาวแม้จะใหญ่แต่ก็ไม่มากพอจะทำให้คนสองคนนอนได้สบายตัว

“ไม่...ฉันจะนอนกับนาย” เมฆหมองจากหาย คนตัวเล็กก็เริ่มสำแดงฤทธิ์เดชให้ประวิชปวดเศียรเวียนเกล้าอีกรอบ

“ทีวันก่อนยังไล่ฉันโครมๆ” เสียงติดน้อยใจบ่นพึมพำจนคนได้ยินอมยิ้ม

“ก็นายชักช้านี่” ร่างสูงขึงตาใส่ทันทีเมื่อเห็นแววพิเรนในดวงตาคู่ซุกซน

“แล้ว...” ไผ่เอ่ยเนิบๆขณะไล้ปลายนิ้วเขี่ยสาบเสื้อให้เปิดออกช้าๆ

“วันนี้นายพร้อมรึยัง” ร่างเล็กวกเข้าเรื่องเมื่อโอกาสเปิดช่องให้เขาสานงานต่อ มีหรือที่เขาจะไม่รีบคว้าไว้

ฟันขาวขบริมฝีปากล่างพลางช้อนตาขึ้นมองคำตอบในดวงตาสีเข้มเบิกกว้าง ก่อนจะหรี่ลงอย่างใช้ความคิด แล้วส่ายหน้าช้าๆปฏิเสธคนถาม

“อา...” ริมฝีปากอิ่มครางในลำคอเหมือนรู้ทัน จะเอาคืนเหรอ? เร็วไปร้อยปีถ้าคิดจะใช้ไม้นี้กับเขาน่ะ ลิ้นเล็กไล้เลียมุมปากอย่างคนหมายมั่นปั้นมือให้คนตัวใหญ่ขนลุกเกรียว เพราะ...

“งั้นฉันจะทำให้พร้อมเอง!” ไม่พูดพล่ามทำเพลงมือเล็กก็สอดเลื้อยเข้าไปเกาะกุมส่วนกลางลำตัวรวดเร็วจนประวิชตะปบคว้าไว้ไม่ทัน

“ไผ่!” ร่างสูงสะดุ้งหน้าเสียด้วยยังไม่ทันตั้งตัว และสะท้านไปกับแววตาวูบวาบที่จ้องมองมาราวกับกำลังฉีกทึ้งเสื้อผ้า

วันนี้อย่าคิดว่าจะพ้น! ประวิชรู้สึกหนาววาบไปทั้งตัว จนหลงลืมไปว่าเมื่อสองสามวันก่อนตัวเองอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่เพราะถูกจู่โจมกะทันหันทำให้ความตั้งใจเดิมหายเกลี้ยง!

ริมฝีปากคู่อิ่มก้มลงไล้เลียขอบปากหยักโค้ง ก่อนจะสอดแทรกเข้าไปในซอกอุ่น กระหวัดพันเกี่ยวลิ้นร้อน เก็บเกี่ยวความหวานฉ่ำทุกตารางนิ้ว นิ้วมือเล็กว่องไวกระตุกดึงกางเกงผ้าฝ้ายลงจนเห็นแกนกายนิ่งสงบ คนฤทธิ์มากขบริมฝีปากตัวเองอีกครั้ง แล้วจึงออกแรงกดจนรับรู้ได้ถึงแรงกระตุกของอีกฝ่าย

จะเปรี้ยวเกินไปแล้ว!

เสียงหอบหายใจของร่างสูงทำให้ไผ่เงยหน้าขึ้นมองสีหน้าประหม่าของคนรัก และบรรจงขยับมือนวดคลึงส่วนปลายจนรู้สึกได้ถึงแรงดึงทึ้งแขนเสื้อจากมือใหญ่กร้าน ต้นขาแกร่งแยกกว้างเมื่ออารมณ์ค่อยๆพุ่งสูงจนไม่สามารถข่มกลั้นได้อีกต่อไป

“ไผ่...หยุด” เสียงครางห้ามดังผะแผ่ว แต่ไม่อาจสลัดหลุดไปจากความอบอุ่นที่โอบล้อมร่างกายไว้ แรงปรารถนาที่เกินจะต้านทานทำให้ประวิชได้แต่เกร็งตัวแข็ง ขณะร่างเล็กค่อยๆร่นกายลงสู่หน้าท้องราบพร้อมกับลูบไล้ผิวเนื้อแน่นตึงและกดจูบไปตามแนวกล้ามท้อง แลบลิ้นเล็กสีสดแตะลงส่วนกลางลำตัวที่ขยายใหญ่จนริมฝีปากเล็กไม่สามารถครอบครองไว้ได้ในคราวเดียว

มือใหญ่กระชากไหล่เล็กออกห่างทันทีเมื่อรู้สึกถึงความชื้นแฉะแตะลงบริเวณกายเนื้อรุ่มร้อนแข็งตึงจนรู้สึกเจ็บ พร้อมกับหอบหายใจถี่

สำนึกในใจบอกให้เขาหยุดการกระทำทั้งหมดของคนตรงหน้า ไม่ใช่ไม่พอใจ หรือรู้สึกไม่ดี หากในทางกลับกัน เขารู้สึกดีจนปั่นป่วนไปทั้งช่องท้องหากไม่ได้ระบายออกในตอนนี้ เวลานี้ เขาคงคลั่งตาย

แต่ทั้งหมดนี้เขาจะเป็นฝ่ายมอบให้คนรัก ไม่ใช่นอนยังคนถูกปั่นหัว

เสียเชิงหมด!

สายตาไม่เข้าใจแกมร้อนใจของอีกฝ่ายที่แฝงเร้นอยู่ในแววตา ทำให้ดวงตาสีเข้มเป็นประกาย

เพราะเขาจะเป็นคนคุมเกมนี้เอง! ไอ้ที่ยั่วเอาไว้มากๆนั่นน่ะ เขาจะทบต้นทบดอกก็คราวนี้ล่ะ

“ทำไม...ยังไม่พร้อมเหรอ” คนตัวเล็กที่ตั้งใจปลุกอารมณ์คนรักใจฝ่อทั้งที่มั่นใจในทฤษฎีเต็มที่ กลับถูกผลักออก หากแต่ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มแปลกตา

“ใครบอก...” ประวิชดึงรั้งร่างเล็กเข้ามาใกล้

“ตอนนี้ฉันพร้อมซะยิ่งกว่าพร้อมอีก” น้ำเสียงเนิบนาบหากแน่นหนักสั่นสะท้านเข้าไปในหัวใจดวงเล็ก จนดวงตาคู่สายตวัดมองอย่างฉงน อะไรทำให้คนจอมโวยวายหลบเลี่ยงกลับมาพูดหมายมั่นปั้นมือซะขนาดนี้ได้

และก่อนจะได้คิดหาเหตุผล ร่างทั้งร่างก็ถูกพลิกกลับไปนอนใต้ร่างกำยำรวดเร็ว

“อะ!” หลุดเสียงสะดุ้งตกใจเมื่อมือสากปลดกระดุมเสื้อแล้วลงมือลูบไล้ไปตามแนวชายโครง ระเรื่อยไปถึงช่วงเอวโค้งบางแล้วจึงสอดมือเข้าไปกอบกุมแก่นกายที่เริ่มแข็งชัน มือใหญ่ดึงกางเกงให้หลุดไปทางปลายเท้า แล้วจึงยกตัวขึ้นทาบทับท่ามกลางความตื่นใจของอีกฝ่าย เมื่อรู้สึกถึงแรงกดเน้นที่กลางลำตัว พลางขยับแยกต้นขาวให้สะโพกสอบได้สัดส่วนเข้าแทรกกลางได้ถนัดถนี่ ก่อนจะระบายลมหายใจยาวชิดติดปลายจมูกโด่งรั้นอย่างพอใจ

ลิ้นร้อนเข้าตวัดซอกซอนจนริมฝีปากบางต้องเปิดรับแรงดุนดันจับจองเป็นเจ้าของ

“อา...” ไผ่รู้สึกมึนงงกับความปรารถนาที่โหมกระหน่ำเข้ามาทั้งทางริมฝีปากและส่วนกลางลำตัวที่กำลังถูกแกนกายอีกฝ่ายบดเบียดจนแทบจะเป็นเนื้อเดียว

จุดตุ่มไตแข็งสีแดงเข้มกลางแผ่นอกขาวถูกลิ้นร้อนแนบนาบขบเม้นแรง มือใหญ่บีบคลึงยอดอกอีกข้าง ให้คนตัวเล็กสะท้านร้องครางเบาๆ ปลายนิ้วอมชมพูสอดขยุ้มบิดทึ้งเส้นผมหนา โคนขาหนีบกระชับสะโพกสอบราวกับจะเกาะเกี่ยวไม่ให้อีกฝ่ายผละจากไปง่ายๆ

ร่างกายขาวโพลนท่ามกลางแสงสลัววูบวาบของจอโทรทัศน์ กระจ่างชัดในความรู้สึกของร่างสูง เขารู้ ผิวเนื้อขาวๆนั้นนิ่มและหอมแค่ไหน หน้าอกแบนราบหากจุดสีแดงเข้มก็ยั่วเย้าให้ริมฝีปากเคลื่อนเข้าหาและลากไล้ไปตามหน้าท้องราบจนถึงกลุ่มขนอ่อนนุ่ม ศีรษะคนตัวใหญ่ชะงักเล็กน้อยจ้องมองส่วนกลางลำตัวที่ไม่ต่างอะไรไปจากตัวเอง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 08-10-2009 23:00:21
สัมผัสลูบไล้อย่างพินิจพิจารณาอยู่เงียบๆทำให้คนนอนหอบน้อยๆหรุบตามองคนอยู่กลางหว่างขา แล้วยกยิ้ม หนักเกินไปสำหรับครั้งแรกของนายรึเปล่าวิช คนตัวเล็กแต่ใจเกินร้อยไม่อยากให้อีกฝ่ายฝืนทำ จึงชันขาขึ้นพยายามขยับตัวออกห่าง หากถูกท่อนแขนแข็งแรงรั้งกลับคืนและก้มลงครอบครองส่วนกลางลำตัว ปลายลิ้นร้อนตวัดเลียไปรอบๆก่อนจะส่งเข้าโพรงปากแล้วดูดกลืน

“วิช!...อา” เสียงน้ำเฉอะแฉะดังสะท้อนไปมาในโสตประสาท ส่งผลให้ใบหน้าขาวแดงก่ำ และข่มกลั้นเสียงครางไว้ในลำคอเรียวเล็ก กับเกลียวคลื่นที่ค่อยๆก่อตัวอย่างรวดเร็ว

ความสำเร็จสุขสมใจไปกับความสำเร็จที่เฝ้ารอคอยปรากฏชัดในรอยยิ้มเจ้าเล่ห์น้อยๆ ไม่ทันให้อีกฝ่ายได้เห็น สองมือเล็กขยุมศีรษะทุยเกร็งแน่นเมื่อแรงดูดกลืนหนักหน่วงจนต้องยกสะโพกขึ้นสวนหาริมฝีปากที่ยังคงครอบครอง

เสียงครางหวิวพร้อมกับแรงหอบหายใจทำให้ประวิชเพิ่มน้ำหนักและขบย้ำส่วนปลายแผ่วเบาจนรู้สึกได้ถึงอาการเกร็งไปทั่วร่าง และหยาดน้ำอุ่นพุ่งเป็นสายเข้ามาในโพรงปาก กลิ่นคาวกำจายกรุ่น ประวิชปล่อยให้สายน้ำอุ่นไหลล้นทางมุมปากแล้วกลืนบางส่วนเล็กน้อยลงคอ จากนั้นจึงลุกขึ้นมองท่าทางอ่อนยวบของคนรัก ที่ไม่เหลือวี่แววอวดดี หรือคึกคะนองบนใบหน้า

มันต้องแบบนี้สิ!

ริมฝีปากอิ่มแวววาวเผยอระบายลมหายใจแรง จนคนมองนึกอยากขบกัดและสอดเข้าไปหาความอ่อนนุ่มอย่างคลั่งไคล้ ร่างสูงก้มตัวลงไปแนบประกบจูบเบาๆก่อนจะออกแรงดันลิ้นร้อนเข้าไปในช่องปากอีกฝ่าย และร่างเล็กก็ดูพยายามตอบรับทั้งๆที่อ่อนแรง

“หมดฤทธิ์ยังล่ะที่นี้” เสียงประซิบเบาชิดใบหูขาว ทำให้ไผ่ลืมตาปรือหรี่มองคนพูด ก็พบรอยยิ้มหยอกเย้าบนใบหน้าคนตัวโตที่ดูจะภูมิใจกับการกระทำครั้งนี้ซะเหลือเกิน

คิดว่าสยบเขาได้แล้วรึไงเจ้านี่! คนตัวเล็กระบายลมหายใจพรืด

“ของจริงยังไม่เริ่มซักหน่อย คนที่หมดฤทธิ์อาจจะเป็นนายก็ได้” รอยยิ้มท้าทายกระตุ้นให้ประวิชอยากกระแทกกระทั้นเข้าไปในตัวอีกฝ่ายให้หมดฤทธิ์ในทันทีทันใด

ทั้งๆที่คิดจะหยุดอยู่แค่ตรงนี้ เพราะตัวเขาเองไม่เคยมีประสบการณ์กับผู้ชายมาก่อน เกรงว่าอีกฝ่ายจะเจ็บตัว ด้วยเขาเองก็ไม่ได้เตรียมพร้อมให้อีกฝ่ายเลย นอกจากถุงยางในกระเป๋า!

เจอท้ากันแบบนี้ก็ได้เรื่องสิ มันจะต่างอะไรไปจากผู้หญิงหนักหนาเชียว...

ไม่รั้งรอประวิชก็กดสะโพกลงบนแกนกายอีกฝ่ายแน่นและกระแทกเบาๆ พลางมองใบหน้าซับสีเลือดเบิกตาตกใจกับการกระทำไม่มีปีมีขลุ่ย

ทะ…ทะลึ่ง! ร่างเล็กครางในอก จะทำก็ทำสิ มาแกล้งหยอกมองสีหน้าเขาทำไมกัน! ยอมให้หน่อยชักเอาใหญ่นะเจ้ายักษ์นี่

รอยยิ้มมีชัยปรากฏชัดบนใบหน้าทำให้ไผ่ร้อนรน ก่อนจะควานมือและขยุ้มบั้นท้ายแน่นตึงของอีกฝ่ายเป็นการตอบแทน ประวิชมองลิ้นเล็กขบริมฝีปากล่างก่อนจะแลบลิ้นเลียมุมปากอย่างท้าทายให้รู้สึกร้อนลุ่มส่วนกลางลำตัว ที่ขณะนี้ผงาดค้ำใหญ่โต

ธรรมชาตินำทางนิ้วมือแข็งไล่ลึกไปยังซอกกลางหว่างขา แยกเนินเนื้อนุ่มก่อนจะสัมผัสลงบนปากทาง กลีบเนื้อคับแน่นปิดสนิทให้ร่างสูงค่อยนวดคลึงอย่างระมัดระวัง

“ไหวมั้ย?” ประวิชมองใบหน้านิ่วเล็กน้อยอย่างใส่ใจ และข่มกลั้นอารมณ์ตัวเองไม่ให้ลุกพรึบจนอีกฝ่ายรับไม่ไหว

ไผ่หรุบตาลงมองแผ่นอกแข็งแรง แล้วจึงสอดมือเข้าไปสำรวจหลักฐานแสดงอารมณ์ที่ตอนนี้แผ่ความร้อนแทบลวกผิวหน้าท้องเขาให้มอดไหม้ ความใหญ่โตที่เคยได้สัมผัส หากวันนี้มันดูผงาดตั้งชั้นจนคนจับอดประหวั่นใจไม่ได้

“ของแบบนี้มันต้องลอง” น้ำเสียงยั่วเย้าเอ่ยกระซิบไม่คิดจะให้อีกฝ่ายเห็นความประหม่าของตนเอง ตลกล่ะ! ที่ผ่านมาแทบจะขึ้นขี่ข่มขืน มาวันนี้จะมาทำเป็นนางเอกหนังไทยเรอะ ทุเรศตายชัก

เขาก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกันนะเฟ้ย

เจ็บก็จะไม่ร้องให้ได้ยินหรอก เพราะกลัวอีกฝ่ายหยุดทำ ที่ยั่วมาถึงวันนี้ก็พังกันพอดี

“ซ่าส์เหลือเกิน” ประวิชพึมพำบ่น แล้วดึงมือเล็กออก ก่อนจะค่อยๆแทรกปลายนิ้วตัวเองสำรวจช่องทางอุ่นจัด

อาการตอดรัดนิ้วทำให้ประวิชส่งเสียงครางในลำคอพอใจ แล้วเพิ่มจำนวนนิ้วขยับเข้าออกให้ช่องทางแคบคุ้นเคย ร่างเล็กกอดรัดไหล่ลาดไว้แน่นเมื่อรู้สึกถึงการกระตุ้นภายใน

“วิช...ฉัน...” อารมณ์ที่ถูกปลดปล่อยไปเมื่อครู่กำลังวนก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ขาเรียวได้รูปขยับแยกกว้างเปิดทางให้อีกฝ่ายสำรวจได้สะดวก

แม้จะสอดนิ้วทำความคุ้นเคย หากแต่ความคับแน่นก็ยังไม่ทำให้ประวิชคิดว่าตัวเองจะสอดกายใหญ่เข้าไปได้หมด น้ำขาวขุ่นเปรอะเปื้อนบนหน้าท้องเนียนจึงถูกป้ายปาดมาใช้แทนน้ำหล่อลื่น และก็ทำให้ได้ผลเป็นที่พอใจของร่างสูง ช่องทางเริ่มขยายกว้างและเสียงครางกระเส่าจากริมฝีปากอิ่มหอบถี่ ร่างสูงจึงยกตัวขึ้นประกบจูบ ก่อนจะยกโคนขาขาวขึ้นข้างหนึ่งแล้วค่อยๆกดแกนกายตัวเองลงในช่องทางอุ่นชื้นช้าๆ

“อา...” เสียงร้องสอดประสานดังขึ้น เมื่อสัมผัสและรับรู้ถึงความรู้สึกที่เคยได้แต่เพียงจินตนาการถึง การรอคอยได้จบลง ความสุข ความสมใจ ทุกอย่างถูกถ่ายทอดเชื่อมโยงด้วยร่างกายอุ่นของทั้งคู่

เลือดในกายสูบฉีดเร็วแรง ร่างสูงหอบสะท้านแล้วโยกกายกระแทกสะโพกช้าแต่หนักหน่วง ให้คนใต้ร่างได้ปรับตัวเข้ากับความใหญ่โตที่สอดแทรกอยู่ในช่องทางเบื้องล่าง ผนังเนื้ออุ่นร้อนภายในโอบล้อมดูดรัดแกนกายทำให้ประวิชสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ระงับความต้องการของตัวเองไว้สุดกำลัง

การมีเซ็กซ์กับคนที่รักให้ความรู้สึกดีจนเขารู้สึกเหมือนได้โอบกอดดวงดาวแห่งความสุขไว้ชั่วนิรันดร์

มือใหญ่ผละออกจากการยึดจับโค่นขาขาว ขึ้นเกลี่ยเส้นผมสลายที่ปกหน้าผากมนเบาๆ เม็ดเหงื่อผุดพรายบริเวณขมับทั้งสองข้างจนอดไม่ได้ที่จะกดปลายจมูกลงบนศีรษะทุยซ้ำๆ

“เจ็บมั้ย”

คนตัวเล็กแต่ไม่กล้าออกฤทธิ์ตอนนี้ส่ายหน้า ดวงตาคู่สวยยิ้มเย้าให้ร่างสูงรู้สึกมั่นใจ ก่อนจะขยับสะโพกเร็วขึ้นจนร่างเล็กสะท้านไหว

“อือ...” ริมฝีปากบางเม้นเข้าหากันแน่น รู้สึกเจ็บ แต่เป็นความเจ็บที่เขาเต็มใจจะรับ

ร่างสูงมองดวงตาหวานฉ่ำยกยิ้มบางๆอย่างรู้สึกหมั่นเขี้ยว จนต้องขบผิวบางบริเวณซอกคอและไล้ไปถึงไหล่เล็กขาวเป็นรอยจ้ำแดงให้คนตัวเล็กสะดุ้ง แล้วจึงผละกายออกห่าง ช้อนสะโพกมนขึ้นรับแรงกระแทกพลางเหลือบมองสีหน้าคนตัวเล็กเป็นระยะ เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังสะท้อนไปรอบบริเวณที่ตอนนี้ร่างสูงไม่คิดจะออมแรง ประวิชขยับเอวเป็นจังหวะให้ร่างเล็กขยับตัวสอดรับ

ความเจ็บปวดเริ่มจางหายเมื่อเลือดในกายเริ่มเดือดพล่านจนรู้สึกพร่ามัว ดวงตาฉ่ำน้ำแดงเรื่อแล้วหลับลงเป็นระยะเพื่อรับรู้เพียงรสสัมผัสผ่านเนื้อหนังที่เชื่อมโยงเข้าไว้ด้วยกัน แรงปรารถนาเข้าใกล้จะระเบิดทำให้ไผ่ร้องเรียกชื่อคนรัก

“วิช...ฉันจะถึง...แล้ว” มือเล็กกำเข้าหากันแน่น ขณะที่สะโพกตึงแน่นโถมแรงกระแทกกระทั้นจนร่างเล็กหวีดร้องออกมาเบาๆพร้อมกับสายน้ำอุ่นร้อนทะลักทลายทั่วหน้าท้องและแผ่นอก

ประวิชที่ข่มกลั้นความรู้สึกไว้เต็มเหนี่ยวสะบัดหน้าขบกรามจนนูนเป็นสัน ก่อนจะปลดปล่อยความรักทั้งหมดลงในช่องทางคับแคบที่รองรับไว้ไม่หมด เอ่อล้นออกมาเปรอะเปื้อน

ร่างสูงค่อยๆทรุดตัวลงนอนทาบทับแล้วผ่อนลมหายใจยาว มือใหญ่ลูบไล้ศีรษะทุยไปมา สายตามองไปตามไหล่ลาดที่ตอนนี้มีรอยแดงจากการขบกัดของตัวเอง ดูท่าจะเจ็บนะนั่น แต่ตอนนั้นเขารู้สึกอยากจะกลืนกินอีกฝ่ายเข้าไปจริงๆ ประวิชผงกศีรษะขึ้นมองใบหน้าอ่อนแรงแล้วยกยิ้มอย่างรักใคร่ ก่อนจะค่อยๆถอนตัวออกจากช่องทางแคบร้อน ซึ่งตอนนี้เขารู้สึกว่ามันร้อนจนผิดไปจากอุณหภูมิของร่างกาย น่าจะบวมมากเลยล่ะ

ไผ่ลืมตามองใบหน้าคนรักลอยเด่นตรงหน้า แล้วยกมือขึ้นลูบแก้มสากจากหนวดแข็งๆ แม้จะเริ่มรู้สึกหนึบๆบริเวณนั้น
แต่เขาก็ยังอยากรู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกดีหรือเปล่า.....เขาดีหรือเปล่า?

“นายรู้สึกดีหรือเปล่า?” ไผ่ไม่เก็บความสงสัยไว้ เอ่ยถามด้วยเสียงแหบพร่า

ดวงตาไหวระริกแฝงความไม่มั่นใจของคนที่เคยออกฤทธิ์ไว้มากมาย ทำให้ประวิชก้มลงหอมแก้มซับสีเลือดจางๆ

“ดีมากๆ” ดีจนรู้สึกว่าที่ทำไปยังไม่พอกับความต้องการที่ยังระอุอยู่ภายใน

“แต่นายเป็นไงบ้าง” ประวิชก้มลงมองหว่างขาขาวและแกนกายตัวเองคราบสีน้ำตาลแดงทำให้คิ้วเข้มขมวด

“นายเลือดออก” มือใหญ่รีบเอื้อมหยิบกระดาษเช็ดหน้าบนโต๊ะเตี้ยออกมาซับน้ำเฉอะแฉะปนเลือดให้เบาๆอย่างกังวล พลางชะโงกหน้าก้มดูร่องรอยที่ตัวเองทำไว้จนอีกฝ่ายกระตุกเขินหน้าเสีย

“วิช! ฉันไม่เป็นไรหรอก...อย่า” ห้ามไปก็เท่านั้น ในเมื่อคนตัวใหญ่สำรวจไปเรียบร้อยแล้ว ไม่มีรอยฉีกขาด แต่เพราะเสียดสีไปมาคงถลอกภายในอยู่บ้าง

“จะอักเสบมั้ย?”

“ไม่รู้สิ”

ประวิชพยักหน้าพลางนึกสงสาร ยังไงก็ผู้ชาย สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยให้ทำเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว อีกอย่างก็เป็นครั้งแรกของไผ่ด้วย

ครั้งแรก...แต่ยั่วเขาให้ตบะแตกได้ คนอะไร! คิดแล้วให้หมั่นไส้จึงก้มลงหอมแก้มอีกฝ่ายหนักๆ

“กินยากันไว้หน่อยเถอะ เดี๋ยวไม่สบายเอา”

ไผ่เลิกคิ้วขึ้นมองคนรัก “ไม่ใช่ในหนังนะ! จะมาไม่สบงสบายอะไรกันล่ะ เรื่องแค่นี้เอง ใครๆเขาก็ทำกันทั้งนั้นล่ะ” เสียงแหวดังขึ้นอย่างสุดกลั้น เพราะอายที่เป็นฝ่ายยั่วเขาก่อน แต่มาเจ็บตัวเสียเอง เสียหน้าหมด!

“อีกรอบมั้ยล่ะ”

เสียงท้าทายดังขึ้นเหยงๆข้างหูทำให้คนที่ยังต้องระงับความอยากไว้ในอกตาวาว ควรจะทะนุถนอมดีมั้ยห่ะ! ไอ้ปากอย่างนี้น่ะ

“อย่าท้านะไผ่!”

“ไม่ท้าหรอก เอาจริงเลยต่างหาก” คนตัวเล็กแต่ไม่เจียมสังขาร ลุกขึ้นพลิกตัวทาบทับอีกฝ่ายแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาน่ะใคร รอมาตั้งนานจะให้จบแค่ครั้งเดียวนี่นะ ฝันไปเหอะ ต่อให้เจ็บกว่านี้เขาก็จะทำ!

เพราะเดี๋ยวก็มีคนดูแล คอยป้อนข้าวป้อนน้ำอยู่ดี

มือเล็กลูบไล้ไปตามหน้าท้องแข็งลาดสู่แกนกายที่ยังไม่สงบดี แล้วกอบกุมบีบเคล้นหนักมือ พลางมองคนตัวใหญ่ตีหน้ายักษ์ก่อนจะพ่นลมหายใจยาวดังพรืด แล้วโถมตัวผลักร่างเล็กนอนหงายอีกครั้ง

“แล้วอย่ามาบ่นนะ” ประวิชลงเสียงหนัก มองคนใต้ร่างยิ้มอย่างวายร้าย ให้นึกคันในหัวใจ

นี่เขาจะไม่มีวันหือคนๆนี้ได้เลยเหรอ...

.................................................................................

END

ขอบคุณทุกคอมเมนท์ค่ะ
ขอบคุณเเทนพี่ sake ด้วยค่ะ

อ่านกันตาลายเลย
บางท่านบอกจบเร็ว 55 เพราะลงเร็วไง วันเดียวหลายตอน (บ้าพลังเกิน)
จะได้ไม่ค้างอะเนอะ(เเต่มึนเเทน)
.
.
.
ไว้จะเอาอีกเรื่องมาลงเร็วๆนี้ ว้าวๆ (เเนวน่ารักๆ ไม่น่าจะเครียดนะ)

เจอกันกระทู้หน้า เรื่องใหม่ (คราวนี้ลงช้าละ เพราะมีเก็บไม่กี่ตอน โหะโหะ)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 08-10-2009 23:46:17
รอรับชมผลงานเรื่องอื่นๆต่อไปนะค่ะ

เรื่องนี้ก็สนุกมากถึงมากที่สุด ถึงแม้ว่ามันจะค้างๆนิดก็ตามเถอะ

//เปิดอ่านใหม่อีกหนึ่งรอบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: premkoe ที่ 09-10-2009 00:47:30
โอ้ววววว

จบแล้วววว


หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 09-10-2009 04:51:56
เรื่องนี้สนุกมากค่ะ
ลุ้นกันคนละแบบทั้งคู่หลัก คู่รอง
เคยอ่านมาแล้ว แต่ัยังไม่เคยได้อ่านตอนพิเศษ
เลยเข้ามาอ่านตอนพิเศษของไผ่กับประวิช
ขอบคุณคนโพสต์ และขอบคุณคนแต่งด้วยนะคะ
บวก 1 แต้มให้ค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 09-10-2009 10:23:23
เรียบร้อยโรงเรียนหนูไผ่  :m25:

ขอบคุณทั้งผู้แต่งและคนโพสต์นะคะ จะเตรียมตัวรอเืรื่องใหม่นะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: ปี้ปี้ปี้~PalmY ที่ 09-10-2009 10:26:41
รักไผ่  :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 09-10-2009 15:58:58
จบแล้วววววววววววววววววววววสนุกมากๆเลยคับ รอเรื่องต่อไปเลย อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: LiuXin ที่ 09-10-2009 16:48:24
 :haun4:
ไผ่น่ารักกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
อยากอ่านคู่ไผ่กับประวิชอีกจังค่ะ อิอิ

รออ่านเรื่องต่อไปค่า
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: morrian ที่ 09-10-2009 17:59:02
จบไปแล้วเรื่องราวความรัก นท กะ วี

ซึ่งคงยังเหมือนจะทะเลาะกันได้อยู่อีกในอนาคต

เรื่องของผู้ใหญ่ก็ยังคงไม่เคลียร์ -_-''

ก็ก็อ่านสนุกคับ เรียกน้ำตาได้เหมือนกัน ^^

แต่ยกนิ้วให้ไผ่ ของเค้าดีจริงๆ 55
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 09-10-2009 18:06:07
ในทีสุดไผ่ก็ happy ซะที
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: ~NeMeSiS_PURE~ ที่ 09-10-2009 19:18:30
อ๊ากกกกกกกกกก จะลงเร็วไปหนายยยยยยยยยยยยยย

เพียวยังตามไม่ทันเลยยย เพิ่งเริ่มภาค 2 ตอน 2 เอง  :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: wanwisa ที่ 09-10-2009 21:35:09
ขอบคุณค่ะ ที่นำ้นิยายดีๆ สนุกๆ มาให้อ่่าน
ในที่สุดก็จบหมดแล้ว  แต่ว่า....ยังอยากอ่านเีรื่องของเทวัญ กับ ทวีป ต่อค่ะ
ไม่รู้ว่าจะได้อ่านหรือเปล่าน้อ...
 o13 :bye2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 09-10-2009 23:41:28

^
^
^

555+ จิ้มรีบนๆ
ลงเร็วไปออ เเหะเเหะ
จะได้ไม่ค้างไง






หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 10-10-2009 02:47:32
  o13    o13

 



:bye2: :bye2:





 :z2:    :z2:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: thaitanoi ที่ 10-10-2009 15:20:51
แอบมาดูก่อนพอดีต้องรีบไปข้างนอก เดี๋ยวกลับมาอ่านนะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: RAKDEK_KA ที่ 10-10-2009 18:27:13
 :jul1: :jul1: :jul1: นอนจมกองเลือด เนื่องจากอ่านมากไปหน่อย
 :really2: :really2: :really2: แต่เนื้อเรื่องสนุกดีค่ะ
เดี่ยวไปตามอ่านเรื่องใหม่  วันเดียวจบ ทำเอาแทบ บร้า :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: Chanta ที่ 13-10-2009 01:04:30
 :m25:

เฮ้อ....ลุ้นเเทบตายว่าจะมีอะไรกันมั้ย.....

ไม่ผิดหวังที่รอคอย... o18

แต่อยากได้ตอนพิเศษอีกคู่นึงอ่ะ....

จะรอน่ะ... :bye2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: maxtorpis ที่ 13-10-2009 10:34:37
 o18
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 14-10-2009 14:45:58
จบแว้ววววววววววววว
เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ชอบมากกกกกกกกกกกครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: ДηοηγМ ที่ 14-10-2009 20:45:49
ขอบคุณมากค่ะสำหรับเรื่องราวที่นำมาลงและพีเอ็มที่ส่งไปบอกเรา  :pig4:
ดีใจมากมายที่ได้อ่านตอนพิเศษแล้ว อิอิ

ชอบงานของคุณ sake จังเน้ออออ

ปล.เพิ่งได้เข้าเล้าเนี่ยอ่ะค่ะ หายไปตั้งแต่ยังไม่ย้ายโฮสต์เลยมั้งเราน่ะ เหอๆ  อ้อ บวก1ให้ค่า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: mascot ที่ 31-10-2009 08:27:42
หนุกหนาน...อ่านจนวางไม่ลง

ขอบคุนที่นำเรื่องดีดีมาให้อ่าน

รักจัง... : 222222: : 222222: : 222222: : 222222:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 31-10-2009 09:58:41
^
^
+ 1 ให้จ้ะ

thx
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: rero ที่ 15-12-2009 19:07:22
อ่านเรื่องนี้หลายรอบแล้ว
ขอบคุณผู้แต่งและคนโพสต์
เป็นเรื่องหนึ่งที่ชอบมาก
เนื้อเรื่องเป็นเหตุเป็นผลในตัวมันเอง

คนแต่งเก่งมาก...

จะตามอ่านเรื่องต่อไป
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 28-12-2009 21:59:28
ฮ่าๆ ชอบคู่ วิช - ไผ่ จังครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: Greenkub ที่ 08-01-2010 20:49:55
ขอบคุณคับ


 :L2:

 o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: Dorumi ที่ 07-02-2010 03:17:54
เรื่องนี้สนุกมากเลย อ่านแล้วลุ้นดี
พระเอกกับนายเอกทะเลาะกันมันส์ดี
ชอบจ๊ะ ขอบคุณมากเลยนะจ๊ะที่เอามาลงให้อ่าน
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: pimkihae ที่ 09-02-2010 01:06:33
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ
สนุกมากๆๆเลย
ลุ้นมากมายกับคู่วี-นท
ในที่สุดก้อเข้าใจกันซะที
ตอนจบ จะว่าค้างมันก้อค้างนิดนึ่งอ่ะนะ
เพราะยัยอร ไม่รู้จะมายุ่งอีกรึป่าว
ส่วนคุณพ่อ-แม่ของวี จะยอมรับนทได้มั้ย
แต่คงไม่น่ามีปัญหา ขอแค่สองคนรักและเข้าใจกันก้อพอ
แล้วก้อชอบคู่วิช-ไผ่ด้วย
น่ารักดีอ่า ชอบๆๆ
ขอบคุณคนแต่ง คนโพสมากมายนะค่ะ :L2: :L2:
ที่เอาเรื่องสนุกๆ น่ารักๆมาให้อ่าน

หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: ┠┨ ¡ Þ Þ ☻ ❣ ╰╰ ที่ 09-02-2010 07:00:42
มันส์  พะยะค่ะ....ขอบอก.....ชอบมากอ่ะ...น่ารักทุกคู๋

ถึงแม้ว่ามันจะดูม่ะค่อยเคลีย  ตอนจบ....แต่ม่ะเปนรัย...สามารถค่ะ....
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 10-02-2010 01:21:06
จบไม่เครียแต่ก็โอเคอยู่นะคะ มีชะนีช่ายว่าพระเอกจะใจอ่อน

ติดตรงนายเอกเรื่องนี้ ปากหนักไปหน่อย เห็นแล้วแบบว่าได้อย่างใจ ทั้งที่มาจากผู้ช่ยจริงๆแต่มันให้อารมณ?สาวไปหน่อย น่าจะแมนกว่านี้สะนิดหน่อย นี่ออกแนวปวกเปียกไปหน่อยค่ะ

แต่สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ขอบคุณมากๆเลยนะคะ อยากอ่านอีกทำไงดีอ่ะ

ปล.NCเลือดสาดมากๆค่ะ :o8:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: knightofbabylon ที่ 15-02-2010 12:43:19
ตามอ่านมาตั้งแต่เมื่อคืนตอนดึกๆ แต่เพิ่งอ่านต่อจนจบเมื่อกี๊ 55

สนุกมากค่ะ แอบไม่เคลียร์คู่ของนทกับวีนิดนึงเหมือนกัน

คู่ไผ่กับประวิชก็..กว่าประวิชจะยอมรับความคิดตัวเองได้นี่ก็นานเอาการอยู่

ขอบคุณที่เอามาลงให้อ่านค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: kboom ที่ 26-04-2010 00:23:14
สนุกมากเลยครับ :mc4:

ชอบคู่ไผ่กับวิชอ่ะน่ารักดี :-[

ไผ่น่ารักยั่วดีจริง ๆ ชอบ ๆ  :กอด1:

แต่คู่หลักจบแบบไม่เคลียร์อ่ะ :m16:

ค้าง ๆ ไงไม่รู้ :เฮ้อ:

ขอบคุณครับที่นำงานเขียนดี ๆ มาให้เราได้อ่านกัน

 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 26-04-2010 07:19:24
อ่านผลงานใหม่ของคุณ sake แล้วคิดถึงเรื่องนี้ค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 01-05-2010 21:41:26
สนุกค่ะ
แต่


ไม่มีเลือดเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: Nabee ที่ 22-05-2010 21:48:40


เรื่องนี้สนุกมาก ๆ เลยฮะ

ทั้งคู่หลัก คู่รอง น่ารักทั้งสองคู่เลยอ่ะ

แต่ภาคสองเนี่ย...แอบเครียด และปวดใจอยู่พอสมควร

สุดท้ายทุกอย่างก็จบลงได้ด้วยดี...อิอิ

แอบชอบไผ่อ่ะ...ทั้งน่าัรัก ทั้งยั่วเก่งอีกต่างหากกกก...อ๊ากกกกกกก...ชอบบบบบบ


ขอบคุณมาก ๆ นะฮะ XD
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: didi ที่ 23-05-2010 23:32:09
สนุกมากค่ะ :z2:
ขอบคุณที่แต่งเรื่องสนุกๆๆๆ อย่างนี้มาให้อ่านค่ะ :L2:
สู้ๆๆๆๆค่ะ :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: chatori ที่ 30-05-2010 20:12:50
อ่านนอนสต็อปเลยทีเดียว
ตาแห้งเลย เหอๆ ชอบทั้ง
สองคู่เลย อิอิ น่าร้ากกกกก
ภาคสองนี่ดราม่าบีบหัวใจ
แต่สุดท้ายก็แฮ๊ปปี้ ดีใจมากๆ
ขอบคุณนะคนโพสท์คนแต่ง : )
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: nolirin ที่ 01-06-2010 21:11:04
อ่านรวดเดียวจบเลยค๊าบบบบ
อ่านเรื่องหมอทิ-น้องหอมเลยติดใจคุณSake
ตามมาอ่านเรื่องนี้สนุก น้ำตาท่วมจอไม่แพ้กันเลย :sad4:
คู่ไผ่กะวิชก็น่ารักซะ :impress2: แต่เกลียดไอ่คุณเทวัญสุดๆ

+1 นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: lasom ที่ 04-06-2010 02:01:14
โคตรสนุกเลย ไม่มาต่ออีกหรอ :z2:
ยังไม่กลับมาคลายปมคู่คุณเทวัญเลย เอิ๊กๆๆ หนุ่มน้อยประชาสัมพันธ์คนนั้นอ่ะป่าวน้าส์ :impress2:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 04-06-2010 09:15:18
ทีแรกเห็น9 หน้า แต่ปรากฎว่าลงถี่มากอ่านยาวเลย แต่สนุก น่ารักมากๆเลยค่ะ
นทใจแข็งไปหน่อย ออกจะสงสารคุณพระเอก แต่ก็ดีใจที่สุดท้ายลงเอยกันได้ ถึงแม้ตอนจบจะยังไม่เคลียร์เท่าไหร่
ส่วนคู่รองชอบมากเลยค่ะ น่ารัก น่าหยิก ประวิชก็นะไม่รู้ได้ไงคนเค้าหลงรักมาเป็นสิบๆปี
น้องไผ่น่ารัก อิอิ
ขอบคุณเรื่งอราวสนุกๆที่คุณเจี๊ยบเอามาลง และที่ขาดไม่ได้ขอบคุณ คุณsake ด้วยค่ะที่เขียนเรื่องสนุกๆมาให้อ่านกัน จะรออ่านเรื่องใหม่นะคะ 
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: SongjiGun ที่ 04-06-2010 17:33:09
ชอบๆๆๆๆๆๆมากเลย
หวานกันได้อีก
อิจฉาจัง
อยู่ต่ออีกนิดนะครับบบบ
จะบ้าตาย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: SongjiGun ที่ 06-06-2010 01:31:28
สุดยอดมา  กกกกกกก
เล่นเอาเรานอนดึกตั้งหลายวัน
ความรักมันก้อเปนชะนี้แหละ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 13-06-2010 21:16:09
อ่านหลายรอบแล้วสนุกดีครับ :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: angelzlover ที่ 14-06-2010 20:52:10
umm
nice   :L2: :L2:
but i like the first one more
haha
maybe because the second one is kind of serious
very good line  :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 24-06-2010 08:35:23
เพิ่งอ่านจบเมื่อคืน
เลยแวะมาขอบคุณตอนเช้าค่ะ
สนุกมากๆเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: evilheart ที่ 25-06-2010 09:16:20
 ชอบไผ่กะวิชอ่ะ  
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 10-07-2010 09:07:10
อ่านแล้วเกิดอาการจี๊ดเป็นระยะๆ อิิอิ
สนุกมากค่ะ ได้อารมณ์ผู้ใหญ่มากเลย ตอนพิเศษไผ่กะวิชก็น่ารักจัง :o8:
ขอบคุณค่าาา :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: nano ที่ 11-07-2010 02:49:12
วันนี้อ่านรวดเดียวเลย
สนุกได้อีก ได้รสชาติทุกวัยดีจัง ทั้งวัยมหาลัยกะวัยทำงาน
สุดท้ายก็จบแฮปปี้ทั้งสามคู่เลย

อ่านแล้วทำให้รุ้สึก ความอดทนแล้ว ความเข้าใจ จะทำให้ชีวิตคู่ยืนยาว
ขอบคุณนะครับ ที่ให้ได้ข้อคิดดีๆ


แต่ชอบไผ่จังเลย น่ารัก เอ็กซ์ ช่างยั่่วซะจริงๆ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 12-07-2010 08:44:36
ในที่สุดก็มีความสุขกันสักที
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: fernnakab ที่ 15-07-2010 00:25:56
ชอบคู่ไผ่-วิชมากเลยค่ะ^^..สนุกมากๆเลยค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: pay-it-forward ที่ 23-07-2010 10:57:37
สนุกมากๆเลยเรื่องนี้
น่าจะมีตอนพิเศษของนทและวีด้วยด้วยนะ
ขอบคุณมากๆค่า
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: kungfoopungpon ที่ 27-07-2010 05:55:09
 o13 o13
สนุกมากครับเรื่องนี้น่าจะมีภาคต่อจากตอนของ นทนที กับ วี นะ
ว่าแม่เขาอนุญาติให้คบกันไหม
แต่สนุกมากคับขอบคุณมากคับที่เอาเรื่องดี ๆ มาให้อ่าน :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: sundaysundae ที่ 27-07-2010 20:16:18
แรงมากเลย
ก่อนอื่นต้องขอบคุณคนแต่งและคนโพสมากๆนะค่ะ
เรื่องนี้อ่านมาตั้งแต่เที่ยงจนค่ำเพิ่งจบแบบว่าติดมากกกอ่าตลอดเลย
จะอ่านหนังสือก็ไม่ได้อ่านเลย (ฮา) ชอบมากเลย
ตอนอ่านภาคแรกก็ลุ้นคู่วีกับนทอยู่น่ารักดี ยิ่งพระเอกเป็นนักมวยด้วยยิ่งชอบสุดๆ
ลุ้นว่าเื่มื่อไหร่วีและนทจะพูดกันดีๆบ้าง (เหอะๆ) แต่ก็เอะใจมาเรื่องของคู่วิช-ไผ่
คู่นี้ก็ชอบไผ่ดูดื้อดี เซี้ยวมากมาย(หึๆ) พอจบหนึ่งสองเล่นเอายิ้มเลย
แต่พออ่านภาคสองโคตรเครียดเลยอ่า
ทั้งสองคนเหมือนเป็นคลื่นใต้น้ำด้วยกันทั้งคู่ทั้งวีทั้งนท
แล้วอ่านไปก็แอบหมั้นไส้นทแต่ก็เข้าใจ
แต่เพราะนทแคร์คนอื่นมากไปบ้างครั้งก็เลยทำร้ายหัวใจตัวเองไปด้วย
แต่สุดท้ายก็ลงเอยกันดีมากมาย
ส่วนเรื่องแม่ก็เราว่าถ้าสองคนไม่มีเรื่องที่ต้องทำให้เครียดกันทั้งคู่
ก็น่าจะผ่านกันไปได้ด้วยดีนะ
ส่วนน้องอรก็สมน้ำหน้ามากกก(โดนเด้งไปไหนแล้วก็ไม่รู้ฮ่าๆ)เหมือนจะร้ายแต่ก็แพ้ความจริงใจของวีฮ่า
ของคู่ไผ่นี้แบบอินมากกกร้องไห้ตามเลยโดนมาก ทำดีมาเก้าปีแต่วิชบื้อไม่รู้เรื่องเนี่ย ฮ่าๆ
ขนาดบทอัศจรรย์ยังถูกใจเลย

สุดท้ายนี้ขอบคุณเรื่องนี้มากๆ มันไม่ได้เป็นเรื่องที่ให้ความบันเทิงอย่างเดียวยังสอนการใช้ชีวิตคู่อีกด้วย
ขอบคุณมากๆค่ะ


หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: dragonfly08 ที่ 27-07-2010 20:31:11
สนุกมากๆ เลย
ขอบคุณสาเกและคุณเจ๊ีี่ยบ
พอดีเพิ่งได้อ่านเรืองน้องหอมกะหมอทิจบ ตามอ่านงานของคุณสาเก ไม่ผิดหวังจริงๆ
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: beambeam ที่ 28-07-2010 15:45:57
 :haun4: NC กระจาย 555+ ชอบแบบนี้อ่ะ เป็นนิยายที่รู้สึกทำให้ความรักในโลกนี้สดใสขึ้นเยอะเลยอ่ะ  o13 o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: nbom_pkai ที่ 30-07-2010 23:35:47
น่ารักอ่ะครับ
อยากอ่านตอนพิเศษอ่ะครับ
ของคู่ พี่วี-พี่นท
อิอิ
หวังสักวันว่าจะเจอคนที่รักเรา อย่างที่เราเป็น
และ  รักจากหัวใจ
^-^
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: NannY ที่ 08-08-2010 14:48:58
ตามมาจากพี่หมอทิและน้องข้าวหอมค่ะ

กิ๊ดดด เรื่องนี้ชอบมากๆ เลยค่า สนุกๆ มากๆ ชอบอ่ะ
รู้สึกคู่วีกับนทจะไม่เคลียร์ง่ะ ฮือๆๆๆ อยากอ่านต่อ  :monkeysad:

คู่ไผ่กับวิชเนี่ยสิ ยังจะเคลียร์มากกว่าอีก กร๊ากกก ชอบไผ่อ่ะ ซ่า น่ารักมากค่ะ  :z1:

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: Regina_1 ที่ 11-08-2010 05:05:57
ตามมาจากพี่หมอทิกะน้องข้าวหอม
เหมือนกันค่ะ
(ตามคนข้างบนมาง่ะ...คริคริ)

ขอบคุณคนโพสและไรท์เตอร์มากมายๆๆๆๆๆ
-ก้มๆๆหัว-
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ ตอน ใต้ฟ้าสีคราม หัวใจเราใกล้ก
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 11-08-2010 17:12:03
ขอบคุณทุกคอมเมนท์ด้วยนะคะ
จะทยอยบวกหนึ่งให้เรื่อยๆ

มีข่าวจากผู้เเต่งมาฝากจ้า ตามนี้

เรื่องรวมเล่ม ก็รวมค่ะ แต่ติดที่หาคนทำรูปเล่มบ่ได้ (รับทำมา2คนบอกลาหมด) เลยต้องทำเอง ก็ยืดมาตั้งแต่ With all my heart แล้วล่ะค่ะ ทำใจว่าจะยืดไปถึงเมื่อไรก็ไม่รู้ แต่ก็จะพยายามต่อไปค่ะ55


ตอนพิเศษของ Eternal sunshine ไม่ได้เขียนไว้เลยค่ะ เพราะตอนนี้เขียนเรื่องใหม่อยู่ เลยหยุดไปซะทุกอย่าง ตั้งใจว่า เรื่องใหม่ใกล้จบ ก็จะมาลุยทำรูปเล่มนิยายต่อและเขียนตอนพิเศษด้วย อีกนานหลายเดือนเลยค่ะ(ไม่จบไม่โพสแน่ๆค่ะ)

ขอบคุณจากใจจริงๆนะคะ ที่เป็นกำลังใจให้ คำแนะนำจะนำไปปรับปรุงผลงานต่อๆไปค่ะ


วันศุกร์ที่ 13 นี้ ฤกษ์งามยามดี จะมาลงเรื่องสั้นประมาณ 6 ตอนจบ ของพี่sake สุดสวย เจ้าเดิม
รออ่านกันได้ เเนวสนุกๆฮาๆ หลอน เฮี้ยนขนาดไหน เจอกันเเน่ๆ ตอนดึกๆ ห้าห้าห้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ *จากผู้เเต่งหน้า10*
เริ่มหัวข้อโดย: april@tbl ที่ 11-08-2010 23:11:20
สนุกมากเลยค่ะ
ชอบคู่ไผ่-วิช น่ารักดี
คู่นท-วี ถึงจะhappy ending แต่ก็แอบกังวลยังไงไม่รู้
ขอบคุณมากนะคะ ทั้งคนแต่งและคนนำมาลง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ *จากผู้เเต่งหน้า10*
เริ่มหัวข้อโดย: nidnoi ที่ 11-08-2010 23:48:29
เข้ามารอเรื่องใหม่ค่ะ

 :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ *จากผู้เเต่งหน้า10*
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 12-08-2010 02:48:38
รับทราบครับ
รออ่านเรื่องใหม่
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ *จากผู้เเต่งหน้า10*
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 12-08-2010 02:55:31
เข้ามารับทราบและรอคอยอ่านเรื่องสั้นนะคะ

เรื่องนี้เราเพิ่งอ่านจบสดๆร้อนๆเลยค่ะ แบบว่าคู่หลักนี่กว่าจะลงตัวก็บีบหัวใจซะเหลือเกิน TT
แต่คู่รองทำเอาอมยิ้มเลยค่ะ น่ารักดีจริงๆ

ขอบคุณคุณ SAKE อีกครั้งสำหรับนิยายสนุกๆที่แต่งมาให้เราได้อ่านกัน แล้วก็ขอบคุณคุณ jeab_u ที่นำนิยายดีๆมาโพสท์ด้วยนะคะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ *จากผู้เเต่งหน้า10*
เริ่มหัวข้อโดย: ณ ที่เดิม™ ที่ 13-08-2010 20:54:43
แวะมาอ่านขอรับ :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ *จากผู้เเต่งหน้า10*
เริ่มหัวข้อโดย: Rockstar ที่ 13-08-2010 23:36:50
เรื่องนี้เราก็ชอบนะอ่านไปลุ้นไปจนวินาทีสุดท้าย หุ หุ
แล้วเรื่องนี้จะมีตอนพิเศษอีกหรือเปล่าเอ่ย
แต่ก็จะตั้งหนาตั้งตาคอยตอนพิเศษของอีกเรื่องนะคะ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ และก็ขอบคุณที่นำเรื่องราวๆน่ารักๆมาให้ได้อ่านกันนะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ *จากผู้เเต่งหน้า10*
เริ่มหัวข้อโดย: mama_bom ที่ 14-08-2010 10:57:16
ปถวี

ถึงร้าย แต่ก็รัก อิอิ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ *จากผู้เเต่งหน้า10*
เริ่มหัวข้อโดย: Hachi_an1234 ที่ 15-08-2010 16:52:42
เพิ่งเข้ามาอ่านํฮบพี่... หนุกดีอะ..
แต่ว่ารู้สึกว่าอยากให้เคลียร์คู่ของวีและนทอะ...
อยากให้วีได้รู้ธาตุแท้ๆๆๆๆของ ใยอรตัวแซบอะ... :z6: :beat: ฮาๆๆๆๆ
แล้วก็อยากเห้นคู่นี้เค้าสวีทกันแรงๆหน่อยอะ.. ไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือไรเงี้ยยยอะ..
ดูคุ่นี้เค้าจะเครียดไปนิดอะ.... :เฮ้อ:
ส่วนคู่ของวิชกับไผ่ น่ารักมากมายเลยฮับ.... ฮุๆๆๆ... นู๋ไผ่แอบแรงงงง... แต่ก็แรงกับวิชคนเดียววว ฮาๆๆๆๆ....
คู่นี้อ่านแล้วมีความสุขอะ....

แต่อยากให้พี่แต่งเพิ่มคู่ของเทวัญและเหนือได้ป่าวฮับบบ...  :call:อ่านแล้วรู้สึกว่าคู่นี้เค้ามีๆๆๆ อะไรๆๆๆกันอยู่...
ดูเหนือจะเศร้าๆๆด้วยอะ....
ของคุณสำหรับเรื่องสนุกๆๆอย่างนี้นะฮับบ... :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ *จากผู้เเต่งหน้า10*
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 16-08-2010 22:51:10
^
^
^

น่าจะอีกนานเลยอะ เดี่ยวจะบอกพี่เค้าให้นะคะ
เเต่พี่เค้าเเต่งเรื่องใหม่อยู่

ไปอ่านอีกเรื่องก่อนนะ เรื่องสั้นหกตอนจบ หน้านิยายจ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ *จากผู้เเต่งหน้า10*
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 22-08-2010 02:22:47
o13 สนุกดีค่ะ อ่านรวดเดียวเลย ไม่มีตอนพิเศษ วี-นท บางเหรอ  :o8:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ *จากผู้เเต่งหน้า10*
เริ่มหัวข้อโดย: momo9476 ที่ 22-08-2010 23:25:35
อยากบอกว่าเรื่องนี้สนุกมากเลยยยย อ่านตั้งแต่เที่ยงโน่นเพิ่งมาจบตอนใกล้เที่ยงคืน
สนุกวางไม่ลง หนังสือไม่ได้อ่าน การบ้าน รายงานแล็บไม่ได้ทำเลย
เสียดายจบแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าแม่พี่วีจะยอมรับได้ไหม แต่ก็จบแบบ happy ก็ดีใจแล้ว

ภาคสองแบบว่าคู่ นท - วี ทะเลาะกันได้โล่มาก อีกคนก็รักมากจนระแวงไปหมด อีกคนก็กังวลเรื่องฐานะมากไป
แต่สรุปเรื่องนี้สนุกไม่ผิดหวังจริงๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ *จากผู้เเต่งหน้า10*
เริ่มหัวข้อโดย: K2KARN ที่ 01-09-2010 11:59:55
คู่ของไผ่กับวิชน่ารักจริงๆ : )
ส่วนตัวรู้สึกเหมือนคนอื่นเลยค่ะว่าคู่ของนทกับวีแลจะกังวลกับอาคตหน่อยๆ
แต่วีแร๊งขนาดนั้น คาดว่ายังไงก็คงคู่กันอยู่ดีแม้จะเจออุปสรรคบ้าง
แต่ผ่านกันมาได้ขนาดนี้ก็เยี่ยมแล้วนี่เนอะ ,, *


เรื่องของคุณ Sake สนุกทุกเรื่องเลยค่ะ
จะตามอ่านให้ครบนะคะ อิอิ*

+1 ค่า : )
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ *จากผู้เเต่งหน้า10*
เริ่มหัวข้อโดย: Þrestigë ที่ 02-09-2010 01:26:48
ยังลุ้นไม่หาย 5 55

นอนไม่หลับเลยถ้าไม่เคลียร์ ):

สุดท้ายเรยนั่งอ่านจนจบ บบบ

ถ้าวีรักนทก็ดีแล้ว :)

ปล. ขอบคุณที่ลงไห้อ่านเน๊อออ :)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ *จากผู้เเต่งหน้า10*
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 08-09-2010 03:03:52
ภาค1จบแระ
แต่ง่วงมาก
ไว้จะมา่อ่านต่อภาค2นะคะ
ชอบวีค่ะ นทก็น่ารัก แต่คู่น้องไผ่กะวิชก็น่าลุ้นค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake จบเเล้วจ้า / ภาคพิเศษ *จากผู้เเต่งหน้า10*
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 09-09-2010 00:21:09
ขอบคุณที่มีเรื่องดี ๆ แบบนี้มาให้อ่าน   o13    :L2:


นลกับวี อ่านแล้วได้แง่คิดดี ๆ ในการประคองความรักให้คงอยู่ต่อไปว่า
คนเรารักกัน คบกัน ก็ต้องไว้ใจ เชื้อใจ กัน   :L1:   :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: ovam ที่ 12-10-2010 21:41:15


ขอบคุณคร้าบบบบ ,,



    :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: yr_meteor ที่ 14-10-2010 17:52:21
อยากอ่านคู่เทวัญ-เหนือ
แล้วก็คู่ทวีป-กันย์ เพิ่มอ่ะ
ชอบ ๆ กรี๊ดดดด น่ารักมากเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: love2y ที่ 17-10-2010 21:12:12
เห็นจำนวนหน้าน้อย คิดว่าจะสั้นๆ อ่านกันตาเหลือกเลยค่า ฮ่าๆๆๆ ชอบ!!!
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: boyza_Casanova ที่ 28-10-2010 05:58:31
คึดเหมือนผมเลยครับคุณ love2y 5555
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: Chocolate108 ที่ 31-10-2010 12:15:40
สนุกมากเลยอ่า

อ่านรวดเดียวจบเลย ><

ชอบคู่วิชกะไผ่ ไผ่ชั่งยั่ว อิอิ

น่ารักดี ชอบมาก ๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: Cressent ที่ 03-12-2010 22:27:33
 โฮ๊กกกก  :pighaun:

อ่านมาทั้งวัน หุหุห

ขอบคุณมากค่ะ ที่เอามาลงให้อ่าน คุณsake เขียนดีมากๆค่ะ o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: ZakeiHarha ที่ 06-12-2010 12:19:19
สนุกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ >________<~


ชอบค่ะ  เป็นกำลังใจให้นะ  ^_____^~
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: Bejae ที่ 06-12-2010 15:32:35
เพิ่งอ่านจบภาคแรก ฮิฮิ
น่ารักมากกกๆ ตอนสุดท้ายนิพี่วีน่ารักได้อีก ฮิ
เด๋วตามมาเก็บต่อ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: pinkky_kiku ที่ 07-12-2010 02:21:36
เพิ่งตามมาอ่านจ้า เนื้อเรื่องสนุกดีอ่ะ ชวนติดตามมากๆเลยจ๊ะ
เราอยากให้แต่งภาคพิเศษ คู่หลักหน่อยอ่า แบบว่ามันจบค้างคา
ยังไงไม่รู้อ่าจ้า ยังไงฝากบอกคุณสาเกด้วยนะคะ อิอิ ชอบมากๆเลย
ไว้วันหลังว่างๆจะมาตามอ่านเรื่องอื่นจ๊ะ
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: Bejae ที่ 07-12-2010 03:28:14
อ่านภาคสองจบแระ
โห หหหหหหหหห เครียดตาม!!
รักกันก้อต้องเชื่อใจ ไว้ใจ และเข้าใจกันสิเน๊าะ
มีอารัยก้อต้องคุยกันดีๆ หึ้ย ยยยย เล่นเอาเครียดตาม !!!

เด๋วมาเก็บสเปต่อทีหลัง วันนี้มะไหวแระค่า าา
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: NONSENSE ที่ 07-12-2010 19:22:44
อ่านรวดเดียวจบ  (แทบไม่กินข้าว อิอิ)

สนุกค่ะ

ขอบคุณผู้โพส และผู้แต่งค่ะ

 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 07-12-2010 21:38:05
555+
น่ารักนะเรื่องนี้ ถึงจะมีให้ลุ้นจนปวดตับไปบ้างแต่ก็โอเค
อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: พระสนมฝ่ายซ้าย ที่ 11-12-2010 16:22:48
อ่านรวดเดียวจนจบเลยค่า ใช้เวลาสองวันค่ะ ^^
เครียดกับวี-นทไปซะเยอะเลยค่ะ
แต่ก็ลงเอยด้วยดีเนอะ
วิช-ไผ่ก็น่ารักดีค่ะ  :-[
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: Bejae ที่ 11-12-2010 22:33:02
อ๊าา าาาา สเปวิช ไผ่  :-[ :-[
เขิน นน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: TamuNe ที่ 13-12-2010 22:27:22
สนุกมากค่า ขอบคุณที่เอามลงให้อ่านนะคะ แต่มันค้างๆๆอะ อยากอ่านตอนพิเศษอีก  :impress:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 18-12-2010 13:23:42
อ่านจบแล้ว น่ารักทั้งสามคู่เลย แล้วจามีตอนพิเศษของคู่คุณเลขารึเป่าอะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: aehJTS ที่ 24-12-2010 17:03:48
และแล้วก็อ่านจบสนุกมากคะเศร้ากับชีวิต วี และนท
แต่มาฮาเอากับเจ้าไผ่ตัวแสบนี่แหละคะ เผลอไม่ได้จะจับวิชกดตลอด :jul3:
ขอบคุณ ทั้งผู้แต่ง และผู้ลงนิยายนะคะ  :pig4:

ปล.ดีใจตามอ่านนิยายของคุณ SAKE ครบทุกเรื่องแล้วคะ รอผลงานต่อไปคะ :bye2:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 30-01-2011 22:28:49
 :z3:  เจ้าไผ่น่าหมั่นเขี้ยวอ่าาาาา  ขี้ยั่วจิงๆเลย   วิชจัดเต็มไปเลยสิ  ฮ่าๆๆๆ :m20:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: lolilo ที่ 15-02-2011 05:28:25
เอ่อ จบค้างจริงๆ ด้วย
คุณน้องนท ทำเอาอึดอึดตั้งแค่เปิดภาค 2 โอ้ยๆๆๆ
จะเป็นจะตาย 555+

ขอบคุณคุณสาเก กับ คุณเจี๊ยบ นะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 16-02-2011 16:58:28
สนุกดีค่ะชอบมาก

แต่รู้สึกว่าภาคของวี+นทมันจบยังไงไม่รู้

น่าจะมีตอนพิเศษของคู่นี้นะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: mayuree ที่ 21-02-2011 22:29:28
ระทึกว่าจะไปกันรอดไม่รอดซะใจสั่น...เฮ้อ
นทก็ขี้กังวล วีก็ขี้หึงขี้ระแวง ดีนะที่เข้าใจกันได้น่ะ
ส่วนคู่ไผ่น่ารัก น่าหยิกสุด ชอบตู่นี้มากๆเลยล่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: fayala ที่ 23-02-2011 15:51:28
สนุกดีค่ะ ชอบคู่วิชกับไผ่.. ที่จริงน่าจะเขียนเรื่องของกันย์ด้วยนะนี่.. อิอิ
+1 ขอบคุณคนแต่งและคนโพสท์ค่ะ!!
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: kazama ที่ 21-03-2011 02:00:56
ภาคแรกสนุกมากๆเลย

ไม่เครียดเท่าภาคสอง

ภาคสองเรื่องวุ่นๆมันเยอะไปหน่อย อ่านแล้วมึนเลย เครียดด้วย

แต่ก็สนุกจริงๆ

ขอบคุณมากๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: tummy22 ที่ 08-04-2011 20:43:12
ขอบคุณค้าบ..........................................
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: chiaki ที่ 10-04-2011 19:04:04
นทก็ปากหนัก ตาวีก็ขี้หึง โอ๊ยยย อ่านภาค 2 ไปก็เครียดไป คิดว่าจะไม่รอดซะแล้ว :serius2:
แต่ก็สนุกค่ะ ขอบคุณทั้งคนแต่งและคนโพสท์มากๆ ค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: I_HAM_NOI ที่ 06-07-2011 17:54:34
ชอบมากคร๊าฟ 
ขอบคุณคนแต่งและคนเอามาลง 
อ่านที่เดี่ยวจบเลย1วัน1คืนเต็มๆ  สุดยอดครับ
ขอบคุณอีกที
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 22-07-2011 22:15:01
สนุกดีค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: mamaUM ที่ 24-07-2011 01:21:07
น่ารักมากเลยค่ะ  สนุกมากกก  ๆๆๆๆๆๆๆๆ

แต่เห็นด้วยนะที่ว่า จบไม่เคลียร์ 

อยากอ่านต่ออีกกกกก ^^
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: boran ที่ 04-09-2011 15:37:34
อ่าาา อยากอ่านตอนของปถวี นทนทีอีก ------ ยังจบไม่รู้เรื่องเลยยยยยยย ยังไม่เปิดตัวเลยยยยยย น่ารักจังเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: YMP ที่ 09-09-2011 02:34:48
 :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: a_tapha ที่ 15-09-2011 10:28:06
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากๆ  o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 15-09-2011 22:43:27
ไม่มีสเปของคู่หลักเหรอคะ
ค้างคาในหัวใจนิดๆอ่ะ

ภาคสองนี่ อ่านแล้วไมเกรนขึ้นเลยค่ะ
เครียดมาก อินมาก ฮาา
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 16-09-2011 22:21:21
อ่านเรื่องนี้แล้วแบบว่า  :เฮ้อ: 

ภาคแรกสนุกดีครับ  น่ารักดี

ชอบอ่ะ พระเอกเป็นนักมวย กัดๆกันน่ารักๆ มีเหตุผลดี

ภาคสองโครตเบื่อ  เซ็ง  เกลียดดดดดอ่า

ไม่ชอบที่ตอนแรกวียัง"มักง่าย"ไปเรื่อยๆ ไม่แคร์นทเลย

แล้วก็ไม่ชอบนทเลยที่อะไรก็ไม่รู้  งี่เง่า เอาแต่ใจ ไร้เหตุผล

แคร์ทุกอย่างยกเว้นแฟนของตัวเอง  ยุ่งแต่กับไอเทวัญบ้าไรนั่น

เนื้อเรื่องภาคสองอึดอัดมากกกกกก  ปมนิดเดียว แต่ยืดเยื้อซะหน่อยแทน

แต่ยังไงก็จบแฮปปี้(แม้จะไม่ค่อยเคลียร์ก็ตาม)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: POPEA ที่ 17-09-2011 13:58:24
ภาคสองนึกว่าจะำไปกันไม่รอดนะ
คบกันมา 9 ปี ทะเลาะกันประจำอะ
แต่สนุกมากเลยค่ะ! ชอบภาคหนึ่งมากกว่าอะ

 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: Still_14OC ที่ 18-09-2011 15:46:31
นท-วี ภาคแรกยังกัดกันอย๔เลย ไหง ภาคสอง โดนพายุน้ำตาซัดกระจาย
ส่วน ไผ่-วิช กว่าอะไรจะลงตัวถ้ามีมีลูกก็ โตจะเป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว น๊าน นาน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: ASSASSIN ที่ 28-09-2011 16:44:09
o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 01-10-2011 01:14:12
สนุกมาก ๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: Gallavardin_phen ที่ 02-10-2011 01:56:34
นท กับ วี  จบแบบค้างๆไปหน่อย แต่น่ารักอ่ะ
ชอบไผ่กับวิชมากกกกก อ๊ากกกก :impress2: :impress2:

จบได้แบบว่า :haun4: :haun4: :haun4:
 :oo1: :oo1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: Phing ที่ 13-10-2011 10:05:53
อ่านภาคสองแล้วเครียดนึกว่าจะไปกันไม่รอด
แต่สุดท้ายก็จบด้วยดี
ชอบไผ่กับวิชเหมือนกัน อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: nishiauey ที่ 21-11-2011 17:49:55
สนุกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ >________<~
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: อาคิรา ที่ 21-11-2011 18:52:29
 :pig4: :pig4: :pig4:(http://)
สนุกมากกกกกค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: appletokki ที่ 03-12-2011 05:20:30
 :impress2:
ขอบคุณคนโพสต์และคนเขียนนะค่ะ
ภาคแรกน่ารักมากมายแต่ภาคสองอ่านแล้วปวดใจทะเลาะกันจนเราเครียดตาม
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: TinyB ที่ 04-12-2011 02:12:50
ในที่สุดก็ตามอ่านเรื่องนี้จบแล้ว ฮ่าฮ่า เย้เย้  :เฮ้อ:
ภาคแรกไม่เท่าไหร่ แต่ภาคสองเหนื่อยๆใจกับมือที่สามนิดหนึ่ง  :z3: คนเขามีเจ้าของแล้วก็ยังจะโน้มน้าวให้ไปหาให้ได้  :angry2:
ปั๊ด! ต่อยตาแตก  :m16: แต่ผมก็ค้างคาเรื่องคุณเทวัญกับหนุ่มน้อยประชาสัมพันธ์คนนั้นนะ แบบว่าอยากรู้ต่ออ่ะ อยากรู้  :serius2:
เรื่องนี้เหมือนจะมีหลายคู่ที่ต้องไปให้ไปจิ้นกันเองแฮะ ทั้งกับ ทวีป-กันย์+คุณเทวัญ-หนุ่มน้อยประชาสัมพันธ์  :z10:
ขอแสดงความยินดีกับคู่หลักด้วยครับที่ฝ่าฝันอุปสรรคด้วยกันเรื่องมือที่สามมาได้  :กอด1:
ส่วนคู่วิช-ไผ่ คึคึ ชอบไผ่จัง  :o8:


 :pig4: คนเขียนและคนโพสครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: puu142 ที่ 20-12-2011 18:41:52
                                                          เขียนได้ดีมากครับ.........ชอบนะครับ

                                               ..................................แต่................................

            มันค้างๆ อยู่หรือเปล่าครับสำหรับคู่ของ  วี-นท  รู้สึกอ่านแล้วยังไม่น่าจะจบ...แม้มันจะ HAPPY และเข้าใจระดับหนึ่ง

    แต่ถึงอย่างไรก็ประทับใจครับ............และขอเป็นกำลังใจให้นักเขียนนะครับ.......ให้สร้างสรรค์ผลงานดีๆ อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: erng ที่ 21-12-2011 21:30:39
แบบว่า
เข้าใจทั้งคู่เลยค่ะ วีก็รักมากก็เลยห่วงมากกกกก
ซึ้งในคำว่ารักเลยยย ก่อนจะปล่อยเค้าไป ได้รั้งเค้าไว้ทุกทางแล้วจริงๆๆๆ
อ๊ายยยยยยยยยย เขินนนนนน
แอบอิจฉานทททททททท
นทก็น่ารักมากกค่ะ มั่นคงมากที่สุดในโลกเลยยยยยย
คู่นี้ ของเค้าดีจริงงงงงง

ชอบบบบบบบบบบมากกกกกกค่า

คุณเทวัญ เป็นตัวร้ายที่น่ารักที่สุดเลยยยย
ชอบบบบบบบ
พูดง่าย เข้าใจง่ายยยยย ตัวละครในฝันมากค่ะๆๆๆ

เรื่องนี้สอนให้เห็นอัไรเยอะเลยค่ะ คิดถึงคำว่ารักให้มากกก
และจำไว้ว่า รักเป็นเรื่องของคนสองคน
ควรทำและตัดสินใจด้วยกันนนนน

ขอบคุณมากๆๆๆนะค่า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 10-01-2012 20:44:28
ภาคแรกภาคสองอารมณ์ต่างกันเลย แต่สนุกทั้งสองภาคนะ ^ ^
อยากให้สองคนนี้เปิดเผยกะที่บ้านจริง ๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: IaminLove ที่ 11-01-2012 10:03:15
อ่านจบแล้วเย้~
ชอบคู่ประวิชกะไผ่ที่สุดเลยอ่ะ อ่านแล้วมันแสบๆ คันๆ หัวใจดี ตอนที่ไผ่หนีไป แล้วประวิชพยายามตามหาจนไปเจอ แล้วไผ่ดันวิ่งหนีอีกซะเนี่ย

ขอบคุณที่ลงเรื่องนี้ให้อ่านนะคะ น่ารักมากๆ ^^
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: vascular ที่ 11-06-2012 00:20:40
อ่านรวดเดียวทั้งวันจบ สนุกแบบตาลาย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 11-06-2012 19:20:13
ลุ้นตลอดอ่ะ
เรื่องนี้ :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 13-06-2012 10:07:20
ชอบๆมากค่าสนุกมาก o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: mulli ที่ 14-06-2012 16:38:58
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: Tiamo_jamsai ที่ 14-06-2012 18:02:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: อากาศใต้ผ้าห่ม ที่ 27-06-2012 04:02:06
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุก ๆ จ้า
ลุ้นมากเรื่องนี้ ๕๕๕๕๕๕  o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: badcoala ที่ 27-06-2012 19:04:45
เป็นเรื่องแรกของคุณ Sake เลยที่ได้อ่าน (แล้วก็อ่านซ้ำหลายรอบมาก) ชอบทั้งเนื้อเรื่อง ตัวละคร (ไม่เวอร์ดี) การใช้ภาษา ฯลฯ
แล้วก็ตามอ่านเรื่องอื่นๆมาเรื่อยๆ
ขอบคุณค่ะที่ทำให้มีเรื่องดีๆให้ได้อ่าน  :3123:

แล้วเรื่องนี้ กับเรื่อง with all my heart จะพิมพ์รวมเล่มด้วยมั้ยอ่ะคะ ^^

หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 27-06-2012 20:51:20
เรื่องนี้ยังไม่มีแพลนรวมเล่มค่ะ
ตอนนี้รวมเรื่อง eternal sunshine ก่อน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: HoMophobia ที่ 05-07-2012 02:24:18
o13 o13 o13
          ติดตามต่อมาจากหมอทิกับน้องข้าวหอมเช่นกันคร้าบ แต่เรื่องนี้ค่อนข้างหนักไปหน่อยเพราะความกดดันที่วีและนทมีต่อกันและกัน ถึงจะจบไปแล้วมันก็สนุกนะครับแต่มันค้างๆ เหมือนไม่จบยังไงไม่รู้ มันเป็นปมหลายปมแต่มันไม่ได้คลี่คลายได้ไม่หมด ไม่เหมือนวิชกับไผ่เพราะมันค่อนข้างชัดเจน เพราะมันมีปมไม่เยอะเหมือนวีกับนท แต่เนื้อเรื่องก็ดีครับกระชับน่าติดตาม ส่วนที่กดดันก็กดดันเหมือนแน่นในอก อึดอัดดีครับ ส่วนที่หวานก็หวานให้ฉ่ำใจอยู่ทำให้รู้สึกสุขแบบอิ่มๆ อ่ะครับ
          แต่ละตัวละครมีแนวคิดที่ต่างกัน เป็นแนวทางที่ผู้แต่งพยายามให้รู้ว่าคนรักกันอย่ายึดมั่นในแต่แนวคิดของคนหากแต่ต้องยอมรับความคิดและความต่างของกันและกันต่างหาก ทำให้ประทับใจอีกครั้งในแนวคิดของผู้แต่งนะครับ และที่จะลืมไม่ได้คือคุณเจี๊ยบนะครับที่พยายามมาอัพเดทให้สม่ำเสมอทำให้ได้อ่านกันจนอิ่มเลยทีเดียว มาเป็นกำลังใจให้นะครับถึงแม้จะช้าไปหน่อย


                                                                         :L1: :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 05-07-2012 22:24:50
 o13  หนุกมาก

 :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 18-07-2012 14:28:53
สนุกมากๆเลย

แม้จะมีตอนที่เสียน้ำตาบ้างอ่ะไรบ้าง  แต่ก็ประทับใจนิยายเรื่องนี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: kisz ที่ 18-07-2012 23:26:28
จบแล้ววววววววววววว

จบแบบ คู่เอกเหมือนยังมึนๆ อึนๆ งงๆ อยู่เลยอ่ะ ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: naamsomm ที่ 19-07-2012 22:53:26
ตอนแรก วีกับนท นึกว่าจะตีกันตายซะแล้ว
ไม่ยอมกันเลย
แถมวีก็ขี้หึงเวอร์มากกกกกกกกก
แต่ชอบนะ
มันรู้สึกถึงรักและใส่ใจกันดี
ไผ่กับวิช
ไผ่แรงอ่ะ
แต่เราก็ชอบบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 20-07-2012 03:38:38
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: SoN ที่ 24-07-2012 19:33:04
^^
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: maykiz ที่ 29-07-2012 15:04:29
 :o8:  :haun4: :o12: :pig4: หลากหลายอารมณ์ ขอบคุณนะคะ สนุกมากๆเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 19-08-2012 14:52:30
ตามมาอ่านจากเรื่องหมอกับข้าวหอมครับผม ท่าทางเรื่องนี้จะดราม่าน่าดูเลยแฮะ น่าสนใจต้องอ่านอย่างแน่นอนครับผม
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 24-08-2012 03:14:31
เรื่องคู่หลักยังไม่เครียร์เรื่องครอบครัวเลยง่ะ? หรือจะอยู่แบบนั้นไปตลอด

คู่รองนี่น่ารักมากมาย ชอบประวิช แต่ชอบวีมากกว่า ห่ามๆแต่จริงใจและจริงจัง

ขอบคุณมากๆนะครับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: rakna ที่ 24-08-2012 08:37:57
ชอบอ่านนิยายของคุณsake น่ะค่ะ สนุกทุกเรื่องเลย



หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: ♥Täsinä→l3€LL♥ ที่ 25-08-2012 13:54:15
สนุกมากค่ะ  ชอบๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: p_a_n ที่ 26-08-2012 18:56:40
Very very good story! Love it>.<
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: Mize ที่ 29-08-2012 03:27:09
อ่านไปยิ้มไป น่ารักมากเลย ยังไม่อยากให้จบเลย
อยากอ่านตอนพิเศษของ วีกับนท ด้วย มีไหมอะ :impress2:
ชอบทุกคู่เลยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: loverken ที่ 09-10-2012 09:21:03
 :call:

ขอคาราวะคนแต่ง....สนุกมากคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: charapin ที่ 10-10-2012 08:58:02
เกลียดอีน้องอร
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: charapin ที่ 11-10-2012 23:49:50
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ถอนหายใจให้ภาค2 อ่ะ  จบแล้ว แต่มันยังไม่สุดอ่ะ :a5: :a5:

ขออีกหน่อยจะดีมากๆ :3123: :3123:

 :oo1: :o8: :o8: ในที่สุด ไผ่ก็ได้ซะที

ตอนแรกแอบรำคาญไผ่มากกกก :beat: :beat:

แต่ว่าพอวิชทำไผ่เสียใจแล้วสงสารมาก :sad4: :sad4:

แต่สุดท้าย พี่สาเก o13 o13 o13เยี่ยมมาก

แล้วก็ขอบคุณคุณเจี๊ยบที่นำมาลงคร้าบบบบบบบบบ :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: vevi ที่ 13-10-2012 19:39:15
สองภาคอารมณ์ต่างกันเลย
ภาคสองความรักของนทและวี ทรมานคนอ่านเหลือเกิน หน่วง แล้วก็ร้อนรนมาก
นทก็มีกำแพงของตัวเอง
เปิดใจ เชื่อใจกัน ก็คงมีความสุขในความรักที่มีให้กันมากๆอย่างนี้ไปตั้งนานแล้ววววเนอะ  :L2:


ขอบคุณนักเขียนนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: lionnoi ที่ 14-10-2012 09:29:42
ตอนที่ 10


ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย ความรู้สึกหนักอกหนักใจ เหนื่อยไม่เสียทุกอย่าง นี่พวกเขาเข้าใจกันจริงๆหรือเปล่านะ

“ไอ้บ้าเอ๊ย!...ทำไมไม่ยอมเข้าใจกันบ้าง” นทนทีปาหมอนส่งๆไปที่พื้นอย่างหัวเสีย ก่อนจะนอนกลิ้งนอนเกลือกบนที่นอนไปมาจนเผลอหลับ


XXXXX

ท่ามกลางความรู้สึกมืดมัวในใจ ปถวีที่ไปส่งนทนทีถึงบ้านหากแต่ไม่ได้เลยกลับบ้านใหญ่อย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก เจ้าตัวหักหมุนพวงมาลัยพาตัวเองมุ่งสู่คอนโดที่เพิ่งออกมา แล้วงัดเอาเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ในตู้มาเปิดดื่มอย่างคนตายอดตายอยาก

จะต้องทำยังไง จะต้องให้ฉันทำยังไงฮึ!

ร่างสูงกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟาตัวยาว แล้วต้องขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณที่ประตูดัง

V

นท ก็อยากให้วี เข้าใจ
วีก็อยากเก็บ นทไว้คนเดียว
แต่ตอนนี้ก็โตแล้ว ต้องมีสังคมนะ
วีจะมาเก็บนท ไว้กะตัวตลอด อย่างนี้ไม่ได้หรอกนะ
ก็เข้าใจวีนะว่าหึง ไม่อยากมาเห็นประธานคนนั้นต้องมาวอแวกับ นท
หวงของๆเค้านี่เนอะ 
แต่ถ้า วีให้นท ลาออกแล้วไปทำงานที่ใหม่ แล้วยังเจอแบบนี้อีกล่ะ
ครั้งหน้าอาจจะไม่ได้เจอคนที่ไม่บังคับฝืนใจแบบประธานนะ
จะให้นท หนีออกมาจากคนกลุ่มนี้ตลอดเลยเหรอไง
คนเราก็ต้องมีสังคมนะ  :m15:
แต่จะว่าไปก็สงสารวีเหมือนกัน ที่ต้องมาทนเห็นคนรักของตัวเองอยู่กับคนที่จ้องจะงาบ
คิดไม่ตก  :z3:
กลับไปอ่านต่อดีกว่า
รอคนแต่ง จบบทสรุปให้   o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: lionnoi ที่ 14-10-2012 12:20:33
จบแล้ว ขอบคุณคุณ Sake มากเลยนะคะทืี่แต่งนิยายดีๆมาให้ได้รับชมกัน
และขอบคุณ คนโพสท์ด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 15-10-2012 18:20:15
+1 ค่ะ
สนุกมากเลย  น่ารักกันทั้งสองคู่
ขอบคุณคนแต่งและคนโฟสนะค่ะที่นำเรื่องดีๆมาให้อ่าน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: BeauBeeiiz ที่ 05-11-2012 07:05:02
สนุกมากกกกก!! ,, ตามมาอ่านจากเรื่องพี่หมอทิกับน้องข้าวหอม!! ,, สนุกจริงๆมีหลายอารมณ์เลยทีเดียว

ขอบคุณนะค่ะที่นำนิยายดีๆ สนุกๆมาโพสต์ให้อ่านกัน :))

รอมาโพสต์เรื่องต่อไป
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: Chk~a ที่ 24-07-2013 23:15:43
อ่านทึเดียวจบเลยค่ะ
ภาคสองหน่วง ๆ
ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-07-2013 22:03:03
อ่านจบแล้วบอกได้เลยว่าไม่ชอบการกระทำของเจ้านายกะเลขาของบริษัทนทมากๆ
ทำแบบนี้ไม่แมนเลยทั้งคู่ ยิ่งคุณเลขานะ ไม่ไหว

เสียดายจบเร็วไปหน่อย อยากอ่านตอนของกัณฑ์ว่ามีอดีตยังไง
แล้วต่อไปจะเย็นยังไง แต่ไม่เอาคู่กับอีตาเลขาอีกคนนะ 5555

ส่วนคู่ไผ่ อ่านแล้วตลกอ้ะ คนอารายยยยย  ^^
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 24-10-2013 13:34:47
ภาคแรกดีแล้วนะคะภาคสองหน่วงสุดๆแถมจบไม่ค่อยจะเคลียเท่าไหร่ในความรู้สึกเรา :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: miyuujung ที่ 09-11-2013 17:13:38
อ่านยาว จุใจมาก แบบ rep ต่อ rep ตอนต่อตอนเลยทีเดียว มีเรื่องราวความรักหลายรูปแบบด้วย มี 3 คู่ที่จบแฮปปี้ ส่วนอีก 2 ยังคลุมเครือ คู่ของกันย์ กับ คู่เทวัญ แต่งต่อให้จบเลยเถอะนะคะ อีกสัก 2 ภาค ตามอ่านแน่นอนค่ะ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: benji ที่ 12-11-2013 19:34:30
 :katai4: :ling1:


 :z3:

อ่านจบ ตอนที่ 19 แล้ว ก้ รู้สึกเหมือน หลายๆคนค่ะ
 
มันดูไม่ค่อยเคลียร์ในหลายๆประเด็น หรือ คนเขียน

ตั้งใจ จะนำเสนอแค่ ในส่วนของ วี กับ นท

แต่อย่างไรก็ดี น่าจะมีในส่วนของความรู้สึกของ  ครอบครัว ทั้งสอง

ว่ารู้สึกอย่างไรกับความสัมพันธ์ทั้งคู่ เพราะ คนเขียน

เอ่ยถึง ความกังวล ของ นท ต่อสังคมภายนอก ตลอดเวลา

จนเกือบจะต้องเลิกรากับ วี

...นี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ของ คนอ่านนะคะ...

ขอบคุณมากค่ะสำหรับ นิยาย สนุกๆ

ไปต่อตอนพิเศษ ไผ่ กับ วิช ดีกว่าค่ะ
 :กอด1:


หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: M.J. ที่ 15-11-2013 18:08:28
 :m25: :m25: :m25: :m25: สนุกมากๆเลยฮะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: wargroup ที่ 28-12-2013 18:45:31
ดราม่่ามีระดับ! ชอบมากๆเลยค่ะ
คู่ปถวี x นทนทีโดนใจ กิเลสที่เป็นจริง แต่คือจบเรื่องได้แบบ...ชวนอ่านต่อเหลือเกิน 555
ประเด็นร้อนยังอีกเพียบ เช่น ถ้าครอบครัวทั้งคู่รู้ขึ้นมาล่ะก็!?!! ท่าจะระห่ำไม่เบา เสี้ยนอยากอ่านมากค่ะ
ถ้าเป็นไปได้อยากให้คุณ Sake เขียนต่อจังเลย ขอความกรุณาด้วย ขอบคุณนะคะ
ปล. ประทับใจกับ Beyond the Skyฯ มาก จบงามมากไม่ค้างคา มารับถึงบ้าน พร้อมเฉลยปัง ฟินฟู่ฟุ้งกระจาย

 
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: Ningg.Destiny ที่ 14-01-2014 10:10:00
 :mew1: :mew1:

เย้!!! อ่านจบแล้วค่ะ
ภาคสองเป็นอะไรที่กดดันมาก วีกับนททะเลาะกันบ่อย
แบบเป็นปัญหาที่พูดหันยังไงก็ไม่ลงตัว
กว่าจะลงเอยกันได้ลุ้นแทบแย่

ส่วนคู่วิชกับไผ่ในที่สุดก็สมหวังสักที
ไผ่รักเดียวใจเดียวมากจริงๆ
แต่วิชนี่แบบกว่าจะรู้ใจตัวเองเกือบเสียไผ่ไปแล้วนะ

สุดท้ายนี้ นิยายสนุกมากค่ะ ชอบมาก
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: qq_oo ที่ 25-01-2014 11:57:34
สนุกมากๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: Sapphire moon~Dark BluE.. ที่ 02-05-2014 19:42:54
อ่านรวดเดียวจนจบเลยค่ะ ภาคแรกยังเป็นวัยมหาลัยที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก
พอเข้าภาคสองคือทะเลาะกัน อึดอัดแทนทั้งนททั้งวีเลยค่ะ อ่านแล้วลุ้นว่าทั้งคู่จะหาจุดพอดีกันลงตัวไหม
แต่ทั้งนั้นทำเพราะคำว่ารักคำเดียวทั้งคู่เลย แอบคิดว่าถ้านทไปเรียนต่อวีจะคลั่งขนาดไหนนะคะเนี่ย
 :mew4: :mew4:

เราแอบเสียดายที่คุณ sake ไม่ลงต่อ
เพราะจริงๆก็แอบเปิดประเด็นทั้งคู่ของทวีปกันย์และปริศนาของประธานเทวัญกับหนุ่มน้อยประชาสัมพันธ์
อ่านไปลุ้นไปขอให้ต่อทุกเมื่อเชื่อวัน เสียดายจริงๆนะคะ สองคู่มีประเด็นดูท่าทางไม่เล็กเลย
 :ling1: :ling1:
-
เราชอบนิยายเรื่องนี้พอๆกับเรื่องอื่นของคุณ sake เลยค่ะ อ่านแล้วอิ๊นอิน >_<
ขอให้กลับมาเขียนต่อไวๆนะคะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: Tea for Thee ที่ 09-06-2014 13:32:58
ขอบคุณพี่ sake คนแต่ง แล้วก็ขอบคุณพี่เจี๊ยบที่เอามาโพสด้วยนะคะ  :pig4:
ตามอ่านแบบเต็มอิ่มมากกกกก จุกไปเลยทีเดียว 5555
ชอบการตั้งชื่อตัวละครของพี่ sake อ่ะ เพราะๆทั้งนั้นเลย   :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: kanatthanit ที่ 10-06-2014 11:15:56
แบบนี้ แปลว่าต้องมีภาค 3 ใช่มั้ยคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 18-01-2015 07:24:53
อ่านนิยายของคุณ Sake เกือบครบทุกเรื่องแล้ว เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ดีค่ะ แต่อ่านแล้วหน่วงกับภาคสองมากจริงๆ คู่นทกับวีไม่เคลียร์หลายประเด็น ไม่ชอบเลยช่วงต้นภาคสอง ที่วีแอบมีซัมติงเล็กๆน้อยๆกับคนอื่น ทั้งที่บอกว่ารักมากกกก ส่วนนทก็งี่เง่าไปหน่อย คิดมาก แต่ก็ไม่ยอมเอาตัวออกจากปัญหา หงุดหงิดทุกทีเวลาที่นทห่วงใยคุณเทวัญ มันเกินไป.. ที่รู้สึกเหมือนถูกตัดจบห้วนๆคือประเด็นครอบครัว ยังไม่ทันรู้เรื่องเลย อ้าวเฮ้ย.. จบซะละ แต่ก็ชื่นชมผู้แต่งนะคะ แต่งดีทุกเรื่องค่ะ แต่เรื่องนี้ช่วงหลังๆคำผิดเยอะไปนิด ^^
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 01-02-2015 22:23:56


อ่านแบบยาวๆ

ฟินแบบยาวๆ

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: sasaka8 ที่ 08-03-2015 21:45:12
ขอบคุณนะคะ นิยายน่ารักดี กว่าจะรักกว่าจะลงตัวลุ้นมาก :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 24-08-2015 22:23:27
ของคุณ SAKE น่ารักทุกเรื่องเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 26-08-2015 12:33:21
ขอบคุณทั้งคนเขียนและคนโพสค่ะ
สนุกชวนติดตามมากๆ
ทำเราเสียน้ำตาไปหลายปี๊บเลย
แต่ก็ให้ขัอคิดเรื่องชีวิตคู่ได้มากทีเดียว
ดีใจที่จบhappy ค่ะ ไม่งั้นคงเศร้ามากกว่านี้ ^^
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 12-09-2015 23:37:28
อ่านรวดเดียวจบ นทก็เห็นแก่ตัวจริง ๆ กว่าจะเข้าใจ ชอบวีอ่ะรักมาก ไม่มีวันปล่อยมือ
ขำวิชตอนเจอเพื่อนไผ่ รักไผ่คนเดียว ๆ 555
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: konjingjai ที่ 16-08-2016 18:29:07
สนุกมากๆ ครับอ่านรวดเดียวจบเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 18-08-2016 07:45:47
น่าจะมีต่ออีกอ่ะ มันยังไปได้อีก มันหน่วงไม่สุดอ่ะตอนดราม่า มันแบบคิดได้เร็วไปป :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: lllittled ที่ 18-08-2016 23:24:48
 :pigha2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 07-11-2016 19:41:57
ขอบคุณค่ะ
กลับมาอ่านอีกรอบ
น้ำตาท่วมอีกเช่นเคย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: b02290 ที่ 02-02-2017 23:47:33
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 17-05-2017 23:13:40
ช่วยมาต่อเรื่องของวีกับนทให้จบเถอะมันค้างคามาก
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: Napa ที่ 20-05-2017 03:22:37
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: Kangkoa1 ที่ 09-09-2017 03:52:13
สนุกมากเลยค่ะ เพิ่งเคยอ่านผลงานของคุณ sake เรืองข้าวหอมกับหมอทิจนถึงเรื่องนี้ก็สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่เอามาลงให้อ่านจะติดตามผลงานคุณ sakeได้ที่บอร์ดไหนบ้างคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 28-08-2018 02:46:16
อ่านเรืีองนึ้มา3-4รอบแล้ว
พยายามทำความเข้าใจกับนท แต่ก็ยังไม่เข้าใจเท่าไรอยู่ดีอ่ะ
ตอนจบวี-นท เราว่าความรู้สึกมันยังไม่เคลียร์ไงไม่รู้
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 12-12-2018 07:35:09
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 14-12-2018 14:26:03
 :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: AgotoZ ที่ 15-01-2019 21:16:08
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: NYpat ที่ 09-05-2019 08:19:52
ความรัก ถ้าไม่มาพร้อมการกระทำ อาจทำให้รักจบลง ความรักที่เป็นเรื่องของคนสองคน แต่ไม่พูดกันก็ยิ่งไม่เข้าใจกัน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: HunHan9407 ที่ 01-06-2019 19:14:28
ตบชะนีจะผิดไหม ทำตัวน่ารังเกียจใครจะเอา เหอะ!!! :z6:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: pond16198 ที่ 19-06-2019 04:43:05
สนุกดี :a5: :t3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: Maeo ที่ 25-06-2019 10:45:49
สนุกมากค่ะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 10-11-2019 07:46:13
 ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: Xiaoyongyi ที่ 09-03-2022 22:45:03
สนุกมากกกกกกกกกกก เสียดายมาเจอช้าไป
สำหรับคู่หลักเราว่าจบดีเลยล่ะ  ว่าแต่นักเขียนหายไปไหนคะ ใครรู้บ้าง  ตามไปที่เพจก็ไม่เห็นอัพเพจมานานมากแล้ว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 29-03-2022 20:46:27
 :seng2ped:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 08-04-2022 21:44:38
สนุกดีค่ะ แต่ว่าคู่หลักดันตัดจบแบบค้างๆาะงั้น
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: PanGii ที่ 13-04-2022 01:29:09
รวดเดียวไปเลยค่ะ เนื้อเรื่องสนุกแต่เหมือนตัดจบไปเบาๆ ชอบหนูไผ่เสียน้ำตาให้เยอะเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: TrebleBass ที่ 22-05-2022 20:17:06
สนุกค่ะ  ขอบคุณที่เขียนเรื่องราวดีๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: b2friend ที่ 24-06-2022 21:58:45
คู่ของวิชกับไผ่จบแบบแฮปปี้ แต่คู่หลักอย่างวีกับนทจบแบบงง
หรือว่าเราเป็นคนเดียว :really2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: Xiaoyongyi ที่ 25-06-2022 00:03:43
คู่ของวิชกับไผ่จบแบบแฮปปี้ แต่คู่หลักอย่างวีกับนทจบแบบงง
หรือว่าเราเป็นคนเดียว :really2:
ไม่งงหรอกค่ะ  แม่พระเอกรักลูกก็ตามนั้น  ถ้าซื้อเล่มก็จะมีเรื่องราวเพิ่มนิดเดียว  นิดเดียจริงๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: Xiaoyongyi ที่ 28-03-2024 07:51:51
รำคาญทั้งไอ้คุณเทวัญและเลขาพ่วงนทไปด้วยอีกคน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 04-04-2024 18:06:15
ทรู ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ตทรู 1 เม็ก 27บ./1วัน กด *900*3704*17907808#
เน็ตทรู 1 เม็ก 49บ./2วัน กด *900*3709*17907808#
เน็ตทรู 1 เม็ก 59บ./3วัน กด *900*3783*17907808#
เน็ตทรู 1 เม็ก+โทรทรู 65บ./3วัน กด *900*3765*17907808#
เน็ตทรู 1 เม็ก 129บ./7วัน กด *900*3714*17907808#
เน็ตทรู 1 เม็ก 129บ./7วัน กด *900*8880*17907808#
เน็ตทรู 1 เม็ก+โทรทรู 139บ./7วัน กด *900*3767*17907808#
เน็ตทรู 1 เม็ก+โทรทรู 268บ./15วัน กด *900*3769*17907808#
เน็ตทรู 1 เม็ก 375บ./30วัน กด *900*3720*17907808#
เน็ตทรู 1 เม็ก 375บ./30วัน กด *900*8886*17907808#
เน็ตทรู 1 เม็ก+โทรทรู 407บ./30วัน กด *900*3771*17907808#
เน็ตทรู 1 เม็ก 803บ./90วัน กด *900*1794*17907808#
เน็ตทรู 1 เม็ก 1,284บ./180วัน กด *900*9959*17907808#
เน็ตทรู 1 เม็ก 1,926บ./365วัน กด *900*9960*17907808#
เน็ตทรู 2 เม็ก 24บ./1วัน กด *900*1307*17907808#
เน็ตทรู 2 เม็ก 30บ./1วัน กด *900*3705*17907808#
เน็ตทรู 2 เม็ก 81บ./3วัน กด *900*3784*17907808#
เน็ตทรู 2 เม็ก 129บ./7วัน กด *900*1318*17907808#
เน็ตทรู 2 เม็ก 161บ./7วัน กด *900*8881*17907808#
เน็ตทรู 2 เม็ก 161บ./7วัน กด *900*3715*17907808#
เน็ตทรู 2 เม็ก+โทรทรู 139บ./7วัน กด *900*1323*17907808#
เน็ตทรู 2 เม็ก 482บ./30วัน กด *900*3721*17907808#
เน็ตทรู 2 เม็ก 482บ./30วัน กด *900*8887*17907808#
เน็ตทรู 2 เม็ก+โทรทรู 380บ./30วัน กด *900*8561*17907808#
เน็ตทรู 2 เม็ก 1,070บ./90วัน กด *900*8346*17907808#
เน็ตทรู 2 เม็ก 1,605บ./180วัน กด *900*9738*17907808#
เน็ตทรู 2 เม็ก 2,782บ./365วัน กด *900*9737*17907808#
เน็ตทรู 4 เม็ก 35บ./1วัน กด *900*3706*17907808#
เน็ตทรู 4 เม็ก 35บ./1วัน กด *900*3888*17907808#
เน็ตทรู 4 เม็ก 64บ./2วัน กด *900*3710*17907808#
เน็ตทรู 4 เม็ก 102บ./3วัน กด *900*3785*17907808#
เน็ตทรู 4 เม็ก+โทรทรู 107บ./3วัน กด *900*3766*17907808#
เน็ตทรู 4 เม็ก 236บ./7วัน กด *900*3716*17907808#
เน็ตทรู 4 เม็ก 193บ./7วัน กด *900*8882*17907808#
เน็ตทรู 4 เม็ก+โทรทรู 246บ./7วัน กด *900*3768*17907808#
เน็ตทรู 4 เม็ก 391บ./15วัน กด *900*3770*17907808#
เน็ตทรู 4 เม็ก 149บ./30วัน กด *900*9954*17907808#
เน็ตทรู 4 เม็ก 696บ./30วัน กด *900*3722*17907808#
เน็ตทรู 4 เม็ก 696บ./30วัน กด *900*8888*17907808#
เน็ตทรู 4 เม็ก+โทรทรู 470บ./30วัน กด *900*8562*17907808#
เน็ตทรู 4 เม็ก+โทรทุกค่าย 150บ./30วัน กด *900*9840*17907808#
เน็ตทรู 4 เม็ก+โทรทุกค่าย 165บ./30วัน กด *900*9836*17907808#
เน็ตทรู 4 เม็ก+โทรทรู 1,284บ./90วัน กด *900*1795*17907808#
เน็ตทรู 4 เม็ก+โทรทรู 2,247บ./180วัน กด *900*9961*17907808#
เน็ตทรู 4 เม็ก+โทรทรู 3,852บ./365วัน กด *900*9962*17907808#
เน็ตทรู 5 เม็ก 107บ./5วัน กด *900*1962*17907808#
เน็ตทรู 6 เม็ก 49บ./1วัน กด *900*3707*17907808#
เน็ตทรู 6 เม็ก 91บ./2วัน กด *900*3711*17907808#
เน็ตทรู 6 เม็ก 81บ./3วัน กด *900*1328*17907808#
เน็ตทรู 6 เม็ก 252บ./7วัน กด *900*1324*17907808#
เน็ตทรู 6 เม็ก 289บ./7วัน กด *900*3717*17907808#
เน็ตทรู 6 เม็ก 289บ./7วัน กด *900*8883*17907808#
เน็ตทรู 6 เม็ก 910บ./30วัน กด *900*3723*17907808#
เน็ตทรู 6 เม็ก 910บ./30วัน กด *900*8889*17907808#
เน็ตทรู 8 เม็ก 150บ./30วัน กด *900*1207*17907808#
เน็ตทรู 8 เม็ก+โทรทุกค่าย 175บ./30วัน กด *900*9750*17907808#
เน็ตทรู 10 เม็ก 59บ./1วัน กด *900*3708*17907808#
เน็ตทรู 10 เม็ก 107บ./2วัน กด *900*3712*17907808#
เน็ตทรู 10 เม็ก 300บ./7วัน กด *900*8884*17907808#
เน็ตทรู 10 เม็ก 354บ./7วัน กด *900*3718*17907808#
เน็ตทรู 10 เม็ก+โทรทุกค่าย 220บ./30วัน กด *900*9837*17907808#
เน็ตทรู 12 เม็ก 193บ./7วัน กด *900*8565*17907808#
เน็ตทรู 12 เม็ก 482บ./30วัน กด *900*8566*17907808#
เน็ตทรู 15 เม็ก+โทรทุกค่าย 200บ./30วัน กด *900*1243*17907808#
เน็ตทรู 20 เม็ก 161บ./3วัน กด *900*8118*17907808#
เน็ตทรู 20 เม็ก 354บ./7วัน กด *900*8119*17907808#
เน็ตทรู 20 เม็ก 200บ./30วัน กด *900*1005*17907808#
เน็ตทรู 30 เม็ก 240บ./30วัน กด *900*1338*17907808#
เน็ตทรู 30 เม็ก 300บ./30วัน กด *900*1103*17907808#
ยกเลิกเน็ต  กด  *190*1#  โทรออก
เช็คเน็ตทรูมูฟคงเหลือ  กด  *900#  โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเองทรูมูฟ  กด  *933#  โทรออก
ยกเลิกข้อความ SMS กินเงิน  กด  *137  โทรออก
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ ทรูมูฟ กด  1242  โทรออก
#โปรเน็ตทรูมูฟเอชทั้งเติมเน็ตและโทรถูกๆคุ้มสุดๆ #prothaiphonetrue #pronetkaideeโปรเน็ตทรูมูฟเอชทั้งเติมเน็ตและโทรถูกๆคุ้มสุดๆ #prothaiphonetrue #pronetkaidee #โปรเน็ตรายวัน #โปรเน็ตทรูมูฟเอช #เน็ตทรูไม่ลดสปีด #สมัครเน็ตทรู #โปรเน็ตทรูไม่ลดสปีด #เน็ตไม่อั้นทรูมูฟ #เน็ตไม่อั้นสำหรับซิมเก่าทรูมูฟ ​#เน็ต10mbpsไม่อั้นไม่จำกัดจำนวน #เน็ต4mbpsไม่อั้นไม่จำกัดจำนวน #เน็ตไม่อั้นทรูมูฟ #เน็ตถูก
https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.2343011569300198 (https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.2343011569300198)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว True ทรู ระบบเติมเงิน   เมษายน   2567
https://www.youtube.com/watch?v=2pK1LldEjmc (https://www.youtube.com/watch?v=2pK1LldEjmc)


ทรู ระบบเติมเงิน เน็ตไม่อั้น เร็ว 12 Mbps เม็ก หมดเขต 30 เมษายน 2567
https://www.youtube.com/watch?v=0YeTqGL-B4s (https://www.youtube.com/watch?v=0YeTqGL-B4s)


เน็ตไม่อั้น  ไม่ลดความเร็ว  true  ทรู  ระบบเติมเงิน  เมษายน  2567
https://www.facebook.com/100063871243003/posts/903736818432018/?mibextid=rS40aB7S9Ucbxw6v (https://www.facebook.com/100063871243003/posts/903736818432018/?mibextid=rS40aB7S9Ucbxw6v)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 06-04-2024 21:01:27
เอไอเอส  ระบบเติมเงิน  #ได้ทุกเบอร์
เน็ตไม่อั้น  #เน็ตไม่ลดความเร็ว  (เน็ตอย่างเดียว)
เร็ว  4 Mbps(เม็ก)  ราคา  43  บาท  นาน  1  วัน
*777*7721*117010#  แถมโทรฟรีทุกค่าย  10  นาที
เร็ว  4 Mbps(เม็ก)  ราคา  75  บาท  นาน  2  วัน
*777*7724*117010#
เร็ว  4 Mbps(เม็ก)  ราคา  113  บาท  นาน  3  วัน
*777*7719*117010#
เร็ว  6 Mbps(เม็ก)  ราคา  59  บาท  นาน  1  วัน
*777*7722*117010#
เร็ว  6 Mbps(เม็ก)  ราคา  97  บาท  นาน  2  วัน
*777*7725*117010#
เร็ว  6 Mbps(เม็ก)  ราคา  140  บาท  นาน  3  วัน
*777*7720*117010#
เร็ว  10 Mbps(เม็ก)  ราคา  70  บาท  นาน  1  วัน
*777*7723*117010#
ต่ออายุอัตโนมัติ
#ไม่ลดความเร็ว  #ห้ามใช้โหลดบิท
ร้านสราวุธคอมพิวเตอร์  สตูล
สาขามะนัง 0826499917
ไลน์  sarawutcomputer
เฟซบุ๊ก  sarawutcomputer
www.sarawutcomputer.lnwshop.com
เปิดทุกวัน  09.00 – 20.00  น.
ท่านเต็มใจมา  ร้านฯ  เต็มใจบริการ
#AIS5G #AISOne2Call5G #AISเติมเงิน #เน็ตไม่อั้น #โปรเน็ตส่งท้ายปี #เน็ตไม่ลดสปีด
http://sarawutcomputer.lnwshop.com/b/757 (http://sarawutcomputer.lnwshop.com/b/757)
.
https://web.facebook.com/photo/?fbid=902402371898796&set=a.496909265781444 (https://web.facebook.com/photo/?fbid=902402371898796&set=a.496909265781444)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] +++ "UNTITLE" +++ By Sake
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 17-04-2024 20:51:15
เอไอเอส  ระบบเติมเงิน  #ได้ทุกเบอร์
เน็ตไม่อั้น  #เน็ตไม่ลดความเร็ว  (เน็ตอย่างเดียว)
เร็ว  4 Mbps(เม็ก)  ราคา  43  บาท  นาน  1  วัน
*777*7721*117010#  แถมโทรฟรีทุกค่าย  10  นาที
เร็ว  4 Mbps(เม็ก)  ราคา  75  บาท  นาน  2  วัน
*777*7724*117010#
เร็ว  4 Mbps(เม็ก)  ราคา  113  บาท  นาน  3  วัน
*777*7719*117010#
เร็ว  6 Mbps(เม็ก)  ราคา  59  บาท  นาน  1  วัน
*777*7722*117010#
เร็ว  6 Mbps(เม็ก)  ราคา  97  บาท  นาน  2  วัน
*777*7725*117010#
เร็ว  6 Mbps(เม็ก)  ราคา  140  บาท  นาน  3  วัน
*777*7720*117010#
เร็ว  10 Mbps(เม็ก)  ราคา  70  บาท  นาน  1  วัน
*777*7723*117010#
ต่ออายุอัตโนมัติ
#ไม่ลดความเร็ว  #ห้ามใช้โหลดบิท
ร้านสราวุธคอมพิวเตอร์  สตูล
สาขามะนัง 0826499917
ไลน์  sarawutcomputer
เฟซบุ๊ก  sarawutcomputer
www.sarawutcomputer.lnwshop.com
เปิดทุกวัน  09.00 – 20.00  น.
ท่านเต็มใจมา  ร้านฯ  เต็มใจบริการ
#AIS5G #AISOne2Call5G #AISเติมเงิน #เน็ตไม่อั้น #โปรเน็ตส่งท้ายปี #เน็ตไม่ลดสปีด
http://sarawutcomputer.lnwshop.com/b/757 (http://sarawutcomputer.lnwshop.com/b/757)
.
https://web.facebook.com/photo?fbid=909129034559463&set=a.496909265781444 (https://web.facebook.com/photo?fbid=909129034559463&set=a.496909265781444)