“ปล่อย...อย่าลากได้มั้ย” นทนทีพยายามสะบัดมือออกจากการเกาะกุม เมื่อมาถึงบริเวณที่รถของปถวีจอดรออยู่ในที่มืดสลัวริมรั้วสวนอาหาร
พอถึงตัวรถปถวีจึงปล่อยมือเล็กลงอย่างแรง พลางเปิดประตูให้อีกฝ่ายเข้าไปนั่ง แต่นทนทีกลับยืนเฉยทำให้อารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่แล้วโหมประดังกันขึ้นมา ร่างสูงเอื้อมตัวไปกระชากนทนที พยายามจะผลักให้อีกฝ่ายเข้าไปในรถให้ได้
“เข้าไปนะนท!” ปถวีตวาดเมื่อร่างบางขืนตัว จนต้องกดอีกฝ่ายไว้กับตัวรถ
“อย่ามาสั่งฉันนะ!” พอเจออีกฝ่ายใช้กำลัง นทนทีจึงตะโกนใส่อย่างไม่ไว้หน้า มันจะมากไปแล้วนะ ถึงฉันจะโกหกก็เถอะ...ไอ้บ้า!
“อย่ามาสั่งเหรอ...นายคิดจะทำอะไรกันแน่ คุณนทนที!” น้ำเสียงเอาเรื่องไม่ยอมอ่อนข้อยิ่งทำให้นทนทีรู้สึกฉุนกึก แม้อยากจะอธิบายแต่เขาก็ไม่ใจเย็นพอที่จะทำ
“ฉันไม่ใช่ลูกไร่นายนะ จะถามก็ถามมาดีๆสิ มากระชากลากถูกันทำไม”
“ก็เวลาถามดีๆ แล้วฉันได้อะไรกลับมาละ...โกหก...นายโกหกหลอกฉันว่าเมื่อวานนายอยู่บ้าน!...นายทำไปทำไมห๊า!” ปถวีตะโกนใส่หน้านวล เขารู้สึกเหมือนสูญเสียความไว้วางใจกับผู้ชายตรงหน้านี้ไปจนหมด ทั้งๆที่เขาไว้ใจ ไว้ใจมากที่สุด
โกหก คำบริภาษคำนี้ทำให้นทนทีรู้สึกตีบตันในลำคอ
“ฉันไม่ได้ตั้งใจ...จริงๆ ฉันแค่...”
คำพูดพึมพำจับใจความได้ของนทนทียิ่งทำให้ปถวีทวีอารมณ์โกรธมากขึ้น
“ไม่ได้ตั้งใจ...นายจะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจโกหกรึไง...ฉันคงเชื่อคำพูดหลอกเด็กนี่หรอกนะนท” คำพูดเสียดสียอกย้อนทำให้นทนทีเลือดขึ้นหน้า ผลักร่างสูงออกโดยแรง
“นายมันหมาบ้า!...ก็เพราะนายเป็นแบบนี้นะสิ ฉันถึงไม่อยากบอกอะไร”
“โกหก...ไม่ใช่นายคิดอะไรอยู่รึไง ถึงได้ไม่อยากบอก”
“ฉันคิดอะไร...พูดให้ดีๆนะ” นทนทีบิดตัวเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุมที่กำลังสร้างความเจ็บหนึบให้กับเนื้อหนังบริเวณต้นแขน
“ถามตัวเองสิ ไปอยู่กับมันสองต่อสอง ทั้งที่รู้ว่ามันคิดยังไงกับนาย นายก็ยังไปอยู่กับมัน แล้วจะให้ฉันคิดว่าไง คิดว่ากำลังเล่นพ่อแม่ลูกผูกพันรึไง เอะ!...ไม่ใช่สิ เล่นเป็นผัวเป็นเมียกันซะมากกว่า”
ผัวะ! เสียงกำปั้นกระทบกับเข้าสันกรามแข็งแรง จนใบหน้าคมสะบัดไปตามแรงเหวียง ก่อนจะหันกลับมามองร่างคนรักด้วยดวงตาวาวโรจน์
นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่นทนทีง้างมือง้างมัดใส่เขาเพราะไอ้ประธานบริษัทเจ้าเล่ห์นั่น ทำไม...ถ้าบอกเขาซะตั้งแต่วันนั้นเขาคงรู้สึกดีกว่านี้ถึงจะโมโหก็ตามเถอะ และอย่างมากเขาก็จะตามไปนอนมันซะด้วยกันที่นั้นละ ถ้านทนทียังดื้อดึงที่จะเฝ้าไข้เพราะความเป็นห่วงหรือจะเป็นเพราะมนุษยธรรมบ้าบอคอแตกอะไรก็ตาม แต่การมารู้ที่หลังแถมยังถูกคนรักปิดบัง จะให้เขาคิดเป็นอื่นไปได้ยังไง นอกจากนทนทีจะมีใจให้มัน!
ไม่ใช่ไม่อยากเชื่อในคำพูดของคนรัก แต่ด้วยเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้เขาระแวง...
“ถามใจนายเองดีกว่านะว่า ยังรักฉันอยู่มั้ย ถ้ารัก คนรักกันเขาคงไม่ทำให้คนที่เขารักต้องระแวงแบบนี้หรอก” คำพูดเชือดเฉือนกรีดลึกปักลงมากลางใจของนทนทีจนต้องข่มตาข่มใจตอบโต้อีกฝ่ายด้วยปากที่สั่นระริก...สั่นเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจที่เขาไม่มีศักดิ์ศรีอะไรให้อีกฝ่ายไว้วางใจเลยรึไง ถึงได้ประณามกันแบบนี้
“ใช่ ฉันตั้งใจจะอยู่ดูแลคุณเทวัญเอง และฉันก็ตั้งใจจะไม่บอกนายด้วย แต่ขอบอกนายไว้ตรงนี้เลยนะว่า ที่ฉันทำไปเพราะฉันบริสุทธิ์ใจ ถึงฉันจะรู้ว่าเขาคิดยังไงแต่ทุกอย่างก็ยังอยู่ในขอบเขตที่ฉันไว้ใจเขาได้ ฉันรู้ใจของฉันดีว่าอยู่ที่ตรงไหน ฉันวางใจของฉันไว้ที่นาย แล้วนายละ จริงๆแล้วนายพร้อมจะวางใจของนายไว้ที่ฉันรึเปล่า” คำถามที่สั่นเครือกระแทกใจของปถวีจนเจ้าตัวต้องกระชับฝ่ามือใหญ่กับต้นแขนอีกฝ่ายแน่นขึ้น พร้อมกับความรู้สึกแน่นจุกขึ้นมาในใจ
“นายถามฉันยังงี้ได้ยังไงห๊า! นายไม่รู้รึไงว่าฉันคิดยังไงกับนาย จนวันนี้ยังไม่รู้อีกรึไง” ใบหน้าคมคายยื่นเข้าไปใกล้จนรับรู้ถึงลมหายใจของกันและกัน
“ไม่...ฉันไม่รู้ ณ วันนี้ฉันไม่รู้ว่ารักของนายกับรักของฉันมันเหมือนกันรึเปล่า”
คำตอบของนทนทีทำให้เส้นใยความอดทนของปถวีขาดผึง
“นายนอนกับฉัน นายอยู่บนเตียงฉัน นายมีอะไรกับฉัน แล้วมาบอกว่าความรักของเราไม่เหมือนกันงั้นหรือ”
“ใช่! เพราะนายไม่ได้นอนกับฉันคนเดียวนี่ เพราะฉะนั้นรักของเรามันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้วละ” ความกดดันทำให้นทนทีพูดสิ่งที่ไม่เคยคิดจะพูดออกมา
“นท!” ปถวีเบิกตากว้างมองคนรักเอ่ยด้วยดวงตาแวววาว
“นายมันเห็นแก่ตัว”
“ไม่ใช่นะ!” ปถวีมองแววตาคาดคั้นจนต้องถอนหายใจออกมา
“โอเค ฉันยอมรับว่านอนกับผู้หญิงได้ แต่มันก็ไม่มีอะไรผูกพันกัน แล้วก็นานมาแล้วนะ”
“ทุเรศ”
“นท...ฉันก็ผู้ชายนะ มันก็มีบ้างละ แต่ฉัน...”
“ แต่ฉันไม่มี!”
นทนทีสวนคำพูดกลับอย่างเจ็บยอกในอก เมื่อได้รับฟังจากปากอีกฝ่ายตรงๆ ถึงเขาจะเคยรู้มาบ้างเพราะปถวีก็เป็นคนดังในวงสังคม เรื่องซุบซิบนินทายอมมีมาได้ไม่ขาด และในนั้นก็คงมีเรื่องที่จริงอยู่บ้างหรอก แต่เขาก็ทำใจยอมรับและเข้าใจในธรรมชาติของผู้ชายนี้ เพราะผู้หญิงหลายคนก็ต้องการและเต็มใจจะเข้าหาชายหนุ่มที่พร้อมทั้งรูปลักษณ์และฐานะอย่างปถวีโดยไม่ต้องการสิ่งใดๆตอบแทนการร่วมหลับนอนเลยด้วยซ้ำ ที่คิดแบบนี้ได้เพราะเคยเจอเคยเห็นกับตัว กับผู้หญิงที่ตามตื้อปถวีจนแทบเป็นบ้าเป็นหลังโดยที่ปถวีไม่ได้แม้จะชายตาแล หรือถ้าชายตาแลก็คงจะไม่ให้เขารู้นั่นละ พอเห็นแบบนั้น เขาถึงได้จนใจ เพราะปถวีอยู่ท่ามกลางวงล้อมของผู้หญิงที่เต็มใจจะขึ้นเตียงด้วยเพียงแค่ชายหนุ่มกระดิกนิ้ว
ถ้าจะแปลกก็เขานี่ละ ที่ทำให้เจ้าหนุ่มเนื้อหอมมาคลุกอยู่ด้วยได้เป็นนานสองนาน ทั้งๆที่เป็นผู้ชายด้วยกัน
“ก็ลองมีสิ จะฆ่าให้ตายเลย” คำพูดอาฆาตทำให้นทนทีตื่นจากความคิด ก่อนจะโมโหในคำพูดอวดดีนั้น
“ไอ้บ้า! นายมันบ้า ไอ้เห็นแก่ตัว” นทนทีพยายามดิ้นรนผลักอกหนาออกห่าง
“ที่ตัวเองทำได้ แต่เวลาคนอื่นละมาขู่ไม่ให้ทำ ไอ้เห็นแก่ได้! ไอ้บ้า!”
“นายก็เลยทำประชดงั้นสิ”
“เออ!” เพราะความโมโหทำให้นทนทีเออออประชด จนปถวีกระแทกร่างโปร่งติดแนบกับรถยนต์ ก่อนจะประกบจูบดุนดันให้อีกฝ่ายยอมรับลิ้นอุ่นของตัวเอง และตอกย้ำให้รู้ว่าทั้งตัวและใจนี้เป็นของเขา
การกระทำของปถวีทำให้นทนทีรู้สึกเหมือนถูกเหยียบย่ำหัวใจให้แหลกลาญ ก่อนจะพยายามผลักหน้าของอีกฝ่ายออกห่าง ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของคนทั้งคู่ ประวิชและไผ่กำลังเดินตามออกมาจากร้าน
สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือการยื้อยุดฉุดกระชากของเพื่อนทั้งสองที่เดินออกมาก่อน ทำให้ประวิชนิ่งงัน ถ้าแค่ทะเลาะชกต่อยกันธรรมดาเขาคงรีบวิ่งไปห้าม แต่ที่เขาตะลึงงงเพราะเขาเห็นปถวีพยายามปล้ำจูบนทนทีอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยที่คนตัวเล็กพยายามจะเบี่ยงหนีสุดชีวิต
“เฮ้ย!” เมื่อเรียกสติกลับมาได้ ประวิชจึงตรงปรี่เข้าไปหา แต่ถูกไผ่รั้งแขนไว้ ทำให้คนตัวใหญ่หันกลับไปมองอย่างฉงนแกมไม่พอใจ
“ทำไม ไม่เห็นเหรอว่าไอ้บ้านั้นทำอะไรนทน่ะ”
“เห็น แต่นายเข้าไปตอนนี้จะยิ่งยุ่งกันไปใหญ่ ให้เขาเคลียร์กันเองเถอะ” ไผ่ตอบพลางมองไปยังคนทั้งสองอย่างวิตกกังวลมากกว่าจะรู้สึกถึงสายตาวาวโรจน์ที่มองมาด้วยอาการไม่พอใจอย่างโจ่งแจ้ง ก่อนจะสะบัดมือเล็กที่เกาะกุมไว้ออก
“ปล่อย! เห็นเพื่อนโดนทำอย่างนั้น นายยังจะให้เขาเคลียร์กันเองอีกเหรอไผ่” ประวิชไม่รอให้คนหน้าขาวอธิบาย ขายาวรีบสาวเท้าเข้าไปช่วยเพื่อนสนิททันที
“เฮ้ย! เดี๋ยว” ไผ่วิ่งตามประวิชไปติดๆ แล้วยิ่งเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเมื่อเห็นประวิชกระชากไหล่ปถวีให้ออกห่างจากนทนทีอย่างแรง
“ทำบ้าอะไรของแกห๊ะ!”
“อย่าเข้ามายุ่ง จะไปไหนก็ไป” ปถวีปัดมือใหญ่ที่จับบ่าตนไว้แน่นออก ก่อนจะเปิดประตูรถแล้วพยายามกดศีรษะนทนทีให้มุดเข้าไปภายใน
“ปล่อยนะ! ปล่อย” นทนทีพยายามเกาะขอบประตูรถไว้แน่นไม่ยอมเข้าไป
“อย่ามาออกฤทธิ์กับฉันนะนท ขึ้นรถไปคุยกันเดี๋ยวนี้เลยนะ” ปถวีตะคอกใส่นทนทีอย่างไม่เกรงใจเพื่อนอีกสองคนที่ยืนมอง
“นี่! นทเขาไม่อยากไปกับนาย ปล่อยเขานะ” ประวิชพยายามดึงไหล่ปถวีให้เลิกบังคับนทนทีขึ้นรถยนต์
“ประวิช! ฉันบอกว่าอย่ามายุ่งไง” ปถวีตวัดสายตาหันมองเพื่อนร่างยักษ์ด้วยความขุ่นเคือง เมื่อเห็นแววตาห่วงใยผาดผ่านไปยังร่างเล็กในวงแขนตน ความรู้สึกไม่พอใจจึงทวีมากขึ้น
“คนรักเขาจะคุยกัน คนนอกอย่างนายอย่ามายุ่ง”
“ปถวี!” เสียงร้องอย่างตื่นตระหนกของนทนทีกับประวิชดังขึ้น พร้อมๆกับกำปั้นใหญ่ที่เหวี่ยงเข้าใบหน้าปถวีด้วยความรู้สึกไม่พอใจอย่างรุนแรง ร่างสูงหลบกำปั้นหนักของประวิชได้ไม่เต็มที่ด้วยมีนทนทีอยู่ในวงแขน จึงกระแทกเข้าสันกรามอย่างจัง
“ไอ้โกหก!” ประวิชบริภาษเพื่อนตัวโตเสียงดัง
“หยุดๆ ประวิชหยุด อย่าทะเลาะกัน ให้ตายสิ!” ไผ่ร้องเสียงหลง ด้วยไม่คิดว่าคนปากหนักหมัดหนักอารมณ์เย็นอย่างประวิชจะชกเพื่อนได้ ร่างเล็กเข้าไปกอดหลังคนตัวใหญ่ไว้แน่นจนอีกฝ่ายเคลื่อนไหวลำบาก ทำให้ปถวีผลักอกประวิชออกอย่างแรงจนไผ่ที่หลับหูหลับตากอดหลังประวิชเซผงะถอยหลังจวนเจียนล้มคว่ำ ถ้าไม่มีมือใหญ่แข็งแรงรีบเข้ามาคว้าตัวไว้
“ไผ่!” ประวิชเข้าประคองเพื่อนตัวเล็กให้ยืนจนมั่นคงแล้วจึงหันไปมองปถวีด้วยความโมโห
“ประวิช!” เสียงร้องด้วยความห่วงใยของนทนทีดังขึ้น เมื่อพยายามยึดร่างสูงที่กำลังจะสาวเท้าเข้าหาประวิชอย่างเอาเรื่อง “ขอร้องละอย่าทะเลาะกัน” ก่อนจะหันไปต่อว่าร่างสูงที่ตนยึดเหนียวไว้ “นายก็ใจเย็นหน่อยได้มั้ย”
ในขณะที่ประวิชเองก็ดูจะโกรธปถวีอยู่ไม่น้อยจึงสาวเท้าเข้าหาเช่นกัน ใช่...เขาทั้งโกรธทั้งสงสัยทั้งห่วง...หวงนทนที ในเมื่อเขาคอยดูแล เป็นห่วงเป็นใยมาตลอด แล้วมาเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นได้ยังไง ตั้งแต่เมื่อไร ทำไมเขาถึงไม่ระแคะระคายอะไรเลย
“นายทำยังงั้นกับเพื่อนได้ยังไง” คำถามของประวิชดูจะโดนใจปถวีไม่น้อย จึงยกยิ้มมุมปาก ด้วยเขาเองก็ต้องการจะประกาศให้ไอ้เพื่อนร่างยักษ์ของนทนทีได้รู้ซะทีว่าเขาอยู่ในฐานะอะไรของนทนที จะได้เลิกเป็นมดแดงแฝงพวงมะม่วงในความรู้สึกของเขาซะที
“ทำไมจะทำไม่ได้ คนคบกันเขาก็ทำกันทั้งนั้นละ นายอย่าเข้ามายุ่งจะดีกว่า” คำตอบของปถวีทำให้ประวิชต้องหันหน้าไปหาความจริงกับนทนที
คำถามในสายตาของประวิชทำให้นทนทีจำต้องนิ่งอึ้ง ด้วยเป็นความจริงที่เขาปฏิเสธไม่ได้ และต้องรู้สึกใจสั่นขาสั่นเมื่อเห็นแววความผิดหวังเกิดขึ้นในดวงตาคู่อ่อนโยนของเพื่อน
เมื่อทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงบปถวีจึงฉวยข้อมือนทนทีเพื่อจะจับร่างเล็กยัดใส่รถยนต์ แต่อีกฝ่ายกลับสะบัดตัวหนีออกไปยืนห่างๆ
“นายมันบ้าที่สุดเลย” นทนทีต่อว่าร่างสูงใหญ่ เขาไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังความสัมพันธ์ของตนกับประวิช แต่ก็ไม่ใช่การมารับรู้ในสถานการณ์แบบนี้เช่นกัน
“ถ้านายยังสงบสติอารมณ์ไม่ได้ก็ไม่ต้องมาคุยกัน” นทนทีพูดทิ้งท้ายก่อนจะหมุนตัววิ่งฝ่าความมืดไปยังถนนใหญ่หน้าร้าน
“นท! บ้าเอ๊ย” ปถวีสบถอย่างหัวเสีย ในขณะที่ประวิชตั้งท่าจะวิ่งตามนทนทีออกไป
“เดี๋ยว!...นายจะไปไหน” ไผ่คว้าแขนประวิชไว้แน่น
“ก็ตามนทไปนะสิ มันมืดแล้วนะ จะปล่อยไปได้ยังไง”
“ไม่ต้องไปห่วงเจ้านั่นหรอก เดี๋ยวเจ้าวีมันก็ตามไปเองละ”
“นั่นยิ่งแล้วไปกันใหญ่ ไม่เห็นเหรอว่าเมื่อกี้มันทำอะไรนทน่ะ”
“ก็คนเขาคบกัน นายก็ปล่อยให้เขาปรับความเข้าใจกันก่อนเถอะ”
“นายพูดเหมือนนายรู้มานานแล้ว...บอกมานะไผ่ นายรู้อะไร” คำถามคาดคั้นของประวิชทำให้ไผ่หน้าเสีย แต่ก็หุบปากเงียบ ความเงียบที่ดูจะไปยั่วโทสะของประวิชให้มากขึ้น
“ไผ่...พูดมา ถ้ายังเป็นเพื่อนกันอยู่ก็พูดมา” ประวิชเข้าจับไหล่เล็กทั้งสองข้างเขย่าด้วยความไม่พอใจ
อาการโมโหไม่พอใจของประวิชเมื่อรู้ว่านทนทีคบกับปถวี กอปรกับแววตาที่แสดงออกถึงความผิดหวัง ทำให้ไผ่นึกน้อยเนื้อต่ำใจ จนรู้สึกถึงน้ำหูน้ำตามันจะไหลออกมา
“จะให้บอกว่าอะไรละ ก็มันรู้มาตั้งแต่แรกที่เจ้าพวกนั้นคบกันนั้นละ”
“มะ...เมื่อไร” ร่างสูงเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ ยิ่งทำให้ไผ่รู้สึกเจ็บยอกในอก
“ก็ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว!” ไผ่กระแทกเสียงใส่ ก่อนจะรู้สึกเจ็บหนึบที่ต้นแขนเมื่อนิ้วมือใหญ่กดลงบนเนื้ออ่อน
“แล้วทำไมถึงเงียบไว้ละ...ทำไมละไผ่”
“ทำไม...เรื่องแบบนี้นายจะให้ฉันมาป่าวประกาศรึไง สังเกตเอาเองสิ แล้วถ้านทมันอยากบอก มันก็บอกนายเองละ เรื่องส่วนตัวของมันนะ ฉันจะไปก้าวก่ายได้ยังไง”
“บ้าเอ้ย! แล้วถ้านทมันมีปัญหา มันไม่เต็มใจแล้วใครจะช่วยมันละ มันยิ่งไม่ค่อยจะพูดอยู่ นายก็รู้”
คำพูดบั่นทอนน้ำจิตน้ำใจทำให้ไผ่นึกฉุน
“เออ! ฉันมันไม่ดี แต่อย่าลืมว่ามันโตจนหมาเลียก้นไม่ถึงแล้วนะ มันตัดสินใจให้ชีวิตของมันเองได้ แล้วถ้ามันเหลือบ่ากว่าแรง นทมันต้องมาปรึกษาเราแล้ว นายนั่นละที่เป็นห่วงมันจนเกินเหตุ ห่วงจนโอเวอร์” ไผ่มองประวิชด้วยดวงตาแวววาว
“ไผ่ ฉันบอกแล้วว่านทมันไม่ค่อยพูด ถึงได้คอยเป็นห่วงมันไง แล้วที่เป็นแบบนี้ก็ไม่รู้ว่านทมันถูกบังคับรึเปล่า ไม่เห็นรึไงว่าเมื่อกี้นทมันทำท่ารังเกียจแค่ไหน” ประวิชนึกไปถึงท่าทางต่อต้านของนทนทีที่มีต่อปถวีเมื่อครู่
“ไม่ละ ฉันเป็นห่วงมัน เดินไปคนเดียวแบบนั้นมันน่าห่วง” ท่าทางร้อนรน เป็นห่วงเป็นใยเพื่อนคนสำคัญยิ่งทำให้ไผ่สูญเสียความอดกลั้น สูญเสียสิ่งที่พยายามเก็บซ่อนมาตลอด
“หึ!...คำก็นท สองคำก็นท แล้วไอ้ที่ยืนตัวโด่อยู่ตรงนี้มันไม่สำคัญเลยรึไง” ความเจ็บปวดที่อยู่รอบตัวผลักดันให้ไผ่แสดงความรู้สึกของตัวเองออกมา ทำให้ประวิชต้องเพ่งมองเพื่อนตรงหน้าอย่างพิจารณาในเจตนาของคนพูด
“สำคัญสิ” ร่างสูงพึมพำเสียงแผ่ว ด้วยรู้สึกถึงความแปลกของคนตรงหน้า
“สำคัญขนาดไหน เท่าเจ้านทมั้ยละ” ถึงไม่ตั้งใจจะพูดเหมือนอิจฉาเพื่อน แต่เขาก็อดยกมาเปรียบเทียบไม่ได้
“ทะ...เท่ากันสิ นายเป็นอะไรของนาย ตอนนี้ไปตามนทกันก่อนเถอะ”
ประวิชที่รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลของไผ่จงใจจะเบี่ยงประเด็น แต่ดูเหมือนจะยิ่งทำให้ไผ่รู้สึกถึงความว่างเปล่าในใจ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรง
“แต่นายสำคัญกับฉันมากกว่าใครๆ” ไผ่เงยหน้ามองคนที่เขาแอบรักมาเนิ่นนาน ใบหน้าที่คอยวนเวียนอยู่ใกล้ไม่ได้ห่าง แต่...
เขาไม่เคยสำคัญน้อยกว่าใคร และก็ไม่เคยมากกว่าใครเช่นกัน
การเปิดเผยถึงความรู้สึกในใจบางส่วน ทำให้ประวิชนิ่งงัน แววตาที่สะท้อนถึงความรู้สึกในใจของเพื่อนที่คบกันมาเนิ่นนานทิ่มแทงเข้าไปในอกให้เจ็บแปลบๆ
เพื่อน! คำๆนี้ทำให้ประวิชจำต้องหลีกเลี่ยงไม่รับรู้ถึงสิ่งที่คนตัวเล็กต้องการจะบอก และก็เป็นอย่างทุกครั้งที่ร่างสูงใหญ่จะปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม
“ไผ่เอาไว้คุยกันอีกทีนะ ฉันไปตามเจ้านทก่อน” ร่างสูงค่อยๆผละถอยห่าง ก่อนจะหันหลังจ้ำเดินจากไปอย่างเร่งรีบ
ปฏิกิริยาของร่างสูงที่ทำเหมือนไม่อยากจะรับฟัง ไม่อยากแม้แต่จะเอ่ยถึง ทำให้ความรู้สึกเนื้อต่ำใจวิ่งลิ่วๆขึ้นมาจุกคอ แล้วจึงรู้สึกโกรธในท่าทีของร่างสูง
“แล้วฉันละ! นายจะทิ้งฉันให้กลับคนเดียวรึไง” ร่างบางตะโกนออกไปจนสุดเสียงทั้งที่รู้สึกอ่อนล้าไปทั้งใจ เขาไม่เคยเข้าไปอยู่ในใจคนๆนี้เลยรึไง...
ประวิชที่ได้ยินเสียงร้องตะโกนบอกของไผ่หยุดชะงัก ถึงแม้จะไม่สามารถรับความรู้สึกของเพื่อนได้ แต่ความห่วงใยก็ยังคงมีให้ไม่ห่างหาย ร่างสูงจึงยืนละล้าละหลังชั่วขณะ แล้วกวาดตามองไปรอบบริเวณเผื่อมองหาปถวี แต่ก็ไม่เห็นทั้งรถทั้งคน นี่เขายืนคุยกับไผ่จนไม่รู้ว่าปถวีไปตั้งแต่เมื่อไรเลยเหรอ
ประวิชมองออกไปยังถนน แล้วจึงตัดสินใจเดินกลับมาหาร่างโปร่งบางที่ยืนมองมาด้วยดวงตาแดงก่ำ
“ปะ...กลับบ้าน” ประวิชเอื้อมมือเข้าไปดึงต้นแขนเล็กให้ออกเดินไปยังถนนเพื่อเรียกหาแท็กซี่ ด้วยพวกเขาไม่ได้ขับรถมาเอง
เมื่อร่างสูงตัดสินใจกลับมา ใจที่เคยร้อนรนกับสงบนิ่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไผ่มองแผ่นหลังกว้างที่เดินนำหน้าก่อนจะอ้อมแอ้มเอ่ยถาม
“แล้วเจ้านทละ” ไผ่ที่เดินตามอย่างว่าง่ายเงยหน้ามองดูปฏิกิริยาของร่างสูง ด้วยรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองออกฤทธิ์ออกเดชมากกว่าปกติ
“เดี๋ยวขึ้นรถจะโทรหาอยู่ แต่เจ้าวีคงตามไปแล้วละ” ร่างสูงตอบเรียบๆแล้วยกมือเรียกรถแท็กซี่ เมื่อเจ้ารถรับจ้างจอดสนิท ประวิชจึงเปิดประตูให้ร่างเล็กเข้าไปนั่งแล้วตนเองจึงตามเข้าไป พอบอกกล่าวจุดหมายปลายทางให้คนขับเรียบร้อยจึงยกโทรศัพท์ขึ้นกดโทรหานทนที โดยไม่ได้เหลียวมองคนนั่งข้างๆอีกเลย รออยู่พักใหญ่กว่าอีกฝ่ายจะรับสาย
“นท อยู่ไหนนะ”
“อยู่บนรถแท็กซี่ ฉันกำลังจะกลับบ้านน่ะวิช”
“เป็นอะไรรึเปล่านท เจ้าวีมันทำอะไรอีกรึเปล่า”
“ฉันไม่เป็นไรหรอกวิช แต่อย่าเพิ่งถามอะไรเลยนะ ฉันอยากพักซักนิดก่อนน่ะ...ได้มั้ย” คำร้องขอเหมือนคนเหน็ดเหนื่อยทำให้ประวิชจำต้องพยักหน้าทั้งๆที่ในใจร้อนรน ก่อนจะวางโทรศัพท์แล้วก้มหน้าลงครุ่นคิด ไม่ได้สังเกตร่างเล็กข้างๆที่นั่งหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างรถ เพื่อพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้มันไหลลงมา จนถึงจุดหมายปลายทาง คือบ้านของคนที่พยายามกลั้นน้ำตาไว้อย่างสุดฤทธิ์
ร่างบางลงจากรถอย่างเงียบเชียบโดยไม่มีเสียงเอ่ยลาจากเพื่อนตัวโตเช่นเดิม เพราะเจ้าตัวดูจะตกอยู่ในภวังค์ความคิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นจนไม่ได้สนใจว่าเขาคิดยังไง รู้สึกแย่แค่ไหน
ไผ่มองรถแล่นจากไปในความมืด แล้วจึงทรุดตัวนั่งลงร้องไห้อย่างหมดความอดทน หรือจะหมดหวังแล้วจริงๆกับผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่เขาไม่เคยคิดจะหักหาญน้ำใจให้ต้องรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่ผิดแปลกไปจากผู้ชายทั่วไปของเขา การชอบเพศเดียวกัน เขาสู้อุตส่าห์อดทนทำทุกอย่างให้อีกฝ่ายเห็นความดี เผื่อว่าจะมีใจให้เขาสักวัน
แต่วันนั้น...วันที่เขาหวังมันคงไม่มีแล้วละมั้ง เพราะประวิชก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ธรรมชาติสร้างมาให้คู่กับเพศหญิงที่อ่อนหวานนุ่มนวล ผิดกับเขาที่มีอะไรๆเหมือนกับเจ้านั่นทุกอย่าง แล้วผู้ชายปกติอย่างนั้นมันจะมารักมาชอบเขาได้ยังไง ต่อให้เขายกกายถวายชีวิตให้ก็คงไม่แล และถ้าจะแลก็คงไปแลเจ้านทก่อนมั้ง เพราะเขารัก เขาห่วงกันมาแต่ไหนแต่ไร แล้วไอ้ม้าพยศอย่างเขาใครจะมามอง
ร่างบางยกมือขาวนวลขึ้นมองนิ้วมือเรียวยาวผ่านม่านน้ำตาพร่าเลือน พลางนับนิ้วดูระยะเวลาที่เขารู้จักกับประวิชมา
หนึ่ง สอง สาม...สี่ ...กะ..เก้า หึๆ เก้าปี แล้วยังไม่มีอะไรคืบหน้าขึ้นมาเลย...จะบอกว่า...
เขาควรจะตัดใจได้แล้วใช่มั้ย...
---TBC---
เอิ่ม ภาคนี้ทะเลาะกันมากไปมั้ยค่ะ
ปล. เเหะเเหะ เจี๊ยบลงถี่ไปมั้ย อาจกันตาลายอะป่าว
พอดีจะรีบๆลงเรื่องนี้ให้จบ เพราะมีเรื่องใหม่จะมาลงต่อ น่ารักเวอร์ๆเลย
(อาจมีคนเคยอ่านเเล้ว ไอ้ก้องกะน้องม่อน อิอิ)เเต่ไม่ใช่ของพี่ sake นะค่ะ
ขอบคุณทุกคอมเมนท์ค่ะ