พี่หนุ่ยเรทติ้งตกก็นะ...มันน่า

***************************
ผมใช้เวลาอาบน้ำอยู่นานคิดอะไรไปด้วย พออาบน้ำเสร็จเข้าไปในห้องนอนก็ต้องตกใจเพราะมีใครบางคนเดินวนไปมาเป็นหนูติดจั่นอยู่ในห้องนอนผม พอผมเห็นชัดๆเท่านั้น ไอ้น้องเกี๊ยงนั่นเองครับ สภาพของมันที่ผมเห็น ดูแล้วยังแปลกใจว่ามันกล้าออกมาจากบ้านด้วยชุดแบบนี้ได้ยังไง น้องเกี๊ยงหน้าซีดเผือด ผมบนศีรษะยังหมาดอยู่เหมือนอาบน้ำสระผมเสร็จใหม่ๆ ใส่เสื้อกล้ามสีเทา กางเกงขาทั้งสั้นทั้งบานจนผมหนาวแทนมัน ถ้าเป็นผมคงนอนสบายไปแล้ว อะไรดลใจให้มันมาหาผมกันแน่
“ไอ้เตี้ย!...มึงมาได้ไง กูตกใจหมด เข้ามาได้ไงนี่”
ถ้าผมไม่มึนจนเกินไปผมจำได้ว่าผมปิดประตูบ้านเรียบร้อยแล้วนี่หว่า หรือว่ามันปีนเข้าบ้านมา น้องเกี๊ยงมันยิ้มอวดก่อนยกพวงกุญแจให้ผมดู ให้ผมรู้ว่ามันเข้ามาง่ายๆด้วยวิธีนี้เอง
ผมชี้หน้ามัน “มึงอย่าบอกนะว่าไปปั๊มกุญแจบ้านกูมา”
มันไม่ตอบแต่แลบลิ้นให้ผมทำหางตาตก หูตก ก้มหน้า เหมือนสำนึกผิด ผมเดินเข้าไปตบหัวมันก่อนด่า
“ถือวิสาสะนะมึง กูอยากรู้ว่าใครอนุญาตให้มึงทำแบบนี้”
อารมณ์กรุ่นขึ้นมาเล็กๆ หงุดหงิดขึ้นมาได้อีก ผมถือเรื่องการเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของผมพอสมควร ถึงเราจะสนิทกันมันมานอนที่บ้านผมหลายครั้งแต่ทุกครั้งผมเป็นคนให้มันมา ไม่ใช่ตามใจมัน
น้องเกี๊ยงส่ายหน้ายกมือไหว้ผม พยายามยิ้มแต่หน้าตามันกลับดูแปลกๆ “ขอโทษพี่ ผมไม่อยากไปนั่งรอข้างนอกอีกแล้ว ผมปั๊มมาตั้งนานแล้วนึกว่าพี่รู้แล้วเสียอีก ไม่รู้เหรอ?”
มันยังมีหน้ามาถามผมอีก คำสุดท้ายที่พูดมีน้ำเสียงล้อเล่น ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าทำผิด เหมือนขอโทษไปอย่างนั้นเอง แถมด้วยท่าทางกวนๆ ของมันก่อกวนอารมณ์ผมขึ้นมาจนได้ ผมตวาดเสียงดังขึ้นมาทันที
“มึงก็รู้ว่ากูชอบความเป็นส่วนตัว ทำไมมึงทำอะไรไม่ขอกู กูไม่ชอบ ไหน เอากุญแจมานี่” ผมยื่นมือไปแต่น้องเกี๊ยงยังคงถือไว้อยู่อย่างนั้นไม่ส่งให้ ผมมองมันเขม็งแล้วดึงกุญแจมาจากมือมัน คราวนี้มันหน้าซีดขาวจนเหมือนกระดาษ ดวงตาแวววาวมีน้ำตาคลอๆ เม้มปากแน่น ผมไม่อยากเห็นหน้าตาที่ทำท่าน่าสงสารแบบนั้น ความใจดีของคนเราก็มีขีดจำกัด ผมหันหลังให้แล้วใส่เสื้อผ้าโดยไม่สนใจมันอีกต่อไป
“กูจะนึกซะว่ามึงเอากุญแจมาคืน ไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปซะ” พอผมหันหน้ากลับมา น้องเกี๊ยงยืนทำตาปริบๆ อยู่อย่างนั้น ยังไม่ไปไหน
“ทำไมยังไม่ไปอีก”
“พี่...”เสียงแหบแห้งของมันเรียกผมไว้แต่ก็ไม่พูดอะไรอีก
“ตามมานี่” ผมเดินไปที่ประตูเดินนำลงมันไปข้างล่าง น้องเกี๊ยงเดินตามผมมาอย่างเงียบๆ ผมเปิดประตูบ้านค้างไว้แล้วหันหน้าไปที่น้องเกี๊ยง ผมยืนกอดอกพิงประตูบอกมันด้วยเสียงนิ่งๆ
“ออกไปซะ”
“...”
มันไม่มีทีท่าจะขยับตัวเลย มองหน้าผมด้วยแววตาขอร้อง มีแววเสียใจอย่างชัดเจน มันก็ควรจะเสียใจ โตขนาดนี้แล้วจะทำอะไรไม่คิด อย่างน้อยถ้ามันอยากได้กุญแจจริงๆทำไมไม่ขอผมดีๆ ผมคงด่าไป...แต่ก็ให้ เพราะมันก็เหมือนน้อง
แต่นี่มันบอกว่าทำไปนานแล้ว ยังมาเย้ยผมอีกว่าทำไมผมไม่รู้ 'ตกลงกูผิดเองสิที่ไม่รู้ว่ามึงทำอะไร...ไอ้เตี้ย!' ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ทั้งที่ผมไว้ใจมัน มาแอบเอาของผมไปปั๊ม มันทำแบบนี้โจรชัดๆ
ผมเดินเข้าไปกระชากแขนมันดึงตัวมันออกไปจากบ้าน แต่มันก็ฝืนตัวไว้
“พี่หนุ่ยผมขอโทษจริงๆครับ ผมไม่รู้ว่าพี่จะโกรธขนาดนี้” น้ำเสียงของมันสั่นเหมือนคนจะร้องไห้ ดวงตาแดงก่ำ เข้ามาเกาะแขนผมเอาไว้ ผมเบี่ยงแขนออกแต่มันก็ยังไม่ยอมปล่อย ผมแกะแขนมันไปก็พูดไป
“มึงไม่ต้องมาร้อง มึงอายุเท่าไหร่แล้ว ทำอะไรไม่คิดแบบนี้ได้ยังไง”
“ผมคิดนะพี่” น้องเกี๊ยงพูดเสียงอ่อยๆ ก่อนมองผมตรงๆ
“ก็ผมคิดถึงพี่เมื่อไหร่ผมก็มาหาพี่ได้ ผมคิดแบบนี้จริงๆ”
‘คิดถึง’ คำนี้อีกแล้ว มันจะอะไรกันนักหนา ความอึดอัดใจลึกๆ ที่คอยก่อกวนอารมณ์ผมอยู่เสมอๆจี๊ดขึ้นมาอีก
“มึงมีอะไรจะบอกกู นอกจากคำว่าคิดถึง เฮี้ยๆ นี่มั้ย”พอผมพูดจบ น้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลลงมาบนแก้มของน้องเกี๊ยงพอดี มันรีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาก่อนบอกผมด้วยเสียงขาดเป็นห้วงๆ แรงบีบจากมือมันกดแน่นจนผมเจ็บ
“ก็ผม...ฮึกๆ...รักพี่ ผมคิดถึงพี่...ฮึก... มันจะผิดตรงไหนล่ะ”
ผมได้ยินเต็มสองหู ชัดเจนเข้าไปถึงใจ ถึงแม้เสียงจะขาดๆ ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องก็ตาม แต่ผมคิดว่าผมฟังไม่ผิด มือที่พยายามแกะแขนมันออกหมดแรงไปเสียเฉยๆ ตกลงไปข้างตัวผม ความโกรธค่อยๆ ลดระดับลงไป
“...”
ผมพูดอะไรไม่ถูก ต่างคนต่างเงียบ ได้ยินเสียงสะอึกของน้องเกี๊ยงดังขึ้นมาเป็นพักๆ ผมถอนลมหายใจยาวด้วยความหนักใจ เราคงยืนอยู่แบบนี้กันไปทั้งคืนไม่ได้ ถ้าต่างใช้อารมณ์กันทั้งคู่ อีกหน่อยอาจจะมองหน้ากันไม่ติด ผมเองก็หงุดหงิดง่ายๆโดยไม่มีสาเหตุ หรือผมจะเข้าวัยทองไปแล้วอารมณ์เลยไม่เสถียร ผมเหลือบตามองน้องเกี๊ยงตอนนี้มันหยุดร้องแล้ว แต่ยืนสะอึกอยู่ มันแอบมองผมเป็นพักๆ พอเราสบตากันมันก็หลบตา
ผมเดินไปรินน้ำมาให้มันดื่ม พอส่งให้ผมก็บอกมันไปว่า “เลิกพูดเล่น แล้วกลับบ้านไปซะ วันนี้กูไม่อยากพูดอะไรกับมึงอีก” น้องเกี๊ยงรับน้ำมาดื่มอย่างว่าง่าย แต่มันก็ยังไม่หายสะอึก
“ผมไม่ได้พูดเล่น ผมพูดจริง พี่หายโกรธผมแล้วรึยัง อึก...ผมขอโทษ ทุกเรื่องที่ทำให้พี่ไม่พอใจ...อึก”
ถ้าเป็นเวลาอื่นผมคงหัวเราะเยาะมันไปแล้วที่สะอึกไม่หยุด แต่ตอนนี้แค่จะยิ้มยังไม่กล้าเลย
ผมหายโกรธมันไปแล้ว ตอนนี้สมองวุ่นวายเรื่องที่มันเพิ่งบอกมากกว่า หลังจากคาดคั้นมานานให้มันบอกเรื่องที่อ้ำอึ้งไม่ยอมพูด แต่พอมันพูดออกมาผมกลับไปต่อไม่ถูก ยังไม่ทันเตรียมใจสำหรับเรื่องนี้ ถึงแม้จะเคยสงสัยอยู่บ้างแต่ก็ไม่แน่ใจ
“หายแล้ว กลับบ้านไปซะ พรุ่งนี้ไปเจอกันที่ทำงาน ว่างมีเวลาแล้วค่อยมาคุยกัน”
ผมดันหลังมันให้ออกไปจากบ้านผม เนื้อตัวน้องเกี๊ยงเย็นชืดเพราะใส่เสื้อผ้าบางเบา แต่ก็เต็มไปด้วยเหงื่อ ผมถึงนึกได้ “มึงมายังไง ในสภาพแบบนี้”
“มาวินมอไซด์”
ผมเหลือบตามองอย่างประหลาดใจ ได้แต่ระอากับมัน “แล้วมึงจะรีบร้อนมาทำไม มีอะไรพรุ่งนี้ก็เจอกัน ค่อยคุยกันก็ได้”
ไม่เห็นต้องรีบมาให้ผมด่า ไม่ต้องรีบมาให้ผมไล่ แล้วก็ไม่เห็นต้องรีบมาบอกรักผมเลย รีบมาทำให้กูหัวใจกระตุกทำไม
“พี่บอกผมว่า พอกันแค่นี้ ผมก็ตกใจ นึกว่าพี่จะเลิกคบผม คิดอะไรไม่ทัน คิดแต่ว่าต้องมาขอโทษพี่”
ฟังมันพูดแล้วได้แต่ส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ “โทรมาก็ได้ ดึกแล้ว ไกลก็ไกล จะมาทำไมให้เหนื่อย”
น้องเกี๊ยงทำหน้าเบ้ ขมวดคิ้วมุ่น “ผมโทรมาแล้ว แต่พี่ไม่รับ โทรกี่ครั้งก็ไม่รับ ผมยิ่งนึกว่าพี่โกรธผมมาก ผมถึงต้องรีบมา”
ผมก็อยู่ตลอดนี่หว่า ทำไมผมไม่ได้ยินเลยล่ะ “อ่อ กูอาบน้ำ แต่นานไปหน่อย” แต่ยังไงก็ตามพรุ่งนี้ค่อยคุยก็ได้ ผมไม่เห็นความจำเป็นต้องรีบร้อนแบบนี้เลย
ผมเดินตามมันออกมามองซ้ายขวาถนนทั้งสองข้างมีแต่ความมืด ไม่มีใครรออยู่สักคน “แล้ววินไปไหน มึงจะกลับไงนี่”
“ผมไม่ได้บอกให้เค้ารอ ไม่เป็นไรพี่ ผมเดินกลับเอง เดี๋ยวออกไปอีกหน่อยคงมี ผมชินแล้ว”
มองสายตาละห้อย ฟังเสียงเศร้าๆของมันแล้วผมก็สงสารนะครับ ผมไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไร แต่ผมไม่รู้ว่ามันหลอกด่าผมรึเปล่า ที่ปล่อยให้มันลำบากกลับเองแบบนี้บ่อยๆ อยากจะให้สมใจมัน ให้เดินโชว์หวิวซะให้เข็ด อยากใจร้อนไม่เข้าท่า ผมไม่พูดห้ามอะไรปล่อยให้มันเดินไป อยากวัดใจว่ามันจะเอาจริงรึเปล่า
ผมมองเด็กหนุ่มที่เดินคอตกออกไปอย่างหงอยๆ มันยังยกไม้ยกมือขึ้นปาดน้ำตาทั้งที่มันควรจะหยุดร้องไห้ได้แล้ว เห็นได้ชัดว่ามันยังไม่หายจากสะอึก ผมยืนมองอยู่อย่างนั้นเผื่อมันจะเดินย้อนกลับมาหาผม มาบอกผมว่าไม่กลับแล้วขอนอนที่บ้านผมเหมือนเคย แต่มันก็เดินหายไปจนลับตาไม่หันกลับมาอีก ผมปิดประตูบ้านแล้วตั้งใจจะนอน มีเรื่องวุ่นวายให้ผมคิดนอกจากเรื่องงานจนได้ ล้มตัวลงนอนแล้วก็นอนไม่หลับ ภาพของน้องเกี๊ยงที่ลับหายไปในความมืดยังติดตา
“มันจะเป็นอะไรรึเปล่าวะ ไอ้เตี้ยเอ๊ย...ทำให้กูเป็นห่วงจนได้”
ผมผุดลุกจากที่นอนคว้ากุญแจรถแล้วขับรถออกไปจากบ้าน ดึกดื่นเที่ยงคืนมันเงียบสนิทจริงๆครับ กลางคืนแบบนี้ทุกคนต่างก็นอนหลับอยู่บนเตียงอย่างสบาย แต่ผมต้องออกมาขับรถส่องดูคนตามถนนเหมือนพวกโรคจิต “ชีวิตกู วุ่นวายจริงหนอ”
“มันไปอยู่ไหนวะ”
ผมเริ่มร้อนใจ จนต้องบ่นกับตัวเอง ผมขับออกจากซอยมาสู่ถนนย่อยของหมู่บ้าน ปกติจะมีวินมอเตอร์ไซด์จอดอยู่ปากซอย แต่คืนนี้ไม่มีเลยสักคัน แทบไม่มีคนให้เห็นมีแต่หมาเดินเล่นวิ่งเล่นสองสามตัว ผมขับรถต่อออกมาเพื่อสู่ถนนใหญ่ ปากก็บ่นไป
“ ทำไมมันเดินไวขนาดนี้วะ หรือว่าโดนฉุดลงข้างทางไปแล้ว ทั้งเปลี่ยว ทั้งมืด ไอ้เตี้ยนะไอ้เตี้ย ”
ผมขับหามันไปจนถึงถนนใหญ่ ก็ยังไม่เห็น ทั้งที่ระยะทางไกลพอสมควร ถ้าเดินเท้าออกมาเดินเร็วแค่ไหนหรือต่อให้วิ่งยังไงก็คงไม่มาถึงตรงนี้ ผมตัดสินใจวกรถกลับแล้วมองหามันใหม่อีกรอบ ถ้าไม่เจอจริงๆ มันคงเรียกรถกลับบ้านได้แล้วผมหวังว่าจะเป็นแบบนั้น
ในที่สุดผมก็เจอ น้องเกี๊ยงกำลังจะยืนคุยกับคนขับมอเตอร์ไซด์ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าใช่วินรึเปล่า ผมไม่มีเวลาคิดว่าทำไมเมื่อกี้ผมไม่เห็นมัน เพราะตอนนี้กลัวว่ามันจะกระโดดขึ้นรถไปก่อนมากกว่า
“ทำอะไรไม่ระวังตัวเล้ย ไอ้เตี้ย” ผมจอดรถลงข้างทาง แล้วรีบวิ่งลงไปดึงแขนมันไว้
น้องเกี๊ยงทำตาโต ถามผมอย่างประหลาดใจ “พี่หนุ่ยมาได้ไง?”
“มึงจะไปไหน” ผมถามมันแล้วหันไปมอง คนที่ยืนอยู่ข้างๆ หน้าตาไม่น่าไว้ใจแววตาลอกแลกไปคุยกันทำไม
น้องเกี๊ยงบอกผมเสียงอ่อยๆ ทำไมมันตาบวมๆวะ “พี่คนนี้เค้าอาสาไปส่ง ผมหารถไม่ได้เลย”
“ไม่ต้องแล้ว กลับไปนอนที่บ้านพี่” ผมบอกมันจบก็หันไปบอกเจ้าของมอเตอร์ไซด์ แล้วโค้งหัวให้เค้า
“ไม่รบกวนแล้วพี่ เดี๋ยวผมพาน้องกลับเอง ขอบคุณนะครับ ขอโทษด้วยที่น้องผมทำให้เสียเวลา”
ไอ้เจ้านั่นยักไหล่ทำหน้าฉุนๆ ขี่รถออกไปทันที ไม่ได้ว่าอะไร ผมถึงกับถอนหายใจโล่งอก แล้วหันมามองเจ้าตัวดีที่ยังยืนจ้องหน้าผมเขม็ง
“มองอะไร! ทำอย่างกับไม่รู้จักกัน” ผมถามมันไปอย่างโมโห ชอบทำให้กูเหนื่อยเรื่อยเลย
“มองพี่ ให้เห็นชัดๆว่าไม่ได้ตาฝาดไป” มันไม่พูดอย่างเดียว แต่ริมฝีปากมันยังยิ้มไม่หุบ
“ไม่ต้องพูดมากเลย ขึ้นรถ กลับบ้านเรา”
ผมดึงมือมันเปิดประตูรถแล้วผลักมันเข้าไป ผมเข้าไปนั่งที่คนขับแล้วหันมาจับเกียร์แล้วถึงหันมาดูหน้าไอ้ตัวดี ที่เกือบขึ้นรถไปกับใครแล้วก็ไม่รู้
น้องเกี๊ยงมันเบือนหน้ามองออกไปข้างนอก เหมือนคนคอเคล็ดที่หันหน้ามองตรงไม่ได้ ผมขับรถออกมาครู่ใหญ่แล้วมันก็ยังนั่งนิ่งเงียบ จนผมอึดอัด
“ หาเจอมั้ย” ผมถามมันขึ้นมา
“หาอะไรพี่” ก็ยังดีที่มันตอบผม ถึงแม้มันจะยังคอแข็งอยู่ แต่เสียงพูดค่อยเหมือนคนคอเจ็บ ผมแทบไม่ได้ยิน
“กูไม่รู้ เห็นมึงมองออกไปข้างนอก กูนึกว่ามึงทำอะไรหายไป”
น้องเกี๊ยงหันมาจนได้ มองผมตาใสบอกกับผมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ที่หายไปอย่างเดียวคือใจผม”
ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงอ้วกไปแล้ว คงด่ามันไปด้วย หรืออาจจะหัวเราะเสียงดัง ด่าว่ามึงพูดบ้าอะไรกัน ผมกับมันคงหัวเราะกันทั้งคู่ แต่ตอนนี้น้องเกี๊ยงไม่หัวเราะและที่ผมทำได้คือหัวเราะฝืดๆแค่นั้น ลมหายใจติดๆขัดๆ ไม่รู้อะไรที่ทำให้ผมตอบมันกลับไปว่า “เดี๋ยวก็หาเจอเอง”
น้องเกี๊ยงถอนหายใจ แล้วหันหน้ามองตรงไปข้างหน้า พูดเบาๆ “พี่ออกมาตามผมทำไม”
ผมอยากจะพูดไม่ตรงกับใจเพราะกลัวเสียฟอร์ม แต่ผมก็ไม่ทำ “ กูนอนไม่หลับ...”
ผมเลียริมฝีปากที่แห้งผากขึ้นมาพูดต่อไป “กูเป็นห่วงมึง”
ถึงผมจะไม่หันหน้ามามอง แต่ผมก็สัมผัสได้ด้วยความรู้สึกว่าน้องเกี๊ยงมองผมอยู่ แต่มันก็เงียบไป หลังๆ มานี้บางครั้งมันพูดน้อยมากจนผมลืมเด็กหนุ่มช่างพูดช่างกวนที่ผมเคยรู้จักไปเลย
“พี่ห่วงผมด้วย” เสียงของมันพูดเหมือนไม่แน่ใจ จนต้องถามกับตัวเอง
“ผมยังไปบ้านพี่ได้เหรอ พี่ไม่ไล่ผมอีกเหรอ" ”
คำพูดตรงๆแบบนั้นราวกับมันกำลังตัดพ้อผม ทำเอาผมสะอึก หรือว่าผมทำผิดไป บางทีน้องเกี๊ยงมันอาจจะเด็กเกินไปไม่คิดอะไรซับซ้อนแบบผม หรืออาจพูดได้เลยว่าผมน่าจะเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้
“ไปได้สิ แต่รู้มั้ยว่าการแอบเอากุญแจบ้านคนอื่นไปปั๊มเองแบบนี้มันผิด”
“ครับ ผมขอโทษ” น้องเกี๊ยงก้มหน้า ยกมือไหว้ผม ไม่มีท่าทางล้อเล่นอีกแล้ว
รถเลื่อนมาจอดหน้าบ้านพอดีในขณะที่ผมยังอยากพูดต่อ ผมยังไม่ลงไปเปิดประตู แต่หันหน้าไปคุยกับมันตรงๆ
“วันหลังอย่าทำแบบนี้อีก ไม่ว่ากับใคร” มันก้มหน้างุด คอตกเป็นหมาหงอยผิดฟอร์มจนผมขำ ผมเอามือแปะหัวมันเขย่าๆ แล้วลูบหัวมัน “ไปนอนเถอะ พี่ง่วงแล้ว”
ผมเอารถเข้าบ้านแล้วเดินนำมันเข้าไป พอหมดเรื่องแล้วก็อยากนอนเป็นที่สุด “ไปอาบน้ำใหม่ก่อนนะ เหงื่อโทรมตัวเลย”
“ผมไม่มีเสื้อผ้าเลยพี่ ใส่ตัวเดิมก็ไม่ไหว” มันยกแขนขึ้นดมตัวเองแล้วทำหน้าย่น ถ้าผมให้มันมานอนด้วยทั้งตัวเหม็นๆ ผมคงนอนไม่หลับเป็นแน่ ผมหาเสื้อผ้าให้แล้วโยนไปให้มัน “กูมีแต่แบบนี้ ใส่ไปก่อน”
แบบนี้ที่ผมว่าคือเสื้อกล้าม กางเกงขาสั้นเพราะผมเป็นคนขี้ร้อน ระหว่างที่มันไปอาบน้ำผมเผลอนอนหลับไปก่อน มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อเตียงยวบด้วยน้ำหนักของน้องเกี๊ยง ผมขยับตัวไปดู
“เดี๋ยวนี้มึงนอนบนเตียงกูเลยนะ”
ผมอ้าปากจะไล่มันลง แต่นึกในใจว่าวันนี้ไล่มันหลายรอบแล้ว ไม่อยากใจร้ายอีกวันละหลายๆหน ผมเลยหันหลังให้มัน
“ผมขออนุญาตนะพี่ นะครับ” เสียงกลัวๆกล้าๆเอ่ยออกมาจนได้ ก็ยังดีที่ยังรู้จักขอบ้าง
“อืม”
ผมข่มตาให้หลับแต่จนค่อนคืนคำว่า ‘รัก’ กลับก่อกวนผมจนหลับไม่ลง ต้องพลิกตัวไปมา น้องเกี๊ยงนอนหันหน้ามาทางผมอยู่แล้ว ผมใช้เวลานี้มองมันเงียบๆ มันนอนเงียบคงหลับไปแล้ว ก็น่าจะเป็นแบบนั้นคงเหนื่อยจากการเดินระยะทางไม่ใช่น้อย
ถ้ามันรักผมอย่างที่มันบอก แล้วมันจะจบลงตรงไหน คบกันเหรอ ปฏิเสธไป หรือยังไง ผมถามตัวเอง ผมต้องตอบมันไปยังไง ในเมื่อตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ใจตัวเองเลย ผมรู้แค่ว่าเรื่องของมันก่อกวนใจผมจริงๆ
แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง แยงตาจนผมต้องจำใจตื่นทั้งที่ยังนอนไม่เต็มอิ่ม ผมขยับตัวจะลุกขึ้นอย่างเคย แต่แรงกดที่ตัวทำให้ผมขยับตัวลำบาก คนที่ขยับตัวไปมาอยู่ข้างกายผมยังคงนอนหลับตาพริ้ม ปากอิ่มขยับปากไปมาเหมือนเคย ผมค่อยๆแกะแขนมันออกจากตัว ลุกขึ้นไปอาบน้ำเงียบๆ
เมื่อผมกลับมาไอ้เตี้ยมันนั่งหลับสัปงกอยู่บนเตียง ก่อนหันมามองผมแล้วหาว “พี่ไม่เรียกผม จะได้เข้าบริษัทพร้อมกัน”
“ไปอาบน้ำสิ เดี๋ยวพี่รอ”
ผมแต่งตัวเสร็จลงมานั่งรอมันข้างล่าง เอานมมานั่งดื่มเงียบๆ เช้าๆแบบนี้ผมไม่ค่อยทานอะไร ดื่มแต่นมจนชิน กว่าจะทานข้าวรวบสองมื้อก็เที่ยงไปแล้ว คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานก็ยังคิดไม่ตก เลยหันไปหยิบงานของน้องเกี๊ยงมาดูไปพลางๆ แต่เจ้าตัวดีเดินหัวยุ่งลงมาหายังใส่เสื้อผ้าชุดเดิม
“พี่หนุ่ย ผมไม่มีเสื้อผ้าใส่ ทำไงดี สงสัยผมต้องกลับบ้านก่อน”
“ยุ่งกะกูอีกแล้ว เดี๋ยวเอาของกูใส่ไปก่อน”
ผมผละจากงานตรงหน้าแล้วไปหาเสื้อผ้าลำลองของผมมาให้มันใส่ น้องเกี๊ยงไม่ใช่พนักงานประจำดังนั้นการแต่งตัวไม่จำเป็นต้องใส่เชิ้ตผูกเน็กไทเหมือนผมขอแค่สุภาพก็พอ แต่รูปร่างที่ต่างกันให้ใส่ยังไงก็ดูรู้อยู่ดีว่าไม่ใช่เสื้อผ้ามัน เสื้อยืดอาจดูไม่แตกต่างเท่าไหร่ แต่ขากางเกงที่ยาวจนมันต้องพับขาขึ้นก็ทำให้มันหงุดหงิด หมดความมั่นใจ บ่นพึมพำเบาๆ
“กูจะกล้าเดินมั้ยนี่”
“ใครเค้าจะสนใจว่ามึงแต่งตัวแบบไหน วันหลังมึงเอามาทิ้งไว้ที่นี่สักชุดสองชุดเผื่อฉุกเฉินแล้วกัน”
ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมบอกมันไปแบบนั้น รู้แต่ว่าน้องเกี๊ยงมันยิ้มกว้างให้ผมเมื่อผมพูดจบ มันคงจะดีใจมากเกินไปแล้ว
ผมผละจากมันมาแล้วนั่งดูงานต่อ สักพักน้องเกี๊ยงเดินลงมาแตะไหล่ผม แล้วชะโงกหน้าก้มลงมามองงานด้วย เหมือนมันจะไม่รู้ตัว แต่ผมขัดเขินในความชิดใกล้ขนาดนี้
“พี่ดูเสร็จรึยัง ถ้าเสร็จเดี๋ยวผมได้เอาไปทำต่อให้เสร็จวันนี้เลย”
เสียงเจื้อยแจ้วข้างหู ลมหายใจแผ่วๆของมันข้างแก้มผมทำผมร้อนไปหมด “นี่มึงไปนั่งตรงนั้นก็ได้ มากระซิบกระซาบอะไรตรงนี้ กูร้อน” ผมปัดมือมันออกจากไหล่ผม แล้วชี้ที่นั่งข้างๆให้มัน
“อืม ร้อนเนอะ อาบน้ำเสร็จยังร้อนเลย” น้องเกี๊ยงขยับตัวไปนั่งข้างๆ แต่แขนมันก็ยังใกล้จนเสียดสีแขนผม ผมต้องขยับตัวออกห่าง ผมนั่งมองงานแต่ใจกลับลอยไปถึงไหน น้องเกี๊ยงมันคงเห็นผมเหม่อๆ มันเลยสะกิดผม
“พี่ไปกันรึยัง เดี๋ยวสาย”
ผมสะดุ้ง รีบตอบเสียงตะกุกตะกัก “เออ เออ ลืมไปเลย ไปๆ”
เราออกจากบ้านมาด้วยกัน น้องเกี๊ยงดูเงียบๆไป ผมก็จนคำพูด ทุกสิ่งที่คาใจเต็มไปหมด แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน บ่อยครั้งที่มีคนมาบอกรักผม แต่ไม่มีครั้งไหนลำบากใจเท่านี้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่มีผู้ชายมาบอกรักผม ผมตัดสินใจเริ่มการสนทนาก่อนที่จะอึดอัดกันไปทั้งคู่แบบนี้
“เมื่อคืนที่มึงบอกรักกูพูดเล่นล่ะสิ หึหึ เดี๋ยวนี้เล่นหนักนะไอ้เตี้ย” ผมฝืนยิ้มให้น้องเกี๊ยง หวังว่ามันจะคิดว่าผมพูดเล่น ทั้งที่ผมหลอกให้มันพูดเรื่องจริงออกมาต่างหากล่ะ
“ไม่ได้พูดเล่น พูดจริง ผมรักพี่” มันหันมาบอกผมเสียงกระตือรือร้น แววตาเป็นประกายแรงกล้า จนผมไม่กล้ามอง แต่ก็ต้องดันทุรังคุยกันต่อไป
“อย่ามาอำกัน มึงพูดอย่างกับเป็นเกย์ มาเที่ยวบอกรักผู้ชาย สนุกนักรึไง”
น้องเกี๊ยงทำท่าฮึดฮัด “ก็บอกว่าไม่ได้เล่น ไม่ได้อำ พี่จะว่าเป็นเกย์ก็เป็น แต่ก่อนไม่เป็นพอมาเจอพี่นี่ล่ะงานเข้าเลย ผมคงเป็นไบมั้ง ก็รักพี่นี่”
แล้วมันก็บ่นกับตัวเอง แต่ผมได้ยินด้วย “สนุกบ้าอะไร โดนด่า โดนไล่ตลอด ดุยังก๊ะ...”
ผมเอื้อมมือไปเขกหัวมัน “ว่ากูเหรอ”
ผมครุ่นคิดที่มันพูด มันมาโทษผมได้ยังไงที่ทำให้มันเป็นเกย์ ก็ผมไม่เป็นแล้วมันเป็นมันจะไปเกี่ยวกับผมได้ยังไง ของแบบนี้มันสืบทอดเพราะอยู่ใกล้กันเหมือนไข้หวัด2009ได้ที่ไหน
“แล้วพี่ว่าไงล่ะ” มันเม้มริมฝีปากแน่น
“อะไรว่าไง ว่าอะไร?” ผมไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่
“ที่ผมรักพี่”
ผมเหลือบตาไปมองมันแวบหนึ่งแล้วหันมาให้ความสนใจกับการขับรถต่อ ชัดเต็มสองหูเสียยิ่งกว่าเมื่อคืน
“ ก็เรื่องของมึงนี่ ใช่เรื่องกูที่ไหน”
มันนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนยิ้มกว้าง “ก็จริงของพี่ แต่...พี่ไม่ห้ามผมนะ”
ผมคิดชั่วครู่ก่อนส่ายหน้า “ใครจะห้ามใจใครได้”
“แล้วพี่รักผมบ้างมั้ย” มันช่างกล้าถามผมแบบนี้ แต่ผมจะกล้าตอบมันรึเปล่า
“ กูไม่รู้” เลี่ยงไปก่อน แต่ผมไม่รู้จริงๆนี่นา
“ไม่เป็นไร สักวันพี่คงรู้เอง ผมจะรอ”
รถค่อนข้างติดทำให้ผมยังไม่ถึงที่ทำงานสักที แต่ตอนนี้ให้ติดนานแค่ไหนใจผมก็ไม่รู้สึกรู้สา มือเท้าขับรถไปตามสัญชาตญาณมากกว่า สติ สมาธิหายไปหมด รถติดไฟแดงพอดีตอนที่ผมถามมันไป
“ถ้ากูไม่รักมึงตอบล่ะ มึงจะทำไง”
“นั่นก็เรื่องของผมไม่ใช่เหรอ” มันย้อนผมครับมันยอกย้อน ดูมันมั่นใจมากขึ้นกว่าเมื่อวาน
“พี่แค่หาคำตอบในใจของพี่ก็พอ เราก็ต่างทำหน้าที่ของเราไป” มันยิ้มน่ารักให้ผม
“พี่แค่อนุญาติให้ผมรักพี่ ให้ผมรอ ให้ผมคิดถึง ให้ผมได้ไปบ้านพี่ ให้...” มันทำท่าจะพูดไม่จบ กลับมาพูดมากเหมือนเคย จนผมต้องเอามือปิดปากมันไว้ ให้มันหยุดพูด
“ทำไมมึงขอเยอะอย่างนี้วะ กูต้องอนุมัติมึงทุกเรื่องรึไง ฮึ” น้องเกี๊ยงไม่ตอบแต่จับมือผมที่ปากมันไว้ แล้วจูบที่ฝ่ามือผม ผมตกใจรีบชักมือออก น้องเกี๊ยงหัวเราะเสียงดัง
“จูบมือแค่นี้หน้าแดงเลยเหรอพี่ ฮ่าๆ”
ผมไม่กล้าพูดอะไร จังหวะนั้นรถเริ่มเคลื่อนพอดี ผมยอมรับว่าผมอึ้งไป ไม่คิดว่ามันจะทำอะไรแบบนั้น นี่ผมหน้าแดงจริงรึนี่ มิน่าทำไมมันร้อนขนาดนี้
“เฮ้อ สบายใจจัง ที่ผมบอกพี่ไปหมดแล้ว พี่รู้มั้ยผมอึดอัดแค่ไหน ท้องผูกยังไม่ทรมานอย่างนี้เลย”
“ช่วงก่อนผมก็กลุ้มใจนะ เหมือนคนที่หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ บางครั้งผมก็ไม่เข้าใจพี่ด้วย ว่าพี่คิดยังไงกับผม”
น้องเกี๊ยงหันมาหาผมที่ตอนนี้นั่งหน้าร้อนฉ่าอยู่ เลือดในกายมันสูบฉีดแรงจนผมกลัวหัวใจจะหยุดเต้นไปก่อน เพราะมันเต้นถี่เกินไป
“แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าถ้าผมรักพี่ มันก็เรื่องของผม พี่จะคิดยังไงกับผมก็ช่าง แต่ผมบอกพี่ก่อนนะ ว่าผมไม่ใช่พระรอง เพราะงั้นผมก็ยังหวังที่จะได้รับความรักจากพี่ตอบด้วย ผมคงไม่ยอมเสียสละรักพี่ข้างเดียวแน่ๆ”
ผมยังคงฟังมันพูดไปเรื่อยๆ สมองก็คิดตามไปด้วย จนต้องสวนกลับ “มึงนี่พูดจาวกวน อะไรไม่รู้ กูแก่แล้วกูไม่รู้หรอก ไม่เข้าใจ”
น้องเกี๊ยงหัวเราะ “ยอมรับแล้วล่ะสิว่าแก่ เป็นคนแก่ที่ขี้เหวี่ยงซะด้วย” น้องเกี๊ยงเกาะแขนผมแน่น ผมอยากจะสะบัดออกก็ไม่ถนัดเพราะขับรถอยู่
“พี่ไม่ต้องเข้าใจอะไร แค่รู้ไว้ว่าผมรักพี่ อย่าผลักไสผม อย่าไล่ผมให้ไกลจากพี่แค่นี้ก็พอแล้ว”
รถมาถึงหน้าบริษัทพอดี ผมจอดรถรอเลี้ยวขึ้นตึก น้องเกี๊ยงเปิดประตูแล้วหันมาขโมยหอมแก้มผม ก่อนวิ่งลงไปจากรถ โบกมือให้ผม
“เจอกันข้างบนนะพี่”
ผมจับแก้มตัวเองไปตลอดเวลาที่ผมขับขึ้นไปจอดรถ บอกตัวเองว่าไม่ไหวแล้ว ผมกำลังโดนเด็กจีบจริงหรือนี่
*************************************
เห็นเค้าว่าใกล้จบแล้วมั้ง
