ตอนที่ 8
นทนทีเหลือบมองนาฬิกาฝาผนังที่บอกเวลาสี่ทุ่มเศษหลังจากกันย์มาส่งเขาถึงบ้าน ร่างโปร่งล้มตัวลงนอนหากใจกลับกังวลไปถึงเพื่อนตัวเล็กที่เงียบหายไปตั้งแต่วันที่พวกเขาพาออกมาจากผับย่านรัชดา
เป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ แต่เห็นวีบอกว่าไม่ค่อยจะดีเท่าไร เพราะถ้าไม่อยู่คนเดียวเงียบๆก็กินเหล้าหัวราน้ำจนต้องไปลากตัวกลับ ก่อนที่ใครจะหิ้วไปซะก่อน
เป็นห่วงจริงๆเลยน้า...ร่างโปร่งรำพึงก่อนจะหยิบโทรศัพท์กดหาเพื่อนที่ไม่รู้ทำอะไรอยู่ที่ไหน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เพื่อนไม่อยู่ในสถานที่ๆล่อแหลมก็แล้วกัน
“ไผ่...” นทนทีผงะหูออกจากโทรศัพท์ ด้วยเสียงเพลงดังกระหึ่มที่สอดแทรกเข้ามา อีกแล้วเหรอเนี่ย
“ไผ่อยู่ที่ไหนน่ะ”
“ร้านเดิมนั่นละนท มีอะไรเหรอ โทรมาซะดึกเชียว” น้ำเสียงใสๆของเพื่อนทำให้นทนทีโล่งใจไปเปาะหนึ่ง อย่างน้อยก็ไม่ได้เมาละนะ
“เป็นห่วงเพื่อนต้องมีอะไรด้วยเหรอ”
“หึๆ เกินไปๆ ฉันยังไม่ตายหรอกน่า”
“แต่ไปผับวันเว้นวันแบบนี้ได้ตายแน่ๆไผ่”
“น่า...จะกลับแล้วละ ออกมาธุระเมื่อเย็นเลยถูกเพื่อนลากมาอีกทีน่ะ” ไผ่ป้องปากกับโทรศัพท์
“จริงๆนะ”
“จะโกหกทำไมละ”
“ไผ่...ให้ฉันไปนอนคุยด้วยมั้ย หรือนายจะมาค้างบ้านฉันก็ได้นะ หรืออยากไปเที่ยวพักผ่อนสบายๆบ้างก็ดีเหมือนกันนะไผ่” นทนทีเอ่ยอย่างกังวลกับเพื่อนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกันตัวคนนี้
“นท...ขอบใจที่เป็นห่วง แต่ฉันยังไหวอยู่” ไผ่บอกอย่างราบเรียบจนนทนทีอดสะท้อนใจไม่ได้ เพื่อนเขาคงทุกข์ใจแสนสาหัสกับความรักที่ไม่อาจแม้แต่จะเอ่ยออกไป
“แล้วไผ่ไม่ได้ติดต่อกับประวิชเลยใช่มั้ย วันก่อนก็โทรมาหาฉันบอกติดต่อนายไม่ได้”
“หึ ฉันยังไม่อยากเห็นหน้าเจ้านั่นซักพักละ เจอกันตอนนี้ฉันยิ่งเจ็บนะนท และก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรลงไปด้วย ขอเวลาฉันซักพัก แล้วฉันคงจะมองเจ้านั่นอย่างคนเป็นเพื่อนกันได้หรอก”
“อืม...แล้วรีบกลับบ้านนะไผ่ มันจะเที่ยงคืนแล้ว”
หลังจากมั่นใจว่าเพื่อนคงจะรีบกลับบ้านอย่างที่รับปากรับคำ นทนทีจึงวางสาย แต่ยังไม่ทันได้เก็บโทรศัพท์ เจ้าเครื่องเล็กๆที่ยังอยู่ในมือก็ร้องดังขึ้นมาอีก
“ประวิช?” นทนทีกดรับสายแล้วให้ตกใจกับน้ำเสียงที่ดูหงุดหงิดของเพื่อนตัวใหญ่
“คุยกับใครอยู่หึ ฉันกดหานายมือแทบหงิก”
“...คุย...คุยกับไผ่อยู่นะ เกิดอะไรหรือน้ำเสียงไม่ดีเลย” นทนทีเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก เพราะไม่เคยเห็นประวิชเป็นแบบนี้มาก่อน
“ดีเลย ตอนนี้เจ้านั่นอยู่ไหนหึ! ฉันโทรหาก็ไม่รับสายฉัน แต่รับสายนาย มันยังไงกันห๊า!” น้ำเสียงชวนเอาเรื่องของประวิชทำให้นทนทีนึกกังวลใจ
“คิดมากน่า...ไผ่คงไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์มากกว่า เพราะเมื่อกี้ฉันโทรไป ไผ่อยู่ในพับเสียงดังมากเลย” นทนทีเอ่ยอย่างประนีประนอม แต่ต้องนึกเสียใจเมื่อประวิชตอบสวนกลับมา
“ไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ฉันมาสามสี่วันนี่นะ บอกมานะนท มันเป็นอะไรของมัน” น้ำเสียงร้อนรนแกมโมโหผิดกับประวิชคนเดิม ทำให้นทนทีต้องคิดก่อนจะพูดอะไรออกไป เพื่อไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่
“คงกลุ้มใจอะไรอยู่ละมั้ง ฉันก็ไม่แน่ใจหรอกนะ แต่อย่าไปโกรธไผ่เลยนะวิช ให้ไผ่อยู่คิดอะไรซักพักเถอะ” แต่คำพูดของนทนทียิ่งทำให้ประวิชยิ่งอยากรู้ว่าเกิดอะไรกับคนที่เคยตามเขาเป็นเหงาตามตัวกันแน่
มีอะไรทำไมไม่เล่าให้เขาฟังละ...ตั้งแต่วันนั้น วันที่เขารู้สึกว่ายิ้มนั้นมันฝืดเฝื่อนพิกล
“นท...ฟังนะ ฉันขึ้นมาทำงาน และอยู่ๆเจ้านั่นดันทิ้งงานไปไม่บอกไม่กล่าวว่าเป็นอะไร แล้วอีกไม่กี่วันก็ต้องกลับใต้แล้ว นายจะให้ฉันเฉยอยู่ได้ยังไง” ประวิชฉุนกับน้ำเสียงฟังดูมีลับลมคมในของนทนที
“ฉันอยากคุยกับเจ้านั่น บอกมาว่าไผ่อยู่ที่ไหนหึ”
“ประวิชนี่มันดึกแล้ว ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันก็ได้มั้ง” นทนทีหว่านล้อมด้วยหวังให้ประวิชได้สงบใจก่อนที่จะคุยกับไผ่
“นท! ไม่ใช่ฉันไม่ไปหาเจ้านั่นที่บ้านนะ แต่ฉันไปแล้วไม่เคยเห็นหัวมันเลยต่างหาก บอกมานท ฉันจะได้คุยกันให้รู้เรื่อง ถ้าไม่อยากทำงานกับฉัน ฉันจะได้กลับใต้ไปคนเดียว ปล่อยให้สำเริงสำราญอยู่กรุงเทพนี่ละ”
“...” โธ่ประวิช ฉันก็อยากบอกนะ แต่...
เมื่อนทนทีเงียบ ประวิชจึงถอนหายใจใส่โทรศัพท์ และยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน
“ให้ท้ายกันเข้าไปนะ เมื่อกี้เห็นบอกว่าอยู่ที่ผับ คงเป็นผับที่เจ้านั่นไปประจำใช่มั้ย”
“ประวิช...ไปก็คงไม่เจอเหรอ ไผ่คงกลับไปแล้วละ”
“แสดงว่าอยู่จริงๆ งั้นแค่นี้นะ”
“เดี๋ยวๆประวิช!” ไม่ทันให้ได้ร้องห้าม เพื่อนตัวโตที่ไม่เคยแสดงอาการวู่วามให้เห็นก็ตัดสาย แถมโทรไปก็ไม่ยอมรับ และจะโทรไปบอกไผ่ให้รู้ตัว เจ้าคนต้นเหตุก็ดันปิดเครื่องไปซะแล้ว ร้อนจนนทนทีต้องโทรหาปถวี
“ทำไงดีละ ถ้าไม่เจอกันก็คงดีหรอก” นทนทีเล่าให้ปถวีฟังด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“นท...เฮ้อ ลองเป็นแบบนี้อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดแล้วละ เราคอยหาทางแก้หลังจากนี้ก็แล้วกัน บางทีมันอาจไม่มีอะไรก็ได้นท” ปถวีตอบพลางเหม่อมองเพดานห้อง ให้จริงเถอะไอ้คู่นี้ ตัวเขายังเอาตัวเองไม่ค่อยจะรอดเลย...
“แต่...”
“นท...ปัญหาของเขา เราเข้าไปยุ่งมากไม่ได้หรอกนะ เรื่องบางเรื่องมันก็มีเวลาของมัน”
“ก็จริง แต่ก็อดไม่ได้ละ เพื่อนกันทั้งคู่ ต่อไปจะมองหน้ากันติดเหรอ”
“เอาน่ะ โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงกันแล้วนะ ถ้าคิดไม่ได้ก็ปล่อยไปเถอะ ว่าแต่วันนี้กลับดึกอีกแล้วเหรอ”
“อะ...อืม แต่ก็กลับๆกันย์นั่นละ” นทนทีเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปร่งๆด้วยอีกฝ่ายวกออกนอกเรื่องไม่ให้ทันตั้งตัว และเป็นเรื่องที่พูดกี่ครั้งก็มีแววว่าจะทะเลาะกันเสียทุกครั้งไป ทำแบบนี้เขาก็รู้สึกอึดอัดใจใช่เล่น...หากแต่อีกฝ่ายเพียงพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้เอ่ยพาดพิงอะไรออกมา กลับพูดไปถึงเรื่องที่ไม่คาดคิด ทำให้นทนทีต้องแอบโล่งใจหน่อยๆ
“วันนี้เจ้านลออกปากกับแม่ว่าจะไปขอน้องวาน่ะ”
“ห๊ะ!” ที่โล่งใจเมื่อกี้ขอคืนนะ ร่างเล็กนึกค่อนขอดอีกฝ่ายในใจ
“ไม่ห๊ะละ เรื่องจริง แล้วแม่ฉันก็ไฟเขียวแล้วด้วย” ปถวีเอ่ยข้ามประเด็นที่มารดาได้บอกไว้
“น้องวาอายุยังไม่ถึงยี่สิบห้าเลยนะวี!”
“น้องฉันมันใจร้องไง”
“เดี๋ยวฉันคุยกับนลเองดีกว่า ฉันไม่ค่อยเห็นด้วยเลย”
“อีกละ...ถึงนายจะเป็นพี่ก็ตามเถอะ แต่พวกเขาก็ไม่ใช่เด็กนะนท เจ้านลมันก็ทำงานทำการมาไม่น้อยกว่าฉันหรอก น้องวาก็เรียนจบทำงานแล้วด้วย”
“วี แต่มันเร็วไปนะ”
“เร็วไปสำหรับนายต่างหาก นายกำลังกังวลอะไรจนเกินเหตุ นายเอาความรู้สึกของนายเป็นตัวตัดสินแทนเขามากกว่า ปล่อยให้เขาเลือกชีวิตของเขาเองดีกว่ามั้ย” ปถวีเอ่ยอย่างปลอบประโลม
“นท น้องวาเข้มแข็งกว่าที่พวกเราคิดนะ”
“แต่...”
“ไอ้นลมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงไม่อยากได้มันเป็นเขยน่ะ” ปถวีถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ทำให้คนฟังนึกฉุนกึก
“นี่! ตั้งแต่เกิดมาเคยกังวลอะไรกับเขาบ้างมั้ย” นทนทีตะโกนใส่โทรศัพท์เมื่อได้ยินเสียงคนไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจอะไร แต่เขาสิที่กลัว กลัวว่าน้องสาวตัวเองจะตกที่นั่งลำบากกับความรักครั้งนี้
“นายไงละนท นายทำให้ฉันกังวลไปสารพัด จนอยากจับมัดไว้กับเสาเชียวละ”
“ทุเรศ!”
XXXXX
“วันนี้ถ้าไม่เจอฉันไม่กลับจริงๆด้วย” ประวิชกวาดสายตาไปรอบๆร้านเหล้ามืดสลัวมีเพียงไฟกระพริบหลากสีนำทางเพื่อหาคนที่เขาอยากพบ
“ถ้าเป็นเด็กจะจับฟาดให้ก้นลายเลย เหลวไหลจริงๆการงานไม่ทำ ดันมาเที่ยวสนุกอยู่ได้ โทรศัพท์ก็ไม่ยอมเปิด!” ประวิชบนพึมพำขณะมองหาร่างเล็กคุ้นตา แต่เดินวนไม่รู้กี่รอบก็ไม่เห็น ยิ่งทำให้คนที่หงุดหงิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วโมโหเข้าไปใหญ่
“รึว่ากลับบ้านไปแล้วจริงๆ” ร่างสูงชะโงกตัวข้ามผู้คนที่ยืนกันเบียดเสียดเข้าไปเพ่งมองบรรดาโต๊ะที่ตั้งอยู่ตามซอกหลืบของร้าน จนชะงักเข้ากับชายหนุ่มคู่หนึ่งนั่งกอดจูบอย่างไม่เกรงฟ้าอายดิน และเพราะเห็นเพียงแผ่นหลังผู้ชายตัวโตทำให้ประวิชละสายตาออกมา แล้วถอนหายใจอย่างไม่ทั่วท้อง
“เออ! เอาเข้าไป” ประวิชบ่นพึมพำ เห็นเพื่อนนั่งอยู่เต็มโต๊ะยังทำไปได้นะ แต่เจ้าพวกนั้นมองแล้วสติสะตังคงไม่คอยอยู่กับเนื้อกับตัวกันเลย ถ้าจะเมาจัด ก่อนจะปลีกตัวถอยห่าง ปลายหางตาจึงตวัดเห็นศีรษะคนตัวเล็กเบี่ยงหนีออกห่างผู้ชายร่างใหญ่ และใบหน้าขาวนวลตัดความมืดสลัวทำให้ประวิชชะงักค้าง ทุกสิ่งดูจะหยุดนิ่งชั่วขณะ
“ผะ ไผ่!” เสียงครางเครือไม่ผ่านจากลำคอ ทำให้ประวิชจุกแน่นไปทั้งอก และยิ่งรู้สึกถึงเส้นเลือดในสมองโป่งพองปวดจี๊ดๆ เมื่อเห็นคนที่เคยตามเกาะเป็นเงาตามตัวยิ้มละไมให้ผู้ชายที่เขาไม่รู้จัก แถมยังเงยหน้าขึ้นรับสัมผัสจากริมฝีปากอีกฝ่ายที่คอยวนเวียนปัดไปปัดมาไม่ได้ห่าง แล้วยังมือไม้ยุ่มย่ามเป็นหนวดปลาหมึกนั่นอีก
เฮ้ย! ประวิชร้องด้วยตกใจเมื่อเห็นชายหนุ่มส่งลิ้นเข้าไปลิ้มรสในช่องปากเล็กอย่างฉกฉวย
ทำอะไร ทำอะไรกันห๊ะ! ไปจูบกับผู้ชายได้ยังไง
“ไผ่!” เสียงเรียกอย่างตะคอกดังก้องไปทั่วบริเวณแม้จะมีเสียงเพลงจังหวะรัวเร็วกลบไปบ้าง ทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงสุดตัว และผลักชายหนุ่มที่กำลังนัวเนียออกห่างทันมีเมื่อเห็นว่าใครมายืนอยู่ตรงหน้า
“ประวิช!” ไผ่ลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคงไม่มีท่าทีว่าจะเมามายซักนิด ยิ่งทำให้เส้นเลือดในสมองประวิชแทบแตก
“มา...มาที่นี่ได้ยังไง” เสียงถามกระท่อนกระแท่นเหมือนเด็กถูกผู้ใหญ่จับได้ว่าขโมยขนมกิน
“ก็มาตามไอ้บ้าที่อู้งานกลับนะสิ” ประวิชเดินย่างสุขุมเข้าไปใกล้ร่างเล็กที่ยืนกระสับกระส่ายจนสังเกตได้ชัด
“แล้วเมื่อกี้นี้นายทำบ้าอะไรหึ!”
“อะ...ขอ...ขอโทษ” เพราะเสียใจไผ่จึงไม่ได้คิดถึงเรื่องงานเรื่องการในหัวเลยแม้แต่น้อย จนคนที่เป็นทั้งเพื่อน หัวหน้า และคนที่เขารักเอ่ยเตือนนั่นละ ถึงได้สะกิดต่อมความรับผิดชอบในตัว
“กลับบ้าน!” ประวิชตะคอกใส่ศีรษะเล็ก ขณะที่หางตาเห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เขานึกเขม่นในใจลุกขึ้นมาผลักอกออกห่างจากร่างเล็กอย่างถือวิสาสะ
ไผ่มองเห็นเค้าความวุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้นจึงแทรกตัวเข้าไประหว่างคนตัวใหญ่ทั้งสอง
“เอ็มๆ นี่เพื่อนฉัน อย่ามีเรื่องกัน” ร่างเล็กยึดแขนเพื่อนที่ตั้งท่าเอาเรื่องผู้มาใหม่ให้หมอบคาบาทา
“ถ้าเป็นเพื่อนก็อย่ามาเสือกเรื่องคนรักกันสิ คราวก่อนก็ทีแล้วนะไผ่” เอ็มหันไปขึ้นเสียงกับไผ่
ทั้งคำพูดและอาการถือสิทธิ์เป็นเจ้าข้าวเจ้าของของเอ็ม ทำให้ดวงตาที่อ่อนโยนเป็นนิจวาวโรจน์เหมือนสุมด้วยไฟกองใหญ่
“คนรักบ้าอะไรของนายห๊ะไผ่ จะเหลวไหลไปแล้วนะ” ประวิชเสียงดังพลางเพ่งมองริมฝีปากเล็กที่จับด้วยหยาดน้ำแวววาวสะท้อนแสงไฟก็ยิ่งนึกโมโห
“นายต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!” เพราะไม่ได้สำนึกถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย ทำให้ประวิชต่อว่าอย่างไม่ไว้หน้า
ไผ่มองใบหน้าโกรธขึงของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกแข้งขาอ่อนแรง ประวิชเห็นแล้ว เห็นว่าจูบอยู่กับผู้ชาย แล้วต่อไปประวิชจะคิดกับเขายังไง จะรังเกียจความรู้สึกของเขารึเปล่า เขายังไม่อยากจะคิดถึงเลย
“ฉันไม่ได้เหลวไหลนะ นายกลับไปเถอะ เดี๋ยวฉันกลับเองได้”
คำตอบของไผ่ทำให้ประวิชขบฟันแน่น แล้วกระชากแขนเล็กเข้าไปใกล้ตัว
“จะกลับไม่กลับ ถ้าไม่กลับก็ไม่ต้องมาให้เห็นหน้าเลยนะ คนไม่รับผิดชอบ!”
คำต่อว่าของคนรักที่ไม่เคยแม้แต่จะรับฟังความรู้สึก ดีแต่หลบเลี่ยง แล้วตอนนี้จะถือสิทธิ์อะไรมาสั่ง ริมฝีปากบางจึงขบกัดเข้าหากันอย่างถือทิฐิ
“ไม่ ฉันไม่กลับกับนายหรอก นายกลับไปคนเดียวเถอะ”
“ไผ่!” ประวิชแทบควันออกหูได้ เมื่อได้ยินไผ่ป่าวประกาศต่อหน้าต่อตา
ไม่เคยเลยที่ร่างเล็กๆนี้จะดื้อแพ่งกับเขาขนาดนี้ เพราะไอ้หนุ่มหน้าแหลมนี้เหรอ ร่างสูงใหญ่คิดด้วยหัวใจที่ร้อนรน
คนที่เคยตามเป็นดังเงา คนที่เคยยิ้มละไมให้เช้ายันค่ำ แต่วันนี้กลับเลือกคนอื่น ให้ความสำคัญกับใครก็ไม่รู้ แล้วเขาละ...หมอนี้เอาเขาไปไว้ตรงไหน ความรู้สึกเหมือนถูกแย่งสิ่งสำคัญไปทำให้ประวิชกระชากร่างเล็กเข้าประทะอก หากแต่ชายหนุ่มที่เอ่ยอ้างว่าเป็นคนรักของไผ่เข้ามายื้อไว้นั่นละ ประวิชจึงได้ประโคมหมัดเข้าใส่ลำตัวจนอีกฝ่ายทรุดตัวลงกุมท้องร้องโอดโอย ก่อนจะหันมาตีหน้ายักษ์ใส่คนตัวเล็กในอ้อมแขนที่ทำหน้าเหวอกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“จะกลับดีๆหรือจะต้องมีเรื่องกัน” คนใจเย็นอย่างประวิชหยิบขวดเหล้าขึ้นตีกับเสาข้างตัวให้แตกเป็นปากฉลามกันบรรดาวัยรุ่นในโต๊ะที่เริ่มห้อมล้อมเข้ามาใกล้
และไม่รอให้คนมีสีหน้าตกใจตอบ ประวิชก็ลากร่างแข็งทื่อไปยัดใส่รถ แล้วออกตัวกระชากพาให้ร่างเล็กหัวแทบกระแทกกับแผงคอนโซล พร้อมกับปรายหางตามองการ์ดของร้านออกมาเมี่ยงมองกันการทะเลาะวิวาทของแขกในร้านอย่างโล่งใจเล็กน้อย
ดีนะที่ออกมาก่อน ไม่งั้นได้จมบาทาการ์ดพวกนี้แน่
ร่างสูงขับพาคนที่ไม่ยอมพูดยอมจากลับไปยังบ้านของตน และต้องยื้อยุดกันอีกพัก กว่าจะพาคนตัวเล็กแต่แรงไม่น้อยเข้าบ้านได้
“ปล่อย!”
“นี่! ทำตัวให้ดีๆนะไผ่ ไม่งั้นฉันชกจริงๆด้วย” ประวิชตวาดเสียงดังอย่างเหลืออด หลังจากต้องเสียเหงื่อลากไผ่เข้ามาในบ้าน
“นาย! ทำไมต้องตะคอกด้วยเล่า เดี๋ยวพ่อแม่พี่น้องก็ตื่นกันพอดี นี่มันดึกแล้วนะ” ไผ่โก่งตัวเมื่อประวิชพาขึ้นบันไดไปยังห้องนอน ห้องที่เขาเคยมานอนค้างด้วยบ่อยๆ”
“ไม่ต้องห่วง พวกเขาไปเที่ยวเขาใหญ่กันหมดบ้านแล้ว” ประวิชตอบน้ำเสียงปนหอบ ขณะลากร่างเล็กเข้าไปคุยกันในห้องนอนจนได้
“เอ๊า! จะนั่งคุยกันดีๆมั้ย” ร่างสูงใหญ่จับบ่าเล็กกระแทกให้นั่งลงขอบเตียง แล้วลากเก้าอี้ใกล้มือมาให้ตัวเองนั่งลงตรงหน้า
“ไหน...เป็นอะไรว่ามาสิ ทำไมไปทำตัวเละแทะแบบนั้น” ประวิชลดเสียงลงเมื่อเห็นใบหน้าซีดขาวของอีกฝ่าย
“ไผ่...”
เสียงเรียกอ่อนโยนผิดกับเมื่อครู่ ทำให้ใจที่ยังไม่มีแม้แต่เกาะคุ้มกันบางๆต้องล้มเหลวไม่เป็นท่า ทำไมนะ ทำไมต้องมาเห็นเขาในสภาพแบบนี้ ต้องเห็นอะไรที่เขาไม่อยากให้เห็น รออีกหน่อยเขาก็ตั้งใจจะกลับไปเป็นเหมือนเพื่อนปกติอยู่แล้วแท้ๆ แล้วแบบนี้ทุกอย่างมันจะเป็นความลับไปอีกได้ยังไง ในเมื่อเห็นแล้ว รู้แล้วว่าเขาเป็นเกย์!
หยาดน้ำใสที่อยู่ๆก็เอ่อร้นออกมาจากดวงตาคู่ว่างเปล่าไร้แวว ทำให้ประวิชขมวดคิ้วยุ่ง ใจที่นึกโมโหอีกฝ่ายเมื่อครู่อ่อนยวบลง
“เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม ใครทำกันฮึ” มือใหญ่เข้าลูบศีรษะทุยเหมือนปลอบเด็กเล็กๆอย่างเก้ๆกังๆ ด้วยตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมายังไม่เคยเห็นน้ำตาสักหยดของคนตรงหน้าที่ดีแต่ลิงข้างไปวันๆ
คำพูดที่ฟังดูเหมือนปลอบใจกลับทำให้ไผ่ตวัดสายตามองอย่างโกรธเคือง พลางปัดมือใหญ่ออกจากศีรษะอย่างสะบัด
“เป็นอะไร” ประวิชยังคงทอดเสียงถาม แต่อีกฝ่ายกลับยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำมูกแรงๆแล้วนั่งเงียบไม่ยอมพูด จนร่างสูงต้องขยับลุกไปนั่งข้างๆ
“นี่นายจะไม่พูดกับฉันจริงๆเหรอ ฉันเครียดนะ นายเล่นหายหน้าหายตาไป การงานก็ทิ้งไว้ไม่บอกอะไรฉันเลย นี่อีกไม่กี่วันก็จะกลับใต้ แล้วนายจะให้ฉันเฉยอยู่ได้ยังไง” ประวิชทอดสายตามองอีกฝ่ายก้มหน้าก้มตามองมือตัวเองเหมือนจะให้มีอะไรงอกออกมาได้งั้นละ
“ฉัน...ขอโทษ” น้ำเสียงเอ่ยออกมาเบาหวิว แต่ก็ทำให้ประวิชโล่งใจที่อีกฝ่ายยอมเปิดปาก
“เห็นนทบอกว่านายไม่ค่อยสบายใจ ถ้ายังไม่อยากทำงานก็หยุดไว้ก่อน พร้อมเมื่อไรนายค่อยตามลงไปก็ได้ แต่บอกฉันก่อน อย่าหายไปแบบนี้สิ”
“อืม...”
คนตัวเล็กยอมรับแต่ดุษฎี ประวิชจึงยกมือขึ้นเขย่าไหล่มนเบาๆ หากแต่วงหน้าขาวที่เงยขึ้นมองอย่างตัดพ้อ ทำให้ใจแข็งๆของร่างสูงไหววูบ
ทำไม ...ทำไมพอเขาตีตัวออกห่างอีกฝ่ายก็วิ่งเข้าหา แต่พอเขาขยับเข้าใกล้อีกฝ่ายกลับกระเถิบหนี และที่สำคัญ เขาสามารถทำใจให้รักประวิชแบบเพื่อนได้จริงๆหรือ ในเมื่อเขาเฝ้ารักเฝ้าคอยมาเป็นสิบปี
เขาจะอยู่อย่างคนหน้าชื่นอกตรมได้เหรอ ยิ่งถ้าวันใดที่ประวิชมีครอบครัว แล้วเขาจะไปซุกอยู่ตรงไหน มันไม่มีทางจบอย่างที่หวังไว้หรอก เพราะจริงๆแล้ว เขาไม่ต้องการเป็นแค่เพื่อน...ไผ่คิดอย่างขมขื่น ก่อนจะเอ่ยถาม
“เห็นใช่มั้ย”
“อะไร?”
“เมื่อกี้ในร้านเหล้า นายเห็นใช่มั้ย” เมื่อร่างเล็กตอกย้ำให้นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ประวิชจึงรู้สึกปวดสมองจี๊ดๆอีกรอบ
“อย่าไปทำแบบนั้นอีกนะ ฉันไม่ชอบเลย” ประวิชเอ่ยราบเรียบในขณะที่อีกฝ่ายแทบควันออกหู
รักก็ไม่รัก แล้วมีสิทธิ์อะไรมาห้าม! ไผ่มองใบหน้าที่ไม่เคยจะยอมรับความรู้สึกของเขาอย่างโกรธเคือง ก่อนจะผลักอกหนาออกห่างแรงๆ
ในเมื่อไม่คิดจะรับรู้ความรู้สึกของเขา แล้วจะมาหวงไว้ทำไม!
“นายมันเห็นแก่ตัว!”
“เห็นแก่ตัวอะไร!” ประวิชฉวยข้อมือเล็กไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะลุกหนี
“นั่นมันเรื่องส่วนตัวของฉัน นายไม่มีสิทธิมาห้าม”
“แต่นั่นมันผู้ชายนะ นายเป็นเกย์รึไง”
“เออ! ฉันเป็นมาตั้งแต่เกิดแล้ว!” คำตอบสวนกลับของไผ่ทำให้ประวิชชะงัก แต่กลับรวมรวมสติได้ดีเกิดคาด ด้วยไม่ได้ต่างกับที่ใจลึกๆคาดไว้ แต่ที่โมโหเพราะเห็นอีกฝ่ายไปจูบกับผู้ชายต่างหาก!
“เป็นแล้วไงละ เป็นแล้วต้องมั่วด้วยรึไง ถึงได้ไปจูบกันแบบไม่อายฟ้าดินแบบนั้น”
“ฉันไม่ได้มั่วนะ อย่าพูดเหมือนรู้ดีหน่อยเลย!” ไผ่ตะโกนเถียงแม้จะรู้สึกเสียใจก็ตามที
“แล้วที่เห็นมันไม่ได้มั่วรึไง!”
เพี๊ยะ! เสียงฝ่ามือเล็กกระทบแก้มประวิชเข้าอย่างจัง จนเจ้าของใบหน้าเอียงวูบ หากแต่เจ้าตัวกำหมัดแน่นไม่คิดจะสวนกลับ เพราะร่างเล็กที่มองมาด้วยดวงตาแดงก่ำเหมือนจะทิ่มแทงให้ทะลุไปถึงไหนต่อไหน
“นายเคยรู้อะไรบ้างละ เคยตั้งใจรับรู้อะไรในตัวฉันบ้างละ! เห็นแค่นั้นนายก็ว่าฉันแล้วเหรอ คนใจแคบ!” ริมฝีปากบางต่อว่าอย่างโกรธเกี้ยว ก่อนจะสะบัดหน้าหนีด้วยอีกฝ่ายยังยึดจับข้อมือไว้แน่น
ร่างสูงใหญ่ที่มีอารมณ์เดือดดาลนั่งสงบสติอารมณ์ชั่วครู่ แล้วจึงถอนหายใจยาวพลางมองแผ่นหลังที่กระเพื่อมไหวจากการร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างเงียบๆ ใช่...เพราะเขาโมโหถึงได้ต่อว่าอีกฝ่ายอย่างไม่คิด ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นไผ่ไปสุงสิงกับใครเลยนอกจากเขา แล้วจะไปทำตัวแบบนั้นได้ยังไงถ้าไม่ได้รัก...ถ้าไม่ได้รัก...
หรือว่า...
จะรัก!
ประวิชสะดุดเข้ากับความคิดของตัวเองจนใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ก่อนจะเหนี่ยวใบหน้าที่ชุ่มด้วยน้ำตามามองอย่างตะขิดตะขวงใจ
“แล้วที่นายทำ...เพราะนายรักเขาหรือ ถึงได้จูบกันแบบนั้น” ประวิชมองอีกฝ่ายเบิกตากว้างอย่างตกใจทั้งคาดไม่ถึง
“ห๊ะ!” คำถามที่ไม่เคยคิดว่าจะหลุดออกมาจากปากคนที่เขารัก ทำให้ไผ่ไม่รู้จะหัวเราะร่าหรือร้องไห้ฟูมฟายดี แต่ที่แน่ๆในใจตอนนี้เขารู้สึกโกรธเหลือเกิน โกรธจนอยากจะกระชากอีกฝ่ายลงนอนแล้วขึ้นคร่อมฉีกทึ้งเสื้อผ้า และ...ชกไอ้ปากโสโครกนั่นจริงๆ
“หึ...ไม่ต้องรักก็ทำได้” ร่างเล็กตั้งใจตอบกวนโทสะคนตัวใหญ่
“ไผ่!”
ไผ่มองประวิชตาโตก่อนจะเหยียดยิ้มอย่างไม่ยี่หระ พอกันที ไม่ทงไม่ทนมันแล้ว เกือบสิบปีที่ผ่านมา มันยังไม่ทำให้นายรู้อีกหรือว่า ฉันรักใคร!
คนตัวเล็กบางจ้องมองใบหน้าเครียดอีกฝ่ายเขม่ง ก่อนจะถามอย่างแดกดัน
“แล้วอยากรู้มั้ยว่าฉันรักใคร” ไผ่ขยับเข้าใกล้ร่างสูงที่ผงะตัวออกห่างอย่างเกร็งๆ ยิ่งทำให้ไผ่ฉีกยิ้มแห้งแล้งขึ้นไปอีก
เห็นมั้ยไอ้ไผ่ ไอ้บ้าไผ่ เวลาแกทำท่าจะเปิดเผยความในใจทีไร เจ้าหมอนี้เป็นต้องหลีกหนีอยู่ร่ำไป แต่...
ในเมื่อไม่อยากรู้มากนัก ฉันก็จะยัดเหยียดให้รู้กันไปเลย!
“ฉันรักนาย ได้ยินมั้ยว่าฉันรักนาย รักมาตั้งนานแล้ว!” มือเล็กผลักอกหนาให้ล้มลงบนที่นอนนิ่ม ก่อนจะเคลื่อนตัวขึ้นไปนั่งทับหน้าท้องแข็งเรียบแล้วดึงทึ้งสาบเสื้อให้เปิดออกเห็นแผงอกตึงเครียด
“ไอ้ไผ่! หยุดนะ จะบ้าเหรอ อย่ามาเล่นแบบนี้นะ” ประวิชตกใจปัดมือเล็กออกพัลวัน หากแต่ไม่ได้ออกแรงจนทำให้ลำแขนขาวของเพื่อนต้องมีร่องรอยเขียวช้ำ
“ฉันไม่ได้เล่น แต่เอาจริงเลยละ” ไผ่มองอีกฝ่ายด้วยดวงตาเป็นประกายก่อนจะก้มตัวจนศีรษะชิดใบหน้าคมคาย และเอ่ยผ่านริมฝีปากที่ห่างกันเพียงปลายจมูก
“ฉันรักนาย” แม้ต่อแต่นี้ไปนายจะเกลียดฉันไปชั่วชีวิตก็ตาม
ริมฝีปากบางนุ่มเข้าประกบจูบกับริมฝีปากที่ตึงเครียด หากแต่ลิ้นอุ่นก็พยายามรุกล้ำเข้าไปในโพรงปากร้อนผ่าว
“ผะ...ไผ่...ไอ้ไผ่!” ประวิชตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนออกแรงผลักร่างบางกระเด็นไปกระแทกเก้าอี้ข้างเตียง ก่อนจะตะเกียกตะกายกระโดดข้ามไปอยู่อีกฝากหนึ่งของที่นอน
“โอ๊ย!” ไผ่ร้องเสียงหลงก่อนจะยกมือขึ้นกุมหน้าตัวเอง
“ฉันเพื่อนแกนะ!” ร่างสูงขึ้นเสียงใส่คนที่ยังล้มไม่เป็นท่าอยู่ที่พื้น จนใบหน้าขาวๆเงยขึ้นนั่นละ ถึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังป่ายจมูกตัวเองปอยๆด้วยมีเลือดจำนวนหนึ่งไหลออกมา
“ไผ่...” ประวิชกระโดดข้ามเตียงเข้าไปพยุงร่างเล็กด้วยเคยชิน หากแต่อีกฝ่ายกลับสะบัดตัว แล้วลุกขึ้นยืนถอยห่างอย่างทะนง
“ในเมื่อนายรักฉันอย่างคนรักไม่ได้ ก็อย่ามาทำดีกับฉัน อย่ามาห่วงฉัน เพราะอะไรรู้มั้ยวิช” ไผ่มองอีกฝ่ายอย่างยิ้มเยาะ
“เพราะมันทำให้ฉันเจ็บ”
ร่างสูงผงะไปกับคำสารภาพของเพื่อนสนิท คำสารภาพที่เขาพยายามไม่รู้ไม่ชี้มาตลอดเพื่อจะดำรงความเป็นเพื่อนไว้ให้นานเท่านาน แต่มาตอนนี้ เขาได้ฟังเต็มสองหูแล้วจะให้เขาทำตัวยังไงต่อไปดี
เพราะความรักความห่วงใยที่เขามีให้คนๆนี้ไม่เคยข้ามผ่านคำว่าเพื่อนแม้แต่น้อย แม้บางครั้งจะเคยรู้สึกหงุดหงิดจนเกือบจะเรียกว่าหวงหากอีกฝ่ายไปสนิทสนมกับคนอื่นจนออกหน้าออกตา แต่นั่นก็อาจเป็นเพราะเขารู้สึกยึดติดมากเกินไปต่างหาก เขาบอกกับตัวเองแบบนั้นเพื่อความสบายใจในการคบหา และเขาก็พอใจที่อีกฝ่ายไม่คิดจะก้าวข้ามเขตแดนนั้นด้วย
แต่วันนี้ไผ่ได้ล้ำเส้นแบ่งเขตแดนเข้ามาแล้ว ทุกอย่างจึงไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก แล้วเขาควรจะทำยังไงดี...
“ไผ่...”
ไผ่มองประวิชครางเสียงอ่อนระโหยเหมือนคนหมดแรง หากแต่เขาแหกกฎของความเป็นเพื่อนจนถอยไม่ได้แล้ว คางเรียวมนจึงเชิดขึ้นด้วยอาการสั่นระริก และนี่จะเป็นคำถามสุดท้ายที่จะทำให้เขาอยู่เคียงข้างหรือจากไป...จากไปตลอดกาล
“นายจะรักฉันได้มั้ย”
“...!”
“ได้มั้ย” ร่างเล็กถามย้ำด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน หากแต่ใบหน้าอีกฝ่ายกลับแสดงอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหมือนกำลังกินยาขมยังไงยังงั้น มุมปากบางจึงยกขึ้นอย่างสมเพชตัวเอง
ความรู้สึกของฉันมันทำให้นายทรมานขนาดนั้นเลยเหรอ...
“เพื่อน...เราเป็นเพื่อนกัน...ไผ่” เสียงประวิชพูดตะกุกตะกักยังไม่ทันจบ อะไรบางอย่างก็ลอยลิ่วเข้ามาใกล้จนต้องเอี้ยวศีรษะหลบฉับพลัน
ตุบ! ตุบ! เสียงหมอนใบเล็กใบใหญ่ร่วงหล่นพื้น ในขณะที่คนปาหอบด้วยความโกรธจนตัวโยน
“ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนแล้ว! ไม่ได้ยินรึไง” มือเล็กยังคงหยิบข้าวของใกล้มือปาใส่ จนอีกฝ่ายต้องเข้ามากอดรัดหยุดความบ้าคลั่ง
“ไผ่ หยุด อย่าทำแบบนี้”
“อย่ามาจับ!” ยิ่งสัมผัสถึงเลือดเนื้อจากร่างกายอุ่น ก็เหมือนถูกนาบด้วยเหล็กร้อนให้ใจเจ็บแสบ และรู้แล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่สามารถรับความรู้สึกของตัวเองได้ แล้วเขาจะมีหน้าอยู่เคียงข้างอีกฝ่ายได้เหรอ
“ปล่อย!” ไผ่ตะโกนจนสุดเสียงแล้วจึงสะบัดตัวหลุดพ้นจากการกอดรัด ออกมายืนมองร่างสูงใหญ่ด้วยแววตาที่ร้าวราน
ร่างเล็กกลืนก้อนแข็งๆลงคอ แล้วจึงสั่งให้ขาสั่นๆของตัวเองนำพาหัวใจอันหนักอึ้งวิ่งออกไปสู่เส้นทางที่มืดมิดยามค่ำคืน โดยไม่ได้ยินแม้แต่เสียงกู่เรียกให้กลับของอีกฝ่าย ทุกอย่างจึงตกอยู่ในความเงียบสงบ เพราะโสตประสาทของเขาไม่สามารถรับรู้สิ่งใดๆรอบกายได้อีก
มันจบแล้ว...คนที่เขาแอบรักมาเป็นสิบปี...
ร่างเล็กๆจากไปด้วยความเจ็บช้ำ หากแต่คนที่นั่งกองอยู่บนพื้นก็ไม่ต่างกัน เพราะร่างกายที่มีอยู่กลับกลวงโบ๋ไร้ซึ่งหัวใจ
หัวใจที่เหมือนจะลอยตามเงาเล็กๆจากไป
“โธ่เว้ย!”
--- TBC---
เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อจ้า
ขอบคุณทุกคอมเมนท์