ตอนที่ 14
“แคร้ง!” เสียงช้อนกระแทกชามข้าวต้ม เรียกสายตาคนที่นั่งร่วมโต๊ะให้หันมามองในทันที
“โทษที มันหลุดมือน่ะ” ปถวีบอกอย่างแกนๆ
“อิ่มแล้วหรอ” ไผ่ถามปถวีที่กำลังดื่มน้ำ
“อือ………ต้องไปแล้ว”
“เดี๋ยวสิ”
“อะไรอีกละ”
“นี่………..” ไผ่ค้นกระเป๋าดึงซองกระดาษยื่นให้ปถวี
“รายการของที่ต้องซื้อ ฝากด้วยนะ”
ปถวีงงอยู่พักก็คิดได้ว่า ตนเคยรับปากจะช่วยซื้อของจัดบอร์ดให้ไผ่ จึงรับซองมาเปิด ดึงใบรายการออกมาอ่านคร่าวๆ
“โฮ้…………………เยอะมาก จะให้ฉันขนคนเดียวเนี่ยนะ ถึงจะมีรถก็เถอะ”
“แหม………ก็แบ่งๆกันไปบ้างแล้วนะ”
“นายนี่มันยุ่งจริงๆ”
“งั้นให้นทไปช่วยถือของด้วยแล้วกัน” ไผ่หาผู้ช่วยให้ปถวีเสร็จสรรพ
“เฮ้ยๆ น้อยๆหน่อยเจ้าไผ่ งานตัวเองเที่ยวไล่แจกให้ชาวบ้านอยู่เรื่อย” ประวิชโวยขึ้นมาทันทีด้วยนทนทีก็มีภาระมากพออยู่แล้ว
“แค่ไปช่วยถือของไม่กี่ชั่วโมงเอง”
“เหมือนกันละ นทมันไม่ว่างหรอก”
“ไม่เป็นไรประวิช ไม่ได้ไปทั้งวัน อีกอย่างช่วงนี้ฉันก็ไม่ได้ช่วยกิจกรรมอะไรเลย ฉันไปได้แค่นี้เอง”
นทนทีเป็นต้องตกปากรับคำ ไม่อยากให้เพื่อนสองคนต้องมีปากเสียงเพราะเขา
“งั้นตกลงตามนี้” ปถวีตัดบทสรุปรวบความคิด
“อือ” ร่างโปร่งรับคำเสียเองแทนไผ่
“งั้นตอนเย็นรอที่ใต้ตึกจอดรถนะ” ปถวีนัดแนะก่อนจะเดินจากไปเข้าเรียนคณะของตน อยู่แล้วไม่สบอารมณ์
*************************************************************************
หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จ ไผ่ก็แยกตัวไปเข้าเรียนคณะของตนจึงเหลือแต่เขาสองคนที่เรียนคณะเดียวกันเดินตามกันไปเข้าเรียน ร่างสูงเพรียวของนทนทีเดินเคียงข้างร่างสูงใหญ่ของประวิชทำให้แลดูตัวเล็กไปถนัดใจ
“ไม่เป็นไรน่ะ” ประวิชเปิดประเด็นในเรื่องที่ตนดูจะขับข้องใจ
“อะไรหรอ”
“เรื่องซื้อของน่ะ ถ้าลำบากใจก็ให้คนอื่นทำก็ได้ ไม่ต้องไปบ้าจี้ตามเจ้าไผ่มันหรอก”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้ลำบากใจอะไร” กระแสเสียงทอดส่งความอบอุ่นให้ร่างสูงค่อยเบาใจ
“ญาติดีกันตั้งแต่เมื่อไร” ประวิชเอ่ยถามโดยไม่มองหน้านทนที
“ซักพักแล้ว”
“เหรอ …………..ไปกันได้มั้ยละ ถ้าต้องฝืนคบกับเจ้านั้นไม่ต้องทำก็ได้ แค่อยู่ห่างๆกันไว้ก็พอ”
“หึๆ…………ลองได้คุยแล้วก็ไม่เลวนักหรอก อีกอย่างยังไงก็ช่วยทางบ้านฉันไว้หลายเรื่องด้วย”
“ถ้าเข้าใจกันได้ก็ดีแล้วละ อย่ามาทะเลาะกันให้เห็นอีกละ ขี้เกียจจะคอยห้าม เห็นตัวเล็กแบบนี้นายน่ะแรงเยอะจะตาย เอาไม่ค่อยอยู่เลย”
“หึๆ………..นั้นสินะ”
“ครับแม่ ผมจะไปซื้อของกับเพื่อน คงกลับบ้านช้าหน่อยแม่ไม่ต้องรอกินข้าวเย็นนะ”
มือเรียววางหูโทรศัพท์สาธารณะแบบหยอดเหรียญลงตามเดิม ครั้งก่อนมารดาเป็นห่วงเขามากที่ไม่ได้โทรไปบอกว่าจะไม่กลับบ้าน จะว่าไปก็เพราะนายปถวีนั้นละ แก้มเนียนร้อนขึ้นมาทันที
'ไม่คิด ต้องไม่คิดเรื่องน่าอายแบบนั้น' ศีรษะทุยสะบัดไปมาด้วยหวังจะสลัดความคิดความรู้สึกในคราวนั้นออกไปจากสมอง
ถึงจะเจ็บแต่ความรู้สึกวาบหวามรัญจวนใจที่ได้รับจากมือใหญ่ยังคงตราตรึงอยู่ในความคิดคำนึงไม่จางหาย ยิ่งอยากลืมก็เหมือนยิ่งตอกย้ำถึงช่วงเวลานั้น ช่องท้องเกร็งขมวดเป็นเกลียวด้วยรู้สึกถึงอารมณ์ตีรวนในตัวเอง
“บ้าที่สุด”
“ใครบ้าหรือ”
เสียงทุ้มกระซิบมาจากข้างหลัง ทำให้นทนทีหันกลับไปมองที่มาของเสียงคุ้นหู
ปถวียืนประชิดร่างบาง ความสูงต่างกันเพียงช่วงศีรษะแต่รูปร่างต่างกันลิ้บ ร่างปถวีเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแม้มองผ่านเสื้อผ้าก็ยังรับรู้ได้ ช่วงสะโพกสอบรับกับช่วงขายาวมั่นคง แขนแข็งแรงเหนี่ยวรั้งลำแขนเรียวไว้ ดวงตากลมดำเพ็งพินิจนิ้วมือใหญ่ก็ทำให้ผิวหน้านทนทีร้อนขึ้นมาอีกครั้ง
มือนี้ ร่างกายนี้ที่กอดก่ายสอดแทรกความอบอุ่นและเจ็บปวดมาให้จนไม่อาจทำใจลืมได้ง่ายๆ ถึงจะละฐิทิในใจไปแล้วก็ตาม
“เป็นอะไรรึเปล่า เงียบไปเลย”
“ปะ ……………เปล่า”
“งั้นไปกันรึยัง รถจอดอยู่ชั้น4แน่ะ”
ขายาวก้าวตามร่างสูงเข้าลิฟท์เพื่อไปยังรถของปถวีที่จอดรออยู่ ปถวีเดินมาหยุดหน้ารถยนต์สีดำวอลนัทคันใหญ่ เสียงปลดล๊อกดังขึ้นเบาๆ นทนทีก้าวขึ้นรถคันไม่คุ้นตาเอาซะเลย เจ้านี่เปลี่ยนรถอีกแล้ว มือบางคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยแต่คนนั่งข้างๆยังไม่มีท่าทีจะขับเคลื่อนไปจากตรงนี้จนนทนทีต้องหันมอง เห็นร่างสูงเอี่ยวตัวไปคว้าถุงสีทึบที่เบาะด้านหลังยื่นส่งให้เขา
“อะไรหรือ” นทนทีเปิดถุงที่ถูกส่งมาให้
“เอาติดตัวไว้นะ”
มือขาวหยิบกล่องขนาดย่อมในถุงขึ้นมาพลิกดู ภาพที่ปรากฏอยู่ข้างกล่องทำเอานทนทีใจหาย มันคือกล่องโทรศัพท์ แล้วไม่ใช่แค่โทรศัพท์ราคาสี่ห้าพันบาท แต่ที่อยู่ในมือของเขานี่เคยเห็นป้ายติดราคาผ่านๆตาตามห้างสรรพสินค้าก็ราวๆสองสามหมื่นบาทขึ้นแน่ๆ
“นาย………………….ให้ฉัน?………..ทำไม”
ถึงใจจะอยากได้แต่มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้เขาต้องรับ อีกอย่างราคามันก็แพงมากเขารับไว้มันคงร้อนๆหนาวๆพิกล คิดไปก็ส่งคืนให้เจ้าของ สองสายตาต่างจ้องมองกัน จนปถวีเป็นฝ่ายถอนหายใจรับถุงกลับคืน มือใหญ่แกะกล่องพลางหยิบอุปกรณ์ภายในมาประกอบซะเองแล้วหย่อนโทรศัพท์เครื่องเล็กพอเหมาะลงกระเป๋าเสื้อนทนที
“เฮ้ย!”
นิ้วมือพยายามล้วงเอาโทรศัพท์ออกแต่ถูกมือใหญ่ประกบหยุดมือบางไว้บริเวณอกเสื้อ
“เอาไว้โทรคุยกันบ้าง ไม่ได้หรอ?”
ผิวแก้มเนียนอุ่นขึ้นฉับพลันพลางก้มหน้าหนีสายตาคู่คมแวววาว
“ทะ………..โทรไปที่บ้านก็ได้ จะบอกเบอร์ให้”
“เวลาอยู่ข้างนอกก็คุยไม่ได้นะสิ” คนตัวใหญ่ยังพูดค้านเนิ่บๆ
“ช่วงนี้ฉันมีตารางซ้อมแน่นเกือบทุกวัน นายเองก็มีภาระทางบ้าน รับไว้เถอะฉันจะได้สบายใจหลายๆอย่าง”
“สบายใจเรื่องอะไร” ร่างบางเงยหน้ามองปถวีด้วยความฉงน
“ก็เวลาไปไหนมาไหน กลับบ้านดึกดื่นจะได้รู้ว่าปลอดภัยดี ก็……….ก็…….ยังงั้นละ”
ท่าทางขัดเขินของผู้ชายตัวโตก็ดูน่ารักดีเหมือนกัน นทนทีอมยิ้มกับเหตุผลข้างๆคูๆ ของชายหนุ่ม
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก มีประวิชค่อยช่วยอยู่เรื่อยๆน่ะ พูดไปก็กวนประวิชเรื่องนี้บ่อยมาก จนจะกลายเป็นหน้าที่ของประวิชไปแล้วละ หมอนั้นแค่เห็นหน้าฉันก็คงจะเบ้หน้าหนีเพราะถูกใช้งานบ่อย”
ร่างบางเล่าไปอมยิ้มไป เวลานึกถึงหน้าเพื่อนสนิทของตนที่ต้องมาคอยช่วยเหลือเขาอยู่บ่อยๆ จนไม่ได้สังเกตหน้าตาของคนข้างตัวที่ตอนนี้ติดจะบึ้งตึงนิดๆ
ปถวีมองใบหน้าใสขยับริมฝีปากพูดถึงเพื่อนสนิทก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจ ก็เพราะเจ้าเพื่อนแสนดีประวิชนั้นละ เขาถึงได้ขวนขวายหาโทรศัพท์มาให้ด้วยเพราะเขาไม่มีเวลาให้ร่างบางมากนักช่วงนี้ เขาถึงอยากให้มีโทรศัพท์ไว้ติดต่อถามไถ่กันได้บ้าง
“เอาเถอะ………………เก็บไว้…………. ฉันจะได้สบายใจนั่นละ” ปถวีตัดบท
“ก็ได้……..ไว้นายจะเอาคืนก็บอกนะ”
“อือ”
ปถวีรับคำตามน้ำไป มองดูนทนทีหยิบโทรศัพท์ออกมาสำรวจดู ใบหน้าเรียวเล็กก้มลงจนเส้นผมสลวยตกลงมาปิดเสียวหน้าประปรายดูน่าสัมผัส
เจ้าตัวจะรู้มั้ยนะ ถึงคนทั่วไปจะมองว่านทนทีเป็นผู้ชายรูปร่างโปร่งมีใบหน้าสวย แต่สำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่ง นทนทีกลับเป็นที่สนใจอย่างมาก ถึงเขาจะไม่ได้คลุกคลีด้วย แต่ความที่มีผู้หญิงมาติดพันมาก พวกเธอก็จะพาข่าวสารต่างๆติดตามมาเล่าให้เขาฟังโดยปริยายแม้ว่าจะไม่อยากฟังก็ตาม
เรื่องของนทนทีก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น เจ้าตัวไม่รู้ว่าตัวเองเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ชายที่ชอบเพศเดียวกัน ถึงขนาดมีข่าวออกมาว่าถูกพวกรุ่นพี่วางแผนดักฉุด แต่ก็ล้มเหลวด้วยมีประวิชเพื่อนตัวใหญ่คอยขวางอยู่ตลอด จนกลายเป็นว่านทนทีมีผู้ชายที่ชื่อประวิชเป็นคู่ขาไปโดยปริยาย พวกที่เล็งๆไว้จึงต้องล่าถอดกันไปหมด
ที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีความสัมพันธ์กับเพศเดียวกันมาก่อน แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกรังเกียจหรือรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้ เขากลับคิดว่าความรักหรือความรู้สึกดีๆกับใครสักคน มันไม่ได้หยุดหรือจำกัดอยู่ที่เพศใดเพศหนึ่งเป็นสำคัญ มันอยู่ที่ความรู้สึกความผูกพันของคนสองคน คนที่จะอยู่เคียงข้างกันไปจนวันตายมากกว่า
เขาเคยได้ครอบครองร่างโปร่งบางนี้แล้ว อย่างน้อยก็เป็นของเขาครึ่งตัวแล้วละ ไม่ยกให้ใครแน่ๆ ถึงประวิชจะไม่เคยแสดงออกกับนทนทีในเชิงชูสาว แต่เขาก็ยังดูไม่ออกว่าเพื่อนสนิทของนทนทีคนนี้คิดยังไงกันแน่ กับท่าทีเอื้อเฟื้อเกินความจำเป็นจนน่าหมันไส้นั้น
**********************************************
ปถวีเลี้ยวรถเข้าไปจอดในห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านประตูน้ำ
“นายถือใบรายการของที่จะซื้อไว้แล้วกัน”
นทนทีรับกระดาษที่มีรายการสั่งซื้อของไผ่ไว้ พลางกวาดสายตามองรายการคราวๆ
“อืม”
บรรยากาศภายในตัวตึกห้างสรรพสินค้ามีผู้คนเดินจับจ่ายซื้อของกันขวักไขว้ภายใต้อากาศเย็นฉ่ำผิดกับสภาพอากาศภายนอก
“เอะ……ขอโทษครับ” ร่างโปร่งเผลออุทานด้วยตนเองเกือบเดินชนคนที่เดินสวนมา
“คนเยอะ ฉันว่าเราเอาของพวกนี้ไปเก็บที่รถรอบหนึ่งก่อนดีกว่า” ปถวีมองของพรุงพะรังในมือของตนและนทนทีหลังจากเดินจับจ่ายมาได้ซักพัก
“นั้นสิ ยังเหลือของที่ต้องซื้ออีกหลายอย่าง”
“วี!” เสียงตะโกนเรียกจากด้านหลังทำให้ทั้งคู่หันกลับไปมองหญิงสาวสามคนที่โบกไม้โบกมือเรียกร่างสูงพลางจ้ำเดินเข้ามาหา
“มาซื้อของหรอ พะรุงพะรังเชียว” หนึ่งในกลุ่มหญิงสาวสามคนเอ่ยทักทายปถวีอย่างสนิทสนม
“ใช่ ของชมรมกิจกรรมนักศึกษาเขาฝากมาซื้อน่ะ”
“ตายจริง ไผ่อีกแล้วหรอ”
“อืม ยังเหลือที่ยังไม่ได้ซื้ออีกเยอะเลย”
“งั้นให้พวกเราช่วยด้วยดีกว่านะ”
“มะ……ไม่เป็นไรหรอก เป้ หวาน ส้ม ตามสบายเถอะ”
“ไม่เป็นไร ส้มไม่ได้มีธุระอะไรที่ไหน ช่วยกันจะได้เสร็จเร็วไงจ๊ะ”
“อย่าเลย” ปถวีออกอาการตะขิดตะขวงใจด้วยตัวเองอยากจะอยู่กับนทนทีสองคนมากกว่า ก็ถ้าไม่มีธุระร่างโปร่งก็แทบจะไม่มาข้องเกี่ยวกับเขาเลยนี่นา
“แหม……………..ก็บอกว่าไม่เป็นไร เต็มใจช่วยจ๊ะ”
นทนทีมองดูหญิงสาวรูปร่างสะคราญตาทั้งสามยืนล้อมหน้าล้อมหลังร่างสูง ยังมีฉันอยู่ตรงนี้อีกคนนะเฟ้ย นทนทีคิดอย่างเดือดดาลด้วยหญิงสาวทั้งสามทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน
“นท”
เสียงปถวีเรียกชื่อตนนั้นละ ร่างโปร่งบางถึงได้ปรับสีหน้าของตนเสียใหม่ แล้วจึงหันไปส่งยิ้มให้สาวๆทั้งสามนาง
“นี่ เป้ หวาน แล้วก็ส้ม เพื่อนฉันเอง เขาจะช่วยเราซื้อของจะได้เร็วขึ้น”
“อ๋อ………….สวัสดีครับ”
นทนทีเพิ่งรู้ว่าพอมีคนมาเพิ่มแล้วมันทำให้การซื้อของช้ากว่าเดินซื้อกันเองเสียอีก ก็คุณเธอทั้งสามกว่าจะตกลงเลือกซื้อของได้แต่ละชิ้นก็เลือกแล้วเลือกอีก พอจะตัดสินใจเอาชิ้นนี้ กลับเปลี่ยนใจขอดูชิ้นอื่นเปรียบเทียบอีก ปากก็บอกว่าจะได้ของที่ดีที่สุด ก็ไม่เถียงหรอกนะ แต่นี่เรากำลังซื้อของทำบอร์ดนะ ไม่ใช่มาเลือกซื้อผักสดถึงต้องเลือกแล้วเลือกอีก เข้าใจอะไรผิดรึเปล่าฟะ เขาเดินจนขาจะลากอยู่แล้ว แต่หันไปมองร่างสูงกลับไม่แสดงท่าทางเบื่อหน่ายหรือเมื่อยแข้งเมื่อยขาเลย
โธ๋เอ๊ย……………………..ปากก็บอกว่าเพื่อนแต่มองดูคุณเธอทั้งสามจะไม่อยากเป็นแค่เพื่อนนะสิ เอาอกเอาใจกันเข้าไป ร่างโปร่งมองดูปถวีเกี่ยวเอาถุงที่หญิงสาวหิ้วมาถือซะเอง
“โฮ้…………..เกือบทุ่มแล้ว” หญิงสาวผมสั้นตัดทรงทันสมัยนามว่าหวาน ร้องอุทานเมื่อซื้อของครบทุกชิ้นแล้ว
“ทานอะไรกันก่อนไหมวี”
“เอาสิ ฉันเลี้ยงเอง ขอบใจที่ช่วยถือของด้วย”
“ว้าว………………มีเจ้ามืองั้นก็เตรียมตัวถูกล้มทับได้เลย”
“ตามสบาย………………..นทแวะกินข้าวกันก่อนนะ” ปถวีเอี้ยวตัวหันไปบอกร่างบางที่เดินตามหลังมา พอได้ระยะชายหนุ่มจึงก้มกระซิบ
“พอเอาของไปเก็บที่คอนโดแล้วจะไปส่งที่บ้าน”
นทนทีเพียงพยักหน้าน้อยๆ ด้วยมีสายตาสามคู่มองมายังเขาเขม่ง
ร้านที่พวกสาวๆเลือกเป็นร้านที่เพียงเห็นชื่อ นทนทีก็ไม่คิดจะเฉียดกายเข้าไปใกล้แล้ว ก็ราคาอาหารมันแพงยิ่งกว่าค่าข้าวของเขาทั้งเดือน แต่ดูท่าเจ้ามือจะไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย ก็คนมันเกิดมารวยนี่นะ เขาไม่น่าลืมเล๊ย
แต่ยัง………….ยังไม่จบเท่านี้ คุณสาวๆทั้งสามพอทานอาหารเสร็จก็รบเร้าให้ไปส่งที่บ้าน นี่ถ้าเขาซื้อเองซะแต่แรกคงได้กลับไปนอนตีพุงที่บ้านแล้ว เหลือบตาลอบมองปถวี ก็ไม่เห็นเจ้าตัวจะมีท่าทีรำคาญอะไร คงจะทำเป็นอาจิณละสิท่า ข่าวคาวเรื่องผู้หญิงก็ไม่ได้น้อยหน้าใครเขานี่นา กว่าจะส่งถึงคนสุดท้าย เขาก็ลุ้นจนตัวโก่งด้วยกลัวจะต้องถูกลากไปที่อื่นอีก เขาไม่อยากกลับบ้านดึกนัก
จนลับร่างหญิงสาวคนสุดท้ายลงไปจากรถนั้นละ ชายหนุ่มร่างสูงจึงค่อยผ่อนระบายลมหายใจออกมา
“ได้กลับบ้านซะที” ปถวีพึมพำ
เจ้าหมอนี่จะเรียกว่า อึด หรือ ขี้หลีกันแน่เนี่ย ถึงได้ไม่ปริปากบ่นซักคำเดียว นทนทีมองชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากให้เขาเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆขับเคลื่อนรถมุ่งหน้าสู่คอนโดที่พัก
*****************************************
คอนโดสูงเสียดฟ้าตั้งอยู่ท่ามกลางย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพ ผู้ก่อสร้างคงคำนึงถึงความสะดวกสบายของผู้อาศัยเป็นสำคัญ ทุกอย่างทั้งภายนอกและภายในถึงได้ถูกตกแต่งไว้อย่างงดงามลงตัวพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างที่จะจัดหามาได้ถูกนำมาประกอบ จัดวาง ติดตั้ง ณ ที่นี่แทบทั้งสิ้น และแน่นอน ราคาห้องชุดที่นี่ก็ย่อมไม่ธรรมดาเช่นกัน นับศูนย์เจ็ดตัวยังไม่พอซื้อเลย ร่างโปร่งมองสำรวจไปเรื่อยจนกระทั้งขึ้นลิฟท์ไปยังห้องชุดของชายหนุ่ม เขาเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่งแต่ตอนนั้นเขาจำอะไรแทบไม่ได้เลย ใครจะไปมีอารมณ์สังเกตสังกากันละ โดนซะขนาดนั้น
“ลองตรวจดูอีกทีว่าได้ของครบมั้ย” ปถวีวางของทั้งหมดที่มุมห้องด้านหนึ่ง
“อืม” นทนทีคลี่โพยใบรายการออกมาตรวจทานอีกครั้ง
“ครบแล้วละ”
ร่างโปร่งผละจากกองข้าวของไปทรุดตัวนั่งบนชุดรับแขกนุ่มกว้าง หันหน้าออกไปทางระเบียงที่ถูกคันด้วยผนังกระจกใสตลอดแนว ท้องฟ้าถูกทาทับด้วยราตรีกาลมองดูเงียบสงบ แต่เพียงก้มมองยังพื้นล่างแสงสว่างจากดวงไฟใหญ่น้อยทั้วพื้นแผ่นดินกว้างไกลสุดตา บ่งบอกว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของชีวิตอีกมุมหนึ่งในความสับสนวุ่นวายบนโลกนี้เท่านั้น
แก้วน้ำถูกส่งมาให้ มือเรียวรับมาดืมจนหมดก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆห้องชุดที่ตนเพิ่งจะมีโอกาสได้สำรวจ ภายในตกแต่งอย่างเรียบง่ายใช้โทนสีอ่อนสบายตาทั้งเครื่องเรือน ผ้าม่าน แต่ถึงจะสวยยังไงตอนนี้มันกลับดูรกไปหมด เจ้าของห้องเหมือนจะรู้จึงได้แต่ยักไหล่
“ห้องชายโสดก็งี้ละนะ แต่จะมีแม่บ้านมาทำความสะอาดให้อาทิตย์ละ 2 ครั้ง ไม่ชอบให้มาเก็บโน้นเก็บนี้บ่อยๆ ฉันหาไม่เจอหงุดหงิดทุกที”
“นายวางไม่เป็นที่เองมากกว่า”
“ฮะๆ เอาน้ำอีกมั้ย” ปถวีเสพูดเรื่องอื่นกลบเกลื่อน ก็บ้านของคนที่นั่งข้างๆเขานี่ เรียบร้อยขนาดลากปลายนิ้วกับพื้นยังไม่เจอฝุ่นผงติดมาเลย
“พอแล้วละ กลับเลยดีกว่า เดี๋ยวจะถึงบ้านดึก อีกอย่างนายต้องขับรถกลับมาอีก ไกลจะตาย ไม่ได้ค้างบ้านใหญ่ไม่ใช่หรอ”
“นั่นสินะ”
ถึงจะยอมรับแต่กลับไม่มีใครขยับตัวลุก สายตาต่างจ้องมองกันราวกับจะถ่ายทอดความอ่อนหวาน อบอุ่น ส่งผ่านไปยังอีกฝ่ายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว อยากให้เวลานี้ยืดยาวออกไป
ด้วยต่างฝ่ายต่างมีภาระหน้าที่ ทำให้หาเวลามาพบกันยาก ยิ่งช่วงหลังๆมานี่ปถวีต้องซ้อมทุกวันเพื่อเข้าชิงชัยในสังเวียนคัดเลือกตัวแทนชมรมมวยสากล และถึงจะว่างจากการซ้อมปถวีก็ต้องไปช่วยกิจการที่บ้านที่เขาต้องทำเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว
บิดามารดาเริ่มให้เขาเข้าไปฝึกงานที่บริษัทตั้งแต่อยู่มัธยม ทำตั้งแต่เด็กเดินเอกสารจนปัจจุบันเขาต้องเดินตามหลังพ่อแม่ต้อยๆเวลามีประชุมผู้บริหารบริษัท ต้องอ่านต้องจำทุกอย่างที่พ่อแม่นำมาให้เรียนรู้เพื่อฝึกให้เขาทำงานเป็นนั้นละ
ใครว่าเป็นลูกคนรวยแล้วจะสบาย ก็ไอ้การที่จะรักษาสิ่งที่มีอยู่ไม่ให้หมดไปน่ะ มันยากจะตาย ต้องทำทุกอย่างเป็นสองเท่าของคนทั่วไป มีครูพิเศษมาสอนที่บ้านแบบตัวต่อตัว ต้องไปทำงานในขณะที่เพื่อนๆรุ่นเดียวกันไปเที่ยว ไม่มีใครเกิดมาแล้วบริหารงานทุกอย่างเป็นหรอก ต้องมาเรียนรู้หาประสบการณ์กันข้างนอกทั้งนั้น มันก็ไม่ได้ยากลำบากอะไรนักหนาหรอก กับสิ่งที่พ่อแม่ให้เขาทำ ยิ่งทำดีเท่าไร มีผลงานมากเท่าไร ก็จะทำให้ถูกจ้ำจี้จ้ำไชเรื่องส่วนตัวน้อยลง มีเงินจับจ่ายใช้สอยสบายมือ แรกๆทำไปเพราะคิดแบบนั้น แต่ดูเหมือนวิธีคิดที่พ่อแม่คอยปลูกฝั่งมันจะซึมซับวิธีการทำงานให้เขาไปโดยไม่รู้ตัว
ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ร่างหนาขยับเข้ามาใกล้เพียงคืบ สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นของกันและกัน เขามองผ่านลำคอเนียนระเรื่อยไปถึงพวงแก้มอิ่มใส สายตาที่ทอดมองร่างโปร่งทำให้เจ้าของดวงตาใสต้องหลุบตาลง ใจอยากจะลุกเดินตรงไปยังประตู แต่ไอ้อาการหวามๆในอกมันกลับทำให้เขานั่งแช่อยู่ด้วยใจระทึก สัมผัสอุ่นๆที่พวงแก้มทำให้ต้องเงยขึ้นสบตา
มือใหญ่คลึงเคล้าแก้มเนียนไปมา สายตายังคงจับจ้องที่ริมฝีปากอิ่มได้รูปสวย
“อีกนิด………….อยู่ด้วยกันอีก” ก่อนที่จะได้พูดจบ ริมฝีปากก็เข้าประกบไล้ลิ้นไปรอบๆ ขอบปากมองดูร่างบางหลุบตามองต่ำลงแต่ยอมรับจุมพิตโดยดี
----TBC---
ค้างมั้ย ?